สิวอักเสบเกิดจากอะไร ? รวมคำถามเกี่ยวกับสิวอักเสบที่คุณไม่เคยรู้
“สิว” ปัญหาผิวหนังยอดฮิตที่กวนใจใครหลายคน ไม่ว่าจะเด็ก วัยรุ่น หรือผู้ใหญ่ ต่างก็ต้องเคยเผชิญกับสิวเม็ดเล็กๆ ที่ผุดขึ้นมาบนใบหน้า สร้างความรำคาญใจ ไม่มั่นใจ แต่สิวที่สร้างความหนักใจยิ่งกว่า คงหนีไม่พ้น “สิวอักเสบ” สิวตัวร้ายที่มากับอาการบวมแดง เจ็บปวด หากปล่อยทิ้งไว้ไม่รีบรักษา อาจนำไปสู่ปัญหาผิวหนังเรื้อรัง ทิ้งรอยแผลเป็นบนผิวได้ แล้วเราจะรับมือกับสิวอักเสบได้อย่างไร ? บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกทุกแง่มุมของสิวอักเสบ เพื่อให้คุณเข้าใจ และสามารถเลือกวิธีการรักษาสิวอักเสบที่เหมาะสมกับตัวเองได้
สิวอักเสบคืออะไร ?
สิวอักเสบ คือ สิวประเภทหนึ่งที่เกิดการอุดตันของรูขุมขนจากน้ำมันส่วนเกิน และเชื้อแบคทีเรีย Cutibacterium acnes (C. acnes) ทำให้เกิดเป็นสิวที่มีการอักเสบ บวมแดง และอาจมีหนองร่วมด้วยในบางบุคคล ทำให้เกิดอาการเจ็บ

ลักษณะของสิวอักเสบ
สิวอักเสบเป็นสิวที่มีอาการเด่นชัด เช่น สีแดง บวม เจ็บ และอาจมีหนองร่วมด้วย ทำให้เกิดความรู้สึกไม่สบายผิวหรือระคายเคืองได้ การดูแลรักษาอย่างถูกวิธีจึงเป็นสิ่งสำคัญ ที่จะป้องกันการลุกลามและลดโอกาสการเกิดรอยแผลเป็น การสังเกตลักษณะของสิวจะช่วยให้คุณเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับสิวที่เป็นได้ โดยสิวอักเสบมีลักษณะที่สามารถสังเกตได้ ดังนี้
- สิวอักเสบมักมีลักษณะบวมและแดง
- สิวอักเสบมักอาจมีหัวหนองสีขาวหรือเหลืองได้
- สิวอักเสบมักมีลักษณะที่กดแล้วเจ็บ หรือมีอาการปวด
- สิวอักเสบมักสามารถพัฒนาเป็นตุ่มนูนขนาดใหญ่ หากรุนแรงอาจกลายเป็นก้อนแข็งหรือซีสต์ใต้ผิวหนัง
- สิวอักเสบอาจทิ้งรอยดำหรือแผลเป็นได้หลังจากการรักษา
สิวอักเสบหากมีอาการรุนแรงอาจกลายเป็นก้อนแข็งหรือซีสต์ใต้ผิวหนัง และมีโอกาสทิ้งรอยแผลเป็นหรือรอยดำหลังจากหาย การดูแลรักษาตั้งแต่ระยะแรกเป็นสิ่งสำคัญเพื่อลดการอักเสบและป้องกันรอยแผลเป็นในอนาคต

สิวอักเสบเกิดจากอะไร ?
สิวอักเสบเป็นสิวที่เกิดจากการอักเสบของรูขุมขน โดยมีสาเหตุหลักจากการอุดตันของรูขุมขนจากน้ำมันส่วนเกิน (Sebum) เซลล์ผิวที่ตายแล้ว ร่วมกับการติดเชื้อแบคทีเรีย Cutibacterium acnes (C. acnes) ที่กระตุ้นให้เกิดการอักเสบ ซึ่งการเกิดสิวอักเสบมีกระบวนการเกิดสิว ดังนี้
- กระบวนการแรกของการเกิดสิวอักเสบจะเกิดการอุดตันของรูขุมขน
กระบวนการนี้เกิดจากการที่น้ำมันส่วนเกิน (Sebum) ที่ผลิตโดยต่อมไขมันใต้ผิวหนังผลิตน้ำมันออกมามากเกินไป จนเกิดไขมันสะสมในรูขุมขน เมื่อผสมรวมกับเซลล์ผิวที่ตายไปแล้ว จะทำให้เกิดรูขุมขนอุดตันจนออกซิเจนไม่สามารถเข้าไปได้ ทำให้เกิดสภาวะที่เหมาะสมต่อการเติบโตของแบคทีเรีย
- กระบวนการต่อมาของการเกิดสิวอักเสบจะเกิดการสะสมของแบคทีเรีย
หลังจากการที่รูขุมขนอุดตันจนไม่มีออกซิเจนเข้าไปได้แล้วนั้น แบคทีเรียที่ชื่อว่า Cutibacterium acnes (C. acnes) ที่อาศัยอยู่ในรูขุมขนจะปล่อยเอนไซม์และสารเคมีบางชนิดออกมา ซึ่งไปกระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาการอักเสบ
- กระบวนการสุดท้ายของการเกิดสิวอักเสบ ร่างกายจะเกิดการกระตุ้นให้เกิดการอักเสบ
เมื่อร่างกายรับรู้ถึงการอักเสบหรือติดเชื้อ จะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันจะตอบสนองเพื่อไปต่อสู้กับเชื้อแบคทีเรีย ทำให้เกิดอาการบวมแดง ร้อน และเจ็บ จนเกิดเป็นสิวอักเสบรุนแรงขึ้นมาได้
การเข้าใจกระบวนการเกิดสิวอักเสบทั้ง 3 ขั้นตอนเหล่านี้ จะช่วยให้คุณเข้าใจและสามารถเลือกวิธีการรักษาสิวอักเสบและป้องกันการเกิดสิวอักเสบได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดสิวอักเสบ
การเกิดสิวอักเสบ เกิดจากหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อการอุดตันของรูขุมขนและการเติบโตของแบคทีเรีย Cutibacterium acnes (C. acnes) ซึ่งทำให้เกิดการอักเสบ บวมแดง และอาจมีหนองร่วมด้วย โดยปัจจัยหลักที่กระตุ้นให้เกิดสิวอักเสบ มีดังนี้
1.สิวอักเสบที่ถูกกระตุ้นด้วยมลภาวะและสิ่งแวดล้อม (Pollution & Environmental Factors)
สิวอักเสบสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย หนึ่งในนั้นคือมลภาวะและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นปัจจัยภายนอกที่ส่งผลต่อผิวโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นฝุ่นละออง ควันจากท่อไอเสีย สารเคมีในอากาศ และแสงแดด ที่จะไปกระตุ้นให้ผิวเกิดการอักเสบและกระตุ้นให้ต่อมไขมันทำงานหนักขึ้น จนเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดสิวอักเสบได้
2.สิวอักเสบที่ถูกกระตุ้นด้วยพฤติกรรมสัมผัสหน้าและบีบสิว
พฤติกรรมการสัมผัสใบหน้าและการบีบสิวเป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้เกิดสิวอักเสบโดยไม่รู้ตัวได้ เนื่องจากมือของเราอาจมีแบคทีเรียและน้ำมัน ที่จะทำให้รูขุมขนอุดตันและเกิดการอักเสบได้ง่ายขึ้น ซึ่งการสัมผัสหน้าบ่อย ๆ ด้วยมือที่ไม่สะอาด อาจทำให้เชื้อโรคสามารถแพร่กระจายเข้าสู่รูขุมขน ทำให้เกิดการติดเชื้อและกระตุ้นให้สิวอักเสบได้
3.สิวอักเสบที่ถูกกระตุ้นด้วยฮอร์โมน (Hormonal Changes)
สิวอักเสบที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเป็นหนึ่งในสาเหตุที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะในช่วงวัยรุ่น ผู้หญิงในช่วงรอบเดือน การตั้งครรภ์ หรือภาวะที่เกี่ยวข้องกับฮอร์โมนอื่น ๆ เมื่อระดับฮอร์โมนแปรปรวน อาจส่งผลให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมามากกว่าปกติ ทำให้รูขุมขนอุดตันและเกิดสิวอักเสบได้ง่ายขึ้น
4.สิวอักเสบที่ถูกกระตุ้นด้วยผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและเครื่องสำอางบางชนิด (Skincare & Makeup Products)
การใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและเครื่องสำอางบางชนิดสามารถเป็นสาเหตุของการเกิดสิวอักเสบได้ หากผลิตภัณฑ์เหล่านั้นมีส่วนผสมที่อุดตันรูขุมขน หรือก่อให้เกิดการระคายเคืองกับผิว โดยเฉพาะในผู้ที่มีผิวมันหรือผิวที่มีแนวโน้มเป็นสิวง่าย (Acne-prone skin)
5.สิวอักเสบที่ถูกกระตุ้นด้วยการรับประทานอาหารบางชนิด
อาหารที่รับประทานในแต่ละวันสามารถมีผลต่อการเกิดสิวอักเสบได้ โดยเฉพาะอาหารที่ส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด ฮอร์โมน และการทำงานของต่อมไขมัน หรืออาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลสูง (Glycemic Index – GI) เนื่องจากอาหารต่าง ๆ เหล่านี้สามารถกระตุ้นให้ระดับอินซูลินในร่างกายเพิ่มสูงขึ้นได้ เมื่ออินซูลินสูงขึ้นก็จะกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากขึ้นด้วย ทำให้รูขุมขนอุดตันง่ายขึ้น ส่งผลให้เกิดสิวอักเสบได้มากขึ้น
6.สิวอักเสบที่ถูกกระตุ้นด้วยความเครียดและการพักผ่อน (Stress & Sleep)
ความเครียดเป็นปัจจัยสำคัญที่สามารถกระตุ้นให้เกิดสิวอักเสบได้ เนื่องจากเมื่อร่างกายเกิดความเครียด จะมีการหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ออกมา ซึ่งฮอร์โมนนี้สามารถกระตุ้นให้ต่อมไขมันใต้ผิวหนังผลิตน้ำมันออกมามากขึ้น ทำให้รูขุมขนอุดตันได้ง่าย และนำไปสู่การเกิดสิวอักเสบ นอกจากนี้การพักผ่อนไม่เพียงพอก็มีผลต่อการเกิดสิวเช่นกัน เพราะถ้าหากนอนดึกหรือนอนหลับไม่เพียงพอ ฮอร์โมนในร่างกายอาจเสียสมดุล ทำให้เกิดการผลิตน้ำมันบนผิวเพิ่มขึ้น จนเกิดสิวอักเสบได้
ปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดสิวอักเสบมีหลายสาเหตุ การควบคุมและหลีกเลี่ยงปัจจัยเหล่านี้สามารถช่วยลดโอกาสเกิดสิวอักเสบได้
สิวอักเสบมีกี่ประเภท ?
สิวอักเสบมีหลายประเภท ซึ่งสามารถแบ่งออกได้ตามระดับความรุนแรงและลักษณะของสิวเป็น 4 ประเภท ได้แก่
1.สิวอักเสบประเภทสิวตุ่มแดง (Papules)
สิวตุ่มแดง (Papules) เป็นสิวอักเสบระยะเริ่มต้นที่เกิดจากการอุดตันของรูขุมขนร่วมกับการอักเสบ มักทำให้รู้สึกเจ็บหรือระคายเคืองเมื่อสัมผัส
ลักษณะของสิวอักเสบประเภทสิวตุ่มแดง (Papules)
- สิวอักเสบประเภทสิวตุ่มแดงมักมีลักษณะเป็น ตุ่มเล็กสีแดง หรือชมพู ขนาดประมาณ 1-5 มิลลิเมตร
- สิวอักเสบประเภทสิวตุ่มแดงมักไม่มีหัวหนอง และไม่มีของเหลวภายใน
- สิวอักเสบประเภทสิวตุ่มแดงอาจมีอาการเจ็บหรือระคายเคืองเมื่อลูบหรือสัมผัสได้
สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดสิวอักเสบประเภทสิวตุ่มแดง (Papules)
- สิวอักเสบประเภทสิวตุ่มแดงมักเกิดจากการอุดตันของรูขุมขนจากน้ำมันส่วนเกินและเซลล์ผิวที่ตายแล้ว
- สิวอักเสบประเภทสิวตุ่มแดงมักเกิดจากการสะสมของแบคทีเรีย Cutibacterium acnes (C. acnes)
- สิวอักเสบประเภทสิวตุ่มแดงเกิดได้จากปัจจัยกระตุ้นอื่น ๆ เช่น ฮอร์โมน ความเครียด และการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ก่อให้เกิดการอุดตัน
2.สิวอักเสบประเภทสิวหัวหนอง (Pustules)
สิวหัวหนอง (Pustules) เป็นสิวอักเสบที่เกิดจากการอุดตันของรูขุมขนที่มีการติดเชื้อแบคทีเรีย Cutibacterium acnes (C. acnes) และร่างกายตอบสนองด้วยการส่งเซลล์เม็ดเลือดขาวไปต่อสู้กับเชื้อโรค ทำให้เกิดของเหลวสีขาวหรือเหลืองภายในหัวสิว
ลักษณะของสิวอักเสบประเภทสิวหัวหนอง (Pustules)
- สิวอักเสบประเภทสิวหัวหนองมักมีลักษณะเป็นตุ่มแดงบวม และมีหัวหนองสีขาวหรือเหลืองตรงกลาง
- สิวอักเสบประเภทสิวหัวหนองมักมีขนาดอยู่ระหว่าง 2-6 มิลลิเมตร
- สิวอักเสบประเภทสิวหัวหนองอาจมีอาการเจ็บหรือคันบริเวณที่เป็นสิว
- สิวอักเสบประเภทสิวหัวหนองหากบีบหรือแกะ อาจทำให้การอักเสบลุกลามและเกิดรอยดำหรือแผลเป็น
สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดสิวอักเสบประเภทสิวหัวหนอง (Pustules)
- สิวอักเสบประเภทสิวหัวหนองมักเกิดจากการอุดตันของรูขุมขน
- สิวอักเสบประเภทสิวหัวหนองมักเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายตอบสนองด้วยการส่งเซลล์เม็ดเลือดขาวไปกำจัดเชื้อ ทำให้เกิดหนอง
- สิวอักเสบประเภทสิวหัวหนองมักเกิดจากปัจจัยกระตุ้นจากภายนอก เช่น การใช้ผลิตภัณฑ์ที่อุดตันรูขุมขน การบีบหรือแกะสิว หรือการรับประทานอาหารบางชนิด
3.สิวอักเสบประเภทสิวหัวช้าง (Nodules)
สิวหัวช้าง (Nodules) เป็นสิวอักเสบชนิดรุนแรงที่เกิดลึกลงไปใต้ผิวหนังชั้นหนังแท้ ซึ่งสิวประเภทนี้เกิดจากการอักเสบอย่างรุนแรงของรูขุมขนที่อุดตัน และอาจใช้เวลานานกว่าจะหาย
ลักษณะของสิวอักเสบประเภทสิวหัวช้าง (Nodules)
- สิวอักเสบประเภทสิวหัวช้างมักมีขนาดใหญ่และแข็ง อยู่ลึกใต้ผิวหนัง มักพบในบริเวณที่มีต่อมไขมันเยอะ เช่น กราม คอ และหลัง
- สิวอักเสบประเภทสิวหัวช้างมักไม่มีหัวหนองชัดเจน แต่บางครั้งอาจมีหัวสิวสีแดงเข้มหรือม่วง
- สิวอักเสบประเภทสิวหัวช้างมักเจ็บปวดมาก โดยเฉพาะเมื่อลูบหรือสัมผัส
- สิวอักเสบประเภทสิวหัวช้างใช้เวลานานกว่าจะยุบตัว และมีโอกาสทิ้งรอยดำหรือแผลเป็นลึกได้
สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดสิวอักเสบประเภทสิวหัวช้าง (Nodules)
- สิวอักเสบประเภทสิวหัวช้างมักเกิดจากการอุดตันของรูขุมขนอย่างรุนแรง
- สิวอักเสบประเภทสิวหัวช้างมักเกิดจากแบคทีเรียเจริญเติบโตมากเกินไปในรูขุมขนที่อุดตัน
- สิวอักเสบประเภทสิวหัวช้างมักเกิดจากกรรมพันธุ์และฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลง
4.สิวอักเสบประเภทสิวซีสต์ (Cystic Acne)
สิวซีสต์ (Cystic Acne) เป็น สิวอักเสบชนิดรุนแรงที่สุดที่เกิดลึกลงไปใต้ผิวหนัง ทำให้สิวประเภทนี้มักเจ็บปวดมากและใช้เวลานานกว่าจะหาย และหากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง อาจทิ้งรอยแผลเป็นลึกและรอยดำบนผิวหนัง
ลักษณะของสิวอักเสบประเภทสิวซีสต์ (Cystic Acne)
- สิวอักเสบประเภทสิวซีสต์มักมีลักษณะเป็นก้อนสิวขนาดใหญ่อยู่ลึกใต้ผิวหนัง
- สิวอักเสบประเภทสิวซีสต์มักมีหนองจำนวนมาก สะสมอยู่ภายใน ทำให้สิวดูบวมใหญ่
- สิวอักเสบประเภทสิวซีสต์มักมีสีแดงเข้มหรือม่วงและบางครั้งอาจแตกออกเอง ทำให้หนองไหลออกมา
- สิวอักเสบประเภทสิวซีสต์มักเจ็บปวดมาก และอาจรู้สึกตึงบริเวณที่เป็นสิว
สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดสิวอักเสบประเภทสิวซีสต์ (Cystic Acne)
- สิวอักเสบประเภทสิวซีสต์มักเกิดจากฮอร์โมน โดยเฉพาะในช่วงวัยรุ่น หรือช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน
- สิวอักเสบประเภทสิวซีสต์มักเกิดจากพันธุกรรม หากพ่อแม่เคยเป็นสิวรุนแรง ลูกอาจมีแนวโน้มเป็นสิวประเภทนี้
- สิวอักเสบประเภทสิวซีสต์มักเกิดจากการอักเสบที่ลึกและรุนแรงของรูขุมขน
สิวอักเสบแต่ละประเภทต้องการวิธีรักษาที่แตกต่างกันออกไป และหากมีอาการรุนแรงมาก ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำในการรักษาที่เหมาะสม

สิวอักเสบต่างจากสิวอุดตันยังไง ?
สิวอักเสบ และ สิวอุดตัน เป็นสิวที่เกิดจากกระบวนการอุดตันของรูขุมขนเหมือนกัน แต่แตกต่างกันที่ระดับของการอักเสบและลักษณะของสิว โดยสิวอุดตันเป็นระยะเริ่มต้นของสิวแต่ยังไม่มีการอักเสบ ไม่เจ็บ และสามารถพัฒนาไปเป็นสิวอักเสบได้หากมีการติดเชื้อแบคทีเรีย มีความเสี่ยงต่อการเกิดรอยแผลเป็นหลังการรักษาน้อยกว่าสิวอักเสบ ในขณะที่สิวอักเสบเกิดจากสิวอุดตันที่ติดเชื้อแบคทีเรีย ทำให้เกิดการบวมแดง อาจมีหนอง และเจ็บได้ อีกทั้งยังมีความเสี่ยงต่อการเกิดรอยแผลเป็นหลังการรักษามากกว่า
สิวอักเสบมักขึ้นบริเวณไหนมากที่สุด ?
สิวอักเสบสามารถเกิดขึ้นได้ทุกบริเวณของร่างกายที่มีรูขุมขนและต่อมไขมัน แต่จะพบบ่อยในบริเวณที่มีการผลิตน้ำมันมากเป็นพิเศษ เนื่องจากไขมันส่วนเกินเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้รูขุมขนอุดตันและเกิดสิวอักเสบ โดยบริเวณที่พบสิวอักเสบมากที่สุด ได้แก่
- สิวอักเสบมักพบได้บ่อยที่สุดบริเวณใบหน้า (Face) โดยเฉพาะบริเวณหน้าผาก แก้ม คางและกราม
- สิวอักเสบมักพบได้บริเวณหลัง (Back Acne หรือ Bacne) เนื่องจากเป็นบริเวณที่มีต่อมไขมันขนาดใหญ่ ทำให้เกิดสิวอักเสบได้ง่าย
- สิวอักเสบมักพบได้บริเวณหน้าอก (Chest Acne) เนื่องจากมักเกิดการสะสมของเหงื่อและเกิดการเสียดสีบริเวณนี้บ่อย
- สิวอักเสบมักพบได้บริเวณไหล่และต้นแขน (Shoulders & Upper Arms) เนื่องจากมักเกิดการสะสมของเหงื่อ และเกิดการเสียดสีกับเสื้อผ้า กระเป๋าสะพายบริเวณนี้บ่อย
- สิวอักเสบมักพบได้บริเวณก้น (Butt Acne) จากการใส่เสื้อผ้าที่รัดแน่น เหงื่อสะสม หรือการเสียดสีของผิวหนัง
สิวอักเสบสามารถเกิดได้หลายบริเวณทั่วร่างกาย แต่หากเป็นสิวอักเสบรุนแรงในหลายบริเวณ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม

วิธีการรักษาสิวอักเสบ
การรักษาสิวอักเสบจำเป็นต้องเลือกวิธีที่เหมาะสมกับระดับความรุนแรงของสิวอักเสบที่เป็น และต้องดูแลผิวอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจและลดโอกาสการเกิดรอยแผลเป็นหลังการรักษา โดยวิธีการรักษาสิวอักเสบสามารถทำได้หลายวิธี ดังนี้
1.รักษาสิวอักเสบด้วยการดูแลตนเองเบื้องต้น
การดูแลตนเองเป็นวิธีเบื้องต้นที่ช่วยลดอาการสิวอักเสบและป้องกันการเกิดสิวใหม่ โดยเน้นการทำความสะอาดผิวอย่างถูกต้อง ควบคุมความมัน และลดการอุดตันของรูขุมขน
การรักษาสิวอักเสบด้วยการดูแลตนเองเหมาะสำหรับ
- ผู้ที่มีสิวอักเสบเล็กน้อยถึงปานกลาง
- ผู้ที่ต้องการลดการเกิดสิวโดยไม่ใช้ยาแรง
- ผู้ที่ต้องการปรับพฤติกรรมและดูแลสุขภาพผิวอย่างยั่งยืน
2.รักษาสิวอักเสบด้วยการใช้ยารักษาสิวอักเสบ
การใช้ยาในการรักษาสิวอักเสบเป็นแนวทางที่ช่วยลดการอักเสบ ควบคุมเชื้อแบคทีเรีย และป้องกันการเกิดสิวใหม่ได้ โดยสามารถแบ่งออกเป็น ยาทา (Topical Treatment) และยารับประทาน (Oral Medication)
การรักษาสิวอักเสบด้วยการใช้ยารักษาสิวอักเสบเหมาะสำหรับ
- ผู้ที่มีสิวอักเสบปานกลางถึงรุนแรง
- ผู้ที่ดูแลตัวเองแล้วแต่สิวยังไม่ดีขึ้น
- ผู้ที่ต้องการรักษาสิวให้หายเร็วขึ้นและลดโอกาสเกิดแผลเป็น
- ผู้ที่มีสิวอักเสบจากฮอร์โมน หรือมีแนวโน้มเป็นสิวเรื้อรัง
3.รักษาสิวอักเสบด้วยการฉีดยาสเตียรอยด์เพื่อลดการอักเสบ
การฉีดยาสเตียรอยด์ (Intralesional Corticosteroid Injection) เป็นวิธีที่ช่วยลดการอักเสบของสิวที่มีขนาดใหญ่และเจ็บปวด เช่น สิวหัวช้าง หรือสิวซีสต์
การรักษาสิวอักเสบด้วยการฉีดยาสเตียรอยด์เพื่อลดการอักเสบ เหมาะสำหรับ
- ผู้ที่มี สิวอักเสบรุนแรง เช่น สิวหัวช้าง สิวซีสต์ หรือสิวอักเสบขนาดใหญ่
- ผู้ที่ต้องการ ลดการอักเสบของสิวอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะก่อนโอกาสสำคัญ เช่น งานแต่งงาน หรือการถ่ายรูป
- ผู้ที่ใช้ยาทาหรือยารับประทานแล้วไม่ได้ผล หรือสิวมีแนวโน้มทิ้งรอยแผลเป็น
4.รักษาสิวอักเสบด้วยการทำเลเซอร์รักษาสิว
การทำเลเซอร์รักษาสิวเป็นวิธีที่ช่วยลดการอักเสบ ฆ่าเชื้อแบคทีเรียและลดการผลิตน้ำมันในรูขุมขน โดยใช้พลังงานแสงหรือคลื่นพลังงานเฉพาะที่ช่วยฟื้นฟูผิวและลดรอยแดงจากสิว
การรักษาสิวอักเสบด้วยการทำเลเซอร์รักษาสิวเหมาะสำหรับ
- ผู้ที่มี สิวอักเสบเรื้อรัง และไม่ตอบสนองต่อยาทาหรือยารับประทาน
- ผู้ที่ต้องการ ลดการอักเสบของสิวโดยไม่ใช้ยา
- ผู้ที่มี ผิวมันและมีแนวโน้มเป็นสิวง่าย ต้องการควบคุมความมัน
- ผู้ที่ต้องการลดรอยแดงและรอยดำจากสิวไปพร้อมกัน
5.รักษาสิวอักเสบด้วยการกดสิวและดูดสิวโดยแพทย์
การกดสิวและดูดสิวเป็นกระบวนการกำจัดสิวอุดตันและสิวอักเสบโดยใช้เครื่องมือพิเศษ เช่น ที่กดสิวหรือเครื่องดูดสิวสุญญากาศ เพื่อลดการอุดตันของรูขุมขนและป้องกันการเกิดสิวอักเสบซ้ำ
การรักษาสิวอักเสบด้วยการกดสิวและดูดสิวโดยแพทย์เหมาะสำหรับ
- ผู้ที่มีสิวอุดตัน (Comedonal Acne) เช่น สิวหัวขาว (Whiteheads) และสิวหัวดำ (Blackheads)
- ผู้ที่มีสิวอักเสบขนาดเล็ก ที่เกิดจากสิวอุดตัน เพื่อป้องกันการลุกลาม
- ผู้ที่มีปัญหาผิวมันและรูขุมขนอุดตัน และต้องการลดสิ่งอุดตันในรูขุมขน
- ผู้ที่ต้องการกำจัดสิวโดยไม่มีผลข้างเคียง แทนการบีบหรือแกะสิวเอง ซึ่งอาจทำให้เกิดการอักเสบหรือแผลเป็น
สิวอักเสบบีบออกด้วยตัวเองได้ไหม ?
โดยปกติแล้ว จะไม่แนะนำให้บีบสิวอักเสบ เพราะอาจทำให้การอักเสบรุนแรงขึ้นและเสี่ยงต่อการเกิดรอยแผลเป็นหรือรอยดำหลังสิวหายได้ โดยเหตุผลที่ไม่ควรบีบสิวอักเสบ มีดังนี้
- การบีบสิวอักเสบอาจเพิ่มการอักเสบและการติดเชื้อได้
- การบีบสิวอักเสบอาจทำให้สิวหายช้าลง
- การบีบสิวอักเสบอาจเสี่ยงเกิดรอยดำและหลุมสิวถาวรได้
- การบีบสิวอักเสบอาจกระตุ้นให้เกิดสิวใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม
หากต้องการรักษาสิวอักเสบไม่ควรบีบสิวอักเสบเอง เพราะเสี่ยงต่อการอักเสบ รอยดำ และหลุมสิว แต่หากเป็นสิวหัวหนองและต้องการกำจัดออก ควรทำโดยผู้เชี่ยวชาญเพื่อลดโอกาสเกิดผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต
สิวอักเสบหายแล้วจะกลับมาเป็นอีกไหม ?
สิวอักเสบสามารถกลับมาเป็นซ้ำได้ หากสาเหตุที่ทำให้เกิดสิวยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างเหมาะสม นอกจากนี้ปัจจัยภายนอกต่าง ๆ เช่น ความเครียด อาหารบางชนิด และมลภาวะ ก็อาจกระตุ้นให้เกิดสิวอักเสบซ้ำได้ แม้ว่าสิวจะหายไปแล้วก็ตาม ดังนั้น การดูแลผิวอย่างต่อเนื่อง เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม และปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต จะช่วยลดโอกาสที่สิวอักเสบจะกลับมาเป็นซ้ำได้
วิธีป้องกันการเกิดสิวอักเสบ
วิธีการป้องกันการเกิดสิวอักเสบ เป็นกระบวนการที่ต้องทำอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง โดยเน้นไปที่การดูแลผิวและการปรับพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เพื่อลดปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดสิว โดยวิธีป้องกันการเกิดสิวอักเสบสามารถทำได้ ดังนี้
- ป้องกันการเกิดสิวอักเสบด้วยการรักษาความสะอาดผิวหน้า ด้วยผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่อ่อนโยน ปราศจากสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง เพราะอาจกระตุ้นให้ผิวอักเสบและทำให้สิวอักเสบแย่ลงได้
- ป้องกันการเกิดสิวอักเสบด้วยการเลือกใช้สกินแคร์และเครื่องสำอางที่ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน เพื่อป้องกันสิ่งตกค้างที่อาจทำให้เกิดสิวอุดตันและพัฒนาเป็นสิวอักเสบ
- ป้องกันการเกิดสิวอักเสบด้วยการควบคุมความมันบนใบหน้า สามารถทำได้ด้วยการเลือกใช้สกินแคร์ที่ช่วยควบคุมความมัน การใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่ช่วยลดความมัน เป็นต้น
- ป้องกันการเกิดสิวอักเสบด้วยการลดความเครียดและนอนหลับให้เพียงพอ เพื่อช่วยให้ระบบฮอร์โมนสมดุลและลดโอกาสเกิดสิว
- ป้องกันการเกิดสิวอักเสบด้วยการหลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้าและบีบสิว เพื่อลดการนำเชื้อโรคเข้าสู่รูขุมขนและกระตุ้นให้เกิดสิวอักเสบ
- ป้องกันการเกิดสิวอักเสบด้วยการดูแลสุขภาพจากภายใน เช่น การหลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลสูง, อาหารแปรรูป และนมวัว และเลือกทานอาหารที่ช่วยบำรุงผิว เพื่อช่วยลดการอักเสบของสิว
สิวอักเสบเป็นปัญหาผิวที่พบได้บ่อย โดยสิวอักเสบเกิดจากการอุดตันของรูขุมขน ร่วมกับการติดเชื้อแบคทีเรีย Cutibacterium acnes (C. acnes) ส่งผลให้เกิดการอักเสบ บวมแดง เจ็บปวด และอาจมีหนองขึ้นในที่สุด
ปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดสิวอักเสบมีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นฮอร์โมน ความเครียด การใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว เครื่องสำอางบางชนิด หรือการรับประทานอาหารบางชนิด การหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นเหล่านี้จะช่วยลดโอกาสการเกิดสิวอักเสบได้
อีกทั้งการรักษาสิวอักเสบยังสามารถทำได้หลายวิธีตั้งแต่การรักษาด้วยตัวเอง การรักษาด้วยยา การฉีด กด และการทำเลเซอร์ แต่ทั้งนี้ควรทำควบคู่ไปกับการดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพและลดโอกาสการเกิดรอยแผลเป็นหลังการรักษาได้
*ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวแต่ละบุคคล
*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด