ฉีดโบเพื่ออะไร เห็นผลหรือไม่ ทำไมต้องฉีด ข้อควรรู้ในการฉีดโบ

ฉีดโบ

ฉีดโบลดริ้วรอยทั่วใบหน้าครั้งแรก ต้องรู้อะไรบ้าง? รวมเรื่องฉีดโบริ้วรอยต้องรู้ 

เมื่อเทรนด์ดูแลตัวเองได้รับความนิยมอย่างมาก เป็นยุคสมัยใหม่ที่คนส่วนมากใส่ใจในเรื่องของสุขภาพและความงาม ทำให้กระแสเทรนด์ความงามได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม ซึ่งเทรนด์ความที่ได้รับความนิยมในปัจจุบันนี้คือ “ฉีดโบลดริ้วรอย” เป็นหัตถการแรกที่คนส่วนใหญ่เริ่มเข้าวงการความงาม เนื่องจากปัญหาริ้วรอยบนใบหน้า เช่น ริ้วรอยหน้าผาก ริ้วรอยหางตา ริ้วรอยใต้ตา และริ้วรอยร่องแก้ม ซึ่งสาเหตุของริ้วรอยบนใบหน้าเกิดได้จากหลากหลายสาเหตุ การฉีดโบลดริ้วรอยจึงเป็นหัตถการที่แก้ปัญหาริ้วรอยบนใบหน้า ให้กลับมาเรียบเนียนและตึงกระชับมากขึ้น เห็นผลลัพธ์ได้เร็ว และไม่ต้องพักฟื้น ทั้งนี้การฉีดโบลดริ้วรอยจึงเป็นหัตถการอันดับแรกที่เหมาะสำหรับคนที่อยากลดริ้วรอยที่สุด

 

ฉีดโบลดริ้วรอยทั่วใบหน้า ต้องรู้อะไรบ้าง? รวมเรื่องฉีดโบริ้วรอยที่มือใหม่ต้องรู้ 

 

ฉีดโบลดริ้วรอย คืออะไร ?

 

การฉีดโบลดริ้วรอย เป็นการนำสารพิษที่ได้จากแบคทีเรียที่มีถึง 7 ชนิดด้วยกัน มีคุณสมบัติออกฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อ มีความปลอดภัย ได้รับการรับรองมาตรฐานจาก อย. ช่วยเรื่องลดเลือนริ้วรอยบนใบหน้า ปรับใบหน้าให้เรียวเล็กลง และสามารถใช้เพื่อการรักษาโรคต่าง ๆ เช่น ออฟฟิศซินโดรม ไมเกรน ได้อีกด้วย

ฉีดโบ
ฉีดโบทำงานอย่างไร

ฉีดโบลดริ้วรอย ทำงานอย่างไร ?

  • การทำงานของฉีดโบลดริ้วรอย เป็นสารพิษที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท โดยจะรบกวนระบบประสาทให้ไม่สามารถหลั่งสารสื่อประสาท ทำให้กล้ามเนื้อขาดการรับรู้การสั่งงานจากเซลล์ประสาท ส่งผลให้กล้ามเนื้อไม่สามารถหดตัวได้ตามปกติ ซึ่งหลักการทำงานของการฉีดโบลดริ้วรอย ทำให้มีการฉีดโบเพื่อการลดริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงสีหน้าบริเวณหน้าผาก หางตา ระหว่างคิ้ว รวมไปถึงช่วยลดขนาดของกล้ามเนื้อรูปหน้า ทำให้ใบหน้าดูเรียวเล็กลงอีกด้วย

 

ฉีดโบลดริ้วรอย เลือกยี่ห้อไหนดี ?

  • ปัจจุบันประเทศไทยมีการนำเข้าโบลดริ้วรอยหลากหลายยี่ห้อที่ได้รับความนิยม ซึ่งในแต่ละยี่ห้อมีความแตกต่างกันออกไป ที่รมย์รวินท์คลินิกมียี่ห้อโบลดริ้วรอยทั้งหมด 5 ยี่ห้อ ดังนี้

 

ฉีดโบลดริ้วรอยยี่ห้อ Allergan

 

  • ฉีดโบลดริ้วรอย Allergan เป็นแบรนด์ฉีดโบลดริ้วรอยที่แรกที่คิดค้นนำการฉีดโบเข้ามาใช้ในวงการแพทย์ เพื่อการรักษาโรคที่เกี่ยวกับระบบประสาท ในปัจจุบันการฉีดโบลดริ้วรอยจึงนำมาเพื่อใช้ในการลดเลือนริ้วรอย ปรับรูปหน้า ลดกราม และเป็นแบรนด์โบลดริ้วรอยแรกที่ได้รับการรับรองจาก U.S. FDA ซึ่งผลิตโดยบริษัท Allergan ประเทศสหรัฐอเมริกา

 

จุดเด่นของฉีดโบลดริ้วรอย Allergan มีความบริสุทธิ์มากถึง 99.5% สูงที่สุด เมื่อเทียบกับฉีดโบลดริ้วรอยยี่ห้ออื่น ๆ จึงเหมาะสำหรับการฉีดโบเพื่อแก้ปัญหาริ้วรอยต่าง ๆ บนใบหน้า และปรับหน้าเรียวเล็ก อีกทั้งฉีดโบลดริ้วรอย Allergan โอกาสที่จะเกิดการดื้อยาเกิดขึ้นได้ยากเมื่อฉีดหลายครั้งในอนาคต เนื่องจากตัวยาไม่กระจายเป็นวงกว้าง ออกฤทธิ์ยาได้อย่างแม่นยำ ให้ผลลัพธ์ที่ตรงจุด ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 6-8 เดือน

 

ฉีดโบลดริ้วรอยยี่ห้อ Dysport

 

ฉีดโบลดริ้วรอย Dysport เป็นยี่ห้อที่ผลิตจากประเทศอังกฤษ มีโมเลกุลขนาดเล็ก  มีจุดเด่นคือตัวยามีการกระจายวงกว้าง เมื่อฉีดเข้าไปในบริเวณกล้ามเนื้อ จะไม่รวมตัวกันอยู่ในพื้นที่แคบ เหมาะกับการฉีดลิฟกรอบหน้า หรือฉีดยกกระชับด้วยเทคนิค Dermolift และฉีดบริเวณกล้ามเนื้อมัดใหญ่ เช่น ฉีดโบลดต้นแขน ฉีดโบลดน่อง ฉีดโบริ้วรอยหน้าผาก รวมไปถึงการฉีดโบลดกลิ่นตัว ฉีดโบลดเหงื่อ ให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 4-6 เดือน 

 

อีกจุดแตกต่างที่ทำให้ฉีดโบลดริ้วรอยยี่ห้อ Dysport มีความแตกต่างกับยี่ห้ออื่น คือ การนับจำนวนยูนิต โดยฉีดโบลดริ้วรอย Dysport 300 ยูนิต เทียบเท่ากับ 100 ยูนิตของฉีดโบลดริ้วรอยยี่ห้ออื่น ๆ 

 

ฉีดโบลดริ้วรอยยี่ห้อ Xeomin 

 

ฉีดโบลดริ้วรอยยี่ห้อ Xeomin ผลิตโดยบริษัท MERZ PHARMA GMBH & CO. KGaA จากประเทศเยอรมนี จุดเด่นคือมีโมเลกุลขนาดเล็กเมื่อเทียบกับยี่ห้ออื่น ๆ แต่ยังคงประสิทธิภาพการออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท เนื่องจากใช้กระบวนการผลิต XTRACT Technology™ ในการกำจัดโปรตีนที่ไม่จำเป็นออก ทำให้ขนาดโมเลกุลมีขนาดเล็กลง ทำให้ฉีดโบลดริ้วรอย Xeomin มีความบริสุทธิ์สูง

 

ฉีดโบลดริ้วรอยยี่ห้อ Nabota

 

ฉีดโบลดริ้วรอย Nabota ผลิตโดยบริษัท DAEWOONG จากประเทศเกาหลีใต้ โบลดริ้วรอยเกาหลียี่ห้อเดียวที่ผ่านการรับรองจาก U.S.FDA approved ปี 2018 จุดเด่นคือมีการพัฒนาเพื่อให้ออกฤทธิ์ไว มีความบริสุทธิ์สูง ทำให้เห็นผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงหลังฉีดเร็ว แค่ผลลัพธ์นั้นอยู่ได้ไม่นานเท่ากับฉีดโบลดริ้วรอยของอเมริกา เหมาะสำหรับคนที่ต้องการผลลัพธ์เร็วและคนที่ต้องการลิฟกรอบหน้า

 

ฉีดโบลดริ้วรอยยี่ห้อ Aestox

 

ฉีดโบลดริ้วรอย Aestox  จากประเทศเกาหลี ที่ได้รับการรับรองจากมาตรฐาน อย.เกาหลี (KFDA) มีความบริสุทธิ์ถึง 99.5% จุดเด่นของการฉีดโบลดริ้วรอย Aestox คือ ผลลัพธ์จะมีความเป็นธรรมชาติ เมื่อเทียบกับกลุ่มฉีดโบลดริ้วรอยอื่น ๆ จากประเทศเกาหลี เมื่อฉีดโบลดริ้วรอยต่อเนื่อง จะช่วยให้ผลลัพธ์การฉีดครั้งต่อไปอยู่ได้นานมากขึ้นและปริมาณการฉีดลดน้อยลง

 

ฉีดโบลดริ้วรอย แต่ละยี่ห้อแตกต่างกันอย่างไร ?

 

ฉีดโบลดริ้วรอยมีจุดเด่นและความแตกต่างกันในแต่ละยี่ห้อ ขึ้นอยู่กับกรรมวิธีการทำตัวยาให้มีความบริสุทธิ์ ขนาดของโมเลกุล (Molecule complex) ชนิดของโปรตีน (Protein complex) และความคงทนในการเก็บรักษาขนาดของโมเลกุล (Molecule complex size) คุณสมบัติเหล่านี้ที่ทำให้การฉีดโบลดริ้วรอยมีความแตกต่างกัน ดังนี้

 

ขนาดของโมเลกุลในการฉีดโบลดริ้วรอย (Molecule complex size)

ประกอบไปด้วย 3 ส่วนหลักด้วยกัน คือ

 

  1. ส่วนที่ 1 Accessories protein 

ทำหน้าที่แพร่กระจายตัวยาและปกป้องส่วนของ Heavy chain และ ส่วนของ Light chain จากจุดที่ฉีดโบลดริ้วรอยไปยังปลายเส้นประสาท ได้อย่างปลอดภัยและไม่ถูกทำลาย ซึ่งขนาดของโมเลกุลที่ส่งผลต่อการแพร่กระจาย ดังนี้

  • โมเลกุลกระจายตัวแคบ : ข้อดีคือทำให้สามารถควบคุมการฉีดโบลดริ้วรอยออกมาแม่นยำ ตรงจุด เหมาะกับการฉีดโบลดริ้วรอยที่กล้ามเนื้อโดยตรง ซึ่งมีความเข้มข้นสูง ผลลัพธ์อยู่ได้นานขึ้น แต่การฉีดโบลดริ้วรอยชนิดนี้ให้ได้ผลลัพธ์ที่ออกมาเป็นธรรมชาติ ต้องอาศัยแพทย์ที่มากประสบการณ์ เนื่องจากอาจเกิด ยิ้มแข็ง คิ้วกระดก แก้มตอบ ได้
  • โมเลกุลกระจายตัวกว้าง : เป็นการฉีดที่ช่วยให้ผลลัพธ์ของการฉีดโบลดริ้วรอยดูเป็นธรรมชาติ เหมาะกับเทคนิค Dermolift โดยมีข้อดี คือ ออกฤทธิ์ไว เหมาะกับคนที่ต้องการผลลัพธ์การฉีดโบหน้ากระชับแบบรวดเร็ว และเหมาะกับการฉีดโบลดต้นแขน ลดน่องในบริเวณกว้าง 

 

  1. ส่วนที่ 2 Heavy chain 

ทำหน้าที่พาส่วนของ Light chain เข้าสู่เซลล์เส้นประสาท

 

  1. ส่วนที่ 3 Light chain 

เป็นส่วนหนึ่งของ สารที่ออกฤทธิ์ระงับการทำงานของกล้ามเนื้อ

 

ความบริสุทธิ์ของโบลดริ้วรอย

 

การฉีดโบลดริ้วรอย คือ โปรตีน (Protein) ชนิดหนึ่ง เมื่อฉีดโบลดริ้วรอยเข้าไปภายในร่างกาย จะสามารถสลายได้หมด 100% โดยไม่เป็นอันตราย แต่ในร่างกายของบางคน จะเกิดการสร้างภูมิต้านทานขึ้นมา ทำให้เกิดการดื้อโบลดริ้วรอย เมื่อดื้อโบลดริ้วรอยจะทำให้ตัวยาที่ฉีดเข้าไปไม่ออกฤทธิ์

 

ซึ่งการดื้อโบสามารถเกิดได้จาก Accessories protein, Heavy chain และ Light chain โดยปกติ  Light chain ในโบลดริ้วรอยจะมีความคล้ายคลึงกันทุกยี่ห้อ เพราะเป็นสารออกฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อชนิดเอ เหมือนกัน แต่แตกต่างกันที่สายพันธุ์เล็กน้อย ซึ่งส่วน Accessories protein และ Heavy chain แตกต่างกัน ดังนี้

  • โบลดริ้วรอยยี่ห้อ Allergan : มีงานวิจัยรับรองที่ยาวนานที่สุด กว่า 3,500 งานวิจัย (since 1989) จึงน่าเชื่อถือได้ว่าชนิดของโปรตีน (protein complex) ส่วน Accessories protein และ Heavy chain นี้ผ่านการพัฒนามาเพื่อทำให้โอกาสดื้อโบลดริ้วรอยน้อยที่สุด และผลการรักษาดีที่สุด เมื่อเทียบกับโบลดริ้วรอยยี่ห้ออื่น ๆ
  • โบลดริ้วรอยยี่ห้อ Xeomin : เป็นการพัฒนาข้อดีของยี่ห้อ Allergan กับ Dysport มามัดรวมกันโดยที่คุณสมบัติต่าง ๆ จะอยู่กึ่งกลาง มีความบริสุทธิ์สูง และตัวยาที่ไม่กระจุกตัวแคบมากจนเกินไป
  • โบลดริ้วรอยยี่ห้อ Dysport : เป็นการเน้นพัฒนาแค่ส่วน Heavy chain เท่านั้น โดยเชื่อว่า การลด Accessories protein จะทำให้โอกาสในการดื้อโบลดริ้วรอยน้อยลง และช่วยให้ในส่วนของ Light chain ออกฤทธิ์ระงับกล้ามเนื้อได้เร็วมากยิ่งขึ้น
  • โบลดริ้วรอยยี่ห้อ Nabota : จุดเด่นคือการเน้นให้ออกฤทธิ์เร็วกว่าโบลดริ้วรอยเกาหลียี่ห้ออื่นเล็กน้อย เหมาะกับคนที่ต้องการผลลัพธ์โบลดริ้วรอยแบบเร่งด่วน รวดเร็ว
ฉีดโบ
ฉีดโบเหมาะกับใคร

ฉีดโบลดริ้วรอย เหมาะกับใครบ้าง?

ฉีดโบลดริ้วรอยเป็นหัตถการที่เหมาะกับผู้ที่ต้องการแก้ปัญหาริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงสีหน้า และการแสดงอารมณ์ต่าง ๆ เช่น ริ้วรอยหางตา ริ้วรอยบริเวณหน้าผาก รวมไปถึงริ้วรอยเล็ก ๆ รอบดวงตาและรอบริมฝีปาก ป้องกันการเกิดริ้วรอยใหม่ในอนาคต นอกจากนี้การฉีดโบลดริ้วรอยยังเหมาะกับผู้ที่ต้องการยกคิ้ว ทำให้ดวงตาโตขึ้น แลดูอ่อนเยาว์ ซึ่งการฉีดโบลดริ้วรอย สามารถเห็นผลลัพธ์เร็ว ไม่ต้องพักฟื้นนาน และมีความปลอดภัยสูง

ฉีดโบ
ข้อดีของการฉีดโบ

โบลดริ้วรอย มีข้อดีอย่างไร?

ข้อดีของการฉีดโบลดริ้วรอย มีดังนี้

  • ฉีดโบลดริ้วรอย ช่วยให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ ริ้วรอยดูจางลง เป็นหัตถการที่ใช้เวลาในการรักษารวดเร็ว หลังฉีดโบสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ
  • ฉีดโบลดริ้วรอย ช่วยให้รูปลักษณ์และบุคลิกดูดีมากขึ้น เพิ่มความมั่นใจ เนื่องจากรอยเหี่ยวย่นยับบนใบหน้า เป็นการบ่งบอกถึงอายุที่เพิ่มมากขึ้น เป็นสาเหตุที่ทำให้ใบหน้าไม่เรียบเนียนและไม่สดใส
  • ฉีดโบลดริ้วรอย ช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยในอนาคต เนื่องจากการออกฤทธิ์ของโบลดริ้วรอยในช่วง 3-4 เดือน ทำให้สามารถป้องกันการเกิดริ้วรอยใหม่ กล้ามเนื้อบนใบหน้าทำงานน้อยลง
  • ฉีดโบลดริ้วรอย ป้องกันการเกิดของริ้วรอยเส้นเล็ก ๆ บนใบหน้า
ฉีดโบ
ฉีดโบตรงไหนได้บ้าง

โบลดริ้วรอย ฉีดบริเวณไหนได้บ้าง?

  • ฉีดโบลดริ้วรอยหน้าผาก

 

การฉีดโบลดริ้วรอยหน้าผาก ช่วยแก้ปัญหาริ้วรอยเหี่ยวย่น ที่เกิดจากการแสดงสีหน้าและอารมณ์ ซึ่งการฉีดโบลดริ้วรอยบริเวณหน้าผาก เป็นจุดที่ใกล้กับดวงตา หากฉีดไปถูกเส้นเลือด อาจเกิดอันตรายต่อดวงตาได้ ดังนั้นการฉีดโบลดริ้วรอยหน้าผาก ควรฉีดโดยแพทย์ที่มากประสบการณ์ และมีความชำนาญในเทคนิคการฉีดโบลดริ้วรอยหน้าผากที่ถูกต้อง

 

  • ฉีดโบลดริ้วรอยระหว่างคิ้ว

 

ริ้วรอยระหว่างคิ้ว เป็นบริเวณที่เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นง่ายที่สุด และเป็นจุดสังเกตแรกที่คนส่วนใหญ่เห็นชัดเจน การฉีดโบลดริ้วรอยระหว่างคิ้วจะช่วยยับยั้งการหดตัว ทำให้ผิวหนังส่วนบนมีความเรียบเนียนขึ้น ซึ่งตำแหน่งบริเวณระหว่างคิ้วนั้น เป็นบริเวณที่มีเส้นประสาทจำนวนมาก เพื่อความปลอดภัย ควรฉีดโดยแพทย์ที่มากประสบการณ์ และมีความชำนาญในเทคนิคการฉีด

 

  • ฉีดโบลดริ้วรอยหางตา

 

ปัญหาริ้วรอยรอบดวงตาและหางตา เป็นปัญหาริ้วรอยที่เกิดจากอายุที่เพิ่มมากขึ้น หรืออาจมีปัญหาถุงใต้ตาร่วมด้วย ทำให้ใบหน้าดูมีอายุ ไม่สดใส ซึ่งการฉีดโบลดริ้วรอยหางตา จะทำให้กล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดเกิดการคลายตัวชั่วคราว สามารถช่วยให้ริ้วรอยลดลงได้

 

  • ฉีดโบลดริ้วรอยใต้ตา

 

บริเวณใต้ตาเป็นจุดที่เกิดริ้วรอยเล็ก ๆ ง่ายที่สุด และมักจะเกิดริ้วรอยก่อนบริเวณอื่น ๆ ใบหน้า การฉีดโบลดริ้วรอยใต้ตาจะช่วยให้กล้ามเนื้อบริเวณใต้ตาคลายตัวชั่วคราว ทำให้ริ้วรอยรอบบริเวณดวงตาลดลง ซึ่งการฉีดโบลดริ้วรอยใต้ตานั้นหากฉีดใบปริมาณที่มากจนเกินไป

 

  • ฉีดโบลดร่องแก้ม

 

ปัญหาร่องแก้ม มักเกิดจากการยิ้มบ่อย ๆ จนกล้ามเนื้อที่ดึงร่องแก้มแข็งแรงจนเกินไป ซึ่งการฉีดโบลดร่องแก้มไม่ควรแก้ด้วยการฉีดโบ 100% เนื่องจากทำให้การยิ้มดูแข็งและไม่เป็นธรรมชาติ แนะนำว่าให้ใช้ฉีดโบลดร่องแก้ม 50% และแก้ด้วยการเติมฟิลเลอร์เทคนิค Myomodulation จะช่วยให้ร่องแก้มตื้นขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ เทคนิคนี้เรียกว่า การใช้ฟิลเลอร์ฉีดหนุนกล้ามเนื้อ หรือฉีดกดกล้ามเนื้อ สามารถควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อได้บางส่วน ทำให้ผลลัพธ์ออกมาดูเป็นธรรมชาติ และอยู่ได้นานมากกว่า

 

  • ฉีดโบลิฟกรอบหน้า

 

การฉีดโบลิฟกรอบหน้า จะช่วยให้บริเวณกรอบหน้ามีความยกกระชับขึ้น ช่วยให้ใบหน้าคมขึ้น เพิ่มมิติให้แก่ใบหน้า โดยเทคนิคของการฉีดโบลิฟกรอบหน้ามีทั้งหมด 2 แบบด้วยกัน ดังนี้

ฉีดโบ
ฉีดโบต้องฉีดเท่าไร

ฉีดโบลดริ้วรอย แต่ละจุดฉีดกี่ยูนิต ?

การฉีดโบลดริ้วรอยในแต่ละบุคคลอาจใช้ปริมาณการฉีดโบที่ไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับปัญหา ความต้องการ และการประเมินของแพทย์ ซึ่งการฉีดโบลดริ้วรอยตำแหน่งต่าง ๆ ใช้ปริมาณ ดังนี้

  • ฉีดโบลดริ้วรอย บริเวณหน้าผาก ใช้ประมาณ 30 ยูนิต
  • ฉีดโบลดริ้วรอย บริเวณระหว่างคิ้ว ใช้ประมาณ 25 ยูนิต
  • ฉีดโบลดริ้วรอย บริเวณหางตา ใช้ประมาณ 25 ยูนิต
  • ฉีดโบลิฟกรอบหน้า ใช้ประมาณ 30-50 ยูนิต

 

การดูแลตัวเองก่อน-หลังฉีดโบลดริ้วรอย

การเตรียมตัวก่อนฉีดโบลดริ้วรอย

  • ก่อนฉีดโบลดริ้วรอย ควรศึกษาข้อมูลที่เกี่ยวกับการฉีดโบลดริ้วรอยอย่างละเอียด เช่น ศึกษายี่ห้อโบลดริ้วรอยยี่ห้อต่าง ๆ เป็นต้น
  • ก่อนฉีดโบลดริ้วรอย ควรเลือกฉีดกับคลินิกที่ได้มาตรฐาน และฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์เท่านั้น
  • ก่อนฉีดโบลดริ้วรอย งดยาหรือวิตามินประเภทที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์
  • ก่อนฉีดโบลดริ้วรอย งดสครับบริเวณใบหน้า 2-3 วัน 
  • ก่อนฉีดโบลดริ้วรอย งดยากลุ่มแก้ปวด หรือยากลุ่มยาต้านการอักเสบ อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์
  • ก่อนฉีดโบลดริ้วรอย งดดื่มแอลกอฮอล์ เป็นระยะเวลา 24 ชั่วโมง

 

ขั้นตอนการฉีดโบลดริ้วรอย

 

  • ปรึกษาแพทย์เพื่อทำการประเมินรูปหน้า สภาพผิว และปัญหาของแต่ละบุคคล
  • แพทย์จะเลือกยี่ห้อของโบลดริ้วรอยให้เหมาะสมกับปัญหาของแต่ละบุคคล
  • แพทย์จะเริ่มฉีดโบลดริ้วรอยในตำแหน่งที่ต้องการรักษา โดยใช้ระยะเวลา 30 นาทีโดยประมาณ
  • หลังจากแพทย์ฉีดโบลดริ้วรอยเสร็จเรียบร้อยแล้ว แพทย์จะทำการแนะนำข้อควรปฏิบัติตัวดูแลตัวเองหลังฉีดโบ ทั้งนี้ควรปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

 

การดูแลตัวเองหลังฉีดโบลดริ้วรอย

 

  • หลังฉีดโบลดริ้วรอย ควรขยับเกร็งกล้ามเนื้อบริเวณนั้นทันที 1-2 ครั้ง เพื่อให้โบลดริ้วรอยถูกเซลล์ประสาทดูดซึมเข้าไปมากที่สุด
  • หลังฉีดโบลดริ้วรอย หลีกเลี่ยงความร้อนทุกชนิดและกิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีด อย่างน้อย 48 ชั่วโมง
  • หลังฉีดโบลดริ้วรอย ห้ามนอนราบ 3 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการไหลของโบลดริ้วรอย
  • หลังฉีดโบลดริ้วรอย งดสูบบุหรี่ งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด อย่างน้อย 48 ชั่วโมง
  • หลังฉีดโบลดริ้วรอย งดอาหารรสจัด รสเผ็ด แสบร้อนจนหน้าแดง อย่างน้อย 48 ชั่วโมง

 

คำถามพบบ่อยของโบลดริ้วรอย

 

ฉีดโบลดริ้วรอย มีผลข้างเคียงอย่างไร ?

 

การฉีดโบลดริ้วรอยอาจมีผลข้างเคียงหลังฉีด เช่น รู้สึกเมื่อยหรือรู้สึกตึงบริเวณที่ฉีด เป็นอาการปกติที่ไม่อันตราย ส่วนผลข้างเคียงที่อันตราย มักเกิดจากการฉีดกับหมอกระเป๋า การใช้โบลดริ้วรอยราคาถูก หรือใช้โบลดริ้วรอยที่ไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งผลข้างเคียงอันตราย มีดังนี้

  • การอักเสบติดเชื้อหลังฉีด กรณีนี้เกิดจากการเลือกฉีดโบลดริ้วรอยกับคลินิกที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือหมอกระเป๋า ที่ไม่มีระบบการดูแลความสะอาดและปลอดเชื้อ
  • หนังตาตก มุมปากเบี้ยว หน้าแข็ง เกิดจากใช้เทคนิคที่ผิดในฉีดโบลดริ้วรอย ประเมินปริมาณโบลดริ้วรอยไม่เหมาะสม และฉีดโบลดริ้วรอยไม่ถูกตำแหน่ง เช่น ฉีดโบลดริ้วรอยใกล้เปลือกตาด้านบน เพื่อแก้ปัญหาริ้วรอยรอบดวงตา ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณหนังตาอ่อนแรง และหนังตาตกลงมา เป็นต้น

 

ฉีดโบลดริ้วรอย กี่วันเห็นผลลัพธ์ ?

 

หลังฉีดโบลดริ้วรอย โบลดริ้วรอยจะเริ่มออกฤทธิ์หลังฉีด 3-4 วัน และโบลดริ้วรอยจะให้ผลลัพธ์เต็มที่ประมาณ 1-2 สัปดาห์ ไม่ว่าจะเป็น การฉีดโบลดริ้วรอยหน้าผาก หางตา ระหว่างคิ้ว หรือ ใต้ตา เป็นต้น โดยผลลัพธ์จะคงอยู่ได้นานประมาณ 4-6 เดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการดูแลตนเองหลังฉีดโบลดริ้วรอยในแต่ละบุคคล

 

ฉีดโบลดริ้วรอย บ่อยได้แค่ไหน ?

 

ในการฉีดโบลดริ้วรอยเพื่อรักษาผลลัพธ์ ไม่ควรฉีดบ่อยจนมากเกินไป อย่างน้อยควรเว้น 3 เดือน แต่ไม่ควรเว้นนานเกิน 5-6 เดือน เพราะจะทำให้กล้ามเนื้อบริเวณใบหน้ากลับมาทำงานได้ตามปกติ และอาจทำให้ต้องใช้ปริมาณของโบลดริ้วรอยเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย

 

ฉีดโบลดริ้วรอย ใช้กี่ยูนิต ?

 

การฉีดโบลดริ้วรอย โดยส่วนใหญ่จะเริ่มต้นที่ 25 ยูนิต ซึ่งการฉีดโบลดริ้วรอยในแต่ละบริเวณจะพิจารณาจากยี่ห้อโบลดริ้วรอยและปริมาณที่ใช้ โดยแพทย์จะเป็นผู้ประเมินตามความเหมาะสมในแต่ละบุคคล

 

ฉีดโบลดริ้วรอย ดีไหม ?

 

การฉีดโบลดริ้วรอยจะช่วยในการรักษาริ้วรอยบนใบหน้าและปกป้องการเกิดริ้วรอยใหม่ ที่เกิดจากการแสดงสีหน้าและการแสดงอารมณ์ต่าง ๆ รวมไปถึงอายุที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้ใบหน้ามีความอ่อนเยาว์ และนอกจากนี้การฉีดโบลดริ้วรอยทำให้ผิวมีความตึงกระชับขึ้นแล้ว ยังสามารถช่วยลดเหงื่อ ลดกล้ามเนื้อบริเวณต้นแขน และลดกล้ามเนื้อน่องได้อีกด้วย

 

ดื้อโบลดริ้วรอย คืออะไร ? 

 

ดื้อโบลดริ้วรอย  คือ ภาวะที่ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันขึ้น มาทำลายตัวยาโบลดริ้วรอยที่ฉีดเข้าไป เพราะมองว่าเป็นสารแปลกปลอมที่เข้ามาร่างกาย ส่งผลให้การฉีดโบลดริ้วรอยแล้วไม่เห็นผลลัพธ์ หรือถ้าเห็นผลลัพธ์ ก็จะเห็นผลลัพธ์ได้น้อยมาก และการออกฤทธิ์ของโบลดริ้วรอยจะเสื่อมไวกว่าปกติ จากเดิมที่ออกฤทธิ์ได้ 4 – 6 เดือน ก็อาจอยู่ได้เพียง 1 – 2 เดือน เท่านั้น

 

ดื้อโบลดริ้วรอย สาเหตุมาจากอะไร ?

 

อาการดื้อโบลดริ้วรอยมี 3 สาเหตุ ดังนี้

  • ฉีดโบลดริ้วรอยปริมาณมาก หรือถี่เกินไป : โดยปกติการฉีดโบลดริ้วรอย ควรเว้นระยะห่างการฉีดในแต่ละครั้งประมาณ 3 – 4 เดือนขึ้นไป เพื่อรอให้โบลดริ้วรอยที่ฉีดไปล่าสุด เสื่อมฤทธิ์ลงก่อน เพราะหากฉีดโบลดริ้วรอยถี่เกินไป อาจทำให้เกิดอาการดื้อโบลดริ้วรอยได้
  • ฉีดโบลดริ้วรอยปลอม หรือโบลดริ้วรอยที่ไม่ได้มาตรฐาน : การฉีดโบลดริ้วรอยที่ไม่ได้มาตรฐาน ไม่มีการควบคุมอุณหภูมิของตัวยา อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอาการแพ้โบลดริ้วรอยได้
  • เกิดจากระบบภูมิคุ้มกัน : ในบางกรณี ร่างกายจะมีการสร้างภูมิคุ้มกันออกมา เพื่อต่อต้านโบลดริ้วรอยมากกว่าปกติ ทำให้การฉีดโบลดริ้วรอยครั้งต่อไปไม่ได้ผลลัพธ์ หรือเห็นผลลัพธ์น้อยกว่าปกติ

 

ฉีดโบลดริ้วรอย แล้วทำหัตถการอื่นได้ไหม ?

 

การฉีดโบลดริ้วรอยสามารถทำพร้อมกับหัตถการอื่นได้ เช่น การฉีดฟิลเลอร์ การทำเครื่องยกกระชับ เป็นต้น เนื่องจากเป็นการแก้ปัญหาคนละส่วน โดยแพทย์จะเป็นผู้ประเมินสภาพผิวและปัญหาผิวในแต่ละบุคคลก่อน เพื่อวางแผนการทำหัตถการว่า ควรทำหัตถการไหนก่อน และควรเว้นระยะเวลาในการทำแต่ละหัตถการเท่าไหร่

 

สรุปการฉีดโบลดริ้วรอยทั่วหน้า เพื่อแก้ปัญหาริ้วรอย

 

การฉีดโบลดริ้วรอย เป็นทางเลือกที่จะช่วยแก้ปัญหาริ้วรอยแห่งวัยบนใบหน้า ที่เกิดจากการแสดงสีหน้าและอารมณ์ หรือริ้วรอยที่มาจากอายุที่เพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้โบลดริ้วรอย ยังสามารถใช้ในทางการแพทย์เพื่อรักษาโรคบางชนิดอีกด้วย เช่น โรคไมเกรน ภาวะกล้ามเนื้อหดเกร็ง เป็นต้น

 

สำหรับใครที่ต้องการแก้ปัญหาริ้วรอยด้วยการฉีดโบลดริ้วรอย ทางรมย์รวินท์คลินิกมีบริการฉีดโบลดริ้วรอยเพื่อช่วยแก้ปัญหาผิวดูมีอายุ ให้กลับมาอ่อนเยาว์อีกครั้ง ซึ่งทางรมย์รวินท์คลินิกพร้อมให้คำปรึกษา และพร้อมให้บริการด้านข้อมูลที่เกี่ยวกับโบลดริ้วรอย เพื่อผลลัพธ์ที่ดีอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด

บอกลาหุ่นย้วยด้วย Oligio Body จบปัญหาผิวหย่อนคล้อย พร้อมสลายไขมัน

Oligio Body

ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




    วันที่สะดวกในการติดต่อ





    บอกลาหุ่นย้วยด้วย Oligio Body จบปัญหาผิวหย่อนคล้อย พร้อมสลายไขมัน

    ปัญหาผิวหย่อนคล้อย ผิวไม่กระชับ ไขมันสะสมเยอะ อาจจะทำให้หลาย ๆ คนนั้นรู้สึกไม่มั่นใจได้ ซึ่งในปัจจุบัน การยกกระชับผิวกาย และการสลายไขมันสามารถทำได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็น การออกกำลังกาย การเลือกรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ รวมไปถึงการใช้ตัวช่วย ในการกระชับผิวกายอย่าง เครื่อง Oligio Body ที่สามารถยกกระชับผิวกาย สลายไขมัน และสามารถช่วยแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด  ที่สำคัญยังไม่เป็นอันตรายอีกด้วย

    Oligio Body

    ทำความรู้จักกับ Oligio Body ยกกระชับผิวกาย

    หลายคนอาจจะมีความสงสัยว่าเครื่อง Oligio Body คืออะไร ช่วยยกกระชับผิวกาย ลดไขมันได้หรือไม่ ? ซึ่ง Oligio เป็นโปรแกรมยกกระชับที่โด่งดังเรื่องการยกกระชับรูปหน้า และสร้างคุณภาพผิว แต่ความจริงแล้ว Oligio ไม่ใช่ทำได้แค่ใบหน้าเพียงเท่านั้น ยังสามารถทำที่บริเวณร่างกายได้ด้วย Oligio เป็นเครื่องยกกระชับผิวกายที่ผลิตจากบริษัท Wontech ใช้พลังงานคลื่นวิทยุความถี่สูง Monopolar RF ยิงเข้าสู่ชั้นผิวหนัง 4.3 มิลลิเมตร โดยพลังงานสามารถลงได้ลึกถึงชั้นผิวหนังแท้ (Dermis)  และยังถูกพัฒนาให้สามารถปล่อยพลังงานได้อย่างต่อเนื่อง และมีความแม่นยำเป็นอย่างมาก โดย Oligio Body จะสามารถเห็นผลลัพธ์หลังทำได้ทันที ถึง 20-30% หลังจากนั้นจะค่อย ๆ เห็นผลได้ชัดเจนหลังทำ 3 เดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลของแต่ละบุคคลที่ทำด้วย

    เนื่องจากตัวเครื่อง Oligio Body นั้นจะเข้าไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและเส้นใยอีลาสตินใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวที่มีความหย่อนคล้อยกลับมากระชับ รูขุมขนดูเล็กลง ลดริ้วรอยร่องลึก และริ้วรอยเล็ก ๆ พร้อมช่วยคืนความแข็งแรงให้ผิวดูเด้ง อิ่มฟู สุขภาพดี นอกจากนี้ Oligio Body ยังช่วยในเรื่องยกกระชับผิวกาย ลดสัดส่วนเฉพาะจุด สลายไขมันส่วนเกินใต้ชั้นผิว กระชับสัดส่วน ไม่ว่าจะเป็น บริเวณกรอบหน้า เหนียง หน้าท้อง ต้นแขน ต้นขา หรือบริเวณร่างกายอีกด้วย โดยการทำ Oligio Body 1 ครั้ง อยู่ได้นานถึง 1 ปี สามารถทำครั้งต่อไปได้ตั้งแต่เดือนที่ 4-6 เดือน เพื่อผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ

    การทำงานของ Oligio Body

    Oligio Body ยกกระชับผิวกาย เป็นการใช้เทคโนโลยีคลื่นความถี่สูง 6.78 MHz ที่สามารถปรับได้ 3 โหมด คือ โหมดเดี่ยว โหมดคู่ และโหมดอัตโนมัติ ยิงลงลึกสู่ชั้นผิว 3 mm. โดยคลื่นจะเข้าไปกระตุ้นการทำงานของชั้นผิวหนังแท้ (Dermis) และชั้นไขมัน (Fat) ทำให้ผิวดูกระชับมากขึ้น ทั้งยังเข้าไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนังให้มากขึ้น ให้คอลลาเจนที่สร้างใหม่นั้นมีระเบียบ Oligio Body นั้นจะใช้ความร้อนจากหัว Tips ที่มีลักษณะเป็นหัวเข็ม ส่งพลังงานเข้าไปยังชั้นผิวหนัง ทำให้คลื่นมีความสม่ำเสมอและแม่นยำ ทำให้ผิวหลังทำนั้นมีความยืดหยุ่น หนาแน่น กระชับ ทั้งยังช่วยสลายไขมัน ทำให้ชั้นไขมันบางลง สัดส่วนดูชัดเจนขึ้น

    Oligio Body ยกกระชับผิวกาย มีเทคโนโลยีที่จะช่วยตรวจสอบอุณหภูมิผิว มีระบบทำความเย็นอัจฉริยะ และมีระบบตรวจจับแรงกดที่มีความแม่นยำ ที่ช่วยปล่อยลมเย็นออกมาในระหว่างทำอย่างอัตโนมัติ ช่วยลดความเสี่ยงในการสะสมค่าพลังงานความร้อนใต้ผิวที่มากเกินไป ทั้งยังทำให้ช่วยลดโอกาสผิวถูกเผาไหม้อีกด้วย 

    ทคนิค Fast Moving Technique เฉพาะ Oligio Body ยกกระชับผิวกาย

    ความพิเศษของ Oligo คือการมีเทคนิค Fast Moving Technique เป็นเทคนิคเฉพาะที่ออกแบบมาเพื่อทำการยกกระชับด้วย Oligio เท่านั้น เพื่อการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงสุด เนื่องจากพลังงานที่ลงสู่ชั้นผิวโดยเครื่อง Oligio Body นั้นจะลงสู่ชั้นผิวที่เท่ากันอย่างแม่นยำ ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าเดิม

    เทคนิค Fast Moving Technique เป็นเทคนิคเฉพาะที่ใช้กับ Oligio Body เพื่อยกกระชับผิวกายอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยมีคุณสมบัติที่โดดเด่นหลายประการ ดังนี้

    1. Pain Relief : Oligio Body มาพร้อมกับระบบสั่นสะเทือนที่ช่วยลดความเจ็บปวดระหว่างการรักษา และยังมีระบบปล่อยพลังงานความเย็นที่ช่วยปกป้องผิวชั้นนอก ทำให้ผู้เข้ารับการรักษารู้สึกสบายมากขึ้น และไม่ต้องพักฟื้นหลังการทำ สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติทันที
    2. Faster Treatment : ฟังก์ชั่น Auto ของ Oligio Body ช่วยประหยัดเวลาในการทำยกกระชับผิวกาย โดยจำนวน 600 shots ใช้เวลาเพียง 20-30 นาที และ 300 shots ใช้เวลาเพียง 10-15 นาทีเท่านั้น
    3. Safe Treatment : Oligio Body มีระบบวัดอุณหภูมิผิวแบบ Real Time หากอุณหภูมิสูงกว่า 43 องศาเซลเซียส เครื่องจะหยุดทำงานทันที เพื่อช่วยลดความเสี่ยงจากการไหม้ (Burn) รวมถึงมีระบบตรวจสอบแรงกด เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาจากหัวทิปไม่แนบผิว
    4. Convenience : เครื่อง Oligio Body มีการทำงานทั้งหมด 3 โหมด ได้แก่ ระบบ Single, ระบบ Double, และระบบ Auto ซึ่งช่วยให้แพทย์นั้นสามารถใช้รักษาได้อย่างแม่นยำ และแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุดขึ้น 

    Oligio Body

    ทำความเข้าใจผิวหย่อนคล้อย เกิดจากอะไร

    ผิวหย่อนคล้อย คือ สภาพผิวที่เกิดการเปลี่ยนแปลงส่งผลให้ผิวดูไม่เรียบเนียน ไม่กระชับมีความหย่อนยาน และทำให้เกิดริ้วรอยขึ้น ทั้งบริเวณใบหน้า และทั่วร่างกาย ส่งผลให้ผิวดูไม่สุขภาพดี ดูแก่กว่าวัย ซึ่งผิวหย่อนคล้อยนั้นเกิดจากคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ผิวนั้นมีการผลิตลดลง ทำให้เซลล์สูญเสียความกระชับ ซึ่งเกิดได้จากหลายปัจจัย ดังนี้

    1. อายุที่เพิ่มขึ้น

    ยิ่งอายุมากขึ้นร่างกายของเราจะยิ่งมีการผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินลดลง ทำให้ผิวเริ่มเสื่อมสภาพลง จึงทำให้ผิวมีความหย่อนคล้อย ไม่กระชับ และเกิดริ้วรอยได้ชัดเจน

    1. การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน 

    ฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) เป็นฮอร์โมนที่ช่วยทำให้ผิวดูกระชับ เรียบเนียน ดูสุขภาพดี ซึ่งร่างกายนั้นจะผลิตในช่วงวัยรุ่น เมื่ออายุมากขึ้นจึงเริ่มผลิตลดลง

    1. รังสียูวีในแสงแดด และมลภาวะต่าง ๆ

    รังสียูวีในแสงแดด และมลภาวะต่าง ๆ จะเข้าไปทำลายเส้นใยคอลลาเจน และอีลาสตินภายในผิว ทำให้ผิวขาดความยืดหยุ่น เกิดความหย่อนคล้อย และริ้วรอยตามมา ทั้งยังกระตุ้นการเกิดอนุมูลอิสระภายในร่างกายอีกด้วย

    1. ความเครียด

    เมื่อเกิดความเครียดร่างกายจะมีการหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งจะเข้าไปทำลายคอลลาเจนในชั้นผิว และลดการผลิตคอลลาเจนตามธรรมชาติ  ส่งผลให้ผิวดูหย่อนคล้อย ไม่กระชับ มีริ้วรอย และผิวดูโทรม

    1. การพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ

    หากนอนหลับไม่เพียงพอร่างกายจะทำการหลั่งโกรทฮอร์โมน (Growth Hormone) ออกมาได้น้อย ทำให้เกิดปัญหาผิวหย่อนคล้อย เหี่ยวย่น และระบบเผาผลาญทำงานได้ไม่ดี จึงอาจส่งผลให้ผิวดูหมองคล้ำ แห้งกร้าน รวมถึงอ้วนขึ้นได้

    การยกกระชับผิวกาย และการสลายไขมันสามารถทำได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็น การออกกำลังกาย การเลือกรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และการใช้ตัวช่วย อย่าง Oligio Body ยกกระชับผิวกาย สลายไขมัน ที่สามารถช่วยแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด  ทั้งยังไม่เป็นอันตรายอีกด้วย

    Oligio Body ทำส่วนไหนได้บ้าง

    Oligio Body ยกกระชับผิวกาย สามารถทำได้หลายส่วนด้วยกัน เพราะนอกจากจะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวให้เป็นระเบียบแล้วนั้น ยังช่วยยกกระชับผิวกาย ลดไขมันสะสมในร่างกาย กระชับสัดส่วน และยังไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ดังนี้

    •  หน้าผาก Oligio Body จะช่วยลดริ้วรอยร่องเล็ก ๆ บนหน้าผาก
    • รอบดวงตาและหางตา บริเวณที่มีริ้วรอย ตีนกา ถุงใต้ตา และปัญหาหางตาตก ทำให้ยกกระชับผิวกายให้เต่งตึงขึ้นได้
    • แก้มและโหนกแก้ม Oligio Body จะช่วยยกกระชับผิว บริเวณแก้มให้กระชับ ทำให้หน้าเป็นมิติมากขึ้น
    • กรอบหน้า ที่มีปัญหากรอบหน้าไม่ชัด หน้าไม่เท่ากัน ทำให้ใบหน้าดูไม่สมส่วน การยกกระชับผิวกายด้วย Oligio Body จะช่วยทำให้กรอบหน้าชัด มีมิติมากขึ้น
    • เหนียง บริเวณที่มีไขมันส่วนเกิน ทำให้ใบหน้าดูกลมมน 
    • คอ ที่มีความหย่อนคล้อย หรือมีเส้นบริเวณคอที่ชัดเจน Oligio Body ช่วยยกกระชับผิวกายให้กลับมาเต่งตึงอีกครั้ง
    • ต้นแขน ต้นขา ที่มีไขมันส่วนเกิน มีความหย่อนคล้อย Oligio Body จะช่วยลดไขมัน พร้อมยกกระชับผิวกายที่หย่อนคล้อยให้ได้สัดส่วนขึ้น
    • หน้าท้อง ที่มีไขมันสะสมเยอะ ทำให้เกิดความไม่มั่นใจ

    Oligio Body

    Oligio Body เหมาะกับใครบ้าง ? 

    หลาย ๆ คนที่กำลังประสบปัญหาไม่มั่นใจในร่างกาย รูปร่างของตัวเอง เนื่องจากผิวที่หย่อนคล้อย ไขมันที่สะสมเยอะนั้น การทำ Oligio Body จะช่วยยกกระชับผิวกาย และสลายไขมันสะสมใต้ผิวหนัง ให้ผิวกระชับมีสัดส่วนที่ชัดเจนมากขึ้น ซึ่ง Oligio Body เหมาะกับใคร มาดูกันเลย

    1. Oligio Body เหมาะกับผู้ที่ต้องการยกกระชับผิวกาย  สำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยหรือสูญเสียความยืดหยุ่น เนื่องจากอายุหรือการลดน้ำหนัก
    2. Oligio Body เหมาะกับผู้ที่มีไขมันสะสม เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดไขมันในชั้นผิว โดยเฉพาะในบริเวณใบหน้าและลำคอ
    3. Oligio Body เหมาะกับผู้ที่มองหาวิธีการรักษายกกระชับผิวกายลดไขมัน ที่ไม่ต้องพักฟื้น Oligio Body มีการรักษาที่ไม่ทำให้ผิวบอบช้ำ และไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้นนาน
    4. Oligio Body เหมาะกับผู้ที่ต้องการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มปริมาณคอลลาเจนในผิว ยกกระชับผิวกายเพื่อให้ผิวดูอ่อนเยาว์และมีสุขภาพดี
    5. Oligio Body เหมาะกับผู้ที่เคยมีปัญหาผิวไหม้หรือแพ้ง่าย เนื่องจาก Oligio มีระบบป้องกันที่ช่วยลดความเสี่ยงจากความร้อนและการเกิดปัญหาผิว
    6. Oligio Body เหมาะกับผู้ที่ต้องการชะลอการเกิดปัญหาหย่อนคล้อยตามวัย การทำ Oligio Body จะช่วยป้องกันผิวหย่อนคล้อยก่อนวัย ไม่ว่าจะเป็น ผิวหน้า หรือผิวกาย

    ข้อดีและข้อจำกัดของการทำ Oligio Body

    ใครที่กำลังสนใจในการทำ Oligio Body ยกกระชับผิวกาย แต่ยังตัดสินใจไม่ได้นั้น สามารถดูข้อดี และข้อจำกัดของ การทำ Oligio Body เพื่อประกอบการตัดสินใจได้ ดังนี้

    ข้อดีของการทำ Oligio Body

    • Oligio Body ถือเป็นนวัตกรรมที่ตอบโจทย์หลากหลายปัญหา ไม่ว่าจะเป็น การยกกระชับผิวกาย หรือสลายไขมัน มาพร้อมระบบทำความเย็นอัจฉริยะและระบบสั่น ทำให้ไม่แสบร้อนระหว่างทำ ทั้งยังมีความปลอดภัยต่อผิวอีกด้วย เนื่องจากได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาจากหลายประเทศ 
    • ไม่ต้องเตรียมตัวก่อนทำเหมือนหัตถการอื่น ๆ เนื่องจากการทำ Oligio Body ยกกระชับผิวกาย ไม่จำเป็นต้องงดอาหาร หรือเตรียมตัวยาก
    • หลังทำ Oligio Body ไม่ต้องพักฟื้น สามารถทาครีมกันแดด หรือครีมบำรุงได้ตามปกติ โดยที่ผิวไม่เกิดการระคายเคือง
    • Oligio Body ใช้เวลาในการทำหัตถการเพียง 20–30 นาที ซึ่งใช้เวลาน้อยกว่าการทำหัตถการอื่น ทำเสร็จสามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ
    • หลังทำ Oligio Body สามารถเห็นผลลัพธ์ได้ทันทีประมาณ 20% 
    • Oligio Body ไม่ทำให้เจ็บ ทำให้ไม่ต้องแปะยาชา จึงไม่เกิดปัญหาผิวแห้งตามมา 

    ข้อจำกัดในการทำ Oligio Body

    • หากต้องการผลลัพธ์การยกกระชับผิวกาย ลดไขมัน ที่ต่อเนื่อง ควรทำซ้ำปีละ 1-2 ครั้ง เนื่องจาก Oligio Body นั้นให้ผลลัพธ์ยาวนานประมาณ 6 เดือน – 1ปี 
    • Oligio Body ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ ผู้ที่ให้นมบุตร หรือผู้ที่ใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ และในโรคประจำตัวบางชนิด ควรปรึกษาแพทย์ก่อน

     จุดเด่นของ Oligio Body ?

    • Oligio Body ยกกระชับผิวกาย นั้นไม่ต้องจำกัดเวลาในการใช้จำนวน Shots ทำให้แพทย์นั้นสามารถเก็บรายละเอียด และมีความแม่นยำในการทำ
    • Oligio Body มีหัวยิงมีขนาดใหญ่ ทำให้สามารถกระจายพลังงานได้ดี มีความแม่นยำขึ้น จึงทำให้มีความรวดเร็วในการทำ
    • เจ็บน้อย ไม่ต้องแปะยาชา เนื่องจากเครื่อง Oligio Body นั้นมีนวัตกรรมที่ช่วยบรรเทาความเจ็บปวด และทำให้ผิวนั้นไม่แห้งจากยาชา

    ใครที่ไม่เหมาะกับเครื่องยกกระชับผิวกาย Oligio Body ?

    • Oligio Body ไม่เหมาะกับผู้ที่มีเครื่องมือแพทย์ฝังในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็น เครื่องกระตุ้นหัวใจด้วยไฟฟ้า ICD หรือมีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ภายในร่างกาย
    • Oligio Body ไม่เหมาะกับผู้ที่มีรากฟันเทียมแบบ Bio absorbable 
    • Oligio Body ไม่เหมาะกับผู้ที่เป็นโรคผิวหนังบางชนิด หรือมีการติดเชื้อบริเวณที่จะรักษา เช่น เริม ผิวอักเสบ หรือติดเชื้อ ที่กำลังอยู่ในขั้นตอนการรักษา ควรรักษาให้หายดีก่อนแล้วค่อยทำ
    • Oligio Body ไม่เหมาะกับผู้ที่มีโรคประจำตัวบางชนิด อาจทำให้เกิดอันตรายระหว่างการทำหัตถการได้  เช่น โรคเบาหวาน โรคลมชัก โรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส ผู้ที่มีภาวะความผิดปกติของระบบไหลเวียนเลือด                   
    • Oligio Body ไม่เหมาะกับผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ หรือกำลังให้นมบุตร
    • หากมีโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา หรือมียาที่ต้องรับประทานตลอดนั้น ควรแจ้งแพทย์ก่อนทำการรักษา Oligio Body เพื่อวางแผนการรักษา
    • หลีกเลี่ยงการสักในบริเวณที่จะทำการรักษา Oligio Body เนื่องจากหากเป็นรอยสักใหม่ ที่ยังไม่หายดี อาจจะทำให้เกิดการติดเชื้อได้ 

    หลังทำ Oligio Body สามารถคงผลลัพธ์ได้นานเท่าไหร่?

    การทำ Oligio Body อยู่ได้นานไหม? อยู่ได้นานแค่ไหน?  โดยปกติแล้วนั้นการทำ Oligio Body จะสามารถคงผลลัพธ์ยกกระชับผิวกายได้นานถึง 6 เดือน – 1ปี เนื่องจากการทำงานของ Oligio Body นั้นจะค่อย ๆ เข้าไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ชั้นผิว ทำให้ผลลัพธ์ในการทำ Oligio Body 1 ครั้งนั้นอยู่ได้นาน ทั้งนี้ระยะเวลาที่ผลลัพธ์ยกกระชับผิวกายจะอยู่ได้นานไหมนั้น จะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ปัญหาผิว การดูแลตัวเองหลังทำด้วย

    Oligio Body

    ทำไมต้องเลือกทำเครื่องยกกระชับผิวกาย Oligio Body 

    • Oligio Body เห็นผลทันที : หลังจากการทำ Oligio Body สามารถเห็นผลลัพธ์การยกกระชับผิวกาย และการเปลี่ยนแปลงได้เลยทันที ประมาณ 20-30% และจากนั้นจะเริ่มเห็นผลขึ้นเต็มที่
    • การสร้างคอลลาเจน : หลังทำ Oligio Body ยกกระชับผิวกาย ผิวจะค่อย ๆ เห็นผลลัพธ์ดีขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากพลังงานที่ยิงเข้าไปจะเข้าไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวให้สร้างเพิ่มขึ้นใหม่ โดยจะเห็นผลเต็มที่ภายใน 3-6 เดือน
    • ผลลัพธ์ระยะยาว : ยกกระชับผิวกาย ลดไขมัน ด้วย Oligio Body สามารถอยู่ได้นาน 6 เดือน – 1 ปี หากต้องการผลลัพธ์ที่มีความต่อเนื่อง แนะนำให้ทำต่อเนื่องปีละ 1 ครั้ง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพที่สุด
    • Oligio Body แก้ปัญหาผิวได้อย่างครอบคลุม : หลังทำ Oligio Body นั้นจะช่วยยกผิวกายให้กระชับขึ้น ผิวมีความแน่น ไม่หย่อนคล้อย ทั้งยังช่วยลดไขมันสะสมบริเวณใบหน้าและร่างกาย กระชับสัดส่วน ชะลอความหย่อนคล้อยให้ผิวดูอ่อนเยาว์ลง 
    • ปลอดภัยและไม่มีอาการข้างเคียง : Oligio Body ถือเป็นนวัตกรรมที่มีความปลอดภัยต่อผิว ทำให้หลังทำแล้วนั้นไม่มีอาการบวม ปวด แสบ หรือไม่ทิ้งร่องรอยไว้ จึงสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ โดยไม่ต้องพักฟื้น

    ทำ Oligio Body ร่วมกับหัตถการอื่นได้หรือไม่

    การทำ Oligio Body นั้นสามารถทำร่วมกับหัตถการอื่นได้ไหม ? น่าจะเป็นคำถามที่ใครหลาย ๆ คนสงสัยอย่างมาก โดย Oligio Body ยกกระชับผิวกาย นั้นสามารถทำร่วมกับหัตถการอื่น ๆ ได้โดยไม่ก่อให้เกิดอันตรายใด ๆ แต่ควรจะมีระยะเวลาที่ห่างกัน เพื่อให้ Oligio Body นั้นได้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น  โดยปกติแล้วหากต้องการทำร่วมกับหัตถการอื่น ๆ นั้น แพทย์จะแนะนำให้ทำ Oligio Body ก่อนที่จะไปทำหัตถการฉีดตัวยาอื่น ทั้งนี้ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำ เพราะตัวยาแต่ละตัวนั้นก็มีข้อจำกัดที่แตกต่างกัน แพทย์จะได้วางแผนการรักษาได้อย่างตรงจุด 

    ก่อนทำ Oligio Body ต้องเตรียมตัวไหม อย่างไร ? 

    การยกกระชับผิวกาย สลายไขมันด้วยเครื่อง Oligio Body นั้นไม่ได้มีข้อจำกัดที่เยอะ ทำให้การเตรียมตัวก่อนทำนั้น สามารถเตรียมตัวได้เหมือนก่อนทำหัตถการทั่วไปได้ ดังนี้

    • ก่อนทำ Oligio Body ควรงดใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยผลัดเซลล์ผิว หรือทำให้ผิวบางลงบริเวณที่จะทำ
    • ก่อนทำ Oligio Body ควรงดการทำหัตถการต่าง ๆ เช่น การฉีดโบ ฟิลเลอร์ หรือการทำเลเซอร์ อย่างน้อย 3-4 สัปดาห์ 
    • ก่อนทำ Oligio Body หากมีโรคประจำตัว หรือมีโรคที่เกี่ยวกับผิวหนังนั้น ต้องแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนเริ่มทำหัตถการทุกครั้ง เพื่อที่แพทย์จะได้ประเมิน และวางแผนการรักษาในลำดับต่อไป
    • ก่อนทำ Oligio Body หากมีบาดแผลที่แผลยังปิดไม่สนิท ควรรักษาให้หายก่อนดีก่อน

    ขั้นตอนการทำ Oligio Body มีอะไรบ้าง? 

    • ก่อนเริ่มทำ Oligio Body ยกกระชับผิวกาย เจ้าหน้าที่จะทำความสะอาดผิวบริเวณที่จะทำ Oligio Body ก่อนเพื่อเตรียมพร้อมผิวก่อนทำ
    • หลังจากทำความสะอาดผิวเสร็จแล้ว แพทย์จะทำการทาเจลเย็นลงบนผิวก่อนทำหัตถการ ซึ่ง Oligio Body นั้นไม่ต้องแปะยาชา เพราะตัวเครื่องนั้นจะมีนวัตกรรมระบบความเย็น เพื่อช่วยบรรเทาความร้อนที่ผิว
    • เมื่อพร้อมทำ Oligio Body แพทย์จะทำการเปิดเครื่องมือ เซตค่าพลังงาน จากนั้นจะทำการทำหัตถการบนผิว
    • ในระหว่างทำหัตถการ Oligio Body อาจจะมีความรู้สึกอุ่น ๆ ที่ผิว เพราะพลังงานที่ถูกปล่อยออกไปได้ แต่อาจจะไม่ถึงขั้นเจ็บปวด หรือแสบร้อน เพราะหากใต้ผิวมีความร้อนสะสมอยู่เกินค่าที่กำหนดไว้ เครื่อง  Oligio Body จะทำการปล่อยความเย็นออกมาเพื่อลดอุณหภูมิบนผิวลง 
    • โดยปกติแล้วการทำหัตถการ Oligio Body จะใช้เวลาประมาณ 20-30 นาที เมื่อยิงค่าพลังงานครบจำนวน Shot ที่ตั้งไว้แล้ว แพทย์จะทำการทำความสะอาดผิวอีกครั้ง ถือเป็นการเสร็จสิ้นการรักษา
    • หลังทำ Oligio Body อาจจะมีอาการแดงบริเวณผิวที่ทำเล็กน้อย ซึ่งอาการเหล่านี้จะไม่ส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ไม่มีอันตราย และจะหายไปเองภายในไม่กี่ชั่วโมง 

    การดูแตัวเองหลังยกกระชับผิวกาย ลดไขมันด้วยเครื่อง Oligio Body 

    หลังจากทำหัตถการยกกระชับผิวกาย Oligio Body เสร็จเรียบร้อย ควรดูแลตัวเองตามคำแนะนำเพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาน่าพึงพอใจ โดยมีวิธีการดูแลเบื้องต้น ดังนี้

    • หลีกเลี่ยงความร้อน : หลังทำ Oligio Body งดกิจกรรมที่ทำให้เกิดความร้อนที่ผิว เช่น ออกกำลังกาย หรืออยู่ในที่ร้อนจัด เช่น ซาวน่า เป็นเวลา 1 สัปดาห์
    • หลีกเลี่ยงการทำหัตถการอื่น ๆ บริเวณผิวที่เคยทำยกกระชับผิวกาย Oligio Body ควรเว้นระยะในการทำประมาณ 4 สัปดาห์ หรือ 1 เดือน เช่น ฉีดโบ ฟิลเลอร์ หรือเครื่องเลเซอร์อื่น ๆ 
    • ทาครีมกันแดด : หลังทำหัตถการ Oligio Body ควรหมั่นทาครีมกันแดดทุกวัน และควรหลีกเลี่ยงการโดดแดดตรง ๆ เพื่อป้องกันผิวจากแสงแดด 
    • การดูแลผิวหลังทำ : หลังทำ Oligio Body หลีกเลี่ยงการทำทรีตเมนต์หรือหัตถการใด ๆ บนผิวอย่างน้อย 1 สัปดาห์ รวมถึงควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีความอ่อนโยนต่อผิว เพื่อให้ผิวนั้นฟื้นฟูได้เต็มที่
    • ดูแลสุขภาพ : หลังทำ Oligio Body ควรดูแลสุขภาพร่างกายให้ดี ควรงดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ นอนหลับให้เพียงพอ และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อช่วยให้ Oligio Body นั้นทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    คำถามที่พบบ่อยของ Oligio Body

    ความรู้สึกระหว่างทำ Oligio Body ?

    • ระหว่างการทำ Oligio Body นั้นจะรู้สึกอุ่น ๆ ที่บริเวณผิวที่ทำ เนื่องจากตัวเครื่องนั้นจะยิงพลังงานไปที่ชั้นผิว เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน และยกกระชับผิวกาย ทำให้มีการสะสมพลังงานความร้อนใต้ชั้นผิว ที่อุณหภูมิสูงถึง 43 องศา ซึ่งอาจทำให้หลังทำผิวอาจจะมีสีแดงอ่อน ๆ หรือมีความชมพูขึ้นได้

    Oligio Body ทำนานไหม?

    • การทำ Oligio Body ยกกระชับผิวกาย นั้นเป็นหัตถการที่ใช้เวลาไม่นาน ทำให้สะดวก ประหยัดเวลา โดยปกติแล้วจะใช้เวลาในการรักษาประมาณ 30-60 นาที ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัญหา และจำนวน Shots ที่ต้องยิง

    หลังทำ Oligio Body เป็นอย่างไร?

    • หลังการทำ Oligio Body ยกกระชับผิวกาย นั้นสามารถเห็นผลลัพธ์ได้เลยทันทีหลังทำ เนื่องจากคอลลาเจนนั้นจะมีการหดตัวลง 20-30% จึงทำให้ผิวดูกระชับขึ้น จากนั้นผิวจะค่อย ๆ สร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้สามารถเห็นผลลัพธ์ที่เต็มที่ได้หลังทำ 3 เดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัญหาผิว และวิธีการดูแลตัวเองหลังทำ Oligio Body ด้วย 

    Oligio Body อยู่ได้นานไหม?

    • หลังจากการรักษา 1 ครั้ง Oligio Body สามารถคงผลลัพธ์ได้นานถึง 6-12 เดือน โดยจะขึ้นอยู่กับสภาพผิวและปัญหาของแต่ละบุคคล  ทั้งนี้แนะนำว่าควรทำ Oligio Body ปีละ 1 ครั้ง เพื่อคงผลลัพธ์อย่างต่อเนื่อง ช่วยฟื้นฟูผิวให้สร้างคอลลาเจนได้เอง ยกกระชับผิวกายที่หย่อนคล้อย ทั้งยังช่วยสลายไขมันได้อย่างดี

    Oligio Body ยกกระชับผิวกาย ลดไขมันควรทำกี่ Shots ?

    • Oligio Body 300-450 Shots : เหมาะสำหรับผู้ที่อายุน้อยหรือมีปัญหาผิวไม่มาก สามารถเน้นทำยกกระชับผิวกายเฉพาะจุดได้
    • Oligio Body 600-900 Shots : เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวปานกลางถึงมาก สามารถทำได้ทั่วหน้า รวมถึงบริเวณเหนียง
    • Oligio Body 1,200 Shots : เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับผิวกาย พร้อมสลายไขมันได้อย่างครอบคลุม

    ทั้งนี้ก่อนทำ Oligio Body แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ก่อน เพื่อที่แพทย์นั้นจะได้วางแผนการรักษาได้อย่างตรงจุด รวมถึงเลือกจำนวน Shots ได้อย่างเหมาะสม

    การทำ Oligio Body นั้นสามารถช่วยแก้ปัญหาผิวได้อย่างครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็น ผิวหย่อนคล้อย ผิวไม่กระชับ มีริ้วรอย ผิวไม่แน่น หรือมีไขมันสะสมเยอะ การยกกระชับผิวกาย ลดไขมัน ด้วยเครื่อง Oligio Body ถือเป็นเทคโนโลยีที่มีความปลอดภัยสูง ทั้งยังทำให้ช่วยประหยัดเวลา ใช้เวลาน้อย ไม่ต้องพักฟื้น ตอบโจทย์สำหรับคนที่ต้องการรักษาปัญหาแบบเร่งด่วน สามารถเข้ามาปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินปัญหาก่อนได้ที่ รมย์รวินท์คลินิก ทุกสาขา 

    ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




      วันที่สะดวกในการติดต่อ





      Neauvia ฟิลเลอร์ (Filler) คืออะไร มีกี่รุ่น ทำไมถึงต่างจากยี่ห้ออื่น?

      NEAUVIA FILLER ดียังไง

      ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




        วันที่สะดวกในการติดต่อ





        Neauvia ฟิลเลอร์ (Filler) ทางเลือกใหม่ในการฉีดฟิลเลอร์

        เทรนด์การฉีดฟิลเลอร์กำลังมาแรงในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นวัยรุ่น วัยทำงาน หรือวัยไหน ๆ ก็ตาม การฉีดฟิลเลอร์ ถือเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์สำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหน้า ทั้งริ้วรอย ร่องลึก กรอบหน้าไม่ชัด กระดูกยุบตัวลง รวมถึง ผิวหน้าที่ขาดคอลลาเจน และสูญเสียความชุ่มชื้น ซึ่งวันนี้ รมย์รวินท์คลินิก ขอแนะนำให้รู้จักกับ ฟิลเลอร์ Neauvia ฟิลเลอร์อีกหนึ่งยี่ห้อที่ได้รับความนิยม ส่งตรงจากประเทศอิตาลี หลาย ๆ คน อาจยังไม่เคยได้ยินชื่อยี่ห้อนี้และคงสงสัยกันว่า ฟิลเลอร์ Neauvia คืออะไร? มีจุดเด่นอย่างไร? ทำไมถึงแตกต่างจากยี่ห้ออื่น? แล้วอยู่ได้นานแค่ไหน? บทความนี้สรุปมาให้แล้ว

        ฟิลเลอร์ Neauvia ดีไหม? แตกต่างจากยี่ห้ออื่นอย่างไร?

        NEAUVIA FILLER

        ฟิลเลอร์ Neauvia คืออะไร?

        ฟิลเลอร์ Neauvia เป็นแบรนด์ฟิลเลอร์เจนใหม่จากประเทศอิตาลี ที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง ถูกผลิตขึ้นมาในปี 2012 ซึ่งฟิลเลอร์ Neauvia เป็นสารเติมเต็มประเภทไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid – HA)ใกล้เคียงกับฟิลเลอร์ยี่ห้ออื่น ๆ แต่มีความโดดเด่นในด้านส่วนประกอบ เทคโนโลยี และกระบวนการผลิต ทำให้ฟิลเลอร์มีความยืดหยุ่นและคงตัวสูง ผลลัพธ์ที่ได้ดูเป็นธรรมชาติ เรียบเนียนไปกับผิว โดยไม่ทิ้งสารตกค้างในร่างกาย และไม่ก่อให้เกิดการอักเสบ นอกจากนี้ ฟิลเลอร์ Neauvia ยังมีหลากหลายรุ่นที่ออกแบบมา เพื่อตอบโจทย์ปัญหาผิวที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นการเติมเต็มร่องลึก ริ้วรอย ปรับรูปหน้า หรือกระตุ้นคอลลาเจน เพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว

         

        ฟิลเลอร์ Neauvia มีจุดเด่นอย่างไร?

        ฟิลเลอร์ Neauvia มีจุดเด่นในการใช้เทคโนโลยี SMART XROSS LINK Technology (SXT) ในการผลิต ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเอกสิทธิ์เฉพาะที่ออกแบบมา เพื่อให้เนื้อฟิลเลอร์มีความแข็งแรง ยืดหยุ่น และคงตัวสูง ไม่ให้เนื้อฟิลเลอร์เกิดการแยกตัวออกจากกัน สามารถใช้ในการเติมเต็มและขึ้นรูปทรงได้ดี โดยไม่จำเป็นต้องใช้ฟิลเลอร์ปริมาณมาก เมื่อฉีดเข้าสู่ผิวแล้ว ฟิลเลอร์จะไม่เคลื่อนที่และไม่ไหลไปยังบริเวณอื่น

         

        อีกทั้ง ฟิลเลอร์ Neauvia ยังเป็นแบรนด์เดียวในโลก ที่ใช้สาร Polyethylene Glycol (PEG) ในกระบวนการ Cross Link ร่วมกับ กรดไฮยาลูรอนิก แอซิด แทนการใช้สาร BDDE ที่พบได้ทั่วไปในฟิลเลอร์ยี่ห้ออื่น ๆ ทำให้ฟิลเลอร์ Neauvia มีความปลอดภัยกว่า ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองหรืออาการแพ้ และยังช่วยลดโอกาสในการเกิดการอักเสบด้วย รวมถึงสาร PEG ยังช่วยให้ฟิลเลอร์ผสานเข้ากับผิวได้เป็นอย่างดี ทำให้ผิวดูเรียบเนียนและอิ่มฟูอย่างเป็นธรรมชาติ

         

        นอกจากนี้ ฟิลเลอร์ Neauvia ยังมีส่วนประกอบสำคัญของสารอื่น ๆ อีกมากมาย ได้แก่ CaHA (Calcium Hydroxyapatite) สารกระตุ้นคอลลาเจน (Biostimulator) รวมถึง กรดอะมิโน แอซิด (Amino Acid) อย่าง L-Proline และ Glycine ซึ่งเป็นสารตั้งต้นที่ใช้ในการสร้างคอลลาเจนในผิวหนัง ทำให้ผิวกระชับ มีความอ่อนเยาว์ ดูสุขภาพดีจากภายในสู่ภายนอก และยังทำให้ไม่เกิดอาการบวมหลังฉีดอีกด้วย

        ส่วนประกอบของ NEAUVIA FILLER

        ฟิลเลอร์ Neauvia มีส่วนประกอบสำคัญอะไรบ้าง?

        HA (Hyaluronic Acid)

        • HA (Hyaluronic Acid) ในฟิลเลอร์ Neauvia มีความแตกต่างจากไฮยาลูรอนิก ในฟิลเลอร์ยี่ห้ออื่น ๆ เนื่องจากใช้ Probiotics Bacteria ชื่อว่า Bacillus subtilis ในการผลิต ซึ่งถือเป็นแบคทีเรียที่ดีต่อร่างกาย จึงทำให้ไฮยาลูรอนิกในฟิลเลอร์ Neauvia มีความบริสุทธิ์สูง มีคุณสมบัติในการกักเก็บความชุ่มชื้นให้กับผิวได้เป็นอย่างดี เมื่ออายุมากขึ้น ร่างกายจะเริ่มผลิตไฮยาลูรอนิกได้น้อยลง ทำให้ผิวเสื่อมสภาพ ขาดความชุ่มชื้น เกิดริ้วรอย และดูหย่อนคล้อย ซึ่งการฉีดฟิลเลอร์ Neauvia จึงเป็นตัวช่วยหนึ่งในการเติมเต็มไฮยาลูรอนิกที่สูญเสียไป ทำให้ผิวกลับมาดูอ่อนเยาว์ เต่งตึง และเรียบเนียนขึ้น โดยไม่ทำให้เกิดอาการแพ้

        CaHA (Calcium Hydroxyapatite)

        • CaHA (Calcium Hydroxyapatite) เป็นสารที่กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิว (Biostimulator) สามารถพบได้ตามธรรมชาติในร่างกายของเรา โดยเฉพาะในกระดูกและฟัน มีลักษณะคล้ายกับแคลเซียมในกระดูก มีคุณสมบัติในการ กระตุ้นการทำงานของเซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast) ให้เกิดการสร้างคอลลาเจน Type 1 และ คอลลาเจน Type 3 รวมถึงอีลาสตินขึ้นมาใหม่ โดยคอลลาเจนที่ได้เป็นคอลลาเจนที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ไม่ได้เกิดจากกระบวนการอักเสบใด ๆ ทำให้โครงสร้างผิวแข็งแรง ผิวค่อย ๆ มีความกระชับ เต่งตึง และยืดหยุ่นมากขึ้น 

        PEG (Polyethylene Glycol)

        • PEG (Polyethylene Glycol) เป็นสารชนิดหนึ่งที่ไม่กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย มีความปลอดภัยสูง ไม่ก่อให้เกิดการอักเสบ และไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ ทำหน้าที่เป็นเหมือนตัวเชื่อมระหว่างส่วนประกอบต่าง ๆ ในฟิลเลอร์ ทำให้เนื้อฟิลเลอร์มีความคงตัวและยืดหยุ่นมากขึ้น ทนความร้อนได้เป็นอย่างดี สามารถทำร่วมกับหัตถการเลเซอร์อื่น ๆ ได้ เหมาะสำหรับใช้ในการเติมเต็มและขึ้นรูปทรงได้อย่างแนบเนียนไปกับผิว นอกจากนี้ ยังช่วยปกป้องโมเลกุลไฮยาลูรอนิก ไม่ให้ถูกทำลายโดยเอนไซม์ในร่างกาย ทำให้ฟิลเลอร์คงอยู่ได้นานขึ้น ดังนั้น PEG จึงถือเป็นสารที่ทำให้ฟิลเลอร์ Neauvia มีคุณสมบัติพิเศษที่แตกต่างไปจากฟิลเลอร์ทั่วไป

        L-Proline

        • L-Proline เป็นกรดอะมิโนชนิดหนึ่ง ที่ร่างกายของเราสามารถสังเคราะห์ได้เอง และพบได้ในโปรตีนหลายชนิด โดยเฉพาะในคอลลาเจน ซึ่งเป็นโปรตีนที่สำคัญสำหรับผิวหนัง กระดูก และข้อต่อ มีหน้าที่สำคัญในการสร้างคอลลาเจนและซ่อมแซมเซลล์ผิว ทำให้ผิวแข็งแรง มีความยืดหยุ่น และมีความชุ่มชื้นมากขึ้น พร้อมลดอาการอักเสบ และไม่ทำให้เกิดอาการบวมช้ำหลังฉีด

        Glycine

        • Glycine เป็นกรดอะมิโนชนิดหนึ่งที่จำเป็นต่อร่างกาย โดยร่างกายสามารถสร้าง Glycine ขึ้นมาได้เอง เป็นหนึ่งในกรดอะมิโนหลักที่ช่วยในการสร้างคอลลาเจน เมื่อเราได้รับ Glycine เพียงพอ ผิวก็จะผลิตคอลลาเจนได้มากขึ้น ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่น ชุ่มชื้น และลดเลือนริ้วรอยได้ดีขึ้น นอกจากนี้ ยังช่วยซ่อมแซมเซลล์ผิวที่ถูกทำลายจากรังสี UV และมลภาวะต่าง ๆ ทำให้ผิวฟื้นตัวได้เร็ว รวมถึง ป้องกันการอักเสบ และลดอาการระคายเคืองผิวได้อีกด้วย

        NEAUVIA FILLER รุ่น

        ฟิลเลอร์ Neauvia มีกี่รุ่น?

        ในปัจจุบันฟิลเลอร์ Neauvia มีให้เลือกถึง 3 รุ่น ซึ่งแต่ละรุ่นก็มีคุณสมบัติที่แตกต่างกันออกไป สามารถตอบโจทย์กับปัญหาผิวได้อย่างครอบคลุม ได้แก่

        Neauvia Intense

        • ฟิลเลอร์ Neauvia Intemse เป็นฟิลเลอร์ที่มีความเข้มข้นของสารไฮยาลูรอนิกสูงถึง 28% รวมถึง ยังมีส่วนประกอบของ L-Proline และ Glycine อีกด้วย
        • เหมาะสำหรับการเติมเต็มร่องลึก ปรับรูปหน้า ใช้ในการขึ้นรูปทรงได้ดี และแก้ไขโครงสร้างใบหน้า ที่เกิดจากการยุบตัวลงของกระดูก ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถฉีดได้หลากหลายบริเวณ เช่น ร่องแก้ม คาง ขมับ และกรอบหน้า
        • ฟิลเลอร์ Neauvia Intense สามารถคงผลลัพธ์ได้นานถึง 12 เดือน

        Neauvia Stimulate

        • ฟิลเลอร์ Neauvia Stimulate เป็นฟิลเลอร์ที่มีความเข้มข้นของสารไฮยาลูรอนิกสูงถึง 26% และ มีส่วนประกอบของสาร CaHA 1% ซึ่งเป็นสารกระตุ้นคอลลาเจน หรือ Biostimulator รวมถึง ยังมีส่วนประกอบของ L-Proline และ Glycine อีกด้วย
        • เหมาะสำหรับการเติมเต็มริ้วรอยและร่องลึก โดยสามารฉีดได้หลากหลายบริเวณ เช่น ร่องแก้ม แก้มตอบ และยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวมีความแข็งแรง ยืดหยุ่น และลดเลือนริ้วรอยได้ดีขึ้น
        • ฟิลเลอร์ Neauvia Stimulate สามารถคงผลลัพธ์ได้นานถึง 12 เดือน

        Neauvia Hydro Deluxe

        • ฟิลเลอร์ Neauvia Hydro Deluxe เป็นฟิลเลอร์ที่มีความเข้มข้นของสารไฮยาลูรอนิกสูงถึง 18% และ มีส่วนประกอบของสาร CaHA 0.01% ซึ่งเป็นสารกระตุ้นคอลลาเจน หรือ Biostimulator รวมถึง ยังมีส่วนประกอบของ L-Proline และ Glycine อีกด้วย
        • เหมาะสำหรับการฉีดงานผิว แก้ปัญหารูขุมขนกว้าง หลุมสิว พร้อมกระตุ้นในการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวกระชับ ดูชุ่มชื้น และผิวดูสุขภาพดีมากขึ้น สามารถฉีดได้หลากหลายบริเวณ เช่น หน้าแก้ม หน้าผาก รอบดวงตา หรือบริเวณลำคอ
        • ฟิลเลอร์ Neauvia Hydro Deluxe สามารถคงผลลัพธ์ได้นานถึง 6 – 9 เดือน

         

        ฟิลเลอร์ Neauvia ฉีดบริเวณไหนได้บ้าง?

        • ฟิลเลอร์ร่องแก้ม สามารถแก้ไขปัญหาร่องแก้มลึก ร่อมแก้มชัด ที่ส่งผลใบหน้าดูแก่กว่าวัย
        • ฟิลเลอร์หน้าผาก สามารถแก้ไขปัญหาหน้าผากแบน หน้าผากยุบ ดูไม่สมดุลกับใบหน้า
        • ฟิลเลอร์ใต้ตา สามารถแก้ไขปัญหาเบ้าตาลึก ใต้ตาคล้ำ มีถุงใต้ตา หรือมีริ้วรอยใต้ตา ที่ส่งผลหน้าดูโทรมไม่สดใส
        • ฟิลเลอร์แก้มตอบ สามารถแก้ไขปัญหาแก้มยุบ แก้มตอบ ที่ส่งผลให้ใบหน้าดูไม่สมดุลและดูแก่กว่าวัย
        • ฟิลเลอร์ริมฝีปาก สามารถแก้ไขปัญหาริมฝีปากบาง ริมฝีปากแห้ง ดูไม่สมส่วน ไม่เป็นทรง
        • ฟิลเลอร์คาง สามารถแก้ไขปัญหาคางตัด คางสั้น คางบุ๋ม หรือคางไม่สมส่วนกับใบหน้า
        • ฟิลเลอร์ขมับ สามารถแก้ไขปัญหาขมับที่ยุบตัวลง ขมับตอบ และมีโหนกแก้มสูง
        • ฟิลเลอร์กรอบหน้า สามารถแก้ไขปัญหาหน้าบาน กรอบหน้าไม่ชัด ดูไม่มีมิติ
        • ฟิลเลอร์ลำคอ สามารถแก้ไขปัญหาผิวบริเวณลำคอ ผิวคอหย่อนคล้อย มีริ้วรอยเป็นเส้น ๆ

         

        ฟิลเลอร์ Neauvia เหมาะกับใคร?

        • ฟิลเลอร์ Neauvia เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีริ้วรอยและร่องลึกต่าง ๆ ในบริเวณใบหน้าและลำคอ
        • ฟิลเลอร์ Neauvia เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีใบหน้าไม่สมส่วน ดูไม่สมดุล เช่น คางสั้น หน้าผากยุบ ขมับตอบ
        • ฟิลเลอร์ Neauvia เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีผิวแห้งกร้าน ขาดความชุ่มชื้น แต่งหน้าไม่ติด
        • ฟิลเลอร์ Neauvia เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อย ไม่กระชับ ขาดความยืดหยุ่น
        • ฟิลเลอร์ Neauvia เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหารูขุมขนกว้าง ดูไม่เรียบเนียน
        • ฟิลเลอร์ Neauvia เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาหลุมสิวและรอยสิว
        • ฟิลเลอร์ Neauvia เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีผิวโทรม ไม่สดใสจากมลภาวะต่าง ๆ
        • ฟิลเลอร์ Neauvia เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีผิวบอบบาง แพ้ง่าย ระคายเคืองง่าย
        • ฟิลเลอร์ Neauvia เหมาะสำหรับ ผู้ที่แพ้สาร BDDE (Butanediol Diglycidyl Ether) ที่มีอยู่ในฟิลเลอร์ยี่ห้ออื่น ๆ

         

        ฟิลเลอร์ Neauvia ไม่เหมาะกับใคร?

        • ฟิลเลอร์ Neauvia ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีอาการแพ้สารไฮยาลูรอนิก ซึ่งเป็นสารประกอบหลักในฟิลเลอร์
        • ฟิลเลอร์ Neauvia ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรอยู่ แนะนำให้หลีกเลี่ยงการฉีดฟิลเลอร์ไปก่อน
        • ฟิลเลอร์ Neauvia ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่เป็นโรคเลือดออกง่าย อาจก่อให้เกิดรอยช้ำหรือเลือดออกในบริเวณที่ฉีดได้
        • ฟิลเลอร์ Neauvia ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่กำลังรับประทานยาที่ส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด ควรปรึกษาแพทย์ก่อนตัดสินใจฉีด
        • ฟิลเลอร์ Neauvia ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีแผลเปิดหรือมีการติดเชื้อในบริเวณที่จะฉีด ควรรักษาแผลให้หายสนิทก่อน แล้วค่อยตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์

        ข้อดีของ NEAUVIA FILLER

        ฟิลเลอร์ Neauvia มีข้อดีอย่างไร?

        • ไม่กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ลดโอกาสในการแพ้หลังฉีด
        • มีความปลอดภัย ได้รับการรับรองมาตรฐานจาก อย. ไทย
        • ไม่บวมช้ำหลังฉีดและไม่ก่อให้เกิดการอักเสบในร่างกาย
        • สามารถทำร่วมกับหัตถการกลุ่มเลเซอร์อื่น ๆ ได้ เนื่องจากทนความร้อนได้ดี
        • ผลลัพธ์คงอยู่ได้นานถึง 1 ปี ขึ้นอยู่กับการดูแลและการปฏิบัติตัวหลังฉีด

         

        ก่อนฉีดฟิลเลอร์ Neauvia ควรเตรียมตัวอย่างไร?

        • ก่อนฉีดฟิลเลอร์ Neauvia แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ เพื่อให้แพทย์วิเคราะห์สภาพผิว พร้อมสอบถามทุกข้อสงสัยเกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์ Neauvia
        • ก่อนฉีดฟิลเลอร์ Neauvia แจ้งประวัติสุขภาพ ประวัติการแพ้ยา ให้แพทย์ทราบอย่างละเอียด
        • ก่อนฉีดฟิลเลอร์ Neauvia งดรับประทานยาบางชนิด เช่น กลุ่มยาแอสไพริน กลุ่มยาต้านการอักเสบ
        • ก่อนฉีดฟิลเลอร์ Neauvia หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องแอลกอฮอล์หรือสูบบุหรี่
        • ก่อนฉีดฟิลเลอร์ Neauvia งดใช้ครีมหรือผลิตภัณฑ์ที่ผลัดเซลล์ผิว ในบริเวณที่จะฉีดฟิลเลอร์

         

        หลังฉีดฟิลเลอร์ Neauvia ควรดูแลตัวเองอย่างไร?

        • หลังฉีดฟิลเลอร์ Neauvia งดการกด นวด หรือสัมผัสในบริเวณที่ทำการฉีดฟิลเลอร์
        • หลังฉีดฟิลเลอร์ Neauvia หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ก่อให้เกิดความร้อน รวมถึงอยู่ท่ามกลางแสงแดด
        • หลังฉีดฟิลเลอร์ Neauvia ควรดื่มน้ำให้มาก ๆ ให้เพียงพอต่อร่างกาย
        • หลังฉีดฟิลเลอร์ Neauvia งดการดื่มแอลกอฮอล์หรือสูบบุหรี่ทุกชนิด
        • หลังฉีดฟิลเลอร์ Neauvia หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก ๆ
        • หลังฉีดฟิลเลอร์ Neauvia หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด ของหมักดอง

         

        ผลลัพธ์ที่ได้หลังฉีดฟิลเลอร์ Neauvia

        • การฉีดฟิลเลอร์ Neauvia ช่วยให้ริ้วรอยดูจางลง ร่องลึกต่าง ๆ ดูตื้นขึ้น
        • การฉีดฟิลเลอร์ Neauvia ช่วยให้ใบหน้าดูสมดุล มีความสมส่วนมากขึ้น
        • การฉีดฟิลเลอร์ Neauvia ช่วยให้ผิวมีความชุ่มชื้น ฉ่ำวาว ดูสุขภาพดี
        • การฉีดฟิลเลอร์ Neauvia  ช่วยให้รูขุมขนกระชับ ผิวหน้าดูเรียบเนียนมากขึ้น
        • การฉีดฟิลเลอร์ Neauvia ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวแข็งแรงและยืดหยุ่น
        • การฉีดฟิลเลอร์ Neauvia ช่วยให้ผิวกระชับ เต่งตึง ลดความหย่อนคล้อย
        • การฉีดฟิลเลอร์ Neauvia ช่วยให้ใบหน้ามีวอลุ่ม ดูมีมิติมากขึ้น
        • การฉีดฟิลเลอร์ Neauvia ช่วยให้หลุมสิวหรือผิวขรุขระมีความตื้นขึ้น
        • การฉีดฟิลเลอร์ Neauvia ช่วยให้ใบหน้ามีความอ่อนเยาว์ ดูเด็กลง ไม่แก่กว่าวัย

        NEAUVIA FILLER ดียังไง 

        ฟิลเลอร์ Neauvia แตกต่างจากฟิลเลอร์ยี่ห้ออื่นอย่างไร?

        ฟิลเลอร์ Neauvia

        • ฟิลเลอร์ Neauvia เป็นฟิลเลอร์เจนใหม่ ที่ใช้เทคโนโลยี SMART XROSS LINK Technology (SXT) ในการผลิต ทำให้ฟิลเลอร์มีความแข็งแรง แต่ยังคงมีความยืดหยุ่นสูง สามารถขึ้นรูปทรงได้ดี นอกจากนี้ ยังใช้สาร PEG ในกระบวนการ Cross Link ร่วมกับ ไฮยาลูรอนิก ที่ทำให้ฟิลเลอร์ Neauvia มีความแตกต่างจากฟิลเลอร์ทั่ว ๆ ไป ปลอดภัยสูง ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ไม่ก่อให้เกิดการอักเสบ และอาการบวมหลังฉีด อีกทั้ง ฟิลเลอร์ Neauvia ยังมีส่วนประกอบอื่น ๆ ที่สำคัญอีกมากมาย เช่น CaHA ซึ่งเป็นสารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน พร้อมปรับปรุงคุณภาพผิว ทำให้ผิวแข็งแรงและอ่อนเยาว์มากขึ้น

        ฟิลเลอร์ Juvederm

        • ฟิลเลอร์ Juvederm เป็นฟิลเลอร์ที่ได้รับความนิยมมาอย่างยาวนาน ซึ่งใช้ 2 เทคโนโลยีในการผลิต ได้แก่ Hylacross Technology เทคโนโลยีเริ่มแรกของฟิลเลอร์ Juvederm เป็นเทคโนโลยีที่ทำให้เนื้อฟิลเลอร์ มีความแข็งแรงและมีความยืดหยุ่นสูง สามารถเคลื่อนไหวใบหน้าได้อย่างเป็นธรรมชาติ อุ้มน้ำได้ดีมาก ทำให้ผิวอิ่มฟู คงรูปได้นานขึ้น นอกจากนี้ ยังมี Vycross Technology เทคโนโลยีล่าสุดของฟิลเลอร์ Juvederm เป็นเทคโนโลยีที่ทำให้เนื้อฟิลเลอร์มีความคงรูปได้ดีขึ้น มีความโดดเด่นในการยกกระชับ ปรับรูปหน้า สามารถยึดเกาะกับผิวได้ดี โดยเรียบเนียนไปกับผิว บวมน้ำน้อย และไม่เป็นก้อน

        ฟิลเลอร์ Restylane

        • ฟิลเลอร์ Restylane เป็นอีกหนึ่งยี่ห้อฟิลเลอร์ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ซึ่งใช้ 2 เทคโนโลยีในการผลิต ได้แก่ NASHA Technology เป็นเทคโนโลยีที่ทำให้เนื้อฟิลเลอร์มีความคงตัว แข็งแรง และมีความยืดหยุ่น ไม่ทำให้ฟิลเลอร์ไหลง่าย มีความโดดเด่นในการยกกระชับ ปรับรูปหน้า และเติมเต็มร่องลึก นอกจากนี้ ยังมี OBT Technology เป็นเทคโนโลยีที่ทำให้ฟิลเลอร์กระจายตัวได้ดี มีความยืดหยุ่น ปรับรูปทรงได้อย่างหลากหลาย มีความโดดเด่นในการเติมเต็มริ้วรอยและร่องลึกได้อย่างมีประสิทธิภาพ

        ฟิลเลอร์ Belotero

        • ฟิลเลอร์ Belotero เป็นฟิลเลอร์ที่ใช้ CPM Technology (Cohesive Polydensified Matrix) ในการผลิต ทำให้ฟิลเลอร์สามารถอุ้มน้ำได้สูง เนื้อฟิลเลอร์มีความแข็งแรง ยืดหยุ่น สามารถเข้ากับผิวได้ดี และมีความเรียบเนียนไปกับผิว สามารถตอบโจทย์ความต้องการในการปรับรูปหน้า และเติมเต็มริ้วรอย ร่องลึกได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีความเป็นธรรมชาติ ไม่ไหล ไม่เป็นก้อน

         

        รวมคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับฟิลเลอร์ Neauvia

        ฟิลเลอร์ Neauvia ปลอดภัยไหม?

        • ฟิลเลอร์ Neauvia มีความปลอดภัย เนื่องจากมีสาร PEG ซึ่งเป็นสารที่ไม่กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย มีคุณสมบัติในการลดการอักเสบ ไม่ทำให้เกิดอาการบวมช้ำหลังฉีด จึงทำให้ฟิลเลอร์ Neauvia มีความปลอดภัยสูง สามารถขจัดออกจากร่างกายได้ทั้งหมด ไม่ทิ้งสารตกค้างในร่างกาย นอกจากนี้ ฟิลเลอร์ Neauvia ยังได้รับการรับรองจาก สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย. ของไทย อีกด้วย

         

        ฟิลเลอร์ Neauvia ฉีดกี่ครั้งถึงจะเห็นผล?

        • หลังฉีดฟิลเลอร์ Neauvia สามารถเห็นผลได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉีด แต่จะเห็นผลลัพธ์ชัดเจนที่สุด เมื่อฟิลเลอร์เข้าที่และเรียบเนียนไปกับผิว หลังจากฉีด 1 – 2 สัปดาห์ แต่สำหรับ Neauvia Hydro Deluxe แนะนำให้ฉีดอย่างต่อเนื่อง ประมาณ 3 ครั้ง โดยเว้นระยะเวลาห่างกันเดือนละ 1 ครั้ง จะทำให้ผลลัพธ์อยู่ได้นานมากขึ้น

         

        ฟิลเลอร์ Neauvia ฉีดแล้วเจ็บไหม?

        • ก่อนฉีดฟิลเลอร์ Neauvia จะมีการทายาชาในบริเวณที่ฉีด เพื่อลดความรู้สึกเจ็บปวดระหว่างการฉีดได้ หลังจากยาชาเริ่มออกฤทธิ์แล้ว จะรู้สึกตึง ๆ เจ็บเล็กน้อย หรืออาจจะไม่รู้สึกเจ็บเลย ทั้งนี้ ขึ้นอยู่บริเวณที่ฉีดและเทคนิคการฉีดของแพทย์แต่ละท่านด้วย

         

        ฟิลเลอร์ Neauvia สามารถทำร่วมกับหัตถการอื่น ๆ ได้ไหม?

        • ฟิลเลอร์ Neauvia สามารถทำร่วมกับหัตถการอื่น ๆ ได้ เนื่องจากฟิลเลอร์ Neauvia มีคุณสมบัติพิเศษที่แตกต่างจากฟิลเลอร์ทั่วไป นั่นคือ ทนความร้อนได้ดี ทำให้สามารถทำร่วมกับหัตถการที่ใช้ความร้อนได้ เช่น เลเซอร์สิว, เลเซอร์หน้าใส, Thermage หรือ Ultraformer MPT ทั้งนี้ แนะนำให้ปรึกษาแพทย์อย่างละเอียด ก่อนตัดสินใจทำหัตถการใด ๆ โดยแพทย์จะเป็นผู้ประเมินสภาพผิวและให้คำแนะนำที่เหมาะสม เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

         

        ฟิลเลอร์ Neauvia เป็นฟิลเลอร์อีกหนึ่งยี่ห้อที่เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการเติมเต็มร่องลึก ปรับรูปหน้า หรือแม้แต่ฉีดงานผิวได้เป็นอย่างดี ด้วยเทคโนโลยีการผลิตที่โดดเด่น อัดแน่นไปด้วยส่วนประกอบที่มีคุณภาพอย่าง PEG, CaHA, L-Proline และ Glycine ที่ทำให้ฟิลเลอร์มีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูง ซึ่งแตกต่างจากฟิลเลอร์ทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด ที่สำคัญ แนะนำให้ฉีดฟิลเลอร์ Neauvia กับแพทย์ที่มีประสบการณ์ คลินิกที่ได้มาตรฐาน มีความน่าเชื่อถือ และใช้ฟิลเลอร์แท้ได้รับการรับรองจาก อย. ไทย เท่านั้น เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ธรรมชาติและปลอดภัยที่สุด

        ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




          วันที่สะดวกในการติดต่อ





          ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ แก้ปัญหาหน้าโทรม โหนกแก้มชัด อัพเดทล่าสุด 2024

          ฟิลเลอร์แก้มตอบ

          ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




            วันที่สะดวกในการติดต่อ





            ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ แก้ปัญหาโหนกแก้มสูง หน้าโทรม ดูมีอายุ อัปเดตล่าสุด 2024

            ปัญหาแก้มตอบ หน้าตอบ เป็นปัญหาที่ไม่ต้องมีอายุก็สามารถเกิดขึ้นได้ โดยปัญหานี้ทำให้ใบหน้าดูมีอายุและโทรม ไม่สดใส ปัญหานี้สามารถพบได้ทั่วไปได้ทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย ซึ่งวิธีการแก้ปัญหาที่ได้รับความนิยมที่สุดในขณะนี้คือ การฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ การฉีดแก้มตอบเพื่อการเติมเต็มใบหน้าให้ดูอิ่มฟูและดูหน้าเด็กมากขึ้น แก้ปัญหาโหนกแก้มชัดได้อย่างตรงจุด แบบไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น 

            วันนี้รมย์รวินท์คลินิกได้รวบรวมข้อมูลสำคัญของการฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบว่า ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบคืออะไร ปัญหาแก้มตอบเกิดจากอะไร ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบอันตรายไหม ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบอยู่ได้นานไหม และรวมทุกเรื่องที่ต้องรู้เกี่ยวกับการฉีดแก้มตอบ

             

            ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ แก้ปัญหาหน้าโทรม โหนกแก้มชัด 

            ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ คืออะไร?

            ฟิลเลอร์แก้มตอบ หรือ การฉีดแก้มตอบ เป็นการฉีดสารเติมเต็มประเภทไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic : HA) เพื่อแก้ปัญหาแก้มตอบ โหนกแก้มสูง สาเหตุที่ทำให้ใบหน้าโทรมและดูมีอายุ โดยเนื้อฟิลเลอร์จะเข้าไปทดแทนในส่วนของเนื้อที่หายไป ช่วยให้บริเวณแก้มตอบกลับมาเต็มขึ้น ช่วยให้ใบหน้าดูสดใส อ่อนเยาว์ และปรับใบหน้าให้มีโหงวเฮ้งที่ดีมากขึ้น

            ฟิลเลอร์แก้มตอบ

            ปัญหาแก้มตอบ เกิดจากอะไร?

            ปัญหาแก้มตอบที่ต้องแก้ไขด้วยการฉีดแก้มตอบ เกิดจากสาเหตุ ดังนี้

            • อายุที่เพิ่มมากขึ้น

            เมื่ออายุเพิ่มขึ้น ทำให้ผิวเกิดการสูญเสียคอลลาเจน อีลาสติน และไขมัน ที่เป็นส่วนในการช่วยยกพยุงใบหน้า โดยบริเวณแก้มที่เคยมีเนื้อเริ่มซูบลง ทำให้เกิดเป็นปัญหาแก้มตอบ จนทำให้ใบหน้าเป็นแอ่งยุบลึกลงไป

            • พันธุกรรม

            ผู้ที่เกิดปัญหาแก้มตอบจากพันธุกรรม เกิดจากการที่กระดูกส่วนกลางของบริเวณแก้ม เกิดการยุบตัวลงมากเกินไป ทำให้เนื้อแก้มยุบตามลง หรือผู้ที่มีปัญหาโหนกแก้มสูง สามารถทำให้แก้มดูตอบได้เหมือนกัน

            • การฉีดโบกราม

            การฉีดโบลดกรามเป็นเพียงการทำให้บริเวณกรามเล็กลงเท่านั้น การที่ฉีดโบกรามจนเกิดปัญหาหน้าตอบ เกิดจากการฉีดโบกับแพทย์ที่ไม่มีประสบการณ์หรือหมอกระเป๋า ใช้ปริมาณฉีดโบที่ไม่เหมาะสม ฉีดโบมากจนเกินไป จนทำให้บริเวณกล้ามเนื้อกรามเล็กลง จนทำให้แก้มตอบลงกว่าเดิม

            • น้ำหนักลดลงเร็วเกินไป

            ปัญหาแก้มตอบที่พบได้บ่อยมากที่สุด คือการลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว จนทำให้เกิดการสูญเสียไขมันในร่างกาย รวมไปถึงไขมันบนใบหน้าที่จะเห็นได้ชัดเจนว่าแก้มตอบมาก

            • การถอนฟันและการจัดฟัน

            ปัญหาแก้มตอบที่เกิดจากการจัดฟัน มาจากการจัดฟันทำให้รับประทานอาหารได้อย่างลำบาก ทำให้ไขมันที่สะสมบริเวณใบหน้าลดลง และเมื่อฟันอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง เนื้อริมฝีปากจะยุบตามตำแหน่งของฟัน ทำให้โหนกแก้มสูงขึ้นและแก้มตอบลง

            ฟิลเลอร์แก้มตอบ

            ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ ช่วยอะไร?

            ผู้ที่มีปัญหาแก้มตอบ การฉีดฟิลเลอร์แก้มนับเป็นการช่วยแก้ปัญหาแก้มตอบได้อย่างตรงจุด และยังเป็นหัตถการที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย เพราะการฉีดแก้มตอบไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น เห็นผลลัพธ์ทันทีหลังทำ การฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบช่วยแก้ปัญหา ดังนี้

            • ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ ช่วยเติมเต็มบริเวณแก้มที่เป็นแอ่งจากชั้นไขมันยุบตัวลงให้อิ่มฟูขึ้น
            • ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ ช่วยฟื้นฟูใบหน้าให้ดูสดใสเปล่งปลั่งขึ้น
            • ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ ช่วยแก้ไขปัญหาใบหน้าหย่อนคล้อย
            • ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ ช่วยให้ใบหน้ามีความอิ่มฟู แลดูสุขภาพดี
            • ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ ช่วยเสริมโหงวเฮ้งใบหน้าให้ดีขึ้น
            • ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ  ช่วยลดโหนกแก้ม ให้ใบหน้าดูเด็กลงอย่างเป็นธรรมชาติ

            ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ เหมาะกับใครบ้าง?

            • ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาการยุบตัวของไขมันบริเวณแก้ม เนื่องจากมีอายุเพิ่มขึ้น
            • ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาแก้มจากการจัดฟัน น้ำหนักที่ลดลง หรืออายุที่เพิ่มขึ้น
            • ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ เหมาะกับผู้ที่ไม่มีเวลาในการพักฟื้นนาน
            • ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ เหมาะกับผู้ที่ไม่อยากมีบาดแผล
            • ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ เหมาะกับผู้ที่ต้องการเติมเต็มใบหน้าแบบไม่ต้องผ่าตัด
            • ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ เหมาะกับผู้ที่ต้องการเห็นผลลัพธ์หลังทำทันที
            • ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ เหมาะกับผู้ที่หน้าสองข้างไม่เท่ากัน ต้องการปรับให้รูปหน้าสมส่วนขึ้น
            • ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ เหมาะกับผู้ที่อยากฉีดแก้มตอบเพื่อเติมเต็มใบหน้า
            • ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ เหมาะกับผู้ที่มีโหนกแก้มสูง โดยพันธุกรรม

            ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ ไม่เหมาะกับใคร?

            • ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ ไม่เหมาะกับสตรีมีครรภ์ หรือสตรีที่กำลังให้นมบุตร 
            • ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ ไม่เหมาะกับผู้ที่ป่วยเรื้อรังบางประเภท เช่น เบาหวาน ไวรัสตับอักเสบบี และภูมิคุ้มกันบกพร่อง
            • ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ ไม่เหมาะกับผู้ที่มีประวัติแพ้สารไฮยารูลอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid : HA)
            • ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ ไม่เหมาะกับผู้ที่มีรอยแผลเปิดบริเวณที่ต้องการฉีดแก้มตอบ ควรรักษาให้หายก่อนฉีด
            • ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ ไม่เหมาะกับผู้ที่เป็นเริม หรือ งูสวัด
            • ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ ไม่เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาเลือดออกแล้วหยุดยาก ฟกช้ำง่าย จากการรับประทานยาบางชนิด เช่น ยาแก้ปวด วิตามินอี เป็นต้น
            • ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ ไม่เหมาะกับผู้ที่มีประวัติเป็นแผลคีลอยด์ง่าย
            • ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ ไม่เหมาะกับผู้ที่แพ้ยาชา

            ฟิลเลอร์แก้มตอบ

            ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ มีข้อดีอย่างไร?

            ข้อดีของการฉีดแก้มตอบ มีดังนี้

            • ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ เป็นหัตถการที่ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้นนาน ใช้ชีวิตประจำวันปกติหลังทำได้ทันที
            • ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ ช่วยแก้ปัญหาแก้มตอบ หน้าไม่เท่ากัน
            • ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ ช่วยให้ใบหน้าดูอิ่มฟู สดใส อ่อนเยาว์
            • ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ สามารถทดแทนไขมันบริเวณแก้มที่หายไป ให้กลับมาเรียบเนียนขึ้น
            • ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ มีความปลอดภัย ฟิลเลอร์สลายได้เองตามธรรมชาติ
            • ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ ช่วยลดโหนกแก้มสูง ให้มีความเด่นน้อยลง
            • ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ สามารถฉีดแก้มตอบได้เรื่อย ๆ เนื่องจากฟิลเลอร์สามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ

            ฟิลเลอร์แก้มตอบ

            ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ เลือกยี่ห้อไหนดี?

            การฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ เพื่อเติมให้บริเวณแก้มที่ตอบดูเต็มขึ้น ต้องใช้ฟิลเลอร์ที่มีเนื้อแน่น มีความคงตัว สามารถกลืนกับผิวได้เป็นอย่างดี  ดังนั้นก่อนฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ แพทย์จะทำการประเมินรูปหน้าจากปัญหาและสภาพผิวอย่างละเอียด เนื่องจากในแต่ละบุคคลมีปัญหาที่แตกต่างกัน การเลือกฟิลเลอร์ที่เหมาะสมกับปัญหา จะช่วยทำให้ผลลัพธ์หลังทำออกมาสวยงามอย่างเป็นธรรมชาติ โดยยี่ห้อฟิลเลอร์ฉีดแก้มตอบที่เหมาะแก้ปัญหาแก้มตอบ มีดังนี้

            ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบยี่ห้อ Juvederm

            ฟิลเลอร์ Juvederm ฟิลเลอร์ฉีดแก้มตอบ จากประเทศสหรัฐอเมริกา ใช้เทคโนโลยีการผลิต Hylacross Technology และ Vycross Technology ฟิลเลอร์รุ่นที่เหมาะกับการฉีดแก้มตอบ มีดังนี้

            • ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ Juvederm Volift : ฟิลเลอร์เทคโนโลยี Vycross Technology ที่เนื้อฟิลเลอร์ลักษณะเนื้อนิ่มแบบปานกลาง มีความละเอียดและเรียบเนียน เหมาะกับการเติมร่องแก้ม แก้มตอบ ร่องน้ำหมาก และปาก อยู่ได้นาน 12 เดือน
            • ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ Juvederm Voluma : ฟิลเลอร์เทคโนโลยี Vycross Technology ที่เนื้อฟิลเลอร์ลักษณะเนื้อแข็งที่ฟูปานกลาง มีความยืดหยุ่นและแน่นตัว เหมาะกับการเติมเต็มร่องลึก เช่นขมับ ร่องแก้ม แก้มตอบ แก้มส้ม อยู่ได้นาน 18-24 เดือน

            ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบยี่ห้อ Restylane

            ฟิลเลอร์ Restylane ฟิลเลอร์ฉีดแก้มตอบ จากประเทศสวีเดน ใช้เทคโนโลยีการผลิต NASHA Technology และ OBT Technology ฟิลเลอร์รุ่นที่เหมาะกับการฉีดแก้มตอบ มีดังนี้

            • ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ Restylane Volyme ฟิลเลอร์เทคโนโลยี OBT Technology ที่ออกแบบมาสำหรับเติมเต็มชั้นผิวบริเวณใบหน้าให้มีความอิ่มฟูขึ้น ใช้สำหรับการเติมเต็มส่วนที่ลึกหรือตอบลง เช่น แก้มตอบ อยู่ได้นาน 18 เดือน

            ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบยี่ห้อ Belotero

            ฟิลเลอร์ Belotero ฟิลเลอร์ฉีดแก้มตอบ จากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ใช้เทคโนโลยีการผลิต Cohesive Polydensified Matrix (CPM) ฟิลเลอร์รุ่นที่เหมาะกับการฉีดแก้มตอบ มีดังนี้

            • ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ Belotero Intense ฟิลเลอร์ที่มีความยืดหยุ่นสูง เหมาะกับการเติมเต็มร่องลึก เช่น แก้มตอบ ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก อยู่ได้นาน 18 เดือน

            ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ มีผลข้างเคียงไหม?

            การฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ หรือการฉีดแก้มตอบ มีความปลอดภัย เนื่องจากใช้ฟิลเลอร์แท้ ที่ได้รับการรับรองจากองค์การอาการและยาของประเทศไทย และผ่านการรับรองจาก KFDA ของประเทศเกาหลี หรือ FDA ของประเทศสหรัฐอเมริกา ดังนั้นการฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบจะมีความปลอดภัยและมีคุณภาพที่ดีได้ ต้องฉีดกับแพทย์ที่มีความชำนาญการ คลินิกและสถานพยาบาลต้องมีมาตรฐานและน่าเชื่อถือ ใช้ฟิลเลอร์แท้ที่เหมาะสมกับตำแหน่งของปัญหา เท่านั้น

            ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ vs เติมไขมันใบหน้า ต่างกันอย่างไร?

            • การฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ เป็นการฉีดสารเติมเต็มประเภทไฮยารูลอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid : HA) ที่มีความปลอดภัยสูงเข้าสู่บริเวณแก้ม ไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีร้อยแผล และไม่ต้องพักฟื้น หลังฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบจะเห็นผลลัพธ์ทันที และเห็นผลลัพธ์ชัดเจนเต็มที่ใน 2 สัปดาห์ ในช่วงหลังฉีดแก้มตอบอาจมีอาการบวมเข็มหรือบวมฟิลเลอร์ จะค่อย ๆ หายได้เองใน 2-3 วัน ซึ่งระยะเวลาของผลลัพธ์การฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ ขึ้นอยู่กับยี่ห้อของฟิลเลอร์ที่เลือกใช้
            • การเติมไขมัน เป็นการดูดไขมันจากบริเวณอื่นของร่างกาย มาทำการปั่นแยกไขมันเพื่อเติมเต็มบริเวณแก้ม ลดโอกาสการเสี่ยงอาการแพ้ เนื่องจากใช้ไขมันของตัวเอง มีรอยแผลในบริเวณที่มีการดูดไขมัน ผลลัพธ์อยู่ได้ไม่นาน ต้องทำซ้ำหลายครั้งถึงจะได้ผลลัพธ์ที่ดี และอาจเกิดปัญหาผิวไม่เรียบเนียน ทั้งนี้การเติมไขมันจะใช้เวลาเห็นผลลัพธ์ชัดเจนประมาณ 3 เดือน

            ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ vs ฟิลเลอร์แก้มส้ม vs ฟิลเลอร์หน้าแก้ม ต่างกันอย่างไร?

            • ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ : เป็นการฉีดแก้มตอบช่วงบริเวณใต้โหนกแก้มลงมา เพื่อแก้ปัญหาแก้มตอบ โหนกแก้มสูง ใบหน้าสองฝั่งไม่เท่ากัน ช่วยให้ใบหน้ามีความอิ่มฟูและใบหน้าเต็มสมส่วนมากขึ้น
            • ฉีดฟิลเลอร์แก้มส้ม : เป็นการฉีดแก้มส้มช่วงบริเวณพวงแก้ม เพื่อเติมหน้าแก้มที่ยุบตัว ให้กลับมาเต็มและอิ่ีมฟูขึ้น ช่วยแก้ปัญหาใบหน้าที่มีความหย่อนคล้อย ให้กลับมายกกระชับ มักทำควบคู่กับการฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา และฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม
            • ฉีดฟิลเลอร์หน้าแก้ม : เป็การฉีดฟิลเลอร์บริเวณที่อยู่ระหว่างใต้ตากับแก้มและโหนกแก้มกับจมูก เพื่อให้แก้มมีความกลมมนมากขึ้น แก้มมีความอิ่มฟู ช่วยให้ใบหน้าดูมีมิติและดูเด็กลงพร้อมกัน

            ฟิลเลอร์แก้มตอบ

            ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ เตรียมตัวและดูแลตนเองก่อน-หลังฉีดแก้มตอบอย่างไร?

            การเตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ

            • ก่อนฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ งดการทานวิตามินและอาหารเสริมบางประเภท ที่เกี่ยวกับการไหลเวียนโลหิต เช่น วิตามินซี วิตามินอี น้ำมันปลา ประมาณ 2 สัปดาห์
            • ก่อนฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 2 สัปดาห์
            • ก่อนฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ งดการทำเลเซอร์เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 4-6 สัปดาห์
            • ก่อนฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ งดกิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีดเพิ่มมากขึ้น เช่น ปั่นจักรยาน วิ่ง ว่ายน้ำ เป็นต้น
            • ก่อนฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ หลีกเลี่ยงการแต่งหน้าในวันทำหัตถการ เนื่องจากอาจมีสิ่งสกปรกหรือเครื่องสำอางตกค้างบริเวณใบหน้า
            • ก่อนฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ งดการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ที่มีส่วนผสมที่มีคุณสมบัติผลัดเซลล์ผิว
            • ก่อนฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ ควรแจ้งประวัติการแพ้ยาและโรคประจำตัว กับแพทย์ก่อนฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ
            • ก่อนฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ ควรแจ้งประวัติการทำหัตถการและประวัติการทำศัลยกรรม

            ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ

            • ก่อนฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ แพทย์จะประเมินสภาพผิวหน้าและปัญหาของผิวหน้า เพื่อวางแผนการเลือกยี่ห้อฟิลเลอร์ ปริมาณของฟิลเลอร์ และจุดที่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ
            • เริ่มทำความสะอาดผิวหน้าเพื่อกำจัดสิ่งสกปรกและเครื่องสำอางที่อยู่บนผิว เพื่อเตรียมพร้อมก่อนฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ และมีการทายาชาก่อนฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบเพื่อบรรเทาอาการเจ็บระหว่างการรักษา
            • แพทย์จะเริ่มฉีดฟิลเลอร์เข้าไปในชั้นผิวหนังด้วยเข็มฉีดยา โดยปกติทั่วไปจะอยู่บริเวณตรงกรามและบริเวณแก้มทั้งสองข้าง 
            • เมื่อฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ แพทย์อาจนวดบริเวณที่ฉีดเพื่อกระจายเนื้อฟิลเลอร์ให้เข้าที่
            • แพทย์จะให้คำแนะนำการดูแลหลังฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ ควรปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เพื่อผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ

            ฟิลเลอร์แก้มตอบ

            การดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ

            • หลังฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ หลีกเลี่ยงการนอนคว่ำและนอนตะแคงบริเวณที่ฉีดแก้มตอบ เพื่อป้องกันฟิลเลอร์เคลื่อนที่
            • หลังฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ หากมีอาการบวม สามารถประคบเย็นและรับประทานยาเพื่อบรรเทาอาการปวดได้
            • หลังฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ งดแต่งหน้าและใช้ครีมบำรุงทุกชนิดใน 24 ชั่วโมงแรก
            • หลังฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ งดออกกำลังกายหนักหรือกิจกรรมที่ทำให้ใบหน้าเสี่ยงกระแทก ในช่วง 24-48 ชั่วโมงแรก
            • หลังฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ หลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดดโดยตรง อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์
            • หลังฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ งดอาหารรสจัด แอลกอฮอล์ และบุหรี่ อย่างน้อย 1 สัปดาห์
            • หลังฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ ควรดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อให้ผิวชุ่มชื้น และฟิลเลอร์คงสภาพมากขึ้น
            • หลังฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ หลีกเลี่ยงความร้อนทุกชนิด เช่น เลเซอร์ ซาวน่า 
            • หลังฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ งดขยับใบหน้าเยอะ ในช่วง 3 วันแรกที่ทำ 

            ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ กับ คำถามที่พบบ่อย

            ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ ใช้ฟิลเลอร์กี่ cc?

            • โดยปกติการฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบจะใช้ตั้งแต่ 2 CC ขึ้นไป โดยแพทย์จะเป็นผู้ประเมินและวิเคราะห์ใบหน้าก่อนฉีดแก้มตอบ เพื่อให้ได้ปริมาณที่เหมาะสมกับปัญหาของแต่ละบุคคล

            ฉีดฟิลเลอร์เติมแก้มตอบ อยู่ได้กี่เดือน? 

            • การฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนและอยู่ได้นาน 12-24 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อและรุ่นของฟิลเลอร์ที่เลือกใช้ในการฉีดแก้มตอบ เนื่องจากฟิลเลอร์นั้นจะเริ่มย่อยสลายเองตามธรรมชาติ หลังจากที่ฟิลเลอร์เริ่มสลาย สามารถฉีดแก้มตอบซ้ำได้ เพื่อรักษาผลลัพธ์ของใบหน้าอิ่มฟูอยู่เสมอ

            ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ ฉีดซ้ำได้ไหม?

            • ในการฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบสามารถฉีดซ้ำเพื่อรักษาผลลัพธ์นานต่อเนื่องได้ เนื่องจากฟิลเลอร์แท้สามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ หากต้องการใบหน้าอิ่มฟูและดูเด็กตลอดเวลา ต้องฉีดแก้มตอบซ้ำเพื่อให้ผลลัพธ์ยังคงอยู่เสมอ

            หลังฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ ห้ามทานอะไร?

            • หลังฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก แนะนำว่าควรงดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ งดสูบบุหรี่ งดการรับประทานอาหารรสจัด อาหารหมักดอง อาหารไม่สุก รวมไปถึงอาหารเสริมบางชนิด เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงในการติดเชื้อ

            ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ กับ ฉีดไขมันเสริมแก้ม แบบไหนดีกว่ากัน?

            • การฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบกับการฉีดไขมันเสริมแก้ม มีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันออกไป การฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ หรือการฉีดแก้มตอบ เหมาะกับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์รวดเร็ว ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น ส่วนการฉีดไขมันเสริมแก้ม เหมาะกับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์แบบถาวร ซึ่งทั้ง 2 หัตถการควรปรึกษาแพทย์ผู้ชำนาญการเพื่อเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมในแต่ละบุคคลเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

            ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ กับ ร้อยไหมยกแก้ม แบบไหนดีกว่ากัน?

            • การฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบจะเหมาะกับผู้ที่อายุ 25 ปีขึ้นไป ที่มีปัญหาแก้มตอบ แก้มซูบ หรือแก้มยุบเป็นแอ่งเว้า การฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบสามารถช่วยเติมใบหน้าบริเวณแก้มให้ดูเต็มและอิ่มฟูขึ้น ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ ผิวกระชับมากขึ้น เป็นหัตถาการที่แก้ปัญหาแก้มตอบได้อย่างตรงจุด ส่วนการร้อยไหมยกแก้ม เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาแก้มห้อยและแก้มตอบ ส่วนมากจะพบได้ในผู้ที่มีอายุเยอะที่โครงสร้างผิวไม่แข็งแรง กระดูกทรุดตัวลง ผิวหนังยุบตัว ทำให้ผิวไม่มีที่ยึดเกาะ จึงทำให้แก้มห้อยและหย่อนคล้อย

            ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ เจ็บไหม?

            • ในการฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ แพทย์จะทำการทายาชาบริเวณที่ต้องการก่อนฉีดแก้มตอบ เพื่อบรรเทาอาการเจ็บขณะฉีด เมื่อยาชาออกฤทธิ์ผิวบริเวณที่ต้องการฉีดจะรู้สึกชา ทำให้ระหว่างการฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบจะรู้สึกตึง ๆ เท่านั้น อาจมีอาการปวดหลังฉีดแก้มตอบประมาณ 1-3 วัน สามารถรับประทานยาบรรเทาอาการปวดได้

            ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ พักฟื้นนานแค่ไหน?

            • การฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ โดยปกติทั่วไปไม่จำเป็นต้องพักฟื้นนาน สามารถทำกิจวัตรได้ตามปกติหลังฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ หากมีอาการบวม ควรงดการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้า 3-5 วัน สามารถประคบเย็นหลังฉีดแก้มตอบในช่วงแรก เพราะจะช่วยบรรเทาอาการบวมและปวดได้ดี

            ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ หน้าบวมและหน้าช้ำไหม?

            • สำหรับผู้ที่มีผิวบอบบาง ช้ำง่าย อาจมีรอยเขียวช้ำหลังฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ สามารถหายได้เอง ประมาณ 7-14 วัน สามารถรับประทานยาหรือทายาที่ช่วยลดอาการบวมช้ำได้ ส่วนอาการบวม ปวด หลังจากฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ เป็นอาการที่พบได้ปกติทั่วไป สามารถรับประทานยาบรรเทาอาการปวดได้ โดยอาการเหล่านี้จะหายได้เองภายใน 5-7 วัน

            ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ ช่วยลดโหนกแก้มได้จริงไหม?

            • สำหรับผู้ที่มีปัญหาโหนกแห้มสูง โหนกแก้มเด่นชัด การฉีดฟิลเลอร์ขมับจะช่วยพรางให้โหนกแก้มดูเล็กลงได้ ซึ่งการฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบควบคู่กับการฉีดฟิลเลอร์ขมับ จะช่วยให้โหนกแก้มสูง ดูเล็กลงอย่างเห็นได้ชัดเจน และช่วยให้ใบหน้าดูอิ่มฟูมากขึ้นอีกด้วย

            ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ ต้องฉีดตั้งแต่อายุเท่าไหร่?

            • ปัญหาแก้มตอบ แก้มซูบ ใบหน้าไม่เท่ากัน ไม่ได้เกิดขึ้นกับผู้ที่มีอายุเยอะเท่านั้น แต่สามารถเกิดจากโครงกระดูกของใบหน้า การลดน้ำหนัก หรือการจัดฟัน ดังนั้นหากเริ่มมีปัญหาแก้มตอบ แก้มซูบ และเริ่มเห็นโหนกแก้มชัดขึ้น สามารถแก้ปัญหาด้วยการฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบเพื่อพยุงบริเวณแก้ม ไม่ให้แก้มตอบหรือแก้มซูบมากกว่าเดิม

            ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ มีข้อควรระวังไหม?

            การฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ จำเป็นต้องทราบข้อควรระวังในการฉีดแก้มตอบก่อนทำหัตถการ โดยข้อควรระวัง มีดังนี้

            • ระวังการฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบที่ไม่ได้มาตรฐาน ควรตรวจสอบกล่องยาก่อนทุกครั้งว่าได้รับการรับรองมาตรฐานอย่างถูกต้อง
            • การฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ จำเป็นต้องฉีดกับแพทย์ที่มีความชำนาญการเท่านั้น เนื่องจากการฉีดแก้มตอบต้องมีเทคนิคในการฉีด และใช้ประสบการณ์ด้านการฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบโดยเฉพาะ เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ดีอย่างมีประสิทธิภาพ

            การฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ เป็นการฉีดแก้มตอบเพื่อเติมเต็มบริเวณแก้มตอบ แก้มซูบให้กลับมาอิ่มฟูและอ่อนเยาว์มากขึ้น ซึ่งปัญหาแก้มตอบ แก้มซูบ มาจากหลากหลายสาเหตุ เช่น พันธุกรรม อายุ การจัดฟัน การลดน้ำหนัก การแก้ไขปัญหาด้วยการฉีดฟิลเลอร์แก้ม เป็นหัตถการที่ตอบโจทย์แก้มตอบโดยเฉพาะ อีกทั้งยังช่วยลดโหนกแก้มสูงให้เล็กลง ช่วยให้ใบหน้าเรียวสวยดูสมส่วนมากขึ้น

            ก่อนตัดสินเลือกฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ ควรตรวจสอบและเลือกคลินิกหรือสถานพยาบาลที่มีมาตรฐาน สะอาดและปลอดภัย มีทีมแพทย์ที่มีประสบการณ์ด้านการฉีดฟิลเลอร์ เลือกใช้ฟิลเลอร์แท้เท่านั้น

            สำหรับใครที่กำลังสนใจอยากฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ เพื่อแก้ปัญหาแก้มตอบ แก้มซูบ ใบหน้าไม่เท่ากัน รวมไปถึงปัญหาโหนกแก้มสูง สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือปรึกษากับรมย์รวินท์คลินิกก่อนตัดสินใจเลือกฉีดแก้มตอบได้ทุกสาขาใกล้บ้านคุณ 

             

            ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




              วันที่สะดวกในการติดต่อ





              Art Filler คืออะไร? มีกี่รุ่น? อยู่ได้นานแค่ไหน? ดียังไง?

              ART Filler

              ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




                วันที่สะดวกในการติดต่อ





                ทำความรู้จักฟิลเลอร์ Art Filler คืออะไร? มีกี่รุ่น? อยู่ได้นานแค่ไหน?

                ปัจจุบันฟิลเลอร์มีหลากหลายยี่ห้อ ถึงแม้จะมีส่วนประกอบหลักจากไฮยาลูรอนิกเหมือนกัน แต่ก็มีความแตกต่างกันในเรื่องของเทคโนโลยีและขั้นตอนในการผลิตอย่างชัดเจน ซึ่งแต่ละยี่ห้อก็มีลักษณะเฉพาะตัวที่ต่างกัน เช่น ความหนาแน่น ขนาดอนุภาค ความยืดหยุ่น รวมถึงระยะเวลาคงสภาพของฟิลเลอร์เช่นกัน

                วันนี้ รมย์รวินท์คลินิก จะพามาทำความรู้จักกับ Art Filler ฟิลเลอร์ตัวดังอีกหนึ่งยี่ห้อจากประเทศฝรั่งเศส ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในวงการความงาม สำหรับใครที่กำลังสงสัยว่า ฟิลเลอร์ Art Filler คืออะไร? มีจุดเด่นอย่างไร? มีทั้งหมดกี่รุ่น? บทความนี้รวมมาให้แล้ว

                รวมเรื่องที่ควรรู้! ฟิลเลอร์ Art Filler ดีไหม? แต่ละรุ่นต่างกันอย่างไร? อยู่ได้นานแค่ไหน?

                ฟิลเลอร์ Art Filler คืออะไร?

                Art Filler เป็นแบรนด์ฟิลเลอร์คุณภาพสูงจากประเทศฝรั่งเศส ถูกพัฒนาโดยบริษัท FILLMED Laboratories นำเข้าและจัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการโดยบริษัท Dermatologic ซึ่งฟิลเลอร์ Art Filler ผลิตจากกรดไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid – HA) เป็นสารเติมเต็มผิวธรรมชาติที่พบได้ในร่างกายของเรา มีคุณสมบัติในการอุ้มน้ำ ทำให้ผิวอิ่มฟู มีความชุ่มชื้น และเรียบเนียน ผลลัพธ์หลังฉีดฟิลเลอร์ดูเป็นธรรมชาติ มีความปลอดภัย และอยู่ได้นาน รวมถึง มีส่วนผสมของยาชา 0.3% (Lidocaine) ทำให้ลดความรู้สึกเจ็บปวดขณะฉีดฟิลเลอร์ นอกจากนี้ Art Filler ยังมีหลากหลายรุ่นที่ออกแบบมา เพื่อตอบโจทย์ปัญหาผิวที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นการเติมเต็มร่องลึก เพิ่มวอลุ่ม หรือปรับรูปหน้า

                ART Filler

                ฟิลเลอร์ Art Filler มีจุดเด่นอย่างไร?

                จุดเด่นของฟิลเลอร์ Art Filler คือ ใช้เทคโนโลยีพิเศษ TRI-HYAL Technology ซึ่งเทคโนโลยี TRI-HYAL เป็นการผสมผสานโมเลกุลไฮยาลูรอนิกที่มีรูปแบบแตกต่างกัน 3 รูปแบบเข้าด้วยกัน ได้แก่ Free hyaluronic acid, Long chains และ Very long chains โดยการผสมผสานไฮยาลูรอนิกทั้ง 3 รูปแบบนี้ ทำให้ฟิลเลอร์ Art Filler มีความยืดหยุ่น เรียบเนียน และกลืนไปกับผิวได้เป็นอย่างดี สามารถแก้ไขปัญหาผิวได้อย่างครอบคลุม ตอบโจทย์ปัญหาผิวที่แตกต่างกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตั้งแต่การเพิ่มความชุ่มชื่น เติมเต็มริ้วรอย ไปจนถึงการปรับรูปหน้าให้ดูอิ่มฟู ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้ดูเป็นธรรมชาติและคงอยู่ได้ยาวนานยิ่งขึ้น

                นอกจากนี้ Art Filler ยังมีปริมาณสาร BDDE (1, 4-Butanediol diglycidyl ether) น้อยกว่าฟิลเลอร์ยี่ห้ออื่น ๆ ซึ่งเป็นสารที่เชื่อมโมเลกุลของกรดไฮยาลูรอนิกเข้าด้วยกันเป็นโครงข่าย ทำให้ฟิลเลอร์ยึดเกาะกันแน่นมากขึ้น มีความคงรูป และอยู่ได้นาน ในทางกลับกันการเติมสาร BDDE ที่มากเกินไป อาจทำให้เกิดอาการอักเสบและแพ้ได้ง่าย

                ดังนั้น การที่ฟิลเลอร์ Art Filler ที่มีปริมาณสาร BDDE น้อย จึงเป็นส่วนช่วยลดโอกาสในการเกิดปฏิกิริยาแพ้หรือระคายเคืองได้มากขึ้น Art Filler จึงเป็นสารเติมเต็มที่มีความเหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายหรือผิวบอบบางเป็นอย่างมาก

                ART Filler

                ฟิลเลอร์ Art Filler มีกี่รุ่น?

                ปัจจุบันฟิลเลอร์ Art Filler มีหลากหลายรุ่น โดยแต่ละรุ่นจะมีความหนาแน่นและความยืดหยุ่นของเนื้อฟิลเลอร์ที่แตกต่างกัน ซึ่งส่งผลต่อการกระจายตัวเมื่อฉีดลงสู่ผิวและการคงรูปของเนื้อฟิลเลอร์ ทำให้เหมาะกับเติมเต็มในบริเวณที่แตกต่างกัน มีทั้งหมด 5 รุ่น ได้แก่

                • Art Filler Fine Line

                เป็นฟิลเลอร์ที่มีโมเลกุลขนาดเล็กและละเอียด มีเนื้อเจลบางเบาเป็นพิเศษ มีความหนาแน่นน้อยที่สุด เหมาะสำหรับการฉีดในผิวชั้นตื้น บริเวณที่มีผิวบอบบาง มีริ้วรอยเล็ก ๆ เช่น ริมฝีปาก รอบดวงตา ซึ่งทำให้ผิวชุ่มชื้น อิ่มน้ำ และเรียบเนียนอย่างเป็นธรรมชาติ

                Art Filler Fine Line : สามารถคงสภาพอยู่ใต้ผิวได้นานถึง 12 เดือน

                • Art Filler Universal

                เป็นฟิลเลอร์ที่มีโมเลกุลขนาดพอเหมาะ มีความหนาแน่นและความยืดหยุ่นปานกลาง ทำให้สามารถแก้ไขปัญหาได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการเติมเต็มริ้วรอยระดับปานกลาง ไปจนถึงร่องลึก รวมถึงการปรับรูปหน้า เช่น ร่องแก้ม ขมับ ซึ่งทำให้ผิวดูอิ่มฟู มีวอลุ่ม ใบหน้าดูมีมิติมากขึ้น

                Art Filler Universal : สามารถคงสภาพอยู่ใต้ผิวได้นานถึง 12 เดือน

                • Art Filler Volume

                เป็นฟิลเลอร์ที่มีความหนาแน่นสูงที่สุด สามารถคงรูปได้ดี ปั้นเป็นทรงได้ง่าย เหมาะสำหรับเติมเต็มร่องลึกและปรับโครงสร้างใบหน้า ทดแทนกระดูกที่ยุบตัวลง เมื่ออายุมากขึ้น เช่น ขมับ ร่องแก้มลึก คาง และกรอบหน้า ซึ่งทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ มีมิติ กรอบหน้าชัดมากขึ้น

                Art Filler Volume : สามารถคงสภาพอยู่ใต้ผิวได้นานถึง 18 เดือน

                • Art Filler Lips Soft

                เป็นฟิลเลอร์ที่ออกแบบมาเพื่อเติมเต็มริมฝีปากโดยเฉพาะ มีความนิ่ม ละเอียด และมีความยืดหยุ่นสูง เหมาะสำหรับผู้ที่มีริมฝีปากบางและแห้ง มีริ้วรอยรอบขอบปาก ต้องการเพิ่มความชุ่มชื้น ทำให้ริมฝีปากดูสุขภาพดี มีความอวบอิ่มแบบไม่โป๊ะ

                Art Filler Lips Soft : สามารถคงสภาพอยู่ใต้ผิวได้นานถึง  3 – 6 เดือน

                • Art Filler Lips

                เป็นฟิลเลอร์ที่ออกแบบมาเพื่อเติมเต็มริมฝีปากเหมือนกับ Art Filler Lips Soft แต่มีความหนาแน่นมากกว่ารุ่น Lips Soft เล็กน้อย เหมาะสำหรับการปรับรูปทรงริมฝีปาก เพิ่มวอลุ่มให้ริมฝีปาก

                Art Filler Lips : สามารถคงสภาพอยู่ใต้ผิวได้นานถึง  3 – 6 เดือน

                 

                ฟิลเลอร์ Art Filler ฉีดตำแหน่งไหนได้บ้าง?

                • ร่องแก้ม
                  การฉีดฟิลเลอร์ Art Filler ในบริเวณร่องแก้ม จะช่วยแก้ไขปัญหาร่องแก้มลึก ร่องแก้มชัด ใบหน้าดูแก่กว่าวัย รวมถึง ปัญหาแก้มหย่อนคล้อย ทำให้ร่องแก้มดูตื้นขึ้น ผิวมีความเรียบเนียน อิ่มฟู ใบหน้าดูเด็กลงอย่างเห็นได้ชัด

                 

                • ใต้ตา
                  การฉีดฟิลเลอร์ Art Filler ในบริเวณใต้ตา จะช่วยเติมเต็มร่องลึกใต้ตา เบ้าตาลึก ถุงใต้ตา ตาใต้คล้ำ รวมถึง แก้ไขปัญหาต่าง ๆ บริเวณรอบดวงตา ทำให้ใต้ตาดูตื้นขึ้น มีความเรียบเนียน ลดความหมองคล้ำ ดวงตาดูสดใส เหมือนนอนเต็มอิ่มตลอดเวลา

                 

                • ขมับ
                  การฉีดฟิลเลอร์ Art Filler ในบริเวณขมับ จะช่วยแก้ไขปัญหาขมับตอบ เติมเต็มขมับที่ยุบตัวลง พร้อมช่วยยกกระชับใบหน้า ปรับรูปหน้าให้สมดุล ทำให้ใบหน้าอิ่มฟู ดูมีมิติมากขึ้น โหนกแก้มดูลดลง ใบหน้ามีความละมุนและดูอ่อนเยาว์

                 

                • หน้าผาก
                  การฉีดฟิลเลอร์ Art Filler ในบริเวณหน้าผาก จะช่วยแก้ไขปัญหาหน้าผากเป็นแอ่งยุบตัวลง หน้าผากแบน ร่องลึกบนหน้าผาก ทำให้หน้าผากนูนสวย ใบหน้าดูสมดุล มีมิติ รวมถึง เสริมโหงวเฮ้งรับทรัพย์ให้ดีมากขึ้น

                 

                • แก้มส้ม
                  การฉีดฟิลเลอร์ Art Filler ในบริเวณแก้มส้ม จะช่วยเติมเต็มในส่วนกระดูกที่เกิดการยุบตัวลงบริเวณหน้าแก้ม ทำให้มีเกิดหน้าแก้มแบน แก้มตอบ ผิวหย่อนคล้อย รวมถึง ร่องลึกใต้ตาและร่องแก้ม ทำให้หน้าแก้มอิ่มฟู ดูอ่อนกว่าวัย ใบหน้าดูสดใส และเสริมโหงวเฮ้งได้อีกด้วย

                 

                • คาง
                  การฉีดฟิลเลอร์ Art Filler ในบริเวณคาง จะช่วยแก้ไขปัญหาคางสั้น คางตัด คางบุ๋ม คางไม่สมส่วน หน้ากลม พร้อมปรับรูปทรงคาง ทำให้คางยาวได้สัดส่วน ใบหน้าเรียวเล็ก มีมิติมากขึ้น

                 

                • ริมฝีปาก
                  การฉีดฟิลเลอร์ Art Filler ในบริเวณริมฝีปาก จะช่วยเติมเต็มริ้วรอยรอบขอบปาก แก้ไขปัญหาริมฝีปากบาง ริมฝีปากแห้ง ริมฝีปากไม่เท่ากัน สามารถปรับรูปทรงริมฝีปากได้ตามต้องการ ทำให้ริมฝีปากดูอวบอิ่ม ชุ่มชื้น และอิ่มฟูขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ

                 

                • กรอบหน้า
                  การฉีดฟิลเลอร์ Art Filler ในบริเวณกรอบหน้า จะช่วยปรับโครงสร้างใบหน้า แก้ไขปัญหาใบหน้าส่วนล่างมีความหย่อนคล้อย หน้าบาน กรอบหน้าไม่ชัด ไม่มีมิติ ทำให้สันกรามคมชัดขึ้น ใบหน้ามีมิติ รูปหน้าดูสมส่วน ใบหน้าเล็กลง มีความวีเชฟ (V-Shape) มากขึ้น

                ART Filler

                ข้อดีของฟิลเลอร์ Art Filler

                • ฟิลเลอร์ Art Filler สามารถแก้ไขปัญหา ปรับแต่งรูปหน้า หรือเติมเต็มส่วนที่ขาดได้อย่างหลากหลาย ครอบคลุมทุกจุดของใบหน้า
                • ฟิลเลอร์ Art Filler มีความปลอดภัยสูง ได้รับการรับรองมาตรฐานจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย. ของไทย
                • ฟิลเลอร์ Art Filler สามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ โดยไม่เป็นอันตราย ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้และไม่ทิ้งสารตกค้างไว้ในร่างกาย
                • ฟิลเลอร์ Art Filler สามารถเติมเพิ่มหรือลดปริมาณการฉีดฟิลเลอร์ ได้ตามความต้องการ แก้ไขได้ง่าย ไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงต่อร่างกาย
                • ฟิลเลอร์ Art Filler เห็นผลการเปลี่ยนแปลงทันทีหลังฉีด โดยไม่ต้องพักฟื้น สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ
                • ฟิลเลอร์ Art Filler ให้ผลลัพธ์ที่ยาวนาน คงอยู่ได้หลายเดือน รวมถึง มีความเป็นธรรมชาติ ไม่แข็งทื่อ ไม่ดูโป๊ะ

                ART Filler

                ฟิลเลอร์ Art Filler เหมาะกับใคร?

                • ฟิลเลอร์ Art Filler เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีริ้วรอย ร่องลึกต่าง ๆ บนใบหน้า
                • ฟิลเลอร์ Art Filler เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย ใบหน้าไม่กระชับตามวัย
                • ฟิลเลอร์ Art Filler เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีใบหน้าไม่สมส่วน สัดส่วนไม่เท่ากัน
                • ฟิลเลอร์ Art Filler เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการเติมเต็มและเพิ่มวอลุ่มให้ใบหน้า
                • ฟิลเลอร์ Art Filler เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาผิวแห้ง ขาดน้ำ ไม่ชุ่มชื้น รูขุมขนกว้าง
                • ฟิลเลอร์ Art Filler เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย ผิวบอบบาง
                • ฟิลเลอร์ Art Filler เหมาะสำหรับ ผู้ที่ไม่ต้องการผ่าตัด ไม่มีเวลาพักฟื้น
                • ฟิลเลอร์ Art Filler เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์เร่งด่วน ฉีดแล้วดูดีขึ้นแบบเห็นได้ชัด

                ฟิลเลอร์ Art Filler มีข้อจำกัดอย่างไร?

                • ฟิลเลอร์ Art Filler ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่กำลังรับประทานกลุ่มยาแอสไพริน เนื่องจากยากลุ่มนี้ จะไปยับยั้งการแข็งตัวของเลือด ทำให้เลือดออกง่ายขึ้น
                • ฟิลเลอร์ Art Filler ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด เป็นโรคเลือดออกง่าย
                • ฟิลเลอร์ Art Filler ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีการติดเชื้อหรืออักเสบ ในบริเวณที่ต้องการฉีดฟิลเลอร์ เช่น หูด สิวอักเสบ ควรรักษาให้หายก่อน จึงค่อยพิจารณาฉีดฟิลเลอร์
                • ฟิลเลอร์ Art Filler ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีประวัติการแพ้สารไฮยาลูรอนิก ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของฟิลเลอร์
                • ฟิลเลอร์ Art Filler ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีประวัติการแพ้ยาชา
                • ฟิลเลอร์ Art Filler ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ควรหลีกเลี่ยงการฉีดฟิลเลอร์ไปก่อน

                ข้อปฏิบัติก่อนฉีดฟิลเลอร์ Art Filler

                • ก่อนฉีดฟิลเลอร์ Art Filler ควรศึกษาข้อมูลและรายละเอียดที่จำเป็นก่อนตัดสินใจฉีด เช่น ฟิลเลอร์ Art Filler มีกี่รุ่น แต่ละรุ่นต่างกันอย่างไร และสามารถฉีดฟิลเลอร์จุดไหนได้บ้าง
                • ก่อนฉีดฟิลเลอร์ Art Filler งดรับประทานกลุ่มยาแอสไพริน อย่างน้อย 1 สัปดาห์ เพื่อป้องกันการเกิดรอยช้ำหลังฉีดฟิลเลอร์
                • ก่อนฉีดฟิลเลอร์ Art Filler งดรับประทานยาหรืออาหารเสริม ที่ส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด อย่างน้อย 1 สัปดาห์ก่อนฉีดฟิลเลอร์
                • ก่อนฉีดฟิลเลอร์ Art Filler งดกิจกรรมหรือการออกกำลังกายหนัก ๆ อย่างน้อย 24 ชั่วโมง
                • ก่อนฉีดฟิลเลอร์ Art Filler งดการดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ อย่างน้อย 24 ชั่วโมง เนื่องจากอาจส่งผลต่อการไหลเวียนของเลือด
                • ก่อนฉีดฟิลเลอร์ Art Filler งดใช้ยาหรือครีมที่ช่วยในการผลัดเซลล์ผิว รวมถึง การโกนและดึงขนในบริเวณที่จะฉีดฟิลเลอร์

                ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์ Art Filler

                • ปรึกษาแพทย์ โดยแพทย์จะทำการประเมินสภาพผิวหน้า เพื่อวิเคราะห์ปัญหาและแนะนำรุ่นฟิลเลอร์ที่เหมาะสม ปริมาณที่ต้องใช้ และบริเวณที่ต้องการฉีดฟิลเลอร์
                • แจ้งประวัติโรคประจำตัว ประวัติยาที่รับประทานเป็นประจำ ประวัติการทำหัตถการ ให้แพทย์ทราบอย่างละเอียด
                • ทำความสะอาดผิวหน้า ในบริเวณที่ต้องการฉีดฟิลเลอร์ หากมีการแต่งหน้ามา จะมีการเช็ดเครื่องสำอางในบริเวณที่ฉีดออกให้สะอาด
                • ก่อนทำการฉีดฟิลเลอร์ แพทย์จะแกะกล่องฟิลเลอร์ให้ดูต่อหน้า เพื่อความปลอดภัย สามารถขอตรวจสอบได้ว่า ฟิลเลอร์ที่ฉีดเป็นของแท้หรือไม่
                • เนื่องจากฟิลเลอร์ Art Filler มีส่วนผสมของยาชา เพื่อลดความรู้สึกเจ็บขณะฉีดฟิลเลอร์อยู่แล้ว จึงไม่ต้องมีการแปะยาชาเพิ่มเติม
                • แพทย์จะทำการฉีดฟิลเลอร์เข้าไปยังผิวหนัง ในบริเวณที่ต้องแก้ไขหรือเติมเต็ม โดยแพทย์จะทำการปรับรูปทรงให้สวยงามตามความต้องการ ให้ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติที่สุด
                • เมื่อฉีดฟิลเลอร์เสร็จแล้ว แพทย์จะแนะนำข้อปฏิบัติหลังฉีดฟิลเลอร์ เพื่อให้ฟิลเลอร์เข้าที่ได้เร็วและลดโอกาสการเกิดผลข้างเคียง

                ART Filler

                ข้อปฏิบัติหลังฉีดฟิลเลอร์ Art Filler

                • หลังฉีดฟิลเลอร์ Art Filler งดการสัมผัส แตะ แกะ เกา หรือนวดหน้าในบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ เนื่องจากจะทำให้ฟิลเลอร์เคลื่อนที่และเสียรูปทรงได้
                • หลังฉีดฟิลเลอร์ Art Filler งดการแต่งหน้า อย่างน้อย 24 ชั่วโมงแรก เนื่องจากอาจทำให้เกิดการระคายเคืองและติดเชื้อได้
                • หลังฉีดฟิลเลอร์ Art Filler หลีกเลี่ยงแสงแดดหรือความร้อนทุกชนิด เช่น ซาวน่า ล้างหน้าด้วยน้ำอุ่น ปิ้งย่าง หมูกระทะ หรือกิจกรรมกลางแจ้งที่ต้องตากแดดนาน ๆ
                • หลังฉีดฟิลเลอร์ Art Filler งดการเลเซอร์ที่ใช้พลังงานความร้อน ลงผิวชั้นลึก อย่างน้อย 1 เดือน
                • หลังฉีดฟิลเลอร์ Art Filler ควรดื่มน้ำให้มาก ๆ เนื่องจากฟิลเลอร์เป็นสารอุ้มน้ำ จะทำให้ผลลัพธ์หลังฉีดฟิลเลอร์มีประสิทธิภาพมากขึ้น
                • หลังฉีดฟิลเลอร์ Art Filler งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ เพื่อลดอาการอักเสบและอาการบวมช้ำ

                ผลลัพธ์ที่ได้หลังฉีดฟิลเลอร์ Art Filler

                • ริ้วรอยและร่องลึกต่าง ๆ ลดลง ผิวหน้าเรียบเนียน ดูอ่อนกว่าวัยมากขึ้น
                • ผิวอิ่มน้ำ มีความชุ่มชื้น ดูสุภาพดี รูขุมขนดูเล็กลง
                • ใบหน้ามีความสมดุล รูปหน้าได้สัดส่วน ดูละมุนมากขึ้น
                • ผิวกระชับ ลดความหย่อนคล้อยบนใบหน้า
                • ผิวอิ่มฟู ดูอวบอิ่ม มีความยืดหยุ่น ดูมีวอลุ่มมากขึ้น

                ฟิลเลอร์ Art Filler แตกต่างจากฟิลเลอร์ยี่ห้ออื่นอย่างไร?

                ฟิลเลอร์ Art Filler มีความพิเศษและแตกต่างจากฟิลเลอร์ยี่ห้ออื่น ๆ อยู่ โดยเฉพาะในด้านของเทคโนโลยีที่ใช้ในการผลิต ซึ่งแต่ละยี่ห้อจะมีเทคโนโลยีที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ได้แก่

                • ฟิลเลอร์ Art Filler : เป็นแบรนด์ฟิลเลอร์สัญชาติฝรั่งเศส ใช้เทคโนโลยีพิเศษในการผลิต TRI-HYAL Technology ซึ่งผสมผสานไฮยาลูรอนิก 3 รูปแบบเข้าด้วยกัน ทำให้เนื้อมีความยืดหยุ่นและเรียบเนียนเข้ากับผิวได้อย่างเป็นธรรมชาติ แก้ไขปัญหาผิวหน้าได้อย่างหลากหลาย นอกจากนี้ ยังมีปริมาณสาร BDDE น้อยกว่าฟิลเลอร์ทั่วไป จึงช่วยลดโอกาสในการเกิดการอักเสบและอาการแพ้ได้

                 

                • ฟิลเลอร์ Juvederm : เป็นแบรนด์ฟิลเลอร์สัญชาติอเมริกา ที่มีชื่อเสียงและได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางทั่วโลก ซึ่งใช้ 2 เทคโนโลยีในการผลิต ได้แก่ Hylacross Technology ที่สามารถอุ้มน้ำได้ดี มีความยืดหยุ่นสูง ทำให้ผิวอิ่มฟู และ Vycross Technology ที่มีความแข็งแรงและหนาแน่นสูง คงรูปได้ดี เหมาะสำหรับการยกกระชับและปรับรูปหน้า นอกจากนี้ ฟิลเลอร์ Juvederm ยังมีหลากหลายรุ่นให้เลือกใช้ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการ ในการแก้ไขปัญหาผิวหน้าที่แตกต่างกันได้อย่างแม่นยำ สามารถคงผลลัพธ์ได้ยาวนาน

                 

                • ฟิลเลอร์ Restylane : เป็นแบรนด์ฟิลเลอร์สัญชาติสวีเดน มีการพัฒนามาอย่างยาวนานกว่า 25 ปี ถือเป็นอีกหนึ่งยี่ห้อที่ได้รับความนิยมทั่วโลกเช่นกัน ซึ่งฟิลเลอร์ Restylane ใช้ 2 เทคโนโลยีในการผลิต ได้แก่ NASHA Technology ที่ทำให้เนื้อฟิลเลอร์ มีความคงตัวและหนาแน่นสูง ส่งผลให้ฟิลเลอร์คงรูปได้นาน ไม่ไหลย้อยง่าย และ OBT Technology ที่ทำให้เนื้อฟิลเลอร์มีความยืดหยุ่นสูง สามารถนำมาใช้ในการปรับรูปทรงได้อย่างหลากหลาย ผสานกับผิวอย่างเรียบเนียน นอกจากนี้ ฟิลเลอร์ Restylane ยังมีหลายรุ่นให้เลือกใช้ เพื่อตอบโจทย์ปัญหาผิวที่แตกต่างกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

                 

                • ฟิลเลอร์ Belotero : เป็นแบรนด์ฟิลเลอร์สัญชาติสวิตเซอร์แลนด์ ที่มีคุณภาพและความปลอดภัยสูง ใช้เทคโนโลยี CPM (Cohesive Polydensified Matrix) ในการผลิต ทำให้เนื้อฟิลเลอร์มีความหนาแน่นและความยืดหยุ่นสูง แต่ยังคงรูปได้ดี ไม่ไหลย้อยง่าย และผสานเข้ากับผิวได้อย่างเรียบเนียน มีให้เลือกหลากหลายรุ่น เพื่อตอบโจทย์สำหรับทุกปัญหาผิวโดยเฉพาะ

                 

                รวมคำถามเกี่ยวกับฟิลเลอร์ Art Filler

                • อาการข้างเคียงที่เกิดขึ้น หลังฉีดฟิลเลอร์ Art Filler

                หลังจากฉีดฟิลเลอร์ Art Filler แล้วอาจมีรอยแดงจากเข็มในบริเวณที่ฉีดเล็กน้อย ซึ่งจะหายไปเอง ภายใน 2 – 3 วัน รวมถึง อาจมีอาการบวมช้ำในบริเวณที่ฉีด ซึ่งถือเป็นอาการปกติที่พบได้บ่อยหลังฉีดฟิลเลอร์ และจะค่อย ๆ ดีขึ้นภายใน 7 – 14 วัน จากนั้นฟิลเลอร์จะเข้าที่และเซตตัวได้ดี เห็นผลลัพธ์ได้อย่างชัดเจน

                • ฟิลเลอร์ Art Filler อยู่ได้นานแค่ไหน?

                ฟิลเลอร์ Art Filler แต่ละรุ่นมีระยะเวลาในการคงอยู่ที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับความหนาแน่น ความยืดหยุ่น และปริมาณกรดไฮยาลูรอนิกในเนื้อฟิลเลอร์ รวมถึง บริเวณที่ต้องการฉีด หากเป็นบริเวณที่มีการเคลื่อนไหวบ่อย เช่น ริมฝีปาก ฟิลเลอร์จะสลายตัวได้รวดเร็วกว่าบริเวณอื่น ๆ โดยสามารถแบ่งระยะเวลาตามรุ่นได้ ดังนี้

                1. Art Filler Fine Line : สามารถอยู่ได้นานถึง 12 เดือน
                2. Art Filler Universal :สามารถอยู่ได้นานถึง 12 เดือน
                3. Art Filler Volume    :สามารถอยู่ได้นานถึง 18 เดือน
                4. Art Filler Lips Soft : สามารถอยู่ได้นานถึง 3 – 6 เดือน
                5. Art Filler Lips         : สามารถอยู่ได้นานถึง 3 – 6 เดือน
                • ฟิลเลอร Art Filler ปลอดภัยไหม?

                ฟิลเลอร์ Art Filler มีความปลอดภัยสูง เนื่องจากเป็นยี่ห้อที่ได้รับการรับรองจาก อย. ไทย ซึ่งฟิลเลอร์สามารถสลายตัวได้เองตามธรรมชาติ ไม่ตกค้างสามารถปรับแก้ผลลัพธ์ได้ตามใจชอบหากไม่พอใจ โดยไม่เป็นอันตรายใด ๆ ต่อร่างกาย แต่ควรฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ ในคลินิกที่ได้มาตรฐาน เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ

                • ฟิลเลอร์ Art Filler เจ็บไหม?

                เจ็บน้อยมากหรือแทบจะไม่รู้สึกเจ็บเลย เนื่องจากฟิลเลอร์ Art Filler ทุกรุ่น มีเทคโนโลยีและส่วนผสมที่พัฒนาแล้ว จึงมีส่วนประกอบของยาชาร่วมด้วย ทำให้ระหว่างการฉีด จะรู้สึกแค่เหมือนถูกเข็มจิ้มเบา ๆ หรืออาจจะไม่รู้สึกเจ็บเลยด้วยซ้ำ

                • ฟิลเลอร์ Art Filler ฉีดกี่วันถึงจะเห็นผล?

                ผลลัพธ์หลังฉีดฟิลเลอร์ Art Filler สามารถเห็นผลได้ทันทีหลังการฉีด และเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนที่สุด หลังจากอาการบวมช้ำค่อย ๆ ลดลงแล้ว ซึ่งโดยทั่วไปจะใช้เวลาประมาณ 7 – 14 วันหลังฉีด

                • ฟิลเลอร์ Art Filler สามารถฉีดร่วมกับฟิลเลอร์ยี่ห้ออื่นได้ไหม?

                สามารถฉีดได้ หากฟิลเลอร์ยี่ห้อที่ใช้ผลิตจาก ไฮยาลูรอนิก แอซิด เหมือนกัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น แนะนำให้ปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ โดยแพทย์จะสามารถเลือกรุ่นและยี่ห้อฟิลเลอร์ที่เหมาะสมกับความต้องการ และบริเวณที่มีปัญหาได้อย่างตรงจุด

                 

                ฟิลเลอร์ Art Filler นับว่า เป็นฟิลเลอร์อีกหนึ่งยี่ห้อที่มีความปลอดภัยสูง ผ่านการรับรองมาตรฐานจาก อย. ไทย สามารถตอบโจทย์ปัญหาผิวหน้าได้อย่างหลากหลาย ตั้งแต่ริ้วรอยเล็ก ๆ ไปจนถึงริ้วรอยร่องลึก พร้อมแก้ไขและปรับโครงสร้างใบหน้าที่ยุบตัวลง จากการที่อายุมากขึ้นได้เป็นอย่างดี ให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ เรียบเนียนไปกับผิว ไม่ดูโป๊ะหรือแข็งทื่อจนเกินไป ทั้งนี้ทั้งนั้น แนะนำให้ฉีดฟิลเลอร์ Art Filler กับแพทย์ที่มีความรู้ความสามารถ และรู้จักชั้นผิวเป็นอย่างดี มีประสบการณ์ด้านการฉีดฟิลเลอร์โดยตรง คลินิกที่มีความน่าเชื่อถือ มีเลขใบอนุญาตประกอบกิจการอย่างถูกต้อง เพื่อลดโอกาสเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายต่อร่างกายในอนาคต

                ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




                  วันที่สะดวกในการติดต่อ





                  ฟิลเลอร์หน้าผาก แก้ริ้วรอย รวมทุกเรื่องควรรู้ก่อนทำ

                  ฟิลเลอร์หน้าผาก

                  ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




                    วันที่สะดวกในการติดต่อ





                    ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก แก้ริ้วรอย ปรับโหงวเฮ้งควรรู้อะไรบ้าง? รวมทุกเรื่องต้องรู้ก่อนทำ

                    การฉีดฟิลเลอร์เป็นหัตถการความงามที่ได้รับความนิยมอย่างมากในยุคปัจจุบัน เพื่อแก้ไขหรือเติมเต็มให้ใบหน้ามีความสมส่วนมากขึ้น เช่น ฟิลเลอร์ปาก ฟิลเลอร์ใต้ตา ฟิลเลอร์ร่องแก้ม เป็นต้น ซึ่งนอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งหัตถการที่หลายคนเลือกทำเพื่อเสริมความมั่นใจคือ การฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก เพื่อแก้ปัญหาริ้วรอย รอยย่นบนหน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน หน้าผากบุ๋ม หน้าผากยุบ ช่วยเพิ่มความโหนกนูน แก้ปัญหาหน้าผากแบน ทำให้ใบหน้าดูมีมิติและมีความสมดุลมากขึ้น

                    ในบทความนี้รมย์รวินท์คลินิกจึงได้รวบรวมทุกข้อมูลที่ควรรู้ก่อนฉีดว่า ฉีดฟิลเลอร์หน้าผากคืออะไร? ฉีดฟิลเลอร์หน้าผากช่วยอะไร? ฉีดฟิลเลอร์หน้าผากเหมาะกับใคร และรวมเรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน ที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจทำ

                     

                    ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก แก้ปัญหาริ้วรอย เพิ่มความโหนกนูน เจาะลึกเรื่องต้องรู้ก่อนทำ

                    ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน คืออะไร

                    การฉีดฟิลเลอร์หน้าผากคือการฉีดสารเติมเต็มประเภทไฮยารูลอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid : HA) เข้าไปที่บริเวณหน้าผาก เพื่อช่วยเติมเต็ม แก้ปัญหาริ้วรอยบนหน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากยุบ หน้าผากบุ๋ม หน้าผากแบน อีกทั้งยังช่วยปรับรูปหน้าให้ดูสมส่วนมากขึ้น ทั้งยังช่วยเพิ่มความโหนกนูน ของหน้าผาก เพื่อโหงวเฮ้งที่ดีได้อีกด้วย

                    ยังทำให้หน้าผากดูเต่งตึงและผิวชุ่มชื้นมากขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งการฉีดฟิลเลอร์หน้าผากจะเห็นผลลัพธ์ได้ทันทีหลังทำ และยังมีความปลอดภัยเนื่องจากสามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ

                     

                    ปัญหาหน้าผาก เกิดจากอะไรบ้าง

                    • ปัญหาริ้วรอย ร่องลึกบริเวณหน้าผาก : สาเหตุของปัญหาริ้วรอยร่องลึกบริเวณหน้าผากส่วนมากเกิดจากอายุที่เพิ่มขึ้น ทำให้โครงสร้างของผิวและการทำงานของเซลล์ผิวเริ่มเสื่อมลงตามวัย
                    • ปัญหาหน้าผากยุบ : เกิดจากอายุที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้กระดูกทรุดลง ไขมันบริเวณใบหน้าเริ่มยุบตัวลงกลายเป็นแอ่งเหนือคิ้ว ส่งผลให้ใบหน้าดูแก่ก่อนวัย
                    • ปัญหาหน้าผากแบน : เกิดจากการที่โครงสร้างกระดูกทรุดตัวลง และเนื้อเยื่อที่ค่อย ๆ ลดหายไปตามอายุที่เพิ่มมากขึ้น

                     

                    ฟิลเลอร์หน้าผาก

                    ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน บริเวณไหนได้บ้าง

                    บริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์หน้าเพื่อแก้ปัญหาริ้วรอยบบริเวณหน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน หน้าผากยุบ หน้าผากบุ๋ม ซึ่งบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก มีดังนี้

                    • ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก บริเวณร่องเหนือคิ้ว : เมื่ออายุที่เพิ่มมากขึ้นทุกวันทำให้ร่องหน้าผากบริเวณเหนือคิ้วเกิดการยุบตัวเป็นร่อง การฉีดฟิลเลอร์บริเวณร่องเหนือคิ้วจะเหมาะกับผู้ที่ต้องการความเรียบเนียน ละมุนบนหน้าผาก
                    • ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก บริเวณกลางหน้าผาก : การฉีดฟิลเลอร์หน้าผากเหมาะกับผู้ที่ต้องการเสริมหน้าผากให้มีความโหนกนูน เต่งตึง แก้ปัญหาหน้าผากยุบ หน้าผากแบน หน้าผากบุ๋ม รวมไปถึงหน้าผากไม่เนียน เพื่อความเรียบเนียน นูนสวย และไม่เป็นคลื่น

                     

                    ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน ช่วยอะไรบ้าง

                    ฉีดฟิลเลอร์หน้าผากด้วยสารเติมเต็มประเภทไฮยารูลอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid : HA) เข้าไปที่บริเวณหน้าผากเพื่อช่วยแก้ปัญหาดังต่อไปนี้

                    • ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน ช่วยแก้ปัญหาหน้าผากบุ๋ม หน้าผากบุ๋ม
                      ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน ช่วยเติมเต็มให้หน้าผากสวยได้รูปอย่างเป็นธรรมชาติ
                    • ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน ช่วยแก้ปัญหาริ้วรอยที่หน้าผากให้เรียบเนียนขึ้น
                    • ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน ช่วยปรับรูปทรงหน้าผากให้สวยงามได้รูป ตรงตามโหงวเฮ้ง

                     

                    ทรงหน้าผากที่บ่งบอกว่าเป็นคนมีวาสนาดีตามโหงวเฮ้งเป็นแบบไหน 

                    โหงวเฮ้งหน้าผากตามฉบับตำราจีนจะมีความเกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจ และหน้าที่การงานโดยตรง โดยมีลักษณะเด่นและลักษณะด้อย ดังนี้

                    ลักษณะเด่น : หน้าผากโหนกนูนแบบพอดี หน้าผากไม่ยุบ และหน้าผากใส เกลี้ยงเกลา ไร้ริ้วรอย บ่งบอกถึงความอุดมสมบูรณ์ดีงามตามลักษณะของหน้าผากที่สวย
                    ลักษณะด้อย : หน้าผากมีลักษณะเป็นร่องบุ๋ม ไม่เรียบเนียน มีกระดูกโปน บ่งบอกถึงจะเจอแต่อุบัติเหตุหรือภัยร้ายต่าง ๆ หน้าที่การงานไม่เจริญก้าวหน้า ขาดคนอุปถัมภ์ค้ำชู

                    ซึ่งลักษณะของหน้าผากที่มีโหงวเฮ้งดีสามารถแก้ไขได้โดยการฉีดฟิลเลอร์หน้าผากและการฉีดโบร่วม

                    ฟิลเลอร์หน้าผากฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน เหมาะกับใคร

                    • ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาหน้าผากแบนหรือหน้าผากแคบ
                    • ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน เหมาะกับผู้ที่มีหน้าผากเป็นแอ่งยุบลงไปเหนือคิ้ว
                    • ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน เหมาะกับผู้ที่มีหน้าผากเป็นคลื่น ไม่เรียบเนียน มีริ้วรอยหน้าผาก
                    • ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน เหมาะกับผู้ที่ต้องการปรับโหงวเฮ้งให้กับใบหน้า
                    • ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน เหมาะกับผู้ที่ไม่ต้องการผ่าตัด ไม่ต้องการพักฟื้นนาน

                    ฟิลเลอร์หน้าผาก

                    ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน มีข้อดีและข้อควรระวังอะไรบ้าง

                    ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน มีดังนี้

                    • ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก สามารถเพิ่มความโหนกนูนตามที่ต้องการได้
                    • ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น ไม่มีแผล
                    • ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก เจ็บน้อยกว่าการผ่าตัดศัลยกรรมหน้าผาก
                    • ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก เห็นผลลัพธ์ทันทีหลังทำ และเห็นผลลัพธ์ชัดเจน 1-2 สัปดาห์
                    • ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก ฟิลเลอร์แท้ อยู่ได้นาน 1 ปี และสลายเองได้ตามธรรมชาติ
                    • ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก เมื่อฟิลเลอร์สลายหมดลง สามารถฉีดเติมใหม่ได้เรื่อย ๆ
                    • ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก หากต้องการแก้ไขปรับทรง สามารถฉีดสลายฟิลเลอร์ได้ ไม่มีผลข้างเคียงอันตราย

                     

                    ข้อควรระวังของการฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน มีดังนี้

                    • ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก ผลลัพธ์ไม่สามารถอยู่ได้ถาวร เนื่องจากฟิลเลอร์ย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ
                    • ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก ต้องฉีดโดยใช้ฟิลเลอร์แท้เท่านั้น เพื่อความปลอดภัย
                    • ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก ไม่ควรฉีดเกิน 5 CC ในการฉีด 1 ครั้ง
                    • ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก ต้องฉีดกับแพทย์ผู้มีความรู้ความสามารถเท่านั้น เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายได้

                     

                    ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก vs การผ่าตัดเสริมหน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน

                    • การฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน : ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์คางคือเจ็บน้อยกว่าการผ่าตัดเสริมคาง สามารถปรับเพิ่ม-ลดความโหนกนูนได้ตามที่ต้องการ ใช้เวลาพักฟื้นน้อยกว่า ไม่เกิน 7-14 วัน
                    • การผ่าตัดเสริมหน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน : ข้อดีของการผ่าตัดเสริมคางด้วยซิลิโคนคือผลลัพธ์อยู่ได้ถาวร แต่ไม่ได้รับความนิยมเทียบเท่ากับการฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก เนื่องจากมีความบวมช้ำค่อนข้างมาก ต้องพักฟื้นนานเป็นเดือน มีรอยแผลบริเวณด้านในไรผมที่ค่อนข้างยาวตามขนาดของซิลิโคน ไม่สามารถปรับเพิ่ม-ลดความโหนกนูนได้ ต้องผ่าตัดเพื่อแก้ไขปรับแต่งเท่านั้น

                       

                    ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก vs การผ่าตัดเสริมหน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน

                    • การฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน : ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์หน้าผากคือเจ็บน้อยกว่าการผ่าตัดเสริมหน้าผาก สามารถปรับเพิ่ม-ลดความโหนกนูนได้ตามที่ต้องการ ใช้เวลาพักฟื้นน้อยกว่า ไม่เกิน 7-14 วัน 
                    • การผ่าตัดเสริมหน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน : ข้อดีของการผ่าตัดเสริมหน้าผากด้วยซิลิโคนคือผลลัพธ์อยู่ได้ถาวร แต่ไม่ได้รับความนิยมเทียบเท่ากับการฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก เนื่องจากมีความบวมช้ำค่อนข้างมาก ต้องพักฟื้นนานเป็นเดือน มีรอยแผลบริเวณด้านในไรผมที่ค่อนข้างยาวตามขนาดของซิลิโคน ไม่สามารถปรับเพิ่มหรือลดความโหนกนูนได้ ต้องผ่าตัดเพื่อแก้ไขปรับแต่งเท่านั้น

                     

                    ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก vs การเติมไขมันหน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน

                    • การฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน : เป็นการฉีดสารเติมเต็มประเภทไฮยารูลอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid : HA) ที่มีความปลอดภัยสูง เห็นผลลัพธ์ทันทีหลังฉีด และเห็นผลลัพธ์ชัดเจนใน 3 สัปดาห์ ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น และฟิลเลอร์จะย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ
                    • การเติมไขมันหน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน : เป็นวิธีการใช้ไขมันที่ดูดจากบริเวณอื่นของร่างกายมาเติมหน้าผาก มีข้อดีคือลดความเสี่ยงในการแพ้ เนื่องจากใช้ไขมันของตัวเอง แต่การผ่าตัดเสริมหน้าผากมีกระบวนการดูดไขมันและต้องนำมาปั่นแยกของเหลว และมีแผลจากตำแหน่งที่ดูดไขมันมาใช้ มักไม่ได้ผลในการฉีดครั้งแรก ต้องฉีดซ้ำหลายครั้ง อีกทั้งยังมีโอกาสเกิดปัญหาผิวไม่เรียบเสมอกันได้อีกด้วย

                    เพราะฉะนั้นการฉีดฟิลเลอร์หน้าผากตอบโจทย์การแก้ปัญหาริ้วรอยบริเวณหน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากยุบ หน้าผากแบน หน้าผากบุ๋ม หน้าผากบุบด้วยสารเติมเต็มประเภทไฮยารูลอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid : HA) ที่มีความปลอดภัยสูง ผลลัพธ์อยู่ได้นาน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับยี่ห้อและรุ่นของฟิลเลอร์ที่เลือกใช้ โดยฟิลเลอร์สามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ สามารถฉีดซ้ำได้เรื่อย ๆ

                     

                    ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน ยี่ห้อไหนดี

                    การฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน ควรเลือกฟิลเลอร์รุ่นที่มีความคงตัว เนื้อละเอียด ซึ่งยี่ห้อและรุ่นที่แนะนำ มีดังนี้

                    ฟิลเลอร์หน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน ยี่ห้อ Juvederm

                    • ฟิลเลอร์สัญชาติสหรัฐอเมริกา มีเทคโนโลยีการผลิตที่เฉพาะ เน้นความเป็นธรรมชาติ คือ Hylacross Technology และ Vycross Technology ออกแบบมาหลากหลายรุ่นเพื่อตอบโจทย์กับการแก้ปัญหาบนใบหน้า รุ่นที่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก คือ
                      ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก ยี่ห้อ Juvederm Volbella ฟิลเลอร์เทคโนโลยี Vycross Technology เป็นเนื้อฟิลเลอร์ที่มีโลเลกุลขนาดเล็กคล้ายกับเจลนิ่ม มีความเนียนละเอียด กลืนเข้ากับผิวได้ดี เหมาะสำหรับฉีดเติมเต็มบริเวณหน้าผาก หรือ ริมฝีปาก เพื่อให้ผิวเรียบเนียนขึ้น ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 12 เดือน

                    ฟิลเลอร์หน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน ยี่ห้อ Restylane

                    • ฟิลเลอร์แบรนด์แรกของโลกที่พัฒนาจากประเทศสวีเดน ที่แพทย์ทั่วโลกให้การยอมรับอย่างกว้างขวาง มีเทคโนโลยี NASHA Technology และ OBT Technology ที่โดดเด่นในเรื่องของความยืดหยุ่น เนื้อฟิลเลอร์มีความคงที่ ปรับทรงได้หลากหลาย รุ่นที่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก คือ
                    • ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก ยี่ห้อ Restylane Vital เป็นฟิลเลอร์ที่มีเนื้อละเอียด เกลี่ยง่าย ช่วยในเรื่องของการปรับความชุ่มชื้น ให้ผลลัพธ์ที่เรียบเนียนได้เป็นอย่างเป็นธรรมชาติ แก้ปัญหาริ้วรอย ร่องตื้นและร่องลึก เหมาะสำหรับฉีดหน้าผาก ใต้ตา ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 12 เดือน

                    ฟิลเลอร์หน้าผาก

                    ก่อนฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน เตรียมตัวอย่างไร

                    • ก่อนฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก งดดื่มแอลกอฮอล์ 24 ชั่วโมง
                    • ก่อนฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก งดรับประทานกลุ่มยาแอสไพรินและยาต้านการอักเสบ 2 สัปดาห์
                    • ก่อนฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก งดวิตามินที่ต้านการรแข็งตัวของเลือด เช่น วิตามินอี น้ำมันตับปลา เป็นต้น
                    • ก่อนฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก งดยาทาผิวชนิดผลัดเซลล์ผิวบริเวณที่ต้องการฉีด
                    • ก่อนฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก กรณีมีโรคประจำตัว หรือยาที่ประทานประจำ ควรเตรียมข้อมูลเพื่อแจ้งแพทย์ก่อนการรักษา
                    • ก่อนฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก ควรงดแต่งหน้าในวันที่มารับบริการ เนื่องจากอาจมีเครื่องสำอางหรือสิ่งสกปรกตกค้างบริเวณใบหน้า แต่ถ้าหากจำเป็นต้องแต่งหน้าก่อนมารับบริการ ทางคลินิกจะทำความสะอาดผิวหน้าบริเวณที่ทำ
                    • ก่อนฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก ควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์ก่อนเข้ารับบริการ
                    • ก่อนฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก ควรเลือกคลินิกที่มีมาตรฐานและแพทย์ผู้ชำนาญการเฉพาะด้านเท่านั้น

                     

                    ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน มีขั้นตอนอย่างไร

                    • ปรึกษาแพทย์ก่อนฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก โดยแพทย์จะประเมินบริเวณหน้าผากของผู้ที่เข้ารับบริการก่อนทำ
                    • แพทย์จะช่วยแนะนำยี่ห้อและรุ่นที่เหมาะสมของการฉีดฟิลเลอร์หน้าผากให้เหมาะสมกับความต้องการ
                    • เริ่มทำความสะอาดบริเวณหน้าผากก่อนฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก เพื่อความสะอาดและความปลอดภัย
                    • แปะยาชาและประคบน้ำแข็งก่อนฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก
                    • แพทย์เริ่มฉีดฟิลเลอร์ลงบนบริเวณหน้าผาก ใช้ระยะเวลาในการฉีดประมาณ 30-45 นาที
                    • หลังฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก แพทย์จะแนะนำวิธีการดูแลตนเองหลังฉีดฟิลเลอร์ ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

                    ฟิลเลอร์หน้าผาก

                    หลังฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน ดูแลตัวเองอย่างไร

                    การดูแลตัวเองตามหลักปฏิบัติหลังฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก จะช่วยทำให้ฟิลเลอร์ที่ฉีดเข้าไปเข้าที่ได้เร็วขึ้น ช่วยลดการอักเสบและการบวมช้ำจากการฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก โดยการดูแลตัวเองมีขั้นตอน ดังนี้

                    • หลังฉีดฟิลเลอร์หน้าผากแก้ปัญหาหน้าผากแบนได้ ทันที
                    • หลังฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก ควรรับประทานยาฆ่าเชื้อทันที
                    • หลังฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก ทางคลินิกจะมีการจ่ายยาบรรเทาอาการปวด ลดอาการบวม หรือยาฆ่าเชื้อ ควรรับประทานยาตามที่แพทย์แนะนำ
                      หลังฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก ห้ามเกา นวด คลึง ตรงบริเวณหน้าผาก เพราะจะทำให้ฟิลเลอร์หน้าผากเสียรูปทรงได้
                    • หลังฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก ห้ามเอามือก่ายหน้าผาก
                    • หลังฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก หลีกเลี่ยงการนอนคว่ำหรือนอนตะแคง ประมาณ 1-2 สัปดาห์ เพราะอาจทำให้ฟิลเลอร์เสียรูปทรงได้
                    • หลังฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน 24 ชั่วโมง
                    • หลังฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก อาจมีอาการบวมเข็มเพิ่มมากขึ้น ทำให้บิรเวณหน้าผากมีความฟูขึ้นกว่าเดิม อาการจะค่อย ๆ หายไป ภายใน 1 สัปดาห์ และยุบลงในภายหลัง
                    • หลังฉีดฟิลเลอร์หน้าผากแก้ปัญหาหน้าผากแบน 7-14 วัน
                    • หลังฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เนื่องจากอาจจะทำให้เกิดอาการบวม รอยแดง และการอักเสบ ส่งผลให้หน้าผากหายช้าลง
                    • หลังฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก ควรอยู่ในที่อากาศเย็นและหลีกเลี่ยงความร้อนทุกชนิดอย่างน้อย 48 ชั่วโมง
                    • หลังฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก ควรหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ เนื่องจากมีสารในบุหรี่หลายชนิดที่ขยายหลอดเลือด ทำให้หน้าผากหายช้า
                    • หลังฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก งดเลเซอร์ร้อนลงบนชั้นผิว เวลา 1 เดือน
                    • หลังฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก งดอาหารรสจัดอาจทำให้เกิดการแสบร้อนและหน้าแดงได้
                    • หลังฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก งดอาหารหารหมักดอง อาจเกิดการอักเสบและติดเชื้อได้
                    • หลังฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก ควรดื่มน้ำมาก ๆ จะช่วยให้ฟิลเลอร์ฟูสวยและอยู่ได้นานขึ้น

                     

                    คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับฟิลเลอร์หน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน

                    ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน ใช้กี่ CC

                    การฉีดฟิลเลอร์หน้าผากโดยปกติเป็นบริเวณที่ต้องใช้ปริมาณฟิลเลอร์มากกว่าบริเวณอื่น ๆ โดยขึ้นอยู่กับปัญหาและความต้องการในแต่ละบุคคล ดังนี้

                    • กรณีปัญหาทั่วไปที่ต้องการฉีดฟิลเลอร์หน้าผากเพื่อแก้ไขปัญหาร่องตื้นหน้าผาก บริเวณเหนือคิ้วที่ยุบตัว เพื่อให้หน้าผากเรียบเนียนเข้ารูป และไม่ได้ต้องการความโหนกนูน ใช้ปริมาณฟิลเลอร์ 1-2 CC
                    • กรณีที่ต้องการฉีดฟิลเลอร์หน้าผากเพื่อเพิ่มความโหนกนูนเพื่อปรับโหงวเฮ้ง แก้ไขปัญหาหน้าผากยุบ หน้าผากแบน หน้าผากบุ๋มมาก ๆ อาจต้องใช้ปริมาณฟิลเลอร์ถึง 3-10 CC แต่แพทย์จะทำการฉีดฟิลเลอร์ครั้งละไม่เกิน 5 CC เท่านั้น เพื่อลดโอกาสเกิดการกดทับเนื้อเยื่อและอาการบวม

                     

                    ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน เจ็บไหม?

                    • การฉีดฟิลเลอร์หน้าผากอาจมีความรู้สึกในระหว่างทำเล็กน้อย จะมีการแปะยาชาก่อนเริ่มฉีด และประคบน้ำแข็งระหว่างฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก ทำให้ช่วยลดโอกาสที่จะเกิดอาการบวมและรอยช้ำได้

                     

                    ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน กี่วันเห็นผล?

                    • หลังจากการฉีดฟิลเลอร์หน้าผากจะเห็นผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงทันที โดยหลังจากนั้นอาจมีอาการบวมเข็มจากการฉีดฟิลเลอร์ที่ยังไม่เข้าที่ ซึ่งใช้ระยะเวลาในการยุบและการเข้าที่ของฟิลเลอร์ประมาณ 7-14 วัน

                     

                    ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน มีผลข้างเคียงไหม

                    ผลข้างเคียงหลังฉีดฟิลเลอร์หน้าผากที่อาจพบได้ มีดังนี้

                    • อาจมีอาการบวม และหายได้เองภายใน 1 สัปดาห์ ซึ่งสามารถรับประทานยาบรรเทาอาการปวดและลดบวมได้
                    • อาจมีผื่นหรือจุดแดงบริเวณรอยเข็มที่ฉีดฟิลเลอร์หน้าผากอาจเกิดอาการแพ้ฟิลเลอร์หรือเกิดการอักเสบ โดยมีลักษณะเป็นก้อนบวมนูน ผิวแดง และรู้สึกปวดมาก หากมีอาการดังกล่าวจะต้องรีบไปแพทย์เพื่อทำการรักษาทันที
                    • ฉีดฟิลเลอร์หน้าผากแล้วเป็นคลื่น เป็นก้อน ผิวไม่เรียบ เกิดจากการฉีดฟิลเลอร์ผิดชั้นผิวหนังหรือฉีดตื้นเกินไป สามารถแก้ไขได้ด้วยการฉีดสลายฟิลเลอร์

                     

                    ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน อยู่ได้นานแค่ไหน

                    • การฉีดฟิลเลอร์หน้าผากอยู่ได้นานหรือไม่ ขึ้นอยู่กับยี่ห้อของฟิลเลอร์ที่เลือกใช้ และการดูแลตัวเองหลังการฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก ซึ่งปกติผลลัพธ์การฉีดฟิลเลอร์จะอยู่ได้นานถึง 1 ปี

                     

                    ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน อันตรายไหม

                    • การฉีดฟิลเลอร์หน้าผากไม่อันตราย หากฉีดด้วยฟิลเลอร์แท้ ฉีดโดยแพทย์ที่มีความชำนาญเฉพาะด้าน และเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน สะอาดและปลอดภัย เพราะบริเวณหน้าผากเป็นจุดที่อันตรายมาก เนื่องจากเป็นบริเวณที่มีเส้นเลือดที่เชื่อมไปถึงลูกตา ต้องฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์และมีความชำนาญเท่านั้น การฉีดฟิลเลอร์หน้าผากต้องใช้ปริมาณของฟิลเลอร์ที่ค่อนข้างมากกว่าบริเวณอื่น ๆ จำเป็นต้องใช้เทคนิคพิเศษในการฉีดฟิลเลอร์หน้าผากเพื่อความปลอดภัย

                     

                    ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน บวมกี่วัน

                    • หลังฉีดฟิลเลอร์หน้าผากจะมีอาการบวมเป็นปกติ และจะหายไปเอง ภายใน 1 สัปดาห์ โดยสามารถทานยาแก้ปวด เพื่อช่วยบรรเทาอาการปวดให้เบาลงได้

                     

                    ฉีดฟิลเลอร์หน้าผากนูนเกินไป แก้ปัญหาหน้าผากแบน สามารถแก้ได้หรือไม่

                    • กรณีที่ฉีดฟิลเลอร์หน้าผากด้วยฟิลเลอร์แท้ สามารถฉีดสลายได้ด้วยตัวยาสลายฟิลเลอร์ Hyaluronidase ซึ่งจะเข้าไปเพื่อลดการกักเก็บน้ำและไขมัน ทำลายการยึดเกาะของเนื้อฟิลเลอร์ ทำให้ผิวกลับมาเรียบเสมอกันอีกครั้ง

                     

                    ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน สลายได้ไหม

                    • การฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก ผลลัพธ์ไม่ได้อยู่ถาวร หลังฉีดสารเติมเต็มประเภทไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid : HA) จะสลายได้เองตามธรรมชาติ โดยไม่ตกค้างในร่างกาย ซึ่งระยะเวลาของผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับยี่ห้อฟิลเลอร์ที่เลือกใช้ และขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก หากต้องการผลลัพธ์การฉีดฟิลเลอร์หน้าผากแบบต่อเนื่อง ควรฉีดซ้ำเรื่อย ๆ เพื่อรักษาผลลัพธ์ให้อยู่นานขึ้น

                     

                    ฉีดฟิลเลอร์หน้าผากแล้วเป็นก้อน เป็นคลื่นไม่เรียบเนียน ไหลย้อย เกิดจากอะไร

                    • การฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก จำเป็นต้องใช้เทคนิคการฉีดและประสบการณ์ของแพทย์ เพราะถ้าหากฉีดฟิลเลอร์หน้าผากหากฉีดไม่ดีหรือฉีดตื้นเกินไป อาจทำให้เกิดปัญหาฟิลเลอร์เป็นก้อน เป็นคลื่น และเกิดการไหลย้อยได้ เนื่องจากถูกกล้ามเนื้อดึงมารวมกันไว้ ในด้านของเทคนิคการฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก แพทย์ต้องฉีดเนื้อฟิลเลอร์เข้าไปบริเวณชั้นเยื่อหุ้มกระดูก เพื่อให้เนื้อฟิลเลอร์พยุงแผ่นเยื่อหุ้มกระดูกขึ้นมา ทำให้ผลลัพธ์ของการฉีดฟิลเลอร์หน้าผากดูมีความเป็นธรรมชาติ ไม่เป็นคลื่น ฟิลเลอร์ไม่ไหลหรือไม่เคลื่อนย้ายไปตำแหน่งอื่น

                     

                    การฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก เป็นการช่วยแก้ไขปัญหาหน้าผากแบน หน้าผากยุบ หน้าผากบุ๋ม รวมไปถึงแก้ปัญหารอ้วรอยบนหน้าผาก เสริมปรับให้หน้าผากมีความโหนกนูนขึ้น ช่วยปรับให้หน้าผากมีความเรียบเนียน เต่งตึงขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปรับใบหน้าให้ดูมีมิติและสมส่วนอย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้น หลังจากฉีดฟิลเลอร์หน้าผากจะเห็นผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงทันที

                    สำหรับใครที่กำลังมองหาคลินิกฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน ที่สะอาด ปลอดภัย และมีมาตรฐาน ต้องเลือกรมย์รวินท์คลินิกดูแลทุกปัญหาความงามของคุณผู้หญิงและคุณผู้ชายทุกคน พร้อมมอบการดูแลตัวเองสุดพิเศษในฉบับที่เป็นคุณที่ดีกว่าเดิมอีกด้วย

                    ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




                      วันที่สะดวกในการติดต่อ





                      ฟิลเลอร์ร่องแก้มคืออะไร ทำไมต้องฉีด ยี่ห้อไหนดี?

                      ฟิลเลอร์ร่องแก้ม

                      ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                        วันที่สะดวกในการติดต่อ





                        เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้นปัญหาที่เด่นชัดบนใบหน้าที่ใครหลายคนกังวล คือ ปัญหาริ้วรอยร่องแก้มลึก ซึ่งปัญหานี้ทำให้ดูแก่กว่าวัยได้อีกด้วย ส่งผลทำให้ใครหลายคนที่กำลังเจอกับปัญหาเหล่านี้สูญเสียความมั่นใจ ในปัจจุบันสามารถแก้ปัญหาริ้วรอยร่องแก้มลึกได้ด้วยวิธีการ “การฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม” เพื่อเติมเต็มในส่วนที่ยุบตัวลง

                        วันนี้รมย์รวินท์คลินิกรวบรวมข้อมูลสำคัญที่เกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มว่า ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มคืออะไร ฟิลเลอร์ร่องแก้มอันตรายไหม ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มยี่ห้อไหนดี และฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มต้องใช้กี่ CC และข้อควรรู้ของการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม ว่าก่อนฉีดและหลังฉีดต้องปฏิบัติตัวเองอย่างไร หาคำตอบได้แล้วในบทความนี้

                        ฟิลเลอร์ร่องแก้มคืออะไร รวมทุกเรื่องที่ต้องรู้ก่อนฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม

                        ฟิลเลอร์ร่องแก้ม

                        ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม คืออะไร?

                        ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม คือ การฉีดสารเติมเต็มประเภทไฮยารูลอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid : HA) เข้าไปในบริเวณร่องแก้มที่ยุบตัวลงไปได้อย่างเห็นผลลัพธ์และตรงจุด โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น เพื่อแก้ปัญหาร่องแก้มลึก ร่องแก้มชัด ที่ทำให้ใบหน้าดูแก่กว่าวัย โดยฟิลเลอร์จะเข้าไปเติมเต็มร่องแก้มให้ผิวหน้าดูเต็ม และร่องแก้มตื้นขึ้น ผิวเรียบเนียนสม่ำเสมอกว่าเดิม และใบหน้าดูเด็กลง

                        ฟิลเลอร์ร่องแก้ม

                        ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม เกิดจากสาเหตุอะไร?

                        ปัญหาร่องแก้มลึกเกิดขึ้นได้จากหลากหลายสาเหตุ โดยจะเกิดขึ้นเมื่ออายุ 25 ปีขึ้นไป ทำให้ใบหน้าดูแก่ก่อนวัย ซึ่งสาเหตุร่องแก้มลึกมี 4 ปัจจัยหลัก ดังนี้

                        เกิดจากการทรุดตัวของกระดูกร่องแก้มโดยตรง

                        มักพบได้ตั้งแต่คนที่อายุ 20-30 ปี ซึ่งบริเวณร่องแก้มยังไม่ลึกมาก และกระดูกช่วงบริเวณใต้ตายังทรุดตัวไม่มาก สามารถแก้ไขด้วยการฉีดฟิลเลอร์แก้ม โดยฉีดลงในชั้นกระดูกใต้กล้ามเนื้อ และฉีดในจุดที่ต่ำกว่าร่องแก้มเล็กน้อย

                        เกิดจากการทรุดตัวของกระดูกบริเวณใต้ตา

                        การทรุดตัวของกระดูกบริเวณใต้ตามักพบได้ในคนที่อายุ 30 ปีขึ้นไป โดยกระดูกบริเวณใต้ตามีการทรุดตัวที่ค่อนข้างมาก ทำให้เนื้อแก้มด้านบนหย่อนคล้อยลงมาบริเวณเหนือร่องแก้ม จึงทำให้บริเวณร่องแก้มดูลึก สามารถแก้ไขได้ด้วยการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา และฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม โดยฉีดเพื่อยกผิวในชั้นกระดูกเพื่อดึงโครงสร้างผิวโดยรวมทั้งหมดขึ้นไปด้านบน จะช่วยทำให้ร่องแก้มตื้นขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ

                        เกิดจากการยิ้มบ่อย ๆ

                        การยิ้มบ่อยเกินไปจะทำให้กล้ามเนื้อที่ดึงร่องแก้มแข็งแรงเกินไป สามารถแก้ไขได้ด้วยเทคนิคการฉีดโบในปริมาณที่น้อยมาก ๆ ลงในชั้นผิวหนัง เพื่อให้เส้นใยของกล้ามเนื้อที่มาเกาะผิวหนังชั้นบนคลายตัว โดยไม่ทำให้กล้ามเนื้อชั้นล่างคลายไปด้วย แต่ไม่ควรแก้ด้วยการฉีดโบ 100% เพราะจะทำให้การยิ้มดูแข็ง ไม่เป็นธรรมชาติ ควรแก้ด้วยฉีดโบ 50% และแก้ด้วยการฉีดฟิลเลอร์หนุนหรือฉีดกดกล้ามเนื้อ เพื่อควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อบางส่วน ให้ผลลัพธ์ออกมาดูเป็นธรรมชาติ

                        การสูญเสียไขมันใต้ผิวหนัง

                        เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น ร่างกายจะผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินน้อยลง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ผิวเต่งตึงและมีความยืดหยุ่น โดยไขมันใต้ชั้นผิวหนัง (subcutaneous fat) จะลดลงด้วย โดยไขมันชั้นนี้มีความสำคัญในการให้ความเติมเต็มของใบหน้า โดยเฉพาะบริเวณแก้ม เมื่อไขมันใต้ผิวหนังลดลงจึงส่งผลให้ผิวหนังยุบตัวลงตาม จนเกิดร่องลึกบริเวณแก้ม ทำให้ใบหน้าดูผอมลง โครงหน้าชัดขึ้น

                        เกิดจากผิวแห้ง หรือ เกิดจากการตากแดดบ่อย

                        ลักษณะผิวจะเกิดเป็นริ้วตื้นบริเวณร่องแก้ม ทำให้ชั้นผิวบางลงและเกิดรอยพับง่าย สามารถใช้ฟิลเลอร์ช่วยเติมความชุ่มชื้นให้กับชั้นผิวหนังได้โดยตรง โดยเลือกใช้ฟิลเลอร์ที่มีโมเลกุลขนาดเล็ก เพื่อให้เรียบเนียนไม่เป็นก้อน

                        ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม ช่วยอะไรบ้าง?

                        • ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม ช่วยเติมเต็มร่องแก้มลึก ทำให้ผิวบริเวณร่องแก้มดูตื้นขึ้น ริ้วรอยดูจางลง ใบหน้าเรียบเนียนขึ้น
                        • ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม ช่วยปรับรูปหน้าให้สมดุลและมีสัดส่วนที่ดีขึ้น
                        • ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม ช่วยเติมเต็มแก้มตอบ หรือ แก้มส้ม ทำให้ใบหน้าดูเต็ม อิ่มฟู และดูอ่อนเยาว์ขึ้น
                        • ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม ช่วยยกกระชับใบหน้า เพิ่มมิติให้ใบหน้า และทำให้ใบหน้าดูเต่งตึงขึ้น
                        • ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้า ทำให้ผิวหน้าแลดูฉ่ำวาว ผิวแลดูสุขภาพดี

                        ฟิลเลอร์ร่องแก้ม

                        ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม เหมาะกับใคร?

                        • ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม เหมาะกับผู้ที่มีร่องแก้มลึกชัดเจน
                        • ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม เหมาะกับผู้ที่แก้มหย่อนคล้อย หรือเนื้อแก้มเยอะจนเกิดรอยพับ
                        • ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม เหมาะกับผู้ที่มีร่องแก้มลึกชัดเจน จากกล้ามเนื้อบริเวณร่องแก้มทำงานมากเกินไป
                        • ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม เหมาะกับผู้ที่มีกระดูกใต้ตาและร่องแก้มลดลง จนเกิดเป็นร่องแก้มลึก
                        • ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม เหมาะกับผู้ที่มีผิวหน้าแห้ง มักจะเกิดริ้วรอยและร่องแก้มง่าย

                        ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม ดีอย่างไร?

                        การมีร่องแก้มทำให้ใบหน้าดูมีอายุ การแก้ปัญหาด้วยการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มจะช่วยทำให้ใบหน้ากลับมาดูอ่อนเยาว์ขึ้น ซึ่งข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม มีดังนี้

                        • ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม ทำให้ใบหน้ายกกระชับขึ้น ริ้วรอยร่องลึกดูตื้นจางลง
                        • ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม ช่วยเติมเต็มใบหน้าให้เด็กลง
                        • ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม จะช่วยในการกักเก็บน้ำ ให้ผิวชุ่มชื้นขึ้น และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
                        • ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม ช่วยลดเลือนริ้วรอยเล็ก ๆ บริเวณร่องแก้มให้ผิวเรียบเนียนขึ้น
                        • ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม เห็นผลลัพธ์ทันที และผลลัพธ์ชัดเจนขึ้นใน 7-14 วัน
                        • ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น ไม่มีรอยแผลเป็น
                        • ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม ช่วยแก้ปัญหาโหนกแก้มใหญ่จากผิวที่หย่อนคล้อย ให้หน้าเล็กลงกระชับขึ้น
                        • ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม ช่วยแก้ไขใบหน้าที่ไม่ได้สัดส่วน ให้สมดุลรับกับใบหน้ามากขึ้น
                        • ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม สามารถสลายเองได้เองตามธรรมชาติ ไม่ตกค้างในร่างกาย
                        • ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มแท้ มีความปลอดภัย ที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง

                        ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มยี่ห้อไหนดี?

                        การเลือกยี่ห้อฟิลเลอร์ร่องแก้ม แพทย์จะเป็นผู้เลือกตามปัญหาร่องลึกของผู้เข้ารับบริการ โดยแพทย์จะเลือกตามลักษณะของเนื้อฟิลเลอร์ที่ต้องใช้เป็นหลัก การเลือกลักษณะของเนื้อฟิลเลอร์เป็นสิ่งสำคัญมากในการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม เพราะหากเลือกใช้เนื้อฟิลเลอร์ผิดประเภท อาจทำให้ปัญหาร่องแก้มไม่หาย หรือร่องแก้มชัดกว่าเดิม นอกจากนี้ฟิลเลอร์อาจเป็นก้อนได้

                        ในการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม เป็นวิธีที่ช่วยเติมเต็มบริเวณร่องแก้ม ทำให้ริ้วรอยร่องแก้มลดน้อยลงและริ้วรอยดูตื้นขึ้น ทำให้ใบหน้าดูอ่อนกว่าวัย เพราะฉะนั้นควรเลือกฟิลเลอร์ให้เหมาะสมกับบริเวณร่องแก้ม โดยฟิลเลอร์ที่เหมาะกับการฉีดบริเวณร่องแก้มมักจะใช้เนื้อฟิลเลอร์ที่มีเนื้อแน่นแข็งและเนื้อนิ่ม ฟิลเลอร์เนื้อแข็งจะคงรูปได้ดีเหมาะกับการฉีดในผิวหนังใต้ชั้นกล้ามเนื้อ ส่วนฟิลเลอร์เนื้อนิ่มจะเหมาะกับการฉีดผิวหนังชั้นตื้น ยี่ห้อที่เหมาะสำหรับปัญหาร่องแก้มลึก มีดังนี้

                        ฟิลเลอร์ร่องแก้มยี่ห้อ Juvederm

                        ยี่ห้อฟิลเลอร์แบรนด์ดังจากประเทศสหรัฐอเมริกา ผลิตโดยบริษัท Allergan (ประเทศไทย) จำกัด ผลิตด้วยเทคโนโลยี VYCROSS Technology และ HYLACROSS Technolygy ได้รับการรับรองความปลอดภัย และคุณภาพจาก US FDA และ อย.ไทย รุ่นที่เหมาะสำหรับการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม คือ

                        • ฟิลเลอร์ร่องแก้ม Juvederm Ultra Plus ฟิลเลอร์เนื้อนิ่มและฟู เหมาะสำหรับการแก้ปัญหาร่องลึก เช่น ร่องน้ำหมาก ร่องแก้ม ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 12 เดือน
                        • ฟิลเลอร์ร่องแก้ม Juvederm Volift ฟิลเลอร์ที่มีเนื้อเจลแข็งปานกลาง เนื้อฟู มีความละเอียด กลืนกับผิวได้ง่าย เรียบเนียนไปกับผิว เหมาะสำหรับการแก้ปัญหาร่องแก้มลึกทุกระดับ ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 18 เดือน
                        • ฟิลเลอร์ร่องแก้ม Juvederm Voluma ฟิลเลอร์ที่มีเนื้อแข็ง ฟูปานกลาง และมีความยืดหยุ่นสูง เหมาะสำหรับการเติมเต็มบริเวณใต้ตา ร่องแก้ม คาง และขมับได้อย่างเป็นธรรมชาติ ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 18 เดือน
                        • ฟิลเลอร์ร่องแก้ม Juvederm Volux ฟิลเลอร์เนื้อแข็งที่มีโมเลกุลขนาดใหญ่ มีความยืดหยุ่นสูง คงรูปทรงได้ดี เหมาะสำหรับการฉีดใต้ตา คาง ขมับ และร่องแก้มลึก ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 24 เดือน

                        ฟิลเลอร์ร่องแก้มยี่ห้อ Restylane

                        แบรนด์ฟิลเลอร์ตัวแรกของโลกจากประเทศสวีเดน ผลิตโดยบริษัท Galderma ประกอบด้วย 2 เทคโนโลยี คือ NASHA Technology และ OBT Technology ซึ่งมีคุณสมบัติที่สามารถใช้ได้หลากหลายบริเวณ ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาไทย อเมริกา และเกาหลี รุ่นที่เหมาะสำหรับการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม คือ

                        • ฟิลเลอร์ร่องแก้ม Restylane Refyne ฟิลเลอร์ที่มีลักษณะเนื้อนิ่ม มีความยืดหยุ่น เหมาะกับการแก้ปัญหาริ้วรอยลึกที่เกิดจากการยิ้ม เหมาะสำหรับการฉีดร่องแก้ม มุมปาก และปาก ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 12 เดือน
                        • ฟิลเลอร์ร่องแก้ม Restylane classic ฟิลเลอร์ที่มีเนื้อเจลแข็งปานกลาง เหมาะสำหรับการเติมเต็มบริเวณ ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก ขมับ แก้มตอบ แก้มส้ม และริ้วรอยตื้นบนผิว ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 8-12 เดือน
                        • ฟิลเลอร์ร่องแก้ม Restylane Lyft ฟิลเลอร์เนื้อแข็ง คงรูปได้ดี เหมาะสำหรับการเติมเต็มบริเวณ ใต้ตา คาง หน้าแก้ม ร่องแก้ม แก้มตอบ และขมับ ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 12 เดือน
                        • ฟิลเลอร์ร่องแก้ม Restylane Volyme ฟิลเลอร์ที่มีเนื้อนิ่ม สำหรับการเติมชั้นผิวให้อิ่มฟูขึ้น เหมาะสำหรับการฉีดเติมเต็มส่วนที่โหลลึกหรือตอบลง เช่น ร่องแก้ม, แก้มตอบ, ปาก และ มุมปาก ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 18 เดือน

                        ฟิลเลอร์ร่องแก้มยี่ห้อ Definisse

                        ฟิลเลอร์นำเข้าจากประเทศอิตาลี ผลิตและจัดจำหน่ายโดยบริษัท Relife Company เป็นบริษัทในเครือของ A.Menarini ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาแห่งประเทศไทย รุ่นที่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม คือ

                        • ฟิลเลอร์ร่องแก้ม Definisse Touch ฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม ที่มีความเนียนละเอียด กลืนกับผิวได้เป็นอย่างดี เหมาะสำหรับการเติมริ้วรอยตื้น บริเวณร่องแก้ม ใต้ตา ร่องมุมปาก และปาก ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 8-12 เดือน
                        • ฟิลเลอร์ร่องแก้ม Definisse Restore ฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม มีความหนาแน่นปานกลาง เหมาะสำหรับการเติมเต็มริ้วรอยร่องแก้ม และร่องมุมปาก ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 12 เดือน

                        ฟิลเลอร์ร่องแก้มยี่ห้อ Belotero

                        ฟิลเลอร์จากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ นำเข้าโดยบริษัท เมิร์ซ เฮลธ์แคร์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกา ยุโรป และไทย รุ่นที่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม คือ

                        ฟิลเลอร์ร่องแก้ม Belotero Intense ฟิลเลอร์ที่มีความยืดหยุ่นสูง แก้ปัญหาร่องลึกจากการยุบตัวของเนื้อเยื่อผิวหนัง เช่น เติมแก้มตอบ ร่องแก้มลึก ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 18 เดือน

                        ฟิลเลอร์ร่องแก้มแท้ วิธีเช็คให้ปลอดภัยก่อนฉีด ในแต่ละยี่ห้อ

                        วิธีเช็คฟิลเลอร์แท้ ยี่ห้อ Juvederm

                        • มีเลข Lot วันเดือนปีที่ผลิตฟิลเลอร์ และวันหมดอายุของฟิลเลอร์ ระบุไว้อย่างชัดเจน ซึ่งจะระบุไว้ทั้งหมด 4 จุด ในแต่ละจุดต้องมีข้อมูลที่ตรงกัน ดังนี้
                        1. เลข Lot ที่กล่องฟิลเลอร์
                        2. เลข Lot ที่ถาดฟิลเลอร์
                        3. เลข Lot ที่สติกเกอร์
                        4. เลข Lot ที่หลอดฟิลเลอร์
                        • จะมีฉลากกำกับเป็นภาษาไทย และเลขที่ อย.ไทย รับรองอยู่บนกล่องฟิลเลอร์
                        • ภายในกล่องจะมีเลขทะเบียน อย.ไทย และเอกสารเกี่ยวกับข้อมูลของฟิลเลอร์เป็นภาษาไทย
                        • สามารถติดต่อเพื่อตรวจสอบเพิ่มเติมโดยตรงกับบริษัท Allergan Thailiand หรือ หมายเลขโทรศัพท์ 02-640-4999 ต่อ 1

                        วิธีเช็คฟิลเลอร์แท้ ยี่ห้อ Restylane

                        • จะมีสติกเกอร์โมโนแกรม (Monogram) คำว่า “VOID” ติดไว้
                        • จะมี QR Code ให้สแกนข้างกล่อง โดยใช้แอปพลิเคชัน eZTracker Safety เพื่อเช็คว่าฟิลเลอร์เป็นของแท้ ซึ่งจะขึ้นหน้าจอเป็นสีเขียวแสดงวันหมดอายุ พร้อมทั้งมีข้อความระบุว่า ‘ผลิตภัณฑ์ได้ถูกนำเข้าอย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยบริษัท กัลเดอร์มา (ประเทศไทย) จำกัด’ แต่ในกรณีที่ขึ้นเป็นหน้าจอสีส้ม ให้กดรายงานในแอปพลิเคชันทันที เพื่อให้บริษัทตรวจสอบได้ เนื่องจากฟิลเลอร์อาจเป็นของปลอม
                        • จะมีเลข Lot วันเดือนปี ที่หมดอายุตรงกัน 2 จุด คือ บนกล่อง และที่หลอดของฟิลเลอร์
                        • ภายในกล่องจะมีเอกสารเกี่ยวกับฟิลเลอร์เป็นภาษาไทย และมีเลข อย.ไทย กำกับอยู่
                        • สามารถโทรเพื่อตรวจสอบหรือสอบถามเลข Lot ได้ที่ 02-023-1800 ต่อ 402

                        วิธีเช็คฟิลเลอร์แท้ ยี่ห้อ Definisse

                        • จะมีเลขทะเบียน อย. เอกสารกำกับภาษาไทย และภาษาอังกฤษ
                        • เลข lot. ต้องตรงกัน 3 จุด คือ
                        1. เลข lot. ที่สติกเกอร์
                        2. เลข lot. ที่กล่องฟิลเลอร์
                        3. เลข lot. ที่หลอดฟิลเลอร์
                        • สติกเกอร์สามารถลอกออกได้ เพื่อนำไปติด OPD Card 
                        • รอยประด้านข้างกล่องต้องปิดสนิท 
                        • สามารถโทรตรวจสอบเลข lot. และคลินิกได้ ที่บริษัท เอ.เมนารินี (ประเทศไทย) จำกัด โทร. 02 696 8500 ต่อ 3

                        วิธีเช็คฟิลเลอร์แท้ ยี่ห้อ Belotero

                        • จะมีเลข Lot วันเดือนปีหมดอายุของฟิลเลอร์ ที่ตรงกันทั้งหมด 3 จุด คือ
                        1. เลข lot. ที่สติกเกอร์
                        2. เลข lot. ที่กล่องฟิลเลอร์
                        3. เลข lot. ที่หลอดฟิลเลอร์
                        • แถบสีบนหลอดของฟิลเลอร์ ต้องเป็นสีเดียวกับสีที่อยู่บนกล่อง
                        • ภายในกล่องมีเอกสารเกี่ยวกับฟิลเลอร์เป็นภาษาไทย และมีเลขทะเบียน อย. ไทย
                        • สามารถโทรเพื่อตรวจสอบเลข Lot และคลินิกที่นำฟิลเลอร์มาใช้ ได้ที่บริษัท เมิร์ซ เฮลธ์ แคร์ (ประเทศไทย) จำกัด (Merz Aesthetic) โทร 092-254-2662

                        การเตรียมตัวก่อนฉีด-หลังฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม

                        ฟิลเลอร์ร่องแก้ม

                        การดูแลตัวเองก่อนฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม

                        • ก่อนฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม ควรหลีกเลี่ยงการทานวิตามินและอาหารเสริมบางประเภทที่มีฤทธิ์เกี่ยวกับการไหลเวียนโลหิต เช่น วิตามินซี
                        • ก่อนฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม งดยาทาชนิดผลัดเซลล์ผิวทุกชนิด 3 วัน
                        • ก่อนฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม งดสูบบุหรี่และงดการดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 24 ชั่วโมง
                        • ก่อนฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม งดกิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีด เช่น การคาร์ดิโอ ปั่นจักรยาน วิ่ง 24 ชั่วโมง

                        ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม

                        • ก่อนฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม ควรปรึกษาแพทย์ที่มีความชำนาญเพื่อให้แพทย์ทำการประเมินใบหน้าเบื้องต้น เพื่อการแก้ไขปัญหาที่ตรงจุด
                        • แพทย์จะแนะนำว่าควรใช้ฟิลเลอร์ร่องแก้มยี่ห้อไหน และรุ่นไหนให้เหมาะสมกับบริเวณที่ต้องการฉีด
                        • ทำความสะอาดใบหน้าบริเวณที่ต้องการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม เพื่อความสะอาดและความปลอดภัย
                        • แพทย์แกะกล่องฟิลเลอร์ร่องแก้มให้ดูต่อหน้า เพื่อความมั่นใจว่าเป็นฟิลเลอร์แท้ก่อนฉีด
                        • แพทย์ฉีดฟิลเลอร์ลงบริเวณที่ร่องแก้ม
                        • ระหว่างแพทย์ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มจะมีการประคบน้ำแข็ง เพื่อลดความเจ็บจากเข็ม
                        • ซึ่งเนื้อฟิลเลอร์ส่วนใหญ่มียาชาเป็นส่วนประกอบอยู่ในเนื้อฟิลเลอร์
                        • หลังฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มเสร็จเรียบร้อย แพทย์จะทำการแนะนำวิธีดูแลตนเองเพื่อช่วยให้ผลลัพธ์ของฟิลเลอร์อยู่ได้นานขึ้นฟิลเลอร์ร่องแก้ม

                        การดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม

                        • หลังฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม ควรหลีกเลี่ยงการแกะ เกา นวด และคลึง รวมไปถึงอย่าขยับใบหน้าเยอะ โดยเฉพาะในช่วง 3 วันแรกหลังฉีด
                        • หลังฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม ห้ามนอนราบ 3-4 ชั่วโมง
                        • หลังฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม หลีกเลี่ยงความร้อนทุกชนิด เช่น การซาวน่า การออกกำลังกายหนัก
                        • หลังฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม งดเลเซอร์ลงผิวชั้นลึก อย่างน้อย 1 เดือน
                        • หลังฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม หากมีอาการปวด สามารถกินยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการปวดให้เบาลงได้
                        • หลังฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม ควรดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อให้ฟิลเลอร์ฟูขึ้น

                        ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม vs ร้อยไหมดึงร่องแก้ม

                        การฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม กับ การร้อยไหมดึงร่องแก้ม เป็นหัตถการเพื่อใบหน้าอ่อนเยาว์ทั้ง 2 หัตถการ โดยมีความแตกต่างกัน ดังนี้

                        ฟิลเลอร์ร่องแก้ม

                        การฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มจะช่วยเติมเต็มร่องแก้มลึก และช่วยเติมเต็มส่วนที่มีการทรุดตัวของกระดูก มีเทคนิคฉีดไล่ตั้งแต่เส้นร่องแก้มบริเวณปากไล่ขึ้นมา ช่วยทำให้มุมปากยกขึ้นได้ด้วย อีกทั้งยังสามารถแก้ปัญหาร่องแก้มลึกได้โดยตรง ซึ่งหลังฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มจะเห็นผลลัพธ์ทันทีอย่างเป็นธรรมชาติ

                        ร้อยไหมดึงร่องแก้ม

                        การร้อยไหมดึงร่องแก้ม จะเป็นการร้อยไหมเรียบในผิวชั้นตื้นเพื่อช่วยในการเสริมร่องแก้มให้ตื้นขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น เพราะถ้าร้อยไหมซ้อนกันหลายเส้นมากเกินไปในจุดเดียว จะมีความเสี่ยงที่ทำให้เกิดอีลาสตินทับซ้อนกันจนเป็นพังผืดแข็งได้ หรือกรณีที่ร้อยไหมก้างปลาดึงแก้มโดยตรง จะทำให้เนื้อขึ้นไปกองรวมกันอยู่ตรงโหนกแก้ม ทำให้ใบหน้าดูบวมและไม่เป็นธรรมชาติ

                        ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม vs ฉีดโบ vs เครื่องยกกระชับ แบบไหนแก้ปัญหาร่องแก้มลึกได้ดี?

                        ระหว่างการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม ฉีดโบ และเครื่องยกกระชับ แบบไหนถึงจะเหมาะสมกับปัญหาร่องแก้มที่สุด โดยปัญหาร่องแก้มแบ่งออกได้เป็น 3 ระดับ ดังนี้

                        • ร่องแก้มเป็นร่องตื้น ไม่ลึกมาก เป็นปัญหาที่เกิดจากการพับของผิวหน้าเมื่อแสดงสีหน้า สามารถแก้ไขได้ด้วยเครื่องยกกระชับ เช่น Ulthera SPT, Ultraformer MPT 4D Lift, Oligio, Emface, morpheuse8 หรือ Thermage FLX ช่วยให้ใบหน้ามีความตึงกระชับและช่วยลดการขยับของผิว ทำให้ร่องแก้มไม่ลึกไปมากกว่าเดิม
                        • ร่องแก้มเป็นร่องลึก แม้ยังไม่แสดงสีหน้า ส่วนมากจะพบได้ในคนที่อายุ 25 ปีขึ้นไป หรือคนที่มีเนื้อเยื่อยุบลง ทำให้แก้มหย่อนคล้อย เมื่อทำการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มลึกจะดูตื้นขึ้น ผิวดูเรียบเนียน ริ้วรอยลดลง สามารถทำคู่กับเครื่องยกกระชับผิวได้ เพื่อผลลัพธ์ที่ดีกว่าเดิม
                        • ร่องแก้มลึกมาก เป็นรอยพับถาวร ปัญหานี้พบได้ในคนสูงอายุที่ร่างกายหยุดผลิตคอลลาเจน มักมีปัญหากระดูกทรุดตัว ผิวหย่อนคล้อยมาก การร้อยไหมยกกระชับหรือการผ่าตัดศัลยกรรมดึงหน้า จะสามารถแก้ปัญหาร่องแก้มลึกมากได้ดี และสามารถทำร่วมกับการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม หรือเครื่องยกกระชับอื่น ๆ ได้อีกด้วย

                        คำถามพบบ่อยของการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม

                        ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม ใช้กี่ CC?

                        โดยปกติการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม ใช้ฟิลเลอร์ 1-2 CC เท่านั้น แต่ในบางกรณีคนที่มีอายุเยอะ อาจจำเป็นสำหรับการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม 3-4 CC และอาจจะต้องทำการร้อยไหมหรือเครื่องยกกระชับร่วมด้วย เพื่อให้ผลลัพธ์ดีขึ้นกว่าเดิม

                        ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม กี่วันเห็นผลลัพธ์?

                        การฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มสามารถเห็นผลลัพธ์หลังทำทันทีตั้งแต่ครั้งแรก และไม่ต้องใช้ระยะเวลาในการพักฟื้นนาน โดยในช่วงแรกอาจมีอาการบวมหลังฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม แต่เมื่ออาการบวมลดลง ใบหน้าจะดูยกกระชับขึ้น และเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนในช่วง 2-3 สัปดาห์หลังทำ

                        ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม อันตรายไหม?

                        การฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม หากใช้ฟิลเลอร์แท้ ฉีดโดยแพทย์ผู้ชำนาญการที่มีประสบการณ์สูง และฉีดกับคลินิกที่ได้รับมาตรฐานที่สะอาดและปลอดเชื้อ จะทำให้การฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มมีความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่สวยงามอย่างเป็นธรรมชาติ

                        ฉีดฟิลเลอร์ปลอม อันตรายอย่างไร?

                        การฉีดฟิลเลอร์ปลอม มาจากการที่ฉีดกับคลินิกที่ไม่มีมาตรฐานการรองรับจากกระทรวงสาธารณสุข การเลือกใช้ฟิลเลอร์ที่ไม่มีการรับรองจาก อย. ไทย หรือการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มกับแพทย์ที่ไม่มีความชำนาญในด้านการฉีดฟิลเลอร์ โดยอาการของการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มปลอมทำให้เกิดความผิดปกติ เช่น อาการบวม รอยแดง การอักเสบติดเชื้อที่รุนแรง รวมไปถึงการไหลย้อยของฟิลเลอร์ด้วย ซึ่งจำเป็นต้องผ่าตัดเพื่อเอาออกเท่านั้น เนื่องจากฟิลเลอร์ปลอมไม่สามารถย่อยสลายเองได้

                        ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม เจ็บไหม?

                        ปกติการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มจะมีความเจ็บในระดับที่อดทนได้ ซึ่งก่อนฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มจะมีการทายาชาให้ ในฟิลเลอร์บางยี่ห้อจะมียาชาเป็นส่วนประกอบอยู่ในเนื้อฟิลเลอร์ด้วย

                        ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม บวมกี่วัน?

                        หลังฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มจะมีอาการบวมจากเข็มได้ โดยอาการบวมจะเริ่มค่อย ๆ ดีขึ้นภายใน 2-3 วัน โดยควรหลีกเลี่ยงการแคะ แกะ เกา หรือกดนวดในบริเวณนั้น

                        ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มแล้วเป็นก้อนเกิดจากอะไร?

                        การฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มแล้วเป็นก้อน เกิดขึ้นได้จากหลากหลายสาเหตุ ดังนี้

                        แพทย์ไม่มีความชำนาญในด้านการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม

                        • เกิดจากการที่แพทย์ไม่มีความชำนาญในการฉีดฟิลเลอร์ :โดยปกติแพทย์ที่ทำการฉีดฟิลเลอร์จะต้องมีความรู้เรื่องการของวิเคราะห์ใบหน้าเพื่อการรักษาที่ถูกต้อง แต่ถ้าฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มกับแพทย์ที่ไม่มีความชำนาญ หรือหมอกระเป๋า อาจจะเกิดการฉีดฟิลเลอร์ผิดชั้นผิวหนังแล้วเกิดเป็นก้อนได้
                        • เลือกฟิลเลอร์ไม่เหมาะสมการเลือกยี่ห้อและรุ่นของฟิลเลอร์: นับเป็นส่วนสำคัญ เนื่องจากฟิลเลอร์ในแต่ละยี่ห้อนั้นมีขนาดของโมเลกุลและความหนาแน่นที่แตกต่างกันออกไป หากเลือกใช้ฟิลเลอร์ผิดก็อาจจะทำให้ก้อนแข็งขึ้นมาได้
                        • เลือกใช้ฟิลเลอร์ไม่ตรงกับปัญหาการเลือกใช้ฟิลเลอร์ร่องแก้ม : หากฉีดในชั้นผิวที่ไม่ลึกมากพอ ฉีดฟิลเลอร์ไม่ตรงจุด เนื่องจากไม่ทราบต้นเหตุที่แท้จริง จะทำให้การฉีดฟิลเลอร์ลงบริเวณข้างร่องแก้ม เป็นการเน้นให้ร่องแก้มชัดเจนมากยิ่งขึ้น
                        • เลือกใช้ฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐานการ : ใช้ฟิลเลอร์ร่องแก้มปลอมที่ไม่ผ่านการรับรองจาก อย. เป็นฟิลเลอร์ที่ไม่สามารถสลายเองได้ เมื่อเวลาผ่านไปจะจับตัวกันเป็นก้อน หรืออาจเกิดการไหลย้อยไม่เป็นทรงได้

                        การฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มเป็นการแก้ปัญหาร่องแก้มลึกได้อย่างตรงจุด เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพ ช่วยลดเลือนริ้วรอย เติมเต็มร่องลึก สามารถทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ลงได้ ซึ่งผลลัพธ์หลังการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มสามารถเห็นผลลัพธ์ได้ทันที และผลลัพธ์อยู่ได้นาน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อฟิลเลอร์ร่องแก้มที่เลือกใช้ และควรเลือกฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มกับแพทย์ผู้ชำนาญการที่เลือกใช้ฟิลเลอร์ที่มีคุณภาพ เพื่อผลลัพธ์ที่ดีและปลอดภัย สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : https://www.facebook.com/RomrawinClinic

                        ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                          วันที่สะดวกในการติดต่อ





                          Ultherapy Prime ยกกระชับแบบไม่ต้องผ่าตัด

                          ULTHERAPY PRIME

                          ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




                            วันที่สะดวกในการติดต่อ





                            Ultherapy Prime คือ เทคโนโลยีที่ถูกพัฒนาใหม่ ต่อยอดจาก Ultherapy รุ่นก่อน ๆ ที่พัฒนาขึ้นโดยบริษัทผู้ผลิตอย่าง Merz Aesthetics จึงนับเป็นการยกระดับเทคโนโลยียกกระชับ จากระบบเดิม Ultherapy Prime ที่ย่อมาจาก See, Plan, Trea โดย Ultherapy Prime นั้นมีคุณสมบัติที่พัฒนาขึ้นจากเดิมจึงเป็นที่น่าตื่นตาตื่นใจ ยกตัวอย่างเช่น Ultherapy Prime นั้นเป็นโปรแกรมที่มีการปรับปรุงระบบการทำงาน จึงส่งผลให้ Ultherapy Prime มีความเร็วในการรักษาต่อครั้งเร็วขึ้นถึง 20% ทำให้ประหยัดเวลาของผู้เข้ารับบริการ นอกจากนี้ Ultherapy Prime ยังมีการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานสำหรับผู้ให้บริการ ให้ช่วยยกกระชับได้ดีมากยิ่งขึ้น

                            ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีอัตราการรีเฟรชภาพในแต่ละครั้งที่ทำได้เร็วขึ้นชัดเจนมากขึ้นด้วย Ultherapy Prime ยังมีการปรับปรุงจอภาพของเครื่อง เพื่อให้เกิดการมองเห็นในขณะทำการรักษาของแพทย์ที่ดีขึ้นและสะดวกมากขึ้น โดยหน้าจอของ Ultherapy Prime มีขนาดที่ใหญ่ขึ้นถึง 35% จากเดิมด้วย

                            ULTHERAPY PRIME

                            Ultherapy Prime พัฒนาขึ้นเพื่อให้มีการรักษาที่แม่นยำมากขึ้นกว่าเดิม จากเดิมที่ใช้เทคโนโลยีการสร้างภาพแบบเรียลไทม์ (real-time imaging) อยู่แล้วก็ถูกทำให้มีความเคลื่อนไหวที่รวดเร็วมากขึ้น ทำให้แพทย์ทำการรักษาได้เร็วมากขึ้น ไม่ต้องแช่หัว Applicator ที่ใบหน้าไว้นานเท่าเดิม

                            Ultherapy Prime เป็นเครื่องที่มีความเหมาะสมกับผู้ที่ต้องการยกกระชับผิวหน้า และลำคอให้มีความตึงกระชับได้ โดยไม่ต้องทำการผ่าตัดทำศัลยกรรม Ultherapy Prime สามารถใช้ได้กับผู้คนในทุกสภาพผิว ทุกสีผิว และในผู้ที่มีความเหมาะสมในการทำ ทั้งยังมีอัตราการรีเฟรชภาพในแต่ละครั้งที่ทำได้เร็วขึ้นชัดเจนมากขึ้นด้วย

                            Ultherapy Prime เป็นโปรแกรมยกกระชับ และปรับคุณภาพผิว ที่ใช้พลังงาน Ultrasound ที่ได้รับมาตรฐานการรองรับในระดับสากลจากประเทศสหรัฐอเมริกา (U.S. FDA ) ซึ่งเป็นชนิดเดียวกันที่แพทย์ใช้ในการ Ultrasound เพศของทารกที่อยู่ในครรภ์

                            คิดค้น วิจัย และประเมิน ระดับของพลังงานคลื่น Ultrasound เป็นอย่างดี และพัฒนาให้ดีขึ้นจากเดิม ภายใต้ความเหมาะสม สำหรับการยกกระชับให้กับทุกสภาพผิว Ultherapy Prime ได้รับการยอมรับในด้านการรักษาจากหลายประเทศในโลก ผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยา หรืออย. ของประเทศไทย Ultherapy Prime มีความปลอดภัยสูง หากมีผลข้างเคียงก็เป็นผลข้างเคียงที่เล็กน้อย เพียงแค่มีรอยแดง หรือมีอาการเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่มีอาการรุนแรง

                            ULTHERAPY PRIME

                            Ultherapy Prime เหมาะกับใคร

                            Ultherapy Prime เป็นโปรแกรมยกกระชับที่สามารถทำได้ตั้งแต่อายุยังไม่มาก ในผู้ใช้บริการแต่ละช่วงอายุจะให้ผลลัพธ์ที่มีความแตกต่างกันไป โดยผู้ที่เหมาะกับการทำ Ultherapy Prime  มีดังนี้

                            • Ultherapy Prime เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย

                            คือ ผู้ที่มีผิวหน้าที่มีความกระชับที่ลดน้อยลงกว่าเดิม รูปหน้าเริ่มเปลี่ยน ผิวที่เริ่มมีความหย่อนคล้อยมากขึ้น อาทิ ผิวหน้าบริเวณใต้คาง หรือกรอบหน้าที่ไม่ชัดเจน อันเนื่องมาจากการสูญเสียคอลลาเจนที่อยู่บริเวณใต้ผิวหนัง การทำ Ultherapy Prime จะช่วยในการจัดเรียงคอลลาเจนใต้ผิวหนังขึ้นใหม่ ช่วยให้ผิวเกิดการสร้างคอลลาเจนมากขึ้น และยังช่วยลดความหย่อนคล้อย และยกกระชับใบหน้า

                            • Ultherapy Prime เหมาะกับผู้ที่มีริ้วรอยเล็ก ๆ หรือรอยเหี่ยวย่นบริเวณใบหน้า

                            สังเกตได้จากการที่มีริ้วรอยบาง ๆ ที่หน้าผาก รอบดวงตา หรือมุมปาก ซึ่งเป็นปัญหาสำหรับหลาย ๆ คน ปัญหานี้สามารถทำการแก้ไขได้ โดยการกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจน โดย Ultherapy Prime สามารถสร้างคอลลาเจนใต้ผิวได้ จึงสามารถลดริ้วรอยเล็ก ๆ และทำให้รอยย่นต่าง ๆ บนผิวหน้าตื้นขึ้นได้

                            • Ultherapy Prime เหมาะกับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูบริเวณผิว โดยไม่ผ่าตัด

                            เนื่องจาก Ultherapy Prime นั้นเป็นเทคโนโลยียกกระชับ หดผิว และฟื้นฟูผิวโดยการใช้คลื่น Ultrasound จึงทำให้ไม่ต้องทำการผ่าตัด

                            • Ultherapy Prime เหมาะกับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวหน้าและลำคอ

                            Ultherapy Prime สามารถทำในบริเวณที่เหี่ยวย่นบริเวณอื่น ๆ นอกจากใบหน้าได้ เช่น ลำคอ เนินอก เป็นต้น

                            • Ultherapy Prime สามารถทำบริเวณอื่นได้ นอกเหนือจากใบหน้า

                            สามารถทำได้ทั้งบริเวณใบหน้า เนินอก และลำคอ โดยใช้หลักการเดียวกันทั้งร่างกาย คือการกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนขึ้นบริเวณใต้ผิวหนัง

                            Ultherapy Prime เหมาะกับใคร

                            • Ultherapy Prime เหมาะกับผู้ที่ต้องการทำการยกกระชับ โดยไม่ต้องทำซ้ำบ่อย
                            • Ultherapy Prime เหมาะกับผู้ที่ต้องการยกกระชับ โดยไม่ต้องผ่าตัด
                            • Ultherapy Prime เหมาะกับผู้ที่ต้องการมีคุณภาพผิวที่ดี ร่วมกับการยกกระชับ
                            • Ultherapy Prime เหมาะกับผู้ที่ต้องการยกกระชับบริเวณหน้าอก
                            • Ultherapy Prime เหมาะกับผู้ที่ต้องการยกกระชับบริเวณลำคอ
                            • Ultherapy Prime เหมาะกับผู้ที่ต้องการทำการฟื้นฟูผิว โดยไม่ต้องทำการฉีด
                            • Ultherapy Prime เหมาะกับผู้ที่ต้องการลดริ้วรอย ร่องลึก
                            • Ultherapy Prime เหมาะกับผู้ที่ต้องการลดริ้วรอยขนาดเล็ก ๆ

                            Ultherapy Prime ไม่เหมาะกับใคร

                            • Ultherapy Prime ไม่เหมาะกับ ผู้ที่มีปัญหาผิวหนังที่เป็นแผล
                            • Ultherapy Prime ไม่เหมาะกับ ผู้ที่มีการอักเสบเฉียบพลันของผิวหนัง ในบริเวณที่ต้องการรักษา
                            • Ultherapy Prime ไม่เหมาะกับ ผู้ที่มีอาการเจ็บป่วย หรือมีโรคประจำตัวบางชนิด

                            ดังนั้น ควรปรึกษาแพทย์ให้ละเอียด และแจ้งโรคประจำตัว ภาวะที่เป็น และยาที่รับประทานก่อนที่จะทำการรักษา

                            การเตรียมตัวก่อนการทำ Ultherapy Prime ควรเตรียมตัวดังนี้

                            1. ทำการปรึกษาแพทย์ก่อนทำ Ultherapy Prime

                            • ก่อนทำการรักษาด้วย Ultherapy Prime ควรปรึกษาแพทย์ผู้มีความเชี่ยวชาญในการเข้ารับบริการ เพื่อให้แพทย์ทำการประเมินการรักษาและวางแผนการรักษา โดยละเอียดเพื่อความปลอดภัย ทั้งนี้แพทย์จะทำการวางแผนการรักษาร่วมด้วย

                            2. ผู้ช่วยแพทย์ทำความสะอาดผิว และเตรียมผิวบริเวณที่ทำ Ultherapy Prime

                            • ก่อนเริ่มการรักษาด้วย Ultherapy Prime ผู้ช่วยแพทย์จะทำความสะอาดผิว ในบริเวณที่ต้องการทำการรักษา จากนั้นจะต้องทำการเตรียมผิวโดยการทายาชา หรือใช้ยาชาบริเวณที่ต้องการทำ Ultherapy Prime เพื่อลดความรู้สึกเจ็บ หรือไม่สบายผิวในขณะทำ Ultherapy Prime

                            3. ลงมือทำ Ultherapy Prime

                            • Ultherapy Prime จะใช้เทคโนโลยี Ultrasound ที่พัฒนาขึ้นเพื่อการยกกระชับ และจัดเรียงคอลลาเจนใต้ผิว เสริมสร้างคุณภาพผิว โดยมีการฉายภาพโครงสร้างผิวแบบเรียลไทม์ทันทีบนหน้าจอ เพื่อให้แพทย์สามารถเห็นโครงสร้างผิวหนังได้ชัดเจน และเห็นการปล่อยคลื่นพลังงาน ลงในชั้นผิวหนังที่ลึกได้ตามต้องการ กระตุ้นได้อย่างแม่นยำมากที่สุด โดยแพทย์จะใช้ Applicator ของ Ultherapy Prime ในการส่งพลังงาน Ultrasound (Micro-Focused Ultrasound) ลงไปยังชั้นผิวลึก โดยเฉพาะในชั้น SMAS (Superficial Musculoaponeurotic System) เพื่อกระตุ้นผิวให้เกิดการสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ และพลังงานจากเครื่อง Ultherapy Prime นี้จะทำให้เกิดความร้อนของผิวขึ้นเฉพาะจุด ซึ่งความร้อนดังกล่าวนั้น เป็นพลังงานที่ช่วยในการยกกระชับผิว

                            โดยความรู้สึกในการทำ Ultherapy Prime อาจทำให้ผู้เข้ารับบริการรู้สึกเจ็บ เล็กน้อยบนผิว แต่ความรู้สึกนี้จะรู้สึกมากหรือน้อย จะแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล

                            4. การดูแลตัวเองหลังทำ Ultherapy Prime ทันที

                            • เมื่อทำการรักษาด้วย Ultherapy Prime เสร็จ ผู้เข้ารับบริการสามารถกลับบ้าน หรือไปทำกิจกรรมตามชีวิตประจำวันได้ปกติ โดยไม่ต้องพักฟื้น
                            • หลังจากทำ Ultherapy Prime เสร็จแล้วอาจมีอาการแดงหรือบวมเล็กน้อย บริเวณที่ทำการรักษา หลังการรักษา โดยอาการนี้จะหายไปได้เอง โดยไม่ต้องกังวล

                            5. การดูแลรักษาตัวหลังทำ Ultherapy Prime

                            • หลังทำ Ultherapy Prime ควรหลีกเลี่ยงผิวบริเวณที่ทำ Ultherapy Prime จากการสัมผัสแสงแดด หรือแสงประเภทอื่น ๆ อาทิ แสงไฟ 
                            • หลังทำ Ultherapy Prime ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสร้อนกับผิวบริเวณที่ทำการรักษาโดยตรง เช่น การอาบน้ำร้อน การอบซาวน่า การแช่ออนเซน
                            • หลังทำ Ultherapy Prime ผู้เข้ารับบริการควรทาครีมบำรุงผิว รวมทั้งครีมกันแดดที่มีค่า SPF 50 ++ ขึ้นไป ทั้งช่วงก่อนออกแดด และระหว่างการเจอแสงเจอแดด และบำรุงความชุ่มชื้นหลังออกแดด
                            • หลังทำ Ultherapy Prime ควรนอนหนุนหมอนที่สูงกว่าระดับที่นอน เพื่อลดอาการบวมในบริเวณที่ทำ โดยไม่ต้องกังวลสามารถหายได้เอง อาการนี้จะเป็นในบางคนเท่านั้น
                            • หลังทำ Ultherapy Prime หากมีอาการบวม หรือ แดงมาก ที่ผิวในบริเวณที่ทำ สามารถทำการประคบเย็นร่วมได้ โดยไม่ก่อให้เกิดอันตราย อาการนี้จะเป็นในบางคนเท่านั้น
                            • หลังทำ Ultherapy Prime หากผู้เข้ารับบริการเกิดอาการผิวแห้งจากการทายาชา ผู้เข้ารับบริการสามารถทาครีมบำรุงผิว ด้วยมอยเจอไรซ์เซอร์ ว่านหางจระเข้ หรือครีมบำรุงผิวร่วมด้วย ได้
                            • หลังทำ Ultherapy Prime ควรงดการทาครีมที่ทำให้ผิวขาว ครีมที่กัดผิว ครีมกำจัดขน รวมทั้งครีมที่มีการผลัดเซลล์ผิวประมาณ 1 สัปดาห์ เนื่องจากผิวหลังจากการทำ Ultherapy Prime จะยังมีความบอบบางมาก
                            • หลังทำ Ultherapy Prime ไม่ควรสัมผัสผิวหน้าแรง หรือจับผิวหน้าแรง เนื่องจากผิวบริเวณที่ทำ Ultherapy Prime จะมีความระบมอยู่ใต้ชั้นผิว สามารถรับประทานยาแก้ปวด เพื่อบรรเทาอาการปวดได้
                            • หลังทำ Ultherapy Prime ให้ปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อให้ผลลัพธ์ในการรักษาเป็นไปตามต้องการให้มากที่สุด

                            ULTHERAPY PRIME

                            ผลลัพธ์หลังทำการรักษาด้วย Ultherapy Prime

                            • หลังทำการรักษาด้วย Ultherapy Prime จะเริ่มเห็นผลลัพธ์ได้ชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากเวลาผ่านไป 2-3 เดือน อันเกิดจากกระบวนการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนังขึ้นใหม่ โดยคอลลาเจนดังกล่าว จะเริ่มสร้างหลังทำเสร็จเรื่อย ๆ โดย Ultherapy Prime จะสามารถคงสภาพผลลัพธ์ในการยกกระชับได้นานถึง 1 ปี หรือมากกว่า ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของผู้เข้ารับบริการ และการดูแลหลังทำการรักษา

                            ข้อดีของ Ultherapy Prime

                            1. Ultherapy Prime เป็นโปรแกรมที่มีความแม่นยำและมีประสิทธิภาพสูง

                            • Ultherapy Prime ใช้เทคโนโลยี Micro-Focused Ultrasound พัฒนาขึ้น เพื่อทำการยกกระชับโดยเฉพาะ แพทย์สามารถมองเห็นโครงสร้างผิวหนังได้อย่างแม่นยำมากขึ้น ชัดมากขึ้น มีการแสดงผลที่เร็วมากขึ้น รวมทั้งยังสามารถยิงพลังงานคลื่นได้อย่างแม่นยำมากขึ้น

                            2. Ultherapy Prime กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนอย่างมีประสิทธิภาพ

                            • การทำ Ultherapy Prime เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่สามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวหนัง ชั้นลึกหรือชั้น SMAS ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งเป็นโครงสร้างที่ช่วยรองรับผิวหน้า ทำให้ผิวหน้ากระชับและเรียบเนียนอย่างเป็นธรรมชาติ และเกิดการสร้างคอลลาเจนขึ้นใหม่ที่ชั้นใต้ผิวได้เป็นอย่างดี ส่งผลให้ผิวมีความยืดหยุ่นมากขึ้น

                            3. Ultherapy Prime แทบไม่ต้องพักฟื้นใบหน้าหลังทำ

                            • เนื่องจาก Ultherapy Prime เป็นเครื่องยกกระชับ ไม่ใช่การผ่าตัด เพื่อยกกระชับ จึงไม่จำเป็นที่จะต้องใช้การพักฟื้นใบหน้าหลังทำเป็นเวลานาน ในบางคนอาจไม่ต้องพักฟื้นเลย จึงทำให้ผู้เข้ารับบริการสามารถในชีวิตประจำวันได้ปกติหลังทำทันที ในบางคนอาจมีอาการบวมที่ผิวหนังเพียงเล็กหลังทำการรักษา

                            4. Ultherapy Prime สามารถคงผลลัพธ์คงอยู่นาน

                            • ผลลัพธ์จากการทำ Ultherapy Prime จะสามารถคงผลลัพธ์ได้นานถึง 1 ปีหรือนานกว่านั้น โดยจะขึ้นอยู่กับสภาพผิว และการดูแลของแต่ละบุคคล จึงทำให้ผลลัพธ์ในแต่ละคนจะอยู่ได้นานไม่เท่ากัน

                            5. Ultherapy Prime เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว

                            • Ultherapy Prime สามารถใช้ได้กับผู้เข้ารับบริการที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยในระดับต่าง ๆ ทุกระดับ โดยไม่ต้องคำนึงถึงสภาพผิว เนื่องจากสามารถใช้ได้กับทุกสภาพผิว และยังสามารถทำได้ในทุกบริเวณนอกเหนือจากใบหน้า เช่น ลำคอ และบริเวณรอบดวงตาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

                            6. Ultherapy Prime ไม่มีความเสี่ยงต่อการแพ้วัสดุ ไม่เจ็บ ไม่ต้องผ่าตัด

                            • เนื่องจากการทำ Ultherapy Prime ไม่ใช่การใช้วัสดุแปลกปลอมในการยกกระชับผิว เช่น ไม่มีการฉีดสารต่าง ๆ การทำ Ultherapy Prime จึงเป็นโปรแกรมที่สามารถลดความเสี่ยงในการเกิดการแพ้ หรือร่างกายเกิดการต่อต้าน ไม่เจ็บ ไม่ต้องใช้เข็ม  และไม่ต้องผ่าตัด

                            7. Ultherapy Prime เห็นผลลัพธ์หลังทำทันที

                            • เป็นโปรแกรมยกกระชับ ที่สามารถเห็นผลได้เลยในทันทีหลังทำ 20 % โดยผลลัพธ์อื่น ๆ จะค่อย ๆ ดีขึ้นเรื่อย ๆ

                            ข้อเสียของ Ultherapy Prime

                            1. Ultherapy Prime ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยมาก

                            ในผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยมาก หรือมีริ้วรอยลึกมาก Ultherapy Prime จะสามารถยกกระชับได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น อาจไม่สามารถให้ผลลัพธ์ที่พอใจขึ้น เท่าการผ่าตัดศัลยกรรมดึงหน้าได้

                            2. Ultherapy Prime อาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น

                            อาจมีอาการบวม แดง หรือรู้สึกตึงในบริเวณที่ทำการรักษาด้วย Ultherapy Prime ในบางคนอาจมีความชาที่ผิว มีอาการแดงที่ผิว แต่อาการเหล่านี้มักจะหายไปภายไปได้เอง โดยไม่ต้องกังวล

                            3. Ultherapy Prime หากต้องการผลลัพธ์ที่ดีต้องอาศัยความเชี่ยวชาญของแพทย์

                            แพทย์ที่มีความชำนาญจะสามารถยิง Ultherapy Prime ได้อย่างแม่นยำมากกว่า ทำให้การยกกระชับ สามารถกระชับได้มากกว่า

                            ช่วงอายุที่เหมาะสมในการทำ Ultherapy Prime

                            • ช่วงอายุ 25-35 ปี
                              สามารถทำ Ultherapy Prime ได้ตั้งแต่อายุยังไม่มาก หากเริ่มสังเกตเห็นสัญญาณของผิวหย่อนคล้อยเล็กน้อย ผิวที่ไม่กระชับบนใบหน้า เช่น คอ ใบหน้า ริ้วรอย การทำ Ultherapy Prime ในช่วงอายุนี้จะช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของคอลลาเจน  และยืดเวลาที่ผิวจะหย่อนคล้อยในอนาคต เปรียบเสมือนการป้องกันการเกิดปัญหาเพื่อไม่ให้เกิดขึ้น เมื่อเข้าสู่วัยที่จะเกิดความหย่อนคล้อย
                            • ช่วงอายุ 35-50 ปี
                              เป็นช่วงอายุที่คนส่วนใหญ่นิยมทำ Ultherapy Prime มากที่สุด เนื่องจากเป็นช่วงอายุที่ผิวมีการเสื่อมสภาพของคอลลาเจนที่เริ่มชัดเจนมากขึ้น เริ่มมีปัญหาความหย่อนคล้อยของผิวหนัง หรือมีริ้วรอยที่เห็นได้ชัดเจน ดังนั้นการทำ Ultherapy Prime ในช่วงอายุเท่านี้จะช่วยในการยกกระชับผิวบริเวณที่ทำ และทำให้ผิวหน้าดูอ่อนเยาว์ลง
                            • ช่วงอายุ 50 ปีขึ้นไป
                              สำหรับคนในช่วงอายุในช่วงนี้ การทำ Ultherapy Prime จะช่วยในการยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อยได้มากขึ้น และยังช่วยในการฟื้นฟูสภาพผิวให้ดูดีมากยิ่งขึ้น แต่การทำในช่วงอายุเท่านี้ อาจต้องใช้เวลาพักฟื้นหรือดูแลผิวหลังทำมากกว่าในช่วงอายุที่น้อยกว่านี้

                            Ultherapy Prime ดีกว่า Ultherapy SPT อย่างไร

                            1. Ultherapy Prime ดีกว่า Ultherapy SPT ตรงที่สามารถสร้างภาพผ่านจอแบบเรียลไทม์ที่แม่นยำขึ้น

                            Ultherapy Prime พัฒนาขึ้นมาจาก Ultherapy SPT มีความละเอียด และความเร็วในการแสดงผลที่ดีกว่าเดิม ทำให้แพทย์ควบคุมการรักษาได้ดีมากขึ้น 

                            2. Ultherapy Prime ดีกว่า Ultherapy SPT ตรงที่ใช้ความเร็วในการรักษาที่สูงขึ้น

                            เนื่องจาก Ultherapy Prime ถูกปรับปรุงขึ้น เพื่อให้สามารถทำงานเร็วมากขึ้นกว่าเดิมถึง 20% เมื่อเทียบกับ Ultherapy SPT ซึ่งช่วยลดเวลาในการรักษา และสามารถเพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้เข้ารับการรักษา

                            3. Ultherapy Prime ดีกว่า Ultherapy SPT ตรงที่มีหน้าจอแสดงผลขนาดใหญ่ และชัดเจนขึ้น

                            Ultherapy Prime นั้นมีหน้าจอแสดงผลที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมถึง 35% จึงทำให้แพทย์สามารถมองเห็นภาพได้ชัดเจนขึ้นในขณะที่ทำการรักษา จึงทำให้การรักษาผิดพลาดได้น้อย และการรักษาเห็นผลได้ดีมากยิ่งขึ้น

                            จะเห็นได้ว่า Ultherapy Prime เป็นโปรแกรมที่มีความแตกต่างจาก Ultherapy SPT ในด้านของหน้าจอที่มีความใหญ่และชัดมากขึ้น รวมถึงการแสดงผลที่เร็วมากขึ้น แต่ผลลัพธ์ในการรักษานั้น Ultherapy Prime ไม่ได้ให้ผลลัพธ์ที่มีความแตกต่างจาก Ultherapy SPT เนื่องจากยังคงความยกกระชับ และสร้างคอลลาเจนใต้ผิวได้เป็นอย่างดีเช่นเดิม

                            แต่ Ultherapy Prime นั้น นับเป็นการเปลี่ยนแปลง และพัฒนาครั้งยิ่งใหญ่ของวงการเครื่องยกกระชับ ทำให้เกิดความตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างมาก เพราะ Ultherapy ห่างหายจากการพัฒนาตัวเครื่องไปถึง 15 ปี Ultherapy Prime จึงนับว่าเป็นปรากฏการครั้งสำคัญ ในการพัฒนาเครื่องยกกระชับตระกูล Ultherapy นั่นเอง

                            ติดตามข่าวสาร หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ :www.facebook.com/RomrawinClinic

                             

                            ฟิลเลอร์คางคืออะไร? ช่วยเรื่องอะไรบ้าง? อันตรายไหม? รวมทุกเรื่องที่ต้องรู้ก่อนฉีดฟิลเลอร์คาง

                            ฟิลเลอร์คาง

                            ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




                              วันที่สะดวกในการติดต่อ





                              ฟิลเลอร์คางคืออะไร? ช่วยเรื่องอะไรบ้าง? อันตรายไหม? รวมทุกเรื่องที่ต้องรู้ก่อนฉีดฟิลเลอร์คาง

                              ปัญหาคางสั้น คางตัด คางบุ๋ม เป็นปัญหาที่ทำให้หลายคนขาดความมั่นใจ และมองข้ามการแก้ปัญหานี้ไป ซึ่งคางเป็นอีกหนึ่งจุดที่ควรให้ความสนใจมากที่สุด เพราะปัญหาของคางสั้น คางตัด คางบุ๋มแล้ว ยังสามารถช่วยปรับรูปหน้าให้เรียวสวยสมส่วน รับเข้ากับใบหน้ามากขึ้น

                              แต่การจะฉีดฟิลเลอร์คางครั้งแรกต้องศึกษาข้อมูลก่อนฉีดฟิลเลอร์ว่า การฟิลเลอร์คาง คืออะไร ฟิลเลอร์คางช่วยอะไรบ้าง ฟิลเลอร์คางอันตรายไหม หาคำตอบทุกเรื่องเกี่ยวกับฟิลเลอร์คาง เพื่อเตรียมความพร้อมได้แล้วกับบทความนี้

                              ฟิลเลอร์คางคืออะไร? อันตรายไหม? เจาะลึกเรื่องของการฉีดฟิลเลอร์คางที่ต้องรู้ก่อนฉีด

                              ฟิลเลอร์คาง
                              ฟิลเลอร์คางคืออะไร

                              ฉีดฟิลเลอร์คางคืออะไร?

                              ฟิลเลอร์คาง คือ การฉีดสารเติมเต็มประเภทไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid : HA) เข้าไปสู่บริเวณใต้คาง เพื่อปรับรูปหน้าให้ดูสมส่วน หน้าเรียวเล็กมากขึ้น ซึ่งการฉีดฟิลเลอร์คางสามารถเห็นผลลัพธ์หลังทำทันที และเนื้อฟิลเลอร์สลายได้เองตามธรรมชาติ ไม่มีอาการบวมช้ำเหมือนกับการผ่าตัดเสริมคาง ไม่จำเป็นต้องพักฟื้น หลังทำเสร็จสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ

                              การฉีดฟิลเลอร์คางจะเลือกใช้ฟิลเลอร์เนื้อแข็ง เมื่อฉีดเข้าไปฟิลเลอร์คางจะคงตัวได้ดี สามารถยกผิวในชั้นกระดูกเพื่อปรับรูปหน้า ในการฉีดฟิลเลอร์คางจำเป็นต้องทำกับแพทย์ที่มีความชำนาญการเท่านั้น

                              ฟิลเลอร์คาง
                              ลักษณะโหงวเฮ้งที่ดีเป็นอย่างไร

                              ฉีดฟิลเลอร์คางกับโหงวเฮ้งที่ดี ลักษณะคางที่ดี เป็นอย่างไร?

                              โหงวเฮ้งคาง (ตี่เก๊าะ) ที่ดี คือศาสตร์การปรับรูปหน้าของจีน การดูโหงวเฮ้งคางสามารถบ่งบอกถึงลักษณะนิสัย ความรู้และความสามารถได้อีกด้วย โดยโหงวเฮ้งคางจะมีลักษณะเด่นและลักษณะด้อยของคาง ดังนี้

                              ลักษณะคางเด่น

                              คางกลมมน : จะมีรูปทรงคางที่สวยงาม แบบถูกหลักโหงวเฮ้ง โดยลักษณะนี้จะเป็นบุคลิกที่มีความโอบอ้อมใจดี สมถะ ถ่อมตน
                              คางนูน : บ่งบอกถึงความเป็นคนมีวาสนามั่งมีทรัพย์ สติปัญญาสูง มักเป็นที่รักใคร่แก่คนทั่วไป และเป็นที่สนใจต่อเพศตรงข้าม

                              ลักษณะคางด้อย

                              คางแหลม : เป็นบุคลิกลักษณะไม่ประนีประนอม
                              คางสองชั้น : ลักษณะบุคลิกนี้อาจจะดูเป็นคนเกียจคร้าน นิยมวัตถุ และเป็นผู้ที่มีความกระตือรือร้นน้อย
                              คางสั้น คางหลบ : เป็นลักษณะของคนไม่ค่อยเข้าสังคม มีลับลมคมใน ไม่มีมนุษยสัมพันธ์ มักจะขี้กังวล ขาดความอดทนและขี้เกรงใจ

                              ฟิลเลอร์คาง
                              ฟิลเลอร์คางช่วยอะไร

                              ฉีดฟิลเลอร์คางช่วยอะไร?

                              ฉีดฟิลเลอร์คางเป็นการฉีดเพื่อปรับรูปหน้า เสริมโหงวเฮ้ง แก้ปัญหาคางไม่สมส่วน หรือแก้ปัญหาคางต่าง ๆ ดังนี้

                              • ฉีดฟิลเลอร์คางช่วยแก้ปัญหาคางตัด คางสั้น คางบุ๋ม เพื่อแก้ปัญหาให้ได้สัดส่วนมากขึ้น
                              • ฉีดฟิลเลอร์คางช่วยแก้ปัญหาหน้ากลม ต้องการปรับรูปหน้าให้เรียวมากขึ้น
                              • ฉีดฟิลเลอร์คางช่วยแก้ปัญหาคางเบี้ยว ไม่เท่ากัน
                              • ฉีดฟิลเลอร์คางเพื่อเสริมโหงวเฮ้งให้มีความมั่นใจมากขึ้น
                              • ฉีดฟิลเลอร์คางช่วยเสริมคางให้ยาวขึ้นได้อย่างเป็นธรรมชาติ

                              ฉีดฟิลเลอร์คางเหมาะกับใคร?

                              ฉีดฟิลเลอร์คาง เป็นหัตถการที่เหมาะกับคนที่อยากเสริมคาง แต่ไม่อยากผ่าตัด ไม่อยากมีแผล และไม่อยากพักฟื้น เหมาะกับคนที่มีฐานคางเดิมที่ต้องการปรับรูปทรงให้ดูเรียวยาว มีมิติสวยขึ้น อีกทั้งยังช่วยแก้ปัญหาคางสั้น คางตัด คางบุ๋ม เสริมความมั่นใจให้กับใบหน้าอย่างเป็นธรรมชาติ

                              ฉีดฟิลเลอร์คางไม่เหมาะกับใคร?

                              • การฉีดฟิลเลอร์คาง ไม่เหมาะกับคนที่มีปัญหาคางสั้นหรือคางถอยมาก ๆ เนื่องจากการฉีดฟิลเลอร์ในปริมาณที่มากเกินไป อาจทำให้ผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามธรรมชาติ และอาจทำให้ฟิลเลอร์ไหลเป็นก้อน คางไม่สวย หรือคางผิดรูปได้ นอกจากนี้การฉีดฟิลเลอร์คางไม่เหมาะกับคนที่ต้องการผลลัพธ์ถาวร เพราะการฉีดฟิลเลอร์คางจะสลายไปเองตามธรรมชาติ

                              ฉีดฟิลเลอร์คางมีข้อจำกัดอะไรบ้าง?

                              การฉีดฟิลเลอร์คางไม่เหมาะกับคนที่มีข้อจำกัด ดังนี้

                              • ฉีดฟิลเลอร์คาง ไม่เหมาะกับคนที่มีอาการแพ้ฟิลเลอร์หรือแพ้สารไฮยารูลอนิก แอซิด
                              • ฉีดฟิลเลอร์คาง ไม่เหมาะกับคนที่มีปัญหาเลือดออกแล้วหยุดเลือดยาก หรือมีแผลฟกช้ำง่าย
                              • ฉีดฟิลเลอร์คาง ไม่เหมาะกับคนที่กำลังรับประทานยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด
                              • ฉีดฟิลเลอร์คาง ไม่เหมาะกับคนที่เป็นเริมหรืองูสวัด
                              • ฉีดฟิลเลอร์คาง ไม่เหมาะกับสตรีมีครรภ์
                              ฟิลเลอร์คาง
                              ฟิลเลอร์คางดีอย่างไร

                              ฉีดฟิลเลอร์คางมีข้อดีอย่างไร?

                              • ฉีดฟิลเลอร์คางไม่ต้องพักฟื้น เห็นผลลัพธ์หลังทำทันที เหมาะกับคนที่ต้องการรูปหน้าที่เรียวขึ้น
                              • ฉีดฟิลเลอร์คางสามารถย่อยสลายเองได้ตามธรรมชาติ ไม่มีตกค้างในร่างกาย มีความปลอดภัยสูง
                              • ฉีดฟิลเลอร์คางช่วยปรับรูปคางให้สวยอย่างเป็นธรรมชาติ
                              • ฉีดฟิลเลอร์คางหากไม่ชอบผลลัพธ์หลังทำสามารถฉีดสลายฟิลเลอร์ได้

                              ฉีดฟิลเลอร์คางมีข้อเสียอย่างไร?

                              • ฉีดฟิลเลอร์คางผลลัพธ์ไม่สามารถอยู่ได้ถาวร โดยการฉีดฟิลเลอร์คางจะอยู่ได้ประมาณ 1-2 ปี ขึ้นอยู่กับยี่ห้อฟิลเลอร์ที่ฉีด ทำให้ต้องฉีดซ้ำต่อเนื่องหลังจากฟิลเลอร์สลายตัว
                              • ฉีดฟิลเลอร์คางหากใช้ฟิลเลอร์ปลอม ฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐาน อาจมีความเสี่ยงทำให้เกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายได้
                              • หากฉีดฟิลเลอร์คางกับแพทย์ที่ไม่มีความชำนาญอาจทำให้คางผิดรูป หรือทำให้ไม่เห็นผลลัพธ์ในการเปลี่ยนแปลง
                              ฟิลเลอร์คาง
                              ฟิลเลอร์คาง กับผ่าตัดศัลยกรรมคาง ต่างกันอย่างไร

                              ฉีดฟิลเลอร์คาง vs ผ่าตัดศัลยกรรมคาง แตกต่างกันอย่างไร?

                              • การฉีดฟิลเลอร์คางเป็นการเสริมคางด้วยเนื้อฟิลเลอร์ ไม่ต้องผ่าตัดไม่ต้องพักฟื้น โดยการฉีดฟิลเลอร์คางเป็นการเสริมคางจากเดิมไม่เกิน 1 เซนติเมตร เห็นผลลัพธ์ชัดเจนทันทีหลังทำ หลังจากนั้นฟิลเลอร์จะย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ สามารถเติมใหม่ได้เรื่อย ๆ ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 12-24 เดือน
                              • ส่วนการเสริมคางด้วยซิลิโคน เป็นการผ่าตัดโดยนำซิลิโคนเข้าไปภายในใต้เนื้อเยื่อกระดูกบริเวณคาง เหมาะกับคนที่ต้องการเสริมคางยาวมากกว่า 1 เซนติเมตร หลังผ่าตัดเสริมคางต้องดูแลแผลอย่างระมัดระวัง เพื่อหลีกเลี่ยงแผลอักเสบและติดเชื้อ การผ่าตัดเสริมคางจะเห็นผลลัพธ์ชัดเจนใน 1-3 เดือน ซึ่งผลลัพธ์ของการผ่าตัดเสริมคางนั้นอยู่ได้ถาวร หากอยากแก้ไขต้องผ่าตัดเปลี่ยนซิลิโคนคางใหม่เท่านั้น
                              ฟิลเลอร์คาง
                              ฟิลเลอร์คางยี่ห้อไหนดี

                              ฉีดฟิลเลอร์คาง ยี่ห้อไหนดี?

                              ยี่ห้อฟิลเลอร์คางที่เหมาะสมกับการฉีดฟิลเลอร์คาง เนื้อฟิลเลอร์ต้องมีความคงตัว เนื้อแน่น อิ่มฟู เพื่อให้ปั้นทรงคางที่สวยได้รูป โดยฟิลเลอร์คางมีทั้งหมด 4 ยี่ห้อด้วยกัน ดังนี้

                              ฟิลเลอร์คางยี่ห้อ Difinisse

                              • ฟิลเลอร์จากประเทศอิตาลี ผลิตโดยบริษัท Relife Company บริษัทในเครือ A.Menarini อิตาลี มีการนำเข้าและจัดจำหน่ายในประเทศไทยโดยบริษัท A.Menarini Thailand โดยรุ่นที่ใช้ฉีดฟิลเลอร์คางคือ Difinisse Core โดยฟิลเลอร์มีลักษณะเนื้อแข็ง เหมาะสำหรับการเสริมกระดูก เติมคาง ปรับรูปหน้าได้ดี ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 18 เดือน

                              ฟิลเลอร์คางยี่ห้อ Restylane

                              • ฟิลเลอร์จากประเทศสวีเดน นำเข้าโดยบริษัท กัลเดอร์มา (ประเทศไทย) จำกัด โดยรุ่นที่ใช้ฉีดฟิลเลอร์คางคือ Restylane Perlane Lyft โดยเนื้อฟิลเลอร์มีลักษณะเนื้อแน่น มีความคงตัวสูง ไม่ฟู สามารถคงรูปได้ดี เหมาะสำหรับฉีดคางสวยอย่างเป็นธรรมชาติ ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 12 เดือน

                              ฟิลเลอร์คางยี่ห้อ Belotero Intense

                              ฟิลเลอร์แท้จากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ นำเข้าโดยบริษัท เมิร์ซ เฮลธ์ แคร์ (ประเทศไทย) จำกัด (Merz Aesthetic) ผลิตโดยเทคโนโลยีเฉพาะ Cohesive Polydensified Matrix (CPM)  โดยรุ่นที่ใช้ฉีดฟิลเลอร์คาง มีดังนี้

                              • Belotero Intense เนื้อฟิลเลอร์มีลักษณะคงตัวสูง มีความยืดหยุ่น ขึ้นรูปได้สวย สามารถแก้ปัญหาร่องลึกมาก ๆ จากการยุบตัวของเนื้อเยื่อผิวหนัง ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 18 เดือน
                              • Belotero Volume เนื้อฟิลเลอร์มีลักษณะมีความยืดหยุ่นและคงตัวสูง เหมาะสำหรับเพิ่มมิติและเพิ่มวอลลุ่มให้กับใบหน้า ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 18 เดือน

                              ฟิลเลอร์คางยี่ห้อ Juvederm

                              ฟิลเลอร์แท้จากประเทศอเมริกา นำเข้าโดยบริษัท Allergan Thailand โดยรุ่นที่ใช้ฉีดฟิลเลอร์คางคือ

                              • Juvederm Voluma เนื้อฟิลเลอร์มีลักษณะเนื้อแข็งและฟูปานกลาง มีความยืดหยุ่นสูง เหมาะสำหรับคนที่ต้องการเติมคางเพื่อความเป็นธรรมชาติ ปั้นทรงคางให้สวยรับกับใบหน้า ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 18 เดือน
                              • Juvederm Volux เนื้อฟิลเลอร์มีลักษณะเนื้อแข็ง มีความคงตัวสูง ขึ้นรูปทรงคางง่าย ปั้นรูปทรงคางอย่างเป็นธรรมชาติ ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 18 เดือน
                              ฟิลเลอร์คาง
                              ฟิลเลอร์คางเตรียมตัวอย่างไร

                              ก่อนฉีดฟิลเลอร์คางเตรียมตัวอย่างไรบ้าง?

                              • ก่อนฉีดฟิลเลอร์คาง ควรงดวิตามิน อาหารเสริม รวมไปถึงยาแก้ปวด ยาละลายลิ่มเลือด 7 วัน ก่อนฉีดฟิลเลอร์คาง หากเป็นยารักษาโรคประจำตัวควรปรึกษาแพทย์ก่อน
                              • ก่อนฉีดฟิลเลอร์คาง งดแอลกอฮอล์หรือกิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีด 24 ชั่วโมง 
                              • ก่อนฉีดฟิลเลอร์คาง งดทายาชนิดผลัดเซลล์ผิวบริเวณที่ต้องการฉีดฟิลเลอร์ 
                              • ก่อนฉีดฟิลเลอร์คาง งดทำหน้าหรือเลเซอร์ผิวหน้าก่อนอย่างน้อย 3 วัน
                              • ก่อนฉีดฟิลเลอร์คาง ควรแจ้งโรคประจำตัวกับแพทย์ก่อนทำหัตถการ
                              • ก่อนฉีดฟิลเลอร์คาง ไม่ควรแต่งหน้ามาฉีดฟิลเลอร์คาง เพราะอาจมีสิ่งสกปรกหรือเครื่องสำอางตกค้างบริเวณคาง แต่ในกรณีที่จำเป็นต้องแต่งหน้ามาฉีดฟิลเลอร์คางนั้นสามารถทำได้ โดยทางคลินิกจะมีการทำความสะอาดบริเวณที่ทำก่อนฉีดฟิลเลอร์
                              • ก่อนฉีดฟิลเลอร์คาง ควรหาข้อมูลคลินิกที่มีมาตรฐาน มีความน่าเชื่อถือ มีแพทย์ผู้ชำนาญการในด้านการฉีดฟิลเลอร์ก่อนเข้ารับบริการ
                              • ก่อนฉีดฟิลเลอร์คาง ควรศึกษาวิธีดูฟิลเลอร์แท้ ฟิลเลอร์ปลอมก่อนเข้ารับบริการ

                              ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์คาง

                              • ปรึกษาแพทย์ก่อนฉีดฟิลเลอร์คาง โดยแพทย์จะประเมินทรงคาง เพื่อเลือกทรงคางที่เหมาะสมกับใบหน้าให้ได้สัดกส่วนมากที่สุด
                              • แพทย์จะช่วยแนะนำยี่ห้อและรุ่นที่เหมาะสมของฟิลเลอร์คางให้เหมาะสมกับความต้องการ
                              • เริ่มทำความสะอาดบริเวณใบหน้า เพื่อความสะอาดและปลอดภัย
                              • แปะยาชาก่อนฉีดฟิลเลอร์คาง เพื่อบรรเทาลดความเจ็บปวด
                              • แพทย์เริ่มฉีดฟิลเลอร์เข้าสู่บริเวณคางและปั้นทรงคาง โดยใช้เวลาประมาณ 10-30 นาที
                              • เมื่อฉีดเสร็จแล้วแพทย์จะให้นั่งพักสั่งครู่ เพื่อให้เนื้อฟิลเลอร์เซตตัว
                              • หลังฉีดฟิลเลอร์คาง แพทย์จะแนะนำวิธีการดูแลตนเองหลังฉีดฟิลเลอร์คาง ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อผลลัพธ์ที่ดีอย่างมีประสิทธิภาพ

                              ฟิลเลอร์คาง

                              การดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์คาง

                              หลังฉีดฟิลเลอร์คางดูแลตัวเองอย่างไรบ้าง?

                              • หลังฉีดฟิลเลอร์คาง ควรรีบทานยาฆ่าเชื้อทันที
                              • หลังฉีดฟิลเลอร์คาง ห้ามแกะ เกา และนวดในจุดที่ฉีดฟิลเลอร์คาง ห้ามปั้นทรงคางด้วยตัวเอง
                              • หลังฉีดฟิลเลอร์คาง อาการบวมจะค่อย ๆ หายไปเองใน 7-14 วัน
                              • หลังฉีดฟิลเลอร์คาง งดการทำเลเซอร์ อย่างน้อย 1 เดือน
                              • หลังฉีดฟิลเลอร์คาง ควรอยู่ในที่อากาศเย็น หลีกเลี่ยงความร้อนทุกชนิด อย่างน้อย 48 ชั่วโมง เช่น ซาวน่า หมูกระทะ ปิ้งย่าง ชาบู เป็นต้น
                              • หลังฉีดฟิลเลอร์คาง ห้ามเท้าคาง นอนคว่ำ หรือ หลีกเลี่ยงการกดทับบริเวณคาง เพราะจะทำให้ฟิลเลอร์คางเกิดการเคลื่อนที่
                              • หลังฉีดฟิลเลอร์คาง ควรรับประทานยาที่แพทย์จ่ายให้หลังทำอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดอาการบวมและป้องกันการติดเชื้อหลังฉีดฟิลเลอร์
                              • หลังฉีดฟิลเลอร์คาง งดสูบบุหรี่และงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะจะทำให้ยุบบวมช้า ผลการรักษาระยะเวลาอยู่ได้สั้นน้อยลง และอาจทำให้เกิดการอักเสบได้
                              • หลังฉีดฟิลเลอร์คาง ควรดื่มน้ำมาก ๆ จะช่วยทำให้ฟิลเลอร์อยู่ได้นานขึ้น
                              • หลังฉีดฟิลเลอร์คาง งดทาครีมบริเวณรอยเข็ม 1 คืน
                              • หลังฉีดฟิลเลอร์คาง อย่าขยับใบหน้าเยอะบริเวณที่ฉีดในช่วง 3 วันแรก ไม่ล้างหน้าหรือถูหน้าแรง ๆ

                              อาการหลังฉีดฟิลเลอร์คาง 24 ชั่วโมง

                              • หลังฉีดฟิลเลอร์คางจะเห็นผลลัพธ์หลังทำทันที โดยรูปทรงคางจะยาวสวยขึ้น แต่อาจจะมีอาการบวมมากขึ้นกว่าเดิม ทำให้บริเวณคางฟูมากขึ้น แต่เมื่อผ่านไป 7-14 วัน อาการบวมเข็มจะค่อย ๆ ยุบลง ฟิลเลอร์คางเข้าที่มากขึ้น และผลลัพธ์เข้าที่หลังฉีดฟิลเลอร์ 2 สัปดาห์
                                ฉีดฟิลเลอร์คางแล้วเป็นก้อนเกิดจากอะไร?

                              ฉีดฟิลเลอร์คางไม่ตรงกับตำแหน่งที่ฉีด

                              • การฉีดฟิลเลอร์ไม่ตรงกับตำแหน่งที่มีปัญหา เช่น ฉีดฟิลเลอร์ริ้วรอยเยอะเกินไป หรือ ฉีดฟิลเลอร์เติมร่องลึกที่ตื้นเกินไป รวมไปถึงการใช้ปริมาณฟิลเลอร์ที่ไม่เหมาะสม จะทำให้ฟิลเลอร์เป็นก้อนและอาจทำให้ฟิลเลอร์เคลื่อนที่ผิดตำแหน่งได้

                              เลือกใช้ฟิลเลอร์ไม่ตรงกับตำแหน่งที่ต้องการฉีด

                              • หากใช้ฟิลเลอร์ที่มีขนาดโมเลกุลหนาแน่นสูงสำหรับฉีดลงบนผิวชั้นลึก ฉีดลงไปในผิวชั้นตื้น จะทำให้ฟิลเลอร์เป็นก่อนบวมได้ เพราะฉะนั้นควรเลือกฟิลเลอร์ให้เหมาะสมกับตำแหน่งที่ต้องการฉีด จะได้ไม่เกิดปัญหาฟิลเลอร์เป็นก้อนแข็งได้

                              ใช้ฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐาน

                              • การใช้ฟิลเลอร์ที่ไม่ผ่านการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เป็นฟิลเลอร์ปลอมที่ไม่มีประสิทธิภาพ ไม่สามารถย่อยสลายเองได้ ราคาถูก ทำให้ฟิลเลอร์จับตัวเป็นก้อน ฟิลเลอร์ไหลย้อยไม่เป็นทรง หรืออาจร้ายแรงถึงขั้นฟิลเลอร์เน่าได้ เพราะฉะนั้นไม่ควรฉีดฟิลเลอร์ปลอมเด็ดขาด เพราะไม่สามารถฉีดสลายฟิลเลอร์ได้ ต้องขูดออกหรือศัลยกรรมผ่าตัดเท่านั้น

                              แพทย์ที่ฉีดฟิลเลอร์ไม่มีประสบการณ์ทางด้านการฉีดฟิลเลอร์คาง

                              • แพทย์ที่ทำการฉีดฟิลเลอร์คางจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับฟิลเลอร์ในแต่ละชนิด รวมถึงโครงสร้างของสรีรวิทยาของร่างกายของมนุษย์ และมีความรู้ด้านการปรับรูปหน้าเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจที่สุด แพทย์ที่ขาดความรู้และประสบการณ์จะให้เกิดความเสี่ยงในการฉีดฟิลเลอร์เป็นก้อนบวมได้

                              คำถามพบบ่อยของการฉีดฟิลเลอร์คาง

                              ฉีดฟิลเลอร์คางใช้กี่ CC?

                              • ในการฉีดฟิลเลอร์คางสำหรับคนที่มีปัญหาคางสั้น คางบุ๋ม คางตัด โดยปกติจะเติมคางให้ยาวลงมาได้ไม่เกิน 1 เซนติเมตร ดังนั้นสำหรับคนที่มีปัญหาและต้องการปรับแก้ไขรูปทรงคางให้ยาวขึ้น จะใช้ฟิลเลอร์เพียง 1 CC เท่านั้่น สามารถเห็นผลการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนได้

                              ฟิลเลอร์คางหายบวมในกี่วัน?

                              • หลังฉีดฟิลเลอร์คางจะหายบวมได้เองประมาณ 4-5 วัน และจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนเข้าที่ประมาณ 2-3 สัปดาห์ ซึ่งหลังจากการฉีดฟิลเลอร์อาจมีผลข้างเคียง เช่น ผื่นหรือจุดแดงบริเวณรอยเข็ม ที่สามารถหายเองได้ ส่วนอาการบวมหลังฉีดนับเป็นเรื่องปกติ หากมีอาการปวดบริเวณที่ฉีด สามารถทานยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการปวดได้

                              ฉีดฟิลเลอร์คางอยู่ได้นานไหม?

                              • การฉีดฟิลเลอร์คางจำเป็นต้องใช้ฟิลเลอร์เนื้อแข็ง ที่มีความคงตัวสูง ซึ่งการฉีดฟิลเลอร์คางอยู่ได้ประมาณ 12-24 เดือน ตามอายุของยี่ห้อฟิลเลอร์ที่เลือกใช้ นอกจากนี้ผลลัพธ์ของฟิลเลอร์อยู่ได้นานหรือไม่ขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองในแต่ละบุคคล

                              ฉีดฟิลเลอร์คางแล้วผ่าตัดเสริมคางได้ไหม?

                              • หากฉีดฟิลเลอร์คางแล้ว สามารถผ่าตัดเสริมคางได้ในภายหลัง แต่ต้องรอให้ฟิลเลอร์คางสลายหมดก่อน เนื่องจากจะส่งผลต่อการยึดเกาะของซิลิโคนที่ฉีดฟิลเลอร์มา ดังนั้น ก่อนฉีดฟิลเลอร์คางควรศึกษาข้อมูลและวางแผนให้ดีก่อนว่ามีแผนต้องการเสริมซิลิโคนคางในอนาคตหรือไม่ และการฉีดฟิลเลอร์คางหรือการผ่าตัดเสริมคางเหมาะสมกับตัวเองมากน้อยแค่ไหน

                              ฉีดฟิลเลอร์คางสลายได้ไหม?

                              • หากฉีดฟิลเลอร์คางแท้ หลังฉีดฟิลเลอร์คาง เนื้อฟิลเลอร์จะสลายเองตามธรรมชาติ ขึ้นอยู่กับยี่ห้อของฟิลเลอร์ที่เลือกใช้ แต่กรณีที่ไม่ชอบรูปทรงคางและอยากแก้ไขสามารถฉีดสลายฟิลเลอร์ด้วยตัวยา Hyaluronidase ช่วยสลายฟิลเลอร์ออกไปจนหมด

                              ฉีดฟิลเลอร์เจ็บไหม?

                              • ในระหว่างฉีดฟิลเลอร์คางอาจจะมีความรู้สึกเจ็บในขณะฉีด ฟิลเลอร์บางยี่ห้อจะมีส่วนผสมของยาชา ช่วยลดความรู้สึกเจ็บในขณะฉีดได้ เช่น ยี่ห้อ Restylane หรือ ยี่ห้อ Juvederm เป็นต้น

                              ฉีดฟิลเลอร์ที่คางอันตรายไหม?

                              • การฉีดฟิลเลอร์ที่คางอย่างปลอดภัย ไม่เป็นอันตราย ควรฉีดโดยแพทย์ผู้ชำนาญการในด้านการฉีดฟิลเลอร์ที่ได้มาตรฐาน สลายเองได้เองตามธรรมชาติ และไม่มีการตกค้างภายในร่างกาย

                              เป็นสิวที่คางฉีดฟิลเลอร์คางได้ไหม?

                              • ในกรณีเป็นสิวที่คางแบบรุนแรง เช่น สิวอักเสบ สิวหัวช้าง หรือ สิวฮอร์โมน ควรพักการฉีดฟิลเลอร์คางเพื่อทำการรักษาสิวให้หายก่อน เพราะอาจเกิดการอักเสบมากขึ้นกว่าเดิมและอาจทำให้เกิดการบวมหรือแดงจากรอยเข็มได้

                              ฉีดฟิลเลอร์คางนอนตะแคงได้ไหม?

                              • คนที่ฉีดฟิลเลอร์คางให้หลีกเลี่ยงการนอนคว่ำ นอนตะแคง เพื่อป้องกันการกดทับของคางเพราะอาจทำให้ฟิลเลอร์เสียรูปทรงได้ ควรดูแลรูปทรงคางหลังจากฉีดฟิลเลอร์ เพื่อรักษาผลลัพธ์ของทรงคางสวยรับกับใบหน้าที่สุด

                              ฉีดฟิลเลอร์คางห้ามทานอะไร?

                              อาหารบางชนิดส่งผลต่อการอักเสบหรือการยุบบวมของผิวจากการฉีดฟิลเลอร์คาง แต่หลังจากฟิลเลอร์เข้าที่ในช่วง 2 สัปดาห์ สามารถรับประทานได้ตามปกติ โดยอาหารที่ควรหลีกเลี่ยงในช่วง 2 สัปดาห์แรก มีดังนี้

                              • งดอาหารรสจัด เนื่องจากอาหารรสจัดมักดูดน้ำกลับเข้าสู่ร่างกายค่อนข้างมาก ซึ่งส่งผลให้ใบหน้าและลำตัวเกิดภาวะบวมน้ำ
                              • หลีกเลี่ยงอาหารดิบ อาหารหมักดอง เพราะจะกระตุ้นให้เกิดการอักเสบของบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์
                              • งดดื่มแอลกอฮอล์และงดบุหรี่ เพราะจะทำให้เกิดการยุบตัวช้า และผลลัพธ์ฟิลเลอร์จะอยู่ได้สั้นลง

                              หลังฉีดฟิลเลอร์คางทำหัตถการอื่นได้ไหม?

                              • หลังจากการฉีดฟิลเลอร์คางสามารถทำหัตถการอื่นร่วมกันได้ เช่น การฉีดโบ การร้อยไหม การฉีดฟิลเลอร์ในบริเวณอื่น รวมไปถึงการทำยกกระชับ Ulthera SPT หรือ Ultraformer MPT 4D Lift โดยก่อนทำควรปรึกษาแพทย์ก่อน เพื่อวางแผนลำดับการทำก่อน-หลัง และแนะนำระยะเวลาที่เหมาะสมกับการทำหัตถการอื่น ๆ ร่วมกับการฉีดฟิลเลอร์คางได้

                              สรุปเรื่องฟิลเลอร์คาง

                              การฉีดฟิลเลอร์คางนับเป็นหัตถการช่วยปรับใบหน้าให้มีความเรียว ดูสมมาตร ได้สัดส่วนและมีมิติมากขึ้น โดยฟิลเลอร์คางจะช่วยแก้ปัญหาในเรื่องของคางบุ๋ม คางสั้น คางตัด ช่วยให้ใบหน้าเรียวยาวมากขึ้น หลังจากฉีดฟิลเลอร์คางจะเห็นผลลัพธ์หลังทำทันที และสลายได้เองตามธรรมชาติ ไม่มีตกค้างในร่างกาย ผลลัพธ์ของการฉีดฟิลเลอร์คางนั้นสามารถอยู่ได้นานกว่า 12-18 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อของฟิลเลอร์ที่ใช้และการดูแลตนเองในแต่ละบุคคล เพื่อรักษาผลลัพธ์ให้มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่องควรทำปฏิบัติตามคำแนะนำแพทย์อย่างเคร่งครัด และที่สำคัญควรเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน ใช้ฟิลเลอร์แท้ และแพทย์มีความชำนาญเฉพาะทางด้านการฉีดฟิลเลอร์ เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่คุ้มค่าที่สุด

                              สอบถามติดต่อ :https://bit.ly/RomrawinLINE

                               

                              ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




                                วันที่สะดวกในการติดต่อ





                                ฟิลเลอร์ปากอวบอิ่ม อยู่ได้กี่เดือน ทรงปากแบบไหนเหมาะกับใคร

                                ฟิลเลอร์ปาก

                                ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




                                  วันที่สะดวกในการติดต่อ





                                   
                                  ฟิลเลอร์ปาก
                                  รีวิวจากผู้ใช้บริการจริง

                                  ฟิลเลอร์ปากอวบอิ่ม แก้ปัญหารูปทรงปาก ฉีดครั้งแรกต้องรู้อะไรบ้าง?

                                  ในปัจจุบันเรื่องของเทรนด์ความสวยความงาม เป็นสิ่งที่สาว ๆ ทุกคนเริ่มหันมาให้ความสนใจ และใส่ใจดูแลตัวเองอย่างมาก ซึ่งหนึ่งในเทรนด์ความงามที่ได้รับความนิยม คือ ฉีดฟิลเลอร์ปาก ที่จะช่วยเปลี่ยนแปลงรูปทรงปากแบบสาวเกาหลี หรือสาวสายฝอได้ นอกจากนี้ยังช่วยในเรื่องของฟื้นฟูริมฝีปากให้กลับมาชุ่มชื้น เรียบเนียนขึ้น แก้ปัญหาริมฝีปากตกร่อง และริมฝีปากแห้ง ให้กลับมาฉ่ำวาวสุขภาพดีอีกครั้ง ซึ่งการฉีดฟิลเลอร์ปากนับว่าเป็นตัวช่วยที่ตอบโจทย์มาก บทความนี้รมย์รวินท์คลินิกขอรวบรวมทุกเรื่องของฟิลเลอร์ปาก ให้สาว ๆ ทุกคนได้เตรียมตัวและเตรียมข้อมูลให้พร้อม ก่อนเลือกฉีดฟิลเลอร์ปาก เพื่อความปลอดภัย และเพื่อผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพที่ดี

                                  เทรนด์ฮิตฉีดฟิลเลอร์ปาก ฉีดฟิลเลอร์ปากครั้งแรกต้องรู้อะไรบ้าง

                                  ฟิลเลอร์ปาก

                                  ฟิลเลอร์ปากคืออะไร?

                                  การฉีดฟิลเลอร์ปาก คือ การฉีดสารเติมเต็มประเภทไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid: HA) ที่มีคุณสมบัติในด้านของการอุ้มน้ำ โดยการฉีดสารเติมเต็มหรือการฉีดฟิลเลอร์จะเป็นการฉีดเข้าไปบริเวณริมฝีปาก เพื่อเพิ่มขนาดของริมฝีปากและปรับโครงสร้างของริมฝีปาก ช่วยให้ริมฝีปากมีความอวบอิ่มมากขึ้น แก้ปัญหาริมฝีปากแห้ง ลอกเป็นขุย อีกทั้งยังช่วยแก้ปัญหาริมฝีปากบนและล่างไม่เท่ากัน

                                  นอกจากฉีดฟิลเลอร์ปากเพื่อความอวบอิ่ม ฟิลเลอร์ปากยังสามารถแก้ปัญหาปากคว่ำให้กลับมายิ้มแย้มสดใสขึ้น ด้วยเทคนิคการฉีดฟิลเลอร์ยกมุมปาก และสามารถแก้ปัญหาริ้วรอยรอบบริเวณมุมปากให้กลับมาเต่งตึงขึ้น เห็นผลลัพธ์หลังทำทันที

                                  สัดส่วนปากทองคำ (Golden Ratio)

                                  หลักการเลือกรูปทรงปากให้เข้ากับใบหน้า ต้องพิจารณาดูความเหมาะสมของสัดส่วนใบหน้า โดยหลักเกณฑ์การพิจารณามี ดังนี้

                                  • ขนาดของริมฝีปากบน : ล่าง มีความเหมาะสมตามสัดส่วนทองคำ (Golden Ratio) 1:1.618
                                  • ขอบริมฝีปากต้องมีสัดส่วนที่เท่ากันทั้ง 2 ข้าง
                                  • มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย ไม่ทิ่มคว่ำลง
                                  • ร่องริมฝีปากบนมีขอบหยักที่ชัดเจน คมชัด และดูมีมิติ
                                  • เนื้อริมฝีปากล่างไม่ควรมีขนาดใหญ่เกินขอบเขตของริมฝีปากบน
                                  • เนื้อริมฝีปากอวบอิ่ม เรียบเนียน และไม่มีริ้วรอยย่นบนริมฝีปาก

                                  ฟิลเลอร์ปาก

                                  ฟิลเลอร์ปากช่วยอะไร?

                                  • ฉีดฟิลเลอร์ปาก ช่วยบำรุงริมฝีปากที่แห้งแตก ลอกเป็นขุย ให้กลับมามีความชุ่มชื้นอีกครั้ง
                                  • ฉีดฟิลเลอร์ปาก ช่วยปรับรูปทรงตามที่ต้องการได้ ไม่ว่าจะเป็นทรงเกาหลี ปากสายฝอ และปากกระจับ
                                  • ฉีดฟิลเลอร์ปาก ช่วยปรับขนาดของโครงสร้างให้มีสัดส่วนที่สมดุลกันอย่างสวยงาม
                                  • ฉีดฟิลเลอร์ปาก ช่วยเพิ่มเติมเนื้อบริเวณริมฝีปาก ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาปากบางจนเกินไป
                                  • ฉีดฟิลเลอร์ปาก ช่วยทำให้ขอบปากมีขอบเขตที่ชัดเจนสวยงามขึ้น
                                  • ฉีดฟิลเลอร์ปาก ช่วยลดริ้วรอยที่เกิดบริเวณริมฝีปาก
                                  • ฉีดฟิลเลอร์ปาก โดยการฉีดฟิลเลอร์ยกมุมปากขึ้น ช่วยแก้ปัญหามุมปากคว่ำตกจนทำให้ใบหน้าดูบึ้งตึง

                                  ฉีดฟิลเลอร์ปากเหมาะกับใคร?

                                  • ฉีดฟิลเลอร์ปาก เหมาะกับผู้ที่อยากปรับทรงริมฝีปากให้สวยขึ้น
                                  • ฉีดฟิลเลอร์ปาก เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาริมฝีปากบาง ไม่เท่ากัน
                                  • ฉีดฟิลเลอร์ปาก เหมาะกับผู้ที่มีริมฝีปากแห้งและตกร่อง
                                  • ฉีดฟิลเลอร์ปาก เหมาะกับผู้ที่อยากเสริมโหงวเฮ้งให้กับใบหน้า

                                  ฉีดฟิลเลอร์ปากไม่เหมาะกับใคร?

                                  • ฉีดฟิลเลอร์ปาก ไม่เหมาะกับผู้ที่ผ่าตัดปากมา และมีพังผืดจากแผลรั้งริมฝีปากมากเกินไป
                                  • ฉีดฟิลเลอร์ปาก ไม่เหมาะกับสตรีตั้งครรภ์และให้นมบุตร
                                  • ฉีดฟิลเลอร์ปาก ไม่เหมาะกับผู้ที่ต้องใช้ยาหรือเป็นโรคที่มีผลกับการแข็งตัวของเลือด
                                  • ฉีดฟิลเลอร์ปาก ไม่เหมาะกับผู้ที่เป็นโรคเริม
                                  • ฉีดฟิลเลอร์ปาก ไม่เหมาะกับผู้ที่ผิวหนังบริเวณริมฝีปาก หรือบริเวณใกล้เคียงเกิดการอักเสบอยู่ ควรรักษาให้หายก่อนทำ
                                  • ฉีดฟิลเลอร์ปาก ไม่เหมาะกับผู้ที่มีประวัติแพ้ยาชา
                                  • ฉีดฟิลเลอร์ปาก ไม่เหมาะกับผู้ที่มีประวัติเป็นแผลเป็นคีลอยด์ง่าย
                                  • ฉีดฟิลเลอร์ปาก ไม่เหมาะกับผู้ที่แพ้กรดไฮยาลูรอน

                                  ฟิลเลอร์ปาก

                                  3 ทรงฟิลเลอร์ปากยอดนิยม

                                  ทรงของการฉีดฟิลเลอร์ปาก ที่ได้รับความนิยมอย่างมากสำหรับสาวไทย จะมีทั้งหมด 3 ทรง คือ ทรงปากกระจับ ทรงปากเกาหลี และทรงปากสายฝอ ซึ่งทรงปากแต่ละรูปแบบมีความแตกต่างกัน ดังนี้

                                  ฉีดฟิลเลอร์ปากทรงกระจับ

                                  • ลักษณะทรงปากกระจับ จะเป็นรูปทรงปากโค้งเรียวสวยคล้ายกับผลกระจับ โดยริมฝีปากส่วนบนและส่วนล่างได้รูปทรงที่สวยรับกับใบหน้า หรือบางคนเรียกรูปทรงปากทรงนี้ว่าปากปีกนก เพราะมีลักษณะมุมปากกระจับเรียวและยกขึ้นคล้ายกับปีกนก รูปทรงปากกระจับ เป็นทรงที่ช่วยเพิ่มมิติให้กับใบหน้าอย่างเป็นธรรมชาติ

                                  ฉีดฟิลเลอร์ปากทรงเกาหลี

                                  • ลักษณะทรงปากเกาหลี (Cherry Lips) จะเป็นรูปทรงที่คล้ายกับลูกเชอร์รี่ โดยช่วงกลางของริมฝีปากบนและล่างจะมีความอิ่มฟูมากกว่าด้านข้างริมฝีปาก ช่วยปรับรูปทรงริมฝีปากให้ดูอวบอิ่ม แน่นฟู อีกทั้งยังช่วยทำให้ใบหน้าดูเด็กลงอีกด้วย

                                  ฉีดฟิลเลอร์ปากทรงสายฝอ

                                  • โดยปกติลักษณะทรงปากสายฝอมี 2 รูปแบบ คือ ทรงปากอวบอิ่ม เซ็กซี่ ที่ริมฝีปากจะเต็มแน่นเฉพาะริมฝีปากล่าง ส่วนริมฝีปากบนจะมีความเจ่อเล็กน้อย ส่วนแบบปากอวบหนา จะมีรูปทรงปากที่เต็มแน่นทั้งริมฝีปากบนและริมฝีปากล่าง

                                  ฟิลเลอร์ปาก

                                  ฉีดฟิลเลอร์ปากยี่ห้อไหนดี?

                                  สำหรับยี่ห้อฟิลเลอร์ ที่ใช้สำหรับการฉีดฟิลเลอร์ปาก ที่ได้รับความนิยม และได้รับการรับรองจาก อย.ไทย มีทั้งหมด 3 ยี่ห้อด้วยกัน ดังนี้

                                  ฟิลเลอร์ปากยี่ห้อ Restylane

                                  เป็นฟิลเลอร์แบรนด์แรกที่พัฒนาขึ้นจากประเทศสวีเดน นำเข้าโดยบริษัท กัลเดอร์มา (ประเทศไทย) จำกัด รุ่นฟิลเลอร์ที่แนะนำเพื่อการฉีดฟิลเลอร์ปาก คือ Restylane KYSSE เป็นรุ่นที่ผลิตขึ้นมาเพื่อฉีดบริเวณริมฝีปากโดยเฉพาะ เนื้อฟิลเลอร์มีความละเอียดและคงตัว ช่วยให้ทรงปากได้รูปอย่างธรรมชาติ  รุ่นฟิลเลอร์ที่เหมาะสมสำหรับฉีดฟิลเลอร์ปากคือ 

                                  • ฟิลเลอร์ปาก Restylane Classic ลักษณะเนื้อนิ่ม เหมาะสำหรับคนที่ต้องการให้ปากดูเป็นทรงสวยธรรมชาติ อยู่ได้นานประมาณ 6-8 เดือน
                                  • ฟิลเลอร์ปาก Restylane Kysse ฟิลเลอร์ลักษณะเนื้อละเอียด มีความคงตัวสูง เหมาะสำหรับการสร้างขอบริมฝีปากที่ชัดเจน ช่วยมอบความชุ่มชื้นและความอวบอิ่ม ถูกออกแบบมา ลเพื่อใช้เติมเต็มริมฝีปากโดยเฉพาะ อยู่ได้นาน 12 เดือน

                                  ฟิลเลอร์ปากยี่ห้อ Juvederm

                                  ฟิลเลอร์จากประเทศอเมริกา ที่ได้รับการรับรองความปลอดภัยและคุณภาพจาก US FDA และ อย.ไทย นำเข้าโดยบริษัท แอลเลอร์แกน (ประเทศไทย) จำกัด เป็นยี่ห้อฟิลเลอร์ที่ได้รับความนิยมสูง รุ่นฟิลเลอร์ที่เหมาะสมสำหรับฉีดฟิลเลอร์ปาก คือ 

                                  • ฟิลเลอร์ปาก Juvederm Vobella ฟิลเลอร์จะมีโมเลกุลคล้ายเนื้อเจลนิ่ม มีความเนียนละเอียด กลืนกับผิวได้เป็นอย่างดี เหมาะสำหรับเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับริมฝีปาก ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 8-12 เดือน
                                  • ฟิลเลอร์ปาก Juvederm Volift เนื้อค่อนข้างฟู นิ่มปานกลาง เรียบเนียน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการให้ริมฝีปากอิ่มฟูเป็นธรรมชาติ ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 12 เดือน

                                  ฟิลเลอร์ปากยี่ห้อ Belotero

                                  ฟิลเลอร์จากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ นำเข้าโดยบริษัท เมิร์ซ เฮลธ์ แคร์ (ประเทศไทย) จำกัด ใช้เทคโนโลยี Cohesive Polydensified Matrix (CPM) ซึ่งเป็นเทคนิคพิเศษในการผลิต ทำให้ฟิลเลอร์มีคุณสมบัติพิเศษเพิ่มขึ้น รุ่นฟิลเลอร์ที่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์ปากคือ Belotero lips ฟิลเลอร์สำหรับฉีดปากโดยเฉพาะ ใน 1 เซตจะมาด้วยกัน 2 รุ่น คือ

                                  • ฟิลเลอร์ปาก Belotero lips shape สำหรับเพิ่มวอลลุ่ม เติมความอวบอิ่มให้ริมฝีปาก
                                    ฟิลเลอร์ปาก Belotero lips contour สำหรับปรับรูปทรงปากตามที่ต้องการ เพิ่มความคมชัดของขอบปาก ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 9-12 เดือน
                                  • ฟิลเลอร์ปาก Belotero Intense ฟิลเลอร์กล่องชมพูที่ช่วยเติมเต็มริมฝีปากให้อวบอิ่มและเรียบเนียนขึ้น ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 9-12 เดือน

                                  ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์ปาก

                                  • ฉีดฟิลเลอร์ปากช่วยเพิ่มความอวบอิ่มให้กับริมฝีปาก ช่วยปรับทรงปากให้สวยเข้ารูป
                                  • ฉีดฟิลเลอร์ปากแก้ปัญหาปากแห้ง แตก ลอกเป็นขุยได้
                                  • ฉีดฟิลเลอร์ปากผลลัพธ์ไม่ได้อยู่ถาวร แต่สามารถฉีดเพิ่มได้
                                  • ฉีดฟิลเลอร์ปากไม่มีแผล ไม่ต้องพักฟื้น เห็นผลลัพธ์ทันทีหลังทำ
                                  • ฉีดฟิลเลอร์ปากสามารถฉีดสลายได้
                                  • ฉีดฟิลเลอร์ปากมีความปลอดภัยสูง ไม่เป็นอันตราย ผลลัพธ์เป็นธรรมชาติ

                                  ก่อนฉีดฟิลเลอร์ปากเตรียมตัวอย่างไร?

                                  • ก่อนฉีดฟิลเลอร์ปาก งดรับประทานกลุ่มยาแอสไพริน 1 สัปดาห์ก่อนทำ
                                  • ก่อนฉีดฟิลเลอร์ปาก งดยาหรืออาหารเสริมต่าง ๆ ที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด 1 สัปดาห์ก่อนทำ และควรปรึกษาแพทย์เจ้าของคนไข้ก่อนหยุดยา
                                  • ก่อนฉีดฟิลเลอร์ปาก งดทายาชนิดผลัดเซลล์ผิวทุกชนิด เป็นระยะเวลา 1 สัปดาห์ก่อนทำ
                                  • ก่อนฉีดฟิลเลอร์ปาก งดแอลกอฮอล์ 24 ชั่วโมงก่อนทำ
                                  • ก่อนฉีดฟิลเลอร์ปาก งดแว็กซ์บริเวณรอบริมฝีปากก่อนทำ 1 สัปดาห์
                                  • ก่อนฉีดฟิลเลอร์ งดกิจกรรมการออกกำลังกายที่ใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนทำ

                                  ฉีดฟิลเลอร์ปากมีขั้นตอนอย่างไร?

                                  • ปรึกษาแพทย์ก่อนฉีดฟิลเลอร์ปาก โดยแพทย์จะประเมินลักษณะของริมฝีปากของผู้ที่เข้ารับบริการ เพื่อเลือกทรงปากที่เหมาะสมกับใบหน้าที่สุด
                                  • แพทย์จะช่วยแนะนำยี่ห้อและรุ่นที่เหมาะสมของฟิลเลอร์ปาก ให้เหมาะสมกับความต้องการ
                                  • เริ่มทำความสะอาดบริเวณริมฝีปาก เพื่อความสะอาดและปลอดภัย
                                  • แปะยาชาและประคบน้ำแข็งก่อนฉีดฟิลเลอร์ปาก เพื่อช่วยลดบรรเทาความเจ็บ
                                  • ก่อนฉีดฟิลเลอร์ปากควรตรวจสอบว่าเป็นฟิลเลอร์แท้หรือไม่ โดยแพทย์จะแกะกล่องฟิลเลอร์ให้ดูต่อหน้า เพื่อความมั่นใจในฟิลเลอร์แท้
                                  • แพทย์เริ่มฉีดฟิลเลอร์ลงบนริมฝีปาก
                                  • หลังฉีดฟิลเลอร์ปาก แพทย์จะแนะนำวิธีการดูแลตนเองหลังฉีดฟิลเลอร์ปาก ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์เพื่อผลลัพธ์ที่นานขึ้น

                                  ฟิลเลอร์ปาก

                                  หลังฉีดฟิลเลอร์ปากดูแลตัวเองอย่างไร?

                                  หากอยากรักษาผลลัพธ์การฉีดฟิลเลอร์ปากให้อยู่ได้นาน ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ ซึ่งวิธีดูแลตนเองหลังฉีดฟิลเลอร์ มีดังนี้

                                  • หลังฉีดฟิลเลอร์ปาก งดทาลิปสติกหลังฉีดฟิลเลอร์อย่างน้อย 24 ชั่วโมง
                                  • หลังฉีดฟิลเลอร์ปาก งดรับประทานอาหารรสจัดเป็นระยะเวลา 2 สัปดาห์
                                  • หลังฉีดฟิลเลอร์ปาก ควรดื่มน้ำเยอะ ๆ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับฟิลเลอร์ปาก ยังช่วยให้ฟิลเลอร์ฟูขึ้น และอยู่ได้นานขึ้น
                                  • หลังฉีดฟิลเลอร์ปาก ควรหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด รวมไปถึงเครื่องดื่มร้อน เพราะจะทำให้ฟิลเลอร์สลายเร็วขึ้น
                                  • หลังฉีดฟิลเลอร์ปาก ไม่ควรดึง หรือลอกหนังริมฝีปาก เพราะจะเป็นการทำลายผิวริมฝีปาก ทำให้ผิวริมฝีปากกักเก็บน้ำและความชุ่มชื้นได้น้อยลง
                                  • หลังฉีดฟิลเลอร์ปาก ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัส การถู การบีบนวด บริเวณริมฝีปาก เพราะจะทำให้รูปทรงริมฝีปากเสียรูปได้
                                  ฟิลเลอร์ปาก
                                  ผลข้างเคียงจากฟิลเลอร์ปาก

                                  ฉีดฟิลเลอร์ปากมีผลข้างเคียงอย่างไร?

                                  ผลข้างเคียงของการฉีดฟิลเลอร์ปากที่สามารถพบได้ในบางกรณี ดังนี้

                                  • ฉีดฟิลเลอร์ปากอาจเกิดอาการผื่น หรือจุดแดงขึ้นบริเวณริมฝีปาก
                                  • ฉีดฟิลเลอร์ปากอาจเกิดอาการปวดหลังฉีดฟิลเลอร์ โดยสามารถรับประทานยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการปวด
                                  • ฉีดฟิลเลอร์ปากจะมีอาการบวมแดงหลังทำ เป็นอาการปกติทั่วไปที่เกิดจากการที่ฟิลเลอร์มีการกักเก็บน้ำใต้ผิว จนทำให้ริมฝีปากผิวอิ่มฟูกว่าปกติ และจะหายเองได้ใน 1 สัปดาห์
                                  • ฉีดฟิลเลอร์ปากแล้วเป็นก้อน ซึ่งอาจเกิดจากการใช้ฟิลเลอร์ในปริมาณที่มากเกินไป  หรือเลือกใช้ฟิลเลอร์ที่ไม่เหมาะสมกับบริเวณริมฝีปาก รวมไปถึงการฉีดกับแพทย์ที่ไม่เชี่ยวชาญ สามารถแก้ไขได้ด้วยการฉีดสลายฟิลเลอร์
                                  • ฉีดฟิลเลอร์ปากในบางกรณีมีอาการแพ้ฟิลเลอร์หรือเกิดการอักเสบ โดยมีลักษณะเป็นก้อนบวมนูน ผิวแดง และรู้สึกเจ็บปวด หากพบอาการดังกล่าวต้องรีบเข้ารับการรักษากับแพทย์ทันที

                                  ฉีดฟิลเลอร์ปากเป็นก้อนเกิดจากอะไร?

                                  • ประสบการณ์และเทคนิคการฉีดฟิลเลอร์ปากของแพทย์

                                  การฉีดฟิลเลอร์ปาก ต้องฉีดโดยแพทย์ที่มีความชำนาญเกี่ยวกับฟิลเลอร์ มีความรู้ในเรื่องของร่างกายมนุษย์ รวมไปถึงศิลปะในด้านของการปรับรูปหน้า ซึ่งถ้าแพทย์ไม่มีความชำนาญและขาดประสบการณ์ความรู้ มีโอกาสเสี่ยงฉีดฟิลเลอร์เป็นก้อนจากการฉีดผิดชั้นผิวหรือผิดตำแหน่ง

                                  • ฟิลเลอร์ไม่ได้มาตรฐาน ไม่มีอย.

                                  ฟิลเลอร์ที่ไม่ผ่านการรับรองมาตรฐานจาก อย. เป็นฟิลเลอร์ราคาถูก ไม่มีประสิทธิภาพ ฟิลเลอร์ที่ไม่สามารถย่อยสลายเองได้ การฉีดฟิลเลอร์ปลอมจะทำให้เนื้อฟิลเลอร์ปลอมจับตัวกันเป็นก้อน ไหลย้อยไม่เป็นทรง ดังนั้นก่อนฉีดฟิลเลอร์ต้องศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ดี

                                  • ฉีดฟิลเลอร์ปากในปริมาณที่มากเกิน

                                  การฉีดฟิลเลอร์ปากต้องเลือกยี่ห้อฟิลเลอร์ ปริมาณของฟิลเลอร์ และตำแหน่งที่ต้องการฉีดฟิลเลอร์ ต้องพิจารณาให้เหมาะสมกับการฉีดฟิลเลอร์ปาก หากใช้ปริมาณที่เกินจำเป็นอาจทำให้ฟิลเลอร์ปากเป็นก้อนได้

                                  • ชนิดของฟิลเลอร์ไม่เหมาะสมกับบริเวณริมฝีปาก

                                  การฉีดฟิลเลอร์ที่มีขนาดของโมเลกุลความหนาแน่นสูง ที่ควรฉีดลงผิวชั้นลึก หากนำมาฉีดในผิวชั้นตื้นจะทำให้ฉีดฟิลเลอร์แล้วเป็นก้อนได้ เพราะฉะนั้นควรเลือกบริเวณที่ต้องการฉีดให้เหมาะสมกับชนิดของฟิลเลอร์ เพื่อผลลัพธ์ที่ดีอย่างมีประสิทธิภาพ

                                  • อาการบวมหลังการฉีดฟิลเลอร์ปาก

                                  หลังการฉีดฟิลเลอร์ปากจะมีอาการบวมประมาณ 2-3 วันหลังทำ ซึ่งในบางกรณีที่มีปัญหาผิวบางและบวมง่าย อาจจะมีอาการบวม 5-7 วัน ซึ่งปกติฟิลเลอร์จะเริ่มเข้าที่อยู่ประมาณ 7-14 วัน หลังฉีดฟิลเลอร์ควรรอให้ปากยุบบวมก่อน เพื่อให้มั่นใจว่าเป็นอาการบวม หรือเป็นการฉีดฟิลเลอร์แล้วเป็นก้อน

                                  คำถามพบบ่อยของฟิลเลอร์ปาก

                                  ฉีดฟิลเลอร์ปากกี่ CC ?

                                  • ฉีดฟิลเลอร์ปากกี่ CC นั้นขึ้นอยู่กับทรงปากเดิมของแต่ละบุคคล โดยปกติการฉีดฟิลเลอร์ปากเริ่มต้นที่ 1-2 CC แต่สำหรับคนที่อยากได้ทรงปากสายฝอ ริมฝีปากหนาอิ่มฟูสามารถฉีดมากกว่านี้ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแพทย์ประเมินก่อนฉีดฟิลเลอร์ปาก

                                  ฉีดฟิลเลอร์ปากอันตรายไหม?

                                  • การฉีดฟิลเลอร์ปากไม่อันตราย ถ้าฉีดฟิลเลอร์แท้โดยแพทย์ผู้ชำนาญการเท่านั้น เพราะสารเติมเต็มประเภทไฮยาลูรอนมีความปลอดภัยสูง ที่สามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ ทั้งนี้การฉีดฟิลเลอร์ปากควรฉีดกับแพทย์ที่มีประสบการณ์ในด้านของเทคนิคการฉีดที่ถูกต้อง เนื่องจากต้องใช้ความระมัดระวังในการฉีดฟิลเลอร์ เพราะริมฝีปากประกอบไปด้วยเส้นเลือดฝอยขนาดเล็กจำนวนมาก เพื่อไม่ให้เกิดฟิลเลอร์อุดตันเส้นเลือด การฉีดฟิลเลอร์ปากแบบปลอดภัยจึงจำเป็นต้องเลือกฉีดกับแพทย์ผู้ชำนาญการเท่านั้น

                                  ฉีดฟิลเลอร์ปากบวมกี่วัน? กี่วันเห็นผลลัพธ์?

                                  • ระยะเวลาของอาการบวมจากการฉีดฟิลเลอร์ปากจะหายได้เองหลังจากการฉีดฟิลเลอร์ประมาณ 4-5 วัน โดยอาการบวมจะค่อย ๆ ลดลง และเริ่มเห็นทรงปากที่ชัดเจนขึ้น และเห็นผลลัพธ์จากการฉีดฟิลเลอร์ปากอวบอิ่ม เป็นทรงสวยธรรมชาติ ประมาณ 1-2 สัปดาห์

                                  ฉีดสลายฟิลเลอร์ได้ไหม?

                                  • ฉีดสลายฟิลเลอร์เหมาะกับผู้ที่ฉีดฟิลเลอร์มาแล้วไม่ชอบรูปทรงปาก อยากแก้รูปทรงปาก หรือแก้ไขปัญหาฟิลเลอร์เป็นก้อน การฉีดสลายฟิลเลอร์ด้วยไฮยาโลรูนิเดส (Hyaluronidase) เข้าไปสู่บริเวณที่ต้องการสลายฟิลเลอร์ เพื่อลดการกักเก็บน้ำ ไขมัน และทำลายการยึดเกาะของเนื้อฟิลเลอร์ ช่วยปรับให้ผิวบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์กลับมาเรียบเนียนเสมอกันเหมือนเดิม ซึ่งการฉีดสลายฟิลเลอร์นั้นใช้ได้ในกรณีที่ฉีดฟิลเลอร์แท้ ส่วนกรณีฉีดฟิลเลอร์ปลอมต้องแก้ไขด้วยการผ่าตัดเท่านั้น

                                  ฉีดฟิลเลอร์ปากเจ็บไหม?

                                  • ระหว่างการฉีดฟิลเลอร์ปากจะรู้สึกเจ็บในระดับที่สามารถอดทนได้ เนื่องจากบริเวณริมฝีปากเป็นจุดที่อ่อนและบาง จึงมีความไวต่อความรู้สึก การแปะยาชาก่อนฉีดฟิลเลอร์ปากจึงช่วยทำให้ลดความเจ็บลงได้

                                  ผ่าตัดปากมาแต่ปากบาง ฉีดฟิลเลอร์ได้ไหม?

                                  • ในกรณีที่ผ่าตัดริมฝีปากแต่ริมฝีปากบางเกินไป สามารถฉีดฟิลเลอร์ปากแก้ไขให้รูปทรงปากดีขึ้นได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพังผืดที่เกิดจากการผ่าตัดริมฝีปาก ซึ่งถ้าพังผืดดึงรั้งมากเกินไปจะทำให้ฉีดฟิลเลอร์ได้น้อย ดังนั้นการผ่าตัดริมฝีปากต้องศึกษาข้อมูลให้ดีก่อน เพราะถ้าหากผ่าตัดริมฝีปากแล้วมีเนื้อปากที่บางจนเกินไปจะไม่สามารถแก้ไขด้วยการฉีดฟิลเลอร์ปากได้

                                  ฟิลเลอร์ปากฉีดได้บ่อยแค่ไหน?

                                  • ถ้าฟิลเลอร์ปากเริ่มสลายแล้ว สามารถฉีดฟิลเลอร์ปากเติมใหม่ได้ แต่ในกรณีที่ฉีดฟิลเลอร์ปากแล้ว แต่ต้องการจะฉีดฟิลเลอร์เพิ่มอีก จะต้องเว้นระยะห่างประมาณ 2-4 สัปดาห์ต่อการฉีดบริเวณตำแหน่งเดิม

                                  ฟิลเลอร์ปากอยู่ได้นานกี่เดือน?

                                  • การฉีดฟิลเลอร์ปากอยู่ได้นานประมาณ 6-18 เดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับยี่ห้อฟิลเลอร์ และรุ่นฟิลเลอร์ที่เลือกใช้ และรวมไปถึงการดูแลริมฝีปาก เพื่อให้ผลลัพธ์ยาวนานในแต่ละบุคคล

                                  การฉีดฟิลเลอร์ปาก เป็นเทรนด์ความงามที่ได้รับความนิยมอย่างมากในยุคปัจจุบัน ซึ่งการฉีดฟิลเลอร์ปากมีความยืดหยุ่น และแก้ไขปัญหาได้ดีกว่าการผ่าตัด ทั้งยังมีความเสี่ยงน้อยกว่าเพราะไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น สามารถสลายไปเองได้ตามธรรมชาติ การเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ดีอย่างมีประสิทธิภาพ รมย์รวินท์คลินิกจึงเป็นคลินิกทางเลือกที่ดีที่สุด ที่พร้อมจะแก้ไขทุกปัญหาของใบหน้าด้วยการฉีดฟิลเลอร์กับแพทย์ที่มากประสบการณ์ และมีการชำนาญด้านการฉีดฟิลเลอร์โดยเฉพาะ

                                   

                                  ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




                                    วันที่สะดวกในการติดต่อ





                                    BELOTERO REVIVE หน้าโกลว์ผิวฉ่ำวาว คืออะไร ดียังไง

                                    BELOTERO REVIVE

                                    BELOTERO REVIVE ฟิลเลอร์งานผิวกระจก หน้าโกลว์ฉ่ำวาว รุ่นแรกของโลก

                                    เทรนด์ผิวฉ่ำวาวผิวแลดูสุขภาพดี ยังคงเป็นเทรนด์ยอดนิยมตามแบบฉบับของสาวเกาหลี ซึ่งใครหลายคนอยากจะมีผิวสวยสุขภาพดีเปรียบเหมือนดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว และการมีผิวฉ่ำวาวสุขภาพดี นอกจากการรับประทานอาหารมีประโยชน์ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอแล้ว ยังมีการใช้นวัตกรรมทางการแพทย์ เพื่อช่วยให้ผิวสวยสุขภาพดีแบบเร่งด่วนได้อีกด้วย 

                                    นวัตกรรมที่ตอบโจทย์ผิวกระจก ผิวฉ่ำวาว สุขภาพดีแบบสาวเกาหลีในตอนนี้ คือ BELOTERO REVIVE ฟิลเลอร์งานผิวตัวแรกของโลก เน้นผิวโกลว์ งานผิวฉ่ำวาว สุขภาพดีตั้งแต่ภายในสู่ภายนอก ทำให้ BELOTERO REVIVE ได้รับความนิยมอย่างมาก วันนี้รมย์รวินท์คลินิกได้เรียบเรียงข้อมูลที่เกี่ยวกับฟิลเลอร์ BELOTERO REVIVE ที่สำคัญทั้งหมดไว้ที่บทความนี้แล้ว  

                                    เจาะลึก BELOTERO REVIVE ทำไมถึงเป็นฟิลเลอร์งานผิวที่ได้รับความนิยมที่สุดในปี 2024

                                    revive
                                    ส่วนประกอบของ BELOTERO REVIVE

                                    BELOTERO REVIVE ฟิลเลอร์งานผิวฉ่ำวาว คืออะไร

                                    ฟิลเลอร์ BELOTERO REVIVE เป็นรุ่นของฟิลเลอร์ยี่ห้อ BELOTERO จากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ นำเข้าและจัดจำหน่ายโดยบริษัท Mez Healthcare (Thailand) จำกัด นอกจาก Beloter รุ่น Revive แล้ว ทางบริษัทผู้นำเข้ายังมีฟิลเลอร์ BELOTERO รุ่นอื่น ๆ เช่น BELOTERO Soft, BELOTERO Intense และ BELOTERO Volume และทุกรุ่นผ่านการรับรองจากองค์กรอาหารและยา (อย.) รวมไปถึงองค์กรอาหารและยาสหรัฐอเมริกาและยุโรป

                                    ฟิลเลอร์ BELOTERO REVIVE เป็นฟิลเลอร์งานผิวฉ่ำวาวรุ่นแรกของโลก ที่มีการผสมผสานกันของกรดไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid : HA) และกลีเซอรอล (Glycerol) ผลิตด้วยนวัตกรรมที่เป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของแบรนด์ BELOTERO อย่าง CPM (Cohesive Polydensified Matrix) คุณสมบัติโดดเด่นของ HA คือ มีลักษณะเป็นเนื้อเจล มีความยืดหยุ่นสูง ช่วยกักเก็บน้ำในโมเลกุล ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวหน้า ช่วยให้ผิวฉ่ำวาว ส่วนกลีเซอรอล (Glycerol) เป็นสารให้ความชุ่มชื้น ช่วยปลอบประโลมผิว ช่วยลดการอักเสบของผิวและช่วยลดการระคายเคืองของผิว รวมไปถึงทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันผิวจากการถูกทำลายอีกด้วย

                                    ฟิลเลอร์ BELOTERO REVIVE จึงมีคุณสมบัติในเรื่องช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นให้กับผิว ผิวหน้าโกลว์ ผิวฉ่ำวาว เพิ่มความแข็งแรงให้กับผิว ฟื้นฟูผิวให้ดูสุขภาพดี ผิวเรียบเนียน รูขุมขนกระชับขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดริ้วรอยเล็ก ๆ บนใบหน้าได้

                                    revive
                                    BELOTERO REVIVE ฟื้นฟูผิว 4 มิติ

                                    BELOTERO REVIVE ฟิลเลอร์งานผิวฉ่ำวาว มีจุดเด่นอะไรบ้าง

                                    การผสานกันของ ไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid : HA) และกลีเซอรอล (Glycerol) ของ BELOTERO REVIVE ทำให้เป็นฟิลเลอร์งานผิวรุ่นแรกของโลกที่ทำให้ผิวสุขภาพดี ผิวฉ่ำวาว เรียบเนียนขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ด้วยนวัตกรรมที่เป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของ BELOTERO คือ CPM (Cohesive Polydensified Matrix) โดยมีคุณสมบัติเด่น ดังนี้

                                    • Cohesivity : เนื้อฟิลเลอร์เรียบเนียน กลืนตัวกับผิวหน้าได้ง่าย
                                    • Elasticity : เนื้อฟิลเลอร์ยืดหยุ่น ไม่ทำให้เกิดการไหลย้อยไปยังบริเวณที่ไม่ต้องการ
                                    • Plasticity : เนื้อฟิลเลอร์ขึ้นรูปและปั้นทรงง่าย 

                                    ทั้งนี้เมื่อฉีดฟิลเลอร์ BELOTERO REVIVE เข้าสู่ผิวหน้า จะทำให้ BELOTERO REVIVE มีความเนียนไปกับผิว ให้ผลลัพธ์ที่ดีอย่างเป็นธรรมชาติที่สุด

                                    BELOTERO REVIVE ฟิลเลอร์งานผิวฉ่ำวาว ช่วยอะไรบ้าง

                                    • BELOTERO REVIVE ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว มอบผิวฉ่ำวาวสุขภาพดี ลดการสูญเสียน้ำในเซลล์ผิว
                                    • BELOTERO REVIVE ช่วยทำให้ผิวเรียบเนียน กระจ่างใส และเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวหน้า
                                    • BELOTERO REVIVE ช่วยทำให้กระชับ อิ่มฟูขึ้น และลดริ้วรอยเล็ก ๆ ให้จางลง
                                    • BELOTERO REVIVE ช่วยลดการเกิดเม็ดสีเมลานิน และป้องกันผิวจากแสงแดด

                                    BELOTERO REVIVE ฟิลเลอร์งานผิวฉ่ำวาว เหมาะกับใคร

                                    • BELOTERO REVIVE เหมาะกับผู้ที่ต้องการเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้า ต้องการผิวฉ่ำวาว อิ่มน้ำแบบผิวกระจก
                                    • BELOTERO REVIVE เหมาะกับผู้ที่มีริ้วรอยเล็ก ๆ ริ้วรอยร่องตื้นบนใบหน้า
                                    • BELOTERO REVIVE เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวหน้าขาดน้ำ ผิวแห้ง และหน้ามัน
                                    • BELOTERO REVIVE เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวหน้าแห้งเสีย จากแสงแดดทำลายผิว
                                    • BELOTERO REVIVE เหมาะกับผู้ที่มีปัญหารอยดำ และรอยแดงจากสิว
                                    • BELOTERO REVIVE เหมาะกับผู้ที่ไม่มีเวลาบำรุงผิวหน้า
                                    • BELOTERO REVIVE เหมาะกับผู้ที่ต้องการปรับสภาพผิวให้เรียบเนียน กระจ่างใสขึ้น
                                    • BELOTERO REVIVE เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวขาดความยืดหยุ่น ไม่กระชับ
                                    • BELOTERO REVIVE เหมาะกับผู้ที่ชื่นชอบงานผิว และไม่ต้องการแต่งหน้าเยอะ

                                    BELOTERO REVIVE ฟิลเลอร์งานผิวฉ่ำวาว มีข้อห้ามที่ต้องระวังอะไรบ้าง

                                    • BELOTERO REVIVE ไม่เหมาะกับผู้ที่มีผิวหนังอักเสบในบริเวณที่ต้องการฉีด
                                    • BELOTERO REVIVE ไม่เหมาะกับผู้ที่มีประวัติแพ้สารฟิลเลอร์
                                    • BELOTERO REVIVE ไม่เหมาะกับผู้ที่มีประวัติแพ้ยาชา
                                    • BELOTERO REVIVE ไม่เหมาะกับผู้ที่มีแผลฟกช้ำง่าย มีปัญหาเลือดออกแล้วหยุดยาก 
                                    • BELOTERO REVIVE ไม่เหมาะกับผู้ที่กำลังรับประทานยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด
                                    • BELOTERO REVIVE ไม่เหมาะกับสตรีที่มีการตั้งครรภ์ หรือ อยู่ในช่วงให้นมบุตร
                                    • BELOTERO REVIVE ไม่เหมาะกับผู้ที่ป่วยเป็นโรคเริมหรืองูสวัด

                                    revive
                                    BELOTERO REVIVE ควรฉีดตรงไหน

                                     ฟิลเลอร์งานผิวฉ่ำวาว ฉีดตำแหน่งไหนได้บ้าง

                                    ฟิลเลอร์ BELOTERO REVIVE โดยปกติแล้วนิยมที่สุด คือ บริเวณหน้าแก้ม แต่สามารถฉีดในบริเวณอื่น ๆ ได้เช่นกัน นิยมฉีดบริเวณใบหน้าและลำคอ โดยสามารถฉีดได้ตามตำแหน่งต่าง ๆ ดังนี้

                                    • ฉีด BELOTERO REVIVE รอบดวงตา : ช่วยลดเลือนริ้วรอยเล็ก ๆ รอบดวงตา ลดรอยคล้ำรอบดวงตา
                                    • ฉีด BELOTERO REVIVE บริเวณแก้มและข้างจมูก : ช่วยให้ใบหน้าดูฉ่ำวาว เรียบเนียนกระชับขึ้น
                                    • ฉีด BELOTERO REVIVE บริเวณรอบปากและริมฝีปาก : ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ริมฝีปาก และช่วยลดริ้วรอยรอบริมฝีปาก
                                    • ฉีด BELOTERO REVIVE บริเวณลำคอ : ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวบริเวณคอที่แห้งกร้าน

                                    BELOTERO REVIVE ฟิลเลอร์งานผิวฉ่ำวาว มีข้อดี-ข้อเสียอะไรบ้าง

                                    ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์ BELOTERO REVIVE คือเป็นตัวช่วยบำรุงผิวได้ตั้งแต่ผิวชั้นใน ช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่น อิ่มฟูแน่นกระชับ เพิ่มความชุ่มชื้น ผิวฉ่ำวาว ผิวแลดูสุขภาพดี  อีกทั้งยังเห็นผลลัพธ์ของการเปลี่ยนแปลง ตั้งแต่ที่ฉีดฟิลเลอร์ BELOTERO REVIVE ตั้งแต่ครั้งแรก โดยผลลัพธ์ของการฉีดฟิลเลอร์ BELOTERO REVIVE อยู่ได้นาน 6-9 เดือน ส่วนข้อเสียของการฉีดฟิลเลอร์ BELOTERO REVIVE อาจมีอาการบวมและรอยแดงจากเข็มประมาณ 1 สัปดาห์ และจะค่อย ๆ หายได้เอง

                                    BELOTERO REVIVE ฟิลเลอร์งานผิวฉ่ำวาว แตกต่างจากฟิลเลอร์อื่น ๆ อย่างไร

                                    ฟิลเลอร์ทั่วไปจะเป็นสารไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid : HA) 100% โดยแต่ละยี่ห้อจะมีความเข้มข้นของสารไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid : HA) และโมเลกุลที่ไม่เหมือนกัน ทำให้ฟิลเลอร์ยี่ห้อและรุ่นต่าง ๆ จึงมีความแตกต่างกัน

                                    BELOTERO REVIVE มีความแตกต่างจากฟิลเลอร์รุ่นอื่น ๆ ตรงที่มีส่วนผสมของ กลีเซอรอล (Glycerol) ซึ่งเป็นฟิลเลอร์รุ่นแรกของโลกที่ผสานกันระหว่าง ไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid : HA) + กลีเซอรอล (Glycerol) ช่วยเติมน้ำให้ผิวฉ่ำวาวพร้อมทั้งยังเพิ่มประสิทธิภาพการฟื้นฟูผิวสุขภาพดีจากภายในอีกด้วย

                                    เปรียบเทียบ BELOTERO REVIVE ฟิลเลอร์งานผิวฉ่ำวาว กับ BELOTERO รุ่นอื่น

                                    BELOTERO REVIVE เป็นฟิลเลอร์งานผิวที่ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อเติมเต็มเฉพาะจุด แต่สามารถฉีดได้ทั่วใบหน้า เพื่อฟื้นฟูสุขภาพผิวให้เรียบเนียนกระจ่างใส ผิวฉ่ำวาวแบบสาวเกาหลี ซึ่งฟิลเลอร์ BELOTERO ยังมีหลากหลายรุ่น และในแต่ละรุ่นมีจุดเด่นที่แตกต่างกัน ดังนี้

                                    • BELOTERO Soft ฟิลเลอร์เนื้อละเอียด เหมาะกับการฉีดเพื่อเก็บรายละเอียดผิวชั้นตื้น แก้ไขปัญหาริ้วรอยผิวชั้นบน แก้ปัญหาใต้ตา ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 6-12 เดือน
                                    • BELOTERO Intense ฟิลเลอร์ที่มีความยืดหยุ่นสูง เหมาะกับการเติมร่องลึก ร่องที่เกิดจากการยุบตัวของเนื้อเยื่อผิวหนัง เช่น ร่องแก้ม ร่องมุมปาก เติมแก้มตอบ โดยผลลัพธ์อยู่ได้นาน 18 เดือน
                                    • BELOTERO Volume ฟิลเลอร์ที่มีความคงตัวและมีความยืดหยุ่น ยึดเกาะได้ดี เหมาะกับการฉีดเพื่อทดแทนโครงสร้างกระดูกที่เสียไป เพิ่มวอลลุ่มให้กับใบหน้า เช่น ฟิลเลอร์แก้ปัญหาหน้าตอบ ฟิลเลอร์ใต้ตา ปรับรูปหน้าบริเวณ คาง โหนกแก้ม โดยผลลัพธ์อยู่ได้นาน 18 เดือน

                                    เปรียบเทียบ BELOTERO REVIVE ฟิลเลอร์งานผิวฉ่ำวาว กับ ฟิลเลอร์ยี่ห้ออื่น

                                    • BELOTERO REVIVE vs Juvederm Volite

                                    ฟิลเลอร์ Juvederm Volite เป็นฟิลเลอร์สัญชาติสหรัฐอเมริกา ผลิตด้วยเทคโนโลยี Vycross เนื้อฟิลเลอร์ละเอียด โมเลกุลยึดเกาะผิวได้ดี มีความหยืดหยุ่น และมีความเข้มข้นของไฮยารูลอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid : HA) 12mg/ml ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 8-12 เดือน 

                                    • BELOTERO REVIVE vs Restylane Vital light

                                    ฟิลเลอร์ Restylane Vital light เป็นฟิลเลอร์สัญชาติสวีเดน ผลิตด้วยเทคโนโลยี NASHA (Non Animal Stabilized Hyaluronic Acid) เนื้อฟิลเลอร์มีความละเอียด มีความเข้มข้นของไฮยารูลอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid : HA) 12mg/ml ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 6-12 เดือน

                                    ส่วน BELOTERO REVIVE มีความเข้มข้นของไฮยารูลอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid : HA) 20mg/ml และมีส่วนผสมของกลีเซอรอล (Gycerol) 17.5 mg/ml ที่ช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นจากผิวภายใน ผิวฉ่ำวาวและผิวดูอิ่มน้ำและช่วยฟื้นฟูเซลล์ผิวที่เสีย ลดการอักเสบให้กับผิว ซึ่งเนื้อฟิลเลอร์เป็นเนื้อเจลที่มีความละเอียด และยืดหยุ่นกว่าฟิลเลอร์ยี่ห้ออื่น ๆ เพราะการผลิตด้วยเทคโนโลยีลิขสิทธิ์เฉพาะของ BELOTERO คือ CPM (Cohesive Polydensified Matrix) ที่ทำให้เนื้อฟิลเลอร์มีความเรียบเนียนไปกับผิว ไม่เป็นก้อน

                                    revive
                                    BELOTERO REVIVE ฟื้นฟูผิว 4 มิติ

                                    BELOTERO REVIVE ฟิลเลอร์งานผิวฉ่ำวาว เปรียบเทียบกับนวัตกรรมกระตุ้นคอลลาเจนอื่น ๆ 

                                    BELOTERO REVIVE vs Sculptra

                                    BELOTERO REVIVE เป็นฟิลเลอร์สกินบูสเตอร์ (Skin Booster) ที่ผลิตขึ้นมาเพื่อช่วยเพิ่มคุณภาพผิว ด้วยการผสานกันของ ไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid : HA) + กลีเซอรอล (Glycerol) ทำให้ช่วยล็อกความชุ่มชื้น และเติมเต็มคุณภาพผิวฉ่ำวาวเหมือนผิวกระจก เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวแห้งเสีย ขาดความชุ่มชื้น รูขุมขนกว้าง ใบหน้าไม่เรียบเนียน ต้องการฟื้นฟูผิว เพื่อผิวฉ่ำวาวแบบเร่งด่วน ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 6-9 เดือน

                                    ส่วน Sculptra เป็นสารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว (Collagen Biostimulator) มีส่วนประกอบหลักเป็น PLLA (Poly-L-Lactic Acid) ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนอย่างเป็นธรรมชาติ เพิ่ม Collagen Type 1 ที่จำเป็นต่อผิวสูงถึง 66.5% เหมาะสำหรับการฟื้นฟูผิวชั้นลึก เติมเต็มผิว ปรับโครงสร้างภายในผิว และช่วยให้ผิวอิ่มฟู แน่นกระชับ โดยสามารถเริ่มเห็นผลลัพธ์หลังฉีด 3 สัปดาห์ อยู่ได้นานถึง 2 ปี เมื่อฉีดครบ 2-3 ครั้งต่อเนื่องกัน

                                    BELOTERO REVIVE vs Radiesse

                                    BELOTERO REVIVE มีส่วนประกอบของ ไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid : HA) + กลีเซอรอล (Glycerol) เนื้อฟิลเลอร์มีความละเอียด มีความกลืนเข้ากับผิวได้อย่างเรียบเนียน ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปรับสภาพผิวหน้า ต้องการงานผิวฉ่ำวาวแบบเร่งด่วน โดย BELOTERO REVIVE มีคุณสมบัติช่วยแก้ปัญหาใบหน้าที่แห้งกร้าน ผิวขาดน้ำ หน้าโทรม หมองคล้ำ ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 6-9 เดือน

                                    ส่วน Radiesse เป็นฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มีสารไฮยารูลอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid : HA) แต่มีสารสำคัญ CaHA (Calcium Hydroxylapatite microsphere) ที่ช่วยในการฟื้นฟูการทำงานของเซลล์ Fibroblast ให้สร้างคอลลาเจนใหม่ใต้ชั้นผิว ให้ผิวมีความแน่นกระชับ ริ้วรอยเล็ก ๆ ลดลง เหมาะกับผู้ที่ต้องการเพิ่มคอลลาเจนให้ผิว และเพิ่มคุณภาพผิวให้แข็งแรงขึ้น ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 2 ปี

                                    BELOTERO REVIVE vs Rejuran

                                    BELOTERO REVIVE เป็นการฉีดสารเติมเต็มที่มีคุณสมบัติกักเก็บน้ำเข้าชั้นผิวได้โดยตรง คือ ไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid : HA) + กลีเซอรอล (Glycerol) สามารถเห็นผลลัพธ์หลังทำได้ทันที โดยผิวชุ่มชื้นและผิวฉ่ำวาวมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดการเกิดสิว ลดการอักเสบของผิวได้ด้วย

                                    แตกต่างกับ Rejuran มีส่วนประกอบหลักคือ Polynucleotide (PN) ช่วยกระตุ้นผิวให้เกิดการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ เพิ่มคุณภาพผิวฉ่ำวาวสุขภาพดี ช่วยในด้านการฟื้นฟูผิว ลดรูขุมขน ลดริ้วรอย และลดหลุมสิวตื้น อีกทั้งยังช่วยเติมผิวชุ่มชื้นอิ่มน้ำมากขึ้น เห็นผลลัพธ์หลังฉีด 3-5 วันและควรทำต่อเนื่อง 4 ครั้ง ทุก 2-3 สัปดาห์ ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 6-8 เดือน

                                    BELOTERO REVIVE vs HIFU / Thermage / Ulthera

                                    BELOTERO REVIVE เป็นหัตถการกลุ่มฟิลเลอร์ เหมาะกับการฉีดผิวชั้นตื้น หรือชั้นหนังแท้ ช่วยปรับสภาพผิวให้ดูดีขึ้น 4 มิติ ผิวเรียบเนียน อิ่มฟู ผิวเด้ง และชุ่มชื้นฉ่ำวาว

                                    ส่วนเทคโนโลยี HIFU, Thermage และ Ulthera เป็นนวัตกรรมการยกกระชับ แก้ปัญหาครอบคลุมทุกชั้นผิว โดดเด่นในเรื่องของการยกกระชับ ปรับรูปหน้า และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน แบบไม่ต้องผ่าตัด

                                    BELOTERO REVIVE และทั้ง 3 นวัตกรรมยกกระชับสามารถทำร่วมกัน เพื่อผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัญหาผิว และความต้องการในแต่ละบุคคล โดยแพทย์จะเป็นผู้ประเมินเบื้องต้นก่อนทำทุกเคส

                                    BELOTERO REVIVE ฟิลเลอร์งานผิวฉ่ำวาว เตรียมตัวและดูแลตัวเองก่อน-หลังฉีดอย่างไร

                                    การเตรียมตัวก่อนฉีด BELOTERO REVIVE ฟิลเลอร์งานผิวฉ่ำวาว

                                    ก่อนเลือกฉีดฟิลเลอร์ BELOTERO REVIVE อันดับแรกควรศึกษาหาข้อมูลของคลินิกที่เลือกใช้บริการว่ามีการรับรองที่ได้มาตรฐานหรือไม่ ศึกษาข้อมูลของผลิตภัณฑ์ที่ต้องการฉีด รวมไปถึงการศึกษาเทคนิคของแพทย์ เพื่อความปลอดภัยและเพื่อผลลัพธ์ที่ดีอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ควรเตรียมความพร้อมก่อนฉีด BELOTERO REVIVE ดังนี้

                                    • ก่อนฉีด BELOTERO REVIVE ควรงดการใช้ผลิตภัณฑ์ชนิดผลัดเซลล์ผิว หรือกำจัดขน 1 สัปดาห์
                                    • ก่อนฉีด BELOTERO REVIVE งดการใช้ผลิตภัณฑ์วิตามิน และอาหารเสริม 1 สัปดาห์
                                    • ก่อนฉีด BELOTERO REVIVE หลีกเลี่ยงยากลุ่ม NSAID 1 อาทิตย์
                                    • ก่อนฉีด BELOTERO REVIVE งดกิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีด เช่น การออกกำลังกายหนัก
                                    • ก่อนฉีด BELOTERO REVIVE งดดื่มแอลกอฮอล์ 24 ชั่วโมง
                                    • ก่อนฉีด BELOTERO REVIVE หากมีโรคประจำตัว หรือยาที่ต้องรับประทานเป็นประจำ ควรแจ้งแพทย์ก่อนทำ

                                    การดูแลตัวเองหลังฉีด BELOTERO REVIVE ฟิลเลอร์งานผิวฉ่ำวาว

                                    หลังจากฉีด BELOTERO REVIVE แพทย์จะให้คำแนะนำที่ควรปฏิบัติตาม ดังต่อไปนี้

                                    • หลังฉีด BELOTERO REVIVE จะมีรอยแผลจากเข็มฉีดยา อาจมีอาการปวด บวม และมีรอยแดงหลังทำ ดังนั้นห้ามไปสัมผัส แกะ เกา หรือนวดบริเวณใบหน้า
                                    • หลังฉีด BELOTERO REVIVE งดการทาครีมบำรุงผิวและการแต่งหน้า 1 สัปดาห์
                                    • หลังฉีด BELOTERO REVIVE หลีกเลี่ยงความร้อน เช่น ซาวน่า อย่างน้อย 48 ชั่วโมง
                                    • หลังฉีด BELOTERO REVIVE ควรทำความสะอาดใบหน้าด้วยการระมัดระวัง งดถูหน้า และงดสครับใบหน้า
                                    • หลังฉีด BELOTERO REVIVE งดการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 48 ชั่วโมง
                                    • หลังฉีด BELOTERO REVIVE หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีด เช่น การออกกำลังกายหนัก อย่างน้อย 48 ชั่วโมง
                                    • หลังฉีด BELOTERO REVIVE ควรดื่มน้ำเยอะ ๆ เพื่อรักษาการอุ้มน้ำของฟิลเลอร์
                                    • หลังฉีด BELOTERO REVIVE ควรทานยาที่แพทย์สั่งจ่ายให้หลังฉีดต่อเนื่องจนครบ เพื่อช่วยลดอาการบวม และป้องกันการติดเชื้อ
                                    • หลังฉีด BELOTERO REVIVE งดการเลเซอร์ผิวชั้นลึกทุกชนิด เป็นระยะเวลา 1 เดือน
                                    • หลังฉีด BELOTERO REVIVE หลีกเลี่ยงการนอนตะแคงหรือนอนคว่ำ ควรนอนให้หัวสูงกว่าหน้าอกในช่วง 2-3 คืนแรก เพื่อป้องกันการกดทับของใบหน้า

                                    BELOTERO REVIVE ฟิลเลอร์งานผิวฉ่ำวาว ผลลัพธ์หลังฉีดมีอะไรบ้าง

                                    ผลลัพธ์หลังฉีด BELOTERO REVIVE สามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงของผิวได้ทันที และจะค่อย ๆ เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ ดังนี้

                                    • Skin Elasticity ผิวยืดหยุ่นและอิ่มฟูขึ้น ยาวนานถึง 7 เดือน
                                    • Skin Firmness ผิวกระชับเต่งตึงมากขึ้น ยาวนานถึง 7 เดือน
                                    • Skin Glow ผิวหน้าใส เปล่งปลั่งมากขึ้น ยาวนานถึง 9 เดือน
                                    • Skin Hydration ผิวชุ่มชื้น ผิวฉ่ำวาวมากขึ้น ยาวนานถึง 9 เดือน

                                    BELOTERO REVIVE ฟิลเลอร์งานผิวฉ่ำวาว ของแท้ ตรวจสอบอย่างไร

                                    ก่อนฉีดฟิลเลอร์ BELOTERO REVIVE หรือฟิลเลอร์ยี่ห้ออื่น ๆ ต้องมั่นใจก่อนว่าคลินิกหรือสถานพยาบาลที่เลือกใช้บริการนั้น เลือกใช้ฟิลเลอร์แท้ที่มีมาตรฐานการรองรับ วิธีการสังเกตฟิลเลอร์แท้จะมีจุดสังเกต ดังนี้

                                    • BELOTERO REVIVE ฟิลเลอร์แท้ต้องมีเลขทะเบียน อย. และเอกสารกำกับภาษาไทยเท่านั้น
                                    • BELOTERO REVIVE ฟิลเลอร์แท้ เลข Lot. จะต้องตรงกันทั้ง 3 จุด คือ เลข Lot. บริเวณกล่องผลิตภัณฑ์, เลข Lot. บริเวณสติกเกอร์ และเลข Lot. บริเวณหลอด

                                    BELOTERO REVIVE ฟิลเลอร์งานผิวฉ่ำวาว กับคำถามที่พบบ่อย

                                    BELOTERO REVIVE ฟิลเลอร์งานผิวฉ่ำวาว ใช้กี่ cc

                                    โดยปกติการฉีด BELOTERO REVIVE บริเวณผิวหน้าเพื่อผิวฉ่ำวาวจะใช้เพียง 1-2 CC ต่อการฉีด 1 ครั้ง แต่ในกรณีของคนที่มีปัญหาผิวมาก แนะนำว่าควรต้องฉีด BELOTERO REVIVE ติดต่อกันถึง 3 ครั้ง โดยห่างกันครั้งละ 4 สัปดาห์ เพื่อผลลัพธ์ของการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนขึ้น

                                    BELOTERO REVIVE ฟิลเลอร์งานผิวฉ่ำวาว กี่วันถึงเห็นผล

                                    หลังจากการฉีด BELOTERO REVIVE จะสามารถเห็นผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงได้ทันที และจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนที่สุด 3 เดือน โดยผลลัพธ์ที่ได้จาก BELOTERO REVIVE คือผิวมีความชุ่มชื้น ผิวฉ่ำวาวมากขึ้น ผิวหน้าเนียนใส เปล่งปลั่ง อีกทั้งยังช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่น รูขุมขนกระชับอีกด้วย

                                    BELOTERO REVIVE ฟิลเลอร์งานผิวฉ่ำวาว อยู่ได้นานไหม

                                    สำหรับผู้ที่ไม่ได้มีปัญหาผิวเยอะมาก สามารถฉีด BELOTERO REVIVE เพียงแค่ 1 ครั้ง โดยผลลัพธ์ผิวฉ่ำวาวจะอยู่ได้นาน 6-9 เดือน แต่ในกรณีของผู้ที่มีปัญหาผิวแห้งและผิวหยาบกร้านอย่างรุนแรง ควรฉีด BELOTERO REVIVE อย่างต่อเนื่องทุก 4 สัปดาห์ เป็นระยะเวลา 3 เดือน เพื่อปรับสภาพผิวใหม่ หลังจากนั้นผิวจะคงผลลัพธ์ได้นาน 6-9 เดือน

                                    BELOTERO REVIVE ฟิลเลอร์งานผิวฉ่ำวาว ดีไหม

                                    ฟิลเลอร์ BELOTERO REVIVE เป็นฟิลเลอร์งานผิวฉ่ำวาวที่สามารถฉีดได้ทั่วใบหน้า โดยจะช่วยมอบผลลัพธ์ผิวหน้าฉ่ำวาวแลดูสุขภาพดี  แก้ปัญหาผิวแห้งเสียและหมองคล้ำจากแสงแดด แก้ไขปัญหาสิว และจุดด่างดำจากรอยสิว นอกจากนี้ยังช่วยให้ผิวมีเกราะป้องกันจากการถูกทำลายอีกด้วย

                                    BELOTERO REVIVE ฟิลเลอร์งานผิวฉ่ำวาว อันตรายไหม

                                    การฉีด BELOTERO REVIVE ไม่เป็นอันตราย เนื่องจากเป็นฟิลเลอร์ที่ได้รับมาตรฐานการรับรองจากองค์การอาหารและยา 50 ประเทศทั่วโลก ทั้งประเทศสหรัฐอเมริกา ยุโรป และในประเทศไทย ซึ่งการฉีด BELOTERO REVIVE ที่ปลอดภัยต้องใช้ฟิลเลอร์แท้ที่นำเข้าอย่างถูกต้อง และเลือกฉีดกับแพทย์ที่มีประสบการณ์ในด้านการฉีดฟิลเลอร์เท่านั้น เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดผลข้างเคียง และเพื่อผลลัพธ์ผิวฉ่ำวาวที่คุ้มค่าที่สุด

                                    BELOTERO REVIVE ฟิลเลอร์งานผิวฉ่ำวาว เจ็บไหม

                                    ระหว่างการฉีด BELOTERO REVIVE เพื่อผิวฉ่ำวาวจะไม่รู้สึกเจ็บ เนื่องจากในขั้นตอนการฉีดแพทย์จะใช้เข็มที่มีขนาดเล็กพิเศษ ทำให้ไม่ระคายเคืองผิว โดยก่อนฉีด BELOTERO REVIVE แพทย์จะมีการแปะยาชาก่อน และในระหว่างฉีด BELOTERO REVIVE จะมีการประคบน้ำแข็งเพื่อลดความเจ็บอีกด้วย

                                    BELOTERO REVIVE ฟิลเลอร์งานผิวฉ่ำวาว ทำร่วมกับหัตถการอื่นได้ไหม

                                    การฉีด BELOTERO REVIVE เป็นหัตถการที่สามารถทำร่วมกับหัตถการอื่น ๆ ได้ เช่น การฉีดโบ, การร้อยไหม การยกกระชับด้วยเครื่อง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ผิวฉ่ำวาวที่ดีและคุ้มค่าที่สุด โดยก่อนฉีดฟิลเลอร์ BELOTERO REVIVE แพทย์จะประเมินปัญหาผิวในแต่ละบุคคล และเลือกวิธีที่เหมาะสม เพื่อผลลัพธ์ผิวฉ่ำวาวที่ดีอย่างเป็นธรรมชาติ

                                    หลังฉีด BELOTERO REVIVE ฟิลเลอร์งานผิวฉ่ำวาว มีผลข้างเคียงไหม

                                    หลังฉีด BELOTERO REVIVE เพื่อผิวฉ่ำวาว อาจพบตุ่มนูนเล็ก ๆ ที่เกิดจากเนื้อฟิลเลอร์ และอาจมีรอยแดงจากเข็ม สามารถหายได้เอง 3-4 วัน ส่วนในกรณีของคนที่มีผิวบอบบาง ช้ำง่าย อาจมีอาการเขียว ช้ำ และคันบริเวณที่ฉีด BELOTERO REVIVE นับว่าเป็นอาการปกติที่สามารถหายเองได้ภายใน 2-3 วัน

                                    สรุป

                                    ฟิลเลอร์ BELOTERO REVIVE เป็นฟิลเลอร์รุ่นแรกของโลกที่ออกแบบมาเพื่องานผิวโดยเฉพาะ ตอบโจทย์ปัญหาผิวสำหรับคนที่ต้องการผิวฉ่ำวาวสุขภาพดีจากภายในสู่ภายนอก ได้ผลลัพธ์แบบ 4in1 ผิวเรียบเนียน อิ่มฟู ผิวเด้ง และผิวชุ่มชื้นฉ่ำวาว ด้วยการฉีดเพียง 1 ครั้ง 

                                    สำหรับใครที่อยากทราบข้อมูลเพิ่มเติมของฟิลเลอร์ BELOTERO REVIVE สามารถปรึกษาข้อมูลเพิ่มเติมกับ รมย์รวินท์คลินิก ได้ทุกสาขาใกล้บ้านคุณ 

                                    ฟิลเลอร์ใต้ตา คืออะไร ช่วยอะไร แก้ปัญหาอะไรได้บ้าง

                                    ฟิลเลอร์ใต้ตา

                                     

                                    ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                      วันที่สะดวกในการติดต่อ





                                      ฟิลเลอร์ใต้ตา เติมเต็มร่องใต้ตา แก้ปัญหาตาคล้ำ รวมทุกเรื่องที่ควรรู้ก่อนฉีดใต้ตา

                                      ปัญหารอบดวงตาคล้ำ ขอบตาดำ เปรียบเหมือนหมีแพนด้า เป็นปัญหาที่ทำใครหลายคนหมดความมั่นใจ ซึ่งนอกจากปัญหาขอบตาดำคล้ำ ยังมีปัญหาอีกมากมาย เช่น ตาลึก ตาโบ๋ ริ้วรอยใต้ตา รวมไปถึงถุงใต้ตาเยอะ ปัญหาของบริเวณใต้ตาที่ทำให้ใบหน้าดูโทรม ไม่สดใส และดูแก่ก่อนวัยอันควร

                                      ในปัจจุบันปัญหาเหล่านี้สามารถแก้ไขได้หลากหลายวิธี ซึ่งวิธีแก้ปัญหาแบบธรรมชาติที่สุด ด้วยการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ซึ่งการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจะช่วยให้บริเวณรอบดวงตาอิ่มฟู ริ้วรอยรอบดวงตาลดลง ใบหน้าดูสดใสขึ้น สำหรับใครที่ไม่เคยฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา และอยากฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา แต่สงสัยว่าฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นอย่างไร ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาช่วยอะไรบ้าง ฟิลเลอร์ใต้ตาอันตรายไหม เลือกฉีดฟิลเลอร์ใต้ตายี่ห้อไหนดี บทความนี้มีคำตอบ

                                      ฟิลเลอร์ใต้ตา
                                      ฟิลเลอร์ใต้ตาช่วยอะไร ?

                                      ฟิลเลอร์ใต้ตาคืออะไร

                                      การฉีดสารเติมเต็มไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid: HA) เข้าไปตรงบริเวณใต้ตาเพื่อแก้ปัญหาริ้วรอยบริเวณใต้ตา เมื่อคนเรามีอายุที่เพิ่มมากขึ้น กระดูกจะเริ่มทรุดตัวลง เนื้อน้อยลง ทำให้ผิวหนังหย่อนคล้อย ใบหน้าดูโทรม ไม่สดใส การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจึงเหมาะสำหรับการแก้ปัญหาริ้วรอยใต้ตา ใต้ตาดำคล้ำ ช่วยเติมเต็มร่องลึกใต้ตา ช่วยให้ใบหน้ากลับมาอ่อนเยาว์อีกครั้ง

                                      ฟิลเลอร์ใต้ตา
                                      ปัญญหาใต้ตามีอะไรบ้าง?

                                      ปัญหาใต้ตามีอะไรบ้าง? เกิดจากสาเหตุอะไร

                                      สาเหตุของปัญหาใต้ตาลึก ตาโบ๋ ใต้ตาคล้ำ ถุงใต้ตา ร่องใต้ตา และริ้วรอยร่องใต้ตา ปัญหาเหล่านี้มีเทคนิคในการแก้ปัญหาที่แตกต่างกันออกไป ดังนี้

                                      • ปัญหาถุงใต้ตา : เกิดจากถุงไขมันที่อยู่บริเวณใต้ดวงตา ลักษณะเป็นถุงนูนออกมาบริเวณขอบตาล่าง หรือมีอาการบวมปูดที่รอบดวงตาล่าง ซึ่งปัญหาเหล่านี้สามารถเกิดได้กับทุกคน โดยในกรณีคนที่มีอายุน้อยมีถุงนูนออกมานอกบริเวณใต้ตา จะทำให้ใบหน้าดูโทรม อ่อนล้า และแก่กว่าวัย นอกจากนี้ปัญหาถุงใต้ตายังพบได้ในคนที่เป็นโรคภูมิแพ้อีกด้วย
                                      • ปัญหาใต้ตาลึก เบ้าตาลึก : มีลักษณะเป็นร่องลึกรอบดวงตา กระดูกเบ้าตาใต้คิ้วลึกเป็นขอบชัดเจน ผิวหนังรอบดวงตาบุ๋ม ตาโบ๋ มีรอยดำคล้ำ เบ้าตาลึก ทำให้ใบหน้าดูมีอายุ โทรม ไม่สดใส ซึ่งปัญหาเกิดได้จากหลากหลายสาเหตุ เช่น พันธุกรรม โรคภูมิแพ้ อายุที่เพิ่มมากขึ้น ความเครียด พักผ่อนน้อย ฯลฯ เป็นสาเหตุที่ทำให้เสียบุคลิกภาพ และหมดความมั่นใจได้
                                      • ปัญหาริ้วรอยใต้ตา : ปัญหานี้เกิดได้จากหลากหลายสาเหตุ เช่น การสูญเสียคอลลาเจนและอีลาสติน อายุที่เพิ่มมากขึ้น หรือบริเวณใต้ตามีไขมันน้อย ทำให้ผิวแห้งจนเกิดริ้วรอยใต้ตา รวมไปทั้งพฤติกรรมอื่น ๆ ที่ทำให้มีริ้วรอยเกิดขึ้นบริเวณรอบใต้ตา
                                      • ปัญหาร่องใต้ตา : เกิดจากการที่บริเวณเปลือกตาด้านล่างลึกลงไป ทำให้เกิดร่องใต้ตา ซึ่งสาเหตุของปัญหานี้เกิดได้จากหลายสาเหตุด้วยกัน เช่น ขยี้ตาบ่อย กระดูกทรุดตัว กรรมพันธุ์ คอลลาเจนและอีลาสตินลดลง มลภาวะและอากาศ รวมไปถึงไขมันบริเวณใต้ตาน้อย 
                                      • ปัญหาใต้ตาคล้ำ : เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น การทำงานของระบบประสาท กล้ามเนื้อ การไหลเวียนเลือดจะลดลง ไขมันใต้ผิวหนังสะสมน้อยลง หนังตาเริ่มมีความหย่อนคล้อย และผิวบางลง จนสามารถสังเกตเห็นภาวะไหลเวียนของเลือดบริเวณใต้ตา จึงเห็นขอบตาดำมากขึ้น

                                      ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาตำแหน่งไหนบ้าง

                                      • ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาที่ผิวหนังชั้นตื้น สำหรับแก้ปัญหาใต้ตาที่ดำคล้ำ เพื่อให้กลับมากระจ่างใส และทำให้ผิวใต้ตาเต่งตึงขึ้น
                                      • ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาผิวชั้นลึก สำหรับแก้ไขมันเบ้าตาเคลื่อนที่ เติมเต็มร่องลึกให้ดูตื้นขึ้น
                                      • ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาบริเวณร่องน้ำตาและเหนือดวงตา สำหรับแก้ปัญหาตาโหลบริเวณร่องน้ำตาและเหนือดวงตา เป็นการฉีดเสริมกระดูกเบ้าตา

                                      ฟิลเลอร์ใต้ตาช่วยแก้ปัญหาอะไรได้บ้าง

                                      • ฟิลเลอร์ใต้ตาช่วยแก้ปัญหาร่องน้ำตาลึก เบ้าตาลึก ตาโหล ที่เกิดจากการสลายตัวของเนื้อเยื่อ และการทรุดตัวของกระดูกใต้ตา 
                                      • ฟิลเลอร์ใต้ตาช่วยแก้ปัญหาลดขอบตาดำ ใต้ตาคล้ำบริเวณใต้ตา ทำให้ใบหน้าดูโทรมและอ่อนล้า
                                      • ฟิลเลอร์ใต้ตาช่วยแก้ปัญหาริ้วรอยใต้ตา ร่องใต้ตา รอยตีนกาที่เหี่ยวย่นบริเวณรอบดวงตาและใต้ตา 
                                      • ฟิลเลอร์ใต้ตาช่วยแก้ปัญหาถุงไขมันใต้ตา ที่ทำให้มีปัญหาริ้วรอยและร่องใต้ตาที่ชัดเจนขึ้น

                                      ฟิลเลอร์ใต้ตา
                                      ฟิลเลอร์ใต้ตาเหมาะกับใคร ?

                                      ฟิลเลอร์ใต้ตาเหมาะกับใคร

                                      • ฟิลเลอร์ใต้ตาเหมาะกับคนที่มีปัญหาริ้วรอยใต้ตา บริเวณใต้ตาหย่อนคล้อย ขอบตาดำคล้ำ ตาลึก ตาโหล 
                                      • ฟิลเลอร์ใต้ตาเหมาะกับการแก้ปัญหาใต้ตา จากการทรุดตัวของกระดูกและเนื้อ
                                      • ฟิลเลอร์ใต้ตาเหมาะกับผู้ที่ไม่อยากผ่าตัด ไม่อยากเจ็บตัว ไม่อยากพักฟื้น
                                      • ฟิลเลอร์ใต้ตาเหมาะกับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่รวดเร็ว
                                      • ฟิลเลอร์ใต้ตาเหมาะกับผู้ที่มีปัญหาใต้ตามาจากพันธุกรรม

                                      ฟิลเลอร์ใต้ตาไม่เหมาะกับใคร

                                      • ฟิลเลอร์ใต้ตาไม่เหมาะกับผู้ที่ใช้ยา สมุนไพร หรือวิตามินบางชนิด เช่น วิตามินอี กระเทียม ขิง เป็นต้น
                                      • ฟิลเลอร์ใต้ตาไม่เหมาะกับผู้ที่มีโรคที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด ซึ่งจะทำให้เลือดหยุดยากและเกิดรอยช้ำง่าย
                                      • ฟิลเลอร์ใต้ตาไม่เหมาะกับผู้ที่มีภาวะตาแห้งรุนแรง จำเป็นต้องหยอดน้ำตาเทียมก่อนฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เนื่องจากทำให้ระคายเคืองมากกว่าปกติและเสี่ยงเกิดการอักเสบได้
                                      • ฟิลเลอร์ใต้ตาไม่เหมาะกับผู้ที่ผิวหนังบริเวณดวงตาอักเสบหรือติดเชื้อ ควรรักษาให้หายก่อนฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
                                      • ฟิลเลอร์ใต้ตาไม่เหมาะกับผู้ที่ตั้งครรภ์และให้นมบุตร
                                      • ฟิลเลอร์ใต้ตาไม่เหมาะกับผู้ที่เป็นโรคเริมและงูสวัด
                                      • ฟิลเลอร์ใต้ตาไม่เหมาะกับผู้ที่มีประวัติแพ้ยาชา หรือแพ้กรดไฮยารูลอนิก
                                      • ฟิลเลอร์ใต้ตาไม่เหมาะกับผู้ที่เกิดแผลเป็นคีลอยด์ได้ง่าย

                                      ฟิลเลอร์ใต้ตา
                                      ข้อดีและข้อจำกัดของฟิลเลอร์ใต้ตา

                                      ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

                                      • ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น ใช้ชีวิตประจำวันได้ปกติ
                                      • ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาช่วยแก้ไขเรื่องริ้วรอย และความหย่อนคล้อยใต้ตาได้อย่างเห็นผลลัพธ์ชัดเจน
                                      • ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาช่วยเติมเต็มรอบดวงตาให้กลับมาอิ่มฟู สดใส ไม่หมองคล้ำ
                                      • ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาช่วยแก้ปัญหาขอบตาดำคล้ำจากโรคภูมิแพ้ และจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ
                                      • ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาไม่มีแผล เห็นผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงทันที

                                      ข้อเสียของการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

                                      • ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจะมีอาการบวม และมีรอยเข็มในจุดที่ฉีด โดยรอยเข็มจะสามารถหายได้เองภายใน 2-3 วัน
                                      • ผลลัพธ์ของการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาไม่สามารถอยู่ถาวรได้ เนื้อของฟิลเลอร์จะสลายเองตามธรรมชาติ
                                      • ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจำเป็นต้องฉีดซ้ำอยู่เสมอ เพื่อรักษาผลลัพธ์ให้อยู่ได้นาน

                                      ฟิลเลอร์ใต้ตา
                                      ฟิลเลอร์ใต้ตาที่รมย์รวินท์ต้องยี่ห้อไหน

                                      ฟิลเลอร์ใต้ตา ยี่ห้อไหนดี?

                                      ฟิลเลอร์ใต้ตายี่ห้อ Volifil Classic

                                      ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Volifil สัญชาติเกาหลี ผลิตโดยเทคโนโลยี HCCL™ TECHNOLOGY (Highly Completed Cross-Linking) เนื้อฟิลเลอร์เป็นชนิดโมเลกุลเดียว (Monophasic) มีลักษณะเนื้อเจลคงที่ ปั้นทรงง่าย มีความเนียนละมุน เกลี่ยง่าย ฟิลเลอร์รุ่นนี้เหมาะสำหรับเติมริ้วรอยตื้นบริเวณดวงตาและรอยตีนกา อยู่ได้นาน 8-12 เดือน

                                      ฟิลเลอร์ใต้ตายี่ห้อ Definisse Touch

                                      ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Definisse Touch สัญชาติอิตาลี ผลิตโดยเทคโนโลยี XTR™ Technology (eXcellent Three-Dimensional Reticulation) เป็นฟิลเลอร์รุ่นที่เหมาะสำหรับการเติมเต็มบริเวณใต้ตาอย่างเป็นธรรมชาติ อยู่ได้นาน 8-12 เดือน

                                      ฟิลเลอร์ใต้ตายี่ห้อ Belotero Soft

                                      ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Belotero สัญชาติสวิตเซอร์แลนด์ เป็นฟิลเลอร์ที่มีความปลอดภัยสูง สามารถสลายได้ตามธรรมชาติ ผลิตโดยเทคโนโลยีพิเศษ CPM  (Cohesive Polydensified Matrix) ฟิลเลอร์มีลักษณะเนื้อนิ่ม มีโมเลกุลขนาดเล็ก และมีความละเอียด กลืนกับผิวได้ง่าย มีส่วนผสมของยาชา เหมาะสำหรับเติมริ้วรอยร่องตื้น ๆ รอบบริเวณดวงตา อยู่ได้นาน 6-12 เดือน

                                      ฟิลเลอร์ใต้ตายี่ห้อ Juvederm

                                      ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Juvederm สัญชาติอเมริกาที่ได้รับความนิยมจากแพทย์ทั่วโลก เป็นฟิลเลอร์ที่มีคุณภาพสูง ออกแบบมาให้มีส่วนผสมของยาชา มีเทคโนโลยีในการผลิต คือ Hylacross Technology และ Vycross Technology เน้นความเป็นธรรมชาติ 

                                      ซึ่งฟิลเลอร์ใต้ตารุ่นที่ใช้คือ Juvederm Volbella ใช้เทคโนโลยี Vycross Technology เป็นฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม มีโมเลกุลขนาดเล็กละเอียดมากที่สุด เหมาะสำหรับฉีดริ้วรอยชั้นตื้นบริเวณใต้ตา แก้ปัญหาริ้วรอยรอบดวงตา อยู่ได้นาน 12-18 เดือน

                                      ฟิลเลอร์ใต้ตายี่ห้อ Restylane

                                      ฟิลเลอร์ Restylane สัญชาติสวีเดน เป็นฟิลเลอร์แบรนด์แรกของโลกที่ใช้อย่างแพร่หลายมากกว่า 70 ประเทศทั่วโลก โดดเด่นเรื่องของเทคโนโลยีลิขสิทธิ์เฉพาะทั้ง 2 เทคโนโลยี คือ NASHA Techology และ OBT Technology โดยฟิลเลอร์ Restylane รุ่นที่ใช้ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตามี 3 รุ่นด้วยกัน Restylane Vital Light, Restylane Classic และ Restylane Lyft โดยทั้งหมดนี้ใช้เทคโนโลยี NASHA Techology โดยแตกต่างกัน ดังนี้

                                      • Restylane Vital Light เป็นฟิลเลอร์ที่มีโมเลกุลเบา เนื้อละเอียด เหมาะสำหรับฉีดเก็บรายละเอียดใต้ตา ผิวชั้นตื้น อยู่ได้นานประมาณ 6-12 เดือน
                                      • Restylane Classic ฟิลเลอร์เนื้อเจล เนื้อแน่น เหมาะสำหรับแก้ปัญหาริ้วรอยปานกลางถึงมาก ช่วยเก็บรายละเอียดในผิวชั้นลึก เช่น ใต้ตา อยู่ได้นาน 12 เดือน
                                      • Restylane Lyft ฟิลเลอร์เนื้อแน่น มีความคงตัวสูง สามารถคงรูปได้ดีที่สุด เพราะสำหรับการฉีดเติมเต็มใต้ตา อยู่ได้นาน 12-18 เดือน

                                      ฟิลเลอร์ใต้ตา
                                      การเตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

                                      การเตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

                                      1. ก่อนฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ควรเลือกคลินิกที่มีมาตรฐานการรับรอง เลือกแพทย์ที่มีความชำนาญ และประสบการณ์เรื่องของการฉีดฟิลเลอร์โดยเฉพาะ เพื่อแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุดมากที่สุด
                                      2. ก่อนฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ควรศึกษาข้อมูลเรื่องของฟิลเลอร์โดยละเอียด และเลือกดูรีวิวจากผู้ใช้บริการจริง เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจ
                                      3. ก่อนฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก่อนเข้ารับบริการ 24 ชั่วโมง
                                      4. ก่อนฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา งดการรับประทานยา วิตามิน และยาทาชนิดผลัดเซลล์ผิว
                                      5. ก่อนฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา งดกิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีด เช่น การออกกำลังกาย คาร์ดิโอ ปั่นจักรยาน

                                      ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

                                      1. แพทย์จะเป็นผู้วิเคราะห์ และประเมินโครงสร้างของใบหน้า และเลือกชนิดของฟิลเลอร์ที่เหมาะสมกับปัญหาใต้ตา เพื่อฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
                                      2. เริ่มทำความสะอาดและฆ่าเชื้อบริเวณรอบดวงตา และแปะยาชา
                                      3. แพทย์เริ่มทำการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาและบริเวณรอบดวงตา โดยใช้ระยะเวลาประมาณ 20-30 นาที
                                      4. หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา แพทย์จะแนะนำวิธีการดูแลตนเองหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์

                                      ฟิลเลอร์ใต้ตา
                                      การดูแลหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

                                      การดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

                                      • หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา งดแต่งหน้า ทาครีมบำรุงผิว และโดนน้ำ บริเวณที่ทำอย่างน้อย 24 ชั่วโมง
                                      • หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา งดดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่
                                      • หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา งดทานอาหารหมักดอง อาหารรสจัด เพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้อและอาการบวมช้ำ
                                      • หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา งดออกกำลังกายหนักในช่วง 3 วันแรก
                                      • หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา หลีกเลี่ยงความร้อนทุกชนิด เช่น การซาวน่า เลเซอร์ ตากแดด เป็นต้น
                                      • หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา หลีกเลี่ยงการแตะ แกะ เกา บริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์

                                      ผลข้างเคียงของการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

                                      • อาการบวมรอบบริเวณดวงตาหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา จะหายได้เองภายใน 2 สัปดาห์ ควรประคบน้ำแข็งบ่อย ๆ เพื่อให้อาการบวมหายเร็วขึ้น
                                      • หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจะมีความรู้สึกตึงบริเวณดวงตา โดยจะหายได้เองภายใน 24 ชั่วโมง
                                      • บริเวณใต้ตาช้ำ เนื่องจากอาจฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาถูกเส้นเลือด ทำให้เส้นเลือดใต้ผิวหนังแตกจนเกิดรอยช้ำ

                                      ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาที่ Romrawin ดีอย่างไร?

                                      ปัจจัยสำคัญของการเลือกฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา คือ การเลือกคลินิกฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ซึ่งการพิจารณาเพื่อเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐานและปลอดภัย พิจารณาได้ ดังนี้

                                      • คลินิกได้รับการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุข ที่มีความสะอาดและบริการดี มีเลขของใบอนุญาตชัดเจน
                                      • แพทย์มีประสบการณ์ด้านการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาโดยเฉพาะ ใช้เทคนิคเฉพาะทางเพื่อผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติมากที่สุด
                                      • รมย์รวินท์คลินิกเลือกใช้ฟิลเลอร์ใต้ตา ที่ได้รับการรับรองความปลอดภัยจากสำนักคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และ FDA จากอเมริกา
                                      • ปรึกษาฟรีทุกเคส ดูแลโดยแพทย์ผู้ชำนาญการแบบ 1:1 สามารถนัดหมายคิวหรือไปที่หน้าสาขา เพื่อเข้ารับการปรึกษาได้ตลอดระยะเวลาทำการ
                                      • มีรีวิวจริงจากผู้ใช้บริการมากมายที่เชื่อถือได้ เพื่อประกอบการตัดสินใจก่อนเข้ารับการปรึกษา หรือก่อนเข้ารับบริการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
                                      • มีช่องทางการติดต่อเพื่อปรึกษา หรือถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับหัตถการต่าง ๆ
                                      • มีการนัดหมายและติดตามผลหลังการรักษาทุกเคส เพื่อแสดงถึงความใส่ใจ และสร้างความมั่นใจให้กับผู้เข้ารับบริการ 

                                      เทียบฟิลเลอร์ใต้ตา กับ การแก้ไขด้วยหัตถการอื่น ๆ  

                                      ฟิลเลอร์ใต้ตา vs ฉีดโบ

                                      ไม่ว่าจะเป็นการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา หรือการฉีดโบริ้วรอยใต้ตา ขึ้นอยู่กับปัญหาใต้ตาที่เกิดขึ้น กรณีที่พบปัญหาเรื่องริ้วรอยเหี่ยวย่นที่เกิดจากไขมันลดลง กระดูกใต้ตาน้อยลง การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเข้าไปเพื่อเติมเต็มผิวบริเวณนั้นให้เรียบเนียนอีกครั้ง ส่วนกรณีที่มีริ้วรอยจากการขยับของกล้ามเนื้อใบหน้าที่มากเกินไป จนเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นรอบบริเวณดวงตาและริ้วรอยร่องลึก ควรรักษาด้วยการฉีดโบ เพราะการฉีดโบจะออกฤทธิ์กับระบบประสาท ช่วยให้กล้ามเนื้อตรงบริเวณที่ฉีดใช้งานได้ลดน้อยลง ดังนั้นหากมีปัญหามาจากทั้ง 2 สาเหตุนี้ แนะนำว่าสามารถฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาร่วมกับการฉีดโบได้ โดยต้องปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนการรักษาให้เหมาะสมในแต่ละบุคคล

                                      ฟิลเลอร์ใต้ตา vs ฉีดไขมันใต้ตา

                                      การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาและการฉีดไขมันใต้ตา สามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดจากการที่เนื้อเยื่อและกระดูกทรุดตัว โดยทั้ง 2 หัตถการมีความแตกต่างกัน ดังนี้

                                      ฟิลเลอร์ใต้ตา : ฟิลเลอร์ใต้ตาจะใช้สารเติมเต็มประเภทไฮยารูลอนิก แอซิด (HA) มีความปลอดภัยสูง การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาใช้ระยะเวลาในการทำไม่นาน เจ็บน้อย ไม่มีแผล ไม่ต้องพักฟื้น โดยสามารถเห็นผลลัพธ์หลังทำทันที และเห็นผลลัพธ์ชัดเจนที่สุดใน 2 สัปดาห์ ผลลัพธ์ไม่ถาวร ระยะเวลาขึ้นอยู่กับยี่ห้อและรุ่นของฟิลเลอร์

                                      ฉีดไขมันใต้ตา : เป็นการใช้ไขมันตัวเอง โดยดูดไขมันออกมาจากบริเวณร่างกายเพื่อนำมาเติมเต็มใต้ตา ลดความเสี่ยงของการแพ้ แต่ข้อเสีย คือ คนไข้จะมีแผลในตำแหน่งที่ดูดไขมันเพื่อมาฉีดใต้ตา ผลลัพธ์อยู่ได้นานแต่อาจต้องทำซ้ำหลายครั้ง เนื่องจากส่วนมากมักจะยังไม่เห็นผลลัพธ์ชัดเจนตั้งแต่ครั้งแรก

                                      ซึ่งการแก้ไขปัญหาริ้วรอยรอบดวงตาด้วยการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ถือว่าเป็นหัตถการที่มีความเสี่ยงน้อยกว่าการฉีดไขมันใต้ตา เพราะการฉีดไขมันใต้ตาต้องมีความระมัดระวังในเรื่องของการฉีดเข้าหลอดเลือด การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมในด้านของการเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ

                                      คำถามพบบ่อยของฟิลเลอร์ใต้ตา

                                      ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเจ็บไหม?

                                      การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจะรู้สึกเจ็บเล็กน้อยในระดับที่อดทนได้ โดยจะรู้สึกเจ็บในขณะที่กำลังฉีดฟิลเลอร์ ซึ่งฟิลเลอร์แต่ละยี่ห้อจะมีส่วนผสมของยาชา ทำให้ช่วยบรรเทาลดอาการเจ็บในระหว่างการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาได้

                                      ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาอันตรายไหม?

                                      การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา คือ การฉีดสารเติมเต็มประเภทไฮยารูลอนิก ซึ่งมีความปลอดภัยสูง เนื่องจากเป็นสารที่พบได้ในผิว โดยฟิลเลอร์นั้นสามารถสลายตัวได้เองตามธรรมชาติ ไม่มีสารตกค้างภายในร่างกาย นอกจากนี้การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นการฉีดในตำแหน่งที่บอบบางที่สุด  ดังนั้นแพทย์ที่ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจำเป็นต้องรู้เทคนิคการฉีด และตำแหน่งที่เหมาะสม เพื่อลดความเสี่ยงของการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา หากเลือกคลินิกที่มีมาตรฐาน ปลอดภัย ดูแลโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ก็จะทำให้เกิดผลข้างเคียงน้อยลง หรือลดความเสี่ยงที่จะตามมาในภายหลังได้

                                      ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาใช้กี่ CC?

                                      การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา แพทย์จะเริ่มประเมินจากโครงสร้างใบหน้าของคนไข้ ก่อนจะทำการเลือกยี่ห้อฟิลเลอร์ และเลือกปริมาณของการฉีดฟิลเลอร์ ว่าต้องใช้กี่ CC ในคนที่มีปัญหาใต้ตาทั่วไปจะใช้การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาข้างละ 1-2 CC แต่ในคนที่มีปัญหากระดูกใต้ตาที่ทรุดตัวมากจนมีปัญหาใต้ตาลึก จะพิจารณาการฉีดฟิลเลอร์มาขึ้น โดยใช้ฟิลเลอร์ฉีดใต้ตาประมาณข้างละ 2-3 CC ทั้งนี้สามารถเห็นผลลัพธ์ของการรักษาที่ชัดเจน

                                      ฉีดฟิลเลอร์ใช้ระยะพักฟื้นนานไหม?

                                      ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาใช้ระยะเวลาในการพักฟื้นประมาณ 2 สัปดาห์ หากในกรณีบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์มีอาการบวมแดง แสบร้อน เจ็บปวด หลังจากพ้นช่วง 2 สัปดาห์ไปแล้ว ให้รีบพบแพทย์เพื่อทำการรักษาทันที

                                      ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตากี่วันเห็นผล?

                                      การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาสามารถเห็นผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงได้ทันทีหลังทำ โดยหลังจากฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาประมาณ 4-5 วัน ฟิลเลอร์จะเริ่มเข้าที่และเห็นผลลัพธ์ชัดเจนใน 2 สัปดาห์

                                      ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาอยู่ได้นานแค่ไหน?

                                      การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตานั้น ผลลัพธ์จะอยู่ได้นานประมาณ 6-18 เดือน ขึ้นอยู่กับการเลือกยี่ห้อฟิลเลอร์และรุ่นที่ใช้ รวมไปถึงการดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาในแต่ละบุคคล ทั้งนี้การเลี่ยงพฤติกรรมต่าง ๆ ที่ทำให้ฟิลเลอร์สลายเร็ว จะทำให้ผลลัพธ์ของฟิลเลอร์ใต้ตาอยู่ได้นานขึ้น

                                      ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อน เกิดจากอะไร?

                                      • ใช้ฟิลเลอร์ไม่เหมาะกับบริเวณที่ฉีด : จะเกิดขึ้นในกรณีที่แพทย์เลือกใช้ฟิลเลอร์เนื้อแน่นฉีดในผิวชั้นตื้น การเลือกฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาที่ไม่เหมาะสมจะทำให้ฟิลเลอร์เป็นก้อนได้ เนื่องจากบริเวณใต้ตาเป็นจุดที่มีความบอบบางกว่าจุดอื่น ๆ เพราะฉะนั้นควรใช้ฟิลเลอร์เนื้อละเอียดสำหรับผิวชั้นตื้น เพื่อความเป็นธรรมชาติ
                                      • ใช้ฟิลเลอร์ปลอม : การฉีดฟิลเลอร์ปลอมที่ไม่ผ่านการรับรองจากอย. อาจทำให้เกิดอาการอักเสบ บวม แพ้ และฟิลเลอร์ไหลเป็นก้อนได้อีกด้วย
                                      • ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาในปริมาณที่มากเกินไป : การฉีดฟิลเลอร์ที่มากเกินไป ประมาณไม่เหมาะสมกับใต้ตา ทำให้ฟิลเลอร์มารวมกันเป็นก้อน
                                      • ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาผิดชั้นผิว : หากฉีดฟิลเลอร์ใต้ตากับแพทย์ที่ไม่มีประสบการณ์ อาจเกิดปัญหาการฉีดแก้ไขปัญหาผิดจุด เช่น แก้ปัญหากระดูกทรุดด้วยการฉีดฟิลเลอร์ในผิวชั้นตื้น เป็นต้น

                                      บทสรุป ฟิลเลอร์ใต้ตา

                                      ฟิลเลอร์ใต้ตา เป็นหัตถการที่สามารถแก้ปัญหาริ้วรอยรอบดวงตา แก้ปัญหาตาลึกจากกระดูกและเนื้อทรุดตัว แก้ปัญหาใต้ตาหย่อนคล้อย และยังช่วยแก้ปัญหาขอบตาดำคล้ำให้กลับมาสดใสอีกครั้ง ซึ่งการเลือกคลินิกสำหรับฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาควรเลือกคลินิกที่ได้รับมาตรฐานและมีความปลอดภัยสูง มีแพทย์ที่ชำนาญในด้านของการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาโดยเฉพาะ เพื่อผลลัพธ์ของความสวยแบบปลอดภัยในระยะยาว สำหรับใครที่กำลังสนใจต้องการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและปรึกษาแพทย์ผู้ชำนาญการ ได้ที่รมย์รวินท์คลินิกทุกสาขาใกล้บ้านคุณ

                                      ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                        วันที่สะดวกในการติดต่อ





                                        เปรียบเทียบ Rejuran VS Revive ต่างกันอย่างไร ผิวชุ่มชื้นต่างกันอย่างไร

                                        ผิวชุ่มชื้น

                                        ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                          วันที่สะดวกในการติดต่อ





                                          Rejuran VS Revive เปรียบเทียบงานผิวตัวไหนผิวชุ่มชื้น ตัวไหนหน้าฉ่ำ

                                          ผิวแห้งเสียขาดความชุ่มชื้น กลายเป็นปัญหาหนักสุดๆ สืบเนื่องจากมลภาวะ และชีวิตประจำวันที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อผิวอย่างหนักหน่วง จนสภาพผิวห่างไกลจากคำว่า “ผิวชุ่มชื้น” “ผิวฉ่ำวาว” ไปไกลลับ ด้วยกิจวัตรประจำวันที่ต้องเผชิญกับมลภาวะอยู่เสมอ การดูแลผิวชุ่มชื้นแบบเดิม ๆ อาจไม่เพียงพอเสียแล้ว บางทีการหาตัวช่วยมาเติมเต็มให้ผิวที่แห้งเสีย กลับมาเป็นผิวที่ชุ่มชื้นคงจะเป็นทางออกที่ดี

                                          ซึ่งหากพูดถึงผลิตภัณฑ์งานผิว ที่ช่วยปรับสภาพผิวแห้งเสียให้กลับมาเป็นผิวชุ่มชื้น ก็จะมีหลากหลายตัวเลือก ไม่ว่าจะเป็น Rejuran, Revive หรือเติมวิตามินผิว แต่จะเลือกงานผิวตัวไหนที่ตอบโจทย์ความต้องการ ที่อยากจะมีผิวชุ่มชื้น ห่างไกลจากผิวเสียเพราะมลภาวะรอบตัว หลายคนอาจเลือกไม่ถูกและไม่มั่นใจว่าตัวเลือกไหนที่เหมาะสำหรับงานผิวฉ่ำวาวอย่างเป็นธรรมชาติ

                                          แน่นอนว่ารมย์รวินท์คลินิกมีคำตอบเรื่องนี้ โดยหากพูดถึงผิวชุ่มชื้นและฉ่ำวาวอย่างเป็นธรรมชาติ มีงานผิว 2 ตัวเลือกที่มักพูดถึงและเปรียบเทียบอยู่บ่อยครั้ง คือ  Rejuran กับ  Revive ซึ่งทั้งสองนับว่าเป็นงานผิวยอดนิยมที่เน้นเรื่องผิวเรียบเนียน ผิวชุ่มชื้นและฉ่ำวาวอย่างเป็นธรรมชาติ แต่ทั้งสองก็มีข้อแตกต่างกัน งานนี้รมย์รวินท์คลินิกจึงจะมาเปรียบเทียบว่างานผิวไหนผิวชุ่มชื้น ไหนช่วยเรื่องผิวฉ่ำวาว โดยสามารถอ่านรายละเอียดเกี่ยวกับทั้งสองตามหัวข้อต่อไปนี้

                                          ผิวชุ่มชื้น

                                          สำหรับคนที่อยากเปลี่ยนผิวที่แห้งเสีย ให้กลับมาเป็นผิวชุ่มชื้น หน้าใส มีความฉ่ำวาว ตัวเลือกที่ตอบโจทย์ผิวฉ่ำวาวที่สุด ก็คงจะหนีไม่พ้น Rejuran ซึ่งมีงานวิจัยออกมาพูดถึงผลลัพธ์ผิวหน้าชุ่มชื้น และมีความฉ่ำวาวด้วย Rejuran ส่งผลให้หัตถการที่ช่วยปรับผิวชุ่มชื้นชนิดนี้ได้รับความนิยม และกลายเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์ในสถานเสริมความงาม 

                                          โดยตัว Rejuran เป็นสารที่คิดค้นเพื่อผิวหน้าชุ่มชื้น สวยใสด้วยการสกัดสาร Polynucleotide (PN) จาก DNA ของปลาแซลมอนที่ได้รับการทดสอบแล้วว่า มีความใกล้เคียงกับ DNA ของมนุษย์มากถึง 98% โดยมี คุณสมบัติด้านการฟื้นฟูสภาพผิว ช่วยคืนผิวชุ่มชื้นหลังจากแห้งเสียเป็นเวลานาน พร้อมช่วยเคลียร์ปัญหาผิว อย่างเร่งด่วน ประกอบกับคุณสมบัติของ DNA ที่คล้ายคลึงกับของมนุษย์  Rejuran จึงมีความปลอดภัย และไม่ก่อให้เกิดกระทบต่อผิวชุ่มชื้นหลังจากฉีด Rejuran

                                          ด้วยประสิทธิภาพด้านการเคลียร์ผิว ที่เสื่อมสภาพจากมลภาวะต่าง ๆ ให้กลับมาเป็นผิวชุ่มชื้น ผิวฉ่ำวาวอย่างเป็นธรรมชาติ และมีความปลอดภัย ส่งผลให้ Rejuran กลายเป็นที่พูดถึงเป็นอย่างมากในฐานะของหน้าใส ผิวชุ่มชื้น แต่อาจจะยังมีคนสงสัยว่าสาร Polynucleotide มีการทำงานอย่างไร ทำไมถึงผิวชุ่มชื้นด้วย DNA จากปลาแซลมอน สามารถอ่านรายละเอียดที่หัวข้อการทำงานของ Rejuran  

                                          การทำงานของ Rejuran สาร Polynucleotide ส่งผลต่อผิวอย่างไร?

                                          หลังจากทำการฉีด Rejuran ลงไปบนผิวหนังแล้ว สาร Polynucleotide (PN) จะเข้าไปควบคุม กระบวนการทำงานของเซลล์และกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ โดยการกระตุ้นให้ร่างกายสารที่จะช่วยกระตุ้น การทำงานของเซลล์ Fibroblast หรือที่เรียกว่า Growth factor ซึ่งประกอบไปด้วย FGF, EGF และ IGF ที่จะเป็นตัวกลางสื่อสารระหว่างเซลล์และทำให้เกิดการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ ซึ่งส่งผลให้ผิวชุ่มชื้นอย่างเป็นธรรมชาติ

                                          การทำงานของ Polynucleotide ที่ฉีดลงไปด้วย Rejuran ส่งผลกระทบต่อผิวเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์, จัดการกับผิวที่เสื่อมสภาพและปัญหาผิวที่เกิดจากมลภาวะ รวมถึงฟื้นฟูสภาพผิวเปลี่ยนผลลัพธ์ของผิวที่แห้งเสียให้กลับมาเป็นผิวชุ่มชื้น ซึ่งระหว่างกระบวนการทำงานของสาร PN จะมีโอกาสเกิดอาการแพ้ได้น้อยมาก เนื่องจากสารที่ฉีดมาจาก DNA ปลาแซลมอนที่คล้ายคลึงกับของมนุษย์ และสามารถเข้ากันได้เป็นอย่างดี จึงเป็นงานผิวชุ่มชื้นสุขภาพดีที่มีความปลอดภัย

                                          ผลลัพธ์ของ Rejuran ลดการเสื่อมสภาพของผิว ผิวชุ่มชื้นและแข็งแรง

                                          •  Rejuran ฟื้นฟูถึงระดับเซลล์ผิว พร้อมกระตุ้นกระบวนการผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออก เพื่อให้เซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาแทนที่ ซึ่งช่วยลดหลุมสิวและรอยดำลง เป็นสารที่สำคัญต่อการปรับสภาพผิวช่วยให้ผิวฉ่ำวาวและผิวชุ่มชื้น
                                          • สาร Polynucleotide ยังช่วยเรื่องของความชุ่มชื้นบริเวณผิว ทำให้หลังจากทำ Rejuran เราจะได้สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของผิว โดย PN จะช่วยสร้างบาเรียที่ปกป้องผิวทำให้ผิวชุ่มชื้นและการสูญเสียน้ำบริเวณผิวลดลง
                                          •  Rejuran ช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์ Fibroblast ซึ่งส่งผลต่อการผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินของร่างกาย และเมื่อร่างกายมีการฟื้นฟูคอลลาเจนและอีลาสติน ผิวก็จะกลับมาสดใส ผิวชุ่มชื้น และมีความยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น
                                          • นอกจากช่วยจัดการกับปัญหาผิว และฟื้นฟูสภาพผิวแล้ว  Rejuran ยังช่วยลดความมันบริเวณผิว ช่วยกระชับรูขุมขน และปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ

                                          จากกระบวนการทำงานและผลลัพธ์ของ Rejuran จึงไม่แปลกเลยที่ผิวหน้าใสจาก DNA ปลาแซลมอนจะได้รับการตอบเป็นอย่างดี และเป็นที่นิยมในเวลาต่อมา เพราะนอกจากผิวชุ่มชื้นและกระจ่างใส ยังช่วยจัดการกับผิวที่เสื่อมสภาพ รวมถึงปัญหาผิวต่าง ๆ ก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัด

                                          ผิวชุ่มชื้น

                                          Revive ทำให้ผิวชุ่มชื้นได้อย่างไร

                                           Revive หรือ BELOTERO Revive เป็นผลิตภัณฑ์สารเติมเต็มเนื้อบางเบา ที่ช่วยเรื่องผิวชุ่มชื้นและเรียบเนียนอย่างเป็นธรรมชาติ โดยการพัฒนาที่แตกต่างจากสารเติมเต็มฟิลเลอร์ทั่วไป ซึ่งส่งผลให้ Revive เป็นตัวเลือกที่ช่วยซัพพอร์ตเรื่องงานผิวให้ออกมามีสุขภาพดี รวมทั้งยังช่วยให้ผิวกักเก็บความฉ่ำวาวอุ้มน้ำได้ด้วย จึงเป็นคำตอบว่าทำไมฉีดสารเติมเต็ม Revive แล้วผิวชุ่มชื้น

                                          ซึ่งส่วนที่พัฒนาและแตกต่างจากสารเติมเต็มชนิดอื่น ๆ คือ ฟิลเลอร์สารเติมเต็มทั่วไปมักมีส่วนประกอบเป็น Hyaluronic Acid (HA) ที่เป็นส่วนประกอบหลักของสารเติมเต็ม ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นอิ่มฟูเด้งกระชับ แต่ Revive จะมีส่วนประกอบของ Glycerol เพิ่มเข้ามา ซึ่งสารประกอบ Glycerol มีประสิทธิภาพด้านปรับสภาพผิวให้กักเก็บน้ำได้ดียิ่งขึ้น ทำให้ผิวชุ่มชื้นอิ่มน้ำอยู่ตลอดเวลา และการบำรุงผิวของสาร Glycerol ยังส่งผลลึกถึงผิวหนังชั้น Dermis ทำให้ผิวชุ่มชื้นยาวนานและช่วยเติมเต็มผิวให้ออกมาเรียบเนียนด้วย 

                                          การทำงานของ Revive ผสานผลลัพธ์ของ HA และ Glycerol ไว้ด้วยกัน

                                          โดยปกติแล้วสารเติมเต็มหรือฟิลเลอร์จะมีส่วนประกอบหลักเป็น Hyaluronic Acid ซึ่งมีกระบวน การทำงานโดยการฉีดเข้าไปใต้ชั้นผิวและจึงเกิดการปรับสภาพผิวให้ดียิ่งขึ้น โดยการเข้าไปฟื้นฟูผิวที่ถูกทำลายจากปัจจัยต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นมลภาวะ สภาพแวดล้อม โดยผลลัพธ์ของสารเติมเต็ม HA คือ ผิวชุ่มชื้น เรียบเนียน ผิวฉ่ำวาวเต่งตึงและอ่อนเยาว์

                                          ส่วนการทำงานของสารประกอบ Glycerol จะช่วยเสริมสร้างให้ผิวชุ่มชื้น และกักเก็บความชุ่มชื้นได้ยาวนาน เป็นเหมือนสารที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพของ Hyaluronic Acid ควบคู่ไปกับการปรับสภาพผิวให้ฉ่ำวาวอิ่มน้ำ และเมื่อผลลัพธ์ของ HA กับ Glycerol มารวมกันก็จะช่วยฟื้นฟูสภาพผิวภายในระยะเวลาอันสั้น พร้อมจัดการกับผิวแห้งเสีย ขาดน้ำ ให้กลับมาเป็นผิวชุ่มชื้นด้วย Revive

                                          ผลลัพธ์ของ Revive ออกมาเป็นอย่างไร?

                                          •  Revive ช่วยเติมเต็มร่องลึก และกระชับปรับรูปหน้า
                                          •  Revive เสริมประสิทธิภาพการกักเก็บน้ำของผิว ทำให้ผิวชุ่มชื้น เปล่งปลั่ง
                                          •  Revive ช่วยลดเลือนริ้วรอยและจัดการกับหลุมสิวตื้น
                                          •  Revive แก้ปัญหาผิวเฉพาะจุด และเพิ่มความยืดหยุ่นของผิว

                                           ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของ Revive ผ่านการเพิ่มสารประกอบ Glycerol มาผสานกับ Hyaluronic Acid มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านการกักเก็บน้ำและเสริมผิวชุ่มชื้นมากกว่าสารเติมเต็มชนิดอื่น ๆ ทำให้ Revive ได้รับความนิยมเหมือนกับงานผิว Rejuran

                                          ผิวชุ่มชื้น

                                          เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง Rejuran และ Revive ต่างกันอย่างไรบ้าง ?

                                          จากการพัฒนาของเทคโนโลยีแ ละความต้องการวิธีการดูแลผิวที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น จึงมีการคิดค้นหัตถการ ดูแลผิวที่ผลลัพธ์ครอบคลุม และตอบโจทย์ด้านความงามยิ่งขึ้น หัตถการงานผิวปัจจุบันจึงมีตัวเลือกมากจนบางคนไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าจะเลือกทำไหนดี อย่างกรณีที่อยากมีผิวชุ่มชื้น จะทำ Rejuran ก็เป็นตัวเลือกที่ดี แต่จะฉีด Revive ก็ผิวชุ่มชื้นไม่แพ้กัน วันนี้รมย์รวินท์คลินิกจึงจะมาแนะนำความแตกต่างระหว่าง Rejuran และ Revive เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจสำหรับคนที่คิดเลือกทำหัตถการความงามเป็นครั้งแรก หรือต้องการผลลัพธ์ที่เหมาะกับตัวเองที่สุด

                                          ซึ่งถึงแม้ว่าเทคโนโลยีที่ใช้ในการพัฒนา Rejuran ผิวชุ่มชื้น และ Revive ผิวฉ่ำวาวจะมีความแตกต่างกัน แต่ประสิทธิภาพและผลลัพธ์โดยรวมอาจมีความใกล้เคียงกันบางส่วน รายละเอียดหลังจากนี้จึงจะเป็นการเปรียบเทียบแบบชัด ๆ เลยว่าต่างกันมากน้อยแค่ไหน

                                          ส่วนประกอบหลักของ Rejuran และ Revive

                                          •  Rejuran :  Polynucleotide (PN) สารสกัด DNA จากปลาแซลมอนที่เข้ากันได้ดีกับร่างกายของคนเรา ลักษณะเป็นเจลใสไร้สีสำหรับฉีดเข้าผิวหนังส่งผลให้ผิวชุ่มชื้น
                                          •  Revive : ประกอบด้วยสาร Hyaluronic Acid และ Glycerol ที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพของสารเติมเต็ม ทำให้ผิวชุ่มชื้นยิ่งกว่าเดิม

                                          การทำงานของ Rejuran และ  Revive

                                          •  Rejuran : สาร Polynucleotide เข้าไปกระตุ้นการทำงานของเซลล์ผิว ช่วยการผลัดเซลล์และฟื้นฟูสภาพผิว รวมถึงช่วยทำให้ผิวชุ่มชื้นและจัดการกับปัญหาผิว จะมีการทำงานของที่เน้นเรื่องปรับสภาพผิวมากกว่าผิวชุ่มชื้น
                                          •  Revive :  Hyaluronic Acid จะเข้ามาช่วยเติมเต็มร่องลึกและช่วยให้ผิวชุ่มชื้น พอมารวมกับ Glycerol ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการกักเก็บน้ำของผิว เป็นการบูสผิวชุ่มชื้นยิ่งกว่าเดิม

                                          การทำงานของทั้งสองจะแตกต่างกันที่ Revive เน้นเติมเต็ม แล้วสร้างความความชุ่มชื้น เนื่องจากมีส่วนประกอบของ HA ที่เป็นสารเติมเต็มที่เป็นส่วนประกอบสำหรับฟิลเลอร์ ส่วน Rejuran จะเข้าไปกระตุ้นเซลล์และผลัดเซลล์ผิว จึงมีความแตกต่างกัน แต่ก็ยังมีส่วนช่วยเรื่องของผิวชุ่มชื้นเหมือนกัน เพียงแต่ Revive จะตอบโจทย์สำหรับคนที่ต้องการผิวชุ่มชื้นมากกว่าเพราะมีส่วนประกอบของ Glycerol

                                          ผิวชุ่มชื้น

                                          Rejuran และ Revive เหมาะกับการใช้งานแบบไหน

                                          •  Rejuran : เหมาะสำหรับช่วยฟื้นฟูผิวที่เสื่อมสภาพ อันมีสาเหตุมาจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น มลภาวะ, ช่วงวัยที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เป็นต้น โดยจะช่วยปรับสภาพผิวและเสริมให้ผิวชุ่มชื้น
                                          •  Revive : เหมาะสำหรับเติมเต็มริ้วรอยร่องตื้น ช่วยปรับโครงหน้าและเสริมการกักเก็บน้ำของผิว ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น

                                           ถึงแม้จะมีประสิทธิภาพการทำงานเกี่ยวกับผิวชุ่มชื้น ที่คล้ายคลึงกัน แต่ทั้งสองจะมีความแตกต่างกันที่รายละเอียดการปรับสภาพผิว โดย Revive จะตอบโจทย์การเติมเต็มผิวร่องลึกในฐานะสร้างเติมเต็ม ส่วน Rejuran จะเหมาะกับปรับสภาพผิวจากการเสื่อมสภาพและช่วยให้ผิวชุ่มชื้นยิ่งขึ้น

                                           Rejuran และ Revive เหมาะสำหรับบริเวณไหนบ้าง?

                                          •  Rejuran : สามารถฉีดได้หลายบริเวณทั่วหน้า รวมถึงรอบดวงตา หากอยากมีผิวชุ่มชื้นสามารถฉีดบริเวณแก้ม หน้าผาก หรือจุดที่ผิวแห้งเสียเป็นพิเศษ
                                          •  Revive : จะเหมาะสำหรับบริเวณผิวตื้น ๆ จึงนิยมฉีดบริเวณรอบดวงตา, ปาก, ลำคอ,หน้าผาก และหลังมือ โดยจะช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและอวบอิ่มให้กับบริเวณที่ฉีด

                                           ส่วนมากบริเวณที่ทำ Rejuran และ Revive เพื่อผิวชุ่มชื้นจะไม่ค่อยแตกต่างกัน แต่ Revive จะเน้นฉีดที่ผิวตื้นไม่ลงลึกถึงชั้น Dermis ส่วน Rejuran จะเหมาะสำหรับฉีดลงผิวชั้นกลางเพื่อให้สาร PN กระจายไปทั่ว ๆ และช่วยเสริมสร้างให้ผิวชุ่มชื้น มีความกระชับ

                                           Rejuran และ Revive มีความรู้สึกระหว่างทำที่แตกต่างกันหรือไม่

                                          •  Rejuran : เนื่องจาก Rejuran จำเป็นต้องฉีดลงไปที่ผิวชั้นกลางเพื่อให้สาร PN กระจายลงไปบนผิวเพื่อไปกระตุ้นให้ผิวชุ่มชื้น เลยจะมีความรู้สึกเจ็บระหว่างทำบ้าง แต่จะมีการ บรรเทาความเจ็บด้วยการฉีดยาชาก่อนทำ
                                          •  Revive :  Revive ถูกพัฒนาโดยคำนึงถึงคนที่กลัวเจ็บระหว่างทำ จึงมีความเจ็บปวดที่น้อยลง แต่สำหรับคนที่กลัวเจ็บสามารถทายาชาเพิ่มได้ก่อนทำ Revive

                                           Rejuran และ Revive ผลลัพธ์อยู่นานแค่ไหน

                                          •  Rejuran : สาร PN ช่วยกระตุ้นให้ผิวชุ่มชื้นอยู่นานถึง 6-8 เดือน
                                          •  Revive : สาร Hyaluronic Acid ช่วยเติมเต็มร่องลึก สร้างผิวชุ่มชื้นได้นานถึง 9 เดือน

                                          โดย Rejuran ควรฉีดอย่างต่อเนื่อง 2-3 สัปดาห์/ครั้ง และเมื่อทำครบ 4 ชั้น ผลลัพธ์ผิวชุ่มชื้นจะคงอยู่นานถึง 8 เดือน ส่วน Revive เติมเต็มผิวชุ่มชื้นเพียงครั้งเดียวก็จะได้ผลลัพธ์ของผิวฉ่ำวาวไปถึง 9 เดือนเลย ซึ่งตรงส่วนนี้จะเห็นว่าทั้งสองมีความแตกต่างทั้งระยะเวลาของผลลัพธ์และจำนวน ครั้งที่แนะนำให้ทำหัตถการ แต่ถึงอย่างนั้นก็ควรตรวจสอบก่อนว่าปัญหาผิวของเราเหมาะกับไหน เพื่อผลลัพธ์ขอผิวที่เรียบเนียน ผิวชุ่มชื้นและอ่อนเยาว์อย่างมีประสิทธิภาพ

                                          อยากมีผิวชุ่มชื้นสร้างผิวที่ฉ่ำวาวและคงความอ่อนเยาว์ ต้องมาที่รมย์รวินท์ คลินิก

                                          กิจวัตรประจำวันของแต่ละคนล้วนมีส่วนที่ต้องออกมาเผชิญกับมลภาวะต่าง ๆ รวมถึงช่วงอายุที่มากขึ้นเรื่อย ๆ ผิวที่เคยเรียบเนียน ผิวที่เคยชุ่มชื้นก็กลับกลายเป็นผิวที่ขาดน้ำ ขาดความกระชับ ซึ่งปัญหาเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนแม้ว่าจะมีการบำรุงผิวให้ฉ่ำวาวด้วยครีมสกินแคร์หรือบำรุงผิวด้วยวิธีต่าง ๆ มากแค่ไหน ผิวก็ไม่สามารถฟื้นฟูกลับมาได้อย่างเต็มที่ภายในระยะเวลาสั้น ๆ

                                           แต่สำหรับคนที่ต้องการวิธีฟื้นฟูบำรุงผิวชุ่มชื้นและอ่อนเยาว์อย่างทันท่วงที สามารถลองมาปรึกษากับแพทย์ที่รมย์รวินท์คลินิก โดยทางคลินิกจะมีเทคนิคเฉพาะที่ช่วยวิเคราะห์ปัญหาผิวและเลือกวิธีการจัดการกับผิว อย่างเหมาะสม สำหรับคนที่ผิวขาดน้ำ ผิวไม่เรียบเนียนขาดความกระชับ ทางคลินิกก็จะแนะนำ Rejuran หรือ  Revive ซึ่งจะช่วยเติมเต็มสาร