หากพูดถึงการลดน้ำหนักหรือการดูแลรูปร่าง หลายคนอาจคุ้นชื่อฮอร์โมน GLP-1 ที่ช่วยลดความอยากอาหาร และควบคุมน้ำตาล แต่ยังมีอีกหนึ่งฮอร์โมนจากลำไส้ที่มักจะทำงานร่วมกัน นั่นคือ GIP ฮอร์โมนที่ช่วยควบคุมระดับน้ำตาล ความหิว ความอิ่ม ไปจนถึงการสะสมไขมันในร่างกาย มาทำความรู้จักว่า GIP คืออะไร? มีหน้าที่อย่างไร ช่วยลดน้ำหนักและควบคุมระดับน้ำตาลได้จริงไหม

GIP คืออะไร?
GIP (Glucose-dependent Insulinotropic Polypeptide) หรือเคยถูกเรียกว่า Gastric Inhibitory Peptide เป็นหนึ่งในฮอร์โมนกลุ่ม Incretin hormones ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่หลั่งจากทางเดินอาหาร โดย GIP มีบทบาทสำคัญในการช่วยควบคุมความสมดุลของร่างกาย โดยจะถูกหลั่งออกมาหลังรับประทานอาหาร เพื่อกระตุ้นให้ตับอ่อนหลั่งอินซูลินและกลูคาคอน เพื่อช่วยรักษาสมดุลระดับน้ำตาลในเลือด นอกจากนี้ยังช่วยควบคุมความอยากอาหาร และมีบทบาทสำคัญในกระบวนการเผาผลาญและการสะสมพลังงาน รวมถึงการลดน้ำหนักและดูแลสุขภาพโดยรวม
GIP เป็นฮอร์โมนเกี่ยวกับทางเดินอาหารที่ถูกสร้างขึ้นจาก K-cell ที่พบมากในบริเวณลำไส้เล็กส่วนต้น พบมากบริเวณลำไส้เล็กส่วนต้น โดยจะถูกกระตุ้นให้หลั่งเมื่อร่างกายได้รับอาหาร จากนั้น GIP จะออกฤทธิ์กับหลายอวัยวะในร่างกาย เช่น
- ตับอ่อน เพื่อกระตุ้นการหลั่งอินซูลินและกลูคากอน
- เนื้อเยื่อไขมัน เพื่อกระตุ้นการเก็บสะสมไขมันภายในเซลล์เพื่อใช้เป็นพลังงานสำรอง
- กระดูก กระตุ้นการสร้างมวลกระดูกใหม่ และลดการสลายกระดูก
- สมอง ส่งสัญญาณเกี่ยวกับความอิ่มและลดความอยากอาหาร
GIP ช่วยเรื่องอะไรบ้าง
- กระตุ้นการหลั่งอินซูลิน เพื่อช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
- กระตุ้นการหลั่งกลูคากอน (Glucagon) ช่วยรักษาสมดุลระดับน้ำตาลในช่วงที่ระดับน้ำตาลต่ำ
- การสะสมพลังงาน ช่วยกระตุ้นการเก็บไขมันในเนื้อเยื่อไขมัน (adipose tissue) โดยตรงไม่ทำให้ไขมันกระจายตัว
- เสริมสร้างมวลกระดูก กระตุ้นการสร้างกระดูกใหม่ และลดการสลายของกระดูก
- ควบคุมความอยากอาหาร ช่วยให้ร่างกายรู้สึกอิ่ม ช่วยลดความอยากอาหาร และปรับพฤติกรรมการกิน

GIP มีบทบาทและหน้าที่สำคัญอย่างไรต่อร่างกาย
- GIP กับการกระตุ้นอินซูลินและกลูคากอน
GIP มีหน้าที่สำคัญ คือ การควบคุมระดับน้ำตาล โดยการกระตุ้นการหลั่งอินซูลินจากตับอ่อน เมื่อร่างกายได้รับพลังงานหรืออาหาร และระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น GIP จะทำการกระตุ้นการหลั่งของอินซูลินให้นำน้ำตาลเข้าสู่เซลล์ เพื่อนำไปใช้เป็นพลังงานหรือถูกเก็บสะสมไว้เป็นพลังงานสำรอง นอกจากนี้ หากร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดที่ลดต่ำลง GIP จะกระตุ้นการหลั่งของกลูคากอนจากตับอ่อน เพื่อให้เกิดความสมดุลของระดับน้ำตาล ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ในเกณฑ์ที่ปกติ
- GIP กับการสะสมไขมันและการเผาผลาญพลังงาน
การสะสมไขมันและการเผาผลาญพลังงาน เป็นอีกหนึ่งบทบาทสำคัญของ GIP โดยจะช่วยส่งเสริมให้ร่างกายทำการสะสมไขมันไว้ในเนื้อเยื่อไขมัน (Adipose tissue) เพื่อนำมาใช้เป็นพลังงานสำรองในอนาคต และไม่ทำให้ไขมันกระจายตัวไปยังส่วนอื่น ๆ ในร่างกาย นอกจากนี้ GIP ยังช่วยปรับสมดุลระบบเผาผลาญพลังงาน จึงช่วยให้ร่างกายสามารถนำพลังงานมาใช้ได้อย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพ แต่หากร่างกายได้รับอาหารเกินที่มากเกินความจำเป็นต่อเนื่อง GIP อาจส่งผลให้เกิดการสะสมไขมันมากเกินไป จนนำไปสู่ภาวะโรคอ้วน (Obesity) และภาวะดื้ออินซูลิน (Insulin resistance)
- GIP ต่อสมองและความอยากอาหาร
นอกจากจะออกฤทธิ์กับตับอ่อนและระบบเผาผลาญแล้วนั้น GIP ยังมีหน้าที่ส่งสัญญาณไปที่สมองส่วนที่ช่วยควบคุมความหิวและความอิ่ม เพื่อให้ร่างกายรู้สึกอิ่มหลังรับประทานอาหาร โดยฮอร์โมน GIP จะช่วยปรับพฤติกรรมการกินให้ดีขึ้น ลดความอยากอาหาร และช่วยให้ร่างกายสามารถเผาผลาญไขมันได้ดีมากขึ้น และเมื่อทำงานร่วมกับ GLP-1 จะช่วยให้การลดความอยากอาหารและช่วยลดน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- GIP กับการสร้างและรักษามวลกระดูก
บทบาทที่สำคัญอีกหนึ่งอย่างของ GIP คือ ช่วยกระตุ้นกระบวนการสร้างกระดูกใหม่ และช่วยลดการสลายของมวลกระดูก ทำให้กระดูกแข็งแรงมากขึ้น และอาจช่วยป้องกันภาวะกระดูกพรุนในอนาคตได้
Incretin hormones คืออะไร ?
Incretin hormones หรือฮอร์โมนในกลุ่มอินครีติน คือ กลุ่มฮอร์โมนระบบทางเดินอาหารที่ผลิตจากลำไส้ โดยจะมีบทบาทสำคัญ คือ ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด โดยจะทำงานร่วมกับอินซูลินและกลูคากอน เพื่อปรับสมดุลระดับน้ำตาลในเลือดหลังการรับประทานอาหาร ซึ่งฮอร์โมนอินครีตินหลัก ๆ คือ GIP (Glucose-dependent Insulinotropic Polypeptide) และฮอร์โมน GLP-1 (Glucagon-like Peptide-1) ที่มีบทบาทสำคัญในการช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และช่วยลดความอยากอาหาร ซึ่งทั้ง 2 ฮอร์โมนมักจะทำงานร่วมกัน และในปัจจุบันมีการนำมาพัฒนาเพื่อช่วยรักษาโรคเบาหวานประเภทที่ 2 และช่วยลดน้ำหนัก
ความสัมพันธ์ระหว่าง GIP และ GLP-1
หลายคนอาจจะเคยได้ยินชื่อของ GLP-1 ฮอร์โมนที่ช่วยควบคุมความหิวและความอิ่ม ซึ่งฮอร์โมน GIP นั้นมักทำงานคู่กับ GLP-1 (Glucagon-like Peptide-1) ซึ่งเป็นฮอร์โมนในกลุ่มเดียวกัน คือ กลุ่ม Incretin hormones โดยฮอร์โมนทั้ง 2 จะมีบทบาทร่วมกันในการช่วยควบคุมระดับน้ำตาล ปรับสมดุลระบบเผาผลาญ และการสะสมพลังงาน

GLP-1 และ GIP ต่างกันอย่างไร?
ฮอร์โมนจากทางเดินอาหาร (Gut Hormones) มีอยู่หลายชนิดและมีบทบาทสำคัญต่อการควบคุมความหิว ความอิ่ม การเผาผลาญพลังงาน และระดับน้ำตาลในเลือด เช่น ฮอร์โมน GLP-1 และ GIP ที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่ม Incretin hormones เป็นฮอร์โมนที่มีความแตกต่างกันแต่สามารถทำงานเสริมประสิทธิภาพกันได้อย่างลงตัว โดย GLP-1 และ GIP มีความแตกต่างกัน ดังนี้
- GLP-1 (Glucagon-like Peptide-1)
GLP-1 เป็นฮอร์โมนที่หลั่งจาก L-cell บริเวณลำไส้เล็กส่วนปลาย มีบทบาทสำคัญ คือ ส่งสัญญาณให้ร่างกายรู้สึกอิ่มไว ลดความอยากอาหาร พร้อมปรับพฤติกรรมการกินจุกจิก ทั้งยังช่วยชะลอการย่อย ลดการบีบตัวของกระเพาะอาหาร ทำให้อิ่มได้นานขึ้น และช่วยกระตุ้นการหลั่งอินซูลิน ลดการหลั่งของกลูคาคอนเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
- GIP (Glucose-dependent Insulinotropic Polypeptide)
GIP เป็นฮอร์โมนที่หลั่งจาก K-cell บริเวณลำไส้เล็กส่วนต้น มีบทบาทสำคัญ คือ ช่วยควบคุมระดับน้ำตาล กระตุ้นการหลั่งอินซูลินและกลูคากอนหลังรับประทานอาหาร ทั้งยังส่งเสริมการสะสมพลังงานและไขมันในร่างกาย ช่วยเพิ่มการสร้างมวลกระดูก ลดการสลายกระดูก และมีหน้าที่เสริมประสิทธิภาพของ GLP-1 โดยช่วยให้ระบบย่อยอาหารสมดุล ลดอาการข้างเคียง เช่น คลื่นไส้ และช่วยในเรื่องการลดน้ำหนัก GIP จึงถือเป็นฮอร์โมนสนับสนุนที่ทำให้ GLP-1 ทำงานได้ดียิ่งขึ้น
GIP ช่วยเสริมการทำงานของ GLP-1 อย่างไร
ปัจจุบัน GLP-1 ได้ถูกพัฒนามาให้เป็นเปปไทด์ที่ช่วยลดความอยากอาหาร ทำให้อิ่มได้ไว ทั้งยังช่วยลดการบีบตัวของกระเพาะอาหารทำให้อิ่มได้นานขึ้น ลดการกินจุบจิบ ทำให้กินได้น้อยลง และช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่ GLP-1 อย่างเดียวนั้นอาจจะมีผลข้างเคียง เช่น อาการคลื่นไส้ อาเจียน เวียนหัว หรือท้องเสีย และในบางคนอาจจะไม่สามารถลดน้ำหนักได้ตามเป้าหมาย
จึงมีการนำฮอร์โมน GLP เข้ามาเสริมการออกฤทธิ์ของ GLP-1 โดย GLP จะช่วยปรับสมดุลระบบย่อยอาหาร การกักเก็บและเผาผลาญไขมัน รวมถึงช่วยลดอาการผลข้างเคียงให้ดีขึ้น และยังช่วยควบคุมระดับน้ำตาลกระตุ้นการหลั่งอินซูลินและกลูคาคอน ทำให้รักษาสมดุลของระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีขึ้น ทั้งยังช่วยเสริมให้ GLP-1 ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพมากขึ้น
GIP และ GLP-1 มีประโยชน์อย่างไร?
การทำงานของ GIP และ GLP-1 จะทำงานร่วมกับทั้งกระเพาะอาหาร ตับอ่อน และสมอง โดยเมื่อทั้ง 2 ฮอร์โมนทำงานร่วมกัน จะช่วยเสริมการออกฤทธิ์ให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น และมีประโยชน์หลายด้านในร่างกาย
- ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด โดยการกระตุ้นการหลั่งอินซูลิน และการปรับสมดุลของกลูคาคอน ทำให้ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับปกติ
- ลดความอยากอาหารและการกินเกิน เมื่อรับประทานอาหาร GIP และ GLP-1 จะส่งสัญญาณไปยังสมอง เพื่อช่วยทำให้รู้สึกอิ่ม ทำให้สามารถควบคุมปริมาณพลังงานที่เข้าสู่ร่างกายได้ดีกว่า
- ช่วยลดน้ำหนักได้มากกว่าการใช้ GLP-1 เพียงอย่างเดียว เนื่องจาก GIP เป็นฮอร์โมนที่อยู่ในกลุ่มเดียวกัน จึงสามารถช่วยเสริมการออกฤทธิ์ของ GLP-1 ได้ดี และช่วยลดน้ำหนักและยังมีศักยภาพในการรักษาโรคอ้วนและโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้
- ส่งเสริมสุขภาพเมตาบอลิซึมโดยรวม GIP จะช่วยกระตุ้นการเก็บไขมันในเนื้อเยื่อไขมัน เพื่อใช้เป็นพลังงานสำรอง โดยไม่ทำให้ไขมันกระจายตัว GLP-1 จะช่วยลดความอยากอาหาร ทำให้กินได้น้อยลง จึงลดการสะสมของไขมัน และยังกระตุ้นการทำงานของระบบเผาผลาญให้สามารถเผาผลาญไขมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงโรคแทรกซ้อน เช่น เบาหวาน ความดันสูง ไขมันพอกตับ และโรคหัวใจในระยะยาว
ปัญหาของฮอร์โมนตามธรรมชาติ
แม้ว่าฮอร์โมน GLP-1 และ GIP จะมีบทบาทสำคัญต่อร่างกาย และช่วยลดความอยากอาหาร พร้อมควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้แล้วนั้น แต่ปัญหาของฮอร์โมน GLP-1 และ GIP ที่ถูกสร้างขึ้นภายในร่างกายตามธรรมชาติ จะสามารถถูกทำลายได้อย่างรวดเร็วด้วยเอนไซม์ Dipeptidyl Peptidase-4 (DPP-4) ทำให้หลั่งจาก GLP-1 และ GIP ถูกหลั่งออกมาหลังรับประทานอาหารจะมีระยะชีวิตอยู่ได้ไม่นาน และทำให้ระยะเวลาในการออกฤทธิ์ไม่นานพอที่จะใช้เป็นการรักษาโดยตรง เพื่อแก้ปัญหานี้ จึงมีการพัฒนาเปปไทด์ลดความอยากอาหารที่เลียนแบบฮอร์โมน GLP-1 และ GIP ที่ออกฤทธิ์ใกล้เคียงกับฮอร์โมนในร่างกาย ช่วยให้ผู้มีภาวะโรคอ้วน หรือผู้ที่มีโรคเบาหวานชนิดที่ 2 สามารถควบคุมระดับน้ำตาลได้ดีขึ้น พร้อมทั้งช่วยลดน้ำหนักไปในตัว
เปปไทด์ลดความอยากอาหาร GIP และ GLP-1
ปัจจุบันเทคโนโลยีทางการแพทย์สามารถพัฒนาเปปไทด์ที่ออกฤทธิ์เลียนแบบการทำงานของฮอร์โมน GIP และ GLP-1 ที่ช่วยลดความอยากอาหาร ทำให้รู้สึกอิ่มได้ไวขึ้น ทั้งยังช่วยชะลอการย่อยอาหารทำให้อิ่มได้นาน ลดการกินจุบจิบระหว่างวัน และควบคุมระดับน้ำตาล กระตุ้นการหลั่งอินซูลินและปรับสมดุลของกลูคาคอน เสริมการเผาผลาญพลังงาน และลดไขมันสะสม ซึ่งทั้ง GIP และ GLP-1 สามารถช่วยลดน้ำหนักพร้อมดูแลสุขภาพไปด้วยกัน

ทำไมการใช้ GLP-1 และ GIP ร่วมกันจึงได้ผลดีกว่า?
การใช้ GLP-1 เพียงอย่างเดียว จะสามารถเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนในด้านการลดน้ำหนัก ลดความอยากอาหารและควบคุมระดับน้ำตาล แต่ GLP-1 นั้นอาจจะมีผลข้างเคียงเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร และในบางคนอาจจะไม่สามารถลดน้ำหนักได้ตามเป้าหมาย การเพิ่ม GIP จะช่วยเสริมประสิทธิภาพการทำงานของ GLP-1 ให้สมดุลและดีมากขึ้น ดังนี้
- ลดความอยากอาหารได้ดีกว่า ช่วยเสริมการปรับสมดุลระบบย่อยอาหาร ทำให้รู้สึกอิ่มนานได้ขึ้นและลดการกินจุบจิบลง
- ควบคุมระดับน้ำตาลให้สมดุลขึ้น จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะดื้ออินซูลินหรือมีระดับน้ำตาลสูง
- ลดไขมันสะสมในร่างกาย ทำงานร่วมกับระบบย่อยอาหารและระบบเผาผลาญจึงช่วยลดการสะสมไขมันได้ดีมากขึ้น
- ลดผลข้างเคียง เช่น คลื่นไส้ อาเจียน หรือแน่นท้อง
- ลดน้ำหนักได้มากกว่าการใช้ GLP-1 อย่างเดียว เพราะ GIP จะช่วยเสริมการออกฤทธิ์ของ GLP-1
- เสริมสุขภาพในระยะยาว ลดความเสี่ยงโรคเบาหวาน ความดัน ไขมันพอกตับ และโรคหัวใจหลอดเลือด
ข้อควรระวังในการใช้เปปไทด์ลดความอยากอาหาร
เปปไทด์ลดความอยากอาหาร สามารถช่วยทำให้รู้สึกอิ่มได้ไวและนานขึ้น ทั้งยังช่วยปรับพฤติกรรมการกิน ลดการกินจุบจิบ ทานอาหารได้น้อยลง พร้อมช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และเสริมระบบเผาผลาญให้ทำงานได้ขึ้น ได้รับการรับรองว่าไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย แต่จำเป็นที่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด ไม่ควรปรับขนาดยาเอง และควรศึกษาวิธีการใช้ ผลข้างเคียงให้ละเอียด เพราะการใช้ยาไม่ถูกต้องอาจส่งผลต่อความสมดุลของระบบเผาผลาญและสุขภาพโดยรวมได้
เมื่อ GIP สูงเกินไปจะส่งผลเสียอย่างไร ?
แม้ GIP จะมีบทบาทสำคัญในการช่วยควบคุมระดับน้ำตาล กระตุ้นการหลั่งอินซูลินและกลูคาคอน พร้อมช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญ แต่หากร่างกายมีระดับ GIP ที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานจากการได้รับพลังงานที่มากเกินความต้องการ ก็อาจก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพได้เช่นกัน
- GIP สูงอาจเสี่ยงต่อภาวะดื้ออินซูลิน (Insulin resistance)
GIP จะทำการกระตุ้นการหลั่งอินซูลิน เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดที่เพิ่มขึ้นหลังรับประทานอาหาร แต่หาก GIP กระตุ้นการหลั่งอินซูลินบ่อยครั้ง จะส่งผลให้ร่างกายมีระดับอินซูลินที่สูงเรื้อรัง และทำให้เซลล์ต่าง ๆ อาจเริ่มไม่ตอบสนองต่ออินซูลิน หรือภาวะดื้ออินซูลิน (Insulin resistance) ซึ่งเป็นสาเหตุของการปัญหาสุขภาพหลายชนิด รวมถึงโรคเบาหวานชนิดที่ 2
- GIP กับโรคอ้วน (Obesity)
GIP มีบทบาทหน้าที่ในการส่งเสริมการเก็บไขมันในเนื้อเยื่อไขมัน เพื่อนำมาใช้เป็นพลังงานสำรอง แต่หากระดับ GIP สูงเกินไปก็จะยิ่งกระตุ้นให้ร่างกายเกิดการสะสมไขมันเพิ่มมากขึ้น เมื่อรวมกับการดื้ออินซูลิน จึงทำให้ระบบเผาผลาญทำงานได้ไม่เต็มที่ ไม่สามารถเผาผลาญไขมันได้หมด ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดไขมันสะสมในช่องท้อง รวมถึงไขมันสะสมตามอวัยวะต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของโรคอ้วน
โรคอ้วน (Obesity) คือ ภาวะที่ร่างกายมีการสะสมของพลังงานสำรองในปริมาณที่มาก และร่างกายไม่สามารถเผาผลาญพลังงานได้อย่างเต็มที่ ทำให้เกิดไขมันสะสมในร่างกายในปริมาณที่มากเกินกว่าความต้องการของร่างกาย เช่น ไขมันใต้ชั้นผิว ไขมันในช่องท้อง รวมถึงไขมันเส้นเลือด และโรคอ้วนสามารถกระทบต่อสุขภาพและเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคเรื้อรังที่อันตรายหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวานชนิดที่ 2 ภาวะไขมันในเลือดผิดปกติ โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคมะเร็งบางชนิด หรือภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (OSA)
- GIP ที่ไม่สมดุลอาจเสี่ยงต่อโรคเมตาบอลิก (Metabolic syndrome)
หากร่างกายมีระดับ GIP สูงเรื้อรัง ไม่ได้เป็นเพียงสาเหตุของโรคอ้วน ภาวะดื้ออินซูลิน หรือโรคเบาหวานได้ แต่การที่ระดับฮอร์โมนไม่สมดุล ยังเสี่ยงต่อการเกิดโรคในกลุ่มเมตาบอลิก (Metabolic syndrome) หรือโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบเผาผลาญของร่างกายผิดปกติ และหากร่างกายเกิดภาวะผิดปกติอื่น ๆ อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคร้ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในอนาคตได้ เช่น
- เบาหวานชนิดที่ 2
- ความดันโลหิตสูง
- ไขมันในเลือดผิดปกติ
- โรคหัวใจและหลอดเลือด
- ภาวะไขมันพอกตับ
ดังนั้น การรักษาสมดุลของ GIP จึงมีความสำคัญต่อการดูแลสุขภาพ เพราะไม่เพียงแต่สามารถช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือก และช่วยลดน้ำหนัก ยังช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคเรื้อรังที่อันตรายต่อชีวิตได้
ทำอย่างไรให้ฮอร์โมน GIP ทำงานสมดุล
GIP เป็นฮอร์โมนที่หน้าที่ในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และทำงานร่วมกับระบบเผาผลาญของร่างกาย หากฮอร์โมนเกิดเสียสมดุล อาจนำไปสู่ปัญหาเรื่องน้ำหนักและโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบเผาผลาญตามาได้ ซึ่งวิธีการดูแลสุขภาพรักษาสมดุลของ GIP ให้ฮอร์โมนทำงานได้อย่างเหมาะสม มีดังนี้
- การควบคุมอาหาร
เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายในปริมาณที่เหมาะสม ควรเลือกทานโปรตีนดีและเพิ่มไฟเบอร์จากผักและผลไม้ และหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง น้ำตาลสูง และคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว ที่อาจกระตุ้นการหลั่งอินซูลินมากเกินไป
- การพักผ่อนให้เพียงพอ
ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ประมาณวันละ 7–8 ชั่วโมง เพื่อช่วยให้ร่างกายสามารถฟื้นฟูซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ รวมถึงช่วยสร้างความสมดุลให้กับฮอร์โมนหิวและอิ่มทำงานได้
- การออกกำลังกายสม่ำเสมอ
ควรออกกำลังกายประมาณสัปดาห์ละ 3–5 วัน เพื่อช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรง และช่วยกระตุ้นการเผาผลาญพลังงาน และยังส่งผลให้ฮอร์โมน GIP ทำงานได้ดีมากขึ้น
- การจัดการความเครียด
วิธีจัดการความเครียดสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การทำสมาธิ โยคะ ซึ่งจะช่วยทำให้ร่างกายผ่อนคลายและลดการหลั่งของฮอร์โมนคอร์ติซอล เพราะความเครียดเรื้อรังอาจทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อการสะสมของไขมันที่เพิ่มขึ้น และทำให้ฮอร์โมนจากทางเดินอาหารขาดสมดุล
การดูแลสุขภาพจะช่วยทำให้ฮอร์โมนจากทางเดินอาหารอย่าง GIP และ GLP-1 มีความสมดุลและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะส่งผลดีต่อสุขภาพร่างกายโดยรวม รวมถึงช่วยในเรื่องการลดน้ำหนักได้ดีขึ้น

5 แนวทางลดน้ำหนักให้สุขภาพดี ไม่โยโย่
- ปรับโภชนาการให้สมดุล
การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และได้สารอาหารที่ครบถ้วน สามารถช่วยลดน้ำหนักและดูแลสุขภาพจากภายในได้ ควรเลือกทานอาหารที่มีโปรตีนสูง ไขมันดี ผัก ผลไม้น้ำตาลต่ำ และคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เพื่อช่วยให้สุขภาพแข็งแรง และควรหลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป ของทอด และน้ำหวานที่ทำให้น้ำตาลในเลือดพุ่งเร็ว
- ควบคุมปรับมาณอาหาร
หากต้องการลดน้ำหนักได้อย่างยั่งยืน ไม่โยโย่ ไม่ควรอดอาหาร แต่ควรควบคุมพลังงานของอาหารให้เพียงพอ โดยการเลือกทานอาหารในปริมาณที่พอดีต่อความต้องการพลังงานต่อวัน ไม่กินอาหารมากเกินไปหรือน้อยเกินไป และดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอวันละ 6–8 แก้ว เพื่อช่วยให้ระบบเผาผลาญทำงานได้ดี
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
การออกกำลังกาย สามารถช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรง ทั้งยังเป็นการเผาผลาญพลังงานได้เป็นอย่างดี ซึ่งการออกกำลังกายสามารถทำได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็น การคาร์ดิโอ เช่น เดินเร็ว วิ่ง ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน หรือการเวทเทรนนิ่ง ควรออกกำลังกายให้ต่อเนื่องอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์
- ดูแลสุขภาพการนอนและความเครียด
การพักผ่อนน้อยและความเครียดสูง เป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลต่อน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากฮอร์โมนความหิวและฮอร์โมนความเครียดในร่างกายไม่สมดุล และทำให้ร่างกายสะสมไขมันเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น ควรนอนหลับให้พออย่างน้อย 7–8 ชั่วโมงต่อคืน และหากิจกรรมผ่อนคลายทำเพื่อลดความเครียดลง
- ปรึกษาแพทย์ในการควบคุมน้ำหนัก
สำหรับผู้ที่มีปัญหาลดน้ำหนักได้ยากแม้จะออกกำลังกาย หรือคุมอาหารอย่างดีแล้ว แต่น้ำหนักและสัดส่วนก็ไม่เปลี่ยนแปลงหรือลดได้น้อย การดูแลสุขภาพจากภายในโดยการใช้ตัวช่วยอย่าง เปปไทด์ลดความอยากอาหารที่เลียนแบบการทำงานของฮอร์โมน GIP และ GLP-1 ควบคู่กับการออกกำลังกายและการควบคุมอาหารจะช่วยเสริมประสิทธิภาพในการลดน้ำหนักได้ดี และยังช่วยดูแลสุขภาพโดยรวมได้
GIP เป็นอีกหนึ่งฮอร์โมนทางเดินอาหารที่น่าสนใจ สามารถช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ลดความอยากอาหาร ทำงานร่วมกับระบบเผาผลาญ ที่นอกจากจะช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด สุขภาพโดยรวมแล้วยังช่วยลดน้ำหนักได้ ทำให้ GIP ถูกนำมาพัฒนาเพื่อช่วยเสริมการทำงานของฮอร์โมน GLP-1 ในเปปไทด์ลดความอยากอาหาร สำหรับผู้ที่ต้องการดูแลรูปร่าง

