ฉีดโบปลอม เสี่ยงหน้าพัง เสียโฉมตลอดชีวิต

ฉีดโบปลอม

ฉีดโบปลอม เสี่ยงหน้าพัง เสียโฉมตลอดชีวิต

อันตราย! เมื่อภัยร้ายมักซ่อนอยู่ในขวดโบปลอม สืบเนื่องจากมีผู้เสียหายจำนวนมาก ตกเป็นเหยื่อของคลินิกเถื่อน ที่นำเข้าโบปลอมแบบผิดกฎหมาย แล้วนำมาฉีดให้แก่ผู้รับบริการ ส่งผลให้เกิดผลข้างเคียงต่อใบหน้า ไม่ว่าจะเป็น กล้ามเนื้ออ่อนแรง ใบหน้าเบี้ยว เกิดการติดเชื้อ และอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ ซึ่งจะเห็นได้เลยว่า ในปัจจุบันมีเหตุการณ์ในลักษณะนี้ ออกมาให้เห็นอยู่เป็นประจำ สะท้อนให้เห็นถึง ความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังความสวยของใครหลาย ๆ คน ดังนั้น การเลือกใช้บริการในคลินิกที่ไม่ได้มาตรฐาน อาจนำมาซึ่งอันตรายร้ายแรงไม่รู้จบ ผู้รับบริการควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจ เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพที่สุด

 

ระวัง! พิษจากโบปลอม อันตรายกว่าที่คิด

ฉีดโบปลอม

ทำไมการฉีดโบถึงได้รับความนิยม

การฉีดโบ เป็นสารสกัดที่ได้จากแบคทีเรียชนิดหนึ่ง เมื่อนำมาใช้ทางการแพทย์ จะออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท ช่วยลดการทำงานของกล้ามเนื้อ ในบริเวณที่ฉีดเข้าไป ทำให้กล้ามเนื้อเกิดการคลายตัว ลดขนาดกล้ามเนื้อกรามได้อย่างตรงจุด ริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงสีหน้าลดเลือนลง เช่น ริ้วรอยระหว่างคิ้ว ริ้วรอยหางตา และริ้วรอยบริเวณหน้าผาก พร้อมปรับรูปหน้า ทำให้ใบหน้าเรียวเล็ก มีความเรียบเนียน และดูอ่อนเยาว์อีกด้วย ซึ่งการฉีดโบจะให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ มีความปลอดภัย และสามารถคงอยู่ได้นานหลายเดือน 

 

ฉีดโบปลอม คืออะไร?

โบปลอม คือ ผลิตภัณฑ์ที่ถูกออกแบบขึ้นมา เพื่อเลียนแบบโบแท้ โดยใช้ตัวยาที่ไม่มีคุณภาพ ไม่เป็นไปตามมาตรฐานตามที่ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กำหนด อาจมีการปนเปื้อนของเชื้อโรคหรือสารอื่น ๆ ซึ่งส่งผลกระทบให้เกิดผลข้างเคียงรุนแรงต่อใบหน้า เช่น กล้ามเนื้ออ่อนแรง ใบหน้าเบี้ยว หรือเกิดอาการแทรกซ้อนอื่น ๆ ได้ โดยโบปลอมส่วนมาก มักจะพบได้ในคลินิกเถื่อน คลินิกที่ไม่มีความน่าเชื่อถือ หรือบางรายอาจเห็นแก่ราคาถูก เลือกฉีดโบกับหมอกระเป๋า ซึ่งผู้ที่ฉีดมักไม่ใช่แพทย์ที่มีความชำนาญโดยตรง ดังนั้น จึงไม่สามารถทราบได้เลยว่า สารที่นำมาฉีดคืออะไร มีความเสี่ยงสูงมากที่จะเป็นโบปลอมหรือโบหิ้วที่ไม่ได้มาตรฐาน

ผลกระทบจากการฉีดโบปลอม

การฉีดโบปลอม มีความอันตรายอย่างมาก เนื่องจากโบปลอม ใช้ตัวยาที่ไม่บริสุทธิ์ มีสารปนเปื้อนที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ซึ่งอาจนำไปสู่ผลข้างเคียงที่ร้ายแรงได้มากมาย เช่น

  • ฉีดโบปลอมแล้วไม่เห็นผล เนื่องจากโบปลอมไม่มีประสิทธิภาพพอ ในการลดเลือนริ้วรอย หรือลดขนาดกล้ามเนื้อกราม ทำให้ผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง
  • หนังตาตก ใบหน้าเบี้ยว เนื่องจากตัวยาของโบปลอม กระจายไปโดนกล้ามเนื้อมัดอื่น ๆ ส่งผลให้เกิดอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง หนังตาตก หรือใบหน้าบิดเบี้ยวได้
  • เกิดการติดเชื้อ เนื่องจากตัวยาของโบปลอม ไม่มีความบริสุทธิ์เพียงพอ เป็นสารที่ไม่ได้รับการรองรับทางการแพทย์ อาจมีการปนเปื้อนของเชื้อโรค ส่งผลให้เกิดอาการแพ้หรือติดเชื้อ ทำให้ผิวหนังแดง บวม คัน หรือหายใจลำบากได้
  • เสี่ยงภาวะดื้อโบ เนื่องจากตัวยาของโบปลอม อาจมีสิ่งแปลกปลอมหรือสารปนเปื้อนผสมอยู่ เมื่อฉีดเข้าสู่ผิวหน้า ร่างกายจึงสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาต่อต้าน ทำให้การฉีดโบในครั้งต่อ ๆ ไปไม่เห็นผล แม้จะฉีดหลายครั้งก็ตาม

วิธีป้องกัน ไม่ให้ตกเป็นเหยื่อ จากการฉีดโบปลอม

  • เลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน มีใบอนุญาตประกอบกิจการอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ภายในคลินิกมีความสะอาด อุปกรณ์ปลอดเชื้อ และมีรีวิวจากผู้ใช้บริการจริง เพื่อตรวจสอบความน่าเชื่อถือของคลินิก
  • แพทย์ที่มีความรู้และความชำนาญ มีใบประกอบวิชาชีพอย่างถูกต้อง โดยสามารถนำชื่อและนามสกุลของแพทย์ เข้าไปตรวจสอบในเว็บไซต์ของแพทยสภาได้ เพื่อตรวจเช็กว่า แพทย์ที่ทำการฉีดโบเป็นแพทย์จริงหรือไม่
  • เลือกโบแท้ ยี่ห้อที่ได้รับการรับรองจาก อย. เท่านั้น สามารถขอตรวจสอบโบก่อนฉีดได้ โดยให้แพทย์แกะกล่อง เปิดขวด และผสมตัวยาให้ดูต่อหน้า หากเป็นคลินิกที่ใช้โบแท้ จะยินดีให้ผู้รับบริการตรวจสอบได้อย่างแน่นอน
  • ราคาไม่ถูกจนเกินไป เนื่องจากหากมีราคาถูกเกินจริงจนน่าสงสัย อาจเป็นสัญญาณได้ว่า โบที่ใช้คือโบปลอม ที่ไม่ได้มาตรฐาน มีการผสมสารปนเปื้อนที่อันตรายต่อร่างกาย
  • หมั่นสังเกตอาการหลังฉีดโบ เมื่อฉีดโบไปแล้ว ควรสังเกตอาการผิดปกติของตัวเองอย่างสม่ำเสมอ เช่น บวม แดง ปวด หรือกล้ามเนื้อเริ่มอ่อนแรง หากพบอาการผิดปกติเมื่อไหร่ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที

 

เลือกฉีดโบทั้งที เลือก รมย์รวินท์คลินิก

เพื่อให้การฉีดโบเป็นไปอย่างปลอดภัย มั่นใจในผลลัพธ์ ไม่ต้องเสี่ยงเจอโบปลอม สามารถเข้ามาปรึกษากับแพทย์ผู้ชำนาญการได้แล้ววันนี้ ที่ รมย์รวินท์คลินิก ทุกสาขา เราใส่ใจทุกรายละเอียดและขั้นตอนในการรักษา ด้วยทีมแพทย์ที่มีความชำนาญการ สามารถประเมินผิวหน้า พร้อมวางแผนการรักษาที่เหมาะสม มีโปรแกรมฉีดโบให้เลือกหลากหลายยี่ห้อ ซึ่งทุกยี่ห้อได้รับการรับรองจาก อย. ไทย ทั้งสิ้น อย่าไปหลงเชื่อกับโปรโมชันราคาถูก ในคลินิกที่ไม่ได้มาตรฐาน ที่ รมย์รวินท์คลินิก เราพร้อมให้คำแนะนำในการเลือกยี่ห้อและปริมาณโบที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการของแต่ละบุคคล เพื่อผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพและน่าพึงพอใจ  บอกลาริ้วรอย กรามใหญ่ หน้าไม่เรียวเล็กได้ทันที

ช็อก! IPL เลเซอร์หน้าใส ทำผิวไหม้เกรียมทั้งหน้า

IPL Laser

ช็อก! IPL เลเซอร์หน้าใส ทำผิวไหม้เกรียมทั้งหน้า

เกิดเหตุการณ์สุดสะเทือนใจขึ้น เมื่อผู้เสียหายรายหนึ่ง ออกมาเปิดใจเล่าว่า หลังไปทำ IPL เลเซอร์หน้าใสที่คลินิกแห่งหนึ่ง ผิวหน้าเริ่มมีอาการแดงและบวมอย่างรุนแรง จนกลายเป็นรอยแผลไหม้ เหมือนเอาเตารีดมานาบหน้า โดยผู้เสียหายเปิดเผยเพิ่มเติมว่า ผู้ที่ทำหัตถการ IPL เลเซอร์หน้าใสให้ เป็นเพียงพนักงานทั่วไป ไม่ใช่แพทย์ผู้ชำนาญการแต่อย่างใด ในขณะที่ทำ IPL เลเซอร์หน้าใสอยู่ รู้สึกแสบร้อนไปทั่วใบหน้า เมื่อทำเสร็จความร้อนก็ยังไม่หาย ส่งผลให้ใบหน้าที่เคยดูดี กลายเป็นแผลไหม้ จนรู้สึกทรมานในการใช้ชีวิตประจำวันอย่างมาก จะออกไปทำงานหรือออกไปไหนก็รู้สึกไม่มั่นใจ 

ดังนั้น อยากให้เหตุการณ์นี้ เป็นเหตุการณ์ตัวอย่างที่เตือนภัยสำหรับสาว ๆ ที่กำลังใช้บริการคลินิกเสริมความงามอยู่ ควรศึกษาหาข้อมูลก่อนตัดสินใจ เลือกคลินิกที่มีความน่าเชื่อถือ สอบถามคลินิกก่อนเข้ารับบริการว่า ใครเป็นผู้ทำหัตถการให้ หากเป็นพนักงานทั่วไป ที่ไม่ใช่แพทย์ผู้ชำนาญการ ควรหลีกเลี่ยงทันที เพื่อป้องกันเหตุการณ์ในลักษณะนี้ซ้ำรอย

 

บทเรียนราคาแพง! ผิวไหม้เกรียม หลังทำ IPL เลเซอร์หน้าใส กับผู้ที่ไม่ใช่แพทย์

IPL Laser

IPL เลเซอร์คืออะไร?

IPL เลเซอร์ หรือ Intense Pulse Light เป็นเทคโนโลยีคลื่นแสงที่มีความเข้มข้นสูง ซึ่ง IPL เลเซอร์ จะปล่อยแสงที่มีความยาวคลื่นที่หลากหลายออกมา มีความยาวคลื่นตั้งแต่ 420 – 1,200 nm (นาโนเมตร) ทำให้คลื่นแสงเหล่านี้ ไปทำปฏิกิริยากับเม็ดสีเมลานินในชั้นผิว ส่งผลให้เม็ดสีเมลานินแตกตัวและสลายไป โดยสามารถปรับเปลี่ยนความยาวคลื่นได้ตามปัญหาผิวที่ต้องการรักษา ทำให้ IPL เลเซอร์สามารถแก้ไขปัญหาผิวได้อย่างหลากหลาย ตั้งแต่การลดเลือนรอยดำ รอยแดง ฝ้า กระ ไปจนถึงการกระชับรูขุมขน และลดริ้วรอย นอกจากนี้ IPL เลเซอร์ ยังสามารถใช้ในการกำจัดขนในบริเวณต่าง ๆ ได้อีกด้วย ทำให้ IPL เลเซอร์ เป็นเทคโนโลยีที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางในวงการความงาม

 

IPL เลเซอร์ ช่วยเรื่องอะไร?

เนื่องจาก IPL เลเซอร์ มีความยาวคลื่นที่หลากหลาย ทำให้สามารถแก้ปัญหาผิวได้อย่างครอบคลุม ดังนี้

  • IPL เลเซอร์ ช่วยลดเลือนรอยดำ รอยแดง จากสิว 
  • IPL เลเซอร์ ช่วยลดเลือนฝ้า กระ หรือจุดด่างดำต่าง ๆ
  • IPL เลเซอร์ ช่วยกระชับรูขุมขน ทำให้ผิวเรียบเนียน
  • IPL เลเซอร์ ช่วยลดริ้วรอยตื้น ๆ ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์
  • IPL เลเซอร์ ช่วยปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ ทำให้ผิวดูขาวกระจ่างใสขึ้น
  • IPL เลเซอร์ ช่วยลดการอักเสบของผิว ช่วยลดปัญหาสิวและผิวแพ้ง่าย
  • IPL เลเซอร์ ช่วยกำจัดขน สามารถใช้กำจัดขนได้หลายบริเวณ เช่น ขนรักแร้ ขนขา หรือขนแขน

 

อาการที่พบบ่อยหลังทำ IPL เลเซอร์ 

  • ผิวแดง เป็นอาการที่พบได้บ่อยที่สุด หลังทำ IPL เลเซอร์ โดยในบริเวณที่ทำอาจมีอาการแดงเกิดขึ้น ซึ่งจะค่อย ๆ จางหายไป ภายใน 1 – 2 วัน
  • รู้สึกแสบร้อน หลังทำ IPL อาจเกิดอาการแสบร้อนเล็กน้อยบริเวณในบริเวณที่ทำ และซึ่งจะหายไปเองภายในไม่กี่ชั่วโมง
  • บวม ในบางเคสอาจมีอาการบวมเล็กน้อยบริเวณที่ทำ ซึ่งจะหายไปเองภายใน 1 – 2 วัน
  • คัน อาการคันหลังทำ IPL สามารถอาจเกิดขึ้นได้บ้าง โดยเฉพาะในผู้ที่มีผิวบอบบาง
  • ผิวแห้ง หลังทำ IPL ผิวอาจรู้สึกแห้งตึงในบริเวณที่ทำ แนะนำให้ทาครีมบำรุงผิว เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น

 

ผลข้างเคียงอันตรายจากการทำ IPL เลเซอร์

อาการที่เกิดขึ้นจากการทำ IPL เลเซอร์ ส่วนใหญ่จะไม่รุนแรงและหายไปเองได้ภายในระยะเวลาหนึ่ง แต่ก็มีโอกาสเกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงได้เช่นกัน หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง หรือทำ IPL เลเซอร์ในคลินิกที่ไม่ได้มาตรฐาน ได้แก่

  • การติดเชื้อ หากเครื่องมือที่ใช้ไม่มีความสะอาด หรือการทำความสะอาดผิวไม่ดีพอ อาจทำให้เกิดการติดเชื้อได้
  • รอยแผลไหม้ หากใช้พลังงานความยาวคลื่นสูงเกินไป อาจทำให้รอยแผลไหม้ เกิดแผลพุพอง และต้องใช้เวลานานกว่าจะรักษาให้หาย
  • รอยแผลเป็น ในบางเคสอาจเกิดรอยแผลเป็นนูน หรือรอยแผลเป็นบุ๋ม จนไม่สามารถรักษาให้หายได้
  • ผิวเปลี่ยนสี ในบริเวณที่ทำ ผิวอาจเปลี่ยนสีเป็นเข้มขึ้นหรือซีดลงอย่างถาวร
  • เกิดตุ่มน้ำใส ในบางเคสอาจเกิดตุ่มน้ำใสขึ้น ในบริเวณที่ทำการรักษา
  • เกิดภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ เช่น ผิวหนังอักเสบอย่างรุนแรง 

 

ปัจจัยที่ทำให้เกิดผลข้างเคียงอันตราย จากการทำ IPL เลเซอร์

  • คลินิกที่ไม่ได้มาตรฐาน มีเครื่องมือที่ไม่ได้รับการดูแลรักษาอย่างดี หรือไม่มีการฆ่าเชื้ออย่างถูกต้อง ทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อได้
  • ผู้ที่ทำหัตถการไม่ใช่แพทย์ เนื่องจากผู้ที่ทำหัตถการต้องมีความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับเครื่อง IPL เลเซอร์ และสภาพผิวของผู้รับบริการเป็นอย่างดี หากผู้ที่ทำไม่ใช่แพทย์ อาจมีการตั้งค่าพลังงานที่ไม่เหมาะสมหรือเทคนิคในการทำไม่ถูกต้อง ทำให้เกิดผลข้างเคียงรุนแรงได้
  • ตั้งค่าพลังงานสูงเกินไป เนื่องจากการตั้งค่าพลังงานที่ไม่เหมาะสมกับปัญหา หรือบริเวณที่ทำการรักษา เช่น ตั้งค่าพลังงานสูงในบริเวณที่มีผิวบาง อาจทำให้เซลล์ผิวถูกทำลาย และเกิดการอักเสบอย่างรุนแรง จนส่งผลให้เกิด รอยไหม้ แผลพุพอง และรอยแผลเป็นได้
  • เทคนิคการทำไม่ถูกต้อง เช่น การยิงเลเซอร์ซ้ำซ้อนในบริเวณเดียวกัน อาจทำให้เกิดความร้อนสะสม และทำลายผิวได้ 
  • เครื่องมือไม่ได้รับการบำรุงรักษา หรือมีอายุการใช้งานนาน ปล่อยพลังงานคลื่นแสงออกมาไม่สม่ำเสมอ อาจทำให้เกิดแสงเลเซอร์ที่ไม่เสถียรและก่อให้เกิดอันตรายได้

เลเซอร์หน้าใสอย่างปลอดภัย ที่ รมย์รวินท์คลินิก

  • รมย์รวินท์คลินิก เป็นคลินิกความงามชั้นนำ ที่ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้ามาอย่างยาวนาน ด้วยประสบการณ์และความชำนาญในด้านการดูแลผิวพรรณ ทำให้รมย์รวินท์คลินิกเป็นที่รู้จักในด้านการให้บริการ เครื่องมือและอุปกรณ์ที่มีคุณภาพ ปลอดภัย ให้ผลลัพธ์ที่พึงพอใจ
  • ที่รมย์รวินท์คลินิก เรามีทีมแพทย์ที่มีความรู้ความชำนาญ ด้านการเลเซอร์ผิวหนังโดยเฉพาะ สามารถให้การดูแลอย่างใกล้ชิด ตั้งแต่ขั้นตอนการปรึกษา ให้คำแนะนำ พร้อมวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับสภาพผิว ไปจนถึง ทำหัตถการเลเซอร์โดยแพทย์ผู้ชำนาญ เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
  • ที่รมย์รวินท์คลินิก มีเทคโนโลยีเลเซอร์ที่หลากหลาย มีความทันสมัย มีการอัปเดตเทคโนโลยีใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลา จึงสามารถตอบโจทย์ทุกปัญหาผิวของแต่ละบุคคล ได้อย่างตรงจุด ไม่ว่าจะเป็น สิว ฝ้า กระ หรือจุดด่างดำต่าง ๆ  
  • ที่รมย์รวินท์คลินิก มีมาตรฐานความปลอดภัยสูง ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของผู้รับบริการเป็นอันดับหนึ่ง มีการควบคุมคุณภาพในการให้บริการ พร้อมฆ่าเชื้อและทำความสะอาดอุปกรณ์อย่างเข้มงวด เพื่อให้ผู้บริการมั่นใจในความปลอดภัย
  • ที่รมย์รวินท์คลินิก มีรีวิว Feedback จากผู้ใช้บริการจริงในด้านที่ดี โดยมีการบอกเล่าถึงความพึงพอใจและความประทับใจหลังจากเข้ารับบริการ อีกทั้ง ยังมีภาพ Before & After ผลการรักษาจริงจากผู้ใช้บริการให้ชมอีกด้วย

 

สำหรับใครที่สนใจอยากเลเซอร์หน้าใสแบบปลอดภัย ไม่ต้องกลัวเป็นรอยแผลไหม้ทั่วหน้า สามารถเข้ามาสัมผัสประสบการณ์การดูแลผิวหน้าได้แล้ววันนี้ ที่ รมย์รวินท์คลินิก ทุกสาขา เราพร้อมดูแลคุณ ด้วยการให้บริการที่ครอบคลุมทุกปัญหาผิว เพื่อให้คุณมีผิวสวยใส มั่นใจในทุก ๆ วัน 

APT.3 โปรแกรมลับ ฉบับ รมย์รวินท์คลินิก

APT.

APT. 3 โปรแกรมลับ ฉบับ รมย์รวินท์คลินิก

 

อาพาทึ อาพาทึ อาพาทึ … นาทีนี้ คงไม่มีใครไม่รู้จักเพลง “APT.” เพลงสุดฮิตที่ทำลายสถิติระดับโลกของ โรเซ่ (ROSE) และบรูโน่ มาส์ (Bruno Mars) ซึ่งกลายเป็นกระแสไวรัล ดังพลุแตกไปทั่วโลก เชื่อว่ามีหลายคนไม่น้อย ที่เกิดความสงสัยว่า คำว่า APT. แปลว่าอะไร? มีที่มาจากไหน? ซึ่งคำว่า APT,  ในภาษาเกาหลี แปลว่า อะพาร์ตเมนต์ มาจากเกมยอดนิยมของคนในเกาหลีใต้ ที่มักเล่นกันในวงปาร์ตี้ พร้อมด้วยเนื้อร้องและทำนองที่สุดแสนจะติดหู จนหลายคนอดใจไม่ไหว ต้องลุกออกมาโชว์สเตปแดนซ์กันสนั่นโซเชียล ไม่ว่าใครก็ต้องโยกตาม กลายเป็นปรากฏการณ์ระดับโลกที่น่าจับตามองสุด ๆ 

 

นอกจาก MV และทำนองของ APT. ที่ติดหูแล้ว ความสวย ผิวดี ออร่าจับของโรเซ่ก็สร้างเรื่องสุด ๆ เป็นอีกหนึ่งไฮไลต์ที่ขโมยซีนไปเต็ม ๆ ทำให้ MV เพลงนี้ปังยิ่งกว่าปัง! รวมถึง ยังจุดกระแสให้สาว ๆ หันมาให้ความสนใจในการดูแลผิวหน้ามากขึ้นอีกด้วย

 

วันนี้ เราขอแนะนำให้รู้จักกับ 3 โปรแกรมลับ APT. ฉบับ รมย์รวินท์คลินิก ที่ไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อน รวบรวมมาให้แล้วที่นี่ที่แรก เพื่อตอบโจทย์ทุกปัญหาผิวอย่างครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็นสิว ฝ้า กระ จุดด่างดำ หรือผิวหย่อนคล้อย โปรแกรมนี้มีทางออก! สำหรับใครที่อยากรู้ว่าโปรแกรมลับนี้คืออะไร? มีหัตถการอะไรบ้าง? บทความนี้ จะพาคุณไปเจาะลึกกับ APT. โปรแกรม เพื่อเตรียมผิวสวย ก่อนออกไปปาร์ตี้อย่างมั่นใจแบบไม่มีสะดุด

 

เผยเคล็ดลับ โปรแกรม APT. เฉพาะที่ รมย์รวินท์คลินิก

APT

APT. โปรแกรมลับ อัพหน้าสวย มีหัตถการอะไรบ้าง?

A : AviClear โปรแกรมเคลียร์สิว ผิวสวย

  • AviClear เทคโนโลยีเลเซอร์รักษาสิวตัวใหม่ ที่มีความยาวคลื่นระดับ 1726 nm (นาโนเมตร) ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อแก้ปัญหาสิวโดยเฉพาะ มีความแม่นยำสูง รักษาสิวได้ทุกระยะ ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ระยะปานกลาง ไปจนถึงระยะรุนแรง สามารถเล็งเป้าหมายไปยังต่อมไขมันใต้ชั้นผิว (Sebaceous glands) ที่ผลิตน้ำมันส่วนเกินได้โดยตรง ซึ่งเป็นต้นเหตุสำคัญของการเกิดสิว ทำให้ลดการอุดตันในรูขุมขน ส่งผลให้สิวลดลงอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังมีระบบทำความเย็น หรือ AviCool ที่ช่วยปกป้องผิวชั้นนอก ไม่ให้เกิดอาการผิวไหม้ ผิวเบิร์นขณะทำ ลบภาพจำวิธีการรักษาสิวแบบเดิม ๆ ให้หมดไปได้เลย
  • เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาสิวทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นสิวอุดตัน สิวอักเสบ หรือสิวหัวหนอง รวมถึง ผู้ที่ผ่านการรักษาสิวมาหลายวิธีแต่ไม่เห็นผล
  • ผลลัพธ์ที่ได้หลังทำ AviClear คือ ช่วยลดการเกิดสิวระยะยาวถึง 2 – 3 ปี พร้อมหยุดสาเหตุการเกิดสิวซ้ำซากตั้งแต่ต้นตอ ทำให้ผิวเรียบเนียนอย่างเป็นธรรมชาติ

P : Pico Majesty Laser โปรแกรมเคลียร์ฝ้า หน้าใส

  • Pico Majesty Laser เทคโนโลยีเลเซอร์ตัวแรกของโลก ที่สามารถปล่อยพลังงานความเร็วสูงถึง 250 Picosecond ถือเป็นหน่วยที่สั้นเมื่อเทียบกับ Pico Laser ทั่วไป มีจุดเด่นเรื่องความยาวคลื่นที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นคลื่น 1064, 532, 595 และ 660 nm (นาโนเมตร) พร้อมด้วยหัวเลเซอร์ 7 แบบ ที่ตอบโจทย์ปัญหาผิวที่แตกต่างกันได้อย่างตรงจุด โดยจะปล่อยพลังงานเลเซอร์ไปยังบริเวณที่ต้องการแก้ไข สามารถกำจัดเม็ดสีผิวที่ผิดปกติได้โดยตรง ไม่ทำให้ผิวบริเวณรอบ ๆ เสียหายและถูกทำลาย 
  • เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาฝ้า กระ จุดด่างดำ มีปัญหารอยแดง รอยดำที่เกิดจากสิว รวมถึง ผู้ที่ต้องการลบรอยสักทุกโทนสี
  • ผลลัพธ์ที่ได้หลังทำ Pico Majesty Laser คือ ช่วยลดฝ้า กระ จุดด่างดำ และช่วยกระชับรูขุมขน แก้ไขปัญหาหลุมสิว ผิวไม่เรียบเนียนได้เป็นอย่างดี พร้อมลบรอยปาน ขี้แมลงวัน รวมถึงรอยสักได้อย่างมีประสิทธิภาพ

T : Thermage FLX โปรแกรมยกหน้า บอกลาเหนียง

  • Thermage FLX เทคโนโลยียกกระชับผิว พร้อมกระตุ้นคอลลาเจน โดยใช้พลังงานความร้อน คลื่นวิทยุที่มีความถี่สูงแบบขั้วเดียว (Monopolar RF) ซึ่งพลังงาน RF จะถูกยิงลงไปตั้งแต่ชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) ผ่านชั้นผิวหนังแท้ (Dermis) ลงลึกไปจนถึงชั้นไขมันใต้ผิวหนัง (Subcutaneous Fat) สามารถแก้ไขปัญหาผิวในแต่ละชั้นได้อย่างตรงจุด ซึ่งความร้อนที่ถูกส่งเข้าไปจะแยกโมเลกุลน้ำออกจากเส้นใยคอลลาเจน ทำให้คอลลาเจนและอีลาสตินเดิมที่เสื่อมสภาพเกิดการหดตัว พร้อมกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินขึ้นมาใหม่ นอกจากนี้ ยังมีเทคโนโลยี AccuREP สามารถปรับพลังงานได้ตามความเหมาะสมกับสภาพผิว มีความแม่นยำแบบ Real Time รวมถึง มีระบบทำความเย็น Cooling Effect ที่ช่วยลดความร้อน ป้องกันผิวไหม้ ผิวเบิร์นขณะทำอีกด้วย 
  • เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับ ปรับรูปหน้า มีปัญหาริ้วรอย ผิวหย่อนคล้อย ไม่กระชับที่เกิดขึ้นตามอายุ รวมถึง ผู้ที่มีไขมันสะสมบริเวณแก้ม คาง และเหนียง
  • ผลลัพธ์ที่ได้หลังทำ Thermage FLX คือ ช่วยให้ผิวเฟิร์มกระชับ ลดริ้วรอย และความหย่อนคล้อย ทำให้ผิวแน่นฟู รูขุมขนกระชับ พร้อมลดไขมันสะสม ทำให้ใบหน้าเรียวเล็ก กรอบหน้าชัดอีกด้วย

 

จะเห็นได้ชัดเลยว่า ไม่ว่าคุณจะมีปัญหาผิวแบบไหน 3 โปรแกรม APT : AviClear, Pico Majesty Laser และ Thermage FLX สามารถแก้ไขปัญหาผิวของคุณได้อย่างครอบคลุม ตั้งแต่สิว ฝ้า ไปจนถึงยกกระชับผิวหน้า ด้วยเทคโนโลยีที่มีความทันสมัยและประสบการณ์ของทีมแพทย์ของ รมย์รวินท์คลินิก ที่จะช่วยยกระดับใบหน้าของคุณให้ดูดีแบบไร้ที่ติ ผิวสวยใสในทุกมุมมอง

อย่านอนกรน หยุดเสียงลี้ลับ มิติใหม่ที่ตามหลอกหลอนทุกครั้งที่หลับตา 

อย่านอนกรน

อย่านอนกรน เสียงลี้ลับมิติใหม่ที่ตามหลอกหลอนทุกครั้งที่หลับตา 

 

มิติใหม่แห่งความลึกลับ ที่มาพร้อมกับเสียงกรนสนั่นในยามค่ำคืน บ้านอาจไม่ใช่สถานที่ที่ควรกลับอีกต่อไป เมื่อสามีกรนหนัก เสียงดังกึกก้องราวกับรถไฟ คืนแล้วคืนเล่าเสียงกรนก็ยังคงดังก้องกังวานไปทั่วบ้าน จนกลายเป็นปริศนาที่ค่อย ๆ ขยายวงกว้างในครอบครัว ภรรยาและลูกต่างพากันหวาดผวา ที่ต้องเผชิญกับเสียงกรนสุดแสนประหลาด ที่หาคำอธิบายไม่ได้ในบ้านหลังนี้ เชื่อว่า เสียงกรนที่เกิดขึ้นต้องมีความลึกลับซ่อนอยู่เบื้องหลังอย่างแน่นอน ซึ่งภรรยาก็พยายามทำทุกวิถีทาง เพื่อสยบเสียงกรนของสามี แต่เสียงกรนเหล่านี้ยังคงทวีคูณขึ้นเรื่อย ๆ ไม่เปลี่ยนแปลง ความผิดปกติของเสียงกรนที่เกิดขึ้น ไม่เพียงแต่รบกวนการนอนหลับของคนรอบข้าง แต่ยังนำพาความวิตกกังวลและความหวาดกลัว มาสู่ทุกคนในครอบครัวอีกด้วย

เสียงกรน จึงได้กลายเป็นปมปริศนาสุดท้าทายที่ยากจะคลี่คลาย ทำให้ทุกคนในบ้านต้องร่วมกันไขปริศนาสุดลึกลับนี้ให้ได้! เพื่อหยุดเสียงกรนอันน่าสะพรึงกลัว โดยทุกคนต่างพากันตั้งคำถามว่า อะไรคือสาเหตุที่แท้จริงของเสียงกรนนี้? จะทำอย่างไรดีให้คืนนี้หลับอย่างสงบสุข? แล้วมีวิธีไหนที่จะช่วยหยุดยั้งเสียงกรนนี้ได้บ้าง? บทความนี้ไขข้อสงสัยมาให้แล้วค่ะ

 

เปิดเบาะแสลี้ลับกับ “อย่านอนกรน” ได้ที่ รมย์รวินท์คลินิก

อย่านอนกรน

นอนกรน คืออะไร?

อาการนอนกรน คือ ภาวะที่มีเสียงดังเกิดขึ้นขณะนอนหลับ เกิดจากการที่กล้ามเนื้อบริเวณคอและเพดานอ่อนหย่อนตัวลงขณะหลับ ทำให้ทางเดินหายใจตีบแคบลง จนลมหายใจที่ผ่านเข้าออก ไปกระทบกับเนื้อเยื่อบริเวณคอ เช่น ลิ้นไก่ และเพดานอ่อน ทำให้เกิดการสั่นสะเทือนและส่งเสียงดังขึ้น โดยอาการนอนกรนสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย ซึ่งผู้ชายมีแนวโน้มที่จะนอนกรนมากกว่าผู้หญิง ทั้งนี้ นอกจากอาการนอนกรน จะเป็นอาการที่รบกวนการนอนหลับของตัวเราเองและคนรอบข้างแล้ว อาการนอนกรนยังเป็นสัญญาณเตือน บ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพที่ซ่อนอยู่ หากปล่อยปะละเลย อาการนอนกรนอาจนำไปสู่ภาวะที่ร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้

นอนกรน มีสาเหตุมาจากอะไร?

อาการนอนกรน สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ซึ่งแต่ละคนก็มีสาเหตุที่แตกต่างกัน โดยสาเหตุส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้น มีดังนี้

  • ทางเดินหายใจแคบ เมื่อกล้ามเนื้อบริเวณคอและเพดานอ่อน หย่อนตัวลงขณะนอนหลับ ทำให้ทางเดินหายใจส่วนบนแคบลง ลมหายใจที่ผ่านจึงเกิดการสั่นสะเทือนของเนื้อเยื่อ ทำให้เกิดเสียงกรนรบกวน
  • โครงสร้างใบหน้าผิดรูป เช่น คางสั้น คางเล็ก ลิ้นไก่ใหญ่ หรือเพดานอ่อนยาว ส่งผลให้ทางเดินหายใจแคบลง ซึ่งมีแนวโน้มที่จะนอนกรนมากกว่าคนทั่วไป
  • น้ำหนักเกิน เนื่องจากผู้ที่มีน้ำหนักเกินเกณฑ์มาตรฐาน มีไขมันส่วนเกินบริเวณคอ ซึ่งอาจไปกดทับทางเดินหายใจ ทำให้เกิดการอุดตันและเกิดเสียงกรนได้
  • อายุมากขึ้น เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น กล้ามเนื้อบริเวณคอจะหย่อนตัวลง ทำให้ทางเดินหายใจแคบ ส่งผลให้เกิดอาการนอนกรนได้
  • ภูมิแพ้ การอักเสบในโพรงจมูกจากภูมิแพ้ ทำให้ทางเดินหายใจแคบลง ลมหายใจเสียดสีกับทางเดินหายใจส่วนบน จนเกิดอาการนอนกรนได้
  • ดื่มแอลกอฮอล์ การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากเกินไป ทำให้กล้ามเนื้อเกิดการหย่อนตัว ส่งผลให้ทางเดินหายใจแคบลง จนนอนกรนได้
  • ท่าทางการนอน อาการนอนกรน มักพบได้บ่อยเมื่อนอนหงาย ซึ่งการนอนหงาย จะทำให้น้ำหนักของลิ้นและเพดานอ่อน ไปกดทับทางเดินหายใจได้ง่ายมากที่สุด
  • พันธุกรรม ผู้ที่มีบุคคลในครอบครัวมีประวัตินอนกรน หรือมีภาวะทางเดินหายใจอุดกั้น อาจมีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการนอนกรนได้มากกว่าคนทั่วไป
  • เป็นร่วมกับโรคอื่น ๆ เช่น โรคไทรอยด์เป็นพิษ โรคหัวใจล้มเหลว หรือโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ก็อาจทำให้เกิดอาการนอนกรนได้เช่นกัน

 

หยุดกรนด้วย Snore Laser เลเซอร์แก้นอนกรน

Snore Laser หรือ เลเซอร์แก้นอนกรน เป็นการรักษาอาการนอนกรนด้วยเทคโนโลยีเลเซอร์ชนิดเออร์เบี่ยม (Erbium: YAG Laser) ซึ่งมีความยาวคลื่น 2940 nm (นาโนเมตร) โดยเลเซอร์จะถูกยิงไปยังบริเวณที่ทำให้เกิดเสียงกรน เช่น เพดานอ่อน ลิ้นไก่ หรือกระพุ้งแก้ม เพื่อกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจน ทำให้เนื้อเยื่อบริเวณนั้นตึงตัวมากขึ้น ขยายทางเดินหายใจให้เปิดกว้างมากขึ้น เมื่อทางเดินหายใจเปิดกว้าง ลมหายใจจะผ่านได้อย่างสะดวก ทำให้ลดการสั่นสะเทือนของเนื้อเยื่อ และแก้ปัญหาอาการนอนกรนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Snore Laser มีข้อดีอะไรบ้าง?

  • Snore Laser ลดอาการนอนกรนได้ถึง 80% เมื่อมีการนอนหลับที่ดี สุขภาพโดยรวมก็ดีขึ้นตามไปด้วย ทั้งตัวคุณเองและคนรอบข้าง สามารถนอนหลับพักผ่อนได้อย่างเต็มที่
  • Snore Laser ไม่เจ็บตัว ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น หลังเลเซอร์สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ ไม่ต้องกังวลเรื่องบาดแผล
  • Snore Laser ใช้เวลาเพียงแค่ 30 นาที ในการทำเลเซอร์ จึงประหยัดเวลา เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาจำกัด 
  • Snore Laser เห็นผลเร็ว ซึ่งอาการนอนกรนจะดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ แต่สำหรับผู้ที่มีอาการกรนมาก แนะนำให้ทำการเลเซอร์อย่างต่อเนื่อง 3 – 4 ครั้ง
  • Snore Laser มีความปลอดภัยสูง เนื่องจาก Snore Laser เป็นเทคโนโลยีที่ได้รับการรับรองจาก US FDA (อย.อเมริกา) และ TH FDA (อย. ไทย)
  • Snore Laser มีผลข้างเคียงน้อย หลังทำเลเซอร์แก้นอนกรน อาจมีอาการระคายเคืองในช่องปากเล็กน้อย แต่อาการเหล่านี้ จะค่อย ๆ หายไปเองภายในไม่กี่วัน
  • Snore Laser ไม่ต้องใส่อุปกรณ์ขณะหลับ ไม่ต้องเสียเวลาดูแลรักษาอุปกรณ์ สามารถนอนหลับได้อย่างอิสระ ไม่รู้สึกอึดอัด หรือรำคาญใจ
  • Snore Laser ลดความเสี่ยงโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ จากการนอนกรน เช่น ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
  •  

เตรียมสยบเสียงกรน ได้แล้ววันนี้ ที่ รมย์รวินท์คลินิก ทุกสาขา

สำหรับท่านใดที่กำลังประสบปัญหานอนกรนอยู่ อย่าเพิ่งหวาดกลัวไป สามารถเข้ามาปรึกษากับทีมแพทย์ของ รมย์รวินท์คลินิก ได้ทุกสาขา ด้วยเทคโนโลยี Snore Laser เลเซอร์รักษาอาการนอนกรนที่มีความทันสมัย มีความปลอดภัย สามารถแก้ปัญหาอาการนอนกรนของคุณได้อย่างตรงจุด พร้อมที่จะช่วยให้คุณหลับสนิท ตื่นเช้ามาอย่างสดใส บอกลาเสียงกรนกวนใจไปได้เลย

6 เทคโนโลยียกกระชับใบหน้า แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย เห็นผลลัพธ์ที่สุด

lifting ยกกระชับใบหน้า

6 เทคโนโลยียกกระชับใบหน้า แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย เห็นผลลัพธ์ที่สุด ฉบับอัปเดต 2024

 

การหย่อนคล้อยของใบหน้า เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะวัย 35 ปีขึ้นไป ด้วยปัจจัยต่าง ๆ เช่น อายุ การสูบบุหรี่ แสงแดด รวมไปถึงการที่ผิวสูญเสียคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้เกิดปัญหาผิวหย่อนคล้อย ผิวขาดความยืดหยุ่น นอกจากนี้ยังมีปัญหาริ้วรอยที่ทำให้ใบหน้าดูแก่กว่าวัย ทำให้การยกกระชับใบหน้าจึงเป็นเทคโนโลยีทางเลือกของคนในยุคปัจจุบันนี้

 

ซึ่งในยุคนี้มีเทคโนโลยีเครื่องยกกระชับใบหน้าด้วยหัตถการทางการแพทย์ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็น Ulthera SPT, Volnewmer, Oligio, Ultraformer MPT 4D Lift, Thermage FLX, EMFACE และ Fix Lift ซึ่งในแต่ละเทคโนโลยีนั้นมีความแตกต่างกัน บทความนี้จะมาแนะนำวิธีเทคโนโลยียกกระชับของรมย์รวินท์คลินิก พร้อมนำเสนอวิธีการรักษาและป้องกันปัญหาผิวหย่อนคล้อยอย่างครอบคลุม

 

6 เทคโนโลยียกกระชับใบหน้า แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย เห็นผลลัพธ์ครอบคลุมที่สุด ฉบับอัปเดต 2024

เครื่องยกกระชับใบหน้าด้วยเทคโนโลยี มีกี่แบบ?

 

เทคโนโลยีพลังงานของเครื่องยกกระชับใบหน้า มีทั้งหมด 2 ประเภทด้วยกัน ดังนี้

 

พลังงานยกกระชับใบหน้า HIFU

 

เป็นเทคโนโลยีเครื่องยกกระชับใบหน้า หลักการทำงานด้วยคลื่นเสียงอัลตราซาวนด์ ที่มีความเข้มข้นสูง ส่งพลังงานความร้อนลงสู่ชั้นผิวได้ถึง 3 ระดับ คือ ชั้นหนังแท้ส่วนบน ชั้นหนังแท้ส่วนลึก และชั้นกล้ามเนื้อส่วนบน หรือที่เรียกว่า SMAS โดยชั้น SMAS เป็นชั้นผิวหนังเดียวกับที่แพทย์ศัลยกรรมใช้สำหรับผ่าตัดศัลยกรรมดึงหน้าเพื่อการยกกระชับใบหน้า

 

หลักการทำงานของ HIFU คือ เป็นการยิงคลื่นพลังงานเสียงลงไปสู่ผิวหนังชั้นลึก เพื่อให้เนื้อเยื่อเกิดการหดตัว ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและเนื้อเยื่อใหม่ ช่วยให้ใบหน้าดูเรียวขึ้น  รูขุมขนกระชับขึ้น เพราะคอลลาเจนในชั้นผิวถูกกระตุ้นเพื่อทำให้คุณภาพผิวดีขึ้น

 

พลังงานเครื่องยกกระชับใบหน้า RF (Radio-Frequency)

 

เทคโนโลยี RF เป็นการยกกระชับใบหน้าที่ใช้แผ่นหรือโลหะขนาด 3.0 mm นวดลงบนผิวหน้า พร้อมกับปล่อยคลื่นวิทยุความถี่สูงลงไปสู่เนื้อเยื่อใต้ชั้นผิวหนังกำพร้า ชั้นหนังแท้ และชั้นไขมัน โดยใช้พลังงานความร้อนอุณหภูมิสะสมที่ 40-42°C เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนที่อยู่ในชั้นผิว ให้เกิดการหดตัวและสร้างการเรียงใหม่ของคอลลาเจน ทำให้ผิวหน้ากระชับเต่งตึงขึ้น ช่วยสลายไขมันสะสมบนใบหน้า อีกทั้งยังช่วยปรับรูปหน้าให้เรียวขึ้นอีกด้วย

 

เครื่องยกกระชับใบหน้าด้วย 6 เทคโนโลยี มีหัตถการไหนบ้าง?

ulthera ยกกระชับ

เครื่องยกกระชับใบหน้าด้วย Ultherapy Prime


Ultherapy Prime เป็นเทคโนโลยีเครื่องยกกระชับใบหน้าที่ถูกพัฒนาการรักษาที่แม่นยำกว่าเดิม ด้วยพลังงานคลื่นเสียงอัลตราซาวนด์ (Ultrasound) โดยจะทำการยิงพลังงานความร้อนเป็นจุดขนาด 1 mm ลงลึกได้ถึงชั้นผิว SMAS หรือ Superficial Musculoaponeurotic System ที่ระดับความลึก 4.5 mm ซึ่งเป็นชั้นผิวที่ใช้สำหรับการผ่าตัดดึงหน้า พลังงานความร้อนจะช่วยทำให้ผิวหดตัว และยกกระชับใบหน้าขึ้นได้โดยไม่ต้องผ่าตัด สามารถเห็นผลลัพธ์หลังทำประมาณ 30% และเห็นผลลัพธ์ชัดเจนใน 2-3 เดือน คงผลลัพธ์อยู่ได้นาน 1 ปี

 

เครื่องยกกระชับใบหน้า Ultherapy Prime เหมาะกับใคร?

 

  • เครื่องยกกระชับใบหน้า Ultherapy Prime เหมาะกับ คนที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยของผิว 
  • เครื่องยกกระชับใบหน้า Ultherapy Prime เหมาะกับ คนที่ต้องการปรับรูปหน้า กรอบหน้าคมชัดขึ้น 
  • เครื่องยกกระชับใบหน้า Ultherapy Prime เหมาะกับ คนที่ต้องลดเลือนริ้วรอยบนใบหน้า
  • เครื่องยกกระชับใบหน้า Ultherapy Prime เหมาะกับ คนที่ต้องการกระตุ้นการสร้างของคอลลาเจนในชั้นผิว
  • เครื่องยกกระชับใบหน้า Ultherapy Prime เหมาะกับ คนที่ต้องการฟื้นฟูใบหน้าและลำคอ

 

ข้อดีของเครื่องยกกระชับใบหน้าด้วย Ultherapy Prime

 

  • เครื่องยกกระชับใบหน้า Ultherapy Prime ออกแบบการรักษาเฉพาะตัวบุคคล ทำให้การรักษาปัญหาเป็นไปอย่างตรงจุด
  • เครื่องยกกระชับใบหน้า Ultherapy Prime มีหน้าจอช่วยแสดงผลแบบเรียลไทม์ ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นและแสดงผลได้ชัดเจนกว่าเดิม
  • เครื่องยกกระชับใบหน้า Ultherapy Prime สามารถส่งพลังงานได้ถึงผิวหนังชั้น SMAS ซึ่งเป็นผิวชั้นเดียวกับที่ทำศัลยกรรมดึงหน้า
  • เครื่องยกกระชับใบหน้า Ultherapy Prime ช่วยยกกระชับผิวโดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ
  • เครื่องยกกระชับใบหน้า Ultherapy Prime สามารถเห็นผลลัพธ์ที่เปลี่ยนแปลงได้ทันทีตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ 20%
  • เครื่องยกกระชับใบหน้า Ultherapy Prime คงผลลัพธ์ของการยกกระชับได้นานถึง 1 ปีตามสภาพผิวของแต่ละบุคคล
  • เครื่องยกกระชับใบหน้า Ultherapy Prime ใช้ระยะเวลาในการรักษาเร็วกว่าเดิมถึง 20%

 

Ultraformer ยกกระชับ

เครื่องยกกระชับใบหน้าด้วย Ultraformer MPT 4D Lift

 

Ultraformer MPT 4D Lift เป็นเทคโนโลยีเครื่องยกกระชับใบหน้า ลดริ้วรอย สลายไขมันส่วนเกิน ที่ใช้พลังงานคลื่นเสียงอัลตราซาวนด์ (Ultrasound) ลงไปในสู่ชั้นผิวหนัง ด้วยพลังงาน 2 รูปแบบ คือ Micro Focused Ultrasound และ Macro Focused Ultrasound เป็นการยิงพลังงานให้ครอบคลุมทั้งการยกกระชับใบหน้า กระชับรูขุมขน ลดริ้วรอย และสลายไขมันส่วนเกิน สามารถปล่อยพลังงานได้ทั้งแบบ Normal Mode ที่มีลักษณะพลังงานเป็นจุดไข่ปลาเรียงกัน ส่วน Micro Pulse Mode ลักษณะพลังงานเป็นเส้น ช่วยให้สามารถสะสมพลังงานความร้อนได้อย่างต่อเนื่อง และช่วยลดความเจ็บระหว่างทำได้อีกด้วย

 

เครื่องยกกระชับใบหน้า Ultraformer MPT 4D Lift เหมาะกับใคร?

 

  • เครื่องยกกระชับใบหน้า Ultraformer MPT 4D Lift เหมาะกับ คนที่มีปัญหาผิวหนังใบหน้า และลําคอหย่อนคล้อยลง 
  • เครื่องยกกระชับใบหน้า Ultraformer MPT 4D Lift เหมาะกับ คนที่มีริ้วรอยเหี่ยวย่น บริเวณใบหน้าและลําคอ
  • เครื่องยกกระชับใบหน้า Ultraformer MPT 4D Lift เหมาะกับ คนที่มีปัญหาคิ้วตก หางตาตก และหนังตาตก
  • เครื่องยกกระชับใบหน้า Ultraformer MPT 4D Lift เหมาะกับ คนที่มีปัญหากรอบหน้าไม่คมชัด
  • เครื่องยกกระชับใบหน้า Ultraformer MPT 4D Lift เหมาะกับ คนที่มีไขมันสะสมตรงบริเวณแก้มและใต้คาง 
  • เครื่องยกกระชับใบหน้า Ultraformer MPT 4D Lift เหมาะกับ คนที่ต้องการปรับรูปหน้าให้เรียวเล็ก
  • เครื่องยกกระชับใบหน้า Ultraformer MPT 4D Lift เหมาะกับ คนที่มีผิวหมองคล้ำ ดูโทรม ไม่สดใส
  • เครื่องยกกระชับใบหน้า Ultraformer MPT 4D Lift เหมาะกับ คนที่มีไขมันส่วนเกินที่ใบหน้าและร่างกาย 

 

ข้อดีของเครื่องยกกระชับใบหน้าด้วย Ultraformer MPT 4D Lift

 

  • เครื่องยกกระชับใบหน้า Ultraformer MPT 4D Lift มีความปลอดภัยสูง และเป็นที่ยอมรับถึงประสิทธิภาพในการรักษาของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านความงามจากสถาบันชั้นนํา
  • เครื่องยกกระชับใบหน้า Ultraformer MPT 4D Lift สามารถปล่อยพลังงานคลื่นลงลึกได้ทุกชั้นผิว โดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อผิว
  • เครื่องยกกระชับใบหน้า Ultraformer MPT 4D Lift ไม่เป็นอันตรายต่อผิว ไม่มีรอยแผลหลังการรักษา
  • เครื่องยกกระชับใบหน้า Ultraformer MPT 4D Lift สามารถเห็นผลลัพธ์ทันทีหลังการรักษา
  • เครื่องยกกระชับใบหน้า Ultraformer MPT 4D Liftแพทย์สามารถกําหนดรูปแบบการปล่อยพลังงานคลื่น และกําหนดตําแหน่งความลึกที่ต้องการรักษาได้อย่างแม่นยําขึ้น 
  • เครื่องยกกระชับใบหน้า Ultraformer MPT 4D Lift สามารถแก้ไขปัญหาผิวหนังหย่อนคล้อยได้หลายจุด เช่น ใบหน้า ลำคอ และร่างกาย

thermage ยกกระชับ

เครื่องยกกระชับใบหน้าด้วย Thermage FLX

 

Thermage FLX เป็นเทคโนโลยีเครื่องยกกระชับใบหน้า พลังงานความร้อนจากคลื่นวิทยุความถี่สูงแบบขั้วเดียว (Monopolar RF) สามารถยิงพลังงานก้อนขนาดใหญ่ลงสู่ชั้นผิวหนัง โดยพลังงานลงลึกได้ถึงชั้นผิวหนังแท้ รวมไปถึงชั้นไขมันใต้ผิวหนัง โดยใช้พลังงานความร้อนถึง 40-50°C ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนเพื่อผิวแน่นเฟิร์มกระชับมากขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยา ประเทศสหรัฐอเมริกา (U.S. FDA) และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแห่งประเทศไทย

 

เครื่องยกกระชับใบหน้า Thermage FLX เหมาะกับใคร?

 

  • เครื่องยกกระชับใบหน้า Thermage FLX เหมาะกับ คนที่ต้องการยกกระชับผิวหน้า ปรับรูปหน้าให้เรียวเล็กขึ้น
  • เครื่องยกกระชับใบหน้า Thermage FLX เหมาะกับ คนที่ต้องการกรอบหน้าให้คมชัด ทำให้ใบหน้าดูมีมิติมากขึ้น
  • เครื่องยกกระชับใบหน้า Thermage FLX เหมาะกับ คนที่ต้องการแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยบริเวณใบหน้าและร่างกาย
  • เครื่องยกกระชับใบหน้า Thermage FLX เหมาะกับ คนที่ต้องการแก้ปัญหาเซลลูไลท์บริเวณต้นขา และบริเวณก้น
  • เครื่องยกกระชับใบหน้า Thermage FLX เหมาะกับ คนที่ต้องการฟื้นฟูผิวหน้าให้ผิวกระชับ แลดูอ่อนเยาว์มากขึ้น
  • เครื่องยกกระชับใบหน้า Thermage FLX  เหมาะกับ คนที่มีปัญหารูขุมขนกว้าง
  • เครื่องยกกระชับใบหน้า Thermage FLX เหมาะกับ คนที่ต้องการลดขนาดรอบเอว รอบขา และรอบแขน

 

ข้อดีของการเครื่องยกกระชับใบหน้าด้วย Thermage FLX

 

  • เครื่องยกกระชับใบหน้า Thermage FLX เห็นผลลัพธ์หลังทำทันที  20% และเห็นผลลัพธ์ชัดเจนใน 2-3 เดือน
  • เครื่องยกกระชับใบหน้า Thermage FLX ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 1-2 ปี ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลผิวหน้าในแต่ละบุคคล
  • เครื่องยกกระชับใบหน้า Thermage FLX ทำได้หลายตำแหน่งที่ต้องการยกกระชับ และลดไขมันส่วนเกิน เช่น ใบหน้า รอบดวงตา และลำตัว 
  • เครื่องยกกระชับใบหน้า Thermage FLX ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ พร้อมทั้งสลายไขมันสะสมส่วนเกิน ทำให้ผิวแน่น และกระชับมากขึ้น
  • เครื่องยกกระชับใบหน้า Thermage FLX  ไม่ต้องพักฟื้น ไม่มีแผล หลังทำสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ
  • เครื่องยกกระชับใบหน้า Thermage FLX ใช้ระยะเวลาในการทำไม่นาน เพียง 40 -90 นาที
  • เครื่องยกกระชับใบหน้า Thermage FLX พลังงานลงลึกครอบคลุมทุกชั้นผิวและชั้นไขมัน
  • เครื่องยกกระชับใบหน้า Thermage FLX เป็นเครื่องยกกระชับผิวที่ผ่านการรับรองจาก อย. ประเทศสหรัฐอเมริกา และ อย. ไทย มีความปลอดภัยสูง ไม่ทำร้ายชั้นผิว อีกทั้งยังได้รับความนิยมจากทั่วโลก

emface ยกกระชับ

เครื่องยกกระชับใบหน้าด้วย EMFACE

 

EMFACE เครื่องยกกระชับใบหน้า เป็นเครื่องยกกระชับกล้ามเนื้อเครื่องแรกของโลกที่ทำงานกับกล้ามเนื้อของใบหน้าได้ดีกว่า ลึกกว่า จึงรักษาผลลัพธ์ได้อย่างแม่นยำและตรงจุดที่สุด ช่วยฟื้นฟูชั้นผิวหนังให้แข็งแรง เก็บเหนียง และลดริ้วรอยได้ในเครื่องเดียว ทำให้ EMFACE เป็นเทคโนโลยีทางการแพทย์เฉพาะของ EMFACE ที่ผสมผสานระหว่าง 2 เทคโนโลยี HIFES และ Sync RF เข้าด้วยกัน อีกทั้งเทคโนโลยีนี้ยังได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา (U.S. FDA) และแห่งประเทศไทย

 

เครื่องยกกระชับใบหน้า EMFACE เหมาะกับใคร?

 

  • เครื่องยกกระชับใบหน้า EMFACE เหมาะกับ คนที่ต้องการยกกระชับใบหน้า ลดเหนียง
  • เครื่องยกกระชับใบหน้า EMFACE เหมาะกับ คนที่ต้องการแก้ปัญหาผิวที่หย่อนคล้อยลง
  • เครื่องยกกระชับใบหน้า EMFACE เหมาะกับ คนที่ต้องการกระตุ้นการเรียงตัวใหม่ของคอลลาเจนและเส้นใยอีลาสติน
  • เครื่องยกกระชับใบหน้า EMFACE เหมาะกับ คนที่ต้องการลดเลือนริ้วรอย กระชับรูขุมขน
  • เครื่องยกกระชับใบหน้า EMFACE เหมาะกับ คนที่ไม่อยากเจ็บตัว ไม่อยากพักฟื้น

 

ข้อดีของเครื่องยกกระชับใบหน้าด้วย EMFACE

 

  • เครื่องยกกระชับใบหน้า EMFACE ช่วยกระตุ้นให้ผิวมีการสร้างคอลลาเจนมากขึ้น รวมถึงอีลาสติน ที่จะช่วยให้ผิวยืดหยุ่นกว่าเดิม เพื่อผิวเรียบเนียนอย่างเห็นได้ชัด
  • เครื่องยกกระชับใบหน้า EMFACE กระตุ้นกล้ามเนื้อให้มีความแข็งแรงกว่าเดิม เป็นการฟื้นฟูกล้ามเนื้อให้กลับมามีความกระชับอีกครั้ง
  • เครื่องยกกระชับใบหน้า EMFACE ลดเลือนริ้วรอยแห่งวัย และชะลอการเกิดริ้วรอยใหม่ในอนาคตได้ดี 
  • เครื่องยกกระชับใบหน้า EMFACE สามารถแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยได้ดี ผิวดูกระชับขึ้นตั้งแต่หลังทำครั้งแรก 

oligio ยกกระชับ

เครื่องยกกระชับใบหน้าด้วย Oligio

 

Oligio เป็นเทคโนโลยีที่ใช้พลังงานคลื่นวิทยุชนิด Monopalar RF ความถี่ 6.78 MHz ซึ่งเป็นขนาดความถี่ที่สามารถแทรกซึมเข้าสู่ผิวชั้นลึกได้ โดยคลื่นวิทยุจะเข้าไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และจัดเรียงคอลลาเจนใหม่ ทำให้ผิวมีความแข็งแรง เรียบเนียน กระชับขึ้น และดูสุขภาพดีมากขึ้น รวมทั้งยังช่วยสลายไขมันส่วนเกินใต้ชั้นผิว ส่งผลให้กรอบหน้าเรียวขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ

 

เครื่องยกกระชับใบหน้า Oligio เหมาะกับใครบ้าง?

 

  • เครื่องยกกระชับ Oligio เหมาะกับ คนที่ปัญหาผิวหน้าหย่อนคล้อย 
  • เครื่องยกกระชับ Oligio เหมาะกับ คนต้องการกระชับผิวให้กระชับมากขึ้น
  • เครื่องยกกระชับ Oligio เหมาะกับ คนที่ต้องการลดปัญหาริ้วรอย กระชับรูขุนขน ปรับร่องแก้มให้ตื้นขึ้น
  • เครื่องยกกระชับ Oligio เหมาะกับ คนที่ต้องการแก้ปัญหาหนังตาตก เปลือกตาตก คิ้วตก หรือมุมปากตก
  • เครื่องยกกระชับ Oligio เหมาะกับ คนที่ต้องการปรับกรอบหน้าให้ชัด รูปหน้าเล็กลง
  • เครื่องยกกระชับ Oligio เหมาะกับ คนที่ปัญหาเหนียง หรือไขมันใต้คางเยอะ
  • เครื่องยกกระชับ Oligio เหมาะกับ คนที่ต้องการชะลอการเกิดปัญหาหย่อนคล้อยตามวัย

 

ข้อดีของการยกกระชับใบหน้าด้วย Oligio

 

  • เครื่องยกกระชับ Oligio ช่วยกระตุ้นการสร้าง และจัดเรียงคอลลาเจนใหม่ 
  • เครื่องยกกระชับ Oligio ลดปัญหาผิวหย่อนคล้อย ปรับรูปหน้า
  • เครื่องยกกระชับ Oligio ลดไขมันส่วนเกินใต้ผิว ทำให้ใบหน้าดูเล็กลง
  • เครื่องยกกระชับ Oligio เพิ่มคุณภาพของคอลลาเจนในผิวชั้นตื้น 
  • เครื่องยกกระชับ Oligio ทำให้ texture ของผิวเรียบเนียน ลดริ้วรอย กระชับรูขุมขน
  • เครื่องยกกระชับ Oligio ชะลอการเกิดความหย่อนคล้อยในอนาคต
  • เครื่องยกกระชับ Oligio เป็นเทคโนโลยีที่มีความปลอดภัย ได้รับการรับรองมาตรฐาน 
  • เครื่องยกกระชับ Oligio ใช้เวลาประมาณ 20–30 นาที ประหยัดเวลาในการทำ
  • เครื่องยกกระชับ Oligio เห็นผลลัพธ์หลังทำทันทีประมาณ 20% 

 fixlift ยกกระชับ

เครื่องยกกระชับใบหน้าด้วย Fix Lift 

 

Fix Lift เป็นเทคโนโลยีเครื่องยกกระชับใบหน้า Morpheus8 (Subdermal Fractional microneedling Radio Frequency (RF) technology) ด้วยเทคโนโลยีพลังงาน RF หรือการใช้คลื่นวิทยุความถี่สูงแบบขั้วเดียว เมื่อส่งพลังงานลงสู่ชั้นผิวหนังลงไป จะเปลี่ยนกลายเป็นพลังงานความร้อน โดยความร้อนจะเข้าไปทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ถึงโครงสร้างของผิวหนังชั้นหนังแท้และชั้นไขมันใต้ผิวหนัง เพื่อให้เกิดการหดตัวของชั้นไขมันใต้ผิวหนัง และเกิดการจัดเรียงตัวของโครงสร้างผิวใหม่ในชั้นหนังแท้ตามมา

 

เครื่องยกกระชับใบหน้าด้วย Fix Lift เหมาะกับใคร?

 

  • เครื่องยกกระชับใบหน้า Fix LIft เหมาะกับ คนที่มีปัญหาริ้วรอยตามวัย 
  • เครื่องยกกระชับใบหน้า Fix LIft เหมาะกับ คนที่โครงสร้างผิวเสื่อมสภาพ
  • เครื่องยกกระชับใบหน้า Fix LIft เหมาะกับ คนที่ต้องการกระชับรูขุมขนให้เล็กลง 
  • เครื่องยกกระชับใบหน้า Fix LIft เหมาะกับ คนที่ต้องการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน
  • เครื่องยกกระชับใบหน้า Fix LIft เหมาะกับ คนที่ต้องการเพิ่มความแข็งแรงของผิวตั้งแต่ภายในสู่ภายนอก
  • เครื่องยกกระชับใบหน้า Fix LIft เหมาะกับ คนที่ที่มีปัญหาผิวเหี่ยวย่น หย่อนคล้อย ผิวไม่กระชับ
  • เครื่องยกกระชับใบหน้า Fix LIft เหมาะกับ คนที่ที่มีปัญหาสีผิวไม่สม่ำเสมอ เป็นรอยสิว กระ และจุดด่างดำ
  • เครื่องยกกระชับใบหน้า Fix LIft เหมาะกับ คนที่ต้องการลบเลือนรอยแผลเป็น รอยแผลผ่าตัด

 

ข้อดีของการยกกระชับใบหน้าด้วย Fix Lift

 

  • เครื่องยกกระชับใบหน้า Fix LIft สามารถปรับความลึกของเข็ม และพลังงานที่ใช้ในแต่ละบริเวณ เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพผิวในแต่ละบุคคลได้
  • เครื่องยกกระชับใบหน้า Fix LIft หัวทิปที่เป็นเข็มจะเป็นแบบปลอดเชื้อ single used ใช้ครั้งเดียวทิ้ง ไม่มีการใช้ซ้ำ มั่นใจได้ในความสะอาด และปลอดภัย
  • เครื่องยกกระชับใบหน้า Fix LIft ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ลดเลือนริ้วรอยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • เครื่องยกกระชับใบหน้า Fix LIft ช่วยลดเม็ดสีใต้ผิวหนัง ทำให้จุดด่างดำจางลง ปรับสีผิวให้ดูกระจ่างใสขึ้น
  • เครื่องยกกระชับใบหน้า Fix LIft ช่วยให้ผิวดูเฟิร์ม กระชับมากขึ้น
  • เครื่องยกกระชับใบหน้า Fix LIft ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้นนาน สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ
  • เครื่องยกกระชับใบหน้า Fix LIft ใช้ได้กับทุกสภาพผิว

 

ใบหน้าหย่อนคล้อย เกิดจากสาเหตุอะไร?

 

ปัญหาใบหน้าหย่อนคล้อยสามารถเกิดได้จากหลากหลายสาเหตุด้วยกัน ทำให้คอลลาเจนและอีลาสตินในผิวเสื่อมสภาพลง รวมไปถึงทำให้ไขมันใต้ผิวหนังลดน้อยลง จนทำให้ใบหน้าหย่อนคล้อย ซึ่งสาเหตุของใบหน้าหย่อนคล้อย มีดังนี้ 

  • อายุที่เพิ่มมากขึ้น

นับเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ใบหน้าของเรามีความหย่อนคล้อย เนื่องจากอายุที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้การสร้างคอลลลาเจนและอีลาสตินใต้ชั้นผิวหนังลดน้อยลงตามไปด้วย รวมไปถึงใบหน้าขาดความยืดหยุ่น จนเกิดปัญหาริ้วรอยและใบหน้าหย่อนคล้อย

  • กรรมพันธุ์

ในบางกรณีอาจจะมีสภาพผิวที่ขาดความยืดหยุ่นย้อยกว่าปกติ โครงสร้างของใบหน้าไม่แข็งแรง เนื่องจากกรรมพันธุ์ที่ได้รับมาทำให้เกิดโอกาสใบหน้าหย่อนคล้อยมากกว่าคนอื่น 

  • ความเครียด

เมื่อคนเราเกิดความเครียดตลอดเวลา จะทำให้มีใบหน้าที่หย่อนคล้อยมีริ้วรอยบนใบหน้า นอกจากนี้ร่างกายของเราจะมีการหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่เข้าไปทำลายคอลลาเจนใต้ชั้นผิว การผลิตคอลลาเจนตามธรรมชาติลดน้อยลง รวมไปถึงรบกวนการผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนที่มีส่วนทำให้ผิวกระชับ อ่อนเยาว์ เรียบเนียน จนทำให้ผิวหนังไม่แข็งแรงจนเกิดปัญหาใบหน้าหย่อนคล้อย

  • แสงแดด รังสี UV

เป็นที่รู้กันว่ารังสียูวีในแสงแดดนั้นเป็นอันตรายต่อผิวเป็นอย่างมาก เนื่องจากรังสียูวีเข้าไปกระตุ้นให้เกิดอนุมูลอิสระ เข้าไปทำลายเซลล์ผิวหนัง รวมไปถึงทำลายเส้นใยคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวขาดความยืดหยุ่นจนเกิดใบหน้าหย่อนคล้อย

  • กิจวัตรประจำวัน

ปัจจัยภายนอกที่ทำให้ทำร้ายผิวโดยไม่รู้ตัว อาจจะมาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตในแต่ละวัน เช่น การพักผ่อนไม่เพียงพอ การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ เป็นต้น ล้วนเป็นปัจจัยหลักที่เร่งทำให้ผิวหนังเสื่อมสภาพและเกิดปัญหาใบหน้าหย่อนคล้อย 

  • กระดูกบนใบหน้า

เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น ทำให้กระดูกเริ่มทรุดตัวลงและกระดูกใบหน้าเล็กลง ทำให้เอ็นยึดหน้าที่ยึดผิวหนังกับกระดูกนั้น ยิ่งมีความหย่อนยานมากขึ้น จนเกิดการยุบตัวลงจนใบหน้าไม่กระชับและหย่อนคล้อยในที่สุด

ยกกระชับใบหน้า ที่ไหนดี?

 

  • ยกกระชับใบหน้าที่ รมย์รวินท์คลินิก มีหัตถการและเทคโนโลยีที่ทันสมัย พร้อมแพทย์ที่มีประสบการณ์ประจำคลินิกที่จะวิเคราะห์สภาพผิวและปัญหาผิวที่แตกต่างกันออกไป เพื่อให้การยกกระชับใบหน้าได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ทั้งนี้สามารถเข้ารับบริการหรือปรึกษาแพทย์ที่รมย์รวินท์คลินิกได้ทุกสาขาที่ใกล้บ้าน

 

คำถามพบบ่อยเรื่องยกกระชับใบหน้า

 

ยกกระชับใบหน้า เลือกเครื่องไหนดี?

 

  • การยกกระชับใบหน้ามีหลายหัตถการที่ได้ผลลัพธ์ดี ขึ้นอยู่กับปัญหา สภาพผิว และความต้องการของแต่ละบุคคล เนื่องจากหัตถการยกกระชับใบหน้านั้นมีความแตกต่างกันในเรื่องของ พลังงานที่ใช้ ระดับการลงลึกในแต่ละชั้นผิว เช่น Thermage FLX ใช้พลังงานคลื่นวิทยุความถี่สูง ส่วน Ulthera SPT ใช้พลังงานคลื่นอัลตราซาวนด์ เป็นต้น ดังนั้นควรปรึกษาแพทย์ประจำคลินิกหรือสถานพยาบาลเพื่อเลือกหัตถการที่เหมาะสมกับใบหน้าของเรามากที่สุด

 

ยกกระชับใบหน้า ได้ผลดีจริงไหม?

 

  • หัตถการยกกระชับใบหน้าได้ผลลัพธ์ดีจริง เนื่องจากช่วยปรับสภาพผิวให้กลับมาเรียบเนียนขึ้น ยกกระชับใบหน้า กรอบหน้าคมชัดขึ้น สลายไขมันสะสมบริเวณแก้มและเหนียง สามารถเห็นผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ และเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนขึ้นในช่วง 2-3 เดือน

 

ยกกระชับใบหน้า ผลลัพธ์อยู่ได้นานแค่ไหน?

 

  • การยกกระชับใบหน้าด้วยเทคโนโลยียกกระชับใบหน้า จะมีผลลัพธ์ที่อยู่ได้นานประมาณ 6-12 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลตัวเองหลังการรักษาในแต่ละบุคคล 

 

ทำไมต้องยกกระชับใบหน้า?

 

  • การยกกระชับใบหน้าจะช่วยทำให้ผิวอ่อนเยาว์มากขึ้น ลดเลือนริ้วรอย ร่องลึกบนใบหน้า นอกจากนี้ยังช่วยยกกระชับใบหน้าให้เรียวและกระชับมากขึ้น ทำให้ผิวพรรณดูสดใส มีความยืดหยุ่นมากกว่าเดิม ทั้งนี้ใบหน้าโดยรวมก็จะกลับมาสดใส ดูอ่อนเยาว์อีกครั้ง 

 

ทั้งหมดนี้คือวิธีการยกกระชับใบหน้าด้วยเทคโนโลยียกกระชับ และการยกกระชับใบหน้าด้วยวิธีอื่น ๆ ที่จะช่วยมอบผลลัพธ์ใบหน้าเรียวเล็ก ยกกระชับมากขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยลดเลือนริ้วรอยแห่งวัย ร่องลึกต่าง ๆ บนใบหน้า สลายไขมันสะสมบริเวณแก้มและเหนียง รวมไปถึงช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินได้อีกด้วย หากใครที่กำลังมองหาโปรแกรมยกกระชับใบหน้า ควรศึกษาข้อมูลและพิจารณาวิธีการยกกระชับต่าง ๆ พร้อมปรึกษากับแพทย์ที่มีประสบการณ์ให้ช่วยวิเคราะห์ใบหน้าโดยรวมและสภาพผิว เพื่อผลลัพธ์ของการยกกระชับใบหน้าที่ดีที่สุด 

Biostimulator สารกระตุ้นคอลลาเจน ทางลัดสู่ความอ่อนเยาว์ขั้นสุด

กระตุ้นคอลลาเจน

Biostimulator ทางลัดสู่ความอ่อนเยาว์ กระตุ้นคอลลาเจนขั้นสุด

เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น ร่างกายของเราเริ่มเสื่อมสภาพลง ผิวพรรณเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลง คอลลาเจนที่เคยมีอยู่ค่อย ๆ สูญเสียไปตามอายุ โดยเฉพาะเมื่ออายุ 25 ปีขึ้นไป ร่างกายจะสูญเสียคอลลาเจนถึง 1.5% ต่อปี จากนั้นเมื่ออายุ 30 ปีขึ้นไป ร่างกายจะสร้างคอลลาเจนลดลง เหลือเพียง 20 – 30% เมื่อคอลลาเจนในชั้นผิวลดลงแล้ว ผิวหนังก็จะขาดการพยุงและขาดความยืดหยุ่น เนื่องจากคอลลาเจนเป็นโครงสร้างสำคัญ ที่ช่วยพยุงชั้นผิวให้มีความแข็งแรงและเรียบเนียน จึงทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมาสารพัด ไม่ว่าจะเป็นผิวหย่อนคล้อย มีริ้วรอย ร่องลึก ขาดความชุ่มชื้น ดูหมองคล้ำ รวมถึงผิวหน้าดูแก่กว่าวัยอีกด้วย 

นอกจากอายุที่เพิ่มมากขึ้น จะทำให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนน้อยลงแล้ว ยังมีปัจจัยอื่น ๆ อีกมากมาย ที่ส่งผลต่อคอลลาเจนในร่างกายเช่นกัน ได้แก่ การสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ พักผ่อนน้อย เจอแสงแดด และมลภาวะต่าง ๆ เป็นระยะเวลานาน ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ ล้วนเป็นผลกระทบให้คอลลาเจนในร่างกายลดลงอย่างรวดเร็วได้ทั้งสิ้น

ปัจจุบัน เทรนด์ความงามยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีการคิดค้นสารกระตุ้นคอลลาเจน หรือ Biostimulator ที่มีความสำคัญต่อผิวของเราขึ้นมา ซึ่ง Biostimulator เป็นทางเลือกใหม่ในการฟื้นฟูผิว ทำให้ร่างกายสามารถผลิตคอลลาเจนขึ้นมาได้เองตามธรรมชาติ ส่งผลให้ผิวแน่น กระชับ และเรียบเนียน จึงถือเป็นตัวช่วยที่ตอบโจทย์สำหรับใครหลาย ๆ คนอย่างมาก แต่สำหรับใครที่ยังไม่รู้ว่า Biostimulator คืออะไร? ช่วยเรื่องอะไร? แล้วหัตถการอะไรบ้าง? บทความนี้รวบรวมทุกคำตอบของ Biostimulator มาให้แล้ว

 

Biostimulator กระตุ้นคอลลาเจน คืออะไร? มีหัตถการอะไรบ้าง?

 

ทำไมคอลลาเจนถึงจำเป็นต่อผิว?

คอลลาเจน (Collagen) เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่มีมากที่สุดในร่างกาย สามารถสร้างขึ้นได้เองตามธรรมชาติ เปรียบเสมือนโครงสร้างหลัก ที่ทำให้ผิวหนัง กระดูก กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และอวัยวะต่าง ๆ สามารถประสานและเชื่อมโยงเข้าด้วยกันได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ คอลลาเจน ถือเป็นกุญแจสำคัญ ที่มีบทบาททำให้ผิวหนัง มีโครงสร้างที่แข็งแรงและกระชับ โดยเป็นโครงสร้างหลักของผิวชั้นหนังแท้ (Dermis) หรือ ชั้นผิวที่อยู่ใต้ชั้นผิวหนังบนสุด (Epidermis) ทำหน้าที่เป็นเหมือนเส้นใยตาข่าย ที่ช่วยให้ผิวหนังมีความแข็งแรงและยืดหยุ่น ทำให้ผิวเต่งตึง เรียบเนียน ไม่ดูแก่ก่อนวัย ซึ่งนอกจาก จะช่วยรักษาโครงสร้างผิวให้แข็งแรงแล้ว คอลลาเจนยังมีส่วนช่วยในการรักษาความชุ่มชื้นให้กับผิวอีกด้วย โดยคอลลาเจนจะทำหน้าที่เหมือนฟองน้ำที่ช่วยกักเก็บน้ำไว้ในผิวหนัง ทำให้ผิวดูฉ่ำวาว อิ่มน้ำ และมีความชุ่มชื้น ดังนั้น การเติมคอลลาเจนให้กับผิว จึงเป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะชะลอความเสื่อมของเซลล์ผิว และคงความอ่อนเยาว์ให้กับผิวของเราได้ดียิ่งขึ้น

 

คอลลาเจนที่จำเป็นต่อผิว มีกี่ประเภท?

คอลลาเจนในร่างกายของเรามีอยู่หลายประเภท แต่คอลลาเจนที่จำเป็นต่อผิวของเราและพบได้บ่อยที่สุด มีอยู่ 2 ประเภทหลัก ๆ ดังนี้

  • คอลลาเจน ชนิดที่ 1 (Collagen Type I) 

คอลลาเจน ชนิดที่ 1 ถือเป็นคอลลาเจนที่พบมากที่สุดในร่างกาย คิดเป็นประมาณ 90% ของคอลลาเจนทั้งหมด มีบทบาทสำคัญในการสร้างโครงสร้างของผิวหนัง เส้นเอ็น กระดูก และผนังหลอดเลือด ช่วยปกป้องเนื้อเยื่อไม่ให้ถูกฉีกขาด ทำให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่นและแข็งแรง ส่งผลให้ผิวหนังมีความเต่งตึง ลดเลือนริ้วรอย และดูอ่อนเยาว์

  • คอลลาเจน ชนิดที่ 3 (Collagen Type III) 

คอลลาเจน ชนิดที่ 3 เป็นอีกหนึ่งคอลลาเจนที่จำเป็นต่อร่างกาย โดยเฉพาะผิวหนัง มักจะทำงานร่วมกับคอลลาเจน ชนิดที่ 1 พบได้ในผิวหนัง กล้ามเนื้อ อวัยวะภายใน และผนังหลอดเลือด ช่วยให้ผิวหนังมีความกระชับ ยืดหยุ่น และยังช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นในผิว ทำให้ผิวอิ่มน้ำ ไม่แห้งกร้าน

สัณญาณเตือนคอลลาเจนใต้ผิว

สัญญาณเตือน! บ่งบอกว่า ผิวของเรากำลังขาดคอลลาเจน

  • มีปัญหาริ้วรอยและร่องลึก

ปัญหาริ้วรอยและร่องลึก เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน เมื่ออายุมากขึ้น หรืออาจเกิดขึ้นก่อนวัย สามารถเห็นได้ชัดเจนในบริเวณที่มีการแสดงสีหน้าซ้ำ ๆ เช่น หางตา ระหว่างคิ้ว หรือหน้าผาก สาเหตุหลักมาจากการที่ผิวหนังสูญเสียคอลลาเจนและอีลาสติน ซึ่งเป็นโปรตีนสำคัญที่ช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่น เมื่อปริมาณของคอลลาเจนลดลง ผิวจึงขาดความกระชับและเกิดเป็นริ้วรอยขึ้นมา

  • มีปัญหาผิวไม่ความชุ่มชื้น

ปัญหาผิวขาดความชุ่มชื้น ลอกเป็นขุย เป็นปัญหาที่พบได้บ่อย เนื่องจากคอลลาเจนที่ช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นในผิวหนังเริ่มผลิตได้น้อยลง เมื่อคอลลาเจนลดลง ผิวหนังยิ่งสูญเสียน้ำ ส่งผลให้ผิวแห้งกร้าน หมองคล้ำ และไม่สดใสได้

  • มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย

ปัญหาผิวหย่อนคล้อย เป็นปัญหาที่หลายคนกังวล โดยเฉพาะเมื่อมีอายุที่มากขึ้น คอลลาเจนที่คอยพยุงผิวของเราก็ค่อย ๆ น้อยลงตามไปด้วย ส่งให้ผิวที่เคยมีความยืดหยุ่น แน่น กระชับ กลายเป็นผิวหย่อนคล้อย มีริ้วรอย และดูแก่กว่าวัยอีกด้วย

  • มีปัญหาฝ้า กระ จุดด่างดำ

ปัญหาฝ้า กระ จุดด่างดำ เกิดจากคอลลาเจนในร่างกายลดลง โครงสร้างผิวจึงถูกทำลายได้ง่าย ส่งผลให้ผิวบอบบางและไวต่อแสงแดดมากขึ้น ซึ่งถือเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดปัญหาฝ้า กระ จุดด่างดำได้เช่นกัน

  • มีปัญหารูขุมขนกว้าง

ปัญหารูขุมขนกว้าง เกิดจากผิวหนังสูญเสียความยืดหยุ่น ซึ่งเป็นผลมาจากคอลลาเจนที่ลดลง รูขุมขนจึงขยายกว้างขึ้นได้ง่าย ทำให้ผิวหน้าดูไม่เรียบเนียน

 

คอลลาเจน สามารถนำไปใช้ในรูปแบบใดได้บ้าง?

ปัจจุบัน คอลลาเจน สามารถนำไปใช้ในหลากหลายรูปแบบ ทั้งแบบกิน แบบทา และแบบฉีดเข้าสู่ผิวหน้าโดยตรง ซึ่งแต่ละแบบมีความแตกต่างกัน ดังนี้

  • คอลลาเจนแบบกิน

คอลลาเจนแบบกิน เป็นรูปแบบที่นิยมมากที่สุด พบได้ในอาหารเสริม เช่น แคปซูล ผง หรือชงดื่ม โดยคอลลาเจนชนิดนี้ มีความสะดวกในการรับประทาน สามารถเห็นผลลัพธ์ได้เมื่อรับประทานอย่างต่อเนื่อง ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาค่อนข้างนานกว่าจะเห็นผล เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการบำรุงผิวจากภายใน ต้องการเห็นผลในระยะยาว

  • คอลลาเจนแบบทา

คอลลาเจนแบบทา พบได้ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวต่าง ๆ ที่มีส่วนประกอบของคอลลาเจน เช่น ครีม โลชั่น หรือเซรั่ม ซึ่งคอลลาเจนชนิดนี้ มีโมเลกุลขนาดใหญ่ เมื่อทาลงไปบนผิวแล้ว อาจดูดซึมเข้าสู่ผิวได้ยาก เน้นเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวเป็นหลัก เหมาะสำหรับการบำรุงผิวชั้นนอกมากกว่า

  • คอลลาเจนแบบฉีด

คอลลาเจนแบบฉีด เป็นการฉีดคอลลาเจน หรือสารกระตุ้นคอลลาเจนเข้าสู่ผิวโดยตรง เพื่อฟื้นฟู ปรับปรุง และบำรุงผิวแบบเร่งด่วน สามารถเห็นผลลัพธ์ได้เร็วกว่าวิธีอื่น ๆ พบได้ในหัตถการต่าง ๆ เช่น หัตถการกลุ่มกระตุ้นคอลลาเจน หรือ Biostimulator อย่าง Radiesse, Sculptra หรือ Gouri เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเห็นผลการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และต้องการแก้ไขปัญหาผิวเฉพาะจุด

Biostimulator มีกี่ประเภท

Biostimulator กระตุ้นคอลลาเจน คืออะไร

Biostimulator คือ สารกระตุ้นคอลลาเจน ที่ออกแบบมาเพื่อกระตุ้นให้ร่างกายของเรา ผลิตคอลลาเจนขึ้นมาเองตามธรรมชาติ เมื่อฉีด Biostimulator เข้าสู่ผิวหนังแล้ว Biostimulator จะทำหน้าที่ในการกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ที่มีความสำคัญต่อโครงสร้างผิวขึ้นมาใหม่ จึงทำให้ผิวหนังเกิดการฟื้นฟูตัวเองจากภายใน ส่งผลให้ผิวแน่นกระชับ เต่งตึง และมีความแข็งแรง โดยในปัจจุบันมี Biostimulator ให้เลือกหลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็น CaHA, PDO หรือ PLLA 

 

Biostimulator กระตุ้นคอลลาเจน มีกลไกการทำงานอย่างไร?

กลไกการทำงานของ Biostimulator หรือ สารกระตุ้นคอลลาเจน จะทำงานโดยตรงที่ชั้นผิวหนังแท้ (Dermis) ซึ่ง Biostimulator จะเข้าไปกระตุ้นการทำงานของเซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblasts) เซลล์ต้นกำเนิดในการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในผิวหนัง เมื่อเซลล์ไฟโบรบลาสต์ได้รับการกระตุ้น ก็จะเริ่มผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินขึ้นมาใหม่ตามกระบวนการธรรมชาติ ทดแทนส่วนที่เสื่อมสภาพไป ซึ่งคอลลาเจนใหม่ที่สร้างขึ้นจากการฉีด Biostimulator จะเข้าไปเติมเต็มช่องว่างใต้ชั้นผิว พร้อมเสริมสร้างโครงสร้างผิวหนัง ทำให้ผิวกลับมาแข็งแรง มีความเรียบเนียน ริ้วรอยดูตื้นขึ้น และผิวมีความยืดหยุ่นมากขึ้น

Biostimulator กระตุ้นคอลลาเจน มีทั้งหมดกี่ประเภท?

ปัจจุบัน Biostimulator หรือสารกระตุ้นคอลลาเจน มีหลากหลายประเภท โดย Biostimulator แต่ละประเภท ก็จะมีคุณสมบัติและเหมาะสมกับปัญหาผิวที่แตกต่างกัน ได้แก่

 

  • Biostimulator ประเภท PLLA (Poly-L-Lactic Acid) 

PLLA (Poly-L-Lactic Acid) เป็นสารกระตุ้นคอลลาเจน (Biostimulator) ที่สกัดมาจากธรรมชาติตัวแรกของโลก เป็นวัสดุประเภทพอลิเมอร์ ที่มาในรูปแบบผง โดย PLLA ได้รับการรับรองว่า ปลอดภัยต่อร่างกายของเรา และถูกนำมาใช้ในวงการแพทย์อย่างกว้างขวาง มีลักษณะเป็นอนุภาคขนาดเล็ก เมื่อฉีดเข้าสู่ผิวจะค่อย ๆ กระจายตัว และกระตุ้นการทำงานของเซลล์ไฟโบรบลาสต์ ให้เกิดการสร้างคอลลาเจนชนิดที่ 1 เป็นหลัก ฟื้นฟูโครงสร้างผิวเดิม ทำให้ผิวมีโครงสร้างที่แข็งแรงและเรียบเนียนมากขึ้น ซึ่ง PLLA สามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ ไม่ทิ้งสารตกค้างไว้ในร่างกาย

  • Biostimulator ประเภท CaHA (Calcium Hydroxylapatite)

CaHA (Calcium Hydroxylapatite) เป็นสารกระตุ้นคอลลาเจน (Biostimulator) ที่ผลิตขึ้นเองตามธรรมชาติ พบได้ในร่างกายของเรา โดยเฉพาะกระดูกและฟัน จึงสามารถเข้ากันได้ดีกับผิวหนัง มีลักษณะเป็นอนุภาคขนาดเล็ก ทำให้สามารถแทรกซึมเข้าสู่ผิวได้อย่างล้ำลึก ทำหน้าที่ในการกระตุ้นให้เซลล์ไฟโบรบลาสต์ ผลิตคอลลาเจน ชนิดที่ 1 และ คอลลาเจน ชนิดที่ 3 ขึ้นมาใหม่ โดยผ่านกระบวนการธรรมชาติของร่างกาย ไม่ได้ผ่านกระบวนการอักเสบใด ๆ ช่วยเติมเต็มริ้วรอย ร่องลึก ให้ผิวดูอิ่มฟู และปรับรูปหน้าให้คมชัด โดยไม่เกิดการระคายเคืองผิว เหมาะสำหรับผิวบอบบาง แพ้ง่าย

  • Biostimulator ประเภท PDO (Polydioxanone) 

PDO (Polydioxanone) เป็นสารกระตุ้นคอลลาเจน (Biostimulator) ซึ่งเป็นวัสดุประเภทพอลิเมอร์ที่สังเคราะห์ขึ้นมา ในรูปแบบผลึก ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น โดยพัฒนาต่อยอดมาจากไหม PDO แบบเส้นดั้งเดิม ที่ถูกนำมาใช้ในวงการแพทย์อย่างแพร่หลาย ผ่านการกระบวนการ Nano Technology ทำให้ PDO มีโมเลกุลเป็นทรงกลม และมีขนาดเล็กระดับนาโน หรือที่เรียกว่า PDO Microsphere ซึ่งมีความปลอดภัยสูง และสามารถสลายตัวได้เองตามธรรมชาติ เมื่อฉีด PDO เข้าสู่ผิว สามารถกระจายตัวได้อย่างทั่วถึง ทำหน้าที่ในการกระตุ้นเซลล์ไฟโบรบลาสต์ ให้เกิดการสร้างคอลลาเจน ชนิดที่ 1 และ คอลลาเจน ชนิดที่ 3 โดยไม่ก่อให้เกิดการบาดเจ็บและไม่เกิดการบวมหลังฉีด

  • Biostimulator ประเภท PCL (Polycaprolactone)

PCL (Polycaprolactone) เป็นสารกระตุ้นคอลลาเจน (Biostimulator) ในรูปแบบของเหลว (Fully Liquid) ซึ่งพัฒนามาจากเส้นไหมละลายที่ใช้ในทางการแพทย์ เป็นวัสดุประเภทพอลิเมอร์กึ่งผลึกที่สังเคราะห์ขึ้นมา มีความบริสุทธิ์สูง สามารถย่อยสลายได้ตามกระบวนการ Hydrolysis เมื่อฉีดสาร PCL เข้าสู่ผิว อนุภาค PCL สามารถกระจายตัวได้ดี และสม่ำเสมอทั่วใบหน้า ทำหน้าที่ในการกระตุ้นให้เซลล์ไฟโบรบลาสต์ สร้างคอลลาเจนและอีลาสตินขึ้นมาใหม่ ทดแทนส่วนที่เสื่อมโทรมไป ทำให้ผิวแน่นกระชับ ลดเลือนริ้วรอย และฟื้นฟูสภาพผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ทิ้งสารตกค้าง ตัวยาไม่ต้องละลายก่อนใช้ ทำให้ปลอดภัยต่อร่างกาย ลดโอกาสในการเกิดการปนเปื้อนได้เป็นอย่างดี

  • Biostimulator ประเภท PDLLA (Poly-D, L-Lactic Acid)

PDLLA (Poly-D, L-Lactic Acid) เป็นสารกระตุ้นคอลลาเจน (Biostimulator) ที่มีโมเลกุลแบบเดียวกับ Poly Lactic Acid (PLA) แต่มีลักษณะพื้นผิวที่แตกต่างกัน โดย PDLLA เป็นไบโอพอลิเมอร์ชีวภาพ มีลักษณะเป็นวงกลมคล้ายฟองสบู่ เมื่อฉีด PDLLA เข้าสู่ผิวหนัง อนุภาคเล็ก ๆ ของ PDLLA จะเข้าไปกระตุ้นให้เซลล์ไฟโบรบลาสต์ทำงานอย่างแข็งขัน ทำให้เกิดการสร้างคอลลาเจน ชนิดที่ 1 ขึ้นมาใหม่ ทำให้ผิวกระชับ เต่งตึง ลดเลือนริ้วรอยได้เป็นอย่างดี โดยไม่เกิดการตกค้างในร่างกาย ไม่เกิดเป็นก้อนได้ง่าย และสามารถย่อยสลายได้เองตามธรรชาติ

กระตุ้นคอลลาเจน

Biostimulator กระตุ้นคอลลาเจน มีหัตถการอะไรบ้าง?

Sculptra 

  • Sculptra มีส่วนประกอบหลัก คือ สาร PLLA (Poly-L-Lactic Acid) ซึ่งเป็นสารกระตุ้นคอลลาเจน (Biostimulator) ตัวแรกของโลก ถูกพัฒนาโดยบริษัท Galderma Laboratories, L.P. โดยช้กระบวนการผลิตที่จดสิทธิบัตรเฉพาะของบริษัท กัลเดอร์มา เท่านั้น มีงานวิจัยรองรับมากกว่า 50 ฉบับ และได้รับการรับรองจาก US FDA (อย. อเมริกา) และ TH FDA (อย. ไทย)
  • Sculptra มาในรูปแบบผง บรรจุอยู่ในขวด ซึ่งจะต้องถูกผสมด้วย Sterile water ก่อนนำไปฉีดเข้าสู่ผิว 
  • มีคุณสมบัติในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ชนิดที่ 1 ตามกระบวนการธรรมชาติ ได้ถึง 66.5% เสริมโครงสร้างผิวให้แข็งแรงจากภายใน ทำให้ผิวยืดหยุ่น แน่นกระชับ และเรียบเนียน 
  • หลังฉีด Sculptra สามารถคงผลลัพธ์ได้ยาวนาน ถึง 2 ปี

Radiesse 

  • Radiesse มีส่วนประกอบหลัก คือ สาร CaHA (Calcium Hydroxylapatite) ซึ่งเป็นสารกระตุ้นคอลลาเจน (Biostimulator) ถูกพัฒนาโดยบริษัท Merz Aesthetics มีงานวิจัยรองรับกว่า 250 ฉบับ และได้รับการรับรองจาก US FDA (อย. อเมริกา) และ TH FDA (อย. ไทย) 
  • Radiesse มาในรูปแบบเจล บรรจุอยู่ในไซริงค์ ที่อยู่ในสภาพพร้อมฉีด 
  • มีคุณสมบัติในการฟื้นฟูผิวแบบองค์รวม กระตุ้นการสร้างเส้นใยตาข่ายตรึงผิวใหม่ ถึง 5 ประการ ได้แก่ คอลลาเจน ชนิดที่ 1, คอลลาเจน ชนิดที่ 3, อีลาสติน, Angiogenesis และ Proteoglycan ที่สำคัญยังมอบ 3 ผลลัพธ์ที่เหนือกว่าในระยะยาว ได้แก่ Healthier ทำให้ผิวแน่น กระชับ, Younger ลดเลือนริ้วรอย ทำให้ผิวดูเด็กลง และ Longer ยืดอายุผิวให้ยาวนานขึ้น 
  • หลังฉีด Radiesse สามารถคงผลลัพธ์ได้ยาวนาน ถึง 2 ปี

Gouri

  • Gouri มีส่วนประกอบหลัก คือ สาร PCL (Polycaprolactone) ซึ่งเป็นสารกระตุ้นคอลลาเจน (Biostimulator) โดยสามารถกระจายตัวได้ดี ไม่จำเป็นต้องฉีดหลายจุด จึงมีความปลอดภัยสูง สามารถย่อยสลายได้เอง ไม่มีสารตกค้างในร่างกาย และได้รับการรับรองจาก TH FDA (อย. ไทย)
  • Gouri ใช้เทคโนโลยี CESABP เทคโนโลยีเอกสิทธิ์เฉพาะของ Gouri ที่ทำให้สาร PCL อยู่ในรูปแบบของเหลว (Fully Liquid) บรรจุอยู่ในไซริงค์ ไม่มีส่วนของ Microparticle จึงไม่ต้องละลายน้ำก่อนใช้
  • มีคุณสมบัติในการกระตุ้นเซลล์ไฟโบรบลาสต์ ให้ผลิตคอลลาเจนและอีลาสติน ซึ่งเป็นไปตามกระบวนการธรรมชาติ ไม่ทำให้ผิวเกิดการบาดเจ็บ ส่งผลให้ผิวแน่นกระชับ เรียบเนียน และปรับปรุงคุณภาพผิวได้อีกด้วย
  • หลังฉีด Gouri สามารถคงผลลัพธ์ได้ยาวนาน ถึง 1 ปี

Ultracol 

  • Ultracol มีส่วนประกอบหลัก คือ สาร PDO (Polydioxanone) ซึ่งเป็นสารกระตุ้นคอลลาเจน (Biostimulator) ถูกพัฒนาโดยบริษัท Ultra V ร่วมกับ Seoul University Hospital (มหาวิทยาลัยทางการแพทย์ชื่อดังของประเทศเกาหลีใต้) และ Chung-Ang University Hospital ซึ่งมีความปลอดภัยสูง ได้รับการรับรองจาก TH FDA (อย. ไทย) และอีก 13 ประเทศทั่วโลก
  • Ultracol มาในรูปแบบผงละลาย บรรจุอยู่ในขวด ซึ่งจะต้องถูกผสมด้วย Sterile water ก่อนนำไปฉีดเข้าสู่ผิว 
  • มีคุณสมบัติในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ชนิดที่ 1 และ คอลลาเจน ชนิดที่ 3 โดยไม่เสี่ยงอาการบวมจากเข็ม ซึ่งใน Ultracol ปริมาณ 1 ขวด จะเท่ากับการร้อยไหม PDO ปกติจำนวนถึง 1,427 เส้น ส่งผลให้เพิ่มความหนาแน่นให้กับผิว ถึง 34.36% ริ้วรอยดูตื้นขึ้น ถึง 13.33% และเพิ่มความกระจ่างใส ถึง 9.15%
  • หลังฉีด Ultracol สามารถคงผลลัพธ์ได้ยาวนาน ถึง 6 – 8 เดือน

Juvelook

  • Juvelook มีส่วนประกอบหลัก คือ สาร PDLLA (Poly-D, L-Lactic Acid) ซึ่งเป็นสารกระตุ้นคอลลาเจน (Biostimulator) ผสมผสานร่วมกับ กรดไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid – HA) อย่างลงตัว มีขนาดอนุภาค ตั้งแต่ 10 ถึง 40 ไมโครเมตร จัดเป็น Hybrid Biostimulator ที่มีความปลอดภัยสูง ได้รับการรับรองจาก TH FDA (อย. ไทย)
  • Juvelook มาในรูปแบบผง บรรจุอยู่ในขวด ซึ่งจะต้องถูกผสมด้วย Sterile water ก่อนนำไปฉีดเข้าสู่ผิว 
  • มีคุณสมบัติในการสร้างกระตุ้นคอลลาเจน ชนิดที่ 1 เสริมความยืดหยุ่นให้กับผิว และเติมเต็มริ้วรอยได้อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่เป็นก้อน พร้อมปรับปรุงคุณภาพผิว ทำให้ผิวชุ่มชื้น ฉ่ำวาว กระชับรูขุมขนได้อีกด้วย
  • หลังฉีด Juvelook สามารถคงผลลัพธ์ได้ยาวนาน ถึง 2 ปี

 

Biostimulator กระตุ้นคอลลาเจน สามารถฉีดบริเวณใดได้บ้าง?

Biostimulator กระตุ้นคอลลาเจน สามารถฉีดได้หลากหลายบริเวณ ทั้งใบหน้า ลำคอ และหลังมือ เพื่อแก้ไขปัญหาผิวที่แตกต่างกัน ทั้งนี้ แต่ละหัตถการก็เหมาะสมกับบริเวณที่ฉีดแตกต่างกัน แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ ก่อนตัดสินใจฉีด Biostimulator โดยตำแหน่งที่ฉีดกระตุ้นคอลลาเจน มีดังนี้

  • Biostimulator สามารถฉีดกระตุ้นคอลลาเจนได้ บริเวณหน้าแก้ม
  • Biostimulator สามารถฉีดกระตุ้นคอลลาเจนได้ บริเวณกรอบหน้า
  • Biostimulator สามารถฉีดกระตุ้นคอลลาเจนได้ บริเวณหน้าผาก
  • Biostimulator สามารถฉีดกระตุ้นคอลลาเจนได้ บริเวณขมับ
  • Biostimulator สามารถฉีดกระตุ้นคอลลาเจนได้ บริเวณร่องแก้ม
  • Biostimulator สามารถฉีดกระตุ้นคอลลาเจนได้ บริเวณรอบดวงตา
  • Biostimulator สามารถฉีดกระตุ้นคอลลาเจนได้ บริเวณมุมปาก
  • Biostimulator สามารถฉีดกระตุ้นคอลลาเจนได้ บริเวณคาง
  • Biostimulator สามารถฉีดกระตุ้นคอลลาเจนได้ บริเวณลำคอ
  • Biostimulator สามารถฉีดกระตุ้นคอลลาเจนได้ บริเวณหลังมือ

Biostimulator ช่วยเรื่องอะไร

Biostimulator กระตุ้นคอลลาเจน ช่วยเรื่องอะไรบ้าง?

  • Biostimulator ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ชนิดที่ 1 และ คอลลาเจน ชนิดที่ 3 ตามกระบวนการธรรมชาติ 
  • Biostimulator ช่วยฟื้นฟูผิวลึกถึงโครงสร้าง ทำให้โครงสร้างผิวแข็งแรงในระยะยาว
  • Biostimulator ช่วยเติมเต็มผิว และลดเลือนริ้วรอย ร่องลึกต่าง ๆ บนใบหน้า
  • Biostimulator ช่วยให้เพิ่มความหนาแน่นให้ผิว ทำให้ผิวแน่นกระชับ 
  • Biostimulator ช่วยยกกระชับผิว ลดความหย่อนคล้อยจากการอายุที่มากขึ้น
  • Biostimulator ช่วยกระชับรูขุมขน แก้ปัญหารูขุมขนกว้าง ทำให้ผิวเรียบเนียน
  • Biostimulator ช่วยปรับปรุงคุณภาพผิว ทำให้ผิวชุ่มชื้น ดูอิ่มน้ำ
  • Biostimulator ช่วยปรับผิวสว่างกระจ่างใส ลดความหมองคล้ำของผิว
  • Biostimulator ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิว ทำให้ผิวอ่อนเยาว์ ดูสุขภาพดี
  • Biostimulator ช่วยป้องกันการเกิดริ้วรอยก่อนวัยได้
  • Biostimulator ช่วยเพิ่มความอิ่มฟูให้กับผิว ทำให้ผิวเปล่งปลั่ง 
  • Biostimulator ช่วยให้รูปหน้าดูมีมิติ กรอบหน้าคมชัด

 

Biostimulator กระตุ้นคอลลาเจน เหมาะกับใคร?

  • Biostimulator เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีอายุ 25 ปีขึ้นไป คอลลาเจนค่อย ๆ หายไปตามอายุ
  • Biostimulator เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อย ไม่กระชับ
  • Biostimulator เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีริ้วรอยตามจุดต่าง ๆ ของใบหน้า
  • Biostimulator เหมาะสำหรับ ผู้ที่ผิวหน้าขาดความชุ่มชื้น มีปัญหาผิวแห้งกร้าน
  • Biostimulator เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีรูขุมขนกว้าง รูขุมขนไม่กระชับ 
  • Biostimulator เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีสีผิวไม่สม่ำเสมอ ผิวหมองคล้ำ มีจุดด่างดำต่าง ๆ 
  • Biostimulator เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการปรับปรุงคุณภาพผิว
  • Biostimulator เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีกรอบหน้าไม่ชัด ต้องการเพิ่มความคมชัดให้ใบหน้า
  • Biostimulator เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาผิวไม่เรียบเนียน มีหลุมสิวตื้น ๆ 
  • Biostimulator เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีผิวโทรม ผิวหน้าไม่สดใส  
  • Biostimulator เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการเสริมความแข็งแรงให้กับผิว
  • Biostimulator เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูและซ่อมแซมผิวที่ถูกทำลาย จากแสงแดดและมลภาวะต่าง ๆ 
  • Biostimulator เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการป้องกันริ้วรอยก่อนวัย 

 

Biostimulator กระตุ้นคอลลาเจน ไม่เหมาะกับใคร?

  • Biostimulator ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เป็นโรคเลือดออกง่าย
  • Biostimulator ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ เนื่องจากอาจส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์ได้
  • Biostimulator ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่กำลังให้นมบุตร เนื่องจากอาจส่งผลกระทบต่อทารกแรกเกิดได้
  • Biostimulator ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีแผลเปิด หรือผิวหนังอักเสบในบริเวณที่ต้องการฉีด Biostimulator 
  • Biostimulator ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีประวัติแพ้สารประกอบในตัวยา Biostimulator 
  • Biostimulator ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องรับประทานกลุ่มยาแอสไพริน หรือยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด
  • Biostimulator ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่คาดหวังผลลัพธ์ที่รวดเร็ว ต้องการเห็นผลลัพธ์ทันที เนื่องจาก Biostimulator เป็นการกระตุ้นคอลลาเจนตามกระบวนการธรรมชาติ จึงต้องใช้เวลาค่อยเป็นค่อยไป

 

ก่อนฉีด Biostimulator กระตุ้นคอลลาเจน ควรเตรียมตัวอย่างไร?

  • ก่อนฉีด Biostimulator แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ผู้ชำนาญการ เพื่อให้แพทย์ประเมินสภาพผิวหน้า และเลือกหัตถการที่เหมาะสมกับปัญหาของเรามากที่สุด
  • ก่อนฉีด Biostimulator ควรแจ้งประวัติสุขภาพ ประวัติโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา ให้แพทย์ทราบอย่างละเอียด
  • ก่อนฉีด Biostimulator งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด เพื่อป้องกันผิวอักเสบ
  • ก่อนฉีด Biostimulator งดสูบบุหรี่ เพื่อป้องกันการอักเสบและอาการบวมช้ำ
  • ก่อนฉีด Biostimulator งดรับประทานยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เพื่อป้องกันเลือดออกมากเกินไป
  • ก่อนฉีด Biostimulator งดผลัดเซลล์ผิว หรือสครับผิว ในบริเวณที่ฉีด Biostimulator เพื่อป้องกันผิวอักเสบ
  • ก่อนฉีด Biostimulator ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายมีความพร้อมที่จะทำการฉีด Biostimulator ทำให้ผลลัพธ์ดียิ่งขึ้น

 

หลังฉีด Biostimulator กระตุ้นคอลลาเจน ควรดูแลตัวเองอย่างไร?

  • หลังฉีด Biostimulator งดแต่งหน้าหรือใช้เครื่องสำอาง ในบริเวณที่ฉีด 12 ชั่วโมงแรก
  • หลังฉีด Biostimulator งดการโดนแสงแดดโดยตรง เพื่อป้องกันการอักเสบ
  • หลังฉีด Biostimulator งดกิจกรรมที่โดนความร้อนมาก ๆ เช่น ซาวน่า
  • หลังฉีด Biostimulator งดสัมผัส นวด แกะ เกา ในบริเวณที่ฉีด เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
  • หลังฉีด Biostimulator หากมีอาการบวมช้ำ สามารถประคบเจลเย็น เพื่อบรรเทาอาการบวมช้ำได้
  • หลังฉีด Biostimulator หลีกเสี่ยงการออกกำลังกายหนัก ๆ เพื่อป้องกันการระคายเคือง และป้องกันการติดเชื้อ

คำถามยอดฮิตเกี่ยวกับ Biostimulator

รวมคำถามยอดฮิต เกี่ยวกับการฉีด Biostimulator กระตุ้นคอลลาเจน

ผลข้างเคียงหลังฉีด Biostimulator กระตุ้นคอลลาเจน

  • หลังฉีด Biostimulator อาจเกิดรอยแดง บวมช้ำได้ ซึ่งเป็นอาการที่พบได้บ่อยและมักหายไปเองภายใน 2 – 3 วัน
  • หลังฉีด Biostimulator อาจเกิดอาการคันเล็กน้อยในบริเวณที่ฉีด Biostimulator ซึ่งอาการคันที่เกิดขึ้น สามารถหายได้เอง
  • หลังฉีด Biostimulator อาจเกิดอาการปวดหรือเจ็บในบริเวณที่ฉีด Biostimulator ซึ่งสามารถบรรเทาอาการปวดได้ด้วยการประคบเย็น
  • หลังฉีด Biostimulator อาจเกิดรอยแดง รอยดำเล็กน้อย ซึ่งจะค่อย ๆ จางหายไปได้เอง

 

Biostimulator กระตุ้นคอลลาเจน ปลอดภัยไหม?

  • การฉีด Biostimulator เป็นการกระตุ้นคอลลาเจนที่มีความปลอดภัย มีหัตถการให้เลือกหลากหลาย เช่น Radiesse, Sculptra หรือ Ultracol ซึ่งแต่ละหัตถการ ก็ผ่านการรับรองจาก TH FDA หรือ อย.ไทย ทั้งสิ้น ดังนั้น Biostimulator จึงมีความปลอดภัยสูง สามารถเข้ากันได้ดีกับร่างกายของเรา แต่อย่างไรก็ตาม ควรฉีด Biostimulator กับแพทย์ผู้ชำนาญการ ในคลินิกที่ได้มาตรฐาน เท่านั้น เนื่องจากการฉีด Biostimulator ต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจในโครงสร้างผิวหน้า และเทคนิคในการฉีดที่ถูกต้อง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติและปลอดภัยที่สุด หากเลือกฉีดกับแพทย์ที่ไม่มีความชำนาญ คลินิกที่ไม่น่าเชื่อถือ อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงรุนแรงได้ เช่น เกิดการติดเชื้อ หรือผิวหนังอักเสบได้

 

Biostimulator กระตุ้นคอลลาเจน กับ ฟิลเลอร์ ต่างกันอย่างไร?

  • การฉีดฟิลเลอร์ เป็นสารเติมเต็มที่มีส่วนประกอบของ ไฮยาลูรอนิก แอซิด (HA) เป็นหลัก ซึ่งจะเน้นการเติมเต็มริ้วรอย ร่องลึก และปรับรูปหน้า ทำให้ผิวหน้าดูอิ่มฟู เรียบเนียน และดูมีมิติ สามารถเห็นผลลัพธ์ได้ทันทีหลังฉีด โดยฟิลเลอร์ จะเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาใบหน้าไม่สมส่วน เช่น ขมับตอบ แก้มตอบ คางบุ๋ม หรือมีปัญหาร่องลึก เช่น ร่องแก้ม เบ้าตาลึก ทำให้ดูแก่กว่าวัย
  • ส่วน Biostimulator เป็นสารกระตุ้นคอลลาเจนจากภายใน ตามกระบวนการธรรมชาติ ซึ่งมีหลากหลายประเภท ทั้ง CaHA, PLLA หรือ PDO โดยจะเน้นกระตุ้นคอลลาเจน เสริมโครงสร้างผิวให้แข็งแรงเป็นหลัก ทำให้ผิวแน่นกระชับ เต่งตึง และลดเลือนริ้วรอย สามารถคงผลลัพธ์ได้ยาวนานมากกว่าการฉีดฟิลเลอร์ ซึ่ง Biostimulator เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย มีริ้วรอยแห่งวัย ผิวขาดความกระชับ ต้องการปรับปรุงโครงสร้างผิวให้แข็งแรง

 

ดังนั้น การฉีด Biostimulator หรือ สารกระตุ้นคอลลาเจน จึงถือเป็นทางเลือกที่น่าจับตามองอย่างมาก เนื่องจากสามารถกระตุ้นให้ร่างกายผลิตคอลลาเจนขึ้นมาเองตามธรรมชาติ ฟื้นฟูโครงสร้างผิวจากภายใน ทำให้สามารถแก้ปัญหาผิวได้อย่างตรงจุด ไม่ว่าจะเป็น ผิวหย่อนคล้อย มีริ้วรอย หรือขาดความชุ่มชื้น ซึ่งการฉีด Biostimulator มีให้เลือกหลากหลายหัตถการที่ได้รับความนิยมทั่วโลก อย่าง Sculptra, Radiesse หรือ Utracol โดยแต่ละหัตถการก็มีจุดเด่นที่แตกต่างกันอยู่ แนะนำให้เข้ามาปรึกษาแพทย์ผู้ชำนาญการก่อนตัดสินใจฉีด Biostimulator ได้ที่ รมย์รวินท์คลินิก ทุกสาขา เพื่อให้แพทย์วิเคราะห์และประเมินปัญหาผิวหน้าอย่างละเอียด พร้อมเลือกหัตถการที่เหมาะสมที่สุด ตอบโจทย์ความต้องการอย่างแท้จริง 

ฉีดหน้าใสอันตราย สุดท้ายติดเชื้อทั้งหน้า !!

ฉีดหน้าใส

สายฉีดหน้าระวัง! ฉีดหน้าใส สุดท้ายติดเชื้อทั้งหน้า

ระทึกโซเชียล! กลายเป็นประเด็นร้อนแรง เมื่อมีแพทย์ผู้ชำนาญการด้านภูมิคุ้มกันผิวหนังท่านหนึ่ง ออกมาเตือนภัยสาว ๆ สายฉีดหน้าหลาย ๆ คน ให้ระวังอันตราย จากการเลือกคลินิกที่ไม่ได้มาตรฐานและไม่มีความน่าเชื่อถือ หลังพบผู้เสียหายเป็นจำนวนมาก ฉีดหน้าใสแล้วเกิดติดเชื้ออย่างรุนแรง มีอาการตุ่มแดง ๆ ขึ้นทั่วใบหน้า เนื่องจากยาที่ฉีดเป็นตัวยาที่ผลิตในประเทศไทย ขึ้นทะเบียนเป็นเครื่องสำอางชนิดทา แต่แพทย์กลับนำมาฉีดให้แก่ผู้รับบริการ ซึ่งถือเป็นเรื่องร้ายแรงและอันตรายอย่างมาก โดยจากการตัดชิ้นเนื้อไปพิสูจน์แล้วพบว่า ผู้เสียหายบางรายเป็น Mycobacterium avium และผู้เสียหายบางรายก็เป็น Mycobacterium abcessus ซึ่งการติดเชื้อโรคนี้ ไม่สามารถหายเองได้ รักษาก็ไม่ง่าย ต้องใช้เวลาในการรับประทานยาอยู่หลายเดือน

เหตุการณ์นี้ สร้างความฮือฮาและเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในโลกโซเชียล โดยแพทย์ผู้ชำนาญการเน้นย้ำให้ผู้รับบริการทุกท่าน ศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจทำหัตถการใด ๆ เพื่อป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดฝันในลักษณะนี้อีก หากไม่มีการตรวจสอบก่อนการทำหัตถการให้ดี อาจโชคร้ายเหมือนเคสนี้ได้ นอกจากนี้ แพทย์ยังได้เรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งเข้ามาตรวจสอบและดำเนินการกับคลินิกที่ไม่ได้มาตรฐานอย่างจริงจัง เพื่อปกป้องสิทธิของผู้รับบริการ และสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ที่ต้องการเข้ารับบริการคลินิกเสริมความงามอีกด้วย

 

ภัยร้าย! ฉีดหน้าใส แต่กลับติดเชื้อ หน้าพังทั้งหน้า

 

ฉีดหน้าใส คืออะไร?

การฉีดหน้าใส คือ การฉีดวิตามินหรือสารสกัดที่มีส่วนผสมของคอลลาเจนและโคเอนไซม์ ในการบำรุงผิวหน้า เข้าสู่ผิวชั้นหนังแท้ (Dermis) โดยตรง การฉีดหน้าใสจะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่น มีความชุ่มชื้น และดูกระจ่างใส นอกจากนี้ ยังช่วยแก้ปัญหาผิวหมองคล้ำ ฝ้า กระ และรูขุมขนกว้างได้อีกด้วย

 

ผลิตภัณฑ์หน้าใส มีกี่รูปแบบ?

ผลิตภัณฑ์หน้าใส สามารถแบ่งได้เป็น 2 รูปแบบ ได้แก่

  • ผลิตภัณฑ์หน้าใสแบบทา

    ผลิตภัณฑ์หน้าใสแบบทา เป็นเหมือนการทาครีมหรือเซรั่มที่มีส่วนผสมของสารบำรุงผิวเข้มข้น เพื่อให้ผิวดูดซึมสารอาหาร ซึ่งจะซึมเข้าสู่ผิวไม่ลึกเท่ากับการฉีดหน้าใส และต้องใช้เวลานานกว่าจะเห็นผล แต่มีผลข้างเคียงน้อยและมีราคาที่ประหยัดกว่าเมื่อเทียบกับการฉีดหน้าใส เหมาะสำหรับผู้ที่มีงบประมาณจำกัด

  • ผลิตภัณฑ์หน้าใสแบบฉีด

    ผลิตภัณฑ์หน้าใสแบบฉีด เป็นการฉีดสารบำรุงผิวเข้มข้น เข้าสู่ผิวชั้นหนังแท้โดยตรง ทำให้สารอาหารสามารถซึมเข้าสู่ผิวได้อย่างล้ำลึก เห็นผลได้เร็วกว่าผลิตภัณฑ์หน้าใสทา สามารถแก้ปัญหาผิวได้อย่างตรงจุด ไม่ว่าจะเป็นรอยสิว ฝ้า กระ หรือรูขุมขน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่รวดเร็ว

 

ฉีดหน้าใส อันตรายไหม?

  • การฉีดหน้าใส ถือว่ามีความปลอดภัยสูง เนื่องจากสารที่ใช้ฉีดหน้าใสส่วนใหญ่เป็นวิตามิน แร่ธาตุ และสารสกัดจากธรรมชาติ ที่มีประโยชน์ต่อผิวหนังของเรา เช่น วิตามินซี กรดไฮยาลูรอนิก และคอลลาเจน เป็นต้น ซึ่งสารเหล่านี้ จะช่วยบำรุงผิวให้แข็งแรง ชุ่มชื้น และกระจ่างใสขึ้น ที่สำคัญควรฉีดหน้าใสกับแพทย์ที่มีประสบการณ์ คลินิกที่ได้มาตรฐาน ใช้ตัวยาแท้ เนื่องจากอันตรายที่พบจากการฉีดหน้าใสส่วนใหญ่ เกิดจากการฉีดหน้าใสของปลอม ที่มีการลักลอบขายในคลินิกที่ไม่ได้มาตรฐาน

ฉีดเมโสหน้าใส

ผลข้างเคียง! เมื่อใช้ผลิตภัณฑ์หน้าใสแบบทาฉีดเข้าผิวหน้า

การใช้ผลิตภัณฑ์หน้าใสแบบทาฉีดเข้าสู่ผิวหน้านั้น ถือเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายและเป็นอันตรายต่อผู้รับบริการอย่างร้ายแรง เนื่องจากผลิตภัณฑ์หน้าใสแบบทาและแบบฉีด มีส่วนผสมและวิธีการใช้ที่แตกต่างกัน การนำมาใช้ผิดประเภท อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่ไม่คาดคิดและส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวได้ ดังนี้

  • เกิดการติดเชื้อ เนื่องจากการใช้ผลิตภัณฑ์หน้าใสแบบทาที่ไม่ได้รับการฆ่าเชื้อมาฉีดเข้าสู่ผิว อาจทำให้เกิดการปนเปื้อนของแบคทีเรียหรือเชื้อโรค จนนำไปสู่การติดเชื้อได้
  • เกิดอาการแพ้ เนื่องจากสารเคมีในผลิตภัณฑ์หน้าใสแบบทา อาจก่อให้เกิดอาการแพ้รุนแรง เช่น ผื่นคัน บวม หรือมีตุ่มแดงได้
  • ผิวหนังอักเสบ เนื่องจากการใช้ผลิตภัณฑ์หน้าใสแบบทาฉีดเข้าผิวหน้า อาจทำให้ผิวหนังเกิดการระคายเคือง จนอักเสบเรื้อรังได้
  • เกิดฝ้า กระ จุดด่างดำ เนื่องจากการใช้ผลิตภัณฑ์หน้าใสแบบทาฉีดเข้าผิวหน้า อาจไปกระตุ้นให้เกิดการผลิตเม็ดสีเมลานินมากขึ้น จนเกิดปัญหาฝ้า กระ และจุดด่างดำได้
  • ผลข้างเคียงร้ายแรง ในกรณีที่รุนแรง อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรง เช่น หลอดเลือดอักเสบ เกิดแผลเป็น หรือแม้แต่การเกิดมะเร็งผิวหนัง

 

เลือกฉีดหน้าใส ต้อง รมย์รวินท์คลินิก

ที่ รมย์รวินท์คลินิก เราให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของผู้รับบริการเป็นอันดับหนึ่ง เราจึงเลือกใช้ตัวยาที่ฉีดหน้าใสที่มีคุณภาพสูง ได้รับการรับรองมาตรฐานจาก สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และมีการสั่งซื้อตัวยาจากบริษัทที่นำเข้าอย่างถูกกฎหมาย ไปจนถึงการให้บริการโดยแพทย์ผู้ชำนาญการอย่างเป็นมืออาชีพ ซึ่งก่อนทำการฉีดหน้าใส แพทย์จะเป็นผู้ประเมินและวิเคราะห์ปัญหาผิวหน้าอย่างละเอียด เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมที่สุด ทำให้มั่นใจในผลลัพธ์ที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ

ดังนั้น สำหรับใครที่อยากหน้าใสแบบไม่ต้องเสี่ยง สามารถเข้ามาปรึกษาแพทย์ผู้ชำนาญการของ รมย์รวินท์คลินิก ได้ทุกสาขา เราพร้อมดูแลปัญหาผิวของคุณในทุก ๆ รูปแบบ ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยและผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน ตอบโจทย์ทุกปัญหาของผิวหน้าแบบเฉพาะบุคคล รับรองว่า จะได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดและเป็นส่วนตัวอย่างแน่นอน

พังยับเยิน! หน้าไหม้ หน้าเบิร์น เพราะ Ulthera ปลอม

ulthera ปลอม

ผิวไหม้เกรียม! อุทาหรณ์ Ulthera ปลอมทำพิษ

อยากสวย อยากหน้ายก หน้าเรียว ต้องระวังให้ดี! เพราะล่าสุดมีข่าวสุดช็อก เมื่อมีหญิงสาวรายหนึ่ง ได้ตัดสินใจยกกระชับผิวหน้า ด้วยเครื่อง Ulthera ที่คลินิกแห่งหนึ่ง ซึ่งมีราคาต่ำกว่าปกติ แต่โชคร้ายที่ดันไปเจอ Ulthera ปลอมเข้าให้ ผลที่ได้คือ หน้าไหม้ หน้าเบิร์น และมีรอยแดงเป็นวงกว้าง ผิวเสียหายอย่างรุนแรง แทนที่จะสวย แต่กลับต้องมานั่งเสียใจ กับความผิดพลาดที่เกิดขึ้น นอกจากจะเสียเงินฟรีแล้ว ยังเสี่ยงหน้าพังอีกด้วย ซึ่งเหตุการณ์สะเทือนขวัญนี้ ถือเป็นบทเรียนราคาแพงที่เตือนให้เราเห็นถึง อันตรายของการเลือกคลินิกที่ไม่ได้มาตรฐานและเครื่องมือที่ไม่ได้รับการรับรอง

ดังนั้น การเลือกคลินิกความงามในการทำหัตถการ จึงควรพิจารณาอย่างรอบคอบ อย่าหลงเชื่อแค่คำโฆษณา ไม่ใช่แค่ดูราคาที่ถูกที่สุด แต่ควรพิจารณาจากความน่าเชื่อถือของคลินิก ประสบการณ์ของแพทย์ และเครื่องมือที่ใช้ในการทำหัตถการด้วย เพราะหากเลือกผิดพลาด อาจส่งผลกระทบต่อใบหน้า ทำให้เสียโฉมตลอดชีวิตได้

Ulthera คืออะไร ?

Ulthera คือ เทคโนโลยียกกระชับผิวหน้า ที่ใช้คลื่นเสียงความถี่สูงแบบเฉพาะเจาะจง (Focused Ultrasound) ถูกออกแบบมาให้ส่งพลังงานความร้อน 60 – 70°C ไปยังชั้นผิว SMAS ได้อย่างตรงจุด ซึ่งเป็นชั้นผิวที่อยู่ลึกที่สุด ชั้นเดียวกับที่ทำการผ่าตัดศัลยกรรมดึงหน้า โดยไม่ต้องมีการผ่าตัดหรือพักฟื้น ซึ่งความร้อนระดับนี้ มีความปลอดภัยต่อผิวหนัง มีระบบควบคุมพลังงานที่แม่นยำ จึงลดความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียง เช่น หน้าไหม้ หน้าเบิร์น หรือรอยแดงได้ สามารถแก้ไขปัญหาครอบคลุมทุกชั้นผิว โดยปรับระดับความลึกในการส่งพลังงานได้หลายระดับ ทำให้สามารถเข้าถึงชั้นผิวที่แตกต่างกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เมื่อเครื่อง Ulthera ส่งพลังงานความร้อนลงไปยังชั้นผิว SMAS จะเกิดการกระตุ้นให้เซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast) ซึ่งเป็นเซลล์ที่ทำหน้าที่ ในการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ตื่นตัวขึ้น เมื่อเซลล์ไฟโบรบลาสต์ได้รับการกระตุ้น จะเริ่มผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินขึ้นมาใหม่ ทดแทนส่วนที่เสื่อมสภาพไปตามอายุ ทำให้ผิวเกิดการยกกระชับ กลับมาเต่งตึงและเรียบเนียน รวมถึง แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยได้เป็นอย่างดี

Ulthera ถือเป็นเครื่องยกกระชับที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน ด้วยความต้องการในการทำที่สูงขึ้น ทำให้มีเครื่องปลอมออกมาหลอกลวงผู้รับบริการมากมาย หากไม่ระวัง อาจตกเป็นเหยื่อของเครื่องปลอม ซึ่งก่อให้เกิดผลเสียต่อผิวหน้าของเราได้ แต่จะรู้ได้อย่างไรว่า Ulthera เครื่องไหนคือเครื่องแท้ มีวิธีตรวจสอบอย่างไร บทความนี้มีคำตอบมาให้แล้วค่ะ

ulthera ปลอม

เครื่อง Ulthera ปลอม อันตรายแค่ไหน?

แม้ว่าเครื่อง Ulthera จะได้รับการยอมรับว่าเป็นเทคโนโลยียกกระชับผิว ที่มีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ แต่ในปัจจุบันก็ยังมีปัญหาเครื่อง Ulthera ปลอมระบาดอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อผิวหน้าอย่างร้ายแรง เนื่องจากเครื่องเหล่านี้ ไม่มีระบบความปลอดภัยที่เพียงพอ ทำให้เกิดความเสี่ยงในการเกิดความเสียหายต่อชั้นผิวขณะทำหัตถการ อาจนำไปสู่ปัญหาต่าง ๆ ได้ ดังนี้

  • หน้าไหม้ หน้าเบิร์น เนื่องจากเครื่อง Ulthera ปลอม ปล่อยพลังงานความร้อนออกมาไม่เหมาะสม ทำให้เกิดความร้อนสูงเกินไปในบางจุด จนทำให้หน้าไหม้ ผิวหนังอักเสบ มีรอยแดง มีอาการบวมช้ำ จนกระทั่งเกิดแผลเป็นได้
  • ใบหน้าเบี้ยว ในกรณีที่รุนแรง การใช้เครื่อง Ulthera ปลอม อาจทำให้เส้นประสาทบนใบหน้าเกิดความเสียหาย ได้รับการบาดเจ็บ ส่งผลให้ใบหน้าเบี้ยว อ่อนแรง หรือเกิดความผิดปกติในการเคลื่อนไหวใบหน้าได้
  • ผิวหย่อนคล้อยกว่าเดิม เนื่องจาก Ulthera เครื่องปลอม มักจะปล่อยพลังงานความร้อนออกมาไม่สม่ำเสมอ หรือมีพลังงานต่ำกว่ามาตรฐาน ทำให้ไม่สามารถกระตุ้นให้เซลล์ไฟโบรบลาสต์สร้างคอลลาเจนและอีลาสตินได้อย่างเต็มที่ ส่งผลให้ผิวไม่เกิดการยกกระชับ หรืออาจหย่อนคล้อยมากกว่าเดิม
  • ผลลัพธ์ไม่มีประสิทธิภาพ เนื่องจาก Ulthera เครื่องปลอม ไม่มีประสิทธิภาพในการยกกระชับผิวหน้าที่ดีพอ ทำให้ผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามที่ต้องการ หรือได้ผลลัพธ์ที่ไม่สม่ำเสมอ

 

Ulthera  เครื่องแท้ มีวิธีตรวจสอบอย่างไร?

  • ตรวจสอบรายชื่อคลินิกในประเทศไทยที่ให้บริการ Ulthera ครื่องแท้ ได้ในเว็บไซต์ Merz Aesthetics บริษัทผู้จัดจำหน่ายเครื่อง Ulthera อย่างเป็นทางการในประเทศไทย เว็บไซต์ :  www.merzaesthetics.co.th 
  • ภายในคลินิก มีโล่คริสตัลเพชรและใบ Certificate of Authenticity รับรองว่าคลินิกนี้ ใช้เครื่องแท้จากบริษัท Merz Aesthetics อย่างชัดเจน ชื่อคลินิกที่ปรากฏในใบรับรองตรงกับชื่อคลินิกที่กำลังเข้ารับบริการ
  • ตรวจสอบสติกเกอร์ที่ติดอยู่บนตัวเครื่อง Ulthera ได้แก่ สติกเกอร์สีทอง รับรองจากบริษัทนำเข้า Merz Aesthetics และสติกเกอร์สีส้ม รับรอง Ulthera เครื่องแท้  
  • สแกน QR Code หน้าเครื่อง Ulthera  สามารถสแกนเพื่อตรวจสอบได้ว่า Ulthera เครื่องที่ใช้บริการ เป็นเครื่องแท้หรือไม่
  • เมื่อเปิดเครื่อง Ulthera ใช้งาน จะมีโลโก้ Ulthera ปรากฏขึ้นบนหน้าจอและมีหน้าจอแสดงผลแบบ Real Time
  • เมื่อใช้บริการเครื่อง Ulthera เสร็จสิ้น จะได้รับใบรับรอง Certificate ว่าทำ Ulthera เครื่องแท้

 

การเลือกทำ Ulthera กับคลินิกที่ใช้เครื่องแท้จึงเป็นสิ่งสำคัญ อย่าไปหลงกลกับราคาถูก หรือโฆษณาที่เกินจริง เพราะการทำ Ulthera เครื่องปลอม เท่ากับการสูญเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์ และอาจนำมาสู่ผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายได้ เช่น หน้าไหม้ หน้าเบิร์น ผิวแดง หรือแผลเป็น ดังนั้น ตรวจสอบคลินิกให้ละเอียดก่อนตัดสินใจ อยากสวยแบบไม่ต้องเสี่ยง ควรเลือกคลินิกที่มีมาตรฐาน ใช้ Ulthera  เครื่องแท้อย่าง รมย์รวินท์คลินิก ที่การันตีความปลอดภัย ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ใช้เครื่องแท้ทุกหัตถการ และทีมแพทย์ที่มีประสบการณ์ พร้อมให้คำปรึกษาและดูแลอย่างใกล้ชิด ให้คุณสวยแบบมั่นใจ ไม่ต้องเสี่ยงหน้าไหม้ หน้าเบิร์นอีกต่อไปค่ะ

ฝันสลาย! หน้าเบี้ยว เพราะฉีดฟิลเลอร์เกินขนาด 

หน้าเบี้ยว

ฝันสลาย! หน้าเบี้ยว เพราะฉีดฟิลเลอร์เกินขนาด 

เกิดเหตุการณ์สลดใจ สะเทือนวงการความงาม สืบเนื่องมาจาก มีผู้เสียหายรายหนึ่ง ได้พาครอบครัวไปทำสวยที่คลินิกชื่อดัง ย่านใจกลางเมือง แต่กลับต้องเผชิญกับผลลัพธ์ที่น่าตกใจ เมื่อหลังจากฉีดฟิลเลอร์ไปแล้ว ทั้งตนเอง แม่ และพี่สาวกลับมีอาการหน้าเบี้ยว หน้าผิดรูปอย่างรุนแรง โดยผู้เสียหายเปิดเผยว่า แพทย์ผู้ทำการรักษา ได้ฉีดฟิลเลอร์ให้ในปริมาณที่มากเกินความจำเป็น ตนเองฉีดไป 18 CC พี่สาว 22 CC และแม่ 37 CC ซึ่งเป็นปริมาณที่มากเกินมาตรฐาน และเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อน สูญเสียเงินไปกว่า 1 ล้านบาท ขณะนี้ มีผู้เสียหายออกมาร้องทุกข์มากกว่า 10 รายแล้ว จากการตรวจสอบพบว่า นายแพทย์เจ้าของคลินิกเสริมความงามชื่อดัง เป็นเพียงแพทย์ทั่วไป มีการแอบอ้างตนเองว่า เป็นอาจารย์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังและเวชศาสตร์ฟื้นฟู ซึ่งมีการจ้างดาราและอินฟลูเอนเซอร์ มาโปรโมทคลินิกเป็นจำนวนมาก ทำให้มีผู้คนหลงเชื่อเข้ารับบริการร ผลลัพธ์ที่ได้กลับตรงกันข้าม ก่อให้เกิดความเสียหายทั้งร่างกายและจิตใจอีกด้วย

เหตุการณ์นี้ แสดงให้เห็นถึงความละเลยของผู้ประกอบการที่ยอมเสี่ยงเพื่อผลกำไร โดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้รับบริการ ถือเป็นบทเรียนสำคัญที่สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาในวงการคลินิกความงาม ดังนั้น การเลือกใช้บริการคลินิกความงาม ควรมีการศึกษาข้อมูลและพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจ เพื่อป้องกันไม่ให้มีใครเป็นเหยื่อลักษณะนี้อีก

ระวัง! ฉีดฟิลเลอร์มากไป เสี่ยงหน้าเบี้ยว หน้าผิดรูป

ฉีดฟิลเลอร์ คืออะไร?

การฉีดฟิลเลอร์ คือ การฉีดสารเติมเต็มประเภท กรดไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid หรือ HA) ซึ่งมีคุณสมบัติในการอุ้มน้ำ ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและดูอิ่มฟู โดยการฉีดฟิลเลอร์จะเข้าไปเติมเต็มชั้นผิวที่เสื่อมสภาพและมีการยุบตัวลง ทดแทนคอลลาเจนที่สูญเสียไปเมื่ออายุมากขึ้น นอกจากนี้ ยังสามารถฉีดงานผิว Skin Booster เพื่อปรับปรุงคุณภาพผิวและเติมเต็มความชุ่มชื้นได้อีกด้วย ซึ่ง การฉีดฟิลเลอร์สามารถเลือกฉีดได้หลากหลายบริเวณ เช่น ร่องแก้ม ใต้ตา หน้าแก้ม หน้าผาก ขมับ คาง หรือริมฝีปาก เป็นการแก้ไขปัญหาผิว ริ้วรอยและร่องลึกต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

ฉีดฟิลเลอร์แต่ละจุดควรใช้กี่ CC ?

ปริมาณในการเลือกฉีดฟิลเลอร์แต่ละจุด ในแต่ละบุคคลมีความแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งสภาพผิวหน้า ปัญหาที่ต้องการแก้ไข บริเวณที่ต้องการฉีด รวมถึงความต้องการของแต่ละคน โดยแพทย์จะเป็นผู้ประเมินสภาพผิวหน้า พร้อมแนะนำปริมาณการฉีดฟิลเลอร์ที่เหมาะสมว่า แต่ละจุดควรเลือกฉีดฟิลเลอร์กี่ CC  เพื่อลดโอกาสในการฉีดฟิลเลอร์มากเกินความจำเป็น จนอาจทำให้เสี่ยงหน้าเบี้ยวได้ ดังนั้น การฉีดฟิลเลอร์ในปริมาณที่เหมาะสม จะทำให้ผลลัพธ์ที่ออกมาดูเป็นธรรมชาติ ไม่แข็งทื่อจนเกินไป

 

ภาวะฉีดฟิลเลอร์มากเกินไป คืออะไร?

Facial Overfilled Syndrome หรือที่เรียกกันว่า “ภาวะฉีดฟิลเลอร์มากเกินไป คือ ภาวะฉีดฟิลเลอร์ในปริมาณที่มากเกินความพอดี ซึ่งอาจเป็นการเติมเต็มฟิลเลอร์ในทุกพื้นที่ของใบหน้า หรือเติมเต็มเฉพาะจุดในปริมาณที่มากเกินความต้องการ จนใบหน้าดูล้นและไม่ธรรมชาติ ส่งผลให้เกิดผลข้างเคียงอันตรายตามมาสารพัด ไม่ว่าจะเป็นใบหน้าผิดรูป ใบหน้าไม่สมส่วน และใบหน้าเบี้ยวได้

 

ฉีดฟิลเลอร์มากเกินไป เกิดจากอะไร?

  • แพทย์ไม่มีความเชี่ยวชาญ เกิดจากแพทย์ประเมินปริมาณการฉีดฟิลเลอร์ ในแต่ละจุดไม่พอดีกับปัญหาผิวหน้า มีการคำนวณปริมาณฟิลเลอร์ที่ผิดพลาด ทำให้เกิดการฉีดฟิลเลอร์มากเกินความพอดี จนใบหน้าเบี้ยวและผิดรูปได้
  • ความต้องการของผู้รับบริการ เกิดจากผู้รับบริการบางราย ต้องการเห็นผลการเปลี่ยนแปลงหลังฉีดฟิลเลอร์แบบชัดเจน ทำให้ยอมรับที่จะฉีดฟิลเลอร์ในปริมาณที่มากเกินความจำเป็น
  • โฆษณาเกินจริง คลินิกบางแห่งมีการโฆษณาที่เกินจริง เกี่ยวกับปริมาณในการฉีดฟิลเลอร์ เป็นที่มาของคำว่า ยิ่งเติมยิ่งเต็ม ยิ่งเต็มยิ่งสวย ทำให้ผู้รับบริการเกิดความเข้าใจผิดและหลงเชื่อ หากฉีดฟิลเลอร์มากเกินความพอดี อาจทำให้ใบหน้าเบี้ยวได้ไม่รู้ตัว

หน้าเบี้ยว

ฉีดฟิลเลอร์มากเกินไป อันตรายไหม?

การฉีดฟิลเลอร์มากเกินไป ถือเป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียง อาจทำให้เกิดอันตรายในบริเวณที่ฉีดหรือลุกลามไปยังบริเวณอื่น ๆ ได้ เช่น

  • ใบหน้าแข็งทื่อ เนื่องจากการฉีดฟิลเลอร์มากเกินไป ทำให้ใบหน้าแข็งทื่อ ดูไม่เป็นธรรมชาติ และแสดงออกทางสีหน้าได้ยากขึ้น
  • ใบหน้าไม่สมส่วน การฉีดฟิลเลอร์ในบางจุดมากเกินความพอดี อาจทำให้ใบหน้าไม่สมส่วน ดูบวม แหลม และแปลกไปจากเดิมได้ เช่น หน้าผากนูน ริมฝีปากดูหนาใหญ่ หรือคางแหลมเหมือนแม่มด
  • ฟิลเลอร์เป็นก้อน เนื่องจากฟิลเลอร์ที่ฉีดเข้าไป เกิดการจับตัวเป็นก้อนอยู่ใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวไม่เรียบเนียนและมองเห็นเป็นก้อนได้อย่างชัดเจน
  • ใบหน้าเบี้ยว ในกรณีรุนแรง มีความเสี่ยงสูงที่ฟิลเลอร์จะไปอุดตันในหลอดเลือด ทำให้เกิดภาวะขาดเลือด ส่งผลให้ใบหน้าเบี้ยวได้

 

ฉีดฟิลเลอร์มากเกินไป มีวิธีแก้ไขอย่างไร?

  • ฉีดสลายฟิลเลอร์ เป็นทางเลือกแรกที่แพทย์จะพิจารณา ในกรณีที่ฉีดฟิลเลอร์มาแล้วเกิดปัญหา ซึ่งแพทย์จะทำการฉีดสลายฟิลเลอร์เข้าไปในยังผิวหนัง โดยใช้เอนไซม์ไฮยาลูรอนิเดส (Hyaluronidase หรือ HYAL) สามารถย่อยสลายฟิลเลอร์ประเภท ไฮยาลูรอนิก แอซิด (HA) ได้ ซึ่งเอนไซม์ตัวนี้จะเข้าไปทำลายการยึดเกาะของเนื้อฟิลเลอร์ ทำให้ฟิลเลอร์เกิดการสลายตัว ส่งผลให้ผิวกลับมาเรียบเนียนเหมือนเดิมหรือใกล้เคียงเดิมมากที่สุด ซึ่งก่อนฉีดสลายฟิลเลอร์ ต้องแจ้งข้อมูลการฉีดฟิลเลอร์ก่อนหน้า ให้แพทย์ทราบอย่างละเอียด เพื่อให้แพทย์คำนวณปริมาณการใช้ยาสลายฟิลเลอร์ที่เหมาะสม ไม่กระทบเนื้อเยื่อส่วนอื่น ๆ
  • ขูดฟิลเลอร์ สามารถใช้กับฟิลเลอร์ที่ไม่ใช่ประเภท ไฮยาลูรอนิก แอซิด (HA) ซึ่งใช้ในกรณีที่ฟิลเลอร์ไม่สามารถใช้การฉีดสลายได้ เมื่อขูดแล้ว ไม่สามารถนำฟิลเลอร์ออกได้หมด อาจนำออกได้เพียง 60 – 70%
  • ผ่าตัด สามารถใช้กับฟิลเลอร์ประเภท ซิลิโคนเหลว ที่เป็นก้อนแข็งขนาดใหญ่ นอกจากนี้ ยังเหมาะสำหรับผู้ที่ฉีดฟิลเลอร์มานานจนเป็นพังผืดเกาะ ซึ่งการผ่าตัดไม่สามารถนำฟิลเลอร์ออกได้หมด เนื่องจากต้องระมัดระวังเส้นประสาทหรือเส้นเลือดสำคัญต่าง ๆ ในร่างกาย แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจ

ฉีดฟิลเลอร์ที่ รมย์รวินท์คลินิก ดีกว่าอย่างไร?

  • ทีมแพทย์มีประสบการณ์ มีความเชี่ยวชาญด้านการฉีดฟิลเลอร์โดยเฉพาะ สามารถคำนวณปริมาณในการฉีดฟิลเลอร์แต่ละจุดได้อย่างแม่นยำ
  • วิเคราะห์รูปหน้าอย่างละเอียดด้วยเทคนิค Lifting Select เฉพาะที่ รมย์รวินท์คลินิก ได้แก่ Fame Selection ปรับโครงหน้าให้ดูอ่อนเยาว์, Light & Shadow Me เพิ่มมิติ เสริมจุดเด่นให้ใบหน้า และ Conceal Selection เผยงานผิว ปรับผิวฉ่ำวาว
  • ใช้ฟิลเลอร์แท้ มีให้เลือกหลากหลายยี่ห้อ ที่นำเข้ามาจากแบรนด์ชั้นนำระดับโลกอย่างถูกต้อง สามารถตรวจสอบฟิลเลอร์ได้ทุกกล่องก่อนฉีด
  • เลือกใช้ฟิลเลอร์ ที่ผ่านการรองรับมาตรฐานความปลอดภัยจาก สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ทั้งจากประเทศไทยและสหรัฐอเมริกา
  • รีวิวการฉีดฟิลเลอร์จากผู้ใช้บริการจริง สามารถเห็นผลการเปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจน หลังฉีดให้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ

ฉีดฟิลเลอร์แล้วหน้าเบี้ยว ฉีดฟิลเลอร์แล้วหน้าผิดรูป ซึ่งวิธีป้องกันปัญหาเหล่านี้ที่ดีที่สุด คือ การเลือกฉีดฟิลเลอร์กับแพทย์ที่มีประสบการณ์และคลินิกที่ได้มาตรฐาน รวมถึง เลือกยี่ห้อฟิลเลอร์ที่ได้รับการรับรองจาก อย. ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรพิจารณาเป็นอันดับแรก ก่อนจะตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ เพื่อลดโอกาสในการฉีดฟิลเลอร์เกินขนาด มากเกินความพอดี จนทำให้เสี่ยงหน้าเบี้ยวได้ สำหรับผู้ที่มีข้อสงสัยหรือสนใจฉีดฟิลเลอร์ สามารถเข้ามาปรึกษากับ รมย์รวินท์คลินิกได้เลย เพื่อให้แพทย์ประเมินผิวหน้าเบื้องต้น พร้อมเลือกฟิลเลอร์ที่เหมาะกับเรามากที่สุด ให้ผลลัพธ์ออกมาอย่างปลอดภัย และลดความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียง

รู้ลึกทุกปัญหาสิว จัดการถึงต้นตอ

สิว คืออะไร

“สิว” เกิดจากอะไร ? รู้ลึกทุกปัญหาสิว จัดการถึงต้นตอ

ปัญหาสิวเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในหลายช่วงอายุ โดยเฉพาะในช่วงวัยรุ่นที่มีฮอร์โมนพลุ่งพล่าน และสิ่งที่หลายคนมักเข้าใจผิดเกี่ยวกับการเกิดสิว คือ การเกิดสิวนั้นเกิดได้จากต่อมฮอร์โมนเพียงอย่างเดียว แต่ความเป็นจริงแล้วการเกิดสิว สามารถเกิดได้จากหลายปัจจัย และสิวก็มีหลายประเภท ดังนั้นการแยกแยะสิวแต่ละประเภท จะช่วยให้เราเลือกวิธีการดูแล และการรักษาสิวได้อย่างเหมาะสม

วันนี้รวมย์รวินท์คลินิก เลยจะพาทุกคนไปเจาะลึกถึงต้นตอการเกิดสิว และตอบทุกปัญหาเกี่ยวกับสิวกันสิว คืออะไร

สิวคืออะไร ?

สิวเป็นปัญหาผิวที่พบได้บ่อยจากการอุดตันของรูขุมขน ซึ่งเป็นผลมาจากการผลิตน้ำมันจากต่อมไขมันที่มากเกินไป รวมกับเซลล์ผิวที่ตายแล้วและสิ่งสกปรกที่สะสมอยู่บนผิว เมื่อรูขุมขนถูกอุดตัน จะกลายเป็นแหล่งที่แบคทีเรียชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า Cutibacterium Acnes (C. Acnes)เจริญเติบโต ส่งผลให้เกิดการอักเสบและเกิดสิวขึ้นมาในที่สุด และสิวส่วนมากมักจะเกิดบริเวณที่มีต่อมไขมันหนาแน่น เช่น ใบหน้า หลัง หน้าอก และไหล่ ซึ่งเป็นบริเวณที่ผลิตน้ำมันออกมามากกว่าส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย รูปแบบของสิวนั้นสามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภทตามลักษณะการเกิด

สิว เกิดจากอะไร

สิวเกิดจากอะไร ?

การเกิดสิวสามารถเกิดได้จากหลายปัจจัยที่ทำให้รูขุมขนอุดตัน และเกิดการอักเสบ ซึ่งปัจจัยหลักของการเกิดสิว มีได้ดังนี้

การเกิดสิวจากการผลิตน้ำมันมากเกินไป (Sebum)

  • เมื่อฮอร์โมนกระตุ้นการผลิตน้ำมันมากเกินไป จะทำให้เกิดปริมาณน้ำมันส่วนเกินที่ผิวไม่สามารถจัดการได้ และเมื่อผสานกับเซลล์ผิวที่ตายแล้ว จะทำให้เกิดการอุดตันรูขุมขน ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดสิว

การเกิดสิวจากการอุดตันของรูขุมขน

  • รูขุมขนเป็นช่องเปิดเล็ก ๆ ที่อยู่ในผิวหนัง ทำหน้าที่เป็นทางออกสำหรับน้ำมันและเหงื่อ เมื่อน้ำมันเซลล์ผิวที่ตายแล้ว หรือสิ่งสกปรกต่าง ๆ ที่ไปอุดตันรูขุมขน ผิวจะไม่สามารถหายใจได้ ทำให้รูขุมขนอักเสบทำให้เกิดสิวได้

การเกิดสิวจากแบคทีเรีย (Propionibacterium acnes)

  • เมื่อรูขุมขนอุดตัน แบคทีเรียจะสามารถเจริญเติบโตได้ในสภาพที่ไม่มีออกซิเจนภายในรูขุมขนที่อุดตัน โดยแบคทีเรียนี้สามารถปล่อยสารเคมีที่กระตุ้นการอักเสบ ทำให้เกิดสิวอักเสบได้

การเกิดสิวจากฮอร์โมน

  • การเกิดสิวจากฮอร์โมนแอนโดรเจนโดยเฉพาะในวัยรุ่น และผู้หญิงในช่วงก่อนประจำเดือน มีส่วนสำคัญในการกระตุ้นให้ต่อมไขมัน ผลิตน้ำมันเยอะขึ้นทำให้เกิดการอุดตันและเกิดสิวได้ และการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนที่ส่งผลต่อสิวไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในวัยรุ่นเท่านั้น แต่ยังเกิดได้ในวัยผู้ใหญ่ เช่น การตั้งครรภ์ หรือในช่วงวัยทอง ก็สามารถเกิดขึ้นได้เช่นกันการ

เกิดสิวจากปัจจัยทางพันธุกรรม

  • การเกิดสิวจากพันธุกรรม เกิดได้หากคนในครอบครัวโดยเฉพาะพ่อแม่มีปัญหาสิวตั้งแต่วัยรุ่น ทำให้โอกาสที่รุ่นลูกจะมีปัญหาสิวก็สูงขึ้นตาม โดยพันธุกรรมอาจส่งผลต่อการทำงานของต่อมไขมัน และการตอบสนองของผิวต่อปัจจัยต่าง ๆ

การเกิดสิวจากการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหรือเครื่องสำอางที่ไม่เหมาะสม

  • บางครั้งการเกิดสิวก็สามารถเกิดขึ้นได้จากการใช้ผลิตภัณฑ์บางชนิด เพราะในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหรือเครื่องสำอางบางชนิดอาจมีส่วนผสมที่ทำให้รูขุมขนอุดตัน เช่น ผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำมันเยอะๆ หรือสารซิลิโคน ที่ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อคนที่มีผิวมัน หรือผิวแพ้ง่ายอาจทำให้สิวกำเริบได้

การเกิดสิวจากความเครียด

  • การเกิดสิวสามารถเกิดจากความเครียดได้ เนื่องจากความเครียดสามารถกระตุ้นการผลิตฮอร์โมนที่สามารถกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากขึ้นได้ นอกจากนี้ความเครียดยังทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง ส่งผลให้ผิวหนังมีความไวต่อการอักเสบและแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิว และความเครียดระยะยาวยังอาจทำให้สิวเกิดขึ้นบ่อยและหายได้ช้าลง

การเกิดสิวจากการระคายเคืองจากสิ่งแวดล้อม

  • การเกิดสิวสามารถเกิดจากการระคายเคืองจากสิ่งแวดล้อมได้ เช่น มลภาวะ ฝุ่น ควัน และสิ่งสกปรกในอากาศ สิ่งเหล่านี้สามารถสะสมบนผิวหนังก่อให้เกิดการอุดตันรูขุมขนได้ และการใส่หน้ากากอนามัยนาน ๆ โดยไม่มีการเปลี่ยนหรือทำความสะอาด อาจทำให้ผิวระคายเคืองและเพิ่มโอกาสการเกิดสิวในบริเวณที่สัมผัสได้ เช่น สิวบริเวณคางและกรอบหน้า เป็นต้น

สิว มีกี่ประเภท

สิวมีกี่ประเภท ?

การเกิดสิวบนใบหน้า หรือลำตัวเป็นปัญหาที่ทำให้หลายคนรู้สึกกังวลใจ ซึ่งสิวก็สามารถเกิดได้ในหลายช่วงวัยและเกิดได้ในหลายจุดบนร่างกาย สิวแต่ละประเภทมีลักษณะเฉพาะและความต้องการในการดูแลรักษาที่แตกต่างกัน โดยสิวสามารถแบ่งออกได้ 2 ประเภท ดังนี้

สิวอุดตัน หรือสิวไม่อักเสบ (Comedone)

สิวอุดตันเกิดจากการอุดตันของรูขุมขนที่ไม่ได้เกิดการอักเสบ ซึ่งมักเป็นผลมาจากการผลิตน้ำมันมากเกินไป และเซลล์ผิวที่ตายแล้วซึ่งสิวอุดตันแบ่งออกเป็น

  • สิวหัวขาว (Closed Comedone) เป็นตุ่มที่เกิดจากการอุดตันในรูขุมขนที่ปิดอยู่ เมื่อสิ่งที่อุดตันอยู่ใต้ผิวหนัง จะปรากฏเป็นตุ่มเล็ก ๆ สีขาว ส่วนนี้มักจะไม่เจ็บปวดและมีความเสี่ยงน้อยต่อการเกิดการอักเสบ
  • สิวหัวดำ (Open Comedone) เป็นสิวที่รูขุมขนเปิดออก ทำให้อากาศทำปฏิกิริยากับน้ำมันและเซลล์ที่อุดตัน ทำให้มีสีดำสิวหัวดำมักเป็นสิวที่ดูมีลักษณะเด่นชัด และสามารถกำจัดได้ง่ายด้วยการทำความสะอาดผิว

สิวอักเสบ (Inflammatory Acne)

การเกิดสิวประเภทนี้เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียในรูขุมขน ทำให้เกิดการอักเสบ โดยสิวอักเสบแบ่งออกเป็น

  • สิวตุ่มนูนแดง (Papules) เป็นตุ่มเล็ก ๆ สีแดงที่มีอาการบวม แต่ยังไม่มีหนอง สิวตุ่มแดงมักมีอาการปวดและเป็นสัญญาณว่าเกิดการอักเสบ
  • สิวหัวหนอง (Pustules) มีลักษณะเป็นตุ่มแดงที่มีหัวหนองสีขาวหรือเหลืองด้านบน สิวหัวหนองเป็นผลจากการอักเสบรุนแรงขึ้น ต้องได้รับการดูแลรักษาอย่างใกล้ชิด

สิวหัวช้าง (Nodules)

  • สิวหัวช้างเกิดจากการอักเสบที่ลึกในชั้นผิวหนัง ซึ่งเริ่มจากการอุดตันของรูขุมขนที่เกิดจากการสะสมของน้ำมันส่วนเกินและเซลล์ผิวที่ตายแล้ว มีลักษณะเป็นตุ่มนูนขนาดใหญ่ แข็ง และเจ็บปวด อาการอักเสบที่ลึกและรุนแรงทำให้สิวชนิดนี้แตกต่างจากสิวชนิดอื่น และมักทำให้เกิดรอยแผลเป็น หรือหลุมสิวถ้าไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง

สิวซีสต์ (Cystic Acne)

  • สิวซีสต์เป็นสิวที่รุนแรงที่สุด ปรากฏในรูปแบบของตุ่มใหญ่ที่ลึกลงไปในผิวหนังและเต็มไปด้วยหนอง มักมีอาการเจ็บปวดและมีแนวโน้มที่จะทิ้งรอยแผลเป็นถาวรมากกว่าสิวประเภทอื่น การรักษาอาจต้องใช้ยาต้านการอักเสบหรือการรักษาทางการแพทย์เพื่อจัดการกับปัญหานี้

สิวผด (Acne Mechanica)

  • การเกิดสิวผดมักเกิดจากการเสียดสี หรือการระคายเคืองที่เกิดขึ้นบนผิวหนัง เช่น การใส่เสื้อผ้าที่รัดแน่น การใส่หมวก หรือการสัมผัสหน้าบ่อย ๆ มักมีลักษณะเป็นตุ่มเล็ก ๆ ที่ไม่รุนแรงและอาจมีอาการคัน แต่หากไม่ดูแล อาจกลายเป็นสิวอักเสบได้

สิวจากฮอร์โมน (Hormonal Acne)

  • การเกิดสิวจากฮอร์โมนมักเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนในร่างกาย เช่น ในช่วงวัยรุ่น, การมีประจำเดือน, การตั้งครรภ์ หรือวัยหมดประจำเดือน มักเกิดบริเวณคางและกราม โดยมีทั้งสิวอุดตันและสิวอักเสบ สิวประเภทนี้อาจได้รับการดูแลด้วยการใช้ยาที่มีผลต่อฮอร์โมน

การแบ่งประเภทของสิวนั้น ช่วยให้เข้าใจถึงลักษณะและความรุนแรงของสิวแต่ละชนิด ซึ่งจะทำให้ผู้ที่เป็นสิว สามารถเลือกใช้วิธีการดูแลรักษาได้อย่างเหมาะสม เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในการรักษาและป้องกันการเกิดสิวในอนาคต

 

การเกิดสิวในแต่ละช่วงอายุ

การเกิดสิวสามารถเกิดได้ในทุกช่วงอายุ ลักษณะของสิวในแต่ละช่วงวัยมักแตกต่างกันไปตามปัจจัยทางกายภาพและฮอร์โมน โดยสิวแต่ในแต่ละช่วงอายุมักเกิดได้มีดังนี้

  • การเกิดสิวในวัยรุ่น (Teenage Acne) อายุ 12-20 ปี

สิวในวัยรุ่นเป็นสิวที่พบบ่อยที่สุด และมักเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมน โดยเฉพาะฮอร์โมนแอนโดรเจน ซึ่งเพิ่มขึ้นในช่วงวัยรุ่น จากการกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมามากขึ้น เมื่อรูขุมขนถูกอุดตันด้วยน้ำมันและเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ทำให้เกิดสิวอุดตันหรือสิวอักเสบ โดยลักษณะสิวที่มักพบมากในวัยรุ่นจะเป็นสิวหัวขาว สิวหัวดำ สิวอักเสบและสิวหนอง มักพบมากบนใบหน้า หน้าอก และหลัง

  • การเกิดสิวในวัยผู้ใหญ่ช่วงต้น (Early Adulthood Acne) อายุ 20-30 ปี

ในวัยนี้สิวยังคงเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นความเครียด การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนจากรอบเดือน หรือการตั้งครรภ์ นอกจากนี้การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ไม่เหมาะสมหรือเครื่องสำอางที่อุดตันรูขุมขนก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ก่อให้เกิดสิวในวัยนี้ได้เช่นเดียวกัน โดยลักษณะสิวที่มักพบมากในวัยนี้คือ สิวหัวดำ สิวอุดตัน สิวอักเสบ บางครั้งสิวในวัยนี้มักจะลึกลงไปในชั้นผิว และใช้เวลารักษานาน

  • การเกิดสิวในวัยผู้ใหญ่ (Adult Acne) อายุ 30-40 ปี

สิวในวัยนี้อาจเกิดจากหลายปัจจัย เช่น การทำงานของฮอร์โมนที่ไม่สมดุล, ความเครียดสะสม, การพักผ่อนไม่เพียงพอ หรือการใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ไม่เหมาะกับสภาพผิว โดยวัยนี้สิวอาจไม่เกิดมากเท่าวัยรุ่น แต่ปัญหาสิวที่เกิดขึ้นมักใช้เวลารักษานานกว่า และอาจทิ้งรอยดำหรือรอยแผลเป็นได้ ลักษณะสิวที่มักพบในวัยนี้มักเป็นสิวอุดตันหรือสิวอักเสบ และมักพบที่คางหรือกรอบหน้าเป็นส่วนใหญ่

  • การเกิดสิวในวัย 40 ปีขึ้นไป (Mature Acne)

แม้ว่าคนอายุ 40 ปีขึ้นไปจะเริ่มมีปัญหาผิวจากการเสื่อมสภาพตามวัย แต่สิวยังสามารถเกิดขึ้นได้โดยเฉพาะในผู้หญิงจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในช่วงวัยหมดประจำเดือน ซึ่งระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนลดลง ทำให้การผลิตน้ำมันในผิวที่เปลี่ยนแปลง นอกจากนี้การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ไม่เหมาะสมยังอาจกระตุ้นให้เกิดสิวได้ โดยลักษณะสิวที่พบมักจะเป็นสิวอุดตันหรือสิวอักเสบ มักเกิดบริเวณคาง และกรอบหน้า

ปัจจัยที่ทำให้เกิดสิว
5 ปัจจัยที่กระตุ้นการเกิดสิวซ้ำ

สิวสามารถเกิดขึ้นซ้ำได้ โดยสิวสามารถเกิดขึ้นซ้ำได้หลายครั้งจากการกระตุ้นผ่านปัจจัยต่างๆ และปัจจัยที่กระตุ้นการเกิดสิวมีหลายปัจจัย แบ่งออกได้หลักๆดังนี้

  • สิวถูกกระตุ้นจากการกินอาหาร

การกินอาหารที่มีน้ำตาลสูง เช่น ขนมหวาน เค้ก น้ำอัดลม หรืออาหารจานด่วน สามารถกระตุ้นการผลิตอินซูลิน ทำให้ระดับฮอร์โมนเพิ่มขึ้นจนเกิดสิวได้ รวมถึงการดื่มนมวัวหรืออาหารที่มีนมวัวก็อาจทำให้เกิดสิวได้เช่นกัน เนื่องจากฮอร์โมนในนมวัวอาจจะไปกระตุ้นการผลิตน้ำมันในผิวหนังจนเกิดสิวได้

  • สิวถูกกระตุ้นจากการทำความสะอาดผิวไม่เพียงพอ

การล้างหน้าไม่สะอาดหรือล้างไม่ถูกวิธี สามารถทำให้มีสิวเพิ่มขึ้นได้ เนื่องจากการล้างหน้าไม่สะอาดอาจทำให้เกิดการอุดตันบนใบหน้าจากเครื่องสำอางค์ที่ล้างไม่หมด ทำให้เกิดการสะสมอุดตันจนเกิดสิว แต่ถึงอย่างนั้นการทำความสะอาดใบหน้ามากเกินไปก็สามารถทำให้สิวเพิ่มขึ้นได้เช่นกัน จากการที่ผิวระคายเคืองส่งผลให้ผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้น

  • สิวถูกกระตุ้นจากการสัมผัสใบหน้าบ่อยๆ

การเอามือสัมผัสใบหน้าบ่อยๆ หรือการบีบสิวโดยที่มือไม่สะอาด ทำให้เกิดการแพร่กระจายของแบคทีเรียและสิ่งสกปรกได้ ส่งผลให้เกิดสิวได้ง่ายขึ้น

  • สิวถูกกระตุ้นจากยาบางชนิด

ในบางกรณีการใช้ยาบางชนิด เช่น สเตียรอยด์ ยาต้านโรคซึมเศร้า หรือยาคุมกำเนิดบางประเภท เนื่องจากการใช้ยาบางชนิดมีผลต่อระบบฮอร์โมน หรือการทำงานของร่างกายที่เกี่ยวข้องกับการผลิตน้ำมันของต่อมไขมัน และการตอบสนองของผิวหนัง จึงสามารถทำให้สิวกำเริบได้

  • สิวถูกกระตุ้นจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ

การที่อากาศร้อนชื้นมักทำให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากขึ้น ทำให้ผิวมันและเกิดสิว ในขณะที่อากาศหนาวแห้งก็อาจทำให้ผิวระคายเคือง และส่งผลต่อการเกิดสิวเช่นกัน

การเกิดสิวสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกช่วงอายุ โดยแต่ละวัยจะมีปัจจัยที่ส่งผลต่อการเกิดสิวแตกต่างกันไป เช่น การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน พฤติกรรมการดูแลผิว และปัจจัยทางสภาพแวดล้อม ดังนั้นการรักษาสิวควรพิจารณาตามสาเหตุของการเกิดสิวในแต่ละช่วงอายุอย่างเหมาะสม เพื่อการรักษาที่ถูกต้องไม่ให้สิวลุกลาม

 

วิธีลดการเกิดสิว

การลดการเกิดสิว ถือเป็นหนึ่งในขั้นตอนสำคัญในการดูแลสุขภาพผิว การมีผิวที่สะอาดจะเป็นส่วนหนึ่งในการลดการเกิดสิวได้ วันนี้รมย์รวินท์รวมวิธีการลดการเกิดสิวมาฝาก ดังนี้

1.รักษาความสะอาดของผิวหน้า การล้างหน้าควรใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่เหมาะสมกับสภาพผิวเพื่อกำจัดสิ่งสกปรก น้ำมัน และเชื้อแบคทีเรียที่อาจก่อให้เกิดสิว รวมถึงควรหลีกเลี่ยงการใช้มือสัมผัสใบหน้าบ่อย ๆ เพราะอาจทำให้เชื้อแบคทีเรียและสิ่งสกปรกเข้าสู่ผิวได้

2.เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับผิวหน้า ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากน้ำมัน เลือกใช้เครื่องสำอางและครีมบำรุงที่ระบุว่า oil-free เพื่อไม่ให้เกิดการอุดตันในรูขุมขน ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดสิว และควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมที่ทำให้เกิดการระคายเคือง เช่น แอลกอฮอล์และน้ำหอม ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีความอ่อนโยนและเหมาะสมกับผิว

3.ขจัดความมันในผิว การใช้โทนเนอร์หลังการทำความสะอาดผิวช่วยกระชับรูขุมขนและควบคุมความมัน ซึ่งจะช่วยลดโอกาสในการเกิดสิวได้

4.รักษาสุขภาพจากภายใน ควรดื่มน้ำมาก ๆ การดื่มน้ำช่วยให้ผิวมีความชุ่มชื้นและช่วยขับของเสียออกจากร่างกาย โดยแนะนำให้ดื่มน้ำอย่างน้อย 8 แก้วต่อวัน

ควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เน้นการรับประทานอาหารที่มีวิตามินและแร่ธาตุสูง เช่น ผักและผลไม้ ธัญพืช และไขมันดี เช่น อะโวคาโด
ควรนอนหลับอย่างเพียงพอ การนอนหลับที่เพียงพอไม่เพียงแต่ช่วยให้ร่างกายฟื้นฟู แต่ยังช่วยให้ผิวมีโอกาสซ่อมแซมตัวเองในขณะที่คุณนอน โดยควรตั้งเป้าหมายในการนอนอย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อคืน

วิธีรักษาสิว

วิธีการรักษาสิว

การรักษาสิวในปัจจุบันมีหลากหลายวิธี ทั้งการใช้ยาและการรักษาด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ โดยแพทย์จะพิจารณาประเภทของสิว ความรุนแรง และลักษณะผิวของแต่ละบุคคล เพื่อเลือกวิธีที่เหมาะสม โดยวิธีต่อไปนี้เป็นวิธียอดนิยมในการรักษาสิว

1. การรักษาสิวด้วยยา

1.1 การใช้ยาทาภายนอกในการรักษาสิว
การใช้ยาทาภายนอกในการรักษาสิวเป็นวิธีที่ดี โดยเฉพาะสำหรับคนที่เป็นสิวที่ไม่รุนแรงหรือสิวในระยะแรกเริ่ม เช่น สิวอุดตัน สิวหัวขาว สิวหัวดำ และสิวอักเสบเล็กน้อย การใช้ยาทาภายนอกช่วยลดการอุดตันของรูขุมขน ลดการอักเสบ และป้องกันการลุกลามของสิวได้

1.2 การใช้ยารับประทาน
การใช้ยารับประทานในการรักษาสิวสามารถแบ่งออกได้หลายแบบ เช่นการทานยาปฏิชีวนะบางอย่างที่ช่วยในการรักษาสิวอักเสบรุนแรง เนื่องจากยาบางชนิดสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียและลดการอักเสบได้

หรือการใช้ยาคุมกำเนิดเพื่อปรับสมดุลฮอร์โมน และลดการผลิตน้ำมันจากต่อมไขมัน สำหรับผู้หญิงที่มีปัญหาสิวจากฮอร์โมน ทำให้ลดการเกิดสิว

ส่วนยาที่ใช้รักษาสิวรุนแรง เช่น สิวหัวช้างหรือสิวซีสต์ เป็นยาที่มีประสิทธิภาพสูงในการลดการผลิตน้ำมันในต่อมไขมัน ต้องใช้อย่างระมัดระวัง และควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์ เนื่องจากอาจเกิดผลข้างเคียงได้ เช่น ผิวแห้งมาก ผิวลอก
ดังนั้นก่อนใช้ยารักษาสิว ไม่ว่าจะยาทาภายนอกหรือยารับประทานควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและได้รับรายการยาที่ต้องใช้จากคำสั่งแพทย์เพื่อป้องกันอันตราย หรือผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์

2. การรักษาด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์

2.1 การใช้เลเซอร์ในการรักษาสิว

การใช้เลเซอร์รักษาสิว คือ การใช้พลังงานจากแสงเลเซอร์เพื่อช่วยลดการเกิดสิว และลดอาการอักเสบ โดยเลเซอร์ทำงานด้วยการเจาะลึกเข้าไปในผิวหนัง เพื่อลดปริมาณแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิว และยังช่วยควบคุมการผลิตน้ำมันในต่อมไขมัน ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดสิว นอกจากนี้ เลเซอร์ยังช่วยกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวใหม่ ทำให้รูขุมขนกระชับขึ้นและลดรอยสิว

2.2 แสงบำบัด (Light Therapy)

การรักษาสิวด้วยการใช้แสงบำบัดเป็นวิธีการใช้แสงสีต่าง ๆ เพื่อช่วยลดสิวและอาการอักเสบ โดยแสงบำบัดจะเน้นไปที่การฆ่าเชื้อแบคทีเรีย Propionibacterium acnes (P. acnes) ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเกิดสิวอักเสบ และช่วยควบคุมการผลิตน้ำมันในต่อมไขมัน รวมถึงลดอาการบวมแดงที่เกิดจากสิว โดยแสงบำบัดมีหลายประเภทตามความยาวคลื่นของแสง ถือเป็นวิธีการที่มีความปลอดภัยและไม่ทำให้เกิดการระคายเคือง

3. การรักษาด้วยวิธีทางธรรมชาติ

การรักษาสิวด้วยวิธีทางธรรมชาติ คือ การใช้สมุนไพรหรือวัตถุดิบจากธรรมชาติเพื่อลดการเกิดสิวและลดอาการอักเสบ โดยไม่ต้องใช้สารเคมีหรือยาที่มีผลข้างเคียง วิธีนี้เป็นที่นิยม เนื่องจากปลอดภัยและสามารถทำได้ง่ายที่บ้าน แต่อาจจะต้องใช้เวลารักษาที่นาน และต้องทำอย่างสม่ำเสมอ

4. การทำทรีทเม้นท์และหัตถการผิว

การทำทรีทเม้นท์และหัตถการผิวเป็นกระบวนการดูแล และฟื้นฟูผิวพรรณโดยใช้เทคนิคต่าง ๆ เพื่อปรับสภาพผิวให้ดีขึ้น โดยทรีทเม้นท์มักเป็นการบำรุงผิวหรือฟื้นฟูอย่างล้ำลึก เช่น การมาสก์หน้าหรือการบำรุงด้วยวิตามิน

5. การดูแลผิวในชีวิตประจำวัน

การล้างหน้าควรทำเป็นประจำโดยใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่อ่อนโยน และไม่ก่อให้เกิดการอุดตันรูขุมขน เพื่อช่วยขจัดสิ่งสกปรกและน้ำมันที่อาจทำให้เกิดสิว นอกจากนี้ ควรใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่เหมาะสมเพื่อรักษาความชุ่มชื้นของผิว แม้ว่าผิวจะมันก็ตาม ควรเลือกผลิตภัณฑ์บำรุงที่ไม่เพิ่มน้ำมันในผิว เพื่อช่วยลดโอกาสการเกิดสิว

การรักษาสิวในปัจจุบันมีหลายวิธี ตั้งแต่การใช้ยาทาภายนอกและยารับประทาน ไปจนถึงการใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ เช่น เลเซอร์และแสงบำบัด การเลือกวิธีรักษาควรพิจารณาตามสภาพผิวและความรุนแรงของสิว ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อการรักษาที่เหมาะสมและปลอดภัยของแต่ละบุคคล

การเกิดสิว เป็นปัญหาผิวที่เกิดจากการอุดตันของรูขุมขน โดยมีสาเหตุหลักจากการผลิตน้ำมันที่มากเกินไป เซลล์ผิวที่ตายแล้ว และสิ่งสกปรก ซึ่งสิวสามารถแบ่งประเภทได้หลายประเภท และการรักษาสิวมีหลายวิธีเช่นเดียวกัน ดังนั้นการเลือกวิธีรักษาควรพิจารณาจากประเภทและความรุนแรงของสิว รวมถึงควรปรึกษาแพทย์ผู้มีความชำนาญการในการรักษาสิวเพื่อให้ได้วิธีที่เหมาะสมและปลอดภัยของแต่ละบุคคล

เตือน! ร้อยไหมหน้ากระตุก ยิ้มไม่ได้ตลอดชีวิต เพราะหมอเถื่อน

ร้อยไหม

เตือน! ร้อยไหมหน้ากระตุก ยิ้มไม่ได้ตลอดชีวิต เพราะหมอเถื่อน

เกิดเหตุการณ์สะท้านวงการความงามอีกครั้ง เมื่อผู้เสียหายรายหนึ่งออกมาเปิดเผยว่า หลังจากเข้ารับการร้อยไหมที่คลินิกชื่อดังแห่งหนึ่ง กลับประสบปัญหาหน้ากระตุก สั่นเกร็ง ปากเบี้ยว ใบหน้าผิดรูปอย่างรุนแรง และมีเส้นไหมทะลุออกมาจากผิวหน้านานกว่า 3 ปี ไม่สามารถยิ้มได้เหมือนเดิมอีกต่อไป ต้องเผชิญกับความเจ็บปวดทั้งร่างกายและจิตใจ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นคือ ก่อนทำการร้อยไหม ผู้เสียหายไม่ได้รับการทำความสะอาดผิวหน้าอย่างเหมาะสม และไม่มีการใช้ยาชาระหว่างทำหัตถการ ทำให้รู้สึกเจ็บปวดและเสี่ยงต่อการติดเชื้อสูง

จากการตรวจสอบพบว่า แพทย์ที่ทำการร้อยไหมแล้วหน้ากระตุก ให้กับผู้เสียหายดังกล่าวเป็น “หมอเถื่อน” ไม่มีใบอนุญาตในการประกอบวิชาชีพทางการแพทย์ คลินิกไม่ได้มาตรฐาน ใช้เครื่องมือไม่สะอาด ไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนการรักษาที่ถูกต้อง ทำให้เกิดความเสียหายต่อผู้รับบริการอย่างร้ายแรง เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึง มาตรฐานความปลอดภัยที่น่าเป็นห่วงของวงการคลินิกความงาม และเป็นการเตือนใจให้แก่ผู้รับบริการตระหนักถึงความสำคัญ ในการเลือกคลินิกความงามและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ตรง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์หน้ากระตุกลักษณะนี้ซ้ำรอย

ร้อยไหมผิด ชีวิตพัง! หน้ากระตุก ไหมโผล่ เพราะหมอเถื่อน

ร้อยไหม คืออะไร?

  • การร้อยไหม คือ การใช้เข็มนำเส้นไหมละลายสอดเข้าไปใต้ชั้นผิวหนัง เพื่อยกกระชับผิวหน้า แก้ไขปัญหาผิวหย่อนคล้อย และปรับรูปหน้าให้ดูเรียวขึ้นได้อย่างตรงจุด สามารถเห็นผลการเปลี่ยนแปลงได้ทันทีหลังทำ
  • นอกจากนี้ การร้อยไหมยังช่วยกระตุ้นเซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast) ให้เกิดการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ชั้นผิว พันรอบ ๆ แนวเส้นไหม ทำให้ผิวแข็งแรง อิ่มฟู และยืดหยุ่นมากขึ้น โดยปัจจุบันมีเส้นไหมให้เลือกหลากหลายชนิด เหมาะสำหรับการแก้ไขปัญหาที่แตกต่างกัน แต่ละเคสจะต้องได้รับการประเมินโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อเลือกชนิดของเส้นไหมและเทคนิคที่เหมาะสม

ร้อยไหม จุดไหนได้บ้าง?

การร้อยไหม สามารถทำได้ในหลายจุดบนใบหน้า เพื่อแก้ไขปัญหาที่แตกต่างกันไป โดยจุดที่นิยมร้อยไหมกันมากที่สุด ได้แก่

  • แก้ม ยกกระชับแก้มที่หย่อนคล้อย เก็บกระเปาะแก้ม ทำให้ใบหน้าเรียวเล็ก
  • หางตา คิ้ว ยกหางตาและคิ้ว แก้ไขปัญหาหนังตาตก คิ้วตก เพิ่มความเฉี่ยวคมให้ใบหน้า
  • จมูก ปรับรูปทรงจมูก ทำให้สันจมูกดูโด่งขึ้น ปีกจมูกเล็กลง
  • หน้าผาก ลดเลือนริ้วรอยบริเวณหน้าผาก ใช้ในกรณีที่เคสดื้อโบ
  • กรอบหน้า ปรับรูปหน้าให้เรียวเล็ก กรอบหน้าชัด มีมิติ
  • มุมปาก ยกมุมปาก แก้ปัญหาริ้วรอยเล็ก ๆ บริเวณมุมปาก
  • เหนียง ลดเหนียง ลดคางสองชั้น ทำให้คอดูเรียวมากขึ้น

ผลข้างเคียงจากการร้อยไหม

  • หลังจากการร้อยไหม ผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยที่สุด คือ อาการบวม เขียวช้ำ ซึ่งเป็นอาการปกติที่เกิดขึ้น จากการที่ร่างกายตอบสนองต่อการทำหัตถการ โดยทั่วไปอาการเหล่านี้จะค่อยๆ หายไป ภายใน 7 – 14 วัน รวมถึง อาการตึงหลังร้อยไหม อ้าปากไม่ได้ ถือป็นอาการปกติและจะค่อยๆ ดีขึ้นเช่นกัน อย่างไรก็ตาม หากรู้สึกว่า มีผลข้างเคียงที่ผิดปกติและรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ เช่น ไหมขาด ไหมทะลุ ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที เนื่องจากอาจก่อให้เกิดอันตรายและเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้

ร้อยไหม

อันตรายจากการร้อยไหมกับหมอเถื่อน

  • ติดเชื้อ เนื่องจากเครื่องมือหรืออุปกรณ์ไม่ได้รับฆ่าเชื้อ สถานที่ไม่สะอาด ไม่มีการทำความสะอาดหน้าก่อนทำหัตถการ รวมถึง หลังร้อยไหมแล้ว ไม่ดูแลตัวเองตามคำแนะนำของแพทย์ ส่งผลให้รอยแผลในบริเวณที่ร้อยไหม มีอาการบวมแดงและเจ็บปวดมากกว่าปกติ รวมถึง อาจมีหนองไหลออกมาจากรอยแผลได้
  • อักเสบรุนแรง เมื่อเกิดการอักเสบรุนแรงในบริเวณที่ร้อยไหม เส้นประสาทรอบ ๆ อาจได้รับผลกระทบตามไปด้วย จนเกิดการระคายเคืองและส่งสัญญาณไปยังสมอง ทำให้ปัญหาใบหน้ากระตุกได้ หากมีการติดเชื้อร่วมด้วย จะยิ่งทำให้การอักเสบรุนแรงขึ้น และส่งผลกระทบต่อระบบประสาทมากขึ้น
  • เส้นไหมขาด เนื่องจากใช้เส้นไหมที่ไม่มีคุณภาพหรือเทคนิคในการร้อยไหมไม่ถูกวิธี ทำให้เส้นไหมขาดหรือทะลุได้ง่าย
  • เส้นประสาทถูกทำลาย เนื่องจากเส้นไหมไปสัมผัสหรือทำลายเส้นประสาทใบหน้าโดยตรง ทำให้เกิดอาการชา อ่อนแรง หรือเคลื่อนไหวใบหน้าไม่ได้ตามปกติ
    ใบหน้าผิดรูป เนื่องจากใช้เทคนิคในการร้อยไหมไม่ถูกต้อง แพทย์ไม่มีความเชี่ยวชาญ ทำให้ใบหน้าผิดรูป ไม่สมส่วน หรือเกิดรอยบุ๋มได้

ร้อยไหม

ร้อยไหมที่ไหนดี? เลือกคลินิกร้อยไหมอย่างไรให้ปลอดภัย?

  • เลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน มีความน่าเชื่อถือ มีใบประกอบกิจการจากกระทรวงสาธารณสุขอย่างถูกต้อง นอกจากนี้ ภายในคลินิกควรมีความสะอาด อุปกรณ์ปลอดเชื้อ
  • แพทย์มีความรู้ความสามารถด้านการร้อยไหมโดยเฉพาะ มีประสบการณ์ในการร้อยไหมมาอย่างยาวนาน เนื่องจากการร้อยไหมต้องอาศัยความละเอียดและความรู้ความเข้าใจในโครงสร้างใบหน้า ที่สำคัญ แพทย์ต้องมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพอย่างถูกต้อง
  • ใช้เส้นไหมที่มีคุณภาพ มีความปลอดภัย ได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) โดยแพทย์สามารถเลือกชนิดของเส้นไหมที่เหมาะสมกับปัญหา และสภาพผิวของแต่ละบุคคลได้อย่างเหมาะสม
  • ติดตามผลหลังร้อยไหม โดยหลังร้อยไหมแล้ว ควรมีการนัดติดตามผลหลังทำเสมอ ซึ่งแพทย์ควรให้คำแนะนำในการดูแลตัวเองหลังการร้อยไหมอย่างใกล้ชิด ลดโอกาสเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียง
  • รีวิวจากผู้ใช้บริการ สามารถดูรีวิวได้ทางช่องทางออนไลน์ เห็นผลการเปลี่ยนแปลงก่อนทำและหลังทำได้อย่างชัดเจน ทั้งในด้านของรูปภาพและการแสดงความคิดเห็น มีรีวิวในเชิงบวกมากกว่าเชิงลบ

การร้อยไหม ถือเป็นอีกหนึ่งหัตถการที่ได้รับความนิยม ในการแก้ไขปัญหาผิวหย่อนคล้อย ไม่กระชับ รูปหน้าไม่เรียวเล็กได้เป็นอย่างดี โดยไม่ต้องผ่าตัด เห็นผลทันทีตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ แต่เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ การเลือกคลินิกที่มีมาตรฐานและแพทย์ที่มีความรู้ความสามารถด้านการร้อยไหมโดยตรง จึงเป็นสิ่งสำคัญมาก เพื่อให้แพทย์ประเมินสภาพผิวและโครงสร้างใบหน้าได้อย่างแม่นยำ รวมถึงเลือกเทคนิคที่เหมาะสมกับปัญหาของแต่ละบุคคล ลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น เส้นไหมขาด หน้ากระตุก ใบหน้าผิดรูปได้

ขนคุดคืออะไร ? เกิดจากอะไร ?

ขนคุด

ขนคุดคืออะไร? เกิดจากอะไร? มีวิธีดูแลและรักษาอย่างไรบ้าง?

ขนคุด เป็นปัญหาผิวที่หลายคนกำลังพบเจอ โดยเฉพาะหลังจากการโกนหรือแว็กซ์กำจัดขน ส่งผลให้ผิวดูขรุขระ ไม่เรียบเนียนเหมือนเดิม จนทำให้หลายคนรู้สึกกังวลและขาดความมั่นใจ แต่เคยสงสัยกันไหมว่า ขนคุดเกิดจากอะไร? มีวิธีการดูแล รักษาอย่างไร? ไม่ให้กลับมาเป็นอีก ในบทความนี้ รมย์รวินท์คลินิก รวบรวมทุกวิธีที่สามารถแก้ปัญหาขนคุดมาให้แล้วค่ะ

เจาะลึก ขนคุด ผิวไม่เรียบ เกิดจากอะไร? มีวิธีแก้อย่างไร?

ขนคุด คืออะไร?

ขนคุด (Keratosis Pilaris) เป็นภาวะผิวหนังชนิดหนึ่งที่เกิดการอุดตันบริเวณรูขุมขน สามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศ ทุกวัย โดยขนคุดมีลักษณะเป็นตุ่มหรือจุดเล็ก ๆ เวลาลูบจะให้ความรู้สึกสาก ๆ ที่บริเวณผิวหนังคล้ายหนังไก่ ส่วนใหญ่มักพบในบริเวณที่มีผิวแห้ง ขาดความชุ่มชื้น เช่น ต้นแขน ต้นขา และรักแร้

ขนคุด

ขนคุด เกิดจากอะไร?

  • ขนคุด เกิดจากการสะสมของโปรตีนชนิดหนึ่งที่เรียกว่า เคราติน (Keratin) ภายในรูขุมขน ทำให้รูขุมขนเกิดการอุดตัน เส้นขนไม่สามารถงอกออกมาได้ จนเกิดเป็นตุ่มเล็ก ๆ ขึ้นมา นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอีกหลายอย่างที่ส่งผลให้เกิดขนคุด ได้แก่
    พันธุกรรม ซึ่งขนคุดสามารถถ่ายทอดได้ทางพันธุกรรม หากมีบุคคลในครอบครัวเคยมีปัญหาขนคุดมาก่อน
  • ผิวแห้ง ผู้ที่มีผิวแห้ง ผิวหนังขาดความชุ่มชื้น ทำให้มีโอกาสเกิดขนคุดได้มากกว่าคนทั่วไป
    สภาพอากาศ ในช่วงที่มีอากาศหนาว ยิ่งทำให้ผิวแห้ง ผิวหนังสูญเสียความชุ่มชื้น จนอาการขนคุดรุนแรงขึ้นได้
  • การกำจัดขน หากมีการกำจัดขนอย่างผิดวิธี เช่น การถอน แวกซ์ หรือโกน อาจทำให้เส้นขนขาดหรือตกค้างอยู่ในรูขุมขน จนเกิดขนคุดได้
    การเสียดสีกับเสื้อผ้า หรือถูกกดทับซ้ำ ๆ บริเวณที่มีเส้นขน อาจทำให้ผิวหนังระคายเคือง รูขุมขนอักเสบ ส่งผลกระทบให้เกิดขนคุดได้
  • โรคประจำตัว เช่น โรคภูมิแพ้ผิวหนัง โรคเบาหวาน หรือโรคไทรอยด์ อาจทำให้ผิวหนังแห้ง จนเกิดขนคุดได้

ขนคุด เกิดขึ้นบริเวณไหนได้บ้าง?

  • รักแร้ มักเกิดจากการกำจัดขนที่ไม่ถูกวิธีและการใส่เสื้อผ้าที่รัดแน่นเกินไป จนเกิดการเสียดสีและผิวหนังระคายเคือง ทำให้เกิดขนคุดได้
  • แขนและขา เนื่องจากเป็นบริเวณที่มีพื้นที่กว้าง มีการสัมผัสกับมลภาวะและสภาพอากาศเป็นประจำ ทำให้ผิวหนังแห้ง ไม่ชุ่มชื้น อาจทำให้เกิดขนคุดได้
  • แผ่นหลัง เนื่องจากเป็นบริเวณใต้ร่มผ้า ผิวหนังเกิดการเสียดสีกับเสื้อผ้าบ่อย อาจส่งผลให้เกิดการอับชื้น จนเกิดขนคุดได้เช่นกัน
  • จุดซ่อนเร้น เนื่องจากเป็นบริเวณที่ผิวบอบบางมากกว่าจุดอื่น ๆ ทำให้เกิดการอับชื้นและเสียดสีกับเสื้อผ้าได้ง่าย ส่งผลให้เกิดขนคุดได้
  • ใบหน้าและแก้ม เนื่องจากเป็นบริเวณที่มีขนอ่อน ๆ ขนาดเล็ก และรูขุมขนในปริมาณมาก ทำให้เกิดปัญหาการอุดตัน จนเกิดขนคุดได้ง่าย 
  • หนวดเครา เป็นบริเวณที่สามารถเกิดขนคุดได้ หากโกนหนวดประจำ ยิ่งมีโอกาสเกิดขนคุดง่ายกว่าปกติ

ขนคุด

ขนคุด สามารถรักษาด้วยวิธีไหนได้บ้าง?

  • บำรุงผิวให้ชุ่มชื้น เลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของมอยส์เจอร์ไรเซอร์ เพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว
  • สครับผิว เลือกสครับผิวที่อ่อนโยนส่วนผสมจากธรรมชาติ จะช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตาย ทำให้ไม่เกิดการอุดตันในรูขุมขน แต่แนะนำให้หลีกเลี่ยงการสครับผิวที่แรงจนเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคืองได้
  • ประคบอุ่น เนื่องจากความร้อนจะช่วยเปิดรูขุมขน ทำให้เส้นขนงอกออกมาได้ง่ายขึ้น รวมถึงช่วยลดการอักเสบและการระคายเคืองรอบ ๆ รูขุมขนได้
  • ใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิว เช่น มีส่วนผสมของกรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) หรือ กรดแล็กติก (Lactic Acid) ซึ่งจะช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่า ทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น ลดการอุดตันของรูขุมขน
  • เลเซอร์กำจัดขน อย่าง Yag Laser 1064 สามารถกำจัดและทำลายรากขนได้อย่างถาวร โดยที่ไม่ต้องถอนหรือโกนแบบผิดวิธี วิธีนี้เป็นการแก้ปัญหาขนคุด ลดผิวหนังไก่ ผิวไม่เรียบเนียนได้อย่างตรงจุด ยิ่งทำอย่างต่อเนื่อง ยิ่งลดโอกาสการเกิดขนคุดซ้ำได้

Yag Laser 1064 คืออะไร?

Yag Laser 1064 หรือ เลเซอร์กำจัดขนที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ด้วยความยาวของคลื่นแสงเลเซอร์ 1,064 นาโนเมตร ที่สามารถยิงลึกถึงรากขนได้โดยตรง ทำให้ขนหลุดร่วงไปพร้อมกับรากและไม่ทำให้ขนงอกใหม่ ทำได้หลากหลายบริเวณ แม้ในบริเวณที่มีผิวบอบบาง เช่น รักแร้ หนวด แขน ขา หรือแม้แต่บริเวณจุดซ่อนเร้น สามารถกำจัดขนและจบปัญหาขนคุดได้อย่างมีประสิทธิภาพ อ่อนโยนต่อผิว ไม่ทำให้ผิวไหม้หรือเบิร์น

Yag Laser 1064 เหมาะกับใคร?

  • Yag Laser 1064 เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการกำจัดขน ไม่ว่าจะเป็นขนบริเวณใบหน้า แขน ขา หรือจุดอื่น ๆ ของร่างกาย Yag Laser 1064 สามารถกำจัดขนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • Yag Laser 1064 เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาขนคุด ผิวไม่เรียบเนียน
  • Yag Laser 1064 เหมาะสำหรับผู้ที่มีสีผิวไม่สม่ำเสมอ ต้องการเพิ่มความกระจ่างใสในบริเวณที่ทำ
  • Yag Laser 1064 เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดเหงื่อ ระงับกลิ่นตัว
  • Yag Laser 1064 เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่มีเวลากำจัดขนด้วยตัวเอง
  • Yag Laser 1064 เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย แพ้การกำจัดขนด้วยวิธีอื่น ๆ เช่น แวกซ์ ครีมกำจัดขน

Yag Laser 1064 ดีกว่าการกำจัดขนวิธีอื่นอย่างไร

  • Yag Laser 1064 สามารถยิงลึกถึงรากขนและทำลายเซลล์รากขนได้อย่างถาวร ทำให้ขนไม่กลับมางอกใหม่
  • Yag Laser 1064 สามารถแก้ปัญหาขนคุด ตอขน และตุ่มหนังไก่ได้อย่างตรงจุด
  • Yag Laser 1064 เหมาะกับทุกสภาพผิวและทุกสีผิว ไม่ว่าจะผิวขาวหรือผิวเข้มก็สามารถทำได้
  • Yag Laser 1064 มีระบบ Cryogen Spray ระบบปล่อยไอย็นลงบนบริเวณผิวหนังระหว่างทำเลเซอร์ ทำให้สบายผิว ลดความรู้สึกเจ็บระหว่างทำ
  • Yag Laser 1064 มีความปลอดภัย ได้รับการรองรับมาตรฐาน US FDA หรือ อย. อเมริกา หมดกังวลเรื่องผิวไหม้ ผิวเบิร์น
  • Yag Laser 1064 สามารถเห็นผลลัพธ์ได้อย่างรวดเร็ว หลังทำเลเซอร์เพียงไม่กี่ครั้ง และจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อทำอย่างต่อเนื่อง
  • Yag Laser 1064 มีความสะดวกสบาย ประหยัดเวลา ใช้เวลาในการทำไม่นาน เมื่อเทียบกับการกำจัดขนด้วยวิธีอื่น ๆ เช่น การถอน แวกซ์ หรือการใช้ครีมกำจัดขน

ขนคุด สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนดังนั้น การทำเลเซอร์กำจัดขน Yag Laser 1064 จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ตอบโจทย์สำหรับ ผู้ที่มีปัญหาขนคุด ผิวไม่เรียบเนียน ต้องการกำจัดขนแบบถาวร ไม่ต้องเสี่ยงกับวิธีการกำจัดขนแบบผิด ๆ เลเซอร์กำจัดขน Yag Laser 1064 สามารถช่วยได้ แค่ไว้ใจให้ รมย์รวินท์คลินิก ช่วยดูแล เพราะที่ รมย์รวินท์คลินิก เราทำหัตถการโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทุกเคส จึงการันตีในมาตรฐานความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ บอกลาวงจรขนคุดซ้ำซากได้เลย

ฉี่หยด ปรากฏการณ์ปัสสาวะเล็ด ที่กลับมาทำลายความมั่นใจอีกครั้ง

ฉี่หยด

ฉี่หยด ปรากฏการณ์ปัสสาวะเล็ดครั้งใหญ่ ที่กลับมาทำลายความมั่นใจอีกครั้ง

เปิดประสบการณ์ความสยอง เฮี้ยนไม่หยุดจากตำนานเรื่องเล่าเขย่าขวัญของ ฉี่หยด ฉี่เล็ด ฉี่ไม่สุด พร้อมสานต่อ เสียงเพรียกแห่งกลิ่นฉุน ที่จะตามหลอกหลอนคุณไปทุกที่ทุกเวลา ไม่ว่าจะกลางวันหรือกลางคืน ฉี่หยดจะคอยเล็ดลอดออกมา พร้อมกับความอับชื้นและกลิ่นไม่พึงประสงค์รบกวน หลายคนอาจคิดว่าเป็นแค่เรื่องเล็กน้อย แต่ปัญหาฉี่หยดกำลังค่อย ๆ กัดกินความสุขของคุณทีละนิด จนรู้สึกเหมือนถูกสาปให้ต้องทนทุกข์ทรมานกับปัญหานี้ไปตลอดชีวิต อย่าปล่อยให้ฉี่หยดเป็นเรื่องน่ากลัว และหลอกหลอนคุณไปนานกว่านี้ ต้องดูแลด่วน รีบจองตั๋วหยุด “ฉี่หยด” ให้สิ้นซากได้แล้ววันนี้ที่ รมย์รวินท์คลินิก

ปิดตำนานความหลอนของ “ฉี่หยด” ปัสสาวะเล็ดได้ที่ รมย์รวินท์คลินิก

ปัสสาวะเล็ด ปัสสาวะไม่สุด หรือกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ เป็นปัญหาหนักใจที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย พบได้บ่อยในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะหลังจากคลอดลูก กำลังเข้าสู่วัยทอง หรือผู้สูงอายุ เนื่องจากอายุที่มากขึ้น ระบบอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายก็เริ่มเสื่อมสภาพลงตามกาลเวลา ซึ่งปัญหาปัสสาวะเล็ดส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในขณะที่เราไอ จาม หัวเราะ หรือยกของหนัก จนทำให้ปัสสาวะไหลซึมออกมาโดยไม่ตั้งใจ ไม่สามารถควบคุมได้ ส่งผลให้เกิดความยากลำบากในการใช้ชีวิตประจำวัน และก่อให้เกิดความกังวลใจในการเข้าสังคม​อย่างมาก

ปัจจัยที่ทำให้เกิดฉี่หยด ปัสสาวะเล็ด

  • อายุมากขึ้น ร่างกายมีการเปลี่ยนแปลง ทำให้การทำงานของกระเพาะปัสสาวะเริ่มเสื่อมสภาพ บรรจุน้ำปัสสาวะได้น้อยลง และมีการบีบตัวมากขึ้น ส่งผลให้ปัสสาวะบ่อยและมีอาการปัสสาวะเล็ดตามมา
  • อยู่ในวัยทองหรือหมดประจำเดือน เมื่อระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลง ส่งผลให้เนื้อเยื่อในช่องคลอดและกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแอ รวมถึงสูญเสียความแข็งแรง ทำให้ควบคุมการปัสสาวะได้ยากขึ้น
  • การคลอดลูก เนื่องจากกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานต้องทำงานหนักในระหว่างตั้งครรภ์และการคลอด ทำให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานหย่อนและอ่อนแอลง จนไม่สามารถควบคุมการปัสสาวะได้ดีพอ ส่งผลให้เกิดปัญหาปัสสาวะเล็ดได้
  • น้ำหนักตัวมาก เนื่องจากไขมันส่วนเกินเข้ากดทับบริเวณท้องน้อย ทำให้เกิดการบีบตัวและส่งผลต่อความแข็งแรงของกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน ทำให้กล้ามเนื้อส่วนนี้ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ไม่สามารถควบคุมการปัสสาวะได้ ส่งผลให้ปัสสาวะเล็ดง่ายขึ้น
  • การไอ จาม หัวเราะ ออกกำลังกาย หรือยกของบ่อย ซึ่งเป็นการเพิ่มแรงดันในช่องท้อง ทำให้ปัสสาวะเล็ดออกมาได้ง่ายขึ้น

ฉี่หยด

ทางลัดกระชับช่องคลอด จบปัญหาฉี่หยด

  • Emsella เก้าอี้ฟิต เฟิร์ม กระชับช่องคลอด Emsella เทคโนโลยีกระชับช่องคลอดสุดล้ำ ที่มาในรูปแบบของเก้าอี้ โดยเครื่อง Emsella จะปล่อยคลื่นพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าเข้มข้นสูง HIFEM (High-Intensity Focused Electromagnetic) เข้าไปกระตุ้นให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน ให้เกิดการหดตัวอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง เปรียบเสมือนการออกกำลังกายกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานหรือการขมิบมากกว่า 11,200 ครั้ง ซึ่งใช้เวลาเพียงแค่ 28 นาที ทำให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานแข็งแรงขึ้น กระชับช่องคลอด และแก้ปัญหาปัสสาวะเล็ดได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องเจ็บตัว ไม่ต้องผ่าตัด และไม่ต้องใช้เครื่องมือสอดเข้าไปในร่างกาย มีความสะดวก รวดเร็ว เพียงแค่นั่งสบาย ๆ ผ่อนคลายบนเก้าอี้ก็สามารถบอกลาปัสสาวะเล็ดได้เลย

Emsella ช่วยแก้ปัญหาอะไรบ้าง?

  • Emsella ช่วยแก้ปัญหาอาการปัสสาวะเล็ด สามารถควบคุมการปัสสาวะได้ดีขึ้น
  • Emsella ช่วยยกกระชับช่องคลอดให้เต่งตึง แก้ปัญหาภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อน
  • Emsella ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน
  • Emsella ช่วยเพิ่มความรู้สึกทางเพศ แก้ปัญหาช่องคลอดแห้ง
  • Emsella ช่วยแก้ปัญหาอาการปวดเมื่อยบริเวณอุ้งเชิงกราน
  • Emsella ช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานหลังคลอดให้กลับมาแข็งแรง

Thermiva เลเซอร์รีแพร์ กระชับช่องคลอด

  • Thermiva เทคโนโลยีเลเซอร์ฟื้นฟูและกระชับช่องคลอด ทั้งภายในและภายนอก โดย Thermiva ใช้พลังงานคลื่นวิทยุความถี่สูง RF (Radio Frequency) ที่มีความอ่อนโยนต่อผิวและบริเวณรอบจุดซ่อนเร้น ในการกระตุ้นให้เกิดความร้อนภายในเนื้อเยื่อของช่องคลอด ซึ่งความร้อนที่เกิดขึ้นจะอยู่ที่ประมาณ 42 – 45°C เป็นอุณหภูมิที่เหมาะสม ในการกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในช่องคลอด จึงสามารถกระชับช่องคลอด ทำให้ช่องคลอดชุ่มชื้น และลดอาการปัสสาวะเล็ดได้อย่างตรงจุด ใช้เวลาเพียงแค่ 30 นาที โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น ไม่ต้องเจ็บตัว หลังทำสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ

Thermiva ช่วยแก้ปัญหาอะไรบ้าง?

  • Thermiva ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ช่องคลอด แก้ปัญหาช่องคลอดแห้งได้เป็นอย่างดี
  • Thermiva ช่วยลดอาการปัสสาวะเล็ด กลั้นปัสสาวะไม่อยู่
  • Thermiva ช่วยกระชับช่องคลอด ทั้งผิวด้านในและด้านนอก แก้ปัญหาช่องคลอดหย่อนคล้อย
  • Thermiva ช่วยเพิ่มความรู้สึกในการมีเพศสัมพันธ์ ทำให้ชีวิตคู่มีความสุขมากขึ้น
  • Thermiva ช่วยเสริมความแข็งแรงให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน

ถึงเวลาแล้วที่เราจะดูแลสุขภาพช่องคลอด บอกลาปัสสาวะเล็ดแบบถาวร อย่าปล่อยให้ปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ มาทำลายความมั่นใจในชีวิตประจำวันของคุณ ที่ รมย์รวินท์คลินิก พร้อมให้คุณสัมผัสประสบการณ์กระชับช่องคลอด ด้วยเทคโนโลยีที่หลากหลายและทันสมัย สามารถแก้ไขปัญหาปัสสาวะเล็ดได้ตั้งแต่ต้นเหตุ ไม่ต้องทนทุกข์ทรมาน เพราะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่อีกต่อไป คุณสามารถมีสุขภาพช่องคลอดที่ดีขึ้นในระยะยาวได้ ไม่กลับมาเป็นซ้ำอีก

เปิดโปง! รมย์รวินท์ คลินิกดังตัวต้นเรื่อง .. ทำไมดูเป็นคนหน้าเรียวจัง

ทำไมดูเป็นคนหน้าเรียวจัง

เปิดโปง! รมย์รวินท์ คลินิกดังตัวต้นเรื่อง #ทำไมดูเป็นคนหน้าเรียวจัง

เปิดมหากาพย์ #ทำไมดูเป็นคนหน้าเรียวจัง แฉคลินิกดัง ตัวสร้างเรื่อง ทำสาว ๆ หน้าเรียวเล็กแบบจัดเต็ม จนต้องกลับมาทำซ้ำ จะเป็นที่ไหนไปได้ นอกจากที่ Romrawin Clinic เจ้าของความลับหน้าเรียว ที่กำลังกลายเป็นประเด็นร้อนแรงในสังคมตอนนี้
สืบเจอแล้วพบว่า มีสาว ๆ เป็นจำนวนมาก ที่ออกมาแชร์เรื่องราวและบอกเล่าประสบการณ์หลังจาก ทำสวยจนหน้าเรียวกับ ทีมแพทย์ของรมย์รวินท์คลินิก โดยทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า หลังทำสวยเสร็จ หน้าเรียวเล็ก กรอบหน้าพุ่ง ดูเด็กลงขึ้นจริง ทำเอาหลาย ๆ คน สงสัย จนอยากรู้กันทั้งประเทศว่า เคล็ดลับหน้าเรียวที่กำลังถูกพูดถึงในตอนนี้มีกี่โปรแกรม? แล้วใช้โปรแกรมอะไรบ้าง? วันนี้ รมย์รวินท์ มีคำตอบมาให้แล้วค่ะ

บทสรุปของประเด็นร้อน #ทำไมดูเป็นคนหน้าเรียวจัง

ทำไมดูเป็นคนหน้าเรียวจัง

4 โปรแกรม ครบสูตรหน้าเรียว

Ulthera SPT โปรแกรมหน้าเรียว หน้ายกคูณสอง

  • เทคโนโลยียกกระชับแบบ Original ด้วยคลื่นพลังงานอัลตราซาวนด์ (Focused Ultrasound) ที่มีความถี่สูงแบบเฉพาะเจาะจง มีลักษณะเป็นจุดเล็ก ๆ จำนวนมาก เรียงเป็นเส้นตรงคล้ายจุดไข่ปลา ขนาดประมาณ 1 mm. ทำให้เกิดความร้อนพลังงาน 60 – 70°C ซึ่งสามารถยิงได้อย่างแม่นยำ ลงลึกถึงชั้น SMAS ชั้นเดียวกับที่ทำการผ่าตัดศัลยกรรมดึงหน้า โดยจะเข้าไปกระตุ้นการทำงานของเซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast) ทำให้เกิดการหดตัว กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ทดแทนส่วนที่เสื่อมสภาพ ส่งผลให้ผิวยกกระชับ เรียบเนียน และเก็บกรอบหน้า ทำให้หน้าเรียวเล็ก นอกจากนี้ ยังมีหน้าจอแสดงให้เห็นชั้นผิวแบบ Real Time ทำให้แพทย์สามารถมองเห็นความลึกของชั้นผิวหนังได้อย่างชัดเจน วางแผนการรักษาและยกกระชับได้อย่างมีประสิทธิภาพ แก้ปัญหาผิวได้อย่างตรงจุด

Oligio โปรแกรมหน้ายก ลดเหนียง

  • เทคโนโลยียกกระชับ พร้อมลดไขมัน ด้วยคลื่นวิทยุ Monopolar RF ที่ปล่อยพลังงานความถี่ 6.78 MHz ซึ่งเป็นความถี่ที่ถูกออกแบบมา ให้สามารถแทรกซึมเข้าสู่ผิวชั้นลึกได้ ทำให้เกิดพลังงานความร้อน 43°C เข้าไปช่วยกระตุ้นเซลล์ผิวหนัง ให้เกิดการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ แก้ไขปัญหาผิวหย่อนคล้อย ไม่กระชับได้เป็นอย่างดี ทำให้ผิวเฟิร์ม เรียบเนียน และกรอบหน้าชัด อีกทั้ง ยังสามารถปล่อยพลังงานความร้อนลงลึกถึงชั้นไขมันใต้ผิวหนัง ทำให้ไขมันส่วนเกินบริเวณแก้มและเหนียงลดลง ส่งผลให้ใบหน้าเรียวเล็กขึ้นได้อีกด้วย

Thermage FLX โปรแกรมหน้าเด็ก เก็บไขมัน

  • เทคโนโลยียกกระชับ ด้วยคลื่นวิทยุความถี่สูง Monopolar RF กระจายแบบวงกว้าง สามารถยิงลึกตั้งแต่ชั้นผิวหนังไปจนถึงชั้นไขมันใต้ผิวหนัง ซึ่งจะทำให้เกิดความร้อน 45 – 70°C โดยเข้าไปแยกโมเลกุลน้ำออกจากคอลลาเจน ส่งผลให้คอลลาเจนหดตัว ผิวยกกระชับขึ้นทันที พร้อมกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ ทำให้ผิวแน่น เฟิร์มกระชับในระยะยาว ลดริ้วรอย และทำให้หน้าเรียวขึ้นแบบเห็นได้ชัด รวมถึง สามารถลดไขมันสะสม โดยเฉพาะบริเวณแก้มและเหนียงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Radiesse Plus โปรแกรมหน้าเป๊ะ กรอบหน้าชัด

  • สารเติมเต็มกระตุ้นคอลลาเจน (Biostimulator) ซึ่งแตกต่างจากฟิลเลอร์ทั่วไปที่มีส่วนประกอบเป็นหลักไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid – HA) โดย Radiesse Plus มีส่วนประกอบหลัก คือ แคลเซียมไฮดรอกซีอะพาไทต์ (Calcium Hydroxylapatite – CaHA), Sodium carboxy-methylcellulose (CMC) gel และ ยาชา (Lidocaine) ซึ่ง CaHA เป็นสารธรรมชาติที่พบได้ในกระดูกและฟันของเรา ออกแบบมาเพื่อเพิ่มปริมาตรความหนาแน่นของกระดูก ตัวยามีความยืดหยุ่นสูง เมื่อฉีด Radiesse Plus เข้าสู่ผิวหนัง CaHA จะทำหน้าที่กระตุ้นการทำงานของเซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast) ให้สร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ส่งผลให้ผิวมีความยืดหยุ่น ช่วยยกกระชับ เติมเต็มร่องลึก ปรับกรอบหน้า และทำให้โครงสร้างผิวแข็งแรง

สำหรับใครที่อยากมีหน้าเรียว หน้าเล็ก ยกกระชับ แบบไม่ต้องขโมยความสวยใคร แค่มา รมย์รวินท์คลินิก ด้วยเทคโนโลยีที่หลากหลาย มีความทันสมัย สามารถตอบโจทย์ปัญหาผิวหน้าที่แตกต่างกันได้เป็นอย่างดี พร้อมทีมแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์เฉพาะด้าน สามารถวิเคราะห์และออกแบบรูปหน้าได้อย่างเหมาะสม ทำให้ผลลัพธ์ที่ออกมาดูเป็นธรรมชาติ หน้าเรียว หน้าวีอย่างมั่นใจ

ฟิลเลอร์แต่ละยี่ห้อ แต่ละรุ่นต่างกันอย่างไร ฉีดจุดไหนถึงจะปัง?

ฟิลเลอร์

เทรนด์อัปความสวยสำหรับสาว ๆ ที่กำลังมาแรงมากในตอนนี้ คงหนีไม่พ้นการฉีดฟิลเลอร์ เรียกได้ว่ากลายเป็นกระแสที่ได้รับความนิยมมากในหมู่วัยรุ่น ซึ่งการฉีดฟิลเลอร์ สามารถปรับรูปหน้าให้เป๊ะปังได้ตามใจ ไม่ว่าจะเป็นการเติมเต็มร่องลึก หรือปรับกรอบหน้าให้ดูเรียวเล็ก ทำให้ใบหน้าดูเด็กลงอย่างเป็นธรรมชาติ ถือเป็นการแก้ไขปัญหาผิวหน้าได้อย่างตรงจุด
ปัจจุบันมียี่ห้อฟิลเลอร์ให้เลือกฉีดหลากหลายยี่ห้อ แต่สำหรับมือใหม่ที่พึ่งเข้าวงการฉีดฟิลเลอร์ จะรู้ได้อย่างไรว่า ควรฉีดฟิลเลอร์เนื้อแบบไหน ยี่ห้ออะไรที่จะเหมาะกับเรา ในบทความนี้ รมย์รวินท์ ได้รวบรวมทุกข้อสงสัยเกี่ยวกับการเลือกฉีดฟิลเลอร์มาฝากแล้ว

อัปเดตฟิลเลอร์ 2024 แต่ละยี่ห้อ แต่ละรุ่น เลือกอย่างไรให้เหมาะกับหน้า

ฉีดฟิลเลอร์ คืออะไร?

ฟิลเลอร์ คือ สารเติมเต็มไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid – HA) ที่ใช้ในการฉีดเข้าสู่ชั้นผิวหนังหรือชั้นใต้ผิวหนัง เพื่อแก้ไขปัญหาริ้วรอยและร่องลึกต่าง ๆ บนใบหน้า ไม่ว่าจะเป็น ร่องแก้ม ใต้ตา หรือริมฝีปาก รวมถึงการปรับรูปหน้าและยกกระชับผิวให้ดูอ่อนเยาว์ โดยฟิลเลอร์มีคุณสมบัติในการกักเก็บน้ำ คืนความชุ่มชื้นและยืดหยุ่นให้กับผิว ทำให้ผิวดูเรียบเนียน เด้ง และอิ่มฟู อีกทั้ง การฉีดฟิลเลอร์ยังสามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ จึงมีความปลอดภัยสูง ไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อผิวหน้า

ฟิลเลอร์

เนื้อฟิลเลอร์มีกี่ประเภท?

  • โดยทั่วไปแล้ว เนื้อฟิลเลอร์จะแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ๆ ตามความละเอียด ความหนาแน่น และความยืดหยุ่นของเนื้อฟิลเลอร์ ซึ่งแต่ละประเภทก็จะมีความเหมาะสมกับการแก้ไขปัญหาผิวหน้าที่แตกต่างกัน

ฟิลเลอร์เนื้อละเอียด

  • มีลักษณะเป็นเนื้อเจลละเอียด บางเบา เหมือนกับน้ำ เหมาะสำหรับการฉีดฟิลเลอร์บริเวณที่มีผิวบาง เน้นงานผิว เติมความชุ่มชื้นให้ผิวฉ่ำวาว เช่น ใต้ตา ร่องน้ำตา หรือริมฝีปาก ซึ่งการฉัดฟิลเลอร์ประเภทนี้ จะให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ ไม่โป๊ะ ไม่แข็งจนเกินไป

ฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม

  • ฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม มีลักษณะคล้ายเนื้อเจลเยลลี่ นุ่ม ไม่แข็ง และไม่เหลวเป็นน้ำ เหมาะสำหรับการฉีดฟิลเลอร์บริเวณที่ต้องการเติมเต็มร่องลึกต่าง ๆ เช่น ร่องแก้ม แก้มส้ม ซึ่งการฉีดฟิลเลอร์ประเภทนี้ จะช่วยเติมเต็มให้ผิวดูอิ่มฟู มีความยืดหยุ่น
    ฟิลเลอร์เนื้อแข็ง

ฟิลเลอร์เนื้อแข็ง

  • มีลักษณะเป็นเนื้อเจลที่มีความหนาแน่นสูง สามารถคงรูปได้ดี เหมาะสำหรับการฉีดฟิลเลอร์บริเวณที่ต้องการยกกระชับหรือต้องการให้ใบหน้าดูมีมิติ เช่น ขมับ กรอบหน้า และคาง ซึ่งการฉีดฟิลเลอร์ประเภทนี้ จะช่วยยกกระชับใบหน้าได้ดีและเพิ่มมิติให้กับใบหน้า

ฉีดฟิลเลอร์ ช่วยเรื่องอะไร?

  • ฉีดฟิลเลอร์ ช่วยเติมเต็มริ้วรอยและร่องลึกต่าง ๆ ให้ดูตื้นขึ้น ผิวหน้าอิ่มฟู
  • ฉีดฟิลเลอร์ ช่วยปรับรูปหน้าให้สมดุลและมีมิติ
  • ฉีดฟิลเลอร์ ช่วยให้ผิวดูเรียบเนียน รูขุมขนดูเล็กลง
  • ฉีดฟิลเลอร์ ช่วยยกกระชับใบหน้า ลดความหย่อนคล้อย
  • ฉีดฟิลเลอร์ ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่น
  • ฉีดฟิลเลอร์ ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ทำให้ผิวอิ่มน้ำ ฉ่ำวาว ดูสุขภาพดี
  • ฉีดฟิลเลอร์ ช่วยปรับรูปทรงริมฝีปาก ทำให้ปากดูอวบอิ่มอย่างเป็นธรรมชาติ

ฉีดฟิลเลอร์ครั้งแรก ควรเลือกฟิลเลอร์แบบไหน?

  • การเลือกฉีดฟิลเลอร์ ให้เหมาะกับปัญหาที่ต้องการแก้ไขและบริเวณที่ต้องการฉีดฟิลเลอร์เป็นสิ่งสำคัญ โดยแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาและเลือกฉีดฟิลเลอร์ให้เหมาะกับตำแหน่งนั้น ๆ รวมถึงพิจารณาสภาพผิวของเราด้วยว่า เหมาะสำหรับการฉีดฟิลเลอร์แบบไหน เนื่องจากการฉีดฟิลเลอร์แต่ละรุ่นก็มีคุณสมบัติและจุดเด่นที่แตกต่างกันออกไป

ปัญหาผิวที่ต้องการแก้ไข

  • ร่องลึก ควรเลือกฉีดฟิลเลอร์ที่มีความหนาแน่นสูง เพื่อเติมเต็มร่องลึกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ร่องตื้น ควรเลือกฉีดฟิลเลอร์ที่มีความละเอียด บางเบา เพื่อเติมเต็มริ้วรอยและทำให้ผิวชุ่มชื้น
  • ผิวหย่อนคล้อย ควรเลือกฉีดฟิลเลอร์ที่มีคุณสมบัติในการกระตุ้นคอลลาเจน
  • ปรับรูปหน้า ควรเลือกฉีดฟิลเลอร์ที่มีความแข็ง หนาแน่นสูง เพื่อปรับรูปหน้าให้ได้ตามต้องการ

บริเวณที่สามารถการฉีดฟิลเลอร์ได้

  • ใต้ตา ควรเลือกฉีดฟิลเลอร์ที่มีความนิ่ม เพื่อไม่ให้เกิดการจับตัวเป็นก้อน
  • ร่องแก้ม ควรเลือกฉีดฟิลเลอร์ที่มีความหนาแน่นและยืดหยุ่นสูง เพื่อแก้ปัญหาร่อ
  • แก้มลึก ให้หน้าดูเด็ก อ่อนกว่าวัย
  • ริมฝีปาก ควรเลือกฉีดฟิลเลอร์ที่มีความยืดหยุ่นสูง เพื่อให้ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ

ก่อนการฉีดฟิลเลอร์ แนะนำให้เลือกแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์โดยเฉพาะ เพื่อจะได้วิเคราะห์ปัญหา ประเมินใบหน้า พร้อมเลือกฉีดฟิลเลอร์ได้อย่างตรงจุด ตอบโจทย์กับปัญหาที่ต้องการแก้ไขและลดโอกาสการเกิดผลข้างเคียง

ฟิลเลอร์มีกี่ยี่ห้อ?

ปัจจุบันที่ Romrawin Clinic มีการฉีดฟิลเลอร์หลากหลายยี่ห้อ ซึ่งทุกยี่ห้อผ่านการรองรับมาตรฐาน อย. ไทย ดังนี้

  • Juvederm ฟิลเลอร์จากประเทศอเมริกา
  • Restylane ฟิลเลอร์จากประเทศสวีเดน
  • Belotero ฟิลเลอร์จากประเทศสวิตเซอร์แลนด์
  • Neauvia ฟิลเลอร์จากประเทศอิตาลี
  • Definisse ฟิลเลอร์จากประเทศอิตาลี
  • Art Filler ฟิลเลอร์จากประเทศฝรั่งเศส
  • Volifil ฟิลเลอร์จากประเทศเกาหลี

ฟิลเลอร์

ฟิลเลอร์ Juvederm

  • ฟิลเลอร์ Juvederm เป็นหนึ่งในแบรนด์ฟิลเลอร์ที่ได้รับความนิยมทั่วโลก เนื่องจากเป็นฟิลเลอร์ที่มีคุณภาพสูง ถูกพัฒนาขึ้นโดยบริษัท Allergan จากประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งผลิตจากกรดไฮยาลูรอนิก (HA) เป็นสารที่พบได้ตามธรรมชาติในร่างกายของเรา ทำหน้าที่อุ้มน้ำให้ผิว ใช้ในการเติมเต็มริ้วรอย ร่องลึก และปรับรูปหน้า โดยมีหลายรุ่นให้เลือก เพื่อตอบโจทย์ปัญหาผิวหรือรูปหน้าที่แตกต่างกัน

ฟิลเลอร์ Juvederm ใช้เทคโนโลยีอะไร?

  • Hylacross Technology เป็นเทคโนโลยีดั้งเดิม ช่วยให้เนื้อฟิลเลอร์มีความนุ่ม เรียบเนียน และมีความยืดหยุ่นสูง เหมาะสำหรับการฉีดในบริเวณที่ต้องการความละเอียด สามารถกระจายตัวในผิวได้เป็นอย่างดี และให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ
  • Vycross Technology เป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาต่อยอดจาก Hylacross ซึ่งผสานกรดไฮยาลูรอนิก (HA) ที่มีโมเลกุลขนาดเล็กและใหญ่เข้าด้วยกัน ทำให้ฟิลเลอร์มีความคงตัวสูงและอยู่ได้นานขึ้น เหมาะสำหรับการเติมเต็ม และยกกระชับผิวหน้า

ฟิลเลอร์ Juvederm มีกี่รุ่น?

  • Juvederm Ultra ฟิลเลอร์เนื้อนิ่มและฟู จึงเหมาะสำหรับบริเวณต้องการเติมเต็มร่องลึกไม่มาก เช่น ร่องแก้มตื้น ๆ แก้มตอบ และเพิ่มวอลุ่มให้กับใบหน้า สามารถอยู่นานมากถึง 8 – 12 เดือน
  • Juvederm Ultra Plus ฟิลเลอร์เนื้อแข็ง มีความหนาแน่นกว่า Juvederm Ultra สามารถคงรูปได้ดี จึงเหมาะสำหรับบริเวณที่ต้องการเติมเต็มร่องลึกและปรับรูปหน้า เช่น ขมับ ร่องแก้มลึก คาง สามารถอยู่นานมากถึง 12 เดือน
  • Juvederm Voluma ฟิลเลอร์เนื้อแข็ง หนาแน่นรองลงมาจาก Juvederm Volux สามารถนำมายกกระชับได้ดี จึงเหมาะสำหรับบริเวณที่ต้องการปรับรูปหน้า เช่น ขมับ คาง และใต้ตา สามารถอยู่นานมากถึง 18 เดือน
  • Juvederm Volift ฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม มีความยืดหยุ่นสูง จึงเหมาะสำหรับบริเวณที่มีผิวบาง เช่น แก้มตอบ ร่องแก้มที่ไม่ลึกมาก ริมฝีปาก สามารถอยู่นานมากถึง 12 เดือน
  • Juvederm Volbella ฟิลเลอร์ที่มีความนิ่ม จึงเหมาะสำหรับการเติมเต็มริ้วรอยตื้น ๆ เช่น ริมฝีปาก ใต้ตา สามารถอยู่นานมากถึง 12 เดือน
  • Juvederm Volite ฟิลเลอร์เนื้อละเอียด บางเบา เน้นงานผิว จึงเหมาะสำหรับการทำ Skin Booster ให้ดูอิ่มน้ำ ฉ่ำวาว เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว เช่น ฉีดทั่วหน้า ใต้ตา สามารถอยู่ได้นานถึง 8 – 12 เดือน
  • Juvederm Volux เนื้อฟิลเลอร์มีความแข็ง หนาแน่น และคงรูปสูงกว่ารุ่นอื่น ๆ ในบรรดาฟิลเลอร์ Juvederm จึงเหมาะสำหรับการนำมาปรับโครงสร้างใบหน้า เช่น คาง ขมับ และใต้ตา สามารถอยู่นานมากถึง 18 – 24 เดือน

ฟิลเลอร์

ฟิลเลอร์ Restylane

  • ฟิลเลอร์ Restylane ถือเป็นแบรนด์ฟิลเลอร์ชั้นนำระดับโลก เป็นที่รู้จักกันในวงการความงาม ซึ่งมีต้นกำเนิดจากประเทศสวีเดน ถูกพัฒนาโดยบริษัท Galderma ซึ่งฟิลเลอร์ Restylane ผลิตจากกรดไฮยาลูรอนิก (HA) ทำหน้าที่กักเก็บน้ำ ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและเรียบเนียน จึงเป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมในการเติมเต็มริ้วรอยร่องลึก ปรับรูปหน้า และสร้างความอ่อนเยาว์ให้กับผิว

ฟิลเลอร์ Restylane ใช้เทคโนโลยีอะไร?

  • NASHA Technology เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ในการผลิตกรดไฮยาลูรอนิก (HA) ให้มีความบริสุทธิ์สูงและหนาแน่นสูง โดยไม่ใช้สารสกัดจากสัตว์ ทำให้ฟิลเลอร์สามารถคงรูปได้นาน ทำให้ผิวดูอิ่มน้ำและเรียบเนียนเป็นธรรมชาติ
  • OBT Technology เป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาต่อยอดมาจาก NASHA มีความยืดหยุ่นสูงกว่า NASHA ซึ่งจะให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ ไม่ทำให้ใบหน้าดูแข็ง

ฟิลเลอร์ Restylane มีกี่รุ่น?

  • Restylane Classic ฟิลเลอร์เนื้อแข็ง มีความหนาแน่นสูง จึงเหมาะสำหรับเติมเต็มริ้วรอยและร่องลึกบริเวณที่มีผิวบาง เช่น ร่องแก้ม ริ้วรอบดวงตา และริมฝีปาก สามารถอยู่นานมากถึง 12 เดือน
  • Restylane Perlane Lyft ฟิลเลอร์เนื้อแข็ง มีความหนาแน่นและยืดหยุ่นสูง สามารถใช้ยกกระชับได้ดี จึงเหมาะสำหรับการยกกระชับผิวหน้าและปรับโครงสร้างใบหน้า เช่น แก้ม จมูก คาง และใต้ตา สามารถอยู่นานมากถึง 12 เดือน
  • Restylane Refyne ฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม มีความหนาแน่นปานกลาง จึงเหมาะสำหรับการเติมเต็มร่องริ้วรอยเล็ก ๆ จากการแสดงสีหน้า เช่น มุมปาก ร่องแก้ม สามารถอยู่นานมากถึง 12 เดือน
  • Restylane Defyne ฟิลเลอร์เนื้อแข็ง มีความยืดหยุ่นสูง จึงเหมาะสำหรับการเติมเต็มร่องลึก เช่น ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก สามารถอยู่นานมากถึง 18 เดือน
  • Restylane Kysse ฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม มีความยืดหยุ่นสูง จึงเหมาะสำหรับเติมเต็มริมฝีปาก เพิ่มความอวบอิ่ม และปรับรูปทรงปากให้ดูเป็นธรรมชาติ สามารถอยู่นานมากถึง 12 เดือน
  • Restylane Vital ฟิลเลอร์เนื้อละเอียด จึงเหมาะสำหรับการเติมความชุ่มชื้นและความยืดหยุ่นให้กับผิวชั้นตื้น รวมถึงบริเวณที่มีริ้วรอยเล็ก ๆ เช่น แก้ม หน้าผาก และใต้ตา สามารถอยู่นานมากถึง 12 เดือน
  • Restylane Vital Light ฟิลเลอร์เนื้อละเอียด บางเบามากกว่ารุ่นอื่น ๆ ในบรรดาฟิลเลอร์ Restylane จึงเหมาะสำหรับการฉีดในบริเวณชั้นผิวที่ตื้นมาก ๆ ผิวบอบบาง ต้องการความชุ่มชื้น เพิ่มความเรียบเนียนให้ผิว เช่น ริ้วรอยใต้ตา ริมฝีปาก สามารถอยู่นานมากถึง 6 – 12 เดือน
  • Restylane Volyme ฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม มีความยืดหยุ่นสูง จึงเหมาะสำหรับการปรับรูปหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ เช่น แก้มตอบ สามารถอยู่นานมากถึง 18 เดือน

ฟิลเลอร์

ฟิลเลอร์ Belotero

  • ฟิลเลอร์ Belotero เป็นฟิลเลอร์คุณภาพสูงจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ถูกพัฒนาขึ้นโดยบริษัท Merz Pharmaceuticals ซึ่งผลิตจากกรดไฮยาลูรอนิก (HA) บริสุทธิ์ ซึ่งเป็นสารที่พบได้ตามธรรมชาติในร่างกาย ทำให้มีความปลอดภัยสูงและสามารถเข้ากันผิวได้เป็นอย่างดี เหมาะสำหรับการเติมเต็มร่องลึก ริ้วรอย และปรับรูปหน้าให้ดูอ่อนเยาว์

ฟิลเลอร์ Belotero ใช้เทคโนโลยีอะไร?

  • CPM Technology (Cohesive Polydensified Matrix) เป็นเทคโนโลยีการผลิตที่ทำให้ฟิลเลอร์ Belotero มีความยืดหยุ่นและสามารถผสานเข้ากับผิวได้ดี โดยไม่ทำให้เกิดการเป็นก้อน จึงทำให้ผลลัพธ์ดูเนียนและเป็นธรรมชาติ สามารถใช้ในบริเวณที่ต้องการความละเอียด เช่น รอบดวงตาและริมฝีปาก

ฟิลเลอร์ Belotero มีกี่รุ่น?

  • Belotero Intense เป็นฟิลเลอร์เนื้อแข็ง มีความยืดหยุ่นและหนาแน่นมากกว่ารุ่นอื่น ๆ ในบรรดาฟิลเลอร์ Belotero จึงเหมาะสำหรับการเติมเต็มร่องลึกและปรับรูปหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ร่องแก้มลึก ร่องน้ำหมาก และเติมเต็มบริเวณผิวที่หย่อนคล้อย สามารถอยู่นานมากถึง 18 เดือน
  • Belotero Volume เป็นฟิลเลอร์เนื้อแข็ง มีความยืดหยุ่นสูง สามารถคงรูปได้ดี ให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ จึงเหมาะสำหรับแก้ไขปัญหาใต้ตา เบ้าตาลึก และเติมเต็มบริเวณที่กระดูกยุบตัวได้อย่างตรงจุด เช่น ขมับ คาง และโหนกแก้ม สามารถอยู่นานมากถึง 18 เดือน
  • Belotero Revive เป็นฟิลเลอร์เนื้อละเอียด บางเบา มีส่วนผสมของกรดไฮยาลูรอนิก (HA) ที่ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวและกลีเซอรอล (Glycerol) ซึ่งช่วยรักษาความชุ่มชื้นในผิวได้ยาวนานขึ้น จึงเหมาะสำหรับบริเวณที่ต้องการฟื้นฟูผิว ผิวบาง ผิวแห้งกร้าน เช่น ใต้ตา ผิวหน้า ลำคอ และหลังมือ สามารถอยู่นานมากถึง 6 – 9 เดือน
  • Belotero Balance เป็นฟิลเลอร์เนื้อนิ่มปานกลาง จึงเหมาะสำหรับการเติมร่องลึกไม่มาก เช่น ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก ริ้วรอยรอบปาก สามารถอยู่นานมากถึง 12 – 18 เดือน
  • Belotero Soft เป็นฟิลเลอร์เนื้อละเอียด จึงเหมาะสำหรับการแก้ไขปัญหาริ้วรอยชั้นตื้น เช่น หางตา ใต้ตา สามารถอยู่นานมากถึง 6 – 12 เดือน
  • Belotero Lips – Shape เป็นฟิลเลอร์ที่มีความยืดหยุ่นสูง ไม่ทำให้จับตัวเป็นก้อน จึงเหมาะสำหรับเพิ่มวอลุ่มให้ปากดูอวบอิ่มและแก้ปัญหามุมปากตก สามารถอยู่นานมากถึง 9 – 12 เดือน
  • Belotero Lips – Contour เป็นฟิลเลอร์ที่เพิ่มความคมชัดให้ขอบปาก ปรับรูปทรงปาก ให้ปากดูมีมิติ มีความเป็นธรรมชาติ สามารถอยู่นานมากถึง 9 – 12 เดือน

ฟิลเลอร์

ฟิลเลอร์ Neauvia

  • ฟิลเลอร์ Neauvia เป็นฟิลเลอร์รุ่นใหม่ที่พัฒนาขึ้นโดยบริษัท Matex Lab จากประเทศอิตาลี จุดเด่นอยู่ที่เทคโนโลยีที่ทันสมัยและมีความปลอดภัยสูง ผลิตจากกรดไฮยาลูรอนิก (HA) ที่สกัดจากกระบวนการหมักทางชีวภาพ ทำให้มีความบริสุทธิ์สูงและมีโอกาสเกิดการแพ้น้อย สามารถให้ผลลัพธ์ที่ได้ดูเป็นธรรมชาติและยั่งยืน

ฟิลเลอร์ Neauvia ใช้เทคโนโลยีอะไร?

  • PEG Technology (Polyethylene Glycol) ใช้เทคโนโลยี PEG ในกระบวนการ Cross-linking ซึ่งเป็นการเชื่อมโมเลกุลของไฮยาลูรอนิก (HA) เข้าด้วยกัน ทำให้ได้เนื้อฟิลเลอร์ที่มีความยืดหยุ่นและคงรูปได้ดี อีกทั้ง ยังมีการผสมผสานกรดอะมิโน ที่ช่วยในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์และเรียบเนียน นอกจากนี้ การใช้ PEG ยังช่วยลดการอักเสบหลังการฉีด ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองหรือการแพ้ รวมถึง สามารถสลายไปเองได้ตามธรรมชาติ

ฟิลเลอร์ Neauvia มีกี่รุ่น?

  • Neauvia Intense เป็นฟิลเลอร์เนื้อแข็ง หนาแน่น และยืดหยุ่นสูง มีไฮยาลูรอนิกสูง เน้นการปรับรูปหน้าให้ดูอิ่มฟู มีมิติ จึงเหมาะสำหรับการเติมเต็มร่องลึก เช่น ร่องแก้ม จมูก และคาง สามารถอยู่นานมากถึง 12 เดือน
  • Neauvia Stimulate เป็นฟิลเลอร์เนื้อที่มีความหนาแน่นกว่า Neauvia Hydro Deluxe เล็กน้อย มีส่วนผสมของ CaHA (Calcium Hydroxyapatite) ในปริมาณที่สูงกว่า Neauvia Hydro Deluxe เน้นการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน จึงเหมาะสำหรับการเติมเต็มริ้วรอยร่องลึก เช่น ร่องแก้ม ร่องมุมปาก สามารถอยู่นานมากถึง 12 เดือน
  • Neauvia Hydro Deluxe เป็นฟิลเลอร์เนื้อละเอียด มีความยืดหยุ่น มีส่วนผสมของไฮยาลูรอนิก (HA) ในปริมาณสูง เน้นฉีดงานผิว จึงเหมาะสำหรับการเติมเต็มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว ทำให้ผิวอิ่มน้ำ ฉ่ำวาว แก้ไขปัญหาผิวแห้ง ขาดน้ำ ริ้วรอยตื้น ๆ สามารถอยู่มากนานถึง 6 – 9 เดือน

ฟิลเลอร์

ฟิลเลอร์ Definisse

  • ฟิลเลอร์ Definisse เป็นฟิลเลอร์คุณภาพสูงจากประเทศอิตาลี ถูกพัฒนาโดยบริษัท Relife Company ซึ่งผลิตจากกรดไฮยาลูรอนิก (HA) ที่มีคุณภาพสูง ช่วยในการกักเก็บน้ำและเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว โดยฟิลเลอร์ Definisse มีจุดเด่นเรื่องเทคโนโลยีการผลิตเฉพาะ ที่จะช่วยพยุงผิว ยกกระชับ และปรับรูปหน้าได้อย่างปลอดภัย ทำให้ผิวเรียบเนียน ดูอ่อนเยาว์

ฟิลเลอร์ Definisse ใช้เทคโนโลยีอะไร?

  • XTR™ Technology (eXcellent Three-Dimensional Reticulation) เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ในการผลิต ช่วยให้โมเลกุลของไฮยาลูรอนิก (HA) ผสานกันเป็นโครงสร้างที่แข็งแรงและยืดหยุ่นคล้ายร่างแห ทำให้ฟิลเลอร์คงรูปได้ดี ไม่ไหล ไม่เลื่อน และให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ

ฟิลเลอร์ Definisse มีกี่รุ่น?

  • Definisse Core เป็นฟิลเลอร์เนื้อแข็ง มีความหนาแน่นสูงกว่ารุ่นอื่น ๆ ในบรรดาฟิลเลอร์ Definisse จึงเหมาะสำหรับเติมเต็มร่องลึก ยกกระชับใบหน้าปรับรูปหน้าให้ดูมีมิติ เช่น ขมับ กรอบหน้า และคาง สามารถอยู่นานมากถึง 18 เดือน
  • Definisse Restore เป็นฟิลเลอร์เนื้อนิ่มกว่ารุ่น Definisse Core แต่ยังคงมีความแข็งปานกลาง จึงเหมาะสำหรับเติมเต็มริ้วรอยร่องลึก ปรับรูปหน้าให้ดูอิ่มฟู ลดความหย่อนคล้อยตามวัย เช่น ร่องแก้ม และมุมปาก สามารถอยู่นานมากถึง 12 เดือน
  • Definisse Touch เป็นฟิลเลอร์เนื้อละเอียด บางเบากว่ารุ่นอื่น ๆ ในบรรดาฟิลเลอร์ Definisse จึงเหมาะสำหรับผิวบอบบาง เติมเต็มร่องตื้น ๆ ปรับผิวให้เรียบเนียน ดูอิ่มน้ำ เช่น ใต้ตา ร่องแก้ม และปาก สามารถอยู่นานมากถึง 12 เดือน

ฟิลเลอร์

ฟิลเลอร์ Art Filler

  • Art Filler เป็นฟิลเลอร์จากประเทศฝรั่งเศส ผลิตโดยบริษัท Fillmed โดยเน้นการใช้กรดไฮยาลูรอนิก (HA) คุณภาพสูงในการผลิต ทำให้ Art Filler มีความยืดหยุ่นสูง สามารถเข้ากับผิวของเราได้ดี ช่วยให้ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ ไม่แข็งทื่อ และปลอดภัย

ฟิลเลอร์ Art Filler ใช้เทคโนโลยีอะไร?

  • TRI-HYAL Innovation เป็นนวัตกรรมที่พัฒนาขึ้นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของฟิลเลอร์ โดยใช้หลักการผสมผสานโมเลกุลไฮยาลูรอนิก (HA) 3 รูปแบบเข้าด้วยกัน ทำให้ฟิลเลอร์กระจายตัวได้อย่างเหมาะสม สร้างความยืดหยุ่นในเนื้อฟิลเลอร์ ให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ ไม่จับตัวเป็นก้อน รวมถึง สามารถยึดเกาะกับผิวหนังได้เป็นอย่างดี

ฟิลเลอร์ Art Filler มีกี่รุ่น?

  • Art Filler Fine Lines เป็นฟิลเลอร์เนื้อละเอียดและบางเบาเป็นพิเศษ ทำให้สามารถเติมเต็มร่องตื้น ๆ ได้อย่างแนบเนียนและเป็นธรรมชาติ พร้อมปรับผิวให้เรียบเนียน อิ่มน้ำ และชุ่มชื้น จึงเหมาะสำหรับบริเวณที่ผิวบอบบาง เช่น รอบดวงตา ริมฝีปาก สามารถอยู่นานมากถึง 12 เดือน
  • Art Filler Universal เป็นฟิลเลอร์เนื้อแข็ง หนาแน่นและยืดหยุ่น จึงเหมาะสำหรับเติมเต็มร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก สามารถอยู่นานมากถึง 12 เดือน
  • Art Filler Volume เป็นฟิลเลอร์เนื้อแข็ง มีความหนาแน่นมากที่สุด จึงเหมาะสำหรับเติมเต็มร่องลึก เช่น ขมับ แก้มส้ม กรอบหน้า สามารถอยู่นานมากถึง 18 เดือน
  • Art Filler Lips Soft เป็นฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม มีความยืดหยุ่นสูง จึงเหมาะสำหรับการเติมเต็มริมฝีปากให้ดูอิ่มฟูและเพิ่มความชุ่มชื้น สามารถอยู่นานมากถึง 3 – 6 เดือน
  • Art Filler Lips เป็นฟิลเลอร์เนื้อที่มีความหนาแน่นมากกว่า Art Filler Lips Soft เล็กน้อย มีความเป็นธรรมชาติ จึงเหมาะสำหรับเพิ่มวอลุ่มและปรับรูปทรงให้ริมฝีปากได้ตามต้องการ สามารถอยู่นานมากถึง 3 – 6 เดือน

ฟิลเลอร์

ฟิลเลอร์ Volifil

  • ฟิลเลอร์ Volifil เป็นฟิลเลอร์จากประเทศเกาหลี ถูกพัฒนาขึ้นโดยบริษัท BNC KOREA ซึ่งฟิลเลอร์ Volifil เป็นฟิลเลอร์ชนิดโมเลกุลเดียว (Monophasic) จึงเรียบเนียนไปกับผิว มีความยืดหยุ่นสูง สามารถคงตัวในผิวหนังได้ดี เหมาะสำหรับการเติมเต็มร่องลึกหรือปรับรูปหน้า

ฟิลเลอร์ Volifil ใช้เทคโนโลยีอะไร?

  • HCCL™ Technology (High Concentration of Cross-Linking) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีพิเศษที่ใช้ในการผลิต ทำให้ฟิลเลอร์มีความคงตัวสูงและมีความยืดหยุ่นดี สามารถปั้นทรงได้ง่ายตามต้องการ

ฟิลเลอร์ Volifil มีกี่รุ่น?

  • Volifil Classic เป็นฟิลเลอร์เนื้อละเอียด บางเบา ให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ จึงเหมาะสำหรับการเติมเต็มริ้วรอยตื้น ๆ เช่น รอบดวงตา บริเวณปาก สามารถอยู่นานมากถึง 9 – 12 เดือน
  • Volifil Deep เป็นฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม มีความยืดหยุ่นสูง จึงเหมาะสำหรับการเติมเต็มร่องลึก ยกกระชับ และปรับรูปหน้า เช่น ร่องแก้ม รวมถึงเติมปากให้อวบอิ่ม สามารถอยู่นานมากถึง 9 – 12 เดือน
  • Volifil Sub-Q เป็นฟิลเลอร์เนื้อแข็ง มีความหนาแน่นสูง สามารถคงรูปได้ดี จึงเหมาะสำหรับการปรับรูปหน้า เช่น คาง ขมับ และกรอบหน้า สามารถอยู่นานมากถึง 9 – 12 เดือน

การฉีดฟิลเลอร์ ถือเป็นการลงทุนกับใบหน้าที่คุ้มค่า ตอบโจทย์สำหรับสาว ๆ ที่อยากมีใบหน้าสวยเป๊ะ เพิ่มความมั่นใจแบบทุกมิติ แต่การฉีดฟิลเลอร์เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน เนื่องจากแต่ละคนมีปัญหาผิวหน้าและบริเวณที่ต้องการฉีดไม่เหมือนกัน รวมถึง ฟิลเลอร์แต่ละยี่ห้อและแต่ละรุ่นก็มี ทั้งจุดเด่นและคุณสมบัติที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้น การปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ จะทำให้เราสามารถเลือกฉีดฟิลเลอร์ที่เหมาะสมกับใบหน้าและตรงตามความต้องการมากที่สุด นอกจากนี้ การเลือกคลินิกที่มีมาตรฐานและแพทย์ที่มีประสบการณ์ ด้านการฉีดฟิลเลอร์ก็เป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ปลอดภัยและตอบโจทย์กับปัญหาที่กังวลมากที่สุด

อันตราย! คลินิกเสริมความงามเถื่อน หวั่นหน้าพังตลอดชีวิต 

คลินิกเสริมความงาม

ข่าวการลักลอบเปิดคลินิกเสริมความงามเถื่อนโดยไม่ได้รับอนุญาต รวมถึงแอบอ้างตนเองว่าเป็นหมอโดยไม่มีใบประกอบวิชาชีพที่ถูกต้อง เป็นเหตุการณ์ที่พบได้บ่อยในสังคมปัจจุบัน ทั้งยัง ใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ไม่สะอาด ตัวยาไม่ได้มาตรฐาน ไม่ผ่านการรองรับมาตรฐาน อย. หรืออาจเป็นของปลอม ซึ่งทำให้เกิดอันตรายต่อผู้ใช้บริการได้ ทั้งใบหน้าผิดรูป บิดเบี้ยว ตาบอด ผิวเน่าเปื่อย หรือเกิดการอักเสบจนติดเชื้อ ทำให้เป็นอันตรายถึงขั้นเสียชีวิต ดังนั้น การเลือกใช้บริการคลินิกเสริมความงามที่ปลอดภัยจึงเป็นสิ่งควรให้ความสำคัญที่สุด เพื่อลดโอกาสในการเกิดผลข้างเคียงในอนาคต

ปัจจุบัน วงการคลินิกเสริมความงามเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้มีคลินิกเสริมความงามใหม่ ๆ เปิดขึ้นมาจนนับไม่ถ้วน จนทำให้ยากต่อการตัดสินใจใช้บริการ ซึ่งแต่ก่อนจะตัดสินใจ จะรู้ได้อย่างไรว่าคลินิกเสริมความงามไหนดี คลินิกเสริมความงามไหนปลอดภัย ไม่ต้องตกเป็นเหยื่อกับการต้องเจอคลินิกเสริมความงามที่ไม่ได้มาตรฐาน วันนี้ รมย์รวินท์รวบรวมวิธีการเลือกคลินิกเสริมความงามอย่างไรให้ปลอดภัย เตรียมตัวสวยแบบมั่นใจกันได้เลย

คลินิกเสริมความงาม
เรื่องต้องรู้! วิธีเลือกคลินิกเสริมความงามให้ปลอดภัย ก่อนหน้าพังเพราะหมอเถื่อน

ทริคเลือกคลินิกเสริมความงามให้ปลอดภัย

  • มีใบอนุญาตประกอบกิจการ ที่ถูกต้องตามกฎหมายจากกระทรวงสาธารณสุขหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งการมีใบอนุญาตแสดงให้เห็นว่า คลินิกเสริมความงามนั้นผ่านการคัดกรองและตรวจสอบอย่างถูกต้อง มีคุณสมบัติครบถ้วน ทั้งในด้านความปลอดภัยและความพร้อมสำหรับการให้บริการ
  • แพทย์มีใบประกอบวิชาชีพ ผ่านการรองรับจากแพทยสภาหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งใบประกอบวิชาชีพเป็นหลักฐานยืนยันและการันตีถึงความรู้ความสามารถว่า แพทย์ท่านนั้น ผ่านการศึกษาอบรมมาอย่างถูกต้อง ทำให้สร้างความน่าเชื่อถือให้กับคลินิกเสริมความงามและสร้างความปลอดภัยแก่ผู้รับบริการ
  • ราคา แนะนำให้ลองเปรียบเทียบราคาของคลินิกเสริมความงามหลาย ๆ ที่ ไม่ควรเลือกคลินิกเสริมความงามที่มีราคาถูกเกินไป เพราะยิ่งถูกยิ่งมีความเสี่ยงสูง อาจทำให้ได้รับตัวยาและบริการที่ไม่มีคุณภาพ ไม่ได้มาตรฐาน
  • ตัวยาแท้ ได้รับมาตรฐาน คลินิกเสริมความงามที่ได้รับมาตรฐาน ต้องสามารถตรวจสอบตัวยาก่อนใช้ได้ว่า เป็นของแท้หรือไม่ ซึ่งตัวยาต้องผ่านการรองรับจาก อย. ทั้งในประเทศไทยหรือต่างประเทศ เช่น US FDA หรือ อย.อเมริกา
  • สถานที่สะอาด ปลอดเชื้อ ถูกสุขลักษณะทุกขั้นตอน เครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ได้รับมาตรฐาน เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้แก่ผู้รับบริการ
  • รีวิวจากผู้ใช้บริการจริง แน่นอนว่ารีวิวก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน การดูรีวิวจากผู้ใช้บริการคนอื่น ๆ จะช่วยให้เราสามารถตัดสินใจได้ง่ายขึ้น ทั้งในแง่ของผลลัพธ์ การบริการ และความพึงพอใจหลังทำ

ทำไมต้องทำสวยที่ Romrawin Clinic

  • ดูแลโดยทีมแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ รมย์รวินท์คลินิก มีประสบการณ์ในวงการคลินิกเสริมความงามมาอย่างยาวนานกว่า 21 ปี ทำให้เข้าใจความต้องการและปัญหาของลูกค้าอย่างลึกซึ้ง พร้อมด้วยทีมแพทย์ที่มีประสบการณ์ ผ่านการฝึกฝนและอบรมอยู่ตลอดเวลา สามารถให้คำปรึกษาและประเมินสภาพผิวอย่างเหมาะสมกับแต่ละบุคคล ก่อนการทำหัตถการทุกครั้ง
  • อัปเดตเทรนด์ความงามอยู่เสมอ เนื่องจากเทรนด์ความงามมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้น ที่ รมย์รวินท์คลินิก ไม่เพียงแต่เป็นผู้นำด้านความงาม แต่ยังเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีใหม่ ๆ ซึ่งไม่หยุดนิ่งในการพัฒนาความรู้และอัปเดตเทรนด์อยู่สม่ำเสมอ เพื่อให้ลูกค้าได้สัมผัสประสบการณ์การดูแลผิวและรูปร่างที่เหนือกว่า
  • เทคโนโลยีหลากหลาย หัตถการครบวงจร ที่ รมย์รวินท์คลินิก เรานำเข้าเทคโนโลยีต่าง ๆ จากทั่วทุกมุมโลก ทำให้สามารถตอบโจทย์ทุกปัญหาที่ลูกค้ากังวล เช่น รักษาสิว ปรับรูปหน้า ยกกระชับ ฟิลเลอร์ กำจัดขน หรือแม้แต่การดูแลรูปร่างและสัดส่วน เพื่อให้ลูกค้าได้รับบริการที่ดีที่สุด
  • มาตรฐานความปลอดภัยสูง มั่นใจได้ในทุกขั้นตอน เพราะที่ รมย์รวินท์คลินิก ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของลูกค้าเป็นอันดับหนึ่ง โดยเลือกใช้แบรนด์ชั้นนำที่มีคุณภาพ เป็นที่ยอมรับในระดับโลก อย่าง Juvederm, Restylane, Ulthera หรือ Coolsculpting ได้รับการรองรับมาตรฐานจาก อย. ไทย หรือ อย. อเมริกา (US FDA) ให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพและมีความปลอดภัยสูง
  • บรรยากาศเป็นส่วนตัว พนักงานทุกคนให้บริการอย่างเป็นมืออาชีพ มีความเป็นส่วนตัวและใส่ใจในรายละเอียด และให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิด ทำให้รู้สึกผ่อนคลายตลอดการใช้บริการ
  • มีสาขาทั่วประเทศ สามารถเข้าถึงได้ง่าย ทำให้สะดวกต่อการเดินทาง ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน ก็สามารถเข้ารับบริการได้อย่างรวดเร็ว
  • มีโปรโมชันดี ๆ ตลอดทั้งปี อัปเดตโปรโมชันใหม่ ๆ ในทุกเดือน เปลี่ยนลุคใหม่ให้คุณสวยแบบคุ้มค่า สามารถเข้าถึงหัตถการที่มีคุณภาพ ในราคาที่จับต้องได้ มีให้เลือกหลากหลายโปรแกรม
  • รีวิวจากลูกค้าจำนวนมาก รมย์รวินท์คลินิก ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าเป็นจำนวนมาก ซึ่งมีเสียงตอบรับที่ดี ทั้งในด้านผลลัพธ์และการบริการที่น่าพึงพอใจ

สรุป
อยากสวย อยากดูดีแบบมั่นใจ ได้ผลลัพธ์ปัง ไม่ต้องเสี่ยงอันตรายหรือเสี่ยงทายผลลัพธ์ แค่เลือก รมย์รวินท์คลินิก เราพร้อมดูแลให้คุณสวยขึ้นอย่างปลอดภัย ด้วยบริการและเทคโนโลยีที่ครบครัน ไม่ว่าคุณจะมีปัญหาผิวหน้า ริ้วรอย ความหย่อนคล้อย หรือรูปร่างแบบไหน ก็สามารถตอบโจทย์ทุกความต้องการของคุณได้ ครบจบในที่เดียว

หมูเด้ง น่ารัก น่าเอ็นดู ถ้าอยากผิวเด้งแบบหมูเด้ง ฟังทางนี้

หมูเด้ง

เคล็ดลับงานผิวเด้ง ฉ่ำโกลว์ แบบ “น้องหมูเด้ง”

หมูเด้งฟีเวอร์ นาทีนี้ใครจะอดใจไหว! กับความน่ารักของน้องหมูเด้ง ฮิปโปแคระตัวน้อย ดาวเด่นประจำสวนสัตว์เปิดเขาเขียวศรีราชา จ. ชลบุรี ที่กำลังกลายเป็นไวรัลปรากฏการณ์ระดับโลก ทั้งสื่อในประเทศและต่างประเทศ ต่างพร้อมใจกันรายงานข่าวและนำภาพของน้องหมูเด้งมาทำเป็นมีมกันอย่างสนุกสนาน

มัดรวม 4 โปรแกรมผิวเด้งแบบ น้องหมูเด้ง ที่ รมย์รวินท์คลินิก

ทำความรู้จักกับ น้องหมูเด้ง

น้องหมูเด้ง ลูกฮิปโปแคระ เพศเมีย เกิดเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม ปี 2567 แม่ชื่อโจนา อายุ 25 ปี พ่อชื่อโทนี่ อายุ 24 ปี ซึ่งชื่อ หมูเด้ง มาจากการเปิดโหวตของทางสวนสัตว์เปิดเขาเขียว มีให้เลือกทั้งหมด 3 ชื่อ ได้แก่ หมูเด้ง, หมูแดง และหมูสับ ซึ่งมีผู้โหวตมากถึง 20,000 คน

โดยน้องหมูเด้งเป็นลูกฮิปโปตัวที่ 7 ของสวนสัตว์เปิดเขาเขียว หลังจากมีคลิปและภาพความน่ารักของน้องหมูเด้งในเพจ ขาหมู แอนด์เดอะแก๊ง ถูกเผยแพร่ออกไป ก็กลายเป็นไวรัลขึ้นมาทันที เนื่องจากพฤติกรรมแสนน่ารัก ซุกซน ท่าทางเคลื่อนไหวที่เด้ง ดึ๋ง ดีด ของน้องหมูเด้ง ทำให้หลายๆ คนโดนตกและใจฟูทุกครั้งที่ได้เห็นน้อง

นอกจากพฤติกรรมที่น่ารักและซุกซนของน้องหมูเด้งแล้ว ผิวเด้ง ผิวเงา และกลาสสกินก็ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน ซึ่งล่าสุดน้องหมูเด้งได้รันวงการความงามเป็นที่เรียบร้อย กับเทรนด์ผิวเด้ง ผิวกระจก ฉ่ำวาว อิ่มน้ำ ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่เราจะสู้น้องหมูเด้งได้ในตอนนี้ ก็คงต้องเอาผิวเด้งเข้าสู้! รมย์รวินท์คลินิก ได้รวบรวมโปรแกรมงานผิวเด้ง งานผิวฉ่ำ พร้อมให้คุณมีผิวสวย สุขภาพดี ออร่าจับเหมือนน้องหมูเด้งมาให้แล้วค่ะ

หมูเด้ง รวม 4 โปรแกรมผิวเด้งแบบน้องหมูเด้ง

ผิวเด้ง แบบหมูเด้งด้วย Radiesse

  • ผิวเด้งแบบหมูเด้งด้วย Radiesse นวัตกรรมกระตุ้นคอลลาเจนที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในตอนนี้ ผลิตโดยบริษัท Merz Aesthetics บริษัทชั้นนำผู้ผลิตนวัตกรรมความงามระดับโลก
  • โดย Radiesse มีส่วนประกอบหลักที่ทำให้ผิวเด้ง แข็งแรง คือ CaHA (Calcium Hydroxylapatite) ซึ่งเป็นสารที่พบได้ตามธรรมชาติในร่างกายของเรา สามารถพบได้ในเนื้อเยื่อกระดูกและฟัน มีลักษณะเป็นทรงกลม ขนาด 24 – 25 ไมครอน
  • Radiesse มีจุดเด่นในการกระตุ้นกระบวนการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ชั้นผิว พร้อมกระตุ้นการสร้างเส้นใยตาข่ายตรึงผิว ทำให้ผิวแข็งแรง มีความเด้ง มีความชุ่มชื้น นุ่มฟู มีความหนาแน่นขึ้น และดูอ่อนเยาว์ขึ้น
  • ซึ่งผลลัพธ์การฉีด Radiesse สามารถอยู่ได้นานถึง 2 ปี เนื่องจากสาร CaHA จะกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผิวเนียนเด้ง ชะลอการเกิดริ้วรอยในอนาคตได้

Sculptra

  • ผิวเด้งแบบหมูเด้งด้วย Sculptra นวัตกรรมกระตุ้นคอลลาเจนจากบริษัท Galderma Laboratories, L.P. เป็นอีกหนึ่งหัตถการที่ได้รับความนิยมเช่นเดียวกัน
  • โดยมีส่วนประกอบหลัก คือ PLLA (Poly-L-Lactic Acid) ซึ่งเป็นสารสังเคราะห์จากธรรมชาติตัวแรกของโลก ที่ได้จดสิทธิบัตรเฉพาะของบริษัท Galderma มีลักษณะเป็นอนุภาคขนาดเล็ก
  • เมื่อฉีดเข้าสู่ผิวจะไปกระตุ้นเซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast) ให้เกิดการสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ ทดแทนคอลลาเจนที่สูญเสียไปเมื่ออายุมากขึ้น ซึ่งมีงานวิจัยรองรับว่า Sculptra สามารถสร้างคอลลาเจนได้มากถึง 66.5% ทำให้ผิวแน่น กระชับ ผิวเด้ง ดูอิ่มฟู และโครงสร้างผิวดูแข็งแรง
  • โดยสามารถฉีดในบริเวณที่มีริ้วรอย ผิวหย่อนคล้อย ไม่กระชับ และขาดความยืดหยุ่นได้ ให้ผลลัพธ์ที่ยาวนาน ไม่ต้องเสียเวลาฉีดบ่อยๆ ฉีด 1 ครั้ง สามารถอยู่ได้นานถึง 2 ปี

Belotero Revive

  • ผิวเด้งแบบหมูเด้งด้วย Belotero Revive ฟิลเลอร์กลุ่ม Skin Booster จากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ผลิตโดยบริษัท Merz Aesthetics ซึ่งเป็นฟิลเลอร์รุ่นแรกและรุ่นเดียวของโลก
  • มีการผสมกรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid) และ กลีเซอรอล (Glycerol) เข้าด้วยกัน พัฒนาขึ้นมาเพื่อเน้นการฟื้นฟูผิวโดยเฉพาะ
  • สามารถกักเก็บความชุ่มชื้น นุ่นลื่น เนียนและผิวเด้งได้ดีกว่าฟิลเลอร์รุ่นอื่นๆ ทำให้ผิวอิ่มน้ำ ผิวฉ่ำวาวแบบกลาสสกิน ล็อกความชุ่มชื้นไว้ได้ยาวนาน พร้อมกระชับรูขุมขนและเพิ่มวอลุ่มให้ผิวเด้ง
  • เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแห้งกร้าน ขาดน้ำ และแต่งหน้าไม่ติด ซึ่งหลังฉีด 1 ครั้ง สามารถอยู่ได้นานถึง 9 เดือน

Skinvive

  • ผิวเด้งแบบหมูเด้งด้วย Skinvive เทคโนโลยีงานผิวตัวใหม่จากบริษัท Allergan ผู้ผลิตฟิลเลอร์ชื่อดัง Juvederm มีส่วนประกอบของกรดไฮยาลูรอนิก ไมโครดรอปเล็ต (Microdroplets of Hyaluronic Acid) ที่พิเศษกว่ากรดไฮยาลูรอนิกทั่วไป ซึ่งมีความเข้มข้นสูง
  • โดยมีจุดเด่นอยู่ที่การเป็น Skin Booster ช่วยให้ผิวแข็งแรง และเด้งฟูจากภายใน เติมเต็มความชุ่มชื้นเข้าสู่ผิวอย่างล้ำลึก ทำให้ผิวเด้ง อิ่มน้ำ ฉ่ำวาว พร้อมกระชับรูขุมขนให้ผิวเรียบเนียน แต่งหน้าติดทนมากขึ้น
  • โดยสามารถฉีดในบริเวณที่มีปัญหารูขุมขน ผิวแห้ง ขาดความชุ่มชื้น เช่น หน้าแก้ม หน้าผาก หรือใต้ตา ซึ่งการฉีด Skinvive 1 ครั้ง สามารถอยู่ได้นานถึง 6 – 9 เดือน หลังจากนั้น แนะนำให้กลับมาฉีดซ้ำ เพื่อรักษาผลลัพธ์ให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง

สำหรับใครที่อยากมีผิวเด้งแบบน้องหมูเด้ง บอกเลยห้ามพลาดกับ 4 โปรแกรม ทั้ง Radiesse, Sculptra, Belotero Revive และ Skinvive ต้องที่ รมย์รวินท์คลินิก เท่านั้น ซึ่งแต่ละโปรแกรมก็มีเทคโนโลยีและจุดเด่นที่แตกต่างกันออกไป หากยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเลือกทำโปรแกรมไหนดี แนะนำให้ลองปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนได้เลยเพื่อให้แพทย์ประเมินและวิเคราะห์ปัญหาผิวหน้าอย่างตรงจุด รับรองไม่ว่าทำโปรแกรมไหน ก็เตรียมมีผิวเด้ง ผิวฉ่ำวาว สู้น้องหมูเด้งได้แน่นอน

Thermage FLX vs Ulthera SPT ตัวช่วยยกกระชับต่างกันอย่างไร?

ยกกระชับ

Thermage FLX vs Ulthera SPT ตัวช่วยยกกระชับต่างกันอย่างไร

ในปี 2024 นี้นวัตกรรมการยกกระชับมีมากมายหลากหลายเครื่องอย่างมาก แต่นวัตกรรมการยกกระชับยอดฮิตติดอันดับตลอดกาลคงหนีไม่พ้น Thermage FLX vs Ulthera SPT 2 นวัตกรรมยกหน้าตึงดึงผิวกระชับระดับท็อปของวงการความงามมาอย่างต่อเนื่องหลายปี และยังนวัตกรรมการยกกระชับที่เหล่า ดารา คนดัง และเซเลปเลือกไว้ใจให้ดูแลเรื่องยกกระชับผิวหน้าอีกด้วย

วันนี้รมย์รวินท์คลินิกจะมาแนะนำ Thermage FLX vs Ulthera SPT ว่าแตกต่างกันอย่างไร ? เลือกยกกระชับตัวไหนดี? ผลลัพธ์แตกต่างกันอย่างไร? ทุกคำตอบของ Thermage FLX vs Ulthera SPT อยู่ที่บทความนี้เท่านั้น มาหาคำตอบไปพร้อมกันค่ะ

Thermage FLX vs Ulthera SPT ศึกแห่งความงาม! ยกกระชับผิวตัวไหนดีแตกต่างกันอย่างไร

thermage vs ulthera
ทำความรู้จักชั้นผิวการทำโปรแกรมยกกระชับ

รู้จักชั้นผิวของเราก่อนทำ Thermage FLX vs Ulthera SPT

ก่อนที่จะเลือกยกกระชับ Thermage FLX vs Ulthera SPT เราต้องมีความเข้าใจกับชั้นผิวหนังก่อน เพราะการทำ Thermage FLX และ Ulthera SPT พลังงานลงสู่ชั้นผิวหนังที่แตกต่างกัน โดยปกติชั้นผิวหนังของเรานั้นจะประกอบไปด้วย 4 ชั้นหลักด้วยกัน คือ ชั้นหนังกำพร้า (Epidermis), ชั้นหนังแท้ (Dermis) และชั้นไขมัน (Subcutis)

  • ชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) เป็นผิวหนังชั้นนอกที่ทำหน้าที่คอยปกป้องผิวจากมลพิษ แบคทีเรีย เชื้อรา และป้องกันการสูญเสียน้ำของผิว
  • ชั้นหนังแท้ (Dermis) เป็นผิวหนังชั้นที่มีความหนาแน่นและมีความยืดหยุ่น ประกอบไปด้วยคอลลาเจน (Collagen) และ อีลาสติน (Elastin) ทำหน้าที่ช่วยให้ผิวดูสวยสุขภาพดี แลดูอ่อนเยาว์ ยืดหยุ่นและดูผิวเต่งตึงมากขึ้น
  • ชั้นไขมัน (Subcutis) เป็นชั้นที่อยู่ด้านในสุดของชั้นผิว ที่ประกอบไปด้วยเซลล์ไขมัน โปรตีนคอลลาเจน และหลอดเลือดต่าง ๆ ที่ทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันการกระแทกอวัยวะภายในและคอยกักเก็บพลังงานอีกด้วย
  • ชั้น SMAS (Superficial Musculo Aponeurotic System) เป็นชั้นของเนื้อเยื่อที่แนบติดชั้นกล้ามเนื้อ และชั้นไขมันบนใบหน้า มีหน้าที่ห่อหุ้มกล้ามเนื้อของใบหน้า และทำหน้าที่พยุงโครงสร้างผิวให้กระชับ

หากชั้นผิวทั้ง 4 ชั้นมีประสิทธิภาพที่เสื่อมลงจากการโดนทำร้ายจากมลภาวะและแสงแดด หรือผิวเสื่อมประสิทธิภาพลงอันเนื่องมาจากอายุที่มากขึ้น จะทำให้ปริมาณของเส้นใยคอลลาเจนลดน้อยลง และเส้นใยคอลลาเจนสูญเสียความยืดหยุ่น เป็นสาเหตุของการเกิดผิวหย่อนคล้อยและริ้วรอยแห่งวัย ทำให้ใบหน้าขาดความกระชับ

ซึ่งคุณสมบัติของพลังงานความร้อนเครื่อง Ulthera SPT และ Thermage FLX สามารถยิงพลังงานลงลึกครอบคลุมผิวทั้ง 3 ชั้น โดยหลังจากยิงพลังงานลงสู่ผิวจะรู้สึกถึงความแน่นกระชับ ยืดหยุ่น รูขุมขนเล็กลง และผิวเรียบเนียนขึ้น อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน พร้อมทั้งยังช่วยสลายไขมันส่วนเกินที่สะสมบริเวณใบหน้าได้อีกด้วย

thermage vs ulthera
Thermage FLX vs Ulthera SPT ต่างกันอย่างไร ?

Thermage FLX vs Ulthera SPTทำงานแตกต่างกันอย่างไร

Thermage FLX กับ Ulthera SPT เป็นนวัตกรรมในด้านของการยกกระชับผิว แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย ลดริ้วรอยต่าง ๆ ได้ แต่ทั้ง 2 นวัตกรรมมีความแตกต่างกันในด้านของหลักการทำงานและค่าพลังงานที่ยิงลงสู่ชั้นผิว

thermage vs ulthera
หลักการทำงานของ Thermage FLX

การทำงานของ Thermage FLX

hermage FLX หลักการทำงานใช้คลื่นพลังงานความร้อนจากคลื่นวิทยุ Monopolar RF ซึ่งเป็นคลื่นที่มีความถี่สูง สามารถลงลึกไปถึงชั้นผิวหนังแท้ (Dermis) ชั้นผิวที่มีส่วนประกอบของคอลลาเจน (Collagen) อีลาสติน (Elastin) และชั้นไขมันใต้ผิวหนัง โดยพลังงานความร้อนจะอยู่ที่ 40-50°C ปรับค่าพลังงานได้ถึง 0-4 ระดับ คือ

  • พลังงาน Thermage ระดับ 0-1 ระหว่างที่ทำจะรู้สึกสั่นบริเวณผิวแต่จะยังไม่รู้สึกอุ่น เป็นผลลัพธ์จากการรักษาน้อย
  • พลังงาน Thermage  ระดับ 2-2.5 ระหว่างทำจะรู้สึกร้อนขึ้นแต่จะรู้สึกในระดับที่ทนได้ สามารถเห็นผลลัพธ์หลังทำได้ตามที่ต้องการ
  • พลังงาน Thermage ระดับ 3-4 พลังงานระดับนี้สำหรับในบางกรณีเป็นระดับความร้อนที่ร้อนเกินไป เป็นระดับพลังงานที่เห็นผลลัพธ์ชัดเจนมากกว่าระดับอื่น ๆ แต่เสี่ยงเกิดการบาดเจ็บได้ และไม่เหมาะกับผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายหรือผิวบอบบางเกินไป

ในปัจจุบันการทำ Thermage FLX จะมีหัวยิง 4 แบบ ด้วยกัน ดังนี้

  • Thermage FLX Total Tip 3.0 ตารางเซนติเมตร เป็นหัวยิงเฉพาะรุ่นของ CPT เป็นหัวขนาด 3 ตารางเซนติเมตร สามารถยิงได้ 1,200 shot เหมาะทำบริเวณใบหน้าไปจนถึงลำคอ
  • Thermage FLX Total Tip 4 ตารางเซนติเมตร  เป็นหัวยิงเฉพาะรุ่นของ FLX เป็นหัวขนาด 4 ตารางเซนติเมตร สามารถยิงได้ 900 shot เหมาะทำบริเวณใบหน้าไปจนถึงลำคอ
  • Thermage FLX Body Tip 16 ตารางเซนติเมตร เป็นหัวยิงขนาด 16 ตารางเซนติเมตร เหมาะกับการทำในบริเวณลำตัว แขนและขา

จุดเด่นของ Thermage FLX

  • ยิงพลังงานลงที่ชั้นผิวหนังแท้ (Dermis) ช่วยให้ผิวแน่นเฟิร์ม อิ่มฟู กระชับ หน้าเรียวเล็ก ปรับคุณภาพผิวให้ดีขึ้น 
  • หัวยิง 4 รูปแบบ พร้อมเทคโนโลยีใน Generation ใหม่ ‘FASTER ALGORITHM EXPERIENCE’ ทำให้มีประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้น
  • Thermage FLX สามารถยิงพลังงานลงลึกสู่ชั้นผิวครอบคลุมเป็นวงกว้าง
  • Thermage FLX มีหัว Tip สำหรับการยกกระชับบริเวณรอบดวงตา และหัว Tip สำหรับการยกกระชับบริเวณลำตัวได้
  • สามารถแก้ปัญหาบนใบหน้าได้อย่างครอบคลุม เช่น ริ้วรอย คิ้วตก ตาตก ร่องแก้มลึก ไขมันสะสม
  • ใช้ระเวลาในการทำครั้งละ 45-90 นาที
  • เห็นผลลัพธ์ตั้งแต่ทำครั้งแรก 20% และเห็นผลลัพธ์ชัดเจนหลังทำ 2-3 เดือน
  • ผลลัพธ์อยู่ได้นานถึง 1-2 ปี
  • ไม่ต้องพักฟื้นนาน ไม่ต้องผ่าตัด สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ

thermage vs ulthera
หลักการทำงาน Ulthera SPT

การทำงานของ Ulthera SPT

Ulthera SPT หลักการทำงานคือการใช้คลื่นพลังงานอัลตราซาวนด์ชนิด MFU-V (Micro Focused UItrasound with Visualization) เป็นพลังงานคลื่นเสียงความถี่สูง สามารถยิงพลังงานลงสู่ผัวชั้น SMAS ในระดับความร้อนที่ 60-70°C มีหน้าจอในการดูระดับความลึกของพลังงานที่ยิงลงไปแบบ Real time โดยลักษณะพลังงานเป็นจุดไข่ปลาเล็ก ๆ เรียงกันเป็นเส้นตรง  ซึ่งหัวยิงของ Ulthera SPT มีความลึกถึง 3 ระดับ  คือ

  • หัวยิงความลึก 1.5 mm เหมาะสำหรับปัญหาริ้วรอยต่าง ๆ บนผิวชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) และชั้นหนังแท้ (Dermis)
  • หัวยิงความลึก 3 mm เหมาะสำหรับการแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย ช่วยยกกระชับ
  • หัวยิงความลึก 4.5 mm สำหรับยิงชั้น SMAS ซึ่งเป็นผิวหนังชั้นเดียวกับการผ่าตัดศัลยกรรมดึงหน้า ยกแก้ม เหนียง และลำคอ

จุดเด่นของ Ulthera SPT

  • Ulthera SPT มีเทคโนโลยีหน้าจอแสดงผลแบบ Real time เพื่อการมองเห็นพลังงานที่โฟกัสอย่างแม่นยำ ตรงจุด ทุกชั้นผิว
  • ลงลึกครอบคลุมทุกชั้นผิว แก้ปัญหาอย่างตรงจุด ยกกระชับได้เทียบเท่ากับการผ่าตัดดึงหน้า
  • กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ของผิว ช่วยให้ผิวแน่นเฟิร์มกระชับ
  • เห็นผลลัพธ์ตั้งแต่หลังทำครั้งแรก 30% และเห็นผลลัพธ์ชัดเจน 1-2 เดือนหลังทำ
  • ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 1-2 ปี
  • ไม่ต้องพักฟื้น สามารถใช้ชีวิตประจำวันปกติได้เลย

Thermage FLX vs Ulthera SPT วิธีใช้แตกต่างกันไหม

Thermage FLX กับ Ulthera แตกต่างกันอย่าง สามารถแบ่งออกได้ ดังนี้

Thermage FLX

  • Thermage FLX เป็นการพัฒนานวัตกรรมขึ้นมาในปี 2018 สามารถฌโฟกัสการลดริ้วรอยอย่างแม่นยำแบบเรียลไทม์ ใช้ระยะเวลาในการทำน้อยกว่าเดิม 25% ผลลัพธ์อยู่ได้ยาวนาน 1-2 ปี

Ulthera SPT

  • เป็นนวัตกรรมที่มีเพียงรุ่นเดียว ช่วยลดเลือนริ้วรอยร่องลึกต่าง ๆ และช่วยยกกระชับที่เห็นผลลัพธ์ชัดเจนได้นานถึง 1-2 ปี

Thermage FLX vs Ulthera SPT เหมาะกับปัญหาผิวแบบไหน

Thermage FLX เหมาะคนที่มีปัญหาไขมันส่วนเกินสะสมเยอะบริเวณใบหน้า ทำให้ผิวขาดความกระชับ แก้มเยอะ ยิวย้วย อันเนื่องมาจากมีไขมันสะสม นอกจากนี้ยังเหมาะกับผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยร่องลึกต่าง ๆ จากการที่ผิวขาดคอลลาเจน (Collagen) และอีลาสติน (Elastin)

ส่วน Ulthera SPT เหมาะกับคนที่มีปัญหากรอบหน้าไม่ชัด ผิวหย่อนคล้อยตามวัย และมีริ้วรอยต่าง ๆ บนใบหน้า หางตาและหางคิ้วตก ผิวขาดคอลลาเจน  (Collagen) และอีลาสติน (Elastin)

Thermage FLX vs Ulthera SPTจุดที่นิยมในการยกกระชับแก้ปัญหาผิว

จุดที่นิยมยกกระชับด้วย Thermage FLX 

  • ทั่วใบหน้าบริเวณที่มีไขมันสะสม
  • บริเวณรอบดวงตาและใกล้ตา
  • เหนียง ใต้คาง
  • ร่องแก้มและกรอบหน้า
  • ลำคอ
  • ต้นแขนและต้นขา

จุดที่นิยมยกกระชับด้วย Ulthera SPT

  • ทั่วบริเวณใบหน้า
  • บริเวณรอบดวงตาและใต้ตา
  • หางคิ้ว หางตา
  • บริเวณหน้าผาก
  • ร่องแก้มและกรอบหน้า
  • ลำคอ

Thermage FLX vs Ulthera SPT ผลลัพธ์แตกต่างกันอย่างไร?

จุดเด่นเรื่องผลลัพธ์ของการทำ Thermage FLX คือจะช่วยให้ผิวแน่นเฟิร์มกระชับ ช่วยลดไขมันสะสมบริเวณกรอบหน้าได้ดี กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน (Collagen) และอีลาสติน (Elastin) ช่วยฟื้นฟูสุขภาพผิวให้กลับมาเรียบเนียนและกระจ่างใสขึ้น

ส่วนจุดเด่นผลลัพธ์ของ Ulthera SPT คือช่วยยกผิวหน้าที่หย่อนคล้อยให้กระชับขึ้น ช่วยให้ผิวเต่งตึง กรอบหน้าคมชัด และยังช่วยฟื้นฟูสภาพผิว กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน (Collagen) และอีลาสติน (Elastin) อีกด้วย

Thermage FLX vs Ulthera SPT จำนวน Shot ที่แตกต่างกัน

Thermage FLX มีจำนวน Shot ในการยิงอยู่ที่ 900 shot ยิงได้ทั่วใบหน้า ซึ่งใช้ระยะเวลาในการทำ 45-90 นาที

ส่วน Ulthera SPT นั้นจำนวน Shot ในการยิงทั่วใบหน้าไม่ได้มีจำนวนที่เหมาะสมชัดเจน เนื่องจากขึ้นอยู่กับปัญหาและสภาพผิวของแต่ละบุคคล

Thermage FLX vs Ulthera SPT vs HIFU แตกต่างกันอย่างไร?

  • Thermage FLX เป็นการใช้พลังงานคลื่นวิทยุแบบขั้วเดียว ซึ่งพลังงานสามารถลงลึกถึงชั้นหนังแท้ ช่วยยกกระชับผิวหน้าและลำตัว รวมถึงช่วยลดไขมันส่วนเกินด้วย ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 1-2 ปี
  • Ulthera SPT ใช้พลังงานอัลตราซาวนด์ความถี่สูงแบบเฉพาะเจาะจง โดยพลังงานสามารถลงลึกได้ถึงผิวหนังชั้น SMAS ช่วยยกกระชับผิวหน้าและลำคอ ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 1-2 ปี
  • HIFU ใช้พลังงานอัลตราซาวนด์ความถี่สูงแบบเฉพาะเจาะจง พลังงานลิงลงลึกได้ถึงผิวหนังชั้น SMAS ได้เหมือน Ulthera SPT แต่ผลลัพธ์อยู่ได้ไม่นาน ช่วยยกกระชับผิวหน้าและลำตัว

ราคาการทำThermage FLX vs Ulthera SPT อยู่ที่เท่าไหร่

ราคาในการยกกระชับ Thermage FLX โดยปกติทั่วไปหากเป็น Thermage FLX 900 shot จะอยู่ที่ราคาเริ่มต้น 65,000 บาท ส่วน Ulthera SPT จะมีราคาเริ่มต้นที่ 60,000 บาท ทั้งนี้ราคาขึ้นอยู่กับบริเวณที่ต้องการทำด้วยค่ะ

คำถามพบบ่อยเรื่องของ Thermage FLX vs Ulthera SPT

Thermage FLX vs Ulthera SPT สามารถทำร่วมกันได้หรือไม่?

การยกกระชับด้วย Thermage FLX และ Ulthera SPT สามารถทำร่วมกันได้ แต่ไม่ควรทำพร้อมกัน เนื่องจากจะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหน้า อาจส่งผลให้ชั้นผิวของเราเกิดอาการเบิร์นไหม้ (Burn) ควรเลือกยกกระชับอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแพทย์ผู้ชำนาญการประเมินปัญหาสภาพผิวของแต่ละบุคคลค่ะ

ระดับความเจ็บของ Thermage FLX vs Ulthera SPT

ก่อนทำ Ulthera SPT จะทำการแปะยาชาก่อนทำเสมอ จึงทำให้การยกกระชับด้วย Ulthera SPT ไม่เจ็บอย่างที่คิดเพราะยาชาช่วยลดความเจ็บได้อย่างมาก ระหว่างทำจะรู้สึกจี๊ด ๆ และอุ่นบริเวณที่ทำ ซึ่งเป็นระดับความร้อนที่ทนได้

ส่วนการทำ Thermage FLX ระดับของความเจ็บนั้นจะไม่แตกต่างจากการทำ Ulthera SPT เท่าไหร่ เพราะ Thermage FLX มีระบบ Cooling Effect ที่ช่วยปล่อยพลังงานความเย็นในระหว่างทำ เพื่อคอยป้องกันการไหม้เบิร์น (Burn) ของผิวหน้า และช่วยทำให้เจ็บน้อยลงอีกด้วยค่ะ

ระยะเวลาในการทำ Thermage FLX vs Ulthera SPT ในแต่ละครั้งนานไหม

ระยะเวลาในการทำ Thermage FLX ในแต่ละครั้งจะใช้เวลาประมาณ 45-90 นาที ส่วนในการทำ Ulthera SPT ในแต่ละครั้งจะใช้เวลาประมาณ 30-45 นาทีค่ะ

Thermage FLX vs Ulthera SPT  จะเห็นผลลัพธ์ภายในกี่วัน?

ระยะเวลาในการเห็นผลลัพธ์ของ Thermage FLX จะเห็นผลลัพธ์ทันทีหลังทำประมาณ 20% และจะเห็นผลลัพธ์ชัดเจนเต็มที่ภายใน 2-3 เดือนหลังทำ ส่วน Ulthera SPT เห็นผลลัพธ์ทันทีหลังทำประมาณ 30% และเห็นผลลัพธ์ชัดเจนเต็มที่ภายใน 1-2 เดือนหลังทำค่ะ

สรุป Thermage FLX vs Ulthera SPT

Thermage FLX และ Ulthera SPT ช่วยยกกระชับเก็บกรอบหน้าคมชัดคล้ายกัน แต่มีความแตกต่างกันที่พลังงานค่ะ สำหรับใครที่กำลังมองหานวัตกรรมยกกระชับ แต่ไม่รู้ว่าจะเลือกทำโปรแกรมยกกระชับตัวไหนดี สามารถเข้ามาพูดคุยปรึกษากับทางรมย์รมรวินท์คลินิก เพื่อให้แพทย์ผู้ชำนาญการประเมินวิเคราะห์ใบหน้าและเลือกหัตถการยกกระชับที่เหมาะสมกับปัญหาผิวได้อย่างตรงจุดค่ะ

รมย์รวินท์คลินิกใช้ Thermage FLX และ Ulthera SPT เครื่องแท้ได้มาตรฐานระดับสากล ดูแลโดยทีมแพทย์ผู้มากประสบการณ์กว่า 10 ปี ดูแลทุกเคสแบบ 1:1 วิเคราะห์อย่างละเอียดเพื่อการแก้ปัญหาอย่างเหมาะสม ตรงจุด และปลอดภัย

เตือนภัย! หวิดหน้าพัง..เพราะฟิลเลอร์ กับหมอที่ไม่ชำนาญ

อันตรายจากการฉีดฟิลเลอร์

เตือนภัย! หวิดหน้าพัง..เพราะฟิลเลอร์ 

ฟิลเลอร์จัดได้ว่าเป็นหัตถการอันดับต้นๆ ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะสามารถฉีดเติมเต็มให้ผิว ปรับรูปหน้า และลดเลือนริ้วรอยได้อย่างทันใจ แต่เมื่อมีความนิยมมากก็มักจะมีฟิลเลอร์ปลอมระบาดหนักในท้องตลาดมากเช่นกัน ยิ่งถ้าหากเราอยากสวย แต่เห็นแก่ของถูก โปรโมชันที่หลอกล่อให้หลงเป็นเหยื่อ จนเผลอไผลให้กับฟิลเลอร์ปลอม หรือคลินิกที่ไม่ได้มาตรฐาน ก็อาจตกเป็นเหยื่อ และหวิดหน้าพังได้เช่นกัน 

ฟิลเลอร์คืออะไร ทำไมถึงได้รับความนิยมอย่างมาก 

ฟิลเลอร์ หรือที่รู้จักกันในชื่อ Hyaluronic Acid (HA) ซึ่งเป็นสารประกอบที่ช่วยเติมเต็มให้ผิว ช่วยลดเลือนริ้วรอย ร่องเล็กๆ หรือปรับรูปหน้า เติมเต็มวอลลุ่มให้ผิวหน้า ซึ่ง HA เป็นสารประกอบที่มีความปลอดภัยสูง เนื่องจากเป็นสารที่ฉีดเข้าไปแล้วไม่เกิดการตกค้างในร่างกาย สามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ และให้ผลลัพธ์ที่สวยในแบบที่เป็นธรรมชาติ ดูไม่หลอกตา ซึ่งฟิลเลอร์แท้จะได้รับรองจากอย.ไทย ว่ามีความปลอดภัย สามารถใช้กับผิวหน้า หรือร่างกายได้ 

ฟิลเลอร์สามารถฉีดบริเวณไหนได้บ้าง

  • ฟิลเลอร์สามารถฉีดบริเวณขมับ แก้ปัญหาขมับตอบ เสริมมิติให้ใบหน้า
  • ฟิลเลอร์สามารถฉีดบริเวณหน้าผาก แก้ปัญหารอบยุบ รอยยับ 
  • ฟิลเลอร์สามารถฉีดบริเวณใต้ตาช่วยแก้ปัญหารอยคล้ำใต้ตา ให้ตาสดใสมากขึ้น
  • ฟิลเลอร์สามารถฉีดบริเวณปาก ช่วยเติมเต็มร่องปาก แก้ปากแห้ง ปรับรูปปากให้สวยอวบอิ่ม
  • ฟิลเลอร์สามารถฉีดบริเวณร่องแก้ม ช่วยเติมเต็มร่องลึก ให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์มากยิ่งขึ้น
  • ฟิลเลอร์สามารถฉีดบริเวณคาง ช่วยแก้ปัญหาคางสั้น คางบุ๋ม เติมมิติให้คางดูสวยรับกับใบหน้ามากขึ้น 

ฟิลเลอร์กับความงาม

ฟิลเลอร์นั้นมีประโยชน์กับผิวในด้านความงามมากมาย เพราะเป็นสารเติมเต็มประเภท Hyaluronic Acid หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อของ HA ที่ใช้เติมความชุ่มชื้น และกักเก็บน้ำให้กับผิว อีกทั้งยังช่วยเติมเต็มเรื่องร่องรอยให้ผิว ช่วยลดเลือนริ้วรอย ร่องตื้นให้ผิวดูอ่อนเยาว์มากยิ่งขึ้น และยังช่วยปรับรูปหน้า เพิ่มวอลลุ่มให้ผิวดูมีมิติมากยิ่งขึ้น และให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติมากอีกด้วย เป็นการรักษาผิวให้สวยได้แบบเร่งด่วนอีกทางหนึ่ง แต่หากเผลอไปเลือกใช้ฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือฉีดแบบไม่ถูกวิธี กับคลินิกหรือแพทย์ที่ไม่มีความเชี่ยวชาญ หรือไม่ได้รับการรับรองก็อาจเจอกับผลข้างเคียงได้อีกเช่นกัน โดยอาการของการฉีดฟิลเลอร์ที่ไม่ได้ผลดีคืออาการฟิลเลอร์ไหล หรือฟิลเลอร์เป็นก้อนนั่นเอง และอาจร้ายแรงจนถึงขั้นติดเชื้อ เสี่ยงเสียโฉมถาวรเลยก็เป็นไปได้ 

ฟิลเลอร์ไหลคืออะไร

ฟิลเลอร์ไหลคือ อาการข้างเคียงของการฉีดฟิลเลอร์เข้าสู่ผิวแล้วเกิดการไหลย้อยมากองรวมกันเป็นก้อนทำให้ผิวเกิดการอักเสบ หรือบวมขึ้น ซึ่งอาการเหล่านี้จะไม่ได้เกิดขึ้นในทันทีหลังจากฉีดฟิลเลอร์เข้าไปในผิว แต่จะเกิดขึ้นหลังจากการฉีดฟิลเลอร์มาซักระยะหนึ่ง หากเป็นฟิลเลอร์ของแท้ หรือฉีดถูกตำแหน่งก็จะสามารถถสลายไปได้เองโดยธรรมชาติ แต่หากเป็นฟิลเลอร์ที่ใช้สารประกอบอื่นๆ มาแทน เช่น ซิลิโคนเหลว หรือพาราเบน ซึ่งสารประกอบพวกนี้จะไม่สามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ หากฉีดไปนานเข้าก็จะทำให้ฟิลเลอร์เกิดอาการไหล และทำให้ผิวหนังอักเสบ บวมแดง จนถึงขั้นติดเชื้อได้ 

ต้นเหตุของฟิลเลอร์ไหลคืออะไร อันตรายหรือไม่

ฟิลเลอร์ไหล เพราะฟิลเลอร์ที่ไม่ได้คุณภาพ มีการเก็บรักษาที่ไม่ดี ไม่ได้มาตรฐาน หรือเป็นฟิลเลอร์ที่ไม่ผ่านการรับรองจากอย.ไทย  เพราะฟิลเลอร์ที่อย.ไทยรับรองคือฟิลเลอร์ที่มีสารเติมเต็ม Hyaluronic Acid เท่านั้น 

ฟิลเลอร์ไหล เพราะใช้ฟิลเลอร์ที่ไม่เหมาะสมกับบริเวณที่ฉีด ซึ่งอาจเกิดจากโมเลกุล และความหนาแน่น และการจับตัวของฟิลเลอร์ไม่เหมาะกับตำแหน่งที่ฉีดก็อาจทำให้ฟิลเลอร์ที่ฉีดเกิดอาการไหลกองเป็นก้อน 

ฟิลเลอร์ไหล เพราะแพทย์ที่ทำการฉีดให้ไม่ใช่แพทย์ผู้มีประสบการณ์เฉพาะทาง ซึ่งอาจจะทำให้ฉีดฟิลเลอร์ผิดตำแหน่ง หรือฉีดฟิลเลอร์มากเกินความจำเป็น ทำให้ดูไม่เป็นธรรมชาติ และอาจทำให้เกิดอาการฟิลเลอร์ไหล หรือฟิลเลอร์เป็นก้อน 

ฟิลเลอร์ไหล เพราะฟิลเลอร์ที่ใช้เป็นฟิลเลอร์ปลอม ที่ใช้สารปลอมแปลงเช่นซิลิโคนเหลว หรือพาราฟินที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย และไม่สามารถสลายไปได้เองโดยธรรมชาติ ซึ่งนานวันเข้าจะไปกระตุ้นผิว ทำให้เกิดการอักเสบ และติดเชื้อได้

โดยอาการข้างต้นหากฟิลเลอร์ที่ใช้นั้นเป็นของแท้ก็สามารถทำการสลายฟิลเลอร์ได้และอาจไม่เกิดผลกระทบต่อร่างกายมากนัก แต่หากฟิลเลอร์ที่นำมาใช้ฉีดนั้นเป็นของปลอมก็อาจมีความเสี่ยงต่อร่างกายได้ 

ฟิลเลอร์ปลอมคืออะไร 

ฟิลเลอร์ปลอม คือ ฟิลเลอร์ที่นำสารประกอบตัวอื่นที่ไม่ใช่ Hyaluronic Acid มาเป็นสารประกอบ แต่จะใช้สารจำพวกซิลิโคนเหลว หรือพาราฟินเข้ามาแทน ซึ่งสารเหล่านี้ยังไม่ได้รับการรับรองจากอย.ไทย และถือเป็นฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือเป็นฟิลเลอร์ปลอมนั่นเอง ซึ่งอาจเกิดผลต่อผิวหน้า และร่างกายในระยะยาว หากเกิดการอักเสบ หรือติดเชื้อ 

ดูอย่างไรว่าเป็นฟิลเลอร์ที่ใช้เสี่ยงจะเป็นฟิลเลอร์ปลอม หรือไม่ได้มาตรฐาน 

ฟิลเลอร์นั้นเป็นฟิลเลอร์ที่นำเข้ามาเองจากต่างประเทศ โดยไม่ผ่านบริษัทที่นำเข้าฟิลเลอร์อย่างถูกต้อง และไปใช้เพื่อการค้าตามท้องตลาดทั่วไป หรือตามสื่อออนไลน์ ที่ไม่ใช่คลินิกเสริมความงามที่มีการรับรอง  ให้สันนิฐานได้เลยว่าเสี่ยงที่จะเป็นฟิลเลอร์ปลอม ควรหลีกเลี่ยงอย่างมาก 

สารฟิลเลอร์ที่ไม่ได้รับการรับรองจากอย.ไทย คือ ฟิลเลอร์ที่นำสารอื่นๆ ที่ไม่ใช้ Hyarulomic Acid มาใช้ผลิตผิลเลอร์ เช่น นำสารจำพวกซิลิโคนเหลว หรือพาราฟิน คอลลาเจนมาใช้แทน ซึ่งอย.ไทย รับรองแค่ฟิลเลอร์ที่มีสารประกอบของ Hyarulonic Acid เท่านั้น

อันตรายที่เกิดจากฟิลเลอร์ปลอม ระวังไว้ให้ดีถ้าไม่อยากเสี่ยงหน้าพังถาวร

เกิดการอักเสบของผิวหนัง เมื่อนำฟิลเลอร์ปลอม ที่มีสารแปลกปลอมที่ไม่ใช่ Hyaluronic ตามธรรมชาติ ฉีดเข้าไปยังผิวของเรา ร่างกายจะเกิดปฏิกิริยาต่อต้านสิ่งแปลกปลอมทันที ทำให้เกิดการอักเสบ บวม ของผิว 

เกิดการติดเชื้อหวิดหน้าพัง เพราะฟิลเลอร์ที่ใช้เกิดการปนเปื้อนของสิ่งแปลกปลอม หรือเชื้อโรค เมื่อฉีดเข้าสู่ผิวหนัง อาจทำให้ผิวของเหล่าเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคและเกิดการติดเชื้อขึ้นได้ 

เกิดฟิลเลอร์ไหล หรือฟิลเลอร์เป็นก้อน หากนำสารอื่นๆ ที่เป็นสารประกอบของฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาจากธรรมชาติ อย่างเช่นพวกซิลิโคนเหลว หรือพาราฟินมาฉีดเข้าผิว ซึ่งสารจำพวกนี้จะไม่สามารถสลายไปได้เองโดยธรรมชาติ เมื่อนานเข้าจะทำให้สารนั้นและชั้นผิวของเราจับตัวเป็นพังผืด และกลายเป็นฟิลเลอร์ไหลได้นั่นเอง

ทำอย่างไรหากเกิดอาการฟิลเลอร์ไหล หรือฉีดฟิลเลอร์ปลอม

การฉีดสลายฟิลเลอร์ ซึ่งเป็นการฉีด Hyaluromidase หรือ HYAL เพื่อเข้าไปสลายเนื้อฟิลเลอร์ที่อยู่ใต้ผิวหนัง ในกรณีนี้จะใช้ได้เฉพาะฟิลเลอร์แท้เท่านั้น โดยเมื่อฉีดแล้ว ฟิลเลอร์จะค่อยๆสลายออกไปเองตามธรรมชาติ ใช้ในกรณีที่ฉีดฟิลเลอร์ในตำแหน่งที่ไม่เหมาะสม หรือฉีดฟิลเลอร์มากจนเกินไปจนทำให้ฟิลเลอร์ไหลกองเป็นก้อน แต่วิธีนี้จะได้ผลแค่ประมาณ 60-70% เท่านั้น

การขูดฟิลเลอร์ ใช้ในกรณีที่ฟิลเลอร์ที่ฉีดนั้นเป็นฟิลเลอร์ปลอม ซึ่งไม่สามารถสลายไปเองได้ตามธรรมชาติ หรือไม่สามารถใช้วิธีการฉีดสลายฟิลเลอร์ได้ ซึ่งวิธีขูดฟิลเลอร์นี้เป็นการรักษาอาการอักเสบ บวมแดงจากฟิลเลอร์ปลอมที่ไหลเกาะเป็นก้อนพังผืด 

การสลายฟิลเลอร์โดยการผ่าตัด ซึ่งใช้กับฟิลเลอร์ปลอมที่ฉีดเข้าสู่ผิวเกิดการจับตัวกันเป็นก้อนแข็ง และมีขนาดใหญ่มาก หรือการเกิดพังผืดแบบที่การขูดฟิลเลอร์รักษาไม่ได้ผล แต่วิธีการรักษานี้มีความเสี่ยงค่อนข้างมาก 

อย่าเสี่ยงกับอาการฟิลเลอร์ไหลหรือฟิลเลอร์ปลอม ไม่ได้มาตรฐาน ให้รมย์รวินท์คลินิกเป็นคลินิกเสริมความงามที่คุณไว้วางใจในผลลัพธ์ คุณภาพ และการบริการ 

เลือกฉีดฟิลเลอร์อย่างปลอดภัย ต้องที่รมย์รวินท์คลินิก 

  • ที่รมย์รวินท์คลินิกเลือกใช้ฟิลเลอร์แท้ คุณภาพดี ยี่ห้อที่เป็นที่รู้จัก และได้รับการรับรองจากอย.ไทย ว่าเป็นฟิลเลอร์แท้มาใช้กับผู้มาเข้ารับบริการ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี และความปลอดภัยสูงสุดกลับไป
  • ที่รมย์รวินท์คลินิกเป็นสถานเสริมความงามที่ได้รับรองว่ามีมาตรฐาน น่าเชื่อถือ และมีชื่อเสียงมาอย่างยาวนาน อีกทั้งเครื่องมือและผลิตภัณฑ์ที่ใช้ก็มีคุณภาพทั้งในเรื่องความสะอาด และความปลอดภัย
  • ที่รมย์รวินท์คลินิกมีแพทย์ผู้มีประสบการณ์เฉพาะด้านคอยให้คำแนะนำ และดูแลผู้เข้ามารับบริการ และมีการติดตามผลหลังทำ เพื่อให้ผู้มารับบริการได้รับความสบายใจก่อนและหลังการรักษา
  • ที่รมย์รวินท์คลินิกมีโปรโมชันมากมายตลอดทั้งปี ซึ่งนอกจากโปรโมชันโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์แล้ว ก็ยังมีโปรโมชันความงามอื่นๆ อีกมากมายมอบให้แก่ผู้มาเข้ารับบริการได้ติดตาม
  • ที่รมย์รวินท์คลินิกมีเคสรีวิวของผู้เข้ามารับบริการกับโปรแกรมเสริมความงามมากมายหลากหลายเคส เพื่อให้ผู้มาเข้ารับบริการเกิดความมั่นใจในการเข้ารับบริการ 

อยากฉีดฟิลเลอร์ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีไม่ต้องเสี่ยงทาย แค่มาที่รมย์รวินท์คลินิกก็สวยกลับไปทุกครั้ง มีปัญหาผิว หรือขอรับบริการด้านความสวย เชิญได้ที่รมย์รวินท์คลินิกทุกสาขานะคะ 

อ่านข้ามูลฟิลเลอร์ที่ปลอดภัยได้ที่ :https://www.romrawin.com/filler-fullface/

IPL กำจัดขน อันตรายเสี่ยงเสียโฉม

อัตรายจาก IPL

อาจเสี่ยง! เสียโฉมตลอดชีวิต ถ้ายังกำจัดขนด้วย IPL 

นึกถึงการกำจัดขนคุณจะนึกถึงอะไร? หลายๆ คนคงนึกถึงเครื่อง IPL เป็นคำตอบของการกำจัดขนของคุณใช่มั้ย เพราะหาทำได้ง่ายทุกคลินิก มีราคาถูก เห็นผลได้ดี ใช้เวลาทำน้อย ทำให้เครื่อง IPL เป็นที่นิยมในการกำจัดขนกันอยู่พักหนึ่ง แต่! รู้มั้ยว่า เครื่อง IPL ไม่ใช้นวัตกรรมที่เหมาะกับการกำจัดขนโดยเฉพาะ! หากเสี่ยงทำเครื่อง IPL ที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือคลินิกที่ไม่ได้รับการรองรับ หรือใช้พลังงานที่ไม่เหมาะสม อาจทำให้เสียโฉมได้เลยนะ! รู้หรือเปล่า!

อย่างที่เป็นข่าวดังว่าผู้เข้ารับบริการท่านหนึ่งใช้บริการกำจัดขนด้วยเครื่อง IPL หลังทำเกิดอาการผิวพองเป็นตุ่มขนาดใหญ่ ซึ่งอาจเกิดจากการระคายเคืองหรือการไหม้เบิร์นของผิวในบริเวณที่ทำ นอกจากเสียเงินทำแล้ว ยังต้องเสียเงินรักษาแผลไปอีกก! 

IPL คืออะไร? ทำไมถึงนิยมในการกำจัดขน 

IPL หรือ Intense Pulsed Light  คือคลื่นแสงความเข้มข้นสูงที่มีความยาวคลื่น 515 – 1,200 นาโนเมตร ซึ่งมีการกระจายตัวของแสงและมีความกว้างของคลื่นแสงมากจึงไม่ถูกจัดว่าเป็นเลเซอร์ โดยคลื่นแสงที่มีความเข้มข้นสูงนี้ จะไปจับกับเม็ดสีเมลานินในผิวบริเวณนั้น และเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อน และทำลายเม็ดสีนั้นให้แตกออก ด้วยความที่เครื่อง IPL มีความยาวคลื่นที่กว้างมากนั้นเอง เครื่อง IPL นี้จึงสามารถใช้ในการรักษาครอบคลุมปัญหาผิวได้มากมาย เช่นรักษารอยดำ จุดด่างดำ ให้ผิวหน้าใส รวมทั้งการกำจัดขนที่หลายๆคนนิยมใช้ IPL ในการกำจัดขนด้วย 

การกำจัดขนด้วยเครื่อง IPL 

เครื่อง IPL นอกจากจะทำให้หน้าใสแล้วยังสามารถกำจัดขนของเราได้อีกด้วย ด้วยการเลือกยิงพลังงานที่เหมาะกับการกำจัดขน โดยจะเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อนไปจับกับเม็ดสีเมลานินของขนทำให้เกิดการฝ่อตัวและหลุดออกไปเอง แต่ด้วยความที่เครื่อง IPL มีความยาวคลื่นที่กว้างมากทำให้บริเวณที่ทำรอบข้างอาจเกิดรอยแดง หรือการระคายเคืองได้ ข้อดีของเครื่อง IPL คือชะลอการเกิดขนใหม่ให้ช้าลง และลดการเกิดหนังไก่หลังการกำจัดขน และสามารถทำได้ทุกบริเวณ ไม่ว่าจะเป็น แขน ขา รักแร้ ใช้เวลาในการทำน้อยและมีราคาถูก 

อัตรายจาก IPL

แต่! เมื่อมีข้อดี ก็ย่อมต้องมีข้อเสียเช่นกัน! เหมือนที่กำลังเป็นข่าวอยู่ในขณะนี้ที่หลังกำจัดขนด้วย IPL เกิดตุ่มพองใหญ่ในบริเวณที่ทำ สาเหตุอาจจะมาจากการเลือกยิงด้วยพลังงานไม่เหมาะ หรือเกิดการระคายเคือง หรือแพ้ ทำให้ผิวบริเวณนั้นเกิดการไหม้เบิร์น แสบร้อน และข้อสำคัญที่ต้องระวังเลย! ก็คือ เครื่อง IPL นี้ไม่เหมาะกับผู้ที่มีผิวสีเข้ม แนะนำการกำจัดขนด้วยวิธีอื่นอย่างการกำจัดขนดด้วย YAG Laser 1064 ที่มีความปลอดภัยกว่า และได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าในการกำจัดขน

ผลข้างเคียงจาก IPL 

  • หลังกำจัดขนด้วย IPL ผิวอาจเกิดการระคายเคือง มีตุ่ม และเกิดอาการคันได้
  • หลังกำจัดขนด้วย IPL ผิวอาจเกิดการไหม้เบิร์น และมีความรู้สึกแสบร้อนผิว
  • หลังกำจัดขนด้วย IPL อาจทำให้เกิดแผลเป็นรอยนูนขึ้นบริเวณที่ทำได้
  • หลังกำจัดขนด้วย IPL อาจทำให้ผิวบริเวณนั้นเปลี่ยนสีได้ เช่นเข้มมากขึ้น หรือสีซีดจาง
  • หลังกำจัดขนด้วย IPL อาจเกิดการติดเชื้อทางผิวหนังได้หากเครื่อง IPL ที่ใช้ไม่ได้มาตรฐาน หรือทำที่คลินิกที่ไม่มีความน่าเชื่อถือ

ซึ่งหากเกิดอาการเหล่านี้ รมย์รวินท์ขอแนะนำให้รีบไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษาโดยด่วนนะคะ

หรืออีกทางเลือกหนึ่งของการกำจัดขนที่ได้มาตรฐาน และมีความปลอดภัยสูง อย่าง YAG Laser 1064 

YAG Laser 1064 คืออะไร ทำงานอย่างไร?

YAG Laser 1064 คือ เลเซอร์ที่มีความยาวคลื่น 1,064 nm (นาโนเมตร) ซึ่งมีความยาวที่สามารถลงได้ลึกสามารถลงไปกำจัดขนใต้ผิวหนังได้ลึกถึงรากขน จึงเป็นเลเซอร์ที่เหมาะกับการกำจัดขนมากกว่าเลเซอร์ชนิดอื่นๆ โดยจะยิงพลังงานและเปลี่ยนเป็นความร้อนตรงเข้าไปจับกับเม็ดสีเมลานินที่รากขน ทำให้เกิดการฝ่อตัวและหลุดร่วงไป

ทำไม YAG Laser 1064 ถึงเหมาะกับการกำจัดขนมากกว่า IPL 

  • YAG Laser 1064 ยิงด้วยพลังงานที่มีช่วงความยาวคลื่น 1,064 นาโนเมตร 
  • YAG Laser 1064 สามารถยิงพลังงานได้ลงลึกถึงรากขน
  • YAG Laser 1064 ชะลอการเกิดขนใหม่ และบางลง
  • YAG Laser 1064 ไม่ทำให้เกิดตอขน ขนคุด หรือหนังไก่
  • YAG Laser 1064 ไม่ทำให้ผิวบริเวณที่ทำไหม้เบิร์น หรือแสบร้อน
  • YAG Laser 1064 มี Cryogen ลดการสะสมความร้อนของผิวขณะทำ
  • YAG Laser 1064 เหมาะกับทุกสภาพผิว และสีผิว
  • YAG Laser 1064 ปลอดภัยได้รับการรับรองจาก US FDA
  • YAG Laser 1064 เกิดผลข้างเคียงที่น้อยกว่าการกำจัดขนแบบอื่นๆ
  • YAG Laser 1064 เห็นผลตั้งแต่ครั้งแรกหลังกำจัดขน

เปรียบเทียบระหว่างการกำจัดขนด้วยเครื่อง IPL และ YAG Laser 1064

อัตรายจาก IPL

อย่าเสี่ยง! กับการกำจัดขนแบบเดิมๆ ที่อาจทำให้เสียใจไปตลอดชีวิต สู่ทางเลือกใหม่ที่ดีกว่าในการกำจัดขนที่ได้ผล และปลอดภัย กำจัดขนครั้งใดนึกถึง YAG Laser 1064 ที่รมย์รวินท์คลินิกนะคะ

เปรียบเทียบ Rejuran VS Revive ต่างกันอย่างไร ผิวชุ่มชื้นต่างกันอย่างไร

ผิวชุ่มชื้น

ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





    วันที่สะดวกในการติดต่อ





    Rejuran VS Revive เปรียบเทียบงานผิวตัวไหนผิวชุ่มชื้น ตัวไหนหน้าฉ่ำ

    ผิวแห้งเสียขาดความชุ่มชื้น กลายเป็นปัญหาหนักสุดๆ สืบเนื่องจากมลภาวะ และชีวิตประจำวันที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อผิวอย่างหนักหน่วง จนสภาพผิวห่างไกลจากคำว่า “ผิวชุ่มชื้น” “ผิวฉ่ำวาว” ไปไกลลับ ด้วยกิจวัตรประจำวันที่ต้องเผชิญกับมลภาวะอยู่เสมอ การดูแลผิวชุ่มชื้นแบบเดิม ๆ อาจไม่เพียงพอเสียแล้ว บางทีการหาตัวช่วยมาเติมเต็มให้ผิวที่แห้งเสีย กลับมาเป็นผิวที่ชุ่มชื้นคงจะเป็นทางออกที่ดี

    ซึ่งหากพูดถึงผลิตภัณฑ์งานผิว ที่ช่วยปรับสภาพผิวแห้งเสียให้กลับมาเป็นผิวชุ่มชื้น ก็จะมีหลากหลายตัวเลือก ไม่ว่าจะเป็น Rejuran, Revive หรือเติมวิตามินผิว แต่จะเลือกงานผิวตัวไหนที่ตอบโจทย์ความต้องการ ที่อยากจะมีผิวชุ่มชื้น ห่างไกลจากผิวเสียเพราะมลภาวะรอบตัว หลายคนอาจเลือกไม่ถูกและไม่มั่นใจว่าตัวเลือกไหนที่เหมาะสำหรับงานผิวฉ่ำวาวอย่างเป็นธรรมชาติ

    แน่นอนว่ารมย์รวินท์คลินิกมีคำตอบเรื่องนี้ โดยหากพูดถึงผิวชุ่มชื้นและฉ่ำวาวอย่างเป็นธรรมชาติ มีงานผิว 2 ตัวเลือกที่มักพูดถึงและเปรียบเทียบอยู่บ่อยครั้ง คือ  Rejuran กับ  Revive ซึ่งทั้งสองนับว่าเป็นงานผิวยอดนิยมที่เน้นเรื่องผิวเรียบเนียน ผิวชุ่มชื้นและฉ่ำวาวอย่างเป็นธรรมชาติ แต่ทั้งสองก็มีข้อแตกต่างกัน งานนี้รมย์รวินท์คลินิกจึงจะมาเปรียบเทียบว่างานผิวไหนผิวชุ่มชื้น ไหนช่วยเรื่องผิวฉ่ำวาว โดยสามารถอ่านรายละเอียดเกี่ยวกับทั้งสองตามหัวข้อต่อไปนี้

    ผิวชุ่มชื้น

    สำหรับคนที่อยากเปลี่ยนผิวที่แห้งเสีย ให้กลับมาเป็นผิวชุ่มชื้น หน้าใส มีความฉ่ำวาว ตัวเลือกที่ตอบโจทย์ผิวฉ่ำวาวที่สุด ก็คงจะหนีไม่พ้น Rejuran ซึ่งมีงานวิจัยออกมาพูดถึงผลลัพธ์ผิวหน้าชุ่มชื้น และมีความฉ่ำวาวด้วย Rejuran ส่งผลให้หัตถการที่ช่วยปรับผิวชุ่มชื้นชนิดนี้ได้รับความนิยม และกลายเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์ในสถานเสริมความงาม 

    โดยตัว Rejuran เป็นสารที่คิดค้นเพื่อผิวหน้าชุ่มชื้น สวยใสด้วยการสกัดสาร Polynucleotide (PN) จาก DNA ของปลาแซลมอนที่ได้รับการทดสอบแล้วว่า มีความใกล้เคียงกับ DNA ของมนุษย์มากถึง 98% โดยมี คุณสมบัติด้านการฟื้นฟูสภาพผิว ช่วยคืนผิวชุ่มชื้นหลังจากแห้งเสียเป็นเวลานาน พร้อมช่วยเคลียร์ปัญหาผิว อย่างเร่งด่วน ประกอบกับคุณสมบัติของ DNA ที่คล้ายคลึงกับของมนุษย์  Rejuran จึงมีความปลอดภัย และไม่ก่อให้เกิดกระทบต่อผิวชุ่มชื้นหลังจากฉีด Rejuran

    ด้วยประสิทธิภาพด้านการเคลียร์ผิว ที่เสื่อมสภาพจากมลภาวะต่าง ๆ ให้กลับมาเป็นผิวชุ่มชื้น ผิวฉ่ำวาวอย่างเป็นธรรมชาติ และมีความปลอดภัย ส่งผลให้ Rejuran กลายเป็นที่พูดถึงเป็นอย่างมากในฐานะของหน้าใส ผิวชุ่มชื้น แต่อาจจะยังมีคนสงสัยว่าสาร Polynucleotide มีการทำงานอย่างไร ทำไมถึงผิวชุ่มชื้นด้วย DNA จากปลาแซลมอน สามารถอ่านรายละเอียดที่หัวข้อการทำงานของ Rejuran  

    การทำงานของ Rejuran สาร Polynucleotide ส่งผลต่อผิวอย่างไร?

    หลังจากทำการฉีด Rejuran ลงไปบนผิวหนังแล้ว สาร Polynucleotide (PN) จะเข้าไปควบคุม กระบวนการทำงานของเซลล์และกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ โดยการกระตุ้นให้ร่างกายสารที่จะช่วยกระตุ้น การทำงานของเซลล์ Fibroblast หรือที่เรียกว่า Growth factor ซึ่งประกอบไปด้วย FGF, EGF และ IGF ที่จะเป็นตัวกลางสื่อสารระหว่างเซลล์และทำให้เกิดการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ ซึ่งส่งผลให้ผิวชุ่มชื้นอย่างเป็นธรรมชาติ

    การทำงานของ Polynucleotide ที่ฉีดลงไปด้วย Rejuran ส่งผลกระทบต่อผิวเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์, จัดการกับผิวที่เสื่อมสภาพและปัญหาผิวที่เกิดจากมลภาวะ รวมถึงฟื้นฟูสภาพผิวเปลี่ยนผลลัพธ์ของผิวที่แห้งเสียให้กลับมาเป็นผิวชุ่มชื้น ซึ่งระหว่างกระบวนการทำงานของสาร PN จะมีโอกาสเกิดอาการแพ้ได้น้อยมาก เนื่องจากสารที่ฉีดมาจาก DNA ปลาแซลมอนที่คล้ายคลึงกับของมนุษย์ และสามารถเข้ากันได้เป็นอย่างดี จึงเป็นงานผิวชุ่มชื้นสุขภาพดีที่มีความปลอดภัย

    ผลลัพธ์ของ Rejuran ลดการเสื่อมสภาพของผิว ผิวชุ่มชื้นและแข็งแรง

    •  Rejuran ฟื้นฟูถึงระดับเซลล์ผิว พร้อมกระตุ้นกระบวนการผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออก เพื่อให้เซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาแทนที่ ซึ่งช่วยลดหลุมสิวและรอยดำลง เป็นสารที่สำคัญต่อการปรับสภาพผิวช่วยให้ผิวฉ่ำวาวและผิวชุ่มชื้น
    • สาร Polynucleotide ยังช่วยเรื่องของความชุ่มชื้นบริเวณผิว ทำให้หลังจากทำ Rejuran เราจะได้สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของผิว โดย PN จะช่วยสร้างบาเรียที่ปกป้องผิวทำให้ผิวชุ่มชื้นและการสูญเสียน้ำบริเวณผิวลดลง
    •  Rejuran ช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์ Fibroblast ซึ่งส่งผลต่อการผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินของร่างกาย และเมื่อร่างกายมีการฟื้นฟูคอลลาเจนและอีลาสติน ผิวก็จะกลับมาสดใส ผิวชุ่มชื้น และมีความยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น
    • นอกจากช่วยจัดการกับปัญหาผิว และฟื้นฟูสภาพผิวแล้ว  Rejuran ยังช่วยลดความมันบริเวณผิว ช่วยกระชับรูขุมขน และปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ

    จากกระบวนการทำงานและผลลัพธ์ของ Rejuran จึงไม่แปลกเลยที่ผิวหน้าใสจาก DNA ปลาแซลมอนจะได้รับการตอบเป็นอย่างดี และเป็นที่นิยมในเวลาต่อมา เพราะนอกจากผิวชุ่มชื้นและกระจ่างใส ยังช่วยจัดการกับผิวที่เสื่อมสภาพ รวมถึงปัญหาผิวต่าง ๆ ก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัด

    ผิวชุ่มชื้น

    Revive ทำให้ผิวชุ่มชื้นได้อย่างไร

     Revive หรือ BELOTERO Revive เป็นผลิตภัณฑ์สารเติมเต็มเนื้อบางเบา ที่ช่วยเรื่องผิวชุ่มชื้นและเรียบเนียนอย่างเป็นธรรมชาติ โดยการพัฒนาที่แตกต่างจากสารเติมเต็มฟิลเลอร์ทั่วไป ซึ่งส่งผลให้ Revive เป็นตัวเลือกที่ช่วยซัพพอร์ตเรื่องงานผิวให้ออกมามีสุขภาพดี รวมทั้งยังช่วยให้ผิวกักเก็บความฉ่ำวาวอุ้มน้ำได้ด้วย จึงเป็นคำตอบว่าทำไมฉีดสารเติมเต็ม Revive แล้วผิวชุ่มชื้น

    ซึ่งส่วนที่พัฒนาและแตกต่างจากสารเติมเต็มชนิดอื่น ๆ คือ ฟิลเลอร์สารเติมเต็มทั่วไปมักมีส่วนประกอบเป็น Hyaluronic Acid (HA) ที่เป็นส่วนประกอบหลักของสารเติมเต็ม ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นอิ่มฟูเด้งกระชับ แต่ Revive จะมีส่วนประกอบของ Glycerol เพิ่มเข้ามา ซึ่งสารประกอบ Glycerol มีประสิทธิภาพด้านปรับสภาพผิวให้กักเก็บน้ำได้ดียิ่งขึ้น ทำให้ผิวชุ่มชื้นอิ่มน้ำอยู่ตลอดเวลา และการบำรุงผิวของสาร Glycerol ยังส่งผลลึกถึงผิวหนังชั้น Dermis ทำให้ผิวชุ่มชื้นยาวนานและช่วยเติมเต็มผิวให้ออกมาเรียบเนียนด้วย 

    การทำงานของ Revive ผสานผลลัพธ์ของ HA และ Glycerol ไว้ด้วยกัน

    โดยปกติแล้วสารเติมเต็มหรือฟิลเลอร์จะมีส่วนประกอบหลักเป็น Hyaluronic Acid ซึ่งมีกระบวน การทำงานโดยการฉีดเข้าไปใต้ชั้นผิวและจึงเกิดการปรับสภาพผิวให้ดียิ่งขึ้น โดยการเข้าไปฟื้นฟูผิวที่ถูกทำลายจากปัจจัยต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นมลภาวะ สภาพแวดล้อม โดยผลลัพธ์ของสารเติมเต็ม HA คือ ผิวชุ่มชื้น เรียบเนียน ผิวฉ่ำวาวเต่งตึงและอ่อนเยาว์

    ส่วนการทำงานของสารประกอบ Glycerol จะช่วยเสริมสร้างให้ผิวชุ่มชื้น และกักเก็บความชุ่มชื้นได้ยาวนาน เป็นเหมือนสารที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพของ Hyaluronic Acid ควบคู่ไปกับการปรับสภาพผิวให้ฉ่ำวาวอิ่มน้ำ และเมื่อผลลัพธ์ของ HA กับ Glycerol มารวมกันก็จะช่วยฟื้นฟูสภาพผิวภายในระยะเวลาอันสั้น พร้อมจัดการกับผิวแห้งเสีย ขาดน้ำ ให้กลับมาเป็นผิวชุ่มชื้นด้วย Revive

    ผลลัพธ์ของ Revive ออกมาเป็นอย่างไร?

    •  Revive ช่วยเติมเต็มร่องลึก และกระชับปรับรูปหน้า
    •  Revive เสริมประสิทธิภาพการกักเก็บน้ำของผิว ทำให้ผิวชุ่มชื้น เปล่งปลั่ง
    •  Revive ช่วยลดเลือนริ้วรอยและจัดการกับหลุมสิวตื้น
    •  Revive แก้ปัญหาผิวเฉพาะจุด และเพิ่มความยืดหยุ่นของผิว

     ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของ Revive ผ่านการเพิ่มสารประกอบ Glycerol มาผสานกับ Hyaluronic Acid มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านการกักเก็บน้ำและเสริมผิวชุ่มชื้นมากกว่าสารเติมเต็มชนิดอื่น ๆ ทำให้ Revive ได้รับความนิยมเหมือนกับงานผิว Rejuran

    ผิวชุ่มชื้น

    เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง Rejuran และ Revive ต่างกันอย่างไรบ้าง ?

    จากการพัฒนาของเทคโนโลยีแ ละความต้องการวิธีการดูแลผิวที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น จึงมีการคิดค้นหัตถการ ดูแลผิวที่ผลลัพธ์ครอบคลุม และตอบโจทย์ด้านความงามยิ่งขึ้น หัตถการงานผิวปัจจุบันจึงมีตัวเลือกมากจนบางคนไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าจะเลือกทำไหนดี อย่างกรณีที่อยากมีผิวชุ่มชื้น จะทำ Rejuran ก็เป็นตัวเลือกที่ดี แต่จะฉีด Revive ก็ผิวชุ่มชื้นไม่แพ้กัน วันนี้รมย์รวินท์คลินิกจึงจะมาแนะนำความแตกต่างระหว่าง Rejuran และ Revive เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจสำหรับคนที่คิดเลือกทำหัตถการความงามเป็นครั้งแรก หรือต้องการผลลัพธ์ที่เหมาะกับตัวเองที่สุด

    ซึ่งถึงแม้ว่าเทคโนโลยีที่ใช้ในการพัฒนา Rejuran ผิวชุ่มชื้น และ Revive ผิวฉ่ำวาวจะมีความแตกต่างกัน แต่ประสิทธิภาพและผลลัพธ์โดยรวมอาจมีความใกล้เคียงกันบางส่วน รายละเอียดหลังจากนี้จึงจะเป็นการเปรียบเทียบแบบชัด ๆ เลยว่าต่างกันมากน้อยแค่ไหน

    ส่วนประกอบหลักของ Rejuran และ Revive

    •  Rejuran :  Polynucleotide (PN) สารสกัด DNA จากปลาแซลมอนที่เข้ากันได้ดีกับร่างกายของคนเรา ลักษณะเป็นเจลใสไร้สีสำหรับฉีดเข้าผิวหนังส่งผลให้ผิวชุ่มชื้น
    •  Revive : ประกอบด้วยสาร Hyaluronic Acid และ Glycerol ที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพของสารเติมเต็ม ทำให้ผิวชุ่มชื้นยิ่งกว่าเดิม

    การทำงานของ Rejuran และ  Revive

    •  Rejuran : สาร Polynucleotide เข้าไปกระตุ้นการทำงานของเซลล์ผิว ช่วยการผลัดเซลล์และฟื้นฟูสภาพผิว รวมถึงช่วยทำให้ผิวชุ่มชื้นและจัดการกับปัญหาผิว จะมีการทำงานของที่เน้นเรื่องปรับสภาพผิวมากกว่าผิวชุ่มชื้น
    •  Revive :  Hyaluronic Acid จะเข้ามาช่วยเติมเต็มร่องลึกและช่วยให้ผิวชุ่มชื้น พอมารวมกับ Glycerol ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการกักเก็บน้ำของผิว เป็นการบูสผิวชุ่มชื้นยิ่งกว่าเดิม

    การทำงานของทั้งสองจะแตกต่างกันที่ Revive เน้นเติมเต็ม แล้วสร้างความความชุ่มชื้น เนื่องจากมีส่วนประกอบของ HA ที่เป็นสารเติมเต็มที่เป็นส่วนประกอบสำหรับฟิลเลอร์ ส่วน Rejuran จะเข้าไปกระตุ้นเซลล์และผลัดเซลล์ผิว จึงมีความแตกต่างกัน แต่ก็ยังมีส่วนช่วยเรื่องของผิวชุ่มชื้นเหมือนกัน เพียงแต่ Revive จะตอบโจทย์สำหรับคนที่ต้องการผิวชุ่มชื้นมากกว่าเพราะมีส่วนประกอบของ Glycerol

    ผิวชุ่มชื้น

    Rejuran และ Revive เหมาะกับการใช้งานแบบไหน

    •  Rejuran : เหมาะสำหรับช่วยฟื้นฟูผิวที่เสื่อมสภาพ อันมีสาเหตุมาจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น มลภาวะ, ช่วงวัยที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เป็นต้น โดยจะช่วยปรับสภาพผิวและเสริมให้ผิวชุ่มชื้น
    •  Revive : เหมาะสำหรับเติมเต็มริ้วรอยร่องตื้น ช่วยปรับโครงหน้าและเสริมการกักเก็บน้ำของผิว ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น

     ถึงแม้จะมีประสิทธิภาพการทำงานเกี่ยวกับผิวชุ่มชื้น ที่คล้ายคลึงกัน แต่ทั้งสองจะมีความแตกต่างกันที่รายละเอียดการปรับสภาพผิว โดย Revive จะตอบโจทย์การเติมเต็มผิวร่องลึกในฐานะสร้างเติมเต็ม ส่วน Rejuran จะเหมาะกับปรับสภาพผิวจากการเสื่อมสภาพและช่วยให้ผิวชุ่มชื้นยิ่งขึ้น

     Rejuran และ Revive เหมาะสำหรับบริเวณไหนบ้าง?

    •  Rejuran : สามารถฉีดได้หลายบริเวณทั่วหน้า รวมถึงรอบดวงตา หากอยากมีผิวชุ่มชื้นสามารถฉีดบริเวณแก้ม หน้าผาก หรือจุดที่ผิวแห้งเสียเป็นพิเศษ
    •  Revive : จะเหมาะสำหรับบริเวณผิวตื้น ๆ จึงนิยมฉีดบริเวณรอบดวงตา, ปาก, ลำคอ,หน้าผาก และหลังมือ โดยจะช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและอวบอิ่มให้กับบริเวณที่ฉีด

     ส่วนมากบริเวณที่ทำ Rejuran และ Revive เพื่อผิวชุ่มชื้นจะไม่ค่อยแตกต่างกัน แต่ Revive จะเน้นฉีดที่ผิวตื้นไม่ลงลึกถึงชั้น Dermis ส่วน Rejuran จะเหมาะสำหรับฉีดลงผิวชั้นกลางเพื่อให้สาร PN กระจายไปทั่ว ๆ และช่วยเสริมสร้างให้ผิวชุ่มชื้น มีความกระชับ

     Rejuran และ Revive มีความรู้สึกระหว่างทำที่แตกต่างกันหรือไม่

    •  Rejuran : เนื่องจาก Rejuran จำเป็นต้องฉีดลงไปที่ผิวชั้นกลางเพื่อให้สาร PN กระจายลงไปบนผิวเพื่อไปกระตุ้นให้ผิวชุ่มชื้น เลยจะมีความรู้สึกเจ็บระหว่างทำบ้าง แต่จะมีการ บรรเทาความเจ็บด้วยการฉีดยาชาก่อนทำ
    •  Revive :  Revive ถูกพัฒนาโดยคำนึงถึงคนที่กลัวเจ็บระหว่างทำ จึงมีความเจ็บปวดที่น้อยลง แต่สำหรับคนที่กลัวเจ็บสามารถทายาชาเพิ่มได้ก่อนทำ Revive

     Rejuran และ Revive ผลลัพธ์อยู่นานแค่ไหน

    •  Rejuran : สาร PN ช่วยกระตุ้นให้ผิวชุ่มชื้นอยู่นานถึง 6-8 เดือน
    •  Revive : สาร Hyaluronic Acid ช่วยเติมเต็มร่องลึก สร้างผิวชุ่มชื้นได้นานถึง 9 เดือน

    โดย Rejuran ควรฉีดอย่างต่อเนื่อง 2-3 สัปดาห์/ครั้ง และเมื่อทำครบ 4 ชั้น ผลลัพธ์ผิวชุ่มชื้นจะคงอยู่นานถึง 8 เดือน ส่วน Revive เติมเต็มผิวชุ่มชื้นเพียงครั้งเดียวก็จะได้ผลลัพธ์ของผิวฉ่ำวาวไปถึง 9 เดือนเลย ซึ่งตรงส่วนนี้จะเห็นว่าทั้งสองมีความแตกต่างทั้งระยะเวลาของผลลัพธ์และจำนวน ครั้งที่แนะนำให้ทำหัตถการ แต่ถึงอย่างนั้นก็ควรตรวจสอบก่อนว่าปัญหาผิวของเราเหมาะกับไหน เพื่อผลลัพธ์ขอผิวที่เรียบเนียน ผิวชุ่มชื้นและอ่อนเยาว์อย่างมีประสิทธิภาพ

    อยากมีผิวชุ่มชื้นสร้างผิวที่ฉ่ำวาวและคงความอ่อนเยาว์ ต้องมาที่รมย์รวินท์ คลินิก

    กิจวัตรประจำวันของแต่ละคนล้วนมีส่วนที่ต้องออกมาเผชิญกับมลภาวะต่าง ๆ รวมถึงช่วงอายุที่มากขึ้นเรื่อย ๆ ผิวที่เคยเรียบเนียน ผิวที่เคยชุ่มชื้นก็กลับกลายเป็นผิวที่ขาดน้ำ ขาดความกระชับ ซึ่งปัญหาเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนแม้ว่าจะมีการบำรุงผิวให้ฉ่ำวาวด้วยครีมสกินแคร์หรือบำรุงผิวด้วยวิธีต่าง ๆ มากแค่ไหน ผิวก็ไม่สามารถฟื้นฟูกลับมาได้อย่างเต็มที่ภายในระยะเวลาสั้น ๆ

     แต่สำหรับคนที่ต้องการวิธีฟื้นฟูบำรุงผิวชุ่มชื้นและอ่อนเยาว์อย่างทันท่วงที สามารถลองมาปรึกษากับแพทย์ที่รมย์รวินท์คลินิก โดยทางคลินิกจะมีเทคนิคเฉพาะที่ช่วยวิเคราะห์ปัญหาผิวและเลือกวิธีการจัดการกับผิว อย่างเหมาะสม สำหรับคนที่ผิวขาดน้ำ ผิวไม่เรียบเนียนขาดความกระชับ ทางคลินิกก็จะแนะนำ Rejuran หรือ  Revive ซึ่งจะช่วยเติมเต็มสารสกัดที่เป็นประโยชน์ต่อผิว ส่งผลให้ผิวชุ่มชื้นและอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ สำหรับคนที่สนใจสามารถติดต่อรมย์รวินท์คลินิกได้ทุกสาขาเลย

    ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





      วันที่สะดวกในการติดต่อ





      SUPER HIFU แตกต่างจากยกกระชับชนิดอื่น ๆ อย่างไร ?

      HIFU

      ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





        วันที่สะดวกในการติดต่อ






        SUPER HIFU มีความแตกต่างจากนวัตกรรมยกกระชับอื่น ๆ อย่างไร?

        ปัญหาหนึ่งอย่างที่เรามักเจอเป็นประจำเมื่อมีอายุมากขึ้น คือ ผิวหน้าหย่อนคล้อย ไม่เรียบเนียน ต้องการที่จะยกกระชับผิวเพื่อปรับรูปหน้าให้สวยเป๊ะ แต่ไปถึงก็ยังไม่รู้ว่าควรจะเลือกทำหัตถการไหนดี พอพูดถึงหัตถการยกกระชับก็ดันมีตัวเลือกมากมาย เวลาเดินเข้าคลินิกเสริมความงาม ด้วยเหตุนี้การหาข้อมูลจากทางอินเทอร์เน็ตจึงเป็นทางออกสำหรับคนที่อยากหาข้อมูลเพื่อ เป็นข้อมูลในการตัดสินใจในเตรียมเลือกประเภทหัตถการยกกระชับ ชนิดต่างๆ 

        และเมื่อพูดถึงหัตถการยกกระชับอันดับต้นๆ คนจะต้องนึกถึง HIFU เป็นอันดับแรกๆ แต่ถ้าจะให้แนะนะก็ต้องเป็น SUPER HIFU โปรแกรมยกกระชับตัว TOP ที่เป็นขั้นกว่าของ HIFU ที่พัฒนามาเป็นอย่างดี เพราะนอกจาก SUPER HIFU จะช่วยยกกระชับที่บริเวณต่าง ๆ ของร่างกายได้หลายส่วนแล้ว ยังเป็นนวัตกรรมยกกระชับที่ไม่ต้องใช้เข็ม ไม่มีการผ่าตัด แถมการดูแลตัวเองหลังรักษาไม่ยุ่งยาก เหมาะสำหรับคนพึ่งเคยเข้ารับหัตถการยกกระชับเป็นครั้งแรก แต่ก่อนจะทำ SUPER HIFU เราก็ควรทราบข้อมูลเกี่ยวกับ SUPER HIFU รวมถึงความแตกต่างของ SUPER HIFU เมื่อเปรียบเทียบกับนวัตกรรมยกกระชับอื่น ๆ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการเลือกหัตถการยกกระชับ

        HIFU

        SUPER HIFU คืออะไร ? ทำความรู้จักก่อนเลือกนวัตกรรมยกกระชับ

        ก่อนจะเลือกทำ SUPER HIFU เราควรทราบรายละเอียดและหลักการทำงานของ SUPER HIFU เสียก่อน โดย SUPER HIFU เป็นคำที่ย่อมาจาก High Intensity Focused Ultrasound เป็นหัตถการยกกระชับบริเวณต่าง ๆ ของร่างกายด้วยหลักการของเครื่องที่มีการปล่อย Focused ultrasound ลงไปถึงชั้นผิว Superficial Muscular Aponeurotic System (SMAS) ที่เป็นส่วนของเนื้อเยื่อห่อหุ้มกล้ามเนื้อบริเวณผิวหน้าจนเกิดการยกกระชับ

        โดยหลักการทำงานของ High Intensity Focused Ultrasound ของ SUPER HIFU เป็นคลื่นอัลตร้าซาวด์ที่พัฒนามาจากเครื่องตรวจครรภ์ด้วยคลื่นอัลตร้าซาวด์ทางการแพทย์ที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ส่งผลให้นอกจาก SUPER HIFU จะช่วยยกกระชับผิวหย่อนคล้อยให้กลับมาเป็นผิวที่อ่อนเยาว์ แน่นกระชับแล้ว ยังเป็นหัตถการที่มีความปลอดภัยอีกด้วย

        ผลลัพธ์หลังจากทำ SUPER HIFU เป็นอย่างไร ?

        หลังจากยกกระชับด้วย SUPER HIFU ผลลัพธ์จะออกมาอย่างเต็มประสิทธิภาพตามสภาพผิวของแต่ละบุคคล โดยการทำ SUPER HIFU จะเข้าไปกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนของร่างกายตามแต่ละชั้นผิวตามที่คลื่นของ SUPER HIFU ปล่อยลงไป ซึ่งช่วยแก้ปัญหาเน้นหลักในเรื่องผิวหย่อนคล้อยตามวัย หลังจากทำ SUPER HIFU จะมีผลลัพธ์ความเปลี่ยนแปลงของผิวโดยสรุปดังนี้

        • เปลี่ยนผิวที่หย่อนคล้อยให้กลับมากระชับ และมีความยืดหยุ่นเสมือนว่าเรากลับมามีผิวเด็กอีกครั้ง แต่จริง ๆ เป็นเพราะร่างกายมีการสร้างคอลลาเจนมากขึ้น ผิวของเราจึงมีความแข็งแรง อ่อนเยาว์ และยกกระชับกรอบหน้าชัดเจน
        • นอกจากความยืดหยุ่นและกระชับของผิวแล้วยังช่วยลดเลือนริ้วรอยต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นริ้วรอยบริเวณรอบดวงตา ริ้วรอยบนผิวหน้าและลำคอ 
        • นอกจากบริเวณผิวหน้าที่กระชับและเรียบเนียน SUPER HIFU ยังสามารถช่วยยกกระชับส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย เช่น เหนียงบริเวณลำคอที่เกิดจากไขมันส่วนเกินที่ย้อยลงไม่ค่อยน่ามอง SUPER HIFU สามารถช่วยยกกระชับและลดเหนียงได้

        ถึงแม้ว่าผลลัพธ์ของ SUPER HIFU จะมีผลลัพธ์ที่ตอบโจทย์สำหรับคนที่อยากยกกระชับและแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย แต่เนื่องจากการทำ SUPER HIFU มีความแตกต่างจากการผ่าตัดศัลยกรรม ผลลัพธ์ของการยกกระชับด้วย SUPER HIFU จึงไม่คงอยู่อย่างถาวร แต่เราสามารถทำ SUPER HIFU ทุก ๆ 3-6 เดือน เพื่อรักษาผลลัพธ์การยกกระชับและผิวที่อิ่มฟูอุดมไปด้วยคอลลาเจนให้มีประสิทธิภาพไปตลอดได้

        HIFU

        SUPER HIFU สามารถทำบริเวณไหนได้บ้าง ?

        สำหรับคนที่สนใจอยากจะยกกระชับหลาย ๆ ส่วน คงอยากจะทราบว่า SUPER HIFU สามารถทำบริเวณไหนได้บ้าง ซึ่งตามความจริงแล้ว SUPER HIFU สามารถยกกระชับได้หลายส่วนของร่างกาย และสามารถปรับเปลี่ยนหัวยิงของเครื่องให้เหมาะสมกับบริเวณชั้นผิวที่จะทำ SUPER HIFU โดยสำหรับคนที่สงสัยหัวยิงของเครื่องจะมีทั้งหมด 6 รูปแบบดังนี้

        • หัวยิง SUPER HIFU สำหรับความลึก 2.0 mm : สามารถปล่อยพลังงานลงไปถึงชั้นผิว Dermis (ชั้นหนังแท้) เพื่อกระตุ้นร่างกายให้ผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินมากขึ้นบริเวณชั้นผิว
        • หัวยิง SUPER HIFU สำหรับความลึก 3.0 mm : หัวยิงสำหรับชั้น Dermis และ Superficial Fat ที่เป็นไขมันชั้นตื้น โดยจะช่วยสลายไขมันและกระตุ้นคอลลาเจน
        • หัวยิง SUPER HIFU สำหรับความลึก 4.5 mm : สำหรับยกกระชับบริเวณผิวชั้น SMAS ช่วยยกใบหน้ากลับมากระชับและอ่อนเยาว์
        • หัวยิง SUPER HIFU สำหรับความลึก 6.0 mm : หัวยิงสำหรับยกกระชับกรณีที่ไขมันสะสมบริเวณใต้ชั้นผิวมีความหนาไม่เกิน 1 นิ้ว
        • หัวยิง SUPER HIFU สำหรับความลึก 6, 9 mm : หัวยิงสำหรับยกกระชับกรณีที่ไขมันสะสมบริเวณใต้ชั้นผิวมีความหนาประมาณ 1 – 1.5 นิ้ว โดยแต่ละคนจะมีความหนาบริเวณชั้นผิวและไขมันที่แตกต่างกัน
        • หัวยิง SUPER HIFU สำหรับความลึก 9, 13 mm : สำหรับกรณีที่ไขมันหนาเกินกว่า 1.5 นิ้ว และสามารถยกกระชับบริเวณต่าง ๆ เช่น ร่องแก้ม เหนียง คาง เป็นต้น รวมถึงการลดริ้วรอยบริเวณรอบดวงตาและร่องแก้ม

        โดยบริเวณที่นิยมทำ SUPER HIFU ด้วยหัวยิงทั้ง 6 รูปแบบก็จะมีดังนี้

        • ผิวหน้าและลำคอ : เป็นบริเวณที่ทำ SUPER HIFU เพื่อยกกระชับและลดรอยเหี่ยวย่นตามกาลเวลา รวมถึงยกเหนียง สลายไขมันเพื่อให้บริเวณดังกล่าวสามารถยกให้แน่นเฟิร์ม ไม่ขาดความกระชับ
        • ร่างกาย : บริเวณต้นแขน, ต้นขา, เอวสะโพก หรือหน้าท้อง มักเป็นส่วนที่มีไขมันส่วนเกิน เนื้อขาเนื้อแขนเหี่ยวย่นย้อยลงมาไม่น่าดู SUPER HIFU ก็จะช่วยยกส่วนต่าง ๆ ที่เกินออกมาให้กระชับยิ่งขึ้น
        • บริเวณรอบดวงตา : เนื่องจาก SUPER HIFU เป็นเทคโนโลยีคลื่นอัลตร้าซาวด์จึงสามารถทำการยกกระชับบริเวณรอบดวงตาได้อย่างปลอดภัย ช่วยแก้ปัญหาคิ้วตก หนังตาตก และลดริ้วรอยบริเวณรอบดวงตา

        HIFU

        SUPER HIFU ตอบโจทย์สำหรับใครบ้าง ?

        SUPER HIFU ตอบโจทย์สำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับและลดเลือนริ้วรอยความหย่อนคล้อยที่เกิดมาจากความเปลี่ยนแปลงของร่างกายที่เสื่อมสภาพไปตามอายุ อย่างเช่นความหย่อนคล้อย ริ้วรอย ความไม่กระชับ หรือเหี่ยวย่น

        นอกจากนั้น SUPER HIFU ยังเหมาะสำหรับผู้ที่กลัวเข็ม หรือ กลัวการผ่าตัด แต่ต้องการผลลัพธ์การยกกระชับผิวอย่างรวดเร็วและเป็นธรมชาติ โดยรวมแล้ว SUPER HIFU เหมาะสำหรับคนที่มีปัญหาผิวดังนี้

        • เหมาะสำหรับคนที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย ขาดความกระชับ มีริ้วรอยบริเวณผิวหน้าและรอบดวงตา
        • สำหรับผู้ที่กลัวเจ็บ กลัวการผ่าตัด แต่อยากยกกระชับหน้าเรียวเหมาะสำหรับทำ SUPER HIFU
        • ส่วนผู้ที่มีกรอบหน้าไม่ชัดเจน ก็สามารถทำ SUPER HIFU เพื่อสร้างกรอบหน้ากระชับหน้าให้เข้ารูป
        • SUPER HIFU ยังเหมาะสำหรับคนที่ต้องการมีผิวหน้าที่อ่อนเยาว์ โดยไม่ต้องผ่าตัด

        HIFU

        เปรียบเทียบความแตกต่างของ SUPER HIFU กับนวัตกรรมยกกระชับอื่น ๆ

        หัตถการเสริมความงามเกี่ยวกับการยกกระชับได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในปัจจุบัน จึงมีการคิดค้นหัตถการยกกระชับหลากหลายรูปแบบออกมา ซึ่งแต่ละตัวก็จะมีความแตกต่างทั้งด้านเทคโนโลยีที่ใช้ในการยกกระชับ, จุดเด่น, ข้อดี-ข้อเสีย, รวมถึงผลลัพธ์ของหัตถการและความเหมาะสมของแต่ละบุคคลที่ไม่เหมือนกัน รมย์รวินท์คลินิกจึงจะนำหัตถการแต่ละประเภทมาเปรียบเทียบกับ SUPER HIFU เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับคนที่สงสัยว่าแต่ละหัตถการแตกต่างกันอย่างไร

        SUPER HIFU กับ Oligio แตกต่างกันอย่างไร ?

        Oligio เป็นหัตถการยกกระชับตัวใหม่ล่าสุดแบบแกะกล่องจากเกาหลีใต้ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ผ่านการรับรองมาตรฐานจากทั้งไทย ยุโรป และสหรัฐอเมริกา ว่ามีความปลอดภัยและมีผลลัพธ์ด้านการยกกระชับที่น่าพึงพอใจทั้งยังทำให้ผิวมีคุณภาพที่ดี แต่เมื่อเปรียบเทียบกับ SUPER HIFU แล้ว ทั้งสองหัตถการจะมีความแตกต่างกันมากน้อยแค่ไหน มาดูคำตอบกัน

        หลักการทำงานของ Oligio กับ SUPER HIFU

        Oligio มีการทำงานด้วยคลื่นวิทยุ Monopolar RF ที่สามารถปรับได้ 3 โหมดคือ โหมดเดี่ยวโหมดคู่ และโหมดอัตโนมัติ พร้อมด้วยเทคนิคพิเศษ Fast Moving Technique ที่ช่วยให้การยกกระชับด้วย Oligio มีความเสถียรมากขึ้น Oligio จึงมีจุดเด่นด้านความปลอดภัยด้วย โดยสามารถสรุปการทำงานได้ดังนี้

        • Oligio ทำงานโดยอาศัยคลื่นวิทยุ Monopolar RF ความถี่สูง 6.78 MHz ที่ปล่อยคลื่นความลึกถึง 3 mm. ที่สามารถลงไปถึง ผิวหนังแท้ (Dermis) และชั้นไขมัน (Fat) โดยความร้อนจากหัว Tips จะยิงพลังงานลงไปอย่างสม่ำเสมอและแม่นยำเพื่อทำให้ผิวเกิดการสังเคราะห์คอลลาเจน ช่วยให้ผิวมีความกระชับ ชั้นไขมันบางลง ผิวหย่อนคล้อยน้อยลง

        ผลลัพธ์ที่ได้รับจากการทำหัตถการยกกระชับ

        จากความแตกต่างของเทคโนโลยีระหว่าง SUPER HIFU และ Oligio ผลลัพธ์ของทั้งสองหัตถการก็จะออกมาแตกต่างกัน และมีผลลัพธ์ที่อยู่นานไม่เหมือนกัน ถึงอย่างนั้นก็ควรพิจารณาปัจจัยอื่นปัญหาที่เกิดขึ้นของแต่ละบุคคล เช่น ริ้วรอย คุณภาพผิว หรืองบประมาณ ก่อนเลือกยกกระชับด้วยหัตถการต่าง ๆ โดยสามารถสรุปความแตกต่างของผลลัพธ์ได้ดังนี้

        • ผลลัพธ์ของ Oligio ช่วยปรับใบหน้ายกกระชับให้เข้ารูปและช่วยลดไขมันส่วนเกินใต้ผิว ช่วยลดริ้วรอย ผิวเรียบเนียนด้วยปริมาณคอลลาเจนใต้ชั้นผิวที่เพิ่มมากขึ้น แถมยังช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของผิว อยู่นาน 6-12 เดือน
        • ผลลัพธ์ของ SUPER HIFU ช่วยยกหน้ากระชับ สร้างกรอบหน้า แก้ปัญหาคิ้วตกและริ้วรอยตามบริเวณผิวหน้า รอบดวงตา และเหนียงที่ลำคอ โดยจะเห็นผลลัพธ์ชัดเจนภายใน 1-2 เดือน และผลลัพธ์อยู่นานถึง 3-6 เดือน

        ความรู้สึกระหว่างการยกกระชับ

        SUPER HIFU เป็นหัตถการยกกระชับที่หลายคนบอกกันว่าเจ็บน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับหัตถการยกกระชับอื่น ๆ เช่น Thermage, Ulthera แต่สำหรับหัตถการ Oligio ที่ถูกพัฒนามาเพื่อตอบโจทย์ทั้งด้านยกกระชับและความปลอดภัย นวัตกรรมคลื่น RF ความถี่ 6.78 MHz จึงถูกพัฒนาให้ผู้เข้ารับบริการรู้สึกสบายยิ่งขึ้น เจ็บน้อยที่สุด จึงสามารถสรุปได้ว่า SUPER HIFU มีความรู้สึกเจ็บเพียงเล็กน้อย แต่ Oligio ให้ความสบายระหว่างการยกกระชับ

        SUPER HIFU กับ Ulthera แตกต่างกันอย่างไร ?

        SUPER HIFU กับ Ulthera มีความคล้ายคลึงด้านหลักการทำงานที่เป็นการอาศัยเทคโนโลยี Focused Ultrasound ความเข้มข้นสูง เพื่อยกกระชับและกระตุ้นคอลลาเจน แต่ถึงแม้จะใช้เทคโนโลยีเดียวกัน แต่ทั้งสองหัตถการก็จะมีข้อแตกต่างกันดังนี้

        ลักษณะของคลื่นพลังงาน

        ถึงแม้ว่าเทคโนโลยี Focused Ultrasound ของ SUPER HIFU และ Ulthera จะพัฒนามาจากนวัตกรรม Ultrasound ที่พวกเรารู้จักกันเป็นอย่างดี แต่คลื่นพลังงานที่ SUPER HIFU และ Ulthera ปล่อยลงสู่ผิวมีความแตกต่างกัน

        • SUPER HIFU : ปล่อยคลื่นพลังงานออกมาเป็นจุด (Dot) และมีลักษณะการส่งพลังงานเป็นแนวเส้นประและจุดเรียงกันอย่างไม่เป็นระเบียบ 
        • Ulthera : คลื่นพลังงานขนาด 1 mm. ส่งพลังงานลงไปเป็นเส้นประที่เป็นระเบียบ ด้วยคลื่นพลังงานที่ใหญ่กว่า Ulthera จึงเหมาะสำหรับกรณีที่ผิวหย่อนคล้อยรุนแรงกว่า

        ผลลัพธ์ที่ได้รับจากการทำหัตถการยกกระชับ

        ด้วยความแตกต่างของขนาดคลื่นพลังงานทำให้ Ulthera เหมาะสำหรับคนที่มีปัญหาผิวหน้าหย่อนคล้อยมาก ๆ ส่วน SUPER HIFU จะเหมาะสำหรับคนที่ผิวหย่อนคล้อยและมีริ้วรอยร่วมด้วย รวมถึงผลลัพธ์หลังทำของทั้งสองหัตถการก็มีระยะเวลาที่แตกต่างกัน ดังนี้

        • SUPER HIFU : เห็นผลทันทีหลังทำ 20% ผลลัพธ์อยู่นานถึง 3-6 เดือน
        • Ulthera : เห็นผลทันทีหลังทำ 30% ผลลัพธ์อยู่นานถึง 6-12 เดือน

        **ผลลัพธ์ที่ออกมาของทั้งสองหัตถการยังคงขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล**

        ความรู้สึกระหว่างการยกกระชับ

        เมื่อเปรียบเทียบหัตถการยกกระชับ ทั้ง SUPER HIFU และ Ulthera ก็จะมีความแตกต่างด้านความรู้สึกระหว่างทำหัตถการด้วย เนื่องจากแต่ละคนมีความอดทนต่อความเจ็บปวดที่แตกต่างกัน ปัจจัยด้านความรู้สึกหรือความเจ็บปวดจึงมักมีส่วนเกี่ยวข้องกับการพิจารณาเลือกทำหัตถการต่าง ๆ ด้วย โดยสามารถสรุปได้ดังนี้

        • ระหว่างการทำ SUPER HIFU ผู้เข้าใช้บริการจะรู้สึกเจ็บน้อยกว่าการทำ Ulthera

        ความแตกต่างด้านราคาค่าบริการยกกระชับ

        • จากราคาปัจจุบัน SUPER HIFU จะมีราคาที่แพงน้อยกว่า Ulthera แต่อย่างไรก็ตามราคาค่าบริการต่าง ๆ จะเป็นไปเงื่อนไขและโปรโมชั่นของแต่ละคลินิก

        SUPER HIFU กับ Thermage แตกต่างกันอย่างไร ?

        Thermage เป็นหัตถการยกกระชับที่ได้รับความนิยมเหมือนกับ SUPER HIFU ด้วยเทคโนโลยี Monopolar RF โดยไม่ต้องพึ่งพาการผ่าตัด ด้วยการยกกระชับโดยอาศัยเทคโนโลยีที่ต่างกัน SUPER HIFU  กับ Thermage จึงมีความแตกต่างกัน โดยสามารถสรุปความแตกต่างได้ดังนี้

        หลักการทำงานของ SUPER HIFU และ Thermage

        • SUPER HIFU : นวัตกรรมยกกระชับผิวด้วยการปล่อยคลื่นอัลตร้าซาวด์ที่มีความเข้มข้นสูงลงไปลึกถึงผิวชั้นกล้ามเนื้อส่วนบน (SMAS) และชั้นผิวที่อยู่ตื้นกว่าเพื่อยกกระชับและจัดการกับปัญหาริ้วรอยต่าง ๆ โดยอาศัยความร้อนจุดเล็ก ๆ ลงไปตามบริเวณที่ต้องการยกกระชับ
        • Thermage : เป็นการนำนวัตกรรมคลื่นวิทยุความถี่สูง Radio frequency หรือที่รู้จักกันแบบย่อ ๆ ว่า RF ในรูปแบบของ Monopolar RF ลงลึกถึงผิวใต้ชั้นหนังแท้ (Hypodermis) ซึ่งเป็นชั้นที่รวมตัวของคอลลาเจนใต้ผิวหนัง และความร้อจากคลื่นวิทยุความถี่สูง จะกระตุ้นการทำงานของคอลลาเจนและเกิดการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ ผิวจึงกระชับยิ่งขึ้น

        ผลลัพธ์ที่ได้รับจากการทำหัตถการยกกระชับ

        เนื่องจากความแตกต่างด้านเทคโนโลยีและภาพรวมของหลักการทำงานของ SUPER HIFU และ Thermage ทั้งสองหัตถการจึงมีความแตกต่างด้านผลลัพธ์และรายละเอียดอื่น ๆ แม้จะช่วยยกกระชับได้เหมือนกัน โดยรายละเอียดความแตกต่างด้านผลลัพธ์สามารถสรุปได้ดังนี้

        • ผลลัพธ์ของ SUPER HIFU : ผิวหน้ากลับมายกกระชับ กระชับสัดส่วนได้ดี แก้ปัญหาคิ้วตก ลดร่องรอยผิวหย่อนคล้อยได้เป็นอย่างดี เหมาะสำหรับคนที่อยากสร้างกรอบหน้า โดยจะเห็นผลลัพธ์ชัดเจนภายใน 1-2 เดือน และผลลัพธ์อยู่นานถึง 3-6 เดือน
        • ผลลัพธ์ของ Thermage : ยกกระชับรักษาผิวหน้าที่หลวมให้กลับมาแน่นเฟิร์ม กระชับรูขุมขน สามารถทำได้ทั้งบริเวณผิวหน้า รอบดวงตา และร่างกาย เห็นผลลัพธ์ชัดเจนภายใน 3-6 เดือน และผลลัพธ์ยาวนานถึง 1 ปี ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

        ความรู้สึกระหว่างการยกกระชับ

        แน่นอนว่าด้วยเทคโนโลยีที่แตกต่างความรู้สึกระหว่างทำ SUPER HIFU และ Thermage ก็จะมีความแตกต่างกันด้วย แต่อย่างไรก็ตามก่อนเข้ารับบริการทำหัตถการควรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจากทางแพทย์เสียก่อน เพราะหากเรารู้สึกเจ็บจนไม่สามารถทนได้ระหว่างทำหัตถการ ผลลัพธ์ที่ออกมาคงไม่ค่อยน่าประทับใจนัก

        Thermage กับ SUPER HIFU จะมีความเจ็บระหว่างทำที่แตกต่างกัน โดยแพทย์ประจำคลินิกได้มีการอธิบายความรู้สึกระหว่างการยกกระชับด้วย SUPER HIFU ว่าเป็นความเจ็บที่เหมือนโดนเครื่องเย็บผ้า ส่วน Thermage จะมีความเจ็บที่มากกว่า เพราะคลื่นพลังงานและความร้อนที่มากกว่า เลยอาจส่งผลต่อคนที่ไม่สามารถทนต่อความเจ็บได้มากนัก

        SUPER HIFU กับ EMFACE แตกต่างกันอย่างไร ?

        EMFACE เป็นหัตถการยกกระชับที่ได้รับความนิยมไม่แพ้ตัวอื่น ๆ เลย รวมถึงพึ่งมีการเปิดตัวหัว Applicator ใหม่ล่าสุดภายใต้ชื่อ EMFACE Submentum ไปเมื่อไม่นานมานี้ ส่งผลให้ EMFACE นอกจากจะช่วยยกกระชับผิวหน้าแล้วยังมาพร้อมกับตัวเลือกยกหน้า เก็บเหนียงที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของหัตถการ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับ SUPER HIFU แล้ว ทั้งสองมีความแตกต่างมากน้อยแค่ไหนมาดูกัน

        หลักการทำงานของ EMFACE เปรียบเทียบกับ SUPER HIFU

        ความแตกต่างด้านหลักการทำงานของ SUPER HIFU และ EMFACE มาจากเทคโนโลยีที่นำมาใช้ในการยกกระชับ โดย EMFACE เป็นการผสมผสานการทำงานของ 2 เทคโนโลยี ทำให้การทำงานของ EMFACE แตกต่างจาก SUPER HIFU พอสมควร โดยสามารถสรุปได้ดังนี้

        EMFACE เป็นการผสมผสานระหว่างสองเทคโนโลยี ได้แก่ เทคโนโลยี HIFES (High Intensity facial electric stimulation) และ เทคโนโลยี Synchronized RF  

        • เทคโนโลยี HIFES (High Intensity facial electric stimulation) : เป็นคลื่นวิทยุที่มีความถี่ลักษณะพิเศษที่ออกแบบมาให้มีรูปแบบการกระจายพลังงานที่สม่ำเสมอและทั่วถึงบริเวณผิวหนัง ทำให้กล้ามเนื้อผิวหนังเกิดการหดและเกร็งตัวเสมือนการออกกำลังกาย และคลื่นตัวนี้ยังช่วยเรื่องการกระตุ้นคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวที่เหี่ยวย่นกลับมาเรียบเนียน ไร้ริ้วรอย พร้อมระบบควบคุมการทำงานด้วย AI อัจฉริยะ ที่ควบคุมการปล่อยคลื่นออกมาไปยังชั้นผิวอย่างเหมาะสม
        • เทคโนโลยี Synchronized RF  : พลังงานจากคลื่นวิทยุแม่เหล็กที่มีกำลังไฟฟ้าแรงสูงร่วมกับคลื่นวิทยุ RF ช่วยกระตุ้นการยกกระชับผิวและเผาผลาญไขมันอย่างมีประสิทธิภาพ ผิวจึงมีความยืดหยุ่นและกระชับได้ดียิ่งขึ้น โดยมีระบบควบคุมพลังงานเพื่อป้องกันอันตรายและไม่ให้ผิวเบิร์นเนื่องจากความร้อนที่มากจนเกินไป

        ด้วยเทคโนโลยีที่มีความหลากหลายของ EMFACE การทำงานของหัตถการจึงแตกต่างจาก SUPER HIFU แต่ SUPER HIFU ยังคงมีประสิทธิภาพด้านการยกกระชับเหมือนกับ EMFACE โดยอาศัยเทคโนโลยี High Intensity Focused Ultrasound 

        ผลลัพธ์ที่ได้รับจากการทำหัตถการยกกระชับ

        • ผลลัพธ์ของ EMFACE : ช่วยยกกระชับใบหน้า ลดเหนียงและไขมันบริเวณผิวหน้า อยู่ได้นานถึง 1 ปี ซึ่งเมื่อนำมาเปรียบเทียบกับ SUPER HIFU ที่ผลลัพธ์อยู่นาน 3-6 เดือน เห็นผลชัดเจนหลังทำ 1-2 เดือน ส่วน EMFACE จะเห็นผลชัดเจนหลังทำครบ 4 ครั้ง

        ความรู้สึกระหว่างการยกกระชับ

        EMFACE ออกแบบมาเหมาะสมกับคนที่กลัวเจ็บ เนื่องจากการทำ EMFACE ระหว่างทำจะไม่รู้สึกเจ็บเลยจะรู้สึกแค่กระตุก และโดนบังคับให้ขยับใบหน้าเพียงเท่านั้น

        ถึงแม้ว่า SUPER HIFU จะทำให้รู้สึกเจ็บน้อยแล้ว แต่เมื่อเปรียบเทียบกับ EMFACE ก็นับได้ว่า EMFACE ตอบโจทย์เรื่องความสบายระหว่างทำการยกกระชับมากกว่า

        รมย์รวินท์คลินิก คำตอบของการยกกระชับอยู่ที่นี่แล้ว !

        ทางทีมแพทย์ของรมย์รวินท์คลินิกพร้อมให้คำปรึกษาและแนะนำหัตถการที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล ด้วยคอนเซปต์ ROMRAWIN for the better you และประสบการณ์การทำงานด้านหัตถการเสริมความงามมามากกว่า 30 ปี พร้อมให้บริการสำหรับทุกคนที่มีปัญหาผิวไม่ว่าจะเป็นผิวหน้าหย่อนคล้อย ขาดความกระชับ มีริ้วรอย ก็สามารถมายกกระชับด้วยนวัตกรรมต่าง ๆ ที่รมย์รวินท์คลินิก ด้วยหัตถการยกกระชับที่มีตัวเลือกหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น SUPER HIFU, Oligio, EMFACE และ EMFACE Submentum

        ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





          วันที่สะดวกในการติดต่อ





          Hifu ข้อดี-ข้อเสียมีอะไรบ้าง ? ทำไมต้องทำ ?

          Hifu

          Hifu ดียังไง คลายข้อสงสัย ทำไมใครๆก็ต้องทำ 

          ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





            วันที่สะดวกในการติดต่อ





            เมื่อพูดถึงเรื่องยกกระชับใบหน้า เพื่อลดความหย่อนคล้อยเพิ่มความเฟิร์มกระชับให้กับผิวหน้า ในปัจจุบันมีเทคนโนโลยีที่ใช้ในการยกกระชับใบหน้ามีหลากหลายวิธีที่แตกต่างกันออกไป  Hifu เป็นหนึ่งในนวัตกรรมที่ช่วยในการยกกระชับใบหน้าที่ได้รับการยอมรับจากทีมแพทย์ของวงการความงามทั่วโลกในเรื่องของผลลัพธ์และประสิทธิภาพในการยกกระชับใบหน้าเพื่อลดความหย่อนคล้อย

            แม้ว่าการยกกระชับด้วย Hifu (ไฮฟู่) จะเป็นโปรแกรมที่ช่วยแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยได้ดี แต่ Hifu (ไฮฟู่) ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ที่ผู้เข้ารับบริการควรทราบ และทำความเข้าใจก่อนเข้ารับบริการเพื่อความเข้าใจที่ตรงรวมทั้งความสบายใจในการรักษา

            รู้ก่อนเสี่ยง! รวมข้อดีข้อเสียของ Hifu สวยปลอดภัยก่อนทำไฮฟู่

            Hifu

            Hifu ข้อดีของการยกกระชับด้วยไฮฟู่มีอะไรบ้าง?

            รวมข้อดีของการทำ Hifu(ไฮฟู่) นวัตกรรมยกกระชับ ปรับหน้าเรียว เก็บผิวหย่อนคล้อย มีอะไรบ้าง เช็กลิสต์ได้เลยดังนี้

            • Hifu (ไฮฟู่) ช่วยยกกระชับปรับหน้าเรียว เห็นผลหลังทำทันที

            หนึ่งในข้อดีของ Hifu (ไฮฟู่) ที่ได้รับความไว้วางใจอย่างมากที่สุด คงหนีไม่พ้นเรื่องของผลลัพธ์หลังทำทันที โดยหลังจากทำการยกกระชับด้วย Hifu (ไฮฟู่) จะเห็นผลลัพธ์หลังทำทันทีประมาณ 20% ทำให้ใบหน้าเรียวขึ้น เก็บทุกผิวหย่อนคล้อยให้กลับมาอ่อนเยาว์อีกครั้ง

            • ยกกระชับด้วย Hifu (ไฮฟู่) ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องฉีด ไม่ต้องพักฟื้นนาน

            การปรับรูปหน้า ลดเลือนริ้วรอย สามารถแก้ปัญหาเหล่านี้ด้วยการยกกระชับ กับเครื่องได้มาตรฐานระดับสากล เช่น Ultraformer ข้อดีคือเหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ชอบเข็ม ไม่ต้องการผ่าตัด เพราะ Hifu (ไฮฟู่) เป็นการใช้พลังงานคลื่นเสียงอัลตราซาวนด์ (Ultrasound) ส่งพลังงานลึกลงสู่ชั้นผิวเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน (Collagen) และเพื่อผิวกระชับปรับหน้าเรียวสวย

            • Hifu (ไฮฟู่) มีความปลอดภัยสูง ไม่เป็นอันตราย

            การทำ Hifu (ไฮฟู่)  ไม่ทำร้ายผิวชั้นนอก เนื่องจากใช้พลังงานคลื่นเสียงอัลตราซาวนด์ (Ultrasound) ลงสู่ผิวชั้น SMAS (Superficial Muscular Aponeurotic System) จึงมีความปลอดภัยสูงแบบไม่กระทบกับผิวชั้นบน โดยเครื่อง Hifu (ไฮฟู่) ของรมย์รวินท์คลินิกได้รับมาตรฐานปลอดภัย ซึ่งดูแลโดยทีมแพทย์ผู้ชำนาญการเพื่อผลลัพธ์ที่ได้ประสิทธิภาพสูงที่สุด

            • Hifu (ไฮฟู่) เห็นผลลัพธ์ทันทีหลังทำ

            Hifu (ไฮฟู่) เป็นนวัตกรรมในด้านของการยกกระชับ โดยเฉพาะที่เห็นผลลัพธ์หลังทำทันทีโดยประมาณ 20% โดยจะมีความรู้สึกหลังทำทันทีว่าใบหน้าของเรานั้นมีความยกกระชับขึ้นเล็กน้อย หลังจากยกกระชับด้วย Hifu (ไฮฟู่) ในช่วงระยะเวลา 1-2 เดือน จะเป็นช่วงที่เห็นผลลัพธ์ชัดเจนมากที่สุด นอกจากนี้ Hifu (ไฮฟู่) สามารถทำร่วมกับหัตถการอื่น ๆ ได้ เช่น ฟิลเลอร์ การฉีดโบ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนมากขึ้น

            • Hifu (ไฮฟู่) ยิ่งทำซ้ำยิ่งเห็นผลลัพธ์ที่ดีมากขึ้น

            ข้อดีของการทำ Hifu (ไฮฟู่) ในทุก 4-6 เดือน จะยิ่งเห็นผลลัพธ์ที่ดีกว่าเดิม เพราะการทำ Hifu (ไฮฟู่) จะช่วยกระตุ้นในการสร้างคอลลาเจน (Collagen) ได้อย่างเต็มที่ ทำให้รู้สึกผิวเต่งตึง ผิวมีความยืดหยุ่น เฟิร์มกระชับ รูขุมขนเล็กลง หน้าเนียนใสดูเป็นธรรมชาติ

            • Hifu (ไฮฟู่) ป้องกันปัญหาผิวหย่อนคล้อยในอนาคตได้

            หลังจากทำ Hifu (ไฮฟู่) ผิวจะได้รับการกระตุ้นคอลลาเจน ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิวแข็งแรงขึ้น ทำให้สามารถป้องกันผิวหย่อนคล้อยในอนาคตได้ ซึ่ง Hifu (ไฮฟู่) เป็นหัตถการที่ให้ผลลัพธ์ยาวนาน จึงทำให้การทำโปรแกรม Hifu (ไฮฟู่) อย่างต่อเนื่องจะยังคงรักษาผลลัพธ์นั้นไว้อย่างต่อเนื่อง

            • Hifu (ไฮฟู่) ทำร่วมกับหัตถการอื่น ๆ ได้

            การทำ Hifu สามารถทำควบคู่กับหัตถการอื่น ๆ ร่วมกันได้ เช่น การฉีดโบ, ฟิลเลอร์ (Filler), ร้อยไหม (Thread), เมโสแฟต (Meso Fat) เป็นต้น ทั้งนี้การทำ Hifu (ไฮฟู่) ควบคู่ไปกับหัตถการอื่นอยู่ที่การวิเคราะห์และประเมินใบหน้าของแพทย์ เพราะฉะนั้นควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำ Hifu (ไฮฟู่) ทุกครั้ง

            Hifu

            Hifu ข้อเสียของการยกกระชับด้วยไฮฟู่มีอะไรบ้าง?

            ในข้อดีก็มักมีข้อเสียร่วมด้วยเป็นปกติ ข้อเสียของ Hifu มีดังนี้

            • หลังทำ Hifu (ไฮฟู่) ผลลัพธ์ไม่สามารถคงอยู่ถาวร

            ผลลัพธ์หลังการทำ Hifu (ไฮฟู่) ไม่สามารถอยู่ถาวรได้ แต่สามารถกลับมาทำซ้ำได้ เพื่อผลลัพธ์ที่ยาวนานอย่างมีประสิทธิภาพ

            • หลังทำ Hifu (ไฮฟู่) อาจมีอาการเมื่อยหรือตึงหน้า

            หลังจากที่ทำ Hifu (ไฮฟู่) อาจจะมีความรู้สึกเมื่อยหรือตึงที่ใบหน้า เพราะเป็นการใช้พลังงานคลื่นเสียงอัลตราซาวนด์ (Ultrasound) ระดับเข้มข้น เพื่อการยกกระชับใบหน้า เก็บกรอบหน้าให้คมชัด เก็บทุกริ้วรอยต่าง ๆ ซึ่งอาการเมื่อยหรือตึงใบหน้าหลังทำ Hifu (ไฮฟู่) จะกลับสู่ภาวะปกติภายในระยะเวลา 1-2 วัน ในบางคนอาจไม่มีอาการนี้อยู่เลย

            • Hifu (ไฮฟู่) มีข้อควรระวังกับคนบางกลุ่ม

            การยกกระชับด้วยเครื่อง Hifu มีข้อควรระวังที่ต้องรู้กับคนบางกลุ่ม หากต้องการยกกระชับ Hifu (ไฮฟู่) ควรเข้ารับการปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้ง โดยมีข้อระวัง ดังนี้

            1. ผู้ที่มีบาดแผลสดที่ยังไม่หายดี หรือผู้ที่มีแผลเปิด
            2. ผู้ที่มีแผลเป็นคีลอยด์
            3. ผู้ที่มีการฝังโลหะใต้ผิวหนังบริเวณที่ต้องการทำการรักษา
            4. สตรีมีครรภ์
            • มีผลข้างเคียงของการทำ Hifu (ไฮฟู่)

            ผลข้างเคียงของการทำ Hifu ข้อเสียที่เกิดจากการทำ Hifu (ไฮฟู่) เช่น เครื่องปลอม เครื่องไม่ได้มาตรฐาน ปล่อยพลังงานคลื่นเสียงอัลตราซาวนด์ (Ultrasound) ไม่สม่ำเสมอกัน ยิงพลังงานสูงลงสู่ชั้นผิวจนผิวเกิดการไหม้ หรือยิงโดนเส้นประสาททำให้เกิดหน้าบวม ปากเบี้ยวได้

            • หลังทำ Hifu (ไฮฟู่) อาจมีความรู้สึกเจ็บ มีอาการ้อน แดงที่ผิว

            เครื่อง Hifu (ไฮฟู่) ปล่อยพลังงานคลื่นอัลตราซาวนด์ (Ultrasound) ลงสู่ใต้ชั้นผิวหนัง หลังจากนั้นจะเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อน ทำให้อุณหภูมิใต้ผิวสูงจนทำให้เกิดความอุ่นไปจนถึงร้อนสะสมใต้ผิวหนังและเกิดเป็นรอยแดงบนใบหน้าได้ แต่หลังจากการทำ Hifu (ไฮฟู่) อาจมีอาการผิวร้อนและรอยแดงที่ผิว โดยอาการนี้จะค่อย ๆ หายเป็นปกติภายในไม่กี่ชั่วโมง แต่หากมีอาการแสบร้อนมาก แนะนำว่าให้รีบปรึกษาแพทย์ทันที

            • หลังทำ Hifu (ไฮฟู่) ผิวหน้าบวมน้ำ หรือ ผิวหน้าบวม

            อาการหน้าบวมน้ำ หรือ อาการหน้าบวมอักเสบ สามารถเกิดขึ้นหลังจากทำ Hifu (ไฮฟู่) ได้ ซึ่งเป็นผลข้างเคียงหลังทำที่เกิดขึ้นตามปกติ โดยสามารถรับประทานยาลดอการปวดอักเสบได้ตามแพทย์สั่ง

             

            ข้อควรระวังหลังยกกระชับด้วย Hifu (ไฮฟู่)

            หลังจากการทำ Hifu (ไฮฟู่) ควรระวังและดูแลตนเองเพื่อลดผลข้างเคียง ดังนี้

            • ควรหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ และดื่มแอลกอฮอล์หลังทำ Hifu (ไฮฟู่) เพราะบุหรี่และแอลกอฮอล์มีสารอนุมูลอิสระที่เข้าไปทำให้ผลลัพธ์ของการกระตุ้นคอลลาเจนไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดีอย่างที่ควร
            • ไม่ควรนวดหรือถูใบหน้า แรงจนเกินไปหลังจากทำ Hifu (ไฮฟู่) เพราะทำให้ผิวอักเสบได้ หากมีอาการปวดควรประคบเย็นหรือทานยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการปวด
            • หลังจากทำ Hifu (ไฮฟู่) ควรหลีกเลี่ยงการโดนแสงแดดจัดกลางแจ้ง เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ เพื่อป้องกันความร้อนสะสมใต้ชั้นผิวหนังที่มากเกินไป 
            • ควรทาครีมบำรุงผิว ตามปกติและควรทาครีมกันแดดที่มี SPF 50 PA+++ เพื่อป้องกันผิวจากแสงแดด

             

            เปรียบเทียบ HIFU (ไฮฟู่) กับเทคโนโลยียกกระชับชนิดอื่น

            Hifu VS Ulthera

            Hifu (ไฮฟู่) กับUlthera SPT  ต่างกันอย่างไร?

            Hifu (ไฮฟู่) กับ Ulthera SPT (อัลเทอร่า) แตกต่างกันในเรื่องของขนาดจุดโฟกัส ซึ่งส่งผลให้ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ที่ได้แตกต่างกันออกไป โดย Hifu มีขนาดจุดโฟกัสประมาณ 0.3-0.5 mm ส่วน Ulthera จะมีขนาดจุดโฟกัสประมาณ 1 mm ซึ่งขนาดของจุดโฟกัสที่แตกต่างกันทำให้ Ulthera SPT (อัลเทอร่า) มีขนาดของจุดโฟกัสที่ใหญ่กว่า Hifu (ไฮฟู่) ทำให้สามารถยิงค่าพลังงานออกมาได้เสถียรคงที่กว่าการทำ Hifu (ไฮฟู่) 

            นอกจากนี้ Hifu (ไฮฟู่) และ Ulthera SPT (อัลเทอร่า) มีการยิงพลังงานในรูปแบบที่แตกต่างกัน ซึ่ง Hifu (ไฮฟู่) ยิงพลังงานในรูปแบบ Single Shot และ Line Cartridge ขึ้นอยู่กับหัวเครื่องที่ใช้ยิง ส่วน Ulthera SPT (อัลเทอร่า) ยิงพลังงานในรูปแบบ Line Cartridge 

            ลักษณะการยิงแบบ  Single Shot และ Line Cartridge มีรายละเอียด ดังนี้

            • การยิงแบบ Single Shot เป็นลักษณะของการเรียงตัวเป็นจุด 1 จุด 
            • การยิงแบบ Line Cartridge เป็นลักษณะเรียงตัวเป็นเส้น โดย 1 เส้นประกอบไปด้วยจุดเรียงกัน 15-25 จุด

            Hifu VS Thermage FLX

            Hifu (ไฮฟู่)Thermage กับ (เทอร์มาจ) ต่างกันอย่างไร?

            Hifu (ไฮฟู่) และ Thermage (เทอร์มาจ) แตกต่างกันในเรื่องของหลักการทำงาน การปล่อยคลื่นคนละชนิดและการลงสู่ชั้นผิวลึกไม่เท่ากัน 

            ซึ่ง Thermage (เทอร์มาจ) ปล่อยคลื่นพลังงานคลื่นวิทยุความถี่สูง (Radio Frequency: RF) ตัวคลื่น RF ที่ใช้เป็น Monopolar RF หรือคลื่นวิทยุแบบขั้วเดียว ลงลึกไปถึงชั้นใต้หนังแท้ ซึ่งเป็นชั้นผิวที่อยู่ของคอลลาเจน (Collagen) การทำงานของ Thermage (เทอร์มาจ) จะปล่อยพลังงานความร้อน ทำให้คอลลาเจนในชั้นผิวเกิดการหดตัว และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ 

             

            ส่วน Hifu (ไฮฟู่) เป็นการปล่อยพลังงานคลื่นอัลตราซาวนด์ (Ultrasound) ที่มีความเข้มข้นสูงแบบเฉพาะเจาะจงลงไปสู่ชั้นผิว SMAS (Superficial Muscular Aponeurotic System) โดยพลังงานของคลื่นอัลตร้าซาวด์ (Ultrasound) จะเปลี่ยนเป็นความร้อนจุดเล็ก ๆ ไปตามตำแหน่งต่าง ๆ

            คำถามพบบ่อยที่เกี่ยวกับ Hifu (ไฮฟู่)

            • Hifu (ไฮฟู่) ผลลัพธ์อยู่ได้นานไหม?

            ผลลัพธ์หลังจากทำ Hifu (ไฮฟู่) นั้นจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนหลังจากทำประมาณ 1 เดือน และสามารถอยู่ได้นานถึง 6-12 เดือน

            • Hifu (ไฮฟู่) เจ็บไหม?

            ระหว่างทำ Hifu (ไฮฟู่) จะมีความรู้สึกตึงและเมื่อยใต้ผิวบริเวณที่ทำ เป็นการยิงค่าพลังงานคลื่นเสียงอัลตราซาวนด์ (Ultrasound) เข้าสู่ชั้นผิว โดยที่ก่อนทำแพทย์จะมีการแปะยาชาก่อนทำเสมอ 

            • Hifu (ไฮฟู่) ทำกี่ครั้งถึงจะเห็นผลลัพธ์ชัดเจน?

            การทำ Hifu (ไฮฟู่) โดยปกติแล้วจะสามารถเห็นผลลัพธ์ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ แต่จะเห็นผลลัพธ์ชัดเจนที่สุดหลังทำ Hifu ไปแล้วประมาณ 1 เดือน และสามารถคงผลลัพธ์ได้นานถึง 6-12 เดือน โดยการทำ Hifu (ไฮฟู่) สามารถทำซ้ำทุก ๆ 3 เดือนเพื่อความต่อเนื่องสู่ผลลัพธ์ที่สวยนานขึ้น 

            สรุป ข้อดี-ข้อเสียของ Hifu (ไฮฟู่)

            จากการเปรียบเทียบข้อมูลของข้อดีและข้อเสียของการทำ Hifu (ไฮฟู่) จะเห็นได้ชัดว่าข้อดีของการทำ Hifu (ไฮฟู่) มีมากกว่าข้อเสีย และข้อเสียที่กล่าวมานั้น เป็นอาการที่สามารถพบได้ในการทำเครื่องยกกระชับหลายๆเครื่อง และยังสามารถหายได้เองในระยะเวลาไม่นาน จึงทำให้การทำ Hifu (ไฮฟู่) กลายเป็นเครื่องยกกระชับยอดนิยมที่มีคนเข้ารับบริการกันอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้การทำ Hifu (ไฮฟู่) ที่ได้ผลลัพธ์ที่ดีและมีประสิทธิภาพนั้น ต้องเลือกทำ Hifu (ไฮฟู่) กับคลินิกที่ได้รับมาตรฐาน เครื่องแท้ และทีมแพทย์ผู้ชำนาญการเท่านั้น

            รมย์รวินท์คลินิก เป็นคลินิกที่มีมาตรฐาน พร้อมทีมแพทย์ที่มากประสบการณ์ พร้อมให้คำแนะนำและปรึกษาก่อนเข้ารับบริการทุกเคส ใส่ใจทุกการบริการเพื่อผลลัพธ์ที่ได้ประสิทธิภาพในการรักษาอย่างต่อเนื่อง

            ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





              วันที่สะดวกในการติดต่อ





              กำจัดขน (Hair removal) ไม่ทิ้งตอด้วย YAG Laser 1064

              กำจัดขน

              ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                วันที่สะดวกในการติดต่อ






                ไม่สะดุดตอขน แต่สะดุดใจ ต้องลองกำจัดขน (Hair removal) ด้วย YAG Laser 1064

                เรื่องขนๆ ไม่ใช่แค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่าชะล่าใจไป เพราะแค่ปัญหาขนก็สามารถทำให้ความฟินสะดุดกึ้กได้ ยิ่งขนเป็นตอ ไม่เรียบเนียน ยิ่งทำให้สะดุด จะใส่อะไร โชว์หน้า โชว์ใต้วงแขน หรือจะโชว์ขา ก็ทำให้ไม่มั่นใจ ยิ่งการกำจัดขนด้วยวิธีแบบเดิมๆ อย่างการโกน หรือการแวกซ์ขน ก็ยิ่งทำลายผิว กำจัดไม่ถึงต้นตอ ทำให้เหลือตอขนเอาไว้ แถมบางทียังทำให้ผิวระคายเคือง และที่ร้ายแรงอาจทำให้เกิดขนคุดอีกด้วย

                สำหรับคนที่ไม่อยากมีขนตามร่างกายคงพยายามหาวิธีในการกำจัดขนให้เกลี้ยงเกลามาหลายๆ วิธี แต่ถ้าได้มาลองรู้จักกับ YAG Laser 1064 เลเซอร์กำจัดขนที่รมย์รวินท์ คลินิก ก็หมดห่วงเรื่องขนๆ ไปได้เลย ที่รมย์รวินท์กล้าการันตีขนาดนี้ เพราะมีรีวิวจากผู้ใช้ YAG Laser 1064 กำจัดขนจริงเพียบบบ

                ลืมวิธีการโกนแบบเดิมไปได้เลย ตั้งแต่ได้มารู้จักกับ YAG Laser 1064 

                YAG Laser 1064 เลเซอร์กำจัดขนที่อ่อนโยนต่อผิว ยิงด้วยพลังงานคลื่น 1064 นาโนเมตร มีความแม่นยำและลงลึกถึงชั้นรากขน โดยแสงเลเซอร์จะลงไปจับเม็ดสีเมลานินในรากขน ทำให้ YAG Laser 1064 สามารถกำจัดขนได้ลึกถึงต้นตอ อีกทั้ง YAG Laser 1064 ยังมีหัวยิงที่มีขนาดเล็กที่สามารถเข้าถึงได้ทุกบริเวณที่ต้องการกำจัดขน และระหว่างที่ทำจะปล่อยไอเย็น หรือ Cryogen ออกมาเพื่อช่วยปลอบประโลมผิวทำให้เจ็บน้อย และไม่ทำให้ผิวไม้เบิร์น ไม่ทำให้เกิดขนคุด

                ลืมปัญหาขนคุดไปได้เลย

                การกำจัดขนด้วยวิธีอื่นๆ เช่นการโกน การแว็กซ์ หรือการถอน อาจทำให้ผิวเกิดการระคายเคือง และอักเสบ หรืออุดตัน พอขนงอกขึ้นใหม่ส่งผลให้ขนไม่สามารถแทงทะลุรูขุมขนบริเวณนั้นขึ้นมาได้ ทำให้เกิดอาการขนคุด เกิดการสะสมของแบคทีเรีย และอาจติดเชื้อได้ ซึ่งตัว YAG Laser 1064 เลเซอร์กำจัดขนตอบโจทย์มากสำหรับปัญหาเรื่องขน ทั้งกำจัดขน และลดปัญหาที่เกิดจากการกำจัดขนได้ดี ที่สำคัญยังมีความอ่อนโยน และปลอดภัย ใครอยากกำจัดขนต้องไปลอง YAG Laser 1064 เลเซอร์กำจัดขนแล้วที่รมย์รวินท์คลินิกดูแล้ววว

                YAG Laser 1064 กำจัดขนตรงไหนได้บ้างนะ

                ตามที่กล่าวมาว่า YAG Laser 1064 สามารถทำได้ทุกบริเวณเพราะมีหัวเล็กที่เล็ก เข้าได้ทุกพื้นที่ที่ต้องการกำจัดขนไม่ว่าจะเป็น

                • YAG Laser 1064 กำจัดขนบนใบหน้า หนวด เครา ช่วยทำให้หน้าเกลี้ยงเกลาไม่ระคายเคือง หรือเป็นตอขนซึ่งอาจกลายเป็นต้นเหตุของการเกิดสิวที่หน้า
                • YAG Laser 1064กำจัดขนรักแร้ ช่วยให้ผิวใต้วงแขนเรียบเนียน สีผิวสม่ำเสมอ ไม่เป็นหนังไก่
                • YAG Laser 1064 กำจัดขนแขน  ให้ผิวเรียบเนียน กระจ่างใส มีสีผิวสม่ำเสมอ กล้าอวดผิวสวย
                • YAG Laser 1064 กำจัดขนขา ผิวบริเวณขากระจ่างใส เรียบเนียน ไม่ทิ้งตอขนให้รำคาญใจ จะใส่กางเกง หรือกระโปรงสั้นก็มั่นใจมากขึ้น
                • YAG Laser 1064 กำจัดขนในจุดซ่อนเร้น ไม่ว่าจะเป็นบิกินี หรือ บราซิลเลี่ยน ลดการอับชื้น ผื่นคันบริเวณจุดซ่อนเร้น ใส่บิกินีโชว์หน้าร้อนก็มั่นใจขนไม่แพลม

                YEG Laser 1064 2

                ทำไมต้องกำจัดขนด้วย YAG Laser 1064 เลเซอร์กำจัดขน

                • YAG Laser 1064 ยิงพลังงานคลื่นแสงอินฟราเรด ที่มีช่วงความยาวคลื่น 1064 นาโนเมตร ซึ่งยิงได้ลึกถึงรากขน
                • YAG Laser 1064 มี Cryogen หรือไอเย็นปล่อยขณะทำเพื่อปลอบประโลมผิว และช่วยลดอุณหภูมิของผิว ไม่ทำให้ผิวเกิดการไหม้เบิร์น
                • YAG Laser 1064 ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวบริเวณที่ถูกกำจัดขนเรียบเนียน ไม่เกิดหนังไก่
                • YAG Laser 1064 เลเซอร์กำจัดขนลงลึกถึงรากขน ไม่เป็นตอขน ไม่ทำให้เกิดขนคุด
                • YAG Laser 1064 เหมาะกับทุกผิว โดยเฉพาะผิวคนเอเชีย
                • YAG Laser 1064 ปลอดภัยต่อผิว เพราะจับเม็ดสีเมลานินจากรากขนเป็นหลัก ไม่ทำลายผิวบริเวณรอบข้าง
                • YAG Laser 1064 เห็นผลลัพธ์ได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ
                • YAG Laser 1064 หลังทำขนมีเส้นเล็กและบางลง
                • YAG Laser 1064 มีผลข้างเคียงน้อยกว่าเมื่อเทียบกับวิธีการกำจัดขนแบบอื่นๆ
                • YAG Laser 1064 ได้รับการรับรองมาตรฐานจาก USFDA สหรัฐอเมริกา

                ดูแลผิวบริเวณที่ทำ YAG Laser 1064 เลเซอร์กำจัดขนยังไงดีนะ

                • หลังทำ YAG Laser 1064 ควรหลีกเลี่ยงการสวมใส่เสื้อผ้ารัดๆ ในช่วงแรกหลังทำ เพื่อลดอาการระคายเคือง
                • หลังทำ YAG Laser 1064 สามารถทาเจลเย็น และประคบเย็นเพื่อลดอาการบวมแดงของผิว
                • หลังทำ YAG Laser 1064 งดการว่ายน้ำในช่วง 8 – 12 ชั่วโมง เพื่อไม่ให้คลอรีนสัมผัสกับผิว
                • หลังทำ YAG Laser 1064 ควรเลี่ยงการสัมผัสแดดโดยตรง ในช่วง 1 อาทิตย์แรกหลังเลเซอร์
                • หลังทำ YAG Laser 1064 งดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ช่วงหลังเลเซอร์

                เปรียบเทียบ YAG Laser 1064 เลเซอร์กำจัดขนกับวิธีการกำจัดขนแบบอื่นๆ

                การโกนขน : วิธีนี้เป็นวิธีการกำจัดขนที่รวดเร็วที่สุดในการกำจัดขน และเป็นวิธีที่อาจทำให้ผิวเกิดการระคายเคือง ทิ้งแผลไว้ เกิดขนคุด หรือปัญหาหนังไก่ได้ง่ายเช่นกัน

                ครีมกำจัดขน  : เป็นครีมที่มีส่วนผสมของ Calcium Thioglycolate และ Calcium hydroxide เมื่อทาบริเวณที่มีขนจะเข้าไปทำลายโปรตีนเคราติน ทำให้เส้นขนอ่อน และหลุดในที่สุด ซึ่งกำจัดขนได้แค่ชั้นผิวเท่านั้น ไม่สามารถลงลึกได้ถึงรากขน ทำให้เมื่อกำจัดขนแล้วยังเหลือตอขนและขนงอกใหม่เร็ว และอาจเกิดการระคายเคืองจากครีมกำจัดขนได้

                hair removal

                การแว็กซ์ขน : เป็นอีกวิธีการกำจัดขนที่ได้รับความนิยม โดยการใช้ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ หรือการใช้แผ่นแว็กซ์แบบสำเร็จรูป สามารถกำจัดขนได้ถึงราก และทำให้ขนขึ้นช้าลง แต่เป็นการกำจัดขนที่รบกวนผิว อาจเกิดการระคายเคือง หรืออักเสบบวมแดง และอาจเกิดขนคุดได้

                กำจัดขนด้วย IPL : กำจัดขนด้วยคลื่นแสงขนาด 515-1,200 นาโนเมตร โดยจับเม็ดสีเมลานินเปลี่ยนพลังงานแสงให้เป็นพลังงานความร้อนเพื่อกำจัดขน ด้วยเครื่อง IPL มีความกว้างของพลังงานแสงมาก เวลายิงทำให้แสงกระจายตัวเป็นวงกว้าง ส่งผลให้ยิงกำจัดขนได้ไม่ถึงรากขน จึงต้องซ้ำบ่อยๆ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี และอาจทำให้เกิดการระคายเคือง และผิวไหม้เบิร์นได้เพราะนอกจากกำจัดขนแล้ว IPL ยังกำจัดเม็ดสีเช่น ฝ้า กระ จุดดำได้ด้วย อาจทำให้จับเม็ดสีบริเวณอื่นที่ไม่ใช่ขนทำให้เสี่ยงต่อการไหม้เบิร์นของผิว

                กำจัดขนด้วย DIODE :  เลเซอร์กำจัดขนที่มีความยาวคลื่นตั้งแต่ 800-1,350 นาโนเมตร กำจัดขนโดยการจับเม็ดสีเมลานินให้ดูดซึมพลังงานแสง และเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อนเพื่อทำลายเส้นขน สามารถยิงได้ลึกถึงรากขน แต่ไม่เหมาะกับคนที่มีผิวเข้ม เพราะอาจเสี่ยงทำให้ผิวเกิดการไหม้เบิร์นได้

                เลือกกำจัดขน ต้องเลือก YAG Laser 1064 ที่รมย์รวินท์คลินิก

                เรื่อง

                YAG Laser 1064 เลเซอร์ที่ตอบโจทย์มากสำหรับปัญหาเรื่องขน ทั้งกำจัดขน และลดปัญหาที่เกิดจากการกำจัดขนได้ดี ที่สำคัญยังมีความอ่อนโยน และปลอดภัย

                ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                  วันที่สะดวกในการติดต่อ





                  Lifting Select เทคนิค ยกกระชับใบหน้าให้สวยครบทุกมิติ

                  Lifting Select

                  ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                    วันที่สะดวกในการติดต่อ






                    Lifting Select ยกกระชับใบหน้า ทุกมิติด้วยศาสตร์และศิลป์โดยผู้เชี่ยวชาญ

                    เทคนิค Lifting Select  เป็นเทคนิคที่ถูกสร้างสรรค์ พัฒนาขึ้นมาจากประสบการณ์ และความเข้าใจโครงสร้างผิวของชั้นผิว รวมทั้งปัญหาผิวของคนเอเชียที่สั่งสมมายาวนานกว่า 20 ปี ถูกออกแบบขึ้นเพื่อให้การยกกระชับใบหน้า ให้กับผู้เข้ารับบริการ ไม่ได้เป็นเพียงแค่การรักษาในมิติเดียว หรือเป็นเพียงการยกกระชับ แค่ส่วนใดส่วนหนึ่งของใบหน้าเท่านั้น แต่เทคนิค Lifting Select เป็นการปรับทุกมิติของใบหน้าอย่างครบถ้วนทั้งความหย่อนคล้อย ไม่กระชับ ปัญหาริ้วรอย ร่องลึก และยังช่วยในการปรับคุณภาพผิว อันเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงความร่วงโรยแห่งวัย

                    Lifting Select 2 scaled

                    เทคนิค Lifting Select คือ ศาสตร์วิเคราะห์เพื่อค้นพบ “จุดงดงาม” บนใบหน้าผ่าน 3 เฟรมเวิร์ค ที่คิดค้นและออกแบบ โดยทีมแพทย์จากรมย์รวินท์คลินิก จึงทำให้เทคนิค Lifting Select เป็นเทคนิคที่มีแค่ที่เดียวเท่านั้น

                    โดยเทคนิค Lifting Select เป็นเทคนิคที่ออกแบบเฉพาะสำหรับบุคคล จึงทำให้คุณดูดีได้มากกว่า ในแบบที่เป็นคน

                    จุดงดงามบนใบหน้าในความหมายของเทคนิค Lifting Select คืออะไร 

                    จุดที่ทำให้ใบหน้าของแต่ละคนดูโดดเด่นมากขึ้น  และยังเป็นจุดที่สร้างความมั่นใจให้กับบุคคลอีกด้วย  เมื่อผ่านการวิเคราะห์ใบหน้าตามหลักการวิเคราะห์ ของเทคนิค Lifting Select แล้วผู้เข้ารับบริการจะได้ค้นพบว่า ต้องแก้ไขปัญหาต่างๆบนใบหน้าอย่างไร จึงจะสามารถเติมเต็มในส่วนที่เป็นปัญหาของใบหน้า หรือเสริมเติมแต่งให้จุดเด่นของใบหน้าที่มีอยู่เดิมนั้นดูดียิ่งขึ้น  นอกจากนี้เทคนิค Lifting Select ยังเป็นเทคนิคที่เสริมสร้างให้ผิวดูสุขภาพดี และสวยอย่างเป็นธรรมชาติในแบบฉบับของตัวเองมากที่สุดอีกด้วย

                    3 เฟรมเวิร์คของโดยเทคนิค Lifting Select ประกอบไปด้วย

                    1. Frame Selection แก้ไขและปรับโครงหน้า และชั้นผิวให้กลับมาอ่อนเยาว์
                    2. Light & Shadow Me เพิ่มมิติบนใบหน้าให้เกิดความชัดเจนมากกว่าที่เคย
                    3. Conceal Selection เผยผิวอย่างมั่นใจ โดยไม่ต้องปกปิดปัญหาอีกต่อไป

                    Lifting Select

                    1. FRAME SELECTION แก้ไขและปรับโครงหน้า และชั้นผิวให้กลับมาอ่อนเยาว์

                    ขั้นตอนนี้ของเทคนิค Lifting Select เปรียบเสมือนการเริ่มต้นซ่อมแซมบ้าน ที่มีความทรุดและชำรุด ให้มีรากฐานที่มั่นคงอีกครั้ง โดยจะต้องเริ่มต้นจากการแก้ไขที่รากฐาน โครงสร้างชั้นล่างให้เกิดความแข็งแรงและมั่นคงก่อน เมื่อเปรียบเทียบโครงสร้างของบ้านคือเสาที่มั่นคง แต่ถ้าเป็นโครงสร้างของใบหน้า ก็จะต้องเป็นชั้นโครงสร้างของกระดูกนั่นเอง

                    เมื่อเรามีอายุที่เพิ่มมากขึ้น กระดูกของเราก็จะเกิดการทรุด ตามที่เราเคยได้ยินกันว่าเมื่ออายุเยอะจะทำให้เตี้ยลงนั่นเอง กระดูกโครงสร้างใบหน้าของคนเราสามารถทรุดตัวลงได้เช่นกัน และกระดูกบริเวณใบหน้า ที่ทรุดตัวลงแล้วทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของใบหน้า จำแนกได้ดังนี้

                    • กระดูกหน้าผากทรุดตัวลงทำให้เอ็นยึดที่ทำหน้าที่ยึดเกาะบริเวณขมับ เกิดการหย่อนตัวลง
                    • กระดูกขมับยุบหรือแบนลง  ส่งผลให้ใบหน้าดูมีอายุ และโหนกแก้มดูชัดขึ้น
                    • กระดูกเบ้าตาทรุด หรือถ่างออกจนทำให้มีถุงใต้ตา
                    • กระดูกข้างแก้มทรุด ส่งผลให้ผิวเกิดความหย่อนยาน
                    • กระดูกหน้าแก้มทรุด หรือแบนตัวลงส่ง ผลให้ไขมันชั้นลึกที่อยู่บริเวณหน้าแก้ม เกิดการเคลื่อนย้ายตำแหน่ง จึงกลายเป็นผู้ที่มีภาวะไขมันกองที่ข้างร่องแก้มจึงทำให้ใบหน้าเกิดการหย่อนคล้อยและดูมีอายุ
                    • กระดูกกรอบหน้าทรุด ส่งผลให้ใบหน้าและลำคอหย่อนคล้อย

                    โดยส่วนใหญ่ มนุษย์เราจะเริ่มมีมวลกระดูกที่มีปริมาตรน้อยลง ทำให้โครงหน้าเปลี่ยนไปในวัย 35 ปีเป็นต้นไป จึงทำให้หลายคนรู้สึกว่าเมื่อก้าวเข้าสู่วัย 30 ใบหน้าของเราดูเปลี่ยนไปนั่นเอง

                    โดยลักษณะที่ดูเปลี่ยนไปในภายนอก มาจากลักษณะที่เปลี่ยนไปของโครงกระดูกดังกล่าวด้านบน และเมื่อมีโครงกระดูกใบหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปแล้ว ก็จะส่งผลให้ไขมันรวมทั้งเนื้อเยื่อต่างๆ เกิดการหดตัวและเสื่อมถอยลง อันเกิดมาจาก เนื้อเยื่อของผิวที่มีขนาดใหญ่เกินกว่าโครงกระดูกใบหน้า ที่เป็นตัวในการรองรับ จึงทำให้ผิวหน้าในส่วนที่กระดูกรองรับไม่ไหว เกิดการหย่อนคล้อยลงมาจนเกิดเป็นริ้วรอย และร่องลึกต่างๆตามที่เราเห็นเป็นความเปลี่ยนแปลงนั่นเอง และกระดูกโครงหน้าก็จะทรุดตัวลงเรื่อยๆในทุกๆวัน ทำให้ใบหน้าเกิดการหย่อยคล้อยมากขึ้น   และตกหย่อนลงมามากขึ้นหากไม่ได้รับการดูแลที่เหมาะสม

                     

                    Lifting Select

                    2. Light & Shadow Me เพิ่มมิติบนใบหน้าให้เกิดความชัดเจนมากกว่าที่เคย

                    ขั้นตอนนี้ของเทคนิค Lifting Select เปรียบเสมือนการสร้างบ้าน ใส่หน้าต่าง ประตู ให้มีแสงและอากาศถ่ายเท เพื่อความสะดวกสบายในการอยู่อาศัย เช่นเดียวกับใบหน้า เมื่อมีมิติแสงเงาที่ดีแล้ว สิ่งที่จะได้โดยธรรมชาติเลยคือความสะดวกสบายในการแต่งหน้าที่มากขึ้น

                    Light & Shadow Me เป็นขั้นตอนที่ใส่ใจ ในจุดตกกระทบของแสง เพื่อให้เพิ่มมิติบนใบหน้า และเสริมจุดเด่นบนใบหน้าให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น เงาและแสงที่ตกกระทบเมื่อส่องไฟบนศีรษะ จะต้องอยู่ในปริมาณที่เหมาะสมและอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง จะช่วยทำให้หน้าภาพรวมดูมีมิติ ดูหน้าเล็กลงเหมือนเวลาเราแต่งหน้าเพิ่มแสงเงา โดยการใช้  Shading หรือ Contour และ Hilight

                    โดยเทคนิค Lifting Select ในเฟรมเวิร์คที่ 2 Light & Shadow Me เป็นการเพิ่มมิติใบหน้าที่คล้ายกันกับการแต่งหน้า เน้นจุดเล่นแสงอย่าง หน้าผาก หน้าแก้ม ขอบตา ร่องจมูก ร่องปาก สันจมูก คาง  และเพิ่มเงาในจุดที่ควรมีเงา คือสันจมูก โหนกแก้ม ขากรรไกร และกรอบหน้าเป็นต้น

                    Lifting Select

                    3. Conceal Selection เผยผิวอย่างมั่นใจ โดยไม่ต้องปกปิดปัญหาอีกต่อไป

                    ขั้นตอนนี้ของเทคนิค Lifting Select เปรียบเหมือนกับการตกแต่งบ้านให้สวยงามน่าอยู่มากยิ่งขึ้น และยังเป็นการตกแต่งรายละเอียดในจุดเล็กๆให้มีความสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น

                    หากเปรียบเทียบกับการแต่งหน้า ในขั้นตอนนี้ เปรียบเหมือนขั้นตอนหลังการรองพื้น แล้วต้องใช้คอนซีลเลอร์ทาเพื่อปกปิดริ้วรอยเล็กๆบนผิวให้เนียนกริบมากยิ่งขึ้น แต่การทำเทคนิค Lifting Select จะทำให้คุณข้ามขั้นตอนนี้ไปได้เลยเมื่อแต่งหน้า

                    โดยเทคนิค Lifting Select ในเฟรมเวิร์คที่ 3. Conceal Selection  นั้นคือขั้นตอนการเก็บงานผิวชั้นตื้น ริ้วรอยเล็กเล็กๆ ตีนกา ร่องแก้มร่องน้ำหมาก ให้อิ่มฟู เรียบเนียน ปรับผิวให้สวยเงาวาวฉ่ำโกลว์เหมือนการเลือกรองพื้นดีๆมาทาบนใบหน้า กลบให้หมด รอยสิว ฝ้า กระ จุดด่างดำที่เป็นกังวลให้ไม่หลงเหลือทิ้งไว้ให้กวนใจ ไม่เพียงเท่านั้น รูขุมขน เส้นขนบนใบหน้า ที่เป็นตัวการในการทำให้ผิวไม่เรียบเนียน ก็ต้องจัดการให้เรียบกริบ

                    หากต้องการใช้บริการเทคนิค Lifting Select สามารถเข้ามาปรึกษาข้อมูลการเข้ารับบริการได้ที่รมย์รวินท์คลินิกทุกสาขา ทั้ง 28 สาขาหรือสอบถามเบื้องต้นผ่านทางช่องทางออนไลน์ได้ทุกช่องทาง FacebookRomrawinclinic หรือช่องทาง LINE : https://bit.ly/Romrawinclinic

                    ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                      วันที่สะดวกในการติดต่อ





                      Pico Laser ดูแลผิว อย่างตรงจุด คืออะไร ดีอย่างไร

                      Pico Laser

                      ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                        วันที่สะดวกในการติดต่อ






                        Pico Laserยกระดับการฟื้นบำรุงผิว ใหม่ล่าสุด ที่รมย์รวินท์

                        ด้วยมลภาวะแสงแดด ฝุ่น ควัน รวมไปถึงการดำรงชีวิตของผู้คนที่แตกต่างออกไปในปัจจุบัน อาจทำร้ายผิวโดยตรง ส่งผลให้ผิวไม่ได้รับการปกป้องเท่าที่ควร ก่อให้เกิดปัญหาผิวหน้าต่าง ๆ ตามมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของความหมองคล้ำ หลุมสิว ความมัน จุดด่างดำ รอยแดงจากสิว ฝ้า กระ รูขุมขนกว่าง และรอยแผลเป็น ล้วนแล้วส่งผลเสียต่อสภาวะจิตใจของใครหลายคน

                        อย่างไรก็ตาม ด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ถูกพัฒนามาเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ช่วยรักษาปัญหาผิวดังกล่าวจำเป็นต้องอาศัยการเลเซอร์เพื่อฟื้นฟูสภาพผิว“  Pico Laser” คือกุญแจดอกสำคัญแห่งการปรนนิบัติผิสวย ฟื้นฟูสภาพผิวได้อย่างลึกล้ำ และตรงจุด อีกครั้งของการยกระดับผลลัพธ์การเลเซอร์สุดประทับใจ ช่วยลดเลือน รอยแดง รอยดำ ฝ้า กระ จุดด่างดำ ความหมองคล้ำ หลุมสิว รวมถึงรอยสักที่ไม่พึงประสงค์

                        ทั้งนี้ ก่อนที่คนไข้จะตัดสินใจเข้ารับการฟื้นฟู ปรนนิบัติสภาพผิวกับสถาบันความงามแห่งใดก็ตามแต่ คนไข้ควรศึกษาหาข้อมูลบริการ รวมถึงเครื่องมือที่ใช้ในการทำหัตถการอย่างละเอียดรอบครอบเสียก่อน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของ มาตรฐานความปลอดภัยตัวเครื่อง แพทย์ผู้ทำหัตถการ ขั้นตอนการทำหัตถการ ผลลัพธ์หลังการรักษา ค่าพลังงานที่เหมาะสมกับสภาพผิวของตนเองเบื้องต้น เพื่อลดโอกาสการเกิดความผิดพลาดที่ อาจตามมาในอนาคต

                        อย่างไรก็ตาม ก่อนเข้ารับบริการควรเข้าพบแพทย์ผู้ทำหัตถการทุกครั้ง เพื่อประเมินปัญหาผิวหน้า รวมถึงการเลือกวิธีรักษาผิว และระดับพลังงานที่ใช้ฟื้นฟูผิวได้อย่างถูกจุด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีเกินคาด

                        Pico Laser คืออะไร

                        Pico Laser คือ เทคโนโลยีเลเซอร์ที่ใช้ในการรักษาปัญหาผิวหนังต่าง ๆ โดยมีความแตกต่างจากเทคโนโลยีเลเซอร์อื่น ๆ ในการส่งออกพลังงานเลเซอร์ออกมาในช่วงเวลาที่สั้นและมีความเร็วสูงมาก โดยที่ความเร็วในการส่งออกพลังงานของ Pico Laser นั้นเร็วกว่าเทคโนโลยีเลเซอร์ทั่วไปอย่างมาก ซึ่งทำให้มีประสิทธิภาพในการรักษาที่สูงขึ้น

                        Pico Laser ใช้พลังงานเลเซอร์ในรูปแบบของช็อต ( shot ) ที่มีความเร็ว และความแม่นยำสูง ทำให้สามารถเข้าถึงเซลล์ในผิวหนังได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อกำจัดปัญหาเช่น รอยดำ, รอยแดง, รอยสิว และฝ้าที่ไม่พึงประสงค์ โดยที่ไม่ทำให้เกิดความเสียหายต่อผิวหนังรอบข้าง และไม่มีการบาดเจ็บ หรือผิวหนังหลุดหลง เนื่องจากพลังงานเลเซอร์ที่ใช้ มีความแม่นยำและเป็นเส้นตรง

                        การใช้เครื่องเลเซอร์ชนิดนี้ มักจะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการผิวหนังที่สม่ำเสมอ สุขภาพดี และมีการพัฒนาที่เห็นได้ชัดเจน โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาผิวหนังเช่น รอยดำ, รอยแดง, รอยสิว หรือฝ้าที่ต้องการลดลงและปรับปรุงผิวหนังให้ดูดีขึ้นนั่นเอง

                        PICO laser

                        เข้ารับบริการ “ Pico Laser” ที่รมย์รวินท์ดีอย่างไร

                        การเลือกทำ  Pico Laser เป็นการตัดสินใจที่สำคัญในการดูแลผิวหนัง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี และปลอดภัย หัวข้อนี้นี้จะช่วยแนะนำ และข้อควรรู้ในการเลือกทำ   Pico Laser ที่รมย์รวินท์คลินิก

                        Pico Laser เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการรักษาผิวหนังอย่างมีประสิทธิภาพ และปลอดภัย ที่มีผลลัพธ์ที่น่าพอใจให้แก่ผู้รับการรักษา รมย์รวินท์คลินิกนับว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ที่มีการใช้เทคโนโลยี Pico Laser อย่างปลอดภัย ในส่วนของการตัดสินใจเลือกทำ   Pico Laser สามารถพิจารณาได้จากปัจจัยดังต่อไปนี้

                          • การประเมินผิวหนังอย่างถูกต้อง 

                        ก่อนทำการรักษาด้วยเครื่องเลเซอร์ชนิดนี้ ทีมแพทย์ที่รมย์รวินท์คลินิกจะทำการประเมินสภาพผิวหนังของคุณอย่างถูกต้อง เพื่อให้การรักษาเป็นไปตามความต้องการ และปลอดภัยอย่างแน่นอน

                          • การให้คำแนะนำ อธิบายแผนการรักษา 

                        หลังจากการประเมินปัญหาผิว ทีมแพทย์จะให้คำแนะนำเกี่ยวกับแผนการรักษาที่เหมาะสมกับสภาพผิวรวมถึงความต้องการของแต่ละบุคคล

                          • การใช้เทคโนโลยีที่ล้ำสมัย 

                        รมย์รวินท์คลินิกใช้เครื่องเลเซอร์ชนิดนี้ ที่มีเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย และทันสมัย เพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพ ปลอดภัยสูงสุด

                          • ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลตัวเองหลังเข้ารับการรักษา 

                        หลังการรักษา ทีมแพทย์จะให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลผิวหนังหลังการรักษาอย่างถูกต้อง เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ได้มายังยาวนาน

                          • บริการที่เอาใจใส่ลูกค้า 

                        รมย์รวินท์คลินิกให้บริการอย่างเป็นมิตร และเอาใจใส่ต่อลูกค้า พร้อมให้คำปรึกษา และคำแนะนำในทุกขั้นตอนของการรักษา

                        โดยการรักษา  Pico Laser ที่รมย์รวินท์คลินิกจะไม่เพียงแค่ช่วยให้ผิวของคุณสวยงามขึ้นเท่านั้น แต่ยังเป็นการลงมือทำอย่างปราณีต และใส่ใจต่อสุขภาพผิวของคนไข้อีกด้วย

                        ขั้นตอนการทำ  Pico Laser ที่รมย์รวินท์คลินิกมีอะไรบ้าง

                        จริงๆ แล้ว ก่อนจะเข้ามารับบริการเลเซอร์ที่รมย์รวินท์ นั้นไม่ยากเลย ขั้นตอนกระบวนการทำหัตถการก็ยังใช้เวลาไม่นานอีกด้วย ขั้นตอนการทำการรักษามีดังนี้

                        1. ขั้นตอนของการประเมินสภาพผิว

                        ก่อนทำการรักษาด้วย  Pico Laser ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อให้ประเมินสภาพผิวและแนะนำการรักษาที่เหมาะสมกับผิวของคนไข้

                        2. ขั้นตอนของการเตรียมผิวให้พร้อมสำหรับทำหัตถการ

                        • การเตรียมผิวด้วยการทำความสะอาดผิวให้สะอาด และระงับความมันบนผิว
                        • งดใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำให้ผิวเกิดการระคายเคือง
                        • การปกป้องผิวหนังด้วยครีมกันแดด

                        3. ขั้นตอนของกาดูแลตัวเองหลังเข้ารับบริการ

                        • หลีกเลี่ยงการถูกแดด หรือครีมกันแดด
                        • การรักษาแผล หรืออาการอักเสบใด ๆ ให้ดีก่อนทำการรักษาด้วย Pico Laser

                        4. การใช้ยารักษาผิว เมื่อพบอาการไม่ปกติ

                        หากมีการใช้ยาที่มีผลข้างเคียงต่อผิวหนัง เช่น ยา Retin-A ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำการรักษา

                        5. ป้องกันอาการแพ้ที่อาจเกิดขึ้น

                        หากมีประวัติการแพ้สารเคมี หรือสารต่าง ๆ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนทำการรักษา

                        สำหรับท่านใด ที่สนใจอยากทำ Laser ที่รมย์รวินท์คลินิก สามารถนัดคิวเข้ามารับบริการกับเราได้ทุกสาขา ทุกช่องทาง จะมีเจ้าหน้าที่คอยบริการให้คำปรึกษา แนะนำข้อมูลเบื้องต้น ด้วยความใส่ใจ และที่สำคัญทุกเคสจะได้รับการดูแลโดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างใกล้ชิด คนไข้สามารถมั่นใจได้เลยว่า ได้ความสวยควบคู่ไปกับความปลอดภัย มั่นใจไม่ผิดหวังแน่นอน

                        PICO laser

                        การเตรียมตัวก่อนเข้ารับบริการ Pico Laser ที่รมย์รวินท์คลินิก

                        การเตรียมตัวก่อนเข้ารับบริการ   Pico Laser เป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้การรักษาเป็นไปอย่างปลอดภัย และมีประสิทธิภาพมากที่สุด การปฏิบัติตามขั้นตอนเหล่านี้จะช่วยให้ผิวหนังของคนไข้พร้อมที่จะรับการรักษา และลดความเสี่ยงจากผลข้างเคียงที่ อาจเกิดขึ้น

                          • ปรึกษาคุณหมอ เพื่อประเมินปัญหาผิวเบื้องต้น 

                        การปรึกษาคุณหมอผิวหนังเป็นขั้นตอนสำคัญ เพื่อให้คนไข้เข้าใจถึงกระบวนการการรักษา ผลลัพธ์ที่คาดหวัง และคำแนะนำเกี่ยวกับการเตรียมตัวก่อน และหลังการรักษา

                          • งดใช้ผลิตภัณฑ์ที่เคมี 

                        หยุดใช้ผลิตภัณฑ์เคมี หรือผลิตภัณฑ์ผิวหนังที่มีส่วนผสมเคมีเป็นเวลาอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ ก่อนการทำ   Pico Laser เพื่อลดความเสี่ยงจากการระคายเคือง หรือการติดเชื้อ ที่อาจเกิดขึ้น

                          • ปกป้องผิวจากแสงแดด 

                        ผิวหนังที่ผ่านการรักษาด้วยเครื่องเลเซอร์ชนิดนี้ มีความไวต่อแสงแดด ควรปกปิดผิวด้วยการสวมหมวกกันแดด และใช้ครีมกันแดดทุกวัน เพื่อป้องกันความเสียหายจากรังสี UV

                          • การทำความสะอาดผิวอย่าสม่ำเสมอ

                        ทำความสะอาดผิวหน้าอย่างอ่อนโยนด้วยน้ำอุ่น และน้ำโฟมล้างหน้าที่เหมาะสมก่อนการทำหัตถการ เพื่อล้างสิ่งสกปรก เนื่องจากหากผิวหน้าไม่สะอาด อาจก่อให้เกิดอาการข้างเคียงตามมาได้

                          • งดการสูบบุหรี่ และการดื่มแอลกอฮอล์ 

                        การสูบบุหรี่ และการดื่มแอลกอฮอล์สามารถทำให้ผิวหนังแพ้ต่อการรักษาด้วยหัตถการนี้ ควรลด หรือหยุดการบริโภคก่อนเข้ารับบริการ และหลังการทำหัตถการ เพื่อประสิทธิภาพของการรักษาที่ดีที่สุด

                          • เตรียมตัว ปรับสภาพจิตใจให้พร้อมรับบริการ

                        สำหรับการทำหัตถการนี้ อาจทำให้รู้สึกเครียด หรือระคายเคือง ควรเตรียมตัวใจให้พร้อมกับกระบวนการการรักษา ผลลัพธ์ รวมถึงอาการข้างเคียงเล็กๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้

                        การดูแลตัวเองหลังทำ Pico Laser ที่รมย์รวินท์คลินิก

                        หลังจากที่ผ่านการทำ   Pico Laser การดูแลตัวเองเป็นสิ่งสำคัญที่มีความสำคัญอย่างมากเพื่อให้ผิวหนังของคนไข้กลับมาสุขภาพดี และสวยงามอย่างรวดเร็ว ภายหลังจากการรักษาด้วยเทคโนโลยี Pico Laser ที่ช่วยลดรอยแผล ลดรอยดำ และปรับปรุงโครงสร้างของผิวหนัง มีบางขั้นตอน และการดูแลที่ควรทำเพื่อให้คนไข้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

                          • การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว 

                        เลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่อ่อนโยน และไม่มีสารเคมีที่เข้มข้น เช่น เจลล้างหน้าที่อ่อนโยน, ครีมบำรุงผิว, และสูตรเซรั่มที่ช่วยให้ผิวหนังมีความชุ่มชื้น และปกป้องอย่างเหมาะสม

                          • การป้องกันแสงแดด 

                        แสงแดด อาจเป็นอันตรายต่อผิวหน้าหลังจากการรักษา แนะนำให้ใช้ครีมกันแดดที่มีคุณสมบัติป้องกันรังสี UVA และ UVB ร่วมกับการใช้เครื่องป้องกันแสงแดดอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น หมวกกันแดด และเสื้อผ้าที่ป้องกันแสงแดดได้เป็นอย่างดี

                          • การรักษาสีผิว รวมถึงรอยดำ รอยแดงต่างๆ 

                        ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดรอยดำ และรักษาสีผิวบริเวณใบหน้าให้สม่ำเสมอ โดยใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารผลัดสีอย่างปลอดภัย และเหมาะสมกับผิวหน้าของคนไข้

                          • ใช้มาส์กหน้าเพื่อยกระดับการบำรุงผิว

                        การใช้มาส์กหน้าที่มีส่วนผสมธรรมชาติ อย่างเช่น มาส์กที่มีส่วนผสมของสมุนไพร, ผลไม้ หรือนม ช่วยปรับปรุงสภาพผิวหน้า และสร้างความชุ่มชื่นให้กับผิวได้เป็นอย่างดี

                          • การปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต รวมถึงการออกกำลังกาย 

                        การดูแลสุขภาพที่ดีอย่างเพียงพอ โดยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์, และนอนหลับพักผ่อนเพียงพอ จะช่วยเสริมสร้างสภาพผิวให้ผิวแข็งแรง และมีสุขภาพดี

                        PICO laser