และเมื่อพูดถึงหัตถการยกกระชับอันดับต้นๆ คนจะต้องนึกถึง HIFU เป็นอันดับแรกๆ แต่ถ้าจะให้แนะนะก็ต้องเป็น SUPER HIFU โปรแกรมยกกระชับตัว TOP ที่เป็นขั้นกว่าของ HIFU ที่พัฒนามาเป็นอย่างดี เพราะนอกจาก SUPER HIFU จะช่วยยกกระชับที่บริเวณต่าง ๆ ของร่างกายได้หลายส่วนแล้ว ยังเป็นนวัตกรรมยกกระชับที่ไม่ต้องใช้เข็ม ไม่มีการผ่าตัด แถมการดูแลตัวเองหลังรักษาไม่ยุ่งยาก เหมาะสำหรับคนพึ่งเคยเข้ารับหัตถการยกกระชับเป็นครั้งแรก แต่ก่อนจะทำ SUPER HIFU เราก็ควรทราบข้อมูลเกี่ยวกับ SUPER HIFU รวมถึงความแตกต่างของ SUPER HIFU เมื่อเปรียบเทียบกับนวัตกรรมยกกระชับอื่น ๆ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการเลือกหัตถการยกกระชับ
SUPER HIFU คืออะไร ? ทำความรู้จักก่อนเลือกนวัตกรรมยกกระชับ
ก่อนจะเลือกทำ SUPER HIFU เราควรทราบรายละเอียดและหลักการทำงานของ SUPER HIFU เสียก่อน โดย SUPER HIFU เป็นคำที่ย่อมาจาก High Intensity Focused Ultrasound เป็นหัตถการยกกระชับบริเวณต่าง ๆ ของร่างกายด้วยหลักการของเครื่องที่มีการปล่อย Focused ultrasound ลงไปถึงชั้นผิว Superficial Muscular Aponeurotic System (SMAS) ที่เป็นส่วนของเนื้อเยื่อห่อหุ้มกล้ามเนื้อบริเวณผิวหน้าจนเกิดการยกกระชับ
โดยหลักการทำงานของ High Intensity Focused Ultrasound ของ SUPER HIFU เป็นคลื่นอัลตร้าซาวด์ที่พัฒนามาจากเครื่องตรวจครรภ์ด้วยคลื่นอัลตร้าซาวด์ทางการแพทย์ที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ส่งผลให้นอกจาก SUPER HIFU จะช่วยยกกระชับผิวหย่อนคล้อยให้กลับมาเป็นผิวที่อ่อนเยาว์ แน่นกระชับแล้ว ยังเป็นหัตถการที่มีความปลอดภัยอีกด้วย
ผลลัพธ์หลังจากทำ SUPER HIFU เป็นอย่างไร ?
หลังจากยกกระชับด้วย SUPER HIFU ผลลัพธ์จะออกมาอย่างเต็มประสิทธิภาพตามสภาพผิวของแต่ละบุคคล โดยการทำ SUPER HIFU จะเข้าไปกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนของร่างกายตามแต่ละชั้นผิวตามที่คลื่นของ SUPER HIFU ปล่อยลงไป ซึ่งช่วยแก้ปัญหาเน้นหลักในเรื่องผิวหย่อนคล้อยตามวัย หลังจากทำ SUPER HIFU จะมีผลลัพธ์ความเปลี่ยนแปลงของผิวโดยสรุปดังนี้
นอกจากบริเวณผิวหน้าที่กระชับและเรียบเนียน SUPER HIFU ยังสามารถช่วยยกกระชับส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย เช่น เหนียงบริเวณลำคอที่เกิดจากไขมันส่วนเกินที่ย้อยลงไม่ค่อยน่ามอง SUPER HIFU สามารถช่วยยกกระชับและลดเหนียงได้
ถึงแม้ว่าผลลัพธ์ของ SUPER HIFU จะมีผลลัพธ์ที่ตอบโจทย์สำหรับคนที่อยากยกกระชับและแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย แต่เนื่องจากการทำ SUPER HIFU มีความแตกต่างจากการผ่าตัดศัลยกรรม ผลลัพธ์ของการยกกระชับด้วย SUPER HIFU จึงไม่คงอยู่อย่างถาวร แต่เราสามารถทำ SUPER HIFU ทุก ๆ 3-6 เดือน เพื่อรักษาผลลัพธ์การยกกระชับและผิวที่อิ่มฟูอุดมไปด้วยคอลลาเจนให้มีประสิทธิภาพไปตลอดได้
SUPER HIFU สามารถทำบริเวณไหนได้บ้าง ?
สำหรับคนที่สนใจอยากจะยกกระชับหลาย ๆ ส่วน คงอยากจะทราบว่า SUPER HIFU สามารถทำบริเวณไหนได้บ้าง ซึ่งตามความจริงแล้ว SUPER HIFU สามารถยกกระชับได้หลายส่วนของร่างกาย และสามารถปรับเปลี่ยนหัวยิงของเครื่องให้เหมาะสมกับบริเวณชั้นผิวที่จะทำ SUPER HIFU โดยสำหรับคนที่สงสัยหัวยิงของเครื่องจะมีทั้งหมด 6 รูปแบบดังนี้
หัวยิง SUPER HIFU สำหรับความลึก 2.0 mm : สามารถปล่อยพลังงานลงไปถึงชั้นผิว Dermis (ชั้นหนังแท้) เพื่อกระตุ้นร่างกายให้ผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินมากขึ้นบริเวณชั้นผิว
หัวยิง SUPER HIFU สำหรับความลึก 3.0 mm : หัวยิงสำหรับชั้น Dermis และ Superficial Fat ที่เป็นไขมันชั้นตื้น โดยจะช่วยสลายไขมันและกระตุ้นคอลลาเจน
หัวยิง SUPER HIFU สำหรับความลึก 4.5 mm : สำหรับยกกระชับบริเวณผิวชั้น SMAS ช่วยยกใบหน้ากลับมากระชับและอ่อนเยาว์
หัวยิง SUPER HIFU สำหรับความลึก 6.0 mm : หัวยิงสำหรับยกกระชับกรณีที่ไขมันสะสมบริเวณใต้ชั้นผิวมีความหนาไม่เกิน 1 นิ้ว
หัวยิง SUPER HIFU สำหรับความลึก 6, 9 mm : หัวยิงสำหรับยกกระชับกรณีที่ไขมันสะสมบริเวณใต้ชั้นผิวมีความหนาประมาณ 1 – 1.5 นิ้ว โดยแต่ละคนจะมีความหนาบริเวณชั้นผิวและไขมันที่แตกต่างกัน
หัวยิง SUPER HIFU สำหรับความลึก 9, 13 mm : สำหรับกรณีที่ไขมันหนาเกินกว่า 1.5 นิ้ว และสามารถยกกระชับบริเวณต่าง ๆ เช่น ร่องแก้ม เหนียง คาง เป็นต้น รวมถึงการลดริ้วรอยบริเวณรอบดวงตาและร่องแก้ม
โดยบริเวณที่นิยมทำ SUPER HIFU ด้วยหัวยิงทั้ง 6 รูปแบบก็จะมีดังนี้
ผิวหน้าและลำคอ : เป็นบริเวณที่ทำ SUPER HIFU เพื่อยกกระชับและลดรอยเหี่ยวย่นตามกาลเวลา รวมถึงยกเหนียง สลายไขมันเพื่อให้บริเวณดังกล่าวสามารถยกให้แน่นเฟิร์ม ไม่ขาดความกระชับ
ด้วยเทคโนโลยีที่มีความหลากหลายของ EMFACE การทำงานของหัตถการจึงแตกต่างจาก SUPER HIFU แต่ SUPER HIFU ยังคงมีประสิทธิภาพด้านการยกกระชับเหมือนกับ EMFACE โดยอาศัยเทคโนโลยี High Intensity Focused Ultrasound