รักษาสิวที่รมย์รวินท์มีวิธีอะไรบ้าง วิธีไหนเหมาะกับใคร ดียังไง

รักษาสิวที่รมย์รวินท์

รวมวิธีรักษาสิวที่รมย์รวินท์คลินิก ตอบโจทย์ทุกปัญหาผิว

ปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิด “สิว”
ปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิด “สิว”

 

ปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิด “สิว”

สิว (Acne) เป็นปัญหาผิวที่สามารถเกิดได้ในทุกช่วงวัยโดยเฉพาะในวัยรุ่น ซึ่งปัญหาสิวเกิดได้จากหลายปัจจัยที่กระตุ้นให้ผิวหนังเกิดการอักเสบและอุดตันของรูขุมขน การเข้าใจถึงสาเหตุของการเกิดสิวจะช่วยให้สามารถเลือกวิธีการรักษาสิวและป้องกันการเกิดสิวในอนาคตได้ โดยปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดสิวสามารถเกิดได้หลัก ๆ ดังนี้

  • การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน 

การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนโดยเฉพาะในช่วงวัยรุ่น รอบเดือน หรือในผู้ที่มีภาวะฮอร์โมนไม่สมดุล จะส่งผลให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากขึ้น ซึ่งเมื่อน้ำมันไปผสมกับเซลล์ผิวที่ตายแล้ว จะทำให้รูขุมขนเกิดการอุดตัน และกระตุ้นให้เกิดสิวได้ 

  • การอุดตันของรูขุมขน 

เมื่อรูขุมขนอุดตันจากน้ำมันส่วนเกินไปผสมกับเซลล์ผิวที่ตายแล้ว หรือสิ่งสกปรก จะทำให้เกิดสิวหัวขาวหรือสิวหัวดำ และหากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการดูแล อาจลุกลามเป็นสิวอักเสบได้

  • การใช้เครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะสมกับสภาพผิว 

การใช้เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของน้ำมัน และไม่สามารถทำความสะอาดได้หมดจด อาจทำให้รูขุมขนอุดตันและเกิดสิวได้ง่าย โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่ไม่ผ่านการทดสอบ Non-Comedogenic 

  • พฤติกรรมการดูแลผิวที่ไม่เหมาะสม 

การล้างหน้าบ่อยเกินไป ขัดผิวแรงเกินไป หรือบีบสิว อาจทำให้ผิวระคายเคืองและกระตุ้นการเกิดสิวซ้ำได้ การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่รุนแรงเกินไปกับผิวก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดสิวได้

  • พฤติกรรมการใช้ชีวิตและสิ่งแวดล้อม

การรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลสูงอาจกระตุ้นให้เกิดการหลั่งฮอร์โมนอินซูลินที่เป็นฮอร์โมนที่สัมพันธ์กับการผลิตน้ำมันของผิว นอกจากนี้ความเครียดหรือสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดีก็สามารถกระตุ้นให้เกิดสิวได้เช่นกัน

การเกิดสิวเป็นผลมาจากปัจจัยที่หลากหลาย ทั้งภายในร่างกายและสิ่งแวดล้อมภายนอก การเข้าใจสาเหตุการเกิดสิว จะช่วยให้สามารถเลือกวิธีการรักษาสิว และเลือกการดูแลผิวได้ 

 

สิวมีกี่ประเภท ? 

สิวสามารถแบ่งออกได้เป็นหลายประเภท ซึ่งสามารถแบ่งออกได้ 2 ประเภทหลัก ได้แก่ สิวอักเสบ และสิวไม่อักเสบ โดยสิวแต่ละประเภทยังมีลักษณะย่อยที่แตกต่างกันออกไปอีก สามารถแบ่งออกได้ ดังนี้

1.สิวไม่อักเสบ  (Non-inflammatory Acne) เป็นสิวที่ไม่เกิดการอักเสบ บวม แดง หรือเจ็บ ซึ่งมักพบในระยะแรกของการเกิดสิว เป็นสิวที่เกิดจากการอุดตันในรูขุมขน จากไขมันและเซลล์ผิวที่ตายไปแล้ว โดยสามารถแบ่งสิวไม่อักเสบออกมาได้ 2 ประเภท ดังนี้

  • สิวหัวดำ (Blackheads) เป็นสิวที่เกิดจากไขมันและเซลล์ผิวที่อุดตันในรูขุมขน เมื่อรูขุมขนที่เปิดออกแล้วสัมผัสอากาศ จะทำให้สิวเปลี่ยนเป็นสีดำ โดยสิวประเภทนี้จะเป็นสิวที่มีลักษณะเป็นจุดสีดำขนาดเล็ก มักพบได้บริเวณจมูก หน้าผาก และคาง พบได้บ่อยในผู้ที่มีผิวมันหรือมีรูขุมขนกว้าง
  • สิวหัวขาว (Whiteheads) เป็นสิวที่เกิดจากการอุดตันของไขมันและเซลล์ผิวในรูขุมขน แต่สิวหัวขาวเป็นสิวที่ยังไม่เปิดสู่ภายนอก ทำให้ไม่ได้สัมผัสกับอากาศ จึงไม่มีการเปลี่ยนสี ซึ่งลักษณะสิวประเภทนี้จะเป็นตุ่มเล็ก ๆ สีขาวใสอยู่ใต้ผิวหนัง ไม่เห็นชัดเจน 

สิวที่ยังไม่อักเสบหากดูแลไม่ดีหรือมีการกด แกะ เกา อาจพัฒนาไปเป็นสิวอักเสบได้ ดังนั้นหากเกิดสิวประเภทนี้ควรรีบรักษาอย่างเหมาะสม เพื่อไม่ให้สิวประเภทนี้พัฒนาเป็นสิวอักเสบที่อาจรักษายากได้ในอนาคต

 

2.สิวอักเสบ (Inflammatory Acne) เป็นสิวที่เกิดจากการอักเสบที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียในรูขุมขน ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันตอบสนอง จนเกิดการอักเสบ บวม แดง และเจ็บ โดยสิวอักเสบสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภท ดังนี้ 

  • สิวตุ่มแดง (Papules) เป็นสิวที่มีตุ่มขนาดเล็ก ไม่มีหัวสิวชัดเจน อักเสบแต่ไม่เป็นหนอง อาจบวมเล็กน้อยและกดเจ็บได้ หากบีบด้วยตัวเองแบบไม่ถูกวิธีอาจทำให้สิวประเภทนี้ลุกลามหรือเกิดรอยดำได้ง่าย
  • สิวหัวหนอง (Pustules) เป็นสิวที่มีตุ่มอักเสบที่มีหนองสีขาวหรือเหลืองอยู่ด้านใน เกิดจากการตอบสนองของร่างกายต่อเชื้อแบคทีเรีย โดยสิวประเภทนี้ควรหลีกเลี่ยงการบีบหรือกดด้วยตัวเอง  เพราะถ้าหากทำไม่ถูกวิธีอาจทำให้เชื้อกระจายและเกิดเป็นสิวใหม่ที่ลุกลามได้
  • สิวก้อนลึก (Nodules) เป็นสิวขนาดใหญ่ที่อักเสบลึกใต้ผิวหนัง ไม่มีหัวสิวชัดเจน มักเจ็บเวลากด ซึ่งสิวประเภทนี้มักใช้เวลาในการรักษาที่นานและมีโอกาสในการทิ้งรอยแผลเป็นหรือหลุมลึกหลังจากสิวหาย หากเป็นสิวประเภทนี้จำนวนมากหรือเรื้อรัง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อให้ได้รับการรักษาสิวที่เหมาะสม
  • สิวซีสต์ (Cystic Acne) เป็นสิวที่เป็นก้อนใหญ่ มีหนองสะสมอยู่ภายใน อักเสบลึกและเจ็บมากกว่าสิวชนิดอื่น ซึ่งสิวประเภทนี้ถือเป็นสิวที่รุนแรงที่สุด มักส่งผลต่อสภาพผิวระยะยาว ดังนั้นหากเป็นสิวประเภทนี้ควรรักษาสิวภายใต้การดูแลของแพทย์ เพื่อไม่ให้สิวลุกลาม

นอกจากนี้ยังมีสิวประเภทอื่น ๆ ที่เกิดจากปัจจัยเฉพาะได้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น

  • สิวฮอร์โมน (Hormonal Acne) เป็นสิวที่เกิดจากความแปรปรวนของระดับฮอร์โมนในร่างกาย ซึ่งมักมีลักษณะเป็นตุ่มแดงหรือตุ่มหนองขึ้นบริเวณแนวกราม คาง หรือคอ และมักเกิดซ้ำในจุดเดิม
  • สิวผด (Acne Mechanica หรือ Fungal Acne) เป็นสิวที่มีลักษณะคล้ายผื่นเม็ดเล็ก ๆ ที่มักขึ้นเป็นกลุ่ม โดยส่วนมากเกิดจากความร้อน ความชื้น เหงื่อสะสม หรือการเสียดสีจากสิ่งของ
  • สิวจากเครื่องสำอาง (Acne Cosmetica) เป็นสิวที่เกิดจากการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหรือเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมก่อให้เกิดการอุดตันรูขุมขน มีลักษณะสิวมักเป็นสิวหัวปิดหรือสิวผดขึ้นทั่วใบหน้า

สิวประเภทพิเศษเหล่านี้อาจต้องการแนวทางการรักษาเฉพาะทาง และควรปรึกษาแพทย์หากอาการไม่ดีขึ้นภายในระยะเวลาเหมาะสม

 

ระดับความรุนแรงของสิว รู้ไว้รักษาได้ไว อย่าปล่อยให้ลุกลาม
ระดับความรุนแรงของสิว รู้ไว้รักษาได้ไว อย่าปล่อยให้ลุกลาม

 

ระดับความรุนแรงของสิว รู้ไว้รักษาได้ไว อย่าปล่อยให้ลุกลาม

ความรุนแรงของสิวมีระดับความรุนแรงหลายประเภท การรักษาสิวให้มีประสิทธิภาพ ควรเลือกวิธีการรักษาสิวให้ตรงกับระดับความรุนแรงของสิว เพื่อให้ได้วิธีการรักษาสิวที่เหมาะสม โดยระดับความรุนแรงของสิว สามารถแบ่งออกได้ 3 ระดับ ดังนี้

  • สิวระดับเล็กน้อย (Mild Acne) 

สิวระดับเล็กน้อยเป็นสิวที่ไม่มีการอักเสบและมีปริมาณยังไม่มากนัก เช่น สิวประเภทสิวหัวขาว (Whiteheads) และสิวหัวดำ (Blackheads) ทำให้สิวนี้เป็นสิวที่รักษาไม่ยากนัก

  • สิวระดับปานกลาง (Moderate Acne)

สิวระดับปานกลางเป็นสิวที่เริ่มมีการอักเสบร่วมด้วย เช่น  สิวหัวแดง สิวหนอง หรือสิวอุดตันที่มีการบวมแดง โดยสิวที่มีความรุนแรงระดับปานกลางอาจมีการใช้ยาลดการอักเสบ เพื่อควบคุมเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิว และควรพบแพทย์เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสม เพื่อช่วยควบคุมสิวไม่ให้ลุกลามและลดโอกาสเกิดรอยแผลเป็นในอนาคตได้

  • สิวระดับรุนแรง (Severe Acne)

สิวระดับรุนแรงเป็นสิวอักเสบขนาดใหญ่ ลึก และเจ็บ เช่น สิวหัวช้าง สิวซีสต์ หรือสิวตุ่มหนองขนาดใหญ่ ซึ่งสิวประเภทนี้หากปล่อยไว้อาจลุกลามและรักษายาก ทำให้การรักษาสิวระดับรุนแรงต้องได้รับคำแนะนำจากแพทย์ เพื่อให้ได้รับการรักษาสิวที่เหมาะสม และป้องกันการทิ้งรอยแผลเป็นไว้ภายหลัง

 

รวมวิธีรักษาสิวที่รมย์รวินท์คลินิก

รมย์รวินท์คลินิกมีโปรแกรมรักษาสิวโดยทีมแพทย์ผู้มีประสบการณ์  ที่สามารถรักษาสิวได้อย่างครอบคลุมทุกประเภท โดยโปรแกรมการรักษาสิวของรมย์รวินท์คลินิกมี 5 โปรแกรม ดังต่อไปนี้ 

1.รักษาสิวด้วย AviClear Laser
รวมโปรแกรมรักษาสิว

 

1.รักษาสิวด้วย AviClear Laser

AviClear Laser เป็นเทคโนโลยีที่ออกแบบมาเพื่อรักษาสิวโดยเฉพาะ ซึ่งสามารถส่งพลังงานลงลึกได้ถึงต่อมไขมันใต้ผิวหนังที่เป็นสาเหตุหลักของการเกิดสิว โดยไม่ลายผิวรอบข้าง นอกจากจะสามารถรักษาสิวได้อย่างครอบคลุมทุกประเภทแล้ว ยังสามารถลดการเกิดสิวซ้ำและช่วยให้ผิวหน้าเรียบเนียนขึ้นได้อีกด้วย

AviClear Laser เหมาะสำหรับใคร ?

AviClear Laser เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาสิวทุกประเภท ทุกช่วงวัย โดยเหมาะสำหรับหลายบุคคล ดังต่อไปนี้

  • AviClear Laser เหมาะสำหรับผู้ที่เคยรักษาสิวมาหลายวิธีแต่ยังไม่ได้ผลลัพธ์
  • AviClear Laser เหมาะสำหรับผู้ที่มีข้อจำกัดในการใช้ยารักษาสิว หรือมีผิวที่ไวต่อสารเคมี
  • AviClear Laser เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดการเกิดสิวในระยะยาว
  • AviClear Laser เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวบอบบาง แพ้ง่าย
  • AviClear Laser เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นสิวทุกประเภท

ข้อดีของ AviClear Laser

  • AviClear Laser สามารถรักษาสิวได้อย่างแม่นยำ ลงลึกถึงต่อมไขมันที่เป็นสาเหตุของการเกิดสิว
  • AviClear Laser เหมาะกับทุกสภาพผิว แม้แต่ผิวแพ้ง่าย สามารถทำได้ทุกโทนสีผิว
  • AviClear Laser ไม่มีรอยแผล ไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้น สามารถใช้ชีวิตตามปกติหลังทำได้เลย
  • AviClear Laser ช่วยลดสิวได้อย่างต่อเนื่องและป้องกันการเกิดสิวซ้ำในอนาคตได้
  • AviClear Laser ช่วยให้ผิวดูเรียบเนียนและกระชับขึ้น

2.รักษาสิวด้วย AC Clear I

AC Clear I เป็นโปรแกรมดูแลผิวที่ออกแบบมาเพื่อจัดการกับปัญหาสิวอย่างครอบคลุม ทั้งสิวไม่อักเสบและสิวอักเสบ โดยเน้นความอ่อนโยน เหมาะกับทุกสภาพผิว รวมถึงผิวที่บอบบางแพ้ง่าย 

AC Clear I เหมาะสำหรับใคร ?

  • AC Clear I เหมาะสำหรับผู้ที่มีแนวโน้มเป็นสิวง่าย หรือเป็นสิวซ้ำบริเวณเดิมบ่อย
  • AC Clear I เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการการดูแลผิวแบบอ่อนโยน ไม่รุนแรงต่อผิว 
  • AC Clear I เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายไม่ต้องการการรักษาสิวที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง
  • AC Clear I เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นสิวอุดตัน สิวไม่มีหัว สิวหัวดำ และต้องการฟื้นฟูผิวไปพร้อมกัน
  • AC Clear I เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดการอักเสบ และป้องกันการเกิดสิวซ้ำในอนาคต

ข้อดีของ AC Clear I

  • AC Clear I รักษาสิวได้ครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็นสิวที่เกิดจากสาเหตุใด
  • AC Clear I เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว แม้แต่ผิวแพ้ง่าย เพราะมีความอ่อนโยน ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง
  • AC Clear I ลดโอกาสการเกิดสิวซ้ำ ช่วยให้ผิวเรียบเนียนสม่ำเสมอมากยิ่งขึ้น
  • AC Clear I ช่วยฟื้นฟูผิวไปพร้อมกับการรักษาสิวอย่างมีประสิทธิภาพ

 

3.รักษาสิวด้วย AC Clear II 

AC Clear II โปรแกรมรักษาสิวที่ออกแบบมาเพื่อรักษาสิวและการแก้ปัญหาผิว ที่เน้นการรักษา ฟื้นฟูด้วยการผสานเทคโนโลยีทางการแพทย์เข้ากับการบำรุงผิวที่อ่อนโยน ลดการอักเสบของสิว ฟื้นฟูผิวที่อ่อนแอ และลดโอกาสของการเกิดสิวใหม่

AC Clear II เหมาะสำหรับใคร ?

  • AC Clear II เหมาะสำหรับผู้ที่มีสิวอุดตันหรือสิวอักเสบเป็นบางจุด
  • AC Clear II เหมาะสำหรับผู้ที่มีสิวหัวหนองหรือสิวหัวช้างที่หายยาก
  • AC Clear II เหมาะสำหรับผู้ที่มีรอยสิว จุดด่างดำจากสิว
  • AC Clear II เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวบอบบาง แพ้ง่าย 
  • AC Clear II เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการพึ่งพายารับประทานในการรักษาสิว

ข้อดีของ AC Clear II

  • AC Clear II สามารถช่วยให้ผิวที่อักเสบดีขึ้นได้ภายในเวลาไม่นาน
  • AC Clear II ช่วยกำจัดเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของสิวอักเสบ
  • AC Clear II ควบคุมความมันส่วนเกิน ลดการผลิตน้ำมันที่เป็นตัวกระตุ้นการเกิดสิว
  • AC Clear II ฟื้นฟูผิวให้กลับมาแข็งแรง ช่วยให้ผิวมีภูมิคุ้มกันต่อสิ่งเร้าต่าง ๆ ได้ดีขึ้น
  • AC Clear II เหมาะกับทุกสภาพผิวแม้ผิวแพ้ง่าย
  • AC Clear II แก้ไขปัญหาผิวแบบองค์รวมไม่ได้เพียงแค่การรักษาสิวอย่างเดียว

 

4.รักษาสิวด้วย AC Clear III

AC Clear III เป็นโปรแกรมรักษาสิวแบบครบวงจรที่ออกแบบมาเพื่อจัดการปัญหาสิวทั่วใบหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะสิวอักเสบ สิวอุดตัน รวมถึงสิวที่เกิดจากปัจจัยภายใน  เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาสิวเรื้อรังหรือเกิดซ้ำบ่อย เน้นการดูแลอย่างครอบคลุมและไม่เป็นอันตราย พร้อมฟื้นฟูผิวให้เรียบเนียนและดูมีสุขภาพดี โดย AC Clear III มีการรักษาสิว 4 ขั้นตอนหลัก ดังนี้

  1. กดสิวทั่วใบหน้าโดยใช้เทคนิคที่อ่อนโยน ไม่ทำให้เกิดการช้ำหรือการอักเสบเพิ่ม  ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดสิวซ้ำ
  2. ฉีดสิวเฉพาะจุด ลดอักเสบ ช่วยบรรเทาอาการเจ็บ ลดการลุกลาม และลดโอกาสในการเกิดรอยดำหรือหลุมสิวหลังจากการรักษาสิว
  3. ทรีตเมนต์ P-Acne ฟื้นฟูผิวพร้อมต้านการอักเสบ ด้วยการผลักตัวยาต้านการอักเสบเข้าสู่ชั้นผิว พร้อมกับเติมสารบำรุงที่ช่วยเสริมความชุ่มชื้นและสร้างเกราะป้องกันผิว
  4. เลเซอร์ทั่วใบหน้า ฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เป็นต้นเหตุของสิว ลดการอักเสบ ควบคุมความมันบนใบหน้า และช่วยลดรอยแดงหรือรอยดำที่เกิดจากสิว ทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น 

AC Clear III เหมาะสำหรับใคร ?

  • AC Clear III ผู้ที่มีสิวทั่วใบหน้า และต้องการผลการรักษาสิวที่ชัดเจน
  • AC Clear III ผู้ที่ต้องการการดูแลทั้งการรักษาสิวและฟื้นฟูผิวไปพร้อมกัน
  • AC Clear III ผู้ที่เป็นสิวเรื้อรังหรือเกิดซ้ำบ่อย
  • AC Clear III ผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย บอบบาง
  • AC Clear III ผู้ที่ต้องการหลีกเลี่ยงการใช้ยารับประทานการรักษาสิว
  • AC Clear III ผู้ที่ไม่ต้องการมีรอยดำ รอยแดง หรือหลุมสิวหลังการรักษาสิว

ข้อดีของ AC Clear III

  • AC Clear III ครอบคลุมการรักษาสิวทุกประเภท ทั้งสิวอุดตันและสิวอักเสบ
  • AC Clear III ลดรอยสิว ควบคุมความมัน และป้องกันการเกิดสิวใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • AC Clear III มีเทคนิคการดูแลผิวอ่อนโยน เหมาะกับทุกสภาพผิว
  • AC Clear III ทุกขั้นตอนดำเนินการโดยแพทย์ ทำให้มั่นใจได้ว่าไม่เป็นอันตราย
  • AC Clear III ให้ผลลัพธ์ในการรักษาสิวและฟื้นฟูผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

5.รักษาสิวด้วย Smart Laser 

Smart Laser เป็นเทคโนโลยีเลเซอร์ลดรอยสิวและฟื้นฟูสภาพผิวอย่างอ่อนโยน โดยใช้พลังงานแสงเลเซอร์ที่ออกแบบมาเฉพาะเพื่อผลัดเซลล์ผิวเก่า กระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ และไม่ทำลายผิวรอบข้าง ทำให้ผิวค่อย ๆ เรียบเนียน กระจ่างใสขึ้นและไม่ต้องพักฟื้นหลังทำ โดย Smart Laser ทำงานด้วยเลเซอร์ 2 ชนิดหลัก 

เลเซอร์แสงสีเหลือง (Yellow Light Laser)

เลเซอร์แสงสีเหลืองเป็นเลเซอร์ที่มีความยาวคลื่น 578 นาโนเมตร ช่วยลดการอักเสบของผิว ลดรอยแดงที่เกิดจากสิว และช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดสิวซ้ำ 

เลเซอร์แสงสีเขียว (Green Light Laser)

เลเซอร์แสงสีเขียวเป็นเลเซอร์ที่มีความยาวคลื่น 511 นาโนเมตร ช่วยลดเลือนจุดด่างดำ ฝ้า กระ และรอยคล้ำต่าง ๆ บนใบหน้า พร้อมปรับสีผิวให้ดูสม่ำเสมอ 

Smart Laser เหมาะสำหรับใคร ?

  • Smart Laser เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย
  • Smart Laser เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นสิวอักเสบเรื้อรัง
  • Smart Laser เหมาะสำหรับผู้ที่มีรอยแดงหรือรอยดำจากสิว
  • Smart Laser เหมาะสำหรับผู้ที่มีฝ้า กระ จุดด่างดำ และต้องการให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้น
  • Smart Laser เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการกระชับรูขุมขน และลดความหมองคล้ำ
  • Smart Laser เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่มีเวลาพักฟื้น

ข้อดีของ Smart Laser 

  • Smart Laser พลังงานเลเซอร์ลงลึกเฉพาะจุด ไม่กระทบผิวรอบข้าง
  • Smart Laser เห็นผลชัดในเรื่องการลดรอยสิวและความหมองคล้ำ โดยไม่ทำให้ผิวไวต่อแสง
  • Smart Laser เหมาะกับทุกสภาพผิว โดยเฉพาะผู้ที่ผิวบางหรือมีแนวโน้มระคายเคืองง่าย
  • Smart Laser ไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้น สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติหลังทำทันที
  • Smart Laser เป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวโดยไม่ต้องพึ่งพาการฉีดหรือการผ่าตัด

 

รักษาสิวที่รมย์รวินท์คลินิกดีอย่างไร ?
รักษาสิวที่รมย์รวินท์คลินิกดีอย่างไร ?

 

รักษาสิวที่รมย์รวินท์คลินิกดีอย่างไร ?

การรักษาสิวต้องพิจารณาหลากหลายปัจจัย ตั้งแต่สภาพผิวของแต่ละบุคคล ไปจนถึงเทคนิคและความเข้าใจด้านผิวหนัง ซึ่งรมย์รวินท์คลินิกมุ่งเน้นการดูแลสิวอย่างครบวงจร ภายใต้การดูแลโดยแพทย์และการใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่มีประสิทธิภาพ โดยปัจจัยที่ทำให้การรักษาสิวที่รมย์รวินท์มีประสิทธิภาพดี มีดังนี้

  1. วิเคราะห์สภาพผิวและประเภทของสิวอย่างละเอียดโดยแพทย์ เพื่อวางแผนการรักษาได้อย่างเหมาะสมกับประเภทของสิวและสภาพของผิว
  2. รมย์รวินท์คลินิกมีโปรแกรมการรักษาสิวที่หลากหลาย เหมาะกับการรักษาสิวทุกประเภท พร้อมแก้ไขปัญหาผิวได้อย่างครอบคลุม 
  3. เครื่องมือและผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการรับรอง โดยทุกขั้นตอนการรักษาที่คลินิกจะใช้เครื่องมือที่ผ่านการฆ่าเชื้อตามมาตรฐาน และผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการรับรองจากหน่วยงาน ทำให้ลูกค้ามั่นใจได้เลยว่าการรักษาสิวกับคลินิกเราจะไม่เป็นอันตราย
  4. ติดตามผลการรักษาสิวอย่างใกล้ชิด การเข้ามารักษาสิวกับรมย์รวินท์คลินิกไม่ใช่เพียงการเข้ามารับบริการครั้งเดียว แต่ที่รมย์รวินท์จะมีการติดตามผล และปรับแผนการรักษาอย่างต่อเนื่อง พร้อมให้คำแนะนำด้านการดูแลผิว เพื่อลดการเกิดสิวในอนาคตอีกด้วย
  5. มีประสบการณ์และรีวิวการรักษาสิว รมย์รวินท์คลินิกได้รับรีวิวในเชิงบวกจากผู้เข้ารับบริการมากมาย ทั้งจากช่องทางออนไลน์และการบอกต่อแบบปากต่อปาก ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความประทับใจในผลการรักษาสิวและประสิทธิภาพที่ดีของการให้บริการ

รมย์รวินท์คลินิกมีแนวทางการรักษาสิวที่ครอบคลุม ตั้งแต่การประเมินผิวอย่างละเอียด การรักษาด้วยเทคนิคที่เหมาะสมเฉพาะบุคคล อีกทั้งยังได้รับการยืนยันจากผู้ใช้จริงจำนวนมาก จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการรักษาสิวและต้องการเห็นผลชัดเจน แต่ทั้งนี้ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล จึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มต้นการรักษาเพื่อวางแผนการรักษาสิวให้เข้ากับแต่ละบุคคลค่ะ

 

วิธีป้องกันการเกิดสิวหลังการรักษาสิว
วิธีป้องกันการเกิดสิวหลังการรักษาสิว

 

วิธีป้องกันการเกิดสิวหลังการรักษาสิว

แม้จะรักษาสิวหายแล้วแต่ก็ยังมีโอกาสในการเกิดสิวซ้ำได้ โดยเฉพาะในบริเวณเดิมที่เคยเกิดสิว การดูแลผิวหลังสิวหายจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อป้องกันการเกิดซ้ำและรักษาสภาพผิวให้แข็งแรง โดยวิธีการป้องกันการเกิดสิวหลังการรักษาสิวแล้ว สามารถทำได้ดังต่อไปนี้ 

  • ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างสม่ำเสมอ แม้สิวจะหายแล้วควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างต่อเนื่อง เพื่อควบคุมความมัน ลดการอุดตัน และป้องกันการอักเสบที่อาจกลับมาได้
  • ใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่เหมาะกับผิวเป็นประจำ เมื่อสิวหายแล้วควรเลือกผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด บำรุง และกันแดดที่ไม่ก่อให้เกิดสิว (Non-comedogenic) และอ่อนโยน เพื่อไม่กระตุ้นการอุดตันซ้ำ 
  • หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงที่เคยเป็นสาเหตุของสิว เพื่อลดโอกาสการกระตุ้นให้สิวกลับมา เข่น  การจับหน้า การไม่ล้างหน้าให้สะอาด เป็นต้น
  • ระวังการใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่ หากต้องทดลองเครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์ใหม่ ควรทดสอบการแพ้ที่บริเวณเล็ก ๆ ก่อน เพื่อดูว่ามีผื่น แดง คัน หรือระคายเคืองหรือไม่
  • พบแพทย์ตามนัดเพื่อติดตามผล แม้สิวจะดีขึ้นแล้ว การตรวจติดตามผลกับแพทย์อย่างต่อเนื่องจะช่วยปรับแผนการดูแลให้เหมาะสม และลดโอกาสการเกิดสิวซ้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพได้

รมย์รวินท์คลินิกมีวิธีการรักษาสิวที่ครอบคลุม ทั้งสิวอุดตัน สิวอักเสบ สิวเรื้อรัง และสิวฮอร์โมน โดยมีเทคโนโลยีทางการแพทย์ร่วมกับการดูแลอย่างใกล้ชิดจากแพทย์ โดยคำนึงถึงสภาพผิว ประเภทสิว และปัจจัยที่ทำให้เกิดสิวในแต่ละคน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล ช่วยให้การรักษาสิวมีประสิทธิภาพและลดโอกาสการกลับมาเป็นซ้ำได้อย่างไม่เป็นอันตราย

*ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลและเงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด