ดื้อโบคืออะไร? เกิดจากอะไร? ทำยังไงถึงจะไม่ดื้อโบ

ดื้อโบคืออะไร? เกิดจากอะไร?

ดื้อโบคืออะไร? เกิดจากอะไร?  ไขข้อสงสัยก่อนฉีดโบ

ภาวะดื้อโบ เป็นปัญหาที่หลายคนมักกังวลเมื่อทำการฉีดโบ และไม่อยากให้เกิดขึ้นกับตนเอง เนื่องจากหากเกิดภาวะดื้อโบไปแล้ว อาจทำให้ผลลัพธ์ที่ได้ไม่เป็นไปตามที่ต้องการ และต้องใช้ระยะเวลาในการพักนาน จึงจะสามารถกลับมาฉีดโบได้ตามปกติ บทความนี้ จะพาไปเรียนรู้ และทำความเข้าใจเกี่ยวกับภาวะดื้อโบว่า ภาวะดื้อโบ คืออะไร? ภาวะดื้อโบ เกิดจากอะไร? ภาวะดื้อโบ มีอาการอย่างไร? รวมถึง สามารถป้องกันภาวะดื้อโบได้อย่างไรบ้าง? เพื่อไม่ให้เกิดการดื้อโบในอนาคต

 

ดื้อโบเกิดจากอะไร?  อันตรายไหม? มีวิธีแก้อย่างไร? รู้ลึกก่อนฉีดโบ 

การดื้อโบ คืออะไร?

การดื้อโบ คือ ภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อทำการฉีดโบมาแล้วไม่เห็นผล ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาต่อต้านสารจากการฉีดโบ ทำให้ตัวยาไม่สามารถออกฤทธิ์ต่อกล้ามเนื้อได้อย่างเต็มที่ เมื่อฉีดโบเข้าไปแล้ว จึงไม่เกิดผลลัพธ์ตามที่คาดหวัง หรือผลลัพธ์อยู่ได้สั้นกว่าปกติ

 

การดื้อโบ เกิดจากสาเหตุอะไร?
การดื้อโบ เกิดจากสาเหตุอะไร?

 

การดื้อโบ เกิดจากสาเหตุอะไร?

  • การดื้อโบเกิดจาก การฉีดโบบ่อยเกินไป

การฉีดโบซ้ำบ่อยจนเกินไป โดยไม่ได้มีการเว้นระยะเวลาที่เหมาะสม อาจทำให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาต่อต้านสารจากการฉีดโบเพิ่มเรื่อย ๆ จนส่งผลให้เกิดภาวะดื้อโบได้ ซึ่งโดยปกติแล้ว การฉีดโบในแต่ละครั้ง ควรเว้นระยะเวลาห่างกัน อย่างน้อย 3 – 4 เดือนขึ้นไป

  • การดื้อโบเกิดจาก การฉีดโบปริมาณมากเกินไป

การฉีดโบปริมาณมากเกินไปในครั้งเดียว อาจทำให้ร่างกายตอบสนองด้วยการสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาต่อต้าน จนส่งผลให้เกิดภาวะดื้อโบได้ ซึ่งโดยปกติแล้ว การฉีดโบในแต่ละครั้ง ไม่ควรใช้ปริมาณสารในการฉีดโบเกิน 300 ยูนิต โดยแพทย์จะเป็นผู้ประเมินปริมาณสารที่ควรใช้ในแต่ละบริเวณอย่างเหมาะสม

  • การดื้อโบเกิดจาก การฉีดโบปลอม ไม่มีคุณภาพ

การฉีดโบปลอม หรือการฉีดโบหิ้วที่ไม่ได้มาตรฐาน อาจทำให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาต่อต้าน จนส่งผลให้เกิดภาวะดื้อโบได้ เนื่องจากโบปลอม ไม่ได้มีการจัดเก็บ และขนส่งในอุณหภูมิที่เหมาะสม รวมถึง อาจมีการปนเปื้อนสารแปลกปลอม หรือเชื้อโรค ทำให้ตัวยาเสื่อมคุณภาพ และส่งผลกระทบต่อผลลัพธ์ที่ได้หลังทำการรักษา

  • การดื้อโบเกิดจาก การฉีดโบหลายยี่ห้อเกินไป

การฉีดโบ โดยการเปลี่ยนยี่ห้อบ่อย หรือฉีดโบหลายยี่ห้อเกินไป อาจทำให้ร่างกายคิดว่า สารที่ฉีดใหม่เป็นสิ่งแปลกปลอม และกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้ทำงานมากขึ้น ซึ่งถือเป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดการดื้อโบ เนื่องจากการฉีดโบแต่ละยี่ห้อ ก็จะมีความบริสุทธิ์ และมีโปรตีนที่แตกต่างกัน ดังนั้น จึงไม่ควรเปลี่ยนยี่ห้อในการฉีดโบบ่อย ๆ 

 

สัญญาณเตือนการดื้อโบ มีอาการอะไรบ้าง?
สัญญาณเตือนการดื้อโบ มีอาการอะไรบ้าง?

 

สัญญาณเตือนการดื้อโบ มีอาการอะไรบ้าง?

ริ้วรอยไม่ลดลง

  • โดยปกติแล้ว หลังฉีดโบริ้วรอยบนใบหน้าจะค่อย ๆ ตื้นขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ แต่ในกรณีที่อยู่ในภาวะดื้อโบ ริ้วรอยบนใบหน้าจะยังคงเห็นได้อย่างชัดเจน หรือเห็นผลการเปลี่ยนแปลงน้อยมาก

กล้ามเนื้อยังขยับได้ตามปกติ

  • โดยปกติแล้ว หลังฉีดโบกล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดควรมีการคลายตัว แต่ในกรณีที่อยู่ในภาวะดื้อโบ กล้ามเนื้อจะยังคงทำงานได้ตามปกติ หรืออาจกลับมาขยับได้เร็วขึ้นกว่าเดิม

ผลลัพธ์อยู่ได้สั้นลง

  • โดยปกติแล้ว การฉีดโบจะมีระยะเวลาในการออกฤทธิ์ ประมาณ 3 – 6 เดือน แต่ในกรณีที่อยู่ในภาวะดื้อโบ อาจจะเห็นผลลัพธ์ได้เพียง 1 – 2 เดือน หรือแทบไม่เห็นผลการเปลี่ยนแปลงเลย

ต้องใช้ปริมาณโบมากขึ้น

  • การฉีดโบ หากเข้าสู่ภาวะดื้อโบแล้ว อาจต้องใช้ปริมาณสารในการฉีดโบที่มากขึ้นกว่าปกติ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งในบางกรณี แม้จะเพิ่มปริมาณสารในการฉีดโบมากขึ้น แต่ก็ยังสามารถไม่เห็นผลการเปลี่ยนแปลงหลังฉีด

 

ระดับความรุนแรงของการดื้อโบ

ระดับความรุนแรงของการดื้อโบ หรือระดับการตอบสนองของร่างกายต่อการฉีดโบ สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ระดับ ดังนี้

  • ดื้อโบ ระยะที่ 1

ร่างกายเริ่มมีการตอบสนองต่อสารในการฉีดโบลดลง แต่จะยังคงเห็นผลการเปลี่ยนแปลงได้อยู่ ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้อาจอยู่ได้สั้นกว่าปกติ จากเดิมที่สามารถคงผลลัพธ์ได้นาน ประมาณ 4 – 6 เดือน อาจลดลงเหลือเพียง 1 – 2 เดือน

  • ดื้อโบ ระยะที่ 2

สารในการฉีดโบเริ่มออกฤทธิ์ไม่เต็มที่ โดยจากเดิมที่ใช้ปริมาณสารเท่าเดิมแล้วเห็นผล กลับต้องใช้ปริมาณสารที่มากขึ้น เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ

  • ดื้อโบ ระยะที่ 3

ร่างกายไม่มีการตอบสนองต่อสารในการฉีดโบ ถึงแม้จะใช้ปริมาณสารที่มากขึ้น หรือเปลี่ยนยี่ห้อแล้วก็ตาม โดยจะสังเกตเห็นได้ว่า กล้ามเนื้อยังคงขยับได้ตามปกติ ไม่มีการคลายตัว และริ้วรอยยังคงเห็นได้อย่างชัดเจน

 

ดื้อโบ ส่งผลกระทบอย่างไร?

การดื้อโบ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพโดยตรง แต่ก็ส่งผลเสียต่อความสวยงาม และคุณภาพชีวิตได้ ดังนี้

  • การดื้อโบ ส่งผลให้ไม่เห็นผลลัพธ์ตามที่คาดหวัง 
  • การดื้อโบ ส่งผลให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการฉีดที่มากขึ้น
  • การดื้อโบ ส่งผลให้สูญเสียโอกาสในการฉีดโบในอนาคต
  • การดื้อโบ ส่งผลให้สูญเสียความมั่นใจในตนเอง

 

การดื้อโบ แก้ไขได้อย่างไร?
การดื้อโบ แก้ไขได้อย่างไร?

 

การดื้อโบ แก้ไขได้อย่างไร?

การดื้อโบ สามารถแก้ไขได้ด้วยการพักการฉีดโบชั่วคราว เพื่อรอให้ภูมิคุ้มกันค่อย ๆ หมดฤทธิ์ไปเอง ซึ่งโดยทั่วไป จะแนะนำให้พักการฉีดโบ ประมาณ 3 – 5 ปี หรือในบางกรณีอาจต้องใช้ระยะเวลานานถึง 10 – 20 ปี ซึ่งการพักฉีดโบชั่วคราวนั้น จะช่วยให้ร่างกายลดการสร้างภูมิคุ้มกันมาขึ้นต่อต้าน และสามารถกลับมาตอบสนองต่อสารในการฉีดโบได้อีกครั้ง 

ทั้งนี้ทั้งนั้น ควรปรึกษาแพทย์ที่มีความรู้ และความชำนาญอย่างละเอียด เพื่อหาสาเหตุ และแนวทางการแก้ไขที่เหมาะสม โดยแพทย์อาจแนะนำให้ใช้ทางเลือกอื่นในการแก้ไขปัญหาริ้วรอย ระหว่างที่ร่างกายกำลังพักฟื้นจากการฉีดโบ เช่น การทำเครื่องยกกระชับต่าง ๆ หรือฉีดฟิลเลอร์แทน

 

การดื้อโบ อันตรายไหม? 

การดื้อโบ ถือเป็นภาวะที่ไม่อันตรายต่อร่างกาย แต่ก็ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพในการฉีดโบได้ ทำให้สารในการฉีดโบไม่สามารถออกฤทธิ์ได้อย่างเต็มที่ และผลลัพธ์ที่ได้ไม่เป็นไปตามคาดหวัง จนต้องสูญเสียค่าใช้จ่ายโดยสิ้นเปลือง นอกจากนี้ หากฉีดโบซ้ำบ่อยเกินไป หรือใช้สารปริมาณมาก อาจเป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการที่ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาต่อต้านมากขึ้นไปอีก จนส่งผลกระทบในระยะยาวได้ ดังนั้น ควรปรึกษาแพทย์ที่มีความชำนาญก่อนฉีด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการดื้อโบในอนาคต

 

วิธีป้องกันการดื้อโบ
วิธีป้องกันการดื้อโบ

 

วิธีป้องกันการดื้อโบ

การดื้อโบ เป็นภาวะที่ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาต่อต้านสารในการฉีดโบ ซึ่งยังไม่มีวิธีการรักษาให้หายขาดได้ในปัจจุบัน แต่ก็มีวิธีที่สามารถป้องกันการดื้อโบได้ ดังนี้

  • เลือกใช้โบแท้ที่มีคุณภาพ

การดื้อโบสามารถป้องกันได้ ด้วยการเลือกฉีดโบที่ผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยา (อย.) และตรวจสอบให้แน่ใจว่า ยี่ห้อฉีดโบที่ใช้เป็นของแท้หรือไม่ โดยสังเกตจากบรรจุภัณฑ์ เลขทะเบียน อย. และตรวจสอบจากบริษัทผู้จัดจำหน่ายโดยตรง

  • เลือกฉีดโบโดยแพทย์

การดื้อโบสามารถป้องกันได้ ด้วยการเลือกฉีดโบกับแพทย์ที่มีความรู้ และความชำนาญ เพื่อให้แพทย์ประเมินผิวหน้า และวิเคราะห์ปัญหาอย่างละเอียด พร้อมวางแผนการรักษา โดยการเลือกยี่ห้อฉีดโบที่เหมาะสม เพื่อป้องกันการเกิดภาวะดื้อโบในอนาคต

  • เลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน มีความน่าเชื่อถือ

การดื้อโบสามารถป้องกันได้ ด้วยการเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน และมีความน่าเชื่อถือ ซึ่งจะต้องมีใบอนุญาตประกอบกิจการสถานพยาบาลอย่างถูกต้อง และได้รับการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุข

  • เว้นระยะห่างในการฉีดโบที่เหมาะสม

การดื้อโบสามารถป้องกันได้ ด้วยการเว้นระยะห่างในการฉีดโบอย่างเหมาะสม โดยควรเว้นระยะเวลาห่างกัน อย่างน้อย 3 – 4 เดือนขึ้นไป เพื่อป้องกันร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นต่อต้านสารในการฉีดโบ

  • ฉีดโบในปริมาณที่พอดี

การดื้อโบสามารถป้องกันได้ ด้วยการฉีดโบในปริมาณที่พอดี ซึ่งควรปรึกษาแพทย์ก่อนตัดสินใจฉีด โดยแพทย์จะเป็นผู้ประเมิน และแนะนำปริมาณสารที่ควรใช้ในแต่ละบริเวณอย่างเหมาะสม หลีกเลี่ยงการฉีดโบมากเกินจำเป็น เพื่อป้องกันร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นต่อต้าน

  • หลีกเลี่ยงการเปลี่ยนยี่ห้อโบบ่อยเกินไป

การดื้อโบสามารถป้องกันได้ ด้วยการหลีกเลี่ยงการเปลี่ยนยี่ห้อโบบ่อยจนเกินไป เนื่องจากการเปลี่ยนยี่ห้อโบบ่อย ๆ หรือใช้หลายยี่ห้อในระยะเวลาอันสั้นนั้น อาจเป็นการเพิ่มความเสี่ยงที่ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นต่อต้าน จนเกิดภาวะดื้อโบได้

 

ฉีดโบ ยี่ห้อไหนดี?

การเลือกยี่ห้อฉีดโบที่เหมาะสม และมีความบริสุทธิ์สูง จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดการดื้อโบได้ โดยยี่ห้อฉีดโบที่แนะนำ และได้รับการรับรองจาก อย. มีดังนี้

  • ฉีดโบยี่ห้อ Allergan

ฉีดโบยี่ห้อ Allergan เป็นการฉีดโบสัญชาติสหรัฐอเมริกาที่มีงานวิจัยรองรับมากกว่า 3,500 ฉบับ ซึ่งผ่านการพัฒนามาอย่างยาวนาน ทำให้มีโอกาสในการดื้อโบต่ำมาก เนื่องจากตัวยามีความบริสุทธิ์สูง และมีโมเลกุลขนาดใหญ่ กระจายตัวได้แคบ จึงสามารถออกฤทธิ์ได้อย่างแม่นยำ และตรงจุด อีกทั้ง ยังสามารถเห็นผลได้อย่างรวดเร็ว และคงผลลัพธ์อยู่ได้ยาวนานกว่าการฉีดโบยี่ห้ออื่น ๆ

  • ฉีดโบยี่ห้อ Dysport

ฉีดโบยี่ห้อ Dysport เป็นการฉีดโบสัญชาติอังกฤษที่มีการพัฒนามาอย่างยาวนาน ทำให้มีโปรตีนเจือปนน้อย และมีโอกาสในการดื้อโบต่ำ อีกทั้ง ตัวยามีโมเลกุลขนาดเล็ก และกระจายตัวอย่างทั่วถึงเป็นวงกว้าง โดยไม่เกิดการกระจุกตัวอยู่ในพื้นที่แคบ ๆ จึงเหมาะสำหรับการนำมาฉีดในบริเวณที่มีกล้ามเนื้อมัดใหญ่ เช่น ลิฟกรอบหน้า หรือลดเหงื่อ

  • ฉีดโบยี่ห้อ Xeomin

ฉีดโบยี่ห้อ Xeomin เป็นการฉีดโบสัญชาติเยอรมันที่มีการพัฒนามาอย่างยาวนาน ทำให้มีโอกาสในการดื้อโบต่ำมาก เนื่องจากตัวยามีความบริสุทธิ์สูง โดยปราศจากโปรตีนเจือปนที่ไม่จำเป็น (Complexing Protein) ทำให้ร่างกายไม่เกิดการสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นต่อต้านสารในการฉีดโบ จึงช่วยลดโอกาสเสี่ยงในการเกิดการดื้อโบในระยะยาวได้ เหมาะสำหรับผู้ที่เคยมีประวัติดื้อโบมาก่อน โดยจะต้องเว้นระยะเวลาในการฉีดโบมาแล้ว อย่างน้อย 2 – 3 ปี นอกจากนี้ ตัวยายังสามารถกระจายตัวได้ดี และเป็นวงกว้าง ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้ดูเป็นธรรมชาติ ไม่แข็งทื่อ หรือตึงจนเกินไป

  • ฉีดโบยี่ห้อ Nabota

ฉีดโบยี่ห้อ Nabota เป็นการฉีดโบสัญชาติประเทศเกาหลีใต้ ที่มีการพัฒนามาอย่างยาวนานกว่า 30 ปี ทำให้มีโอกาสในการดื้อโบต่ำ เนื่องจากตัวยามีความบริสุทธิ์สูง% และสามารถออกฤทธิ์ได้อย่างรวดเร็ว ทำให้เห็นผลไว เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเห็นผลการเปลี่ยนแปลงแบบเร่งด่วน และมีงบประมาณจำกัด

 

ฉีดโบแต่ละบริเวณ ควรใช้กี่ยูนิต?

การฉีดโบในแต่ละบริเวณ จะใช้ปริมาณยูนิตที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับปัญหา และการประเมินของแพทย์ ซึ่งโดยส่วนใหญ่ ปริมาณที่เหมาะสมในแต่ละบริเวณ มีดังนี้

  • หน้าผาก จะใช้ปริมาณสารในการฉีดโบ ประมาณ 10 – 30 ยูนิต ขึ้นอยู่กับปัญหา และการประเมินของแพทย์
  • ระหว่างคิ้ว จะใช้ปริมาณสารในการฉีดโบ ประมาณ 15 – 25 ยูนิต ขึ้นอยู่กับปัญหา และการประเมินของแพทย์
  • หางตา จะใช้ปริมาณสารในการฉีดโบ ประมาณ 15 – 25 ยูนิต ขึ้นอยู่กับปัญหา และการประเมินของแพทย์
  • ปีกจมูก จะใช้ปริมาณสารในการฉีดโบ ประมาณ 15 – 25 ยูนิต ขึ้นอยู่กับปัญหา และการประเมินของแพทย์
  • กราม จะใช้ปริมาณสารในการฉีดโบ ประมาณ 50 – 100 ยูนิต ขึ้นอยู่กับปัญหา และการประเมินของแพทย์
  • กรอบหน้า จะใช้ปริมาณสารในการฉีดโบ ประมาณ 30 – 50 ยูนิต ขึ้นอยู่กับปัญหา และการประเมินของแพทย์
  • รักแร้ จะใช้ปริมาณสารในการฉีดโบ ประมาณ 100 – 200 ยูนิต ขึ้นอยู่กับปัญหา และการประเมินของแพทย์

 

ไขข้อสงสัย การฉีดโบ คืออะไร?

การฉีดโบ เป็นหัตถการที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในวงการความงาม ซึ่งใช้สารโปรตีนที่สกัดจากแบคทีเรียถึง 7 ชนิด โดยมีคุณสมบัติในการคลายกล้ามเนื้อชั่วคราวในบริเวณที่หดตัว ส่งผลให้ริ้วรอยต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากการแสดงสีหน้าดูลดเลือนลง พร้อมปรับกรอบหน้า และกล้ามเนื้อกรามให้เรียวเล็ก อีกทั้ง ยังสามารถนำมาแก้ไขปัญหาสุขภาพต่าง ๆ เช่น ลดเหงื่อ ลดอาการปวดออฟฟิศซินโดรม และลดอาการปวดไมเกรนได้อีกด้วย

 

การฉีดโบ ช่วยเรื่องอะไร?

  • การฉีดโบ ช่วยลดเลือนริ้วรอยต่าง ๆ บนใบหน้า
  • การฉีดโบ ช่วยป้องกัน และชะลอการเกิดริ้วรอยใหม่
  • การฉีดโบ ช่วยลดขนาดปีกจมูก แก้ปัญหาปีกจมูกบาน
  • การฉีดโบ ช่วยกระชับรูขุมขน ทำให้รูขุมขนดูเล็กลง
  • การฉีดโบ ช่วยลดขนาดกล้ามเนื้อกราม ทำให้ใบหน้าเรียวเล็ก
  • การฉีดโบ ช่วยปรับกรอบหน้าให้คมชัด ใบหน้ามีมิติมากขึ้น
  • การฉีดโบ ช่วยลดเหงื่อ และระงับกลิ่นตัวไม่พึงประสงค์
  • การฉีดโบ ช่วยลดความถี่ของอาการปวดไมเกรน
  • การฉีดโบ ช่วยลดอาการปวดเมื่อยออฟฟิศซินโดรม

 

การฉีดโบ เหมาะกับใคร?

  • การฉีดโบ เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยจากการแสดงออกทางสีหน้า
  • การฉีดโบ เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัย
  • การฉีดโบ เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาปีกจมูกบานจากการแสดงออกทางสีหน้า
  • การฉีดโบ เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหารูขุมขนกว้าง รูขุมขนไม่กระชับ
  • การฉีดโบ เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหากล้ามเนื้อกรามใหญ่ ใบหน้าบาน 
  • การฉีดโบ เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหากรอบหน้าไม่คมชัด 
  • การฉีดโบ เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาเหงื่อออกมาก และมีกลิ่นตัว
  • การฉีดโบ เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีอาการปวดไมเกรน
  • การฉีดโบ เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีอาการปวดออฟฟิศซินโดรม

ทั้งนี้ ควรเข้ารับการปรึกษาแพทย์ก่อนตัดสินใจฉีดโบ และแจ้งประวัติสุขภาพให้แพทย์ทราบอย่างละเอียด ตั้งแต่ประวัติโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา หรือประวัติการรักษาก่อนเข้ารับบริการ

 

ข้อควรปฏิบัติก่อนฉีดโบ
ข้อควรปฏิบัติก่อนฉีดโบ

 

ข้อควรปฏิบัติก่อนฉีดโบ

  • ก่อนการฉีดโบ ควรเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน และปรึกษาแพทย์ก่อนฉีดโบ
  • ก่อนการฉีดโบ งดรับประทานยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน, ไอบูโพรเฟน และยากลุ่ม NSAIDs 
  • ก่อนการฉีดโบ งดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และการสูบบุหรี่
  • ก่อนการฉีดโบ งดทำทรีตเมนต์ หรือสครับบริเวณที่ฉีดโบ
  • ก่อนการฉีดโบ ควรพักผ่อนให้เพียงพอ

 

ข้อควรปฏิบัติหลังฉีดโบ

  • หลังการฉีดโบ ควรขยับกล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดทันที 1 – 2 ครั้ง เพื่อให้ตัวยาออกฤทธิ์ได้ดีขึ้น
  • หลังการฉีดโบ งดนอนราบ หรือก้มศีรษะต่ำ อย่างน้อย 3 – 4 ชั่วโมง เพื่อไม่ให้ตัวยากระจายไปยังบริเวณอื่น
  • หลังการฉีดโบ งดนวด จับ หรือกดบริเวณที่ฉีดแรง ๆ เพื่อไม่ให้ตัวยากระจายไปยังบริเวณอื่น
  • หลังการฉีดโบ งดโดนความร้อนทุกรูปแบบ และอยู่ท่ามกลางแสงแดดจัด
  • หลังการฉีดโบ งดกิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีด หรือทำให้เหงื่อออกมาก
  • หลังการฉีดโบ งดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และการสูบบุหรี่

 

การฉีดโบ ฉีดกี่วันเห็นผล?

การฉีดโบในแต่ละบริเวณ จะมีระยะเวลาในการออกฤทธิ์ และเห็นผลที่แตกต่างกันออกไป ดังนี้

  • การฉีดโบลดริ้วรอย จะเริ่มออกฤทธิ์ ภายใน 3 – 4 วัน และสามารถเห็นผลลัพธ์ได้อย่างเต็มที่ ภายใน 1 – 2 สัปดาห์
  • การฉีดโบปีกจมูก จะเริ่มออกฤทธิ์ ภายใน 1 – 2 สัปดาห์ และสามารถเห็นผลลัพธ์ได้อย่างเต็มที่ ภายใน 1 เดือน
  • การฉีดโบกราม จะเริ่มออกฤทธิ์ ภายใน 2 สัปดาห์ และสามารถเห็นผลลัพธ์ได้อย่างเต็มที่ ภายใน 2 – 3 เดือน
  • การฉีดโบลิฟกรอบหน้า จะเริ่มออกฤทธิ์ ภายใน 3 – 4 วัน และสามารถเห็นผลลัพธ์ได้อย่างเต็มที่ ภายใน 1 – 2 สัปดาห์

 

การฉีดโบ อยู่ได้นานแค่ไหน?

  • การฉีดโบ โดยส่วนใหญ่แล้ว จะสามารถเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน และคงอยู่ได้ยาวนาน ประมาณ 3 – 6 เดือน ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น บริเวณที่ฉีดโบ สภาพผิวของแต่ละบุคคล และการดูแลตัวเองหลังการฉีดโบ ซึ่งเมื่อสารในการฉีดโบค่อย ๆ หมดฤทธิ์ไปแล้ว สามารถกลับมาฉีดโบซ้ำได้ เพื่อคงประสิทธิภาพของผลลัพธ์ให้ยาวนานอย่างต่อเนื่อง

 

การฉีดโบ มีผลข้างเคียงอย่างไร?

  • หลังการฉีดโบ อาจมีผลข้างเคียงเกิดขึ้นเล็กน้อย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลข้างเคียงที่ปกติ และไม่รุนแรง เช่น รู้สึกปวดตึง มีอาการบวมแดง มีรอยฟกช้ำ หรือปวดศีรษะในช่วงแรก โดยอาการเหล่านี้ สามารถเกิดขึ้นได้ทั่วไป และจะค่อย ๆ หายไปเองตามธรรมชาติ แต่ในกรณีที่พบผลข้างเคียงผิดปกติ เช่น หายใจลำบาก หนังตาตก มุมปากเบี้ยว กล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือเกิดอาการบวมแดงมากกว่าปกติ แนะนำให้รีบพบแพทย์ เพื่อทำการรักษาในทันที

 

การฉีดโบ ทำร่วมกับหัตถการอื่นได้ไหม?

  • การฉีดโบสามารถทำร่วมกับหัตถการอื่น ๆ ได้ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น ฉีดฟิลเลอร์ หรือกลุ่มเครื่องยกกระชับ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น แพทย์จะเป็นผู้ให้คำแนะนำ และวางแผนการรักษาที่เหมาะสม เนื่องจากบางหัตถการต้องมีการเว้นระยะห่างในการทำ เพื่อป้องกันสารเคลื่อนที่ไปยังบริเวณอื่น หรือสลายตัวเร็ว

 

การดื้อโบ ถือเป็นปัญหาที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนที่ทำการฉีดโบ แม้จะเป็นภาวะที่ไม่เป็นอันตราย แต่ก็ส่งผลกระทบต่อความมั่นใจ และประสิทธิภาพของการรักษาในระยะยาวได้ ซึ่งอาจทำให้ผลลัพธ์ที่ได้ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง จนสูญเสียค่าใช้จ่ายโดยสิ้นเปลือง ดังนั้น การป้องกันไม่ให้เกิดการดื้อโบจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากสำหรับผู้ที่ทำการฉีดโบ โดยการเลือกใช้ยี่ห้อฉีดโบแท้ที่มีคุณภาพ ผ่านการรับรอบจาก อย. พร้อมปรึกษาแพทย์ก่อนตัดสินใจฉีดโบทุกครั้ง เพื่อให้ได้รับการประเมิน และวางแผนการรักษาอย่างเหมาะสม ลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะดื้อโบในอนาคต

 

*ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับบริการ

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด