ผิวเด้ง อ่อนกว่าวัย คืออะไร? พร้อมแชร์เคล็ดลับผิวเด้ง
การมีผิวเด้ง เนียนนุ่ม เต่งตึง และดูอ่อนกว่าวัยเป็นสิ่งที่หลายคนใฝ่ฝัน เนื่องจากไม่เพียงแต่จะช่วยเพิ่มความมั่นใจ แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงความใส่ใจในการดูแลตัวเองอย่างต่อเนื่อง สำหรับใครที่มีปัญหาผิวขาดความยืดหยุ่น และไม่นุ่มเด้ง วันนี้ รมย์รวินท์คลินิกจะมาแชร์ทุกเคล็ดลับที่ช่วยให้ผิวเด้ง และดูอ่อนกว่าวัย ตั้งแต่การดูแลผิวขั้นพื้นฐานจากภายใน และภายนอก ไปจนถึงการทำหัตถการผิวเด้งที่ตอบโจทย์กับหลากหลายปัญหาผิว โดยสามารถติดตามอ่านได้ในบทความนี้ค่ะ
ผิวเด้ง คืออะไร?
ผิวเด้ง คือ ลักษณะของผิวที่มีความยืดหยุ่น กระชับ เต่งตึง และนุ่มเด้ง โดยสามารถสังเกตได้จากการหยิบ หรือดึงผิว ผิวจะสามารถกลับคืนสู่สภาพเดิมได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นสัญญาณของผิวที่ดูอ่อนกว่าวัย และดูสุขภาพดีจากภายใน โดยมีองค์ประกอบสำคัญอย่างคอลลาเจน และอีลาสตินในปริมาณที่สมบูรณ์

สาเหตุที่ทำให้ผิวไม่เด้ง
สาเหตุที่ทำให้ผิวไม่เด้งสามารถเกิดได้จากหลายปัจจัย ทั้งปัจจัยภายในร่างกาย และพฤติกรรมการใช้ชีวิต ดังนี้
- อายุเพิ่มขึ้น
 
อายุเพิ่มขึ้น เป็นอีกหนึ่งสาเหตุหลักที่ทำให้ผิวไม่เด้ง เนื่องจากร่างกายจะค่อย ๆ ผลิตคอลลาเจน และอีลาสตินน้อยลง โดยเฉลี่ยลดลงประมาณ 1 – 1.5% ต่อปี ตั้งแต่อายุ 20 ปีเป็นต้นไป ส่งผลให้ผิวสูญเสียความยืดหยุ่น ขาดความนุ่มเด้ง และไม่กระชับเหมือนเดิม
- ดูแลผิวผิดวิธี
 
การดูแลผิวผิดวิธี เช่น การเลือกใช้สกินแคร์ไม่เหมาะกับสภาพผิว การผลัดเซลล์ผิวบ่อยเกินไป การไม่ทาครีมกันแดดทุกวัน และการทำความสะอาดผิวอย่างรุนแรง เป็นอีกหนึ่งสาเหตุหลักที่ทำให้ผิวไม่เด้ง เมื่อผิวถูกทำร้ายอย่างต่อเนื่อง ก็จะทำให้ผิวค่อย ๆ สูญเสียความยืดหยุ่น ขาดความชุ่มชื้น ไม่นุ่มเด้ง และดูหมองคล้ำเร็วกว่าปกติ
- แสงแดดจัด
 
แสงแดดจัด เป็นอีกหนึ่งสาเหตุหลักที่ทำให้ผิวไม่เด้ง เนื่องจากรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) โดยเฉพาะรังสี UVA และ UVB สามารถแทรกซึมเข้าสู่ผิว เพื่อไปทำลายคอลลาเจน และอีลาสตินได้โดยตรง รวมทั้งกระตุ้นการสร้างอนุมูลอิสระ กระตุ้นการสร้างเม็ดสี และกระตุ้นให้ผิวสูญเสียน้ำ ส่งผลให้ผิวบาง หยาบกร้าน ขาดความยืดหยุ่น และไม่นุ่มเด้งเหมือนเดิม
- มลภาวะรอบตัว
 
มลภาวะต่าง ๆ รอบตัวที่พบเจอในชีวิตประจำวัน เช่น ฝุ่นละออง ควันรถ สารเคมี หรือสารพิษในอากาศ เป็นอีกหนึ่งสาเหตุหลักที่ทำให้ผิวไม่เด้ง เนื่องจากมลภาวะเหล่านี้สามารถแทรกซึมเข้าสู่ผิวหนัง และทำให้เกิดการสะสมของอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นตัวการที่ทำให้คอลลาเจน และอีลาสตินถูกทำลาย รวมถึงยังกระตุ้นให้ผิวเกิดการอักเสบ และเร่งให้ผิวเสื่อมสภาพเร็วขึ้น ส่งผลให้ผิวสูญเสียความยืดหยุ่น ขาดน้ำ ระคายเคืองง่าย และไม่นุ่มเด้งเหมือนเดิม
- ดื่มน้ำไม่เพียงพอ
 
การดื่มน้ำไม่เพียงพอ เป็นอีกหนึ่งสาเหตุหลักที่ทำให้ผิวไม่เด้ง เนื่องจากน้ำองค์ประกอบสำคัญของผิวหนัง ซึ่งมีบทบาทในการรักษาความชุ่มชื้น และช่วยให้เซลล์ผิวสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากร่างกายได้รับน้ำไม่เพียงพอ ผิวก็จะค่อย ๆ แห้งกร้าน ไม่ตึงกระชับ สูญเสียความยืดหยุ่น และไม่นุ่มเด้งเหมือนเดิม
- พักผ่อนน้อย
 
การพักผ่อนน้อย เป็นอีกหนึ่งสาเหตุหลักที่ทำให้ผิวไม่เด้ง เนื่องจากในขณะนอนหลับ ร่างกายจะเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟู และซ่อมแซมตัวเองอย่างเต็มที่ ซึ่งหากร่างกายไม่ได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอ ก็จะทำให้เกิดความเครียด และเพิ่มระดับฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) มากขึ้น ซึ่งฮอร์โมนนี้จะเข้าไปทำลายคอลลาเจน และอีลาสตินใต้ผิวหนัง ส่งผลให้ผิวสูญเสียความยืดหยุ่น ไม่กระชับ ขาดน้ำ และไม่นุ่มเด้งเหมือนเดิม
- เครียดเรื้อรัง
 
ความเครียดเรื้อรัง เป็นอีกหนึ่งสาเหตุหลักที่ทำให้ผิวไม่เด้ง เนื่องจากร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนความเครียด หรือฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ออกมา ซึ่งฮอร์โมนนี้จะไปกระตุ้นกระบวนการอักเสบในร่างกาย และทำให้เซลล์ผิวได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ รวมทั้งทำลายคอลลาเจน และอีลาสตินใต้ผิวหนัง ส่งผลให้ผิวสูญเสียความยืดหยุ่น ขาดความนุ่มเด้ง และไม่กระชับเหมือนเดิม
- ดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป
 
การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากเกินไป เป็นอีกหนึ่งสาเหตุหลักที่ทำให้ผิวไม่เด้ง เนื่องจากแอลกอฮอล์มีฤทธิ์ในการขับปัสสาวะ ทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำมากกว่าปกติ รวมทั้งยังกระตุ้นให้เกิดการอักเสบ และกระตุ้นการสร้างอนุมูลอิสระ ทำให้คอลลาเจน และอีลาสตินถูกทำลาย ส่งผลให้ผิวหยาบกร้าน สูญเสียความยืดหยุ่น ขาดความนุ่มเด้ง และไม่กระชับ
- สูบบุหรี่จัด
 
การสูบบุหรี่จัด เป็นอีกหนึ่งสาเหตุหลักที่ทำให้ผิวไม่เด้ง เนื่องจากสารพิษในบุหรี่มีสารอนุมูลอิสระเป็นจำนวนมาก ซึ่งสารเหล่านี้จะเข้าไปทำลายคอลลาเจน และอีลาสตินใต้ผิวหนัง รวมทั้งลดการไหลเวียนเลือด ทำให้ผิวได้รับออกซิเจน และสารอาหารไม่เพียงพอ ส่งผลให้ผิวสูญเสียความยืดหยุ่น ขาดความนุ่มเด้ง ดูหมองคล้ำ และไม่กระชับ
- รับประทานน้ำตาลมากเกินไป
 
การรับประทานน้ำตาลมากเกินไป เป็นอีกหนึ่งสาเหตุหลักที่ทำให้ผิวไม่เด้ง เนื่องจากอาหารที่มีน้ำตาลสูงจะกระตุ้นกระบวนที่เรียกว่า Glycation ซึ่งเป็นปฏิกิริยาที่น้ำตาลในร่างกายไปจับกับโปรตีนอย่าง คอลลาเจน และอีลาสติน จนทำให้เส้นใยคอลลาเจนเกิดการแข็งตัว เปราะบาง และเสื่อมสภาพเร็วขึ้น ส่งผลให้ผิวสูญเสียความยืดหยุ่น ขาดความนุ่มเด้ง และไม่กระชับ

สัญญาณที่บ่งบอกว่าผิวไม่เด้ง
ผิวไม่เด้งมักมีลักษณะ และสัญญาณเตือนที่สามารถสังเกตได้อย่างชัดเจน ดังนี้
- ผิวขาดความยืดหยุ่น โดยสามารถสังเกตได้ชัดเมื่อใช้มือหยิบ หรือดึงผิว ผิวจะคืนตัวช้ากว่าปกติ
 - ผิวหย่อนคล้อย โดยสามารถสังเกตได้ชัดในบริเวณหน้าแก้ม มุมปาก กรอบหน้า และใต้คาง ผิวจะหย่อนคล้อย ห้อยย้อย และดูไม่กระชับเหมือนเดิม
 - มีริ้วรอย ร่องลึก โดยสามารถสังเกตได้ชัดในบริเวณที่มีการขยับ หรือเคลื่อนไหวบ่อย เช่น ริ้วรอยใต้ตา ริ้วรอยรอบมุมปาก ร่องแก้ม และร่องน้ำหมาก
 - ผิวขาดความชุ่มชื้น โดยสามารถสังเกตได้ชัดว่า ผิวจะมีความหยาบกร้าน ไม่เนียนนุ่ม รู้สึกตึงผิว และผิวอาจลอกเป็นขุยร่วมด้วย
 - ผิวหมองคล้ำ โดยสามารถสังเกตได้ชัดว่า ผิวจะดูซีด ไม่สดใส ขาดความเปล่งปลั่ง ดูเหนื่อยล้า และสีผิวดูไม่สม่ำเสมอ
 

รวมเคล็ดลับผิวเด้ง ดูอ่อนกว่าวัย
การมีผิวเด้ง ดูอ่อนกว่าวัยสามารถทำได้หลายวิธี หากดูแลตัวเองอย่างต่อเนื่องทั้งจากภายใน และภายนอก ดังนี้
- ล้างหน้าอย่างอ่อนโยน
 
การล้างหน้าอย่างอ่อนโยน เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ทำให้ผิวเด้ง เนื่องจากการทำความสะอาดผิว เป็นขั้นตอนพื้นฐานที่ช่วยในการรักษาความสมดุลของผิว โดยเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าสูตรอ่อนโยนที่มีค่า pH ใกล้เคียงกับผิว และล้างหน้าด้วยน้ำอุณหภูมิปกติ ไม่ร้อน หรือเย็นจนเกินไป รวมทั้งควรใช้ปลายนิ้วถูบริเวณใบหน้าตามแนวรูขุมขนอย่างเบามือ โดยไม่ควรถู หรือขัดผิวหน้าแรง ๆ
- เลือกครีมบำรุงให้เหมาะกับสภาพผิว
 
การเลือกใช้ครีมบำรุงผิวให้เหมาะกับสภาพผิว เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ทำให้ผิวเด้ง เนื่องจากผิวแต่ละประเภทมีความต้องการที่แตกต่างกัน เช่น ผิวแห้งต้องการความชุ่มชื้นมากกว่าปกติ ในขณะที่ผิวมันอาจต้องการควบคุมความมัน และลดการเกิดสิว ซึ่งการเลือกครีมบำรุงที่เหมาะสมนั้น จะสามารถแก้ปัญหาผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ และทำให้ผิวได้รับสารบำรุงที่จำเป็นได้อย่างเต็มที่ โดยแนะนำให้เลือกใช้ครีมบำรุงที่มีส่วนผสมของสารต้านอนุมูลอิสระ เพื่อป้องกันผิวเสื่อมสภาพก่อนวัย
- ใช้ครีมกันแดดทุกวัน
 
การใช้ครีมกันแดดเป็นประจำทุกวัน เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ทำให้ผิวเด้ง เนื่องจากครีมกันแดดสามารถปกป้องผิวจากรังสี UVA และ UVA ซึ่งเป็นตัวการที่ทำให้คอลลาเจน และอีลาสตินเสื่อมสภาพก่อนวัย โดยควรเลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF ตั้งแต่ 30 ขึ้นไป และ PA +++ แต่ในกรณีที่ทำกิจกรรมกลางแจ้ง และมีเหงื่อออกมาก ควรใช้ครีมกันแดดสูตรกันน้ำ และทาซ้ำทุก ๆ 2 ชั่วโมง
- ดื่มน้ำอย่างสม่ำเสมอ
 
การดื่มน้ำอย่างสม่ำเสมอ เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ทำให้ผิวเด้ง เนื่องจากน้ำเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่มีความสำคัญกับเซลล์ทุกส่วนในร่างกาย รวมไปถึงเซลล์ผิวหนัง ซึ่งช่วยให้เซลล์ผิวสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวจากภายใน โดยควรดื่มน้ำวันละ 1.5 – 2 ลิตร และแบ่งดื่มเป็นระยะ ๆ ตลอดทั้งวัน ไม่ควรดื่มทีเดียวจนหมด
- นอนหลับให้เพียงพอ
 
การนอนหลับให้เพียงพอ เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ทำให้ผิวเด้ง เนื่องจากในขณะที่เราหลับ ร่างกายจะเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟู และซ่อมแซมตัวเอง ซึ่งจะช่วยในการสร้างคอลลาเจน และอีลาสตินใต้ผิวหนังเพิ่มขึ้น พร้อมทั้งช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ และผลัดเซลล์ผิวเก่าที่เสื่อมสภาพออกไป โดยควรนอนให้ได้อย่างน้อยวันละ 7 – 8 ชั่วโมง รวมถึงพยายามเข้านอน และตื่นเวลาเดิมทุกวัน เพื่อให้ร่างกายมีความคุ้นชินกับวงจรการนอนหลับ
- ออกกำลังกายเป็นประจำ
 
การออกกำลังกายเป็นประจำ เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ทำให้ผิวเด้ง เนื่องจากการออกกำลังกายจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือด ทำให้ผิวได้รับสารอาหาร และออกซิเจนอย่างเต็มที่ รวมทั้งช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และช่วยลดระดับฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ซึ่งเป็นฮอร์โมนความเครียดที่มีส่วนในการทำลายคอลลาเจน โดยควรออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 – 4 ครั้ง ครั้งละประมาณ 30 นาที เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง และผิวมีสุขภาพที่ดีมากขึ้น
- รับประทานอาหารที่ดี
 
การรับประทานอาหารที่ดี และมีประโยชน์ เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ทำให้ผิวเด้ง เนื่องจากอาหารที่ดีจะช่วยบำรุง และฟื้นฟูผิวจากภายใน โดยเลือกอาหารที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ มีโปรตีนดี ไขมันดี รวมถึงมีวิตามิน และแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย เช่น ปลาทะเลน้ำลึก เนื้อไม่ติดมัน ไข่ ถั่ว กระเทียม ผักใบเขียว อะโวคาโด ส้ม ฝรั่ง และผลไม้ตระกูลเบอร์รี
- หากิจกรรมผ่อนคลายความเครียด
 
การหากิจกรรมผ่อนคลายความเครียด เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ทำให้ผิวเด้ง เนื่องจากเป็นการตัดวงจรการทำร้ายผิวตั้งแต่ต้นเหตุ ซึ่งจะช่วยลดระดับฮอร์โมนความเครียด หรือฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) รวมทั้งกระตุ้นการไหลเวียนเลือด และทำให้ผิวสามารถฟื้นฟูตัวเองได้ดีขึ้น โดยแนะนำให้เลือกกิจกรรมที่ตนเองชื่นชอบ เช่น ดูหนัง ฟังเพลง เล่นโยคะ เต้น อ่านหนังสือ วาดรูป หรือทำอาหาร
- ทำหัตถการความงาม
 
การทำหัตถการความงาม เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ทำให้ผิวเด้ง โดยเฉพาะหัตถการกลุ่มกระตุ้นคอลลาเจน หรือ Biostimulator ที่สามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และอีลาสตินใหม่ได้โดยตรง ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่น นุ่มเด้ง ตึงกระชับ และดูอ่อนกว่าวัยในระยะยาว ซึ่งปัจจุบันการทำหัตถการกลุ่มกระตุ้นคอลลาเจนมีให้เลือกหลากหลายยี่ห้อ เช่น Sculptra, Radiesse, Ultracol, Collaju หรือ Profhilo โดยแนะนำให้แพทย์ตรวจประเมินสภาพผิวก่อนใช้บริการ เพื่อเลือกหัตถการที่ตอบโจทย์กับปัญหาของแต่ละบุคคล

แนะนำหัตถการผิวเด้ง ดูอ่อนกว่าวัย
ในปัจจุบันมีหัตถการความงามให้เลือกมากมายที่ช่วยให้ผิวเด้ง และดูอ่อนกว่าวัยจากภายใน ดังนี้
ผิวเด้งด้วย Sculptra
- Sculptra เป็นผลิตภัณฑ์กระตุ้นคอลลาเจนที่มีส่วนประกอบของ Poly-L-Lactic Acid (PLLA) ร่วมกับ Carboxymethylcellulose (CMC) และ Mannitol ซึ่งทำหน้าที่ในการกระตุ้นการทำงานของเซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast) ผ่านกระบวนการอักเสบระดับเซลล์ เพื่อให้เกิดการสร้างเส้นใยคอลลาเจน และอีลาสตินอย่างต่อเนื่อง ทำให้ได้ Collagen Type 1 ในปริมาณมากขึ้น พร้อมทั้งช่วยฟื้นฟูโครงสร้างผิวชั้นลึกอย่างค่อยเป็นค่อยไป และลดความหย่อนคล้อยของผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้โครงสร้างผิวมีความแข็งแรง ยืดหยุ่น เด้งกระชับ และอ่อนกว่าวัยในระยะยาว ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วผลลัพธ์จากการฉีด Sculptra สามารถคงอยู่ได้นานประมาณ 24 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล
 - โดย Sculptra เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย ผิวเหี่ยวย่น มีริ้วรอย ร่องลึก ผิวขาดความกระชับ ไม่ยืดหยุ่น และผู้ที่มีผิวหลวม ขาดความอิ่มฟูจากการสูญเสียคอลลาเจนตามอายุ รวมถึงผู้ที่มีผิวแห้ง ไม่ชุ่มชื้น รูขุมขนไม่กระชับ และมีหลุมสิวตื้น ๆ
 
ผิวเด้งด้วย Radiesse
- Radiesse เป็นผลิตภัณฑ์กระตุ้นคอลลาเจนที่มีส่วนประกอบของ Calcium Hydroxylapatite (CaHA) และ Carboxymethylcellulose (CMC) ซึ่งทำหน้าที่ในการเติมเต็ม และกระตุ้นการทำงานของเซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast) เพื่อให้เกิดการสร้างเส้นใยคอลลาเจน และอีลาสตินอย่างต่อเนื่อง ทำให้ได้สารต่าง ๆ ที่สำคัญต่อโครงสร้างผิวในปริมาณมากขึ้น ได้แก่ Collagen Type 1, Collagen Type 3, Elastin, Proteoglycan และ Angiogenesis ส่งผลให้ผิวมีสุขภาพที่ดี มีความแข็งแรง หนาแน่น กระชับ และยืดหยุ่นขึ้นในระยะยาว ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วผลลัพธ์จากการฉีด Radiesse สามารถคงอยู่ได้นานประมาณ 24 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล
 - โดย Radiesse เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวขาดปริมาตร ใบหน้าตอบ มีริ้วรอย ร่องลึก ผิวหย่อนคล้อย เหี่ยวย่น ขาดความยืดหยุ่น และไม่นุ่มเด้ง รวมถึงผู้ที่มีผิวแห้ง ขาดความชุ่มชื้น รูขุมขนกว้าง และมีหลุมสิว
 
ผิวเด้งด้วย Ultracol
- Ultracol เป็นผลิตภัณฑ์กระตุ้นคอลลาเจนที่มีส่วนประกอบของ Polydioxanone (PDO) และ Carboxymethylcellulose (CMC) ซึ่งทำหน้าที่ในการกระตุ้นการทำงานของเซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast) ผ่านกระบวนการอักเสบระดับเซลล์ เพื่อให้เกิดการสร้างเส้นใยคอลลาเจน และอีลาสตินอย่างต่อเนื่อง ทำให้ได้ Collagen Type 1 และ Collagen Type 3 ในปริมาณมากขึ้น พร้อมทั้งช่วยเพิ่มความหนาแน่น ลดเลือนริ้วรอย และปรับสีผิวให้กระจ่างใส ส่งผลให้ผิวมีความยืดหยุ่น กระชับ เรียบเนียน และชุ่มชื้นขึ้นในระยะยาว ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วผลลัพธ์จากการฉีด Ultracol สามารถคงอยู่ได้นานประมาณ 6 – 8 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล
 - โดย Ultracol เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวขาดความยืดหยุ่น ไม่กระชับ มีริ้วรอย ร่องลึก และผิวมีความหย่อนคล้อย รวมถึงผู้ที่มีปัญหาผิวแห้ง ไม่ชุ่มชื้น ขาดความนุ่มเด้ง ผิวหมองคล้ำ ไม่กระจ่างใส และมีรูขุมขนกว้าง
 
ผิวเด้งด้วย Profhilo
- Profhilo เป็นผลิตภัณฑ์กระตุ้นคอลลาเจนที่มีส่วนประกอบของ Hyaluronic Acid (HA) แบบไม่เชื่อมพันธะ (Non-Crosslinked HA) ซึ่งทำหน้าที่ในการปรับปรุงโครงสร้างผิว (Bio-Remodeling) และกระตุ้นการทำงานของเซลล์ต่าง ๆ ได้แก่ กระตุ้นเซลล์เคราติโนไซต์ (Keratinocytes) เพื่อเสริมการผลัดเซลล์ผิว, กระตุ้นเซลล์ไขมัน (Adipocyte) เพื่อเสริมความหนาแน่นของไขมัน และกระตุ้นเซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast) เพื่อเสริมการผลิตเส้นใยคอลลาเจน ทำให้ได้คอลลาเจนในปริมาณมากขึ้นถึง 4 ชนิด ได้แก่ Collagen Type 1, Collagen Type 3, Collagen Type 4 และ Collagen Type 7 ส่งผลให้ผิวมีความกระชับ ยืดหยุ่น เรียบเนียน ชุ่มชื้น และดูสุขภาพดีขึ้นในระยะยาว ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วผลลัพธ์จากการฉีด Profhilo จะสามารถคงอยู่ได้นานประมาณ 6 – 9 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล
 - โดย Profhilo เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวขาดความยืดหยุ่น ไม่กระชับ มีความหย่อนคล้อยเล็กน้อย และมีริ้วรอยตื้น ๆ รวมถึงผู้ที่มีปัญหาผิวแห้งกร้าน ไม่ชุ่มชื้น ขาดความนุ่มเด้ง รูขุมขนกว้าง และมีหลุมสิว
 
ผิวเด้งด้วย Karisma Rh Collagen
- Karisma Rh Collagen เป็นผลิตภัณฑ์กระตุ้นคอลลาเจนที่มีส่วนประกอบของ Collagen Polypeptide a1 Chain R (Rh Collagen) ร่วมกับ High Molecular Weight Hyaluronic Acid (HMW – HA) และ Carboxymethylcellulose (CMC) ซึ่งทำหน้าที่ในการเติมเต็ม และเสริมความยืดหยุ่นให้ผิว พร้อมทั้งกระตุ้นการทำงานของเซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast) เพื่อให้เกิดการสร้างเส้นใยคอลลาเจน และอีลาสตินอย่างต่อเนื่อง ทำให้ได้ Collagen Type 1 ตามด้วย Collagen Type 2 และ Collagen Type 3 ในปริมาณมากขึ้น ส่งผลให้ผิวมีความหนาแน่น อิ่มฟู กระชับ เรียบเนียน และชุ่มชื้นขึ้นในระยะยาว ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วผลลัพธ์จากการฉีด Karisma Rh Collagen จะสามารถคงอยู่ได้นานประมาณ 6 – 12 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล
 - โดย Karisma Rh Collagen เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวสูญเสียความยืดหยุ่น ไม่กระชับ มีริ้วรอยตื้น ๆ และผิวมีความหย่อนคล้อยเล็กน้อย รวมถึงผู้ที่มีปัญหาผิวไม่ชุ่มชื้น แห้งกร้าน ผิวไม่เรียบเนียน รูขุมขนไม่กระชับ และมีหลุมสิว
 
ผิวเด้งด้วย Collaju
- Collaju เป็นผลิตภัณฑ์กระตุ้นคอลลาเจนที่มีส่วนประกอบของ Atelocollagen ที่มีการกำจัด Telopeptides หรือส่วนปลายโมเลกุลคอลลาเจนออกไป ทำให้คอลลาเจนที่ได้มีความบริสุทธิ์สูง และสามารถคงสภาพโครงสร้างคอลลาเจนแบบ Triple Helix ไว้ได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่ง Collaju ทำหน้าที่ในการเติมเต็มช่องว่างจากการสูญเสียคอลลาเจน และปรับปรุงโครงสร้างผิว พร้อมทั้งกระตุ้นการทำงานของเซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast) เพื่อให้เกิดการสร้างเส้นใยคอลลาเจน และอีลาสตินอย่างต่อเนื่อง ทำให้ได้ Collagen Type 1 ในปริมาณมากขึ้น ส่งผลให้ผิวมีความแข็งแรง หนาแน่น ยืดหยุ่น และกระชับขึ้นในระยะยาว ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วผลลัพธ์จากการฉีด Collaju จะสามารถคงอยู่ได้นานประมาณ 6 – 12 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล
 - โดย Collaju เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหลวม ขาดความยืดหยุ่น ไม่กระชับ มีริ้วรอย ร่องลึก ผิวหย่อนคล้อย และกรอบหน้าไม่ชัด รวมถึงผู้ที่มีปัญหาผิวบางจากการสูญเสียคอลลาเจน ผิวแห้ง ไม่ชุ่มชื้น รูขุมขนไม่กระชับ และมีรอยแผลเป็น
 

หัตถการผิวเด้ง มีข้อดีอย่างไร?
- หัตถการผิวเด้ง สามารถช่วยให้ผิวเด้ง เนียนนุ่ม และยืดหยุ่นจากการเพิ่มปริมาณคอลลาเจนใต้ผิวหนังได้อย่างมีประสิทธิภาพ
 - หัตถการผิวเด้ง เหมาะสำหรับหลายปัญหาผิว ไม่ว่าจะเป็นผิวหย่อนคล้อย ขาดความยืดหยุ่น มีริ้วรอย ร่องลึก รวมไปถึงผิวแห้ง หมองคล้ำ รูขุมขนกว้าง และมีหลุมสิว
 - หัตถการผิวเด้ง สามารถให้ผลลัพธ์ที่ยั่งยืนในระยะยาว โดยเป็นการชะลอการเสื่อมสภาพของผิวในอนาคต
 - หัตถการผิวเด้ง สามารถให้ผลลัพธ์ที่แลดูเป็นธรรมชาติ และกลมกลืนเข้ากับผิวอย่างเรียบเนียน โดยไม่ได้เปลี่ยนโครงหน้าเดิมมากนัก
 - หัตถการผิวเด้ง เป็นหัตถการที่มีความสะดวกสบาย เนื่องจากมีความเจ็บน้อย โดยไม่ต้องผ่าตัด และใช้เวลาพักฟื้นไม่นาน
 - หัตถการผิวเด้ง ไม่เสี่ยงอันตรายต่อร่างกาย เนื่องจากเป็นหัตถการที่สามารถย่อยสลายได้เอง โดยไม่ทิ้งสารตกค้างอันตรายในระยะยาว
 
การมีผิวเด้ง และดูอ่อนกว่าวัยสามารถเลือกทำได้หลายวิธี ทั้งการดูแลตัวเองในขั้นพื้นฐาน ตั้งแต่การล้างหน้า การใช้สกินแคร์ การดื่มน้ำ การพักผ่อน การรับประทานอาหาร หรือแม้แต่การออกกำลังกาย ไปจนถึงการทำหัตถการความงามที่ช่วยให้ผิวเด้ง เต่งตึง กระชับ และดูอ่อนกว่าวัยโดยเฉพาะ ดังนั้นสำหรับใครที่มีปัญหาผิวขาดความยืดหยุ่น และผิวไม่นุ่มเด้งจากการสูญเสียคอลลาเจน รวมถึงต้องการผลลัพธ์แบบเร่งรีบ การทำหัตถการผิวเด้งก็ถือเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ตอบโจทย์ โดยสามารถเข้ารับการปรึกษาแพทย์ เพื่อให้แพทย์ประเมินสภาพผิว พร้อมแนะนำหัตถการผิวเด้งที่เหมาะสมได้ที่ รมย์รวินท์คลินิก
*ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับบริการ
*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯกำหนด

