ผิวขาดน้ำคืออะไร? ต่างจากผิวแห้งไหม? มีวิธีดูแลผิวอย่างไร?

ผิวขาดน้ำคืออะไร

ปัญหาผิวขาดน้ำ ถือเป็นหนึ่งในปัญหาผิวที่พบได้ทั่วไป แม้จะใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวมากแค่ไหน แต่ผิวก็ยังคงแห้งตึง หมองคล้ำ และแต่งหน้าไม่ติดเหมือนเดิม ซึ่งภาวะนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศ และทุกสภาพผิว ไม่ว่าจะเป็นผิวแห้ง ผิวมัน หรือผิวผสม โดยหลาย ๆ คนอาจยังไม่รู้ตัวว่ากำลังเผชิญปัญหาผิวขาดน้ำอยู่ วันนี้ รมย์รวินท์คลินิกจะพามาเรียนรู้ และทำความเข้าใจอย่างละเอียดเกี่ยวกับผิวขาดน้ำว่า คืออะไร? มีสัญญาณเตือนแบบไหน? ต่างจากผิวแห้งอย่างไร? มีวิธีดูแลผิวอย่างไรให้กลับมาชุ่มชื้น? พร้อมแนะนำหัตถการกู้ผิวขาดน้ำฉบับรมย์รวินท์คลินิก

 

ผิวขาดน้ำคืออะไร?
ผิวขาดน้ำคืออะไร?

 

ผิวขาดน้ำคืออะไร?

ผิวขาดน้ำ คือ สภาพผิวหนังที่มีปริมาณน้ำไม่เพียงพอ ทำให้ผิวขาดความชุ่มชื้น แห้งตึง ดูหมองคล้ำ และไม่สดใส ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะเกิดจากเกราะป้องกันผิว (Skin Barrier) อ่อนแอ หรือผิวถูกทำลายโดยปัจจัยต่าง ๆ เช่น การอยู่ในห้องแอร์เป็นเวลานาน การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะกับสภาพผิว การเผชิญกับแสงแดด การดื่มน้ำน้อย การสูบบุหรี่ หรือการดื่มแอลกอฮอล์ ทำให้ผิวสูญเสียน้ำง่ายขึ้นกว่าปกติ จนเกิดอาการผิวขาดน้ำได้ โดยผิวขาดน้ำสามารถเกิดได้กับทุกสภาพผิว ไม่ว่าจะเป็นแห้ง ผิวมัน หรือผิวผสม ซึ่งหากไม่ได้รับการดูแลที่เหมาะสม ผิวก็จะยิ่งอ่อนแอ ไม่แข็งแรง และเกิดริ้วรอยก่อนวัยได้ง่าย

 

สัญญาณเตือนผิวขาดน้ำ

  • ผิวแห้งกร้าน และมีความมันระหว่างวัน เนื่องจากเมื่อผิวขาดน้ำ ต่อมไขมันจะผลิตน้ำมัน (Sebum) ออกมา เพื่อชดเชยความชุ่มชื้นที่สูญเสียไป ทำให้ผิวดูมันเยิ้ม และแห้งตึงในเวลาเดียวกัน
  • ผิวหมองคล้ำ เนื่องจากเมื่อผิวขาดน้ำ กระบวนการผลัดเซลล์ผิวก็จะทำงานได้ไม่เต็มที่ ทำให้เซลล์ผิวเก่ายังคงสะสมอยู่บนผิว จนผิวดูหมองคล้ำ ไม่สดใส และขาดความเปล่งปลั่ง 
  • มีริ้วรอยเล็ก ๆ เนื่องจากเมื่อผิวขาดน้ำเป็นเวลานาน ความยืดหยุ่นของผิวก็จะลดลงตามไปด้วย ทำให้มีริ้วรอยเส้นเล็ก ๆ เกิดขึ้นบนผิว ซึ่งสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะรอบดวงตา หน้าผาก และมุมปาก
  • ผิวไม่เรียบเนียน เนื่องจากเมื่อผิวขาดน้ำ ผิวหนังก็จะดูหยาบกร้าน ไม่สม่ำเสมอ และรู้สึกสากเวลาสัมผัสกับผิว อีกทั้งยังทำให้แต่งหน้าไม่ติด เครื่องสำอางเป็นคราบ ลอกเป็นขุย และดูตกร่องได้ง่าย
  • ผิวระคายเคืองง่าย เนื่องจากเมื่อผิวขาดน้ำ เกราะป้องกันผิวก็จะอ่อนแอ ทำให้ผิวมีความไวต่อปัจจัยกระตุ้น เช่น แสงแดด มลภาวะ หรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่รุนแรง จนผิวเกิดอาการแสบ แดง คัน และรู้สึกแพ้ได้ง่าย

 

ผิวขาดน้ำ ต่างจากผิวแห้งอย่างไร?
ผิวขาดน้ำ ต่างจากผิวแห้งอย่างไร?

 

ผิวขาดน้ำ ต่างจากผิวแห้งอย่างไร?

แม้ผิวขาดน้ำ และผิวแห้งจะมีลักษณะอาการที่ใกล้เคียงกัน แต่ก็มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนในหลาย ๆ ด้าน ดังนี้

  • ผิวขาดน้ำ

ผิวขาดน้ำ เป็นสภาพผิวที่มีปริมาณน้ำในผิวไม่เพียงพอ ทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้นเพียงชั่วคราว โดยมีสาเหตุมาจากเกราะป้องกันผิวไม่แข็งแรง ทำให้ผิวไม่สามารถกักเก็บน้ำไว้ได้ ซึ่งเป็นผลมาจากหลายปัจจัยร่วมกันที่กระตุ้นให้ผิวขาดน้ำ เช่น อากาศแห้ง  แสงแดด มลภาวะ ดื่มน้ำน้อย หรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่รุนแรงกับผิว ส่งผลให้ผิวขาดความชุ่มชื้น ดูหยาบกร้าน ไม่เรียบเนียน ผิวดูหมองคล้ำ ไม่สดใส และรู้สึกระคายเคืองผิวได้ง่าย ที่สำคัญคือผิวขาดน้ำสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกสภาพผิว ไม่ว่าจะเป็นผิวแห้ง ผิวมัน หรือผิวผสม 

  • ผิวแห้ง

ผิวแห้ง เป็นสภาพผิวที่มีปริมาณน้ำมันในผิวน้อย โดยมีสาเหตุมาจากต่อมไขมัน ผลิตน้ำมันตามธรรมชาติออกมาน้อยกว่าปกติ ทำให้ผิวไม่สามารถกักเก็บน้ำไว้ได้อย่างเพียงพอ ซึ่งโดยส่วนใหญ่เป็นผลมาจากลักษณะทางพันธุกรรม หรือสภาพผิวที่มีมาแต่กำเนิด รวมถึงอายุที่มากขึ้น ส่งผลให้ผิวหยาบกร้าน รู้สึกแห้งตึงตลอดเวลา และลอกเป็นขุยได้ง่าย

 

ผิวขาดน้ำเกิดจากอะไร?
ผิวขาดน้ำเกิดจากอะไร?

 

ผิวขาดน้ำเกิดจากอะไร?

ปัญหาผิวขาดน้ำสามารถขึ้นได้จากหลายปัจจัยร่วมกัน ดังนี้

  • สภาพอากาศแห้ง

เมื่ออยู่ในห้องแอร์เป็นเวลานาน หรืออยู่ในสภาพอากาศที่แห้งอาจทำให้ผิวขาดน้ำได้ เนื่องจากสภาพอากาศที่แห้งมักมีความชื้นต่ำ ทำให้น้ำที่อยู่ในผิวระเหยออกไปได้ง่ายกว่าปกติ จนส่งผลให้ผิวแห้งตึง ขาความชุ่มชื้น และดูหยาบกร้านอย่างรวดเร็ว

  • ใช้ผลิตภัณฑ์ไม่เหมาะกับสภาพผิว

การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะกับสภาพผิวอาจทำให้ผิวขาดน้ำได้ เนื่องจากผลิตภัณฑ์บางประเภทอาจมีส่วนผสมของสารที่ทำลายเกราะป้องกันผิว เช่น แอลกอฮอล์ หรือน้ำหอม ทำให้เกราะป้องกันผิวอ่อนแอ และทำให้ผิวสูญเสียน้ำได้ง่ายกว่าปกติ จนส่งผลให้ผิวแห้งกร้าน ดูหมองคล้ำ และไวต่อการระคายเคืองมากขึ้น

  • ทำความสะอาดผิวไม่ถูกวิธี

การทำความสะอาดผิวไม่ถูกวิธีอาจทำให้ผิวขาดน้ำได้ เช่น การล้างหน้าบ่อยเกินไป การถูผิวหน้าแรง ๆ การล้างหน้าด้วยความร้อน และการใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่มีส่วนผสมรุนแรง ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้ล้วนทำให้เกราะป้องกันผิวอ่อนแอ และทำให้ผิวสูญเสียน้ำได้ง่ายกว่าปกติ ส่งผลให้ผิวแห้งกร้าน หมองคล้ำ และไม่เรียบเนียนได้

  • แสงแดด

การเผชิญกับแสงแดดเป็นประจำอาจทำให้ผิวขาดน้ำได้ เนื่องจากแสงแดดเป็นตัวการในการทำลายเกราะป้องกันผิว ทำให้เกราะป้องกันผิวอ่อนแอ และเซลล์ผิวเสื่อมสภาพเร็วขึ้น จนไม่สามารถกักเก็บน้ำไว้ได้อย่างเพียงพอ ส่งผลให้ผิวแห้งกร้าน ขาดน้ำ ดูหมองคล้ำ และระคายเคืองง่าย

  • มลภาวะ

การเผชิญกับมลภาวะอย่างต่อเนื่องอาจทำให้ผิวขาดน้ำได้ เนื่องจากฝุ่น ควัน หรือสารเคมีที่ลอยอยู่ในอากาศสามารถทำลายเกราะป้องกันผิวได้โดยตรง ทำให้ผิวสูญเสียน้ำ และขาดความชุ่มชื้นได้ง่ายกว่าปกติ ส่งผลให้ผิวแห้งกร้าน ดูหมองคล้ำ ไม่สดใส และไวต่อการระคายเคือง

  • ดื่มน้ำน้อย

การดื่มน้ำน้อยอาจทำให้ผิวขาดน้ำได้ เนื่องจากร่างกายได้รับปริมาณน้ำไม่เพียงพอ ทำให้ระบบต่าง ๆ ในร่างกายทำงานได้ไม่เต็มที่ และเซลล์ผิวไม่สามารถรักษาความชุ่มชื้นได้อย่างเหมาะสม ส่งผลให้เกราะป้องกันผิวอ่อนแอ และผิวสูญเสียน้ำง่ายกว่าปกติ จนผิวเกิดความแห้งกร้าน หมองคล้ำ และไม่เรียบเนียนได้

  • พักผ่อนน้อย

การพักผ่อนน้อยอาจทำให้ผิวขาดน้ำได้ เนื่องจากร่างกายจะผลิตฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) เพิ่มขึ้น ซึ่งจะไปรบกวนการทำงานของเกราะป้องกันผิว ทำให้เกราะป้องกันผิวอ่อนแอ และผิวสูญเสียน้ำได้ง่ายกว่าปกติ ส่งผลให้ผิวแห้งกร้าน ขาดน้ำ ดูหมองคล้ำ และไม่สดใสได้

  • เครียดสะสม

การมีความเครียดสะสมอาจทำให้ผิวขาดน้ำได้ เนื่องจากร่างกายจะผลิตฮอร์โมนคอร์ติซอลออกมาเพิ่มขึ้น ซึ่งทำให้เกราะป้องกันผิวได้รับความเสียหาย และผิวไม่สามารถกักเก็บน้ำไว้ได้อย่างเพียงพอ ส่งผลให้ผิวแห้งกร้าน ดูโทรม หมองคล้ำ และไม่สดใสได้

  • ดื่มแอลกอฮอล์

การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปอาจทำให้ผิวขาดน้ำได้ เนื่องจากแอลกอฮอล์จะกระตุ้นให้ร่างกายขับน้ำออกมาอย่างรวดเร็ว ทำให้เกราะป้องกันผิวอ่อนแอ และเซลล์ผิวขาดความชุ่มชื้นได้ง่ายปกติ ส่งผลให้ผิวแห้งกร้าน หมองคล้ำ และไม่เรียบเนียนได้

  • สูบบุหรี่

การสูบบุหรี่มากเกินไปอาจทำให้ผิวขาดน้ำได้ เนื่องจากสารพิษในบุหรี่สามารถทำลายเกราะป้องกันผิวได้โดยตรง และลดการไหลเวียนของเลือดที่ไปเลี้ยงเซลล์ผิว ทำให้เกราะป้องผิวอ่อนแอ และเซลล์ผิวสูญเสียน้ำได้ง่าย รวมทั้งยังทำให้เซลล์ผิวได้รับออกซิเจน และสารอาหารลดลง ส่งผลให้ผิวแห้งกร้าน หมองคล้ำ และไม่สดใสได้

 

ผิวขาดน้ำมีวิธีดูแลผิวอย่างไร?
ผิวขาดน้ำมีวิธีดูแลผิวอย่างไร?

 

ผิวขาดน้ำมีวิธีดูแลผิวอย่างไร?

ปัญหาผิวขาดน้ำสามารถดูแลผิวให้กลับมาชุ่มชื้นได้หลากหลายวิธี ดังนี้

  • ใช้ผลิตภัณฑ์เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว

การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น เป็นอีกหนึ่งวิธีในการดูแลผิวขาดน้ำ โดยควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมสำคัญอย่าง Hyaluronic Acid, Ceramide, Glycerin, Fatty Acids, Panthenol หรือ Vitamin E ที่มีคุณสมบัติในการเติมน้ำให้ผิว และเสริมเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรง นอกจากนี้ควรเลือกเนื้อสัมผัสของผลิตภัณฑ์ให้เหมาะกับสภาพผิว ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบเนื้อเจล โลชั่น หรือครีม พร้อมทั้งหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ น้ำหอม และสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวสูญเสียน้ำ

  • ทำความสะอาดผิวอย่างอ่อนโยน 

การทำความสะอาดผิวอย่างอ่อนโยน เป็นอีกหนึ่งวิธีในการดูแลผิวขาดน้ำ โดยควรเลือกผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวที่มีส่วนผสมของสารเพิ่มความชุ่มชื้น และเสริมเกราะป้องกันผิว เช่น Hyaluronic Acid, Ceramide, Glycerin หรือ Panthenol พร้อมทั้งมีค่า pH ที่ใกล้เคียงกับผิวตามธรรมชาติ เพื่อรักษาสมดุลของผิว และป้องกันผิวขาดน้ำ นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงการทำความสะอาดผิวด้วยน้ำร้อน และใช้ส่วนผสมที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง เช่น SLS, SLES, แอลกอฮอล์, พาราเบน หรือน้ำหอม 

  • ใช้ครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ

การใช้ครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ เป็นอีกหนึ่งวิธีในการดูแลผิวขาดน้ำ โดยควรเลือกผลิตภัณฑ์กันแดดที่มีค่า SPF ระดับสูงประมาณ 30 – 50 และมี PA ++++ พร้อมทั้งมีส่วนผสมของสารที่เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว เช่น Hyaluronic Acid, Ceramide, Glycerin หรือ Vitamin E ซึ่งควรทาก่อนเผชิญแสงแดดอย่างน้อย 15 – 30 นาที และในกรณีที่อยู่กลางแจ้งเป็นเวลานาน ควรทาซ้ำทุก 2 ชั่วโมง เพื่อป้องกันรังสี UV อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง เช่น แอลกอฮอล์ พาราเบน หรือน้ำหอม 

  • มาสก์หน้าอย่างต่อเนื่อง

การมาสก์หน้าอย่างต่อเนื่อง เป็นอีกหนึ่งวิธีในการดูแลผิวขาดน้ำ โดยควรเลือกมาสก์สูตรเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะมีส่วนผสมสำคัญอย่าง Hyaluronic Acid, Ceramide, Glycerin หรือ Panthenol ที่มีคุณสมบัติในการเติมน้ำให้ผิวอย่างเข้มข้น ปลอบประโลมผิว และเสริมเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรง ซึ่งควรมาสก์เป็นประจำสัปดาห์ละ 2 – 3 ครั้ง และหลีกเลี่ยงส่วนผสมที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง เช่น แอลกอฮอล์ น้ำหอม หรือพาราเบน

  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ

การดื่มน้ำให้เพียงพอ เป็นอีกหนึ่งวิธีในการดูแลผิวขาดน้ำ โดยควรดื่มน้ำเปล่าวันละ 1.5 – 2 ลิตร และหลีกเลี่ยงการดื่มทีเดียวในปริมาณมาก เนื่องจากร่างกายจะขับน้ำออกอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะแนะนำให้จิบน้ำอย่างสม่ำเสมอตลอดทั้งวันแทน เพื่อให้เซลล์ผิวกักเก็บความชุ่มชื้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ คาเฟอีน และเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวสูญเสียน้ำ

  • พักผ่อนอย่างเต็มที่

การพักผ่อนอย่างเต็มที่ เป็นอีกหนึ่งวิธีในการดูแลผิวขาดน้ำ โดยควรนอนหลับอย่างน้อยวันละ 7 – 8 ชั่วโมง และสร้างบรรกาศแวดล้อมให้เหมาะสมสำหรับการนอน เช่น ห้องมืด เงียบสนิท ไม่มีเสียงรบกวน และอุณหภูมิในห้องเย็นแบบพอดี นอกจากนี้ควรจัดตารางการนอนหลับให้เป็นเวลา เพื่อสร้างวงจรการนอนหลับที่ดี และปรับนาฬิกาชีวภาพของร่างกายให้มีคุณภาพมากขึ้น

  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ 

การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เป็นอีกหนึ่งวิธีในการดูแลผิวขาดน้ำ โดยเลือกอาหารที่อุดมไปด้วยสารเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว เช่น Omega 3, Vitamin A, Vitamin C, Vitamin E หรือ Zinc ซึ่งสารอาหารเหล่านี้มักมีคุณสมบัติในการเติมน้ำให้ผิว บำรุงผิวให้ชุ่มชื้นจากภายใน และเสริมเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรง รวมถึงลดการอักเสบของผิว โดยสามารถพบได้ในปลาแซลมอน ปลาทะเลน้ำลึก หอย แคร์รอต ฟักทอง ผักใบเขียว ส้ม ฝรั่ง กีวี ผลไม้ตระกูลเบอร์รี ถั่ว และธัญพืช

 

รวมหัตถการกู้ผิวขาดน้ำ
รวมหัตถการกู้ผิวขาดน้ำ

 

รวมหัตถการกู้ผิวขาดน้ำ

การทำหัตถการทางการแพทย์เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยกู้ผิวขาดน้ำได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ โดยหัตถการที่กำลังได้รับความนิยม มีดังนี้

  • Rejuran

Rejuran เป็นหัตถการกู้ผิวขาดน้ำที่มีส่วนประกอบหลักของ Polynucleotide (PN) บริสุทธิ์สูง สกัดจากปลาแซลมอน ซึ่งได้รับการออกแบบมาเพื่อปรับปรุงคุณภาพผิว เพิ่มความชุ่มชื้น และซ่อมแซมผิวที่เสียหาย พร้อมทั้งกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และเสริมเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรง ทำให้ได้ผลลัพธ์ในเรื่องของผิวที่ดูอิ่มน้ำ เรียบเนียน กระจ่างใส ยืดหยุ่น และดูสุขภาพดีจากภายใน โดยจะเหมาะสำหรับการแก้ไขปัญหาผิวแห้งกร้าน ขาดน้ำ ผิวดูหมองคล้ำ ไม่เรียบเนียน และแต่งหน้าไม่ติด ซึ่งหลังฉีดเสร็จสามารถคงผลลัพธ์ได้นานถึง 3 – 6 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล

  • Plinest

Plinest เป็นหัตถการกู้ผิวขาดน้ำที่มีส่วนประกอบหลักของ Polynucleotide (PN) บริสุทธิ์สูง สกัดจากปลาเทราต์ ซึ่งได้รับการออกแบบมาเพื่อเติมเต็มความชุ่มชื้นให้ผิว เสริมสร้างความแข็งแรงให้ผิว และฟื้นฟูผิวให้กลับมาสุขภาพดีอีกครั้ง พร้อมทั้งกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และลดการอักเสบของผิว ทำให้ได้ผลลัพธ์ในเรื่องของผิวที่ยืดหยุ่น กระชับ อิ่มน้ำ เรียบเนียน และกระจ่างใสจากภายใน โดยจะเหมาะสำหรับการแก้ไขปัญหาผิวแห้งตึง หยาบกร้าน ผิวหมองคล้ำ รูขุมขนกว้าง และไม่เรียบเนียน ซึ่งหลังฉีดเสร็จสามารถคงผลลัพธ์ได้นานถึง 6 – 9 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล

  • Belotero Revive

Belotero Revive เป็นหัตถการกู้ผิวขาดน้ำที่มีส่วนประกอบหลักของ Hyaluronic Acid (HA) และ Glycerol ซึ่งได้รับการออกแบบมาเพื่อฟื้นฟูความแห้งกร้านของผิว เพิ่มความชุ่มชื้น และปรับสภาพผิวให้เรียบเนียน พร้อมทั้งเพิ่มความยืดหยุ่น และเสริมเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรง ทำให้ได้ผลลัพธ์ในเรื่องของผิวที่ดูฉ่ำวาว อิ่มฟู เนียนละเอียด และนุ่มเด้งจากภายใน โดยจะเหมาะสำหรับการแก้ไขปัญหาผิวแห้งตึง ขาดน้ำ ลอกเป็นขุย ดูโทรม ไม่กระชับ และแต่งหน้าไม่ติด ซึ่งหลังฉีดเสร็จสามารถคงผลลัพธ์ได้นานถึง 6 – 9 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล

  • Dorothy Dewy

Dorothy Dewy เป็นหัตถการกู้ผิวขาดน้ำที่มีส่วนประกอบหลักของ Hyaluronic Acid (HA) ซึ่งได้รับการออกแบบมาเพื่อฟื้นฟูคุณภาพผิว เติมความชุ่มชื้น และปรับสภาพผิวให้เรียบเนียน พร้อมทั้งเพิ่มความยืดหยุ่น และกระชับรูขุมขน ทำให้ได้ผลลัพธ์ในเรื่องของผิวที่เนียนละเอียด ฉ่ำโกลว์ อิ่มน้ำ และมีความกระชับจากภายใน โดยจะเหมาะสำหรับการแก้ไขปัญหาผิวแห้งกร้าน ขาดความชุ่มชื้น ลอกเป็นขุย ดูโทรม ไม่สดใส และแต่งหน้าไม่ติด ซึ่งหลังฉีดเสร็จสามารถคงผลลัพธ์ได้นานถึง 6 – 12 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล

  • Profhilo

Profhilo เป็นหัตถการกู้ผิวขาดน้ำที่มีส่วนประกอบหลักของ Hyaluronic Acid (HA) เข้มข้นสูงแบบไม่เชื่อมพันธะ ซึ่งได้รับการออกแบบมาเพื่อปรับสมดุลผิว เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว และฟื้นฟูการทำงานของเซลล์ต่าง ๆ พร้อมทั้งกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนประเภทที่ 1, คอลลาเจนประเภทที่ 3, คอลลาเจนประเภทที่ 4 และคอลลาเจนประเภทที่ 7 ทำให้ได้ผลลัพธ์ในเรื่องของผิวที่อิ่มน้ำ เรียบเนียน ละเอียด อิ่มฟู กระชับ และเปล่งปลั่งจากภายใน โดยจะเหมาะสำหรับการแก้ไขปัญหาผิวหลวม แห้งตึง หยาบกร้าน ขาดความยืดหยุ่น รูขุมขนกว้าง หลุมสิว ผิวเริ่มหย่อนคล้อย และมีริ้วรอยเล็ก ๆ ซึ่งหลังฉีดเสร็จสามารถคงผลลัพธ์ได้นานถึง 6 – 9 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล

  • Karisma Rh Collagen

Karisma Rh Collagen เป็นหัตถการกู้ผิวขาดน้ำที่มีส่วนประกอบหลักของ Collagen Polypeptide a1 Chain R (Rh Collagen) รวมถึง High Molecular Weight Hyaluronic Acid (HMW – HA) และ Carboxymethylcellulose (CMC) ซึ่งได้รับการออกแบบมาเพื่อฟื้นฟูความยืดหยุ่นของผิว เพิ่มความชุ่มชื้น และเติมเต็มรอยย่นบนใบหน้า พร้อมทั้งกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนประเภทที่ 1 และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนเพิ่มเติมอีก 2 ประเภท ได้แก่ ประเภทที่ 2 และประเภทที่ 3 ทำให้ได้ผลลัพธ์ในเรื่องของผิวที่แข็งแรง อิ่มฟู กระชับ เรียบเนียน และดูอิ่มน้ำจากภายใน โดยจะเหมาะสำหรับการแก้ไขปัญหาผิวหลวม แห้งกร้าน ขาดความชุ่มชื้น ดูโทรม รูขุมขนกว้าง หลุมสิว ผิวเริ่มหย่อนคล้อย และมีริ้วรอยเล็ก ๆ ซึ่งหลังฉีดเสร็จสามารถคงผลลัพธ์ได้นานถึง 6 – 12 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล

Sculptra เป็นหัตถการกู้ผิวขาดน้ำที่มีส่วนประกอบหลักของ Poly-L-Lactic Acid (PLLA) รวมถึง Carboxymethylcellulose (CMC) และ Mannitol ซึ่งได้รับการออกแบบมาเพื่อฟื้นฟูโครงสร้างผิวให้แข็งแรง ปรับปรุงคุณภาพผิว และยกกระชับผิว พร้อมทั้งกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนประเภทที่ 1 และเพิ่มความหนาแน่นให้ผิว ทำให้ได้ผลลัพธ์ในเรื่องของผิวที่ดูอิ่มฟู ยืดหยุ่น เรียบเนียน แน่นกระชับ ชุ่มชื้น และดูสุขภาพดีจากภายใน โดยจะเหมาะสำหรับการแก้ไขปัญหาผิวหลวม ไม่แข็งแรง ใบหน้าตอบ ผิวแห้งกร้าน ขาดน้ำ รูขุมขนกว้าง หลุมสิว ผิวหย่อนคล้อย และมีริ้วรอย ร่องลึก ซึ่งหลังฉีดเสร็จสามารถคงผลลัพธ์ได้นานถึง 24 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล

 

วิธีป้องกันผิวขาดน้ำ

การป้องกันผิวขาดน้ำ สามารถทำได้ด้วยการดูแลตัวเองอย่างเหมาะสม ดังนี้

  • ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวเป็นประจำหลังล้างหน้า
  • ใช้ครีมกันแดดทุกวัน เพื่อป้องกันผิวคล้ำเสีย และแห้งกร้านจากรังสี UV
  • ทำความสะอาดผิวด้วยน้ำอุณหภูมิปกติ และใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวสูตรอ่อนโยน
  • ใช้เครื่องเพิ่มความชื้นในอากาศ ในกรณีที่ต้องอยู่ห้องแอร์เป็นเวลานาน 
  • ดื่มน้ำให้มาก ๆ เพื่อกักเก็บความชุ่มชื้นไว้ในเซลล์ผิวอย่างต่อเนื่อง
  • พักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้เซลล์ผิวเกิดการฟื้นฟูตัวเองอย่างเหมาะสม
  • หากิจกรรมผ่อนคลายความเครียด เช่น อ่านหนังสือ ดูซีรีส์ ฟังเพลง หรือออกกำลังกาย
  • รับประทานอาหารที่ดีต่อผิว เช่น อาหารที่มี Omega 3, Vitamin A, Vitamin C, Vitamin E หรือ Zinc
  • หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำลายเกราะป้องกันผิว เช่น แสงแดด มลภาวะ สูบบุหรี่ และดื่มแอลกอฮอล์ 

 

จะเห็นได้ว่า ผิวขาดน้ำเป็นปัญหาผิวที่ไม่ควรมองข้าม หากปล่อยทิ้งไว้นานโดยไม่ดูแลอย่างเหมาะสม อาจนำไปสู่ปัญหาผิวอื่น ๆ ตามมาได้ ดังนั้นหากใครกำลังเผชิญกับปัญหาผิวขาดน้ำอยู่ แนะนำให้เริ่มต้นจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ทาครีมกันแดดสม่ำเสมอ มาสก์อย่างต่อเนื่อง ทำความสะอาดผิวอย่างอ่อนโยน ดื่มน้ำให้เพียงพอ พักผ่อนให้เต็มที่ และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อผิว ร่วมกับการทำหัตถการทางการแพทย์ที่ช่วยกู้ผิวขาดน้ำอย่างรวดเร็ว ทำให้ผิวกลับมาชุ่มชื้นอย่างมีประสิทธิภาพ และให้ผลลัพธ์ที่ยั่งยืนในระยะยาว

 

*ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับบริการ

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯกำหนด