Ultrasound vs Radio Frequency vs Laser Skin Tightening เทคโนโลยียกกระชับหน้า ทำงานต่างกันยังไง?

เทคโนโลยียกกระชับหน้า

Ultrasound vs Radio Frequency vs Laser Skin Tightening เทคโนโลยียกกระชับหน้า ทำงานต่างกันยังไง?

เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น ความหย่อนคล้อยของผิวหน้ากลายเป็นปัญหาที่หลายคนเริ่มสังเกตเห็น ไม่ว่าจะเป็นปัญหาริ้วรอยเล็ก ๆ มุมปากเริ่มตก หรือรูปหน้าที่ไม่ชัดเจนเหมือนเดิม ในปัจจุบันมีเทคโนโลยีกระชับหน้ามากมาย ที่ช่วยฟื้นคืนความเรียบเนียนให้ผิวและยกกระชับหน้าแบบไม่ต้องผ่าตัด ซึ่งทั้ง 3 เทคโนโลยีที่ได้รับความนิยมมาก Ultrasound (อัลตราซาวนด์), Radio Frequency (คลื่นวิทยุ) และ Laser Skin Tightening (เลเซอร์ยกกระชับ)

 

แม้จะมีเป้าหมายเดียวกันคือการยกกระชับหน้า ในแต่ละเทคโนโลยีกลับมีหลักการทำงาน ระดับความลึกของพลังงาน และผลลัพธ์ที่แตกต่างกันออกไป บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักแต่ละเทคโนโลยีอย่างละเอียด พร้อมเปรียบเทียบข้อดี ข้อจำกัด และวิธีเลือกให้เหมาะกับสภาพผิวของคุณ เพื่อให้ตัดสินใจได้อย่างมั่นใจในการดูแลผิวให้กระชับ เต่งตึง และอ่อนเยาว์แบบดูเป็นธรรมชาติ

 

ทำไมต้องยกกระชับหน้า?

  • ฟื้นฟูผิวที่เริ่มหย่อนคล้อย สูญเสียความแน่นกระชับ

เมื่ออายุมากขึ้น ผิวของเราจะผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินน้อยลง ส่งผลให้โครงสร้างผิวอ่อนแอ ขาดความยืดหยุ่น และเริ่มเกิดริ้วรอยลึกในบริเวณต่าง ๆ เช่น ร่องแก้ม แก้มที่หย่อนคล้อย หรือเหนียงใต้คาง การยกกระชับหน้าจึงเป็นทางออกที่ช่วยแก้ไข และชะลอสัญญาณแห่งวัยเหล่านี้ได้อย่างตรงจุด

  • ยกกระชับหน้าให้สมส่วน และชัดเจนยิ่งขึ้น

ชั้นผิวลึกอย่าง SMAS (Superficial Musculo-Aponeurotic System) เป็นโครงสร้างสำคัญที่กำหนดรูปทรงของใบหน้า เมื่อโครงสร้างนี้เสื่อมลง จะทำให้ใบหน้าดูหย่อนคล้อย ไม่คมชัด การยกกระชับหน้าที่ลงลึกถึงชั้น SMAS สามารถช่วยคืนความกระชับให้กรอบหน้า ช่วยลดคางสองชั้น และปรับให้ใบหน้าดูได้สัดส่วนมากขึ้น

  • คืนความอ่อนเยาว์ให้ผิวอย่างดูเป็นธรรมชาติ

การยกกระชับหน้าไม่ได้เพียงช่วยลดเลือนริ้วรอยหรือร่องลึกเท่านั้น แต่ยังสามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ภายในผิว ทำให้ผิวกลับมาเนียนแน่น เต่งตึง และมีความเปล่งปลั่งอย่างดูเป็นธรรมชาติ ใบหน้าจึงดูสดใสและอ่อนกว่าวัยอย่างเห็นได้ชัด

  • เสริมความแข็งแรงให้โครงสร้างผิวที่เปลี่ยนไปตามวัย

เมื่ออายุมากขึ้น บางคนอาจพบว่าใบหน้าดูทรุดโทรมโดยไม่รู้สาเหตุ นั่นเพราะเกิดจากกระดูกใบหน้าที่ยุบตัว หรือไขมันใต้ผิวที่สลายหายไป การยกกระชับหน้าจึงช่วยสร้างแรงพยุงใหม่ให้แก่ผิว และคืนความมั่นคงให้กับโครงสร้างที่รองรับรูปหน้าได้อีกครั้ง

  • ฟื้นฟูผิวจากผลกระทบของสิ่งแวดล้อม

ผิวของเราต้องเผชิญกับปัจจัยภายนอกอยู่ทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นแสงแดด รังสี UV หรือฝุ่นละออง ซึ่งสามารถทำร้ายเซลล์ผิว และลดประสิทธิภาพของคอลลาเจนในระยะยาว การยกกระชับหน้าจึงเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยเสริมเกราะให้ผิว พร้อมฟื้นฟูความเสียหายจากสิ่งเร้าเหล่านี้ได้ในระดับลึก

 

เทคโนโลยียกกระชับหน้า คืออะไร?

เทคโนโลยียกกระชับหน้า คือทางเลือกที่ช่วยฟื้นฟูผิวที่เริ่มหย่อนคล้อย ลดเลือนริ้วรอย และปรับโครงสร้างผิวให้กลับมากระชับ เต่งตึง โดยไม่ต้องอาศัยการผ่าตัดศัลยกรรมเหมือนในอดีต จุดเด่นของเทคโนโลยีประเภทนี้อยู่ที่ผลลัพธ์ และไม่ต้องพักฟื้น ทำให้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการดูแลตัวเองแบบไม่ต้องเจ็บตัวหรือพักฟื้นนาน

การทำงานของเทคโนโลยียกกระชับหน้าจะใช้พลังงานเฉพาะทาง เช่น Ultrasound (อัลตราซาวนด์), Radio Frequency (คลื่นวิทยุ) และ Laser Skin Tightening (เลเซอร์ยกกระชับ)

 

พลังงานเหล่านี้จะถูกส่งลึกลงไปยังชั้นผิวที่ต้องการฟื้นฟู เช่น ชั้น SMAS หรือชั้นไขมันใต้ผิว เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ ซึ่งเป็นโครงสร้างหลักของผิวที่ทำให้ผิวดูแน่น ยืดหยุ่น และอ่อนเยาว์ เมื่อผิวได้รับการกระตุ้นอย่างเหมาะสม จะทำให้เกิดการหดตัวของเนื้อเยื่อ การฟื้นฟูเซลล์ผิว และยกกระชับปรับรูปหน้าให้เรียวกระชับขึ้นโดยไม่ต้องผ่าตัด

 

เทคโนโลยียกกระชับหน้าจึงกลายเป็นทางเลือกยอดนิยมของคนยุคใหม่ ที่ต้องการดูแลตัวเองให้ดูดีอย่างดูเป็นธรรมชาติและมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องเผชิญกับความเสี่ยง หรือความยุ่งยากจากการศัลยกรรม

 

หลักการทำงานของเทคโนโลยียกกระชับหน้าแต่ละประเภท
หลักการทำงานของเทคโนโลยียกกระชับหน้าแต่ละประเภท

 

หลักการทำงานของเทคโนโลยียกกระชับหน้าแต่ละประเภท

ในปัจจุบันมีเทคโนโลยีหลากหลายที่ถูกพัฒนาขึ้นมา เพื่อยกกระชับหน้าโดยไม่ต้องผ่าตัด ซึ่งแต่ละเทคโนโลยีมีหลักการทำงานแตกต่างกัน ทั้งในแง่ของชนิดพลังงาน ระดับความลึกที่พลังงานสามารถลงไปถึง รวมถึงผลลัพธ์ที่ได้รับหลังการรักษา โดยเทคโนโลยีหลัก ๆ มีดังนี้

HIFU หรือ High-Intensity Focused Ultrasound เป็นการใช้ความถี่สูง ส่งพลังงานแบบเฉพาะเจาะจงลงไปยังชั้นผิวลึก โดยเฉพาะที่ระดับ SMAS (Superficial Musculo-Aponeurotic System) ซึ่งเป็นชั้นเดียวกับที่ใช้ในการศัลยกรรมดึงหน้า พลังงานจะทำให้เนื้อเยื่อบริเวณนั้นเกิดความร้อนในจุดเล็ก ๆ ส่งผลให้โครงสร้างผิวหดตัว พร้อมกระตุ้นกระบวนการสร้างคอลลาเจนใหม่ในระยะยาว ส่งผลให้ผิวดูแน่นกระชับ ริ้วรอยลดลง และรูปหน้าแลดูกระชับขึ้นแบบดูเป็นธรรมชาติ

เทคโนโลยีRadio Frequencyความถี่สูง ทำงานโดยการปล่อยพลังงานความร้อนลงไปในชั้นผิวหนังแท้และชั้นไขมันใต้ผิว โดยไม่ทำลายผิวชั้นบน ความร้อนที่เกิดขึ้นนั้นจะช่วยกระตุ้นการจัดเรียงตัวใหม่ขอวเส้นใยคอลลาเจน และส่งผลให้มีการผลิตอีลาสตินเพิ่มขึ้น ทำให้ผิวหน้าดูเรียบเนียน ลดความหย่อนคล้อย และยังสามารถช่วยลดไขมันสะสมบริเวณแก้ม หรือกรอบหน้า ช่วยให้ใบหน้าดูเรียวขึ้นอย่างดูเป็นธรรมชาติ

  • Laser Skin Tightening

เลเซอร์สำหรับการยกกระชับหน้า จะใช้พลังงานแสงในช่วงความยาวคลื่นเฉพาะ ส่งผ่านเข้าสู่ชั้นผิวเพื่อสร้างความร้อนอย่างเหมาะสม ความร้อนนี้มีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นเซลล์ผิวให้ผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินมากขึ้น พร้อมกับช่วยผลัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพให้หลุดออก ทำให้ผิวแลดูเรียบเนียน สดใส และเต่งตึงขึ้น เหมาะสำหรับการฟื้นฟูผิวที่มีปัญหาเรื่องริ้วรอย ผิวไม่กระจ่างใส หรือพื้นผิวไม่สม่ำเสมอ

 

เปรียบเทียบเทคโนโลยียกกระชับหน้า Ultrasound vs Radio Frequency vs เลเซอร์ยกกระชับ

Ultrasound (อัลตราซาวนด์)

  • หลักการทำงาน 

เทคโนโลยี Ultrasound(อัลตราซาวนด์)  ใช้ความเข้มข้นสูงแบบโฟกัส (HIFU: High-Intensity Focused Ultrasound) ยิงพลังงานลงลึกถึงชั้น SMAS (Superficial Musculo-Aponeurotic System) ซึ่งเป็นชั้นเดียวกับที่ศัลยแพทย์ใช้ในการผ่าตัดดึงหน้า พลังงานที่ส่งเข้าไปจะกระตุ้นให้เนื้อเยื่อเกิดการหดตัว พร้อมกระตุ้นการสร้าง คอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ ส่งผลให้ผิวแน่นกระชับและดูยกขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

  • ผลลัพธ์

สามารถยกกระชับหน้าและลำคอได้อย่างมีประสิทธิภาพ เห็นผลเร็วตั้งแต่หลังทำ และชัดเจนยิ่งขึ้นภายในไม่กี่เดือน ผลลัพธ์สามารถอยู่ได้นาน ประมาณ 1-2 ปี ขึ้นอยู่กับการดูแลหลังทำและสภาพผิวของแต่ละคน

  • ข้อดี

ไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีบาดแผล เริ่มเห็นผลได้อย่างรวดเร็วหลังทำ ไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้น สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ

 

Radio Frequency (คลื่นวิทยุ)

  • หลักการทำงาน 

RF เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ Radio Frequency ความถี่สูง ส่งผ่านลงไปยังชั้นหนังแท้ เพื่อกระตุ้นให้เกิดความร้อนในระดับลึก ซึ่งความร้อนนี้จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน พร้อมช่วยให้เส้นใยที่หย่อนคล้อยหดตัว ทำให้ผิวแน่นและดูเรียบเนียนขึ้น

  • ผลลัพธ์

ช่วยลดเลือนริ้วรอย กระชับผิว และยกกระชับปรับรูปหน้าให้ดูเรียวขึ้น โดยเฉพาะบริเวณกรอบหน้าและแนวคาง อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์จะไม่เด่นชัดเท่ากับอัลตราซาวนด์ และมักอยู่ได้นาน ประมาณ 6–12 เดือน

  • ข้อดี

ไม่ต้องเจ็บตัว ไม่ต้องพักฟื้น เหมาะกับทุกสภาพผิว โดยเฉพาะผิวบางหรือผิวแพ้ง่าย

 

Laser Skin Tightening (เลเซอร์ยกกระชับ)

  • หลักการทำงาน

เลเซอร์ยกกระชับใช้พลังงานแสงในช่วงความยาวคลื่นเฉพาะ ยิงลงสู่ผิวชั้นตื้นถึงชั้นกลาง เพื่อสร้างความร้อนใต้ผิว กระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจน และการผลัดเซลล์ผิวใหม่ ช่วยฟื้นฟูสภาพผิวโดยรวม

  • ผลลัพธ์

ผิวดูเรียบเนียน ริ้วรอยตื้นจางลง สีผิวสม่ำเสมอขึ้น และมีความยืดหยุ่นมากขึ้น แม้ว่าเลเซอร์จะไม่สามารถยกกระชับหน้าลึกได้เท่ากับ RF หรือ HIFU แต่ก็ให้ผลลัพธ์ที่ดีในด้านการปรับสภาพผิวโดยรวม

  • ข้อดี

ช่วยผลัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพและฟื้นฟูผิวหมองคล้ำ เหมาะกับผู้ที่ต้องการผิวใสและดูสุขภาพดี ช่วยลดจุดด่างดำหรือรอยสิวได้ด้วย

 

เปรียบเทียบเทคโนโลยียกกระชับหน้า vs ศัลยกรรมดึงหน้า

เทคโนโลยียกกระชับหน้า

  • เทคโนโลยีนี้ทำงานโดยใช้พลังงานเฉพาะ เช่น Ultrasound (อัลตราซาวนด์), Radio Frequencyความถี่สูง (Radio Frequency) หรือ พลังงานจากแสงเลเซอร์ยกกระชับ (Laser) เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและยกกระชับหน้าจากภายใน โดยไม่ต้องพึ่งพาการผ่าตัด
  • ผลลัพธ์ที่ได้จะเริ่มเห็นภายในระยะเวลาไม่นานหลังทำ และค่อย ๆ ชัดเจนมากขึ้นในช่วง 1-3 เดือน ทั้งนี้ ผลลัพธ์จะอยู่ได้นานประมาณ 1-2 ปี ขึ้นอยู่กับประเภทเทคโนโลยีที่เลือกใช้ รวมถึงการดูแลตนเองหลังทำ
  • ข้อดีที่เห็นได้ชัดคือ ไม่มีแผล ไม่มีการพักฟื้น และสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ทันที อีกทั้งยังมีความเสี่ยงน้อย ไม่ต้องกังวลเรื่องภาวะแทรกซ้อนหรือการติดเชื้อ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูใบหน้าแบบไม่ยุ่งยาก

ศัลยกรรมดึงหน้า

  • การศัลยกรรมดึงหน้า เป็นการรักษาด้วยการผ่าตัดโดยตรง เพื่อยกกระชับผิวหนังและกล้ามเนื้อที่หย่อนคล้อย โดยเฉพาะในชั้น SMAS (Superficial Musculo-Aponeurotic System) ซึ่งเป็นโครงสร้างสำคัญที่รองรับรูปหน้า การดึงชั้นนี้สามารถช่วยแก้ปัญหาความหย่อนคล้อยที่รุนแรง และยกกระชับปรับรูปหน้าได้อย่างชัดเจน
  • ผลลัพธ์ของการศัลยกรรมจะอยู่ได้นานกว่าเทคโนโลยียกกระชับหน้ามาก โดยเฉลี่ยแล้วสามารถคงผลลัพธ์ได้นาน 5 ปีขึ้นไป ขึ้นอยู่กับสภาพผิว พฤติกรรมการใช้ชีวิต และการดูแลหลังการผ่าตัด วิธีนี้จำเป็นต้องมี ระยะเวลาพักฟื้นประมาณ 2-3 สัปดาห์ และอาจเกิดอาการบวม ช้ำ หรือเสี่ยงต่อการติดเชื้อในบางกรณี อีกทั้งค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับวิธีอื่น ๆ
  • ข้อดีของการผ่าตัด คือให้ผลลัพธ์ที่ยั่งยืนและเปลี่ยนแปลงโครงหน้าได้อย่างชัดเจน แต่ข้อเสียคือมีความเสี่ยง และต้องอาศัยการวางแผนอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจ

 

เทคโนโลยียกกระชับหน้า Ultrasound vs Radio Frequency vs Laser Skin Tightening มีโปรแกรมอะไรบ้าง?
เทคโนโลยียกกระชับหน้า Ultrasound vs Radio Frequency vs Laser Skin Tightening มีโปรแกรมอะไรบ้าง?

 

เทคโนโลยียกกระชับหน้า Ultrasound vs Radio Frequency vs Laser Skin Tightening มีโปรแกรมอะไรบ้าง?

Ultrasound (อัลตราซาวนด์)

  • Ulthera Prime — รุ่นปรับปรุงล่าสุดของ Ultherapy ที่พัฒนาให้การยิงพลังงานเจ็บน้อยลง แต่ยังให้ผลลัพธ์ในการยกกระชับหน้าที่มีประสิทธิภาพเช่นเดิม
  • Ultraformer III — เทคโนโลยีใหม่ที่ใช้พลังงานความถี่สูง เพื่อกระตุ้นคอลลาเจน พร้อมยกกระชับปรับรูปหน้าให้ได้สัดส่วน ดูเรียวและกระชับขึ้น

Radio Frequency (คลื่นวิทยุ)

  • Thermage FLX — เทคโนโลยี Monopolar RFส่งพลังงานความร้อนลึกถึงผิวชั้นในได้อย่างแม่นยำ พร้อมระบบสั่นและหัวทิปใหม่ที่ลดความรู้สึกเจ็บขณะทำ ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
  • Oligio — เทคโนโลยี Monopolar RF ยุคใหม่ที่ให้พลังงานแม่นยำและเจ็บน้อย เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยในระดับเบาถึงปานกลาง และต้องการการยกกระชับหน้าแบบดูเป็นธรรมชาติ
  • EMFACE — เทคโนโลยีที่ผสานRadio Frequency RF เข้ากับ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (HIFEM) เพื่อยกกระชับหน้าและกระตุ้นกล้ามเนื้อบนใบหน้าในเวลาเดียวกัน ไม่เพียงกระตุ้นคอลลาเจน แต่ยังช่วยให้กล้ามเนื้อใบหน้าดูกระชับ มีมิติยิ่งขึ้น
  • Morpheus8 — เทคโนโลยี Microneedle RF ที่ผสานคลื่น RF เข้ากับเข็มขนาดเล็ก เพื่อปล่อยพลังงานลงลึกถึงชั้นหนังแท้และชั้นไขมัน ช่วยยกกระชับหน้า ปรับผิวให้แน่น ฟื้นฟูปัญหารูขุมขน หลุมสิว และริ้วรอยไปพร้อมกัน

Laser Skin Tightening (เลเซอร์ยกกระชับ)

  • Volume Lifting — เป็นเทคโนโลยีเลเซอร์ยกกระชับหน้า ที่โดดเด่นด้วยการใช้พลังงานเลเซอร์ 2 ช่วงคลื่นความยาว ผ่าน 4 ขั้นตอนการฟื้นฟูผิว ครอบคลุมทั้งชั้นผิวภายนอกและภายใน ฟื้นฟูโครงสร้างผิว และยกกระชับปรับรูปหน้าให้กระชับอย่างดูเป็นธรรมชาติ

 

เทคโนโลยียกกระชับหน้า Ultrasound vs Radio Frequency vs Laser Skin Tightening เลือกวิธีไหนดี?

ไม่มีเทคโนโลยีใดยกกระชับหน้าที่ดีสำหรับทุกคน เพราะแต่ละเทคโนโลยีมีจุดเด่น และระดับการฟื้นฟูที่แตกต่างกันไป แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือ การเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมที่สุด  ให้สอดคล้องกับสภาพผิว ปัญหาที่ต้องการแก้ไข และความต้องการเฉพาะของแต่ละบุคคล ไม่ว่าจะเป็นระดับความหย่อนคล้อย ความลึกของริ้วรอย หรือไลฟ์สไตล์ของผู้รับบริการ

 

เทคโนโลยียกกระชับหน้า สามารถทำบริเวณใดได้บ้าง?
เทคโนโลยียกกระชับหน้า สามารถทำบริเวณใดได้บ้าง?

เทคโนโลยียกกระชับหน้า สามารถทำบริเวณใดได้บ้าง?

  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า สามารถทำบริเวณหน้าผาก ลดริ้วรอยและยกคิ้ว
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า สามารถทำบริเวณรอบดวงตา ยกหางตา ลดริ้วรอยรอบตา หนังตาตก
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า สามารถทำบริเวณแก้ม ยกแก้มที่หย่อนคล้อย ลดแก้มที่ใหญ่จากไขมัน
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า สามารถทำบริเวณร่องแก้ม ลดร่องลึกที่เกิดจากอายุ หรือการแสดงสีหน้า
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า สามารถทำบริเวณกรอบหน้า กระชับกรอบหน้าให้คมชัด ลดความเบลอของรูปหน้า
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า สามารถทำบริเวณคางสองชั้น ลดเหนียง กระชับไขมันใต้คาง
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า สามารถทำบริเวณมุมปาก ยกมุมปากที่ตกให้ดูสดใสขึ้น
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า สามารถทำบริเวณลำคอ ยกกระชับลำคอ ลดความหย่อนคล้อยใต้คาง
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า สามารถทำบริเวณเนินอก ปรับผิวหน้าอกให้เรียบเนียนและกระชับ
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า สามารถทำบริเวณต้นแขน กระชับผิวที่หย่อนตรงท้องแขน
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า สามารถทำบริเวณท้อง ลดผิวหย่อนคล้อยหลังคลอดหรือลดน้ำหนัก
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า สามารถทำบริเวณต้นขา กระตุ้นคอลลาเจน ลดความหย่อนในบริเวณที่มีเซลลูไลต์

 

รวมข้อดีของการทำเทคโนโลยียกกระชับหน้า
รวมข้อดีของการทำเทคโนโลยียกกระชับหน้า

 

รวมข้อดีของการทำเทคโนโลยียกกระชับหน้า

  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า ช่วยให้ใบหน้าดูเรียวขึ้น และกรอบหน้าชัดเจน
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า ลดความหย่อนคล้อยบริเวณแก้ม คาง และลำคอ
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า ยกหางตาและคิ้วให้ดูสดใส
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า ลดริ้วรอยรอบดวงตา หน้าผาก และมุมปาก
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า ฟื้นฟูความอ่อนเยาว์ให้ใบหน้าโดยรวม
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า ยกกระชับปรับรูปหน้าให้สมดุล และได้สัดส่วนมากขึ้น
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และอีลาสตินใหม่ในชั้นผิว
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า ช่วยให้ผิวแน่น กระชับ และยืดหยุ่นมากขึ้น
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า ปรับโครงสร้างผิวให้ดูแข็งแรง และมีความยืดหยุ่น
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า ลดรูขุมขนที่กว้าง ทำให้ผิวเรียบเนียน
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า ฟื้นฟูผิวจากผลกระทบของแสงแดดและมลภาวะ
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า ลดความหมองคล้ำ ผิวหน้าดูสดใสอ่อนเยาว์มากขึ้น
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า ไม่มีแผล ไม่ต้องเสี่ยงกับการติดเชื้อ
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า เริ่มเห็นผลลัพธ์ได้ตั้งแต่ครั้งแรก และดีขึ้นเรื่อย ๆ
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า มีตัวเลือกหลายเทคโนโลยีให้เหมาะกับทุกปัญหาผิว
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า สามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติทันที
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ ไม่แข็งหรือตึงเกินไป

 

ใครควรทำเทคโนโลยียกกระชับหน้าบ้าง?
ใครควรทำเทคโนโลยียกกระชับหน้าบ้าง?

 

ใครควรทำเทคโนโลยียกกระชับหน้าบ้าง?

  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มสังเกตว่าผิวหน้าหย่อนคล้อย ไม่ตึงกระชับเหมือนเดิม
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาแก้มห้อย คางสองชั้น หรือเหนียงเริ่มชัด
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่มีริ้วรอยรอบดวงตา หน้าผาก หรือมุมปาก
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่มีร่องลึก เช่น ร่องแก้ม หรือร่องน้ำหมากลึกขึ้น
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่โครงหน้าดูเบลอ กรอบหน้าไม่ชัด
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่อยากศัลยกรรม แต่ต้องการใบหน้าที่เรียวและกระชับ
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่กลัวเข็มหรือไม่ต้องการฉีดโปรแกรมฟิลเลอร์ หรือโปรแกรมฉีดโบ
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ ไม่แข็งหรือไม่เปลี่ยนรูปหน้ามากเกินไป
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวบางลง หรือรู้สึกว่าผิวหน้าไม่แน่นเหมือนเดิม
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่เคยลดน้ำหนักมากจนโครงหน้าดูหย่อน
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ทำงานในสายงานที่ต้องใช้ภาพลักษณ์
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังเตรียมตัวออกงานสำคัญ
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์แบบรวดเร็ว แต่ไม่มีอันตรายและไม่มีแผล
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการชะลอวัยก่อนผิวหย่อนอย่างชัดเจน
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอในระยะยาว

 

คำแนะนำ: 

ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำเทคโนโลยียกกระชับหน้า แพทย์จะช่วยประเมินภาพรวมของสุขภาพผิว โครงสร้างใบหน้า รวมถึงปัจจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อออกแบบแผนการดูแลที่เหมาะสมที่สุดกับสภาพผิวและเป้าหมายของคุณ การวางแผนล่วงหน้า จะช่วยให้ได้รับการดูแลที่ตรงจุด และเห็นผลลัพธ์อย่างดูเป็นธรรมชาติในระยะยาว

 

ใครไม่ควรทำเทคโนโลยียกกระชับหน้าบ้าง?

กลุ่มที่มีปัญหาด้านสุขภาพหรือภาวะแทรกซ้อน

  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีโรคเกี่ยวกับหัวใจหรือใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemaker)
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีโรคระบบประสาทหรือเส้นประสาทอักเสบเรื้อรัง
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคลมชักหรือมีอาการชักบ่อย
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังเป็นไข้ ติดเชื้อ หรือมีอาการอักเสบในร่างกาย
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่อยู่ระหว่างตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีโรคผิวหนังเรื้อรัง เช่น สะเก็ดเงิน เริม เชื้อราบนใบหน้า
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เคยมีประวัติผิวไวต่อแสง หรือมีอาการแพ้คลื่นความร้อน
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีโลหะฝังอยู่บริเวณใบหน้า เช่น แผ่นเหล็กจากการผ่าตัด
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีบาดแผลเปิด รอยแดง หรือสิวอักเสบรุนแรง บนใบหน้า
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เพิ่งผ่านการทำเลเซอร์หรือผ่าตัดใบหน้า ภายใน 2-4 สัปดาห์
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวบางไวต่อการระคายเคือง เช่น โรคผิวหนังภูมิแพ้

 

กลุ่มที่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนตัดสินใจ

  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หอบหืด ควรแจ้งแพทย์ให้ทราบ
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีรอยสักหรือเม็ดสีฝังแน่นในบริเวณที่จะทำการรักษา
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีประวัติแผลเป็นคีลอยด์ (keloid) หรือผิวสร้างพังผืดมากกว่าปกติ
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เคยผ่าน การรักษามะเร็งบริเวณใบหน้า หรือฉายแสงบริเวณผิวหน้า
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีประวัติเส้นเลือดฝอยแตกง่าย หรือโรคเลือดออกง่าย

 

หมายเหตุ:
ก่อนทำเทคโนโลยียกกระชับหน้า ควรเข้ารับการประเมินกับแพทย์ เพื่อให้แน่ใจว่าสภาพผิว โครงสร้างใบหน้า และสุขภาพโดยรวมของคุณเหมาะสมกับเทคโนโลยีที่เลือกใช้ แพทย์จะช่วยวางแผนแนวทางการรักษาที่ตรงกับความต้องการเฉพาะบุคคล โดยเฉพาะในผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือมีภาวะสุขภาพบางอย่างที่ต้องระวัง การปรึกษาแพทย์ล่วงหน้าจะช่วยยกกระชับปรับรูปแบบการรักษาให้เหมาะสม ลดความเสี่ยง และเพิ่มประสิทธิภาพของผลลัพธ์ในระยะยาว

 

ก่อนทำเทคโนโลยียกกระชับผิวหน้า เตรียมตัวอย่างไร? 

  • ก่อนทำเทคโนโลยียกกระชับหน้า ควรนอนหลับให้เพียงพอในคืนก่อนหน้าอย่างน้อย 6–8 ชั่วโมง
  • ก่อนทำเทคโนโลยียกกระชับหน้า ควรดื่มน้ำมาก ๆ ในช่วง 1–2 วันก่อนทำ เพื่อให้ผิวชุ่มชื้นและพร้อมรับพลังงาน
  • ก่อนทำเทคโนโลยียกกระชับหน้า งดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มี Retinol, AHA, BHA หรือ กรดผลไม้เข้มข้น 3–5 วัน
  • ก่อนทำเทคโนโลยียกกระชับหน้า หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 24 ชั่วโมง
  • ก่อนทำเทคโนโลยียกกระชับหน้า หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ เพราะอาจกระทบกระบวนการซ่อมแซมผิว
  • ก่อนทำเทคโนโลยียกกระชับหน้า หลีกเลี่ยงการแต่งหน้าหรือทาครีมกันแดดหนา ๆ ในวันที่จะทำ
  • ก่อนทำเทคโนโลยียกกระชับหน้า หลีกเลี่ยงการนวดหน้า สครับ หรือทำหัตถการที่ระคายเคืองต่อผิวก่อนหน้า 3–7 วัน
  • ก่อนทำเทคโนโลยียกกระชับหน้า หลีกเลี่ยงการทานยากลุ่มต้านการแข็งตัวของเลือด

 

หลังทำเทคโนโลยียกกระชับหน้า ดูแลตัวเองอย่างไร? 

  • หลังทำเทคโนโลยียกกระชับหน้า หลีกเลี่ยงการโดนแสงแดดจัด อย่างน้อย 3–7 วัน
  • หลังทำเทคโนโลยียกกระชับหน้า หลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้ง เช่น ว่ายน้ำ เดินป่า วิ่งกลางแดด
  • หลังทำเทคโนโลยียกกระชับหน้า หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในช่วง 1–3 วันแรกหลังทำ
  • หลังทำเทคโนโลยียกกระชับหน้า หลีกเลี่ยงการนอนคว่ำหรือนอนตะแคงกดใบหน้าด้านที่ทำหัตถการ
  • หลังทำเทคโนโลยียกกระชับหน้า หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก หรืออบซาวน่า ใน 2–3 วันแรก
  • หลังทำเทคโนโลยียกกระชับหน้า งดขัด ถู หรือสครับผิวแรง ๆ ในช่วง 3–5 วันแรก
  • หลังทำเทคโนโลยียกกระชับหน้า งดใช้ Retinol, AHA, BHA หรือกรดผลไม้แรง ๆ อย่างน้อย 5–7 วัน
  • หลังทำเทคโนโลยียกกระชับหน้า งดการทำเลเซอร์ ฉีดสารเติมเต็ม นวดหน้า ภายใน 1–2 สัปดาห์หลังทำ
  • หลังทำเทคโนโลยียกกระชับหน้า งดการแช่น้ำอุ่นจัด อาบน้ำร้อน ในช่วง 5-7 วัน
  • หลังทำเทคโนโลยียกกระชับหน้า ควรทาครีมกันแดด SPF 50 PA+++ ทุกวัน
  • หลังทำเทคโนโลยียกกระชับหน้า ควรทามอยส์เจอไรเซอร์ที่ช่วยเติมความชุ่มชื้นให้ผิวอย่างสม่ำเสมอ
  • หลังทำเทคโนโลยียกกระชับหน้า ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน ปราศจากน้ำหอม แอลกอฮอล์ หรือสารระคายเคือง

 

ในยุคปัจจุบัน การยกกระชับหน้าไม่จำเป็นต้องพึ่งมีดผ่าตัดอีกต่อไป ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีด้านความงาม ไม่ว่าจะเป็น Ultrasound, Radio Frequency หรือแม้แต่ Laser Skin Tightening แต่ละประเภทต่างออกแบบมาเพื่อรองรับปัญหาผิวในระดับลึกที่แตกต่างกัน และสามารถมอบผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจได้โดยไม่ต้องพักฟื้น

 

อย่างไรก็ตาม หัวใจสำคัญของการเลือกเทคโนโลยียกกระชับ อยู่ที่การเลือกให้ตรงกับสภาพผิวและปัญหาเฉพาะบุคคล มากกว่าการเลือกตามกระแสนิยม การเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์ก่อนทำ จะช่วยให้คุณเข้าใจสภาพผิว โครงสร้างใบหน้า และข้อจำกัดด้านสุขภาพของตนเองได้อย่างลึกซึ้ง ก่อนวางแผนการรักษาให้เหมาะสมที่สุด

 

ไม่ว่าคุณจะต้องการลดเลือนริ้วรอย กระชับกรอบหน้า หรือคืนความกระจ่างใสให้กับผิว เทคโนโลยียกกระชับหน้าคืออีกหนึ่งตัวช่วยที่เห็นผลจริง และช่วยเสริมสร้างความมั่นใจได้อย่างดูเป็นธรรมชาติ ทั้งนี้ ผลลัพธ์ของการรักษาอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับอายุ สภาพผิว การดูแลหลังทำ และพฤติกรรมในการใช้ชีวิตประจำวัน