รู้ก่อนเป็น ! วิธีป้องกันฝ้า เพื่อผิวหน้ากระจ่างใสไร้ฝ้า ไม่กลับมาเป็นซ้ำ

​วิธีป้องกันฝ้า

ฝ้า เป็นปัญหาผิวที่เกิดได้บ่อยและสามารถกลับมาเป็นซ้ำได้แม้รักษาฝ้าหายแล้ว ทำให้ส่งผลต่อความมั่นใจอย่างมาก เพราะทำให้ผิวกลับมาไม่สม่ำเสมอ และไม่เรียบเนียน การป้องกันฝ้าจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยลดโอกาสในการเกิดฝ้าใหม่ และช่วยให้ผิวแข็งแรง แลดูกระจ่างได้อีกด้วย 

ในบทความนี้ Romrawin Clinic จะพาคุณมารู้จัก วิธีป้องกันฝ้าอย่างถูกวิธี ตั้งแต่การดูแลผิวประจำวัน เพื่อให้คุณมีผิวสวยสุขภาพดี ห่างไกลฝ้าได้ในระยะยาว

ฝ้าคืออะไร ?  

ฝ้า (Melasma) คือภาวะความผิดปกติของเม็ดสีผิว (Melanin) จากการที่เซลล์สร้างเม็ดสี (Melanocytes) ทำงานมากผิดปกติ ส่งผลให้มีการผลิตเม็ดสีเมลานินมากเกินไป เมื่อสะสมอยู่ในผิวหนังชั้นต่าง ๆ ทำให้เกิดรอยสีน้ำตาลอ่อนถึงสีน้ำตาลเข้มบนผิว โดยฝ้าสามารถเกิดได้หลายบริเวณทั่วร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณที่โดนแสงแดดบ่อย

 

ประเภทฝ้ามีผลต่อการเกิดซ้ำอย่างไร ?

ฝ้ามีหลายประเภท ซึ่งฝ้าแต่ละประเภทมีความแตกต่างกัน ทั้งความลึกของเม็ดสี ตำแหน่งการสะสมของเมลานิน รวมถึงส่งผลโดยตรงต่อความยากง่ายในการรักษาและโอกาสการเกิดฝ้าซ้ำ โดยฝ้าแต่ละประเภทมีผลต่อการเกิดฝ้าซ้ำ ดังนี้

1.ฝ้าตื้น (Epidermal Melasma) มีสีน้ำตาลอ่อนถึงสีน้ำตาลเข้ม มีขอบเขตชัดเจน ซึ่งมีการสะสมของเม็ดสีอยู่ในชั้นหนังกำพร้า ซึ่งเป็นผิวชั้นบนสุด

ผลต่อการเกิดฝ้าซ้ำ

ฝ้าตื้นสามารถรักษาได้ง่าย เพราะอยู่ในชั้นที่ไม่ลึก หากดูแลผิวหลังการรักษาอย่างเหมาะสมและสม่ำเสมอ ฝ้ามักจะไม่กลับมาเป็นซ้ำเร็ว แต่หากละเลยการป้องกันฝ้า ผิวจะไวต่อแสงและทำให้ฝ้าเกิดใหม่ได้ง่ายขึ้น

 

2.ฝ้าลึก (Dermal Melasma) มีสีเทาเข้มหรือเทาอมฟ้า มีขอบเขตไม่ชัดเจน โดยตำแหน่งของการสะสมของเม็ดสีอยู่ในชั้นหนังแท้ซึ่งอยู่ลึกกว่าผิวชั้นบน

ผลต่อการเกิดฝ้าซ้ำ

ฝ้าลึกเป็นชนิดที่รักษายาก เพราะเม็ดสีอยู่ลึกในผิว แม้ฝ้าจะจางลงหลังการรักษา แต่เม็ดสีบางส่วนในชั้นลึกยังคงอยู่ ทำให้ฝ้ากลับมาได้ง่ายเมื่อได้รับแสงแดด ความร้อน หรือมีฮอร์โมนกระตุ้น

 

3.ฝ้าผสม (Mixed Melasma) เป็นประเภทของฝ้าที่พบบ่อยมีสีหลายโทน เช่น น้ำตาลบางจุด เทาอมฟ้าบางบริเวณ มีทั้งในชั้นหนังกำพร้าและหนังแท้

ผลต่อการเกิดฝ้าซ้ำ

ฝ้าผสมเป็นฝ้าที่พบมากที่สุดและมักกลับมาเป็นซ้ำได้บ่อย เพราะต้องจัดการเม็ดสีทั้งตื้นและลึกพร้อมกัน หลังการรักษาจึงต้องดูแลผิวแบบครบวงจร ทั้งภายในและภายนอก เพื่อช่วยเสริมเกราะป้องกันผิว ลดการกระตุ้นเม็ดสี

 

รวม 5 ปัจจัยเสี่ยงที่กระตุ้นให้เกิดฝ้าซ้ำ
รวม 5 ปัจจัยเสี่ยงที่กระตุ้นให้เกิดฝ้าซ้ำ

 

รวม 5 ปัจจัยเสี่ยงที่กระตุ้นให้เกิดฝ้าซ้ำ

ปัจจัยที่กระตุ้นให้การเกิดฝ้าซ้ำสามารถเกิดได้จากหลายปัจจัย ทั้งปัจจัยภายในร่างกายและปัจจัยภายนอก การเข้าใจถึงปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ฝ้าก่อตัวหรือกลับมาเกิดซ้ำ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยป้องกันฝ้าและจัดการปัญหาฝ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดย 4 ปัจจัยที่มักกระตุ้นให้เกิดฝ้าซ้ำ มีดังนี้

ปัจจัยจากแสงและสิ่งแวดล้อม ถือเป็นปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดฝ้า หรือเกิดฝ้าซ้ำได้ง่าย ซึ่งปัจจัยแสงและสิ่งแวดล้อมที่มักทำให้เกิดฝ้าซ้ำ มีดังนี้

  • แสงแดด (UV) ถือเป็นปัจจัยกระตุ้นหลักของฝ้าเนื่องจากรังสี UV ทำให้เซลล์สร้างเม็ดสีผลิตเมลานินเพิ่มขึ้น เพื่อป้องกันความเสียหาย จึงทำให้เกิดฝ้าซ้ำ หรือฝ้าหนา เข้ม ขึ้นได้
  • แสงสีฟ้าจากหน้าจอ (Blue Light) จากโทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ หรือทีวี แม้แสงนี้จะไม่แรงเท่าแสง UV แต่ก็ทำให้ผิวเกิดความเครียด แล้วส่งผลให้เม็ดสีทำงานมากขึ้น ทำให้เกิดฝ้าขึ้นได้บ่อย หรือฝ้าที่มีอยู่อาจเข้มขึ้นได้
  • ความร้อนและอุณหภูมิสูง อาจทำให้หลอดเลือดขยายตัว ส่งผลให้เซลล์เม็ดสีทำงานมากขึ้นและเมลานินสะสมในผิว ทำให้ฝ้าเกิดหรือเข้มขึ้นได้

 

ปัจจัยจากฮอร์โมนในร่างกาย ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการเกิดและความรุนแรงของฝ้า โดยฮอร์โมนที่มีความเกี่ยวข้องกับการเกิดฝ้า มีดังนี้

  • ฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน มักพบในผู้หญิงตั้งครรภ์ การใช้ยาคุมกำเนิด หรือในช่วงวัยทอง ซึ่งฮอร์โมนนี้สามารถกระตุ้นเซลล์สร้างเม็ดสีให้ทำงานมากขึ้น ทำให้เมลานินสะสมบนผิวจนเกิดเป็นฝ้าได้ง่าย
  • ฮอร์โมนความเครียด (คอร์ติซอล) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่เกิดจากความเครียด ซึ่งส่งผลให้เม็ดสีทำงานผิดปกติ จนเกิดฝ้าได้ง่ายขึ้น

 

ปัจจัยจากผิวและการดูแลผิว 

การเกิดฝ้าไม่ได้เกิดจากปัจจัยภายนอกหรือฮอร์โมนเพียงอย่างเดียว แต่ยังเกิดได้จากสุขภาพผิวและการดูแลผิวอีกด้วย ซึ่งปัจจัยจากผิวและการดูแลผิวที่ทำให้เกิดฝ้า มีดังนี้

  • การอักเสบหรือระคายเคืองผิว เช่น สิว หรือการลอกผิวแรงเกินไป ทำให้เกิดการกระตุ้นให้เม็ดสีทำงานผิดปกติ จนถูกสร้างมากขึ้นในบริเวณที่เกิดการอักเสบ ทำให้รอยฝ้าเดิมมีสีเข้มขึ้นหรือเกิดฝ้าใหม่ซ้ำได้บ่อย ๆ 
  • การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีความเข้มข้นสูง อาจทำให้ผิวอักเสบและเสียสมดุล จนเกิดการระคายเคืองซ้ำ ๆ  ส่งผลให้เม็ดสีทำงานผิดปกติและเกิดฝ้าได้ง่าย 
  • ผิวแห้งและขาดการบำรุง จะไวต่อการถูกกระตุ้นจากแสงแดด หรือสารระคายเคือง ทำให้เกิดโอกาสการเกิดฝ้าหรือฝ้ากลับมาเข้มขึ้นได้

 

ปัจจัยจากอาหารและพฤติกรรมการใช้ชีวิต สามารถกระตุ้นให้เกิดฝ้าหรือฝ้ากลับมาเข้มขึ้นได้จากปัจจัย ดังนี้

  • อาหารที่มีน้ำตาลสูงหรือไขมันสูง สามารถกระตุ้นกระบวนการอักเสบใยร่างกายและทำให้เซลล์เม็ดสีทำงานมากขึ้น ส่งผลให้เมลานินสะสมบนผิวและเกิดฝ้าได้ง่ายขึ้น
  • การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ ทำให้ผิวเสื่อมสภาพ ซึ่งส่งผลต่อการทำงานของเซลล์เม็ดสี ทำให้เกิดฝ้าได้ง่ายขึ้น
  • การนอนพักผ่อนไม่เพียงพอ จะรบกวนสมดุลฮอร์โมนในร่างกาย และลดประสิทธิภาพการซ่อมแซมผิวในช่วงกลางคืน ทำให้เม็ดสีทำงานผิดปกติและรอยฝ้ากลับมาเข้มขึ้น

 

ปัจจัยอื่น ๆ ก็สามารถกระตุ้นให้ฝ้าเกิดขึ้นหรือกลับมาเข้มขึ้นได้อีกด้วย โดยปัจจัยอื่น ๆ ที่สามารถกระตุ้นให้เกิดฝ้าซ้ำได้ มีดังนี้

  • การรับประทานยาบางประเภท สามารถทำให้ร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนหรือเพิ่มความไวต่อแสงแดด ส่งผลให้เซลล์เม็ดสีทำงานมากขึ้นและเกิดฝ้าได้ง่ายขึ้น
  • กรรมพันธุ์บางชนิด อาจเกี่ยวข้องกับความไวของเซลล์เม็ดสี หรือการตอบสนองต่อรังสี UV ต่างกัน ทำให้ถ้าคนในครอบครัวเคยเป็นฝ้า ก็มีแนวโน้มที่บุตรจะมีโอกาสเป็นฝ้าได้มากกว่าคนปกติ
  • การตั้งครรภ์ ร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนมากกว่าปกติ ทำให้เซลล์เม็ดสีไวต่อแสงมากขึ้น จนเกิดการผลิตเมลานินมากกว่าปกติ จนก่อให้เกิดฝ้าได้

ปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดฝ้าซ้ำ สามารถเกิดได้จากหลายปัจจัยทั้งแสงแดด ฮอร์โมน การดูแลผิว พฤติกรรม รวมถึงพันธุกรรม การรู้ปัจจัยเสี่ยงกระตุ้นต่าง ๆ เหล่านี้ จะช่วยวางแผนป้องกันฝ้าได้อย่างเหมาะสม และรักษาผิวให้สม่ำเสมอและสุขภาพดี

 

ทำไมวิธีป้องกันฝ้าจึงมีความจำเป็น
ทำไมวิธีป้องกันฝ้าจึงมีความจำเป็น

 

ทำไมวิธีป้องกันฝ้าจึงมีความจำเป็น

ฝ้าเป็นปัญหาผิวที่เกิดได้บ่อยและสามารถเป็นซ้ำได้ง่าย หากเป็นฝ้าแล้วนั้นการรักษาฝ้าจะต้องใช้เวลาและความต่อเนื่องตามแผนการรักษา ดังนั้นการป้องกันฝ้าจึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยเหตุผลที่ทำให้วิธีป้องกันฝ้ามีความสำคัญ มีดังนี้

  • ฝ้ารักษาได้ยากและกลับมาเป็นซ้ำได้ง่าย

แม้ว่าการรักษาฝ้าด้วยวิธีต่าง ๆ จะช่วยให้ฝ้าจางลงได้ แต่เซลล์เม็ดสีใต้ผิวหนังยังคงมีแนวโน้มไวต่อสิ่งกระตุ้นต่าง ๆ ทำให้ฝ้ากลับมาเกิดซ้ำได้ง่าย ดังนั้นการเริ่มป้องกันฝ้าตั้งแต่เนิ่นจะช่วยลดโอกาสการเกิดฝ้าใหม่และลดโอกาสการเกิดฝ้าซ้ำได้นานยิ่งขึ้น

  • ช่วยลดความเสียหายของผิวได้ในระยะยาว

การป้องกันฝ้าไม่ได้ช่วยลดเพียงแค่ช่วยลดฝ้าและรอยดำ แต่ยังช่วยดูแลผิวเชิงลึก ไม่ทำให้ผิวบางและเกิดริ้วรอยก่อนวัย รวมถึงช่วยให้ผิวแข็งแรง และลดการเสื่อมสภาพได้อีกด้วย

  • ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในอนาคต

การรักษาฝ้ามักต้องใช้เวลานานและมีค่าใช้จ่ายสูง ทั้งค่ารักษาและค่าดูแลต่อเนื่อง การป้องกันจึงเป็นทางเลือกที่คุ้มค่ากว่า เพราะสามารถทำได้ในชีวิตประจำวัน ช่วยประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายในการรักษาฝ้าในระยะยาว

  • ช่วยรักษาความมั่นใจและทำให้ผิวแลดูสุขภาพดีอยู่เสมอ

ฝ้ามักเกิดบริเวณที่สังเกตเห็นได้ง่าย ซึ่งส่งผลต่อภาพลักษณ์และความมั่นใจของแต่ละคน การป้องกันฝ้าอย่างสม่ำเสมอช่วยให้ผิวหน้าดูกระจ่างใส เรียบเนียน และส่งผลให้รู้สึกมั่นใจมากขึ้นในชีวิตประจำวัน

 

5 วิธีป้องกันฝ้า เพื่อผิวหน้าเรียบเนียนใสห่างไกลการเกิดฝ้า

การรักษาฝ้าต้องใช้ระยะเวลาและต้องรักษาอย่างต่อเนื่อง หลายขั้นตอน การป้องกันฝ้าตั้งแต่ต้นจึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่าที่จะช่วยประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในอนาคตได้ โดย 5 วิธีป้องกันฝ้าเพื่อผิวหน้าเรียบเนียนกระจ่างใส มีดังนี้

  • ทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวัน 

การทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวันเป็นวิธีป้องกันฝ้าที่มีประสิทธิภาพสูง เนื่องจากเป็นวิธีที่ช่วยป้องกันรังสี UVA , UVB และแสงสีฟ้าจากจอมือถือหรือคอมพิวเตอร์ที่เป็นต้นเหตุในการกระตุ้นให้เกิดฝ้าได้ง่าย การเลือกครีมกันแดดควรเลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไป และมีค่า PA+++ หรือมากกว่า และควรทาซ้ำทุก ๆ 2-3 ชั่วโมงเมื่ออยู่กลางแจ้ง

  • รับประทานอาหารบำรุงผิว 

การรับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ ถือเป็นวิธีการป้องกันฝ้าได้จากภายใน เนื่องจากสารต้านอนุมูลอิสระที่อยู่ในอาหารต่าง ๆ จะช่วยในการลดการอักเสบของผิวและการยับยั้งการสร้างเม็ดสี ทำให้ผิวดูสว่าง กระจ่างใสขึ้น และลดโอกาสการเกิดฝ้าใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  • พักผ่อนให้เพียงพอ ลดความเครียด 

หากต้องการป้องกันฝ้าการพักผ่อนที่เพียงพอและการจัดการความเครียดอย่างเหมาะสม ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ช่วยในการป้องกันฝ้าที่มีประสิทธิภาพ เพราะเมื่อร่างกายอยู่ในภาวะความเครียด จะหลั่งฮอร์โมนที่มีส่วนกระตุ้นในการผลิตเม็ดสีเมลานินมากขึ้น ทำให้เกิดรอยคล้ำและฝ้าได้ง่าย อีกทั้งหากพักผ่อนไม่เพียงพอจะทำให้ร่างกายฟื้นฟูได้ไม่เต็มที่ รวมถึงระดับคอลลาเจนในผิวลดลง 

  • หลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นฝ้า 

การหลีกเลี่ยงสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดฝ้าเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันฝ้า เพราะถึงแม้จะดูแลผิวดีแต่หากยังสัมผัสกับปัจจัยกระตุ้นบ่อย ๆ ฝ้าก็สามารถกลับมาได้อีก การหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นฝ้านอกจากจะช่วยลดโอกาสการเกิดฝ้าใหม่แล้ว ยังช่วยให้การดูแลผิวหรือการรักษาฝ้าที่ทำอยู่เห็นผลได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น

  • บำรุงผิวด้วยผลิตภัณฑ์ลดเม็ดสีอย่างสม่ำเสมอ

การบำรุงผิวเป็นประจำด้วยผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดการสร้างเม็ดสีเมลานิน เช่น Niacinamide หรือ Vitamin C ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยป้องกันฝ้าและลดเลือนฝ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

การป้องกันฝ้าไม่ใช่เรื่องยาก หากเริ่มดูแลผิวอย่างถูกวิธีซึ่งสามารถทำได้ ทั้งการทาครีมกันแดดเป็นประจำ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และพักผ่อนให้เพียงพอ ง่าย ๆ เพียงเท่านี้ก็จะช่วยให้ผิวหน้าดูเรียบเนียน กระจ่างใส และห่างไกลการเกิดฝ้าได้

 

อาหารที่ช่วยป้องกันฝ้า พร้อมเคล็ดลับการกินเพื่อผิวใสเรียบเนียนไร้ฝ้า
อาหารที่ช่วยป้องกันฝ้า พร้อมเคล็ดลับการกินเพื่อผิวใสเรียบเนียนไร้ฝ้า

 

อาหารที่ช่วยป้องกันฝ้า พร้อมเคล็ดลับการกินเพื่อผิวใสเรียบเนียนไร้ฝ้า

อาหารถือเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยป้องกันฝ้าได้ เพราะถ้าหากผิวสุขภาพดีจากภายใน จะช่วยลดการสร้างเม็ดสีผิดปกติและฟื้นฟูผิวให้แข็งแรงได้ โดยอาหารที่สารสำคัญที่ช่วยป้องกันฝ้าได้ มีดังนี้

  • ส้ม เป็นผลไม้ที่อุดมด้วยวิตามินซี และเยื่อสีขาวรอบเนื้อส้มมีวิตามิน P ที่ช่วยเสริมการดูดซึมวิตามินซี โดยการรับประทานส้มจะช่วยสร้างคอลลาเจน ลดความไวต่อแสง ลดการเกิดฝ้าและจุดด่างดำจากเม็ดสีเมลานิน ช่วยให้ผิวแข็งแรง ยืดหยุ่น อีกทั้งยังส้มยังมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ผิว ทำให้ผิวกระจ่างใสอีกด้วย
  • วิตามินซี เป็นสารอาหารสำคัญที่ช่วยซ่อมแซมเซลล์ผิว และสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวแข็งแรง ลดเลือนฝ้า จุดด่างดำ และปรับสีผิวให้สม่ำเสมอได้อีกด้วย
  • ผลไม้ตระกูลเบอรี่ มักมีสารแอนโธไซยานินซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีฤทธิ์ช่วยปกป้องผิวจากความเสียหายของเซลล์และการเกิดริ้วรอย
  • มะเขือเทศ เป็นอาหารที่อุดมไปด้วยไลโคปีน ซึ่งเป็นสารที่ช่วยปกป้องผิวจากการทำลายของรังสี UV และมลภาวะ รวมถึงช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานินที่เป็นสาเหตุของฝ้าและจุดด่างดำได้
  • ปลาแซลมอน เป็นแหล่งอาหารที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง ช่วยปกป้องผิวจากความเสียหายของเซลล์ที่เกิดจากแสงแดดและมลภาวะ
  • กาแฟ มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องผิวจากความเสียหายที่เกิดจากรังสี UV และมลภาวะ อีกทั้งยังช่วยลดการอักเสบของผิวและยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานิน จึงช่วยลดความหมองคล้ำ ฝ้า และจุดด่างดำที่เกิดจากแสงแดดได้
  • ชาเขียว มีสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพ และมีคุณสมบัติในการช่วยปกป้องผิวจากการถูกทำลายโดยรังสี UV ที่เป็นสาเหตุของฝ้าและจุดด่างดำ  รวมถึงช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานินได้ จึงลดโอกาสการเกิดฝ้าได้อีกด้วย
  • แอปเปิ้ล เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยโพลีฟีนอลและวิตามินซี ซึ่งมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยชะลอการเสื่อมของเซลล์ผิว ป้องกันการเกิดริ้วรอย และลดการอักเสบที่อาจกระตุ้นให้เกิดฝ้าได้
  • เนื้อแดง เป็นแหล่งสำคัญของธาตุเหล็ก ที่มีส่วนช่วยให้เลือดไหลเวียนดีและส่งออกซิเจนไปเลี้ยงผิวได้อย่างเต็มที่ ลดการเกิดอนุมูลอิสระที่เป็นสาเหตุของฝ้าและจุดด่างดำได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

ทำไมฝ้าถึงเกิดขึ้นได้บ่อย
ทำไมฝ้าถึงเกิดขึ้นได้บ่อย

 

ทำไมฝ้าถึงเกิดขึ้นได้บ่อย

ฝ้ามักเกิดขึ้นได้บ่อยและสามารถเกิดซ้ำได้แม้จะรักษาฝ้าหายแล้ว เนื่องจากมีหลายปัจจัยที่ส่งผลร่วมกันต่อการทำงานของเซลล์สร้างเม็ดสี ทำให้ผลิตเม็ดสีมากเกินไปจนเกิดมาเป็นฝ้าขึ้นอีกครั้งได้ โดยสาเหตุที่ทำให้เกิดฝ้าได้บ่อยและเกิดซ้ำได้ มีดังนี้

  • เม็ดสีบางส่วนในผิวยังทำงานผิดปกติหรือไวต่อการกระตุ้น

แม้ว่าจะรักษาฝ้าหายแล้ว แต่ถ้าหากเซลล์เม็ดสีเมลานินบางส่วนยังคงมีความไวต่อปัจจัยกระตุ้นต่าง ๆ เมื่อได้รับการกระตุ้นอีกครั้ง เม็ดสีเหล่านี้จะยังคงผลิตเมลานินมากขึ้น ทำให้เกิดฝ้าซ้ำบ่อย ๆ ได้ง่าย และในบางครั้งยังทำให้รอยฝ้ามีลักษณะเข้มขึ้นหรือขยายกว้างขึ้นได้อีกด้วย

  • การสะสมของเมลานินลึกในผิว 

ในบางบุคคลที่มีการสะสมของเมลานินในชั้นหนังแท้ (Dermis) ซึ่งยากต่อการรักษาด้วยวิธีทั่วไป แม้ฝ้าจะจางลงแต่เมลานินที่ลึกยังคงอยู่ ฝ้าก็อาจจะกลับมาเกิดได้อีกซ้ำหากได้รับปัจจัยกระตุ้นอีกครั้ง 

  • โครงสร้างผิวบางคนมีแนวโน้มเกิดฝ้าได้ง่าย

ปัจจัยและพันธุกรรมมีบทความสำคัญในการเกิดฝ้าซ้ำได้ โดยในผู้ที่ไวต่อแสงหรือมีการจัดเรียงของเซลล์เม็ดสีที่ทำให้เกิดการผลิตเมลานินง่าย จะมีโอกาสเกิดฝ้าและกลับมาเป็นซ้ำได้ง่ายกว่าปกติ

ฝ้าเป็นปัญหาที่เกิดซ้ำได้ เนื่องจากเซลล์เม็ดสีบางส่วนยังไวต่อการกระตุ้นเมลานินสะสมลึกในผิว และโครงสร้างผิวบางชนิดมีแนวโน้มเกิดฝ้าง่าย การป้องกันและดูแลผิวอย่างต่อเนื่อง

 

หลังรักษาฝ้าควรปฏิบัติตัวอย่างไร? เพื่อป้องกันฝ้าไม่ให้กลับมา
หลังรักษาฝ้าควรปฏิบัติตัวอย่างไร? เพื่อป้องกันฝ้าไม่ให้กลับมา

 

หลังรักษาฝ้าควรปฏิบัติตัวอย่างไร? เพื่อป้องกันฝ้าไม่ให้กลับมา

หลังจากการรักษาฝ้าไม่ว่าจะด้วยวิธีเลเซอร์ , วิธีทางการแพทย์ต่าง ๆ  หรือทาครีม การดูแลผิวอย่างถูกวิธีหลังการรักษา ถือเป็นขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยป้องกันฝ้าไม่ให้กลับมาในอนาคต โดยหลังการรักษาฝ้าสามารถปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันฝ้ากลับมาซ้ำได้ ดังนี้

  • ทาครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ แม้วันที่อยู่ในร่มและควรทาซ้ำทุก ๆ 2-3 ชั่วโมงหากออกแดดกลางแจ้ง 
  • หลีกเลี่ยงแสงสีฟ้าและความร้อน ในช่วง 1-2 สัปดาห์แรกหลังการรักษา เพื่อหลีกเลี่ยงการกระตุ้นเม็ดสี ไม่ให้เกิดฝ้าซ้ำ
  • บำรุงผิวให้แข็งแรงและชุ่มชื้น ซึ่งสามารถทำได้ด้วยการทาครีม มอยเจอไรเซอร์ และเซรั่มต่าง ๆ และควรหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิวแรง ๆ ใน 1-2 สัปดาห์แรก
  • ป้องกันไม่ให้ผิวเกิดการระคายเคือง เนื่องจากผิวจะอยู่ในภาวะไวต่อสิ่งกระตุ้นมากขึ้น การดูแลผิวอย่างเหมาะสม ไม่ให้เกิดการระคายเคือง จะช่วยลดความเสี่ยงการเกิดฝ้าซ้ำในอนาคตได้
  • ดูแลสุขภาพโดยรวมให้เหมาะสมหลังการรักษาฝ้า โดยสามารถทำได้ด้วยการนอนหลักพักผ่อนและดื่มน้ำให้เพียงพอ ทานอาหารที่ช่วยบำรุงผิว ควบคุมระดับความเครียด เพื่อลดโอกาสการเกิดฝ้าในอนาคต

 

การปฏิบัติตัวหลังรักษาฝ้าควรป้องกันผิวจากแสงแดดอย่างสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงลดความร้อนและแสงสีฟ้า รวมถึงควรบำรุงผิวอย่างเหมาะสมและป้องกันผิวไม่ให้เกิดการระคายเคือง เพื่อให้ผิวสามารถฟื้นตัวได้ไว ลดโอกาสฝ้ากลับมา และทำให้ผลลัพธ์การรักษาที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

สรุปวิธีการป้องกันฝ้า เพื่อผิวหน้ากระจ่างใสไร้ฝ้า 

วิธีป้องกันฝ้าควรเริ่มต้นจากความเข้าใจก่อนว่า ฝ้าเกิดจากการทำงานผิดปกติการผลิตเม็ดสีเมลานิน ทำให้เกิดจุดด่างดำหรือสีผิวไม่สม่ำเสมอ ซึ่งปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดฝ้าซ้ำเกิดได้จากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็น แสงแดด ฮอร์โมน ความเครียด หรือการรับประทานยาหรือสารบางชนิด รวมถึงพันธุ์กรรมและการระคายเคืองของผิว 

ดังนั้นการป้องกันฝ้าจึงต้องเริ่มจากการปกป้องผิวจากแสงแดดอย่างสม่ำเสมอ และควรรับประทานอาหารบำรุงผิว  พักผ่อนให้เพียงพอ ควบคุมความเครียด จนไปถึงการหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นฝ้า และบำรุงผิวด้วยผลิตภัณฑ์ลดเม็ดสีอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้หากต้องการป้องกันฝ้าในระยะยาวจำเป็นต้องดูแลทั้งภายในและภายนอกร่างกาย ควบคู่ไปกับการปรับพฤติกรรม เพื่อให้ผิวเรียบเนียนสม่ำเสมอ ลดโอกาสการเกิดฝ้าได้นานยิ่งขึ้น

*ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลและเงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด