ผิวใส มีวิธีดูแลอย่างไร? ต่างจากผิวขาวอย่างไร? หัตถการผิวใสมีอะไรบ้าง?

ผิวใส มีวิธีดูแลอย่างไร?

การมีผิวใสเป็นสิ่งที่หลายคนต้องการ นอกจากจะแสดงให้เห็นถึงผิวดูเรียบเนียน ชุ่มชื้น และกระจ่างใสแล้ว ยังบ่งบอกถึงผิวที่ดูสุขภาพดี และเปล่งปลั่งจากภายใน โดยไม่จำเป็นต้องขาวเสมอไป ซึ่งหลาย ๆ คนมักเกิดความเข้าใจผิดว่า ผิวใสต้องหมายถึงผิวขาวเท่านั้น แต่ในความจริงแล้ว ผิวใสกับผิวขาวมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน บทความนี้จะพาทุกคนมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับผิวใสว่า ผิวใสคืออะไร? มีลักษณะอย่างไร? แล้วต่างจากผิวขาวอย่างไร? พร้อมแชร์วิธีดูแลตัวเอง และรวมหัตถการผิวใสฉบับรมย์รวินท์คลินิก

 

ผิวใสคืออะไร?
ผิวใสคืออะไร?

 

ผิวใสคืออะไร?

ผิวใส คือ สภาพผิวที่มีความกระจ่างใส เรียบเนียน เปล่งปลั่ง ผิวมีความนุ่ม ชุ่มชื้น สีผิวสม่ำเสมอ ไม่หมองคล้ำ และไม่แห้งลอก ซึ่งการมีผิวใสนั้นไม่ได้หมายความว่าต้องเป็นผิวขาวเสมอไป แต่เป็นผิวที่ดูสุขภาพดีจากภายใน โดยสะท้อนให้เห็นถึงการดูแลเอาใจใส่ตัวเองอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการใช้สกินแคร์ที่เหมาะสม ทาครีมกันแดดเป็นประจำ ดื่มน้ำตลอดทั้งวัน พักผ่อนอย่างเพียงพอ รวมถึงรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อให้ผิวได้รับการดูแลอย่างครอบคลุม ทั้งจากภายใน และภายนอก

 

ผิวใสมีลักษณะอย่างไร?

การมีผิวใสสามารถสังเกตได้จากสภาพผิวของตัวเองเบื้องต้น ดังนี้

  • สีผิวสม่ำเสมอ มีความกระจ่างใส เปล่งปลั่ง ไม่หมองคล้ำ  ไม่มีจุดด่างดำ หรือรอยสิวที่มองเห็นได้ชัด
  • ผิวเรียบเนียน มีความละเอียด รูขุมขนกระชับ ผิวไม่ขรุขระ และปราศจากสิวที่มองเห็นได้ชัด
  • ผิวชุ่มชื้น มีความนุ่มเด้ง ดูสุขภาพดี มีความอิ่มน้ำ ฉ่ำวาว ไม่แห้งกร้าน และไม่ลอกเป็นขุย
  • ผิวยืดหยุ่น มีความเต่งตึง ไม่หย่อนคล้อย ไม่มีริ้วรอย และร่องลึกที่มองเห็นได้ชัด

 

ผิวใส กับ ผิวขาวต่างกันอย่างไร?
ผิวใส กับ ผิวขาวต่างกันอย่างไร?

 

ผิวใส กับ ผิวขาวต่างกันอย่างไร?

การมีผิวใส และการมีผิวขาวนั้นมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนในหลาย ๆ ด้าน ดังนี้

  • ผิวใส

ผิวใส เป็นลักษณะผิวที่มีความกระจ่างใส ดูสุขภาพดี เรียบเนียน ชุ่มชื้น ดูเปล่งปลั่ง และสีผิวสม่ำเสมอ โดยไม่มีความหมองคล้ำ และไม่มีจุดด่างดำบนใบหน้าที่เห็นได้ชัด ซึ่งการมีผิวใสนั้นสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกสีผิว ไม่จำเป็นต้องเป็นผิวขาวเสมอไป โดยจะสะท้อนให้เห็นถึงการดูแลผิวอย่างเหมาะสม เช่น การใช้สกินแคร์ การทาครีมกันแดด การดื่มน้ำ การพักผ่อน การรับประทานอาหาร หรือแม้แต่การออกกำลังกาย

  • ผิวขาว

ผิวขาว เป็นลักษณะผิวที่มีโทนสีผิวอ่อน หรือซีดกว่าสีผิวทั่วไป โดยเป็นผลมาจากปริมาณเม็ดสีเมลานิน (Melanin) ในผิวที่มีอยู่น้อย รวมถึงลักษณะทางพันธุกรรมของแต่ละบุคคลที่มีมาแต่กำเนิด ซึ่งการมีผิวขาวนั้นไม่ได้หมายถึงมีผิวใสเสมอไป ในบางรายผู้ที่มีผิวขาวก็อาจมีปัญหาผิวอื่น ๆ ร่วมด้วยได้ เช่น สิว รอยสิว จุดด่างดำ รูขุมขนกว้าง หรือผิวแห้งกร้าน ซึ่งล้วนส่งผลให้ผิวดูโทรม และไม่สดใสทั้งสิ้น

 

สาเหตุที่ทำให้ผิวไม่ใส
สาเหตุที่ทำให้ผิวไม่ใส

 

สาเหตุที่ทำให้ผิวไม่ใส

สาเหตุที่ทำให้ผิวไม่ใส โดยทั่วไปสามารถเกิดขึ้นได้จากปัจจัยภายใน และปัจจัยภายนอก ดังนี้

  • ใช้สกินแคร์ไม่เหมาะกับสภาพผิว

การใช้สกินแคร์ที่ไม่เหมาะกับสภาพผิว หรือใช้สกินแคร์ที่มีส่วนผสมรุนแรง เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ผิวไม่ใส เนื่องจากผิวของแต่ละคนมีความต้องการที่แตกต่างกัน หากเลือกใช้สกินแคร์ผิดอาจทำให้ผิวเสียสมดุล จนเกราะป้องผิวถูกทำลาย และนำไปสู่ปัญหาผิวอื่น ๆ ได้ 

  • ทำความสะอาดผิวไม่ถูกต้อง

การทำความสะอาดผิวไม่ถูกต้อง เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ผิวไม่ใส เนื่องจากสิ่งสกปรก ฝุ่น ควัน หรือคราบเครื่องสำอางอาจตกค้างอยู่ในผิวหนัง จนทำให้เกิดการอุดตันในรูขุมขน ส่งผลให้ผิวไม่เรียบเนียน ไม่สดใส และเกิดสิวตามมาได้ง่าย

  • ผลัดเซลล์ผิวบ่อยเกินไป

การผลัดเซลล์ผิวบ่อยเกินความจำเป็น หรือผลัดเซลล์ผิวอย่างรุนแรง เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ผิวไม่ใส เนื่องจากการผลัดเซลล์ผิวบ่อย จะทำลายเกราะป้องกันผิว ทำให้ผิวอ่อนแอ แสบ แดง และระคายเคืองได้ง่าย อีกทั้งยังกระตุ้นให้ผิวเกิดการอักเสบ และทำให้ผิวสูญเสียน้ำ ส่งผลให้ผิวแห้งกร้าน ไม่เรียบเนียน สีผิวดูไม่สม่ำเสมอ และอาจเกิดสิวตามมาได้

  • แสงแดด รังสี UV

รังสี UV จากแสงแดด เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ผิวไม่ใส เนื่องจากรังสี UV จะกระตุ้นการสร้างเม็ดสีเมลานินเพิ่มขึ้น และกระตุ้นการสร้างเอนไซม์ที่ชื่อว่า MMPs (Matrix Metalloproteinases) ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ทำให้คอลลาเจน และอีลาสตินเสื่อมสภาพ ทำให้ผิวเกิดความหมองคล้ำ มีจุดด่างดำ ผิวแห้งกร้าน และขาดความยืดหยุ่นได้ง่าย

  • มลภาวะต่าง ๆ 

มลภาวะต่าง ๆ ที่เผชิญในชีวิตประจำวัน เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ผิวไม่ใส เนื่องจากมลภาวะในอากาศมักมีอนุภาคขนาดเล็กที่สามารถแทรกซึม และสะสมอยู่ในผิวหนัง ทำให้เกิดอนุมูลอิสระ และทำให้เกราะป้องกันผิวเสียสมดุล ส่งผลให้ผิวดูโทรม ไม่เรียบเนียน ไม่สดใส ขาดความยืดหยุ่น และดูหมองคล้ำได้ง่าย

  • เครียดสะสม

ความเครียดสะสม เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ผิวไม่ใส เนื่องจากเมื่อมีความเครียด ร่างกายจะกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลเพิ่มขึ้น ทำให้คอลลาเจน และอีลาสตินผลิตได้น้อยลง รวมถึงยังทำให้ระบบไหลเวียนเลือดทำงานได้ไม่เต็มที่ ส่งผลผิวได้รับสารอาหาร และออกซิเจนน้อยลง จนผิวดูหมองคล้ำ ไม่สดใส และเสื่อมสภาพได้ง่าย

  • พักผ่อนไม่เพียงพอ

การพักผ่อนไม่เพียงพอ เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ผิวไม่ใส เนื่องจากผิวไม่ได้รับซ่อมแซมตัวเองขณะหลับ ทำให้การผลิตคอลลาเจน และอีลาสตินลดลง รวมถึงยังกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลเพิ่มขึ้น ซึ่งฮอร์โมนนี้จะไปกระตุ้นการทำงานของต่อมไขมัน ทำให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมัน (Sebum) ออกมามากกว่าปกติ ส่งผลให้เกิดสิว ผิวดูโทรม หมองคล้ำ และไม่เรียบเนียนได้ง่าย

  • รับประทานอาหารที่มีน้ำตาลสูง

การรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลสูง เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ผิวไม่ใส เนื่องจากน้ำตาลจะไปจับกับโปรตีนในร่างกาย จนเกิดสารที่เรียกว่า AGEs (Advanced Glycation End Products) ที่ทำให้คอลลาเจน และอีลาสตินเปราะบาง และเสื่อมสภาพได้ง่าย อีกทั้งยังกระตุ้นให้เกิดการอักเสบ จนทำให้ผิวหมองคล้ำ ดูโทรม ไม่สดใส และเกิดปัญหาสิวตามมาได้

  • ดื่มแอลกอฮอล์ 

การดื่มแอลกอฮอล์ เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ผิวไม่ใส เนื่องจากเมื่อดื่มแอลกอฮอล์อย่างต่อเนื่อง ร่างกายจะเกิดการขับน้ำออกมามากกว่าปกติ ทำให้ผิวสูญเสียน้ำ และขาดความชุ่มชื้นได้ง่าย อีกทั้งยังกระตุ้นให้เกิดการอักเสบในร่างกาย ทำให้ผิวแดง ระคายเคือง ดูโทรม และไม่สดใสได้

  • สูบบุหรี่

การสูบบุหรี่ เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ผิวไม่ใส เนื่องจากสารนิโคติน (Nicotine) จะเข้าไปรบกวนการไหลเวียนของเลือด ทำให้เลือดไหลเวียนได้น้อยลง จนส่งผลให้ผิวดูโทรม หมองคล้ำ และไม่สดใสได้ อีกทั้งสารพิษในบุหรี่ยังก่อให้เกิดอนุมูลอิสระเป็นจำนวนมาก ทำให้คอลลาเจน และอีลาสตินผลิตลดลง ส่งผลให้ผิวแห้งกร้าน ขาดความยืดหยุ่น และเกิดปัญหาผิวอื่น ๆ ตามมาได้

 

วิธีดูแลตัวเองให้มีผิวใส
วิธีดูแลตัวเองให้มีผิวใส

 

วิธีดูแลตัวเองให้มีผิวใส

การดูแลตัวเองให้มีผิวใสสามารถทำได้หลากหลายวิธี ซึ่งโดยทั่วไปวิธีที่ช่วยให้ผิวใส มีดังนี้

  • ทำความสะอาดผิวอย่างถูกวิธี

การทำความสะอาดผิวอย่างถูกวิธีสามารถช่วยให้ผิวใสได้ เนื่องจากการล้างหน้าเป็นขั้นตอนพื้นฐานในการทำความสะอาดผิว เพื่อกำจัดสิ่งสกปรก และความมันส่วนเกินที่อุดตันอยู่ในรูขุมขน ทำให้ผิวมีความสมดุล และพร้อมรับการบำรุงในขั้นตอนถัดไป ซึ่งจะแนะนำให้เลือกผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวสูตรอ่อนโยน และไม่มีส่วนผสมของสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง รวมถึงมีค่า pH ที่เหมาะกับสภาพผิว

  • ใช้สกินแคร์ที่ตรงกับสภาพผิว

การใช้สกินแคร์ที่ตรงกับสภาพผิวสามารถช่วยให้ผิวใสได้ เนื่องจากผิวแต่ละประเภทมีความต้องการที่แตกต่างกัน การเลือกสกินแคร์ที่เหมาะสมนั้นจะช่วยแก้ปัญหาผิวได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และทำให้ผลลัพธ์จากการบำรุงมีความชัดเจนขึ้น ซึ่งสำหรับผู้ที่มีผิวมัน แนะนำให้เลือกสกินแคร์ที่ช่วยควบคุมความมัน และลดการเกิดสิว ในขณะที่ผู้ที่มีผิวแห้ง แนะนำให้เลือกสกินแคร์ที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น และเสริมเกราะป้องกันผิว รวมถึงผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย แนะนำให้เลือกสกินแคร์สูตรอ่อนโยนที่ปราศจากน้ำหอม พาราเบน หรือแอลกอฮอล์ เพื่อลดการระคายเคือง

  • ใช้ครีมกันแดดทุกวัน

การใช้ครีมกันแดดทุกวันสามารถช่วยให้ผิวใสได้ เนื่องจากครีมกันแดดมีคุณสมบัติในการปกป้องผิวจากรังสี UV ซึ่งเป็นตัวการที่ทำให้ผิวหมองคล้ำ ดูโทรม ไม่สดใส และเสื่อมสภาพก่อนวัย โดยจะแนะนำให้เลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF ตั้งแต่ 30 ขึ้นไป และมีค่า PA +++ ยิ่งค่าสูงเท่าไหร่ ยิ่งสามารถปกป้องผิวได้มากเท่านั้น ซึ่งควรทาครีมกันแดดก่อนเจอแสงแดดอย่างน้อย 15 – 30 นาที และทาซ้ำทุก ๆ 2 ชั่วโมง เมื่อทำกิจกรรมกลางแจ้ง

  • ผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยน

การผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยนสามารถช่วยให้ผิวใสได้ เนื่องจากการผลัดเซลล์ผิวเป็นการขจัดเซลล์ผิวเก่าที่ตายแล้วออกไป เพื่อกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาทดแทน ลดการอุดตันในรูขุมขน และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสกินแคร์ให้ซึมซาบได้ดีมากขึ้น ซึ่งจะแนะนำให้ผลัดเซลล์ผิวสัปดาห์ละ 1 – 2 ครั้ง รวมถึงหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิวที่มีส่วนผสมของสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง เช่น แอลกอฮอล์ หรือน้ำหอม 

  • มาสก์หน้าเป็นประจำ

การมาสก์หน้าติดต่อกันเป็นประจำสามารถช่วยให้ผิวใสได้ เนื่องจากเป็นการบำรุงผิวอย่างเข้มข้นภายในระยะเวลาอันสั้น จึงจะให้ผลลัพธ์ที่รวดเร็วกว่าการใช้สกินแคร์ทั่วไป ซึ่งจะแนะนำให้มาสก์หน้าสัปดาห์ละ 2 – 3 ครั้ง และเลือกสูตรมาสก์ที่เหมาะกับสภาพผิว เช่น ผิวแห้งควรเลือกมาสก์สูตรเพิ่มความชุ่มชื้น ในขณะที่ผิวมันควรเลือกมาสก์สูตรควบคุมความมัน และลดสิว โดยหลีกเลี่ยงมาสก์ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ น้ำหอม หรือสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง

  • ดื่มน้ำสม่ำเสมอ

การดื่มน้ำอย่างสม่ำเสมอสามารถช่วยให้ผิวใสได้ เนื่องจากน้ำมีบทบาทสำคัญต่อการทำงานของเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย โดยเฉพาะเซลล์ผิวหนัง ซึ่งจะช่วยรักษาความสมดุลของผิว เพิ่มความชุ่มชื้น ขับของเสียออกจากร่างกาย และกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ทำให้ผิวแข็งแรง และดูสุขภาพดีจากภายใน โดยจะแนะนำให้ค่อย ๆ ดื่มน้ำตลอดทั้งวันอย่างน้อยวันละ 1.5 – 2 ลิตร และหลีกเลี่ยงการดื่มทีเดียวในปริมาณมาก 

  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์

การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์สามารถช่วยให้ผิวใสได้ เนื่องจากอาหารมีผลโดยตรงต่อร่างกาย และสุขภาพของผิว ซึ่งจะแนะนำให้เลือกรับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง เช่น วิตามินซี วิตามินอี เบตาแคโรทีน หรือกรดโอเมก้า 3 โดยสามารถพบสารอาหารเหล่านี้ได้ในปลาทะเลน้ำลึก ผักใบเขียว มะเขือเทศ ผลไม้รสเปรี้ยว ผลไม้ตระกูลเบอร์รี ชาเขียว ถั่ว และเมล็ดพืช

  • พักผ่อนให้เพียงพอ

การพักผ่อนให้เพียงพอสามารถช่วยให้ผิวใสได้ เนื่องจากระหว่างการนอนหลับ ร่างกายจะเกิดการซ่อมแซมตัวเอง ทำให้ผิวได้รับการฟื้นฟู และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนเพิ่มขึ้น ซึ่งจะแนะนำให้นอนหลับอย่างน้อยวันละ 7 – 8 ชั่วโมง รวมถึงเข้านอน และตื่นนอนให้เป็นเวลาเดียวกันทุกวัน หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน แอลกอฮอล์ และรับประทานอาหารมื้อดึกก่อนนอน เพื่อให้ร่างกายพร้อมสำหรับการนอนหลับ

  • ออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง

การออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องสามารถช่วยให้ผิวใสได้ เนื่องจากการออกกำลังกายมีผลโดยตรงต่อสุขภาพร่างกาย และเซลล์ผิว ซึ่งจะช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือด ทำให้เซลล์ผิวได้รับออกซิเจน และสารอาหารมากขึ้น รวมถึงช่วยขับสารพิษ และของเสียออกจากร่างกาย ทำให้ลดโอกาสการอุดตันของรูขุมขน โดยจะแนะนำให้ออกกำลังกายสัปดาห์ละ 3 – 4 ครั้ง ประมาณวันละ 30 นาที ควบคู่ไปกับการดื่มน้ำให้มาก ๆ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ผิวใสจากภายในอย่างแท้จริง

  • ทำหัตถการผิวใส

การทำหัตถการทางแพทย์สามารถช่วยให้ผิวใสได้ โดยเฉพาะหัตถการผิวใสกลุ่ม Skin Booster และหัตถการผิวใสกลุ่มกระตุ้นคอลลาเจน ซึ่งเป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพสูงในการฟื้นฟู และบำรุงผิวโดยตรง ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่มีความรวดเร็ว และชัดเจนกว่าการใช้สกินแคร์ทั่วไป โดยจะแนะนำให้เลือกหัตถการผิวใสที่เหมาะกับสภาพผิว เช่น Rejuran, Plinest, Ultracol, Profhilo, Karisma Rh Collagen หรือ Sculptra ซึ่งควรทำอย่างต่อเนื่องภายใต้การดูแลจากแพทย์ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพในระยะยาว

 

รวมหัตถการผิวใส
รวมหัตถการผิวใส

 

รวมหัตถการผิวใส

การทำหัตถการผิวใสสามารถบำรุง และฟื้นฟูผิวได้โดยตรง ซึ่งโดยส่วนใหญ่หัตถการที่ได้รับความนิยม มีดังนี้

  • Rejuran

Rejuran เป็นหัตถการผิวใสกลุ่ม Skin Booster ที่ประกอบไปด้วย Polynucleotide (PN) สกัดจากปลาแซลมอนในน้ำทะเลตามธรรมชาติ ซึ่งทำหน้าที่ในการปรับปรุงคุณภาพผิว ซ่อมแซมเซลล์ผิวที่ถูกทำลาย และกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ รวมถึงกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน และอีลาสตินเพิ่มขึ้น ทำให้ผิวเรียบเนียน ชุ่มชื้น กระจ่างใส และมีความยืดหยุ่นอย่างแลดูเป็นธรรมชาติ เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหมองคล้ำ ดูโทรม แห้งกร้าน รูขุมขนกว้าง มีหลุมสิวตื้น ๆ และริ้วรอยเส้นเล็ก ๆ โดยผลลัพธ์จากการฉีด Rejuran สามารถคงอยู่ได้นานถึง 3 – 6 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวแต่ละบุคคล และการปฏิบัติตัวหลังฉีด

  • Plinest

Plinest เป็นหัตถการผิวใสกลุ่ม Skin Booster ที่ประกอบไปด้วย Polynucleotide (PN) สกัดจากปลาเทราต์ที่ถูกเลี้ยงในฟาร์มระบบปิด ซึ่งทำหน้าที่ในการฟื้นฟูเซลล์ผิวที่เสียหาย เพิ่มความชุ่มชื้น และเติมเต็มผิว รวมถึงกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน และอีลาสตินเพิ่มขึ้น ทำให้ผิวแข็งแรง ยืดหยุ่น เรียบเนียน กระจ่างใส และดูสุขภาพดีขึ้นอย่างแลดูเป็นธรรมชาติ เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวแห้งกร้าน คล้ำเสีย ดูโทรม ไม่สดใส รูขุมขนกว้าง มีหลุมสิว และริ้วรอยเส้นเล็ก ๆ โดยผลลัพธ์จากการฉีด Plinest สามารถคงอยู่ได้นานถึง 6 – 9 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวแต่ละบุคคล และการปฏิบัติตัวหลังฉีด

  • Profhilo

Profhilo เป็นหัตถการผิวใสกลุ่มกระตุ้นคอลลาเจนที่ประกอบไปด้วย Hyaluronic Acid (HA) ไม่เชื่อมพันธะ (Non-Crosslinked) ซึ่งทำหน้าที่ในการปรับปรุงโครงสร้างผิวแบบ Bio-Remodeling และกระตุ้นการทำงานของเซลล์ผิวหนัง โดยเฉพาะเซลล์ Fibroblast ที่มีบทบาทในการผลิตคอลลาเจน และอีลาสตินเพิ่มขึ้น ทำให้ได้คอลลาเจนมากถึง 4 ประเภท ได้แก่ คอลลาเจนประเภทที่ 1, คอลลาเจนประเภทที่ 3, คอลลาเจนประเภทที่ 4 และคอลลาเจนประเภทที่ 7 ส่งผลให้ผิวแข็งแรง กระชับ ยืดหยุ่น เรียบเนียน และชุ่มชื้นอย่างแลดูเป็นธรรมชาติ เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหลวม ขาดคอลลาเจน ผิวแห้งกร้าน หมองคล้ำ ดูโทรม ไม่สดใส รูขุมขนกว้าง มีหลุมสิวตื้น ๆ ผิวหย่อนคล้อย และมีริ้วรอยเส้นเล็ก ๆ โดยผลลัพธ์จากการฉีด Profhilo สามารถคงอยู่ได้นานถึง 6 – 9 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวแต่ละบุคคล และการปฏิบัติตัวหลังฉีด

  • Karisma Rh Collagen

Karisma Rh Collagen เป็นหัตถการผิวใสกลุ่มกระตุ้นคอลลาเจนที่ประกอบไปด้วย Collagen Polypeptide a1 Chain R (Rh Collagen) ร่วมกับ High Molecular Weight Hyaluronic Acid (HMW – HA) และ Carboxymethylcellulose (CMC) ซึ่งทำหน้าที่ในการเติมเต็มผิว เพิ่มความชุ่มชื้น และเสริมความยืดหยุ่นให้ผิว รวมถึงกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน และอีลาสตินเพิ่มขึ้น ทำให้ได้คอลลาเจนประเภทที่ 1 ตามด้วยคอลลาเจนประเภทที่ 2 และคอลลาเจนประเภทที่ 3 ส่งผลให้ผิวแข็งแรง กระชับ อิ่มฟู เรียบเนียน ชุ่มชื้น และดูอ่อนกว่าวัยอย่างแลดูเป็นธรรมชาติ เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหยาบกร้าน หมองคล้ำ ขาดความยืดหยุ่น ผิวหลวม หย่อนคล้อย รูขุมขนกว้าง มีหลุมสิวตื้น ๆ และริ้วรอยเส้นเล็ก ๆ โดยผลลัพธ์จากการฉีด Karisma Rh Collagen สามารถคงอยู่ได้นานถึง 6 – 12 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวแต่ละบุคคล และการปฏิบัติตัวหลังฉีด

  • Ultracol

Ultracol เป็นหัตถการผิวใสกลุ่มกระตุ้นคอลลาเจนที่ประกอบไปด้วย Polydioxanone (PDO) และ Carboxymethylcellulose (CMC) ซึ่งทำหน้าที่ในการปรับปรุงคุณภาพผิว เพิ่มความหนาแน่น และเพิ่มความกระจ่างใสให้ผิว รวมถึงกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน และอีลาสตินเพิ่มขึ้น ทำให้ได้คอลลาเจนประเภทที่ 1 และคอลลาเจนประเภทที่ 3 ส่งผลให้ผิวมีความยืดหยุ่น แข็งแรง เรียบเนียน ชุ่มชื้น และดูสุขภาพดีอย่างแลดูเป็นธรรมชาติ เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหลวม ขาดความกระชับ ผิวแห้งกร้าน หมองคล้ำ ไม่สดใส รูขุมขนกว้าง ผิวหย่อนคล้อย และมีริ้วรอย ร่องลึก โดยผลลัพธ์จากการฉีด Ultracol สามารถคงอยู่ได้นานถึง 6 – 8 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวแต่ละบุคคล และการปฏิบัติตัวหลังฉีด

  • Sculptra

Sculptra เป็นหัตถการผิวใสกลุ่มกระตุ้นคอลลาเจนที่ประกอบไปด้วย Poly-L-Lactic Acid (PLLA) ร่วมกับ Carboxymethylcellulose (CMC) และ Mannitol ซึ่งทำหน้าที่ในการยกกระชับผิว ปรับปรุงคุณภาพผิว และฟื้นฟูผิวลึกถึงโครงสร้าง รวมถึงกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน และอีลาสตินเพิ่มขึ้น ทำให้ได้คอลลาเจนประเภทที่ 1 ในระยะยาว ส่งผลให้ผิวมีความหนาแน่น กระชับ แข็งแรง ยืดหยุ่น ชุ่มชื้น เรียบเนียน และดูกระจ่างใสขึ้นอย่างแลดูเป็นธรรมชาติ เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหลวม ขาดคอลลาเจน ผิวหย่อนคล้อย ไม่กระชับ มีริ้วรอย ร่องลึก รูขุมขนกว้าง ผิวแห้งกร้าน หมองคล้ำ และมีหลุมสิวตื้น ๆ โดยผลลัพธ์จากการฉีด Sculptra สามารถคงอยู่ได้นานถึง 24 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวแต่ละบุคคล และการปฏิบัติตัวหลังฉีด

 

จะเห็นได้ว่า การมีผิวใสไม่จำเป็นต้องขาวเสมอไป แต่หมายถึงผิวที่ได้รับการดูแลอย่างรอบด้าน ทั้งจากภายใน และภายนอก ไม่ว่าจะเป็นการใช้สกินแคร์ที่ตรงกับสภาพผิว ทำความสะอาดผิวอย่างถูกวิธี ใช้ครีมกันแดดทุกวัน มาสก์หน้าเป็นประจำ ผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยน ดื่มน้ำสม่ำเสมอ พักผ่อนอย่างเพียงพอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนส่งผลให้ผิวมีความแข็งแรง กระจ่างใส และดูอ่อนกว่าวัยอย่างแลดูเป็นธรรมชาติ นอกจากนี้สำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่รวดเร็ว และมีความชัดเจน การทำหัตถการผิวใสก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ตอบโจทย์ในการฟื้นฟู และบำรุงผิวให้ดูสุขภาพดีจากภายใน ทั้งนี้แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ก่อนตัดสินใจ เพื่อให้แพทย์ประเมินสภาพผิวอย่างละเอียด และเลือกหัตถการผิวใสที่เหมาะสม ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ ผิวดูสว่าง กระจ่างใส และเปล่งปลั่งอย่างยั่งยืน

 

*ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับบริการ

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯกำหนด