เทคโนโลยี RF (Radio Frequency) ดีจริงหรือแค่กระแส?
ปัญหาผิวหย่อนคล้อย ริ้วรอย และความไม่กระชับของใบหน้า ถือเป็นสัญญาณแห่งวัยที่หลายท่านให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ปัจจุบันวงการความงามได้พัฒนาเทคโนโลยีที่หลากหลาย เพื่อช่วยชะลอความเสื่อมของผิว และหนึ่งในเทคโนโลยีที่ได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่อง คือ เทคโนโลยี RF (Radio Frequency) หรือคลื่นวิทยุความถี่สูง ซึ่งสามารถฟื้นฟูความกระชับให้แก่ผิวหน้าและลำตัวได้ โดยไม่จำเป็นต้องผ่าตัดหรือพักฟื้น
อย่างไรก็ตาม แม้ว่า เทคโนโลยี RF (Radio Frequency) จะได้รับการกล่าวถึงอย่างแพร่หลาย แต่ยังคงมีคำถามจากผู้บริโภคจำนวนไม่น้อยเกี่ยวกับประสิทธิภาพที่แท้จริงของเทคโนโลยีนี้ รวมถึงความแตกต่างเมื่อเปรียบเทียบกับวิธีการยกกระชับผิวอื่น ๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน
เจาะลึกถึงการทำงานของเทคโนโลยี RF (Radio Frequency) พร้อมอธิบายข้อดีของการทำเทคโนโลยี RF (Radio Frequency) และเปรียบเทียบกับเทคโนโลยียกกระชับอื่น ก่อนการตัดสินใจเลือกเทคโนโลยียกกระชับที่ตอบโจทย์ปัญหาผิวของคุณ
ทำความรู้จักเทคโนโลยี RF (Radio Frequency)
เทคโนโลยี RF (Radio Frequency) หรือ คลื่นความถี่วิทยุ คือพลังงานในรูปแบบคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความถี่อยู่ในช่วง 3 kHz ถึง 300 GHz ซึ่งในทางการแพทย์และความงามได้มีการนำคลื่น RF (Radio Frequency) มาประยุกต์ใช้ในหัตถการเพื่อฟื้นฟูสภาพผิวหนัง โดยเฉพาะในด้านการยกกระชับผิว ลดเลือนริ้วรอย และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนโดยไม่ต้องผ่าตัด
หลักการทำงานของเทคโนโลยี RF (Radio Frequency)
การทำงานของเทคโนโลยี RF (Radio Frequency) อาศัยพลังงานคลื่นวิทยุที่ถูกปล่อยเข้าสู่ผิวหนังในระดับความลึกที่เหมาะสม ซึ่งจะทำให้เกิดความร้อนเฉพาะจุดในชั้นผิว โดยเฉพาะบริเวณชั้นหนังแท้ (Dermis) หรือชั้นไขมันใต้ผิวหนัง (Subcutaneous Tissue) ขึ้นอยู่กับชนิดของคลื่น RF (Radio Frequency) ที่ใช้
พลังงานความร้อนนี้จะกระตุ้นให้เส้นใยคอลลาเจนหดตัว และเร่งกระบวนการสร้างคอลลาเจนใหม่ ส่งผลให้ผิวมีความกระชับ แน่น และยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถช่วยลดปริมาณไขมันสะสมในบางบริเวณ เช่น แก้ม คาง หรือเหนียง ได้อีกด้วย
ประเภทของคลื่นเทคโนโลยี RF (Radio Frequency)
ในปัจจุบัน เทคโนโลยี RF (Radio Frequency) ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์การดูแลผิวในหลายระดับ โดยเฉพาะด้านการยกกระชับผิวหน้า ลดเลือนริ้วรอย และลดไขมันเฉพาะจุด ซึ่งรูปแบบของพลังงาน RF (Radio Frequency) ที่ใช้นั้นสามารถจำแนกออกได้เป็น 3 ประเภทหลัก ดังนี้
- Monopolar RF (คลื่นวิทยุแบบขั้วเดียว)
Monopolar RF เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ขั้วไฟฟ้าเพียงขั้วเดียวในการส่งผ่านพลังงาน ซึ่งจะปล่อยพลังงานความร้อนจากหัวเครื่องมือสู่ชั้นผิวลึก โดยมีขั้วรับพลังงานอีกด้านหนึ่งอยู่ภายนอกตัวเครื่องหรือร่างกาย
- Bipolar RF (คลื่นวิทยุแบบสองขั้ว)
Bipolar RF ใช้ขั้วไฟฟ้าสองขั้วที่อยู่ใกล้กันภายในหัวเครื่องเดียวกัน ทำให้พลังงานความร้อนกระจุกตัวอยู่ที่ชั้นผิวระดับตื้นถึงปานกลาง ไม่ลึกเท่าแบบ Monopolar RF
- Tripolar RF (คลื่นวิทยุแบบสามขั้ว)
Tripolar RF ผสานเทคโนโลยีจาก Bipolar RF โดยใช้ขั้วไฟฟ้าสามขั้วหมุนเวียนการทำงาน เพื่อกระจายพลังงานอย่างทั่วถึงในบริเวณที่ทำการรักษา
โปรแกรมยกกระชับผิวที่ใช้เทคโนโลยี RF (Radio Frequency)
ปัจจุบันมีหลายโปรแกรมที่พัฒนาจากเทคโนโลยี RF (Radio Frequency) ในรูปแบบที่ทันสมัยและตอบโจทย์ปัญหาผิวเฉพาะด้าน ดังนี้
Thermage FLX
เทคโนโลยี Monopolar RF ปล่อยพลังงานคลื่นวิทยุแบบขั้วเดียว ส่งความร้อนลึกถึงชั้นไขมันใต้ผิว (Subcutaneous Tissue) เพื่อกระตุ้นการหดตัวของเส้นใยคอลลาเจน และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่อย่างต่อเนื่อง
จุดเด่น
- ระบบ AccuREP™ Technology ปรับระดับพลังงานให้เหมาะสมกับสภาพผิวแต่ละจุดโดยอัตโนมัติแบบเรียลไทม์
- หัวทิป Total Tip 4.0 ปล่อยพลังงานได้ครอบคลุมและลึกกว่ารุ่นก่อน
- มีระบบสั่นและหัว Cooling ช่วยลดความรู้สึกเจ็บขณะทำ
Oligio
เทคโนโลยี Monopolar RF ปล่อยพลังงานความร้อนแบบควบคุมต่อเนื่อง พร้อมระบบวัดอุณหภูมิผิว ลดโอกาสเกิดการระคายเคืองหรือร้อนเกินไปในระหว่างการทำหัตถการ
จุดเด่น
- ระบบทำความเย็นอัจฉริยะที่หัวปล่อยพลังงาน ช่วยรักษาอุณหภูมิผิวชั้นนอกให้อยู่ที่ประมาณ 5°C ร่วมกับระบบสั่นที่ช่วยลดความรู้สึกเจ็บและร้อน
- ปรับพลังงานตามความต้านทานผิวแบบเรียลไทม์ ลดความเสี่ยงผิวไหม้ ควบคุมความร้อนอย่างสม่ำเสมอ
- หัวปล่อยพลังงานขนาดใหญ่ครอบคลุมพื้นที่กว้าง ใช้เวลาทำเพียง 20–30 นาทีต่อครั้ง
EMFACE
เทคโนโลยี Synchronized RF + HIFES™ (High-Intensity Facial Electrical Stimulation) ใช้พลังงาน RF เพื่อยกกระชับผิวชั้นตื้น พร้อมกระตุ้นกล้ามเนื้อใบหน้าชั้นลึกด้วยคลื่นไฟฟ้าความเข้มข้นสูงแบบไม่เจ็บ
จุดเด่น
- เทคโนโลยี Synchronized RF ทำงานร่วมกับพลังงานไฟฟ้าแบบ HIFES™ เพื่อฟื้นฟูทั้งผิวและกล้ามเนื้ออย่างเป็นระบบ
- ดูแลครบทั้งชั้นผิวและกล้ามเนื้อใบหน้า กระตุ้นการหดเกร็งของกล้ามเนื้อเสมือนการออกกำลังกาย
- เพิ่มมวลกล้ามเนื้ออย่างล้ำลึก เสริมความแข็งแรงและความหนาแน่นของกล้ามเนื้อใบหน้าได้สูงถึง 30%
Fix Lift
เทคโนโลยี Fractional RF + Microneedling ใช้เข็มไมโครขนาดเล็กเจาะเข้าสู่ผิวในระดับที่ตั้งไว้ จากนั้นปล่อยพลังงาน RF เฉพาะจุดลึกถึงชั้นใต้ผิวเพื่อกระตุ้นคอลลาเจน ฟื้นฟูผิว และยกกระชับในระดับโครงสร้าง
จุดเด่น
- ปรับความลึกของเข็มได้หลายระดับ (0.5–4.0 mm) เหมาะกับทุกสภาพผิวและบริเวณที่ต้องการรักษา
- หัวเข็มเคลือบทองและฉนวน ลดความร้อนที่ชั้นผิวบน ลดการระคายเคือง
- ช่วยลดไขมันเฉพาะจุด เหมาะกับบริเวณที่มีไขมันสะสม เช่น กรอบหน้าและเหนียง
เปรียบเทียบเทคโนโลยี RF (Radio Frequency) กับ HIFU (Focused Ultrasound)
การยกกระชับผิวแบบไม่ต้องผ่าตัดเป็นทางเลือกยอดนิยมของผู้ที่ต้องการฟื้นฟูความอ่อนวัย ปัจจุบันมีเทคโนโลยีหลักที่ได้รับความนิยม 2 ประเภท ได้แก่ RF (Radio Frequency) และ HIFU (High-Intensity Focused Ultrasound) ซึ่งแม้จะมีเป้าหมายคล้ายกัน แต่กลับมีความแตกต่างทั้งในด้านกลไกและผลลัพธ์
กลไกการทำงานของพลังงาน
- RF (Radio Frequency) คลื่นวิทยุความถี่สูงในการส่งผ่านพลังงานความร้อนลงสู่ผิวหนัง โดยปล่อยพลังงานในลักษณะที่กระจายเป็นบริเวณกว้าง ช่วยกระตุ้นคอลลาเจนในชั้นหนังแท้ (Dermis) และสามารถลงลึกได้ถึงชั้นไขมันใต้ผิวหนัง ซึ่งเหมาะกับผู้ที่ต้องการลดไขมันเฉพาะจุดร่วมด้วย
- ในขณะที่ HIFU ใช้คลื่นเสียงอัลตราซาวนด์ความเข้มข้นสูงในรูปแบบที่โฟกัสเป็นจุดเล็ก ๆ และปล่อยพลังงานลงลึกถึงชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นกล้ามเนื้อส่วนบนที่อยู่ใต้ชั้นไขมัน เป็นจุดเดียวกับที่ศัลยแพทย์ใช้ในการดึงหน้า จึงให้ผลลัพธ์ที่ลึกและแม่นยำกว่า
ระดับความลึกของการรักษา
- เทคโนโลยี RF (Radio Frequency) สามารถลงลึกได้ถึงระดับชั้นหนังแท้และชั้นไขมันใต้ผิว ซึ่งเหมาะสำหรับผิวที่มีความหย่อนเล็กน้อยหรือผู้ที่มีปัญหาไขมันสะสมเล็กน้อยใต้คางหรือกรอบหน้า
- ขณะที่ HIFU สามารถเจาะลึกได้ถึงชั้น SMAS ซึ่งอยู่ลึกกว่าชั้นไขมัน จึงให้ผลลัพธ์ด้านการยกกระชับที่ชัดเจนและยาวนานกว่า
รูปแบบของพลังงาน
- RF (Radio Frequency) กระจายพลังงานอย่างสม่ำเสมอทั่วบริเวณที่ทำ ช่วยให้ความร้อนแผ่ไปทั่วชั้นผิว
- ส่วน HIFU จะปล่อยพลังงานเฉพาะจุด ทำให้สามารถควบคุมทิศทางและความลึกของพลังงานได้ ส่งผลต่อการยกกระชับอย่างมีประสิทธิภาพ
ความรู้สึกระหว่างทำ
- การทำ RF (Radio Frequency) มักจะให้ความรู้สึกอุ่น ๆ ที่ผิวหนัง และเครื่องบางรุ่นจะมีระบบทำความเย็นหรือแรงสั่นเพื่อลดความไม่สบาย ทำให้สามารถทำได้โดยไม่ต้องใช้ยาชา
- ขณะที่ HIFU ซึ่งใช้พลังงานเข้มข้นลงลึกกว่า อาจทำให้รู้สึกไม่สบายบริเวณที่ยิง โดยเฉพาะจุดที่บาง เช่น กรอบหน้าและกราม
กลุ่มเป้าหมายที่เหมาะสม
- ผู้ที่เหมาะกับ RF (Radio Frequency) มักเป็นผู้ที่มีสัญญาณของความหย่อนคล้อยเล็กน้อย หรืออยู่ในช่วงเริ่มต้นของการดูแลผิว ต้องการผลลัพธ์ที่ค่อยเป็นค่อยไป และต้องการลดไขมันเฉพาะจุดโดยไม่เจ็บ
- ในขณะที่ HIFU เหมาะกับผู้ที่ต้องการเห็นผลการยกกระชับที่รวดเร็วและลึกชั้นกว่า เหมาะกับวัย 30 ปีขึ้นไป หรือผู้ที่เริ่มมีปัญหาโครงหน้าที่เปลี่ยนแปลงตามวัย
ข้อดีของเทคโนโลยี RF (Radio Frequency) ที่ควรรู้
- กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวแน่นขึ้น ยืดหยุ่นดีขึ้น
- ช่วยยกกระชับผิวหน้าและลำตัว ลดความหย่อนคล้อยของผิวในหลายบริเวณ
- ลดเลือนริ้วรอยและร่องลึก บริเวณหน้าผาก รอบดวงตา มุมปาก
- กระชับรูขุมขน ผิวดูเรียบเนียนมากขึ้น
- ลดไขมันใต้ผิวหนัง โดยเฉพาะบริเวณเหนียง ใต้คาง แก้ม หรือหน้าท้อง
- ไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีแผล ไม่ต้องพักฟื้น ใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ
- ใช้ได้กับทุกสีผิว ไม่จำกัดเฉพาะผู้ที่มีสีผิวบางหรือขาว
- ทำได้บ่อยครั้ง ไม่มีผลข้างเคียงรุนแรง จึงสามารถทำซ้ำได้อย่างต่อเนื่อง
- สามารถปรับระดับพลังงานได้หลากหลาย ให้เหมาะกับสภาพผิวแต่ละคน
- เห็นผลต่อเนื่องหลังทำ เพราะคอลลาเจนยังคงถูกสร้างเพิ่มต่อไปอีกหลายสัปดาห์
- เหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มมีปัญหาผิวหย่อนคล้อย หรืออยู่ในช่วงอายุ 25–40 ปี
- ช่วยยกกระชับปรับรูปหน้าให้ได้สัดส่วน เช่น ยกกรอบหน้าให้ชัด ลดแก้มป่อง
- ช่วยลดเซลลูไลท์ โดยเฉพาะในบริเวณต้นแขน ต้นขา หน้าท้อง หรือสะโพก
- สามารถทำร่วมกับหัตถการอื่นได้ เช่น ฉีดฟิลเลอร์ โบ หรือ HIFU
- ใช้ได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง และเหมาะกับทุกสภาพผิว
- ลดอาการบวมน้ำใต้ผิว ช่วยให้หน้าไม่บวม ไม่ดูเหนื่อยล้า
- ใช้เวลารักษาต่อครั้งไม่นาน ประมาณ 30–60 นาที ขึ้นอยู่กับพื้นที่
- ฟื้นฟูผิวให้สุขภาพดีจากภายใน ไม่ใช่แค่ภายนอกดูดี
- ช่วยให้ผลิตภัณฑ์บำรุงซึมได้ดีขึ้น เมื่อผิวได้รับการกระตุ้นอย่างเหมาะสม
- ลดความหมองคล้ำและผิวดูสดใสขึ้น ด้วยการเพิ่มการไหลเวียนโลหิต
- เป็นทางเลือกก่อนการทำศัลยกรรม สำหรับผู้ที่ยังไม่พร้อมผ่าตัด
เทคโนโลยี RF (Radio Frequency) ช่วยอะไรได้บ้าง?
- ยกกระชับผิวหน้าและผิวกาย โดยไม่ต้องผ่าตัด
- กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวลึก ทำให้ผิวแน่นและเต่งตึง
- ลดเลือนริ้วรอยและร่องลึก เช่น ร่องแก้ม มุมปาก หน้าผาก
- ช่วยให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้น จากการฟื้นฟูโครงสร้างผิว
- กระชับรูขุมขน โดยเฉพาะบริเวณจมูกและแก้ม
- ปรับผิวให้ดูเรียบเนียนสม่ำเสมอ ลดความหยาบกร้านของผิว
- ลดไขมันใต้ผิวหนัง โดยเฉพาะบริเวณแก้ม เหนียง คาง และหน้าท้อง
- ยกกระชับลำคอและเนินอก ที่มักมีผิวหย่อนคล้อยตามวัย
- ลดเหนียงใต้คาง ให้กรอบหน้าชัดเจนมากขึ้น
- กระตุ้นการไหลเวียนโลหิตใต้ผิวหนัง ส่งผลให้ผิวดูมีเลือดฝาด
- กระตุ้นระบบน้ำเหลือง ช่วยให้ผิวดูสุขภาพดีขึ้น
- ช่วยให้ผิวกลับมามีความยืดหยุ่นมากขึ้น
- กระตุ้นการจัดเรียงเส้นใยคอลลาเจนใหม่
- ฟื้นฟูผิวที่อ่อนล้าและหมองคล้ำ ให้กลับมากระจ่างใส
- ช่วยยกหางตาและเปลือกตาบน
- ลดปัญหาผิวหย่อนคล้อยหลังลดน้ำหนัก
ใครบ้างที่เหมาะกับการทำเทคโนโลยี RF (Radio Frequency)?
- ผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อยตามวัย เช่น แก้มตก กรอบหน้าไม่ชัด
- ผู้ที่มีริ้วรอยเล็ก ๆ ถึงปานกลาง บริเวณหน้าผาก หางตา หรือร่องแก้ม
- ผู้ที่ต้องการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนโดยไม่ต้องผ่าตัด
- ผู้ที่ไม่สะดวกทำศัลยกรรมหรือไม่อยากพักฟื้นนาน
- ผู้ที่มีเหนียง คางสองชั้น หรือแก้มล่างใหญ่จากไขมันสะสม
- ผู้ที่มีรูขุมขนกว้างและต้องการให้ผิวเรียบเนียนขึ้น
- ผู้ที่มีผิวหมองคล้ำ อ่อนล้า และขาดความกระชับ
- ผู้ที่เคยผ่านการลดน้ำหนักหรือคลอดบุตร แล้วมีผิวหนังหย่อนคล้อย
- ผู้ที่มีเซลลูไลท์สะสม โดยเฉพาะต้นขา หน้าท้อง หรือสะโพก
- ผู้ที่ต้องการดูแลผิวหน้าให้แน่นกระชับก่อนแต่งงาน หรือออกงานสำคัญ
- ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวรอบดวงตาให้เต่งตึงและลดถุงใต้ตา
- ผู้ที่ต้องการกระชับเนินอกหรือผิวบริเวณลำคอ ที่เริ่มมีริ้วรอยหรือหย่อน
- ผู้ที่มีปัญหากรอบหน้าไม่คมจากไขมันสะสมบริเวณแก้มล่าง
- ผู้ที่ต้องการดูแลผิวแบบต่อเนื่องระยะยาว โดยไม่เสี่ยงผลข้างเคียงรุนแรง
- ผู้ที่กลัวเข็ม กลัวการฉีด แต่ยังต้องการยกกระชับผิว
- ผู้ที่อยากเริ่มดูแลผิวก่อนวัย 35+ เพื่อป้องกันผิวหย่อนในอนาคต
หมายเหตุ
การทำหัตถการด้วยคลื่นเทคโนโลยี RF (Radio Frequency) แม้จะเป็นเทคโนโลยีที่ไม่ต้องผ่าตัด แต่ก็ควรได้รับการประเมินและวางแผนการรักษาโดยแพทย์อย่างเหมาะสม เพื่อให้เหมาะกับสภาพผิว ปัญหาที่ต้องการแก้ไข และลดความเสี่ยงจากการใช้พลังงานไม่เหมาะสม ทั้งนี้ ผลลัพธ์ของการรักษาอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับปัจจัยทางผิวหนัง อายุ การดูแลหลังทำ และการตอบสนองของร่างกาย
ใครบ้างที่ไม่เหมาะกับการทำเทคโนโลยี RF (Radio Frequency)?
- ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์หรือกำลังให้นมบุตร
- ผู้ที่มีเครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemaker)
- ผู้ที่มีโลหะฝังในร่างกาย เช่น สกรู แผ่นเหล็ก รากฟันเทียมบางชนิด
- ผู้ที่เป็นโรคหัวใจรุนแรง หรือมีความดันโลหิตไม่คงที่
- ผู้ที่มีโรคทางระบบประสาท หรือมีอาการชา ผิวหนังรู้สึกไวผิดปกติ
- ผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ได้
- ผู้ที่มีบาดแผลสด แผลติดเชื้อ หรือมีสิวอักเสบในบริเวณที่ต้องการรักษา
- ผู้ที่มีประวัติเป็นโรคผิวหนังเรื้อรัง เช่น สะเก็ดเงิน, ผื่นภูมิแพ้, เริม
- ผู้ที่มีภาวะเลือดออกง่าย หรือใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด
- ผู้ที่เพิ่งผ่านการทำเลเซอร์ ศัลยกรรม หรือหัตถการอื่นในบริเวณเดียวกัน
- ผู้ที่มีประวัติแพ้ความร้อนหรือไวต่ออุณหภูมิ
- ผู้ที่ใช้ยาเร่งผลัดเซลล์ผิว หรือครีมที่มีส่วนผสมของเรตินอยด์
- ผู้ที่มีภาวะหลอดเลือดเปราะ หรือมีโรคเกี่ยวกับระบบไหลเวียนโลหิต
- ผู้ที่มีประวัติเคยเกิดรอยแผลเป็นนูน (Keloid) ง่าย
- ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือกำลังรับเคมีบำบัด
- ผู้ที่มีภาวะติดเชื้อเรื้อรังหรือไข้สูง
- ผู้ที่มีผิวบางหรือผิวที่ไวต่อการระคายเคือง
หมายเหตุ
แม้เทคโนโลยี RF (Radio Frequency) จะจัดอยู่ในกลุ่มหัตถการที่ไม่ต้องผ่าตัดและมีความเสี่ยงต่ำ แต่ก็ไม่เหมาะกับทุกคน การประเมินโดยแพทย์ผู้ก่อนเข้ารับบริการจึงเป็นขั้นตอนสำคัญ เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนหรือผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์
การเตรียมตัวก่อนทำเทคโนโลยี RF (Radio Frequency)
- ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ เพื่อประเมินสภาพผิว ประวัติสุขภาพ และความเหมาะสม
- ควรแจ้งข้อมูลสุขภาพโดยละเอียด เช่น โรคประจำตัว ยาที่ใช้อยู่
- หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิวหรือกรดผลไม้ (AHA/BHA/Retinol) อย่างน้อย 5-7 วันก่อนรับบริการ
- ควรพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงก่อนวันเข้ารับบริการ
- ควรดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อให้ผิวชุ่มชื้นและตอบสนองต่อการกระตุ้นได้ดี
- งดการทำเลเซอร์หรือหัตถการอื่นในบริเวณเดียวกัน อย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อน
- งดใช้ผลิตภัณฑ์ที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองผิว
- งดการดื่มแอลกอฮอล์ ก่อนเข้ารับบริการ 24 ชั่วโมง
- งดสูบบุหรี่ ก่อนเข้ารับบริการ อย่างน้อย 3-5 วัน
- งดยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน
- หลีกเลี่ยงการออกแดดจัดหรือการอาบแดด อย่างน้อย 3-5 วันก่อนทำ
- หลีกเลี่ยงการแวกซ์หรือโกนขนในบริเวณที่ต้องทำ RF อย่างน้อย 2-3 วัน
การดูแลตัวเองหลังทำเทคโนโลยี RF (Radio Frequency)
- ควรทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 50 PA++++ ทุกวัน
- ควรดื่มน้ำมาก ๆ วันละ 8–10 แก้ว เพื่อช่วยให้ผิวชุ่มชื้น
- ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อย 7–8 ชั่วโมงต่อคืน
- ควรใช้ผลิตภัณฑ์ปลอบประโลมผิว เช่น เจลว่านหางจระเข้ หรือมอยส์เจอร์ไรเซอร์สูตรอ่อนโยน
- งดใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิว เช่น AHA, BHA, Retinol อย่างน้อย 5–7 วัน
- งดการขัดถูหน้าแรง ๆ รวมถึงการใช้แปรงหรือสครับผิว เพื่อป้องกันการระคายเคือง
- หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ร้อนจัด เช่น ซาวน่า อบไอน้ำ ตากแดด หรือแช่น้ำร้อน เป็นเวลา 2–3 วัน
- งดการออกกำลังกายหนัก ๆ ที่ทำให้เหงื่อออกมากใน 1–2 วันแรก
- งดดื่มแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 24–48 ชั่วโมง เพื่อไม่รบกวนกระบวนการฟื้นฟูผิว
- งดสูบบุหรี่ อย่างน้อย 3–5 วันหลังทำ เพื่อไม่ให้สารนิโคตินรบกวนการสร้างคอลลาเจน
- หลีกเลี่ยงแสงแดดจัด อย่างน้อย 3–7 วันหลังทำ
- หลีกเลี่ยงการทำหัตถการอื่น เช่น โบ ฟิลเลอร์ หรือเลเซอร์ ประมาณ 1–2 สัปดาห์
คำถามพบบ่อยเกี่ยวกับเทคโนโลยี RF (Radio Frequency)
หลังทำเทคโนโลยี RF (Radio Frequency) แล้วสามารถแต่งหน้าได้เลยไหม?
- สามารถแต่งหน้าได้หลังทำ แต่แนะนำให้เลือกใช้เครื่องสำอางที่อ่อนโยนและสะอาด เพื่อลดการระคายเคืองต่อผิวที่เพิ่งรับการรักษา
การทำเทคโนโลยี RF (Radio Frequency) จะทำให้ใบหน้าตอบหรือหน้าบางลงไหม?
- หากทำในระดับความถี่ที่เหมาะสม และไม่ทำบ่อยเกินไป เทคโนโลยี RF (Radio Frequency) จะช่วยกระชับผิวและกระตุ้นคอลลาเจนโดยไม่ทำลายไขมันหรือกล้ามเนื้อจนทำให้หน้าตอบ
เห็นผลจากการทำเทคโนโลยี RF (Radio Frequency) ได้เมื่อไหร่?
- โดยทั่วไป จะเริ่มเห็นผลประมาณ 4–6 สัปดาห์หลังทำ เนื่องจากเป็นช่วงที่คอลลาเจนใหม่เริ่มสร้างขึ้น และสามารถทำซ้ำได้ทุก 6–12 เดือนเพื่อคงผลลัพธ์
ต้องทำเทคโนโลยี RF (Radio Frequency) บ่อยแค่ไหนถึงจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน?
- ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและเป้าหมายของแต่ละคน โดยปกติควรทำต่อเนื่อง 3–6 ครั้งห่างกัน 1–2 สัปดาห์ และหลังจากนั้นทำซ้ำทุก 6 เดือน
เทคโนโลยี RF (Radio Frequency) เจ็บไหม?
- ส่วนใหญ่จะรู้สึกเพียงแค่อุ่น ๆ ที่ผิว หรืออาจมีความรู้สึกตึงเล็กน้อย เครื่องยกกระชับรุ่นใหม่มักมีระบบความเย็นและระบบสั่นเพื่อลดความไม่สบาย
เทคโนโลยี RF (Radio Frequency) เหมาะกับอายุเท่าไหร่?
- เหมาะกับผู้ที่มีอายุ 25 ปีขึ้นไปที่เริ่มมีสัญญาณของผิวหย่อนคล้อย หรือมีริ้วรอยเล็ก ๆ และต้องการฟื้นฟูผิวโดยไม่ต้องผ่าตัด
ทำเทคโนโลยี RF (Radio Frequency) กับเลเซอร์ในวันเดียวกันได้ไหม?
- ไม่แนะนำให้ทำพร้อมกัน ควรเว้นระยะอย่างน้อย 1–2 สัปดาห์ เพื่อให้ผิวฟื้นตัวก่อน
สามารถทำเทคโนโลยี RF (Radio Frequency) ร่วมกับหัตถการอื่นได้ไหม?
- สามารถทำได้ในบางกรณี เช่น ฉีดโบหรือฟิลเลอร์ แต่ควรเว้นระยะตามคำแนะนำของแพทย์
หลังทำ RF (Radio Frequency) แล้วต้องพักฟื้นไหม?
- ไม่จำเป็นต้องพักฟื้น สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ
บทสรุป เทคโนโลยี RF (Radio Frequency) ทางเลือกที่ช่วยให้ผิวแน่นกระชับแบบไม่ต้องผ่าตัด
เทคโนโลยี RF (Radio Frequency) ถือเป็นหนึ่งในวิธีดูแลผิวที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง ด้วยจุดเด่นที่ช่วยยกกระชับผิว กระตุ้นคอลลาเจน ลดเลือนริ้วรอย และลดไขมันบางส่วนใต้ผิวได้ โดยไม่ต้องพักฟื้นหรือเจ็บตัวจากการผ่าตัด เหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มมีสัญญาณผิวหย่อนคล้อยหรืออยากดูแลตัวเองให้แลดูสุขภาพดีมากขึ้น
แม้เทคโนโลยี RF (Radio Frequency) จะมีข้อจำกัดบางประการ เช่น ต้องทำอย่างสม่ำเสมอ หรือไม่เหมาะกับบางกลุ่มคน แต่หากวางแผนดูแลร่วมกับแพทย์อย่างเหมาะสม ก็สามารถช่วยฟื้นฟูผิวให้เรียบเนียน กระชับ และดูสุขภาพดีขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ดังนั้น หากคุณกำลังมองหาวิธีดูแลผิวที่อ่อนโยน ไม่ต้องผ่าตัด และสามารถเห็นผลอย่างค่อยเป็นค่อยไป เทคโนโลยี RF (Radio Frequency) อาจเป็นคำตอบที่น่าสนใจที่ควรลองสัมผัสด้วยตัวของคุณเอง