เตือนภัย! ฉีดฟิลเลอร์แล้วบวมผิดปกติ อันตรายจริงไหม?

เตือนภัย! ฉีดฟิลเลอร์แล้วบวมผิดปกติ อันตรายจริงไหม?

ฉีดฟิลเลอร์แล้วบวมผิดปกติ อันตรายจริงไหม?

เกิดเรื่องราวสุดสะเทือนใจในวงการความงาม! เมื่อมีผู้เสียหายรายหนึ่งได้ออกแชร์ประสบการณ์ผ่านโลกออนไลน์ว่า หลังเข้ารับการฉีดฟิลเลอร์เมื่อหลายปีก่อน แต่จู่ ๆ กลับเกิดอาการอักเสบอย่างรุนแรง ใบหน้าบวม ๆ ยุบ ๆ ผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งส่งผลกระทบต่อความมั่นใจ และการใช้ชีวิตประจำวันเป็นอย่างมาก โดยในกรณีนี้ นับเป็นอุทาหรณ์ครั้งใหญ่ที่ตอกย้ำถึงความสำคัญ ในการเลือกคลินิกความงามที่ได้มาตรฐาน ใช้ฟิลเลอร์แท้ที่ผ่านการรับรองจาก อย. ไปจนถึงการปฏิบัติตัวหลังฉีดตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด

ในบทความนี้ เราจะพามาเจาะลึก และไขข้อสงสัยเกี่ยวกับ การฉีดฟิลเลอร์แล้วบวมผิดปกติว่า เกิดจากสาเหตุอะไร? อันตรายไหม? มีวิธีแก้ไขอย่างไร? พร้อมแนะนำแนวทางในการปฏิบัติตัวหลังฉีดฟิลเลอร์อย่างถูกต้อง เพื่อป้องกันการเกิดผลข้างเคียงอันตรายในระยะยาว

 

ฉีดฟิลเลอร์แล้วบวมผิดปกติ เกิดจากสาเหตุอะไร? อันตรายไหม? มีวิธีแก้อย่างไร?

 

ฉีดฟิลเลอร์แล้วบวมผิดปกติ เกิดจากสาเหตุอะไร?
ฉีดฟิลเลอร์แล้วบวมผิดปกติ เกิดจากสาเหตุอะไร?

ฉีดฟิลเลอร์แล้วบวม แบ่งออกเป็นกี่ประเภท?

อาการบวมหลังฉีดฟิลเลอร์ สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลัก ๆ ขึ้นอยู่กับสาเหตุ และลักษณะของอาการ ดังนี้

  • ฉีดฟิลเลอร์แล้วบวมปกติ

การฉีดฟิลเลอร์แล้วบวมปกติ ส่วนใหญ่จะมาจากการบวมเข็ม บวมยาชา หรือบวมจากตัวฟิลเลอร์ ซึ่งจะเกิดขึ้นหลังฉีดในทันที และจะค่อย ๆ ยุบลงเองภายใน 1 สัปดาห์หลังฉีด โดยสามารถดูแลตัวเองได้ด้วยการประคบเย็นเบา ๆ หรือปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์

  • ฉีดฟิลเลอร์แล้วบวมผิดปกติ

การฉีดฟิลเลอร์แล้วบวมผิดปกติ สามารถสังเกตได้จากอาการบวม ๆ ยุบ ๆ ผิวเปลี่ยนสี ปวดรุนแรง กดเจ็บหรือมีหนองร่วมด้วย โดยส่วนใหญ่จะมาจากการติดเชื้อ อักเสบ หรือร่างกายเกิดปฏิกิริยาต่อต้านสารในฟิลเลอร์ ซึ่งในกรณีนี้อาจเกิดขึ้นหลังฉีดในทันที หรือเกิดขึ้นหลังฉีดไปแล้วหลายปี โดยสามารถแก้ไขได้ด้วยการฉีดสลายฟิลเลอร์ หรือขูดฟิลเลอร์ออก ขึ้นอยู่กับการประเมินของแพทย์

 

ฉีดฟิลเลอร์แล้วบวมผิดปกติ อันตรายไหม?

โดยปกติแล้ว หลังฉีดฟิลเลอร์จะมีอาการบวมแดงเล็กน้อยในบริเวณที่ฉีด ซึ่งถือเป็นอาการปกติที่เกิดขึ้นได้ทั่วไป และไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย โดยจะค่อย ๆ ดีขึ้นเอง ภายใน 1 สัปดาห์หลังฉีด แต่หากอาการบวมที่เกิดขึ้นนั้น มีลักษณะบวม ๆ ยุบ ๆ แบบผิดปกติสลับกันไป หรือมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ปวดรุนแรง ผิวเปลี่ยนสี มีหนอง กดเจ็บ หรือเป็นไข้ อาจเป็นสัญญาณเตือนของภาวะแทรกซ้อนอันตราย ซึ่งต้องได้รับการรักษาจากแพทย์โดยด่วน

ฉีดฟิลเลอร์แล้วบวมผิดปกติ เกิดจากสาเหตุอะไร?

การฉีดฟิลเลอร์แล้วบวมผิดปกติ สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ดังนี้

  • ใช้ฟิลเลอร์ปลอมไม่มีคุณภาพ

การฉีดฟิลเลอร์แล้วบวมผิดปกติเกิดจาก การใช้ฟิลเลอร์ปลอมที่ไม่ผ่านการรับรอง อย. หรือใช้ฟิลเลอร์ที่ไม่มีคุณภาพ ซึ่งอาจมีสารปนเปื้อนที่ก่อให้เกิดการอักเสบอย่างรุนแรง จนทำให้เกิดอาการบวม ๆ ยุบ ๆ ผิดปกติหลังฉีดฟิลเลอร์ได้

  • ร่างกายเกิดปฏิกิริยาต่อต้านฟิลเลอร์

การฉีดฟิลเลอร์แล้วบวมผิดปกติเกิดจาก ร่างกายเกิดปฏิกิริยาต่อต้านสารในฟิลเลอร์ ถึงแม้ว่าฟิลเลอร์ที่ใช้จะเป็นฟิลเลอร์แท้ แต่ในบางกรณีร่างกายอาจมองว่าฟิลเลอร์เป็นสารแปลกปลอม และพยายามกำจัด จนสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาต่อต้านสารในฟิลเลอร์ ทำให้เกิดอาการอักเสบ หรือบวมผิดปกติหลังฉีดได้ 

  • แพทย์ขาดความชำนาญ

การฉีดฟิลเลอร์แล้วบวมผิดปกติเกิดจาก แพทย์ที่ฉีดขาดความรู้ และความชำนาญ ซึ่งแพทย์อาจพลาดฉีดผิดชั้นผิว หรือใช้เทคนิคในการฉีดที่ไม่ถูกต้อง จนทำให้เกิดอาการบวม เป็นก้อน หรือผิวไม่เรียบเนียนหลังฉีดได้

  • ขั้นตอนการฉีดไม่สะอาด

การฉีดฟิลเลอร์แล้วบวมผิดปกติเกิดจาก การใช้อุปกรณ์ที่ไม่ปลอดเชื้อ หรือขั้นตอนการฉีดที่ไม่สะอาด ซึ่งอาจมีการปนเปื้อนของเชื้อโรค หรือสิ่งสกปรกขณะฉีด จนส่งผลให้เกิดการอักเสบ หรือบวมผิดปกติหลังฉีดได้

  • ปฏิบัติตัวผิดวิธีหลังฉีด

การฉีดฟิลเลอร์แล้วบวมผิดปกติเกิดจาก การปฏิบัติตัวผิดวิธีหลังฉีด ซึ่งอาจเป็นการกระตุ้นให้เกิดอาการอักเสบ หรือบวมผิดปกติได้ เช่น การกดใบหน้าแรงเกินไป การดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ หรือแม้แต่การรับประทานอาหารหมักดอง 

  • ฟิลเลอร์กระตุ้นการอักเสบในระยะยาว

การฉีดฟิลเลอร์แล้วบวมผิดปกติเกิดจาก ฟิลเลอร์กระตุ้นการอักเสบในระยะยาว แม้จะเป็นกรณีที่พบได้ไม่บ่อยนัก แต่บางครั้งร่างกายอาจเกิดปฏิกิริยาอักเสบต่อฟิลเลอร์หลังฉีดไปแล้วหลายเดือน หรือหลายปี ซึ่งทำให้มีอาการบวม ๆ ยุบ ๆ ผิดปกติร่วมกับอาการอื่น ๆ เช่น ผิวเปลี่ยนสี ปวดรุนแรง หรือมีหนองหลังฉีดได้

 

ฉีดฟิลเลอร์แล้วบวมผิดปกติ แก้ไขได้อย่างไร?

แนวทางการรักษา หรือแก้ไขหลังฉีดฟิลเลอร์แล้วเกิดอาการบวมผิดปกติ ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งการประเมินของแพทย์ ลักษณะของอาการ และระดับความรุนแรงของปัญหา ซึ่งโดยส่วนใหญ่ แนวทางในการแก้ไขฟิลเลอร์ มีดังนี้

  • ฉีดสลายฟิลเลอร์

การฉีดสลายฟิลเลอร์ จะสามารถใช้ได้ในกรณีที่ฉีดฟิลเลอร์ประเภท Hyaluronic Acid (HA) เท่านั้น โดยจะใช้เอนไซม์ที่มีชื่อว่า Hyaluronidase ในการเข้าไปทำลายโครงสร้างโมเลกุลของ HA ในบริเวณที่มีปัญหา ทำให้ฟิลเลอร์บริเวณที่ฉีดค่อย ๆ แตกตัว และยุบลงภายใน 1 สัปดาห์หลังฉีด ซึ่งอาจต้องมีการฉีดซ้ำอย่างน้อย 1 – 3 ครั้ง ขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของปัญหา

  • เจาะ หรือดูดฟิลเลอร์ออก

การเจาะ หรือดูดฟิลเลอร์ออก จะสามารถใช้ได้ในกรณีที่ฟิลเลอร์ยังเป็นของเหลว มีอาการบวมอักเสบ และไม่สามารถสลายได้ด้วย Hyaluronidase จึงจำเป็นต้องใช้เข็มดูด หรือเจาะในบริเวณที่มีปัญหา เพื่อนำฟิลเลอร์ออก ซึ่งวิธีการนี้จะไม่สามารถนำฟิลเลอร์ออกมาได้ทั้งหมด 

  • ผ่าตัด หรือขูดฟิลเลอร์ออก

การผ่าตัด หรือขูดฟิลเลอร์ออก จะสามารถใช้ได้ในกรณีที่ฟิลเลอร์เป็นก้อนแข็งขนาดใหญ่ มีพังผืดล้อมรอบ และไม่สามารถสลายได้ด้วย Hyaluronidase โดยจะผ่าตัดเปิดแผลในบริเวณที่มีปัญหา เพื่อนำฟิลเลอร์ออกมาโดยตรง ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อน และไม่สามารถนำฟิลเลอร์ออกมาได้ทั้งหมด 

 

ข้อควรปฏิบัติหลังทำการฉีดฟิลเลอร์
ข้อควรปฏิบัติหลังทำการฉีดฟิลเลอร์

 

ข้อควรปฏิบัติหลังทำการฉีดฟิลเลอร์

  • หลังทำการฉีดฟิลเลอร์ หลีกเลี่ยงการจับ นวด หรือกดแรงบริเวณที่ฉีด
  • หลังทำการฉีดฟิลเลอร์ งดการแต่งหน้าในบริเวณที่ฉีดช่วง 12 – 24 ชั่วโมงแรก
  • หลังทำการฉีดฟิลเลอร์ งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และสูบบุหรี่
  • หลังทำการฉีดฟิลเลอร์ งดออกกำลังกายหนักที่ต้องใช้แรงมาก
  • หลังทำการฉีดฟิลเลอร์ งดโดนแสงแดด ความร้อน หรืออยู่ในสถานที่ที่มีอุณหภูมิสูง
  • หลังทำการฉีดฟิลเลอร์ งดรับประทานของหมักดอง อาหารดิบ และอาหารรสจัด
  • หลังทำการฉีดฟิลเลอร์ งดใช้ผลิตภัณฑ์ประเภทผลัดเซลล์ผิวที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง
  • หลังทำการฉีดฟิลเลอร์ ควรดื่มน้ำอย่างสม่ำเสมอ และพักผ่อนให้เพียงพอ
  • หลังทำการฉีดฟิลเลอร์ สังเกตอาการผิดปกติ และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์

 

อาการฟิลเลอร์แล้วบวมผิดปกติ ถือเป็นที่สัญญาณเตือนไม่ควรมองข้าม หากเกิดขึ้นควรรีบทำการพบแพทย์โดยด่วน เพื่อตรวจประเมิน และทำการรักษาอย่างเหมาะสม ดังนั้น การเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน แพทย์ที่มีความชำนาญ และใช้ฟิลเลอร์แท้ที่ผ่านการรับรองจาก อย. จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ควรพิจารณาอย่างถี่ถ้วน รวมทั้งหลังฉีดควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนอันตรายในระยะยาว

 

*ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับบริการ

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯกำหนด

ยกกระชับผิวสำหรับผู้ชาย เทรนด์ใหม่ของการดูแลตัวเองในยุคปัจจุบัน

ยกกระชับผิวสำหรับผู้ชาย

ยกกระชับผิวสำหรับผู้ชาย เทรนด์ใหม่ของการดูแลตัวเองในยุคปัจจุบัน

ในยุคที่ภาพลักษณ์และความมั่นใจกลายเป็นส่วนสำคัญของการใช้ชีวิต ไม่เพียงแต่ผู้หญิงเท่านั้นที่ให้ความสำคัญกับการดูแลตัวเอง ผู้ชายยุคใหม่ก็เริ่มหันมาใส่ใจสุขภาพผิวและรูปลักษณ์ภายนอกมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะเรื่องของการยกกระชับผิวที่เคยถูกมองว่าเป็นเรื่องเฉพาะกลุ่ม กลับกลายมาเป็นเทรนด์การดูแลตัวเองที่ได้รับความนิยมในหมู่ผู้ชายอย่างแพร่หลาย

 

การยกกระชับผิวในปัจจุบันมีเทคโนโลยีที่ทันสมัย ช่วยฟื้นฟูความกระชับของใบหน้า ลดเลือนริ้วรอย และยกกระชับผิวปรับกรอบหน้าให้ชัดเจนขึ้น พร้อมเสริมความมั่นใจในทุกบทบาท ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน หรือการเข้าสังคม

บทความนี้ จะพาคุณไปทำความรู้จักกับเทรนด์การยกกระชับผิวสำหรับผู้ชาย พร้อมแนะนำเทคโนโลยีที่เหมาะสม และเคล็ดลับในการดูแลผิวอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้คุณดูดีในแบบฉบับของตัวเองทั้งภายในและภายนอก

 

ทำไมผู้ชายยุคใหม่ต้องดูแลผิว?

จากที่เคยถูกมองว่าการดูแลผิวเป็นเรื่องของผู้หญิง ปัจจุบันค่านิยมนี้ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด ผู้ชายยุคใหม่ให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์ บุคลิกภาพ และการดูแลตัวเองมากขึ้น ทั้งในเรื่องของสุขภาพ การแต่งกาย รวมไปถึงสุขภาพผิวพรรณ ซึ่งล้วนส่งผลต่อความมั่นใจและโอกาสในหลายด้านของชีวิต

 

พฤติกรรมการดูแลตัวเองของผู้ชายในปัจจุบัน

ผลสำรวจและแนวโน้มตลาดความงามแสดงให้เห็นว่า ผู้ชายจำนวนมากเริ่มลงทุนกับสกินแคร์และบริการด้านความงามมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มคนทำงาน วัยเริ่มต้นถึงวัยกลางคน ที่ตระหนักถึงความสำคัญของการดูดีทั้งต่อหน้ากระจกและต่อสายตาผู้อื่น ไม่ใช่เพียงเพื่อความพึงพอใจส่วนตัว แต่ยังเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีในสังคมและที่ทำงาน

 

ปัจจัยที่ทำให้ผิวผู้ชายเสื่อมสภาพไว

แม้ว่าผิวผู้ชายจะมีความหนาและผลิตน้ำมันมากกว่าผู้หญิง ซึ่งช่วยให้ผิวดูชุ่มชื้นและทนต่อสภาพแวดล้อมได้ดีในระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผิวจะไม่เสื่อมสภาพตามวัยหรือได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกในชีวิตประจำวัน ปัจจัยหลักที่เร่งให้ผิวของผู้ชายเกิดการเปลี่ยนแปลงเร็วกว่าที่ควร มีดังนี้

  • แสงแดดและรังสียูวี

ศัตรูตัวร้ายที่คอยทำลายคอลลาเจนในผิวอย่างเงียบ ๆ ส่งผลให้เกิดริ้วรอย จุดด่างดำ และผิวคล้ำเสียสะสม โดยเฉพาะผู้ชายที่ทำงานกลางแจ้งหรือไม่ชินกับการใช้ครีมกันแดด

  • มลภาวะทางอากาศ

ฝุ่นละอองขนาดเล็กสามารถแทรกซึมเข้าสู่รูขุมขน กระตุ้นให้เกิดการอักเสบ ผดผื่น และทำให้ผิวอ่อนแอลงในระยะยาว

  • ความเครียดและการพักผ่อนไม่เพียงพอ

ส่งผลโดยตรงต่อการทำงานของระบบฮอร์โมนและการฟื้นฟูผิว ทำให้ผิวดูหมองคล้ำ เหนื่อยล้า และสูญเสียความยืดหยุ่นเร็วกว่าปกติ

  • การละเลยการดูแลผิว

การไม่ใส่ใจเรื่องพื้นฐานอย่างการทำความสะอาด การเลือกผลิตภัณฑ์บำรุงที่เหมาะสม หรือการป้องกันผิวจากแสงแดด ล้วนเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้สภาพผิวเสื่อมลงโดยไม่รู้ตัว

 

ยกกระชับผิวคืออะไร? เหมาะกับผู้ชายแบบไหน?

การยกกระชับผิวคืออะไร

การยกกระชับผิว (Facial Lifting) คือการฟื้นฟูความกระชับและความเรียบเนียนโดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น ด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ เช่น คลื่นอัลตราซาวนด์ คลื่นวิทยุ หรือคลื่นพลังงานความร้อน ที่สามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ส่งผลให้ผิวแน่น กระชับ และดูอ่อนเยาว์อย่างดูเป็นธรรมชาติ ข้อดีของการยกกระชับผิวแบบไม่ต้องผ่าตัด คือไม่มีรอยแผล ไม่ต้องพักงาน และให้ผลลัพธ์ที่ค่อย ๆ ดีขึ้นแบบดูเป็นธรรมชาติภายในไม่กี่สัปดาห์

 

ปัญหาผิวที่พบบ่อยในผู้ชาย

แม้ว่าผู้ชายจะมีผิวที่หนาและมันกว่าผู้หญิง แต่เมื่ออายุเพิ่มขึ้น หรือเผชิญกับปัจจัยเร่งผิวเสื่อมต่าง ๆ ก็อาจพบปัญหาผิวที่ทำให้ดูโทรมและแก่ก่อนวัย เช่น

  • ร่องแก้มลึก และริ้วรอยที่เห็นชัด
  • ผิวหน้าหย่อนคล้อย บริเวณแนวกรามและใต้คาง
  • กรอบหน้าไม่ชัดเจน ทำให้ใบหน้าดูไม่สมส่วน
  • ผิวขาดความยืดหยุ่น โดยเฉพาะในผู้ที่พักผ่อนน้อย หรือมีความเครียดสะสม

 

เทคโนโลยียกกระชับผิวที่เหมาะกับผู้ชาย
เทคโนโลยียกกระชับผิวที่เหมาะกับผู้ชาย

 

เทคโนโลยียกกระชับผิวที่เหมาะกับผู้ชาย

เทคโนโลยียกกระชับผิวในปัจจุบัน ได้รับการออกแบบให้ตอบโจทย์ทั้งในด้านประสิทธิภาพ และความสะดวก เหมาะสำหรับผู้ชายยุคใหม่ที่ต้องการดูดีแบบไม่เสียเวลา ไม่ต้องผ่าตัด และไม่ต้องพักฟื้น โดยแต่ละเทคโนโลยีมีจุดเด่นที่แตกต่างกัน เหมาะกับสภาพผิวและปัญหาของแต่ละบุคคล ดังนี้

เทคโนโลยีคลื่นอัลตราซาวนด์ความเข้มข้นสูงแบบเจาะจง (Micro-Focused Ultrasound) สามารถส่งพลังงานลงลึกถึงชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นผิวที่อยู่ลึกที่สุด ช่วยยกกระชับผิวหน้าอย่างแม่นยำและตรงจุด แบบไม่ต้องผ่าตัด เหมาะสำหรับผู้ชายที่เริ่มมีแนวกรอบหน้าไม่ชัดเจน หรือผิวหย่อนคล้อยบริเวณแก้มและใต้คาง ต้องการผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติและดูสุขภาพดี

  • ยกกระชับผิวโปรแกรม Thermage FLX

เทคโนโลยียกกระชับด้วยคลื่นวิทยุ (Monopolar RF) ที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ในชั้นผิวลึก ทำให้ผิวแน่นขึ้น ยืดหยุ่นขึ้น และลดเลือนริ้วรอยได้ทั่วทั้งใบหน้าและลำคอ เหมาะกับผู้ชายที่มีผิวหนา ผิวเริ่มหย่อนคล้อยทั้งใบหน้า หรือผู้ที่ต้องการบำรุงผิวเชิงลึกแบบไม่ต้องฉีด ไม่ต้องเจ็บ

  • ยกกระชับผิวโปรแกรม Morpheus8

เทคโนโลยีที่รวมคลื่นวิทยุกับเข็มไมโครนีดลิ่ง (Microneedling RF) เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและยกกระชับผิวในระดับลึก ช่วยแก้ปัญหาผิวไม่เรียบ รูขุมขนกว้าง และความหย่อนคล้อยเฉพาะจุด เหมาะสำหรับผู้ชายที่ต้องการผลลัพธ์แบบครอบคลุม ทั้งเรื่องผิวละเอียดและกรอบหน้าชัดเจน โดยไม่ต้องใช้สารเติมเต็ม

  • ยกกระชับผิวโปรแกรม Ultra 4D Lift

เทคโนโลยียกกระชับผิวที่ใช้พลังงาน Micro-Focused Ultrasound (MFU) ซึ่งเป็นคลื่นอัลตราซาวนด์ความเข้มข้นสูงที่สามารถลงลึกได้หลายระดับ ตั้งแต่ผิวชั้นตื้น (1.5 mm) ชั้นกลาง (3.0 mm) ไปจนถึงชั้น SMAS (4.5 mm) ซึ่งเป็นชั้นที่ศัลยแพทย์ใช้ในการผ่าตัดดึงหน้า ช่วยยกกระชับผิวหน้า ลดเหนียง และฟื้นฟูผิวให้เฟิร์มกระชับ เหมาะสำหรับผู้ชายที่มีแนวกรามหย่อน หรือเริ่มมีริ้วรอยรอบดวงตาและหน้าผาก

  • ยกกระชับผิวโปรแกรม Oligio

เทคโนโลยีที่ใช้พลังงานคลื่นวิทยุความถี่สูง Monopolar RF ช่วยกระตุ้นคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวแน่นขึ้น ลดเลือนริ้วรอยร่องลึก และเพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิว เหมาะกับผู้ชายที่มีสภาพผิวอ่อนล้า หน้าดูโทรม หรือมีริ้วรอยบริเวณร่องแก้มและมุมปาก

 

เปรียบเทียบการยกกระชับผิวกับวิธีอื่น ๆ สำหรับผู้ชาย

การดูแลผิวและฟื้นฟูความกระชับของใบหน้าในผู้ชายสามารถทำได้หลายวิธี ทั้งแบบไม่ใช้เข็ม ไม่ผ่าตัด หรือแม้แต่การใช้ครีมบำรุง แต่ละวิธีมีข้อดีแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับปัญหาเฉพาะบุคคล งบประมาณ และผลลัพธ์ที่คาดหวัง ดังนี้

เปรียบเทียบกับโปรแกรมฉีดโบและโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์

  • โปรแกรมฉีดโบ เป็นสารที่ใช้ฉีดเพื่อคลายกล้ามเนื้อ ลดเลือนริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงสีหน้า เช่น รอยย่นบริเวณหน้าผาก หว่างคิ้ว และหางตา ส่วนโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ เป็นสารเติมเต็มที่ช่วยเพิ่มวอลุ่มให้กับใบหน้า โดยนิยมใช้บริเวณใต้ตา ร่องแก้ม หรือแนวกราม เพื่อให้ใบหน้าดูอิ่มเอิบและสมส่วนมากขึ้น
  • ข้อดีของโปรแกรมฉีดโบและโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ คือให้ผลลัพธ์ที่รวดเร็ว เหมาะสำหรับผู้ชายที่ต้องการแก้ปัญหาเฉพาะจุดในเวลาอันสั้น โดยไม่ต้องพักฟื้น อย่างไรก็ตาม การฉีดสารเหล่านี้ไม่สามารถแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยได้โดยตรง และจำเป็นต้องเติมซ้ำทุก 6–12 เดือน นอกจากนี้ หากฉีดโดยแพทย์ที่ไม่มีความชำนาญ อาจทำให้ใบหน้าดูแข็ง ไม่เป็นธรรมชาติได้

เปรียบเทียบกับการผ่าตัดดึงหน้า

  • การผ่าตัดดึงหน้าเป็นวิธีการยกกระชับผิวหน้าอย่างถาวรที่ให้ผลลัพธ์ชัดเจน แพทย์จะทำการผ่าตัดเลาะผิวหนังและกล้ามเนื้อบางส่วนเพื่อยกกระชับผิวหน้าให้ตึงขึ้น เหมาะกับผู้ชายที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยรุนแรง และต้องการผลลัพธ์ในระยะยาว
  • ข้อดีของการผ่าตัดคือให้ผลลัพธ์ที่อยู่ได้นานหลายปี อย่างไรก็ตาม วิธีนี้มีข้อจำกัดในเรื่องของระยะเวลาพักฟื้น มีความเสี่ยงจากการผ่าตัด และมีค่าใช้จ่ายที่สูง จึงไม่เหมาะกับทุกคน โดยเฉพาะผู้ที่ยังมีความหย่อนคล้อยเพียงเล็กน้อย หรือยังไม่พร้อมรับการผ่าตัด

เปรียบเทียบกับการดูแลด้วยครีมหรือวิธีธรรมชาติ

  • การดูแลผิวด้วยครีมบำรุง การนวดหน้า หรือการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยเสริมสร้างสุขภาพผิวในระยะยาว ช่วยให้ผิวแข็งแรง อิ่มฟู และชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัยได้ในระดับหนึ่ง
  • ข้อดีของวิธีนี้คือทำได้ง่าย ประหยัด และเป็นกิจวัตรที่สามารถทำได้เองที่บ้าน อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์จากการดูแลด้วยครีมจะค่อยเป็นค่อยไป และไม่สามารถยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อยอย่างเห็นได้ชัดเจน โดยเฉพาะในช่วงวัยที่คอลลาเจนเริ่มลดลง

 

ยกกระชับผิวหน้าสำหรับผู้ชายในแต่ละช่วงวัย
ยกกระชับผิวหน้าสำหรับผู้ชายในแต่ละช่วงวัย

 

ยกกระชับผิวหน้าสำหรับผู้ชายในแต่ละช่วงวัย

การดูแลผิวพรรณและฟื้นฟูความกระชับของใบหน้าไม่ได้จำกัดอยู่แค่ช่วงวัยกลางคนเท่านั้น แต่สามารถเริ่มต้นได้ตั้งแต่วัยหนุ่ม เพื่อป้องกันปัญหาผิวในอนาคต และคงความอ่อนเยาว์ได้ยาวนานขึ้น 

วัย 25 – 30 ปี

  • ลักษณะผิว: ผิวยังแข็งแรงอยู่ แต่เริ่มมีสัญญาณเล็ก ๆ ของการเปลี่ยนแปลง เช่น รูขุมขนกว้าง ผิวไม่กระชับเท่าเดิม โดยเฉพาะในผู้ที่พักผ่อนน้อย ดื่มแอลกอฮอล์ หรืออยู่กลางแจ้งบ่อย
  • เทคโนโลยีแนะนำ: โปรแกรมยกกระชับผิว Ultraformer MPT, โปรแกมยกกระชับผิว Oligio, โปรแกรมยกกระชับผิว Morpheus8 โดยควรทำปีละ 1 ครั้งเพื่อคงสภาพผิว 

 

วัย 31 – 40 ปี 

  • ลักษณะผิว: เริ่มเห็นความหย่อนคล้อยชัดขึ้น เช่น แนวกรามไม่ชัด ร่องแก้มลึก หรือผิวขาดความกระชับ
  • เทคโนโลยีแนะนำ: โปรแกรมยกกระชับผิว Ulthera Prime, โปรแกมยกกระชับผิว Thermage FLX และ โปรแกรมยกกระชับผิว Ultraformer MPT โดยควรทำปีละ 1 ครั้ง เพื่อชะลอวัยให้อ่อนเยาว์อยู่เสมอ

 

วัย 41 ปีขึ้นไป

  • ลักษณะผิว: ผิวเริ่มหย่อนคล้อยอย่างชัดเจน ร่องลึก และไขมันใต้ผิวลดลง กรอบหน้าไม่ชัด เหนียงเริ่มเห็นชัดเจน
  • เทคโนโลยีแนะนำ: โปรแกรมยกกระชับผิว Ulthera Prime, โปรแกมยกกระชับผิว Thermage FLX และ โปรแกรมยกกระชับผิว Ultraformer MPT โดยควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินอย่างละเอียด และอาจทำร่วมกับการใช้สกินแคร์ในระยะยาว

 

ข้อดีของการยกกระชับผิวสำหรับผู้ชาย

  • ยกกระชับผิวสำหรับผู้ชาย ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น และไม่มีแผล
  • ยกกระชับผิวสำหรับผู้ชาย เสริมบุคลิกภาพและความมั่นใจ
  • ยกกระชับผิวสำหรับผู้ชาย ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ แบบค่อยเป็นค่อยไป
  • ยกกระชับผิวสำหรับผู้ชาย ช่วยปรับโครงหน้าให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
  • ยกกระชับผิวสำหรับผู้ชาย กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว
  • ยกกระชับผิวสำหรับผู้ชาย ชะลอการเกิดริ้วรอยและผิวหย่อนในระยะยาว
  • ยกกระชับผิวสำหรับผู้ชาย เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของผู้ชายยุคใหม่
  • ยกกระชับผิวสำหรับผู้ชาย ช่วยลดขนาดรูขุมขนและปรับผิวให้เรียบเนียนขึ้น
  • ยกกระชับผิวสำหรับผู้ชาย ช่วยลดเหนียงและไขมันสะสมบริเวณกรอบหน้า
  • ยกกระชับผิวสำหรับผู้ชาย ลดความเมื่อยล้าของใบหน้า
  • ยกกระชับผิวสำหรับผู้ชาย กระตุ้นระบบไหลเวียนเลือดใต้ผิว
  • ยกกระชับผิวสำหรับผู้ชาย สามารถทำร่วมกับการดูแลผิวแบบอื่นได้

 

ยกกระชับผิวสำหรับผู้ชาย เหมาะสำหรับใครบ้าง?
ยกกระชับผิวสำหรับผู้ชาย เหมาะสำหรับใครบ้าง?

 

ยกกระชับผิวสำหรับผู้ชาย เหมาะสำหรับใครบ้าง?

  • ยกกระชับผิวสำหรับผู้ชาย เหมาะสำหรับผู้ที่อายุ 25 ปีขึ้นไป และเริ่มมีสัญญาณผิวเสื่อมเล็กน้อย
  • ยกกระชับผิวสำหรับผู้ชาย เหมาะสำหรับผู้ที่มีแนวกรามไม่ชัด หน้าเริ่มหย่อนคล้อย
  • ยกกระชับผิวสำหรับผู้ชาย เหมาะสำหรับผู้ที่มีร่องแก้มชัด หางตาตก หรือหน้าดูเหนื่อยล้า
  • ยกกระชับผิวสำหรับผู้ชาย เหมาะสำหรับผู้ที่ผิวหน้าเริ่มขาดความยืดหยุ่น ไม่เฟิร์มเหมือนเดิม
  • ยกกระชับผิวสำหรับผู้ชาย เหมาะสำหรับผู้ที่มีคางสองชั้น เหนียงใต้คางเริ่มสะสม
  • ยกกระชับผิวสำหรับผู้ชาย เหมาะสำหรับผู้ที่มีรูขุมขนกว้าง ผิวไม่เรียบ ลูบแล้วไม่เนียน
  • ยกกระชับผิวสำหรับผู้ชาย เหมาะสำหรับผู้ที่มีริ้วรอยรอบตา หน้าผาก หรือร่องใต้ตา
  • ยกกระชับผิวสำหรับผู้ชาย เหมาะสำหรับผู้ที่เจอแสงแดดและมลภาวะเป็นประจำ เช่น ทำงานกลางแจ้ง
  • ยกกระชับผิวสำหรับผู้ชาย เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่อยากผ่าตัด ไม่อยากเสี่ยงกับการพักฟื้นนาน
  • ยกกระชับผิวสำหรับผู้ชาย เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องเข้าสังคม ออกงาน หรือทำงานด้านภาพลักษณ์
  • ยกกระชับผิวสำหรับผู้ชาย เหมาะสำหรับผู้ที่ใช้ชีวิตหนัก พักผ่อนน้อย เครียด
  • ยกกระชับผิวสำหรับผู้ชาย เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเสริมลุคให้ดูสุขภาพดีโดยไม่ต้องแต่งหน้า
  • ยกกระชับผิวสำหรับผู้ชาย เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่อยากผ่าตัด ไม่อยากเสี่ยงกับการพักฟื้นนาน

 

คำแนะนำ:
เพื่อให้การยกกระชับผิวหน้าสำหรับผู้ชาย เกิดประสิทธิภาพสูงสุดและสอดคล้องกับความต้องการของแต่ละบุคคล ควรเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์ก่อนเริ่มการรักษาเสมอ แพทย์จะทำการประเมินภาพรวมของสภาพผิว โครงสร้างใบหน้า รวมถึงสุขภาพโดยทั่วไป เพื่อวางแผนการดูแลที่เหมาะสมที่สุด

 

ยกกระชับผิวสำหรับผู้ชาย ไม่เหมาะสำหรับใครบ้าง?

  • ยกกระชับผิวสำหรับผู้ชาย ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีแผลสด บาดแผล หรือผิวหนังอักเสบเฉียบพลัน บริเวณที่ต้องทำการรักษา
  • ยกกระชับผิวสำหรับผู้ชาย ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่อยู่ระหว่างตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
  • ยกกระชับผิวสำหรับผู้ชาย ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะเลือดออกง่าย หรือโรคเกี่ยวกับระบบการแข็งตัวของเลือด เช่น ผู้ที่ใช้ยาต้านเกล็ดเลือดบางชนิด
  • ยกกระชับผิวสำหรับผู้ชาย ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีประวัติโรคลมชัก หรือไวต่อแสงและพลังงานความร้อนบางประเภท
  • ยกกระชับผิวสำหรับผู้ชาย ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีโรคผิวหนังเรื้อรัง เช่น โรคสะเก็ดเงิน, โรคด่างขาว ในบริเวณใบหน้า
  • ยกกระชับผิวสำหรับผู้ชาย ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีซิลิโคนร้อยไหม ในบริเวณที่ต้องการยกกระชับ
  • ยกกระชับผิวสำหรับผู้ชาย ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemaker)
  • ยกกระชับผิวสำหรับผู้ชาย ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีเครื่องกระตุ้นประสาท หรืออุปกรณ์ฝังตัวอิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ
  • ยกกระชับผิวสำหรับผู้ชาย ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เพิ่งทำหัตถการความงามอื่น ๆ เช่น โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ โปรแกรมเลเซอร์ หรือผ่าตัด

 

หมายเหตุ:

ก่อนทำยกกระชับผิวสำหรับผู้ชาย ควรเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์ก่อนเริ่มการรักษาเสมอ แพทย์จะทำการประเมินภาพรวมของสภาพผิว โครงสร้างใบหน้า รวมถึงสุขภาพโดยทั่วไป เพื่อวางแผนการดูแลที่เหมาะสมที่สุด โดยเฉพาะในกรณีที่มีโรคประจำตัว หรือข้อจำกัดด้านสุขภาพบางประการ การพิจารณาร่วมกับแพทย์จะช่วยให้สามารถปรับแนวทางการรักษา ให้สอดคล้องกับความจำเป็นเฉพาะรายได้อย่างเหมาะสม

 

ยกกระชับผิวสำหรับผู้ชาย ทำบริเวณใดได้บ้าง?

  • ยกกระชับผิวสำหรับผู้ชาย สามารถทำบริเวณแนวกราม ช่วยยกกระชับแนวกรอบหน้าให้ชัดขึ้น
  • ยกกระชับผิวสำหรับผู้ชาย สามารถทำบริเวณใต้คาง ช่วยลดไขมันสะสม กระชับเหนียง
  • ยกกระชับผิวสำหรับผู้ชาย สามารถทำบริเวณแก้ม ยกกระชับบริเวณแก้มที่หย่อนคล้อย ลดร่องลึก
  • ยกกระชับผิวสำหรับผู้ชาย สามารถทำบริเวณใต้ตาและหางตา ยกกระชับผิวรอบดวงตา ลดรอยย่น
  • ยกกระชับผิวสำหรับผู้ชาย สามารถทำบริเวณหน้าผาก ยกกระชับกล้ามเนื้อใบหน้าส่วนบน
  • ยกกระชับผิวสำหรับผู้ชาย สามารถทำบริเวณกรอบหน้าโดยรวม ยกทั่วใบหน้าให้สมดุล พร้อมกระตุ้นคอลลาเจน
  • ยกกระชับผิวสำหรับผู้ชาย สามารถทำบริเวณลำคอ ยกกระชับหนังคอที่หย่อนคล้อย ลดริ้วรอยแนวนอนบริเวณคอ

 

ยกกระชับผิวสำหรับผู้ชาย ก่อนทำเตรียมตัวอย่างไร?
ยกกระชับผิวสำหรับผู้ชาย ก่อนทำเตรียมตัวอย่างไร?

 

ยกกระชับผิวสำหรับผู้ชาย ก่อนทำเตรียมตัวอย่างไร?

  • ก่อนทำยกกระชับผิวสำหรับผู้ชาย ควรเข้ารับการประเมินกับแพทย์ก่อนทุกครั้ง
  • ก่อนทำยกกระชับผิวสำหรับผู้ชาย ควรแจ้งประวัติสุขภาพโดยละเอียด เช่น โรคประจำตัว ยาที่ใช้ประจำ
  • ก่อนทำยกกระชับผิวสำหรับผู้ชาย หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ระคายเคืองผิว 3–5 วัน
  • ก่อนทำยกกระชับผิวสำหรับผู้ชาย หลีกเลี่ยงการโดนแดดจัด 3–5 วัน
  • ก่อนทำยกกระชับผิวสำหรับผู้ชาย งดการออกกำลังกายหนัก 24 ชั่วโมง
  • ก่อนทำยกกระชับผิวสำหรับผู้ชาย งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่ อย่างน้อย 24 ชั่วโมง
  • ก่อนทำยกกระชับผิวสำหรับผู้ชาย งดยาแก้อักเสบ เช่น Aspirin หรือยาต้านการแข็งตัวของเลือด

 

ยกกระชับผิวสำหรับผู้ชาย มีขั้นตอนการทำอย่างไรบ้าง?

  1. แพทย์จะประเมินปัญหาเฉพาะของใบหน้า เลือกเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับสภาพผิว
  2. ทำความสะอาดใบหน้าเพื่อขจัดสิ่งสกปรก เครื่องสำอาง หรือครีมบำรุงก่อนเริ่มหัตถการ
  3. ทายาชาหรือประคบเย็นก่อนทำเครื่องยกกระชับผิว
  4. แพทย์จะวาดหรือกำหนดตำแหน่งตามแนวโครงหน้า เพื่อความแม่นยำในการยกกระชับผิว
  5. แพทย์ใช้หัวเครื่องยิงพลังงานในความลึกที่เหมาะสม ใช้เวลาเฉลี่ย 30–90 นาที ขึ้นอยู่กับบริเวณและประเภทของเครื่อง
  6. เช็ดทำความสะอาดผิวเบา ๆ หลังทำ และอาจทาเซรั่มหรือครีมลดการระคายเคือง
  7. แพทย์หรือเจ้าหน้าที่จะแนะนำวิธีดูแลผิวหลังทำ เพื่อช่วยคงผลลัพธ์ให้นานยิ่งขึ้น

 

ยกกระชับผิวสำหรับผู้ชาย หลังทำควรดูแลตัวเองอย่างไรบ้าง?
ยกกระชับผิวสำหรับผู้ชาย หลังทำควรดูแลตัวเองอย่างไรบ้าง?

 

ยกกระชับผิวสำหรับผู้ชาย หลังทำควรดูแลตัวเองอย่างไรบ้าง?

  • หลังทำยกกระชับผิวสำหรับผู้ชาย หลีกเลี่ยงการออกแดดจัดหรือกิจกรรมกลางแจ้ง
  • หลังทำยกกระชับผิวสำหรับผู้ชาย หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักที่ทำให้เหงื่อออกมากในช่วง 24–48 ชั่วโมงแรก
  • หลังทำยกกระชับผิวสำหรับผู้ชาย หลีกเลี่ยงการนอนคว่ำ หรือการกดใบหน้า ในช่วง 2-3 วัน
  • หลังทำยกกระชับผิวสำหรับผู้ชาย งดซาวน่า อบไอน้ำ หรือแช่น้ำร้อน 2-3 วัน
  • หลังทำยกกระชับผิวสำหรับผู้ชาย งดนวดหน้า สครับ หรือใช้ผ้าเช็ดหน้าแรง ๆ ในช่วง 5–7 วัน
  • หลังทำยกกระชับผิวสำหรับผู้ชาย งดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มี AHA, BHA, Retinol, Vitamin C ความเข้มข้นสูง
  • หลังทำยกกระชับผิวสำหรับผู้ชาย งดดื่มแอลกอฮอล์และงดสูบบุหรี่ช่วง 3–5 วัน
  • หลังทำยกกระชับผิวสำหรับผู้ชาย ควรใช้ผลิตภัณฑ์กระตุ้นคอลลาเจนร่วมด้วย เช่น เซรั่มที่มีเปปไทด์ วิตามิน B5
  • หลังทำยกกระชับผิวสำหรับผู้ชาย ควรนอนหลับวันละอย่างน้อย 6–8 ชั่วโมง
  • หลังทำยกกระชับผิวสำหรับผู้ชาย ควรดื่มน้ำมาก ๆ อย่าน้อยวันละ 8-10 แก้วต่อวัน

 

คำถามที่พบบ่อยของการยกกระชับผิวสำหรับผู้ชาย

ยกกระชับผิวสำหรับผู้ชาย ผู้ชายสามารถทำได้จริงไหม?

  • ปัจจุบัน เทคโนโลยียกกระชับผิวได้รับการออกแบบมาให้เหมาะกับทุกเพศ ไม่จำกัดเฉพาะผู้หญิง โดยเฉพาะผู้ชายที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย แนวกรอบหน้าไม่ชัด หรือใบหน้าดูเหนื่อยล้า การยกกระชับสามารถช่วยปรับลุคให้ดูดีขึ้นอย่างดูเป็นธรรมชาติ โดยไม่ต้องผ่าตัด

 

อายุเท่าไหร่ถึงควรเริ่มทำยกกระชับผิวสำหรับผู้ชาย?

  • ผู้ชายสามารถเริ่มต้นทำยกกระชับผิวได้ตั้งแต่อายุประมาณ 25 ปีขึ้นไป โดยเฉพาะเมื่อเริ่มเห็นสัญญาณของความหย่อนคล้อย ผิวไม่เฟิร์ม หรือกรอบหน้าไม่คมชัด การเริ่มดูแลผิวตั้งแต่เนิ่น ๆ ช่วยชะลอวัยและลดโอกาสเกิดปัญหาในอนาคตได้

 

ยกกระชับผิวสำหรับผู้ชาย ตอนทำจะรู้สึกเจ็บไหม?

  • ความรู้สึกระหว่างทำยกกระชับผิว ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีที่เลือกใช้ แต่โดยทั่วไปสามารถใช้ยาชาเฉพาะจุดเพื่อลดความไม่สบายระหว่างทำได้

 

ยกกระชับผิวสำหรับผู้ชาย หลังทำแล้วต้องพักฟื้นไหม?

  • หลังทำยกกระชับผิว ไม่จำเป็นต้องพักฟื้น สามารถกลับไปทำงานหรือใช้ชีวิตประจำวันได้ทันที อาจมีอาการตึงผิว หรือแดงเล็กน้อยหลังทำ ซึ่งจะค่อย ๆ หายไปภายใน 1–3 วัน

 

ยกกระชับผิวสำหรับผู้ชาย ต้องทำบ่อยแค่ไหน?

  • โดยทั่วไป แนะนำให้ทำยกกระชับผิวปีละ 1–2 ครั้ง ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีที่ใช้ สภาพผิว และไลฟ์สไตล์ของแต่ละคน การทำอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้ผิวดูอ่อนเยาว์อย่างต่อเนื่อง

การยกกระชับผิวสำหรับผู้ชาย ทำให้หน้าดูเปลี่ยนไปไหม?

  • การยกกระชับผิวจะไม่เปลี่ยนรูปหน้าโดยสิ้นเชิง แต่จะช่วยปรับให้ใบหน้าดูกระชับขึ้น กรอบหน้าคมขึ้น และทำให้ใบหน้าโดยรวมแลดูสดใส สุขภาพดีขึ้นในแบบที่ยังคงความดูเป็นธรรมชาติ

 

ยกกระชับผิวสำหรับผู้ชาย มีผลข้างเคียงหรืออันตรายไหม?

  • โดยทั่วไปไม่มีผลข้างเคียงที่รุนแรง แต่อาจมีอาการบวม แดง หรือตึงเล็กน้อย ซึ่งจะหายได้เองภายในไม่กี่วัน แต่หากมีอาการผิดปกติ เช่น ปวดแสบมาก หรือมีตุ่มน้ำ ควรรีบติดต่อแพทย์ทันที

 

ยกกระชับผิวสำหรับผู้ชาย ทำเฉพาะบางจุดได้ไหม?

  • สามารถทำเฉพาะจุดได้ เนื่องจากเทคโนโลยียุคใหม่ สามารถยกกระชับเฉพาะจุดได้อย่างแม่นยำ เช่น แนวกราม คางสองชั้น หางตา หรือใต้ตา แพทย์จะออกแบบแนวการยิงพลังงานให้เหมาะกับโครงสร้างใบหน้าของแต่ละคน

 

การยกกระชับผิวไม่ได้เป็นเรื่องของผู้หญิงเพียงเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของการดูแลตัวเองที่ผู้ชายในยุคปัจจุบันให้ความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเพื่อเสริมภาพลักษณ์ บุคลิกภาพ หรือความมั่นใจในชีวิตประจำวัน เทคโนโลยียกกระชับในปัจจุบันสามารถตอบโจทย์ได้อย่างครอบคลุม ไม่ต้องผ่าตัด และให้ผลลัพธ์ที่ดูดีได้แบบดูเป็นธรรมชาติ

 

ไม่ว่าคุณจะเริ่มมีปัญหาผิวหย่อนคล้อย กรอบหน้าไม่ชัด หรือแค่อยากคงความอ่อนเยาว์ไว้ให้นานที่สุด การเริ่มต้นดูแลตัวเองตั้งแต่วันนี้ คือการลงทุนเพื่อความมั่นใจในระยะยาว ซึ่งผลลัพธ์ของการยกกระชับอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับสภาพผิว โครงสร้างใบหน้า อายุ และปัจจัยด้านสุขภาพอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

ทั้งนี้ ก่อนเข้ารับบริการทุกครั้ง ควรปรึกษาแพทย์ประจำคลินิก เพื่อวางแผนการรักษาให้เหมาะกับสภาพผิวและเป้าหมายเฉพาะตัว เพื่อให้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่าที่สุดสำหรับคุณ

ยกกระชับกรอบหน้าแบบไม่ต้องผ่าตัด วิธีไหนดี?

ยกกระชับกรอบหน้าแบบไม่ต้องผ่าตัด วิธีไหนดี?

ยกกระชับกรอบหน้าแบบไม่ต้องผ่าตัด วิธีไหนดี? เปรียบเทียบเทคนิคยอดฮิต

ในปัจจุบันการยกกระชับใบหน้าแบบไม่ต้องผ่าตัด ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากผู้คนให้ความสำคัญกับความงามที่เป็นที่น่าพึงพอใจ และต้องการดูแลตัวเองโดยไม่ต้องเจ็บตัวหรือพักฟื้นนาน เทคโนโลยีด้านความงามพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด ทำให้มีเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่สามารถช่วยยกกระชับผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องผ่าตัดศัลยกรรม

 

สาเหตุที่ทำให้ใครหลายคนมองหาวิธีแก้ไขปัญหาผิวหน้ามีหลากหลายปัญหา เช่น ความหย่อนคล้อยของผิวตามวัย ริ้วรอยที่เริ่มชัดเจนขึ้น หรือโครงหน้าที่ขาดความคมชัด ปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งผลต่อความมั่นใจและทำให้ใบหน้าดูมีอายุเกินกว่าที่ควร โชคดีที่ในปัจจุบันมีเทคนิคการยกกระชับที่สามารถช่วยคืนความอ่อนเยาว์ให้ใบหน้าได้ โดยไม่ต้องเจ็บตัวหรือใช้เวลาพักฟื้นนาน

 

หากคุณกำลังมองหาวิธีแก้ปัญหาผิวหน้าเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี การยกกระชับกรอบหน้าแบบ ไม่ต้องผ่าตัด อาจเป็นคำตอบที่ดีสำหรับคุณ

 

ทำไมต้องยกกระชับกรอบหน้า?

กรอบหน้าที่คมชัด เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ใบหน้าดูมีมิติ อ่อนเยาว์ อย่างไรก็ตาม เมื่ออายุเพิ่มขึ้นหรือเกิดการเปลี่ยนแปลงของผิวหน้า ทำให้กรอบหน้าอาจดูหย่อนคล้อย ไม่ได้รูปทรง ส่งผลให้ใบหน้าดูแก่กว่าวัยและขาดความมั่นใจ การยกกระชับกรอบหน้าช่วยคืนความกระชับ เพิ่มความคมชัดให้ใบหน้า โดยไม่ต้องผ่าตัด

 

กรอบหน้าหย่อนคล้อยเกิดจากอะไร?
กรอบหน้าหย่อนคล้อยเกิดจากอะไร?

 

กรอบหน้าหย่อนคล้อยเกิดจากอะไร?

  • อายุที่เพิ่มขึ้น 

กระบวนการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิวลดลง ทำให้ผิวขาดความยืดหยุ่น ผิวที่เคยตึงกระชับเริ่มสูญเสียความแน่นฟู ส่งผลให้ใบหน้าดูหย่อนคล้อยและเกิดริ้วรอยได้ง่าย

  • ไขมันสะสมบริเวณกรอบหน้า 

การเปลี่ยนแปลงของไขมันใต้ผิวหนัง เกิดขึ้นตามอายุหรือพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างรวดเร็ว อาจทำให้โครงหน้าดูไม่ชัด กรอบหน้าดูเบลอ และเกิดปัญหาคางสองชั้นได้

  • แรงโน้มถ่วงและพฤติกรรมการใช้ชีวิต 

แรงโน้มถ่วงส่งผลให้โครงสร้างผิวหย่อนคล้อยลงตามธรรมชาติ นอกจากนี้ พฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น การแสดงสีหน้าซ้ำ ๆ การนอนผิดท่า การใช้กล้ามเนื้อใบหน้าอย่างไม่เหมาะสม หรือการขาดการบำรุงผิว อาจเร่งให้ผิวเสื่อมสภาพเร็วขึ้น

  • การสูญเสียมวลกระดูกและกล้ามเนื้อใบหน้า 

เมื่ออายุมากขึ้น กระดูกใบหน้าจะบางลงและเปลี่ยนโครงสร้างไปตามธรรมชาติ กล้ามเนื้อใบหน้าก็อาจอ่อนแรงลง ทำให้รูปหน้าเปลี่ยนแปลง ผิวหนังขาดการพยุงตัว ส่งผลให้ใบหน้าดูหย่อนคล้อยและสูญเสียความกระชับ

  • ปัจจัยภายนอก 

แสงแดด มลภาวะ ความเครียด และการรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสม ล้วนส่งผลให้คอลลาเจนเสื่อมสภาพเร็วขึ้น รังสี UV จากแสงแดดสามารถทำลายเซลล์ผิว ทำให้ผิวบางลง ขาดความยืดหยุ่น ขณะที่มลภาวะและความเครียดอาจกระตุ้นอนุมูลอิสระ ส่งผลให้ผิวโทรมและหมองคล้ำ

 

เทรนด์การยกกระชับกรอบหน้าแบบไม่ต้องผ่าตัดที่ได้รับความนิยม

ปัจจุบันเทคโนโลยีความงามได้พัฒนาไปไกล ทำให้การดูแลผิวและโครงหน้าไม่จำเป็นต้องผ่าตัดอีกต่อไป “Non-Surgical Face Lift” หรือการยกกระชับใบหน้าโดยไม่ต้องศัลยกรรม กลายเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่ต้องการผลลัพธ์ที่ดีและไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้น

 

ทำไมถึงเลือกเทคนิคแบบ Non-Surgical Face Lift?

สาเหตุที่คนจำนวนมากเลือกวิธีการยกกระชับใบหน้าแบบไม่ต้องผ่าตัด มาจากหลายปัจจัยที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์และความต้องการของคนยุคใหม่ ดังนี้

  • ต้องการคงความเป็นตัวเอง

การศัลยกรรมอาจให้ผลลัพธ์ที่ดูเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน แต่บางคนต้องการให้ใบหน้าดูดีขึ้นโดยที่ยังคงโครงหน้าเดิม และไม่ดูผิดธรรมชาติ

  • กลัวการผ่าตัดและผลข้างเคียง 

การศัลยกรรมดึงหน้ามีความเสี่ยง เช่น การติดเชื้อ อาการบวมช้ำ หรือผลลัพธ์ที่ไม่เป็นไปตามคาด ขณะที่การยกกระชับแบบไม่ต้องผ่าตัดให้ผลลัพธ์ที่ดูดีขึ้นโดยไม่มีความเสี่ยงเหล่านี้

  • ไม่มีเวลาพักฟื้น 

คนส่วนใหญ่มีตารางงานที่แน่น ไม่มีเวลาหยุดพักฟื้นนาน ๆ วิธีการยกกระชับแบบไม่ต้องผ่าตัดช่วยให้สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ทันที หรือมีเพียงอาการบวมแดงเล็กน้อยที่หายไปภายในเวลาอันสั้น

  • เทคโนโลยีที่พัฒนาให้เห็นผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

ปัจจุบันมีเครื่องมือที่ช่วยกระตุ้นคอลลาเจนและยกกระชับผิวได้ดี เช่น โปรแกรม Ulthera Prime, โปรแกรม Thermage FLX, โปรแกรม Fix Lift, โปรแกรม Ultraformer MPT, โปรแกรม Oligio และ โปรแกรม  EMFACE ซึ่งให้ผลลัพธ์ที่ใกล้เคียงกับการศัลยกรรม ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี

  • สามารถทำซ้ำได้เมื่อจำเป็น 

ผลลัพธ์ของการยกกระชับโดยไม่ต้องผ่าตัดสามารถอยู่ได้นาน 12-24 เดือน และสามารถทำซ้ำได้ตามต้องการ โดยไม่ต้องกลัวผลข้างเคียงระยะยาว

 

รวมวิธีการยกกระชับกรอบหน้าแบบไม่ต้องผ่าตัด มีอะไรบ้าง?
รวมวิธีการยกกระชับกรอบหน้าแบบไม่ต้องผ่าตัด มีอะไรบ้าง?

 

รวมวิธีการยกกระชับกรอบหน้าแบบไม่ต้องผ่าตัด มีอะไรบ้าง?

ปัจจุบัน มีหลายวิธีที่สามารถช่วยยกกระชับกรอบหน้า ไม่ผ่าตัด ในแต่ละเทคนิคมีข้อดีและความเหมาะสมที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและปัญหาของแต่ละบุคคล ซึ่งวิธียกกระชับกรอบหน้า ไม่ผ่าตัด มีดังนี้

Ultherapy Prime

  • Ultherapy Prime ใช้เทคโนโลยี Micro-Focused Ultrasound (MFU-V) ซึ่งสามารถส่งพลังงานลงลึกถึงชั้น SMAS (Superficial Musculoaponeurotic System) ซึ่งเป็นชั้นเดียวกับที่ศัลยแพทย์ใช้ในการดึงหน้า ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ ทำให้ผิวหน้าตึงกระชับ และกรอบหน้าคมชัดขึ้น ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 12-24 เดือน เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยระดับปานกลางถึงมาก

Ultra 4D Lift

  • Ultra 4D Lift เป็นเทคโนโลยี Micro & Macro Focused Ultrasound (MMFU) ที่สามารถส่งพลังงานลงลึก เพื่อช่วยยกกระชับใบหน้าและกระตุ้นคอลลาเจน ทำให้ผิวแน่นขึ้นโดยไม่ต้องผ่าตัด สามารถช่วยลดไขมันบริเวณคางสองชั้น และกระชับกรอบหน้า ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 6-12 เดือน

Super HIFU

  • Super HIFU เป็นเทคโนโลยีที่ใช้พลังงาน High-Intensity Focused Ultrasound (HIFU) ที่สามารถส่งพลังงานลงลึกถึงชั้น SMAS ได้แม่นยำขึ้น ทำให้ช่วยกระชับผิว ลดไขมันสะสมใต้คาง และเก็บกรอบหน้าให้ชัดขึ้น ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 6-12 เดือน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการให้กรอบหน้าคมขึ้น แต่ไม่ต้องการศัลยกรรม

Thermage FLX

  • Thermage ใช้เทคโนโลยี Monopolar RF ส่งพลังงานความร้อนลงลึกถึงชั้นหนังแท้ (Dermis) และชั้นไขมันใต้ผิว เพื่อช่วยกระตุ้นคอลลาเจนและกระชับโครงสร้างผิว เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย และต้องการกระชับกรอบหน้า เห็นผลหลังทำทันที และดีขึ้นเรื่อย ๆ ใน 2-3 เดือน ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 12-24 เดือน

Oligio

  • Oligio เป็นเทคโนโลยี Monopolar RF (Radio Frequency) ที่ช่วยยกกระชับผิวและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน โดยให้พลังงานลงลึกถึงชั้นหนังแท้ (Dermis) และชั้นไขมันใต้ผิว ช่วยให้ผิวเฟิร์มกระชับมากขึ้น และลดเลือนริ้วรอยเล็ก ๆ ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 6-12 เดือน เหมาะกับผู้ที่ต้องการกระชับผิว แต่ไม่ต้องการเจ็บตัว

EMFACE

  • EMFACE เป็นเทคโนโลยีที่ใช้พลังงาน HIFES™ และ RF ในการกระตุ้นกล้ามเนื้อใบหน้าและคอลลาเจน ช่วยให้ใบหน้าดูยกกระชับขึ้นโดยไม่ต้องฉีดสารใด ๆ ไม่ต้องใช้เข็ม และไม่ต้องพักฟื้น เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูความกระชับของใบหน้า ให้ผลลัพธ์ดีขึ้นใน 1-3 เดือน และอยู่ได้นาน 6-12 เดือน

Fix Lift

  • Fix Lift เป็นเทคโนโลยีที่ผสานกันของพลังงาน Microneedling + Radio Frequency (RF) โดยใช้เข็มขนาดเล็ก 24 pins ส่งพลังงานลงลึกถึงชั้น ไขมันใต้ผิวหนัง (Subdermal Layer) เพื่อช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และกระชับผิวให้เรียบเนียนขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับ พร้อมลดไขมันใต้ผิว ผลลัพธ์ดีขึ้นใน 3-4 สัปดาห์ และอยู่ได้นาน 6-12 เดือน

 

วิธีเลือกเทคนิคยกกระชับกรอบหน้าแบบไม่ต้องผ่าตัดที่เหมาะกับตัวเอง

การเลือกเทคนิคยกกระชับกรอบหน้าให้เหมาะสม ควรพิจารณาหลายปัจจัยร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็น อายุและสภาพผิว ความต้องการเรื่องความเจ็บ และงบประมาณ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่าและตอบโจทย์มากที่สุด

 

เลือกเทคนิคให้เหมาะกับอายุและปัญหาผิว

อายุเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อสภาพผิวและระดับความหย่อนคล้อย ซึ่งช่วยให้สามารถเลือกเทคนิคที่เหมาะสมได้มากขึ้น

  • สำหรับผู้ที่มีอายุ 25-35 ปี มักจะยังไม่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยมากนัก แต่การสร้างคอลลาเจนเริ่มลดลง ทำให้ผิวดูไม่แน่นเหมือนเดิม
  • สำหรับผู้ที่มีอายุ 35-45 ปี ผิวเริ่มมีความหย่อนคล้อย กรอบหน้าอาจดูไม่ชัดขึ้น และริ้วรอยบางส่วนเริ่มชัดเจนขึ้น
  • สำหรับผู้ที่มีอายุ 45 ปีขึ้นไป ผิวเริ่มหย่อนคล้อยมากขึ้น ไขมันสะสมบริเวณใบหน้าและใต้คางมากขึ้น กรอบหน้าอาจดูเบลอ ไม่ชัดเจน

 

เลือกเทคนิคยกกระชับตามระดับความลึกของพลังงาน

การเลือกเทคนิคยกกระชับที่เหมาะสม สามารถพิจารณาได้จาก ระดับความลึกของพลังงานที่ใช้ในการกระชับผิว ซึ่งแต่ละเทคโนโลยีจะมีระดับความลึกที่แตกต่างกัน โดยสามารถแบ่งออกเป็น 3 ระดับหลัก ได้แก่ ระดับผิวชั้นบน, ระดับชั้นกลาง (Dermis), และระดับชั้นลึก (SMAS/กล้ามเนื้อใต้ผิวหนัง) ดังนี้

  • ระดับผิวชั้นบน (Epidermis – ผิวชั้นบนสุด) 

เทคนิคที่ใช้พลังงานในระดับผิวชั้นบนเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการ กระตุ้นคอลลาเจน ฟื้นฟูความเรียบเนียนของผิว ลดริ้วรอยเล็ก ๆ และทำให้ผิวดูสดใสขึ้น โดยไม่ต้องเจ็บหรือพักฟื้น 

  • ระดับชั้นกลาง (Dermis – ชั้นหนังแท้)

เทคนิคที่ลงลึกถึงชั้นหนังแท้เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยระดับปานกลาง ต้องการกระตุ้นคอลลาเจนให้ผิวแน่นขึ้น ลดเลือนริ้วรอย และช่วยให้ใบหน้าดูกระชับขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

  • ระดับชั้นลึก (SMAS – กล้ามเนื้อใต้ผิวหนัง)

เทคนิคที่สามารถส่งพลังงานลงลึกถึงชั้น SMAS (Superficial Musculoaponeurotic System) และชั้นไขมันใต้ผิวหนัง เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยมาก ต้องการยกกระชับใบหน้าให้เห็นผลชัดเจนขึ้น ปรับกรอบหน้าให้เรียวขึ้น และลดไขมันสะสมบริเวณแก้มและคางสองชั้น

 

เลือกตามงบประมาณและความคุ้มค่า

ค่าใช้จ่ายของแต่ละเทคโนโลยีแตกต่างกันไป โดยขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่ผลลัพธ์อยู่ได้นาน และประสิทธิภาพของหัตถการ ดังนี้

  • สำหรับผู้ที่มีงบประมาณจำกัด และต้องการการยกกระชับในระดับเริ่มต้น ควรเลือก Oligio, EMFACE หรือ Super HIFU ซึ่งเป็นเทคนิคที่ช่วยกระตุ้นคอลลาเจนและให้ผลลัพธ์ในระดับปานกลาง
  • สำหรับผู้ที่มองหาความคุ้มค่าในระยะยาว ควรเลือก Ultraformer MPT หรือ Fix Lift เนื่องจากสามารถช่วยกระชับผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ และอยู่ได้นาน 6-12 เดือน
  • สำหรับผู้ที่ต้องการเทคโนโลยีที่ให้ผลลัพธ์ดีและอยู่ได้นานที่สุด แม้จะมีราคาสูงกว่า ควรเลือก Ulthera หรือ Thermage FLX ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่สามารถช่วยยกกระชับผิวได้ลึกถึงชั้นโครงสร้างผิว และให้ผลลัพธ์ที่อยู่ได้นานถึง 12-24 เดือน

 

ยกกระชับกรอบหน้าแบบไม่ต้องผ่าตัด ช่วยอะไรบ้าง?
ยกกระชับกรอบหน้าแบบไม่ต้องผ่าตัด ช่วยอะไรบ้าง?

 

ยกกระชับกรอบหน้าแบบไม่ต้องผ่าตัด ช่วยอะไรบ้าง?

  • ยกกระชับกรอบหน้า ลดความหย่อนคล้อยของผิว ทำให้กรอบหน้าดูชัดขึ้น
  • ยกกระชับกรอบหน้า กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวแน่นขึ้น
  • ยกกระชับกรอบหน้า ลดไขมันสะสมใต้คาง และคางสองชั้น
  • ยกกระชับกรอบหน้า ช่วยยกกระชับใบหน้าและปรับให้ได้สัดส่วนมากขึ้น
  • ยกกระชับกรอบหน้า ช่วยให้ผิวเรียบเนียนขึ้น ดูสดใสและอ่อนเยาว์
  • ยกกระชับกรอบหน้า ช่วยลดเลือนริ้วรอยที่เกิดจากความหย่อนคล้อยของผิว
  • ยกกระชับกรอบหน้า ฟื้นฟูความกระชับของผิว โดยไม่ต้องผ่าตัด
  • ยกกระชับกรอบหน้า ช่วยให้ใบหน้าดูสดใส และลดความโทรม
  • ยกกระชับกรอบหน้า ช่วยลดความหย่อนคล้อยของมุมปาก
  • ยกกระชับกรอบหน้า ลดร่องแก้มลึก และทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ขึ้น
  • ยกกระชับกรอบหน้า กระชับผิวรอบดวงตา ลดถุงใต้ตา
  • ยกกระชับกรอบหน้า ช่วยปรับสมดุลกล้ามเนื้อใบหน้าให้ดูสมมาตรมากขึ้น
  • ยกกระชับกรอบหน้า ลดริ้วรอยบริเวณคอ และช่วยให้ลำคอดูกระชับขึ้น
  • ยกกระชับกรอบหน้า ช่วยลดความหย่อนคล้อยของผิวหลังการลดน้ำหนัก
  • ยกกระชับกรอบหน้า ช่วยให้ผิวแข็งแรงขึ้น ลดปัญหาผิวบาง
  • ยกกระชับกรอบหน้า ป้องกันความหย่อนคล้อยก่อนวัย
  • ยกกระชับกรอบหน้า ลดอาการหน้ามัน และช่วยให้ผิวสมดุลมากขึ้น

 

ข้อดีของการยกกระชับกรอบหน้าแบบไม่ต้องผ่าตัด

  • ยกกระชับกรอบหน้า ไม่มีรอยแผลเป็น ช่วยให้มั่นใจในผลลัพธ์ที่ดี
  • ยกกระชับกรอบหน้า ไม่ต้องพักฟื้น สามารถทำกิจกรรมตามปกติได้ทันที
  • ยกกระชับกรอบหน้า เจ็บน้อยกว่าการผ่าตัด หรือไม่รู้สึกเจ็บในระหว่างทำ
  • ยกกระชับกรอบหน้า เห็นผลเร็ว และเป็นที่น่าพึงพอใจ
  • ยกกระชับกรอบหน้า กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนตามธรรมชาติ
  • ยกกระชับกรอบหน้า ยกกระชับปรับรูปหน้าให้เรียวขึ้นโดยไม่ต้องศัลยกรรม
  • ยกกระชับกรอบหน้า ลดไขมันใต้คาง และกระชับคางสองชั้น
  • ยกกระชับกรอบหน้า ลดริ้วรอย และทำให้ผิวดูสดใสขึ้น
  • ยกกระชับกรอบหน้า ได้รับการรับรองจากอย.ไทย และต่างประเทศ
  • ยกกระชับกรอบหน้า เหมาะสำหรับทุกช่วงวัยตั้งแต่อายุ 25-40 ปี
  • ยกกระชับกรอบหน้า สามารถใช้กับบริเวณอื่น ๆ ได้ เช่น ลำคอ หน้าผาก รอบดวงตา และร่องแก้ม
  • ยกกระชับกรอบหน้า ใช้เวลาเพียง 30-90 นาที ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีที่เลือกทำ
  • ยกกระชับกรอบหน้า เสริมความมั่นใจ และช่วยให้บุคลิกภาพดูดีขึ้น

 

ข้อจำกัดของการยกกระชับกรอบหน้าแบบไม่ต้องผ่าตัด

  • ยกกระชับกรอบหน้า ผลลัพธ์ไม่ถาวร และต้องทำซ้ำตามระยะเวลา
  • ยกกระชับกรอบหน้า ต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์กว่าจะเห็นผลเต็มที่
  • ยกกระชับกรอบหน้า อาจมีอาการบวม แดง หรือรู้สึกตึงหลังทำ
  • ยกกระชับกรอบหน้า ไม่สามารถลดไขมันสะสมได้เท่ากับการดูดไขมัน
  • ยกกระชับกรอบหน้า ไม่สามารถแก้ปัญหาผิวที่มีริ้วรอยลึกมาก หรือผิวหย่อนคล้อยระดับรุนแรงได้
  • ยกกระชับกรอบหน้า ผลลัพธ์อาจแตกต่างกันไปตามบุคคล และต้องอาศัยการดูแลตัวเอง
  • ยกกระชับกรอบหน้า ไม่สามารถแก้ปัญหาผิวบาง หรือผิวขาดมวลไขมันได้อย่างเต็มที่
  • ยกกระชับกรอบหน้า อาจต้องใช้เทคนิคหลายอย่างร่วมกันเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่สมบูรณ์
  • ยกกระชับกรอบหน้า ไม่สามารถเปลี่ยนโครงสร้างกระดูกใบหน้าได้
  • ยกกระชับกรอบหน้า ไม่สามารถใช้ร่วมกับบางหัตถการในช่วงเวลาเดียวกันได้
  • ยกกระชับกรอบหน้า ผลลัพธ์ที่ได้ขึ้นอยู่กับเครื่องที่ใช้ และเทคนิคของแพทย์

 

ใครเหมาะกับการยกกระชับกรอบหน้าแบบไม่ต้องผ่าตัด?
ใครเหมาะกับการยกกระชับกรอบหน้าแบบไม่ต้องผ่าตัด?

 

ใครเหมาะกับการยกกระชับกรอบหน้าแบบไม่ต้องผ่าตัด?

  • ยกกระชับกรอบหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป และรู้สึกว่าผิวเริ่มบางลง ขาดความแน่นกระชับ
  • ยกกระชับกรอบหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย กรอบหน้าไม่ชัด
  • ยกกระชับกรอบหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่มีไขมันสะสมบริเวณแก้มและใต้คาง
  • ยกกระชับกรอบหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่มีใบหน้าดูเหนื่อยล้า ต้องการฟื้นฟูความสดใสของผิว
  • ยกกระชับกรอบหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาหน้าไม่สมดุล 
  • ยกกระชับกรอบหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเห็นผลลัพธ์เร็ว แต่ไม่มีเวลาพักฟื้น
  • ยกกระชับกรอบหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการป้องกันความหย่อนคล้อยในอนาคต
  • ยกกระชับกรอบหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
  • ยกกระชับกรอบหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่กลัวเข็ม หรือไม่ต้องการทำหัตถการที่ต้องฉีดสารใด ๆ
  • ยกกระชับกรอบหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการดูแลผิวโดยไม่ต้องพักฟื้น
  • ยกกระชับกรอบหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการให้ผิวแน่นขึ้น ลดความเหี่ยวย่นบริเวณใบหน้า
  • ยกกระชับกรอบหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูโครงสร้างผิว ลดเลือนริ้วรอย
  • ยกกระชับกรอบหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการให้ใบหน้าดูเรียวขึ้นโดยไม่ต้องศัลยกรรม
  • ยกกระชับกรอบหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดไขมันและกระชับผิวไปพร้อมกัน
  • ยกกระชับกรอบหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการป้องกันความหย่อนคล้อยก่อนวัย
  • ยกกระชับกรอบหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการให้กรอบหน้าคมชัดขึ้น โดยไม่ต้องศัลยกรรม
  • ยกกระชับกรอบหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยจากการลดน้ำหนัก
  • ยกกระชับกรอบหน้า  เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวจากการโดนแสงแดดและมลภาวะ
  • ยกกระชับกรอบหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการดูแลผิวหลังคลอดให้กลับมากระชับเร็วขึ้น
  • ยกกระชับกรอบหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการดูแลตัวเองก่อนถึงวัยที่ผิวเริ่มหย่อนคล้อย

หมายเหตุ:

ผลลัพธ์ของการยกกระชับใบหน้าแบบไม่ต้องผ่าตัดอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับสภาพผิว อายุ ปัญหาผิวเฉพาะด้าน และการดูแลตัวเองภายหลังการรักษา เพื่อให้ได้แนวทางการดูแลที่ตรงจุด ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินสภาพผิวก่อนเข้ารับบริการทุกครั้ง

 

ใครไม่เหมาะกับการยกกระชับกรอบหน้าแบบไม่ต้องผ่าตัด?

  • ยกกระชับกรอบหน้า ไม่เหมาะสำหรับหญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
  • ยกกระชับกรอบหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีโรคผิวหนังบริเวณที่ต้องการทำหัตถการ เช่น โรคสะเก็ดเงิน, ผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง หรือโรคเริม
  • ยกกระชับกรอบหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีแผลเปิด หรือแผลเป็นนูน (Keloid) ในบริเวณที่ต้องทำ
  • ยกกระชับกรอบหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการอักเสบบริเวณใบหน้า หรือมีสิวอักเสบรุนแรง
  • ยกกระชับกรอบหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคเกี่ยวกับระบบไหลเวียนโลหิต หรือมีปัญหาการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ
  • ยกกระชับกรอบหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในร่างกาย
  • ยกกระชับกรอบหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัวบางประเภทที่ยังควบคุมไม่ได้ เช่น โรคแพ้ภูมิตัวเอง, โรคเบาหวานที่ควบคุมไม่ได้ หรือโรคมะเร็ง
  • ยกกระชับกรอบหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เคยทำหัตถการยกกระชับมาแล้วไม่นาน
  • ยกกระชับกรอบหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่แพ้ความร้อนหรือมีอาการไวต่อพลังงานบางประเภท
  • ยกกระชับกรอบหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังใช้ยารักษาโรคที่อาจส่งผลต่อผิวหนัง
  • ยกกระชับกรอบหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการแพ้หรือผิวบอบบางมาก
  • ยกกระชับกรอบหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีโรคเกี่ยวกับระบบประสาท
  • ยกกระชับกรอบหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีรอยสักบริเวณที่ต้องทำหัตถการ
  • ยกกระชับกรอบหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีแผลเป็นหรือพังผืดจากการผ่าตัดก่อนหน้านี้ในบริเวณใบหน้า
  • ยกกระชับกรอบหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาการรับความรู้สึกที่ผิดปกติบริเวณใบหน้า

 

คำแนะนำ:

ก่อนเข้ารับบริการยกกระชับผิวบริเวณกรอบหน้าแบบไม่ต้องผ่าตัด ควรผ่านการตรวจประเมินโดยแพทย์ประจำคลินิก เพื่อวิเคราะห์สภาพผิว สุขภาพโดยรวม และปัจจัยเฉพาะบุคคลที่อาจส่งผลต่อการรักษา โดยเฉพาะในผู้ที่มีโรคประจำตัว หรืออยู่ในกลุ่มที่ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ การประเมินอย่างรอบคอบจะช่วยให้ได้รับผลลัพธ์ที่เหมาะสมยิ่งขึ้น

 

การเตรียมตัวก่อนทำการยกกระชับกรอบหน้าแบบไม่ต้องผ่าตัด
การเตรียมตัวก่อนทำการยกกระชับกรอบหน้าแบบไม่ต้องผ่าตัด

 

การเตรียมตัวก่อนทำการยกกระชับกรอบหน้าแบบไม่ต้องผ่าตัด

  • ก่อนยกกระชับกรอบหน้า ควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่เหมาะกับปัญหาผิวของตัวเอง
  • ก่อนยกกระชับกรอบหน้า ควรแจ้งประวัติสุขภาพและการแพ้ยากับแพทย์
  • ก่อนยกกระชับกรอบหน้า ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว เพื่อให้ผิวมีความชุ่มชื้น
  • ก่อนยกกระชับกรอบหน้า หลีกเลี่ยงการใช้ยาและอาหารเสริมบางชนิด อย่างน้อย 1 สัปดาห์
  • ก่อนยกกระชับกรอบหน้า หลีกเลี่ยงอาหารเสริมที่ส่งผลต่อการไหลเวียนของเลือด เช่น น้ำมันปลา วิตามินอี โสม แปะก๊วย ประมาณ 1 สัปดาห์
  • ก่อนยกกระชับกรอบหน้า หลีกเลี่ยงการตากแดดเป็นเวลานาน หรือกิจกรรมกลางแจ้งที่ทำให้ผิวโดนแดดเผาอย่างน้อย 1 สัปดาห์
  • ก่อนยกกระชับกรอบหน้า หลีกเลี่ยงการนวดหน้า ขัดผิว เลเซอร์ หรือผลัดเซลล์ผิว อย่างน้อย 1 สัปดาห์
  • ก่อนยกกระชับกรอบหน้า งดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มี AHA, BHA, Retinol, กรดผลัดเซลล์ผิว หรือยารักษาสิวบางประเภท (Isotretinoin) อย่างน้อย 3-5 วัน
  • ก่อนยกกระชับกรอบหน้า งดดื่มแอลกอฮอล์และงดสูบบุหรี่ อย่างน้อย 24 ชั่วโมง
  • ก่อนยกกระชับกรอบหน้า งดแต่งหน้าในวันเข้ารับบริการ

 

ขั้นตอนทำยกกระชับกรอบหน้าแบบไม่ต้องผ่าตัด

  1. ก่อนเริ่มทำการยกกระชับ แพทย์จะทำการตรวจสภาพผิวหน้า และประเมินปัญหาผิวของแต่ละบุคคล พร้อมทั้งแนะนำเทคนิคที่เหมาะสม และอธิบายผลลัพธ์ที่ได้ และระยะเวลาการเห็นผล
  2. ทำความสะอาดใบหน้าให้หมดจดเพื่อขจัดสิ่งสกปรก น้ำมันส่วนเกิน และเครื่องสำอาง
  3. สำหรับเทคนิคที่อาจทำให้รู้สึกเจ็บ แพทย์อาจทายาชาบริเวณใบหน้าก่อนทำ ยาชาจะถูกทิ้งไว้ประมาณ 30-45 นาที เพื่อให้ได้ผลที่ดี
  4. แพทย์จะวาดแนวเส้นบนใบหน้าตาม โครงสร้างผิวและกล้ามเนื้อ เพื่อกำหนดตำแหน่งที่ต้องใช้พลังงาน
  5. แพทย์จะใช้เครื่องยกกระชับที่เลือกไว้ และค่อย ๆ ส่งพลังงานลงสู่ผิว เพื่อยกกระชับกรอบหน้า กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
  6. หลังทำหัตถการอาจมีอาการแดง หรือบวมเล็กน้อย ซึ่งสามารถใช้การประคบเย็นเพื่อลดอาการเหล่านี้ได้
  7. หลังทำหัตถการ ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาดูเป็นที่น่าพึงพอใจ
  8. ติดตามผลและวางแผนทำซ้ำ เพื่อคงผลลัพธ์ให้อยู่ได้นาน

 

การดูแลตัวเองหลังทำยกกระชับกรอบหน้าแบบไม่ต้องผ่าตัด

  • หลังยกกระชับกรอบหน้า หลีกเลี่ยงการนวด กด หรือถูใบหน้าแรง ๆ ในช่วง 24-48 ชั่วโมงแรก
  • หลังยกกระชับกรอบหน้า หลีกเลี่ยงซาวน่า, อบไอน้ำ, อาบน้ำอุ่น หรืออยู่ในที่ที่มีอุณหภูมิสูง อย่างน้อย 48 ชั่วโมง
  • หลังยกกระชับกรอบหน้า หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มี แอลกอฮอล์, กรดผลัดเซลล์ผิว (AHA, BHA, Retinol), และวิตามินซีเข้มข้น
  • หลังยกกระชับกรอบหน้า หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก และกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกมาก เป็นเวลา 48 ชั่วโมง
  • หลังยกกระชับกรอบหน้า หลีกเลี่ยงการทำหัตถการอื่น ๆ ที่รบกวนผิวในช่วง 1-2 สัปดาห์
  • หลังยกกระชับกรอบหน้า งดดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่อย่างน้อย 1 สัปดาห์
  • หลังยกกระชับกรอบหน้า ควรดื่มน้ำวันละ 8-10 แก้ว เพื่อช่วยให้คอลลาเจนที่ถูกกระตุ้นสามารถสร้างตัวได้ดีขึ้น
  • หลังยกกระชับกรอบหน้า ควรใช้ครีมกันแดด SPF50 PA+++ และหลีกเลี่ยงแสงแดดแรง

 

ยกกระชับกรอบหน้าแบบไม่ต้องผ่าตัด ต่างจากศัลยกรรมดึงหน้าอย่างไร?

  • การยกกระชับกรอบหน้าแบบไม่ต้องผ่าตัดใช้พลังงานจากคลื่นอัลตราซาวนด์และคลื่นวิทยุ เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและทำให้ผิวกระชับขึ้น โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องมีบาดแผล ส่วนการศัลยกรรมดึงหน้า เป็นการผ่าตัดเพื่อดึงและจัดเรียงผิวหนังและกล้ามเนื้อให้กระชับขึ้น ให้ผลลัพธ์ที่อยู่ได้นานหลายปี แม้จะต้องพักฟื้นนานและอาจมีความเสี่ยงจากการผ่าตัด 

 

ยกกระชับกรอบหน้าแบบไม่ต้องผ่าตัด ทำซ้ำบ่อยเกินไปจะอันตรายไหม?

  • โดยปกติทั่วไป การทำยกกระชับกรอบหน้าแบบไม่ต้องผ่าตัดไม่มีอันตราย หากทำตามคำแนะนำของแพทย์และเว้นระยะเวลาที่เหมาะสม เทคโนโลยีเหล่านี้จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและปรับผิวให้ตึงขึ้น ซึ่งสามารถทำซ้ำได้หากถึงระยะเวลาที่กำหนดไว้ ทั้งนี้หากทำถี่จนมากเกินไป อาจทำให้ผิวไวต่อพลังงานมากขึ้น เพราะฉะนั้นควรปรึกษาแพทย์เพื่อกำหนดแผนการรักษาที่เหมาะสม

 

สามารถทำยกกระชับกรอบหน้าแบบไม่ต้องผ่าตัด หลายเทคโนโลยีพร้อมกันได้ไหม?

  • การทำยกกระชับกรอบหน้าหลายเทคโนโลยี สามารถทำร่วมกันได้ แต่ควรเลือกให้เหมาะสมกับปัญหาผิว และต้องทำโดยแพทย์เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาเป็นที่น่าพึงพอใจ หากใช้เทคโนโลยีที่มีลักษณะคล้ายกัน อาจทำให้ผิวได้รับพลังงานที่มากเกินไป ซึ่งอาจทำให้เกิดการระคายเคืองหรืออาการบวมมากขึ้น จึงควรปรึกษาแพทย์เพื่อเลือกเทคนิคที่เหมาะสม

 

ยกกระชับกรอบหน้าแบบไม่ต้องผ่าตัด สามารถทำได้ตั้งแต่อายุเท่าไหร่?

  • การทำยกกระชับกรอบหน้าแบบไม่ต้องผ่าตัด สามารถทำได้ตั้งแต่อายุ 25 ปีขึ้นไป โดยทั่วไปคนที่เริ่มมีสัญญาณของความหย่อนคล้อยในช่วงอายุ 25-35 ปี  อาจเลือกทำโปรแกรม Oligio, โปรแกรม EMFACE หรือ โปรแกรม Super HIFU เพื่อช่วยกระตุ้นคอลลาเจนและป้องกันการหย่อนคล้อยก่อนวัย สำหรับผู้ที่อายุ 35-45 ปี ซึ่งเริ่มมีปัญหาผิวหย่อนคล้อยชัดเจนขึ้น อาจเลือกทำโปรแกรม Ultherapy Prime, โปรแกรม Thermage FLX หรือ โปรแกรม Fix Lift เพื่อช่วยยกกระชับและลดริ้วรอย ส่วนคนที่มีอายุมากกว่า 45 ปี อาจต้องใช้เทคโนโลยีที่ลงลึกมากขึ้น หรือพิจารณาทำร่วมกับการฉีดโปรแกรมฟิลเลอร์หรือร้อยไหมเพื่อให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนขึ้น

 

วิธีไหนดีสำหรับการยกกระชับกรอบหน้าแบบไม่ต้องผ่าตัด?

ปัจจุบันการยกกระชับกรอบหน้าแบบไม่ต้องผ่าตัด เป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เนื่องจากให้ผลลัพธ์ที่ดี ไม่ต้องพักฟื้น และช่วยให้ใบหน้าดูกระชับขึ้นโดยไม่ต้องผ่าตัด ซึ่งเทคนิคที่ดีนั้นขึ้นอยู่กับปัญหาผิว และความต้องการของแต่ละบุคคล

 

ทั้งนี้การเลือกเทคนิคที่เหมาะสมควรพิจารณาจากสภาพผิว ปัญหาที่ต้องการแก้ไข และเป้าหมายของแต่ละคน โดยควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำเฉพาะบุคคล และวางแผนการดูแลอย่างต่อเนื่องเพื่อผลลัพธ์ที่ชัดเจนและยาวนาน

 

อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์ที่ได้อาจแตกต่างกันในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับสภาพผิว อายุ พฤติกรรมการดูแลตนเอง และปัจจัยเฉพาะอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

Ultherapy for Men ยกกระชับใบหน้าสำหรับคุณผู้ชาย

Ultherapy for Men

Ultherapy for Men เปิดมิติใหม่ของการยกกระชับผิวผู้ชาย

ในโลกที่ภาพลักษณ์มีผลต่อความมั่นใจและโอกาสในชีวิต ผู้ชายยุคใหม่จึงให้ความสำคัญกับการดูแลตัวเองมากกว่าที่เคย ไม่ใช่เพียงแค่รูปร่างหรือสไตล์การแต่งกายเท่านั้น แต่ผิวหน้าและความกระชับของใบหน้ากลายเป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญที่สะท้อนถึงความมั่นใจ สุขภาพ และบุคลิกภาพโดยรวม

 

Ultherapy for Men จึงเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์ผู้ชายที่ต้องการฟื้นฟูผิวหน้าให้แลดูกระชับ อ่อนเยาว์ขึ้น โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น และยังคงความเป็นตัวของตัวเอง ไว้อย่างครบถ้วน ด้วยเทคโนโลยีอัลตราซาวนด์แบบเฉพาะจุด Ultherapy สามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนลึกถึงชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นผิวเดียวกับที่ศัลยแพทย์ใช้ในการดึงหน้า

 

บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับ Ultherapy for Men ให้ลึกขึ้น พร้อมไขข้อสงสัยว่า ทำไมผู้ชายยุคใหม่จำนวนมากจึงเลือกดูแลตัวเองด้วยเทคโนโลยีนี้ และ Ultherapy for Men สามารถเปลี่ยนแปลงคุณได้อย่างไรบ้าง โดยที่ยังคงเป็นตัวคุณในเวอร์ชันที่ดูดีขึ้นกว่าเดิม

 

Ultherapy for Men ยกกระชับผิว ปรับมิติใบหน้าเพื่อคุณผู้ชายโดยเฉพาะ
Ultherapy for Men ยกกระชับผิว ปรับมิติใบหน้าเพื่อคุณผู้ชายโดยเฉพาะ

 

Ultherapy for Men ยกกระชับผิว ปรับมิติใบหน้าเพื่อคุณผู้ชายโดยเฉพาะ

ในปัจจุบัน ผู้ชายจำนวนไม่น้อยเริ่มหันมาใส่ใจเรื่องการดูแลผิวพรรณและบุคลิกภาพมากยิ่งขึ้น การมีผิวหน้าที่เรียบเนียน ดูอ่อนเยาว์ และมีโครงหน้าชัดเจน กลายเป็นเทรนด์การดูแลตัวเองที่มาแรงในกลุ่มคุณผู้ชายสมัยใหม่ ซึ่งหนึ่งในเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ได้ครบในทุกมิติของผิวหน้า คือ โปรแกรม Ulthera ที่ออกแบบมาเพื่อรับมือกับปัญหาผิวของผู้ชายโดยเฉพาะ

 

สำหรับคุณผู้ชายไทย ความต้องการหลัก ๆ เกี่ยวกับผิวหน้ามักเน้น 3 ประเด็นสำคัญ ได้แก่

  • Look Healthy Skin – ผิวหน้าเรียบเนียน ดูสุขภาพดี ไม่โทรม
  • Look Youthful – หน้าดูอ่อนเยาว์ สดใสกว่าวัย
  • Look Distinctive – กรอบหน้าชัด มิติใบหน้าคมขึ้น

 

ยกกระชับผิวด้วย Ultherapy ใช้เทคโนโลยีคลื่นเสียงความถี่สูงแบบเฉพาะจุด หรือ MFU-V (Micro-Focused Ultrasound with Visualization) ที่สามารถส่งพลังงานลงลึกสู่ชั้นผิวในระดับต่าง ๆ ได้อย่างแม่นยำถึง 3 ระดับ พร้อมด้วยระบบแสดงผลแบบเรียลไทม์ ช่วยให้แพทย์สามารถควบคุมตำแหน่งและความลึกของพลังงานได้อย่างตรงจุด เพื่อประสิทธิภาพในการยกกระชับที่แม่นยำยิ่งขึ้น

 

ผลลัพธ์ที่ได้คือ ผิวหน้าที่ดูเรียบเนียนขึ้น ริ้วรอยลดลง ผิวแลดูกระชับและมีชีวิตชีวา พร้อมทั้งช่วยปรับกรอบหน้าให้ดูชัดเจน มีมิติ โดยไม่ต้องผ่าตัดหรือพักฟื้น เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ชายที่ต้องการเปลี่ยนแปลงตัวเองแบบแนบเนียน และมั่นใจในทุกมุมมอง

 

ทำไม Ultherapy for Men ถึงเหมาะกับผู้ชาย?

ในยุคที่ผู้ชายเริ่มหันมาใส่ใจเรื่องภาพลักษณ์มากขึ้น แต่ยังคงให้ความสำคัญกับความเป็นตัวเองในเวอร์ชันที่ดีขึ้น และความสะดวกสบาย Ultherapy for Men จึงกลายเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์ได้อย่างลงตัว โดยเฉพาะสำหรับผู้ชายที่ต้องการดูดีขึ้นแบบไม่ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองมากเกินไป

  • เหมาะสำหรับไลฟ์สไตล์ของผู้ชายยุคใหม่

ผู้ชายหลายคนมีไลฟ์สไตล์ที่เร่งรีบ ไม่มีเวลาหยุดพักฟื้น หรือทำหัตถการที่ใช้เวลานาน ยกกระชับผิวด้วย Ultherapy เป็นเทคโนโลยีที่สามารถทำได้ภายในเวลาไม่นาน ไม่ต้องเตรียมตัวมาก และไม่จำเป็นต้องพักงานหรือหลีกเลี่ยงกิจกรรมหลังทำ

  • ออกแบบให้เข้ากับโครงสร้างใบหน้าผู้ชาย

รูปหน้าของผู้ชายส่วนใหญ่มักมีแนวกรามที่ชัดเจน คางคม และกล้ามเนื้อใบหน้าชั้นลึกที่แตกต่างจากผู้หญิง ยกกระชับผิวด้วย Ulthera สามารถปรับระดับพลังงานและเลือกตำแหน่งได้อย่างแม่นยำ ช่วยเน้นกรอบหน้าให้คมชัด ลดเหนียง และยกกระชับลำคอโดยไม่ทำให้ใบหน้าเปลี่ยนรูป

  • ไม่อันตราย ไม่เจ็บตัว ไม่ต้องผ่าตัด

ยกกระชับผิวด้วย Ultherapy ไม่ใช้เข็ม ไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีบาดแผล และไม่ต้องเสี่ยงกับผลข้างเคียงจากการผ่าตัด อีกทั้งยังไม่ต้องพักฟื้น สามารถกลับไปทำกิจวัตรประจำวันได้ทันที เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ชายที่ต้องการผลลัพธ์ที่ดูดีแบบไม่ยุ่งยาก

 

Ultherapy For Men แตกต่างจากทรีตเมนต์อื่นอย่างไร?

  • MFU-V เทคโนโลยีเฉพาะ ที่ลงลึกถึงชั้น SMAS

ยกกระชับผิวด้วย Ultherapy ใช้คลื่นเสียงอัลตราซาวนด์ชนิดเฉพาะจุด (Micro-Focused Ultrasound with Visualization) ซึ่งสามารถส่งพลังงานลงถึงชั้น SMAS ได้โดยไม่ต้องผ่าตัด ซึ่งเป็นชั้นผิวเดียวกับที่ศัลยแพทย์ใช้ในการดึงหน้า แตกต่างจาก HIFU หรือ RF ทั่วไปที่พลังงานมักจะลงลึกได้ไม่ถึงระดับนี้ จึงให้ผลลัพธ์ด้านการยกกระชับที่เด่นชัดกว่า

  • มองเห็นโครงสร้างผิวจริงแบบเรียลไทม์

หนึ่งในจุดแข็งของยกกระชับผิวด้วย Ultherapy คือระบบหน้าจอ Visualization ที่ช่วยให้แพทย์สามารถมองเห็นโครงสร้างผิวแบบเรียลไทม์ ทำให้สามารถวางแผนและกำหนดจุดยิงพลังงานได้อย่างแม่นยำตามโครงหน้าของผู้ชายแต่ละคน ลดความเสี่ยง และเพิ่มประสิทธิภาพในการยกกระชับได้แบบเฉพาะบุคคล

  • เหมาะกับผู้ชายที่ต้องการดูดีแบบไม่ต้องเปลี่ยนตัวเอง

ยกกระชับผิวด้วย Ultherapy ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ผู้ชาย ที่ต้องการยกกระชับใบหน้าให้ดูดีขึ้นแบบแนบเนียน ไม่เวอร์ ไม่บวมช้ำ และไม่เสียเวลาพักฟื้น ต่างจากการผ่าตัดที่มักมีแผล หรือใบหน้าเปลี่ยนรูปในช่วงพักฟื้น อีกทั้งผลลัพธ์ของยกกระชับผิว Ultherapy ค่อย ๆ ปรับสภาพผิวใน 2–3 เดือนหลังทำ

  • ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับสากล

ยกกระชับผิว Ultherapy เป็นเพียงหนึ่งในไม่กี่เทคโนโลยีที่ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาในเรื่องของประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นสิ่งที่ช่วยเสริมความมั่นใจให้กับผู้ใช้บริการได้เป็นอย่างดี

 

ยกกระชับผิว Ultherapy For Men คืออะไร?
ยกกระชับผิว Ultherapy For Men คืออะไร?

 

ยกกระชับผิว Ultherapy For Men คืออะไร?

ยกกระชับผิว Ultherapy คือ เทคโนโลยีด้านการยกกระชับผิวหน้าและลำคอโดยไม่ต้องพึ่งการผ่าตัด ซึ่งได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ว่าเป็นวิธีที่ไม่อันตรายและให้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ ด้วยการใช้พลังงานคลื่นเสียงอัลตราซาวนด์แบบเฉพาะที่เรียกว่า Focused Ultrasound ส่งผ่านลงสู่ผิวหนังชั้นลึกในระดับที่แม่นยำ โดยเฉพาะในชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นผิวเดียวกับที่ศัลยแพทย์ใช้ในการดึงหน้า

 

วิธีการทำงานของยกกระชับผิวด้วย Ultherapy

เครื่องยกกระชับผิว Ultherapy จะปล่อยคลื่นเสียงในรูปแบบของจุดพลังงานเล็ก ๆ (Micro-Focused Ultrasound) ลงสู่ผิวในระดับความลึกที่ออกแบบมาเฉพาะ ซึ่งรวมถึงชั้น SMAS (Superficial Musculo-Aponeurotic System) ชั้นผิวเดียวกับที่ศัลยแพทย์เลือกใช้ในการดึงหน้า

 

เมื่อพลังงานลงถึงตำแหน่งเป้าหมาย จะถูกแปลงเป็นความร้อนในช่วงประมาณ 60–70°C เพื่อกระตุ้นให้เกิดการหดตัวของเส้นใยคอลลาเจน และส่งเสริมกระบวนการสร้างคอลลาเจนใหม่อย่างต่อเนื่อง ทำให้ผิวแน่น กระชับ และดูอ่อนเยาว์ขึ้น

 

ระดับความลึกของหัวเครื่องยกกระชับผิว Ultherapy For Men

หนึ่งในจุดเด่นสำคัญของยกกระชับผิวด้วย Ultherapy คือการมีหัวส่งพลังงานที่หลากหลาย ซึ่งสามารถเลือกใช้ได้ตาม ระดับความลึกของชั้นผิว เพื่อให้เหมาะกับลักษณะปัญหาและโครงสร้างผิวของแต่ละบุคคล โดยแต่ละระดับมีบทบาทเฉพาะในการยกกระชับและฟื้นฟูผิว ดังนี้

  • หัว 1.5 มม. — สำหรับการทำงานในผิวชั้นตื้น เหมาะสำหรับลดเลือนริ้วรอยเล็ก ๆ บนใบหน้า เช่น บริเวณรอบดวงตา หน้าผาก และช่วยกระชับรูขุมขนให้ดูเล็กลง ผิวแลดูเรียบเนียนและสดใสขึ้น
  • หัว 3.0 มม. — ลงลึกถึงชั้นไขมันใต้ผิว เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยบริเวณแก้ม หรือแนวกรอบหน้า ช่วยให้ใบหน้าดูยกกระชับ มีมิติ และลดความหย่อนคล้อยอย่างเห็นได้ชัด
  • หัว 4.5 มม. — ลงลึกถึงชั้น SMAS (Superficial Musculo-Aponeurotic System) ซึ่งเป็นชั้นผิวที่ศัลยแพทย์ใช้ในการดึงหน้า เหมาะสำหรับการยกกระชับในระดับลึก เช่น คาง เหนียง และลำคอ ให้กรอบหน้าคมชัด ผิวกระชับแน่นขึ้น

 

ยกกระชับผิว Ultherapy For Men ช่วยอะไรบ้าง?
ยกกระชับผิว Ultherapy For Men ช่วยอะไรบ้าง?

 

ยกกระชับผิว Ultherapy For Men ช่วยอะไรบ้าง?

  • ยกกระชับผิว Ultherapy ช่วยยกกระชับผิวหน้าและลำคอโดยไม่ต้องผ่าตัด
  • ยกกระชับผิว Ultherapy ลดความหย่อนคล้อยของผิวในบริเวณกรอบหน้า คาง เหนียง แก้ม และลำคอ
  • ยกกระชับผิว Ultherapy ยกกระชับปรับรูปหน้าให้ดู เรียวกระชับและคมชัดขึ้น 
  • ยกกระชับผิว Ultherapy กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ในชั้นผิวลึก เพื่อฟื้นฟูความยืดหยุ่นของผิว
  • ยกกระชับผิว Ultherapy ทำให้ผิวดูแน่นขึ้นและมีความยืดหยุ่น โดยไม่ต้องใช้สารเติมเต็ม
  • ยกกระชับผิว Ultherapy ช่วยลดเลือนริ้วรอยเล็ก ๆ บริเวณหน้าผาก รอบดวงตา และมุมปาก
  • ยกกระชับผิว Ultherapy กระชับรูขุมขน ทำให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้น
  • ยกกระชับผิว Ultherapy ให้ผลลัพธ์ดูเป็นที่น่าพอใจโดยไม่ทำให้หน้าดูเปลี่ยนไป
  • ยกกระชับผิว Ultherapy ช่วยให้ผิวดูสดใส มีชีวิตชีวา ไม่โทรม 
  • ยกกระชับผิว Ultherapy สามารถทำควบคู่กับการดูแลผิวประเภทอื่น เช่น โปรแกรมฉีดโบ โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ หรือเลเซอร์
  • ยกกระชับผิว Ultherapy ส่งเสริมบุคลิกภาพให้ดูอ่อนเยาว์ สุขภาพดี
  • ยกกระชับผิว Ultherapy เพิ่มความมั่นใจในการใช้ชีวิตประจำวัน ทั้งเรื่องงาน สังคม และภาพลักษณ์โดยรวม
  • ยกกระชับผิว Ultherapy ช่วยดูแลผิวในผู้ที่เริ่มมีสัญญาณแห่งวัย ตั้งแต่ช่วงอายุ 30 ปีขึ้นไป
  • ยกกระชับผิว Ultherapy เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ใกล้เคียงการดึงหน้า แต่ไม่อยากผ่าตัด

 

ยกกระชับผิว Ultherapy For Men เหมาะกับใครบ้าง?
ยกกระชับผิว Ultherapy For Men เหมาะกับใครบ้าง?

 

ยกกระชับผิว Ultherapy For Men เหมาะกับใครบ้าง?

  • ยกกระชับผิว Ultherapy เหมาะสำหรับผู้ที่อายุ 30 ปีขึ้นไป เริ่มมีสัญญาณของความหย่อนคล้อย
  • ยกกระชับผิว Ultherapy เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยเล็กน้อยถึงปานกลาง
  • ยกกระชับผิว Ulthera เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับผิวหน้าโดยไม่ต้องผ่าตัด
  • ยกกระชับผิว Ultherapy เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่ดี ไม่เปลี่ยนโครงหน้า
  • ยกกระชับผิว Ultherapy เหมาะสำหรับผู้ที่มีแนวกรามไม่ชัด ต้องการปรับรูปหน้าให้ดูคมขึ้น
  • ยกกระชับผิว Ultherapy เหมาะสำหรับผู้ที่มีเหนียง คางสองชั้น หรือผิวใต้คางหย่อน
  • ยกกระชับผิว Ultherapy เหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มมีริ้วรอยเล็ก ๆ รอบดวงตา หน้าผาก หรือมุมปาก
  • ยกกระชับผิว Ultherapy เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการกระชับผิวบริเวณลำคอ ใต้กราม หรือแนวกรอบหน้า
  • ยกกระชับผิว Ultherapy เหมาะสำหรับผู้ชายที่ต้องการเพิ่มความคมชัดให้ใบหน้า
  • ยกกระชับผิว Ultherapy เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการกระตุ้นคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิว
  • ยกกระชับผิว Ultherapy เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่มีเวลาพักฟื้น สามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ทันที
  • ยกกระชับผิว Ultherapy เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการดูแลผิวในระยะยาวอย่างต่อเนื่อง ปีละ 1–2 ครั้ง
  • ยกกระชับผิว Ultherapy เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการฉีดสารเติมเต็ม เช่น โปรแกรมฉีดโบหรือโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์
  • ยกกระชับผิว Ultherapy เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเทคโนโลยีที่ผ่านการรับรองมาตรฐานระดับสากล
  • ยกกระชับผิว Ultherapy เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังมองหาทางเลือกใหม่ที่ทันสมัยในการยกกระชับผิวหน้า

 

คำแนะนำ:
เพื่อให้ผลลัพธ์ของการยกกระชับผิวหน้าด้วย Ultherapy เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยสูงสุด ควรเข้ารับการประเมินโดยแพทย์ก่อนเข้ารับบริการทุกครั้ง

 

ยกกระชับผิว Ultherapy For Men ไม่เหมาะกับใครบ้าง?

  • ยกกระชับผิว Ultherapy ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีโรคผิวหนังเฉพาะจุด ในบริเวณที่ต้องทำการรักษา เช่น ผิวหนังอักเสบ ติดเชื้อ หรือมีสิวอักเสบรุนแรง
  • ยกกระชับผิว Ultherapy ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีบาดแผลเปิด ผื่นแพ้ หรือแผลติดเชื้อ บริเวณใบหน้าหรือคอ
  • ยกกระชับผิว Ultherapy ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มี โลหะฝังในร่างกายบริเวณใบหน้า เช่น แผ่นไทเทเนียม น็อต
  • ยกกระชับผิว Ultherapy ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ฝังอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในร่างกาย เช่น pacemaker
  • ยกกระชับผิว Ultherapy ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีประวัติการแพ้พลังงานอัลตราซาวนด์ หรือมีปฏิกิริยาภูมิแพ้ในระดับรุนแรง
  • ยกกระชับผิว Ultherapy ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวบางมาก หรือผิวไวต่อความร้อน
  • ยกกระชับผิว Ultherapy ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังอยู่ในช่วงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
  • ยกกระชับผิว Ultherapy ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีโรคเรื้อรังที่ควบคุมไม่ได้ เช่น เบาหวานที่ไม่คุมระดับน้ำตาล, โรคหัวใจ, โรคหลอดเลือดสมอง
  • ยกกระชับผิว Ultherapy ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะเลือดออกง่าย หรือใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด
  • ยกกระชับผิวด้วย Ultherapy ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อยมากเกินไป จนอยู่ในระดับที่ต้องใช้การผ่าตัดเท่านั้นจึงจะเห็นผล
  • ยกกระชับผิว Ultherapy ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เพิ่งทำเลเซอร์รุนแรง และผิวยังไม่ฟื้นตัว
  • ยกกระชับผิว Ultherapy ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุผิวเกินกว่า 70 ปี ที่คอลลาเจนเสื่อมสภาพมากแล้ว
  • ยกกระชับผิว Ultherapy ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีความคาดหวังที่ไม่สมเหตุสมผล เช่น คาดหวังผลลัพธ์เทียบเท่าการดึงหน้าด้วยการผ่าตัด

 

หมายเหตุ:

ก่อนเข้ารับบริการยกกระชับผิว Ultherapy ควรเริ่มต้นด้วยการปรึกษาแพทย์ทุกครั้ง เพื่อให้การรักษาเป็นไปอย่างตรงจุดมากที่สุด ในกรณีที่มีโรคประจำตัว หรือข้อจำกัดด้านสุขภาพบางอย่าง การปรึกษาแพทย์ล่วงหน้าจะช่วยให้สามารถปรับแนวทางการรักษาให้เหมาะสมกับภาวะเฉพาะบุคคล

 

ข้อดีของการยกกระชับผิวหน้า Ultherapy For Men

  • ยกกระชับผิว Ultherapy ไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีแผล ไม่มีรอยเย็บ
  • ยกกระชับผิว Ultherapy ไม่ต้องพักฟื้น ทำเสร็จสามารถกลับไปทำงานหรือใช้ชีวิตตามปกติได้ทันที
  • ยกกระชับผิว Ultherapy ไม่ใช้เข็ม ไม่เจ็บตัว เหมาะกับคนที่กลัวการฉีดหรือการผ่าตัด
  • ยกกระชับผิว Ultherapy ผลลัพธ์ที่ดี ไม่เปลี่ยนโครงหน้า
  • ยกกระชับผิว Ultherapy กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว ส่งผลให้ผิวแน่น และยืดหยุ่นมากขึ้น
  • ยกกระชับผิว Ultherapy ช่วยลดริ้วรอยเล็ก ๆ เช่น รอยย่นบริเวณหน้าผาก หางตา และมุมปาก
  • ยกกระชับผิว Ultherapy ผิวกระชับขึ้นอย่างต่อเนื่อง ภายใน 2–3 เดือนหลังทำ
  • ยกกระชับผิว Ultherapy เทคโนโลยี MFU-V มีความแม่นยำสูง ส่งพลังงานลงลึกถึงชั้น SMAS
  • ยกกระชับผิว Ultherapy มีระบบ Visualization แบบเรียลไทม์ ช่วยให้แพทย์มองเห็นชั้นผิวขณะทำการรักษา
  • ยกกระชับผิว Ultherapy สามารถเลือกความลึกได้ถึง 3 ระดับ เหมาะกับปัญหาผิวแต่ละประเภท
  • ยกกระชับผิว Ultherapy ไม่มีสารแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกาย ไม่อันตรายและไม่เกิดการแพ้
  • ยกกระชับผิว Ultherapy ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา
  • ยกกระชับผิว Ultherapy ใช้เวลาในการรักษาไม่นาน ประมาณ 30–60 นาที ขึ้นอยู่กับพื้นที่ที่ทำ
  • ยกกระชับผิว Ultherapy ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 6–12 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแล
  • ยกกระชับผิว Ulthera เสริมความมั่นใจในภาพลักษณ์ ดูอ่อนเยาว์ สุขภาพดี
  • ยกกระชับผิว Ultherapy ช่วยยกกระชับเฉพาะจุด เช่น ใต้คาง กรอบหน้า ลำคอ หรือบริเวณรอบดวงตา
  • ยกกระชับผิว Ultherapy ลดความหย่อนคล้อยและเพิ่มความชัดของใบหน้า โดยเฉพาะแนวกราม
  • ยกกระชับผิว Ultherapy เป็นหัตถการที่ไม่รุกราน ไม่มีผลกระทบต่อผิวชั้นนอก

 

ยกกระชับผิวหน้า Ultherapy For Men ทำบริเวณใดได้บ้าง?
ยกกระชับผิวหน้า Ultherapy For Men ทำบริเวณใดได้บ้าง?

 

ยกกระชับผิวหน้า Ultherapy For Men ทำบริเวณใดได้บ้าง?

  • ยกกระชับผิว Ultherapy ทำบริเวณกรอบหน้า ช่วยให้แนวกรามชัดขึ้น ลดความหย่อนคล้อยบริเวณแนวกราม
  • ยกกระชับผิว Ultherapy ทำบริเวณใต้คางหรือเหนียง ยกกระชับผิวใต้คาง ลดคางสองชั้น
  • ยกกระชับผิว Ultherapy ทำบริเวณแก้ม ลดความหย่อนคล้อยของผิวบริเวณแก้ม
  • ยกกระชับผิว Ultherapy ทำบริเวณหน้าผาก ช่วยลดเลือนริ้วรอยบริเวณหน้าผาก และยกคิ้วขึ้น
  • ยกกระชับผิว Ultherapy ทำบริเวณรอบดวงตา ยกกระชับเปลือกตาบน ลดหนังตาตก
  • ยกกระชับผิว Ultherapy ทำบริเวณหางตา ลดริ้วรอยเล็ก ๆ ที่เกิดจากการแสดงอารมณ์หรืออายุ
  • ยกกระชับผิว Ultherapy ทำบริเวณร่องแก้ม ลดความลึกของร่องแก้ม ทำให้ใบหน้าดูสดใสขึ้น
  • ยกกระชับผิว Ultherapy ทำบริเวณมุมปาก กระชับผิวบริเวณมุมปาก
  • ยกกระชับผิว Ultherapy ทำบริเวณลำคอ ช่วยให้ผิวบริเวณลำคอกระชับ เรียบเนียน 

 

ก่อนทำยกกระชับผิว Ultherapy For Men ต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง?

  • ก่อนทำยกกระชับผิว Ultherapy ควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับ Ultherapy เพื่อเข้าใจหลักการทำงาน และผลลัพธ์ที่ได้รับ
  • ก่อนทำยกกระชับผิว Ultherapy ควรปรึกษาแพทย์ประจำคลินิกก่อนเข้ารับบริการ
  • ก่อนทำยกกระชับผิว Ultherapy ควรแจ้งประวัติทางการแพทย์ให้แพทย์ทราบ เช่น โรคประจำตัว ยาที่ใช้อยู่ หรือหัตถการที่เพิ่งทำ
  • ก่อนทำยกกระชับผิว Ultherapy ควรพักผ่อนให้เพียงพอ และดื่มน้ำให้เพียงพอ
  • ก่อนทำยกกระชับผิว Ultherapy งดทำเลเซอร์ หรือหัตถการผิวรุกรานอื่น ๆ บนใบหน้า 1–2 สัปดาห์
  • ก่อนทำยกกระชับผิว Ultherapy งดใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิว หรือกรดผลไม้ ประมาณ 3–5 วัน
  • ก่อนทำยกกระชับผิว Ultherapy งดการโกนหนวดหรือแว็กซ์บริเวณใบหน้า อย่างน้อย 1–2 วัน
  • ก่อนทำยกกระชับผิว Ultherapy งดดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ อย่างน้อย 24 ชั่วโมง

 

หลังทำยกกระชับผิว Ultherapy For Men ต้องดูแลตัวเองอย่างไร?

  • หลังทำยกกระชับผิว Ultherapy  งดดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่
  • หลังทำยกกระชับผิว Ultherapy งดนวดหน้าแรง ๆ หรือกดผิวบริเวณที่ทำ อย่างน้อย 3–5 วัน
  • หลังทำยกกระชับผิว Ultherapy งดการทำเลเซอร์ หรือหัตถการอื่น ๆ บนใบหน้า อย่างน้อย 2 สัปดาห์
  • หลังทำยกกระชับผิว Ultherapy หลีกเลี่ยงการโดนแดดจัด หรือทำกิจกรรมกลางแจ้งนาน ๆ ในช่วง 1 สัปดาห์แรก
  • หลังทำยกกระชับผิว Ultherapy หลีกเลี่ยงห้องซาวน่า อบไอน้ำ หรือการออกกำลังกายหนัก ๆ ภายใน 48 ชั่วโมงแรก
  • หลังทำยกกระชับผิว Ultherapy หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมของกรด ในช่วง 3-5 วันแรก
  • หลังทำยกกระชับผิว Ultherapy ควรทาครีมกันแดด SPF 50 PA+++ เป็นประจำ เพื่อป้องกันผิวจากแสง UV
  • หลังทำยกกระชับผิว Ultherapy ควรดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อช่วยกระตุ้นกระบวนการฟื้นฟูผิว
  • หลังทำยกกระชับผิว Ultherapy ควรนอนพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายฟื้นฟูเซลล์ผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

Ultherapy for Men ยกกระชับผิวที่รมย์รวินท์คลินิก ดีอย่างไร?

การเลือกทำ Ultherapy for Men ที่รมย์รวินท์คลินิก ไม่ใช่แค่เรื่องของการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย แต่ยังเป็นเรื่องของมาตรฐานการดูแล และผลลัพธ์ที่น่าเชื่อถือ ที่ได้รับการออกแบบมาเฉพาะสำหรับคุณผู้ชายโดยเฉพาะ

  • ดูแลโดยแพทย์ประจำคลินิกที่มีความรู้เฉพาะด้าน

รมย์รวินท์คลินิกมีทีมแพทย์ที่มีประสบการณ์ด้านผิวหนังและเวชศาสตร์ชะลอวัย พร้อมผ่านการฝึกอบรมการใช้เครื่อง Ultherapy แท้ ทุกเคสได้รับการประเมิน วิเคราะห์ใบหน้า และออกแบบแนวการยิงอย่างแม่นยำ เพื่อให้เหมาะกับโครงสร้างใบหน้าผู้ชาย ที่ต้องการความคมชัด แข็งแรง 

  • ใช้เครื่องแท้และได้รับการรับรองมาตรฐานระดับสากล

ยกกระชับผิว Ultherapy ที่ใช้ในทุกสาขาของรมย์รวินท์คลินิกคือเครื่องแท้รุ่นล่าสุด พร้อมหัวยิงใหม่ทุกเคส เพื่อความสะอาดและปลอดภัยสูงสุด ด้วยเทคโนโลยี MFU-V (Micro-Focused Ultrasound with Visualization) ซึ่งได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา ช่วยให้การยกกระชับเห็นผลจริง และแม่นยำกว่าเครื่องทั่วไป

  • วิเคราะห์และออกแบบใบหน้าแบบเฉพาะบุคคล

ก่อนทำการรักษายกกระชับผิว ผู้รับบริการจะได้รับการวิเคราะห์สภาพผิว และวางแผนแนวการยกกระชับในแต่ละชั้นผิวอย่างละเอียด โดยคำนึงถึงปัญหาเฉพาะของแต่ละบุคคล เช่น กรอบหน้าไม่ชัด เหนียง ผิวหย่อนบริเวณคอ หรือริ้วรอยบางจุด เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาอย่างดูเป็นคุณในเวอร์ชั่นที่ดูดีที่สุดในแบบของคุณ

  • ดูแลอย่างต่อเนื่อง พร้อมบริการหลังทำครบวงจร

มีทีมเจ้าหน้าที่ที่คอยดูแลและให้คำแนะนำตลอดกระบวนการ ทั้งก่อนทำ ระหว่างทำ และหลังทำ พร้อมบริการติดตามผล ประเมินผลลัพธ์ และให้คำปรึกษาหากมีข้อสงสัยเพิ่มเติม เพื่อให้ทุกขั้นตอนของคุณเป็นประสบการณ์ความงามที่สมบูรณ์แบบที่สุด

 

ในยุคที่ความมั่นใจและบุคลิกภาพมีความสำคัญพอ ๆ กับความสามารถ การดูแลตัวเองจึงไม่ใช่เรื่องของผู้หญิงเพียงเท่านั้น ผู้ชายยุคใหม่จำนวนมากเลือกที่จะลงทุนกับตัวเองในรูปแบบที่ดูดีขึ้น โดยไม่ต้องเปลี่ยนตัวตน

ยกกระชับผิว Ultherapy for Men ที่รมย์รวินท์คลินิก จึงไม่ใช่แค่เทคโนโลยีเพื่อความงาม แต่คือทางเลือกใหม่ของผู้ชายที่ต้องการดูดี เห็นผลจริง และตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้ และทีมงานมืออาชีพที่เข้าใจในความต่างของโครงสร้างใบหน้า และความต้องการของผู้ชายโดยเฉพาะ

ทั้งนี้ ผลลัพธ์ของการรักษาอาจแตกต่างกันในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับปัจจัยเฉพาะตัว เช่น สภาพผิว อายุ และการดูแลผิวหลังการรักษา ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้ประเมินแนวทางที่เหมาะสมที่สุดให้กับคุณโดยเฉพาะ

ฉีดฟิลเลอร์ดีไหม? ทำไมถึงต้องฉีดฟิลเลอร์ ช่วยแก้ปัญหาอะไรได้บ้าง

ฉีดฟิลเลอร์ดีไหม

ฉีดฟิลเลอร์ดีไหม? คืออะไร? แก้ปัญหาอะไรได้บ้าง? 

การฉีดฟิลเลอร์ เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยในการเติมเต็มความอ่อนเยาว์ และแก้ไขจุดบกพร่องบนใบหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งสามารถเห็นผลลัพธ์ได้หลังทำ และย่อยสลายได้เองตามกระบวนการของร่างกาย จึงทำให้การฉีดฟิลเลอร์ถือเป็นตัวช่วยอันดับแรก ๆ ที่หลายคนนึกถึง เมื่อต้องการยกกระชับปรับรูปหน้า หรือเติมเต็มริ้วรอย ร่องลึก 

แต่อย่างไรก็ตาม ก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ หลายคนอาจมีความลังเล และเกิดความกังวลใจมากมาย บทความนี้ จะพาไปไขข้อสงสัยเกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์ว่า ฉีดฟิลเลอร์ดีไหม? ฉีดฟิลเลอร์เหมาะกับใคร? และฉีดฟิลเลอร์แก้ไขปัญหาอะไรได้บ้าง? พร้อมตอบทุกคำถามที่ควรรู้ก่อนฉีดฟิลเลอร์

ฉีดฟิลเลอร์ดีไหม? ไขข้อสงสัยก่อนฉีด พร้อมตอบคำถามเกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์

 

ฉีดฟิลเลอร์ ดีไหม?
ฉีดฟิลเลอร์ ดีไหม?

 

ฉีดฟิลเลอร์ ดีไหม?

ฉีดฟิลเลอร์ เป็นหัตถการที่สามารถแก้ไขปัญหาผิวหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องผ่าตัด และไม่ต้องพักฟื้น ซึ่งเป็นการฉีดสารเติมเต็มเข้าไปยังชั้นผิว เพื่อเติมเต็มริ้วรอย ร่องลึก เพิ่มปริมาตรให้ผิว และยกกระชับปรับรูปหน้าให้ได้สัดส่วนที่ต้องการ ทำให้ผิวหน้ากลับมาเรียบเนียน เต่งตึง และอ่อนเยาว์ขึ้นอย่างดูเป็นธรรมชาติ ซึ่งสามารถเห็นผลลัพธ์ได้หลังทำ และไม่เสี่ยงอันตราย เนื่องจากการฉีดฟิลเลอร์สามารถย่อยสลายได้ตามกระบวนการของร่างกาย จึงไม่ทิ้งสารตกค้างไว้ในชั้นผิว และลดโอกาสเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียงไม่พึงประสงค์ได้ นอกจากนี้ การฉีดฟิลเลอร์ ยังสามารถนำปรับแต่งรูปหน้าได้หลากหลายบริเวณ ไม่ว่าจะเป็นขมับ ใต้ตา หน้าแก้ม ริมฝีปาก หรือคาง เพื่อเสริมสร้างความมั่นใจ และเพิ่มมิติให้กับใบหน้าได้อย่างลงตัว

 

ไขข้อสงสัย ฉีดฟิลเลอร์ คืออะไร?

การฉีดฟิลเลอร์  คือ การฉีดสารเติมเต็มประเภท Hyaluronic Acid (HA) เข้าไปในชั้นผิวหนัง เพื่อเติมเต็มริ้วรอย ร่องลึก หรือเพิ่มปริมาตรในบริเวณที่เกิดการยุบตัวลงตามวัย ซึ่ง HA เป็นสารสังเคราะห์ที่ผลิตขึ้นมาเพื่อเลียนแบบสารที่มีอยู่ในร่างกาย มีคุณสมบัติหลักในการกักเก็บความชุ่มชื้นเข้าสู่ผิว ทำให้เมื่อทำการฉีดฟิลเลอร์เข้าไปแล้ว ผิวจะดูชุ่มชื้น อิ่มฟู และเต่งตึงขึ้นหลังฉีด  

 

ฉีดฟิลเลอร์ แก้ปัญหาอะไรบ้าง?
ฉีดฟิลเลอร์ แก้ปัญหาอะไรบ้าง?

 

ฉีดฟิลเลอร์ แก้ปัญหาอะไรบ้าง?

การฉีดฟิลเลอร์ สามารถแก้ไขปัญหาผิวได้หลากหลายรูปแบบ ดังนี้

  • แก้ปัญหาริ้วรอย และร่องลึก 

การฉีดฟิลเลอร์ สามารถแก้ไขปัญหาริ้วรอย และร่องลึกต่าง ๆ บนใบหน้าได้ เช่น ริ้วรอยรอบดวงตา หรือร่องแก้ม เพื่อลดเลือนริ้วรอย และร่องลึกให้ดูตื้นขึ้น ทำให้ผิวหน้าอ่อนเยาว์อย่างดูเป็นธรรมชาติ

  • แก้ปัญหาโครงสร้างใบหน้าไม่ได้สัดส่วน

การฉีดฟิลเลอร์ สามารถแก้ไขปัญหาโครงสร้างใบหน้าไม่ได้สัดส่วน หรือใบหน้าไม่สมดุลได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่น บริเวณคาง หรือกรอบหน้า เพื่อปรับโครงหน้าให้มีความสมดุล และดูเรียวเล็กมากขึ้น

  • แก้ปัญหาใบหน้าตอบ

การฉีดฟิลเลอร์ สามารถแก้ไขปัญหาใบหน้าตอบ หรือกระดูกทรุดตัวลงตามอายุได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ขมับ หรือแก้มตอบ เพื่อเติมเต็มใบหน้าในบริเวณที่ยุบตัวให้ดูเต็มมากขึ้น ลดความเด่นของโหนกแก้ม ทำให้ใบหน้าดูเด็กลงอย่างเห็นได้ชัด

  • แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย

การฉีดฟิลเลอร์  สามารถแก้ไขปัญหาผิวหย่อนคล้อย ไม่กระชับได้อย่างเป็นดี ซึ่งสามารถฉีดได้หลายบริเวณ ขึ้นอยู่กับปัญหาที่ต้องการแก้ไข เช่น บริเวณกรอบหน้า ขมับ หรือโหนกแก้ม เพื่อยกกระชับผิวหน้า ให้กลับมาเต่งตึง และดูอ่อนกว่าวัยอีกครั้ง

  • แก้ปัญหาผิวขาดความชุ่มชื้น

การฉีดฟิลเลอร์  สามารถแก้ไขปัญหาผิวแห้งกร้าน ขาดความชุ่มชื้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากการฉีดฟิลเลอร์มีคุณสมบัติในการอุ้มน้ำ จึงช่วยในการปรับสภาพผิว ทำให้ผิวชุ่มชื้น ฉ่ำวาว และรูขุมขนเล็กลงอย่างดูเป็นธรรมชาติ

  • แก้ปัญหาผิวขาดวอลลุ่ม

การฉีดฟิลเลอร์  สามารถแก้ไขปัญหาผิวหน้าขาดวอลลุ่ม ดูแก่กว่าวัยได้ เช่น บริเวณใต้ตา หน้าแก้ม หรือริมฝีปาก เพื่อเติมเต็ม และเพิ่มวอลลุ่มในบริเวณที่ฉีด ทำให้กลับมาอิ่มฟู สดใส และมีความยืดหยุ่นมากขึ้น

 

รวมจุดที่นิยมในการฉีดฟิลเลอร์

การฉีดฟิลเลอร์ สามารถฉีดได้หลายจุดบนใบหน้า ซึ่งการฉีดแต่ละจุดก็สามารถแก้ไขปัญหาที่แตกต่างกัน โดยจุดที่นิยมในการฉีดฟิลเลอร์ มีดังนี้

  • ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก

การฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก สามารถแก้ไขหน้าผากยุบ หน้าผากบุ๋ม หน้าผากแบน หน้าผากเป็นแอ่ง ทำให้ผิวบริเวณหน้าผากนูนสวย รับกับใบหน้า และตรงตามหลักโหงวเฮ้ง

  • ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา 

การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา สามารถเติมเต็มใต้ตาคล้ำ เบ้าตาลึก ใต้ตาโหล ถุงใต้ตา และริ้วรอยรอบดวงตา ทำให้ผิวบริเวณใต้ตามีความอิ่มฟู เรียบเนียน สดใส และดูไม่โทรม

  • ฉีดฟิลเลอร์ขมับ 

การฉีดฟิลเลอร์ขมับ สามารถเติมเต็มขมับตอบ ขมับยุบที่เกิดจากกระดูกทรุดตัวลง หรือไขมันใต้ผิวลดลง ทำให้ผิวบริเวณขมับดูเต็มขึ้น ใบหน้าดูอ่อนกว่าวัย และลดความเด่นของโหนกแก้มลงได้

  • ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ 

การฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ สามารถเติมเต็มแก้มที่ตอบจากกระดูกที่ทรุดตัวลง ไขมันใต้ผิวลดลง หรือเกิดจากการลดน้ำหนัก ที่ส่งผลให้ใบหน้าซูบผอม ทำให้ผิวบริเวณที่ฉีดดูอิ่มฟู และอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ ลดความเด่นของโหนกแก้ม

  • ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม

การฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม สามารถเติมเต็มร่องแก้มลึก ร่องน้ำหมากจากอายุที่มากขึ้น หรือกระดูกทรุดตัวลง ทำให้ผิวบริเวณร่องแก้มดูตื้นขึ้น มีความอิ่มฟู และดูเต่งตึง

  • ฉีดฟิลเลอร์ปาก

การฉีดฟิลเลอร์ปาก สามารถเติมเต็มริมฝีปากบาง แก้ไขริมฝีปากคว่ำ ริมฝีปากไม่เท่ากัน หรือริมฝีปากแห้ง ทำให้ริมฝีปากอวบอิ่ม ฉ่ำวาว มีวอลลุ่ม และรูปทรงปากมีความสวยงามมากขึ้น

  • ฉีดฟิลเลอร์คาง 

การฉีดฟิลเลอร์คาง สามารถแก้ไขคางสั้น คางตัด คางบุ๋ม คางเบี้ยว คางถอย หรือคางไม่เท่ากัน ทำให้งคางมีสัดส่วนที่สมดุลตามต้องการ และมีความยาวมากขึ้น ส่งผลให้ใบหน้าเรียวเล็ก ดูมีมิติ

 

ฉีดฟิลเลอร์ มีข้อดีอย่างไร?

  • เห็นผลลัพธ์หลังทำ การฉีดฟิลเลอร์ สามารถเห็นผลลัพธ์ได้หลังฉีด เช่น ร่องลึกดูตื้นขึ้น ผิวเต่งตึง ใบหน้าดูสมดุล 
  • แก้ไขปัญหาผิวได้หลายแบบ การฉีดฟิลเลอร์สามารถแก้ไขปัญหาผิวได้หลายแบบ เช่น เติมเต็มริ้วรอย ร่องลึก ยกกระชับปรับรูปหน้าให้ได้สัดส่วน และเพิ่มปริมาตรให้ผิวในบริเวณที่ยุบตัว
  • ไปเสี่ยงอันตราย เนื่องจากสาร Hyaluronic Acid (HA) ที่ใช้ เป็นสารที่เลียนแบบสารในร่างกาย ทำให้ไม่เสี่ยงอันตราย และสามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ จึงไม่ก่อให้เกิดอันตราย
  • ไม่ต้องพักฟื้นนาน หลังฉีดฟิลเลอร์เสร็จ สามารถใช้ชีวิต หรือทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้ตามปกติ เนื่องจากการฉีดฟิลเลอร์ไม่ใช่การผ่าตัด จึงไม่เสี่ยงต่อการเกิดรอยแผล และไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้นนานหลังฉีด
  • ปรับแก้ง่าย การฉีดฟิลเลอร์สามารถฉีดเพิ่มใหม่ได้เรื่อย ๆ หากผลลัพธ์ที่ได้ยังไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง หรือสามารถฉีดสลายฟิลเลอร์ออกได้ หากไม่พอใจในผลลัพธ์ โดยไม่ก่อให้เกิดอันตรายใด ๆ

 

ใครที่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์?

  • การฉีดฟิลเลอร์ เหมาะสำหรับผู้ที่มีริ้วรอย และร่องลึก ทำให้ใบหน้าดูแก่กว่าวัย
  • การฉีดฟิลเลอร์  เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับปรับรูปหน้า
  • การฉีดฟิลเลอร์  เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อยตามอายุ
  • การฉีดฟิลเลอร์  เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเติมเต็มบริเวณที่กระดูกทรุดตัวลง
  • การฉีดฟิลเลอร์  เหมาะสำหรับผู้ที่มีใบหน้าตอบ เช่น แก้มตอบ ขมับตอบ
  • การฉีดฟิลเลอร์  เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มวอลลุ่มให้ผิว
  • การฉีดฟิลเลอร์  เหมาะสำหรับผู้ที่ิมีผิวขาดน้ำ ไม่ชุ่มชื้น แต่งหน้าไม่ติด
  • การฉีดฟิลเลอร์  เหมาะสำหรับผู้ที่มีรูขุมขนกว้าง และหลุมสิว
  • การฉีดฟิลเลอร์  เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเห็นผลลัพธ์หลังทำ

ทั้งนี้ ควรเข้ารับการปรึกษาแพทย์ก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ และแจ้งประวัติสุขภาพให้แพทย์ทราบอย่างละเอียด ทั้งประวัติโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา หรือประวัติการรักษาก่อนเข้ารับบริการ เพื่อป้องกันผลข้างเคียงอันตราย

 

ก่อนฉีดฟิลเลอร์ ควรเตรียมตัวอย่างไร? 

ก่อนฉีดฟิลเลอร์ ควรปรึกษาแพทย์ที่มีความรู้ และประสบการณ์โดยตรง เพื่อให้แพทย์ประเมินใบหน้า พร้อมให้คำแนะนำที่เหมาะสมสำหรับปัญหาที่ต้องการแก้ไข

  • ก่อนฉีดฟิลเลอร์  งดใช้ยาที่ส่งผลให้เลือดออกง่าย

ก่อนฉีดฟิลเลอร์ งดรับประทานยาที่ส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด หรือทำให้เลือดออกง่าย เช่น แอสไพริน ไอบูโพรเฟน หรือยาที่สกัดจากโสม ขิง กระเทียม อย่างน้อย 1 – 2 สัปดาห์ก่อนฉีด

  • ก่อนฉีดฟิลเลอร์ งดดื่มแอลกอฮอล์

ก่อนฉีดฟิลเลอร์ งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และสูบบุหรี่ เพื่อไม่ให้เกิดอาการบวม หรือรอยช้ำ อย่างน้อย 24 – 48 ชั่วโมงก่อนฉีด

  • ก่อนฉีดฟิลเลอร์  งดออกกำลังกายหนัก

ก่อนฉีดฟิลเลอร์ งดออกกำลังกายอย่างหนัก หรือออกกำลังกายแบบหักโหม เพื่อไม่ให้เกิดอาการบวมช้ำ อย่างน้อย 24 – 48 ชั่วโมงก่อนฉีด

  • ก่อนฉีดฟิลเลอร์  งดทำเลเซอร์บนใบหน้า

ก่อนฉีดฟิลเลอร์ งดการทำเลเซอร์ ทรีตเมนต์ สครับ หรือผลัดเซลล์ผิว เพื่อไม่ให้เกิดการระคายเคืองบริเวณผิวหน้า อย่างน้อย 1 สัปดาห์ก่อนฉีด 

 

หลังการฉีดฟิลเลอร์ ควรดูแลตัวเองอย่างไร?
หลังการฉีดฟิลเลอร์ ควรดูแลตัวเองอย่างไร?

 

หลังการฉีดฟิลเลอร์ ควรดูแลตัวเองอย่างไร?

  • หลังฉีดฟิลเลอร์ หลีกเลี่ยงการสัมผัสหน้า

หลังการฉีดฟิลเลอร์ หลีกเลี่ยงการสัมผัส จับ นวด แกะ หรือกดทับในบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ เพื่อไม่ให้สาร Hyaluronic Acid (HA) เคลื่อนตัว หรือเสียรูปทรง อย่างน้อย 1 – 2 สัปดาห์หลังฉีด

  • หลังฉีดฟิลเลอร์ ควรนอนยกศีรษะสูง

หลังการฉีดฟิลเลอร์ ควรนอนยกศีรษะสูงกว่าระดับหน้าอก เพื่อไม่ให้เกิดอาการบวม และไม่ให้ สาร Hyaluronic Acid (HA) เกิดการเคลื่อนตัว อย่างน้อย 24 – 48 วันหลังฉีด

  • หลังฉีดฟิลเลอร์ งดดื่มแอลกอฮอล์

หลังการฉีดฟิลเลอร์ งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และสูบบุหรี่ เพื่อไม่ให้เกิดอาการบวม หรือรอยช้ำ อย่างน้อย 24 – 48 ชั่วโมงหลังฉีด

  • หลังฉีดฟิลเลอร์ งดออกกำลังกายหนัก

หลังการฉีดฟิลเลอร์ งดออกกำลังกายอย่างหนัก หรือออกกำลังกายแบบหักโหม เพื่อไม่ให้เกิดอาการบวมช้ำ หรืออักเสบ อย่างน้อย 24 – 48 ชั่วโมงหลังฉีด

  • หลังฉีดฟิลเลอร์ งดอาหารหมักดอง

หลังการฉีดฟิลเลอร์ งดการรับประทานอาหารหมักดอง อาหารรสจัด หรืออาหารดิบ เพื่อไม่ให้เกิดการติดเชื้อ หรืออักเสบ อย่างน้อย 1 สัปดาห์หลังฉีด

  • หลังฉีดฟิลเลอร์ งดโดนความร้อน

หลังการฉีดฟิลเลอร์ งดกิจกรรมที่โดนความร้อน หรือแสงแดดจัดโดยตรง เพื่อไม่ให้สาร Hyaluronic Acid (HA) สลายตัวเร็ว อย่างน้อย 1 – 2 สัปดาห์หลังฉีด

  • หลังฉีดฟิลเลอร์ ควรดื่มน้ำให้มากๆ

หลังการฉีดฟิลเลอร์ ควรดื่มน้ำให้มาก ๆ เนื่องจากสาร Hyaluronic Acid (HA) ในฟิลเลอร์ มีคุณสมบัติในการกักเก็บความชุ่มชื้น หากดื่มน้ำให้เพียงพอ สาร HA จะยิ่งอุ้มน้ำได้ดีขึ้น ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

 

ผลลัพธ์ที่ได้จากการฉีดฟิลเลอร์
ผลลัพธ์ที่ได้จากการฉีดฟิลเลอร์

 

ผลลัพธ์ที่ได้จากการฉีดฟิลเลอร์

  • การฉีดฟิลเลอร์ ช่วยลดเลือนริ้วรอย ร่องลึกบนใบหน้า
  • การฉีดฟิลเลอร์ ช่วยให้รูปหน้ามีสัดส่วนที่สมดุล
  • การฉีดฟิลเลอร์ ช่วยให้ผิวกระชับ เต่งตึงมากขึ้น
  • การฉีดฟิลเลอร์ ช่วยให้ผิวอิ่มฟู ดูมีวอลลุ่ม
  • การฉีดฟิลเลอร์ ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น ฉ่ำวาว
  • การฉีดฟิลเลอร์ ช่วยให้รูขุมขนเล็กลง ผิวเรียบเนียน
  • การฉีดฟิลเลอร์ ช่วยให้ใบหน้าอ่อนเยาว์ ดูเด็กลง
  • การฉีดฟิลเลอร์ ช่วยให้ริมฝีปากอวบอิ่ม มีความโดดเด่น
  • การฉีดฟิลเลอร์ ช่วยให้ใต้ตาสดใส ลดความหมองคล้ำ

 

ผลข้างเคียงทั่วไปจากการฉีดฟิลเลอร์
ผลข้างเคียงทั่วไปจากการฉีดฟิลเลอร์

 

ผลข้างเคียงทั่วไปจากการฉีดฟิลเลอร์

หลังฉีดฟิลเลอร์ อาจเกิดผลข้างเคียงในบริเวณที่ฉีดเล็กน้อย โดยผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นบ่อย มีดังนี้

  • เกิดอาการบวมแดง หลังฉีดฟิลเลอร์อาจเกิดอาการบวมแดงในบริเวณที่ฉีด ซึ่งอาการบวมเหล่านี้ จะค่อย ๆ ยุบลง และดีขึ้น ภายใน 2 – 3 วันหลังฉีด สามารถประคบเย็นเบาๆ เพื่อลดอาการบวมลงได้
  • เกิดอาการเขียวช้ำ หลังฉีดฟิลเลอร์อาจเกิดอาการเขียวช้ำ หรือรอยฟกช้ำในบริเวณที่ฉีด ซึ่งอาการเขียวช้ำนี้ จะค่อย ๆ จางลง และดีขึ้น ภายใน 1 – 2 สัปดาห์หลังฉีด
  • เกิดอาการปวดตึง หลังฉีดฟิลเลอร์อาจเกิดอาการปวดตึง หรือปวดระบมในบริเวณที่ฉีด ซึ่งอาการปวดนี้ จะค่อย ๆ ลดลง และดีขึ้น ภายใน 2 – 3 วันหลังฉีด

 

ผลข้างเคียงอันตรายจากการฉีดฟิลเลอร์

ผลข้างเคียงอันตรายของการฉีดฟิลเลอร์ ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นจากการฉีดฟิลเลอร์ปลอม หรือฉีดฟิลเลอร์กับหมอเถื่อน ภายในคลินิกที่ไม่ได้มาตรฐาน ทำให้เกิดผลข้างเคียงอันตราย ดังนี้

  • เกิดอาการบวมรุนแรง การฉีดฟิลเลอร์ปลอม หรือการฉีดฟิลเลอร์กับหมอเถื่อน อาจเกิดการบวมแดงรุนแรง หรือปวดมากผิดปกติ แนะนำให้รีบไปพบแพทย์โดยด่วน
  • เกิดอาการใบหน้าผิดรูป การฉีดฟิลเลอร์ปลอม หรือการฉีดฟิลเลอร์กับหมอเถื่อน อาจเกิดการไหลย้อย และเป็นก้อน ทำให้ใบหน้าบิดเบี้ยว หรือใบหน้าผิดรูปได้ แนะนำให้รีบไปพบแพทย์โดยด่วน
  • เกิดอาการอุดตันเส้นเลือด การฉีดฟิลเลอร์ปลอม หรือการฉีดฟิลเลอร์กับหมอเถื่อน อาจเกิดการเข้าไปอุดตันในเส้นเลือด ทำให้ผิวบริเวณนั้นขาดเลือด จนผิวเปลี่ยนสี และเกิดเป็นเนื้อตาย หากมีอาการเหล่านี้เกิดขึ้น แนะนำให้รีบไปพบแพทย์ เพื่อทำการรักษาโดยด่วน
  • เกิดอาการติดเชื้อ การฉีดฟิลเลอร์ปลอม หรือการฉีดฟิลเลอร์กับหมอเถื่อน อาจเกิดการติดเชื้อ เช่น บวมแดง ปวด หรือมีหนองในบริเวณที่ฉีด ซึ่งมาจากการฉีดฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐาน และมีการปนเปื้อนของเชื้อโรค ทำให้ผิวหนังบริเวณที่ฉีดติดเชื้อ แนะนำให้รีบไปพบแพทย์โดยด่วน
  • เกิดอาการแพ้รุนแรง การฉีดฟิลเลอร์ปลอม หรือการฉีดฟิลเลอร์กับหมอเถื่อน อาจเกิดการแพ้รุนแรง เช่น ผื่นแดง คัน บวม หายใจติดขัด หรือหัวใจเต้นผิดปกติ ซึ่งหากมีอาการเหล่านี้ ควรรีบทำการรักษาโดยด่วน 

 

ฉีดฟิลเลอร์ อันตรายไหม?

การฉีดฟิลเลอร์ ไม่เสี่ยงอันตราย หากใช้สารเติมเต็มแท้ประเภท Hyaluronic Acid (HA) เนื่องจากสาร HA เป็นสารที่สามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ ไม่คงอยู่ถาวร จึงไม่เกิดการตกค้างในชั้นผิว ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้ไม่เสี่ยงอันตราย และที่สำคัญหากฉีดฟิลเลอร์กับแพทย์ที่มีความรู้ และประสบการณ์ ยิ่งจะช่วยลดโอกาสเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียงอันตราย

 

Q&A เกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์

ฉีดฟิลเลอร์ อยู่ได้นานไหม?

  • ระยะเวลาในการคงอยู่หลังการฉีดฟิลเลอร์ โดยเฉลี่ยแล้ว สามารถอยู่ได้นาน ประมาณ 6 – 18 เดือน ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งยี่ห้อที่ใช้ ประเภทของฟิลเลอร์ บริเวณที่ต้องการฉีด และการดูแลตัวเองหลังฉีด เป็นต้น แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ก่อนตัดสินใจฉีด

 

ฉีดฟิลเลอร์ กี่วันถึงจะเห็นผล?

  • หลังฉีดฟิลเลอร์เสร็จ จะสามารถเห็นผลลัพธ์ได้หลังฉีด แต่จะมีอาการบวมอยู่เล็กน้อยในช่วงแรก ต้องรอให้อาการบวมค่อย ๆ ลดลง และสาร Hyaluronic Acid (HA) เริ่มเข้าที่ สามารถเห็นผลลัพธ์ได้อย่างเต็มที่ ภายใน 2 – 4 สัปดาห์ เมื่อสาร HA เซตตัวเข้ากับผิวอย่างสมบูรณ์ 

 

ฉีดฟิลเลอร์ ควรฉีดกี่ CC?

  • ปริมาณที่เหมาะสมสำหรับการฉีดฟิลเลอร์ โดยส่วนใหญ่ จะขึ้นอยู่กับบริเวณที่ฉีด และปัญหาที่ต้องการแก้ไข ซึ่งในแต่ละบริเวณก็จะใช้ปริมาณสารที่แตกต่างกันออกไป เช่น บริเวณใต้ตาจะใช้ปริมาณ ประมาณ 1 – 2 CC หรือบริเวณร่องแก้มจะใช้ปริมาณ ประมาณ 1 – 3 CC ทั้งนี้ แนะนำให้แพทย์ประเมินผิวหน้าก่อนตัดสินใจ เพื่อคำนวณปริมาณที่เหมาะสมกับบริเวณที่ต้องการฉีด

 

ใครที่ไม่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์?

  • การฉีดฟิลเลอร์ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่แพ้สารประกอบในฟิลเลอร์
  • การฉีดฟิลเลอร์ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเลือดไหลออกง่าย
  • การฉีดฟิลเลอร์ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ตั้งครรภ์ หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร
  • การฉีดฟิลเลอร์ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการติดเชื้อในบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ 
  • การฉีดฟิลเลอร์ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีความบกพร่องทางภูมิคุ้มกัน
  • การฉีดฟิลเลอร์ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวหนังอักเสบในบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ 

ทั้งนี้ ควรเข้ารับการปรึกษาแพทย์ก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ และแจ้งประวัติสุขภาพให้แพทย์ทราบอย่างละเอียด ทั้งประวัติโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา หรือประวัติการรักษาก่อนเข้ารับบริการ เพื่อป้องกันผลข้างเคียงอันตราย

 

ฉีดสลายฟิลเลอร์ คืออะไร?

  • การฉีดสลายฟิลเลอร์ คือ การฉีดสารเอนไซม์ไฮยาลูโรนิเดส (Hyaluronidase) เข้าไปยังบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ เพื่อแก้ไขปัญหาฉีดฟิลเลอร์แล้วเป็นก้อน ฉีดฟิลเลอร์แล้วผิวไม่เรียบเนียน หรือฉีดฟิเลอร์แล้วไม่พอใจในผลลัพธ์ ซึ่งเอนไซม์ไฮยาลูโรนิเดสนี้ สามารถย่อยสลายฟิลเลอร์ประเภท Hyaluronic Acid (HA) ได้เท่านั้น ไม่สามารถย่อยสลายฟิลเลอร์ปลอมประเภทซิลิโคนเหลว หรือพาราฟินได้ โดยสารเอนไซม์ไฮยาลูโรนิเดสนี้ จะทำปฏิริยากับโมเลกุลของ HA ทำให้สารค่อย ๆ สลายตัว จนผิวกลับมาเรียบเนียน ใกล้เคียงกับก่อนทำการฉีดฟิลเลอร์

 

จะเห็นได้ชัดเลยว่า การฉีดฟิลเลอร์ ถือเป็นตัวช่วยที่ดี และมีประสิทธิภาพสำหรับการแก้ไขปัญหาผิว ทั้งการเติมเต็มริ้วรอย ร่องลึก ยกกระชับปรับรูปหน้า และเพิ่มปริมาตรให้ผิว เนื่องจากการฉีดฟิลเลอร์ไม่เสี่ยงอันตราย สามารถสลายได้เองตามกระบวนการของร่างกาย และขั้นตอนในการฉีดไม่ยุ่งยาก ไม่ต้องใช้ระยะเวลาในการพักฟื้นนาน ที่สำคัญคือ ให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ และดูเป็นธรรมชาติหลังฉีด โดยที่ไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย แต่อย่างไรก็ตาม ควรปรึกษาแพทย์ก่อนตัดสินใจ เพื่อสอบถามทุกข้อสงสัย และประเมินปัญหาผิวหน้า พร้อมวางแผนการฉีดฟิลเลอร์อย่างเหมาะสม ตอบโจทย์ความต้องการอย่างแท้จริง

Revive ฟิลเลอร์งานผิว คืออะไร? ดีจริงไหม? แก้ปัญหาไรได้บ้าง?

Revive ฟิลเลอร์งานผิว คืออะไร? ดีจริงไหม? แก้ปัญหาไรได้บ้าง?

Revive ฟิลเลอร์งานผิว คืออะไร? ดีจริงไหม? แก้ปัญหาไรได้บ้าง?

Revive เป็นฟิลเลอร์งานผิวตัวแรกของแบรนด์ Belotero ที่ตอบโจทย์สำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวแห้ง ขาดน้ำ และต้องการปรับปรุงคุณภาพผิวให้ดีขึ้นอย่างเร่งด่วน ซึ่งถือเป็นผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจ และน่าจับตามองอย่างมากในปัจจุบัน เนื่องจากเทรนด์งานผิว Glass Skin ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องจนถึงปี 2025 หลาย ๆ คนจึงให้ความสำคัญกับการบำรุงผิวให้ดูสุขภาพดีอยู่เสมอ ซึ่งจะเน้นความเป็นธรรมชาติของผิว โดยไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องสำอางเยอะ วันนี้ รมย์รวินท์จะพามาเจาะลึกทุกเรื่องของ Revive ว่า Revive คืออะไร? Revive ดีอย่างไร? Revive มีคุณสมบัติเด่นอะไร? และ Revive เหมาะกับใครบ้าง? บทความนี้สรุปข้อมูลทั้งหมดมาให้แล้วค่ะ

เจาะลึก Revive ฟิลเลอร์งานผิวตัวดัง ดีอย่างไร? เหมาะกับใคร?

 

Revive ฟิลเลอร์งานผิว คืออะไร?
Revive ฟิลเลอร์งานผิว คืออะไร?

 

Revive ฟิลเลอร์งานผิว คืออะไร?

Revive หรือ Belotero Revive คือ ฟิลเลอร์งานผิวจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อปรับปรุงคุณภาพผิว (Skin Quality) ซึ่งถูกคิดค้น และพัฒนาโดยบริษัท MERZ AESTHETICS บริษัทผู้ผลิตเทคโนโลยีความงามระดับโลก อีกทั้ง ในปัจจุบันฟิลเลอร์งานผิว Revive ยังมีการนำมาใช้งานในวงการแพทย์มากกว่า 50 ประเทศทั่วโลก และได้รับการขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้องจาก อย. จึงถือเป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่เสี่ยงอันตราย และให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพหลังฉีด

นอกจากนี้ Revive ยังเป็นฟิลเลอร์งานผิวตัวแรกของโลก ที่มีการผสานส่วนประกอบระหว่าง Hyaluronic Acid (HA) และ Glycerol เข้าด้วยกัน โดยผ่านเทคโนโลยีการผลิตที่จดสิทธิบัตรเฉพาะแบรนด์ Belotero มีชื่อเรียกว่า Cohesive Polydensified Matrix (CPM) ทำให้เนื้อเจลมีความเนียนละเอียด และกลมกลืนเข้ากับผิวหนังอย่างดูเป็นธรรมชาติ ซึ่งจะเน้นบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นจากภายใน พร้อมลดเลือนริ้วรอยเล็ก ๆ และปรับผิวให้เรียบเนียน กระจ่างใสแบบสุขภาพดี

 

รู้จักส่วนประกอบใน Revive ฟิลเลอร์งานผิว

Revive เป็นฟิลเลอร์งานผิวที่มีการผสมผสานส่วนประกอบหลักถึง 2 ชนิด ทำให้มีความโดดเด่นเมื่อเทียบกับฟิลเลอร์งานผิวยี่ห้ออื่น ๆ โดยส่วนประกอบของ Revive มีดังนี้

  • Cross-Linked Hyaluronic Acid (HA) : ขนาดโมเลกุลเล็ก ปริมาณ 20 mg/ml ซึ่งมีคุณสมบัติในการกักเก็บความชุ่มชื้น และเติมน้ำให้กับผิว ส่งผลให้ผิวมีความยืดหยุ่น ฉ่ำวาว และดูสุขภาพดีจากภายใน
  • Glycerol : ปริมาณ 17.5 mg/ml ซึ่งมีคุณสมบัติในการอุ้มน้ำ และเสริมการออกฤทธิ์ร่วมกับ HA ทำให้ผิวคงความชุ่มชื้นได้อย่างยาวนานมากขึ้น พร้อมฟื้นฟูความยืดหยุ่น และลดการสูญเสียน้ำในชั้นผิว

 

คุณสมบัติเด่นของ Revive ฟิลเลอร์งานผิว
คุณสมบัติเด่นของ Revive ฟิลเลอร์งานผิว

 

คุณสมบัติเด่นของ Revive ฟิลเลอร์งานผิว

ฟิลเลอร์งานผิว Revive มีคุณสมบัติเด่นในการฟื้นฟูงานผิวมากถึง 4 มิติ ดังนี้

  • Revive ช่วยเรื่อง Skin Firmness เพิ่มความกระชับ และเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิว ทำให้ผิวแน่นเฟิร์ม เต่งตึง และดูอ่อนเยาว์จากภายใน
  • Revive ช่วยเรื่อง Skin Surface Evenness ลดเลือนริ้วรอยเส้นเล็ก ๆ และลดขนาดรูขุมขน พร้อมเติมเต็มหลุมสิว ทำให้ผิวมีความเรียบเนียนมาขึ้น
  • Revive ช่วยเรื่อง Skin Tone Evenness ปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ ดูสว่างกระจ่างใส พร้อมป้องกัน และฟื้นฟูผิวที่ถูกทำร้ายจากแสงแดด รวมถึง มลภาวะต่าง ๆ
  • Revive ช่วยเรื่อง Skin Glow เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ทำให้ผิวฉ่ำวาว โกลว์ใส ดูสุขภาพดีเหมือนผิวกระจก (Glass Skin) และแต่งหน้าติดทนมากขึ้น

 

Revive ฟิลเลอร์งานผิว ฉีดบริเวณไหนได้บ้าง?

ฟิลเลอร์งานผิว Revive สามารถนำมาฉีดได้ในหลายบริเวณ โดยเฉพาะบริเวณที่มีปัญหาผิวแห้ง ขาดน้ำ ดูหมองคล้ำ หรือมีริ้วรอยเส้นเล็ก ๆ ซึ่งบริเวณที่นิยมฉีดส่วนใหญ่ มีดังนี้

  • Revive สามารถนำมาฉีดบริเวณผิวหน้า เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น ปรับผิวให้เรียบเนียน กระจ่างใส และกระชับรูขุมขน
  • Revive สามารถนำมาฉีดบริเวณรอบดวงตา เพื่อลดความหมองคล้ำ และลดเลือนริ้วรอยเส้นเล็ก ๆ บริเวณรอบดวงตา
  • Revive สามารถนำมาฉีดบริเวณริมฝีปาก เพื่อเติมความชุ่มชื้น และลดเลือนริ้วรอยเส้นเล็ก ๆ บริเวณรอบริมฝีปาก
  • Revive สามารถนำมาฉีดบริเวณลำคอ เพื่อลดเลือนริ้วรอยเส้นเล็ก ๆ เพิ่มความชุ่มชื้น และคืนความกระชับให้ผิวบริเวณลำคอ
  • Revive สามารถนำมาฉีดบริเวณหลังมือ เพื่อลดเลือนรอยเหี่ยวย่น พร้อมปรับผิวให้ชุ่มชื้น และเต่งตึงมากขึ้น

 

Revive ฟิลเลอร์งานผิว เหมาะกับใคร?
Revive ฟิลเลอร์งานผิว เหมาะกับใคร?

 

Revive ฟิลเลอร์งานผิว เหมาะกับใคร?

  • Revive ฟิลเลอร์งานผิว เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีผิวแห้งกร้าน ขาดน้ำ ลอกเป็นขุย
  • Revive ฟิลเลอร์งานผิว เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีริ้วรอยตื้น ๆ บนใบหน้า เช่น ริ้วรอยรอบดวงตา ริ้วรอยรอบริมฝีปาก
  • Revive ฟิลเลอร์งานผิว เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีผิวขาดความยืดหยุ่น ไม่ตึงกระชับ
  • Revive ฟิลเลอร์งานผิว เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีรูขุมขนกว้าง รูขุมขนไม่กระชับ 
  • Revive ฟิลเลอร์งานผิว เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีหลุมสิวตื้น ๆ ผิวขาดความเรียบเนียน 
  • Revive ฟิลเลอร์งานผิว เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีรอยดำ และรอยแดงจากสิว
  • Revive ฟิลเลอร์งานผิว เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีผิวแห้งเสียจากแสงแดด และมลภาวะ
  • Revive ฟิลเลอร์งานผิว เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีผิวโทรม ไม่มีเวลาบำรุงผิว
  • Revive ฟิลเลอร์งานผิว เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีผิวหมองคล้ำ สีผิวไม่สม่ำเสมอ ขาดความไม่สดใสฃ
  • Revive ฟิลเลอร์งานผิว เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการงานผิวกระจก ฉ่ำวาว ไม่ชอบการแต่งหน้าเยอะ
  • Revive ฟิลเลอร์งานผิว เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ โดยไม่ทำให้โครงสร้างใบหน้าเปลี่ยน

ทั้งนี้ ก่อนเข้ารับการฉีดฟิลเลอร์งานผิว Revive ควรปรึกษาแพทย์ และแจ้งประวัติสุขภาพโดยละเอียด ทั้งประวัติโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา และประวัติการรักษาก่อนเข้ารับการฉีด Revive

 

Revive ฟิลเลอร์งานผิว ไม่เหมาะกับใคร?

  • Revive ฟิลเลอร์งานผิว ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่กำลังอยู่ในระยะของการตั้งครรภ์
  • Revive ฟิลเลอร์งานผิว ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่กำลังอยู่ในระยะของการให้นมบุตร
  • Revive ฟิลเลอร์งานผิว ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาเลือดหยุดไหลยาก หรือรับประทานยาที่ส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด
  • Revive ฟิลเลอร์งานผิว ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่แพ้สาร Hyaluronic Acid (HA) หรือแพ้ส่วนประกอบอื่น ๆ ใน Revive 
  • Revive ฟิลเลอร์งานผิว ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีการอักเสบ หรือติดเชื้อทางผิวหนัง 
  • Revive ฟิลเลอร์งานผิว ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน เช่น โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง

ทั้งนี้ ก่อนเข้ารับการฉีดฟิลเลอร์งานผิว Revive ควรปรึกษาแพทย์ และแจ้งประวัติสุขภาพโดยละเอียด ทั้งประวัติโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา และประวัติการรักษาก่อนเข้ารับการฉีด Revive

 

Revive ฟิลเลอร์งานผิว มีข้อดีอย่างไร?
Revive ฟิลเลอร์งานผิว มีข้อดีอย่างไร?

 

Revive ฟิลเลอร์งานผิว มีข้อดีอย่างไร?

  • Revive ฟิลเลอร์งานผิว ถูกออกแบบมาเพื่อปรับปรุงคุณภาพผิว (Skin Quality) และฟื้นฟูผิวครบถึง 4 มิติ
  • Revive ฟิลเลอร์งานผิว เป็นตัวแรกของโลกที่ผสานส่วนประกอบระหว่าง Hyaluronic Acid (HA) และ Glycerol เข้าด้วยกัน
  • Revive ฟิลเลอร์งานผิว ใช้เทคโนโลยี Cohesive Polydensified Matrix (CPM) ในการผลิต ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่จดสิทธิบัตรเฉพาะแบรนด์ Belotero เท่านั้น
  • Revive ฟิลเลอร์งานผิว ให้ผลลัพธ์ที่ยาวนาน โดยสามารถคงประสิทธิภาพของผลลัพธ์ได้นานถึง 6 – 9 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และการปฏิบัติตัวหลังฉีด
  • Revive ฟิลเลอร์งานผิว ให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ โดยไม่ทำให้โครงสร้างใบหน้าเปลี่ยน เนื่องจากเนื้อเจลมีความบางเบา เนียนละเอียด และกลมกลืนเข้ากับผิวอย่างเป็นธรรมชาติ
  • Revive ฟิลเลอร์งานผิว ไม่เสี่ยงอันตราย เนื่องจากได้รับการอนุมัติ และขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้องจาก องค์การอาหารและยา (อย.)

 

Revive ต่างจาก Belotero รุ่นอื่นอย่างไร?

ในปัจจุบันฟิลเลอร์ยี่ห้อ Belotero มีให้เลือกทั้งหมด 6 รุ่น โดยในแต่ละรุ่นมีความแตกต่างกัน ดังนี้

  • Belotero Revive

Belotero Revive หรือ Revive เป็นฟิลเลอร์งานผิวรุ่นกล่องสีเขียวที่ผสานส่วนประกอบระหว่าง Hyaluronic Acid (HA) ร่วมกับ Glycerol โดยมีลักษณะเป็นเนื้อเจลที่มีความเนียนละเอียด บางเบา และกลมกลืนเข้ากับผิวเป็นเนื้อเดียว ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อแก้ไขปัญหาผิวแห้งกร้าน ขาดน้ำ รูขุมขนกว้าง และมีริ้วรอยเส้นเล็ก ๆ โดยจะให้ผลลัพธ์ให้เรื่องของงานผิว ทำให้ผิวชุ่มชื้น ฉ่ำวาว ปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ เรียบเนียน และกระจ่างใสอย่างดูเป็นธรรมชาติ เหมาะสำหรับการนำมาฉีดบริเวณรอบดวงตา หน้าแก้ม ริมฝีปาก ลำคอ และหลังมือ ซึ่งสามารถคงผลลัพธ์อยู่ได้ยาวนานถึง 6 – 9 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และการปฏิบัติตัวหลังฉีด 

  • Belotero Soft

Belotero Soft เป็นฟิลเลอร์รุ่นกล่องสีเหลืองที่ประกอบไปด้วย Hyaluronic Acid (HA) โมเลกุลขนาดเล็ก โดยมีลักษณะเป็นเนื้อเจลที่มีความนิ่ม และละเอียดสูง ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อแก้ไขปัญหาผิวชั้นตื้น เช่น ริ้วรอยเล็ก ๆ รูขุมขนว้าง และความหมองคล้ำบริเวณใต้ตา โดยจะให้ผลลัพธ์ในเรื่องของการเพิ่มความชุ่มชื้น และเก็บรายละเอียดผิวชั้นตื้นให้มีความเรียบเนียน และอ่อนเยาว์อย่างดูเป็นธรรมชาติ เหมาะสำหรับการนำมาฉีดบริเวณรอบดวงตา และหน้าผาก ซึ่งสามารถคงผลลัพธ์อยู่ได้ยาวนานถึง 6 – 12 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และการปฏิบัติตัวหลังฉีด 

  • Belotero Balance

Belotero Balance เป็นฟิลเลอร์รุ่นกล่องสีส้มที่ประกอบไปด้วย Hyaluronic Acid (HA) โดยมีลักษณะเป็นเนื้อเจลที่มีความนิ่มปานกลาง และมีความหนาแน่นกว่า Belotero Soft เล็กน้อย ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อแก้ไขปัญหาหลุมสิว ริ้วรอย และร่องลึกระดับปานกลาง โดยจะให้ผลลัพธ์ในเรื่องของความอิ่มฟู ชุ่มชื้น และเรียบเนียนอย่างดูเป็นธรรมชาติ เหมาะสำหรับการนำมาฉีดบริเวณร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก หน้าผาก และใต้ตา ซึ่งสามารถคงผลลัพธ์อยู่ได้ยาวนานถึง 12 – 18 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และการปฏิบัติตัวหลังฉีด 

  • Belotero Intense

Belotero Intense เป็นฟิลเลอร์รุ่นกล่องสีชมพูที่ประกอบไปด้วย Hyaluronic Acid (HA) โดยมีลักษณะเป็นเนื้อเจลที่มีความยืดหยุ่น หนาแน่น และคงรูปได้ดี สามารถปั้นทรงได้ง่าย ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อแก้ไขปัญหาริ้วรอย ร่องลึก ผิวสูญเสียปริมาตร และโครงสร้างใบหน้าไม่ได้สัดส่วน โดยจะให้ผลลัพธ์ในเรื่องของการเพิ่มวอลลุ่มให้ผิว และทำให้รูปหน้ามีสัดส่วนที่สมดุลมากขึ้น เหมาะสำหรับการนำมาฉีดบริเวณร่องแก้ม ขมับ แก้มตอบ และคาง ซึ่งสามารถคงผลลัพธ์อยู่ได้ยาวนานถึง 18 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และการปฏิบัติตัวหลังฉีด 

  • Belotero Volume

Belotero Volume เป็นฟิลเลอร์รุ่นกล่องสีม่วงที่ประกอบไปด้วย Hyaluronic Acid (HA) โดยมีลักษณะเป็นเนื้อเจลที่มีความยืดหยุ่น ยืดเกาะได้ดี และคงตัวสูง ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อแก้ไขปัญหากระดูกที่ทรุดตัวลงจากอายุมากขึ้น ใบหน้าตอบ ขาดมิติ ดูไม่มีวอลลุ่ม โดยจะให้ผลลัพธ์ในเรื่องของการเพิ่มวอลลุ่ม เพิ่มความอิ่มฟู และเพิ่มมิติให้กับใบหน้า เหมาะสำหรับการนำมาฉีดบริเวณขมับ แก้มตอบ และคาง ซึ่งสามารถคงผลลัพธ์อยู่ได้ยาวนานถึง 18 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และการปฏิบัติตัวหลังฉีด 

  • Belotero Lips

Belotero Lips เป็นฟิลเลอร์รุ่นกล่องสีแดงที่ประกอบไปด้วย Hyaluronic Acid (HA) ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อแก้ไขปัญหาริมฝีปากโดยเฉพาะ โดยใน 1 เซตจะมีประกอบไปด้วย Belotero Lips ทั้งหมด 2 รุ่น ได้แก่ รุ่น Lips shape และรุ่น Lips contour ซึ่งรุ่น Lips shape จะใช้สำหรับการเติมเต็ม และเพิ่มความอวบอิ่มให้ริมฝีปาก ส่วนรุ่น Lips contour จะใช้สำหรับการปรับรูปทรง และเพิ่มความคมชัดให้ขอบปาก โดยไม่ทำให้เป็นก้อนแข็ง และไม่ไหลย้อยไปยังบริเวณอื่นได้ง่าย ซึ่งสามารถคงผลลัพธ์อยู่ได้ยาวนานถึง 9 – 12 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และการปฏิบัติตัวหลังฉีด 

 

Revive ต่างจากฟิลเลอร์งานผิวยี่ห้ออื่นอย่างไร?

ในปัจจุบันฟิลเลอร์งานผิว มีให้เลือกใช้หลากหลายยี่ห้อ โดยแต่ละยี่ห้อมีความแตกต่างกัน ดังนี้

  • ฟิลเลอร์งานผิวยี่ห้อ Belotero Revive

Belotero Revive เป็นฟิลเลอร์งานผิวสัญชาติสวิตเซอร์แลนด์ที่ใช้ส่วนประกอบของ Hyaluronic Acid (HA) ร่วมกับ Glycerol โดยผ่านเทคโนโลยีการผลิตที่มีชื่อว่า Cohesive Polydensified Matrix (CPM) ทำให้ได้เนื้อเจลที่บางเบา เนียนละเอียด และกลมกลืนเข้ากับผิวอย่างดูเป็นธรรมชาติ เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแห้งขาดน้ำ รูขุมขนกว้าง และมีริ้วรอยเส้นเล็ก ๆ โดยสามารถคงผลลัพธ์อยู่ได้ยาวนานถึง 6 – 9 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และการปฏิบัติตัวหลังฉีด 

  • ฟิลเลอร์งานผิวยี่ห้อ Juvederm Volite

Juvederm Volite เป็นฟิลเลอร์งานผิวสัญชาติอเมริกาที่ใช้ส่วนประกอบของ Hyaluronic Acid (HA) ร่วมกับ Aquaporin-3 (APQ3) โดยผ่านเทคโนโลยีการผลิตที่มีชื่อว่า Vycross ทำให้ได้เนื้อเจลที่บางเบา ละเอียด แต่ยังยึดเกาะได้ดี และมีความหนืดกว่า Restylane Vital Light เล็กน้อย เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแห้ง ขาดน้ำ ใต้ตาคล้ำ และมีริ้วรอยบริเวณรอบดวงตา โดยสามารถคงผลลัพธ์อยู่ได้ยาวนานถึง 8 – 12 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และการปฏิบัติตัวหลังฉีด 

  • ฟิลเลอร์งานผิวยี่ห้อ Restylane Vital Light

Restylane Vital Light เป็นฟิลเลอร์งานผิวสัญชาติสวีเดนที่ใช้ส่วนประกอบของ Hyaluronic Acid (HA) โดยผ่านเทคโนโลยีการผลิตที่มีชื่อว่า NASHA (Non-Animal Stabilized Hyaluronic Acid) ทำให้ได้เนื้อเจลที่มีความละเอียด และอุ้มน้ำได้ดี เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแห้ง ขาดน้ำ มีริ้วรอยเล็ก ๆ และผิวหย่อนคล้อยแรกเริ่ม โดยสามารถคงผลลัพธ์อยู่ได้ยาวนานถึง 6 – 12 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และการปฏิบัติตัวหลังฉีด 

  • ฟิลเลอร์งานผิวยี่ห้อ Dorothy Dewy

Dorothy Dewy เป็นฟิลเลอร์งานผิวสัญชาติเกาหลีใต้ที่ใช้ส่วนประกอบของ Hyaluronic Acid (HA) ซึ่งใช้โดยผ่านเทคโนโลยีการผลิตที่มีชื่อว่า IFRHA (Innovative Filler with Reinforced Hyaluronic Acid) ทำให้ได้เนื้อเจลที่บางเบา เรียบเนียน และกระจายตัวได้ดี เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแห้ง ขาดน้ำ รูขุมขนกว้าง และมีริ้วรอยเส้นเล็ก ๆ โดยสามารถคงผลลัพธ์อยู่ได้ยาวนานถึง 6 – 12 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และการปฏิบัติตัวหลังฉีด 

  • ฟิลเลอร์งานผิวยี่ห้อ Neauvia Hydro Deluxe

Neauvia Hydro Deluxe เป็นฟิลเลอร์งานผิวสัญชาติอิตาลีที่ใช้ส่วนประกอบมากถึง 4 ชนิด ได้แก่ Hyaluronic Acid (HA), Calcium Hydroxylapatite (CaHA), L-Proline และ Glycine โดยผ่านเทคโนโลยีการผลิตที่มีชื่อว่า SXT (SMART XROSS LINK Technology) ทำให้ได้เนื้อเจลที่เรียบเนียน มีความเหลว และกลมกลืนเข้ากับผิวอย่างดูเป็นธรรมชาติ โดยไม่กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแห้ง หลุมสิว รูขุมขนกว้าง และมีริ้วรอย ร่องลึก โดยสามารถคงผลลัพธ์อยู่ได้ยาวนานถึง 6 – 9 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และการปฏิบัติตัวหลังฉีด

 

การเตรียมตัวก่อนฉีด Revive ฟิลเลอร์งานผิว

  • ก่อนฉีด Revive ฟิลเลอร์งานผิว ควรศึกษาข้อมูลผลิตภัณฑ์เบื้องต้นก่อนฉีด
  • ก่อนฉีด Revive ฟิลเลอร์งานผิว แจ้งประวัติโรคประจำตัวให้แพทย์ทราบโดยละเอียด
  • ก่อนฉีด Revive ฟิลเลอร์งานผิว งดการรับประทานยาที่มีผลกระทบต่อการแข็งตัวของเลือด
  • ก่อนฉีด Revive ฟิลเลอร์งานผิว งดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติในการผลัดเซลล์ผิว
  • ก่อนฉีด Revive ฟิลเลอร์งานผิว งดทำเลเซอร์ ทรีตเมนต์ สครับ หรือแว็กซ์ขนบริเวณที่ฉีด
  • ก่อนฉีด Revive ฟิลเลอร์งานผิว งดการสูบบุหรี่ และดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
  • ก่อนฉีด Revive ฟิลเลอร์งานผิว งดการทำกิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีด
  • ก่อนฉีด Revive ฟิลเลอร์งานผิว ควรดื่มน้ำอย่างสม่ำเสมอ และนอนหลับให้เพียงพอ

 

การดูแลตัวเองหลังฉีด Revive ฟิลเลอร์งานผิว

  • หลังฉีด Revive ฟิลเลอร์งานผิว หลีกเลี่ยงการแกะ นวด บีบ เกา หรือกดทับบริเวณที่ฉีด
  • หลังฉีด Revive ฟิลเลอร์งานผิว งดการอยู่ในสถานที่ที่มีอุณหภูมิสูง อากาศร้อนจัด และแสงแดด
  • หลังฉีด Revive ฟิลเลอร์งานผิว ควรนอนยกศีรษะสูงกว่าหน้าอก โดยใช้หมอนหนุนรองศีรษะอย่างน้อย 2 ใบ
  • หลังฉีด Revive ฟิลเลอร์งานผิว งดรับประทานอาหารหมักดอง และอาหารดิบ
  • หลังฉีด Revive ฟิลเลอร์งานผิว งดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติในการผลัดเซลล์ผิว
  • หลังฉีด Revive ฟิลเลอร์งานผิว งดทำเลเซอร์ ทรีตเมนต์ สครับ หรือแว็กซ์ขนบริเวณที่ฉีด
  • หลังฉีด Revive ฟิลเลอร์งานผิว งดการสูบบุหรี่ และดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
  • หลังฉีด Revive ฟิลเลอร์งานผิว งดการทำกิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีด
  • หลังฉีด Revive ฟิลเลอร์งานผิว ควรดื่มน้ำอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อย 1.5 – 2 ลิตรต่อวัน

 

ผลลัพธ์ที่ได้หลังฉีด Revive ฟิลเลอร์งานผิว

  • Revive ฟิลเลอร์งานผิว ช่วยให้ผิวมีความชุ่มชื้น ฉ่ำวาวแบบ Glass Skin
  • Revive ฟิลเลอร์งานผิว ช่วยให้ริ้วรอยเส้นเล็ก ๆ ดูตื้นขึ้น
  • Revive ฟิลเลอร์งานผิว ช่วยให้ผิวยืดหยุ่น แน่นกระชับ
  • Revive ฟิลเลอร์งานผิว ช่วยให้สีผิวสม่ำเสมอ และดูกระจ่างใส
  • Revive ฟิลเลอร์งานผิว ช่วยให้รูขุมขนเล็กลง ผิวเนียนละเอียดมากขึ้น
  • Revive ฟิลเลอร์งานผิว ช่วยให้หลุมสิวบนใบหน้าดูตื้นขึ้น
  • Revive ฟิลเลอร์งานผิว ช่วยให้ผิวแข็งแรง พร้อมปกป้องผิวจากปัจจัยต่าง ๆ
  • Revive ฟิลเลอร์งานผิว ช่วยลดความเสื่อมสภาพของผิวตามวัย

 

วิธีตรวจสอบ Revive ฟิลเลอร์งานผิว ของแท้ 

การตรวจสอบฟิลเลอร์ Revive ก่อนฉีดเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก เพื่อป้องกันการเกิดผลข้างเคียงอันตราย จากการฉีดฟิลเลอร์ปลอม หรือฟิลเลอร์ไม่ได้มาตรฐาน โดยฟิลเลอร์ Revive ของแท้ สามารถตรวจสอบได้ ดังนี้

  • Revive สามารถตรวจสอบได้จาก เอกสารกำกับภาษาไทย และเลขทะเบียน อย. ภายในกล่อง
  • Revive สามารถตรวจสอบได้จาก เลข Lot. ทั้ง 3 จุด ได้แก่ กล่องฟิลเลอร์ สติกเกอร์ และหลอดฟิลเลอร์ ซึ่งทุกจุดจะต้องมีเลข Lot. ที่ตรงกัน
  • Revive สามารถตรวจสอบคลินิกที่ให้บริการได้ที่ บริษัท เมิร์ซ เฮลธ์แคร์ (ประเทศไทย) โดยตรง 

 

ถาม - ตอบทุกข้อสงสัยเกี่ยวกับ Revive ฟิลเลอร์งานผิว
ถาม – ตอบทุกข้อสงสัยเกี่ยวกับ Revive ฟิลเลอร์งานผิว

 

ถาม – ตอบทุกข้อสงสัยเกี่ยวกับ Revive ฟิลเลอร์งานผิว

Revive ฟิลเลอร์งานผิว ฉีดกี่ครั้งเห็นผล?

  • การฉีด Revive ฟิลเลอร์งานผิว โดยส่วนใหญ่ จะสามารถเห็นผลลัพธ์ได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉีด จากนั้นจะเห็นผลลัพธ์อย่างเต็มที่ ภายใน 3 เดือน แต่สำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวค่อนข้างมาก อาจต้องทำการฉีด Revive ติดต่อกันทั้งหมด 3 ครั้ง และควรเว้นระยะห่างในแต่ละครั้ง ประมาณ 1 เดือน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์มีประสิทธิภาพค่ะ

 

Revive ฟิลเลอร์งานผิว อยู่ได้นานแค่ไหน?

  • การฉีด Revive ฟิลเลอร์งานผิว สามารถคงประสิทธิภาพของผลลัพธ์ได้ยาวนานถึง 6 – 9 เดือน แต่ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และการปฏิบัติตัวหลังฉีด หากต้องการผลลัพธ์ที่ดูสุขภาพดีอย่างต่อเนื่อง สามารถกลับมาฉีดซ้ำได้เมื่อครบกำหนด 

 

Revive ฟิลเลอร์งานผิว เจ็บไหม?

  • การฉีด Revive ฟิลเลอร์งานผิว โดยรวมจะให้ความรู้สึกเจ็บน้อย หรือแทบไม่รู้สึกเจ็บเลย เนื่องจากก่อนฉีดจะมีการแปะยาชา เพื่อลดความรู้สึกเจ็บขณะฉีด จากนั้น แพทย์จะใช้เข็มขนาดเล็กพิเศษในการฉีด จึงไม่ทำให้รู้สึกระคายเคืองผิว และลดความเสี่ยงต่อการบวมช้ำ

 

Revive ฟิลเลอร์งานผิว มีผลข้างเคียงอะไรบ้าง ?

  • หลังฉีด Revive ฟิลเลอร์งานผิว อาจมีผลข้างเคียงเกิดขึ้นเล็กน้อย ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้ว จะเป็นผลข้างเคียงที่ไม่เป็นอันตราย เช่น มีตุ่มนูนเล็ก ๆ หรือมีรอยแดงจากเข็มบริเวณที่ฉีด แต่สำหรับผู้ที่มีผิวช้ำง่าย อาจมีรอยฟกช้ำเกิดขึ้นเล็กน้อยบริเวณที่ฉีด ซึ่งอาการเหล่านี้จะค่อย ๆ ดีขึ้น ภายใน 1 สัปดาห์ 

 

ฟิลเลอร์งานผิว Revive ถือเป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการออกแบบมา เพื่อตอบโจทย์สำหรับผู้ที่ต้องการปรับปรุงคุณภาพผิวโดยเฉพาะ ซึ่งการฉีด Revive เพียง 1 ครั้ง ก็สามารถฟื้นฟูงานผิวได้มากถึง 4 มิติ ทำให้ผิวฉ่ำวาว กระชับ เรียบเนียน และกระจ่างใสจากภายใน โดยจะให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ และไม่ก่อให้เกิดก้อนแข็งหลังฉีด ดังนั้น สำหรับใครที่สนใจการฉีดฟิลเลอร์งานผิว Revive สามารถนัดหมายเข้ามาปรึกษาแพทย์ได้แล้ววันนี้ที่ รมย์รวินท์คลินิก ทุกสาขา เพื่อให้แพทย์วิเคราะห์ปัญหา และออกแบบการรักษาแบบเฉพาะบุคคล ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้มีประสิทธิภาพอย่างแท้จริงค่ะ

 

*ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับบริการ

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯกำหนด

เทคโนโลยียกกระชับหน้า vs โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ อะไรเหมาะกับคุณมากกว่ากัน?

เทคโนโลยียกกระชับหน้า vs โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์

เทคโนโลยียกกระชับหน้า vs โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ อะไรเหมาะกับคุณมากกว่ากัน?

เมื่อวัยที่เพิ่มขึ้นเริ่มส่งสัญญาณผ่านผิวหน้า ไม่ว่าจะเป็นริ้วรอย ความหย่อนคล้อย หรือโครงหน้าที่ไม่ชัดเจนเหมือนเดิม หลายคนจึงเริ่มมองหาวิธีคืนความอ่อนเยาว์ให้ใบหน้า โดยเฉพาะสองทางเลือกยอดนิยมอย่าง การยกกระชับหน้า และ การฉีดโปรแกรมฟิลเลอร์ ที่สามารถช่วยปรับรูปหน้าให้ดูสดใส เต่งตึง และดูอ่อนวัยได้โดยเป็นทางเลือกแบบไม่ผ่าตัด

 

เพราะแม้ว่าทั้งสองวิธีจะช่วยเสริมความมั่นใจให้ใบหน้า แต่เบื้องหลังแล้วแต่ละเทคนิคมีหลักการทำงานแตกต่างกัน รวมถึงผลลัพธ์ ระยะเวลาการเห็นผล และความเหมาะสมกับสภาพผิวในแต่ละช่วงวัยก็ไม่เหมือนกัน 

 

ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปทำความเข้าใจแบบเจาะลึกถึงข้อแตกต่าง ข้อดีข้อเสีย และวิธีเลือกให้เหมาะกับปัญหาผิวและเป้าหมายความงามของคุณ พร้อมคำแนะนำจากแพทย์ เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ และตรงใจที่สุด

 

เทคโนโลยียกกระชับหน้า vs โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ อะไรเหมาะกับคุณมากกว่ากัน?

การดูแลผิวหน้าเพื่อคืนความอ่อนเยาว์ในปัจจุบันมีให้เลือกหลายทางเลือก โดยเฉพาะเทคโนโลยียกกระชับหน้าและโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ ซึ่งให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน แม้เป้าหมายหลักจะคล้ายกัน คือเสริมความมั่นใจ และฟื้นฟูใบหน้าให้ดูสดใสขึ้น

  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยเล็กน้อยถึงปานกลาง เช่น กรอบหน้าไม่ชัด คิ้วตก หรือแก้มห้อย โดยไม่ต้องการผ่าตัด การยกกระชับหน้าจะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ให้ผลลัพธ์แบบดูเป็นธรรมชาติและดูดีขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วง 1–3 เดือนหลังทำ โดยไม่ต้องพักฟื้น
  • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ เหมาะสำหรับผู้ที่มีใบหน้าขาดมิติ มีร่องลึก ใต้ตาลึก หรือคางสั้น ขมับยุบ ซึ่งต้องการเห็นผลลัพธ์ที่รวดเร็วหลังทำครั้งแรก โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ช่วยเติมเต็มจุดบกพร่องของใบหน้า ปรับสมดุลรูปหน้าให้ดูละมุนและอ่อนวัยอย่างดูเป็นธรรมชาติ

ในบางกรณี การใช้ทั้งสองวิธีร่วมกันภายใต้การดูแลของแพทย์ อาจให้ผลลัพธ์ที่ดี เช่น ยกกระชับเพื่อคืนความแน่นกระชับให้ผิว และเสริมฟิลเลอร์ในบางจุดเพื่อเติมเต็มโครงสร้างใบหน้าให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ผลลัพธ์อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับสภาพผิว ปัญหาผิว และปัจจัยอื่น ๆ

 

เข้าใจพื้นฐานก่อนเลือก เทคโนโลยียกกระชับหน้า vs โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์

ปัญหาผิวที่พบเมื่ออายุเพิ่มขึ้น

เมื่ออายุเข้าสู่ช่วง 25 ปีขึ้นไป ร่างกายจะเริ่มผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินน้อยลง ส่งผลให้ผิวเริ่มแสดงสัญญาณแห่งวัยอย่างช้า ๆ โดยเฉพาะในช่วงวัย 30–40 ปีขึ้นไป ซึ่งจะเห็นได้ชัดเจนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น

  • ผิวหน้าหย่อนคล้อย ขาดความกระชับ
  • กรอบหน้าไม่ชัด คางเริ่มหย่อน
  • ริ้วรอยรอบดวงตา หน้าผาก และร่องแก้ม
  • ผิวขาดความยืดหยุ่น ดูเหนื่อยล้า
  • โหนกแก้มดูแบน คางหรือขมับยุบตัว

ปัญหาเหล่านี้ไม่เพียงส่งผลต่อบุคลิกภาพ แต่ยังทำให้ใบหน้าดูมีอายุมากกว่าความเป็นจริง หลายคนจึงเริ่มมองหาวิธีดูแลและแก้ไขอย่างเหมาะสม เพื่อคงความอ่อนเยาว์และความมั่นใจไว้ให้นานที่สุด

 

เป้าหมายหลักของการดูแลผิว

แม้จะมีเป้าหมายเดียวกันคือคืนความอ่อนเยาว์ให้ใบหน้า แต่การดูแลผิวด้วยเทคโนโลยียกกระชับหน้า และ การฉีดโปรแกรมฟิลเลอร์นั้นต่างมีจุดมุ่งหมายที่เฉพาะเจาะจง และเหมาะกับปัญหาผิวต่างกัน

  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า เน้นการกระตุ้นให้ผิวตึงขึ้นจากภายใน ด้วยเทคโนโลยีคลื่นเสียงหรือพลังงานความร้อนที่ลงลึกถึงชั้นผิว เพื่อยกผิวที่หย่อนคล้อยให้กลับมากระชับโดยเป็นทางเลือกแบบไม่ผ่าตัด
  • การฉีดโปรแกรมฟิลเลอร์ มุ่งเติมเต็มในบริเวณที่มีการยุบตัวของชั้นไขมันหรือกระดูก เช่น ใต้ตา ร่องแก้ม ขมับ หรือคาง เพื่อปรับรูปหน้าให้สมส่วนและดูอ่อนวัยอย่างดูเป็นธรรมชาติ

การเลือกวิธีที่เหมาะสมจึงต้องพิจารณาจากปัญหาหลักของผิว เช่น หากผิวเริ่มหย่อนคล้อยชัดเจน เทคโนโลยียกกระชับหน้า อาจตอบโจทย์มากกว่า แต่หากปัญหาหลักคือใบหน้าดูตอบ ยุบ หรือขาดมิติ การฉีดโปรแกรมฟิลเลอร์อาจเป็นทางเลือกที่ใช่กว่า หรือในบางกรณี แพทย์อาจแนะนำให้ทำทั้งสองอย่างควบคู่กัน เพื่อผลลัพธ์ที่สมดุลที่สุด

 

เทคโนโลยียกกระชับหน้าคืออะไร? วิธีคืนความกระชับให้ผิว ทางเลือกแบบไม่ผ่าตัด
เทคโนโลยียกกระชับหน้าคืออะไร? วิธีคืนความกระชับให้ผิว ทางเลือกแบบไม่ผ่าตัด

 

เทคโนโลยียกกระชับหน้าคืออะไร? วิธีคืนความกระชับให้ผิว ทางเลือกแบบไม่ผ่าตัด

กลไกการทำงานของเทคโนโลยียกกระชับหน้า

การยกกระชับหน้าแบบไม่ผ่าตัด เป็นหนึ่งในทางเลือกยอดนิยมสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวให้เต่งตึง โดยไม่ต้องเจ็บตัวหรือพักฟื้นจากการศัลยกรรม วิธีนี้อาศัยเทคโนโลยีสมัยใหม่ในการส่งพลังงานลงลึกสู่ผิวชั้นใน เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ ซึ่งเป็นโครงสร้างสำคัญที่ช่วยให้ผิวยืดหยุ่นและกระชับขึ้นอย่างดูเป็นธรรมชาติ 

ผลลัพธ์ของการยกกระชับหน้า จะค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นในช่วง 1–3 เดือนหลังทำ และสามารถคงผลลัพธ์ได้นาน 6 เดือนถึง 1 ปี ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีที่ใช้ การดูแลหลังทำ และสภาพผิวของแต่ละคน

เทคโนโลยีที่ใช้ในการยกกระชับหน้ามีหลายรูปแบบ โดยแต่ละชนิดจะทำงานแตกต่างกัน เช่น

  • คลื่นเสียงอัลตราซาวนด์แบบโฟกัส — ส่งพลังงานความร้อนลงสู่ชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นเดียวกับที่ศัลยแพทย์ใช้ในการดึงหน้า
  • คลื่นวิทยุความถี่สูง (RF) — ส่งพลังงานเข้าไปกระตุ้นเส้นใยคอลลาเจนในชั้นผิว ให้เกิดการหดตัวและสร้างเส้นใยใหม่

 

เทคโนโลยียอดนิยมในการยกกระชับหน้า

เครื่องยกกระชับหน้าด้วยเทคโนโลยี MFU-V (Microfocused Ultrasound with Visualization) ที่สามารถส่งพลังงานอัลตราซาวนด์ลงสู่ชั้นผิวได้อย่างแม่นยำ โดยมีระบบ Real-Time Visualization ช่วยให้แพทย์มองเห็นระดับชั้นผิวขณะทำการรักษา เพื่อประเมินความลึกและตำแหน่งได้อย่างชัดเจน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่แม่นยำและไม่เสี่ยงอันตรายในระยะยาว

ใช้เทคโนโลยี Micro & Macro Focused Ultrasound ที่สามารถยิงพลังงานได้รวดเร็ว และครอบคลุมทั้งใบหน้าและลำคอ พร้อมหัวมากถึง 7 ระดับความลึก เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับหน้าในเวลาที่รวดเร็ว เจ็บน้อย และไม่ต้องพักฟื้น

เป็นเทคโนโลยี Monopolar Radio Frequency (RF) ส่งพลังงานความร้อนลงสู่ชั้นลึกของผิวเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ช่วยยกกระชับหน้าและปรับโครงสร้างผิวให้เรียบเนียน เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยระดับปานกลางถึงมาก โดยไม่จำเป็นต้องผ่าตัดหรือหยุดพักฟื้น

เทคโนโลยี Fractional RF Microneedling ที่ผสานการใช้คลื่นวิทยุความถี่สูง (RF) กับเข็มไมโครนีดเดิล (Microneedle) สามารถส่งพลังงานลึกถึงชั้นไขมันใต้ผิว ช่วยยกกระชับผิวเฉพาะจุด พร้อมลดเลือนริ้วรอยและปรับผิวให้เรียบเนียน เหมาะสำหรับบริเวณที่บอบบาง เช่น ใต้ตา มุมปาก หรือแนวขากรรไกร

เทคโนโลยี Monopolar RF ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้พลังงานความร้อนอย่างสม่ำเสมอทั่วทั้งชั้นผิว ให้ผลลัพธ์ที่ใกล้เคียงกับโปรแกรม Thermage ในราคาที่เข้าถึงได้มากกว่า และสามารถทำได้บ่อยครั้ง

เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ผสานพลังงาน HIFES (High-Intensity Facial Electrical Stimulation) และ RF (Radio Frequency) เข้าด้วยกัน ช่วยกระตุ้นกล้ามเนื้อใบหน้าและชั้นผิวในคราวเดียวกัน โดยไม่ต้องใช้เข็มหรือสัมผัสโดยตรง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูใบหน้าแบบไม่เจ็บตัว และต้องการผลลัพธ์แบบครบมิติ ทั้งยกกระชับหน้าและเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ

 

โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์คืออะไร? เติมเต็มผิวแบบเร่งด่วนเพื่อความอ่อนเยาว์
โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์คืออะไร? เติมเต็มผิวแบบเร่งด่วนเพื่อความอ่อนเยาว์

 

โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์คืออะไร? เติมเต็มผิวแบบเร่งด่วนเพื่อความอ่อนเยาว์

โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ทำงานอย่างไร

โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ คือสารเติมเต็มที่นำมาใช้ฉีดเข้าสู่ชั้นผิวหรือใต้ผิวหนัง เพื่อแก้ไขปัญหาร่องลึก ปรับรูปหน้า และฟื้นฟูความอ่อนเยาว์ โดยมากนิยมใช้ กรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid หรือ HA) ซึ่งเป็นสารที่พบได้ตามธรรมชาติในร่างกายมนุษย์ มีคุณสมบัติในการอุ้มน้ำสูง ช่วยให้ผิวดูชุ่มชื้นและเต่งตึง

เมื่อฉีดโปรแกรมฟิลเลอร์เข้าไปในจุดที่มีการยุบตัวหรือขาดมิติ เช่น ใต้ตา ร่องแก้ม หรือคาง สารโปรแกรมฟิลเลอร์จะช่วยเติมเต็มพื้นที่นั้น ให้ดูอวบอิ่มขึ้นอย่างดูเป็นธรรมชาติ และช่วยปรับรูปหน้าให้ดูสมดุลมากยิ่งขึ้น โดยเป็นทางเลือกแบบไม่ผ่าตัดหรือพักฟื้น

 

ประเภทของโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ และอายุการคงอยู่

โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์มีหลากหลายประเภท ซึ่งแตกต่างกันตามคุณสมบัติ ความหนาแน่น และระยะเวลาการคงตัว โดยสามารถแบ่งประเภทได้ตามลักษณะการใช้งานหลัก ๆ ดังนี้

  • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เนื้อนุ่ม เหมาะสำหรับบริเวณผิวบาง เช่น ใต้ตา หรือริมฝีปาก เน้นความเรียบเนียนดูเป็นธรรมชาติ
  • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เนื้อปานกลาง ใช้กับร่องลึก เช่น ร่องแก้ม หรือขมับ เพื่อเพิ่มวอลลุ่มและความอิ่มฟู
  • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เนื้อแน่น เหมาะสำหรับการปรับโครงสร้างใบหน้า เช่น คาง หรือกรอบหน้า ต้องการความคงรูปและยกกระชับหน้า

อายุของโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ ส่วนใหญ่อยู่ได้ประมาณ 6 เดือนถึง 18 เดือน ขึ้นอยู่กับชนิดของโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ พื้นที่ที่ฉีด การดูแลหลังทำ และการตอบสนองของร่างกายแต่ละบุคคล

 

สำหรับโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์คุณภาพสูงที่ผ่านอย. ไทย เช่น โปรแกรม Juvederm, โปรแกรม Restylane, โปรแกรม Belotero, โปรแกรม Neuramis ล้วนได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง เนื่องจากให้ผลลัพธ์ที่สวยงามและไม่อันตรายเมื่อนำมาใช้โดยแพทย์ประจำคลินิก

 

โปรแกรมยกกระชับหน้า vs โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ ต่างกันอย่างไร?
โปรแกรมยกกระชับหน้า vs โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ ต่างกันอย่างไร?

 

โปรแกรมยกกระชับหน้า vs โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ ต่างกันอย่างไร?

การฟื้นฟูผิวหน้าให้กลับมาเต่งตึงและดูอ่อนเยาว์ มีทางเลือกที่ได้รับความนิยมอยู่สองวิธีหลัก ๆ ได้แก่ การยกกระชับหน้า และ การฉีดโปรแกรมฟิลเลอร์ ทั้งสองวิธีนี้แม้จะให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน แต่มีเป้าหมายร่วมกันคือช่วยยกกระชับปรับรูปหน้า แก้ปัญหาริ้วรอย หรือความหย่อนคล้อยให้ดูดีขึ้นและดูเป็นธรรมชาติ โดยไม่ต้องใช้การผ่าตัด

เปรียบเทียบด้านกลไกการทำงาน ผลลัพธ์ และระยะเวลา

  • การยกกระชับหน้า เป็นการใช้เทคโนโลยีที่อาศัยพลังงาน เช่น คลื่นอัลตราซาวนด์ (HIFU), คลื่นวิทยุความถี่สูง (RF) เพื่อส่งผ่านความร้อนลงไปยังชั้นผิวลึก กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้ผิวที่หย่อนคล้อยยกกระชับขึ้น และแลดูเรียบเนียนยิ่งขึ้น ผลลัพธ์จะค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นภายใน 1–3 เดือน และคงอยู่ได้ประมาณ 6 เดือนถึง 1 ปี ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีที่เลือกและสภาพผิวของแต่ละบุคคล
  • ในขณะที่โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ จะเน้นการเติมเต็มในจุดที่ใบหน้าขาดมิติ เช่น ร่องแก้ม ใต้ตา คาง หรือขมับ โดยการฉีดสาร Hyaluronic Acid (HA) เข้าไปยังบริเวณที่มีปัญหา โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์จะช่วยเพิ่มวอลลุ่มให้ใบหน้าได้ทันทีหลังทำ และเห็นผลชัดเจนขึ้นภายใน 1–2 สัปดาห์ ผลลัพธ์โดยทั่วไปจะอยู่ได้นานประมาณ 6–18 เดือน ขึ้นกับชนิดของโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์และบริเวณที่ฉีด

 

ความรู้สึกขณะทำ และการพักฟื้น

  • การยกกระชับหน้า มักทำให้รู้สึกอุ่น ๆ หรือมีความรู้สึกตึง ๆ ที่ใต้ผิว โดยเฉพาะบริเวณที่ผิวบางหรืออยู่ใกล้กระดูก ความรู้สึกขณะทำขึ้นอยู่กับชนิดของเครื่องที่ใช้ แต่โดยทั่วไปถือว่าอยู่ในระดับที่ทนได้โดยไม่ต้องพักฟื้น หลังทำสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติทันที
  • การฉีดโปรแกรมฟิลเลอร์ จะมีการใช้เข็มขนาดเล็กฉีดสารเข้าไปในชั้นผิว ซึ่งอาจทำให้รู้สึกเจ็บเล็กน้อยในระหว่างทำ โดยเฉพาะในบริเวณผิวบาง แพทย์มักใช้ยาชาหรือโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ที่มีสารลดความเจ็บร่วมด้วย หลังฉีดอาจมีอาการบวม แดง หรือรอยเข็มเล็กน้อยซึ่งมักจะหายไปใน 1–3 วัน

 

ความเสี่ยงและผลข้างเคียงที่ควรพิจารณา

  • การยกกระชับหน้า มีความเสี่ยงต่ำเมื่อทำโดยแพทย์ ผลข้างเคียงที่อาจพบได้ เช่น ผิวแดงเล็กน้อย รู้สึกตึงหรือระบม ซึ่งมักหายได้เองภายในไม่กี่วัน อย่างไรก็ตาม หากพลังงานถูกส่งลึกผิดตำแหน่ง อาจเกิดอาการชาหรือรู้สึกไม่สบายผิวได้ จึงควรทำโดยแพทย์เท่านั้น
  • ในขณะที่โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ หากใช้สารที่ผ่าน อย. และทำโดยแพทย์ ถือว่าไม่เสี่ยงอันตราย อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่ การบวม ฟกช้ำ หรือในกรณีที่ฉีดผิดตำแหน่ง อาจเสี่ยงต่อการอุดตันของหลอดเลือด ซึ่งเป็นภาวะที่ต้องได้รับการดูแลทันที

 

เทคโนโลยียกกระชับหน้า vs โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ ช่วยอะไรบ้าง?
เทคโนโลยียกกระชับหน้า vs โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ ช่วยอะไรบ้าง?

 

เทคโนโลยียกกระชับหน้า vs โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ ช่วยอะไรบ้าง?

เทคโนโลยียกกระชับหน้า

  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า ช่วยยกกระชับผิวหน้าโดยรวม
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า เก็บกรอบหน้าให้ชัดขึ้น
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า ยกคิ้ว ยกหางตา แก้ปัญหาหนังตาตก
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า ลดความหย่อนคล้อยของแก้ม คาง และลำคอ
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้ผิวแน่นขึ้น
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า ชะลอความเสื่อมของผิวโดยไม่ต้องผ่าตัด
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า ยกกระชับปรับรูปหน้าโดยไม่ต้องศัลยกรรม
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า ช่วยให้ใบหน้าดูสดใส ไม่โทรม
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า ลดขนาดรูขุมขนและความมัน
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า เพิ่มความมั่นใจให้รูปหน้าทุกมุม

 

โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์

  • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ เติมเต็มใต้ตาลึกให้ดูสดใสขึ้น
  • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ ลดความลึกของร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก
  • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ ปรับรูปคางให้ยาวและเล็กลงอย่างสมส่วน
  • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ เสริมขมับหรือแก้มตอบให้ดูละมุนขึ้น
  • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ ปรับรูปทรงริมฝีปากให้อวบอิ่มและชัดเจนขึ้น
  • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ ทำให้รูปหน้าโดยรวมดูละมุนขึ้นโดยไม่ต้องผ่าตัด
  • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ แก้ปัญหาใบหน้าไม่เท่ากัน ทำให้ได้สมมาตรขึ้น
  • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ ช่วยให้หน้าเด็กลงแบบดูเป็นธรรมชาติ
  • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ ทำให้ภาพรวมของใบหน้าดูดีมากยิ่งขึ้น

 

เทคโนโลยียกกระชับหน้า vs โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ เหมาะกับใคร?
เทคโนโลยียกกระชับหน้า vs โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ เหมาะกับใคร?

 

เทคโนโลยียกกระชับหน้า vs โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ เหมาะกับใคร?

เทคโนโลยียกกระชับหน้า

  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวเริ่มหย่อนคล้อยเล็กน้อยถึงปานกลาง
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหากรอบหน้าไม่ชัด คิ้วตก แก้มห้อย
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวเริ่มหย่อนคล้อย โดยเฉพาะบริเวณกรอบหน้า แก้ม คาง
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหารูขุมขนกว้าง ผิวขาดความแน่น และดูไม่เรียบเนียน
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวดูเหนื่อยล้า ไม่สดใส แม้ไม่มีร่องลึกชัดเจน
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์แบบ ยกกระชับทั่วใบหน้า
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูใบหน้าแบบไม่ต้องผ่าตัด
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่อยากผ่าตัด หรือไม่มีเวลาพักฟื้น
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ชอบการเติมสารเข้าไปในผิว เช่น โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์

 

โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์

  • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาใต้ตาลึก หมองคล้ำ มีร่องชัด ทำให้ดูโทรม
  • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาแก้มตอบ หน้าตอบ ขมับยุบ ใบหน้าไม่สมดุล
  • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาคางสั้น คางตัด อยากปรับรูปหน้าให้เรียวยาว
  • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาหน้าผากแบน ริมฝีปากบาง หรือรูปหน้าขาดความละมุน
  • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ เหมาะสำหรับผู้ที่มีร่องลึกหรือริ้วรอยเฉพาะจุด เช่น ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก ใต้ตา 
  • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ เหมาะสำหรับผู้ที่ใบหน้าขาดความนูนสมดุล ทำให้หน้าดูแข็ง หรือโทรมกว่าวัย
  • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเห็นผลลัพธ์หลังทำโดยใช้ระเวลาสั้น
  • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาจำกัด ต้องการปรับรูปหน้าในระยะเวลาอันสั้น
  • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูจุดเดียวแบบเฉพาะเจาะจง ไม่เน้นทั่วหน้า
  • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเสริมภาพลักษณ์ให้ตรงตามตำราโบราณ

 

หมายเหตุ:

ผลลัพธ์ที่ได้จากการทำเทคโนโลยียกกระชับหน้าหรือการฉีดโปรแกรมฟิลเลอร์ อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับสภาพผิว โครงสร้างใบหน้า อายุ การตอบสนองของร่างกาย และคำแนะนำทางการแพทย์

 

เทคโนโลยียกกระชับหน้า vs โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ ไม่เหมาะกับใคร?

เทคโนโลยียกกระชับหน้า

  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยมากเกินระดับที่เทคโนโลยีสามารถแก้ไขได้
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ตั้งครรภ์ หรืออยู่ในระหว่างให้นมบุตร ควรหลีกเลี่ยงการใช้พลังงานคลื่นความร้อน
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีโรคผิวหนังในบริเวณที่จะทำ เช่น ผื่น แผลติดเชื้อ หรือโรคเรื้อรังที่ควบคุมไม่ได้
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีอุปกรณ์ฝังในร่างกายบางชนิด เช่น เครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemaker) หรือโลหะฝังใต้ผิว
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์แบบทันทีทันใด
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวบางมาก หรือผิวไวต่อความร้อน 
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีใบหน้าตอบ หรือใบหน้าผอมมาก
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีที่มีไขมันหน้าส่วนล่างเยอะมาก
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีผู้ที่มีภาวะผิวไวต่อแสงหรือความร้อน เช่น โรค SLE หรือผิวแพ้ง่ายรุนแรง
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวบางประเภท เช่น โรคผิวหนังอักเสบ 

 

โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์

  • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีประวัติแพ้สาร Hyaluronic Acid หรือสารที่ใช้ในโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์
  • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
  • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวบริเวณที่จะฉีด เช่น ติดเชื้อ มีแผลอักเสบ หรือเป็นสิวอักเสบรุนแรง
  • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะเลือดออกง่าย หรือรับประทานยาละลายลิ่มเลือด ควรแจ้งแพทย์ก่อนทุกครั้ง
  • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เคยฉีดฟิลเลอร์แล้วเกิดภาวะแทรกซ้อนมาก่อน เช่น ติดเชื้อ เป็นก้อน หรืออุดตันเส้นเลือด
  • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีโครงหน้าซับซ้อน หรือปัญหาจากการฉีดซ้ำซ้อนหลายจุด
  • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีพฤติกรรมฉีดบ่อยเกินจำเป็น
  • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวบางชั้นตื้นเกินไปในบางจุด
  • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัวควบคุมไม่ดี เช่น เบาหวานขั้นสูง, ความดัน, โรคหัวใจ
  • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่อยู่ระหว่างการรักษาภูมิแพ้ หรือแพทย์ให้หยุดยาชั่วคราวไม่ได้

คำแนะนำ:

ผลลัพธ์จากการทำเทคโนโลยียกกระชับหน้าหรือฉีดโปรแกรมฟิลเลอร์ อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายด้าน เช่น โครงสร้างใบหน้า อายุ สภาพผิว การดูแลตนเอง และดุลยพินิจของแพทย์

ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับบริการทุกครั้ง เพื่อประเมินความเหมาะสม ความเสี่ยง และทางเลือกที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคุณ

 

เทคโนโลยียกกระชับหน้า vs โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ มีข้อดีอะไรบ้าง?

ข้อดีของเทคโนโลยียกกระชับหน้า

  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า ไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีแผล ไม่ต้องพักฟื้น
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนจากภายใน
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า ให้ผลลัพธ์ระยะยาว
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า เหมาะกับผู้ที่เริ่มมีปัญหาผิวหย่อนคล้อย
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า ช่วยเรื่องผิวเนียน รูขุมขน และความมันร่วมด้วย
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า ช่วยชะลอการเสื่อมของผิวในระยะยาว
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า ใบหน้าเรียบและอ่อนเยาว์มากขึ้น
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า ไม่มีการใส่สารแปลกปลอมเข้าไปในผิว
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า ทำเป็นประจำช่วยรักษารูปหน้าเดิมไว้ได้นานขึ้น
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า มีหลายระดับพลังงานให้เลือกตามสภาพผิว

 

ข้อดีของโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์

  • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ เห็นผลลัพธ์ได้อย่างชัดเจนหลังทำครั้งแรก
  • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ ช่วยเติมเต็มใบหน้าให้ดูอ่อนเยาว์และละมุนขึ้น
  • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ สามารถออกแบบการรักษาแบบเฉพาะบุคคลได้
  • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ ใช้เวลาทำน้อย ไม่ต้องพักฟื้น
  • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ สามารถสลายเองได้ตามธรรมชาติ
  • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ เหมาะกับผู้ที่มีร่องลึกหรือใบหน้าขาดวอลลุ่มอย่างชัดเจน
  • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ ช่วยเสริมบุคลิกภาพ ให้หน้าดูสดใสขึ้นอย่างดูเป็นธรรมชาติ
  • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ เป็นการแก้ไขที่ตรงจุด โดยไม่ต้องทำทั้งใบหน้า

 

เทคโนโลยียกกระชับหน้า vs โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ ทำบริเวณใดได้บ้าง?

เทคโนโลยียกกระชับหน้า

  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า สามารถทำบริเวณกรอบหน้า ช่วยให้แนวกรอบหน้าคมชัดขึ้น
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า สามารถทำบริเวณแก้ม ยกผิวที่หย่อนให้ดูเฟิร์มกระชับขึ้น
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า สามารถทำบริเวณใต้คางและเหนียง ลดไขมันสะสมใต้คาง
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า สามารถทำบริเวณหางตาและหางคิ้ว ช่วยยกหางตาให้ดูสดใสขึ้น
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า สามารถทำบริเวณใต้ตาได้ ช่วยลดความหย่อนคล้อย
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า สามารถทำบริเวณหน้าผากและระหว่างคิ้ว ช่วยลดความหย่อนของผิวบริเวณหน้าผาก
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า สามารถทำบริเวณรอบปากและมุมปาก ยกมุมปากให้ดูยิ้มละมุน
  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า สามารถทำบริเวณลำคอ ปรับผิวให้เรียบขึ้น กระชับผิวบริเวณลำคอที่หย่อนคล้อย

 

โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์

  • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ สามารถทำบริเวณใต้ตา ช่วยให้ใต้ตาดูสดใส อิ่มฟู
  • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ สามารถทำบริเวณร่องแก้ม คืนความอ่อนเยาว์ให้ใบหน้า
  • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ สามารถทำบริเวณมุมปาก ยกมุมปากตกให้ดูยิ้มละมุน
  • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ สามารถทำบริเวณขมับ เติมเต็มขมับ ช่วยให้ใบหน้าดูสมดุลมากขึ้น
  • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ สามารถทำบริเวณแก้ม เติมแก้มตอบให้ดูอ่อนวัย
  • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ สามารถทำบริเวณคาง เสริมคางให้เรียวยาวขึ้นตามแนวใบหน้า
  • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ สามารถทำบริเวณหน้าผาก ช่วยเสริมมิติใบหน้าให้ดูละมุนขึ้น
  • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ สามารถทำบริเวณริมฝีปาก ปรับทรงปากให้ดูคมชัด ดูเป็นธรรมชาติ

 

เทคโนโลยียกกระชับหน้า vs โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ เตรียมตัวก่อนทำอย่างไร?

การเตรียมตัวก่อนทำเทคโนโลยียกกระชับหน้า

  • ก่อนทำเทคโนโลยียกกระชับหน้า ควรพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อย 6–8 ชั่วโมงก่อนวันนัด
  • ก่อนทำเทคโนโลยียกกระชับหน้า ควรดื่มน้ำให้เพียงพอต่อวัน เพื่อรักษาความชุ่มชื้นของผิว
  • ก่อนทำเทคโนโลยียกกระชับหน้า ควรแจ้งแพทย์ทุกครั้งหากมีโรคประจำตัว หรือกำลังใช้ยา วิตามิน หรืออาหารเสริมใด ๆ อยู่
  • ก่อนทำเทคโนโลยียกกระชับหน้า หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 1 วัน
  • ก่อนทำเทคโนโลยียกกระชับหน้า หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่มีสารผลัดเซลล์หรือไวต่อแสง
  • ก่อนทำเทคโนโลยียกกระชับหน้า งดการใช้ยาที่อาจมีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน วิตามินอี โสม น้ำมันปลา หรืออาหารเสริมอื่น ๆ อย่างน้อย 7 วัน
  • ก่อนทำเทคโนโลยียกกระชับหน้า งดกิจกรรมที่อาจทำให้ผิวบอบบางลง เช่น การขัดผิว สครับ หรือใช้กรดผลัดเซลล์

 

การเตรียมตัวก่อนทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์

  • ก่อนทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ หลีกเลี่ยงยาในกลุ่มแอสไพริน และยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ 7-14 วัน
  • ก่อนทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ หลีกเลี่ยงการแต่งหน้า โดยเฉพาะในบริเวณที่จะทำหัตถการ
  • ก่อนทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ หลีกเลี่ยงการอบไอน้ำ ซาวน่า หรือกิจกรรมที่ทำให้ร่างกายร้อนจัด
  • ก่อนทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ งดการผลัดเซลล์ผิว การแว็กซ์ หรือโกนขนในบริเวณที่วางแผนจะฉีด
  • ก่อนทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ งดรับประทานอาหารเสริมที่อาจส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด
  • ก่อนทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ งดการสูบบุหรี่และแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 24 ชั่วโมง
  • ก่อนทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ งดออกกำลังกายหนัก เช่น วิ่ง หรือ เวทเทรนนิ่ง อย่างน้อย 24 ชั่วโมง

 

เทคโนโลยียกกระชับหน้า vs โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ มีขั้นตอนการทำอย่างไรบ้าง?

ขั้นตอนการทำเทคโนโลยียกกระชับหน้า

  1. แพทย์จะทำการประเมินสภาพผิว โครงสร้างใบหน้า รวมถึงระดับความหย่อนคล้อยของแต่ละบุคคล
  2. เจ้าหน้าที่จะทำความสะอาดใบหน้าอย่างอ่อนโยนเพื่อลบคราบเครื่องสำอางและสิ่งสกปรก
  3. ทำการแปะยาชาเฉพาะจุดบริเวณที่ต้องการรักษา ทิ้งไว้ประมาณ 30–60 นาที
  4. แพทย์จะใช้หัวเครื่องยิงพลังงาน โดยลงลึกถึงชั้นลึกของผิวหน้า ขั้นตอนนี้ใช้เวลาประมาณ 45–60 นาที โดยขึ้นอยู่กับจำนวนไลน์และบริเวณที่ทำการรักษา
  5. หลังทำเสร็จทันที ผู้เข้ารับบริการจะสังเกตได้ว่าผิวตึงกระชับขึ้นในระดับหนึ่ง

 

ขั้นตอนการทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์

  1. แพทย์จะทำการประเมินสภาพผิว ปัญหาร่องลึก หรือบริเวณที่ใบหน้าเกิดการยุบตัว เพื่อกำหนดแนวทางการเติมเต็มให้เหมาะสม
  2. ทำความสะอาดบริเวณที่จะทำหัตถการอย่างเหมาะสม เพื่อป้องกันการปนเปื้อนและลดความเสี่ยงของการติดเชื้อ
  3. แพทย์หรือผู้ช่วยจะทำการแปะยาชาหรือประคบน้ำแข็งก่อนฉีด เพื่อช่วยลดอาการเจ็บ
  4. แพทย์จะฉีดโปรแกรมฟิลเลอร์เข้าไปยังตำแหน่งที่ได้วางแผนไว้ล่วงหน้า โดยเลือกเทคนิคการฉีดที่เหมาะกับแต่ละจุด เพื่อให้สารเติมเต็มกระจายตัวอย่างเรียบเนียนและดูเป็นธรรมชาติ
  5. หลังจากฉีดเสร็จ แพทย์จะทำการแนะนำวิธีการดูแลตัวเองหลังทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์
  6. แพทย์อาจนัดผู้รับบริการกลับมาตรวจติดตามหลังจากฉีด เพื่อประเมินความเข้าที่ของโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ และตรวจสอบว่าผลลัพธ์เป็นไปตามที่คาดหวัง

 

หมายเหตุ:
ผลลัพธ์จากการทำเทคโนโลยียกกระชับหน้าและการฉีดโปรแกรมฟิลเลอร์ อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับสภาพผิว โครงสร้างใบหน้า การดูแลหลังทำ และปัจจัยสุขภาพอื่น ๆ ทั้งนี้ควรดำเนินการโดยแพทย์ที่มีใบประกอบวิชาชีพและมีประสบการณ์ เพื่อผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ

 

เทคโนโลยียกกระชับหน้า vs โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ ดูแลตัวเองหลังทำอย่างไร?

การดูแลตัวเองหลังทำเทคโนโลยียกกระชับหน้า

  • หลังทำเทคโนโลยียกกระชับหน้า งดการทำกิจกรรมที่ทำให้ผิวได้รับความร้อนสูง เช่น การอบซาวน่า แช่น้ำร้อน หรืออบไอน้ำ 1-2 สัปดาห์
  • หลังทำเทคโนโลยียกกระชับหน้า งดการทำเลเซอร์ หรือทรีตเมนต์ที่มีผลกระทบลึกถึงชั้นผิว อย่างน้อย 4 สัปดาห์
  • หลังทำเทคโนโลยียกกระชับหน้า หลีกเลี่ยงการนวดหน้า การเกาหรือกดแรง ๆ ในบริเวณที่ทำ 
  • หลังทำเทคโนโลยียกกระชับหน้า ควรใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 50 PA+++ ทุกครั้งก่อนออกจากบ้าน
  • หลังทำเทคโนโลยียกกระชับหน้า ควรดื่มน้ำมาก ๆ และพักผ่อนให้เพียงพอ

 

การดูแลตัวเองหลังทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์

  • หลังทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ หลีกเลี่ยงการจับ นวด หรือกดทับบริเวณที่ได้รับการฉีด
  • หลังทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ หลีกเลี่ยงอาหารรสเผ็ดหรือเค็มจัดในช่วงวันแรก
  • หลังทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ หลีกเลี่ยงการแต่งหน้าหรือใช้เครื่องสำอางใกล้บริเวณที่ฉีดเป็นเวลา อย่างน้อย 6 ชั่วโมง
  • หลังทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ หลีกเลี่ยงความร้อนสูง เช่น การอบซาวน่า แช่น้ำร้อน หรือทรีตเมนต์ความร้อนทุกชนิด อย่างน้อย 2 สัปดาห์
  • หลังทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ หลีกเลี่ยงการนอนในท่าที่กดทับบริเวณที่ฉีด เช่น นอนตะแคงหรือนอนคว่ำในช่วง 2–3 คืนแรก
  • หลังทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ งดถูหรือกดแรง ๆ บริเวณที่ฉีด โดยเฉพาะจุดที่มีผิวบาง
  • หลังทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ งดกิจกรรมที่เพิ่มอุณหภูมิร่างกาย เช่น ออกกำลังกายหนัก วิ่ง หรือเวทเทรนนิ่ง
  • หลังทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 
  • หลังทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ ควรดื่มน้ำให้มากกว่าปกติ ประมาณ 8–10 แก้วต่อวัน เพื่อช่วยให้ฟิลเลอร์ดูอิ่มฟูเต็มที่
  • หลังทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ ควรพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวได้อย่างสมบูรณ์

 

รวมคำถามที่พบบ่อย เทคโนโลยียกกระชับหน้า vs โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์

เทคโนโลยียกกระชับหน้ากับโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ ต่างกันอย่างไร?

  • เทคโนโลยียกกระชับหน้าใช้พลังงานลงลึกถึงชั้นผิว เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและยกผิวที่หย่อนคล้อยให้ตึงขึ้นแบบดูเป็นธรรมชาติ โดยไม่ต้องเติมสารใดเข้าไป
  • ในขณะที่โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เป็นสารเติมเต็ม (เช่น Hyaluronic Acid) ที่ฉีดเข้าไปยังจุดที่ใบหน้าขาดวอลลุ่มหรือมีร่องลึก เพื่อปรับรูปทรงของใบหน้าให้สมดุล และดูอ่อนเยาว์ขึ้นทันที

 

ใบหน้าแบบไหนควรทำเทคโนโลยียกกระชับหน้า? แบบไหนควรฉีดโปรแกรมฟิลเลอร์?

  • หากมีปัญหาผิวหย่อนคล้อย กรอบหน้าไม่ชัด หรือเริ่มเห็นสัญญาณของความเสื่อมผิวตามวัย เหมาะกับเทคโนโลยียกกระชับหน้า แต่ถ้าใบหน้าตอบ มีร่องลึก ใต้ตาคล้ำ หรือคางสั้น ขมับยุบ โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์จะเหมาะกว่าในการเติมเต็มจุดที่ขาดวอลลุ่ม บางกรณีอาจใช้ทั้งสองวิธีร่วมกัน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ครบถ้วนยิ่งขึ้น

 

เทคโนโลยียกกระชับหน้ากับโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ อะไรเห็นผลเร็วกว่า?

  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า จะเริ่มเห็นผลประมาณ 20–30% ทันที และผลจะชัดเจนมากขึ้นภายใน 1–3 เดือน
  • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ สามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ในวันเดียว

 

ผลลัพธ์จากเทคโนโลยียกกระชับหน้ากับโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ อยู่ได้นานแค่ไหน?

  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า อยู่ได้นานประมาณ 6–12 เดือน ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีและสภาพผิว
  • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ อยู่ได้นาน 6–18 เดือน ขึ้นอยู่กับชนิดของโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์และบริเวณที่ฉีด

 

สามารถทำเทคโนโลยียกกระชับหน้าและโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ พร้อมกันได้ไหม?

  • สามารถทำได้ในบางเคส โดยต้องผ่านการประเมินจากแพทย์ โดยทั่วไปแนะนำให้ทำเทคโนโลยียกกระชับหน้าก่อน แล้วจึงเติมโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ เพื่อให้ผิวอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมก่อนจะเติมวอลลุ่มเข้าไป

 

ควรเริ่มทำเทคโนโลยียกกระชับหน้าหรือโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ เมื่ออายุเท่าไร?

  • เทคโนโลยียกกระชับหน้า สามารถเริ่มได้ตั้งแต่อายุ 28–30 ปีขึ้นไป ในกลุ่มที่เริ่มมีปัญหาผิวคล้อยจากวัยหรือพฤติกรรม
  • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาใบหน้าแบน ตอบ ร่องลึก แม้อายุยังไม่มาก 

 

เทคโนโลยียกกระชับหน้าและโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ ต่างก็เป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพในการฟื้นฟูใบหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ขึ้น โดยแต่ละวิธีมีจุดเด่นและเหมาะสมกับปัญหาที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นการยกผิวที่หย่อนคล้อยให้กระชับขึ้นอย่างดูเป็นธรรมชาติ หรือการเติมเต็มจุดบกพร่องให้ใบหน้าได้สัดส่วน และดูละมุนขึ้นทันที

 

สิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่การเลือกเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่คือการเลือกให้เหมาะกับใบหน้าของเรา

เพราะทุกใบหน้ามีปัญหาเฉพาะจุด โครงสร้างผิว และความต้องการที่ไม่เหมือนกัน การได้รับการประเมินจากแพทย์จะช่วยวางแผนการดูแลที่ตรงจุดและได้ผลลัพธ์ดีในระยะยาว

 

ไม่ว่าจะเลือกเทคโนโลยียกกระชับหน้า ฉีดโปรแกรมฟิลเลอร์ หรือทำร่วมกัน การดูแลตัวเองก่อนและหลังทำอย่างถูกต้อง รวมถึงความเข้าใจในผลลัพธ์ที่ค่อยเป็นค่อยไป ล้วนมีผลต่อความสวยที่ดูเป็นธรรมชาติ และมั่นใจได้ในทุกมิติ

ไหม MINT Lift ไหมยกกระชับ ที่มอบผลลัพธ์การยกกระชับได้อย่างน่าพึงพอใจ

ไหม MINT Lift

ไหม MINT Lift ไหมยกกระชับ ที่มอบผลลัพธ์การยกกระชับได้อย่างน่าพึงพอใจ

 

ไหมมิ้นท์ (Mint Thread Lift) คืออะไร?

โปรแกรมร้อยไหมมิ้นท์ (Mint Thread Lift) คือเทคโนโลยีการร้อยไหมเพื่อยกกระชับผิวหน้าที่ได้รับความนิยมอย่างมากในยุคปัจจุบัน ไหมมิ้นท์หรือ MINT Lift ที่มีลักษณะในความเป็นไหมชนิดพิเศษคือเป็น “ไหมเงี่ยง 360 องศา” ซึ่งช่วยเกี่ยวชั้นผิวและดึงกระชับผิวหน้าให้มีความตึงและกระชับได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ไหม MINT Lift ได้รับการออกแบบให้สามารถยกกระชับผิวหน้าที่มีความหย่อนคล้อยได้ทันทีหลังทำ อีกทั้งไหม MINT Lift ยังช่วยในการกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนในระยะยาว จึงช่วยให้ผิวหน้าทั้งดูเต่งตึง กระชับได้โดยไม่ต้องผ่าตัด เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเห็นผลลัพธ์รวดเร็ว และมีเวลาพักฟื้นจำกัด

 

หลักการทำงานของไหมมิ้นท์
หลักการทำงานของไหมมิ้นท์

 

หลักการทำงานของไหม MINT Lift ไหมมิ้นท์

ไหม MINT Lift มีลักษณะเป็นเส้นไหมละลายที่มีเงี่ยงรอบทิศทาง (360 องศา) ทำให้สามารถเกี่ยวเนื้อเยื่อผิวหนังได้มั่นคง เมื่อทำการร้อยไหมเข้าไปใต้ชั้นผิวหนัง เงี่ยงของไหม MINT Lift จะยึดจับชั้น SMAS (Superficial Muscular Aponeurotic System) ซึ่งเป็นผิวหนังชั้นที่ศัลยแพทย์ใช้ในการผ่าตัดดึงหน้า

 

ไหม MINT Lift
ไหม MINT Lift

 

การดึงไหม MINT Lift จะทำให้ผิวหน้าที่หย่อนคล้อยถูกยกกระชับขึ้นอย่างเห็นได้ชัดหลังจากทำเสร็จ อีกทั้งเส้นไหมยังทำหน้าที่ในการกระตุ้นให้ร่างกายเกิดการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินขึ้นมาใหม่ใต้ชั้นผิว ซึ่งทำให้ผิวมีความยืดหยุ่นและตึงกระชับในบริเวณที่ทำการร้อยไหม MINT Lift อีกด้วย

 

ไหม MINT Lift มีรุ่นอะไรบ้าง แต่ละรุ่นต่างกันยังไง

ไหม MINT Lift รุ่น FINE

ไหม MINT Lift รุ่น FINE เป็นไหมที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ต่อผู้ที่มีผิวบอบบาง รวมทั้งในผู้ที่ต้องการยกกระชับผิวหน้าแบบนุ่มนวลโดยไม่ต้องใช้เทคนิคที่ซับซ้อนเกินไป แต่ยังคงให้ผลลัพธ์ที่เป็นที่น่าพึงพอใจ และไม่เสี่ยงต่ออันตรายต่อ

 

จุดเด่นของไหม MINT Lift รุ่น FINE

  • ไหม MINT Lift รุ่น FINE ออกแบบมาเพื่อป้องกันการฟกช้ำ 

โครงสร้างของไหมรุ่นนี้มีถูกออกแบบมาเพื่อให้ลดโอกาสการเกิดอาการฟกช้ำ รวมทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงต่อการกระทบกระเทือนในระบบเส้นประสาทได้เป็นอย่างดี เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีผิวบาง หรือผิวที่ไวต่อการระคายเคือง

 

  • ไหม MINT Lift รุ่น FINE  ไหมมีความบาง และยืดหยุ่นสูง

เส้นไหมถูกออกแบบมาให้มีความบางเป็นพิเศษ จึงทำให้สามารถสอดเส้นไหม MINT Lift รุ่น FINE  สามารถเข้าสู่ใต้ผิวหนังได้ง่าย และสามารถยึดเกี่ยวผิวหนังได้เป็นอย่างดี ด้วยเทคนิค Anchoring แบบ Tie Technique ซึ่งช่วยให้ผลการยกกระชับของไหม MINT Lift รุ่น FINE นั้นดูมีความเป็นธรรมชาติ ไม่เป็นก้อนหรือแข็งตึง

 

  • MINT Lift รุ่น FINE สามารถตอบสนองต่อหัตถการได้หลากหลาย

เนื่องจากไหม MINT Lift รุ่น FINE มีโครงสร้างไหมที่มีความยืดหยุ่นและเบา บาง จึงสามารถทำให้ใช้ในการประยุกต์ร่วมกับหัตถการอื่นๆได้เป็นอย่างดี  อีกทั้งยังสามารถตอบสนองกับผิวที่มีร่องลึกหรือความไม่สม่ำเสมอของผิวได้เป็นอย่างดี

 

ไหม MINT Lift รุ่น FINE เหมาะกับใคร?

  • ไหม MINT Lift รุ่น FINE เหมาะกับผู้ที่มีผิวบาง ผิวไว หรือมีประวัติฟกช้ำง่าย
  • ไหม MINT Lift รุ่น FINE เหมาะกับผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าเล็กน้อย โดยไม่ต้องการยกกระชับอย่างหนัก
  • ไหม MINT Lift รุ่น FINE เหมาะกับผู้ที่เริ่มต้นร้อยไหมครั้งแรก หรือมีความกังวลเรื่องความรู้สึกเจ็บ
  • ไหม MINT Lift รุ่น FINE เหมาะกับ ผู้ที่ต้องการหัตถการที่ปลอดภัย ฟื้นตัวเร็ว และไม่ซับซ้อน

 

ร้อยไหม MINT Lift
ร้อยไหม MINT Lift

 

ไหม MINT Lift รุ่น EASY

ไหม MINT Lift รุ่น EASY เป็นไหมรุ่นที่ออกแบบมาเพื่อการใช้งานที่ ง่าย รวดเร็ว และได้ผลลัพธ์ชัดเจน เหมาะกับกลุ่มผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยมากหรือมีชั้นผิวหนา ด้วยเทคโนโลยีเฉพาะที่ทำให้แพทย์ร้อยไหมได้อย่างสะดวกมากขึ้น ทั้งยังสามารถคงประสิทธิภาพในการยกกระชับเอาไว้ได้เป็นอย่างดี

 

จุดเด่นของไหม MINT Lift รุ่น EASY 

  • ไหม MINT Lift รุ่น EASY  มีขนาดเล็ก

ความที่ไหม MINT Lift รุ่น EASY มีขนาดเล็กจึงทำให้มีความแม่นยำในการร้อยสูง และยังช่วย ลดระยะเวลาในการร้อยไหมได้เป็นอย่างดี เหมาะสำหรับแพทย์ที่ต้องการความรวดเร็วและผู้เข้ารับบริการที่ต้องการความเร่งรีบ

 

  • ไหม MINT Lift รุ่น EASY เจาะผิวน้อยที่สุด ลดการบาดเจ็บ

ด้วยการออกแบบของไหม MINT Lift รุ่น EASY  ทำให้การร้อยมีการเจาะผิวได้น้อยที่สุด จึงช่วยลดความเสี่ยงจากการฟกช้ำหรือบวมหลังทำการร้อยไหม MINT Lift รุ่น EASY ได้เป็นอย่างดี เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเห็นผลเลัพธ์ที่รวดเร็ว โดยไม่ต้องใช้เวลาในพักฟื้นเป็นระยะเวลานาน

 

  • ไหม MINT Lift รุ่น EASY ใช้ในการแก้ไขปัญหาคางสองชั้นได้เป็นอย่างดี

หนึ่งในจุดเด่นสำคัญของไหม MINT Lift รุ่น EASY คือความสามารถในการ ยกกระชับบริเวณลำคอ เหนียงและใต้คาง ได้เป็นอย่างดี เนื่องจากไหม MINT Lift รุ่น EASY นั้นช่วยในการลดไขมันสะสม ช่วยเพิ่มกรอบหน้าให้คมชัดได้เป็นอย่างดี

 

ไหม MINT Lift รุ่น EASY เหมาะกับใคร?

  • ไหม MINT Lift รุ่น EASY เหมาะกับ ผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย
  • ไหม MINT Lift รุ่น EASY เหมาะกับ ผู้ทึ่ต้องการยกกระชับเฉพาะจุด
  • ไหม MINT Lift รุ่น EASY เหมาะกับ ผู้ที่ต้องการยกกระชับบริเวณผิวชั้นลึก
  • ไหม MINT Lift รุ่น EASY เหมาะกับ ผู้ที่ต้องการเห็นผลการรักษาได้อย่างรวดเร็ว

 

ไหม MINT Lift รุ่น PETIT 

ไหม MINT Lift รุ่น PETIT คือไหมรุ่นที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์การยกกระชับในบริเวณเล็ก ๆ ที่ต้องการความละเอียดและแม่นยำสูง เช่น ร่องแก้ม หน้าผาก หรือมุมปาก โดยออกแบบให้มีระยะยกกระชับสั้น แต่สามารถยกกระชับได้ดี และร่วมกับเทคนิคในการร้อยอย่างเทคนิค Reverse ยิ่งทำให้ไหม MINT Lift รุ่น PETIT สามารถขยายระยะในการยกกระชับได้ยาวถึง 60 มิลลิเมตร

 

จุดเด่นของไหม MINT Lift รุ่น PETIT 

  • ไหม MINT Lift รุ่น PETIT เหมาะสำหรับพื้นที่เล็กและเข้าถึงยาก

ด้วยระยะในการยกกระชับที่สั้น เส้นไหมไหม MINT Lift รุ่น PETIT จึงเหมาะกับพื้นที่ขนาดเล็กที่ต้องการการแก้ไขอย่างแม่นยำ เช่น ร่องแก้ม หน้าผาก หรือบริเวณมุมปาก ที่ไหมทั่วไปอาจไม่สามารถให้ผลลัพธ์ได้ตรงจุดเท่า

 

  • ไหม MINT Lift รุ่น PETIT สามารถขยายระยะลิฟได้มากขึ้นด้วยเทคนิค Reverse

เทคนิค Reverse Anchoring ที่มาพร้อมกับไหม MINT Lift รุ่น PETIT  จะสามารถยืดระยะการยกกระชับให้ยาวถึง 60 มม. ได้ เพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้งาน และรองรับการแก้ปัญหาในจุดที่ซับซ้อนได้มากขึ้น

 

ไหม MINT Lift รุ่น PETIT เหมาะกับใคร?

  • ไหม MINT Lift รุ่น PETIT เหมาะกับ ผู้ที่ต้องการแก้ไขปัญหาริ้วรอยหรือยกกระชับในบริเวณเล็กๆ เฉพาะจุด เช่น ร่องแก้ม มุมปาก หน้าผาก
  • ไหม MINT Lift รุ่น PETIT เหมาะกับ ผู้ที่เคยร้อยไหมรุ่นใหญ่ หรือทำเครื่องยกกระชับแล้ว แต่ต้องการเก็บรายละเอียดในจุดเล็กให้ใบหน้ามีความสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น
  • ไหม MINT Lift รุ่น PETIT เหมาะกับ ผู้ที่ต้องการความละเอียดในการยกกระชับ และเก็บริ้วรอยตื้นๆ

 

ร้อยไหม MINT Lift ยกบริเวณไหนได้บ้าง
ร้อยไหม MINT Lift ยกบริเวณไหนได้บ้าง

 

ไหม MINT Lift รุ่น FIX 

ไหม MINT Lift รุ่น FIX  เป็นไหมที่ถูกออกแบบมาเพื่อเพิ่มระยะเวลาการคงผลลัพธ์ของการยกกระชับ ได้ยาวนานมากขึ้นกว่าเดิม ด้วยเทคโนโลยีการยึดหยุ่นแบบสองมุม (Two-point Anchoring) ซึ่งเป็นการยืดหยุ่นที่ช่วยลดอัตราการขาดของไหมในระหว่างการละลาย อีกทั้งยังสามารถใช้ร่วมกับไหมรุ่นอื่นเพื่อเสริมผลลัพธ์ให้แน่นและชัดเจนยิ่งขึ้น

 

จุดเด่นของไหม MINT Lift รุ่น FIX 

  • ไหม MINT Lift รุ่น FIX ไหมยึดแบบสองมุม แข็งแรงทนทาน

การออกแบบของไหม MINT Lift รุ่น FIX เป็นไหมประเภทยึดสองมุมช่วยให้แรงตึงและแรงยึดเกาะกระจายตัวได้ดี ลดการฉีกขาดหรือขาดระหว่างกระบวนการละลายของไหมได้อย่างมีประสิทธิภาพ เหมาะกับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์มั่นคงและระยะยาว

 

  • ไหม MINT Lift รุ่น FIX เสริมพลังการลิฟเมื่อนำมาใช้ร่วมกับไหมรุ่นอื่น

หากนำไหม MINT Lift รุ่น FIX มาใช้ควบคู่กับไหมมิ้นท์รุ่นอื่นที่มีเงี่ยงสองทิศทาง จะสามารถช่วย “ล็อก” ผลลัพธ์ให้คงอยู่ได้นานขึ้น และลดการเคลื่อนของผิวหลังทำหัตถการได้อย่างเห็นผล

 

ไหม MINT Lift รุ่น FIX เหมาะกับใคร?

  • ไหม MINT Lift รุ่น FIX เหมาะกับ ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์การยกกระชับที่มั่นคงและอยู่ได้นานกว่าปกติ
  • ไหม MINT Lift รุ่น FIX เหมาะกับ ผู้ที่เคยร้อยไหมรุ่นปกติแต่ผลลัพธ์หลุดไว อยากให้ผลลัพธ์ชัดขึ้นและคงอยู่ได้นานขึ้น
  • ไหม MINT Lift รุ่น FIX เหมาะกับ ผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อยระดับกลางถึงมาก และต้องการผลลัพธ์แบบไม่ผ่าตัดแต่ให้ประสิทธิภาพใกล้เคียง

 

ไหม MINT Lift รุ่น FIX-MINI

ไหม MINT Lift รุ่น FIX-MINI คือไหมละลายรุ่นย่อยของไหม MINT Lift รุ่น FIX ที่ออกแบบมาเพื่อยึดหรือยกกระชับเฉพาะจุด โดยเฉพาะบริเวณที่ต้องการความละเอียดสูง เช่น ร่องแก้มหรือร่องลึกบริเวณกลางใบหน้า ด้วยการผสานพลังของไหมยึดสองมุมแบบไหม MINT Lift รุ่น FIX เข้ากับความสะดวกคล้ายไหมโมโน ทำให้ใช้งานง่ายแต่ยังคงผลลัพธ์การลิฟที่มั่นคงและยาวนาน

 

จุดเด่นของไหม MINT Lift รุ่น FIX-MINI 

  • ไหม MINT Lift รุ่น FIX-MINI เป็นไหมยึดแบบสองมุม ลดอัตราการขาดระหว่างละลาย

ด้วยโครงสร้างเฉพาะของไหม MINT Lift รุ่น FIX-MINI ที่เป็นแบบสองมุม เส้นไหม MINT Lift รุ่น FIX-MINI  จึงมีความทนทานสูง ลดโอกาสเส้นขาดหรือเสื่อมประสิทธิภาพก่อนหมดอายุของไหม ช่วยรักษาผลลัพธ์ได้ยาวนานขึ้น

 

  • ไหม MINT Lift รุ่น FIX-MINI  เสริมเพิ่มความยกกระชับ

หากใช้ไหม MINT Lift รุ่น FIX-MINI ควบคู่กับไหมมิ้นท์รุ่นอื่นที่มีเงี่ยงสองทิศทาง จะช่วยยืดอายุผลลัพธ์ของการยกกระชับ เพิ่มความมั่นคงในการดึงผิว ไม่หลุดหรือคลายง่าย

 

  • ไหม MINT Lift รุ่น FIX-MINI ใช้งานสะดวกคล้ายไหมโมโน

มีขนาดกะทัดรัดและดีไซน์ที่ใช้งานง่าย จึงทำให้แพทย์สามารถใช้ร้อยได้อย่างแม่นยำในพื้นที่เล็ก ๆ โดยไม่ต้องใช้เทคนิคซับซ้อน

 

ไหม MINT Lift รุ่น FIX-MINI เหมาะกับใคร?

  • ไหม MINT Lift รุ่น FIX-MINI  เหมาะกับ ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์การยกกระชับที่อยู่ได้นาน แม้ทำในบริเวณเล็ก
  • ไหม MINT Lift รุ่น FIX-MINI เหมาะกับ ผู้ที่มีปัญหาร่องแก้มลึก ต้องการยกผิวให้ดูอ่อนเยาว์ขึ้น
  • ไหม MINT Lift รุ่น FIX-MINI เหมาะกับผู้ที่เคยทำหัตถการยกกระชับมาแล้ว และต้องการ “ล็อกผล” ให้อยู่นานยิ่งขึ้น

 

ไหม MINT Lift รุ่น UP

ไหม MINT รุ่น UP คือไหมรุ่นพิเศษที่ถูกออกแบบมาเพื่อการ ปรับรูปทรงจมูก โดยเฉพาะ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการจมูกทรงสวยแบบไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น ด้วยเทคโนโลยีที่รวมความปลอดภัย ความแม่นยำ และประสิทธิภาพในการยกกระชับเข้าไว้ด้วยกัน

 

จุดเด่นของไหม MINT Lift รุ่น UP  

  • ไหม MINT Lift รุ่น UP  ใช้งานง่าย

ตัวไหมถูกออกแบบให้แพทย์สามารถร้อยได้อย่างแม่นยำ ลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บหรือกระทบกระเทือนต่อเนื้อเยื่อจมูก

 

  • ไหม MINT Lift รุ่น UP ไหมบางพิเศษและป้องกันการคลายตัวของไหม

เส้นไหมมีความบาง ละเอียด และยืดหยุ่นสูง ช่วยให้การแทรกเข้าสู่ผิวง่ายขึ้นและยึดเกาะได้มั่นคง ลดปัญหาไหมคลายตัวหลังทำหัตถการ

 

  • ไหม MINT Lift รุ่น UP ลดความเสี่ยงต่อผลข้างเคียง

ลดการเคลื่อนของไหม (Migration) ด้วยโครงสร้าง Multi-directional Cog หรือเงี่ยงที่ออกแบบมาให้ยึดหลายทิศทาง จึงช่วยยึดไหมให้อยู่กับที่ได้ดี ลดปัญหาการเคลื่อนของไหมหลังทำ

 

ไหม MINT Lift รุ่น UP เหมาะกับใคร?

  • ไหม MINT Lift รุ่น UP เหมาะกับ ผู้ที่มีเซลล์ผิวบาง และกังวลเรื่องความปลอดภัยในการปรับรูปทรงจมูก
  • ไหม MINT Lift  รุ่น UP เหมาะกับ ผู้ที่ต้องการเสริมจมูกให้ดูโด่งขึ้น เป็นทรงขึ้น โดยไม่ต้องผ่าตัดศัลยกรรม
  • ไหม MINT Lift รุ่น UP เหมาะกับ ผู้ที่ไม่เคยเสริมจมูกมาก่อน และต้องการเริ่มจากหัตถการที่ไม่รุกราน

 

ไหม MINT Lift รุ่น TIP

ไหม MINT Lift รุ่น TIP คือไหมรุ่นพิเศษที่ออกแบบมาเพื่อการปรับทรงปลายจมูกโดยเฉพาะ นิยมสำหรับผู้ที่ต้องการเสริมจมูกให้ได้รูปสวย โดยไม่ต้องศัลยกรรม ไม่ต้องพักฟื้น และมีความเสี่ยงต่ำ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีผิวบาง หรือยังไม่พร้อมสำหรับการผ่าตัดถาวร

 

จุดเด่นของไหม MINT Lift รุ่น TIP

  • ไหม MINT Lift รุ่น TIP ช่วยให้ทำหัตถการได้ง่าย

ช่วยให้แพทย์สามารถควบคุมทิศทางการร้อยไหมได้อย่างแม่นยำ เหมาะกับการเสริมบริเวณปลายจมูกที่ต้องการความละเอียดสูง

 

  • ไหม MINT Lift รุ่น TIP  ไหมบางพิเศษ ป้องกันการคลายตัว

 เส้นไหมมีขนาดเล็กและบางเป็นพิเศษ ลดแรงดันบนผิวบริเวณปลายจมูก ทำให้ไม่เกิดปัญหาไหมเคลื่อนหรือคลายตัวภายหลังการร้อย

 

ไหม MINT Lift รุ่น TIP เหมาะกับใคร?

  • ไหม MINT Lift รุ่น TIP เหมาะกับ ผู้ที่มีเซลล์ผิวบาง โดยเฉพาะบริเวณปลายจมูก ที่ต้องการหัตถการที่อ่อนโยน
  • ไหม MINT Lift  รุ่น TIP เหมาะกับ ผู้ที่ต้องการเสริมปลายจมูกให้ได้รูปสวย ดูเป็นธรรมชาติ โดยไม่ต้องผ่าตัด
  • ไหม MINT Lift รุ่น TIP เหมาะกับ ผู้ที่เริ่มต้นดูแลรูปทรงจมูกแบบไม่ถาวร ต้องการทดลองก่อนการทำศัลยกรรมในอนาคต

 

ไหม MINT Lift รุ่น MINI

ไหม MINT รุ่น MINI เป็นไหมประเภท Floating ซึ่งหมายถึงไหมที่ต้องทำการร้อยโดยไม่ต้องยึดปลายไหมเข้ากับหนังศีรษะหรือจุดยึดอื่น ๆ แต่ยังสามารถให้ผลลัพธ์การยกกระชับที่ดี เหมาะสำหรับผู้ที่ยังไม่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยมาก แต่ต้องการปรับรูปหน้าโดยรวมให้ดูเรียวชัดขึ้น

 

จุดเด่นไหม MINT รุ่น MINI

  • ไหม MINT รุ่น MINI ไหมหนาพิเศษ ลิฟได้แน่นแม้ไม่ยึดกับหนังศีรษะ

ด้วยลักษณะไหมที่มีความหนาและแข็งแรงกว่าไหมทั่วไป แม้จะเป็นแบบ Floating ก็ยังสามารถยกกระชับผิวได้ทั่วทั้งใบหน้า โดยไม่จำเป็นต้องมีจุดยึดปลายไหม

 

  • ไหม MINT รุ่น MINI ยืดหยุ่นเป็นอย่างดีเหมาะกับการยกกระชับ

เข้าถึงได้ทั่วหน้าไหม MINT รุ่น MINI เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าแบบรวมหลายมิติ เช่น ต้องการแนว V-Line, ยกแก้ม, หรือเก็บแนวกรอบหน้าแบบไม่ต้องลงจุดลึก

 

ไหม MINT รุ่น MINI เหมาะกับใคร?

  • ไหม MINT รุ่น MINI เหมาะกับ ผู้ที่อยู่ในช่วงอายุ 30–40 ปี ที่เริ่มมีความกังวลเรื่องผิวหย่อนคล้อยเล็กน้อย
  • ไหม MINT รุ่น MINI เหมาะกับ ผู้ที่ต้องการลิฟใบหน้าโดยรวม แต่ยังไม่จำเป็นต้องใช้เทคนิคแบบเต็มรูปแบบ
    ไหม MINT รุ่น MINI เหมาะกับ ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์หลายด้านในคราวเดียว เช่น กรอบหน้าชัดขึ้น + รูปหน้าเรียว + ผิวดูเฟิร์ม

 

ไหม MINT Lift รุ่น Lift

ไหม MINT รุ่น  Lift คือรุ่นมาตรฐานในตระกูลไหมมิ้นท์ ที่ได้รับการออกแบบเพื่อให้ผลลัพธ์การยกกระชับที่ ทรงพลังและเห็นผลชัดเจน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยระดับมาก หรือมีผิวหน้าที่มีความหนาที่ต้องการการยกกระชับในระดับผิวชั้นลึก ลึกและมีความคงทนกว่าไหมชนิดทั่วไป

 

จุดเด่นของไหม MINT Lift รุ่น  Lift

  • ไหม MINT Lift รุ่น  Lift ไหมหนาและยาว ให้พลังยกกระชับได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

ไหมมีขนาดหนาและมีความยาวมากกว่าไหม MINT รุ่น  Lift รุ่นอื่นๆ ช่วยให้ยึดเกาะเนื้อเยื่อได้หนาและลึก เหมาะกับการยกกระชับในบริเวณใบหน้าล่างที่หย่อนคล้อยมาก เช่น แนวกราม มุมปาก หรือแก้มล่าง

 

  • ไหม MINT Lift รุ่น  Lift  เหมาะสำหรับการแก้ปัญหาในกลุ่มอายุ 40 ปีขึ้นไป

มีคุณสมบัติที่สามารถยกกระชับได้ลึกและคงสภาพใต้ผิวได้นาน เหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มมีโครงสร้างผิวเปลี่ยนแปลงตามวัย หรือมีไขมันสะสมบริเวณแก้มและคาง

 

ไหม MINT Lift  รุ่น  Lift เหมาะกับใคร?

  • ไหม MINT Lift รุ่น  Lift เหมาะกับผู้ที่อยู่ในช่วงอายุ 40–60 ปี ที่มีผิวหย่อนคล้อยชัดเจน
  • ไหม MINT Lift รุ่น  Lift เหมาะกับผู้ที่มีผิวหนา โครงสร้างใบหน้าใหญ่ ต้องการพลังยกกระชับที่แข็งแรง
  • ไหม MINT Lift รุ่น  Lift เหมาะกับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ระดับ “เฟซลิฟท์แบบไม่ผ่าตัด” ที่เห็นความเปลี่ยนแปลงทันทีและคงผลได้นาน

 

ไหม MINT Lift รุ่น SIMPLE 

ไหม MINT Lift รุ่น SIMPLE  เป็นไหมที่ออกแบบมาเพื่อการร้อยไหมที่ เรียบง่ายแต่แม่นยำ เหมาะสำหรับผิวที่บอบบางหรือผู้ที่เริ่มต้นการยกกระชับใบหน้า ด้วยโครงสร้างเส้นไหมที่บางและยืดหยุ่นสูง ทำให้ใช้งานได้สะดวก และยังสามารถปรับทิศทาง (Vector) ได้ง่ายในระหว่างทำหัตถการ

 

จุดเด่นของไหม MINT Lift รุ่น SIMPLE 

  • ไหม MINT Lift รุ่น SIMPLE ไหมบาง ยึดเกาะง่ายด้วย Tie Technique

เส้นไหมไหม MINT Lift รุ่น SIMPLE มีความบางพิเศษ ทำให้สามารถร้อยและยึดเกาะผิวได้อย่างง่ายดาย โดยเฉพาะเมื่อใช้เทคนิค Tie Technique ซึ่งช่วยให้ไหมยึดแน่นและได้ผลลัพธ์อย่างเป็นธรรมชาติ

 

  • ไหม MINT Lift รุ่น SIMPLE  ปรับ Vector ได้อย่างอิสระในระหว่างหัตถการ

ด้วยความยืดหยุ่นของตัวไหม MINT Lift รุ่น SIMPLE  แพทย์สามารถปรับทิศทางการยกกระชับได้ง่ายขณะทำจริง จึงสามารถออกแบบแนวการลิฟต์ให้เข้ากับรูปหน้าเฉพาะบุคคลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

ไหม MINT Lift รุ่น SIMPLE เหมาะกับใคร?

  • ไหม MINT Lift รุ่น SIMPLE เหมาะกับ ผู้ที่มีผิวบางหรือผิวไว ต้องการหัตถการที่เบา ไม่รุนแรง
  • ไหม MINT Lift รุ่น SIMPLE เหมาะกับ ผู้ที่ต้องการเริ่มต้นดูแลโครงสร้างผิวโดยไม่ต้องยกกระชับหนัก
  • ไหม MINT Lift รุ่น SIMPLE เหมาะกับ ผู้ที่ต้องการความแม่นยำสูงในแนวการลิฟ แต่ไม่ต้องการเส้นไหมขนาดใหญ่

 

จุดเด่นของไหม MINT Lift 

  • ไหม MINT Lift สามารถยกกระชับผิวหน้าได้อย่างเป็นธรรมชาติ เห็นผลทันทีหลังทำ
  • ไหม MINT Lift มีเงี่ยงไหม 360 องศา ช่วยยึดเกาะผิวได้ดี ไม่ลื่นหลุดง่าย
  • ไหม MINT Lift ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนอย่างต่อเนื่องหลังทำ
  • ไหม MINT Lift ทำให้ฟื้นตัวไว ไม่ต้องพักฟื้นนาน
  • ไหม MINT Lift เหมาะกับคนที่ไม่ต้องการผ่าตัดศัลยกรรม
  • ไหม MINT Lift มีความปลอดภัย ไหมละลายได้หมดภายใน 6-8 เดือน แต่ผลลัพธ์อยู่ได้นานถึง 1 ปี

 

ข้อปฏิบัติตัว ก่อน - หลังร้อยไหม MINT Lift
ข้อปฏิบัติตัว ก่อน – หลังร้อยไหม MINT Lift

 

คำถามที่พบบ่อย (FAQ) ของไหม MINT Lift 

Q: ไหม MINT Lift เจ็บไหม?
A: ขณะทำจะรู้สึกตึงและอุ่นเล็กน้อย แพทย์จะทายาชาช่วยให้สบายมากขึ้น

 

Q: ต้องใช้ไหม MINT Lift  กี่เส้น?
A: ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและพื้นที่ที่ต้องการยกกระชับ โดยทั่วไปเริ่มต้นที่ 4-10 เส้น

 

Q: ไหม MINT Lift  กี่วันเห็นผล?
A: เห็นผลทันที 20-30% และชัดเจนใน 1-2 เดือน

 

Q: ไหม MINT Lift ต้องทำซ้ำไหม?
A: ถ้าต้องการคงผลลัพธ์ต่อเนื่อง แนะนำทำซ้ำปีละ 1 ครั้ง

 

ทำไมต้องร้อยไหมมิ้นท์ที่รมย์รวินท์คลินิก?

  • มีทีมแพทย์ประจำรมย์รวินท์คลินิกที่มีความรู้ในการปรับรูปหน้าและยกกระชับ
  • ใช้โปรแกรม Lifting Select วิเคราะห์โครงหน้าอย่างแม่นยำเฉพาะบุคคล
  • คลินิกสะอาด ปลอดภัย ได้มาตรฐานกว่า 22 ปี
  • มีถึง 28 สาขาทั่วประเทศ เดินทางสะดวก

ข้อดีของ Dorothy Dewy ฟิลเลอร์งานผิวฉ่ำโกลว์ เนียนละเอียด

ข้อดีของ Dorothy Dewy ฟิลเลอร์งานผิวฉ่ำโกลว์ เนียนละเอียด

ข้อดีของ Dorothy Dewy ฟิลเลอร์งานผิวฉ่ำโกลว์ เนียนละเอียด

ในปี 2025 เทรนด์งานผิวฉ่ำโกลว์ อิ่มน้ำ ดูสุขภาพดียังคงได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการทำหัตถการกลุ่มฟิลเลอร์งานผิว จึงถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ และน่าจับตามองอย่างมาก โดยหนึ่งในผลิตภัณฑ์งานผิวใหม่ล่าสุดที่กำลังมาแรงในตอนนี้ คือ “Dorothy Dewy” ตัวช่วยเติมน้ำ และปรับปรุงคุณภาพผิว เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการมีงานผิวฉ่ำวาว และเปล่งปลั่ง โดยไม่ต้องการพักฟื้นนาน และไม่เสี่ยงต่อการเกิดก้อนหลังฉีด ในบทความนี้ จะพาไปเจาะลึกถึงข้อดีของ Dorothy Dewy ว่ามีอะไรบ้าง? และมีข้อจำกัดอย่างไร? เพื่อเป็นทางเลือกประกอบการตัดสินใจก่อนเลือกฉีด

 

รวมข้อดีของ Dorothy Dewy มีอะไรบ้าง? มีข้อจำกัดอย่างไร?

 

ข้อดีของ Dorothy Dewy ฟิลเลอร์งานผิว
ข้อดีของ Dorothy Dewy ฟิลเลอร์งานผิว

 

ข้อดีของ Dorothy Dewy ฟิลเลอร์งานผิว

การฉีด Dorothy Dewy ฟิลเลอร์งานผิว มีข้อดี และจุดเด่นอยู่หลายประการ ดังนี้

  • Dorothy Dewy มีความเข้มข้นสูง

Dorothy Dewy เป็นฟิลเลอร์งานผิวที่มีส่วนประกอบของ Hyaluronic Acid (HA) แบบ Crosslinked ซึ่งมีความเข้มข้นสูงถึง 20 mg/CC ทำให้สามารถคงประสิทธิภาพของผลลัพธ์ได้ยาวนาน และเติมเต็มความชุ่มชื้นได้อย่างเป็นธรรมชาติ

  • Dorothy Dewy มีอนุภาคขนาดเล็ก

Dorothy Dewy เป็นฟิลเลอร์งานผิวที่มีส่วนประกอบของ Hyaluronic Acid (HA) แบบ Crosslinked โดยมีอนุภาคขนาดเล็กกว่า 100 ไมครอน (<100 micron) ซึ่งเป็นขนาดที่เล็กกว่าฟิลเลอร์งานผิวทั่วไป ทำให้ได้เนื้อสารเติมเต็มที่บางเบา และสามารถกระจายตัวได้ดีในผิวหนัง โดยไม่ก่อให้เกิดก้อนแข็งได้ง่าย 

  • Dorothy Dewy ให้ผลลัพธ์แบบ 2 in 1

ฃDorothy Dewy เป็นฟิลเลอร์งานผิวที่ให้ผลลัพธ์แบบ 2 in 1 โดยใช้เทคนิค IFRHA ในการฉีด ทำให้ได้ผลลัพธ์ ทั้งการเติมเต็มความชุ่มชื้นให้ผิวฉ่ำโกลว์ สุขภาพดี และเพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิวแน่น กระชับ และอิ่มฟูจากภายใน

  • Dorothy Dewy ได้รับการรับรองมาตรฐานสากล

Dorothy Dewy เป็นฟิลเลอร์งานผิวที่ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับสากลจาก สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) โดยมีการนำมาใช้งานในวงการแพทย์มากกว่า 40 ประเทศทั่วโลก

  • Dorothy Dewy 1 ไซริงค์ มีปริมาณ 3 CC

Dorothy Dewy เป็นฟิลเลอร์งานผิวที่มีความคุ้มค่าอย่างมาก โดยใน 1 ไซริงค์ (Syringe) จะมีปริมาณสารเติมเต็มทั้งหมด 3 CC ซึ่งใน 1 กล่องจะบรรจุมาทั้งหมด 3 ไซริงค์ ทำให้สามารถเติมความชุ่มชื้น และแก้ไขปัญหาผิวต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  • Dorothy Dewy เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว

Dorothy Dewy เป็นฟิลเลอร์งานผิวที่เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว ไม่ว่าจะเป็นผิวแห้ง ผิวขาดน้ำ ผิวมัน หรือผิวผสมก็สามารถทำ Dorothy Dewy ได้

  • Dorothy Dewy ให้ผลลัพธ์ที่ยาวนาน

Dorothy Dewy เป็นฟิลเลอร์งานผิวที่ให้ผลลัพธ์ยาวนาน และดูเป็นธรรมชาติหลังฉีด โดยสามารถคงประสิทธิภาพของผลลัพธ์ได้นานถึง 6 – 12 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และการดูแลตัวเองของแต่ละบุคคล

 

ข้อจำกัดของ Dorothy Dewy ฟิลเลอร์งานผิว

  • การฉีด Dorothy Dewy ไม่สามารถแก้ไขปัญหาร่องลึกได้ เนื่องจากเป็นฟิลเลอร์งานผิวที่เน้นเติมความชุ่มชื้น และปรับปรุงคุณภาพผิวโดยรวม
  • การฉีด Dorothy Dewy ไม่สามารถนำมาปรับรูปหน้า หรือขึ้นรูปทรงได้ เนื่องจากเป็นฟิลเลอร์งานผิวที่มีลักษณะเนื้อเจลบางเบา และมีอนุภาคขนาดเล็ก จึงเหมาะสำหรับการเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวฉ่ำวาว ดูสุขภาพดีมากกว่า

 

เจาะลึก Dorothy Dewy ฟิลเลอร์งานผิว
เจาะลึก Dorothy Dewy ฟิลเลอร์งานผิว

 

เจาะลึก Dorothy Dewy ฟิลเลอร์งานผิว

Dorothy Dewy เป็นฟิลเลอร์งานผิวที่ผลิตโดยบริษัท CHA Bio Group หรือบริษัทชีวการแพทย์อันดับ 1 ของประเทศเกาหลีใต้ ซึ่ง Dorothy Dewy ถูกออกแบบมาเพื่อเติมเต็มความชุ่มชื้น กระตุ้นคอลลาเจน และลดเลือนริ้วรอยเส้นเล็ก ๆ ให้กับผิวโดยเฉพาะ โดยมีส่วนประกอบหลักของ Hyaluronic Acid (HA) แบบ Crosslinked ที่มีความเข้มข้นสูงถึง 20 mg/CC และมีน้ำหนักโมเลกุลเฉลี่ยถึง 700 kDa อีกทั้ง ยังมีอนุภาคขนาดเล็กกว่า 100 ไมครอน (<100 micron) ทำให้สามารถกระจายตัวได้อย่างทั่วถึงในชั้นผิวหนัง มีเนื้อบางเบา และไม่ก่อให้เกิดก้อนหลังฉีด

 

Dorothy Dewy ฟิลเลอร์งานผิว ใช้ฉีดบริเวณไหน?

การฉีด Dorothy Dewy ฟิลเลอร์งานผิว สามารถนำมาฉีดได้หลากหลายบริเวณ โดยส่วนใหญ่บริเวณที่นิยมทำ Dorothy Dewy มีดังนี้

  • Dorothy Dewy ใช้ฉีดบริเวณทั่วใบหน้า

Dorothy Dewy ฟิลเลอร์งานผิว สามารถนำมาฉีดบริเวณทั่วใบหน้า เพื่อเติมความชุ่มชื้น และกระตุ้นคอลลาเจน ทำให้ผิวฉ่ำโกลว์ อิ่มน้ำ แน่นกระชับ และทำให้ริ้วรอยเส้นเล็ก ๆ ดูตื้นขึ้นได้

  • Dorothy Dewy ใช้ฉีดบริเวณใต้ตา 

Dorothy Dewy ฟิลเลอร์งานผิว สามารถนำมาฉีดบริเวณใต้ตา เพื่อเติมความชุ่มชื้น และลดเลือนริ้วรอยเส้นเล็ก ๆ บริเวณรอบดวงตา ทำให้ใต้ตาดูสดใส เปล่งปลั่ง และดูอ่อนเยาว์จากภายใน

  • Dorothy Dewy ใช้ฉีดบริเวณลำคอ

Dorothy Dewy ฟิลเลอร์งานผิว สามารถนำมาฉีดบริเวณลำคอ เพื่อลดเลือนรอยเหี่ยวย่นบริเวณลำคอ ทำให้ผิวบริเวณลำคอกระชับ เต่งตึง และชุ่มชื้นอย่างเป็นธรรมชาติ

 

คุณสมบัติพิเศษของ Dorothy Dewy ฟิลเลอร์งานผิว
คุณสมบัติพิเศษของ Dorothy Dewy ฟิลเลอร์งานผิว

 

คุณสมบัติพิเศษของ Dorothy Dewy ฟิลเลอร์งานผิว

  • Dorothy Dewy มีคุณสมบัติเรื่อง Skin Glow 

Dorothy Dewy มีคุณสมบัติเรื่อง Skin Glow ช่วยให้ผิวฉ่ำวาว อิ่มน้ำ งานผิวกระจก และแต่งหน้าติดมากขึ้น

  • Dorothy Dewy มีคุณสมบัติเรื่อง Skin Hydration

Dorothy Dewy มีคุณสมบัติเรื่อง Skin Hydration ช่วยเติมความชุ่มชื้นให้ผิว แก้ปัญหาผิวแห้งกร้าน ขาดน้ำ

  • Dorothy Dewy มีคุณสมบัติเรื่อง Skin Softness, Pore Tightening

Dorothy Dewy มีคุณสมบัติเรื่อง Skin Softness, Pore Tightening ช่วยให้ผิวละเอียด เรียบเนียน รูขุมขนกระชับ

  • Dorothy Dewy มีคุณสมบัติเรื่อง Skin Firmness

Dorothy Dewy มีคุณสมบัติเรื่อง Skin Firmness ช่วยกระตุ้นคอลลาเจน ทำให้ผิวยืดหยุ่น อิ่มฟู ดูอ่อนกว่าวัย

  • Dorothy Dewy มีคุณสมบัติเรื่อง Lifting & Contour 

Dorothy Dewy มีคุณสมบัติเรื่อง Lifting & Contour ช่วยยกกระชับผิวหน้า ทำให้ผิวเต่งตึง ใบหน้ามีมิติมากขึ้น

 

Dorothy Dewy ฟิลเลอร์งานผิว เหมาะกับใคร?

  • การฉีด Dorothy Dewy เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาผิวแห้งกร้าน ลอกเป็นขุย และขาดความชุ่มชื้น
  • การฉีด Dorothy Dewy เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการมีผิวฉ่ำโกลว์ อิ่มน้ำ และแต่งหน้าติดทนมากขึ้น
  • การฉีด Dorothy Dewy เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหารูขุมขนกว้าง ผิวไม่เรียบเนียน
  • การฉีด Dorothy Dewy เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยเล็ก ๆ บนใบหน้า
  • การฉีด Dorothy Dewy เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาผิวขาดความยืดหยุ่น ไม่กระชับ
  • การฉีด Dorothy Dewy เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาผิวหมองคล้ำ ดูโทรม ไม่สดใส
  • การฉีด Dorothy Dewy เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการมีผิวอิ่มฟู ดูอ่อนเยาว์
  • การฉีด Dorothy Dewy เหมาะสำหรับ ผู้ที่ไม่ต้องการพักฟื้นนาน 
  • การฉีด Dorothy Dewy เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีความกังวลเรื่องความเจ็บ

ทั้งนี้ ควรปรึกษาแพทย์ และแจ้งประวัติสุขภาพก่อนเข้ารับบริการ ไม่ว่าจะเป็นประวัติโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ ประวัติการรักษา และยาที่รับประทานเป็นประจำ

 

Dorothy Dewy ฟิลเลอร์งานผิว ไม่เหมาะกับใคร?

  • การฉีด Dorothy Dewy ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่เคยแพ้สาร Hyaluronic Acid (HA) ใน Dorothy Dewy
  • การฉีด Dorothy Dewy ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาเลือดหยุดไหลยาก หรือเป็นแผลฟกช้ำง่าย
  • การฉีด Dorothy Dewy ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่เป็นโรคแพ้ภูมิตัวเอง หรือโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน
  • การฉีด Dorothy Dewy ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีอาการผิวหนังอักเสบ หรือผิวหนังติดเชื้อ
  • การฉีด Dorothy Dewy ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่อยู่ในช่วงตั้งครรภ์
  • การฉีด Dorothy Dewy ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่อยู่ในระหว่างการให้นมบุตร

ทั้งนี้ ควรปรึกษาแพทย์ และแจ้งประวัติสุขภาพก่อนเข้ารับบริการ ไม่ว่าจะเป็นประวัติโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ ประวัติการรักษา และยาที่รับประทานเป็นประจำ

 

ข้อควรรู้ก่อนฉีด Dorothy Dewy ฟิลเลอร์งานผิว
ข้อควรรู้ก่อนฉีด Dorothy Dewy ฟิลเลอร์งานผิว

 

ข้อควรรู้ก่อนฉีด Dorothy Dewy ฟิลเลอร์งานผิว

  • ก่อนฉีด Dorothy Dewy ควรศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจฉีด
  • ก่อนฉีด Dorothy Dewy ควรปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนตัดสินใจฉีด
  • ก่อนฉีด Dorothy Dewy ควรแจ้งประวัติการแพ้ ประวัติหัตถการที่เคยทำ และประวัติโรคประจำตัวให้แพทย์ทราบ
  • ก่อนฉีด Dorothy Dewy งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และสูบบุหรี่
  • ก่อนฉีด Dorothy Dewy งดรับประทานยา หรืออาหารเสริมที่ทำให้เลือดหยุดไหลยาก
  • ก่อนฉีด Dorothy Dewy งดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารที่ทำให้ผิวบอบบาง เช่น AHA, BHA หรือ Retinol
  • ก่อนฉีด Dorothy Dewy งดการทำกิจกรรม หรือออกกำลังกายที่ทำให้เลือดสูบฉีด

 

ขั้นตอนการฉีด Dorothy Dewy ฟิลเลอร์งานผิว

  • ก่อนเริ่มฉีดควรปรึกษาแพทย์ เพื่อประเมินสภาพผิว และวิเคราะห์ปัญหาที่ต้องการแก้ไข
  • ทำความสะอาดผิวในบริเวณที่ฉีด โดยการเช็ดเครื่องสำอางออก เพื่อกำจัดสิ่งสกปรกต่าง ๆ 
  • ทายาชาในบริเวณที่ฉีด เพื่อลดความรู้สึกเจ็บแสบขณะทำ
  • แพทย์จะทำการฉีด Dorothy Dewy เข้าไปยังผิวหนังชั้นตื้น ด้วยเทคนิคที่เหมาะสม
  • หลังฉีดเสร็จ แพทย์จะให้คำแนะนำเกี่ยวกับขั้นตอนการปฏิบัติตัวหลังฉีดที่ถูกต้อง

 

ข้อควรปฏิบัติหลังฉีด Dorothy Dewy ฟิลเลอร์งานผิว
ข้อควรปฏิบัติหลังฉีด Dorothy Dewy ฟิลเลอร์งานผิว

 

ข้อควรปฏิบัติหลังฉีด Dorothy Dewy ฟิลเลอร์งานผิว

  • หลังฉีด Dorothy Dewy งดการใช้เครื่องสำอาง หรือแต่งหน้าหลังในวันแรกที่ฉีด
  • หลังฉีด Dorothy Dewy หลีกเลี่ยงการถู กด นวด หรือจับบริเวณที่ฉีด 
  • หลังฉีด Dorothy Dewy งดโดนแสงแดดจัด หรืออยู่ในสถานที่ที่มีอุณหภูมิสูง
  • หลังฉีด Dorothy Dewy งดการทำกิจกรรม หรือออกกำลังกายที่ทำให้เลือดสูบฉีด
  • หลังฉีด Dorothy Dewy งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และสูบบุหรี่
  • หลังฉีด Dorothy Dewy งดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารที่ทำให้ผิวบอบบาง เช่น AHA, BHA หรือ Retinol
  • หลังฉีด Dorothy Dewy งดอาหารรสจัด เช่น หวานจัด เค็มจัด หรือเผ็ดจัด
  • หลังฉีด Dorothy Dewy งดอาหารดิบ และของหมักดอง เช่น ปลาร้า 
  • หลังฉีด Dorothy Dewy งดการทำทรีตเมนต์ หรือเลเซอร์ผิวชั้นลึก
  • หลังฉีด Dorothy Dewy ควรดื่มน้ำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้สารเติมเต็มมีประสิทธิภาพที่ดี

 

ผลลัพธ์ที่ได้จากการฉีด Dorothy Dewy ฟิลเลอร์งานผิว

  • การฉีด Dorothy Dewy ฟิลเลอร์งานผิว ช่วยให้ผิวโกลว์ ฉ่ำวาว อิ่มน้ำ
  • การฉีด Dorothy Dewy ฟิลเลอร์งานผิว ช่วยให้ริ้วรอยเส้นเล็ก ๆ ดูตื้นขึ้น
  • การฉีด Dorothy Dewy ฟิลเลอร์งานผิว ช่วยให้รูขุมขนดูเล็กลง ผิวเรียบเนียนมากขึ้น
  • การฉีด Dorothy Dewy ฟิลเลอร์งานผิว ช่วยให้ผิวแน่น กระชับ ดูอิ่มฟู
  • การฉีด Dorothy Dewy ฟิลเลอร์งานผิว ช่วยให้ผิวยืดหยุ่น ดูสุขภาพดี
  • การฉีด Dorothy Dewy ฟิลเลอร์งานผิว ช่วยให้ผิวเปล่งปลั่ง ดูสดใส

 

Dorothy Dewy VS Belotero Revive ต่างกันอย่างไร?

แม้ว่า Dorothy Dewy และ Belotero Revive จะเป็นฟิลเลอร์งานผิวเหมือนกัน แต่ทั้งสองผลิตภัณฑ์ก็มีความแตกต่างในหลายด้าน ๆ ดังนี้

  • Dorothy Dewy เป็นฟิลเลอร์งานผิวจากประเทศเกาหลีใต้ ที่มีส่วนประกอบหลักของ Hyaluronic Acid (HA) แบบ Crosslinked เข้มข้นสูงถึง 20 mg/CC และมีอนุภาคขนาดเล็กกว่า 100 ไมครอน (<100 micron) ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อเติมเต็มความชุ่มชื้น กระชับรูขุมขน และลดเลือนริ้วรอยเส้นเล็ก ๆ บนใบหน้า โดยสาร HA ใน Dorothy Dewy นั้น มีลักษณะเป็นเนื้อเจลบางเบา สามารถกระจายตัวได้ดี และไม่ทำให้เกิดก้อนแข็งได้ง่าย เนื่องจากมีอนุภาคขนาดเล็ก ทำให้สามารถแก้ปัญหาผิวแห้งกร้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่ง Dorothy Dewy สามารถคงผลลัพธ์ได้นาน ประมาณ 6 – 12 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และการดูแลตัวเองของแต่ละบุคคล
  • Belotero Revive เป็นฟิลเลอร์งานผิวจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ที่มีส่วนประกอบหลักถึง 2 ชนิด ได้แก่ Hyaluronic Acid (HA) แบบ Crosslinked ที่มีความเข้มข้นสูงถึง 20 mg/CC และ Glycerol ที่มีความเข้มข้นสูงถึง 17.5 mg/CC โดยผ่านการผลิตด้วยเทคโนโลยีพิเศษที่เรียกว่า  CPM (Cohesive Polydensified Matrix) ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อปรับสภาพผิว เพิ่มความชุ่มชื้น ลดเลือนริ้วรอยเส้นเล็ก ๆ พร้อมกระชับรูขุมขน โดยสาร HA ใน Belotero Revive นั้น มีลักษณะเป็นเนื้อเจลละเอียด มีความยืดหยุ่นสูง และสามารถกลมกลืนเข้ากับผิวได้อย่างเรียบเนียน ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้ดูเป็นธรรมชาติ และสามารถคงผลลัพธ์ได้นาน ประมาณ 9 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และการดูแลตัวเองของแต่ละบุคคล

 

Dorothy Dewy VS Rejuran ต่างกันอย่างไร?

  • Dorothy Dewy เป็นฟิลเลอร์งานผิวจากประเทศเกาหลีใต้ ที่มีส่วนประกอบหลักของ Hyaluronic Acid (HA) แบบ Crosslinked อนุภาคขนาดเล็กกว่า 100 ไมครอน (<100 micron) ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อเติมเต็มความชุ่มชื้น กระชับรูขุมขน และลดเลือนริ้วรอยเส้นเล็ก ๆ บนใบหน้า ทำให้ผิวเนียนละเอียด ฉ่ำวาว และแน่นกระชับอย่างเป็นธรรมชาติ โดย Dorothy Dewy นั้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหารูขุมขนกว้าง ผิวแห้ง ขาดน้ำ และมีริ้วรอยเส้นเล็ก ๆ ซึ่งสามารถคงผลลัพธ์ได้นาน ประมาณ 6 – 12 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และการดูแลตัวเองของแต่ละบุคคล
  • Rejuran เป็นผลิตภัณฑ์กลุ่ม Skin Booster จากประเทศเกาหลีใต้ ที่มีส่วนประกอบหลักของ Polynucleotide (PN) ที่สกัดมาจาก DNA ปลาแซลมอนในทะเลธรรมชาติ ซึ่งมีความใกล้เคียงกับ DNA ของมนุษย์ถึง 98% โดย Rejuran ถูกออกแบบมาเพื่อซ่อมแซม และฟื้นฟูเซลล์ผิวระดับโครงสร้าง พร้อมกระตุ้นการสร้างเคอลลาเจนใหม่ ปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ ทำให้ผิวยืดหยุ่น แข็งแรง ชุ่มชื้น ฉ่ำวาว และดูสุขภาพดีอย่างเป็นธรรมชาติ โดย Rejuran นั้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวโทรม แห้งกร้าน ลอกเป็นขุย และต้องการฟื้นฟูผิวแบบเร่งด่วน ซึ่งสามารถคงผลลัพธ์ได้นาน ประมาณ 6 – 8 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และการดูแลตัวเองของแต่ละบุคคล

 

วิธีการตรวจสอบ Dorothy Dewy แท้

  • ตรวจสอบสติกเกอร์ QR Code ที่มีโลโก้ Vitapharm บนฝากล่อง Dorothy Dewy
  • สแกน QR Code เพื่อตรวจสอบผลิตภัณฑ์ผ่านแอปพลิเคชัน Hidden Tag
  • ตรวจสอบสัญลักษณ์บนกล่อง Dorothy Dewy ซึ่งจะต้องมีความนูนขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
  • ตรวจสอบเลขทะเบียน อย. และเอกสารกำกับภาษาไทยระบุรายละเอียดอย่างครบถ้วน
  • ตรวจสอบเลข Lot. บนกล่อง และบนไซริงค์ ซึ่งทั้ง 2 จุดจะต้องมีเลข Lot. ตรงกัน

 

ถาม – ตอบเกี่ยวกับ Dorothy Dewy

Dorothy Dewy ฉีดกี่ครั้งเห็นผล?

  • การฉีด Dorothy Dewy สามารถเห็นผลลัพธ์ได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉีด โดยเฉพาะในเรื่องของรูขุมขนที่เล็กลง ตามด้วยผิวฉ่ำโกลว์หลังฉีด ประมาณ 7 – 14 วัน ซึ่งโดยปกติแล้ว จะแนะนำให้ฉีด Dorothy Dewy ทั้งหมด 2 ครั้ง โดยเว้นระยะห่างกัน ประมาณ 1 เดือน เพื่อให้ผลลัพธ์คงอยู่ได้ยาวนาน

 

Dorothy Dewy อยู่ได้นานแค่ไหน?

  • เมื่อฉีด Dorothy Dewy ครบทั้งหมด 2 ครั้งแล้ว ผลลัพธ์จะสามารถคงอยู่ได้นาน ประมาณ 6 – 12 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และการดูแลตัวเองของแต่ละบุคคล แนะนำให้ปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อให้ผลลัพธ์คงอยู่ยาวนานมากขึ้น

 

Dorothy Dewy ใช้ปริมาณกี่ CC?

  • การฉีด Dorothy Dewy ในครั้งแรก จะแนะนำให้ฉีด Dorothy Dewy ไม่ต่ำกว่า 2 ไซริงค์ หรือ 6 CC จากนั้น ให้เว้นระยะห่าง ประมาณ 1 เดือน และกลับมาฉีด Dorothy Dewy เพิ่มอีก 1 ไซริงค์ หรือ 3 CC เพื่อให้ผลลัพธ์คงอยู่ได้ยาวนานมากขึ้น

 

Dorothy Dewy ควรฉีดซ้ำได้ตอนไหน?

  • การฉีด Dorothy Dewy เมื่อทำการฉีดครบทั้งหมด 2 ครั้งแล้ว สามารถให้กลับมาฉีด Dorothy Dewy ซ้ำทุก ๆ ปี อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อคงประสิทธิภาพของผลลัพธ์ให้ดูอ่อนเยาว์อย่างต่อเนื่อง

 

Dorothy Dewy 1 กล่อง มีอะไรบ้าง?

  • การฉีด Dorothy Dewy 1 กล่อง จะมีสารเติมเต็มบรรจุมาทั้งหมด 3 ไซริงค์ โดยใน 1 ไซริงค์ จะมีปริมาณ 3 CC ดังนั้น Dorothy Dewy 1 กล่อง จึงมีปริมาณสารเติมเต็มทั้งหมด 9 CC ซึ่งถือเป็นผลิตภัณฑ์งานผิวที่มีความคุ้มค่า และสามารถแก้ไขปัญหาผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

Dorothy Dewy เจ็บไหม?

  • การฉีด Dorothy Dewy ถือว่ามีความเจ็บน้อยมาก ประมาณ 3 เต็ม 10 เนื่องจากใช้สาร HA ที่มีอนุภาคขนาดเล็ก และสามารถกระจายตัวได้ดี ซึ่งจะถูกฉีดเข้าไปในบริเวณผิวหนังชั้นตื้น จึงทำให้รู้สึกเจ็บแสบน้อยกว่าปกติ แต่สำหรับในกรณีที่ผู้รับบริการมีความกังวลเรื่องความเจ็บ สามารถขอทายาชาในบริเวณที่ฉีดเพิ่มเติม เพื่อลดความเจ็บ และทำให้รู้สึกสบายตัวมากขึ้นได้

 

Dorothy Dewy อันตรายไหม?

  • การฉีด Dorothy Dewy ไม่มีความอันตราย หากทำการฉีดโดยแพทย์ที่มีความรู้ และประสบการณ์ สามารถใช้เทคนิคในการฉีดที่เหมาะสม อีกทั้ง สาร HA ใน Dorothy Dewy นั้นมีอนุภาคขนาดเล็กมาก ซึ่งน้อยกว่า 100 ไมครอน ทำให้สามารถกระจายตัวได้ดี และลดโอกาสเสี่ยงในการเกิดก้อนแข็งหลังฉีดได้

 

การฉีด Dorothy Dewy ถือเป็นฟิลเลอร์งานผิวที่ตอบโจทย์สำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวแห้งกร้าน ขาดน้ำ รูขุมขนกว้าง และมีริ้วรอยเส้นเล็ก ๆ เนื่องจาก Dorothy Dewy มีส่วนประกอบหลักของ HA ที่มีความเข้มข้นสูง และมีอนุภาคขนาดเล็กกว่าฟิลเลอร์งานผิวทั่ว ๆ ไป ทำให้สามารถกระจายตัวในชั้นผิวหนังได้อย่างทั่วถึง โดยไม่ก่อให้เกิดก้อนแข็งหลังฉีด อีกทั้ง Dorothy Dewy ยังให้ผลลัพธ์แบบ 2 in 1 ทั้งผิวฉ่ำโกลว์ และแน่นกระชับในขั้นตอนเดียว ดังนั้น สำหรับใครที่สนใจฉีด Dorothy Dewy สามารถเข้ามาปรึกษาได้ที่ รมย์รวินท์คลินิก ทุกสาขา เรามีทีมแพทย์ที่มีความรู้ และความชำนาญ สามารถวิเคราะห์ปัญหา และวางแผนการรักษาแบบเฉพาะบุคคล เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ และมีประสิทธิภาพ

 

*ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับบริการ

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯกำหนด

 

ดื้อโบคืออะไร? เกิดจากอะไร? ทำยังไงถึงจะไม่ดื้อโบ

ดื้อโบคืออะไร? เกิดจากอะไร?

ดื้อโบคืออะไร? เกิดจากอะไร?  ไขข้อสงสัยก่อนฉีดโบ

ภาวะดื้อโบ เป็นปัญหาที่หลายคนมักกังวลเมื่อทำการฉีดโบ และไม่อยากให้เกิดขึ้นกับตนเอง เนื่องจากหากเกิดภาวะดื้อโบไปแล้ว อาจทำให้ผลลัพธ์ที่ได้ไม่เป็นไปตามที่ต้องการ และต้องใช้ระยะเวลาในการพักนาน จึงจะสามารถกลับมาฉีดโบได้ตามปกติ บทความนี้ จะพาไปเรียนรู้ และทำความเข้าใจเกี่ยวกับภาวะดื้อโบว่า ภาวะดื้อโบ คืออะไร? ภาวะดื้อโบ เกิดจากอะไร? ภาวะดื้อโบ มีอาการอย่างไร? รวมถึง สามารถป้องกันภาวะดื้อโบได้อย่างไรบ้าง? เพื่อไม่ให้เกิดการดื้อโบในอนาคต

 

ดื้อโบเกิดจากอะไร?  อันตรายไหม? มีวิธีแก้อย่างไร? รู้ลึกก่อนฉีดโบ 

การดื้อโบ คืออะไร?

การดื้อโบ คือ ภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อทำการฉีดโบมาแล้วไม่เห็นผล ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาต่อต้านสารจากการฉีดโบ ทำให้ตัวยาไม่สามารถออกฤทธิ์ต่อกล้ามเนื้อได้อย่างเต็มที่ เมื่อฉีดโบเข้าไปแล้ว จึงไม่เกิดผลลัพธ์ตามที่คาดหวัง หรือผลลัพธ์อยู่ได้สั้นกว่าปกติ

 

การดื้อโบ เกิดจากสาเหตุอะไร?
การดื้อโบ เกิดจากสาเหตุอะไร?

 

การดื้อโบ เกิดจากสาเหตุอะไร?

  • การดื้อโบเกิดจาก การฉีดโบบ่อยเกินไป

การฉีดโบซ้ำบ่อยจนเกินไป โดยไม่ได้มีการเว้นระยะเวลาที่เหมาะสม อาจทำให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาต่อต้านสารจากการฉีดโบเพิ่มเรื่อย ๆ จนส่งผลให้เกิดภาวะดื้อโบได้ ซึ่งโดยปกติแล้ว การฉีดโบในแต่ละครั้ง ควรเว้นระยะเวลาห่างกัน อย่างน้อย 3 – 4 เดือนขึ้นไป

  • การดื้อโบเกิดจาก การฉีดโบปริมาณมากเกินไป

การฉีดโบปริมาณมากเกินไปในครั้งเดียว อาจทำให้ร่างกายตอบสนองด้วยการสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาต่อต้าน จนส่งผลให้เกิดภาวะดื้อโบได้ ซึ่งโดยปกติแล้ว การฉีดโบในแต่ละครั้ง ไม่ควรใช้ปริมาณสารในการฉีดโบเกิน 300 ยูนิต โดยแพทย์จะเป็นผู้ประเมินปริมาณสารที่ควรใช้ในแต่ละบริเวณอย่างเหมาะสม

  • การดื้อโบเกิดจาก การฉีดโบปลอม ไม่มีคุณภาพ

การฉีดโบปลอม หรือการฉีดโบหิ้วที่ไม่ได้มาตรฐาน อาจทำให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาต่อต้าน จนส่งผลให้เกิดภาวะดื้อโบได้ เนื่องจากโบปลอม ไม่ได้มีการจัดเก็บ และขนส่งในอุณหภูมิที่เหมาะสม รวมถึง อาจมีการปนเปื้อนสารแปลกปลอม หรือเชื้อโรค ทำให้ตัวยาเสื่อมคุณภาพ และส่งผลกระทบต่อผลลัพธ์ที่ได้หลังทำการรักษา

  • การดื้อโบเกิดจาก การฉีดโบหลายยี่ห้อเกินไป

การฉีดโบ โดยการเปลี่ยนยี่ห้อบ่อย หรือฉีดโบหลายยี่ห้อเกินไป อาจทำให้ร่างกายคิดว่า สารที่ฉีดใหม่เป็นสิ่งแปลกปลอม และกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้ทำงานมากขึ้น ซึ่งถือเป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดการดื้อโบ เนื่องจากการฉีดโบแต่ละยี่ห้อ ก็จะมีความบริสุทธิ์ และมีโปรตีนที่แตกต่างกัน ดังนั้น จึงไม่ควรเปลี่ยนยี่ห้อในการฉีดโบบ่อย ๆ 

 

สัญญาณเตือนการดื้อโบ มีอาการอะไรบ้าง?
สัญญาณเตือนการดื้อโบ มีอาการอะไรบ้าง?

 

สัญญาณเตือนการดื้อโบ มีอาการอะไรบ้าง?

ริ้วรอยไม่ลดลง

  • โดยปกติแล้ว หลังฉีดโบริ้วรอยบนใบหน้าจะค่อย ๆ ตื้นขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ แต่ในกรณีที่อยู่ในภาวะดื้อโบ ริ้วรอยบนใบหน้าจะยังคงเห็นได้อย่างชัดเจน หรือเห็นผลการเปลี่ยนแปลงน้อยมาก

กล้ามเนื้อยังขยับได้ตามปกติ

  • โดยปกติแล้ว หลังฉีดโบกล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดควรมีการคลายตัว แต่ในกรณีที่อยู่ในภาวะดื้อโบ กล้ามเนื้อจะยังคงทำงานได้ตามปกติ หรืออาจกลับมาขยับได้เร็วขึ้นกว่าเดิม

ผลลัพธ์อยู่ได้สั้นลง

  • โดยปกติแล้ว การฉีดโบจะมีระยะเวลาในการออกฤทธิ์ ประมาณ 3 – 6 เดือน แต่ในกรณีที่อยู่ในภาวะดื้อโบ อาจจะเห็นผลลัพธ์ได้เพียง 1 – 2 เดือน หรือแทบไม่เห็นผลการเปลี่ยนแปลงเลย

ต้องใช้ปริมาณโบมากขึ้น

  • การฉีดโบ หากเข้าสู่ภาวะดื้อโบแล้ว อาจต้องใช้ปริมาณสารในการฉีดโบที่มากขึ้นกว่าปกติ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งในบางกรณี แม้จะเพิ่มปริมาณสารในการฉีดโบมากขึ้น แต่ก็ยังสามารถไม่เห็นผลการเปลี่ยนแปลงหลังฉีด

 

ระดับความรุนแรงของการดื้อโบ

ระดับความรุนแรงของการดื้อโบ หรือระดับการตอบสนองของร่างกายต่อการฉีดโบ สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ระดับ ดังนี้

  • ดื้อโบ ระยะที่ 1

ร่างกายเริ่มมีการตอบสนองต่อสารในการฉีดโบลดลง แต่จะยังคงเห็นผลการเปลี่ยนแปลงได้อยู่ ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้อาจอยู่ได้สั้นกว่าปกติ จากเดิมที่สามารถคงผลลัพธ์ได้นาน ประมาณ 4 – 6 เดือน อาจลดลงเหลือเพียง 1 – 2 เดือน

  • ดื้อโบ ระยะที่ 2

สารในการฉีดโบเริ่มออกฤทธิ์ไม่เต็มที่ โดยจากเดิมที่ใช้ปริมาณสารเท่าเดิมแล้วเห็นผล กลับต้องใช้ปริมาณสารที่มากขึ้น เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ

  • ดื้อโบ ระยะที่ 3

ร่างกายไม่มีการตอบสนองต่อสารในการฉีดโบ ถึงแม้จะใช้ปริมาณสารที่มากขึ้น หรือเปลี่ยนยี่ห้อแล้วก็ตาม โดยจะสังเกตเห็นได้ว่า กล้ามเนื้อยังคงขยับได้ตามปกติ ไม่มีการคลายตัว และริ้วรอยยังคงเห็นได้อย่างชัดเจน

 

ดื้อโบ ส่งผลกระทบอย่างไร?

การดื้อโบ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพโดยตรง แต่ก็ส่งผลเสียต่อความสวยงาม และคุณภาพชีวิตได้ ดังนี้

  • การดื้อโบ ส่งผลให้ไม่เห็นผลลัพธ์ตามที่คาดหวัง 
  • การดื้อโบ ส่งผลให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการฉีดที่มากขึ้น
  • การดื้อโบ ส่งผลให้สูญเสียโอกาสในการฉีดโบในอนาคต
  • การดื้อโบ ส่งผลให้สูญเสียความมั่นใจในตนเอง

 

การดื้อโบ แก้ไขได้อย่างไร?
การดื้อโบ แก้ไขได้อย่างไร?

 

การดื้อโบ แก้ไขได้อย่างไร?

การดื้อโบ สามารถแก้ไขได้ด้วยการพักการฉีดโบชั่วคราว เพื่อรอให้ภูมิคุ้มกันค่อย ๆ หมดฤทธิ์ไปเอง ซึ่งโดยทั่วไป จะแนะนำให้พักการฉีดโบ ประมาณ 3 – 5 ปี หรือในบางกรณีอาจต้องใช้ระยะเวลานานถึง 10 – 20 ปี ซึ่งการพักฉีดโบชั่วคราวนั้น จะช่วยให้ร่างกายลดการสร้างภูมิคุ้มกันมาขึ้นต่อต้าน และสามารถกลับมาตอบสนองต่อสารในการฉีดโบได้อีกครั้ง 

ทั้งนี้ทั้งนั้น ควรปรึกษาแพทย์ที่มีความรู้ และความชำนาญอย่างละเอียด เพื่อหาสาเหตุ และแนวทางการแก้ไขที่เหมาะสม โดยแพทย์อาจแนะนำให้ใช้ทางเลือกอื่นในการแก้ไขปัญหาริ้วรอย ระหว่างที่ร่างกายกำลังพักฟื้นจากการฉีดโบ เช่น การทำเครื่องยกกระชับต่าง ๆ หรือฉีดฟิลเลอร์แทน

 

การดื้อโบ อันตรายไหม? 

การดื้อโบ ถือเป็นภาวะที่ไม่อันตรายต่อร่างกาย แต่ก็ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพในการฉีดโบได้ ทำให้สารในการฉีดโบไม่สามารถออกฤทธิ์ได้อย่างเต็มที่ และผลลัพธ์ที่ได้ไม่เป็นไปตามคาดหวัง จนต้องสูญเสียค่าใช้จ่ายโดยสิ้นเปลือง นอกจากนี้ หากฉีดโบซ้ำบ่อยเกินไป หรือใช้สารปริมาณมาก อาจเป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการที่ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาต่อต้านมากขึ้นไปอีก จนส่งผลกระทบในระยะยาวได้ ดังนั้น ควรปรึกษาแพทย์ที่มีความชำนาญก่อนฉีด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการดื้อโบในอนาคต

 

วิธีป้องกันการดื้อโบ
วิธีป้องกันการดื้อโบ

 

วิธีป้องกันการดื้อโบ

การดื้อโบ เป็นภาวะที่ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาต่อต้านสารในการฉีดโบ ซึ่งยังไม่มีวิธีการรักษาให้หายขาดได้ในปัจจุบัน แต่ก็มีวิธีที่สามารถป้องกันการดื้อโบได้ ดังนี้

  • เลือกใช้โบแท้ที่มีคุณภาพ

การดื้อโบสามารถป้องกันได้ ด้วยการเลือกฉีดโบที่ผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยา (อย.) และตรวจสอบให้แน่ใจว่า ยี่ห้อฉีดโบที่ใช้เป็นของแท้หรือไม่ โดยสังเกตจากบรรจุภัณฑ์ เลขทะเบียน อย. และตรวจสอบจากบริษัทผู้จัดจำหน่ายโดยตรง

  • เลือกฉีดโบโดยแพทย์

การดื้อโบสามารถป้องกันได้ ด้วยการเลือกฉีดโบกับแพทย์ที่มีความรู้ และความชำนาญ เพื่อให้แพทย์ประเมินผิวหน้า และวิเคราะห์ปัญหาอย่างละเอียด พร้อมวางแผนการรักษา โดยการเลือกยี่ห้อฉีดโบที่เหมาะสม เพื่อป้องกันการเกิดภาวะดื้อโบในอนาคต

  • เลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน มีความน่าเชื่อถือ

การดื้อโบสามารถป้องกันได้ ด้วยการเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน และมีความน่าเชื่อถือ ซึ่งจะต้องมีใบอนุญาตประกอบกิจการสถานพยาบาลอย่างถูกต้อง และได้รับการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุข

  • เว้นระยะห่างในการฉีดโบที่เหมาะสม

การดื้อโบสามารถป้องกันได้ ด้วยการเว้นระยะห่างในการฉีดโบอย่างเหมาะสม โดยควรเว้นระยะเวลาห่างกัน อย่างน้อย 3 – 4 เดือนขึ้นไป เพื่อป้องกันร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นต่อต้านสารในการฉีดโบ

  • ฉีดโบในปริมาณที่พอดี

การดื้อโบสามารถป้องกันได้ ด้วยการฉีดโบในปริมาณที่พอดี ซึ่งควรปรึกษาแพทย์ก่อนตัดสินใจฉีด โดยแพทย์จะเป็นผู้ประเมิน และแนะนำปริมาณสารที่ควรใช้ในแต่ละบริเวณอย่างเหมาะสม หลีกเลี่ยงการฉีดโบมากเกินจำเป็น เพื่อป้องกันร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นต่อต้าน

  • หลีกเลี่ยงการเปลี่ยนยี่ห้อโบบ่อยเกินไป

การดื้อโบสามารถป้องกันได้ ด้วยการหลีกเลี่ยงการเปลี่ยนยี่ห้อโบบ่อยจนเกินไป เนื่องจากการเปลี่ยนยี่ห้อโบบ่อย ๆ หรือใช้หลายยี่ห้อในระยะเวลาอันสั้นนั้น อาจเป็นการเพิ่มความเสี่ยงที่ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นต่อต้าน จนเกิดภาวะดื้อโบได้

 

ฉีดโบ ยี่ห้อไหนดี?

การเลือกยี่ห้อฉีดโบที่เหมาะสม และมีความบริสุทธิ์สูง จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดการดื้อโบได้ โดยยี่ห้อฉีดโบที่แนะนำ และได้รับการรับรองจาก อย. มีดังนี้

  • ฉีดโบยี่ห้อ Allergan

ฉีดโบยี่ห้อ Allergan เป็นการฉีดโบสัญชาติสหรัฐอเมริกาที่มีงานวิจัยรองรับมากกว่า 3,500 ฉบับ ซึ่งผ่านการพัฒนามาอย่างยาวนาน ทำให้มีโอกาสในการดื้อโบต่ำมาก เนื่องจากตัวยามีความบริสุทธิ์สูง และมีโมเลกุลขนาดใหญ่ กระจายตัวได้แคบ จึงสามารถออกฤทธิ์ได้อย่างแม่นยำ และตรงจุด อีกทั้ง ยังสามารถเห็นผลได้อย่างรวดเร็ว และคงผลลัพธ์อยู่ได้ยาวนานกว่าการฉีดโบยี่ห้ออื่น ๆ

  • ฉีดโบยี่ห้อ Dysport

ฉีดโบยี่ห้อ Dysport เป็นการฉีดโบสัญชาติอังกฤษที่มีการพัฒนามาอย่างยาวนาน ทำให้มีโปรตีนเจือปนน้อย และมีโอกาสในการดื้อโบต่ำ อีกทั้ง ตัวยามีโมเลกุลขนาดเล็ก และกระจายตัวอย่างทั่วถึงเป็นวงกว้าง โดยไม่เกิดการกระจุกตัวอยู่ในพื้นที่แคบ ๆ จึงเหมาะสำหรับการนำมาฉีดในบริเวณที่มีกล้ามเนื้อมัดใหญ่ เช่น ลิฟกรอบหน้า หรือลดเหงื่อ

  • ฉีดโบยี่ห้อ Xeomin

ฉีดโบยี่ห้อ Xeomin เป็นการฉีดโบสัญชาติเยอรมันที่มีการพัฒนามาอย่างยาวนาน ทำให้มีโอกาสในการดื้อโบต่ำมาก เนื่องจากตัวยามีความบริสุทธิ์สูง โดยปราศจากโปรตีนเจือปนที่ไม่จำเป็น (Complexing Protein) ทำให้ร่างกายไม่เกิดการสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นต่อต้านสารในการฉีดโบ จึงช่วยลดโอกาสเสี่ยงในการเกิดการดื้อโบในระยะยาวได้ เหมาะสำหรับผู้ที่เคยมีประวัติดื้อโบมาก่อน โดยจะต้องเว้นระยะเวลาในการฉีดโบมาแล้ว อย่างน้อย 2 – 3 ปี นอกจากนี้ ตัวยายังสามารถกระจายตัวได้ดี และเป็นวงกว้าง ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้ดูเป็นธรรมชาติ ไม่แข็งทื่อ หรือตึงจนเกินไป

  • ฉีดโบยี่ห้อ Nabota

ฉีดโบยี่ห้อ Nabota เป็นการฉีดโบสัญชาติประเทศเกาหลีใต้ ที่มีการพัฒนามาอย่างยาวนานกว่า 30 ปี ทำให้มีโอกาสในการดื้อโบต่ำ เนื่องจากตัวยามีความบริสุทธิ์สูง% และสามารถออกฤทธิ์ได้อย่างรวดเร็ว ทำให้เห็นผลไว เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเห็นผลการเปลี่ยนแปลงแบบเร่งด่วน และมีงบประมาณจำกัด

 

ฉีดโบแต่ละบริเวณ ควรใช้กี่ยูนิต?

การฉีดโบในแต่ละบริเวณ จะใช้ปริมาณยูนิตที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับปัญหา และการประเมินของแพทย์ ซึ่งโดยส่วนใหญ่ ปริมาณที่เหมาะสมในแต่ละบริเวณ มีดังนี้

  • หน้าผาก จะใช้ปริมาณสารในการฉีดโบ ประมาณ 10 – 30 ยูนิต ขึ้นอยู่กับปัญหา และการประเมินของแพทย์
  • ระหว่างคิ้ว จะใช้ปริมาณสารในการฉีดโบ ประมาณ 15 – 25 ยูนิต ขึ้นอยู่กับปัญหา และการประเมินของแพทย์
  • หางตา จะใช้ปริมาณสารในการฉีดโบ ประมาณ 15 – 25 ยูนิต ขึ้นอยู่กับปัญหา และการประเมินของแพทย์
  • ปีกจมูก จะใช้ปริมาณสารในการฉีดโบ ประมาณ 15 – 25 ยูนิต ขึ้นอยู่กับปัญหา และการประเมินของแพทย์
  • กราม จะใช้ปริมาณสารในการฉีดโบ ประมาณ 50 – 100 ยูนิต ขึ้นอยู่กับปัญหา และการประเมินของแพทย์
  • กรอบหน้า จะใช้ปริมาณสารในการฉีดโบ ประมาณ 30 – 50 ยูนิต ขึ้นอยู่กับปัญหา และการประเมินของแพทย์
  • รักแร้ จะใช้ปริมาณสารในการฉีดโบ ประมาณ 100 – 200 ยูนิต ขึ้นอยู่กับปัญหา และการประเมินของแพทย์

 

ไขข้อสงสัย การฉีดโบ คืออะไร?

การฉีดโบ เป็นหัตถการที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในวงการความงาม ซึ่งใช้สารโปรตีนที่สกัดจากแบคทีเรียถึง 7 ชนิด โดยมีคุณสมบัติในการคลายกล้ามเนื้อชั่วคราวในบริเวณที่หดตัว ส่งผลให้ริ้วรอยต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากการแสดงสีหน้าดูลดเลือนลง พร้อมปรับกรอบหน้า และกล้ามเนื้อกรามให้เรียวเล็ก อีกทั้ง ยังสามารถนำมาแก้ไขปัญหาสุขภาพต่าง ๆ เช่น ลดเหงื่อ ลดอาการปวดออฟฟิศซินโดรม และลดอาการปวดไมเกรนได้อีกด้วย

 

การฉีดโบ ช่วยเรื่องอะไร?

  • การฉีดโบ ช่วยลดเลือนริ้วรอยต่าง ๆ บนใบหน้า
  • การฉีดโบ ช่วยป้องกัน และชะลอการเกิดริ้วรอยใหม่
  • การฉีดโบ ช่วยลดขนาดปีกจมูก แก้ปัญหาปีกจมูกบาน
  • การฉีดโบ ช่วยกระชับรูขุมขน ทำให้รูขุมขนดูเล็กลง
  • การฉีดโบ ช่วยลดขนาดกล้ามเนื้อกราม ทำให้ใบหน้าเรียวเล็ก
  • การฉีดโบ ช่วยปรับกรอบหน้าให้คมชัด ใบหน้ามีมิติมากขึ้น
  • การฉีดโบ ช่วยลดเหงื่อ และระงับกลิ่นตัวไม่พึงประสงค์
  • การฉีดโบ ช่วยลดความถี่ของอาการปวดไมเกรน
  • การฉีดโบ ช่วยลดอาการปวดเมื่อยออฟฟิศซินโดรม

 

การฉีดโบ เหมาะกับใคร?

  • การฉีดโบ เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยจากการแสดงออกทางสีหน้า
  • การฉีดโบ เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัย
  • การฉีดโบ เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาปีกจมูกบานจากการแสดงออกทางสีหน้า
  • การฉีดโบ เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหารูขุมขนกว้าง รูขุมขนไม่กระชับ
  • การฉีดโบ เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหากล้ามเนื้อกรามใหญ่ ใบหน้าบาน 
  • การฉีดโบ เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหากรอบหน้าไม่คมชัด 
  • การฉีดโบ เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาเหงื่อออกมาก และมีกลิ่นตัว
  • การฉีดโบ เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีอาการปวดไมเกรน
  • การฉีดโบ เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีอาการปวดออฟฟิศซินโดรม

ทั้งนี้ ควรเข้ารับการปรึกษาแพทย์ก่อนตัดสินใจฉีดโบ และแจ้งประวัติสุขภาพให้แพทย์ทราบอย่างละเอียด ตั้งแต่ประวัติโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา หรือประวัติการรักษาก่อนเข้ารับบริการ

 

ข้อควรปฏิบัติก่อนฉีดโบ
ข้อควรปฏิบัติก่อนฉีดโบ

 

ข้อควรปฏิบัติก่อนฉีดโบ

  • ก่อนการฉีดโบ ควรเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน และปรึกษาแพทย์ก่อนฉีดโบ
  • ก่อนการฉีดโบ งดรับประทานยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน, ไอบูโพรเฟน และยากลุ่ม NSAIDs 
  • ก่อนการฉีดโบ งดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และการสูบบุหรี่
  • ก่อนการฉีดโบ งดทำทรีตเมนต์ หรือสครับบริเวณที่ฉีดโบ
  • ก่อนการฉีดโบ ควรพักผ่อนให้เพียงพอ

 

ข้อควรปฏิบัติหลังฉีดโบ

  • หลังการฉีดโบ ควรขยับกล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดทันที 1 – 2 ครั้ง เพื่อให้ตัวยาออกฤทธิ์ได้ดีขึ้น
  • หลังการฉีดโบ งดนอนราบ หรือก้มศีรษะต่ำ อย่างน้อย 3 – 4 ชั่วโมง เพื่อไม่ให้ตัวยากระจายไปยังบริเวณอื่น
  • หลังการฉีดโบ งดนวด จับ หรือกดบริเวณที่ฉีดแรง ๆ เพื่อไม่ให้ตัวยากระจายไปยังบริเวณอื่น
  • หลังการฉีดโบ งดโดนความร้อนทุกรูปแบบ และอยู่ท่ามกลางแสงแดดจัด
  • หลังการฉีดโบ งดกิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีด หรือทำให้เหงื่อออกมาก
  • หลังการฉีดโบ งดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และการสูบบุหรี่

 

การฉีดโบ ฉีดกี่วันเห็นผล?

การฉีดโบในแต่ละบริเวณ จะมีระยะเวลาในการออกฤทธิ์ และเห็นผลที่แตกต่างกันออกไป ดังนี้

  • การฉีดโบลดริ้วรอย จะเริ่มออกฤทธิ์ ภายใน 3 – 4 วัน และสามารถเห็นผลลัพธ์ได้อย่างเต็มที่ ภายใน 1 – 2 สัปดาห์
  • การฉีดโบปีกจมูก จะเริ่มออกฤทธิ์ ภายใน 1 – 2 สัปดาห์ และสามารถเห็นผลลัพธ์ได้อย่างเต็มที่ ภายใน 1 เดือน
  • การฉีดโบกราม จะเริ่มออกฤทธิ์ ภายใน 2 สัปดาห์ และสามารถเห็นผลลัพธ์ได้อย่างเต็มที่ ภายใน 2 – 3 เดือน
  • การฉีดโบลิฟกรอบหน้า จะเริ่มออกฤทธิ์ ภายใน 3 – 4 วัน และสามารถเห็นผลลัพธ์ได้อย่างเต็มที่ ภายใน 1 – 2 สัปดาห์

 

การฉีดโบ อยู่ได้นานแค่ไหน?

  • การฉีดโบ โดยส่วนใหญ่แล้ว จะสามารถเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน และคงอยู่ได้ยาวนาน ประมาณ 3 – 6 เดือน ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น บริเวณที่ฉีดโบ สภาพผิวของแต่ละบุคคล และการดูแลตัวเองหลังการฉีดโบ ซึ่งเมื่อสารในการฉีดโบค่อย ๆ หมดฤทธิ์ไปแล้ว สามารถกลับมาฉีดโบซ้ำได้ เพื่อคงประสิทธิภาพของผลลัพธ์ให้ยาวนานอย่างต่อเนื่อง

 

การฉีดโบ มีผลข้างเคียงอย่างไร?

  • หลังการฉีดโบ อาจมีผลข้างเคียงเกิดขึ้นเล็กน้อย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลข้างเคียงที่ปกติ และไม่รุนแรง เช่น รู้สึกปวดตึง มีอาการบวมแดง มีรอยฟกช้ำ หรือปวดศีรษะในช่วงแรก โดยอาการเหล่านี้ สามารถเกิดขึ้นได้ทั่วไป และจะค่อย ๆ หายไปเองตามธรรมชาติ แต่ในกรณีที่พบผลข้างเคียงผิดปกติ เช่น หายใจลำบาก หนังตาตก มุมปากเบี้ยว กล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือเกิดอาการบวมแดงมากกว่าปกติ แนะนำให้รีบพบแพทย์ เพื่อทำการรักษาในทันที

 

การฉีดโบ ทำร่วมกับหัตถการอื่นได้ไหม?

  • การฉีดโบสามารถทำร่วมกับหัตถการอื่น ๆ ได้ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น ฉีดฟิลเลอร์ หรือกลุ่มเครื่องยกกระชับ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น แพทย์จะเป็นผู้ให้คำแนะนำ และวางแผนการรักษาที่เหมาะสม เนื่องจากบางหัตถการต้องมีการเว้นระยะห่างในการทำ เพื่อป้องกันสารเคลื่อนที่ไปยังบริเวณอื่น หรือสลายตัวเร็ว

 

การดื้อโบ ถือเป็นปัญหาที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนที่ทำการฉีดโบ แม้จะเป็นภาวะที่ไม่เป็นอันตราย แต่ก็ส่งผลกระทบต่อความมั่นใจ และประสิทธิภาพของการรักษาในระยะยาวได้ ซึ่งอาจทำให้ผลลัพธ์ที่ได้ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง จนสูญเสียค่าใช้จ่ายโดยสิ้นเปลือง ดังนั้น การป้องกันไม่ให้เกิดการดื้อโบจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากสำหรับผู้ที่ทำการฉีดโบ โดยการเลือกใช้ยี่ห้อฉีดโบแท้ที่มีคุณภาพ ผ่านการรับรอบจาก อย. พร้อมปรึกษาแพทย์ก่อนตัดสินใจฉีดโบทุกครั้ง เพื่อให้ได้รับการประเมิน และวางแผนการรักษาอย่างเหมาะสม ลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะดื้อโบในอนาคต

 

*ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับบริการ

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

สิวอักเสบเกิดจากอะไร ? รวมคำถามเกี่ยวกับสิวอักเสบที่คุณไม่เคยรู้

สิวอักเสบเกิดจากอะไร ?

สิวอักเสบเกิดจากอะไร ? รวมคำถามเกี่ยวกับสิวอักเสบที่คุณไม่เคยรู้

“สิว” ปัญหาผิวหนังยอดฮิตที่กวนใจใครหลายคน ไม่ว่าจะเด็ก วัยรุ่น หรือผู้ใหญ่ ต่างก็ต้องเคยเผชิญกับสิวเม็ดเล็กๆ ที่ผุดขึ้นมาบนใบหน้า สร้างความรำคาญใจ ไม่มั่นใจ แต่สิวที่สร้างความหนักใจยิ่งกว่า คงหนีไม่พ้น “สิวอักเสบ” สิวตัวร้ายที่มากับอาการบวมแดง เจ็บปวด หากปล่อยทิ้งไว้ไม่รีบรักษา อาจนำไปสู่ปัญหาผิวหนังเรื้อรัง ทิ้งรอยแผลเป็นบนผิวได้ แล้วเราจะรับมือกับสิวอักเสบได้อย่างไร ?  บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกทุกแง่มุมของสิวอักเสบ เพื่อให้คุณเข้าใจ และสามารถเลือกวิธีการรักษาสิวอักเสบที่เหมาะสมกับตัวเองได้

 

สิวอักเสบคืออะไร ?

สิวอักเสบ คือ สิวประเภทหนึ่งที่เกิดการอุดตันของรูขุมขนจากน้ำมันส่วนเกิน และเชื้อแบคทีเรีย Cutibacterium acnes (C. acnes) ทำให้เกิดเป็นสิวที่มีการอักเสบ บวมแดง และอาจมีหนองร่วมด้วยในบางบุคคล ทำให้เกิดอาการเจ็บ

 

ลักษณะของสิวอักเสบ
ลักษณะของสิวอักเสบ

 

ลักษณะของสิวอักเสบ

สิวอักเสบเป็นสิวที่มีอาการเด่นชัด เช่น สีแดง บวม เจ็บ และอาจมีหนองร่วมด้วย ทำให้เกิดความรู้สึกไม่สบายผิวหรือระคายเคืองได้ การดูแลรักษาอย่างถูกวิธีจึงเป็นสิ่งสำคัญ ที่จะป้องกันการลุกลามและลดโอกาสการเกิดรอยแผลเป็น การสังเกตลักษณะของสิวจะช่วยให้คุณเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับสิวที่เป็นได้ โดยสิวอักเสบมีลักษณะที่สามารถสังเกตได้ ดังนี้

  • สิวอักเสบมักมีลักษณะบวมและแดง
  • สิวอักเสบมักอาจมีหัวหนองสีขาวหรือเหลืองได้ 
  • สิวอักเสบมักมีลักษณะที่กดแล้วเจ็บ หรือมีอาการปวด
  • สิวอักเสบมักสามารถพัฒนาเป็นตุ่มนูนขนาดใหญ่ หากรุนแรงอาจกลายเป็นก้อนแข็งหรือซีสต์ใต้ผิวหนัง
  • สิวอักเสบอาจทิ้งรอยดำหรือแผลเป็นได้หลังจากการรักษา

สิวอักเสบหากมีอาการรุนแรงอาจกลายเป็นก้อนแข็งหรือซีสต์ใต้ผิวหนัง และมีโอกาสทิ้งรอยแผลเป็นหรือรอยดำหลังจากหาย การดูแลรักษาตั้งแต่ระยะแรกเป็นสิ่งสำคัญเพื่อลดการอักเสบและป้องกันรอยแผลเป็นในอนาคต

 

สิวอักเสบเกิดจากอะไร ?
สิวอักเสบเกิดจากอะไร ?

 

สิวอักเสบเกิดจากอะไร ?

สิวอักเสบเป็นสิวที่เกิดจากการอักเสบของรูขุมขน โดยมีสาเหตุหลักจากการอุดตันของรูขุมขนจากน้ำมันส่วนเกิน (Sebum) เซลล์ผิวที่ตายแล้ว ร่วมกับการติดเชื้อแบคทีเรีย Cutibacterium acnes (C. acnes) ที่กระตุ้นให้เกิดการอักเสบ ซึ่งการเกิดสิวอักเสบมีกระบวนการเกิดสิว ดังนี้

 

  • กระบวนการแรกของการเกิดสิวอักเสบจะเกิดการอุดตันของรูขุมขน

กระบวนการนี้เกิดจากการที่น้ำมันส่วนเกิน (Sebum) ที่ผลิตโดยต่อมไขมันใต้ผิวหนังผลิตน้ำมันออกมามากเกินไป จนเกิดไขมันสะสมในรูขุมขน เมื่อผสมรวมกับเซลล์ผิวที่ตายไปแล้ว จะทำให้เกิดรูขุมขนอุดตันจนออกซิเจนไม่สามารถเข้าไปได้ ทำให้เกิดสภาวะที่เหมาะสมต่อการเติบโตของแบคทีเรีย

  • กระบวนการต่อมาของการเกิดสิวอักเสบจะเกิดการสะสมของแบคทีเรีย

หลังจากการที่รูขุมขนอุดตันจนไม่มีออกซิเจนเข้าไปได้แล้วนั้น แบคทีเรียที่ชื่อว่า Cutibacterium acnes (C. acnes) ที่อาศัยอยู่ในรูขุมขนจะปล่อยเอนไซม์และสารเคมีบางชนิดออกมา ซึ่งไปกระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาการอักเสบ

  • กระบวนการสุดท้ายของการเกิดสิวอักเสบ ร่างกายจะเกิดการกระตุ้นให้เกิดการอักเสบ

เมื่อร่างกายรับรู้ถึงการอักเสบหรือติดเชื้อ จะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันจะตอบสนองเพื่อไปต่อสู้กับเชื้อแบคทีเรีย ทำให้เกิดอาการบวมแดง ร้อน และเจ็บ จนเกิดเป็นสิวอักเสบรุนแรงขึ้นมาได้

 

การเข้าใจกระบวนการเกิดสิวอักเสบทั้ง 3 ขั้นตอนเหล่านี้ จะช่วยให้คุณเข้าใจและสามารถเลือกวิธีการรักษาสิวอักเสบและป้องกันการเกิดสิวอักเสบได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

ปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดสิวอักเสบ

การเกิดสิวอักเสบ เกิดจากหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อการอุดตันของรูขุมขนและการเติบโตของแบคทีเรีย Cutibacterium acnes (C. acnes) ซึ่งทำให้เกิดการอักเสบ บวมแดง และอาจมีหนองร่วมด้วย โดยปัจจัยหลักที่กระตุ้นให้เกิดสิวอักเสบ มีดังนี้

 

1.สิวอักเสบที่ถูกกระตุ้นด้วยมลภาวะและสิ่งแวดล้อม (Pollution & Environmental Factors)

สิวอักเสบสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย หนึ่งในนั้นคือมลภาวะและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นปัจจัยภายนอกที่ส่งผลต่อผิวโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นฝุ่นละออง ควันจากท่อไอเสีย สารเคมีในอากาศ และแสงแดด ที่จะไปกระตุ้นให้ผิวเกิดการอักเสบและกระตุ้นให้ต่อมไขมันทำงานหนักขึ้น จนเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดสิวอักเสบได้

 

2.สิวอักเสบที่ถูกกระตุ้นด้วยพฤติกรรมสัมผัสหน้าและบีบสิว

พฤติกรรมการสัมผัสใบหน้าและการบีบสิวเป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้เกิดสิวอักเสบโดยไม่รู้ตัวได้  เนื่องจากมือของเราอาจมีแบคทีเรียและน้ำมัน ที่จะทำให้รูขุมขนอุดตันและเกิดการอักเสบได้ง่ายขึ้น ซึ่งการสัมผัสหน้าบ่อย ๆ ด้วยมือที่ไม่สะอาด อาจทำให้เชื้อโรคสามารถแพร่กระจายเข้าสู่รูขุมขน ทำให้เกิดการติดเชื้อและกระตุ้นให้สิวอักเสบได้

 

3.สิวอักเสบที่ถูกกระตุ้นด้วยฮอร์โมน (Hormonal Changes)

สิวอักเสบที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเป็นหนึ่งในสาเหตุที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะในช่วงวัยรุ่น ผู้หญิงในช่วงรอบเดือน การตั้งครรภ์ หรือภาวะที่เกี่ยวข้องกับฮอร์โมนอื่น ๆ เมื่อระดับฮอร์โมนแปรปรวน อาจส่งผลให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมามากกว่าปกติ ทำให้รูขุมขนอุดตันและเกิดสิวอักเสบได้ง่ายขึ้น 

 

4.สิวอักเสบที่ถูกกระตุ้นด้วยผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและเครื่องสำอางบางชนิด (Skincare & Makeup Products)

การใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและเครื่องสำอางบางชนิดสามารถเป็นสาเหตุของการเกิดสิวอักเสบได้ หากผลิตภัณฑ์เหล่านั้นมีส่วนผสมที่อุดตันรูขุมขน หรือก่อให้เกิดการระคายเคืองกับผิว โดยเฉพาะในผู้ที่มีผิวมันหรือผิวที่มีแนวโน้มเป็นสิวง่าย (Acne-prone skin)

 

5.สิวอักเสบที่ถูกกระตุ้นด้วยการรับประทานอาหารบางชนิด

อาหารที่รับประทานในแต่ละวันสามารถมีผลต่อการเกิดสิวอักเสบได้ โดยเฉพาะอาหารที่ส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด ฮอร์โมน และการทำงานของต่อมไขมัน หรืออาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลสูง (Glycemic Index – GI) เนื่องจากอาหารต่าง ๆ เหล่านี้สามารถกระตุ้นให้ระดับอินซูลินในร่างกายเพิ่มสูงขึ้นได้ เมื่ออินซูลินสูงขึ้นก็จะกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากขึ้นด้วย ทำให้รูขุมขนอุดตันง่ายขึ้น ส่งผลให้เกิดสิวอักเสบได้มากขึ้น

 

6.สิวอักเสบที่ถูกกระตุ้นด้วยความเครียดและการพักผ่อน (Stress & Sleep)

ความเครียดเป็นปัจจัยสำคัญที่สามารถกระตุ้นให้เกิดสิวอักเสบได้ เนื่องจากเมื่อร่างกายเกิดความเครียด จะมีการหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ออกมา ซึ่งฮอร์โมนนี้สามารถกระตุ้นให้ต่อมไขมันใต้ผิวหนังผลิตน้ำมันออกมามากขึ้น ทำให้รูขุมขนอุดตันได้ง่าย และนำไปสู่การเกิดสิวอักเสบ นอกจากนี้การพักผ่อนไม่เพียงพอก็มีผลต่อการเกิดสิวเช่นกัน เพราะถ้าหากนอนดึกหรือนอนหลับไม่เพียงพอ ฮอร์โมนในร่างกายอาจเสียสมดุล ทำให้เกิดการผลิตน้ำมันบนผิวเพิ่มขึ้น จนเกิดสิวอักเสบได้

 

ปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดสิวอักเสบมีหลายสาเหตุ การควบคุมและหลีกเลี่ยงปัจจัยเหล่านี้สามารถช่วยลดโอกาสเกิดสิวอักเสบได้

 

สิวอักเสบมีกี่ประเภท ?

สิวอักเสบมีหลายประเภท ซึ่งสามารถแบ่งออกได้ตามระดับความรุนแรงและลักษณะของสิวเป็น 4 ประเภท ได้แก่

1.สิวอักเสบประเภทสิวตุ่มแดง (Papules)

สิวตุ่มแดง (Papules) เป็นสิวอักเสบระยะเริ่มต้นที่เกิดจากการอุดตันของรูขุมขนร่วมกับการอักเสบ มักทำให้รู้สึกเจ็บหรือระคายเคืองเมื่อสัมผัส

ลักษณะของสิวอักเสบประเภทสิวตุ่มแดง (Papules)

  • สิวอักเสบประเภทสิวตุ่มแดงมักมีลักษณะเป็น ตุ่มเล็กสีแดง หรือชมพู ขนาดประมาณ 1-5 มิลลิเมตร
  • สิวอักเสบประเภทสิวตุ่มแดงมักไม่มีหัวหนอง และไม่มีของเหลวภายใน
  • สิวอักเสบประเภทสิวตุ่มแดงอาจมีอาการเจ็บหรือระคายเคืองเมื่อลูบหรือสัมผัสได้

สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดสิวอักเสบประเภทสิวตุ่มแดง (Papules)

  • สิวอักเสบประเภทสิวตุ่มแดงมักเกิดจากการอุดตันของรูขุมขนจากน้ำมันส่วนเกินและเซลล์ผิวที่ตายแล้ว
  • สิวอักเสบประเภทสิวตุ่มแดงมักเกิดจากการสะสมของแบคทีเรีย Cutibacterium acnes (C. acnes)
  • สิวอักเสบประเภทสิวตุ่มแดงเกิดได้จากปัจจัยกระตุ้นอื่น ๆ เช่น ฮอร์โมน ความเครียด และการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ก่อให้เกิดการอุดตัน

 

2.สิวอักเสบประเภทสิวหัวหนอง (Pustules)

สิวหัวหนอง (Pustules) เป็นสิวอักเสบที่เกิดจากการอุดตันของรูขุมขนที่มีการติดเชื้อแบคทีเรีย Cutibacterium acnes (C. acnes) และร่างกายตอบสนองด้วยการส่งเซลล์เม็ดเลือดขาวไปต่อสู้กับเชื้อโรค ทำให้เกิดของเหลวสีขาวหรือเหลืองภายในหัวสิว

ลักษณะของสิวอักเสบประเภทสิวหัวหนอง (Pustules)

  • สิวอักเสบประเภทสิวหัวหนองมักมีลักษณะเป็นตุ่มแดงบวม และมีหัวหนองสีขาวหรือเหลืองตรงกลาง
  • สิวอักเสบประเภทสิวหัวหนองมักมีขนาดอยู่ระหว่าง 2-6 มิลลิเมตร
  • สิวอักเสบประเภทสิวหัวหนองอาจมีอาการเจ็บหรือคันบริเวณที่เป็นสิว
  • สิวอักเสบประเภทสิวหัวหนองหากบีบหรือแกะ อาจทำให้การอักเสบลุกลามและเกิดรอยดำหรือแผลเป็น

สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดสิวอักเสบประเภทสิวหัวหนอง (Pustules)

  • สิวอักเสบประเภทสิวหัวหนองมักเกิดจากการอุดตันของรูขุมขน
  • สิวอักเสบประเภทสิวหัวหนองมักเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายตอบสนองด้วยการส่งเซลล์เม็ดเลือดขาวไปกำจัดเชื้อ ทำให้เกิดหนอง
  • สิวอักเสบประเภทสิวหัวหนองมักเกิดจากปัจจัยกระตุ้นจากภายนอก เช่น การใช้ผลิตภัณฑ์ที่อุดตันรูขุมขน  การบีบหรือแกะสิว หรือการรับประทานอาหารบางชนิด

 

3.สิวอักเสบประเภทสิวหัวช้าง (Nodules)

สิวหัวช้าง (Nodules) เป็นสิวอักเสบชนิดรุนแรงที่เกิดลึกลงไปใต้ผิวหนังชั้นหนังแท้ ซึ่งสิวประเภทนี้เกิดจากการอักเสบอย่างรุนแรงของรูขุมขนที่อุดตัน และอาจใช้เวลานานกว่าจะหาย

ลักษณะของสิวอักเสบประเภทสิวหัวช้าง (Nodules)

  • สิวอักเสบประเภทสิวหัวช้างมักมีขนาดใหญ่และแข็ง อยู่ลึกใต้ผิวหนัง มักพบในบริเวณที่มีต่อมไขมันเยอะ เช่น กราม คอ และหลัง
  • สิวอักเสบประเภทสิวหัวช้างมักไม่มีหัวหนองชัดเจน แต่บางครั้งอาจมีหัวสิวสีแดงเข้มหรือม่วง
  • สิวอักเสบประเภทสิวหัวช้างมักเจ็บปวดมาก โดยเฉพาะเมื่อลูบหรือสัมผัส
  • สิวอักเสบประเภทสิวหัวช้างใช้เวลานานกว่าจะยุบตัว และมีโอกาสทิ้งรอยดำหรือแผลเป็นลึกได้

สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดสิวอักเสบประเภทสิวหัวช้าง (Nodules)

  • สิวอักเสบประเภทสิวหัวช้างมักเกิดจากการอุดตันของรูขุมขนอย่างรุนแรง
  • สิวอักเสบประเภทสิวหัวช้างมักเกิดจากแบคทีเรียเจริญเติบโตมากเกินไปในรูขุมขนที่อุดตัน
  • สิวอักเสบประเภทสิวหัวช้างมักเกิดจากกรรมพันธุ์และฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลง

 

4.สิวอักเสบประเภทสิวซีสต์ (Cystic Acne)

สิวซีสต์ (Cystic Acne) เป็น สิวอักเสบชนิดรุนแรงที่สุดที่เกิดลึกลงไปใต้ผิวหนัง ทำให้สิวประเภทนี้มักเจ็บปวดมากและใช้เวลานานกว่าจะหาย และหากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง อาจทิ้งรอยแผลเป็นลึกและรอยดำบนผิวหนัง

ลักษณะของสิวอักเสบประเภทสิวซีสต์ (Cystic Acne)

  • สิวอักเสบประเภทสิวซีสต์มักมีลักษณะเป็นก้อนสิวขนาดใหญ่อยู่ลึกใต้ผิวหนัง
  • สิวอักเสบประเภทสิวซีสต์มักมีหนองจำนวนมาก สะสมอยู่ภายใน ทำให้สิวดูบวมใหญ่
  • สิวอักเสบประเภทสิวซีสต์มักมีสีแดงเข้มหรือม่วงและบางครั้งอาจแตกออกเอง ทำให้หนองไหลออกมา
  • สิวอักเสบประเภทสิวซีสต์มักเจ็บปวดมาก และอาจรู้สึกตึงบริเวณที่เป็นสิว

สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดสิวอักเสบประเภทสิวซีสต์ (Cystic Acne)

  • สิวอักเสบประเภทสิวซีสต์มักเกิดจากฮอร์โมน โดยเฉพาะในช่วงวัยรุ่น หรือช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน
  • สิวอักเสบประเภทสิวซีสต์มักเกิดจากพันธุกรรม หากพ่อแม่เคยเป็นสิวรุนแรง ลูกอาจมีแนวโน้มเป็นสิวประเภทนี้
  • สิวอักเสบประเภทสิวซีสต์มักเกิดจากการอักเสบที่ลึกและรุนแรงของรูขุมขน

 

สิวอักเสบแต่ละประเภทต้องการวิธีรักษาที่แตกต่างกันออกไป และหากมีอาการรุนแรงมาก ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำในการรักษาที่เหมาะสม

 

สิวอักเสบต่างจากสิวอุดตันยังไง ?
สิวอักเสบต่างจากสิวอุดตันยังไง ?

 

สิวอักเสบต่างจากสิวอุดตันยังไง ?

สิวอักเสบ และ สิวอุดตัน เป็นสิวที่เกิดจากกระบวนการอุดตันของรูขุมขนเหมือนกัน แต่แตกต่างกันที่ระดับของการอักเสบและลักษณะของสิว โดยสิวอุดตันเป็นระยะเริ่มต้นของสิวแต่ยังไม่มีการอักเสบ ไม่เจ็บ และสามารถพัฒนาไปเป็นสิวอักเสบได้หากมีการติดเชื้อแบคทีเรีย มีความเสี่ยงต่อการเกิดรอยแผลเป็นหลังการรักษาน้อยกว่าสิวอักเสบ ในขณะที่สิวอักเสบเกิดจากสิวอุดตันที่ติดเชื้อแบคทีเรีย ทำให้เกิดการบวมแดง อาจมีหนอง และเจ็บได้ อีกทั้งยังมีความเสี่ยงต่อการเกิดรอยแผลเป็นหลังการรักษามากกว่า

 

สิวอักเสบมักขึ้นบริเวณไหนมากที่สุด ?

สิวอักเสบสามารถเกิดขึ้นได้ทุกบริเวณของร่างกายที่มีรูขุมขนและต่อมไขมัน แต่จะพบบ่อยในบริเวณที่มีการผลิตน้ำมันมากเป็นพิเศษ เนื่องจากไขมันส่วนเกินเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้รูขุมขนอุดตันและเกิดสิวอักเสบ โดยบริเวณที่พบสิวอักเสบมากที่สุด ได้แก่

 

  • สิวอักเสบมักพบได้บ่อยที่สุดบริเวณใบหน้า (Face) โดยเฉพาะบริเวณหน้าผาก แก้ม คางและกราม
  • สิวอักเสบมักพบได้บริเวณหลัง (Back Acne หรือ Bacne) เนื่องจากเป็นบริเวณที่มีต่อมไขมันขนาดใหญ่ ทำให้เกิดสิวอักเสบได้ง่าย
  • สิวอักเสบมักพบได้บริเวณหน้าอก (Chest Acne) เนื่องจากมักเกิดการสะสมของเหงื่อและเกิดการเสียดสีบริเวณนี้บ่อย 
  • สิวอักเสบมักพบได้บริเวณไหล่และต้นแขน (Shoulders & Upper Arms) เนื่องจากมักเกิดการสะสมของเหงื่อ และเกิดการเสียดสีกับเสื้อผ้า กระเป๋าสะพายบริเวณนี้บ่อย
  • สิวอักเสบมักพบได้บริเวณก้น (Butt Acne) จากการใส่เสื้อผ้าที่รัดแน่น เหงื่อสะสม หรือการเสียดสีของผิวหนัง

 

สิวอักเสบสามารถเกิดได้หลายบริเวณทั่วร่างกาย แต่หากเป็นสิวอักเสบรุนแรงในหลายบริเวณ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม

 

วิธีการรักษาสิวอักเสบ
วิธีการรักษาสิวอักเสบ

 

วิธีการรักษาสิวอักเสบ

การรักษาสิวอักเสบจำเป็นต้องเลือกวิธีที่เหมาะสมกับระดับความรุนแรงของสิวอักเสบที่เป็น และต้องดูแลผิวอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจและลดโอกาสการเกิดรอยแผลเป็นหลังการรักษา  โดยวิธีการรักษาสิวอักเสบสามารถทำได้หลายวิธี ดังนี้ 

 

1.รักษาสิวอักเสบด้วยการดูแลตนเองเบื้องต้น

การดูแลตนเองเป็นวิธีเบื้องต้นที่ช่วยลดอาการสิวอักเสบและป้องกันการเกิดสิวใหม่ โดยเน้นการทำความสะอาดผิวอย่างถูกต้อง ควบคุมความมัน และลดการอุดตันของรูขุมขน

การรักษาสิวอักเสบด้วยการดูแลตนเองเหมาะสำหรับ

  • ผู้ที่มีสิวอักเสบเล็กน้อยถึงปานกลาง
  • ผู้ที่ต้องการลดการเกิดสิวโดยไม่ใช้ยาแรง
  • ผู้ที่ต้องการปรับพฤติกรรมและดูแลสุขภาพผิวอย่างยั่งยืน

 

2.รักษาสิวอักเสบด้วยการใช้ยารักษาสิวอักเสบ

การใช้ยาในการรักษาสิวอักเสบเป็นแนวทางที่ช่วยลดการอักเสบ ควบคุมเชื้อแบคทีเรีย และป้องกันการเกิดสิวใหม่ได้ โดยสามารถแบ่งออกเป็น ยาทา (Topical Treatment) และยารับประทาน (Oral Medication) 

การรักษาสิวอักเสบด้วยการใช้ยารักษาสิวอักเสบเหมาะสำหรับ

  • ผู้ที่มีสิวอักเสบปานกลางถึงรุนแรง
  • ผู้ที่ดูแลตัวเองแล้วแต่สิวยังไม่ดีขึ้น
  • ผู้ที่ต้องการรักษาสิวให้หายเร็วขึ้นและลดโอกาสเกิดแผลเป็น
  • ผู้ที่มีสิวอักเสบจากฮอร์โมน หรือมีแนวโน้มเป็นสิวเรื้อรัง

 

3.รักษาสิวอักเสบด้วยการฉีดยาสเตียรอยด์เพื่อลดการอักเสบ

การฉีดยาสเตียรอยด์ (Intralesional Corticosteroid Injection) เป็นวิธีที่ช่วยลดการอักเสบของสิวที่มีขนาดใหญ่และเจ็บปวด เช่น สิวหัวช้าง หรือสิวซีสต์

การรักษาสิวอักเสบด้วยการฉีดยาสเตียรอยด์เพื่อลดการอักเสบ เหมาะสำหรับ

  • ผู้ที่มี สิวอักเสบรุนแรง เช่น สิวหัวช้าง สิวซีสต์ หรือสิวอักเสบขนาดใหญ่
  • ผู้ที่ต้องการ ลดการอักเสบของสิวอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะก่อนโอกาสสำคัญ เช่น งานแต่งงาน หรือการถ่ายรูป
  • ผู้ที่ใช้ยาทาหรือยารับประทานแล้วไม่ได้ผล หรือสิวมีแนวโน้มทิ้งรอยแผลเป็น

 

4.รักษาสิวอักเสบด้วยการทำเลเซอร์รักษาสิว

การทำเลเซอร์รักษาสิวเป็นวิธีที่ช่วยลดการอักเสบ ฆ่าเชื้อแบคทีเรียและลดการผลิตน้ำมันในรูขุมขน โดยใช้พลังงานแสงหรือคลื่นพลังงานเฉพาะที่ช่วยฟื้นฟูผิวและลดรอยแดงจากสิว

การรักษาสิวอักเสบด้วยการทำเลเซอร์รักษาสิวเหมาะสำหรับ

  • ผู้ที่มี สิวอักเสบเรื้อรัง และไม่ตอบสนองต่อยาทาหรือยารับประทาน
  • ผู้ที่ต้องการ ลดการอักเสบของสิวโดยไม่ใช้ยา
  • ผู้ที่มี ผิวมันและมีแนวโน้มเป็นสิวง่าย ต้องการควบคุมความมัน
  • ผู้ที่ต้องการลดรอยแดงและรอยดำจากสิวไปพร้อมกัน

 

5.รักษาสิวอักเสบด้วยการกดสิวและดูดสิวโดยแพทย์

การกดสิวและดูดสิวเป็นกระบวนการกำจัดสิวอุดตันและสิวอักเสบโดยใช้เครื่องมือพิเศษ เช่น ที่กดสิวหรือเครื่องดูดสิวสุญญากาศ เพื่อลดการอุดตันของรูขุมขนและป้องกันการเกิดสิวอักเสบซ้ำ

การรักษาสิวอักเสบด้วยการกดสิวและดูดสิวโดยแพทย์เหมาะสำหรับ

  • ผู้ที่มีสิวอุดตัน (Comedonal Acne) เช่น สิวหัวขาว (Whiteheads) และสิวหัวดำ (Blackheads)
  • ผู้ที่มีสิวอักเสบขนาดเล็ก ที่เกิดจากสิวอุดตัน เพื่อป้องกันการลุกลาม
  • ผู้ที่มีปัญหาผิวมันและรูขุมขนอุดตัน และต้องการลดสิ่งอุดตันในรูขุมขน
  • ผู้ที่ต้องการกำจัดสิวโดยไม่มีผลข้างเคียง แทนการบีบหรือแกะสิวเอง ซึ่งอาจทำให้เกิดการอักเสบหรือแผลเป็น

 

สิวอักเสบบีบออกด้วยตัวเองได้ไหม ?

โดยปกติแล้ว จะไม่แนะนำให้บีบสิวอักเสบ เพราะอาจทำให้การอักเสบรุนแรงขึ้นและเสี่ยงต่อการเกิดรอยแผลเป็นหรือรอยดำหลังสิวหายได้ โดยเหตุผลที่ไม่ควรบีบสิวอักเสบ มีดังนี้

  • การบีบสิวอักเสบอาจเพิ่มการอักเสบและการติดเชื้อได้
  • การบีบสิวอักเสบอาจทำให้สิวหายช้าลง
  • การบีบสิวอักเสบอาจเสี่ยงเกิดรอยดำและหลุมสิวถาวรได้
  • การบีบสิวอักเสบอาจกระตุ้นให้เกิดสิวใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม

หากต้องการรักษาสิวอักเสบไม่ควรบีบสิวอักเสบเอง เพราะเสี่ยงต่อการอักเสบ รอยดำ และหลุมสิว แต่หากเป็นสิวหัวหนองและต้องการกำจัดออก ควรทำโดยผู้เชี่ยวชาญเพื่อลดโอกาสเกิดผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต

 

สิวอักเสบหายแล้วจะกลับมาเป็นอีกไหม ?

สิวอักเสบสามารถกลับมาเป็นซ้ำได้ หากสาเหตุที่ทำให้เกิดสิวยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างเหมาะสม นอกจากนี้ปัจจัยภายนอกต่าง ๆ เช่น ความเครียด อาหารบางชนิด และมลภาวะ ก็อาจกระตุ้นให้เกิดสิวอักเสบซ้ำได้ แม้ว่าสิวจะหายไปแล้วก็ตาม ดังนั้น การดูแลผิวอย่างต่อเนื่อง เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม และปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต จะช่วยลดโอกาสที่สิวอักเสบจะกลับมาเป็นซ้ำได้

 

วิธีป้องกันการเกิดสิวอักเสบ 

วิธีการป้องกันการเกิดสิวอักเสบ เป็นกระบวนการที่ต้องทำอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง โดยเน้นไปที่การดูแลผิวและการปรับพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เพื่อลดปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดสิว โดยวิธีป้องกันการเกิดสิวอักเสบสามารถทำได้ ดังนี้

 

  • ป้องกันการเกิดสิวอักเสบด้วยการรักษาความสะอาดผิวหน้า ด้วยผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่อ่อนโยน ปราศจากสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง เพราะอาจกระตุ้นให้ผิวอักเสบและทำให้สิวอักเสบแย่ลงได้
  • ป้องกันการเกิดสิวอักเสบด้วยการเลือกใช้สกินแคร์และเครื่องสำอางที่ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน เพื่อป้องกันสิ่งตกค้างที่อาจทำให้เกิดสิวอุดตันและพัฒนาเป็นสิวอักเสบ
  • ป้องกันการเกิดสิวอักเสบด้วยการควบคุมความมันบนใบหน้า  สามารถทำได้ด้วยการเลือกใช้สกินแคร์ที่ช่วยควบคุมความมัน การใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่ช่วยลดความมัน เป็นต้น
  • ป้องกันการเกิดสิวอักเสบด้วยการลดความเครียดและนอนหลับให้เพียงพอ เพื่อช่วยให้ระบบฮอร์โมนสมดุลและลดโอกาสเกิดสิว
  • ป้องกันการเกิดสิวอักเสบด้วยการหลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้าและบีบสิว เพื่อลดการนำเชื้อโรคเข้าสู่รูขุมขนและกระตุ้นให้เกิดสิวอักเสบ
  • ป้องกันการเกิดสิวอักเสบด้วยการดูแลสุขภาพจากภายใน เช่น การหลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลสูง, อาหารแปรรูป และนมวัว และเลือกทานอาหารที่ช่วยบำรุงผิว เพื่อช่วยลดการอักเสบของสิว

 

สิวอักเสบเป็นปัญหาผิวที่พบได้บ่อย โดยสิวอักเสบเกิดจากการอุดตันของรูขุมขน ร่วมกับการติดเชื้อแบคทีเรีย Cutibacterium acnes (C. acnes) ส่งผลให้เกิดการอักเสบ บวมแดง เจ็บปวด และอาจมีหนองขึ้นในที่สุด 

ปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดสิวอักเสบมีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นฮอร์โมน ความเครียด การใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว เครื่องสำอางบางชนิด หรือการรับประทานอาหารบางชนิด การหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นเหล่านี้จะช่วยลดโอกาสการเกิดสิวอักเสบได้

อีกทั้งการรักษาสิวอักเสบยังสามารถทำได้หลายวิธีตั้งแต่การรักษาด้วยตัวเอง การรักษาด้วยยา การฉีด กด  และการทำเลเซอร์ แต่ทั้งนี้ควรทำควบคู่ไปกับการดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพและลดโอกาสการเกิดรอยแผลเป็นหลังการรักษาได้

 

*ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวแต่ละบุคคล

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

Emface Eyes ผสาน 2 เทคโนโลยีเพื่อผิวใต้ตาเฟิร์ม กระจ่างใส ดูอ่อนเยาว์

Emface Eyes

ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




    วันที่สะดวกในการติดต่อ








    Emface Eyes
    ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

    Emface Eyes ผสาน 2 เทคโนโลยีเพื่อผิวใต้ตาเฟิร์ม กระจ่างใส ดูอ่อนเยาว์

     

    Emface Eyes เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดที่ออกแบบในการดูแลผิวบริเวณรอบดวงตาโดยเฉพาะ Emface Eyes ถูกคิดค้นให้ดูแลผิวบริเวณใต้ตาด้วย 2 เทคโนโลยีสำคัญไว้ใน Applicator แผ่นเดียว เหมือนกันกับ Emface และ Emface Submentum โดยใช้หลักการเดิมคือเป็นเครื่องยกกระชับที่สามารถยกกระชับได้ลึกถึงชั้นกล้ามเนื้อ เพียงแต่เปลี่ยน Applicator จากที่เดิมทำงานกับกล้ามเนื้อส่วนอื่นมาเป็นกล้ามเนื้อบริเวณใต้ตาแทนนั่นเอง

    Emface Eyes มี Applicator ที่ออกแบบพิเศษให้โค้งรับกับบริเวณใต้ตา ส่งพลังงานได้แม่นยำและนุ่มนวล โดยลักษณะของหัว Applicator จะมีความโค้งและเรียวเฉพาะตัว เพื่อให้แนบสนิทกับแนวผิวรอบเบ้าตา ซึ่งเป็นบริเวณที่มีลักษณะเว้า และบอบบางกว่าส่วนอื่นของใบหน้า การออกแบบเช่นนี้ทำให้สามารถควบคุมทิศทางและระดับพลังงานได้อย่างแม่นยำ ลดโอกาสเกิดการกระจายของพลังงานไปยังบริเวณที่ไม่ต้องการ และช่วยให้การกระตุ้นผิวและกล้ามเนื้อบริเวณใต้ตาเป็นไปอย่างอ่อนโยนและมีประสิทธิภาพ

     

    Emface Eyes ประกอบไปด้วย 2 คลื่นพลังงานเหมือนกับ Emface อื่นๆ คือ คลื่นพลังงาน

     

    Emface Eyes ประกอบไปด้วย 2 คลื่นพลังงาน
    Emface Eyes ประกอบไปด้วย 2 คลื่นพลังงาน

     

    HIFES ใน Emface Eyes 

    • หรือชื่อเต็มคือ High-Intensity Focused Electrical Stimulation เป็นคลื่นไฟฟ้าความเข้มสูงที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของมัดกล้ามเนื้อบริเวณใต้ตาโดยตรง ช่วยให้เกิดการเรียงตัวใหม่ของเส้นใยกล้ามเนื้อ ส่งผลให้ผิวใต้ตาดูเต่งตึงขึ้น มีความกระชับที่ชัดเจนโดยไม่ต้องใช้เข็มหรือผ่าตัด

    นอกจากนี้คลื่น HIFES ยังช่วยในการลดความหย่อนคล้อย และเพิ่มคืนความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อบริเวณใต้ตาในชั้นลึก ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของปัญหาริ้วรอยและความเหี่ยวย่นของใต้ตา

     

    Emface Eyes
    Emface Eyes ฟื้นฟูผิวใต้ตาด้วยสองพลังงานคลื่น

     

    Synchronized RF ใน Emface Eyes 

    • ใน Emface Eyes ยังประกอบด้วยอีก 1 คลื่นคือ Synchronized RF (Radiofrequency) ซึ่งเป็นพลังงานคลื่นวิทยุที่ทำงานอย่างแม่นยำและปลอดภัย ช่วยกระตุ้นสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิวอย่างต่อเนื่อง

    ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้จากการทำ Emface Eyes คือทำให้ผิวบริเวณใต้ตาดูอิ่มฟูขึ้น ริ้วรอยใต้ตาตื้นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด สีผิวในบริเวณที่บอบบางอย่างบริเวณใต้ตาจะมีความสม่ำเสมอมากขึ้น ความหมองคล้ำรอบดวงตาลดลง ทั้งยังเพิ่มความกระจ่างใสให้กับผิวบริเวณใต้ตาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

     

    โดยเมื่ออายุของคนเราเพิ่มมากขึ้น กล้ามเนื้อบริเวณใต้ตาที่เคยทำหน้าที่ยกพยุงชั้นไขมันจะค่อยๆ เสื่อมสภาพลงและคล้อยตัวลง การใช้ Emface Eyes จะช่วยในการให้กล้ามเนื้อบริเวณใต้ตามีความแข็งแรงมากขึ้นและยกกระชับตัวกลับไปอยู่ที่เดิม จึงส่งผลให้ไขมันที่เคยอยู่บริเวณใต้ตากลับไปอยู่ในบริเวณที่ควรอยู่ ส่งผลให้ถุงใต้ตาดูดีขึ้น และกระชับขึ้นนั่นเอง

     

    Emface Eyes ยกกระชับผิวในแต่ละชั้นได้อย่างไร?
    Emface Eyes ยกกระชับผิวในแต่ละชั้นได้อย่างไร?

     

    Emface Eyes ยกกระชับผิวในแต่ละชั้นได้อย่างไร?

    Emface Eyes ได้รับการออกแบบมาเพื่อฟื้นฟูและยกกระชับผิวรอบดวงตาอย่างครอบคลุม โดยส่งพลังงานได้แม่นยำลึกถึงชั้นต่าง ๆ ของโครงสร้างผิว ดังนี้

    1. Emface Eyes ลงชั้น Epidermis (ชั้นหนังกำพร้า)

    Emface Eyes ไม่ได้เน้นการผลัดเซลล์ผิวชั้นนอกเหมือนเลเซอร์หลายๆชนิด แต่การส่งคลื่น RF และ HIFES  จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ทำให้ผิวดูกระจ่างใส สดชื่นและสุขภาพดีขึ้น

    2. Emface Eyes ลงชั้น Dermis (ชั้นหนังแท้)

    พลังงาน Synchronized RF ใน Emface Eyes ที่ผ่านสู่ผิวในชั้นนี้ เพื่อกระตุ้นการสร้าง คอลลาเจนและอีลาสติน ช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่น หนาแน่น และลดเลือนริ้วรอยอย่างเป็นที่น่าพึงพอใจ

    3. Emface Eyes ลงชั้น Superficial Fat (ไขมันใต้ผิว)

    พลังงาน RF ใน Emface Eyes จะสามารถช่วยกระชับใต้ตาบริเวณที่ไขมันหย่อนคล้อยจนเห็นเป็นถุงใต้ตา ทำให้ดูตึงขึ้นโดยไม่ต้องดูดไขมันหรือผ่าตัด ทั้งนี้ช่วยลดผลข้างเคียงเรื่องใต้ตาลึกจากการดูดไขมันได้

    4.Emface Eyes ลงชั้น SMAS (Superficial Musculo-Aponeurotic System)

    ผิวหนังชั้น SMAS นับเป็นเป้าหมายหลักของการยกกระชับของ Emface Eyes โดยใช้พลังงาน HIFES กระตุ้นกล้ามเนื้อผ่านชั้น SMAS ทำให้บริเวณใต้ตาดูยกกระชับขึ้น และถุงใต้ตากระชับมากขึ้นจากการยกของชั้นกล้ามเนื้อ

    5. Emface Eyes ลงชั้น Muscle (กล้ามเนื้อใบหน้า)

    HIFES ใน Emface Eyes ทำงานโดยกระตุ้นการสร้างมัดกล้ามเนื้อใหม่ และเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อเดิม โดยเฉพาะกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับการยกพยุงใบหน้า เช่น รอบดวงตา มุมปาก และแก้ม ทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์และไม่หย่อนคล้อย

    6. Emface Eyes ลงชั้น Retaining Ligament & Facial Spaces

    ถึงแม้ว่า Emface Eyes ไม่ได้ทำงานลงลึกถึงระดับ Ligament แต่การยกกระชับจากชั้น SMAS และกล้ามเนื้อโดยรอบมีผลต่อการดึงแนวพยุงผิว (Retaining Ligament) ทำให้ความหย่อนคล้อยบริเวณรอบดวงตาลดลง ทั้งยังเสริมให้ผิวหนังบริเวณรอบดวงตามีความแน่นกระชับมากขึ้น

     

    ปัญหาดวงตาแบบไหนเหมาะกับการทำ Emface Eyes
    ปัญหาดวงตาแบบไหนเหมาะกับการทำ Emface Eyes

     

    ปัญหาดวงตาแบบไหนเหมาะกับการทำ Emface Eyes

    Emface Eyes ถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ผู้ที่มีปัญหาบริเวณใต้ตาหลากหลายประเภท โดยเหมาะกับผู้ที่ไม่ต้องใช้การฉีดสารเติมเต็ม (ฟิลเลอร์) หรือการผ่าตัดทำศัลยกรรม จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้มีปัญหาดังต่อไปนี้

     

    Emface Eyes เหมาะกับผู้มีปัญหาใต้ตาหย่อนคล้อย มีรอยเหี่ยวย่นใต้ตา

    • เมื่อชั้นผิวเกิดการสูญเสียความกระชับอันเนื่องมาจากอายุที่มากขึ้น รวมทั้งปัจจัยภายนอก เช่น แสงแดด ความเครียด หรือการพักผ่อนไม่เพียงพอ จะส่งผลให้ผิวหนังบริเวณใต้ตา เกิดการหย่อนคล้อยหรือเกิดรอยพับผิวเล็ก ๆ Emface Eyes จะเป็นโปรแกรมที่ช่วยในการกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อและคอลลาเจน เพื่อให้ใต้ตาถูกยกกระชับให้กลับมาเรียบเนียนมากขึ้น 

    Emface Eyes เหมาะกับผู้มีปัญหามีถุงใต้ตาหรือไขมันใต้ตาเยอะ

    • ผู้ที่มีถุงใต้ตาจะทำให้มีใบหน้าดูเหนื่อยล้าและแก่กว่าวัยการทำ Emface Eyes จะช่วยลดขนาดของถุงใต้ตาได้ โดยไม่ต้องผ่าตัด อีกทั้ง Emface Eyes ยังช่วยให้ใบหน้าดูสดใสขึ้นและอ่อนเยาว์ลง

    Emface Eyes เหมาะกับผู้มีปัญหาใต้ตาคล้ำ ดูไม่สดใส

    • รอยคล้ำใต้ตาเกิดจากหลายปัจจัย เช่น พันธุกรรม หรือการพักผ่อนน้อย Emface Eyes จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตและระบบน้ำเหลืองรอบดวงตา ทั้งยังช่วยในการฟื้นฟูผิวบริเวณรอบดวงตา ให้กลับมามีความชุ่มชื้น สีผิวสม่ำเสมอ และดูสุขภาพดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

    Emface Eyes เหมาะกับผู้มีปัญหามีริ้วรอยรอบดวงตา และตีนกา

    • ริ้วรอยเล็ก ๆ ที่หางตา รวมทั้งตีนกา เป็นสิ่งที่ทำให้คนมองเห็นปัญหาริ้วรอยแห่งวัยได้อย่างชัดเจน Emface Eyes เป็นโปรแกรมที่ช่วยลดริ้วรอยบริเวณใต้ตา และตีนกาลงอย่างเห็นได้ชัด 

     

    จุดเด่นของ Emface Eyes
    จุดเด่นของ Emface Eyes

     

    จุดเด่นของ Emface Eyes

    • Emface Eyes ไม่ต้องใช้เข็ม ไม่ต้องผ่าตัด
    • Emface Eyes ไม่ต้องพักฟื้นหลังทำ
    • Emface Eyes ใช้เวลาเพียง 20 นาทีต่อครั้ง
    • Emface Eyes ช่วยลดถุงใต้ตาได้
    • Emface Eyes ลดรอยตีนกาได้
    • Emface Eyes รอยคล้ำใต้ตาลงได้
    • Emface Eyes ไม่เจ็บ
    • Emface Eyes ไม่ต้องใช้ยาชา
    • Emface Eyes ยกกระชับรอบดวงตาได้

     

    Emface Eyes
    Emface Eyes ฟื้นฟูผิวใต้ตาให้เต่งตึง

     

    ทำไมต้องเลือก Emface Eyes?

    • Emface Eyes ไม่อันตราย ไม่มีการใช้เข็ม ไม่มีการผ่าตัด และไม่ก่อให้เกิดบาดแผล
    • Emface Eyes เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว รวมถึงผู้ที่มีผิวบอบบาง
    • Emface Eyes ให้ผลลัพธ์ที่ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงด้วยการใช้คลื่น RF และ HIFES กระตุ้นกระบวนการสร้างเซลล์ใหม่ของร่างกายเองอย่างปลอดภัย 
    • Emface Eyes อ่อนโยนต่อผิวรอบดวงตาเนื่องจาก Applicator ที่ออกแบบพิเศษให้โค้งรับกับผิวใต้ตา ส่งพลังงานได้แม่นยำและนุ่มนวล
    • Emface Eyes ไม่ต้องพักฟื้น หลังทำสามารถกลับไปทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันได้ทันที ไม่ต้องหยุดงานหรือเว้นกิจกรรมกลางแจ้ง
    • Emface Eyes เห็นผลชัดเมื่อทำต่อเนื่อง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูอย่างค่อยเป็นค่อยไป เห็นผลลัพธ์ที่พัฒนาอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน

     

    ผลลัพธ์หลังการทำ Emface Eyes
    ผลลัพธ์หลังการทำ Emface Eyes

     

    ผลลัพธ์หลังการทำ Emface Eyes

    จากผลการเก็บข้อมูลของผู้ใช้บริการจริงพบว่าการทำ Emface Eyes ช่วยให้ผิวรอบดวงตาดูอ่อนเยาว์ลงอย่างชัดเจน 

    • ยกกระชับผิวรอบดวงตาให้เต่งตึงขึ้น
    • ลดถุงใต้ตาลดลง ขณะเดียวกันไม่ทำให้ใต้ตาลึก
    • ลดรอยตีนกา
    • รอยคล้ำใต้ตาลดลง
    • ผิวดูสดใสขึ้น สีผิวสม่ำเสมอ

     

    ความแตกต่างของ Emface ทั้ง 3 โปรแกรม

    แม้จะใช้เทคโนโลยีพื้นฐานเดียวกันคือ Synchronized RF และ HIFES แต่ทั้ง 3 โปรแกรมมีความแตกต่างกันเกี่ยวกับบริเวณที่ใช้ในการรักษา วัตถุประสงค์ในการรักษา และผลลัพธ์ที่ได้รับ

     

    • Emface เหมาะสำหรับการยกกระชับผิวทั่วใบหน้า ไม่ว่าจะเป็นบริเวณหน้าผาก แก้ม และแนวกรอบหน้า โดยติด Applicator ที่ หน้าผากและแก้ม 2 ข้าง  ใช้ระยะเวลาเพียง 20 นาที สามารถกระตุ้นทั้งคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิว และฟื้นฟูโครงสร้างกล้ามเนื้อให้ยกตัวขึ้นอย่างเป็นที่พึงพอใจ ผู้เข้ารับการรักษาจะรู้สึกถึงความอุ่น และแรงกระตุกเบา ๆ ของกล้ามเนื้อที่ขยับตามจังหวะของเครื่องที่ทำงาน

     

    • Emface Submentum เป็นโปรแกรมที่เน้นการลดไขมันและกระชับผิวใต้คาง หรือเหนียงเป็นหลัก ใช้หัว Applicator ติดที่แก้มสองข้างและใต้คาง ทำงานโดยการปล่อยพลังงาน เพื่อผลลัพธ์ที่ชัดเจนในการลดเหนียง แนวกรามคมชัดขึ้น และปรับรูปหน้าท่อนล่างให้ได้สัดส่วน ระหว่างทำจะรู้สึกอุ่นบริเวณเหนียง และรู้สึกถึงแรงกระตุกจากการกระตุ้นกล้ามเนื้อบริเวณลำคอ

     

    • Emface Eyes เป็นโปรแกรมที่อ่อนโยนและแม่นยำ ออกแบบมาสำหรับผิวบริเวณรอบดวงตาโดยเฉพาะ เช่น ใต้ตา หนังตา และหางตา ช่วยลดรอยคล้ำ ถุงใต้ตา และรอยตีนกา พร้อมทั้งกระตุ้นให้ผิวบริเวณนี้กระจ่างใสและดูอ่อนเยาว์ขึ้น ความรู้สึกขณะทำจะเบาและสบายมากที่สุดเมื่อเทียบกับ โปรแกรม Emface ทั้ง 3 โปรแกรม เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีผิวบอบบาง

     

    Emface EYE
    ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

    Emface  แต่ละโปรแกรมเหมาะกับปัญหาแบบใดบ้าง

    • Emface เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับใบหน้าโดยรวม ลดริ้วรอย และปรับโครงหน้าให้ได้สัดส่วน
    • Emface Submentum เหมาะกับผู้ที่มีไขมันสะสมใต้คาง มีคางสองชั้น หรือแนวกรามไม่ชัด
    • Emface Eyes เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาถุงใต้ตา รอยคล้ำ หรือริ้วรอยรอบดวงตา

     

    ความรู้สึกขณะทำ Emface ,Emface Submentum และ Emface Eyes 

    การทำโปรแกรม Emface ,Emface Submentum และ Emface Eyes  นั้นเป็นหัตถการที่ไม่เจ็บและไม่ต้องใช้เข็ม แต่ในระหว่างทำ ผู้รับบริการจะมีความรู้สึกที่ชัดเจนซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของ Emface เองโดยความรู้สึกระหว่างทำสามารถจำแนกได้ดังนี้

    • จะรู้สึก ตึงบริเวณใบหน้า คล้ายกับการถูกยกกระชับจากภายใน
    • รู้สึกเหมือนใบหน้าถูก “ดึง” ไปตามจังหวะของเครื่อง ซึ่งเป็นผลจากการทำงานของคลื่น HIFES
    • เกิดการ กระตุกของกล้ามเนื้อบนใบหน้า เป็นระยะ ซึ่งเป็นการกระตุ้นขึ้นจากพลังงานไฟฟ้าเฉพาะจุด
    • รู้สึกเหมือนใบหน้า ถูกควบคุมให้ขยับ ไปตามแรงของเครื่อง ซึ่งแสดงถึงการทำงานลึกถึงชั้นกล้ามเนื้อ
    • รู้สึกเหมือนใบหน้ากระตุก
    • บริเวณที่แปะ Applicator จะมีความรู้สึก อุ่นอย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากพลังงาน RF ที่ลงลึกเพื่อกระตุ้นคอลลาเจน
    • โดยรวมจะรู้สึกคล้ายกับถูก “นวดด้วยแรงจังหวะลึก” และเป็นจังหวะที่ต่อเนื่อง
    • ในส่วนของการทำ Emface Submentum (บริเวณเหนียง) จะรู้สึก อุ่นมากกว่าส่วนอื่นของใบหน้า เพราะ Applicator สำหรับบริเวณนี้ปล่อยพลังงานความร้อนในระดับที่สูงขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการลดไขมันและกระชับผิวใต้คาง
    • ในส่วนของการทำ Emface Eyes จะรู้สึกดึง นวด และกระตุกน้อยที่สุดใน 3 โปรแกรม

     

    การเตรียมตัวก่อนเข้ารับการรักษา Emface Eyes 

    เพื่อให้การรักษาด้วย Emface Eyes ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด แนะนำให้ดูแลตัวเองดังนี้

    • ก่อนทำ Emface Eyes ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อย 6–8 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายและผิวพร้อมต่อการฟื้นฟู
    • ก่อนทำ Emface Eyes ควรดื่มน้ำให้มากขึ้นในวันก่อนเข้ารับบริการ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ส่งเสริมการทำงานของพลังงาน RF และช่วยให้การฟื้นตัวของผิวดีขึ้น
    • ก่อนทำ Emface Eyes ควรงดแต่งหน้าในวันที่เข้ารับการรักษา เพื่อให้สามารถทำความสะอาดผิวหน้าได้อย่างหมดจด และช่วยให้พลังงานส่งผ่านได้เต็มประสิทธิภาพ

     

    Emface EYE
    ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

     

    การดูแลตัวเองหลังทำ Emface Eyes 

    • หลังเข้ารับการรักษาด้วย Emface Eyes ไม่จำเป็นต้องพักฟื้น เนื่องจากไม่มีรอยเข็ม ไม่มีรอยช้ำ และไม่ก่อให้เกิดบาดแผลบนผิวหน้า ผู้รับบริการสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติทันที
    • หลังทำ  Emface Eyes สามารถ ทาครีมบำรุงผิว แต่งหน้า หรือออกไปทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้ตามปกติ โดยไม่ต้องดูแลเป็นพิเศษใด ๆ หลังทำ
    •  Emface Eyes ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงชีวิตประจำวัน หรืองดการรับประทานยาใดใด

     

    อาการที่อาจพบหลังเข้ารับการรักษาEmface Eyes 

    หลังเข้ารับบริการ Emface Eyes  แต่ละครั้ง โดยปกติทั่วไปจะไม่พบผลข้างเคียงที่รุนแรง และสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ อย่างไรก็ตาม ในผู้ที่มีผิวบอบบางหรือแพ้ง่ายอาจสังเกตเห็น รอยแดงเล็กน้อยบริเวณที่ติดแผ่น Applicator ซึ่งเกิดจากการสัมผัสของอุปกรณ์และพลังงานความร้อนที่ปล่อยออกมา ทั้งนี้ รอยแดงดังกล่าวจะค่อย ๆ จางลงได้เองภายในระยะเวลาไม่กี่ชั่วโมง จึงไม่ใช่ปัญหาที่ต้องเป็นต้องกังวล อีกทั้ง Emface Eyes ยังไม่พบปัญหาที่กระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน

     

    ใครที่ไม่ควรเข้ารับการรักษาด้วย Emface Eyes 

     

    Emface Eyes เป็นเทคโนโลยีที่ปลอดภัยและไม่ต้องใช้เข็มหรือผ่าตัด แต่ก็เป็นโปรแกรมที่มีข้อควรระวังสำหรับผู้ที่มีเงื่อนไขทางสุขภาพบางประการ ซึ่งอาจไม่เหมาะกับการเข้ารับการรักษาด้วย Emface Eyes  โดยปัญหาสุขภาพดังกล่าวจำแนกได้ดังนี้

    • ผู้ที่มีโลหะฝังอยู่ใกล้บริเวณใบหน้า หรือบริเวณที่จะทำการรักษา เช่น แผ่นโลหะหรืออุปกรณ์ทางการแพทย์
    • ผู้ที่มีประวัติการใช้ เครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemaker) หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ฝังในร่างกาย
    • ผู้ที่เคยมี หรือกำลังมีภาวะ ตับหรือไตวาย
    • ผู้ที่มีโรคเกี่ยวกับ หัวใจและหลอดเลือด หรือมีภาวะเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของหัวใจ
    • ผู้ที่อยู่ระหว่างการรักษาด้วย เคมีบำบัด (Chemotherapy) หรือ รังสีบำบัด (Radiation Therapy)
    • สตรีมีครรภ์ ควรหลีกเลี่ยงการทำหัตถการทุกประเภทที่ใช้คลื่นพลังงานเพื่อความปลอดภัยของทั้งแม่และทารก

     

    Emface Eyes  สามารถทำร่วมกับหัตถการใดได้บ้าง?

    Emface Eyes สามารถทำร่วมกับหัตถการอื่นๆ  ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะ หัตถการกลุ่มฉีด ซึ่งสามารถทำร่วมกันได้อย่างปลอดภัยและไม่ส่งผลต่อประสิทธิภาพของตัวยา

    หัตถการกลุ่มฉีดที่สามารถทำร่วมกันกับ Emface Eyes  ได้

    • สารนิวโรท็อกซิน ช่วยลดการทำงานของกล้ามเนื้อหน้ามัดตก ขณะที่ Emface ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหน้ามัดยกพยุงผิว
    • สารเติมเต็ม (Filler) ทั้งในรูปแบบการปรับรูปหน้า และฉีดงานผิว
    • สารกระตุ้นคอลลาเจน (Biostimulator) เช่น การฉีด Radiesse หรือ Sculptra
    • งานผิวอื่น ๆ เช่น การฉีด Rejuran ไหมน้ำชนิดต่าง ๆ รวมทั้ง Biostimulator
    • การฉีดลดไขมันหรือลดเหนียง

    อย่างไรก็ตาม ควรมีการวางแผนการรักษาอย่างเหมาะสมตามคำแนะนำของแพทย์ผู้ดูแล

     

    ข้อแนะนำเรื่องระยะเวลาในการทำ Emface Eyes  และการใช้ตัวยาประเภทฉีด

    • หากเข้ารับหัตถการกลุ่มฉีดมา ควร เว้นระยะเวลาก่อนทำ Emface Eyes อย่างน้อย 2–4 สัปดาห์ ก่อนเข้ารับการรักษาด้วย Emface Eyes เพื่อให้รอยแผลจากการฉีดหายดี และตัวยาเข้าที่สมบูรณ์
    • กรณีที่ต้องการทำหัตถการฉีดและ Emface Eyes ในวันเดียวกัน แนะนำให้ทำ Emface Eyes  ก่อน แล้วจึงตามด้วยการฉีด ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้คลื่นพลังงานจากเครื่องไปกระทบตัวยาที่เพิ่งฉีดเข้าไป ซึ่งอาจทำให้ตัวยาเคลื่อนที่หรือออกฤทธิ์ผิดตำแหน่ง

     

    สามารถทำ Emface Eyes ร่วมกับหัตถการกลุ่มเครื่องได้หรือไม่?

    Emface Eyes สามารถทำร่วมกับหัตถการกลุ่มเครื่องยกกระชับหรือเครื่องลดไขมันชนิดอื่น ๆ ได้ ทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นเครื่อง RF, Ultrasound, HIFU, Thermage, Ultherapy หรือเครื่องลดเหนียงชนิดต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพสูงสุด ควรเว้นระยะและเข้ารับการรักษา แยกกันคนละครั้ง

    เหตุผลที่ควรเว้นระยะในการทำเครื่องร่วม

    เครื่องมือแต่ละชนิดมี พลังงานที่แตกต่างกันทั้งในด้านชนิดของคลื่นและระดับความลึกที่ส่งลงสู่ชั้นผิว เช่น

    • บางเครื่องเน้นการทำงานในชั้นผิวตื้น (Dermis)
    • บางเครื่องเจาะจงลงลึกถึงชั้นไขมันหรือกล้ามเนื้อ (SMAS)

    การเว้นระยะจะช่วยป้องกันไม่ให้พลังงานทับซ้อนหรือกระทบกัน และทำให้ผิวได้รับการกระตุ้นอย่างทั่วถึงในแต่ละชั้น

     

    การทำเครื่องร่วมช่วยเสริมผลลัพธ์

    การทำ Emface หรือ Emface Submentum ร่วมกับเครื่องยกกระชับชนิดอื่น ๆ ถือเป็นแนวทางที่ดีในการยกระดับผลลัพธ์การรักษา เพราะช่วยเสริมประสิทธิภาพ ในการยกกระชับผิวทุกระดับชั้น ตั้งแต่ผิวชั้นบนจนถึงชั้นกล้ามเนื้ออย่างครอบคลุม ทำให้ผลลัพธ์ชัดเจนและอยู่ได้นานยิ่งขึ้น

     

    การทำ Emface Eyes ร่วมกับหัตถการประเภทอื่น

    1. ทรีทเมนต์บำรุงผิว (Facial Treatment)

    สามารถทำ Emface Eyes ร่วมกับการทำทรีทเมนต์ดูแลผิวหน้าได้อย่างปลอดภัย เนื่องจากทรีทเมนต์ทั่วไปไม่มีการใช้เข็มหรือทำให้เกิดบาดแผล การทำทรีทเมนต์สามารถทำได้ ทั้งก่อนหรือหลังการรักษา โดยไม่รบกวนผลลัพธ์ และยังช่วยส่งเสริมการฟื้นฟูผิวให้ดีขึ้นอีกด้วย

     

    2. หัตถการเฉพาะจุด เช่น การฉีดสิว

    สามารถทำร่วมกันได้ แต่อาจต้องวางแผนให้เหมาะสม โดยแนะนำให้:

    • ทำ Emface Eyes  ก่อนเพื่อหลีกเลี่ยงอาการเจ็บหรือรอยช้ำที่อาจเกิดขึ้นจากการฉีด
    • หรือในกรณีที่ฉีดสิวไปแล้ว ควรเว้นระยะ อย่างน้อย 1–2 สัปดาห์ ก่อนเข้ารับ Emface Eyes  เพื่อให้ตัวยาออกฤทธิ์ได้เต็มที่ และให้ผิวมีเวลาฟื้นตัว

     

    3. การให้วิตามินทางหลอดเลือด (IV Drip / Skin Booster)

    สามารถทำได้ตามปกติ เพราะเป็นการดูแลสุขภาพผิวและร่างกายจากภายใน ไม่มีการกระทบกับใบหน้าโดยตรง และไม่รบกวนบริเวณที่ใช้ Applicator พลังงาน จึงไม่ก่อให้เกิดอันตรายหรือผลข้างเคียงแต่อย่างใด อีกทั้งยังช่วยส่งเสริมการฟื้นฟูสภาพผิวให้ดียิ่งขึ้นหลังทำ Emface Eyes 

     

    Emface Eyes คืออีกหนึ่งทางเลือกที่ล้ำหน้าในวงการเทคโนโลยีความงาม ที่ออกแบบมาเพื่อดูแลและฟื้นฟูผิวรอบดวงตาอย่างเฉพาะเจาะจง โดยไม่ต้องพึ่งพาการฉีดหรือผ่าตัด ด้วยการผสานพลังงาน Synchronized RF และ HIFES ที่ช่วยกระตุ้นทั้งกล้ามเนื้อและการสร้างคอลลาเจนในระดับลึก Emface Eyes จึงสามารถลดปัญหาถุงใต้ตา รอยคล้ำ ริ้วรอยตีนกา รวมถึงความหย่อนคล้อยได้อย่างเห็นผล พร้อมมอบผิวรอบดวงตาที่สดใส เต่งตึง และดูอ่อนเยาว์ขึ้น ไม่เจ็บ ไม่ต้องพักฟื้น และสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ทันทีหลังทำ เหมาะกับผู้ที่มองหาวิธีฟื้นฟูผิวรอบดวงตาอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ให้ผลลัพธ์ที่คงอยู่และยั่งยืน

     

    ปัญหาช่องคลอดมีอะไรบ้าง? ฟื้นฟูได้ไม่ต้องผ่าตัดด้วย Emsella เก้าอี้กระชับช่องคลอด

    ปัญหาช่องคลอด

    ปัญหาช่องคลอดมีอะไรบ้าง? ฟื้นฟูได้ไม่ต้องผ่าตัดด้วย Emsella เก้าอี้กระชับช่องคลอด

    “ปัญหาช่องคลอดไม่กระชับ” หรือ “อาการปัสสาวะเล็ด” ถือเป็นเรื่องใกล้ตัวที่เกิดขึ้นได้กับผู้หญิงในหลายช่วงวัย ซึ่งปัญหาเหล่านี้ไม่เพียงส่งผลต่อร่างกาย แต่ยังลดความมั่นใจ กระทบความสัมพันธ์ และการใช้ชีวิตประจำวันทั่วไป วันนี้เราจะพามาเปิด ปัญหาช่องคลอดมีอะไรบ้าง? ฟื้นฟูได้ไม่ต้องผ่าตัดด้วย Emsella เก้าอี้กระชับช่องคลอด ตัวช่วยสำคัญฟื้นฟูกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานและคืนความกระชับให้ช่องคลอดได้ โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องเจ็บตัว และไม่ต้องเสียเวลาพักฟื้น

     

    ปัญหาช่องคลอดมีอะไรบ้าง?
    ปัญหาช่องคลอดมีอะไรบ้าง?

     

    ปัญหาช่องคลอดมีอะไรบ้าง?

    ปัญหาช่องคลอดสามารถพบได้ในผู้หญิงทุกวัย สามารถเกิดได้หลายรูปแบบ และเกิดได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็น อายุ การคลอดบุตร หรือภาวะฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง ซึ่งปัญหาช่องคลอดที่มักพบ มีดังนี้

    • ปัสสาวะเล็ด หรือกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ 

    ปัญหาปัสสาวะเล็ด กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ มักพบได้บ่อยในผู้หญิงหลังคลอด หรือผู้สูงอายุ โดยปัญหาช่องคลอดเกิดจากกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแรง ทำให้ความสามารถในการควบคุมปัสสาวะแย่ลง

    • ปัญหาช่องคลอดหย่อนคล้อย

    ปัญหาช่องคลอดหย่อนคล้อย เป็นอีกหนึ่งปัญหาช่องคลอดที่มักเกิดได้จากอายุที่เพิ่มมากขึ้น หรือหลังคลอดบุตร โดยจะรู้สึกว่าช่องคลอดไม่กระชับ ทำให้ส่งผลต่อคุณภาพชีวิต ความมั่นใจ และความสุขทางเพศได้ 

    • เจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์

    ปัญหาช่องคลอดหากเกิดความรู้สึกเจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์ อาจเกิดจากกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแรง ซึ่งส่งผลต่อ การหดเกร็งของช่องคลอด ทำให้มีอาการเจ็บหรือไม่สบายตัวได้ขณะมีเพศสัมพันธ์

    • อวัยวะภายในช่องคลอดหย่อนคล้อย

    ปัญหาช่องคลอดเมื่ออายุมากขึ้นอาจจะทำให้เกิดความรู้สึกว่าอวัยวะภายในไม่แข็งแรง หรืออวัยวะภายในเคลื่อนได้  เช่น กระเพาะปัสสาวะ มดลูก ที่อาจจะเริ่มเคลื่อนต่ำลงในช่องคลอด ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันได้

     

    Emsella แก้ปัญหาช่องคลอด คืออะไร?

    Emsella คือ เทคโนโลยีช่วยกระชับช่องคลอดที่ใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความเข้มข้นสูง (High-Intensity Focused Electromagnetic หรือ HIFEM) ช่วยกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานให้มีความแข็งแรง ช่องคลอดกระชับขึ้น ช่วยลดอาการปัสสาวะเล็ด กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ และช่วยเสริมสมรรถภาพทางเพศได้ โดย Emsella แก้ปัญหาช่องคลอด เป็นการกระชับช่องคลอดได้โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องใช้เครื่องมือสอดเข้าไปในร่างกาย ทำให้ไม่เกิดแผล สะดวกรวดเร็ว ไม่ต้องพักฟื้น Emsella ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย เนื่องจากได้รับการยอมรับในระดับสากล

     

    Emsella ช่วยเรื่องอะไรบ้าง

    • Emsella แก้ปัญหาช่องคลอดไม่กระชับ

    Emsella ช่วยกระตุ้นให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานหดเกร็งอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้กล้ามเนื้อบริเวณช่องคลอดแข็งแรงขึ้น ช่วยให้ช่องคลอดกลับมากระชับอีกครั้ง 

    • Emsella แก้ปัญหาช่องคลอดภาวะปัสสาวะเล็ด กลั้นปัสสาวะไม่อยู่

    Emsella ช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานให้แข็งแรงขึ้น ทำให้สามารถควบคุมกระเพาะปัสสาวะได้ดีขึ้น ช่วยลดอาการปัสสาวะเล็ด หรือรู้สึกปวดปัสสาวะบ่อยโดยไม่จำเป็น

    • Emsella แก้ปัญหาช่องคลอดช่วยฟื้นฟูสมรรถภาพทางเพศ

    Emsella เพิ่มความรู้สึกขณะมีเพศสัมพันธ์ ลดอาการเจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์ และ Emsella ยังช่วยฟื้นฟูสมรรถภาพทางเพศทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย

    • Emsella แก้ปัญหาช่องคลอดช่วยฟื้นฟูสุขภาพในผู้หญิงวัยทอง

    ผู้หญิงเมื่อเข้าสู่วัยทองฮอร์โมนเอสโตรเจนจะลดลง กล้ามเนื้อและเยื่อบุช่องคลอดมักแห้ง ทำให้เกิดการหย่อนคล้อย และขาดความยืดหยุ่น Emsella ช่วยฟื้นฟูความแข็งแรงของกล้ามเนื้อบริเวณอุ้งเชิงกรานได้

    • Emsella แก้ปัญหาช่องคลอดช่วยเพิ่มความมั่นใจและคุณภาพชีวิต

     Emsella แก้ปัญหาช่องคลอดไม่กระชับหรือปัสสาวะเล็ดไม่เพียงช่วยในด้านร่างกายเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อในเรื่องความมั่นใจในการเข้าสังคม และความสัมพันธ์ในชีวิตคู่ ทำให้ผู้เข้ารับบริการ Emsella มีความมั่นใจมากขึ้น

    ทั้งนี้ ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับการบริการ

     

    Emsella มีหลักการทำงานอย่างไร?
    Emsella มีหลักการทำงานอย่างไร?

     

    Emsella มีหลักการทำงานอย่างไร?

    Emsella ใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความเข้มข้นสูง (High-Intensity Focused Electromagnetic หรือ HIFEM)  ที่ช่วยฟื้นฟูความแข็งแรงของกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน แก้ปัญหาช่องคลอดไม่กระชับ ปัสสาวะเล็ด หรือกลั้นปัสสาวะไม่ได้ โดย Emsella จะส่งพลังงานแบบ HIFEM ลงไปถึงชั้นกล้ามเนื้อ เพื่อเข้าไปกระตุ้นการทำงานของเส้นใยกล้ามเนื้อที่อยู่ลึกลงไปบริเวณกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน ทำให้กล้ามเนื้อเกิดการหดเกร็งแบบสูงได้มากถึง 11,200 ครั้งใน 28 นาที เทียบเท่ากับการขมิบอย่างต่อเนื่อง ซึ่ง Emsella เป็นเทคโนโลยีที่มาในรูปแบบเก้าอี้พิเศษที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ ทำให้ Emsella ใช้งานได้สะดวก สามารถใช้บริการโดยการนั่งได้เลย โดยไม่ต้องถอดเสื้อผ้า ไม่มีการสอดอุปกรณ์เข้าภายในร่างกาย ไม่ต้องผ่าตัด จึงไม่ทำให้เกิดการบาดเจ็บ ทำให้หลังทำ Emsella สามารถใช้ชีวิตตามปกติได้เลย

     

    Emsella มีจุดเด่นอะไรบ้าง?

    •  Emsella เป็นเก้าอี้กระชับช่องคลอด สะดวกสบาย 

    ปัญหาช่องคลอดไม่กระชับสามารถรักษาได้ด้วย Emsella เป็นเทคโนโลยีรูปแบบ Non-invasive หรือไม่มีการสอดอุปกรณ์เข้าช่องคลอด ผู้เข้ารับบริการเพียงแค่นั่งบนเก้าอี้ไม่ต้องออกแรง เนื่องจากคลื่นแม่เหล็กความเข้มสูงของ Emsella สามารถผ่านกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อได้ โดยไม่ต้องถอดเสื้อผ้าหรือสอดอุปกรณ์ใด ๆ เข้าสู่ร่างกาย ทำให้รู้สึกสะดวก และไม่อึดอัด 

    • Emsella ไม่เจ็บ ไม่มีแผล ไม่ต้องพักฟื้น

    Emsella จะใช้พลังงานแม่เหล็กแบบความเข้มสูงกระตุ้นการหดเกร็งบริเวณกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน โดยจะไม่ทำให้เกิดความเจ็บปวด หรือเกิดบาดแผล เนื่องจากไม่ใช่การผ่าตัด และไม่มีการสอดอุปกรณ์ ทำให้ขณะทำและหลังทำ Emsella ไม่เจ็บปวด ไม่เกิดอาการช้ำ ไม่มีแผล และไม่ต้องพักฟื้น หลังทำสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ ทั้งยังสามารถมีเพศสัมพันธ์ได้โดยไม่ต้องพักฟื้น

    • Emsella ช่วยกระตุ้นกล้ามเนื้อให้เกิดการหดตัวมากถึง 11,200 ครั้ง ใช้เวลาเพียง 28 นาทีต่อครั้ง

    การรักษา Emsella จะช่วยฟื้นฟูและกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อให้เกิดการหดตัวมากถึง 11,200 ครั้ง โดยใช้เวลาเพียงประมาณ 28 นาทีต่อครั้ง เทียบเท่ากับการขมิบอย่างต่อเนื่อง แต่ Emsella ให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพสูง ใช้เวลาน้อย สะดวก รวดเร็ว และไม่ต้องพักฟื้นหลังทำ

    • Emsella ช่วยให้กล้ามเนื้อหดตัวโดยไม่ต้องออกแรง

    Emsella จะช่วยกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานหดและคลายตัวอย่างต่อเนื่องโดยไม่ผู้เข้ารับบริการไม่ต้องออกแรง ขณะทำ Emsella ร่างกายจะตอบสนองต่อคลื่นแม่เหล็กคล้ายกับการขมิบ หรือการทำ Kegel exercise แต่ให้ประสิทธิภาพที่สูงกว่า และสม่ำเสมอมากกว่าการทำเอง ทำให้เห็นผลได้อย่างรวดเร็ว

     

    Emsella เหมาะกับใครบ้าง?
    Emsella เหมาะกับใครบ้าง?

     

    Emsella เหมาะกับใครบ้าง?

    • Emsella เหมาะกับผู้ที่มีภาวะช่องคลอดหย่อนคล้อยจากการคลอดบุตร

    Emsella เหมาะกับคุณแม่หลังคลอด ที่มีกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานยืดขยายและอ่อนแรง ทำให้บริเวณช่องคลอดนั้นไม่กระชับเหมือนเดิม ซึ่งอาจส่งผลต่อความรู้สึกขณะมีเพศสัมพันธ์ และอาจจะส่งผลให้เกิดปัญหากลั้นปัสสาวะไม่ได้ ซึ่ง Emsella จึงเป็นตัวเลือกที่ช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้อให้แข็งแรงขึ้นโดยไม่ต้องผ่าตัด

    • Emsella เหมาะกับผู้ที่อยู่ในวัยทองหรือผู้ที่มีอายุเพิ่มขึ้น

    Emsella เหมาะกับผู้ที่อยู่ในวัยทอง เนื่องจากผู้หญิงเมื่ออายุมากขึ้นระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกายก็จะลดลง ส่งผลให้เยื่อบุช่องคลอดบาง และขาดความยืดหยุ่น ทำให้ช่องคลอดเกิดการหย่อนคล้อยได้ โดยการใช้ Emsella จะช่วยกระตุ้นกล้ามเนื้อบริเวณอุ้งเชิงกรานให้กลับมากระชับอีกครั้ง

    • Emsella เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาปัสสาวะเล็ดโดยไม่ตั้งใจ

    Emsella เหมาะกับผู้ที่มีอาการปัสสาวะเล็ดขณะไอ จาม หัวเราะ หรือขณะออกกำลังกาย สาเหตุนั้นมักเกิดจากกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแรง โดยเฉพาะผู้หญิงที่มีอายุมากขึ้น หรือผู้ที่เคยคลอดบุตร การรักษาด้วย Emsella จะเข้าไปกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อให้กลับมาแข็งแรง ทำให้ร่างกายสามารถควบคุมปัสสาวะได้ดีขึ้น

    •  Emsella เหมาะกับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานแบบไม่ผ่าตัด

    Emsella เหมาะกับผู้ที่ต้องการรักษาปัญหาช่องคลอด แต่ไม่ต้องการเจ็บตัวหรือไม่ต้องการผ่าตัด Emsella ถือเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์ เนื่องจาก Emsella เป็นการรักษาแบบไม่รุกล้ำ ไม่มีการสอดอุปกรณ์ ทำให้ผู้เข้ารับบริการรู้สึกสบายใจ

    •  Emsella เหมาะกับผู้ที่มีระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลง

    Emsella เหมาะกับผู้ที่มีระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลง มักจะพบปัญหาช่องคลอดแห้ง ช่องคลอดไม่กระชับ หรือรู้สึกไม่สบายตัวขณะมีเพศสัมพันธ์ Emsella จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อได้โดยตรง

    • Emsella เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาสมรรถภาพทางเพศ

    Emsella เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาสมรรถภาพทางเพศ ความไม่กระชับของช่องคลอด อาจส่งผลต่อความรู้สึกขณะมีเพศสัมพันธ์ การรักษาด้วย Emsella จะช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน ซึ่งอาจส่งผลให้ความรู้สึกทางเพศดีขึ้น ช่วยเพิ่มความพึงพอใจ และสร้างความสัมพันธ์ชีวิตคู่ให้ดีขึ้นได้

    ทั้งนี้ ผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ แจ้งโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา หรือประวัติการรักษา ก่อนเข้ารับการบริการ Emsella

     

    Emsella มีข้อดีอย่างไร?

    • Emsella ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ใช้ยาชา ไม่มีแผล ไม่ต้องพักฟื้น

    Emsella เป็นการรักษาปัญหาช่องคลอดได้โดยไม่ต้องผ่าตัด  ไม่ใช้เข็ม ยาชา หรือเครื่องมือสอดเข้าไปในร่างกาย จึงทำให้ผู้เข้ารับบริการไม่ต้องเสี่ยงกับผลข้างเคียงจากการผ่าตัด เช่น การติดเชื้อ เลือดออก หรือภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ อีกทั้ง Emsella ยังไม่ต้องพักฟื้นนานเหมือนกับการผ่าตัดกระชับช่องคลอด

    • Emsella ใช้เวลารักษาไม่นาน เพียง 28 นาทีต่อครั้ง

    การรักษาด้วย Emsella ในแต่ละครั้งจะใช้เวลาเพียง 28 นาทีต่อครั้ง จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาจำกัด รวมถึงสามารถเข้ารับบริการในช่วงเวลาพักกลางวัน หรือเลิกงานได้ เนื่องจาก Emsella ใช้เวลาไม่นาน สะดวก รวดเร็ว และยังไม่ต้องพักฟื้น จึงไม่กระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน

    • การทำ Emsella เสมือนการออกกำลังกายกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานกว่า 11,200 ครั้ง

    การรักษาปัญหาช่องคลอดด้วย Emsella 1 ครั้ง กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานจะถูกกระตุ้นให้มีการหดตัวมากกว่า 11,200 ครั้ง เช่นเดียวกับการขมิบ หรือทำ Kegel exercise อย่างต่อเนื่อง ในระดับที่ยากกว่าการฝึกเอง การกระชับช่องคลอดด้วย Emsella จึงให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและรวดเร็ว โดยผู้เข้ารับบริการไม่ต้องออกแรงเอง

    • Emsella ไม่ต้องถอดเสื้อผ้า ไม่ต้องสอดอุปกรณ์ ไม่รู้สึกอึดอัด

    Emsella เป็นเทคโนโลยีที่ถูกออกแบบมา เพื่อให้ความสะดวกสบายต่อผู้รับบริการ ผู้เข้ารับบริการเพียงแค่นั่งบนเก้าอี้ โดยไม่ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ไม่ต้องถอดชุดชั้นใน และไม่มีการสอดอุปกรณ์ใดเข้าสู่ช่องคลอด Emsella จึงช่วยเพิ่มความสะดวก และช่วยลดความรู้สึกไม่สบายใจ หรือความเขินอายขณะทำการรักษาได้

    • Emsella เห็นผลลัพธ์ได้ไวและสามารถทำต่อเนื่องได้

    หลังทำ Emsella สามารถเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ตั้งแต่ครั้งแรก เพื่อผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ แนะนำให้ทำการรักษาอย่างต่อเนื่องประมาณ 6 ครั้ง และสามารถทำการรักษา Emsella ซ้ำได้โดยไม่มีผลข้างเคียงที่รุนแรง ทั้งนี้ ผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับปัญหาของแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อทำการวางแผนการรักษา Emsella ให้เหมาะกับแต่ละบุคคล

    • Emsella ไม่อันตรายต่อร่างกาย ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา

    Emsella เป็นเทคโนโลยีกระชับช่องคลอด โดยใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความเข้มสูง ที่ไม่ทำลายเนื้อเยื่อ  ไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย และผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยา Emsella  จึงสามารถใช้ได้กับผู้หญิงหลากหลายช่วงวัย รวมถึงผู้ที่ไม่สามารถรับการผ่าตัดได้ด้วยเหตุผลทางสุขภาพ

    • Emsella เหมาะกับผู้ที่ต้องการทางเลือกที่สะดวก และเห็นผลจริง

    Emsella ถือเป็นตัวช่วยที่เพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้ที่ต้องการแก้ปัญหาช่องคลอด เนื่องจาก Emsella จะช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน หรือแก้ไขปัญหาช่องคลอดไม่กระชับได้ โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น ทั้งยังสะดวกสบาย ใช้เวลาไม่นาน และได้ประสิทธิภาพที่ดี

     

    Emsella ให้ผลลัพธ์หลังทำอย่างไร?

    • Emsella ช่วยให้ช่องคลอดกระชับขึ้นหลังทำ

    Emsella ช่วยกระตุ้นให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานหดตัวอย่างต่อเนื่องในระดับลึก ซึ่งเปรียบได้กับการออกกำลังกายเฉพาะจุด เช่น การขมิบเป็นเวลานาน โดยกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานและกล้ามเนื้อแกนกลางล่างจะกลับมาแข็งแรง และแน่นกระชับมากขึ้น Emsella จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะช่องคลอดหย่อนคล้อยจากการคลอดบุตร หรือผู้ที่มีอายุมากขึ้น หากต้องการผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ แนะนำให้ทำการรักษาอย่างต่อเนื่องประมาณ 6 ครั้ง หรือทำการรักษาตามที่แพทย์ได้วางแผนไว้

    • Emsella ช่วยควบคุมอาการปัสสาวะเล็ดให้ดีขึ้น

    Emsella สามารถช่วยแก้ปัญหาภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ปัสสาวะเล็ด ที่เป็นหนึ่งในปัญหาที่พบบ่อยหลังคลอดหรือในผู้สูงอายุ โดยเฉพาะเมื่อไอ จาม หัวเราะ หรือออกแรง ซึ่งมักเกิดจากกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแรง โดย Emsella จะช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานให้แข็งแรงขึ้น ทำให้ช่วยควบคุมการทำงานของกระเพาะปัสสาวะได้ดี ช่วยลดอาการปัสสาวะเล็ด ปัสสาวะบ่อย อีกทั้ง Emsella ยังช่วยเพิ่มความมั่นใจในใช้ชีวิตประจำวันได้อีกด้วย

    • Emsella ช่วยเพิ่มความมั่นใจและยกระดับคุณภาพชีวิต

    ปัญหาช่องคลอดไม่กระชับและอาการปัสสาวะเล็ด อาจส่งผลต่อความมั่นใจในตนเอง และความสัมพันธ์ชีวิตคู่ เนื่องจากหลาย ๆ คนที่มีปัญหาอาจจะรู้สึกไม่มั่นใจในร่างกายตนเอง และใช้ชีวิตประจำวันได้ยากขึ้น ซึ่ง Emsella นอกจากจะช่วยฟื้นฟูทางด้านร่างกายแล้วนั้น Emsella ยังช่วยฟื้นฟูสภาพจิตใจ ช่วยสร้างความมั่นใจ ความสบายตัวให้กับผู้เข้ารับบริการได้

    • Emsella ให้ผลลัพธ์อยู่ได้นานหลายเดือน

    เมื่อเข้ารับการรักษาปัญหาช่องคลอด Emsella ตามแผนการรักษาแล้วนั้น ผลลัพธ์จะสามารถอยู่ได้นานถึง 6 – 12 เดือน ทั้งนี้ ผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล โดยจะขึ้นอยู่กับปัญหาช่องคลอด รวมถึงพฤติกรรมการดูแลตนเองหลังทำ สำหรับผู้ที่ต้องการรักษาผลลัพธ์ในระยะยาว สามารถเข้ารับการรักษา Emsella ซ้ำได้ โดยไม่ส่งผลข้างเคียงหรือเป็นอันตราย

     

    ปัญหาช่องคลอด เกิดจากอะไร ?

    ปัญหาช่องคลอดสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเกิดจากทางร่างกาย ฮอร์โมน พฤติกรรมการใช้ชีวิต และปัจจัยทางเพศสัมพันธ์ โดยสามารถแบ่งปัญหาช่องคลอดออกได้ดังนี้

    • ปัญหาช่องคลอดจากฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง

    ช่วงวัยหมดประจำเดือนจะทำให้ฮอร์โมนเกิดการเปลี่ยนแปลง เช่น ฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกายลดลง จึงส่งผลให้บริเวณเยื่อบุช่องคลอดบาง แห้ง และยืดหยุ่นน้อยลง จึงทำให้เกิดอาการระคายเคือง หรือเจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์ หรือมีปัญหาการกลั้นปัสสาวะได้ ซึ่งในปัจจุบันก็มีเทคโนโลยีอย่าง Emsella เก้าอี้กระชับช่องคลอดที่สามารถช่วยแก้ปัญหาช่องคลอดนี้ได้

    • ปัญหาช่องคลอดจากการติดเชื้อและเสียสมดุลของจุลินทรีย์

    ปัญหาช่องคลอดอาจเกิดจากการติดเชื้อและการเสียสมดุลของจุลินทรีย์ในช่องคลอดได้ เช่น  การติดเชื้อจากเชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย หรือ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ที่อาจส่งผลให้ช่องคลอดเกิดความผิดปกติ มีตกข่าว กลิ่นแรง หรือเกิดอาการระคายเคือง

    • ปัญหาช่องคลอดจากพฤติกรรมการดูแลสุขอนามัยที่ไม่เหมาะสม

    พฤติกรรมการดูแลสุขอนามัยที่ไม่เหมาะสมหรือผิดวิธี อาจจะส่งผลให้เกิดปัญหาช่องคลอดได้ เช่น การล้างช่องคลอดบ่อยเกินไป การใช้น้ำยาที่มีความเป็นด่างสูงทำให้ทำลายจุลินทรีย์ดี (Lactobacillus) หรือการใส่เสื้อผ้าที่รัดแน่น อับชื้น ก็สามารถส่งผลให้เกิดการสะสมของเชื้อแบคทีเรียได้ 

    • ปัญหาช่องคลอดจากการตั้งครรภ์และคลอดบุตร

    การตั้งครรภ์หรือการคลอดบุตร จะทำให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแรง ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดภาวะช่องคลอดหย่อน หรืออวัยวะภายในเคลื่อน และอาจทำให้เกิดปัญหาช่องคลอด ปัญหาปัสสาวะเล็ด กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ได้ ซึ่งปัญหาช่องคลอดนี้สามารถแก้ไขได้ด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ เช่น Emsella เก้าอี้กระชับช่องคลอด

    • ปัญหาช่องคลอดจากพฤติกรรมทางเพศ

    การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาช่องคลอด โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ และการมีคู่นอนหลายคน สามารถเพิ่มโอกาสติดเชื้อซ้ำซ้อนได้

    • ปัญหาช่องคลอดจากโรคหรือภาวะทางสุขภาพ

    โรคหรือภาวะทางสุขภาพ เช่น มะเร็งปากมดลูก หรือมะเร็งช่องคลอด โรคเบาหวาน อาจทำให้เกิดการติดเชื้อจากเชื้อราหรือเชื้อแบคทีเรียได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำอาจจะเกิดปัญหาช่องคลอดได้ง่ายกว่า

     

    ปัญหาช่องคลอดส่งผลกระทบอะไรบ้าง?

    ปัญหาช่องคลอด นั้นมีหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น ช่องคลอดไม่กระชับ ช่องคลอดหย่อนคล้อย ภาวะปัสสาวะเล็ด กลั้นปัสสาวะไม่ได้ หรือความรู้สึกทางเพศลดลง ซึ่งปัญหาเหล่านี้ไม่เพียงแต่ส่งผลต่อร่างกายเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบในหลาย ๆ ด้าน ทั้งผลกระทบทางร่างกาย จิตใจและอารมณ์  ความสัมพันธ์ และคุณภาพชีวิตโดยรวม ดังนี้

    • ความไม่สบายตัวหรือเจ็บปวด ผู้ที่มีปัญหา เช่น ช่องคลอดแห้ง ช่องคลอดอักเสบ หรือช่องคลอดเกิดการติดเชื้อ จึงมักมีอาการคัน แสบ หรือเจ็บขณะนั่ง เดิน หรือปัสสาวะ ซึ่งปัญหาเหล่านี้จะรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันอย่างมาก
    • ปัญหาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ ช่องคลอดที่ไม่กระชับนั้นอาจส่งผลให้รู้สึกเจ็บ หรือทำให้รู้สึกไม่พึงพอใจขณะมีเพศสัมพันธ์ได้ ซึ่งอาจนำไปสู่ความเครียด และการหลีกเลี่ยงความสัมพันธ์ทางเพศ ทำให้ความสัมพันธ์ของชีวิตคู่นั้นเกิดปัญหาได้
    • การกลั้นปัสสาวะไม่ได้ ภาวะกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแรง จะส่งผลให้ร่างกายไม่สามารถควบคุมการขับถ่ายของเสียได้ดี อาจทำให้เกิดปัญหากลั้นปัสสาวะไม่ได้ ปัสสาวะเล็ด โดยเฉพาะเวลาจาม หรือหัวเราะ ซึ่งจะส่งผลต่อความมั่นใจและการใช้ชีวิตประจำวันได้
    • ความเครียดและวิตกกังวล ผู้ที่มีปัญหาช่องคลอดจะมีความรู้สึกไม่สบายตัว หรือมีปัญหาช่องคลอดระคายเคือง อาจทำให้เกิดความเครียดและความวิตกกังวลได้
    • ความไม่มั่นใจในตนเอง ปัญหาเกี่ยวกับช่องคลอด เช่น กลิ่นไม่พึงประสงค์ ช่องคลอดไม่กระชับ หรือภาวะปัสสาวะเล็ด อาจส่งผลให้เกิดความไม่มั่นใจในตัวเอง จนเกิดการเลี่ยงการเข้าสังคมได้
    • ผลกระทบต่อการใช้ประจำวัน หากมีอาการปวดหรือระคายเคืองตลอดเวลา และมีอาการปัสสาวะเล็ดบ่อยๆ อาจส่งผลให้สมาธิในการทำงานลดลง หรือมีปัญหาในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้

    หากทำการรักษาปัญหาช่องคลอดก็จะช่วยให้ผู้ป่วยกลับมาสุขภาพดี และมีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเทคโนโลยีทางการแพทย์อย่าง Emsella เก้าอี้กระชับช่องคลอด สามารถช่วยแก้ปัญหาปัสสาวะเล็ด ช่องคลอดไม่กระชับได้

     

    ปัญหาช่องคลอดหย่อน ปัสสาวะเล็ด มีวิธีไหนช่วยได้บ้าง?
    ปัญหาช่องคลอดหย่อน ปัสสาวะเล็ด มีวิธีไหนช่วยได้บ้าง?

     

    ปัญหาช่องคลอดหย่อน ปัสสาวะเล็ด มีวิธีไหนช่วยได้บ้าง?

    ปัจจุบันเทคโนโลยีทางการแพทย์สามารถช่วยแก้ไขปัญหาช่องคลอดได้หลากหลายรูปแบบ โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาช่องคลอดไม่กระชับ ช่องคลอดแห้ง ปัสสาวะเล็ด หรือเจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์ โดยเทคโนโลยีเหล่านี้เป็นทางเลือกที่ไม่ต้องผ่าตัด ฟื้นตัวไว และไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย

    • Emsella (HIFEM)

    Emsella เป็นการใช้พลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความเข้มข้นสูง หรือ High-Intensity Focused Electromagnetic Technology (HIFEM )ช่วยแก้ปัญหาช่องคลอดไม่กระชับ กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแรง ช่องคลอดหย่อนคล้อย ภาวะปัสสาวะเล็ด ซึ่ง Emsella นั้นเป็นเก้าอี้ที่นั่งเพียง 28 นาที ก็สามารถช่วยให้กล้ามเนื้อหดเกร็งเทียบเท่ากับการทำ Kegel 11,200 ครั้ง สามารถนั่งเฉย ๆ ได้โดยไม่ต้องออกแรง ไม่ต้องถอดเสื้อผ้า และไม่มีการสอดอุปกรณ์ในช่องคลอด Emsella ไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีบาดแผล ไม่เจ็บ ไม่ต้องพักฟื้น Emsella จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหากลั้นปัสสาวะไม่ได้ ปัสสาวะเล็ดหรือหลังคลอดบุตรที่กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแรง ช่องคลอดไม่กระชับ หรือเจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์

    • Radiofrequency (RF) 

    Radiofrequency หรือ RF เป็นการใช้คลื่นความถี่วิทยุในการรักษาปัญหาช่องคลอดที่ได้รับความนิยม คือ ThermiVa สามารถช่วยแก้ปัญหาช่องคลอดหย่อนคล้อย ช่องคลอดแห้ง กล้ามเนื้ออ่อนแรง ThermiVa เป็นการรักษาโดยมีการสอดอุปกรณ์เข้าสู่ช่องคลอด ซึ่งจะแตกต่างจากการทำ Emsella  โดยคลื่น RF จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นลึก พร้อมกระตุ้นการไหลเวียนเลือด ทำให้ช่องคลอดมีความกระชับทั้งภายในและภายนอก โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่เจ็บ ไม่ต้องพักฟื้น ทั้งยังเห็นผลได้เร็ว

    • เลเซอร์กระชับช่องคลอด

    เลเซอร์กระชับช่องคลอด ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการกระชับช่องคลอดด้วยการผ่าตัด โดยเลเซอร์สามารถแก้ปัญหาช่องคลอดแห้ง ช่องคลอดไม่กระชับ ภาวะวัยทองได้ โดยจะทำการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในเยื่อบุช่องคลอด ฟื้นฟูสภาพช่องคลอดให้กระชับ ทำให้ผิวบริเวณนั้นหนาขึ้น ชุ่มชื้น และมีความยืดหยุ่นมากขึ้น จึงเหมาะสำหรับผู้ที่อยู่ในวัยหมดประจำเดือน หรือคุณแม่หลังคลอด เนื่องจากฟื้นตัวเร็ว ใช้เวลาพักฟื้นไม่นาน

    ทั้งนี้ เทคโนโลยีทางการแพทย์ อย่าง Emsella ThermiVa หรือเลเซอร์นั้น ก็จะมีความโดดเด่นและมีหลักการทำงานที่ต่างกันออกไป หากต้องการเข้ารับบริการควรปรึกษาแพทย์ เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสม และผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล 

     

    Emsella ผู้ชายใช้ได้ไหม?

    Emsella นอกจากจะสามารถช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแรง แก้ปัญหาช่องคลอดในผู้หญิงได้แล้วนั้น ผู้ชายที่มีปัญหากลั้นปัสสาวะไม่ได้ หรือหย่อนสมรรถภาพทางเพศ อวัยวะเพศไม่แข็งตัว และมีปัญหาหลั่งเร็ว หรือไม่สามารถควบคุมการหลั่งได้ ก็สามารถใช้ Emsella ในการรักษาได้เช่นเดียวกัน

    ทั้งนี้ ผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ แจ้งโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา หรือประวัติการรักษา ก่อนเข้ารับการบริการ Emsella

     

     Emsella ต้องทำกี่ครั้งจึงจะเห็นผล?
    Emsella ต้องทำกี่ครั้งจึงจะเห็นผล?

     

     Emsella ต้องทำกี่ครั้งจึงจะเห็นผล?

    การรักษาปัญหาช่องคลอดด้วย Emsella นั้นควรปรึกษาแพทย์ เพื่อให้แพทย์ทำการวางแผนการรักษาที่เหมาะสม โดยปกติแล้ว Emsella สามารถเริ่มเห็นผลได้ตั้งแต่ครั้งแรกหลังทำ แต่เพื่อผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ แนะนำให้ทำ Emsella ต่อเนื่องประมาณ 6 ครั้ง โดยสามารถทำซ้ำได้ตามความเหมาะสมและตามคำแนะนำของแพทย์ ทั้งนี้ ผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์เพื่อแจ้งประวัติการรักษา ก่อนเข้ารับการบริการ Emsella

     

    Emsella สามารถทำร่วมกับการรักษาอื่นได้หรือไม่?

    Emsella เป็นการใช้พลังงานแบบ HIFEM ในการช่วยกระชับช่องคลอด ฟื้นฟูกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน ซึ่งพลังงาน HIFEM นั้นไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย Emsella จึงสามารถทำควบคู่กับการรักษาอื่น ๆ ได้ เช่น เลเซอร์ช่องคลอด หรือโปรแกรมเสริมสมรรถภาพทางเพศอื่น ๆ  เพื่อผลลัพธ์ที่ตรงจุดมากขึ้น โดยการรักษา Emsella ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น

    Emsella เหรือเก้าอี้กระชับช่องคลอด เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการดูแลสุขภาพทางเพศสำหรับผู้ที่มีปัญหาช่องคลอดไม่กระชับ ช่องคลอดแห้ง ปัสสาวะเล็ด หรือมีปัญหาเกี่ยวกับสมรรถภาพทางเพศ ที่ต้องการกระชับช่องคลอดโดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น สามารถสอบถามเกี่ยวกับบริการ Emsella กระชับช่องคลอด ได้ที่ รมย์รวินท์คลินิกทุกสาขา

     

    *ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับการบริการ

    *เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

    ยกกระชับผิวหน้าแบบไม่ผ่าตัด ทำได้โดยวิธีใดบ้าง

    ยกกระชับผิวหน้าแบบไม่ผ่าตัด

    ยกกระชับผิวหน้าแบบไม่ผ่าตัด เปิดเทคนิคผิวดูเด็กลง ที่เห็นผลจริง

    ใครกำลังรู้สึกว่าผิวหน้าไม่กระชับเหมือนเดิมอีกต่อไปไหม? เมื่อเวลาผ่านไป ผิวหน้าที่เคยเต่งตึงอาจเริ่มมีความหย่อนคล้อย ริ้วรอยบาง ๆ เริ่มปรากฏบนใบหน้า และโครงหน้าดูเปลี่ยนไป ทั้งหมดนี้เป็นสัญญาณของการลดลงของคอลลาเจนและอีลาสตินในผิว ซึ่งเป็นกระบวนการตามธรรมชาติที่ใคร ๆ ก็ต้องเจอ

     

    แต่การยกกระชับผิวหน้าไม่จำเป็นต้องศัลยกรรมเพื่อย้อนวัยให้ผิว ซึ่งปัจจุบันมีหลากหลายวิธีที่ช่วยยกกระชับผิวหน้าแบบไม่ผ่าตัด ตั้งแต่การดูแลตัวเองอย่างถูกวิธี ไปจนถึงเทคโนโลยีความงามที่สามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้ผิวกลับมาตึงกระชับอย่างเห็นผล

     

    หากใครกำลังมองหาวิธีฟื้นฟูผิวให้ดูเด็กลง บทความนี้จะพาทุกคนไปรู้จักเทคนิคที่ได้ผลจริง เพื่อให้ผิวหน้ากลับมาสดใส แลดูอ่อนเยาว์อีกครั้ง

     

    รวมเทคโนโลยียกกระชับผิวหน้าแบบไม่ผ่าตัด ที่เห็นผลจริง
    รวมเทคโนโลยียกกระชับผิวหน้าแบบไม่ผ่าตัด ที่เห็นผลจริง

     

    รวมเทคโนโลยียกกระชับผิวหน้าแบบไม่ผ่าตัด ที่เห็นผลจริง

    ในปัจจุบัน การยกกระชับผิวหน้าแบบไม่ผ่าตัดได้รับความนิยมมากขึ้น เนื่องจากไม่ต้องพักฟื้น ไม่เจ็บตัว และให้ผลลัพธ์ที่ดูจริง ไม่ดูแปลกโดยเทคโนโลยีแต่ละประเภทจะทำงานแตกต่างกัน ทั้งอัลตราซาวนด์ และคลื่นวิทยุ RF โดยเทคโนโลยียกกระชับแบบไม่ผ่าตัด มีดังนี้

    โปรแกรมยกกระชับผิวหน้า Oligio

    เป็นเทคโนโลยีที่ใช้พลังงาน Monopolar RF ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวหน้าตึงกระชับและเรียบเนียนขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มมีปัญหาผิวหย่อนคล้อยเล็กน้อย ต้องการยกกระชับผิวหน้าแบบรู้สึกเจ็บน้อยกว่า ผลลัพธ์หลังทำทำให้ผิวกระชับและดูเรียบเนียนขึ้น หลังทำสามารถเห็นผลทันที และดีขึ้นเรื่อย ๆ ใน 2-3 เดือน

    โปรแกรมยกกระชับผิวหน้า Ultherapy Prime

    เทคโนโลยี Micro-Focused Ultrasound (MFU-V) ที่ปล่อยพลังงานอัลตราซาวนด์แบบเฉพาะเจาะจง ลงลึกถึงชั้น SMAS ชั้นเดียวกับที่ศัลยแพทย์ใช้ในการผ่าตัดดึงหน้า ทำให้เกิดความร้อนและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย ต้องการยกกระชับแบบไม่ผ่าตัด ซึ่งผลลัพธ์หลังทำ ช่วยให้ใบหน้ากระชับขึ้น ริ้วรอยลดลง หลังทำเห็นผลทันที 30% เริ่มเห็นผลใน 1-3 เดือน และชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ใน 3-6 เดือน

    โปรแกรมยกกระชับผิวหน้า Thermage FLX

    ใช้พลังงานคลื่นวิทยุ Monopolar RF ในการส่งพลังงานความร้อนเข้าสู่ผิวชั้นลึก ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน จัดเรียงโครงสร้างผิวใหม่ ทำให้ผิวกระชับและเรียบเนียนขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหน้าหย่อนคล้อย ร่องแก้มลึก ผิวไม่กระชับ ผลลัพธ์ที่ได้หลังทำคือช่วยให้ผิวกระชับ เรียบเนียนขึ้น ริ้วรอยดูตื้นขึ้น  หลังทำเห็นผลทันที 20% และชัดเจนขึ้นใน 1-3 เดือน

    โปรแกรมยกกระชับผิวหน้า Ultra 4D Lift

    เป็นเทคโนโลยี Macro & Micro Focused Ultrasound (MMFU) ที่สามารถปล่อยพลังงานอัลตราซาวนด์ลงลึกถึง 4 ระดับชั้นผิว พร้อมโหมดการปล่อยพลังงานที่เร็วขึ้น ช่วยยกกระชับใบหน้า ลดริ้วรอย และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนอย่างมีประสิทธิภาพ เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย ขาดความกระชับ ซึ่งผลลัพธ์หลังทำนั้น ช่วยทำให้ผิวหน้ากระชับ กรอบหน้าชัดขึ้น ริ้วรอยลดลง เผยผิวเรียบเนียนอ่อนเยาว์ หลังทำเห็นผลทันที 20% เริ่มเห็นผลชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ 1-3 เดือน และอยู่ได้นาน 6-12 เดือน

    โปรแกรมยกกระชับผิวหน้า Fix Lift

    ใช้เทคโนโลยี Microneedling RF โดยผสานพลังงานคลื่นวิทยุ RF เข้ากับเข็มขนาดเล็ก 24 pin เพื่อส่งพลังงานลงลึกถึงชั้นใต้ผิว กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินอย่างมีประสิทธิภาพ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับและฟื้นฟูผิวหน้าให้แน่นขึ้น ผลลัพธ์หลังทำที่ได้คือช่วยให้ผิวแน่น กระชับ รูขุมขนเล็กลง ริ้วรอยลดลง หลังทำจะเริ่มเห็นผลภายใน 2-4 สัปดาห์ และดีขึ้นเรื่อย ๆ ใน 3 เดือน

    โปรแกรมยกกระชับผิวหน้า EMFACE

    โปรแกรมยกกระชับผิวหน้าที่รวมเทคโนโลยี HIFES™ เข้ากับพลังงาน Radio Frequency (RF) เพื่อกระตุ้นทั้งกล้ามเนื้อใบหน้าและชั้นผิวในเวลาเดียวกัน โดยระบบ HIFES™ จะช่วยกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อเฉพาะจุดอย่างลึกถึงชั้นลึก ขณะที่ RF จะช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในผิวอย่างอ่อนโยน ช่วยเพิ่ม มวลกล้ามเนื้อบนใบหน้า ส่งผลให้โครงหน้าชัดขึ้น ผิวตึงกระชับ โดยไม่ต้องใช้เข็มหรือสารเติมเต็มใด ๆ

     

    ทำไมผิวหน้าถึงหย่อนคล้อย? เข้าใจสาเหตุเพื่อแก้ปัญหาได้ตรงจุด

    ผิวหน้าที่เคยกระชับ เต่งตึง อาจเริ่มมีความหย่อนคล้อยเมื่อเวลาผ่านไป ซึ่งเป็นปัญหาที่หลายคนกังวลใจ และอาจทำให้ใบหน้าดูมีอายุเกินกว่าความเป็นจริง สาเหตุของปัญหาผิวหย่อนคล้อย มีดังนี้

    • อายุเพิ่มขึ้น และคอลลาเจนลดลง

    เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น ร่างกายจะผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินลดลง ซึ่งเป็นโปรตีนสำคัญที่ช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่นและกระชับ ผลกระทบที่ตามมาคือ ผิวเริ่มหย่อนคล้อย ขาดความยืดหยุ่น และเกิดริ้วรอยง่ายขึ้น นอกจากนี้ การผลัดเซลล์ผิวที่ช้าลงและการสูญเสียความชุ่มชื้นของผิว ก็เป็นปัจจัยที่ทำให้ใบหน้าดูอ่อนล้า ไม่สดใสเหมือนเดิม

    • แรงโน้มถ่วงและการสูญเสียไขมันใต้ผิว

    แรงโน้มถ่วงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เมื่ออายุมากขึ้น ไขมันใต้ผิวหน้าที่เคยช่วยพยุงโครงสร้างผิวจะลดลง ทำให้ผิวหนังขาดการพยุงตัวและเกิดการหย่อนคล้อย โดยเฉพาะบริเวณแก้ม ใต้ตา และแนวกราม นอกจากนี้มวลกระดูกบนใบหน้าจะค่อย ๆ ลดลง ทำให้โครงหน้าดูเปลี่ยนไป ส่งผลให้ผิวที่เคยตึงกระชับเริ่มดูหย่อนคล้อยมากขึ้น

    • พฤติกรรมที่ทำให้ผิวเสื่อมเร็วขึ้น

    นอกจากปัจจัยทางธรรมชาติแล้ว พฤติกรรมบางอย่างอาจเร่งให้ผิวหน้าเสื่อมสภาพเร็วกว่าที่ควร ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าว มีดังนี้

    • การโดนแสงแดดมากเกิน ทำลายคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวเหี่ยวย่นเร็วขึ้น
    • การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ ทำให้เส้นเลือดหดตัว ลดออกซิเจน และสารอาหารที่ไปหล่อเลี้ยงผิว
    • การแสดงสีหน้าซ้ำ ๆ เป็นเวลานาน เช่น การขมวดคิ้ว การยิ้ม หรือการเคี้ยวอาหารข้างเดียว อาจทำให้เกิดริ้วรอยและความหย่อนคล้อยบริเวณนั้น
    • การพักผ่อนไม่เพียงพอและความเครียด ส่งผลให้ร่างกายผลิตคอร์ติซอลมากขึ้น ซึ่งไปทำลายคอลลาเจนในผิว
    • การลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว ทำให้ไขมันใต้ผิวลดลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ผิวหน้าดูหย่อนคล้อยและขาดความกระชับ

     

    เปรียบเทียบวิธียกกระชับผิวหน้าแบบไม่ผ่าตัดแต่ละแบบ แบบไหนเหมาะกับคุณ?

    • โปรแกรมยกกระชับผิวหน้า Ulthera Prime vs Thermage FLX

    โปรแกรม Ulthera Prime ใช้พลังงานอัลตราซาวนด์ลงลึกถึงชั้น SMAS เหมาะกับผู้ที่ต้องการยกกระชับใบหน้า ปรับกรอบหน้าให้ชัดเจน โดยเฉพาะบริเวณแก้มและกรอบหน้า ในขณะที่โปรแกรม Thermage FLX ใช้พลังงานคลื่นวิทยุ RF กระตุ้นคอลลาเจน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการให้ผิวหน้าแน่นขึ้น ลดริ้วรอย อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความเรียบเนียนของผิวหน้าและลำคอ

    • โปรแกรมยกกระชับผิวหน้า Ulthera Prime vs Ultra 4D Lift

    ทั้งโปรแกรม Ulthera Prime และ โปรแกรม Ultra 4D Lift เป็นเทคโนโลยี Micro-Focused Ultrasound (MFU) ที่ใช้พลังงานอัลตราซาวนด์ในการยกกระชับผิวโดยไม่ต้องผ่าตัด ซึ่งสามารถปล่อยพลังงานอัลตราซาวนด์ลงลึกถึงชั้น SMAS ได้อย่างแม่นยำ ช่วยยกกระชับผิวหน้า และปรับรูปหน้าให้ชัดขึ้น โดยเฉพาะบริเวณกรอบหน้า แก้ม และใต้คาง ส่วนโปรแกรม Ultra 4D Lift สามารถปล่อยพลังงานแบบ Macro & Micro Focused Ultrasound (MMFU) ซึ่งช่วย กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้มากขึ้น และให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติขึ้น

    • โปรแกรมยกกระชับผิวหน้า Fix Lift vs Oligio

    โปรแกรม Fix Lift เป็นการใช้พลังงาน Microneedling RF ผสานพลังงานคลื่นวิทยุ RF เพื่อกระชับผิวและลดริ้วรอยลึก รวมถึงช่วยกระชับรูขุมขนและปรับคุณภาพผิว เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อยและต้องการฟื้นฟูผิวแบบครบวงจร ขณะที่โปรแกรม Oligio เป็นพลังงาน Monopolar RF ให้ความรู้สึกที่เจ็บน้อยกว่า ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ยกกระชับผิวหน้าให้กลับมาเรียวเล็กอีกครั้ง

    • โปรแกรมยกกระชับผิวหน้า EMFACE vs Thermage FLX 

    โปรแกรม EMFACE ใช้พลังงาน HIFES+RF ในการกระตุ้นกล้ามเนื้อใบหน้าและยกกระชับผิวหน้าไปพร้อมกัน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเน้นโครงหน้าชัดโดยไม่ใช้สารเติมเต็ม ส่วนโปรแกรม Thermage FLX เน้นไปที่การกระตุ้นคอลลาเจน ลดเลือนริ้วรอย ลดไขมันสะสมบริเวณแก้มและเหนียง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปรับผิวหน้าให้แน่นกระชับขึ้น

     

    ยกกระชับผิวหน้าแบบไม่ผ่าตัด เหมาะกับใครบ้าง?
    ยกกระชับผิวหน้าแบบไม่ผ่าตัด เหมาะกับใครบ้าง?

     

    ยกกระชับผิวหน้าแบบไม่ผ่าตัด เหมาะกับใครบ้าง?

    • ยกกระชับผิวหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มมีปัญหาผิวหย่อนคล้อย
    • ยกกระชับผิวหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการป้องกันผิวหย่อนคล้อยตั้งแต่อายุยังน้อย
    • ยกกระชับผิวหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการทำการผ่าตัดศัลยกรรม
    • ยกกระชับผิวหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าให้ชัดขึ้น โดยไม่ฉีดสารเติมเต็ม
    • ยกกระชับผิวหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยลึก ผิวขาดความแน่น
    • ยกกระชับผิวหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ลดน้ำหนักเร็วเกินไป ทำให้ผิวหย่อนคล้อย
    • ยกกระชับผิวหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวอ่อนล้าหลังคลอด ต้องการฟื้นฟูผิว
    • ยกกระชับผิวหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยจากมลภาวะและแสงแดด
    • ยกกระชับผิวหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ทำงานหนักและพักผ่อนไม่เพียงพอ
    • ยกกระชับผิวหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับผิวแบบเร่งด่วน 
    • ยกกระชับผิวหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่มีโครงหน้าหย่อนคล้อยจากพันธุกรรม
    • ยกกระชับผิวหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ออกกำลังกายหนัก และทำให้ไขมันบนใบหน้าลดลง
    • ยกกระชับผิวหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการให้ผลลัพธ์อยู่ได้นานกว่าการใช้โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์หรือโปรแกรมฉีดโบ
    • ยกกระชับผิวหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องริ้วรอยและผิวหย่อนคล้อยบริเวณลำคอ 
    • ยกกระชับผิวหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องร่องแก้มลึกและริ้วรอยรอบปาก
    • ยกกระชับผิวหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการทางเลือกที่ไม่มีผลข้างเคียงอันตราย

     

    ยกกระชับผิวหน้าแบบไม่ผ่าตัด ไม่เหมาะกับใครบ้าง?

    • ยกกระชับผิวหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยมากเกินไป
    • ยกกระชับผิวหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเห็นผลลัพธ์ทันทีแบบถาวร
    • ยกกระชับผิวหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่ถาวรโดยไม่ต้องทำซ้ำ
    • ยกกระชับผิวหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวบาง หรือผิวแพ้ง่ายมาก
    • ยกกระชับผิวหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะเลือดออกง่าย
    • ยกกระชับผิวหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการผิวไวต่อความร้อนมากผิดปกติ
    • ยกกระชับผิวหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด
    • ยกกระชับผิวหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีแผลสด แผลเป็นนูน หรือการติดเชื้อบนผิวหน้า
    • ยกกระชับผิวหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เพิ่งฉีดสารเติมเต็ม หรือการร้อยไหมมาแล้วไม่นาน
    • ยกกระชับผิวหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีเนื้องอก หรือเคยมีประวัติมะเร็งผิวหนัง
    • ยกกระชับผิวหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีแผลเป็นนูนง่ายหลังจากเกิดการอักเสบ
    • ยกกระชับผิวหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์หรือสูบบุหรี่จัด
    • ยกกระชับผิวหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เคยทำศัลยกรรมใบหน้ามาก่อนและมีแผลเป็นเยอะ
    • ยกกระชับผิวหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีโรคผิวหนังเรื้อรัง เช่น โรคสะเก็ดเงิน โรคผิวหนังอักเสบ
    • ยกกระชับผิวหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน เช่น SLE (โรคพุ่มพวง) หรือโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้
    • ยกกระชับผิวหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการให้ผลลัพธ์อยู่ได้นานหลายปี โดยไม่ต้องทำซ้ำ
    • ยกกระชับผิวหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ใช้ยายาสเตียรอยด์ (Steroid) เป็นประจำ
    • ยกกระชับผิวหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาภูมิแพ้ผิวหนังอย่างรุนแรง
    • ยกกระชับผิวหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาภูมิแพ้ผิวหนังอย่างรุนแรง

     

    รวมข้อดีของการยกกระชับผิวหน้า ด้วยเทคโนโลยีเครื่องยกกระชับ
    รวมข้อดีของการยกกระชับผิวหน้า ด้วยเทคโนโลยีเครื่องยกกระชับ

     

    รวมข้อดีของการยกกระชับผิวหน้า ด้วยเทคโนโลยีเครื่องยกกระชับ

    • ยกกระชับผิวหน้า ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องเจ็บตัว และไม่ต้องพักฟื้น
    • ยกกระชับผิวหน้า ให้ผลลัพธ์ที่เป็นที่น่าพึงพอใจ ไม่แข็งตึงเกินไป
    • ยกกระชับผิวหน้า ได้ลึกถึงชั้นผิวระดับ SMAS โดยไม่ต้องผ่าตัด
    • ยกกระชับผิวหน้าช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ฟื้นฟูผิวจากภายใน
    • ยกกระชับผิวหน้า เห็นผลลัพธ์ระยะยาว อยู่ได้นานถึง 6-12 เดือน
    • ยกกระชับผิวหน้า ช่วยปรับโครงหน้าให้ชัดขึ้น ลดเหนียง
    • ยกกระชับผิวหน้า ช่วยให้ใบหน้าดูเรียวขึ้นโดยไม่ต้องใช้โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์หรือโปรแกรมฉีดโบ
    • ยกกระชับผิวหน้า ช่วยลดริ้วรอย ทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น
    • ยกกระชับผิวหน้า ลดรูขุมขนกว้าง และทำให้ผิวดูเนียนขึ้น
    • ยกกระชับผิวหน้า สามารถทำได้ทุกวัย ตั้งแต่ 25 ปีขึ้นไป
    • ยกกระชับผิวหน้า ไม่มีอันตราย และผ่านการรับรองจากอย.ไทย 
    • ยกกระชับผิวหน้า ไม่ต้องใช้สารเติมเต็ม ไม่ต้องฉีดอะไรเข้าสู่ร่างกาย
    • ยกกระชับผิวหน้า เหมาะกับคนที่ต้องการดูแลผิวระยะยาว
    • ยกกระชับผิวหน้า สามารถทำร่วมกับหัตถการอื่นได้ เพื่อผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น
    • ยกกระชับผิวหน้า ใช้ได้กับทุกสภาพผิว และทำได้หลายบริเวณ
    • ยกกระชับผิวหน้า มีตัวเลือกเทคโนโลยีที่หลากหลาย ตอบโจทย์ทุกปัญหาผิว
    • ยกกระชับผิวหน้า ลดการเกิดริ้วรอยใหม่ ป้องกันความหย่อนคล้อยในอนาคต
    • ยกกระชับผิวหน้า กระตุ้นการไหลเวียนโลหิต เพิ่มออกซิเจนให้กับผิว
    • ยกกระชับผิวหน้า ลดไขมันสะสมบางจุด เช่น แก้มล่าง เหนียง ใต้คาง
    • ยกกระชับผิวหน้า ไม่มีสารแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกาย
    • ยกกระชับผิวหน้า ฟื้นฟูผิวจากภายใน ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์
    • ยกกระชับผิวหน้า สามารถเลือกทำเฉพาะจุดได้
    • ยกกระชับผิวหน้า ช่วยให้มั่นใจในรูปลักษณ์ของตัวเองมากขึ้น

     

    ยกกระชับผิวหน้าแบบไม่ผ่าตัด ช่วยอะไรบ้าง?
    ยกกระชับผิวหน้าแบบไม่ผ่าตัด ช่วยอะไรบ้าง?

     

    ยกกระชับผิวหน้าแบบไม่ผ่าตัด ช่วยอะไรบ้าง?

    • ยกกระชับผิวหน้า ยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อย ให้เต่งตึงขึ้น
    • ยกกระชับผิวหน้า กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในผิว
    • ยกกระชับผิวหน้า ปรับรูปหน้าให้เรียวขึ้น ลดไขมันสะสมบนใบหน้า
    • ยกกระชับผิวหน้า ลดริ้วรอย ทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ขึ้น
    • ยกกระชับผิวหน้า กระชับรูขุมขน และทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น
    • ยกกระชับผิวหน้า ลดปัญหาผิวหย่อนคล้อยที่ลำคอ และใต้ตา
    • ยกกระชับผิวหน้า ฟื้นฟูสภาพผิวจากภายใน ทำให้ผิวแข็งแรงขึ้น
    • ยกกระชับผิวหน้า แก้ปัญหาร่องแก้มลึก และร่องน้ำหมาก
    • ยกกระชับผิวหน้า ปรับโครงสร้างผิวให้กระชับขึ้น
    • ยกกระชับผิวหน้า กระตุ้นการไหลเวียนเลือด และช่วยให้ผิวดูสุขภาพดีขึ้น
    • ยกกระชับผิวหน้า ป้องกันปัญหาผิวหย่อนคล้อยในอนาคต

     

    ยกกระชับผิวหน้าแบบไม่ผ่าตัด ทำบริเวณใดได้บ้าง?

    • ยกกระชับผิวหน้า สามารถทำบริเวณหน้าผากและระหว่างคิ้วได้ – ลดริ้วรอยหน้าผาก แก้ปัญหาคิ้วตก
    • ยกกระชับผิวหน้า สามารถทำบริเวณรอบดวงตาและหนังตาบนได้ – ลดริ้วรอยรอบดวงตา แก้ปัญหาหนังตาตก
    • ยกกระชับผิวหน้า สามารถทำบริเวณแก้มได้ – ลดแก้มที่เริ่มหย่อนคล้อย ลดร่องแก้มที่ลึกขึ้น
    • ยกกระชับผิวหน้า สามารถทำบริเวณร่องแก้ม และร่องน้ำหมากได้ – ลดความลึกของร่องแก้ม แก้ปัญหาร่องน้ำหมากลึก
    • ยกกระชับผิวหน้า สามารถทำบริเวณกรอบหน้าและแนวกรามได้ – ทำให้กรอบหน้าชัดขึ้น ลดเหนียงและไขมันสะสมใต้คาง
    • ยกกระชับผิวหน้า สามารถทำบริเวณคางและเหนียงใต้คางได้ – ลดไขมันสะสมใต้คาง ทำให้คางดูเรียวขึ้น
    • ยกกระชับผิวหน้า สามารถทำบริเวณลำคอได้ – ลดความหย่อนคล้อยของผิวคอ กระชับผิวบริเวณลำคอ
    • ยกกระชับผิวหน้า สามารถทำบริเวณมุมปาก และรอยย่นรอบปาก – แก้ปัญหามุมปากตก ลดริ้วรอยบริเวณรอบปาก
    • ยกกระชับผิวหน้า สามารถทำบริเวณทั่วใบหน้าได้ – ฟื้นฟูผิวที่ดูอ่อนล้า กระตุ้นคอลลาเจนให้ผิวแน่นขึ้น

     

    ยกกระชับผิวหน้าแบบไม่ผ่าตัด ควรเลือกคลินิกอย่างไร?

    • คลินิกต้องได้รับใบอนุญาตจากกระทรวงสาธารณสุข และสามารถเช็กได้จากเว็บไซต์ของกระทรวงสาธารณสุข
    • สถานที่สะอาด และมีมาตรฐานทางการแพทย์
    • มีแพทย์ผู้มีประสบการณ์ด้านผิวหนัง หรือ แพทย์ที่มีประสบการณ์ในการทำหัตถการยกกระชับโดยเฉพาะ
    • เลือกคลินิกที่ใช้เครื่องมือที่ได้รับการรับรองจากอย. ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ
    • มีรีวิวจากลูกค้าจริง และผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัด
    • มีการบริการให้คำปรึกษาก่อนทำ และมีการวิเคราะห์ผิวอย่างละเอียด
    • มีการแจ้งรายละเอียดชัดเจน ไม่มีค่าใช้จ่ายแอบแฝง
    • มีบริการติดตามผลหลังทำ และมีทีมแพทย์คอยให้คำแนะนำและดูแลอย่างใกล้ชิด

     

    ยกกระชับผิวหน้าแบบไม่ผ่าตัดที่รมย์รวินท์คลินิก ดีอย่างไร?
    ยกกระชับผิวหน้าแบบไม่ผ่าตัดที่รมย์รวินท์คลินิก ดีอย่างไร?

     

    ยกกระชับผิวหน้าแบบไม่ผ่าตัดที่รมย์รวินท์คลินิก ดีอย่างไร?

    • ใช้เทคโนโลยียกกระชับที่ผ่านการรับรองมาตรฐานระดับสากล

    รมย์รวินท์คลินิก เลือกใช้เครื่องแท้ที่ได้รับการรับรองจากระดับสากล และ อย. ไทย ทำให้มั่นใจได้ว่า ไม่อันตราย และให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ

    • มีแพทย์ที่มีความรู้ด้านการยกกระชับผิวหน้าประจำคลินิก

    รมย์รวินท์คลินิก ทุกเคสจะได้รับการดูแลโดยแพทย์ผู้มีประสบการณ์ด้านการยกกระชับผิวหน้า คอยให้คำแนะนำ และออกแบบการรักษาให้เหมาะกับปัญหาของแต่ละบุคคล

    • เห็นผลลัพธ์ที่เป็นที่น่าพึงพอใจ ผิวกระชับขึ้นโดยไม่แข็งตึง

    การยกกระชับที่รมย์รวินท์คลินิก จะให้ผลลัพธ์ที่เป็นที่น่าพึงพอใจไม่แข็งตึง ไม่ทำให้หน้าดูแข็ง เพราะแพทย์จะใช้พลังงานในระดับที่เหมาะสมกับโครงสร้างผิวของแต่ละคน

    • บริการระดับพรีเมียม พร้อมการดูแลแบบใกล้ชิด

    รมย์รวินท์คลินิกเน้นให้บริการดูแลลูกค้าแต่ละคนอย่างใกล้ชิด และให้ความรู้สึกสบายใจตลอดการทำหัตถการ

    • ผลลัพธ์ที่ลูกค้าจริงพึงพอใจ มีรีวิวผู้ใช้บริการจริงที่มีประสิทธิภาพ

    รมย์รวินท์คลินิกมีรีวิวจากลูกค้าจริง ที่เห็นผลลัพธ์ชัดเจน ใบหน้ากระชับขึ้น ผลตอบรับดีจากผู้ใช้บริการ การันตีความพึงพอใจ และมีรูป Before & After ให้ดู เพื่อให้มั่นใจว่าการยกกระชับเห็นผลจริง

    • มีเทคโนโลยีใหม่อยู่เสมอ พร้อมอัปเดตเทรนด์ของเทคโนโลยีตลอดเวลา

    รมย์รวินท์คลินิก เป็นหนึ่งในคลินิกที่มีการอัปเดตเทคโนโลยีใหม่อยู่เสมอ นำเข้าเครื่องยกกระชับที่มีประสิทธิภาพสูง และได้รับการรับรองจากทั่วโลก ใช้เทคนิคใหม่ ๆ ที่ช่วยให้การยกกระชับได้ผลลัพธ์ดีขึ้น และเจ็บน้อยลง

     

    ยกกระชับผิวหน้าแบบไม่ผ่าตัด อยู่ได้นานแค่ไหน?

    • ผลลัพธ์ของการยกกระชับผิวหน้าแบบไม่ผ่าตัด สามารถอยู่ได้นานประมาณ 6-12 เดือน ขึ้นอยู่กับประเภทของเทคโนโลยีที่เลือกใช้ สภาพผิวของแต่ละคน และการดูแลผิวหลังทำ หากมีการดูแลผิวที่เหมาะสม ผลลัพธ์จะอยู่ได้นานขึ้น

     

    ยกกระชับผิวหน้าแบบไม่ผ่าตัด เห็นผลทันทีเลยไหม?

    • บางเทคโนโลยียกกระชับผิวหน้า อาจให้ผลลัพธ์บางส่วนทันทีหลังทำ แต่โดยส่วนใหญ่ จะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนขึ้นภายใน 1-3 เดือน เนื่องจากร่างกายต้องใช้เวลาในการสร้างคอลลาเจนและฟื้นฟูโครงสร้างผิว

     

    ยกกระชับผิวหน้าแบบไม่ผ่าตัด เจ็บไหม?

    • ระดับความรู้สึกขณะทำขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีที่ใช้ โดยปกติจะรู้สึกอุ่น ๆ หรือจี๊ด ๆ ในระหว่างทำเท่านั้น ซึ่งในปัจจุบันมีการใช้ยาชาหรือเทคนิคที่ช่วยลดความรู้สึกไม่สบาย ทำให้การทำหัตถการรู้สึกสบายขึ้นกว่าเดิม

     

    ยกกระชับผิวหน้าแบบไม่ผ่าตัด สามารถทำได้บ่อยแค่ไหน?

    • โดยปกติ สามารถทำซ้ำได้ทุก 6-12 เดือน ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีที่ใช้ หากเป็นการดูแลผิวให้กระชับอยู่เสมอ แพทย์อาจแนะนำให้ทำเป็นประจำทุกปีเพื่อคงผลลัพธ์ให้อยู่ได้นานขึ้น

     

    ยกกระชับผิวหน้าแบบไม่ผ่าตัด เหมาะกับอายุเท่าไหร่?

    • สามารถทำได้ตั้งแต่อายุ 25 ปีขึ้นไป สำหรับผู้ที่ต้องการป้องกันผิวหย่อนคล้อย และเหมาะกับผู้ที่มีอายุ 35-50 ปีขึ้นไป ที่เริ่มมีปัญหาผิวหย่อนคล้อย ริ้วรอย หรือกรอบหน้าไม่ชัด การทำตั้งแต่อายุยังน้อยจะช่วยให้ผิวแข็งแรงขึ้น และชะลอการเกิดริ้วรอยในอนาคตได้

     

    ยกกระชับผิวหน้าแบบไม่ผ่าตัด ผิวจะบางลงไหม?

    • การยกกระชับผิวหน้าแบบไม่ผ่าตัด ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวแข็งแรงขึ้น ไม่บางลง ต่างจากเลเซอร์บางประเภทที่อาจทำให้ชั้นผิวบางลง

     

    ยกกระชับผิวหน้าแบบไม่ผ่าตัด ให้ผลลัพธ์ที่เหมือนศัลยกรรมดึงหน้าไหม?

    • การยกกระชับผิวหน้าแบบไม่ผ่าตัด ไม่สามารถให้ผลลัพธ์เทียบเท่ากับการศัลยกรรมดึงหน้า เพราะการยกกระชับแบบไม่ผ่าตัด เป็นการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนเพื่อให้ผิวกระชับขึ้น ในขณะที่ศัลยกรรมดึงหน้าจะเป็นการยกกระชับด้วยการตัดแต่งผิวหนังและเย็บกระชับโครงสร้างใบหน้า อย่างไรก็ตาม การใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมสามารถช่วยให้ใบหน้าดูเต่งตึงขึ้นได้โดยไม่ต้องผ่าตัด

     

    ทำไมต้องยกกระชับผิวหน้าแบบไม่ผ่าตัด แทนการศัลยกรรม?

    • การยกกระชับผิวหน้าแบบไม่ผ่าตัด เป็นตัวเลือกที่ไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีแผล และไม่ต้องพักฟื้น เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการให้ผิวกระชับขึ้น โดยไม่ต้องเสี่ยงกับภาวะแทรกซ้อนจากการศัลยกรรม นอกจากนี้ สามารถทำได้เรื่อย ๆ ทุกปีโดยไม่มีผลกระทบต่อโครงสร้างใบหน้า

     

    การยกกระชับผิวหน้าแบบไม่ผ่าตัด เป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์สำหรับผู้ที่ต้องการให้ผิวหน้าดูกระชับ อ่อนเยาว์มากขึ้น โดยไม่ต้องพักฟื้นและไม่มีความเสี่ยง ด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็น Ulthera Prime, Thermage FLX, Ultraformer MPT, Fix Lift หรือ EMFACE ล้วนช่วยให้ใบหน้าดูยกกระชับขึ้นได้

     

    หากคุณกำลังมองหาวิธีฟื้นฟูผิวให้ดูเด็กลง การเลือกเทคโนโลยีที่เหมาะสม และเข้ารับบริการกับคลินิกที่ได้มาตรฐานเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพราะไม่ใช่แค่การคืนความอ่อนเยาว์ให้กับผิว แต่ยังเป็นการดูแลสุขภาพผิวในระยะยาว ให้ผิวของคุณแข็งแรง กระชับ และเปล่งปลั่งอยู่เสมอ

    ถ้าจะล้ำเส้นกันขนาดนี้ แก้ปัญหาขนแพลมล้ำขอบบิกินีด้วย Yag Laser 1064

    ถ้าจะล้ำเส้นกันขนาดนี้ บอกลาปัญหาขนแพลมขอบบิกินีด้วย Yag Laser 1064

    ถ้าจะล้ำเส้นกันขนาดนี้ บอกลาปัญหาขนแพลมขอบบิกินีด้วย Yag Laser 1064

    Summer นี้บิกินีต้องเข้า แต่ขนดันมากันซีนซะก่อน ปัญหาขนขอบบิกินีรุมเร้า ใส่ชุดไหนก็ไม่มั่นใจ แถมยังมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ตามมา ถ้าจะล้ำเส้นกันขนาดนี้ ปล่อยไว้ไม่ได้แล้ว!!  อยากกำจัดขนบิกินีทั้งที จะโกนก็อันตราย จะแว็กซ์ก็แสบ จะถอนก็เจ็บ อย่าเพิ่งถอดใจ 

    บอกลาปัญหาขนแพลมล้ำเส้น โชว์หุ่นเป๊ะปังในชุดบิกินี รับซัมเมอร์อย่างไร้กังวลด้วย “Yag Laser 1064” เลเซอร์กำจัดขนบิกินี ลงลึกถึงรากขน โชว์ความเรียบเนียน เกลี้ยงแบบไม่มีเล็ดลอด ไม่ทิ้งตอให้สะดุด เก็บได้ทุกรายละเอียด ไม่ว่าจะบิกินี หรือส่วนเว้าโค้งแค่ไหนก็ไร้กลิ่นอับ เพิ่มความมั่นใจ ไม่มีขนแพลมล้ำเส้นแน่นอน

     

     

    Yag Laser 1064 เลเซอร์กำจัดขน จบปัญหาขนแพลมล้ำเส้นขอบบิกินี

     

    ถ้าจะล้ำเส้นกันขนาดนี้ บอกลาปัญหาขนแพลมขอบบิกินีด้วย Yag Laser 1064
    ถ้าจะล้ำเส้นกันขนาดนี้ บอกลาปัญหาขนแพลมขอบบิกินีด้วย Yag Laser 1064

     

    Yag Laser 1064 เลเซอร์กำจัดขนบิกินี คืออะไร?

    Yag Laser 1064 คือ เทคโนโลยีเลเซอร์กำจัดขนที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน โดยการปล่อยพลังงานคลื่นแสงที่มีความยาวคลื่น 1064 นาโนเมตร เพื่อทำลายเซลล์รากขนโดยตรง และลดการงอกใหม่ของเส้นขนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้เซลล์รากขนฝ่อลง และค่อย ๆ หลุดร่วงไปเองตามธรรมชาติ โดยไม่ทำลายผิวหนังชั้นบน ซึ่งต่างจากการโกน หรือการแว็กซ์ขนที่อาจทำให้เส้นขนแข็ง หรือผิวระคายเคืองได้ง่าย

    โดย Yag Laser 1064 เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาเส้นขนในทุกบริเวณ ไม่ว่าจะขนหนา ขนแข็ง หรือขนสีเข้มก็สามารถกำจัดได้ เก็บหมดทุกจุดที่กังวล และลดความเสี่ยงต่อการเกิดผิวเบิร์น ผิวไหม้หลังทำ

     

    Yag Laser 1064 เลเซอร์กำจัดขนบิกินี ช่วยเรื่องอะไร?

    • Yag Laser 1064 เลเซอร์กำจัดขนบิกินี ช่วยกำจัดเส้นขนลงลึกถึงรากขน
    • Yag Laser 1064 เลเซอร์กำจัดขนบิกินี ช่วยลดปัญหาขนคุด ตุ่มหนังไก่
    • Yag Laser 1064 เลเซอร์กำจัดขนบิกินี ช่วยลดความอับชื้น ลดการสะสมของแบคทีเรีย
    • Yag Laser 1064 เลเซอร์กำจัดขนบิกินี ช่วยลดกลิ่นไม่พึงประสงค์
    • Yag Laser 1064 เลเซอร์กำจัดขนบิกินี ช่วยลดการสะสมของเหงื่อ
    • Yag Laser 1064 เลเซอร์กำจัดขนบิกินี ช่วยให้ทำความสะอาดได้ง่ายขึ้น
    • Yag Laser 1064 เลเซอร์กำจัดขนบิกินี ช่วยลดอาการคัน
    • Yag Laser 1064 เลเซอร์กำจัดขนบิกินี ช่วยชะลอการงอกใหม่ของเส้นขนในอนาคต
    • Yag Laser 1064 เลเซอร์กำจัดขนบิกินี ช่วยให้ผิวเรียบเนียน กระจ่างใส
    • Yag Laser 1064 เลเซอร์กำจัดขนบิกินี ช่วยเพิ่มความมั่นใจในการใช้ชีวิต

     

    ข้อดีของ Yag Laser 1064 เลเซอร์กำจัดขนบิกินี

    • Yag Laser 1064 เลเซอร์กำจัดขนบิกินี สามารถกำจัดขนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    • Yag Laser 1064 เลเซอร์กำจัดขนบิกินี เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว และทุกสีผิว 
    • Yag Laser 1064 เลเซอร์กำจัดขนบิกินี สามารถกำจัดขนได้ทุกพื้นที่ แม้ในบริเวณที่ผิวบอบบาง
    • Yag Laser 1064 เลเซอร์กำจัดขนบิกินี สามารถเห็นผลลัพธ์ได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ
    • Yag Laser 1064 เลเซอร์กำจัดขนบิกินี มีระบบ Cryogen Spray ปล่อยไอเย็นขณะทำ
    • Yag Laser 1064 เลเซอร์กำจัดขนบิกินี ไม่เสี่ยงผิวไหม้ ผิวเบิร์น หรืออาการแสบร้อนขณะทำ
    • Yag Laser 1064 เลเซอร์กำจัดขนบิกินี ได้รับการรองรับมาตรฐานจาก อย.
    • Yag Laser 1064 เลเซอร์กำจัดขนบิกินี ให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า เมื่อเทียบกับการกำจัดขนวิธีอื่น

     

    อวดผิวเนียนใส ไม่ล้ำเส้นที่ รมย์รวินท์คลินิก ทุกสาขา

    Yag Laser 1064 ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดีในการกำจัดขน เมื่อเทียบกับการโกน หรือการแว็กซ์ โดยสามารถกำจัดขนได้ลึกถึงเซลล์รากขน และชะลอการเกิดเส้นขนใหม่ พร้อมทั้งลดปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดจากเส้นขนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ลดอาการคัน ลดกลิ่นอับ และลดตุ่มหนังไก่ ส่งผลให้ผิวบริเวณที่ทำมีความเรียบเนียน กระจ่างใส และไร้กลิ่นอับชื้น หมดกังวลเรื่องเส้นขนกวนใจ ไม่ว่าจะใส่บิกินีแซ่บแค่ไหนก็เอาอยู่

    เทคโนโลยียกกระชับไหนเหมาะกับหน้าหย่อนคล้อยมากที่สุด?

    เทคโนโลยียกกระชับไหนเหมาะกับหน้าหย่อนคล้อยมากที่สุด?

    Fix Lift vs Ultherapy Prime vs Thermage FLX เทคโนโลยียกกระชับไหนเหมาะกับหน้าหย่อนคล้อยมากที่สุด?

    เมื่ออายุมากขึ้น หลายคนเริ่มสังเกตเห็นว่าผิวหน้าเริ่มไม่เต่งตึงเหมือนเดิม ซึ่งความหย่อนคล้อยของผิวหน้า เกิดจากการเสื่อมสภาพของคอลลาเจนและอีลาสตินที่เป็นโครงสร้างหลักของผิว อีกทั้งไขมันใต้ผิวหนังและมวลกล้ามเนื้อก็ลดลง ส่งผลให้ใบหน้าดูหย่อนคล้อย ไม่กระชับ และขาดความมีมิติ

     

    ปัญหานี้ไม่เพียงแต่จะทำให้เราดูแก่กว่าวัย แต่ยังส่งผลต่อความมั่นใจของใครหลาย ๆ คน ดังนั้นเทคโนโลยียกกระชับจึงเข้ามามีบทบาทสำคัญในการช่วยฟื้นฟูผิวหน้าให้ดูตึงกระชับ แลดูอ่อนเยาว์มากขึ้น

     

    ในยุคปัจจุบัน เทคโนโลยีด้านความงามได้พัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด โดยเฉพาะในด้านการยกกระชับผิวที่ไม่ต้องผ่าตัด ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงและระยะเวลาพักฟื้น หนึ่งในทางเลือกที่ได้รับความนิยมสูง ได้แก่ Fix Lift, Ultherapy Prime และ Thermage FLX ซึ่งล้วนเป็นเทคโนโลยีที่ได้รับการยอมรับในวงการแพทย์ผิวหนังและความงาม ว่าสามารถช่วยฟื้นฟูความกระชับ ลดเลือนริ้วรอย และปรับรูปหน้าให้ดูอ่อนเยาว์แบบดูเป็นธรรมชาติ

     

    ทำไมผิวหน้าหย่อนคล้อย? สาเหตุที่ควรรู้ก่อนเลือกเทคโนโลยียกกระชับ

    รู้หรือไม่ว่าผิวหน้าหย่อนคล้อยไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพราะอายุที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่ยังมีอีกหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อความกระชับของผิว ซึ่งการเข้าใจสาเหตุที่แท้จริง จะช่วยให้เลือกวิธีการยกกระชับที่เหมาะสมและเห็นผลลัพธ์ที่ดี

    • อายุที่เพิ่มมากขึ้น

    เมื่ออายุเข้าสู่ช่วงอายุ 30 ปีขึ้นไป ร่างกายจะเริ่มผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินลดลง ซึ่งเป็นโครงสร้างสำคัญของผิว ทำให้ผิวสูญเสียความยืดหยุ่น ขาดความแน่นเฟิร์ม และเริ่มเกิดริ้วรอยและความหย่อนคล้อย ซึ่งนอกจากปริมาณของการสร้างคอลลาเจนที่ลดลงแล้ว โครงสร้างของคอลลาเจนยังสามารถถูกทำลายได้จากปัจจัยภายนอก เช่น มลภาวะ แสงแดด และพฤติกรรมการใช้ชีวิต ซึ่งเร่งให้ผิวเสื่อมโทรมเร็วขึ้น

    • การเปลี่ยนแปลงของชั้นไขมันและกล้ามเนื้อใบหน้า

    หลายคนอาจคิดว่าไขมันเป็นสิ่งที่ไม่ดี แต่ความจริงแล้วไขมันใต้ผิวหนังเป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้ผิวดูเต็มอิ่มและกระชับ เมื่ออายุมากขึ้นชั้นไขมันจะลดลงและเคลื่อนตัวไปตามแรงโน้มถ่วงของโลก ส่งผลให้แก้มหย่อนคล้อย กรอบหน้าไม่ชัด และเกิดร่องน้ำหมากลึกขึ้น ในขณะเดียวกันกล้ามเนื้อใบหน้าก็อ่อนแรงลง ทำให้ผิวไม่กระชับเหมือนเดิม ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้บางคนมีปัญหาคางสองชั้น หรือผิวใต้คางหย่อนคล้อย

    • พฤติกรรมที่ทำให้ผิวเสื่อมโทรมเร็วขึ้น

    นอกจากปัจจัยภายในร่างกายแล้ว พฤติกรรมในชีวิตประจำวันก็ส่งผลต่อความหย่อนคล้อยของผิวได้เช่นกัน เช่น

    • แสงแดดและรังสี UV ตัวการหลักที่ทำลายคอลลาเจนและทำให้ผิวบางลง
    • การนอนดึกและการพักผ่อนไม่เพียงพอ ทำให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนซ่อมแซมผิวน้อยลง
    • อาหารที่มีน้ำตาลและไขมันสูง ทำให้คอลลาเจนเสื่อมเร็วขึ้น
    • การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ ทำให้ระบบไหลเวียนเลือดแย่ลง ผิวขาดออกซิเจน
    • การแสดงสีหน้าซ้ำ ๆ เช่น การขมวดคิ้ว การยิ้ม การหรี่ตา อาจทำให้เกิดริ้วรอยและรอยพับบนใบหน้า
    • ท่านอนที่ผิดวิธี อาจทำให้เกิดริ้วรอยและรอยพับบนใบหน้า

     

    เจาะลึกเทคโนโลยียกกระชับ แก้หน้าหย่อนคล้อย
    เจาะลึกเทคโนโลยียกกระชับ แก้หน้าหย่อนคล้อย

     

    เจาะลึกเทคโนโลยียกกระชับ แก้หน้าหย่อนคล้อย

    ในปัจจุบัน การยกกระชับผิวโดยไม่ต้องผ่าตัดได้รับความสนใจอย่างแพร่หลาย เนื่องจากเป็นทางเลือกที่ไม่อันตรายและไม่ต้องพักฟื้น ซึ่งเทคโนโลยีอย่าง Fix Lift, Ulthera Prime และ Thermage FLX ถือเป็นตัวช่วยยอดนิยมที่หลายคนไว้วางใจ โดยแต่ละเทคโนโลยีมีคุณสมบัติเฉพาะตัว ทั้งในด้านกลไกการทำงาน จุดเด่น และความเหมาะสมกับปัญหาผิว ในแต่ละประเภทที่แตกต่างกัน ดังนี้

    เทคโนโลยียกกระชับ Fix Lift 

    Fix Lift ใช้เทคโนโลยี Microneedling ผสานกับพลังงาน Radiofrequency (RF) เพื่อฟื้นฟูและยกกระชับผิวอย่างล้ำลึกโดยไม่ต้องศัลยกรรม พลังงาน RF จะถูกส่งผ่านเข็มขนาดเล็กที่สามารถลงลึกได้ถึง 4 มิลลิเมตรในชั้นผิวหนัง ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวแน่นขึ้น ดูเต่งตึง และลดเลือนริ้วรอย

     

    นอกจากนี้ Fix Lift ยังช่วยปรับโครงสร้างผิวให้เรียบเนียนขึ้น ลดปัญหาผิวเสื่อมสภาพ เช่น หลุมสิว รูขุมขนกว้าง และสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอ จึงเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ที่ต้องการปรับสภาพผิวโดยไม่ต้องพักฟื้นนาน สามารถเริ่มเห็นผลใน 2-4 สัปดาห์ และดีขึ้นต่อเนื่องในช่วง 3-6 เดือน ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 1 ปี

     

    จุดเด่นของ Fix Lift

    • ช่วยยกกระชับผิวอย่างล้ำลึก

    เทคโนโลยี RF ที่ลงลึกถึงชั้นหนังแท้และชั้นไขมันใต้ผิว ทำให้ผิวตึงขึ้น ลดความหย่อนคล้อยได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    • ลดริ้วรอยและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน

    ช่วยฟื้นฟูโครงสร้างผิวจากภายใน ทำให้ริ้วรอยและร่องลึกดูจางลง ผิวดูเรียบเนียนและเต่งตึงขึ้น

    • ปรับสีผิวและลดรอยดำรอยแดง

    ช่วยกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว ลดรอยดำจากสิว ลดฝ้า ลดกระ และช่วยให้สีผิวดูสม่ำเสมอขึ้น

    • ลดเลือนรอยแผลเป็นและรอยหลุมสิว

    สามารถช่วยกระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ ทำให้รอยแผลเป็นจากสิวและอุบัติเหตุค่อย ๆ จางลง

    • ปรับปรุงคุณภาพผิว

    ช่วยให้ผิวเรียบเนียน ลดปัญหารูขุมขนกว้าง ผิวแลดูอ่อนเยาว์ขึ้น

     

    เทคโนโลยียกกระชับ Ulthera Prime

    Ulthera Prime เป็นเทคโนโลยีกระชับผิวรุ่นใหม่ที่ถูกพัฒนามาจาก Ulthera SPT โดย Merz Aesthetics ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยใช้หลักการ Micro-focused Ultrasound with Visualization (MFU-V) หรือคลื่นอัลตราซาวนด์ความเข้มข้นสูง สามารถมองเห็นชั้นผิวได้แบบเรียลไทม์ พลังงานลงลึกได้ถึงชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นเดียวกับที่ศัลยแพทย์ใช้ในการศัลยกรรมดึงหน้า สามารถเริ่มเห็นผลใน 1-3 เดือน และดีขึ้นต่อเนื่องในช่วง 3-6 เดือน ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 1-2 ปี

     

    จุดเด่นของ Ulthera Prime

    • จอแสดงผลขนาดใหญ่ พร้อมความละเอียดระดับ Full HD 

    Ulthera Prime ถูกออกแบบมาให้ตอบโจทย์ด้านการรักษาได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น ด้วยหน้าจอ Full HD ที่มีขนาดใหญ่กว่าเดิมถึง 35% ช่วยให้แพทย์สามารถสแกน และวิเคราะห์ชั้นผิวได้อย่างละเอียดในทุกระดับ การมองเห็นภาพที่คมชัดช่วยให้วางพลังงานลงลึกได้ตรงจุดมากขึ้น และสามารถปรับความลึกหรือความแรงของพลังงานให้สอดคล้องกับสภาพผิวของแต่ละบุคคลได้อย่างเหมาะสม ส่งผลให้การรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น และเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนยิ่งกว่าเดิม

    • ระบบประมวลผลใหม่ เร็วกว่าเดิม ประหยัดเวลาในการทำหัตถการ

    Ulthera Prime ได้รับการพัฒนาให้ทำงานด้วยความเร็วสูงขึ้นกว่าเดิมถึง 20% ช่วยลดระยะเวลาการรักษาในแต่ละจุดลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ผู้เข้ารับบริการรู้สึกสบายขึ้น และสามารถเห็นผลลัพธ์ได้โดยไม่ต้องใช้เวลานานเหมือนในเวอร์ชันก่อนหน้า

    • ดีไซน์กะทัดรัดและทันสมัย

    Ulthera Prime ถูกออกแบบให้มีรูปลักษณ์ที่กะทัดรัดกว่าเดิม ใช้งานง่ายและสะดวกต่อการเคลื่อนย้าย ทำให้สามารถเข้าถึงการรักษาได้สะดวกยิ่งขึ้น

    • ปรับระดับพลังงานได้ตามปัญหาผิว

    สามารถปรับระดับพลังงานได้ตามความต้องการของแต่ละบุคคล ทำให้แพทย์สามารถออกแบบการรักษาให้เหมาะสมกับสภาพผิวของแต่ละคนได้ดีขึ้น

    • ลดความรู้สึกเจ็บในระหว่างทำ

    Ulthera Prime ได้รับการปรับปรุงเพื่อลดความรู้สึกเจ็บและไม่สบายตัวขณะทำ ทำให้ประสบการณ์การรักษาดีกว่าเดิม แต่ยังคงประสิทธิภาพในการยกกระชับได้อย่างเต็มที่

    เทคโนโลยียกกระชับ Thermage FLX

    Thermage FLX คือเทคโนโลยีที่ใช้คลื่นวิทยุความถี่สูงชนิดขั้วเดียว (Monopolar RF) ส่งพลังงานความร้อนไปยังชั้นผิวหนังแท้และชั้นไขมันใต้ผิว เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ ช่วยให้ผิวดูกระชับ เรียบเนียน และลดเลือนริ้วรอยได้อย่างดูเป็นธรรมชาติ หลังทำสามารถเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงภายใน 2–3 เดือน และผลลัพธ์จะดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยสามารถคงอยู่ได้นานประมาณ 1–2 ปี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการดูแลและสภาพผิวของแต่ละบุคคล

     

    จุดเด่นของ Thermage FLX

    • เทคโนโลยีหัวทิปรุ่นใหม่ Total Tip 4.0

    Thermage FLX ได้รับการพัฒนาให้มีหัวทิปที่ปล่อยพลังงานได้เร็วขึ้น 25% และสามารถครอบคลุมพื้นที่มากขึ้นถึง 33 % ทำให้การรักษาเสร็จเร็วขึ้น และได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพกว่าเดิม

    • มีระบบลดความเจ็บขณะทำ

    มาพร้อมกับระบบ Cooling และระบบสั่น Multi-Directional Vibration ที่ช่วยลดอาการไม่สบายตัวระหว่างทำ และช่วยป้องกันการเกิดความร้อนสะสมที่อาจทำให้ผิวไหม้

    • เทคโนโลยี AccuREP เพื่อการรักษาที่แม่นยำและไม่อันตราย

     Thermage FLX ได้รับการพัฒนาให้มีหัวทิปที่ปล่อยพลังงานให้เหมาะสมกับสภาพผิวโดยอัตโนมัติ ทำให้พลังงานถูกปล่อยออกมาอย่างสม่ำเสมอ และให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพกว่าเดิม

    • ไม่ต้องผ่าตัดหรือใช้เข็ม

    Thermage FLX เป็นการรักษาที่ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องฉีดโปรแกรมฟิลเลอร์หรือฉีดโปรแกรมฉีดโบ ไม่มีบาดแผล  ลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อ และสามารถทำได้โดยไม่ต้องพักฟื้น

    • เห็นผลลัพธ์ได้ตั้งแต่ครั้งแรก

    การรักษา 1 ครั้ง สามารถสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงได้ทันทีหลังทำ และผลลัพธ์จะดีขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วง 2-3 เดือนถัดไป

    • ช่วยยกกระชับผิวและลดไขมันใต้ผิว

    พลังงาน RF สามารถช่วยลดไขมันใต้คางและแนวกราม ทำให้กรอบหน้าดูคมชัดขึ้น พร้อมทั้งยังช่วยให้ผิวบริเวณที่หย่อนคล้อยดูกระชับขึ้น

     

    เปรียบเทียบ Fix Lift, Ulthera Prime และ Thermage FLX แบบไหนเหมาะที่สุด?
    เปรียบเทียบ Fix Lift, Ulthera Prime และ Thermage FLX แบบไหนเหมาะที่สุด?

     

    เปรียบเทียบ Fix Lift, Ulthera Prime และ Thermage FLX แบบไหนเหมาะที่สุด?

    แต่ละเทคโนโลยีมีหลักการทำงาน ข้อดี และข้อจำกัดที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับปัญหาผิวและผลลัพธ์ที่ต้องการ ดังนี้

    หลักการทำงานของแต่ละเทคโนโลยียกกระชับ

    • Fix Lift คือเทคโนโลยียกกระชับที่ผสานการทำงานระหว่างเข็มขนาดเล็ก (Microneedling) และพลังงานคลื่นวิทยุ (Radiofrequency: RF) ซึ่งสามารถส่งพลังงานลงลึกถึงระดับชั้นหนังแท้และชั้นไขมันใต้ผิว ทำให้ผิวกระชับแน่น ลดไขมันส่วนเกินบริเวณใต้คาง พร้อมทั้งปรับกรอบหน้าให้ดูเรียวชัดอย่างดูเป็นธรรมชาติ
    • Ultherapy Prime ใช้พลังงาน Micro-focused Ultrasound with Visualization (MFU-V) หรือคลื่นอัลตราซาวนด์ความเข้มข้นสูง ส่งพลังงานลงลึกถึงชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นเดียวกับที่ศัลยแพทย์ใช้ในการผ่าตัดดึงหน้า ช่วยให้ผิวดูตึงขึ้นโดยเน้นการยกกระชับเฉพาะจุด
    • Thermage FLX เป็นเทคโนโลยีที่ใช้พลังงานคลื่นวิทยุแบบขั้วเดียว (Monopolar RF) ช่วยให้คอลลาเจนหดตัวและกระตุ้นการสร้างใหม่ ทำให้ผิวดูเฟิร์มขึ้น พร้อมทั้งช่วยลดไขมันใต้ผิว เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการใบหน้าแน่นขึ้นและปรับรูปหน้าโดยรวม

     

    ผลลัพธ์หลังทำเทคโนโลยียกกระชับ

    • Fix Lift เหมาะสำหรับผู้ที่มีไขมันใต้คางหรือมีปัญหาผิวหย่อนคล้อยในเล็กน้อยถึงปานกลาง ช่วยลดไขมันใต้คาง ปรับกรอบหน้าให้ชัดขึ้น และกระตุ้นคอลลาเจนในผิวชั้นลึก ทำให้ใบหน้าเรียวเล็กลงและเต่งตึงขึ้นในช่วง 3-6 เดือน โดยสามารถคงอยู่ได้นาน 1-2 ปี
    • Ultherapy Prime เป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับกราม ร่องแก้ม หรือผิวที่เริ่มหย่อนคล้อยปานกลางถึงมาก เทคโนโลยีนี้สามารถช่วยให้โครงหน้าดูยกกระชับขึ้นแบบดูเป็นธรรมชาติ โดยไม่ต้องฉีดสารเติมเต็ม ผลลัพธ์จะเริ่มเห็นใน 1-2 เดือน และจะดีขึ้นเรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยสามารถคงอยู่ได้นาน 1-2 ปี
    • Thermage FLX เป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับผู้ที่มีไขมันสะสมใต้คางหรือแนวกราม และต้องการให้ผิวทั่วใบหน้ากระชับขึ้น เทคโนโลยีนี้สามารถช่วยลดไขมันใต้ผิว พร้อมปรับความแน่นของผิว ผลลัพธ์จะเริ่มเห็นได้ชัดใน 2-3 เดือน และสามารถคงอยู่ได้นาน 1-2 ปี

     

    ราคาของเทคโนโลยียกกระชับ

    • Fix Lift มีช่วงราคาอยู่ที่ 30,000 – 80,000 บาท ขึ้นอยู่กับบริเวณที่ทำ
    • Ultherapy Prime มีช่วงราคาอยู่ที่ 50,000 – 100,000 บาท เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีที่สามารถลงลึกถึงชั้น SMAS ได้โดยไม่ต้องผ่าตัด
    • Thermage FLX มีช่วงราคาอยู่ที่ 60,000 – 150,000 บาท โดยสามารถช่วยลดไขมันใต้ผิวและกระชับผิวทั่วหน้าได้ในคราวเดียวกัน

     

    ทำไม Fix Lift, Ultherapy Prime และ Thermage FLX จึงเป็นตัวเลือกยกกระชับยอดนิยม?

    • เทคโนโลยีที่ทันสมัยและได้ผลจริง

    Fix Lift, Ultherapy Prime และ Thermage FLX เป็นนวัตกรรมยกกระชับที่ผ่านการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ตอบโจทย์ทั้งในเรื่องความไม่อันตรายและผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ โดยทั้งสามเทคโนโลยีได้รับการรับรองมาตรฐานจากองค์การอาหารและยา ได้รับความเชื่อมั่นจากแพทย์ผิวหนัง และคลินิกความงามชั้นนำในระดับสากล

    • เห็นผลจริงโดยไม่ต้องผ่าตัด

    จุดเด่นสำคัญที่ทำให้เทคโนโลยีเหล่านี้ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย คือสามารถช่วยยกกระชับผิวหน้าและลดเลือนริ้วรอยได้อย่างเห็นผล โดยไม่ต้องเจ็บตัวจากการผ่าตัดหรือการฉีดสารเติมเต็ม เช่น โปรแกรมฉีดโบหรือโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ เหมาะสำหรับผู้ที่มองหาทางเลือกในการดูแลผิวที่ไม่อันตราย ฟื้นตัวไว และให้ผลลัพธ์เป็นธรรมชาติ

    • ไม่มีแผล ไม่ต้องพักฟื้น ใช้ชีวิตได้ตามปกติ

    หนึ่งในเหตุผลที่หลายคนเลือก Fix Lift, Ultherapy Prime และ Thermage FLX คือความสะดวกสบายหลังเข้ารับบริการ เนื่องจากไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้น ผู้รับการรักษาสามารถกลับไปทำกิจวัตรประจำวันได้ทันที เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีเวลาจำกัด หรือต้องทำงานต่อเนื่องแบบไม่มีวันว่าง เทคโนโลยีเหล่านี้จึงตอบโจทย์ทั้งเรื่องประสิทธิภาพและความคล่องตัวในการดูแลตัวเอง

    • ปรับแต่งพลังงานได้ตามสภาพผิว เหมาะกับทุกวัย

    Fix Lift, Ultherapy Prime และ Thermage FLX สามารถปรับพลังงานให้เหมาะสมกับปัญหาผิวของแต่ละคนได้ ทำให้เหมาะกับคนทุกวัย ไม่ว่าจะเป็นคนที่ต้องการ ป้องกันผิวหย่อนคล้อยในช่วงอายุ 30+ หรือคนที่ต้องการ แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยในช่วงวัย 40-50 ปีขึ้นไป

    • เทคโนโลยีที่ได้รับการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น

    ทั้งสามเทคโนโลยีได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น เจ็บน้อยลง และใช้เวลาทำน้อยลง

     

    ข้อดีของการทำเทคโนโลยียกกระชับ แก้หน้าหย่อนคล้อย
    ข้อดีของการทำเทคโนโลยียกกระชับ แก้หน้าหย่อนคล้อย

     

    ข้อดีของการทำเทคโนโลยียกกระชับ แก้หน้าหย่อนคล้อย

    • เทคโนโลยียกกระชับ ช่วยยกกระชับผิวโดยไม่ต้องผ่าตัด
    • เทคโนโลยียกกระชับ ฟื้นฟูและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
    • เทคโนโลยียกกระชับ ช่วยลดริ้วรอยและร่องลึก
    • เทคโนโลยียกกระชับ ปรับรูปทรงของใบหน้าให้ดูเรียวขึ้น
    • เทคโนโลยียกกระชับ ช่วยลดไขมันใต้ผิวบางส่วน
    • เทคโนโลยียกกระชับ ปรับปรุงคุณภาพผิวให้ดีขึ้น
    • เทคโนโลยียกกระชับ ไม่มีแผล ไม่ต้องพักฟื้น
    • เทคโนโลยียกกระชับ ให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ
    • เทคโนโลยียกกระชับ เห็นผลตั้งแต่ครั้งแรก และอยู่ได้นาน
    • เทคโนโลยียกกระชับ กระตุ้นการไหลเวียนโลหิตใต้ผิว
    • เทคโนโลยียกกระชับ ช่วยชะลอวัย ลดการเกิดริ้วรอยในอนาคต
    • เทคโนโลยียกกระชับ เพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิว
    • เทคโนโลยียกกระชับ ลดความหมองคล้ำและสีผิวไม่สม่ำเสมอ
    • เทคโนโลยียกกระชับ สามารถช่วยลดถุงใต้ตาและความหย่อนคล้อยบริเวณรอบดวงตา
    • เทคโนโลยียกกระชับ ช่วยลดริ้วรอยบริเวณริมฝีปากและมุมปากตก
    • เทคโนโลยียกกระชับ เทคโนโลยีได้รับการรับรองจากองค์กรอาหารและยา
    • เทคโนโลยียกกระชับ เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการฉีดสารเติมเต็ม
    • เทคโนโลยียกกระชับ สามารถทำได้หลายบริเวณ
    • เทคโนโลยียกกระชับ เหมาะกับทุกสภาพผิว
    • เทคโนโลยียกกระชับ ปรับแต่งการรักษาให้เหมาะกับสภาพผิวของแต่ละบุคคลได้
    • เทคโนโลยียกกระชับ สามารถทำร่วมกับหัตถการอื่นได้

     

    การทำเทคโนโลยียกกระชับ แก้หน้าหย่อนคล้อย ช่วยอะไรบ้าง?
    การทำเทคโนโลยียกกระชับ แก้หน้าหย่อนคล้อย ช่วยอะไรบ้าง?

     

    การทำเทคโนโลยียกกระชับ แก้หน้าหย่อนคล้อย ช่วยอะไรบ้าง?

    • เทคโนโลยียกกระชับ ช่วยคืนความแน่นกระชับให้กับผิวที่เริ่มหย่อนคล้อย
    • เทคโนโลยียกกระชับ ปรับโครงสร้างผิวให้ดูเรียบตึงขึ้นโดยไม่ต้องศัลยกรรม
    • เทคโนโลยียกกระชับ ช่วยกระชับแนวกราม ลดความหย่อนคล้อยของผิว
    • เทคโนโลยียกกระชับ ลดไขมันสะสมใต้คาง ทำให้รูปหน้าดู V shape มากขึ้น
    • เทคโนโลยียกกระชับ ช่วยให้ผิวแข็งแรงขึ้น ยืดหยุ่นมากขึ้น
    • เทคโนโลยียกกระชับ ฟื้นฟูเซลล์ผิวจากภายใน ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์
    • เทคโนโลยียกกระชับ ลดเลือนริ้วรอยบริเวณหน้าผาก หางตา ร่องแก้ม และมุมปาก
    • เทคโนโลยียกกระชับ ทำให้ใบหน้าดูสดใสขึ้น ไม่ดูโทรมหรือแก่ก่อนวัย
    • เทคโนโลยียกกระชับ ช่วยให้ใบหน้าดูเรียวเล็กขึ้นโดยไม่ต้องดูดไขมัน
    • เทคโนโลยียกกระชับ ลดปัญหารูขุมขนกว้าง ทำให้ผิวละเอียดขึ้น
    • เทคโนโลยียกกระชับ ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดใต้ผิว ทำให้ผิวดูเปล่งปลั่งขึ้น
    • เทคโนโลยียกกระชับ ปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ ลดจุดด่างดำจากแสงแดดหรือรอยสิว
    • เทคโนโลยียกกระชับ ช่วยลดความหย่อนคล้อยของเปลือกตาบน
    • เทคโนโลยียกกระชับ ลดถุงใต้ตาและรอยคล้ำใต้ตา ทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์
    • เทคโนโลยียกกระชับ ลดร่องน้ำหมาก ทำให้ใบหน้าไม่ดูเศร้าหรือเหนื่อยล้า
    • เทคโนโลยียกกระชับ ยกกระชับบริเวณมุมปากที่ตกลง ทำให้รอยยิ้มดูสดใสมากขึ้น

     

    การทำเทคโนโลยียกกระชับ แก้หน้าหย่อนคล้อย เหมาะกับใครบ้าง?
    การทำเทคโนโลยียกกระชับ แก้หน้าหย่อนคล้อย เหมาะกับใครบ้าง?

     

    การทำเทคโนโลยียกกระชับ แก้หน้าหย่อนคล้อย เหมาะกับใครบ้าง?

    • เทคโนโลยียกกระชับ เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยตามวัย
    • เทคโนโลยียกกระชับ เหมาะสำหรับผู้ที่มีกรอบหน้าไม่ชัด หรือมีเหนียงใต้คาง
    • เทคโนโลยียกกระชับ เหมาะสำหรับผู้ที่มีริ้วรอยและร่องลึกบนใบหน้า
    • เทคโนโลยียกกระชับ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับโดยไม่ต้องผ่าตัด
    • เทคโนโลยียกกระชับ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวให้เต่งตึงขึ้น
    • เทคโนโลยียกกระชับ เหมาะสำหรับผู้ที่มีไขมันสะสมบนใบหน้า
    • เทคโนโลยียกกระชับ เหมาะสำหรับผู้ที่มีรูขุมขนกว้างและผิวไม่เรียบเนียน
    • เทคโนโลยียกกระชับ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการกระชับผิวรอบดวงตาและลำคอ
    • เทคโนโลยียกกระชับ เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อยจากการลดน้ำหนักหรือหลังคลอด
    • เทคโนโลยียกกระชับ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติและอยู่ได้นาน
    • เทคโนโลยียกกระชับ เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวขาดความยืดหยุ่นตั้งแต่อายุยังน้อย
    • เทคโนโลยียกกระชับ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการป้องกันความหย่อนคล้อยก่อนวัย
    • เทคโนโลยียกกระชับ เหมาะสำหรับผู้ที่เคยทำหัตถการอื่น ๆ แต่ต้องการเสริมผลลัพธ์
    • เทคโนโลยียกกระชับ เหมาะสำหรับผู้ที่มีไลฟ์สไตล์ยุ่งและไม่มีเวลาพักฟื้น
    • เทคโนโลยียกกระชับ เหมาะสำหรับคุณแม่หลังคลอดที่ต้องการฟื้นฟูสภาพผิว
    • เทคโนโลยียกกระชับ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเสริมความมั่นใจในการใช้ชีวิตประจำวัน
    • เทคโนโลยียกกระชับ เหมาะสำหรับผู้ที่มีพฤติกรรมที่ทำให้ผิวเสื่อมโทรมเร็ว

     

    หมายเหตุ:

    ผลลัพธ์ที่ได้อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับสภาพผิว อายุ โครงสร้างใบหน้า รวมถึงการดูแลตนเองก่อนและหลังทำหัตถการ ทั้งนี้การเข้ารับการประเมินโดยแพทย์จึงเป็นขั้นตอนสำคัญ เพื่อเลือกวิธีการที่เหมาะสมที่สุด

     

    การทำเทคโนโลยียกกระชับ แก้หน้าหย่อนคล้อย ไม่เหมาะกับใครบ้าง?

    • เทคโนโลยียกกระชับ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัวร้ายแรง เช่น โรคหัวใจรุนแรง หรือโรคแพ้ภูมิตัวเอง (Autoimmune Disease)
    • เทคโนโลยียกกระชับ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีโรคเกี่ยวกับระบบไหลเวียนโลหิต
    • เทคโนโลยียกกระชับ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
    • เทคโนโลยียกกระชับ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีบาดแผลเปิด หรือติดเชื้อบริเวณที่ต้องการทำหัตถการ
    • เทคโนโลยียกกระชับ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ใส่อุปกรณ์โลหะหรือมีอุปกรณ์ฝังในร่างกายบางชนิด เช่น เครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemaker), โลหะฝังใต้ผิวหนัง
    • เทคโนโลยียกกระชับ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคผิวหนังบางประเภท เช่น โรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis), โรคด่างขาว (Vitiligo)
    • เทคโนโลยียกกระชับ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะเลือดออกง่ายหรือใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด
    • เทคโนโลยียกกระชับ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เพิ่งทำหัตถการผิวหน้าหรือศัลยกรรมมาไม่นาน
    • เทคโนโลยียกกระชับ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายมาก หรือมีแนวโน้มเป็นแผลคีลอยด์ง่าย
    • เทคโนโลยียกกระชับ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่คาดหวังผลลัพธ์เทียบเท่าการผ่าตัดศัลยกรรม
    • เทคโนโลยียกกระชับ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีน้ำหนักเกินมากและต้องการลดไขมันจำนวนมาก
    • เทคโนโลยียกกระชับ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการแพ้หรือไวต่อคลื่นพลังงาน
    • เทคโนโลยียกกระชับ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เคยมีประวัติแพ้ยาชาหรือยาแก้ปวดที่ใช้ระหว่างการทำหัตถการ
    • เทคโนโลยียกกระชับ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะเนื้อเยื่อใต้ผิวอ่อนแอมาก เช่น ผู้ที่มีปัญหาผิวบางผิดปกติ
    • เทคโนโลยียกกระชับ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะฮอร์โมนผิดปกติที่ส่งผลต่อสภาพผิว เช่น ผู้ที่มีโรคไทรอยด์
    • เทคโนโลยียกกระชับ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีเนื้องอกหรือมะเร็งผิวหนัง
    • เทคโนโลยียกกระชับ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีโรคเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกันที่ส่งผลต่อการสมานแผล เช่น โรค SLE
    • เทคโนโลยียกกระชับ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่อยู่ระหว่างการทำเคมีบำบัดหรือฉายรังสี
    • เทคโนโลยียกกระชับ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะผิวไวต่อแสง (Photosensitivity)
    • เทคโนโลยียกกระชับ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีการอักเสบของเส้นประสาทใบหน้า (Bell’s Palsy)
    • เทคโนโลยียกกระชับ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเห็นผลลัพธ์แบบทันที

     

    หมายเหตุ:

    ควรเข้ารับการประเมินสภาพผิวและสุขภาพโดยแพทย์ก่อนทำทุกครั้ง เพราะการเลือกวิธีการรักษาให้เหมาะสมกับร่างกายแต่ละบุคคล เพื่อผลลัพธ์ที่ดีและยั่งยืน

     

    การทำเทคโนโลยียกกระชับ แก้หน้าหย่อนคล้อย ทำบริเวณใดได้บ้าง?

    • เทคโนโลยียกกระชับ ทำบริเวณหน้าผากและระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยหน้าผากและช่วยยกคิ้ว
    • เทคโนโลยียกกระชับ ทำบริเวณหางตาและเปลือกตา กระชับผิวรอบดวงตา ลดหนังตาตก
    • เทคโนโลยียกกระชับ ทำบริเวณถุงใต้ตา ลดความหย่อนคล้อยบริเวณใต้ตา
    • เทคโนโลยียกกระชับ ทำบริเวณแก้มและร่องแก้ม ยกกระชับผิวบริเวณแก้ม ลดร่องลึก
    • เทคโนโลยียกกระชับ ทำบริเวณกรอบหน้าและแนวกราม ช่วยให้แนวกรามชัดขึ้น
    • เทคโนโลยียกกระชับ ทำบริเวณคางสองชั้น ช่วยสลายไขมันใต้คาง
    • เทคโนโลยียกกระชับ ทำบริเวณมุมปากและร่องน้ำหมาก ลดมุมปากตก ลดร่องลึก
    • เทคโนโลยียกกระชับ ทำบริเวณลำคอ ลดความหย่อนคล้อยของผิวคอ
    • เทคโนโลยียกกระชับ ทำบริเวณเนินอกและร่องอก ลดริ้วรอยบริเวณเนินอก
    • เทคโนโลยียกกระชับ ทำบริเวณต้นแขน กระชับต้นแขน ลดความหย่อนคล้อย
    • เทคโนโลยียกกระชับ ทำบริเวณหน้าท้องกระชับหน้าท้อง ลดผิวหย่อนคล้อย
    • เทคโนโลยียกกระชับ ทำบริเวณสะโพกและต้นขา ลดเซลลูไลท์ กระชับต้นขาและสะโพก
    • เทคโนโลยียกกระชับ ทำบริเวณหัวเข่า กระชับผิวรอบหัวเข่า ลดผิวเหี่ยวย่น

     

    เตรียมตัวก่อนทำเทคโนโลยียกกระชับ แก้หน้าหย่อนคล้อย

    • ก่อนทำเทคโนโลยียกกระชับ ควรศึกษาว่าเทคโนโลยีไหนเหมาะกับปัญหาผิว
    • ก่อนทำเทคโนโลยียกกระชับ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินสภาพผิว
    • ก่อนทำเทคโนโลยียกกระชับ ควรนอนหลับให้เพียงพออย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง
    • ก่อนทำเทคโนโลยียกกระชับ ควรดื่มน้ำมากขึ้น เพื่อช่วยให้เซลล์ผิวชุ่มชื้นและพร้อมรับจากการรักษา
    • ก่อนทำเทคโนโลยียกกระชับ ควรทำความสะอาดผิวหน้าให้สะอาดก่อนเข้ารับการรักษา
    • ก่อนทำเทคโนโลยียกกระชับ งดการทำ เลเซอร์ ทรีตเมนต์ที่ใช้ความร้อน 2 สัปดาห์
    • ก่อนทำเทคโนโลยียกกระชับ งดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีกรดผลัดเซลล์ผิว ประมาณ 3-5 วัน
    • ก่อนทำเทคโนโลยียกกระชับ หลีกเลี่ยงการขัดผิว หรือใช้ผลิตภัณฑ์สครับผิว
    • ก่อนทำเทคโนโลยียกกระชับ หลีกเลี่ยงการโดนแดดจัด หรือกิจกรรมกลางแจ้ง อย่างน้อย 7 วัน
    • ก่อนทำเทคโนโลยียกกระชับ หลีกเลี่ยงการรับประทานยาและอาหารเสริมที่มีผลต่อการไหลเวียนของเลือด อย่างน้อย 7 วัน
    • ก่อนทำเทคโนโลยียกกระชับ หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ อย่างน้อย 24-48 ชั่วโมง

     

    ดูแลตัวเองหลังทำเทคโนโลยียกกระชับ แก้หน้าหย่อนคล้อย

    • หลังทำเทคโนโลยียกกระชับ หลีกเลี่ยงการสัมผัสผิวหน้าบ่อย ๆ เพื่อลดการระคายเคือง
    • หลังทำเทคโนโลยียกกระชับ หลีกเลี่ยงแสงแดดจัด อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์
    • หลังทำเทคโนโลยียกกระชับ หลีกเลี่ยงการทำหัตถการที่ใช้พลังงานความร้อนเพิ่มเติม
    • หลังทำเทคโนโลยียกกระชับ หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก อย่างน้อย 3-5 วัน
    • หลังทำเทคโนโลยียกกระชับ หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิว อย่างน้อย 1 สัปดาห์
    • หลังทำเทคโนโลยียกกระชับ ควรใช้มอยส์เจอไรเซอร์สูตรอ่อนโยน เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น
    • หลังทำเทคโนโลยียกกระชับ ควรทาครีมกันแดดที่มี SPF 50 PA+++
    • หลังทำเทคโนโลยียกกระชับ ควรดื่มน้ำมากๆ เพื่อช่วยให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนและฟื้นฟูผิว
    • หลังทำเทคโนโลยียกกระชับ ควรพักผ่อนให้เพียงพอวันละ 6-8 ชั่วโมง

     

    เมื่ออายุเพิ่มขึ้น ผิวที่เคยเต่งตึงอาจเริ่มหย่อนคล้อยตามธรรมชาติ ซึ่งเป็นหนึ่งในสัญญาณแห่งวัยที่หลายคนต้องเผชิญ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีเทคโนโลยีด้านความงามที่สามารถช่วยยกกระชับผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่ต้องผ่าตัด เช่น Fix Lift, Ulthera Prime และ Thermage FLX ซึ่งล้วนเป็นทางเลือกที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ฟื้นฟูโครงสร้างผิวจากภายใน ลดเลือนริ้วรอย และปรับรูปหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ได้อย่างดูเป็นธรรมชาติ

     

    การเลือกเทคโนโลยีที่เหมาะสมควรพิจารณาจากปัญหาผิวเฉพาะบุคคล ความลึกของริ้วรอย รวมถึงผลลัพธ์ที่ต้องการ ทั้งนี้ผลลัพธ์ที่ได้อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับอายุ สภาพผิวเดิม รวมถึงการดูแลตนเองภายหลังจากการทำหัตถการ

     

    นอกจากนี้ การเตรียมความพร้อมก่อนเข้ารับบริการ และการดูแลผิวอย่างถูกวิธีหลังการรักษา ยังมีบทบาทสำคัญในการยืดอายุของผลลัพธ์ให้ยาวนานยิ่งขึ้น การเลือกทำหัตถการกับแพทย์ จึงเป็นสิ่งที่ช่วยเสริมความมั่นใจได้อีกระดับ

    Pluryal Densify และ Rejuran ต่างกันอย่างไร ควรทำอะไรดี

    Pluryal Densify และ Rejuran

    Pluryal Densify และ Rejuran ต่างกันอย่างไร? ทางลัดสู่งานผิว ฉ่ำวาว

    เทรนด์งานผิวสวย ชุ่มชื้น ฉ่ำวาวแบบสุขภาพดี ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องในปัจจุบัน หลาย ๆ คนจึงกำลังมองหาตัวช่วยในการฟื้นฟูผิวให้ดูดีอยู่เสมอ ซึ่งมีหลากหลายผลิตภัณฑ์ที่ถูกพัฒนาขึ้นมา เพื่อปรับปรุงคุณภาพผิวโดยเฉพาะ นั่นก็คือ Pluryal Densify และ Rejuran ซึ่งถือเป็นทางเลือกใหม่ในการฟื้นฟูคุณภาพผิว แต่ทั้งสองผลิตภัณฑ์นี้ก็มีคุณสมบัติ และจุดเด่นที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน จนอาจทำให้หลายคนเกิดความสับสนได้ว่า ควรเลือกทำหัตถการไหนถึงจะตอบโจทย์ ในบทความนี้ พาไปไขข้อสงสัยเกี่ยวกับ Pluryal Densify และ Rejuran ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร? ทั้งในด้านส่วนประกอบ หลักการทำงาน รวมถึง ประโยชน์ และความเหมาะสมในการฉีดของแต่ละหัตถการค่ะ

     

    Pluryal Densify และ Rejuran เปรียบเทียบความแตกต่าง ฉีดตัวไหนดีกว่า? 

     

    ทำความรู้จัก Pluryal Densify และ Rejuran

     

    Pluryal Densify คืออะไร?
    Pluryal Densify คืออะไร?

     

    Pluryal Densify คืออะไร?

    Pluryal Densify คือ ผลิตภัณฑ์งานผิวใหม่ล่าสุด จากประเทศลักเซมเบิร์ก (Luxembourg) ที่ผสมผสานไปด้วยส่วนประกอบสำคัญถึง 3 ชนิด ได้แก่ Hyaluronic Acid (HA) ที่สกัดจากธรรมชาติ ช่วยเติมเต็มความชุ่มชื้นให้ผิว ชะลอการเกิดริ้วรอย และ Mannitol ช่วยต้านสารอนุมูลอิสระ เติมน้ำให้ผิว รวมถึง Polynucleotide (PN) ที่สกัดจากปลาแซลมอน ช่วยให้ผิวกระชับ มีความยืดหยุ่น เมื่อนำส่วนประกอบทั้ง 3 ชนิดมารวมกัน ทำให้ Pluryal Densify เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการแก้ปัญหาผิวไม่กระชับ สูญเสียความยืดหยุ่น และขาดความชุ่มชื้นโดยเฉพาะ

     

    โดยการทำงานร่วมกันระหว่าง Hyaluronic Acid (HA) และ Polynucleotide (PN) ใน Pluryal Densify นั้น จะเข้าไปเสริมการทำงานเซลล์ Fibroblast ให้ผลิตคอลลาเจน และอีลาสตินออกมามากขึ้น ผ่านกระบวนการผลิตด้วยเทคโนโลยี HPN TECHNOLOGY (Highly Pure Polynucleotides) ทำให้ได้ Polynucleotide (PN) ที่มีความบริสุทธิ์สูง ส่งผลให้ผิวชุ่มชื้น กระชับ และผิวมีสุขภาพที่ดีขึ้นในระยะยาว

     

    Rejuran คืออะไร?
    Rejuran คืออะไร?

     

    Rejuran คืออะไร?

    Rejuran (รีจูรัน) คือ ผลิตภัณฑ์งานผิวกลุ่ม Skin Booster จากประเทศเกาหลีใต้ ที่มีส่วนประกอบหลักของ Polynucleotides (PN) ซึ่งเป็นสารสกัดจากเซลล์สืบพันธุ์ของปลาแซลมอลที่อยู่ในทะเลตามธรรมชาติ มีโครงสร้างใกล้เคียงกับ DNA ของมนุษย์ ทำให้ไม่เสี่ยงอันตราย สามารถเข้ากันได้ดีกับร่างกาย โดยไม่ก่อให้เกิดการปฏิกิริยาต่อต้านจากภูมิคุ้มกัน

     

    ซึ่ง Polynucleotides (PN) ใน Rejuran นั้น มีคุณสมบัติในการกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ พร้อมซ่อมแซมเซลล์ผิวที่เสื่อมโทรมจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น มลภาวะ แสงแดด และอายุที่มากขึ้น โดยผ่านเทคโนโลยีการผลิตที่จดสิทธิบัตรเฉพาะ มีชื่อเรียกว่า DOT™ ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซึมสารเข้าสู่ผิวได้ดียิ่งขึ้น ทำให้ผิวแข็งแรง มีความชุ่มชื้น และอ่อนเยาว์ขึ้นอย่างดูเป็นธรรมชาติ

     

    Pluryal Densify กับ Rejuran ต่างกันอย่างไร?
    Pluryal Densify และ Rejuran ต่างกันอย่างไร?

     

    Pluryal Densify และ Rejuran ต่างกันอย่างไร?

    ถึงแม้ Pluryal Densify และ Rejuran จะมีส่วนประกอบของ Polynucleotide (PN) ที่เหมือนกัน แต่ทั้งสองหัตถการนั้น ก็มีความแตกต่างกันอยู่ในหลาย ๆ ด้าน โดยสามารถเปรียบเทียบความแตกต่างของ Pluryal Densify และ Rejuran ในแต่ละด้านได้ ดังนี้

     

    ส่วนประกอบหลักของ Pluryal Densify และ Rejuran

    • Pluryal Densify มีส่วนประกอบหลักถึง 3 ชนิด คือ Hyaluronic Acid (HA) แบบ Cross-Linked ปริมาณ 10 มก./มล., Polynucleotide (PN) จากปลาแซลมอน ปริมาณ 10 มก./มล. และ Mannitol ปริมาณ 40 มก./มล. ซึ่ง Pluryal Densify มีลักษณะเป็นเนื้อเจลใส ที่มีความเหลว ยืดหยุ่น และหนืด จึงสามารถเข้ากับผิวได้อย่างเป็นธรรมชาติ และให้ผลลัพธ์ที่ดีในระยะยาว
    • Rejuran มีส่วนประกอบหลัก คือ Polynucleotide (PN) ที่สกัดจากปลาแซลมอน มีความบริสุทธิ์ และเข้มข้นสูงถึง 2% แต่ไม่ได้มีส่วนประกอบของ Hyaluronic Acid (HA) เหมือนกับ Pluryal Densify ซึ่ง Rejuran เป็นสารละลายที่มีลักษณะเป็นเนื้อเจลใส ไร้สี สามารถกลมกลืนเข้ากับผิวได้เป็นอย่างดี และให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ

     

    หลักการทำงานของ Pluryal Densify และ Rejuran

    • Pluryal Densify จะผสานการทำงานของ Hyaluronic Acid (HA) และ Polynucleotide (PN) ในการกระตุ้นเซลล์ Fibroblast ให้เกิดการสร้างคอลลาเจน และอีลาสตินเพิ่มขึ้น พร้อมกักเก็บความชุ่มชื้น และปรับปรุงคุณภาพผิวจากภายใน ทำให้ผิวฉ่ำน้ำ ยืดหยุ่น และกระชับ อีกทั้ง ยังมี Mannitol ที่ช่วยต้านสาระอนุมูลอิสระ เมื่อทำงานร่วมกับ Hyaluronic Acid (HA) จะทำให้ผลลัพธ์ที่ได้สามารถคงอยู่ได้ยาวนานมากขึ้น
    • Rejuran จะทำงานโดยการให้สาร Polynucleotides (PN) เข้าไปฟื้นฟูเซลล์ผิวที่เสียหายจากอายุที่มากขึ้น แสงแดด และมลภาวะ รวมถึง ต้านการอักเสบของผิว และกระตุ้นให้เกิดการสร้างเซลล์ใหม่อย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งกระตุ้นการหลั่ง Growth Factors เพื่อเสริมการทำงานของเซลล์ Fibroblast ให้เกิดกระบวนการสร้างเส้นใยคอลลาเจน และอีลาสติน รวมถึง เสริมเกราะป้องกันผิวจากภายใน ทำให้ผิวมีความแข็งแรง ยืดหยุ่น และดูฉ่ำวาวแบบสุขภาพดี

     

    บริเวณที่ฉีด Pluryal Densify และ Rejuran

    • Pluryal Densify สามารถฉีดได้หลากหลายบริเวณ ได้แก่ ฉีดทั่วใบหน้า เพื่อปรับปรุงคุณภาพผิวให้ดูฉ่ำวาว งานผิวกระจก พร้อมลดเลือนริ้วรอยบริเวณต่าง ๆ เช่น ร่องแก้ม และรอยพับจมูก แต่ไม่เหมาะสำหรับการฉีดบริเวณใต้ตา อีกทั้ง Pluryal Densify ยังสามารถฉีดบริเวณลำคอ เพื่อลดเลือนริ้วรอยเส้นเล็ก ๆ และเติมเต็มชุ่มชื้นให้ผิว รวมถึง นำ Pluryal Densify มาฉีดบริเวณหลังมือ และเนินอก เพื่อปรับสภาพผิวให้ชุ่มชื้น ลดเลือนริ้วรอย รอยเหี่ยวย่นบริเวณนั้นได้
    • Rejuran สามารถฉีดได้หลากหลายบริเวณ ทั้งฉีดทั่วใบหน้า เช่น หน้าผาก หางตา ร่องแก้ม ร่องมุมปาก รวมถึง ฉีดบริเวณลำคอ เพื่อลดเลือนริ้วรอยเส้นเล็ก ๆ และเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวบริเวณลำคอ อีกทั้ง ยังสามารถนำมาฉีดบริเวณหลังมือ เพื่อปรับสภาพผิวให้ชุ่มชื้น แก้ปัญหาผิวหลังมือแห้งกร้าน ลอกเป็นขุย หรือมีริ้วรอยได้

     

    วิธีการฉีด Pluryal Densify และ Rejuran

    • Pluryal Densify จะมาในรูปแบบเจลพร้อมฉีด โดยใน 1 กล่อง จะมี Pluryal Densify 1 ไซริงค์ ปริมาณ 2 CC สามารถนำมาฉีดเข้าสู่ผิวหนังชั้นลึกได้โดยตรง (Deep Dermis / Superficial Hypodermis)
    • Rejuran จะมาในรูปแบบเจลพร้อมฉีด โดยใน 1 กล่อง จะมี Rejuran ทั้งหมด 2 ไซริงค์ ซึ่งใน 1 ไซริงค์ จะมีปริมาณ 2 CC สามารถนำมาฉีดเข้าสู่ผิวชั้นหนังแท้ได้โดยตรง (Dermis) ใช้เทคนิคฉีดเรียงกันเป็นจุดไข่ปลาเล็ก ๆ เพื่อให้ตัวยาสามารถกระจายตัวได้อย่างทั่วถึงในบริเวณที่ฉีด

     

    ระยะเวลาคงอยู่ของ Pluryal Densify และ Rejuran

    • Pluryal Densify สำหรับการฉีดในครั้งแรก แนะนำให้ฉีด Pluryal Densify สัปดาห์ละ 1 กล่อง ต่อเนื่องกันทั้งหมด 3 สัปดาห์ โดยผลลัพธ์จะสามารถอยู่ได้นาน ประมาณ 3 – 6 เดือน จากนั้น ควรกลับมาฉีดซ้ำเมื่อครบกำหนด เพื่อรักษาประสิทธิภาพของผลลัพธ์ให้ยาวนานยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ผลลัพธ์ที่ได้จากการฉีด Pluryal Densify ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และปัญหาของแต่ละบุคคล
    • Rejuran สำหรับการฉีดในครั้งแรก แนะนำให้ฉีด Rejuran อย่างน้อย 4 ครั้ง โดยเว้นห่างกันครั้งละ 2 – 3 สัปดาห์ ซึ่งผลลัพธ์จะสามารถอยู่ได้นาน ประมาณ 3 – 6 เดือน จากนั้น ควรกลับมาฉีดซ้ำเมื่อครบกำหนด เพื่อรักษาประสิทธิภาพของผลลัพธ์ให้ดูดีอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ผลลัพธ์ที่ได้ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และปัญหาของแต่ละบุคคล

     

    Pluryal Densify และ Rejuran ช่วยเรื่องอะไร?

    Pluryal Densify ช่วยเรื่องอะไร?

    • Pluryal Densify ช่วยเติมเต็มความชุ่มชื้น ให้ผิวใส ฉ่ำวาว อิ่มน้ำ 
    • Pluryal Densify ช่วยกระตุ้นคอลลาเจน และอีลาสติน 
    • Pluryal Densify ช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่น และกระชับ
    • Pluryal Densify ช่วยให้รูขุมขนกระชับ ผิวเรียบเนียนมากขึ้น
    • Pluryal Densify ช่วยลดเลือนริ้วรอย ให้ผิวอิ่มฟู ดูอ่อนเยาว์
    • Pluryal Densify ช่วยลดเลือนรอยแผล รอยดำ รอยแดงจากสิว
    • Pluryal Densify ช่วยปรับผิวให้กระจ่างใส สีผิวสม่ำเสมอ
    • Pluryal Densify ช่วยต่อต้านสารอนุมูลอิสระ
    • Pluryal Densify ช่วยให้ผิวแข็งแรง ชะลอการเสื่อมสภาพของผิว
    • Pluryal Densify ช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือด ให้ผิวมีสุขภาพที่ดีขึ้น

     

    Rejuran ช่วยเรื่องอะไร? 

    • Rejuran ช่วยฟื้นฟู และซ่อมแซมเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ 
    • Rejuran ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ปรับผิวอิ่มน้ำ ฉ่ำวาวแบบเร่งด่วน
    • Rejuran ช่วยกระตุ้นคอลลาเจน และอีลาสติน 
    • Rejuran ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น ให้ผิวกระชับ และเต่งตึง
    • Rejuran ช่วยลดเลือนริ้วรอย ให้ผิวเรียบเนียน ดูอ่อนเยาว์
    • Rejuran ช่วยให้รูขุมขนมีความกระชับ หลุมสิวดูตื้นขึ้น
    • Rejuran ช่วยลดเลือนรอยดำ รอยแดง และรอยแผลเป็นจากสิว 
    • Rejuran ช่วยลดการอักเสบของผิวจากปัจจัยต่าง ๆ
    • Rejuran ช่วยลดการสะสมของเม็ดสีเมลานิน ทำให้ผิวสว่าง กระจ่างใส
    • Rejuran ช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรง (Skin Barrier)

     

    Pluryal Densify กับ Rejuran เหมาะกับใคร?
    Pluryal Densify และ Rejuran เหมาะกับใคร?

     

    Pluryal Densify และ Rejuran เหมาะกับใคร?

    Pluryal Densify เหมาะกับใคร?

    • Pluryal Densify เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาผิวแห้งกร้าน ขาดน้ำ ต้องการเติมความชุ่มชื้นให้ผิว
    • Pluryal Densify เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยบริเวณต่าง ๆ ทั้งใบหน้า ลำคอ หลังมือ
    • Pluryal Densify เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูความหมองคล้ำ
    • Pluryal Densify เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการเสริมความแข็งแรงให้ผิว
    • Pluryal Densify เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการปรับสีผิวให้กระจ่างใส 
    • Pluryal Densify เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหารอยแผลเป็น รอยดำ รอยแดงจากสิว
    • Pluryal Densify เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาผิวขาดความยืดหยุ่น ไม่กระชับ
    • Pluryal Densify เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาสีผิวไม่สม่ำเสอ
    • Pluryal Densify เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหารูขุมขนกว้าง ผิวไม่เรียบเนียน
    • Pluryal Densify เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาใบหน้าโทรม เหนื่อยล้า ต้องการบำรุงผิวอย่างล้ำลึก
    • Pluryal Densify เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการเตรียมผิวให้พร้อมก่อนทำหัตถการอื่น ๆ เช่น เลเซอร์ หรือฟิลเลอร์

    ทั้งนี้ ควรปรึกษาแพทย์ และแจ้งประวัติสุขภาพให้แพทย์ทราบอย่างละเอียด ตั้งแต่ประวัติโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา หรือประวัติการรักษาก่อนฉีด Pluryal Densify

     

    Rejuran เหมาะกับใคร?

    • Rejuran เหมาะสำหรับ ผู้ที่กำลังประสบปัญหาผิวหน้าขาดความชุ่มชื้น แห้งลอก
    • Rejuran เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการซ่อมแซมผิวที่เสื่อมโทรมจากแสงแดด หรือมลภาวะ
    • Rejuran เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีผิวอ่อนแอ บอบบาง และแพ้ง่าย
    • Rejuran เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาริ้วรอย ผิวหน้าขาดความยืดหยุ่น
    • Rejuran เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวให้แข็งแรง สุขภาพดีจากภายใน
    • Rejuran เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาผิวหมองคล้ำ ไม่สดใส สีผิวไม่สม่ำเสมอ
    • Rejuran เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาฝ้า กระ จุดด่างดำ รอยดำ รอยแดงจากสิว
    • Rejuran เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหารูขุมขนกว้าง มีหลุมสิว ผิวไม่เรียบเนียน
    • Rejuran เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการให้ผิวดูอ่อนเยาว์ โกลว์ และฉ่ำวาวแบบสาวเกาหลี
    • Rejuran เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาใบหน้าโทรม ต้องการบำรุงผิวเร่งด่วน

    ทั้งนี้ ควรปรึกษาแพทย์ และแจ้งประวัติสุขภาพให้แพทย์ทราบอย่างละเอียด ตั้งแต่ประวัติโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา หรือประวัติการรักษาก่อนฉีด Rejuran

     

    Pluryal Densify และ Rejuran ไม่เหมาะกับใคร?

    Pluryal Densify ไม่เหมาะกับใคร?

    • Pluryal Densify ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีประวัติแพ้สาร Hyaluronic Acid (HA) ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของ Pluryal Densify
    • Pluryal Densify ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีประวัติแพ้อาหารทะเล หรือปลาแซลมอน ซึ่งเป็นสารสกัดของ Polynucleotide (PN) ใน Pluryal Densify
    • Pluryal Densify ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาผิวอักเสบ หรือติดเชื้อในบริเวณที่จะฉีด เช่น เป็นสิว หรือมีแผลสด 
    • Pluryal Densify ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ และผู้ที่กำลังให้นมบุตร ควรหลีกเลี่ยงการฉีด Pluryal Densify ไปก่อน
    • Pluryal Densify ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีโรคเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด หรือกำลังรับประทานยาที่ส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด
    • Pluryal Densify ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือมีโรคประจำตัวที่เกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน

    ทั้งนี้ ควรปรึกษาแพทย์ และแจ้งประวัติสุขภาพให้แพทย์ทราบอย่างละเอียด ตั้งแต่ประวัติโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา หรือประวัติการรักษาก่อนเข้ารับบริการ

     

    Rejuran ไม่เหมาะกับใคร?

    • Rejuran ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีประวัติแพ้อาหารทะเล หรือปลาแซลมอน ซึ่งเป็นสารสกัดของ Polynucleotide (PN) ใน Rejuran
    • Rejuran ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ และผู้ที่กำลังให้นมบุตร ควรหลีกเลี่ยงการฉีด Rejuran ไปก่อน
    • Rejuran ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาผิวอักเสบ หรือติดเชื้อในบริเวณที่จะฉีด เช่น เป็นสิว หรือมีแผลสด 
    • Rejuran ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือมีโรคประจำตัวที่เกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน
    • Rejuran ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีโรคเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด หรือกำลังรับประทานยาที่ส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด

    ทั้งนี้ ควรปรึกษาแพทย์ และแจ้งประวัติสุขภาพให้แพทย์ทราบอย่างละเอียด ตั้งแต่ประวัติโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา หรือประวัติการรักษาก่อนเข้ารับบริการ

     

    Pluryal Densify และ Rejuran แตกต่างจากฟิลเลอร์ทั่วไป อย่างไร?

    • Pluryal Densify

    Pluryal Densify ผสานส่วนประกอบถึง 3 ชนิด ได้แก่ Polynucleotides (PN), Hyaluronic Acid (HA) แบบ Cross-Linked และ Mannitol โดยผ่านเทคโนโลยีการผลิตที่มีชื่อว่า HPN TECHNOLOGY ทำให้ได้ PN ที่มีความบริสุทธิ์สูง เมื่อสารทั้งหมดใน Pluryal Densify ทำงานร่วมกันจะช่วยส่งเสริมเซลล์ Fibroblast ให้ผลิตคอลลาเจน และอีลาสตินเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ผิวมีความยืดหยุ่น กระชับ และปรับปรุงคุณภาพผิวจากภายใน ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้ผิวมีความฉ่ำ ใส เด้งแบบสุขภาพดี โดย Pluryal Densify เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวเร่งด่วน มีปัญหาริ้วรอย ผิวขาดน้ำ และไม่ยืดหยุ่น 

    • Rejuran 

    Rejuran มีส่วนประกอบหลักของ Polynucleotide (PN) ที่สกัดจากปลาแซลมอน โดยผ่านเทคโนโลยีการผลิตที่มีชื่อว่า DOT™ ที่สกัดเอา PN ที่มีความบริสุทธิ์ออกมา ซึ่งมีคุณสมบัติในการฟื้นฟูเซลล์ผิวที่เสื่อมโทรม กระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ รวมถึง ลดการอักเสบผิว และเสริมการทำงานของเซลล์ Fibroblast ให้ผลิตคอลลาเจน และอีลาสตินเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ผิวแข็งแรง ชุ่มชื้น และดูอ่อนเยาว์จากภายใน พร้อมลดเลือนริ้วรอย รอยดำ รอยแดง และรูขุมขนกว้าง ทำให้ผิวหน้ากลับมาเรียบเนียน และดูสุขภาพดีแบบเร่งด่วน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการกู้ผิวแห้งกร้าน ขาดน้ำ มีปัญหาหลุมสิว ผิวขรุขระ ไม่เรียบเนียน

    • ฟิลเลอร์ทั่วไป

    ฟิลเลอร์ทั่วไป เป็นสารเติมเต็มที่มีส่วนประกอบหลักของ Hyaluronic Acid (HA) ซึ่งถูกสังเคราะห์ขึ้นมา เพื่อเลียนแบบสารที่มีอยู่ในร่างกาย มีคุณสมบัติในการเติมเต็ม เพื่อทดแทนบริเวณที่สูญเสียปริมาตรใต้ผิวหนัง และปรับรูปหน้าทันทีที่ฉีด แต่ไม่มีคุณสมบัติในการกระตุ้นคอลลาเจน ซึ่งยสามารถฉีดได้หลายบริเวณ เช่น ร่องแก้ม หน้าผาก ใต้ตา คาง หรือริมฝีปาก และแก้ไขปัญหาได้อย่างครอบคลุม ตั้งแต่ระดับโครงสร้าง โดยหลังฉีดสามารถเห็นผลลัพธ์ได้ทันที ทำให้ผิวอิ่มฟู ดูอ่อนกว่าวัย และใบหน้าได้สัดส่วนมากขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาริ้วรอย ร่องลึก ผิวหย่อนคล้อย และรูปหน้าไม่สมส่วน 

     

    ข้อควรรู้ก่อนฉีด Pluryal Densify และ Rejuran

    • ก่อนฉีด Pluryal Densify และ Rejuran ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อประเมินสภาพผิวก่อนฉีด Pluryal Densify และ Rejuran 
    • ก่อนฉีด Pluryal Densify และ Rejuran งดรับประทานยา หรือวิตามินที่ส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด อย่างน้อย 1 สัปดาห์
    • ก่อนฉีด Pluryal Densify และ Rejuran หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 24 – 48 ชั่วโมง ก่อนฉีด Pluryal Densify และ Rejuran
    • ก่อนฉีด Pluryal Densify และ Rejuran หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ อย่างน้อย 24 – 48 ชั่วโมงก่อนฉีด Pluryal Densify และ Rejuran
    • ก่อนฉีด Pluryal Densify และ Rejuran หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก
    • ก่อนฉีด Pluryal Densify และ Rejuran สามารถฉีดได้หลังจากทำเลเซอร์ หรือฉีดฟิลเลอร์ อย่างน้อย 3 สัปดาห์
    • ก่อนฉีด Pluryal Densify และ Rejuran ควรดื่มน้ำให้มาก ๆ และนอนหลับให้เพียงพอ

     

    ข้อควรปฏิบัติหลังฉีด Pluryal Densify และ Rejuran

    • หลังฉีด Pluryal Densify และ Rejuran งดการแต่งหน้าในบริเวรที่ฉีด ประมาณ 24 ชั่วโมงแรกหลังฉีด Pluryal Densify และ Rejuran
    • หลังฉีด Pluryal Densify และ Rejuran หากมีอาการปวด สามารถประคบเย็นได้ ตามคำแนะนำของแพทย์
    • หลังฉีด Pluryal Densify และ Rejuran สามารถทาสกินแคร์ หรือทำความสะอาดใบหน้าได้ตามปกติ
    • หลังฉีด Pluryal Densify และ Rejuran หลีกเลี่ยงความร้อนจัด แสงแดด หรือกิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีด อย่างน้อย 24 – 48 ชั่วโมงแรกหลังฉีด Pluryal Densify และ Rejuran
    • หลังฉีด Pluryal Densify และ Rejuran งดสัมผัส นวด หรือกดในบริเวณที่ฉีด อย่างน้อย 48 ชั่วโมงแรก
    • หลังฉีด Pluryal Densify และ Rejuran หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 24 – 48 ชั่วโมงแรกหลังฉีด Pluryal Densify และ Rejuran
    • หลังฉีด Pluryal Densify และ Rejuran หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ อย่างน้อย 24 – 48 ชั่วโมงแรกหลังฉีด Pluryal Densify และ Rejuran

     

    รวมคำถามเกี่ยวกับ Pluryal Densify และ Rejuran
    รวมคำถามเกี่ยวกับ Pluryal Densify และ Rejuran

    รวมคำถามเกี่ยวกับ Pluryal Densify และ Rejuran

    Pluryal Densify และ Rejuran ฉีดกี่ครั้งเห็นผล?

    • Pluryal Densify แนะนำให้ฉีดสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ต่อเนื่องกัน 3 สัปดาห์ จากนั้น สามารถกลับมาฉีด Pluryal Densify ซ้ำทุก ๆ 3 – 6 เดือน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ
    • Rejuran แนะนำให้ฉีดอย่างต่อเนื่อง ประมาณ 4 ครั้ง ซึ่งในแต่ละครั้ง ควรเว้นระยะเวลาเพื่อพักหน้า ประมาณ 2 – 4 สัปดาห์ จากนั้น สามารถกลับมาฉีดซ้ำทุก ๆ 3 – 6 เดือน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ

     

    Pluryal Densify และ Rejuran ควรฉีดกี่ CC?

    • การฉีด Pluryal Densify โดยปกติแล้ว จะแนะนำให้เริ่มฉีด 1 กล่อง ซึ่งใน Pluryal Densify 1 กล่อง จะมีปริมาณสารทั้งหมด 2 CC แต่ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับแพทย์ประเมิน และปัญหาผิวของแต่ละบุคคล แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ก่อนตัดสินใจฉีด Pluryal Densify
    • การฉีด Rejuran โดยปกติแล้ว จะแนะนำให้เริ่มฉีด ปริมาณ 2 – 4 CC ขึ้นอยู่กับปัญหาผิว และบริเวณที่ต้องการฉีด หากต้องการฉีดเฉพาะจุด เช่น บริเวณหน้าแก้ม ลำคอ หรือหลังมือ สามารถใช้ปริมาณ Rejuran ประมาณ 2 CC ได้ แต่หากต้องการฉีดทั่วใบหน้า หรือต้องการฉีดลำคอพร้อมกัน อาจต้องใช้ปริมาณ Rejuran ประมาณ 4 CC ถึงจะเพียงพอ ขึ้นอยู่กับแพทย์ประเมิน แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ก่อนตัดสินใจ

     

    Pluryal Densify และ Rejuran เจ็บไหม?

    • การฉีด Pluryal Densify และ Rejuran อาจรู้สึกเจ็บเล็กน้อยในบริเวณที่ฉีด ซึ่งสำหรับผู้ที่มีความกังวลเรื่องความเจ็บ สามารถขอทายาชาก่อนฉีด Pluryal Densify และ Rejuran เพื่อลดความรู้สึกเจ็บลงได้ 

     

    Pluryal Densify และ Rejuran อันตรายไหม?

    • การฉีด Pluryal Densify และ Rejuran ถือว่าไม่เสี่ยงอันตราย และได้รับการรับรองมาตรฐานจาก อย. แต่ควรฉีดกับแพทย์ที่มีความรู้ และความชำนาญ ใช้เทคนิคในการฉีดที่เหมาะสม และฉีดถูกชั้นผิว เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ และไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย

     

    Pluryal Densify และ Rejuran มีผลข้างเคียงอะไรบ้าง?

    • หลังฉีด Pluryal Densify และ Rejuran อาจเกิดอาการบวม แดง ช้ำ หรือปวดในบริเวณที่ฉีด Pluryal Densify และ Rejuran ซึ่งเป็นอาการที่พบได้บ่อย และจะค่อย ๆ ดีขึ้น ภายใน 2 – 3 วัน แต่หากพบว่า มีอาการผิดปกตินอกเหนือจากนี้ ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที

     

    Pluryal และ Rejuran มีทั้งหมดกี่รุ่น?

    • Pluryal จะมีทั้งหมด 4 รุ่น ซึ่งในแต่ละรุ่นถูกออกแบบมา เพื่อตอบโจทย์ปัญหาผิวที่แตกต่างกัน ทั้งในด้านคุณสมบัติ และผลลัพธ์ที่ได้หลังฉีด ได้แก่ Pluryal Biosculpture ช่วยเติมเต็มผิว ปรับรูปหน้า และลดความหย่อนคล้อย, Pluryal Densify ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น คืนความยืดหนุ่น และความกระชับให้ผิว, Pluryal Silk ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น และฟื้นฟูผิวรอบดวงตา, Pluryal Hair Density ช่วยฟื้นฟูหนังศีรษะ และเส้นผม
    • Rejuran จะมีทั้งหมด 4 รุ่นเช่นเดียวกัน ซึ่งในแต่ละรุ่นถูกออกแบบมา เพื่อตอบโจทย์ปัญหาผิวที่แตกต่างกัน ทั้งในด้านคุณสมบัติ และผลลัพธ์ที่ได้หลังฉีด ได้แก่ Rejuran Classic เติมความชุ่มชื้น และฟื้นฟูผิวระดับโครงสร้าง, Rejuran i ลดเลือนริ้วรอยรอบดวงตา และริมฝีปาก, Rejuran S เติมเต็มหลุมสิว กู้ผิวไม่เรียบเนียน, Rejuran HB ฟื้นฟูผิว 2 เท่า ลดเลือนรอยสิว และริ้วรอยตื้น ๆ 

     

    จะเห็นได้ว่า ทั้ง Pluryal Densify และ Rejuran เป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถฟื้นฟูผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขึ้นอยู่กับความต้องการ และปัญหาผิวของแต่ละบุคคล หากมีปัญหาผิวขาดความยืดหยุ่น แห้งกร้าน ไม่กระชับ การฉีด Pluryal Densify ถือว่าตอบโจทย์ แต่หากมีปัญหาริ้วรอย รอยดำ รอยแดง หลุมสิว หรือผิวเสื่อมโทรมจากภายใน การฉีด Rejuran ก็อาจจะตอบโจทย์มากกว่า ทั้งนี้ทั้งนั้น ควรปรึกษาแพทย์ก่อนตัดสินใจฉีด Pluryal Densify และ Rejuran เพื่อให้แพทย์ประเมินผิวหน้า และเลือกผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์กับปัญหาอย่างแท้จริง เพื่อให้ได้ผลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ

     

    *ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับบริการ

    *เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯกำหนด

     

    ผิวหย่อนคล้อยและริ้วรอยแต่ละช่วงวัย แก้ไขอย่างไร? รวมวิธีดูแลให้ผิวกระชับ อ่อนเยาว์

    ผิวหย่อนคล้อยและริ้วรอยแต่ละช่วงวัย แก้ไขอย่างไร?

    ผิวหย่อนคล้อยและริ้วรอยแต่ละช่วงวัย แก้ไขอย่างไร? รวมวิธีดูแลให้ผิวกระชับ อ่อนเยาว์เสมอ

    ผิวของเราต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นผลจากอายุที่เพิ่มขึ้น ปัจจัยภายนอกอย่างแสงแดดและมลภาวะ หรือแม้แต่ไลฟ์สไตล์ในแต่ละวัน ล้วนส่งผลให้ผิวหย่อนคล้อย และริ้วรอยเริ่มปรากฏขึ้นตามวัย

    แม้ว่าปัญหาผิวเหล่านี้จะเป็นเรื่องธรรมชาติที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เราสามารถป้องกันและชะลอการเกิดของริ้วรอย รวมถึงฟื้นฟูความกระชับของผิวได้ด้วยการดูแลที่เหมาะสมในแต่ละช่วงวัย 

    บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจว่าปัญหาผิวหย่อนคล้อยและริ้วรอยเกิดขึ้นได้อย่างไรในแต่ละวัย และจะแก้ไขอย่างไรให้ผิวดูเรียบเนียน เต่งตึง และอ่อนเยาว์ได้นาน

     

    สาเหตุหลักของผิวหย่อนคล้อยและริ้วรอย
    สาเหตุหลักของผิวหย่อนคล้อยและริ้วรอย

     

    สาเหตุหลักของผิวหย่อนคล้อยและริ้วรอย

    • อายุที่เพิ่มขึ้น คอลลาเจนและอีลาสตินลดลง

    เมื่ออายุเพิ่มขึ้น ร่างกายจะผลิตคอลลาเจนและอีลาสติน ซึ่งเป็นโปรตีนสำคัญที่ช่วยให้ผิวเต่งตึงและยืดหยุ่นน้อยลง ตั้งแต่อายุ 25 ปีขึ้นไป ปริมาณคอลลาเจนจะลดลงประมาณ 1% ต่อปี ส่งผลให้ผิวเริ่มสูญเสียความกระชับและเกิดริ้วรอย โดยเฉพาะบริเวณหน้าผาก หางตา และร่องแก้ม

    • แสงแดดและรังสียูวี ทำลายเซลล์ผิว 

    รังสียูวีจากแสงแดดเป็นศัตรูตัวร้ายของผิว เพราะสามารถทำลายคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิวได้โดยตรง ทำให้ผิวสูญเสียความยืดหยุ่นและเกิดริ้วรอยก่อนวัย นอกจากนี้ รังสียูวียังเป็นสาเหตุของจุดด่างดำและสีผิวไม่สม่ำเสมอ หากไม่ทาครีมกันแดดเป็นประจำ ผิวอาจเสื่อมโทรมเร็วกว่าปกติ

    • พฤติกรรมการใช้ชีวิต

    เช่น การนอนดึก การขาดน้ำ การดื่มแอลกอฮอล์ และการสูบบุหรี่ พฤติกรรมการใช้ชีวิตเหล่านี้ล้วนส่งผลให้ร่างกายดูโทรม หมองคล้ำ และเกิดริ้วรอยได้ง่าย

    • แรมโน้มถ่วงของโลก ทำให้ผิวหน้าหย่อนคล้อย

    แรงโน้มถ่วงเป็นปัจจัยที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เมื่ออายุมากขึ้น แรงโน้มถ่วงจะส่งผลต่อโครงสร้างใบหน้า ทำให้ผิวเริ่มหย่อนคล้อย โดยเฉพาะบริเวณแนวกราม แก้ม และเปลือกตา

    • การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน

    เมื่อเข้าสู่วัยทอง ฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกายจะลดลง ทำให้ผิวบางลง ขาดความชุ่มชื้น และสูญเสียความยืดหยุ่น นอกจากนี้ยังส่งผลให้กระบวนการผลัดเซลล์ผิวช้าลง ทำให้ผิวดูหมองคล้ำและแห้งกร้าน

     

    พฤติกรรมที่ทำให้ผิวหย่อนคล้อยและริ้วรอยมาเร็วขึ้น

    • การไม่ทาครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ

    แสงแดดเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ผิวเกิด ริ้วรอยก่อนวัย จุดด่างดำ และความหย่อนคล้อย รังสียูวีสามารถทำลายคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ผิว ส่งผลให้ผิวสูญเสียความยืดหยุ่น หากไม่ทาครีมกันแดดหรือเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีค่า SPF ต่ำ อาจทำให้ผิวเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ

    • การล้างหน้าแรง ๆ หรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่รุนแรงกับผิวหน้า

    การล้างหน้าด้วยแรงกดมากเกินไป หรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารทำความสะอาดรุนแรง เช่น สบู่ที่มีค่า pH สูง หรือสครับที่มีเม็ดบีดส์ขนาดใหญ่ อาจทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้น ชั้นปกป้องผิวอ่อนแอลง และเกิดริ้วรอยได้เร็วขึ้น

    • การดื่มน้ำไม่เพียงพอ ทำให้ผิวขาดน้ำและดูเหี่ยวย่น

    น้ำเป็นองค์ประกอบสำคัญของผิว หากร่างกายได้รับน้ำไม่เพียงพอ ผิวจะแห้งขาดความชุ่มชื้น เกิดริ้วรอยได้ง่ายขึ้น และดูไม่สดใส โดยเฉพาะบริเวณใต้ตาและมุมปาก

    • การใช้ชีวิตแบบเร่งรีบ เครียดสะสม และพักผ่อนไม่เพียงพอ

    ความเครียดส่งผลให้ร่างกายผลิตคอร์ติซอล (Cortisol) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ทำให้ คอลลาเจนและอีลาสตินเสื่อมลงเร็วขึ้น ส่งผลให้ผิวสูญเสียความเต่งตึง เกิดริ้วรอย และใบหน้าดูเหนื่อยล้า

    • การรับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์

    อาหารที่มีไขมันทรานส์ น้ำตาลสูง และสารปรุงแต่ง เช่น ของทอด ขนมหวาน น้ำอัดลม และอาหารแปรรูป สามารถกระตุ้นการอักเสบในร่างกาย ทำให้ผิวเสื่อมสภาพเร็วขึ้น ผิวดูหมองคล้ำ และเกิดริ้วรอยก่อนวัย

     

    เข้าใจปัญหาผิวหย่อนคล้อยและริ้วรอยในแต่ละช่วงวัย

    เมื่ออายุเพิ่มขึ้น ร่างกายจะผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินลดลง ส่งผลให้ ผิวสูญเสียความยืดหยุ่นและเกิดริ้วรอย ซึ่งปัญหานี้สามารถเกิดขึ้นในแต่ละช่วงวัยแตกต่างกันไป การดูแลที่เหมาะสมจะช่วย ชะลอความเสื่อมของผิว และคืนความกระชับให้แลดูอ่อนเยาว์ได้นานขึ้น 

    อายุ 20+ ริ้วรอยแรกเริ่ม ป้องกันไว้ก่อนดีสุด

    ผิวของคนวัย 20 ยังคงแข็งแรงและกระชับ แต่การใช้ชีวิตที่เร่งรีบ ความเครียด และพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม อาจทำให้ริ้วรอยแรกเริ่มปรากฏขึ้นเร็วกว่าที่คิด ปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดริ้วรอยก่อนวัย ได้แก่ แสงแดด ความเครียด การพักผ่อนไม่เพียงพอ และพฤติกรรมการดูแลผิวที่ผิดวิธี หากละเลยการดูแลผิวตั้งแต่อายุยังน้อย อาจทำให้ ริ้วรอยร่องตื้นบริเวณหน้าผาก รอบดวงตา และร่องแก้มปรากฏเร็วกว่าปกติ

    วิธีดูแลผิวหน้าของช่วงอายุ 20+

    • เน้นการบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นด้วยมอยส์เจอไรเซอร์ และทาครีมกันแดด SPF50 PA+++ ปกป้องผิวจากแสงแดดซึ่งเป็นตัวการสำคัญของริ้วรอยก่อนวัย
    • ใช้วิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระ เพื่อช่วยป้องกันความเสียหายจากมลภาวะ และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
    • หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำให้คอลลาเจนเสื่อม เช่น การสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ และการนอนดึกเป็นประจำ

    อายุ 30+ คอลลาเจนลดลง ผิวเริ่มหย่อนคล้อย

    เมื่อเข้าสู่วัย 30 คอลลาเจนในผิวจะเริ่มลดลงประมาณ 1% ต่อปี ทำให้ผิวเริ่มสูญเสียความแน่นกระชับ รูปหน้าดูไม่เต่งตึงเหมือนเดิม ผิวเริ่มมีความแห้งมากขึ้น และอาจมีริ้วรอยร่องตื้นที่เห็นชัดขึ้น ผิวเริ่มเสื่อมโทรมจากการทำงานหนัก มลภาวะ และความเครียดสะสม

    วิธีดูแลผิวหน้าของช่วงอายุ 30+

    • ใช้สกินแคร์ที่มีเรตินอล และไฮยาลูรอนิก แอซิด เพื่อช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว
    • นวดหน้ายกกระชับ หรือทำ Face Yoga เป็นประจำ เพื่อช่วยกระตุ้นกล้ามเนื้อใบหน้า ลดการหย่อนคล้อย
    • หากต้องการผลลัพธ์ที่ชัดเจนขึ้น สามารถทำโปรแกรม Super HIFU, โปรแกรม Oligio, โปรแกรม Ultraformer MPT หรือ โปรแกรม Thermage FLX เพื่อช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นลึกของผิว

     

    อายุ 40+ ผิวเริ่มหย่อนคล้อย ริ้วรอยลึกขึ้น

    ในวัย 40 กระบวนการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินลดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ผิวบางลงและสูญเสียความยืดหยุ่น แรงโน้มถ่วงของโลกส่งผลต่อโครงสร้างผิว ทำให้ใบหน้าดูหย่อนคล้อย โดยเฉพาะบริเวณแนวกรามและแก้ม 

    วิธีดูแลผิวหน้าของช่วงอายุ 40+

    • บำรุงผิวด้วยเปปไทด์และเซราไมด์ เพื่อช่วยเติมเต็มความชุ่มชื้นและเสริมสร้างโครงสร้างผิว
    • เลือกทำโปรแกรม Morpheus8, โปรแกรม Ulthera Primeหรือ โปรแกรม Thermage FLX เพื่อช่วยกระชับผิวหน้า และลดเลือนริ้วรอยอย่างล้ำลึก
    • รับประทานอาหารที่ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน เช่น โปรตีน วิตามินซี และกรดไขมันดี เพื่อช่วยฟื้นฟูผิวจากภายใน

    อายุ 50+ ผิวบางลง ริ้วรอยเด่นชัด ต้องการการดูแลพิเศษ

    เมื่อเข้าสู่วัย 50+ ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลง ส่งผลให้ผิวแห้งมากขึ้น สูญเสียความยืดหยุ่น และบางลงอย่างชัดเจน ริ้วรอยที่เกิดขึ้นในวัยนี้มักเป็น ริ้วรอยร่องลึก ที่แก้ไขได้ยากขึ้น และผิวอาจดูไม่กระชับเหมือนเดิม ผิวมีแนวโน้มที่จะสูญเสียความชุ่มชื้นง่ายขึ้น และเกิดปัญหาผิวแห้งหรือแพ้ง่าย

    วิธีดูแลผิวหน้าของช่วงอายุ 50+

    • ใช้สกินแคร์ที่ช่วยกักเก็บน้ำ เช่น ไนอะซินาไมด์ และเซราไมด์ เพื่อช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันผิว และลดการสูญเสียน้ำ
    • ทำเทคโนโลยียกกระชับ เช่น โปรแกรม Morpheus8, โปรแกรม EMFACE และโปรแกรม Ulthera Prime เพื่อช่วยฟื้นฟูโครงสร้างผิว และลดริ้วรอยที่เด่นชัด
    • รับประทานอาหารที่มีกรดไขมันดี เช่น อะโวคาโด แซลมอน และน้ำมันมะกอก เพื่อช่วยบำรุงผิวจากภายใน

     

    เทคโนโลยีช่วยยกกระชับและลดริ้วรอย มีอะไรบ้าง?
    เทคโนโลยีช่วยยกกระชับและลดริ้วรอย มีอะไรบ้าง?

     

    เทคโนโลยีช่วยยกกระชับและลดริ้วรอย มีอะไรบ้าง?

    ปัญหาผิวหย่อนคล้อยและริ้วรอยสามารถแก้ไขได้ด้วยเทคโนโลยียกกระชับผิว ซึ่งในปัจจุบันมีหลากหลายวิธีที่ช่วยฟื้นฟูและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว แต่ละเทคโนโลยีมีจุดเด่นที่แตกต่างกัน จึงควรเลือกให้เหมาะสมกับสภาพผิวและช่วงวัย เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี

    โปรแกรม Super HIFU

    เป็นเทคโนโลยีที่ใช้คลื่นอัลตราซาวนด์ความเข้มข้นสูง ส่งพลังงานลงลึกไปยังชั้น SMAS (Superficial Muscular Aponeurotic System) ซึ่งเป็นชั้นผิวเดียวกับที่ศัลยแพทย์ใช้ในการผ่าตัดดึงหน้า ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้ผิวค่อย ๆ กระชับขึ้นอย่างดูเป็นธรรมชาติ ไม่มีแผล ไม่ต้องพักฟื้น สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติหลังทำ เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป เริ่มมีผิวหย่อนคล้อยเล็กน้อยและต้องการการดูแล เห็นผลลัพธ์ภายใน 1-3 เดือน และอยู่ได้นานประมาณ 6-12 เดือน

     

    โปรแกรม Oligio

    เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ Monopolar RF (คลื่นวิทยุแบบขั้วเดียว) ซึ่งสามารถปล่อยพลังงานลงสู่ชั้นผิวลึก ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและลดความหย่อนคล้อยของผิวหน้า โดยให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติและเหมาะกับผู้ที่เริ่มมีสัญญาณของผิวที่ไม่กระชับ เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุ 30+ หรือผู้ที่เริ่มมีริ้วรอยและความหย่อนคล้อย ผิวดูยกกระชับขึ้นทันทีหลังทำ และดีขึ้นเรื่อย ๆ ใน 1-3 เดือน และอยู่ได้นานประมาณ 6-12 เดือน

     

    โปรแกรม Thermage FLX

    เป็นเทคโนโลยีที่ใช้คลื่นวิทยุแบบขั้วเดียว (Monopolar RF) ในการปล่อยพลังงานความร้อนลงสู่ชั้นหนังแท้และชั้นไขมันใต้ผิว ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่และกระชับผิวจากภายใน เป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อยระดับปานกลางและต้องการผลลัพธ์ที่อยู่ได้นาน เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป และเริ่มมีปัญหาผิวหย่อนคล้อยระดับปานกลาง เห็นผลลัพธ์ชัดเจนภายใน 1-3 เดือน และอยู่ได้นานประมาณ 1-2 ปี

     

    โปรแกรม Morpheus8

    เป็นเทคโนโลยีที่รวม Microneedling และคลื่นวิทยุ (RF – Radio Frequency) เข้าไว้ด้วยกัน โดยใช้เข็มขนาดเล็กส่งพลังงานความร้อนลงไปในชั้นผิวลึก เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและฟื้นฟูโครงสร้างผิวจากภายใน เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุ 40-50 ปีขึ้นไป และมีปัญหาผิวหย่อนคล้อยมากขึ้น เห็นผลลัพธ์ชัดเจนขึ้นใน 1-2 เดือน และอยู่ได้นานประมาณ 1 ปี

     

    โปรแกรม EMFACE

    เป็นเทคโนโลยีที่ใช้พลังงานคลื่นไฟฟ้า (HIFES) และคลื่นวิทยุ (RF) ในการยกกระชับผิวโดยไม่ต้องใช้เข็ม ไม่ต้องเจ็บ และไม่มีแผล ช่วยฟื้นฟูความแข็งแรงของกล้ามเนื้อใบหน้า ลดริ้วรอย และช่วยปรับรูปหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุ 30-50 ปี ให้ผลลัพธ์ที่อยู่ได้นาน 1 ปี

     

    โปรแกรม Ultherapy Prime

    เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ Micro-Focused Ultrasound (MFU-V) ซึ่งสามารถส่งพลังงานลงลึกถึงชั้น SMAS ได้อย่างแม่นยำ ช่วยให้ผิวยกกระชับอย่างดูเป็นธรรมชาติ ลดริ้วรอยลึกและช่วยให้โครงหน้าดูเรียวขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุ 40-55 ปี ให้ผลลัพธ์ที่อยู่ได้นาน 1-2 ปี

     

    โปรแกรม Ultraformer MPT

    เป็นเทคโนโลยี Micro & Macro Focused Ultrasound (MMFU) ที่พัฒนาให้สามารถส่งพลังงานได้อย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพสูงขึ้น เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิว SMAS เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุ 30-50 ปี และต้องการดูแลผิวให้กระชับขึ้นอย่างต่อเนื่อง เห็นผลลัพธ์ชัดเจนภายใน 3 เดือน และผลลัพธ์สามารถอยู่ได้นาน1 ปี

     

    เทคโนโลยียกกระชับผิว แก้ผิวหย่อนคล้อย มีข้อดีอย่างไรบ้าง?

    • เทคโนโลยียกกระชับผิว ลดความหย่อนคล้อยโดยไม่ต้องผ่าตัด
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว ช่วยให้โครงหน้าดูเรียวขึ้น กรอบหน้าชัดเจนขึ้น
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิว
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว ลดริ้วรอยตื้นและริ้วรอยลึก ให้ผิวดูอ่อนเยาว์ขึ้น
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว ช่วยให้ผิวแน่นขึ้น รูขุมขนกระชับ และผิวเรียบเนียนขึ้น
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว ปรับสภาพผิวให้สม่ำเสมอ ลดความหมองคล้ำ
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว ช่วยให้เหนียงลดลง ลดไขมันสะสมใต้ผิวหนัง
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว ไม่มีแผล ไม่ต้องพักฟื้น สามารถแต่งหน้าและใช้ชีวิตได้ตามปกติหลังทำ
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว เห็นผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ ไม่ดูแข็งหรือผิดรูป
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว เป็นการฟื้นฟูผิวจากภายใน ไม่ได้แค่ปกปิดปัญหาผิวชั่วคราว
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว สามารถทำได้ทุกช่วงวัย ตั้งแต่อายุ 30-50 ปีขึ้นไป
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว ลดความหย่อนคล้อยของผิวที่เกิดจากน้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว สามารถทำซ้ำได้ทุกปี เพื่อคงสภาพผิวให้กระชับตลอดเวลา
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว เป็นตัวเลือกที่ดีกว่าศัลยกรรม ไม่มีความเสี่ยงจากการผ่าตัด
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว สามารถทำควบคู่กับการดูแลผิวด้วยสกินแคร์และวิตามินเสริมได้
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว ช่วยให้ผิวบริเวณรอบดวงตาดูกระชับขึ้น ลดริ้วรอยและถุงใต้ตา
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว ช่วยกระชับผิวลำคอ ลดความหย่อนคล้อยของคอและเนินอก
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว สามารถทำได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง เหมาะกับทุกสภาพผิว

     

    เทคโนโลยียกกระชับผิว แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย สามารถทำบริเวณไหนได้บ้าง?
    เทคโนโลยียกกระชับผิว แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย สามารถทำบริเวณไหนได้บ้าง?

     

    เทคโนโลยียกกระชับผิว แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย สามารถทำบริเวณไหนได้บ้าง?

    • เทคโนโลยียกกระชับผิว สามารถทำบริเวณแก้ม ลดความหย่อนคล้อยของแก้ม
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว สามารถทำบริเวณแนวกราม ช่วยให้กรอบหน้าชัดขึ้นและดูเรียวขึ้น
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว สามารถทำบริเวณเหนียงใต้คาง ลดไขมันสะสมบริเวณใต้คาง
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว สามารถทำบริเวณหน้าผากและรอบดวงตา ลดริ้วรอยบริเวณหน้าผาก และช่วยกระชับผิวรอบดวงตา
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว สามารถทำบริเวณมุมปากตก ช่วยยกกระชับมุมปากที่ตกให้ดูสดใสขึ้น
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว สามารถทำบริเวณลำคอหย่อนคล้อย แก้ปัญหาคอเหี่ยว 
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว สามารถทำบริเวณเนินอกและร่องอก ลดความหย่อนคล้อยของผิวหน้าอก
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว สามารถทำบริเวณต้นแขน ลดความหย่อนคล้อยของต้นแขน
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว สามารถทำบริเวณหน้าท้อง กระชับผิวให้ดูเรียบเนียนขึ้น
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว สามารถทำบริเวณต้นขาด้านใน ช่วยให้ต้นขาดูกระชับขึ้น
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว สามารถทำบริเวณสะโพก ลดไขมันสะสม และช่วยให้ผิวดูเรียบเนียน

     

    เทคโนโลยียกกระชับผิว แก้ปัญหาอะไรได้บ้าง?
    เทคโนโลยียกกระชับผิว แก้ปัญหาอะไรได้บ้าง?

     

    เทคโนโลยียกกระชับผิว แก้ปัญหาอะไรได้บ้าง?

    • เทคโนโลยียกกระชับผิว ช่วยแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย ไม่กระชับ
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว ช่วยแก้ปัญหากรอบหน้าไม่ชัด
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว ช่วยแก้ปัญหาริ้วรอย ร่องลึก บนใบหน้า
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว ช่วยแก้ปัญหาคางสองชั้น ทำให้หน้าดูอ้วนและไม่มีมิติ
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว ช่วยแก้ปัญหาแก้มย้อย แก้มห้อย
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว ช่วยแก้ปัญหาผิวไม่เรียบ มีความหยาบกร้าน
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว ช่วยแก้ปัญหารูขุมขนกว้าง ไม่กระชับ
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว ช่วยแก้ปัญหาผิวขาดความยืดหยุ่น ไม่ตึงกระชับ
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว ช่วยแก้ปัญหาผิวบริเวณลำคอและเปลือกตาที่หย่อนคล้อยลง
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว ช่วยแก้ปัญหาริ้วรอยบริเวณลำคอและเนินอก
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว ช่วยแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยหลังคลอด
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว ช่วยแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยหลังลดน้ำหนัก
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว ช่วยแก้ปัญหาผิวบริเวณต้นขา สะโพก ไม่เรียบเนียน
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว ช่วยแก้ปัญหามุมปากตก ส่งผลให้ใบหน้าดูเหนื่อยล้า และไม่สดใส
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว ช่วยแก้ปัญหาผิวบริเวณรอบดวงตาบางและเริ่มหย่อนลง
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว ช่วยแก้ปัญหาผิวอ่อนแอ ขาดความต้านทานต่อมลภาวะ
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว ช่วยแก้ปัญหาโหนกแก้มตกลง ทำให้ใบหน้าดูหย่อนคล้อย
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว ช่วยแก้ปัญหาผิวดูอิดโรย ไม่สดใส และมีความหมองคล้ำ
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว ช่วยแก้ปัญหาร่องใต้ตาลึกและถุงใต้ตา
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว ช่วยแก้ปัญหาผิวไม่เรียบเนียนจากหลุมสิว หรือรอยแผลเป็น

     

    ใครบ้างที่เหมาะกับเทคโนโลยียกกระชับผิว แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย?
    ใครบ้างที่เหมาะกับเทคโนโลยียกกระชับผิว แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย?

     

    ใครบ้างที่เหมาะกับเทคโนโลยียกกระชับผิว แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย?

    • เทคโนโลยียกกระชับผิว เหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มมีสัญญาณของผิวหย่อนคล้อย
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว เหมาะสำหรับผู้ที่มีริ้วรอยหรือร่องลึกที่มองเห็นได้ชัด
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว เหมาะสำหรับผู้ที่มีเหนียง คางสองชั้น กรอบหน้าไม่ชัด
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยหลังคลอด หรือลดน้ำหนัก
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการป้องกันริ้วรอยลึกก่อนจะเกิด
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการศัลยกรรม แต่ต้องการผลลัพธ์ที่ใกล้เคียง
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวบาง ผิวไวต่อการฉีด ไม่ต้องการใช้เข็ม
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการดูแลตัวเองให้ดูดีแบบไม่ต้องแต่งเติม
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาจำกัด ไม่สามารถพักฟื้นได้
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว เหมาะสำหรับผู้ที่รู้สึกว่าใบหน้าดูเหนื่อยล้า แม้พักผ่อนเพียงพอ
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเสริมสร้างความมั่นใจ
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว เหมาะสำหรับผู้ที่เตรียมตัวก่อนวันสำคัญ
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหลังการฉีดสารเติมเต็ม
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว เหมาะสำหรับคุณแม่หลังคลอดที่อยากดูแลตัวเองให้กลับมาสวยอีกครั้ง
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว เหมาะสำหรับผู้ที่แพ้เข็ม ไม่ชอบหัตถการโปรแกรมฉีดหรือผ่าตัด
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว เหมาะสำหรับผู้ที่อยากดูอ่อนกว่าวัยแบบไม่อันตราย
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนกับตัวเองในระยะยาว

     

    ใครที่ไม่ควรทำเทคโนโลยียกกระชับผิว แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย?

    • เทคโนโลยียกกระชับผิว ไม่เหมาะสำหรับหญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัวบางชนิด เช่น โรคลมชัก
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีแผลเปิด ผิวติดเชื้อ หรือมีอาการอักเสบบริเวณที่จะทำ
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เพิ่งทำโปรแกรมเลเซอร์ หรือหัตถการอื่นที่ระคายเคืองผิวแรง ๆ
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เพิ่งฉีดโปรแกรมฟิลเลอร์ในบริเวณเดียวกัน
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ผิวบางมากหรือไวต่อความร้อนเป็นพิเศษ
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่อายุน้อยมาก และยังไม่มีปัญหาผิวชัดเจน
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีประวัติเคยแพ้พลังงานความร้อนหรือคลื่นไฟฟ้า
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่คาดหวังผลลัพธ์เกินจริง
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่อยู่ในช่วงรับเคมีบำบัดหรือมีภูมิคุ้มกันต่ำ
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีแผลเป็นคีลอยด์ (Keloid) ง่าย
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีโลหะฝังในร่างกายบริเวณที่ต้องทำ เช่น รากฟันเทียม
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีการอักเสบเรื้อรัง หรือโรคผิวหนังเฉพาะจุด เช่น ผิวหนังอักเสบเรื้อรัง โรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis)
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เพิ่งทำโปรแกรมร้อยไหม โปรแกรมดึงหน้า หรือศัลยกรรมใบหน้ามาไม่นาน
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ใช้ยาบางชนิดที่ทำให้ผิวไวแสงหรือระคายเคืองง่าย

     

    การเตรียมตัวก่อนทำเทคโนโลยียกกระชับผิว แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย

    • ก่อนทำเทคโนโลยียกกระชับผิว ควรนอนพักผ่อนให้เพียงพอ
    • ก่อนทำเทคโนโลยียกกระชับผิว ควรดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อย 6-8 แก้วต่อวันในช่วง 2-3 วัน
    • ก่อนทำเทคโนโลยียกกระชับผิว ควรแจ้งประวัติกับแพทย์อย่างละเอียด
    • ก่อนทำเทคโนโลยียกกระชับผิว งดการทาครีมที่มีส่วนผสมของกรดหรือวิตามินเข้มข้น อย่างน้อย 3-5 วัน
    • ก่อนทำเทคโนโลยียกกระชับผิว งดการสครับผิว, แวกซ์, เลเซอร์ หรือหัตถการอื่น 1-2 สัปดาห์
    • ก่อนทำเทคโนโลยียกกระชับผิว งดการรับประทานอาหารเสริมบางประเภท 5-7 วัน
    • ก่อนทำเทคโนโลยียกกระชับผิว หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์และบุหรี่ 24-48 ชั่วโมง
    • ก่อนทำเทคโนโลยียกกระชับผิว หลีกเลี่ยงการแต่งหน้าหรือทาครีมในวันนัดทำ
    • ก่อนทำเทคโนโลยียกกระชับผิว หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้ผิวร้อน เช่น การอบซาวน่า, ออกกำลังกายหนัก, อาบน้ำร้อนจัด

    ขั้นตอนการทำเทคโนโลยียกกระชับผิว แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย

    1. ปรึกษาและประเมินสภาพผิวกับแพทย์ เพื่อเลือกเทคโนโลยีที่ตรงกับสภาพผิว
    2. ถ่ายภาพก่อนทำ เพื่อใช้เปรียบเทียบผลลัพธ์ก่อน-หลังทำ ช่วยให้เห็นความเปลี่ยนแปลงชัดเจนขึ้น และใช้ในการประเมินผลภายหลัง
    3. ล้างหน้าให้สะอาดหมดจด หากแต่งหน้าหรือทาครีมกันแดดมา จะมีเจ้าหน้าที่ช่วยเช็ดทำความสะอาดให้
    4. อาจทายาชาเฉพาะบางโปรแกรม เช่น Morpheus8 ระยะเวลาทายาชา ประมาณ 30-45 นาที
    5. แพทย์ลงหัวเครื่องและทำการยิงพลังงาน โดยยิงพลังงานลงไปที่ชั้นผิวในระดับลึกที่ต้องการ
    6. หลังทำ แพทย์ตรวจสอบสภาพผิวอีกครั้ง ให้คำแนะนำเบื้องต้นสำหรับการดูแลตัวเองหลังทำ
    7. ผู้เข้ารับบริการ สามารถกลับบ้านได้ทันที ไม่ต้องพักฟื้น

     

    การดูแลตัวเองหลังทำเทคโนโลยียกกระชับผิว แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย

    • หลังทำเทคโนโลยียกกระชับผิว ควรนอนอย่างน้อยวันละ 6-8 ชั่วโมง
    • หลังทำเทคโนโลยียกกระชับผิว ควรดื่มน้ำวันละ 6-8 แก้วขึ้นไป
    • หลังทำเทคโนโลยียกกระชับผิว งดการทำหัตถการอื่น ๆ ชั่วคราว
    • หลังทำเทคโนโลยียกกระชับผิว งดดื่มแอลกอฮอล์ 3-5 วันหลังทำ
    • หลังทำเทคโนโลยียกกระชับผิว หลีกเลี่ยงการสัมผัสผิวแรง ๆ ใน 24-48 ชั่วโมงแรก
    • หลังทำเทคโนโลยียกกระชับผิว หลีกเลี่ยงแสงแดดจัด หรือกิจกรรมกลางแจ้ง
    • หลังทำเทคโนโลยียกกระชับผิว หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีเรตินอล, AHA/BHA หรือวิตามินซีเข้มข้น ประมาณ 5-7 วัน
    • หลังทำเทคโนโลยียกกระชับผิว หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ก่อให้เกิดความร้อนสูง เช่น ซาวน่า อบไอน้ำ ออกกำลังกายหนัก อาบน้ำร้อนจัด 
    • หลังทำเทคโนโลยียกกระชับผิว หลีกเลี่ยงการนอนคว่ำหรือนอนตะแคงข้าง
    • หลังทำเทคโนโลยียกกระชับผิว หลีกเลี่ยงการใช้แผ่นแปะร้อน หรือประคบร้อนใด ๆ บริเวณที่ทำ

     

    อายุเท่าไหร่ควรเริ่มทำเทคโนโลยียกกระชับผิว แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย?

    • การเริ่มดูแลผิวด้วยเทคโนโลยียกกระชับผิวสามารถทำได้ตั้งแต่อายุประมาณ 25 ปีขึ้นไป โดยเฉพาะในผู้ที่เริ่มมีสัญญาณของผิวไม่กระชับ เช่น กรอบหน้าไม่ชัด ร่องแก้มเริ่มลึก หรือมีเหนียงเล็กน้อย ซึ่งการเริ่มดูแลตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยชะลอริ้วรอยลึกและป้องกันผิวหย่อนคล้อยในระยะยาว ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

     

    เทคโนโลยียกกระชับผิว แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย ทำครั้งเดียวเห็นผลเลยไหม?

    • เทคโนโลยียกกระชับผิวสามารถช่วยลดความหย่อนคล้อยได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ผลลัพธ์มักไม่ได้เกิดขึ้นทันทีในวันเดียว โดยปกติแล้ว ผิวจะเริ่มกระชับขึ้นอย่างช้า ๆ ภายในช่วงเวลาประมาณ 2–3 เดือน เนื่องจากกระบวนการทำงานของเทคโนโลยีเหล่านี้เป็นการกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนใหม่จากภายใน ซึ่งต้องใช้เวลาพอสมควรในการฟื้นฟูและแสดงผลลัพธ์อย่างดูเป็นธรรมชาติและยั่งยืน

     

    ถ้าหยุดทำเทคโนโลยียกกระชับผิว แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย ผิวจะเหี่ยวเร็วขึ้นไหม?

    • การหยุดทำเทคโนโลยียกกระชับผิว จะไม่ทำให้ผิวเหี่ยวย่นเร็วกว่าปกติ เพียงแค่ผลลัพธ์ของการยกกระชับจะค่อย ๆ จางลงตามธรรมชาติของการเสื่อมสภาพผิวเมื่ออายุเพิ่มขึ้น หากไม่ทำซ้ำก็จะกลับสู่สภาพผิวเดิมตามช่วงวัย ไม่ได้แย่ลงกว่าเดิม

     

    ทำเทคโนโลยียกกระชับผิว แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยแล้ว หน้าจะเล็กลงจริงไหม?

    • เทคโนโลยียกกระชับผิวสามารถช่วยให้ใบหน้าดูเล็กลงได้จริง เนื่องจากช่วยกระชับผิวและสลายไขมันบางส่วนใต้ผิว โดยเฉพาะบริเวณกรอบหน้าและเหนียง ซึ่งจะทำให้รูปหน้าเรียวขึ้นโดยไม่ต้องฉีดสารใด ๆ

     

    ทำเทคโนโลยียกกระชับผิว แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย ทำหลายจุดพร้อมกันได้ไหม?

    • สามารถทำเทคโนโลยียกกระชับผิวหลายบริเวณพร้อมกันได้ เช่น ใบหน้า + ลำคอ หรือ หน้าท้อง + ต้นแขน โดยแพทย์จะประเมินความเหมาะสมของสภาพผิวในแต่ละบริเวณ และจัดวางแผนการทำให้ได้ผลดีในครั้งเดียว ซึ่งช่วยประหยัดเวลา และให้ผลลัพธ์ที่เห็นชัดทั้งภาพรวม

     

    เทคโนโลยียกกระชับผิว แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยเลียนแบบราคาถูก อันตรายไหม?

    • เทคโนโลยีเลียนแบบราคาถูกอาจมีความเสี่ยงสูง เพราะเครื่องเลียนแบบบางรุ่น ไม่ได้ผ่านการรับรองมาตรฐาน อย. และมีพลังงานที่ไม่สม่ำเสมอ ทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ผิวไหม้ รอยบุ๋ม เจ็บลึกโดยไม่จำเป็น หรือผลลัพธ์ไม่ชัดเจน การเลือกทำกับคลินิกที่มีเครื่องแท้และทีมแพทย์ผู้มีประสบการณ์ จึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อผลลัพธ์ที่คุ้มค่า

     

    ปัญหาผิวหย่อนคล้อยและริ้วรอยอาจดูเป็นเรื่องธรรมชาติของวัย แต่ด้วยเทคโนโลยียกกระชับผิวทางการแพทย์ในปัจจุบัน เราสามารถฟื้นฟูและยกกระชับผิวให้กลับมาดูอ่อนเยาว์ แข็งแรง และมีมิติมากขึ้นได้ โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งการผ่าตัดหรือสารเติมเต็มเสมอไป

     

    การเลือกเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับช่วงวัยและสภาพผิว รวมถึงการดูแลตัวเองอย่างถูกวิธีก่อนและหลังทำ ถือเป็นหัวใจสำคัญของการยกกระชับผิวให้เห็นผลลัพธ์ชัดเจนและยั่งยืน

     

    หากคุณกำลังมองหาทางเลือกในการคืนความกระชับ และความมั่นใจให้กับใบหน้าและผิวพรรณ อย่าลังเลที่จะเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์ที่มีประสบการณ์ เพื่อให้ได้แนวทางการดูแลที่ตรงจุดสำหรับคุณ 

    ฮีทสโตรก โรคลมแดด ภัยร้ายหน้าร้อน อันตรายถึงชีวิต

    ฮีทสโตรก โรคลมแดด ภัยร้ายหน้าร้อน อันตรายถึงชีวิต

    ฮีทสโตรก โรคลมแดด ภัยร้ายหน้าร้อน อันตรายถึงชีวิต

    หน้าร้อนมาเยือนแล้ว! ซัมเมอร์นี้อากาศร้อนไม่เกรงใจใคร แดดแรงแบบนี้ต้องระวัง “ฮีทสโตรก” ให้ดี ภัยร้ายช่วงหน้าร้อนที่พร้อมจะเล่นงานเราตลอดเวลา บอกเลยว่าหากไม่รีบป้องกัน และระวัง อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ วันนี้ รมย์รวินท์คลินิก จะพามาให้ความรู้เกี่ยวกับฮีทสโตรก หรือโรคลมแดดว่า คืออะไร? มีสัญญาณเตือนอย่างไร? และมีวิธีป้องกันอะไรบ้าง? เพื่อเตรียมพร้อมดูแลตนเองให้ห่างไกลจากฮีทสโตรก

     

    ฮีทสโตรก โรคลมแดด
    ฮีทสโตรก โรคลมแดด

     

    ฮีทสโตรก โรคลมแดด หน้าร้อนต้องระวัง มีอาการอะไรบ้าง?

    ฮีทสโตรก โรคลมแดด คืออะไร?

    ฮีทสโตรก (Heat Stroke) หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า โรคลมแดด คือ ภาวะฉุกเฉินที่เกิดขึ้นเมื่อร่างกายได้รับความร้อนสูงเกินไป มากกว่า 40 องศาเซลเซียสขึ้นไป จนระบบควบคุมอุณหภูมิภายในร่างกายล้มเหลว หรือไม่สามารถปรับตัวได้ตามปกติ ทำให้เกิดความร้อนสะสมสูงขึ้นเรื่อย ๆ และส่งผลให้ระบบต่าง ๆ ทำงานผิดปกติ ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะหมดสติ ชัก หายใจเร็ว และอันตรายถึงชีวิตได้ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที 

     

    ปัจจัยเสี่ยงในการเกิดฮีทสโตรก โรคลมแดด 

    • สภาพอากาศร้อนจัด

    การอยู่ในสถานที่ที่มีสภาพอากาศร้อนจัด มีอุณหภูมิ และความชื้นสูงเป็นเวลานาน อาจทำให้ร่างกายมีความร้อนสูงขึ้นอย่างกะทันหัน จนส่งผลให้เกิดฮีทสโตรกได้

    • เด็ก และผู้สูงอายุ

    เด็ก และผู้สูงอายุ มีความเสี่ยงที่จะเกิดฮีทสโตรกง่ายกว่าคนทั่ว ๆ ไป เนื่องจากระบบการควบคุมอุณหภูมิภายในร่างกายไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่

    • มีโรคประจำตัว

    ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคปอด โรคไต โรคเบาหวาน หรือโรคความดันโลหิตสูง ก็มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดฮีทสโตรกมากกว่าคนทั่ว ๆ ไปเช่นกัน

    • ร่างกายขาดน้ำ

    การขาดน้ำ หรือดื่มน้ำไม่เพียงพอ ในช่วงที่ร่างกายต้องเผชิญกับความร้อนจัด อาจทำให้ไม่สามารถระบายความร้อนออกมาได้อย่างเต็มที่ จนเสี่ยงต่อการเกิดฮีทสโตรกได้

    • ออกกำลังกายหนักในอากาศร้อน

    การออกกำลังกาย หรือทำกิจกรรมที่ใช้แรงมากในสภาพอากาศที่ร้อนจัด เช่น เล่นฟุตบอล วิ่งมาราธอน ซึ่งอาจทำให้ร่างกายมีความร้อนมากเกินไป จนไม่สามารถระบายออกได้

    • ดื่มแอลกอฮอล์

    การดื่มแอลกอฮอล์ อาจทำให้ร่างกายขาดน้ำ และเกลือแร่ รวมถึง ยังทำให้หัวใจทำงานหนัก และเลือดสูบฉีดเร็ว จนรบกวนการควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดฮีทสโตรกได้

    • ใส่เสื้อผ้ารัดแน่น

    การสวมใส่เสื้อผ้าหนา และรัดแน่นจนเกินไป อาจทำให้ร่างกายไม่สามารถระบายความร้อนออกมาได้มากพอ ซึ่งมีความเสี่ยงในการเกิดฮีทสโตรกได้

     

    สัญญาณเตือนฮีทสโตรก โรคลมแดด มีอาการอย่างไร?

    สัญญาณเตือนของฮีทสโตรก หรือโรคลมแดด เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม หากปล่อยไว้นาน โดยไม่รีบทำการช่วยเหลือ อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ โดยอาการที่พบบ่อย มีดังนี้

    • ตัวร้อนจัด หรืออุณหภูมิในร่างกายสูงกว่า 40 องศาเซลเซียส
    • วิงเวียนศีรษะ หน้ามืด มึนงง
    • สับสน หงุดหงิด ฉุนเฉียวง่าย
    • พูดช้า พูดไม่รู้เรื่อง จำอะไรไม่ค่อยได้
    • หัวใจเต้นเร็ว หายใจหอบ หายใจถี่
    • คลื่นไส้ อาเจียน
    • ผิวหนังแดง ร้อน และแห้ง
    • อ่อนเพลีย หมดแรง เป็นลม
    • กระหายน้ำมาก
    • ในกรณีรุนแรง อาจเกิดอาการชัด หรือหมดสติ

    หากพบว่ามีอาการเหล่านี้เกิดขึ้น ควรทำการช่วยเหลือเบื้องต้นในทันที โดยการเข้าไปอยู่ในที่ร่ม และมีอากาศถ่ายเท รวมถึง พยายามดื่มน้ำให้มาก ๆ จากนั้น รีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลโดยด่วน

     

    รวมวิธีป้องกันฮีทสโตรก โรคลมแดด

    การเกิดฮีทสโตรก หรือโรคลมแดด สามารถป้องกันได้ โดยเฉพาะในช่วงหน้าร้อนที่มีอุณหภูมิสูง ดังนี้

    • ดื่มน้ำให้มากขึ้น

    ในช่วงหน้าร้อน พยายามดื่มน้ำให้มาก ๆ และจิบน้ำบ่อย ๆ อย่างน้อย 6 – 8 แก้วต่อวัน โดยเฉพาะช่วงที่ออกกำลังกาย และทำกิจกรรมกลางแจ้ง เพื่อป้องกันการขาดน้ำ 

    • หลีกเลี่ยงบริเวณที่มีอากาศร้อนจัด

    ในช่วงหน้าร้อน พยายามหลีกเลี่ยงบริเวณกลางแจ้ง หรืออยู่ในสถานที่ที่มีอากาศร้อนจัดเป็นเวลานาน โดยเฉพาะช่วงเวลา 10.00 – 16.00 น. ซึ่งเป็นเวลาที่มีแดดแรง แนะนำให้อยู่ในที่ร่ม และเปิดแอร์แทน

    • ใส่เสื้อผ้าที่ระบายความร้อนได้ดี

    ในช่วงหน้าร้อน แนะนำให้สวมใส่เสื้อผ้าที่สามารถระบายความได้ดี โดยเลือกผ้าที่บางเบา สีอ่อน ไม่หนา และรัดแน่นจนเกินไป เพื่อให้ร่างกายสามารถระเหยเหงื่อได้อย่างเต็มที่

    • ใช้ครีมกันแดดที่มี SPF 15 ขึ้นไป 

    ในช่วงหน้าร้อน แนะนำให้ปกป้องผิวจากแสงแดด โดยการใช้ครีมกันแดดที่มี SPF 15 ขึ้นไป รวมถึง สวมหมวก และกางร่มเมื่อต้องออกไปกลางแจ้ง

    • พักผ่อนให้เพียงพอ

    ในช่วงหน้าร้อน แนะนำให้นอนหลับ และพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายสามารถฟื้นตัว และระบบต่างๆ สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    • ดูแลกลุ่มเสี่ยงเป็นพิเศษ

    ในช่วงหน้าร้อน ควรดูแลกลุ่มเสี่ยงเป็นพิเศษ ได้แก่ ผู้สูงอายุ เด็ก และผู้ที่มีโรคประจำตัว โดยแนะนำให้อยู่ในสถานที่ที่มีอากาศถ่ายเท และดื่มน้ำให้มาก ๆ

    • ไม่ควรปล่อยสัตว์เลี้ยง และเด็กทิ้งไว้ในรถ

    ในช่วงหน้าร้อน ไม่ควรปล่อยสัตว์เลี้ยง และเด็กเล็กทิ้งไว้ในรถที่จอดในสถานที่ที่ร้อนจัด เนื่องจากอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

    • หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์

    ในช่วงหน้าร้อน พยายามหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง เพื่อป้องกันร่างกายสูญเสียน้ำ

    • หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักในที่ร้อนจัด

    ในช่วงหน้าร้อน พยายามหลีกเลี่ยงการออกกำลังกาย หรือทำกิจกรรมหนัก ๆ ในสภาพอากาศที่ร้อนจัด หากต้องการออกกำลังกาย แนะนำให้เลือกเป็นช่วงเช้า หรือช่วงเย็นแทน รวมถึง ดื่มน้ำให้มาก ๆ ระหว่างทำกิจกรรม

    • หมั่นสังเกตอาการผิดปกติ

    ในช่วงหน้าร้อน แนะนำให้หมั่นสังเกตอาการของตนเอง และผู้อื่น หากพบว่ามีอาการตัวร้อน วิงเวียนศีรษะ หน้ามืด คลื่นไส้ อาเจียน หงุดหงิด หรืออ่อนเพลีย ควรรีบลดอุณหภูมิ และพบแพทย์ทันที

     

    ภาวะฮีทสโตรก หรือโรคลมแดด ถือเป็นภัยร้ายอันตรายในช่วงหน้าร้อนที่ไม่ควรมองข้ามอย่างยิ่ง ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อร่างกายมีอุณหภูมิสูงกว่า 40 องศาเซลเซียสขึ้นไป จนทำให้ระบบต่าง ๆ ทำงานผิดปกติ ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะหมดสติ หรือถึงขั้นเสียชีวิตได้ หากไม่รีบทำการรักษาในทันที ดังนั้น การป้องกันไม่ให้เกิดฮีทสโตรก จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก โดยการหลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีสภาพอากาศร้อนจัด และกิจกรรมกลางแจ้ง รวมถึง พยายามดื่มน้ำให้เพียงพอ และสวมใส่เสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะอันตรายในอนาคต

    วิธียกกระชับหน้าที่เหมาะกับแต่ละช่วงวัย อัปเดตเทคนิคใหม่ล่าสุด

    วิธียกกระชับหน้าที่เหมาะกับแต่ละช่วงวัย

    วิธียกกระชับหน้าที่เหมาะกับแต่ละช่วงวัย อัปเดตเทคนิคใหม่ล่าสุด

    เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น คอลลาเจนและอีลาสตินให้ผิวเริ่มลดลง ส่งผลให้ผิวหย่อนคล้อยขาดความกระชับ และเกิดริ้วรอยอย่างเลี่ยงไม่ได้ การยกกระชับหน้าจึงเป็นทางเลือกสำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการคืนความอ่อนเยาว์ และเสริมสร้างความมั่นใจให้กับตัวเอง

     

    แต่รู้หรือไม่ว่าเทคนิคการยกกระชับที่ได้ผลดีนั้นขึ้นอยู่กับช่วงวัย เพราะแต่ละช่วงวัยมีโครงสร้างผิวและระดับความเสื่อมของคอลลาเจนที่แตกต่างกัน ตั้งแต่อายุ 20 ปีที่เริ่มมีความกังวลเรื่องผิวหย่อนคล้อย ไปจนถึงวัย 50 ปีที่ต้องการฟื้นฟูโครงสร้างผิวให้เต่งตึงและกระชับมากขึ้น

     

    ดังนั้นการเลือกเทคนิคยกกระชับหน้าให้เหมาะสมกับช่วงวัย จะช่วยให้เห็นผลลัพธ์ที่ดี ทั้งในแง่ของการปรับรูปหน้า ลดริ้วรอย และฟื้นฟูสภาพผิวอย่างดูเป็นธรรมชาติ ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปรู้จักกับเทคโนโลยียกกระชับหน้าที่เหมาะสมกับแต่ละช่วงวัย พร้อมอัปเดตเทคโนโลยีที่ช่วยให้คุณมีผิวกระชับ เด้งฟู ดูเด็กลงได้โดยไม่ต้องศัลยกรรม

     

    วิธียกกระชับหน้าที่เหมาะกับช่วงวัย
    วิธียกกระชับหน้าที่เหมาะกับช่วงวัย

    วิธียกกระชับหน้าที่เหมาะกับแต่ละช่วงวัย

    วิธียกกระชับหน้าที่เหมาะกับช่วงวัย

    การยกกระชับหน้า เป็นหนึ่งในวิธีที่ช่วยคืนความเต่งตึงให้กับผิวและป้องกันปัญหาความหย่อนคล้อยที่เกิดขึ้นตามอายุ เมื่ออายุมากขึ้นคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิวจะลดลง ส่งผลให้ผิวสูญเสียความยืดหยุ่นและเริ่มมีริ้วรอย ดังนั้น การเลือกเทคนิคการยกกระชับหน้าให้เหมาะสมกับช่วงวัยจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น ผิวดูอ่อนเยาว์และกระชับขึ้นอย่างดูเป็นธรรมชาติ โดยแต่ละช่วงวัยเหมาะกับวิธียกกระชับที่แตกต่างกันออกไป

     

    วัย 20 ปี ดูแลผิวก่อนริ้วรอยมาเยือน

    แม้ว่าผิวในวัยนี้จะยังมีความยืดหยุ่นดีและคอลลาเจนยังผลิตได้อย่างต่อเนื่อง แต่เมื่ออายุเริ่มเข้าสู่ช่วงวัย 20 ปี กระบวนการสร้างคอลลาเจนจะเริ่มช้าลง หากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม อาจส่งผลให้ผิวหย่อนคล้อยเร็วกว่าปกติ การดูแลผิวตั้งแต่ช่วงวัยนี้จะช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัย ซึ่งเทคนิคที่เหมาะสม มีดังนี้

    • Oligio : ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนแบบอ่อนโยน เหมาะสำหรับการป้องกันริ้วรอยก่อนวัย
    • EMFACE : เทคโนโลยีที่ช่วยกระชับกล้ามเนื้อใบหน้าและยกกระชับผิวโดยไม่ต้องใช้เข็ม

     

    วัย 30 ปี เริ่มยกกระชับ ลดเลือนริ้วรอยแรกเริ่ม

    ในช่วงวัย 30 ปี การผลิตคอลลาเจนเริ่มลดลงอย่างชัดเจน ผิวเริ่มไม่กระชับเหมือนเดิมและริ้วรอยแรกเริ่มปรากฏ โดยเฉพาะบริเวณหน้าผาก รอบดวงตา และร่องแก้ม การเลือกเทคนิคยกกระชับที่เหมาะสมจะช่วยฟื้นฟูผิว ลดเลือนริ้วรอย และทำให้ใบหน้าดูสดใสขึ้น ซึ่งเทคนิคที่เหมาะสม มีดังนี้

    • Thermage FLX : กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและช่วยกระชับผิวได้ลึกถึงชั้นหนังแท้
    • Morpheus8 : ผสานพลังงาน RF และ Microneedling ช่วยฟื้นฟูและกระตุ้นคอลลาเจนในชั้นผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    • Ulthera Prime : ยิงพลังงานลงลึกถึงชั้น SMAS เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว

     

    วัย 40 ปี ฟื้นฟูผิว ลดริ้วรอยลึก

    เมื่ออายุเข้าสู่ช่วงวัย 40 ปี คอลลาเจนจะลดลงอย่างมาก ผิวบางลงและเริ่มสูญเสียความยืดหยุ่น ริ้วรอยลึกขึ้น ผิวหย่อนคล้อยบริเวณแก้มและแนวกรามเริ่มเห็นได้ชัดเจนขึ้น โครงหน้าดูเปลี่ยนแปลงไป การยกกระชับหน้าด้วยเทคโนโลยีที่สามารถฟื้นฟูผิวได้ลึก จะช่วยให้ผิวดูเต่งตึงขึ้นและคืนความอ่อนเยาว์ ซึ่งเทคนิคที่เหมาะสม มีดังนี้

    • Ultherapy Prime : ยิงพลังงานลงลึกถึงชั้น SMAS เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและช่วยยกกระชับผิว
    • Thermage FLX : ช่วยฟื้นฟูโครงสร้างผิว กระชับแก้มและเหนียง
    • Morpheus8 : กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและลดริ้วรอยอย่างมีประสิทธิภาพ
    • EMFACE : ช่วยกระชับกล้ามเนื้อใบหน้า ลดความหย่อนคล้อยบริเวณหน้าผากและร่องแก้ม

     

    วัย 50 ปี ฟื้นฟูโครงสร้างผิว คืนความอ่อนเยาว์

    ในวัย 50 ปี คอลลาเจนและอีลาสตินในผิวลดลงไปมาก ทำให้เกิดปัญหาหนังตาตก แก้มห้อย ใบหน้าดูเหนื่อยล้า และโครงหน้าเริ่มเปลี่ยนแปลง การเลือกเทคนิคที่สามารถฟื้นฟูโครงสร้างผิวได้ลึก จะช่วยยกกระชับและคืนความเต่งตึงให้กับใบหน้า ซึ่งเทคนิคที่เหมาะสม มีดังนี้

    • Ultherapy Prime: ฟื้นฟูโครงสร้างผิวและกระชับผิวที่หย่อนคล้อย
    • Thermage FLX : ช่วยลดความหย่อนคล้อยบริเวณแก้ม คาง และลำคอ

     

    เปรียบเทียบเทคโนโลยียกกระชับหน้ายอดนิยม
    เปรียบเทียบเทคโนโลยียกกระชับหน้ายอดนิยม

     

    เปรียบเทียบเทคโนโลยียกกระชับหน้ายอดนิยม

    • ยกกระชับหน้า Ulthera Prime

    Ulthera Prime ใช้พลังงานอัลตราซาวนด์แบบเฉพาะเจาะจง ลงไปกระตุ้นคอลลาเจนในผิว ยกกระชับและลดความหย่อนคล้อยถึงชั้น SMAS เทคโนโลยีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุ 30-50 ปี ที่เริ่มมีปัญหาผิวหย่อนคล้อย เนื่องจากให้ผลลัพธ์ที่ใกล้เคียงกับการศัลยกรรมดึงหน้า สามารถอยู่ได้นาน 2 ปี

    • ยกกระชับ Thermage FLX

    Thermage FLX ใช้พลังงานคลื่นวิทยุ (RF) ส่งพลังงานความร้อนลงลึกถึงชั้นหนังแท้เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวตึงกระชับขึ้น เทคโนโลยีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุ 30-40 ปี ที่เริ่มมีปัญหาผิวย่อนคล้อย โดยเฉพาะบริเวณกรอบหน้า แก้ม และลำคอ สามารถให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน 1-3 เดือน และอยู่ได้นานถึง 1-2 ปี

    Morpheus8 เป็นการผสานระหว่างพลังงานคลื่นวิทยุ (RF) และ Microneedling โดยใช้เข็มขนาดเล็กเจาะเข้าสู่ชั้นผิวเพื่อปล่อยพลังงาน RF กระตุ้นคอลลาเจนและฟื้นฟูผิว เทคโนโลยีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุ 30-40 ปี ที่ต้องการลดเลือนริ้วรอยและยกกระชับผิวไปพร้อมกับการกระชับรูขุมขน Morpheus8 ช่วยให้ผิวแน่นขึ้น ลดริ้วรอย และช่วยให้ผิวเรียบเนียนมากขึ้น

    • ยกกระชับ Oligio

    Oligio เป็นเทคโนโลยีที่ใช้พลังงานคลื่นวิทยุ (Momopolar RF) เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและช่วยให้ผิวเต่งตึง เทคโนโลยีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุ 20 ปี ที่ต้องการป้องกันการสูญเสียคอลลาเจนและลดโอกาสเกิดริ้วรอยก่อนวัย

    • ยกกระชับ EMFACE

    EMFACE เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ใช้การกระตุ้นกล้ามเนื้อใบหน้าผ่านคลื่นไฟฟ้า HIFES ร่วมกับการใช้พลังงาน RF เพื่อช่วยยกกระชับผิวโดยไม่ต้องใช้เข็ม เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุ 30-40 ปี ที่ต้องการปรับรูปหน้าให้กระชับขึ้นโดยเน้นการกระชับกล้ามเนื้อใบหน้า ผลลัพธ์ของ EMFACE จะค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นภายใน 3-4 สัปดาห์หลังทำ และอยู่ได้นาน 6-12 เดือน

     

    ทำไมต้องเลือกการยกกระชับหน้าให้เหมาะกับช่วงวัย?

    การยกกระชับหน้าไม่ใช่แค่เรื่องของความสวยงาม แต่เป็นกระบวนการฟื้นฟูและดูแลผิวให้เหมาะสมกับอายุที่เพิ่มขึ้น การเลือกเทคนิคที่เหมาะสมกับช่วงวัยช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น คงความอ่อนเยาว์ได้นาน และลดโอกาสเกิดริ้วรอยลึกที่ยากต่อการแก้ไข ทั้งนี้เหตุผลที่ต้องเลือกยกกระชับใบหน้าให้เหมาะสมกับช่วงวัย มีดังนี้

     

    โครงสร้างผิวเปลี่ยนแปลงตามอายุ ต้องดูแลให้เหมาะสม

    เมื่ออายุเพิ่มขึ้น คอลลาเจนและอีลาสตินที่ช่วยให้ผิวเต่งตึงจะลดลง ส่งผลให้ผิวขาดความกระชับและเกิดริ้วรอย

    • ในช่วงวัย 20 ปี – ผิวยังมีความยืดหยุ่นดี แต่เริ่มมีสัญญาณของคอลลาเจนที่ลดลง หากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม อาจส่งผลให้ผิวหย่อนคล้อยเร็วกว่าปกติ
    • เมื่อเข้าสู่วัย 30 ปี – การผลิตคอลลาเจนลดลงอย่างเห็นได้ชัด ผิวเริ่มไม่กระชับเท่าเดิม และเริ่มมีริ้วรอยบริเวณหน้าผาก รอบดวงตา และร่องแก้ม
    • ในวัย 40 ปี – ผิวบางลงและเริ่มขาดความยืดหยุ่น ริ้วรอยลึกขึ้น และแก้มเริ่มตก กรอบหน้าไม่ชัดเจนเหมือนเดิม
    • สำหรับวัย 50 ปี – ปัญหาผิวหย่อนคล้อยจะเห็นได้ชัดขึ้น หนังตาตก แก้มห้อย ใบหน้าดูเหนื่อยล้า และโครงหน้าเริ่มเปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจน

    เลือกเทคนิคที่เหมาะสมช่วยให้เห็นผลลัพธ์ชัดเจนและดูเป็นธรรมชาติ

    เทคนิคยกกระชับหน้าแต่ละประเภทมีหลักการทำงานที่แตกต่างกันออกไป การเลือกใช้เทคนิคที่เหมาะสมกับช่วงวัยจะช่วยให้ผิวได้รับการกระตุ้นคอลลาเจนอย่างมีประสิทธิภาพและตรงจุดอย่างแม่นยำ

    • ในช่วงวัย 20 ปี อาจใช้การดูแลผิวด้วยเทคนิคของ Oligio และ EMFACE เพื่อกระตุ้นคอลลาเจนและรักษาความยืดหยุ่น
    • เมื่ออายุ 30 ปี เริ่มมีปัญหาผิวไม่กระชับ สามารถเลือก Ulthera Prime, Thermage FLX หรือ Morpheus8 เพื่อช่วยยกกระชับและลดเลือนริ้วรอยแรกเริ่ม
    • สำหรับวัย 40 ปี ผิวเริ่มหย่อนคล้อยอย่างเห็นได้ชัด การเลือกใช้ Ulthera Prime, Thermage FLX, Morpheus8 หรือ EMFACE จะช่วยฟื้นฟูผิวให้เต่งตึงและดูอ่อนเยาว์
    • เมื่อเข้าสู่ช่วงวัย 50 ปี ปัญหาผิวหย่อนคล้อยรุนแรงขึ้น ควรใช้เทคนิคที่สามารถฟื้นฟูโครงสร้างผิวได้ลึกขึ้น เช่น Ulthera Prime หรือ Thermage FLX อาจทำร่วมกับหัตถการอื่น เพื่อคืนความกระชับให้กับใบหน้า

    การดูแลผิวตั้งแต่แรก ป้องกันปัญหาผิวหย่อนคล้อยก่อนเกิดขึ้น

    การเริ่มดูแลผิวตั้งแต่วัย 20-30 ปี ด้วยเทคนิคที่เหมาะสม จะช่วยชะลอการเสื่อมของคอลลาเจน และลดความจำเป็นในการใช้เทคนิคที่รุนแรงขึ้นในอนาคต ขณะที่ในวัย 40-50 ปี เทคนิคที่สามารถกระตุ้นคอลลาเจนลึกถึงชั้นโครงสร้างผิวจะช่วยคืนความกระชับ ลดริ้วรอย และช่วยให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ได้อย่างดูเป็นธรรมชาติ

    ลดความเสี่ยงจากการทำหัตถการที่ไม่เหมาะสม

    การใช้เทคนิคที่ไม่เหมาะสมกับในช่วงวัย อาจส่งผลให้ผิวบางลงหรือเกิดการระคายเคืองได้ ดังนั้น การเลือกเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับโครงสร้างผิวและปัญหาผิวแต่ละช่วงวัยจะช่วยให้ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติและไม่อันตรายมากขึ้น

     

    การยกกระชับหน้า ช่วยแก้ปัญหาผิวอะไรบ้าง?

    • การยกกระชับหน้า ช่วยยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อยให้เต่งตึงขึ้น
    • การยกกระชับหน้า ฟื้นฟูโครงสร้างผิวให้แข็งแรง
    • การยกกระชับหน้า ปรับผิวหน้าให้ดูสดใส อ่อนเยาว์
    • การยกกระชับหน้า ลดริ้วรอยบริเวณ หน้าผาก หางตา ร่องแก้ม และรอบปาก
    • การยกกระชับหน้า กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในระยะยาว
    • การยกกระชับหน้า ปรับโครงหน้าให้ดูเรียวขึ้น
    • การยกกระชับหน้า ลดไขมันสะสมที่แก้มและเหนียง
    • การยกกระชับหน้า ลดไขมันใต้คาง และยกกระชับผิวบริเวณเหนียง
    • การยกกระชับหน้า ช่วยให้ลำคอและเนินอกดูตึงขึ้น
    • การยกกระชับหน้า ปรับสมดุลผิวให้เรียบเนียน
    • การยกกระชับหน้า รูขุมขนกระชับขึ้น ทำให้ผิวดูเรียบเนียน
    • การยกกระชับหน้า ลดความมันบนใบหน้า และป้องกันการเกิดสิว
    • การยกกระชับหน้า กระตุ้นการไหลเวียนเลือดใต้ผิว ทำให้ผิวดูสดใสขึ้น
    • การยกกระชับหน้า ฟื้นฟูผิวให้ดูสุขภาพดีขึ้น
    • การยกกระชับหน้า ปรับสมดุลของกล้ามเนื้อใบหน้า

     

    ใครบ้างที่เหมาะกับการยกกระชับหน้า?
    ใครบ้างที่เหมาะกับการยกกระชับหน้า?

    วิธียกกระชับหน้าที่เหมาะกับแต่ละช่วงวัย

    ใครบ้างที่เหมาะกับการยกกระชับหน้า?

    • การยกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย กรอบหน้าไม่ชัด
    • การยกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเหนียงเพิ่มขึ้น ทำให้ใบหน้าดูไม่กระชับ
    • การยกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาหนังตาตก หางตาตก ทำให้ใบหน้าดูอ่อนล้า
    • การยกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยหรือความหย่อนคล้อยบริเวณแก้มและคาง
    • การยกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวบางลงและสูญเสียความยืดหยุ่น
    • การยกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่มีไลฟ์สไตล์ที่ต้องเผชิญแสงแดดหรือมลภาวะบ่อย 
    • การยกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ผิวหน้าเริ่มมีรอยย่นบริเวณหน้าผาก รอบดวงตา หรือร่องแก้ม
    • การยกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหารูขุมขนกว้าง ผิวไม่เรียบเนียน ดูโทรมและไม่สดใส
    • การยกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่มีน้ำหนักลดลงมากและมีผิวย้วย
    • การยกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาความหย่อนคล้อยบริเวณเหนียงและลำคอ
    • การยกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาใบหน้าดูอิดโรย เหนื่อยล้า 
    • การยกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาหนังตาตก มุมปากตก ทำให้ดูเศร้าหรือแก่ขึ้น
    • การยกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหามีปัญหาร่องแก้มลึก ทำให้หน้าดูแก่กว่าวัย
    • การยกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการป้องกันริ้วรอยและความหย่อนคล้อยก่อนวัย
    • การยกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเสริมสร้างคอลลาเจนให้ผิวแข็งแรง
    • การยกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการให้กรอบหน้าชัดขึ้น 
    • การยกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปรับโครงหน้าหรือทำให้หน้าดู V-Shape โดยไม่ต้องศัลยกรรม
    • การยกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับใบหน้าโดยไม่ต้องใช้สารเติมเต็ม
    • การยกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการใบหน้าดูกระชับขึ้นโดยไม่ต้องพักฟื้น
    • การยกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการเจ็บตัวจากการศัลยกรรมดึงหน้า

     

    หมายเหตุ:

    ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเลือกวิธีการยกกระชับ เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพผิวและความต้องการของแต่ละบุคคล

     

    ใครไม่เหมาะกับการยกกระชับหน้าบ้าง?

    • การยกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
    • การยกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปี
    • การยกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคหัวใจ หรือมีเครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemaker)
    • การยกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคลมชัก หรือมีภาวะเกี่ยวกับระบบประสาท
    • การยกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีโรคแพ้ภูมิตัวเอง (Autoimmune Disease) เช่น SLE หรือโรคหนังแข็ง
    • การยกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีสิวอักเสบรุนแรง แผลเป็นที่ยังไม่หาย หรือโรคผิวหนังอักเสบ
    • การยกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีแผลเปิด หรือแผลเป็นที่ยังอยู่ในช่วงฟื้นตัว
    • การยกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวบางจากการใช้ยากลุ่มสเตียรอยด์ หรือมีภาวะผิวบางผิดปกติ
    • การยกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายจนเกิดรอยแดงหรือบวมง่าย
    • การยกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะไขมันบนใบหน้าต่ำเกินไป
    • การยกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่เปลี่ยนแปลงชัดเจนในทันที
    • การยกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่คาดหวังผลลัพธ์เหมือนการศัลยกรรมดึงหน้า
    • การยกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีการฉีดสารเติมเต็มบริเวณใบหน้ามาก่อน
    • การยกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เพิ่งผ่านการทำศัลยกรรมใบหน้า หรือหัตถการที่ต้องพักฟื้น
    • การยกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีประวัติเป็น มะเร็งผิวหนัง หรือมีเนื้องอกที่ใบหน้า
    • การยกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เคยเข้ารับการรักษามะเร็งด้วย เคมีบำบัดหรือรังสีบำบัด
    • การยกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวานและมีภาวะการสมานแผลช้า
    • การยกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคผิวหนังที่เกี่ยวกับการสร้างคอลลาเจนผิดปกติ เช่น โรคหนังแข็ง (Scleroderma)
    • การยกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis) หรือโรคด่างขาว (Vitiligo)
    • การยกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะผิวไวต่อแสง หรือผิวไหม้แดดรุนแรง
    • การยกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีโรคเกี่ยวกับภาวะเลือดออกง่าย หรือการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ

     

    คำแนะนำ:
    เพื่อผลลัพธ์ที่เหมาะสมที่สุด ควรเข้ารับการประเมินจากแพทย์ประจำคลินิกก่อนทำการรักษาทุกครั้ง

     

    รวมข้อดีของการยกกระชับหน้า
    รวมข้อดีของการยกกระชับหน้า

    วิธียกกระชับหน้าที่เหมาะกับแต่ละช่วงวัย

    รวมข้อดีของการยกกระชับหน้า

    • การยกกระชับหน้า ช่วยให้ผิวเต่งตึง กระชับขึ้น
    • การยกกระชับหน้า ลดริ้วรอยและความหย่อนคล้อยของผิว
    • การยกกระชับหน้า ยกกระชับปรับรูปหน้าให้ได้สัดส่วน กรอบหน้าชัดขึ้น
    • การยกกระชับหน้า เห็นผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ ไม่แข็งตึงเกินไป
    • การยกกระชับหน้า ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น
    • การยกกระชับหน้า ช่วยกระตุ้นคอลลาเจนในระยะยาว
    • การยกกระชับหน้า ช่วยให้ผิวเรียบเนียน กระชับรูขุมขน
    • การยกกระชับหน้า ช่วยแก้ปัญหาผิวหน้าโทรม ดูเหนื่อยล้า
    • การยกกระชับหน้า แก้ปัญหามุมปากตก และช่วยให้ใบหน้าดูสดใสขึ้น
    • การยกกระชับหน้า ลดไขมันสะสมบริเวณใบหน้า
    • การยกกระชับหน้า ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับตัวเอง
    • การยกกระชับหน้า ช่วยชะลอวัย และลดความจำเป็นในการทำศัลยกรรมดึงหน้า
    • การยกกระชับหน้า ฟื้นฟูผิวจากภายใน ช่วยให้ผิวแข็งแรงขึ้น
    • การยกกระชับหน้า สามารถทำได้หลายส่วนของร่างกาย
    • การยกกระชับหน้า ไม่อันตรายและได้รับการรับรองระดับสากล
    • การยกกระชับหน้า เหมาะกับทุกช่วงวัย ทุกสภาพผิว
    • การยกกระชับหน้า สามารถทำซ้ำได้โดยไม่มีผลข้างเคียงรุนแรง

     

    ข้อจำกัดของการยกกระชับหน้าที่จำเป็นต้องรู้

    • การยกกระชับหน้า ไม่สามารถให้ผลลัพธ์ที่เทียบเท่ากับการศัลยกรรมดึงหน้า
    • การยกกระชับหน้า ต้องใช้ระยะเวลาในการเห็นผล ไม่ได้เปลี่ยนแปลงทันที
    • การยกกระชับหน้า ผลลัพธ์อยู่ได้ชั่วคราว ไม่ถาวร
    • การยกกระชับหน้า อาจไม่สามารถลดริ้วรอยลึกได้ทั้งหมด
    • การยกกระชับหน้า บางเทคโนโลยีอาจทำให้รู้สึกเจ็บเล็กน้อยขณะทำ
    • การยกกระชับหน้า อาจมีผลข้างเคียงเล็กน้อยหลังทำ
    • การยกกระชับหน้า อาจส่งผลต่อสารเติมเต็ม หรือการร้อยไหมที่เคยทำมาก่อน
    • การยกกระชับหน้า มีข้อจำกัดสำหรับบางกลุ่มที่มีโรคประจำตัว

     

    การเตรียมตัวก่อนทำยกกระชับหน้า
    การเตรียมตัวก่อนทำยกกระชับหน้า

     

    การเตรียมตัวก่อนทำยกกระชับหน้า

    • ก่อนทำยกกระชับหน้า ควรเลือกคลินิกหรือสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐาน และให้แพทย์ประเมินสภาพผิว
    • ก่อนทำยกกระชับหน้า ควรแจ้งแพทย์เกี่ยวกับ ประวัติสุขภาพ โรคประจำตัว หรือยาที่กำลังรับประทาน
    • ก่อนทำยกกระชับหน้า ควรดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อให้ผิวชุ่มชื้น
    • ก่อนทำยกกระชับหน้า ควรใช้มอยส์เจอไรเซอร์บำรุงผิวเป็นประจำ
    • ก่อนทำยกกระชับหน้า ควรพักผ่อนให้เพียงพอ และเตรียมตัวให้พร้อม
    • ก่อนทำยกกระชับหน้า หลีกเลี่ยงยาแอสไพริน, ไอบูโพรเฟน, วิตามินอี อย่างน้อย 1 สัปดาห์
    • ก่อนทำยกกระชับหน้า หลีกเลี่ยงอาหารเสริมบางชนิด อย่างน้อย 1 สัปดาห์
    • ก่อนทำยกกระชับหน้า หลีกเลี่ยงการขัดหน้า สครับผิว หรือใช้สกินแคร์ที่มีส่วนผสมของกรด
    • ก่อนทำยกกระชับหน้า หลีกเลี่ยงการโดนแดดจัด หรือทำให้ผิวไหม้แดด อย่างน้อย 1 สัปดาห์
    • ก่อนทำยกกระชับหน้า งดดื่มแอลกอฮอล์ และงดสูบบุหรี่ อย่างน้อย 24-48 ชั่วโมง
    • ก่อนทำยกกระชับหน้า งดการทำหัตถการอื่น ๆ ที่อาจรบกวนผิว อย่างน้อย 2-4 สัปดาห์
    • ก่อนทำยกกระชับหน้า งดแต่งหน้าในวันเข้ารับการรักษา

     

    การดูแลตัวเองหลังทำยกกระชับหน้า

    • หลังทำยกกระชับหน้า ควรทาครีมกันแดด SPF 50  PA+++ เป็นประจำ
    • หลังทำยกกระชับหน้า ควรใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่ให้ความชุ่มชื้นสูง เช่น Hyaluronic Acid, Ceramide
    • หลังทำยกกระชับหน้า ควรดื่มน้ำอย่างน้อย 8-10 แก้วต่อวัน เพื่อช่วยให้ผิวมีความชุ่มชื้น
    • หลังทำยกกระชับหน้า งดขัดหน้า หรือใช้สครับ ในช่วง 1 สัปดาห์
    • หลังทำยกกระชับหน้า งดกด นวด หรือถูใบหน้าแรง ๆ
    • หลังทำยกกระชับหน้า งดใช้เครื่องสำอางหนัก ๆ ใน 24 ชั่วโมงแรก
    • หลังทำยกกระชับหน้า งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์
    • หลังทำยกกระชับหน้า หลีกเลี่ยงซาวน่า, อบไอน้ำ, อาบน้ำอุ่นจัด และการออกกำลังกายหนัก
    • หลังทำยกกระชับหน้า หลีกเลี่ยงการโดนแดดโดยตรงอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์
    • หลังทำยกกระชับหน้า หลีกเลี่ยงสกินแคร์ที่มีส่วนผสมของ AHA, BHA, Retinol ในช่วง 3-7 วันแรก
    • หลังทำยกกระชับหน้า หลีกเลี่ยงการทำหัตถการอื่น ๆ ที่รบกวนผิวในช่วง 1-2 สัปดาห์

    วิธียกกระชับหน้าที่เหมาะกับแต่ละช่วงวัย

    การยกกระชับหน้าอยู่ได้นานแค่ไหน?

    • ผลลัพธ์ของการยกกระชับหน้าจะขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีที่ใช้ โดย Thermage FLX และ Ulthera อยู่ได้นาน 1-2 ปี, ส่วน Oligio และ EMFACE อยู่ได้นาน 6-12 เดือน อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์จะคงอยู่ได้นานขึ้นหากมีการดูแลผิวอย่างเหมาะสม

     

    ยกกระชับหน้าทำแล้วเจ็บไหม?

    • ระดับความรู้สึกเจ็บของการยกกระชับหน้าขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีที่ใช้ เช่น Ultherapy อาจทำให้รู้สึกจี๊ด ๆ หรืออุ่นใต้ผิว ส่วน Thermage อาจมีความรู้สึกร้อนเล็กน้อย แต่โดยทั่วไปสามารถทนได้ หรือแพทย์อาจใช้ยาชาเฉพาะที่เพื่อลดความไม่สบายขณะทำ

     

    การยกกระชับหน้าช่วยลดริ้วรอยรอบดวงตาได้ไหม?

    • สามารถช่วยลดริ้วรอยรอบดวงตาได้ โดยเฉพาะเทคโนโลยีที่ออกแบบมาเพื่อดูแลผิวบริเวณนี้โดยเฉพาะ เช่น Ultherapy, Thermage FLX และ Morpheus8 ซึ่งช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวรอบดวงตาดูกระชับขึ้น และลดริ้วรอยเล็ก ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

     

    ต้องทำยกกระชับหน้ากี่ครั้งถึงจะเห็นผล?

    • การยกกระชับหน้ามักเห็นผลตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ แต่จะค่อยๆ ดีขึ้นภายใน 1-3 เดือน เนื่องจากเป็นการกระตุ้นคอลลาเจนในชั้นผิว โดยส่วนใหญ่ Ultherapy และ Thermage สามารถทำปีละครั้ง เพื่อคงผลลัพธ์ให้นานขึ้น

     

    การยกกระชับหน้าสามารถทำเองที่บ้านได้ไหม?

    • ปัจจุบันมีเครื่องยกกระชับหน้าแบบพกพาสำหรับใช้ที่บ้าน แต่ประสิทธิภาพต่ำกว่าการทำในคลินิก เพราะพลังงานไม่สามารถลงลึกถึงชั้นผิวได้เท่ากับเครื่องมือทางการแพทย์ ดังนั้นหากต้องการผลลัพธ์ที่ชัดเจนและยาวนาน แนะนำให้ทำกับแพทย์ประจำคลินิกเท่านั้น

     

    ยกกระชับหน้ากับโปรแกรมฉีดโบหรือโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์แตกต่างกันอย่างไร?

    • การยกกระชับหน้าช่วยกระตุ้นคอลลาเจนและยกผิวให้กระชับขึ้น โดยไม่ต้องฉีดสารเติมเต็มเข้าไปในผิว ส่วนโปรแกรมฉีดโบช่วยลดริ้วรอยจากการแสดงสีหน้า โดยทำให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย ขณะที่ฉีดฟิลเลอร์ ใช้เติมเต็มร่องลึกให้ผิวดูอิ่มขึ้น ซึ่งทั้งหมดสามารถใช้ร่วมกันเพื่อให้ผลลัพธ์ที่สมบูรณ์แบบมากขึ้น

     

    ถ้าหยุดทำยกกระชับหน้า ผิวจะแย่ลงกว่าเดิมไหม?

    • การหยุดทำยกกระชับหน้า จะไม่ทำให้ผิวแย่ลงกว่าเดิม แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผิวจะกลับสู่สภาพที่เป็นไปตามวัย เพราะการผลิตคอลลาเจนตามธรรมชาติลดลงตามอายุ อย่างไรก็ตาม หากดูแลผิวดี ผลลัพธ์ของการยกกระชับก็จะอยู่ได้นานขึ้น

     

    การเลือก วิธียกกระชับหน้าให้เหมาะสมกับแต่ละช่วงวัย เป็นกุญแจสำคัญในการคงความอ่อนเยาว์และฟื้นฟูสุขภาพผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในช่วงวัย 20 ปี การดูแลควรเน้นไปที่การป้องกันและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ส่วนวัย 30ปี จะเริ่มมีสัญญาณของริ้วรอยและความหย่อนคล้อยเล็กน้อย ควรเลือกเทคนิคที่ช่วยเสริมสร้างความยืดหยุ่นของผิว ขณะที่วัย 40 ปี ต้องอาศัยการฟื้นฟูในระดับลึกเพื่อคืนความกระชับ และวัย 50 ปี อาจต้องใช้เทคโนโลยีที่ช่วยปรับโครงสร้างผิวเพื่อคืนความอ่อนเยาว์อย่างเต็มที่

     

    เทคโนโลยีความงามที่ก้าวล้ำในปัจจุบัน เช่น Thermage FLX, Ulthera, Morpheus8, Oligio และ EMFACE ได้รับการพัฒนาให้สามารถยกกระชับผิวหน้าได้แบบไม่อันตราย โดยไม่ต้องผ่าตัด ช่วยฟื้นฟูคอลลาเจน ลดริ้วรอย และปรับรูปหน้าให้ดูเรียวกระชับอย่างดูเป็นธรรมชาติ ทั้งนี้ผลลัพธ์หลังทำขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับสภาพผิว โครงสร้างใบหน้า และการดูแลหลังทำหัตถการ

     

    ก่อนเลือกทำหัตถการยกกระชับ ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านผิวพรรณ เพื่อประเมินสภาพผิวและเลือกเทคนิคที่เหมาะสมกับความต้องการของคุณ เพราะการดูแลผิวอย่างเหมาะสม ควบคู่ไปกับการเลือกใช้เทคโนโลยีที่ถูกต้อง จะช่วยให้คุณคงความอ่อนเยาว์ได้อย่างยาวนาน และเผยผิวที่กระชับ เต่งตึง ดูสุขภาพดีได้ในทุกช่วงวัย

    Ultherapy Prime เทคโนโลยียกกระชับที่โดดเด่นที่สุด

    Ultherapy Prime เทคโนโลยียกกระชับ

    10 เหตุผลที่ทำให้ Ultherapy Prime เทคโนโลยียกกระชับที่โดดเด่นที่สุด

    ในปี 2025 คือยุคที่การดูแลผิวพัฒนาไปไกลกว่าการทาครีมบำรุงหรือการทำหัตถการแบบเดิม ๆ ผู้คนเริ่มมองหาวิธีฟื้นฟูผิวหน้าที่ให้ผลลัพธ์ชัดเจน ไม่เสี่ยงอันตราย และไม่รบกวนชีวิตประจำวัน หนึ่งในเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ความต้องการนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบคือเทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime เทคโนโลยียกกระชับผิวที่ถูกยกให้เป็นตัวท็อปแห่งวงการความงามในปีนี้

     

    เทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime ได้รับการพัฒนาให้ก้าวล้ำยิ่งกว่ารุ่นก่อน ๆ ด้วยเทคโนโลยีอัลตราซาวนด์ความแม่นยำสูงที่ลงลึกถึงชั้น SMAS แบบไม่ต้องผ่าตัด เสริมด้วยหน้าจอ Visualization แบบเรียลไทม์ที่ช่วยให้แพทย์เห็นชั้นผิวชัดเจนก่อนยิงพลังงานทุกครั้ง ผลลัพธ์คือผิวที่ยกกระชับขึ้นอย่างดูเป็นธรรมชาติ เห็นผลเร็ว และอยู่ได้นาน โดยไม่ต้องหยุดพักฟื้น

     

    ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปทำความรู้จักกับ 10 เหตุผลสำคัญ ที่ทำให้เทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime กลายเป็นทางเลือกอันดับต้น ๆ สำหรับผู้ที่ต้องการดูแลผิวแบบมืออาชีพ พร้อมคำตอบว่าทำไมเทคโนโลยีนี้จึงควรค่าแก่การลงทุนในปี 2025

     

    รวมจุดเด่นของ Ultherapy Prime เทคโนโลยียกกระชับ
    รวมจุดเด่นของ Ultherapy Prime เทคโนโลยียกกระชับ

     

    รวมจุดเด่นของ Ultherapy Prime เทคโนโลยียกกระชับแห่งปี 2025

    DeepSEE™ Technology การรักษาตรงจุดยิ่งขึ้น

    เทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime มาพร้อมกับเทคโนโลยี DeepSEE™ ที่เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะ ด้วยหน้าจอขนาดใหญ่ถึง 35% ช่วยให้แพทย์สามารถมองเห็นชั้นผิวได้ชัดเจนมากขึ้นในแบบเรียลไทม์ด้วยระบบ Visualization แพทย์จะสามารถประเมินความลึกของชั้นผิว และเห็นโครงสร้างผิวจริงก่อนยิงพลังงานแต่ละครั้ง ทำให้สามารถปรับค่าพลังงานได้อย่างเหมาะสมในแต่ละจุด 

     

    เทคโนโลยี MFU-V ส่งพลังงานได้ลึกและแม่นยำกว่าเดิม

    หัวใจสำคัญของเทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime อยู่ที่เทคโนโลยี Micro-focused Ultrasound with Visualization (MFU-V) ที่สามารถยิงพลังงานเสียงแบบเฉพาะจุดลงสู่ชั้นผิวลึกในระดับ SMAS ซึ่งเป็นชั้นที่แพทย์ศัลยกรรมใช้ในการผ่าตัดดึงหน้า การยิงพลังงานลงสู่ชั้น SMAS จะช่วยกระตุ้นให้เกิดกระบวนการซ่อมแซมผิวตามธรรมชาติ โดยสร้างคอลลาเจนใหม่ขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผิวค่อย ๆ กระชับแน่นขึ้นโดยไม่ต้องผ่าตัดหรือพักฟื้นนาน ซึ่งความแม่นยำในการลงพลังงาน ทำให้มั่นใจได้ว่าการรักษาจะได้ผลดี ไม่เกิดการกระจายพลังงานผิดตำแหน่ง หรือทำร้ายชั้นผิวอื่น

     

    หัวยิงหลากหลาย ปรับความลึกได้ตามชั้นผิว

    หนึ่งในจุดเด่นที่ทำให้เทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime แตกต่างจากเทคโนโลยียกกระชับผิวทั่วไป คือความสามารถในการเลือกใช้หัวยิงได้หลากหลายระดับความลึก โดยออกแบบมาให้สอดคล้องกับโครงสร้างผิวที่แตกต่างกันในแต่ละบริเวณของใบหน้าและลำคอ ช่วยให้แพทย์สามารถวางแผนการรักษาได้อย่างเฉพาะเจาะจงและแม่นยำยิ่งขึ้น

    • 1.5 mm — เหมาะสำหรับผิวชั้นตื่น เช่น บริเวณรอบดวงตา ใต้ตา และหน้าผาก ที่ต้องการความอ่อนโยนและความแม่นยำสูง
    • 3.0 mm — เหมาะสำหรับชั้นผิวระดับกลาง เช่น แก้มและแนวกราม ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและปรับผิวให้กระชับเรียบเนียน
    • 4.5 mm — ยิงพลังงานลึกถึงชั้น SMAS (Superficial Musculoaponeurotic System) ซึ่งเป็นชั้นเป้าหมายเดียวกับที่ศัลยแพทย์ใช้ในการดึงหน้า ให้ผลลัพธ์การยกกระชับที่ลึก และชัดเจน

    การเลือกใช้หัวยิงที่มีระดับความลึกต่างกันนี้ ช่วยให้แพทย์สามารถออกแบบโปรแกรมรักษาแบบรายบุคคลได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ลดความเสี่ยงในการลงพลังงานผิดชั้นผิว และช่วยให้ผลลัพธ์ของการยกกระชับมีความแม่นยำ และดูเป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น

    นอกจากนี้หัวยิงแต่ละหัวของ Ultherapy Prime ยังได้รับการพัฒนาให้ปล่อยพลังงานสม่ำเสมอ ช่วยให้ผู้เข้ารับบริการรู้สึกสบายตัวมากขึ้นในระหว่างหัตถการ และฟื้นตัวได้เร็วโดยไม่ต้องพักฟื้นนาน

     

    ลดความรู้สึกไม่สบายระหว่างทำ และฟื้นตัวได้เร็ว

    ด้วยการประมวลผลที่เร็วขึ้นถึง 20% ทำให้ระยะเวลาการทำหัตถการโดยรวมสั้นลง ซึ่งช่วยลดความรู้สึกอึดอัดหรือเจ็บขณะทำลงได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะในผู้ที่มีผิวบางหรือไวต่อความรู้สึก นอกจากนี้ยังช่วยลดผลข้างเคียงเล็ก ๆ เช่น รอยแดงหรือบวมชั่วคราว ให้เกิดได้น้อยลงหรือหายเร็วขึ้น ผู้รับบริการสามารถแต่งหน้าและใช้ชีวิตประจำวันปกติได้ทันที

     

    เห็นผลลัพธ์หลังทำชัดเจน และอยู่ได้นานขึ้นอย่างดูเป็นธรรมชาติ

    ผู้เข้ารับบริการจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงของผิวได้ตั้งแต่หลังทำทันที โดยเฉพาะในเรื่องของความกระชับ ความเรียบเนียน และผิวที่ดูเฟิร์มขึ้น โดยผลลัพธ์จะชัดเจนที่สุดในช่วง 2–3 เดือน และอยู่ได้นานถึง 12 เดือน หรือมากกว่านั้นหากดูแลอย่างต่อเนื่อง ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ของเทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime จะค่อย ๆ ฟื้นฟูผิวจากภายใน ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้ดูเป็นธรรมชาติ ไม่แข็ง ไม่หลอกตา และไม่ทำให้โครงสร้างของใบหน้าดูเปลี่ยน

     

    ผลลัพธ์สวยดูสวยแบบคืนความอ่อนเยาว์ เป็นเราที่ดูเด็กลง ไม่แข็ง ไม่ปลอม

    เทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime เป็นการยกกระชับที่ไม่ทำให้โครงหน้าดูเปลี่ยนจนผิดสังเกตแต่ช่วยปรับความกระชับให้ดูดีแบบดูเป็นธรรมชาติ และยังคงความเป็นตัวเองได้อย่างมั่นใจ

     

    ไม่อันตราย ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น

    เทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime ผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยาของต่างประเทศ ซึ่งเป็นองค์กรที่เข้มงวดในด้านของประสิทธิภาพ ซึ่งการรักษาด้วยเทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime มั่นใจได้ว่าไม่มีบาดแผล ไม่ต้องผ่าตัด และไม่ต้องพักฟื้นหลังทำ ผู้เข้ารับบริการสามารถแต่งหน้า และใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติหลังทำ

     

    ปรับแผนการรักษาได้เฉพาะบุคคล

    เทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime รองรับการรักษาแบบ Personalized Treatment ที่สามารถปรับค่าพลังงาน ความลึก และพื้นที่รักษาให้เหมาะสมกับโครงสร้างผิวของแต่ละบุคคลได้ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาผิวที่หน้าผาก แก้ม กรอบหน้า ใต้คาง ลำคอ รวมไปถึงเนินอก ซึ่งสามารถวางแผนการยิงพลังงานให้สอดคล้องกับปัญหาเฉพาะได้แบบจุดต่อจุด นอกจากนี้ยังเหมาะสำหรับผู้ที่มีทุกเฉดสีผิว และสามารถทำได้ในทุกฤดูกาลโดยไม่เสี่ยงต่อการเกิดฝ้าหรือจุดด่างดำหลังทำ

     

    เครื่องกะทัดรัด ใช้งานสะดวก

    ด้วยดีไซน์ที่ทันสมัยและขนาดของเครื่องที่กะทัดรัดกว่าเดิมของเทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime ช่วยเพิ่มความคล่องตัวให้กับแพทย์ขณะทำหัตถการ ทำให้การทำงานรวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกัน ผู้เข้ารับบริการก็จะรู้สึกได้รับบริการในบรรยากาศที่ผ่อนคลาย และมีความเป็นมืออาชีพสูง

     

    การยอมรับจากทั่วโลก และความไว้วางใจจากแพทย์

    เทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime ได้รับการยอมรับในวงการแพทย์ผิวหนังและความงามระดับโลก โดยมีรีวิวจากแพทย์ในหลากหลายประเทศ และถูกนำมาใช้ในคลินิกความงามระดับพรีเมียมทั่วทั้งยุโรป อเมริกา และเอเชีย รวมไปถึงประเทศไทย ซึ่ง Ultherapy Prime ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่ต้องการดูดีโดยไม่ต้องศัลยกรรม และต้องการผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ และเชื่อถือได้

     

    เจาะลึก Ultherapy Prime เทคโนโลยียกกระชับตัวท็อปที่แพทย์แนะนำ

    เทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่ถูกพูดถึงมากที่สุด และได้รับการแนะนำโดยแพทย์ผิวหนังและคลินิกความงามระดับพรีเมียมอย่างกว้างขวาง จุดเด่นของเทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime ไม่ได้อยู่แค่ในเรื่องของผลลัพธ์ แต่ยังอยู่ที่ความทันสมัยในการพัฒนาเครื่องมือ ให้สอดคล้องกับความต้องการที่แท้จริงของทั้งแพทย์และผู้รับบริการ 

     

    เทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime ทำงานด้วยเทคโนโลยี MFU-V (Micro-focused Ultrasound with Visualization) ซึ่งเป็นคลื่นอัลตราซาวนด์ความเข้มข้นสูงที่สามารถส่งพลังงานลงลึกถึงชั้น SMAS ชั้นผิวเดียวกับที่ศัลยแพทย์ใช้ในการดึงหน้า จุดเด่นของเทคโนโลยีนี้คือการมาพร้อมระบบ DeepSEE™ ที่ช่วยให้แพทย์สามารถมองเห็นโครงสร้างภายในผิวแบบเรียลไทม์ผ่านหน้าจอ Full HD ระหว่างทำหัตถการ ทำให้การวางพลังงานมีความแม่นยำสูง ซึ่งถือเป็นความแตกต่างที่สำคัญจากเครื่องยกกระชับชนิดอื่นในท้องตลาด

     

    นอกจากนี้ เทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime ยังมาพร้อมหัวยิงหลายระดับความลึก ที่ช่วยให้แพทย์สามารถออกแบบการรักษาได้อย่างเฉพาะเจาะจง ตรงกับชั้นผิวที่ต้องการฟื้นฟูมากที่สุด ผลลัพธ์ที่ได้จึงเป็นการยกกระชับขึ้นอย่างดูเป็นธรรมชาติ ไม่แข็งตึง และไม่เปลี่ยนโครงหน้าดั้งเดิม

     

    ทำไมเทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime ถึงได้รับความสนใจอย่างมาก?

    เทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime ได้รับการพัฒนาต่อยอดจาก Ultherapy SPT ซึ่งเป็นเทคโนโลยี MFU-V ที่แพทย์ทั่วโลกให้ความเชื่อมั่นมาอย่างยาวนาน โดยเวอร์ชันใหม่นี้ถูกออกแบบให้แม่นยำกว่าเดิมด้วยระบบ DeepSEE™ Technology และสามารถส่งพลังงานลงลึกถึงชั้น SMAS ได้อย่างตรงจุด ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนจากภายในโดยไม่ต้องผ่าตัด 

     

    ที่สำคัญเทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime ยังตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ ที่ต้องการดูดีในเวลาอันสั้น เจ็บน้อยกว่า ไม่ต้องพักฟื้น และยังสามารถแต่งหน้า กลับไปทำงาน หรือใช้ชีวิตประจำวันได้ทันทีหลังทำ โดยยังคงผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติและคงอยู่ได้นาน

     

    ในปี 2025 นี้ เทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime จึงได้กลายเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่ถูกจับตามองมากที่สุด ทั้งจากผู้เชี่ยวชาญในแวดวงความงาม และผู้บริโภคที่ใส่ใจในคุณภาพและผลลัพธ์ระยะยาว

     

    ความแตกต่างของเทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime เมื่อเทียบกับเทคโนโลยีอื่น

    • รูปแบบพลังงานที่ใช้

    Ultherapy Prime และ Ultherapy SPT ใช้พลังงานอัลตราซาวนด์แบบจุด หรือ Micro-focused Ultrasound (MFU-V) ซึ่งสามารถส่งพลังงานลงสู่ผิวในระดับลึกเฉพาะจุด เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่อย่างแม่นยำ โดยไม่ทำร้ายผิวชั้นบน ในขณะที่ Thermage FLX ใช้พลังงานคลื่นวิทยุ (Monopolar RF) ที่ปล่อยความร้อนกระจายลงสู่ผิวในลักษณะกว้าง ไม่ได้เจาะจงเป็นจุดเหมือนกับ Ulthera

    • ชั้นผิวที่รักษา

    Ultherapy Prime และ Ultherapy SPT โดดเด่นด้วยการยิงพลังงานได้ลึกถึงชั้น SMAS (Superficial Musculoaponeurotic System) ซึ่งเป็นชั้นผิวเดียวกับที่ศัลยแพทย์ใช้ในการผ่าตัดดึงหน้า อีกทั้งยังสามารถเลือกใช้หัวยิงได้หลายระดับความลึก ทั้ง 1.5, 3.0 และ 4.5 มิลลิเมตร ขณะที่ Thermage FLX นั้น ยิงพลังงานได้ลึกสุดถึงชั้นหนังแท้และชั้นไขมันเท่านั้น

    • ความแม่นยำในการรักษา

    Ultherapy Prime มีระบบ Visualization แบบเรียลไทม์ที่ช่วยให้แพทย์สามารถมองเห็นชั้นผิวจริงบนหน้าจอ Full HD ก่อนทำการยิงพลังงานในแต่ละจุด ซึ่งถือเป็นจุดแข็งสำคัญที่มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม ช่วยให้การรักษามีความแม่นยำ และลดโอกาสการยิงพลังงานผิดจุด

    • ความรู้สึกขณะทำและการฟื้นตัว

    ด้วยการประมวลผลที่เร็วขึ้นของ Ultherapy Prime ผู้รับบริการจึงรู้สึกสบายมากขึ้น เจ็บน้อยลง และใช้เวลาทำหัตถการสั้นกว่ารุ่นเดิม ส่วน Thermage FLX มักให้ความรู้สึกอุ่นหรือร้อนเป็นระยะขณะทำ ขึ้นอยู่กับความไวของผิวแต่ละบุคคล

    • ความเหมาะสมในการใช้งาน

    Ultherapy Prime และ Ultherapy SPT เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับใบหน้าให้เห็นผลลึกถึงโครงสร้างผิว เช่น ผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยบริเวณแก้ม กรอบหน้า คาง หรือหางตา ส่วน Thermage FLX เหมาะกับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวให้เรียบเนียน ลดริ้วรอย และกระตุ้นผิวในระดับผิวชั้นหนังแท้และชั้นไขมัน

     

    เทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime เหมาะกับใคร?
    เทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime เหมาะกับใคร?

     

    เทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime เหมาะกับใคร?

    • Ultherapy Prime เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย หรือเริ่มสูญเสียความกระชับ
    • Ultherapy Prime เหมาะสำหรับผู้ที่แก้มห้อย ร่องแก้มลึก หรือมุมปากตก
    • Ultherapy Prime เหมาะสำหรับผู้ที่คางสองชั้น เหนียง ใต้คางไม่กระชับ
    • Ultherapy Prime เหมาะสำหรับผู้ที่แนวกรอบหน้าไม่ชัด ต้องการปรับให้ได้รูปขึ้น
    • Ultherapy Prime เหมาะสำหรับผู้ที่ผิวบริเวณลำคอหรือเนินอกหย่อนยาน
    • Ultherapy Prime เหมาะสำหรับผู้ที่หนังตาตก หางตาตก ต้องการยกขึ้นโดยไม่ศัลยกรรม
    • Ultherapy Prime เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวหน้าให้ดูอ่อนเยาว์แบบดูเป็นธรรมชาติ
    • Ultherapy Prime เหมาะสำหรับผู้ที่หลีกเลี่ยงการผ่าตัด หรือหัตถการที่ต้องพักฟื้น
    • Ultherapy Prime เหมาะสำหรับผู้ที่กลัวเข็ม กลัวแผล หรือไม่ต้องการมีรอยช้ำหลังทำ
    • Ultherapy Prime เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่มีเวลาหยุดพักงาน ต้องการหัตถการที่ทำแล้วใช้ชีวิตต่อได้ทันที
    • Ultherapy Prime เหมาะสำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัวบางอย่างที่ไม่สามารถผ่าตัดได้
    • Ultherapy Prime เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย แต่ต้องการผลลัพธ์ที่ชัดเจน

     

    หมายเหตุ:

    ประสิทธิภาพของการรักษาอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับสภาพผิว อายุ โครงสร้างใบหน้า และการดูแลหลังทำ เพื่อผลลัพธ์ที่ตรงกับความต้องการของผู้รับบริการ ควรเข้ารับการประเมินจากแพทย์ก่อนทุกครั้ง เพื่อวางแผนการรักษาเฉพาะบุคคลให้เหมาะสมกับโครงสร้างผิว และเป้าหมายความงามของแต่ละคนอย่างแท้จริง

     

    เทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime ไม่เหมาะกับใคร?

    • Ultherapy Prime ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ตั้งครรภ์หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร
    • Ultherapy Prime ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีโรคเรื้อรังควบคุมไม่ได้ เช่น โรคหัวใจขั้นรุนแรง ลมชัก เบาหวานชนิดรุนแรง
    • Ultherapy Prime ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemaker) หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ฝังในร่างกาย
    • Ultherapy Prime ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีประวัติผิวแผลเป็นนูน (Keloid) หรือ แผลหายยาก
    • Ultherapy Prime ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีการติดเชื้อบริเวณใบหน้าหรือลำคอ เช่น เริม แผลอักเสบ สิวอักเสบรุนแรง
    • Ultherapy Prime ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะไวต่อความร้อนหรือคลื่นอัลตราซาวนด์ผิดปกติ
    • Ultherapy Prime ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะเลือดออกง่ายผิดปกติ หรือมีปัญหาเกล็ดเลือดต่ำ
    • Ultherapy Prime ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เพิ่งทำเลเซอร์หรือหัตถการที่ระคายเคืองผิวหนัก ภายใน 1-2 สัปดาห์
    • Ultherapy Prime ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวที่อักเสบ มีแผลถลอก รอยไหม้ หรือถูกแดดเผารุนแรง
    • Ultherapy Prime ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีสิวอักเสบรุนแรงทั่วใบหน้า 
    • Ultherapy Prime ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่หวังผลลัพธ์เหมือนการดึงหน้าด้วยศัลยกรรมในครั้งเดียว
    • Ultherapy Prime ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงใบหน้าแบบชัดเจนในทันที
    • Ultherapy Prime ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีไขมันใบหน้าเยอะมาก หรือกล้ามเนื้อใบหน้าใหญ่
    • Ultherapy Prime ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เพิ่งผ่านหัตถการที่มีผลต่อผิวหรือโครงสร้างผิว
    • Ultherapy Prime ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่อยู่ระหว่างการรักษาด้วยยาบางชนิด เช่น กลุ่มยาสเตียรอยด์ กลุ่มยารักษามะเร็ง หรือยารักษาสิวแรง ๆ

     

    คำแนะนำ:

    สำหรับผู้ที่มีภาวะสุขภาพเฉพาะ หรือกำลังรับการรักษาทางการแพทย์ ควรแจ้งข้อมูลอย่างละเอียดกับแพทย์ก่อนเข้ารับบริการ Ultherapy Prime ทุกครั้ง 

     

    เทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime ช่วยอะไรบ้าง?
    เทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime ช่วยอะไรบ้าง?

     

    เทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime ช่วยอะไรบ้าง?

    • Ultherapy Prime ช่วยยกกระชับผิวหน้าโดยไม่ต้องผ่าตัด
    • Ultherapy Prime ช่วยยกแนวกรอบหน้าให้คมชัด ลดความหย่อนคล้อยที่ทำให้หน้าดูโทรม
    • Ultherapy Primeช่วยยกกระชับแก้ม แก้มล่าง และลดการหย่อนคล้อยของแนวขากรรไกร
    • Ultherapy Prime ช่วยให้ใบหน้าดูเรียวได้รูป โดยไม่ต้องใช้โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์หรือศัลยกรรม
    • Ultherapy Prime ช่วยยกคิ้วและหนังตาที่ตก ให้ดวงตาดูสดใสและโตขึ้น
    • Ultherapy Prime ช่วยยกหางตาที่ตกจากอายุหรือแรงโน้มถ่วง
    • Ultherapy Prime ช่วยลดเหนียงใต้คาง คางสองชั้น และไขมันเล็ก ๆ บริเวณใต้คาง
    • Ultherapy Prime ช่วยกระชับผิวบริเวณลำคอ ลดริ้วรอยและรอยพับแนวคอ
    • Ultherapy Prime ช่วยฟื้นฟูผิวบริเวณเนินอกที่เริ่มมีริ้วรอยและความหย่อนคล้อย
    • Ultherapy Prime ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ในชั้นผิวลึก
    • Ultherapy Prime ทำให้ผิวแน่นขึ้นจากภายใน โดยไม่ต้องพึ่งสารเติมเต็ม
    • Ultherapy Prime ช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยใหม่ และลดเลือนริ้วรอยเดิมอย่างดูเป็นธรรมชาติ
    • Ultherapy Prime ปรับผิวให้ดูเรียบเนียนและอ่อนเยาว์
    • Ultherapy Prime ช่วยสีผิวสม่ำเสมอมากขึ้นจากการกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด
    • Ultherapy Prime ลดความหยาบกร้านที่เกิดจากความหย่อนคล้อย
    • Ultherapy Prime ช่วยให้ผิวหน้าและลำคอไม่หย่อนคล้อยเร็ว
    • Ultherapy Prime ช่วยยืดอายุผิวให้นานขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งศัลยกรรม
    • Ultherapy Prime ไม่ต้องฉีด ไม่ต้องผ่า ไม่มีรอยแผล
    • Ultherapy Prime ไม่ต้องหยุดงานหรือพักฟื้นนาน เหมาะกับคนมีเวลาน้อย
    • Ultherapy Prime สามารถแต่งหน้าและใช้ชีวิตประจำวันได้ทันทีหลังทำ
    • Ultherapy Prime ไม่มีสารแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกาย
    • Ultherapy Prime มีงานวิจัยรองรับ และผ่านการรับรองมาตรฐานระดับสากล

     

    เทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime ทำบริเวณใดได้บ้าง?
    เทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime ทำบริเวณใดได้บ้าง?

     

    เทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime ทำบริเวณใดได้บ้าง?

    • Ultherapy Prime ทำบริเวณกรอบหน้า ยกกระชับแนวขากรรไกร ทำให้กรอบหน้าชัด
    • Ultherapy Prime ทำบริเวณแก้มส่วนล่าง ลดความหย่อนคล้อยของแก้ม ทำให้ใบหน้าดูเรียวขึ้น
    • Ultherapy Prime ทำบริเวณแก้มส่วนบน ยกพยุงผิวจากแนวโหนกแก้ม ช่วยลดร่องแก้มลึก
    • Ultherapy Prime ทำบริเวณใต้ตา ลดถุงใต้ตาเล็ก ๆ ผิวกระชับขึ้น
    • Ultherapy Prime ทำบริเวณรอบตาและหางตา ลดริ้วรอยรอบตา ยกหางตาให้ดูสดใสขึ้น
    • Ultherapy Prime ทำบริเวณหน้าผาก ยกคิ้วและผิวหน้าผาก ช่วยเปิดดวงตาให้ดูกลมโตขึ้น
    • Ultherapy Prime ทำบริเวณคาง ปรับรูปคางให้เรียบแน่น ลดคางสองชั้น
    • Ultherapy Prime ทำบริเวณใต้คาง ลดไขมันสะสมเล็กน้อย และกระชับผิวบริเวณเหนียง
    • Ultherapy Prime ทำบริเวณลำคอ ลดริ้วรอยแนวนอนที่คอ ยกผิวให้แน่น เรียบขึ้น
    • Ultherapy Prime ทำบริเวณมุมปากตก ปรับรอยพับที่ทำให้หน้าดูเศร้า
    • Ultherapy Prime ทำบริเวณแนวกรามด้านข้าง เหมาะสำหรับคนที่กรามตก หย่อนคล้อย
    • Ultherapy Prime ทำบริเวณเนินอก ลดริ้วรอยและรอยย่นจากการนอนตะแคง ผิวบริเวณอกตึงกระชับมากขึ้น

     

    เตรียมตัวก่อนทำเทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime อย่างไร?

    • ก่อนทำเทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime ควรพักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงการนอนดึก
    • ก่อนทำเทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime ควรดื่มน้ำมาก ๆ ในช่วง 1-2 วันก่อนทำ เพื่อให้ผิวมีความชุ่มชื้น
    • ก่อนทำเทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime ควรแจ้งแพทย์หากมีประวัติแพ้ยา 
    • ก่อนทำเทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime ควรแจ้งประวัติโรคประจำตัวกับแพทย์
    • ก่อนทำเทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime หลีกเลี่ยงการใช้ยากลุ่มต้านการแข็งตัวของเลือด  อย่างน้อย 3-5 วัน
    • ก่อนทำเทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์ 24-48 ชั่วโมง
    • ก่อนทำเทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime งดสูบบุหรี่ก่อนทำ 1-2 วัน
    • ก่อนทำเทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime งดการขัดหน้า, สครับ หรือเลเซอร์รุนแรง 5-7 วัน
    • ก่อนทำเทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime งดทาครีมที่มีส่วนผสมของกรดและเรตินอล ประมาณ 3-5 วัน

     

    ดูแลตัวเองหลังทำเทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime อย่างไร?
    ดูแลตัวเองหลังทำเทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime อย่างไร?

     

    ดูแลตัวเองหลังทำเทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime อย่างไร?

    • หลังทำเทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime ควรใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่อ่อนโยน
    • หลังทำเทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime ควรทาครีมบำรุงหรือมอยส์เจอไรเซอร์เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว
    • หลังทำเทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime ควรทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 50 PA+++ เป็นประจำทุกวัน
    • หลังทำเทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime ควรดื่มน้ำ อย่างน้อยวันละ 2 ลิตร เพื่อให้ผิวชุ่มชื้น
    • หลังทำเทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime ควรพักผ่อนให้เพียงพอ 7-8 ชั่วโมงต่อวัน
    • หลังทำเทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime หลีกเลี่ยงการโดนแดดจัดโดยตรงในช่วง 5-7 วันแรก
    • หลังทำเทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก หรือทำกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกมากใน 1-2 วันแรก
    • หลังทำเทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime งดการนวดหน้า ขัดหน้า หรือทำทรีตเมนต์แรง ๆ บนใบหน้าเป็นเวลาอย่างน้อย 1 สัปดาห์
    • หลังทำเทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime หลีกเลี่ยงการทำหัตถการอื่น ในช่วง 2-4 สัปดาห์
    • หลังทำเทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime งดจับใบหน้าหรือกดผิวบริเวณที่ทำในช่วง 24 ชั่วโมงแรก
    • หลังทำเทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ในช่วง 3-7 วัน

     

    ในยุคที่ความงามต้องมาพร้อมกับผลลัพธ์ที่จับต้องได้ เทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime ถือว่าเป็นเทคโนโลยีที่ผสานความแม่นยำทางการแพทย์เข้ากับความสบายของผู้รับบริการ โดยไม่ต้องพึ่งการผ่าตัดหรือฉีดสารใด ๆ เข้าสู่ร่างกาย ด้วยระบบ MFU-V และ Visualization แบบเรียลไทม์ ที่ช่วยให้แพทย์รักษาได้ตรงจุด มีประสิทธิภาพ และลดความเสี่ยง

    ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่เริ่มมีสัญญาณของความหย่อนคล้อย หรือผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวให้กลับมาเฟิร์มและดูอ่อนเยาว์แบบดูเป็นธรรมชาติ เทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime คือทางเลือกที่ตอบโจทย์ทั้งในด้านผลลัพธ์ และความคุ้มค่าระยะยาว

    อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์ที่ได้อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับสภาพผิว อายุ การดูแลหลังทำ และการประเมินของแพทย์ จึงแนะนำให้เข้ารับคำปรึกษากับแพทย์ก่อนตัดสินใจ เพื่อวางแผนการรักษาให้ตรงกับความต้องการ และความเหมาะสมของคุณที่สุด

    หากคุณกำลังมองหาเทคโนโลยีที่ช่วยให้หน้าเรียว ยกกระชับ โดยไม่ต้องผ่าตัด และได้รับการแนะนำจากแพทย์ผิวหนังทั่วโลก เทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime อาจเป็นคำตอบที่คุณตามหา

    อันตราย! ฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจนแล้วตาบอด

    อันตราย! ฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจนแล้วตาบอด

    อันตราย! ฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจนแล้วตาบอด

    เกิดเหตุการณ์สุดช็อกในวงการความงาม จนกลายเป็นประเด็นร้อนแรงที่สร้างกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในโลกโซเชียลอย่างหนัก สืบเนื่องมาจากมีผู้เสียหายรายหนึ่ง ได้เข้ารับบริการฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจนกลุ่ม Biostimulator จากต่างประเทศ แล้วเกิดภาวะเส้นเลือดอุดตันในจอประสาทตาอย่างเฉียบพลัน จนส่งผลให้สูญเสียการมองเห็น หรือตาบอดอย่างถาวร ซึ่งแพทย์หลาย ๆ ท่านได้ออกมาเตือนภัยว่า การฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจนนั้น หากฉีดโดยแพทย์ที่ขาดความชำนาญ อาจทำให้เสี่ยงฉีดผิดตำแหน่ง จนเกิดการอุดตันในเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงจอประสาทตาได้ ซึ่งในกรณีนี้ ถือเป็นอุทาหรณ์สำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจน วันนี้ รมย์รวินท์คลินิก จะมาให้ความรู้เกี่ยวกับการฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจนแล้วตาบอดว่า เกิดจากสาเหตุอะไร? มีวิธีแก้ไข? และป้องกันอย่างไร? สามารถหาคำตอบได้ในบทความนี้ค่ะ

     

    ฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจนแล้วตาบอด เกิดจากอะไร? มีวิธีแก้ไขไหม?

     

    ฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจนแล้วตาบอด
    ฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจนแล้วตาบอด

     

    ฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจน คืออะไร?

    การฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจน เป็นการฉีดสารชนิดหนึ่งในกลุ่ม Biostimulator เข้าไปยังผิวหนัง เพื่อกระตุ้นกระบวนการสร้างคอลลาเจนตามธรรมชาติของร่างกาย โดยจะเน้นในการฟื้นฟูโครงสร้างผิว ให้มีความแน่นกระชับ ยืดหยุ่น และแข็งแรงในระยะยาว ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้จะค่อยเป็นค่อยไป ทำให้มีความเป็นธรรมชาติ และไม่ทำให้โครงสร้างใบหน้าเปลี่ยน โดยสารกระตุ้นคอลลาเจนที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน ได้แก่ PLLA (Poly-L-Lactic Acid), CaHA (Calcium Hydroxylapatite), PDO (Polydioxanone) หรือ PDLLA (Poly-D, L-Lactic Acid)

     

    ฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจนแล้วตาบอด เกิดจากอะไร?

    การฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจนแล้วตาบอดนั้น เกิดจากการที่สารเข้าไปอุดตันเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงจอประสาทตา ทำให้สูญเสียการมองเห็นอย่างเฉียบพลัน ซึ่งแม้จะมีโอกาสพบได้น้อยมาก แต่ก็สามารถเกิดขึ้นได้ โดยสาเหตุหลักจากการฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจนแล้วตาบอด มีดังนี้

    • ฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจนผิดตำแหน่ง

    การฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจนผิดตำแหน่ง อาจทำให้เสี่ยงต่อการตาบอดได้ โดยเฉพาะในบริเวณที่มีเส้นเลือดสำคัญจำนวนมาก เช่น ระหว่างคิ้ว จมูก ใต้ตา หรือหน้าผาก เนื่องจากตำแหน่งเหล่านี้ มีเส้นเลือดที่เชื่อมต่อกับดวงตาโดยตรง หากฉีดผิดพลาดเข้าไปในเส้นเลือด อาจทำให้สารเกิดการอุดตันเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงจอประสาทตา จนส่งผลให้เกิดภาวะขาดเลือดเฉียบพลัน และสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรได้

    • ฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจนกับแพทย์ที่ขาดความชำนาญ

    การฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจนกับแพทย์ที่ไม่มีความชำนาญ และขาดประสบการณ์ อาจทำให้เสี่ยงต่อการตาบอดได้ โดยเฉพาะเมื่อฉีดในบริเวณที่มีเส้นเลือดเชื่อมต่อกับดวงตาโดยตรง หากพลาดฉีดผิดตำแหน่ง หรือใช้เทคนิคในการฉีดที่ไม่เหมาะสม อาจทำให้สารเข้าไปอุดตันเส้นเลือด และส่งผลให้จอประสาทตาขาดเลือดเฉียบพลัน จนทำให้สูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรได้

    • ขั้นตอนการเตรียมยาไม่ถูกต้อง 

    การเตรียมยา และผสมยาไม่ถูกต้อง ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการตาบอดได้เช่นกัน โดยเฉพาะหากมีการผสมยาในอัตราส่วนที่ไม่เหมาะสม หรือผสมผิดวิธี เช่น ไม่ใช้เครื่องเขย่า เพื่อให้ตัวยากลายเป็นเนื้อเดียวกัน อาจทำให้ตัวยามีลักษณะเป็นก้อน และไม่กระจายตัวอย่างสม่ำเสมอ เมื่อฉีดเข้าสู่ผิวหนัง จึงเสี่ยงต่อการเข้าสู่เส้นเลือดได้ง่าย และส่งผลให้เกิดการอุดตันเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงจอประสาทตา จนสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรได้

    • ใช้สารกระตุ้นคอลลาเจนปลอม

    การใช้สารกระตุ้นคอลลาเจนปลอมไม่ได้มาตรฐาน อาจทำให้เสี่ยงต่อการตาบอดได้ เนื่องจากสารกระตุ้นคอลลาเจนปลอม มักมีส่วนประกอบที่ไม่มีคุณภาพ อนุภาคไม่สม่ำเสมอ และมีการปนเปื้อนสารอันตราย ซึ่งมีแนวโน้มที่จะจับตัวเป็นก้อนแข็ง และเพิ่มโอกาสในการอุดตันเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงจอประสาทตาได้ง่ายกว่า สารกระตุ้นคอลลาเจนแท้ที่ได้รับการรับรองจาก อย.

     

    ฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจนแล้วตาบอด แก้ไขได้อย่างไร?

    ในกรณีที่ฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจนแล้วเกิดการตาบอด โดยเฉพาะจากการอุดตันเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงจอประสาทตา หากพบว่า มีอาการตาพร่ามัว หรือสูญเสียการมองเห็นกะทันหันหลังฉีด ถือเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ที่ต้องรีบเข้ารับการรักษาอย่างเร่งด่วน ภายใน 90 นาทีแรก เพื่อเพิ่มโอกาสในการฟื้นฟูการมองเห็นได้บางส่วน ทั้งนี้ ผลการรักษาขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ และระยะเวลาที่ได้รับการรักษา 

     

    ฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจนอย่างไรให้ไม่เสี่ยงตาบอด?

    • เลือกฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจนกับแพทย์ที่มีความชำนาญ สามารถฉีดเข้าไปในตำแหน่งที่เหมาะสมได้อย่างแม่นยำ และสามารถผสมตัวยาในอัตราส่วนที่ถูกต้อง
    • เลือกคลินิกที่มีมาตรฐานทางการแพทย์ มีอุปกรณ์ และเครื่องมือที่ทันสมัย รวมถึง มีใบอนุญาตประกอบกิจการสถานพยาบาลอย่างถูกต้อง 
    • แจ้งข้อมูลสุขภาพให้แพทย์ทราบอย่างครบถ้วน เช่น ประวัติการรักษา ประวัติโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา และยาที่ใช้อยู่ เพื่อให้แพทย์ประเมินความเสี่ยงอย่างเหมาะสม
    • ใช้สารกระตุ้นคอลลาเจนแท้ ที่ได้รับการรับรอง และผ่านการขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้องจาก อย. 
    • ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
    • หมั่นสังเกตอาการของตนเองหลังฉีด หากพบว่ามีอาการตาพร่ามัว สีผิวเปลี่ยนสี เห็นภาพซ้อน หรือปวดตารุนแรง ควรรีบพบแพทย์เพื่อทำการรักษา ภายใน 90 นาที

     

    การฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจน แม้จะเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมในการฟื้นฟูความอ่อนเยาว์ให้ผิว แต่หากฉีดโดยแพทย์ที่ขาดความชำนาญ หรือพลาดฉีดผิดตำแหน่ง อาจทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรได้ แม้จะมีโอกาสเกิดขึ้นน้อยมากก็ตาม ดังนั้น ก่อนตัดสินใจฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจน ควรเข้ารับการปรึกษาแพทย์ที่มีความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับกายวิภาคศาสตร์ใบหน้าอย่างละเอียด เพื่อให้แพทย์ประเมิน วิเคราะห์ และวางแผนการรักษาอย่างเหมาะสม พร้อมเลือกคลินิกที่มีมาตรฐาน และใช้สารกระตุ้นคอลลาเจนแท้ที่ผ่านการรับรองจาก อย. เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนอันตรายหลังฉีด

    The Face Lift รวม 6 โปรแกรมยกกระชับหน้าแบบตัวแม่ที่รมย์รวินท์คลินิก

    The Face

    The Face Lift รวม 6 โปรแกรมยกกระชับหน้าแบบตัวแม่ที่รมย์รวินท์คลินิก

    The Face Lift Thailand เตรียมพร้อมเขย่าวงการยกกระชับหน้าจึ้งแบบตัวแม่ เป๊ะทุกมุมมอง เก็บหมดทุกความหย่อนคล้อยต้อง รมย์รวินท์คลินิก เท่านั้น รวมสุดยอดเทคโนโลยียกกระชับไว้ในที่เดียว ไม่ว่าคุณจะมีปัญหาผิวหน้าแบบไหนก็สามารถกลับมาอ่อนเยาว์ได้ โดยไม่ต้องผ่าตัด และไม่ต้องพักฟื้น บทความนี้ จะมาเปิดเคล็ดลับยกกระชับ ปรับหน้าจึ้งฉบับรมย์รวินท์ จะมีโปรแกรมอะไรบ้างนั้น? เรารวบรวมมาให้แล้วค่ะ

     

    รวม 6 โปรแกรมยกกระชับ ปรับหน้าจึ้ง

    • Ultherapy Prime

    Ultherapy Prime คือ เทคโนโลยียกกระชับผิวที่มีการปรับปรุงรูปลักษณ์ และประสิทธิภาพในการรักษาให้สูงขึ้น ซึ่งต่อยอดมาจาก Ulthera รุ่นก่อนหน้า โดยถูกพัฒนาขึ้นมาให้มีความรวดเร็วเพิ่มขึ้นถึง 20% และมีหน้าจอแสดงผลขนาดใหญ่เพิ่มขึ้นถึง 35% ซึ่งมาพร้อมกับความคมชัด และความละเอียดสูง ทำให้แพทย์สามารถยกกระชับได้อย่างแม่นยำ และมีความสะดวกสบายมากขึ้น โดย Ultherapy Prime นั้น ใช้พลังงานคลื่นเสียงอัลตราซาวนด์แบบเฉพาะเจาะจง (Micro-Focused Ultrasound) อุณหภูมิอยู่ที่ 60 – 70 องศา ยิงลงลึกเข้าสู่ชั้นผิวหนังมากถึง 3 ระดับ ตั้งแต่ระดับ 1.5 มม. สำหรับเก็บริ้วรอย และรูขุมขน, ระดับ 3.0 มม. สำหรับเก็บความหย่อนคล้อย และระดับ 4.5 มม. สำหรับยกกระชับในชั้น SMAS ซึ่งสามารถแก้ไขปัญหาในแต่ละชั้นผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ผิวกลับมาเฟิร์มแน่น กระชับ และเต่งตึงอย่างดูเป็นธรรมชาติ โดย Ultherapy Prime สามารถคงผลลัพธ์ได้ยาวนาน ประมาณ 12 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล

    • Oligio

    Oligio คือ เทคโนโลยียกกระชับ พร้อมลดไขมัน ซึ่งใช้คลื่นวิทยุ Monopolar RF ที่มีระดับความถี่ 6.78 MHz เข้าไปยังชั้น Dermis และชั้น Subcutaneous Fat ทำให้เกิดความร้อนอุณหภูมิอยู่ที่ 40 – 60 องศา เพื่อทำให้เกิดกระบวนการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และยกกระชับผิวอย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้ง ยังสามารถลดไขมันส่วนเกินบนใบหน้า และแก้ไขปัญหาคาง 2 ชั้น ทำให้เซลล์ไขมันค่อย ๆ ถูกขับออกจากร่างกายตามธรรมชาติ โดยไม่ทำให้ผิวไหม้ หรือเกิดอาการระคายเคืองใด ๆ ส่งผลให้ผิวเรียบเนียน กระชับ เต่งตึง และใบหน้าดูมีมิติมากขึ้น โดย Oligio สามารถคงผลลัพธ์ได้ยาวนาน ประมาณ 6 – 12 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล

    • Thermage FLX

    Thermage FLX คือ เทคโนโลยียกกระชับผิว พร้อมลดไขมัน ซึ่งใช้คลื่นวิทยุที่มีความถี่สูง Monopolar RF ส่งพลังงานความร้อนอุณหภูมิอยู่ที่ 45 – 70 องศา เข้าไปยังชั้น Dermis และชั้น Subcutaneous Fat เพื่อให้เกิดการยกกระชับผิวอย่างมีประสิทธิภาพ โดยความร้อนนี้ทำให้เกิดอาการสั่น Vibration จากนั้นจะส่งผลให้คอลลาเจนเดิมที่มีอยู่หดตัวลง พร้อมกระตุ้นกระบวนการสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ อีกทั้ง ยังสามารถเข้าไปกำจัดเซลล์ไขมันส่วนเกินบริเวณแก้ม และคางสองชั้น เพื่อเพิ่มความคมชัด และเพิ่มมิติให้กับใบหน้า ส่งผลให้ผิวเฟิร์ม แน่นกระชับ และดูอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ โดย Thermage FLX สามารถคงผลลัพธ์ได้ยาวนาน ประมาณ 12 – 24 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล

    • Ultraformer MPT

    Ultraformer MPT คือ เทคโนโลยียกกระชับผิวหน้า ซึ่งใช้พลังงานคลื่นเสียง Micro & Macro Focused Ultrasound ยิงลงลึกเข้าสู่ชั้นผิวหนัง ทำให้เกิดความร้อนสะสมอุณหภูมิอยู่ที่ 65 – 70 องศา โดยสามารถปล่อยพลังงานได้อย่างหลากหลาย และครอบคลุมทุกระดับความลึกชั้นผิว ลงลึกมากถึงชั้น SMAS เพื่อให้เกิดกระบวนการยกกระชับผิวในบริเวณที่หย่อนคล้อย พร้อมกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวแน่น เต่งตึง กระชับ และเก็บรายละเอียดงานผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ทำลายผิวบริเวณโดยรอบ ซึ่ง Ultraformer MPT สามารถคงผลลัพธ์ได้ยาวนาน ประมาณ 8 – 12 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล

    • Emface 

    Emface คือ เทคโนโลยียกกระชับผิว พร้อมสร้างกล้ามเนื้อ ซึ่งใช้พลังงานคลื่นมากถึง 2 ชนิด ได้แก่ HIFES และ Synchronized RF เพื่อแก้ไขปัญหาผิวในทุกระดับชั้นผิว ลงลึกถึงชั้นกล้ามเนื้อ โดยพลังงานคลื่น HIFES นั้น จะเข้าไปกระตุ้น ฟื้นฟู และเพิ่มความหนาแน่นของกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อมีความแข็งแรง กระชับ และตึงตัวมากขึ้น ส่วนพลังงานคลื่น Synchronized RF จะเข้าไปกระตุ้นให้เกิดกระบวนการสร้างคอลลาเจน และอีลาสติน ทำให้ผิวกระชับ แน่นฟู และเรียบเนียนอย่างดูเป็นธรรมชาติ โดยไม่ต้องเจ็บตัว และไม่ต้องใช้ยาชา ซึ่ง Emface Submentum สามารถคงผลลัพธ์ได้ยาวนาน ประมาณ 12 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล

    • Super HIFU

    SUPER HIFU (High Intensity Focused Ultrasound) เป็นเทคโนโลยีที่ใช้พลังงานคลื่นเสียงความเข้มข้นสูงแบบเฉพาะจุด ส่งพลังงานลงลึกผ่านผิวในรูปแบบของ Dot หรือจุดพลังงานเล็กๆ เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในแต่ละชั้นผิวอย่างแม่นยำ

    ความพิเศษของ SUPER HIFU คือการใช้หัว Applicator ที่สามารถเลือกความลึกของพลังงานได้หลากหลายระดับ ได้แก่:1.5 mm – 2.0 mm: กระตุ้นผิวชั้นตื้น เช่น ชั้นหนังแท้และใต้ผิวระดับบน ช่วยเรื่องความเรียบเนียนและความยืดหยุ่นผิว 3.0 mm: ทำงานในชั้นไขมันใต้ผิว ช่วยยกกระชับและลดไขมันส่วนเกินเล็กน้อย ,4.5 mm: เจาะลึกถึงชั้น SMAS (Superficial Musculoaponeurotic System) ซึ่งเป็นชั้นเดียวกับที่ใช้ในการผ่าตัดดึงหน้า ทำให้ได้ผลลัพธ์การยกกระชับใกล้เคียงการศัลยกรรมแบบไม่ต้องผ่าตัด ,6.0 mm และ 13.0 mm: สำหรับบริเวณลำตัวหรือไขมันสะสมมาก เช่น ใต้คาง หน้าท้อง ต้นแขน สามารถออกแบบผลลัพธ์เฉพาะบุคคล ได้อย่างแม่นยำ ครอบคลุมทั้งการยกกระชับหน้า ลดริ้วรอย ลดเหนียง และแม้กระทั่งสัดส่วนในบางบริเวณ

     

    อย่าพลาดโอกาส! ยกหน้าก่อนใครได้แล้ววันนี้ที่ รมย์รวินท์คลินิก

    สำหรับใครที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย มีริ้วรอย ร่องลึก และไขมันสะสม สามารถเข้ามาปรึกษาแพทย์ได้ที่ รมย์รวินท์คลินิก ทุกสาขา เรารวบรวมสุดยอดเทคโนโลยียกกระชับผิวไว้ให้แล้วในที่นี่ที่เดียว ไม่ว่าจะเป็น Ultherapy Prime, Thermage FLX, Oligio, Ultraformer MPT หรือ Emface Submentum ก็สามารถแก้ไขปัญหาผิวหน้าของคุณได้ แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ก่อนตัดสินใจ เพื่อให้แพทย์วิเคราะห์ปัญหา พร้อมวางแผนการรักษาแบบเฉพาะบุคคล ตอบโจทย์ความต้องการอย่างแท้จริง

     

    *ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับบริการ

    *เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯกำหนด

    ข้างห้องสะเทือนเพราะกรนสนั่น จบปัญหานอนกรนด้วย Snore Laser 

    กรนสนั่น จนข้างห้องสะเทือน จบปัญหานอนกรนด้วย Snore Laser 

    กรนสนั่น จนข้างห้องสะเทือน จบปัญหานอนกรนด้วย Snore Laser 

    เสียงกรนดังสนั่นจนห้องข้าง ๆ สะเทือน กรนดังขนาดนี้จะทนอยู่ทำไม! ถึงเวลาแล้วที่จะบอกลาเสียงกรนกวนใจ ที่ทำลายความสงบสุขในการนอนของคุณ และคนรอบข้างทุกครั้งที่หลับตา ซึ่งปัญหานี้จะหมดไปด้วย Snore Laser ทางเลือกใหม่ในการแก้ปัญหาอาการนอนกรน โดยไม่ต้องผ่าตัด และไม่ต้องพักฟื้น ทำให้คุณ และคนรอบข้างนอนหลับสบายตลอดคืน หมดกังวลเรื่องเสียงกรน แม้จะอยู่ในห้องที่ไม่เก็บเสียงก็ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป บทความนี้ ขอพาไปทำความรู้จักกับ Snore Laser ว่า คืออะไร? ช่วยเรื่องอะไร? และเหมาะกับใคร? เพื่อให้คุณเริ่มต้นเช้าวันใหม่ด้วยความสดชื่น

     

    กรนสนั่น จนข้างห้องสะเทือน จบปัญหานอนกรนด้วย Snore Laser 
    กรนสนั่นจนข้างห้องสะเทือน จบปัญหานอนกรนด้วย Snore Laser

     

    จบปัญหาข้างห้องสะเทือน เจาะลึก Snore Laser คืออะไร?

    Snore Laser คือ เลเซอร์รักษาอาการนอนกรน โดยการใช้เทคโนโลยีเลเซอร์ชนิดเออร์เบี่ยม (Er YAG) มีความยาวคลื่นอยู่ที่ 2940 นาโนเมตร ซึ่งจะส่งพลังงานความร้อนเข้าไปยังช่องปาก บริเวณเพดานอ่อน กระพุ้งแก้ม ลิ้นไก่ และโคนลิ้น เพื่อกระตุ้นให้เกิดกระบวนการสร้างคอลลาเจน ทำให้เนื้อเยื่อที่เคยหย่อนกลับมาตึงกระชับ พร้อมเปิดช่องทางเดินหายใจให้กว้างมากขึ้น ลดการสั่นสะเทือนของเนื้อเยื่อที่เป็นสาเหตุของเสียงกรน โดย จะใช้เวลาในการทำการรักษาเพียง 30 นาทีต่อครั้ง ซึ่งมีความสะดวกสบาย และไม่เสี่ยงอันตราย อีกทั้งยัง ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ ในอนาคต

     

    รวมข้อดีของ Snore Laser มีอะไรบ้าง?

    • Snore Laser ช่วยรักษาอาการนอนกรนอย่างมีประสิทธิภาพ 
    • Snore Laser ช่วยให้คุณภาพการนอนหลับดียิ่งขึ้น ทำให้หลับลึก และหายใจสะดวก
    • Snore Laser ช่วยสร้างบรรยากาศการนอนที่ดีขึ้น ลดปัญหาเสียงกรนที่รบกวนคนรอบข้าง 
    • Snore Laser ช่วยลดความเสี่ยงของโรคแทรกซ้อนที่เกิดจากการนอนกรน
    • Snore Laser ไม่ต้องมีการใส่อุปกรณ์เสริมขณะหลับ ทำให้สามารถนอนหลับได้อย่างสบาย 
    • Snore Laser ไม่เจ็บปวด ไม่ต้องผ่าตัด เนื่องจากใช้พลังงานเลเซอร์ในการรักษาอาการนอนกรน
    • Snore Laser มีความสะดวกรวดเร็ว ใช้เวลาในการรักษาเพียง 30 นาทีต่อครั้ง
    • Snore Laser สามารถเห็นผลการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำการรักษา
    • Snore Laser ไม่ต้องมีการพักฟื้น สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ โดยไม่ต้องหยุดทำกิจกรรมใด ๆ
    • Snore Laser ผ่านการรับรองจาก องค์การอาหารและยา (FDA)

     

    Snore Laser เหมาะกับใคร?

    • Snore Laser เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีอาการนอนกรนเป็นประจำ ตั้งแต่ระดับเล็กน้อยจนถึงระดับปานกลาง
    • Snore Laser เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีเนื้อเยื่อเพดานอ่อนหย่อนคล้อย ทางเดินหายใจแคบ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของอาการนอนกรน
    • Snore Laser เหมาะสำหรับ ผู้ที่อยู่ในภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ตั้งแต่ระดับเล็กน้อยจนถึงระดับปานกลาง
    • Snore Laser เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหานอนหลับไม่สนิท สะดุ้งตื่นบ่อย และรู้สึกอ่อนเพลียในตอนกลางวัน
    • Snore Laser เหมาะสำหรับ ผู้ที่ไม่ต้องการผ่าตัด ไม่ต้องการเจ็บตัว และไม่ต้องการพักฟื้น
    • Snore Laser เหมาะสำหรับ ผู้ที่ไม่ต้องการใส่อุปกรณ์ขณะหลับ รู้สึกอึดอัดขณะสวมใส่อุปกรณ์
    • Snore Laser เหมาะสำหรับ ผู้ที่อยู่อาศัยร่วมกับผู้อื่น เสียงกรนรบกวนคนรอบข้าง 

    ทั้งนี้ ก่อนเข้ารับบริการควรปรึกษาแพทย์ และแจ้งประวัติสุขภาพให้แพทย์ทราบอย่างละเอียด ทั้งประวัติโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ ประวัติการรักษา และยาที่กำลังรับประทาน

     

    ปิดจบปัญหาข้างห้องสะเทือนเพราะนอนกรนได้ที่ รมย์รวินท์คลินิก

    Snore Laser ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีในการรักษาอาการนอนกรน โดยไม่ต้องใส่อุปกรณ์ ไม่ต้องผ่าตัด และไม่ต้องพักฟื้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเนื้อเยื่อเพดานอ่อนหย่อนคล้อย และทางเดินหายใจแคบ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของอาการนอนกรน สำหรับใครที่มีปัญหาอาการนอนกรนอยู่ สามารถเข้ามาปรึกษาแพทย์ได้แล้ววันนี้ที่ รมย์รวินท์ ทุกสาขา เพื่อวิเคราะห์ปัญหา พร้อมวางแผนการรักษาที่เหมาะสม

     

    *ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับบริการ

    *เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯกำหนด

    ผมอยากให้คุณมานั่งเก้าอี้ของผม มานั่งเก้าอี้ที่รมย์รวินท์คลินิกมั้ย Emsella เก้าอี้เสริมรัก กระชับช่องคลอด

    คุณชอบนั่งเก้าอี้แบบไหน? ผมอยากให้คุณมานั่งเก้าอี้ของผม

    คุณชอบนั่งเก้าอี้แบบไหน? ผมอยากให้คุณมานั่งเก้าอี้ของผม ลอง Emsella เก้าอี้เสริมรัก กระชับช่องคลอด

    คุณชอบนั่งเก้าอี้แบบไหน? แม้ว่าการนั่งเก้าอี้จะเป็นสิ่งที่เราใช้อยู่ทุกวัน แต่เชื่อไหมว่าเก้าอี้บางตัวก็สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตเราได้อย่างไม่น่าเชื่อ หากจะเลือกนั่งเก้าอี้ทั้งที ต้องไม่ใช่แค่เก้าอี้ธรรมดาอีกต่อไป นาทีนี้คงหนีไม่พ้นเก้าอี้เสริมรัก กระชับช่องคลอดอย่าง “เก้าอี้ Emsella” ทางลัดของสาว ๆ ยุคใหม่ที่สามารถแก้ไขปัญหาช่องคลอดหลวม อุ้งเชิงกรานหย่อน และปัสสาวะเล็ดได้เป็นอย่างดี โดยไม่จำเป็นต้องถอดเสื้อผ้า และไม่ต้องพักฟื้นหลังทำ เพียงแค่นั่งบนเก้าอี้สบาย ๆ ก็สามารถกระชับช่องคลอดได้ จนลืมการนั่งเก้าอี้แบบเดิม ๆ ไปได้เลย บทความนี้ รมย์รวินท์รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเก้าอี้ Emsella มาให้แล้ว

    คุณชอบนั่งเก้าอี้แบบไหน? ลอง Emsella เก้าอี้เสริมรัก กระชับช่องคลอด
    คุณชอบนั่งเก้าอี้แบบไหน? ลอง Emsella เก้าอี้เสริมรัก กระชับช่องคลอด

    ทำความรู้จักเก้าอี้ Emsella

    เก้าอี้ Emsella คือ เทคโนโลยีกระชับช่องคลอดในรูปแบบเก้าอี้ ที่ใช้พลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความเข้มข้นสูง High-Intensity Focused Electromagnetic (HIFEM) โดยจะเข้าไปฟื้นฟูเซลล์ประสาทกล้ามเนื้อ และทำให้กล้ามเนื้อเกิดการหดเกร็งอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อกระชับกล้ามเนื้อบริเวณช่องคลอด พร้อมรักษาปัญหาอุ้งเชิงกรานหย่อนคล้อย ปัสสาวะเล็ด และเสริมสมรรถภาพทางเพศได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพียงแค่นั่งบนเก้าอี้ Emsella เป็นเวลา 28 นาที ก็เทียบเท่ากับการขมิบมากกว่า 11,200 ครั้ง ซึ่งมีความสะดวกสบาย หลังทำเสร็จสามารถทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้ตามปกติ โดยไม่ต้องพักฟื้น ไม่ต้องผ่าตัด หรือไม่ต้องถอดเสื้อผ้าขณะทำ

    เก้าอี้ Emsella ดีอย่างไร?

    • เก้าอี้ Emsella ช่วยกระชับช่องคลอด และลดปัญหาปัสสาวะเล็ดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    • เก้าอี้ Emsella ช่วยเพิ่มความมั่นใจในการใช้ชีวิตประจำวันมากขึ้น
    • เก้าอี้ Emsella สามารถเทียบเท่ากับการขมิบมากกว่า 11,200 ครั้ง โดยไม่ต้องออกแรงใด ๆ 
    • เก้าอี้ Emsella มีความสะดวกรวดเร็ว และประหยัดเวลา โดยใช้ระยะเวลาในการรักษาเพียง 28 นาที 
    • เก้าอี้ Emsella ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยน หรือถอดเสื้อผ้าขณะทำ เพียงแค่นั่งสบาย ๆ ก็สามารถทำการรักษาได้
    • เก้าอี้ Emsella ไม่ต้องมีการสอดใส่อุปกรณ์ใด ๆ เข้าไปในร่างกาย จึงมีความสบายตัวขณะทำ
    • เก้าอี้ Emsella สามารถเห็นผลลัพธ์หลังทำการรักษาตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ
    • เก้าอี้ Emsella ไม่มีบาดแผลหลังทำการรักษา จึงไม่ต้องมีการพักฟื้น และสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ 
    • เก้าอี้ Emsella ไม่เสี่ยงอันตราย เนื่องจากได้รับการรับรองจาก องค์การอาหารและยา (FDA)
    • เก้าอี้ Emsella สามารถทำการรักษาได้ทุกเพศทั้งผู้หญิง และผู้ชาย

    เก้าอี้ Emsella เหมาะกับใคร?

    • เก้าอี้ Emsella เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาช่องคลอดไม่กระชับ ช่องคลอดหลวม
    • เก้าอี้ Emsella เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาปัสสาวะเล็ด ปัสสาวะบ่อย ควบคุมปัสสาวะยาก
    • เก้าอี้ Emsella เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาช่องคลอดแห้ง ต้องการเพิ่มความชุ่มชื้นให้ช่องคลอด
    • เก้าอี้ Emsella เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีภาวะกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแรง
    • เก้าอี้ Emsella เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการเสริมความแข็งแรงบริเวณกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน
    • เก้าอี้ Emsella เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาช่องคลอด หรือปัสสาวะเล็ดจากการคลอดบุตร 
    • เก้าอี้ Emsella เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาสมรรถภาพทางเพศเสื่อมเล็กน้อย
    • เก้าอี้ Emsella เหมาะสำหรับ ผู้ที่ไม่ต้องการผ่าตัด และไม่ต้องการพักฟื้น
    • เก้าอี้ Emsella เหมาะสำหรับ ผู้ที่ไม่สะดวกออกกำลังกายกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน

    ทั้งนี้ ก่อนเข้ารับบริการ ควรปรึกษาแพทย์ และแจ้งประวัติสุขภาพให้แพทย์ทราบอย่างละเอียด ทั้งประวัติโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ ประวัติการรักษา และยาที่กำลังรับประทานเป็นประจำ เพื่อวางแผนการรักษาอย่างเหมาะสม

    สัมผัสประสบการณ์นั่งเก้าอี้กระชับช่องคลอดก่อนใครที่ รมย์รวินท์คลินิก

    ถึงเวลาบอกลาปัญหาอุ้งเชิงกรานหย่อน ช่องคลอดหลวม และปัสสาวะเล็ด พร้อมเปิดประสบการณ์กระชับช่องคลอด ด้วยเทคโนโลยีใหม่ในรูปแบบเก้าอี้ที่จะคืนความกระชับ และความสุขในทุกกิจกรรม ทำให้คุณรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงได้ โดยไม่ต้องออกแรง และไม่ต้องพักฟื้นใด ๆ ต้อง “เก้าอี้ Emsella” ที่รมย์รวินท์คลินิก ทุกสาขา

    *ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับบริการ

    *เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯกำหนด

    รวมวิธีรักษาฝ้า ที่รมย์รวินท์คลินิก

    รวมวิธีรักษาฝ้า ที่รมย์รวินท์คลินิก

    ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




      วันที่สะดวกในการติดต่อ








      รวมวิธีรักษาฝ้า ที่รมย์รวินท์คลินิก

      ฝ้าปัญหาผิวกวนใจที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ถึงแม้จะไม่ส่งผลอันตรายร้ายแรงต่อผิว แต่ก็สร้างความกังวลใจให้ผู้ที่เป็นไม่น้อยเลยทีเดียว ในปัจจุบันจึงมีการรักษาฝ้าให้เลือกมากมายหลายวิธี ซึ่งแต่ละวิธีก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป วันนี้รมย์รวินท์จึงจะพาทุกคนไปเจาะลึกถึงวิธีการรักษาฝ้าแบบเร่งด่วนทุกรูปแบบ พร้อมบอกเคล็ดลับในการเลือกวิธีการรักษาฝ้าให้เหมาะสมกับตัวเอง รู้ไว้ฝ้าหายไว้ผิวกลับมาเนียนใสแน่นอนค่ะ

       

      ฝ้าคืออะไร ?

      ฝ้า (Melasma) เป็นปัญหาผิวหนังที่เกิดจุดด่างดำหรือรอยคล้ำเป็นปื้น ซึ่งฝ้าเกิดจากการที่เซลล์ใต้ผิวหนังผลิตเม็ดสีเมลานินมากเกินไป เพื่อพยายามปกป้องผิวจากรังสี UV ในแสงแดด และปัจจัยอื่น ๆ เช่น แสงแดด ฮอร์โมน พันธุกรรม รวมถึงพฤติกรรมการดูแลผิวที่ไม่เหมาะสม แต่ถึงอย่างนั้นฝ้าก็ไม่ได้เป็นปัญหาผิวที่มีความอันตรายร้ายแรงต่อสุขภาพใดๆ เพียงแต่ส่วนใหญ่มักส่งผลกระทบทางด้านความสวยงาม และความมั่นใจ

       

      ฝ้าเกิดจากอะไร ?
      ฝ้าเกิดจากอะไร ?

       

      ฝ้าเกิดจากอะไร ?

      ฝ้า (Melasma)  เกิดจากการสะสมของเม็ดสีเมลานินในผิวหนังมากเกินไป ซึ่งสามารถเกิดได้จากหลายปัจจัยทั้งปัจจัยภายในร่างกายและปัจจัยภายนอก ที่กระตุ้นให้เซลล์เมลาโนไซต์ผลิตเม็ดสีมากขึ้น โดยปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดฝ้าได้ มีดังนี้

      • ฝ้าเกิดจากแสงแดด 

      เมื่อผิวสัมผัสกับแสงแดดเป็นเวลานาน ๆ จะไปกระตุ้นการสร้างเม็ดสีเมลานิน ทำให้เกิดฝ้าได้ โดยเฉพาะในผู้ที่ไม่ได้ป้องกันผิวจากแสงแดดอย่างเหมาะสม

      • ฝ้าเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน  

      การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนที่รวดเร็ว อาจกระตุ้นการเกิดฝ้าได้ เนื่องจากในช่วงที่ร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน หรือในช่วงที่รับฮอร์โมนจากยาคุมกำเนิด อาจทำให้ผิวไวต่อแสงแดดและเกิดฝ้าได้ง่ายขึ้น 

      • ฝ้าลึกเกิดจากมลภาวะและพฤติกรรม 

      มลภาวะที่เจอในแต่ละวัน ไม่ว่าจากฝุ่น ความเครียด ทั้งหมดส่งผลต่อการสร้างเม็ดสี โดยเฉพาะสารอนุมูลอิสระที่กระตุ้นให้เซลล์สร้างเม็ดสีทำงานผิดปกติ จนทำให้ผิวอ่อนแอและเกิดฝ้าได้ง่ายขึ้น

      • ฝ้าเกิดจากเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์บำรุงผิวได้ 

      ถ้าหากส่วนผสมของผลิตภัณฑ์นั้นมีสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองกับผิวหรือไวต่อแสง อาจกระตุ้นให้ฝ้าเกิดขึ้นได้

      • ฝ้าเกิดจากพันธุกรรม 

      หากมีคนในครอบครัวเป็นฝ้า โอกาสเกิดฝ้าในบุคคลนั้นก็เพิ่มขึ้นได้เช่นกัน

      • ฝ้าเกิดจากความร้อน 

      การได้รับความร้อนจากแสงแดด ไอความร้อนจากเตาไฟ หรือความร้อนจากสิ่งต่าง ๆ รอบตัว อาจทำให้เกิดการกระตุ้นให้เม็ดสีสะสมในชั้นลึกของผิวหนัง ส่งผลให้เกิดฝ้าได้

      • ฝ้าเกิดจากการอักเสบของผิวหนัง  

      การเกิดสิว การลอกผิว หรือการกระทำต่าง ๆ ที่ส่งผลให้เกิดการอักเสบของผิว อาจส่งผลให้เกิดการกระตุ้นให้เม็ดสีสะสมในชั้นลึกของผิวหนัง ทำให้เกิดเป็นฝ้าได้

       

      การเกิดฝ้าสามารถเกิดได้จากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะทั้งจากปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก ดังนั้นหากต้องการลดโอกาสการเกิดฝ้าใหม่และการเกิดฝ้าซ้ำ ควรหลีกเลี่ยงปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ค่ะ

       

      วิธีรักษาฝ้าแต่ละชนิด
      วิธีรักษาฝ้าแต่ละชนิด

       

      วิธีรักษาฝ้าแต่ละชนิด

      ฝ้าเป็นปัญหาผิวที่พบได้บ่อยในหลายบุคคล ซึ่งฝ้ามักมีลักษณะเป็นรอยดำ หรือสีผิวที่เข้มขึ้นบนใบหน้าและบริเวณต่าง ๆ ตามร่างกายที่สัมผัสกับแสงแดดบ่อย ๆ โดยฝ้ามีหลายชนิด ซึ่งแต่ละชนิดก็มีลักษณะ และต้องการการรักษาที่แตกต่างกันไป ดังนี้

       

      ฝ้าตื้น (Epidermal Melasma)

      เป็นฝ้าที่เกิดขึ้นบริเวณหนังกำพร้าชั้นบนสุด ซึ่งสาเหตุการเกิดฝ้าตื้นสามารถเกิดได้จากหลายปัจจัย ดังนี้

      ลักษณะของฝ้าตื้น 

      ฝ้าตื้นมีลักษณะเฉพาะที่สังเกตุได้ง่าย  ดังนี้

      • ฝ้าตื้นมักมีขอบเขตชัดเจน
      • ฝ้าตื้นมีลักษณะเป็นจุดสีน้ำตาลอ่อน ไปถึงสีน้ำตาลเข้ม เป็นปื้น
      • ฝ้าตื้นสามารถเห็นได้ชัดขึ้นเมื่อสัมผัสกับแสงแดด
      • ฝ้าตื้นพบได้บ่อยในบริเวณโหนกแก้ม หน้าผาก จมูก และเหนือริมฝีปาก

       

      การรักษาที่เหมาะกับฝ้าตื้น

      ฝ้าตื้นเป็นฝ้าที่สามารถรักษาและควบคุมได้ หากมีการดูแลผิวอย่างเหมาะสม โดยการรักษาฝ้าตื้นมุ่งเน้นไปที่การลดการสร้างเม็ดสี ควบคุมการกระจายตัวของเม็ดสีเมลานิน และป้องกันไม่ให้ฝ้ากลับมาเป็นซ้ำ

       

      ฝ้าลึก (Deep Melasma)

      เป็นภาวะที่เกิดจากการสะสมของเม็ดสีเมลานินในชั้นหนังแท้ (Dermis) ที่มากเกินไป ทำให้เกิดรอยคล้ำบนใบหน้า ซึ่งฝ้าลึกมักเป็นลักษณะที่รักษาได้ยากกว่าฝ้าตื้น เนื่องจากเม็ดสีฝังตัวอยู่ลึกกว่า

      ลักษณะของฝ้าลึก

      • ฝ้าลึกมักมีขอบเขตไม่ชัดเจน และกระจายตัวเป็นบริเวณกว้าง
      • ฝ้าลึกมักสีเข้ม เช่น น้ำตาลเทา หรือน้ำตาลอมฟ้า
      • ฝ้าลึกรักษายากกว่าฝ้าตื้น เนื่องจากเม็ดสีอยู่ในชั้นลึกของผิวหนัง
      • ฝ้าลึกมักพบบริเวณโหนกแก้ม หน้าผาก เหนือริมฝีปาก และคาง

       

      การรักษาที่เหมาะกับฝ้าลึก

      การรักษาฝ้าลึกมุ่งเน้นไปที่การลดการสร้างเม็ดสีโดยการยับยั้งกระบวนการผลิตเมลานิน ปรับสมดุลของเซลล์ผิวเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงและการซ่อมแซมผิว และป้องกันการเกิดฝ้าใหม่ แต่การรักษาฝ้าลึกจะต้องใช้เวลาและความต่อเนื่อง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ

       

      ฝ้าผสม (Mixed Melasma)

      เป็นประเภทของฝ้าที่มีลักษณะผสมระหว่างฝ้าตื้นและฝ้าลึก กล่าวคือ เม็ดสีเมลานินสะสมอยู่ทั้งในชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) และชั้นหนังแท้ (Dermis) ทำให้การรักษามีความซับซ้อนมากกว่าฝ้าชนิดเดียว

      ลักษณะของฝ้าผสม

      • ฝ้าผสมมักมีทั้งจุดสีเข้มที่ชัดเจนของฝ้าตื้น และรอยคล้ำกระจายแบบฝ้าลึก
      • ฝ้าผสมมักมีสีตั้งแต่น้ำตาลอ่อนถึงน้ำตาลเข้ม
      • ฝ้าผสมมักรักษายากกว่าฝ้าตื้น เพราะต้องจัดการทั้งสองชั้นของเม็ดสี
      • ฝ้าผสมมักพบได้ทั่วไปบริเวณโหนกแก้ม หน้าผาก เหนือริมฝีปาก และคาง

       

      การรักษาที่เหมาะกับฝ้าผสม

      การรักษาฝ้าผสมจะรักษายากกว่าฝ้าตื้น และต้องรักษาแบบผสมผสานหลายวิธี  เนื่องจากมีเม็ดสีสะสมอยู่ทั้งในหนังกำพร้าและหนังแท้ การรักษาจึงมุ่งเน้นไปที่การการลดการสร้างเม็ดสีโดยการยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนส ควบคุมปัจจัยกระตุ้นเช่นแสงแดดและฮอร์โมน และเสริมสร้างความแข็งแรงของผิว 

       

      ฝ้าประเภทไหนรักษาได้ง่าย ?

      ฝ้าตื้นเป็นประเภทที่รักษาได้ง่าย เนื่องจากเม็ดสีสะสมอยู่แค่ในชั้นหนังกำพร้า ซึ่งสามารถกำจัดออกได้ง่ายโดยการผลัดเซลล์ผิว , การใช้สารยับยั้งเม็ดสี หรือการใช้เลเซอร์ เพื่อช่วยลดเม็ดสีส่วนเกิน ในขณะที่การรักษาฝ้าลึกและฝ้าผสมต้องใช้ระยะเวลานานกว่า และต้องมีการรักษาหลายขั้นตอนร่วมกัน ทั้งนี้การรักษาฝ้าทุกประเภทควรทำควบคู่ไปกับการป้องกันฝ้า ด้วยการใช้ครีมกันแดดที่มี SPF 50+ PA++++ และการหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น จะช่วยลดการเกิดฝ้าใหม่ และเพิ่มประสิทธิภาพของการรักษาฝ้าได้ 

       

      รวมวิธีการรักษาฝ้าที่รมย์รวินท์คลินิก
      รวมวิธีการรักษาฝ้าที่รมย์รวินท์คลินิก

       

      รวมวิธีรักษาฝ้า ที่รมย์รวินท์คลินิก

      การรักษาฝ้าให้จางลงมีหลากหลายวิธี เพื่อให้สามารถจัดการเม็ดสีเมลานินที่สะสมอยู่ในผิวอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งการรักษาฝ้าให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีควรทำคู่กับการดูแลตัวเองทั้งภายในและภายนอก เพื่อป้องกันการเกิดซ้ำ โดยโปรแกรมรักษาฝ้าที่รมย์รวินท์ สามารถทำได้หลากหลายวิธี ดังนี้

       

      1.วิธีรักษาฝ้าด้วยการทำโปรแกรม Sylyoung

      เป็นเทคโนโลยีเลเซอร์ที่ใช้คลื่น Radio Frequency แบบ Dual Wave จึงสามารถช่วยฟื้นฟูผิวอย่างล้ำลึก ทั้งในระดับผิวหนังชั้นบนและชั้นลึก

      ข้อดีของการรักษาฝ้าด้วยโปรแกรม Sylyoung

      • โปรแกรม Sylyoung ลดฝ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อผิวบริเวณรอบข้าง
      • โปรแกรม Sylyoung เหมาะกับทุกสีผิว โดยเฉพาะผิวคนเอเชียที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดรอยดำหลังทำเลเซอร์แบบอื่น
      • โปรแกรม Sylyoung ระยะเวลาพักฟื้นน้อยและไม่จำเป็นต้องหยุดพักการใช้ชีวิตประจำวัน
      • โปรแกรม Sylyoung ช่วยลดเส้นเลือดฝอยผิดปกติซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของฝ้าได้

      การรักษาแบบนี้เหมาะกับฝ้าประเภท

      • โปรแกรม Sylyoung เหมาะกับฝ้าแบบเลือดฝอย ลดการไหลเวียนของเลือดในบริเวณที่มีปัญหา ส่งผลให้ฝ้าจางลงอย่างไม่เป็นอันตราย
      • โปรแกรม Sylyoung เหมาะกับฝ้าแบบผสมที่มีทั้งเม็ดสีและเส้นเลือดร่วมกัน เนื่องจาก Sylyoung ใช้คลื่น RF แบบ Dual Wave ช่วยลดเม็ดสีพร้อมควบคุมความผิดปกติของเส้นเลือดไปพร้อมกันได้
      • โปรแกรม Sylyoung เหมาะกับฝ้าที่รักษาด้วยวิธีอื่นแล้วไม่ได้ผล หรือผู้ที่ฝ้ากลับมาเป็นซ้ำบ่อย เนื่องจาก Sylyoung ช่วยฟื้นฟูผิวและโครงสร้างใต้ผิวที่ลึกกว่าเลเซอร์ทั่วไป

       

      2.วิธีรักษาฝ้าด้วยการทำ  Nu Pico Laser

      การรักษาฝ้าด้วยโปรแกรม  Nu Pico Laser ด้วยการใช้พลังงานแสงที่มีความเร็วสูง ในการทำลายเม็ดสีเมลานินได้อย่างละเอียดและตรงจุด

      ข้อดีของการรักษาฝ้าด้วยโปรแกรม Nu Pico Laser

      • โปรแกรม  Nu Pico Laser ช่วยลดเลือนฝ้าได้
      • โปรแกรม  Nu Pico Laser ลดความเสี่ยงของการเกิดรอยดำหลังการรักษา
      • โปรแกรม  Nu Pico Laser ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวเรียบเนียนและดูอ่อนเยาว์ขึ้นได้
      • โปรแกรม  Nu Pico Laser เหมาะกับทุกสภาพผิว

      การรักษาแบบนี้เหมาะกับฝ้าประเภท

      • โปรแกรม  Nu Pico Laser ลดเลือนฝ้าตื้นได้อย่างชัดเจน
      • โปรแกรม  Nu Pico Laser สามารถรักษาฝ้าลึกได้แต่ต้องใช้ระยะเวลาและทำต่อเนื่อง
      • โปรแกรม  Nu Pico Laser สามารถรักษาฝ้าผสมได้ หากทำต่อเนื่องและมีการดูแลผิวที่เหมาะสม

       

      3.วิธีรักษาฝ้าด้วยการทำ Smart Bright

      การรักษาฝ้าด้วยการทำโปรแกรม Smart Bright เป็นวิธีการรักษาฝ้าด้วยการใช้แสงเลเซอร์แสงสีเหลืองและแสงสีเขียว ในการลดเม็ดสีเมลานิน ลดการอักเสบ และช่วยฟื้นฟูสภาพผิว ช่วยลดเลือนฝ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพและช่วยให้ผิวดูเรียบเนียนมากขึ้น

      ข้อดีของการรักษาฝ้าด้วยโปรแกรม Smart Bright

      • โปรแกรม Smart Bright ช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานิน ทำให้สามารถลดเลือนฝ้าได้
      • โปรแกรม Smart Bright ช่วยลดการอักเสบของผิวและลดรอยแดง ที่เกิดจากฝ้าและสิวได้ด้วย
      • โปรแกรม Smart Bright ไม่เป็นอันตราย ไม่ทำให้เกิดแผลหรือรอยดำหลังการทำ
      • โปรแกรม Smart Bright ช่วยลดเส้นเลือดฝอยและรอยแดงบนหน้าได้อีกด้วย

      การรักษาแบบนี้เหมาะกับฝ้าประเภท

      • โปรแกรม Smart Bright ช่วยลดฝ้าตื้นที่เกิดในชั้นหนังกำพร้าได้อย่างตรงจุด
      • โปรแกรม Smart Bright สามารถฝ้าลึกได้อย่างมีประสิทธิภาพเมื่อทำอย่างต่อเนื่อง
      • โปรแกรม Smart Bright สามารถรักษาฝ้าผสมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

       

      4.วิธีรักษาฝ้าด้วยการทำโปรแกรม Melasma Fade 

      การรักษาฝ้าด้วยการทำโปรแกรม Melasma Fade เป็นวิธีการรักษาฝ้าด้วยการฉีดสารบำรุงผิวที่ออกแบบมาเพื่อช่วยลดเลือนฝ้าและจุดด่างดำ โดยใช้เทคนิคเฉพาะที่รมย์รวินท์คลินิก

      ข้อดีของการรักษาฝ้าด้วยโปรแกรม Melasma Fade

      • โปรแกรม Melasma Fade ลดเลือนฝ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
      • โปรแกรม Melasma Fade ฟื้นฟูได้อย่างล้ำลึกถึงระดับเซลล์ ทำให้ผิวสามารถฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
      • โปรแกรม Melasma Fade ลดโอกาสการเกิดฝ้าซ้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ
      • โปรแกรม Melasma Fade เห็นผลลัพธ์ได้ชัดเจนกว่าการทาครีมลดฝ้าแบบทั่วไป
      • โปรแกรม Melasma Fade ไม่ทำให้ผิวบางหรือไวต่อแสง

      การรักษาแบบนี้เหมาะกับฝ้าประเภท

      • โปรแกรม Melasma Fade สามารถลดเลือนฝ้าตื้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากลดเมลานินที่ชั้นหนังกำพร้าโดยตรง
      • โปรแกรม Melasma Fade สามารถช่วยลดความเข้มของเม็ดสีฝ้าลึก และปรับสีผิวให้สม่ำเสมอขึ้นได้
      • โปรแกรม Melasma Fade ลดเลือนฝ้าผสมได้ และช่วยทำให้สีผิวดูเรียบเนียนขึ้น

       

      5.วิธีรักษาฝ้าด้วยการทำโปรแกรม  Code of White

      เป็นโปรแกรมรักษาฝ้าที่ถูกออกแบบมาเพื่อฟื้นฟูสภาพผิวเพื่อแก้ปัญหาผิวหมองคล้ำ ฝ้า กระ และจุดด่างดำที่เกิดจากแสงแดด มลภาวะ หรืออายุที่มากขึ้น ซึ่งการรักษาฝ้าด้วยโปรแกรม  Code of White ประกอบด้วยหลายเทคนิคทั้งการใช้เลเซอร์ในระดับอ่อน การผลักสารบำรุงเข้าสู่ผิวชั้นลึก และการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารออกฤทธิ์เฉพาะ เพื่อดูแลผิวทั้งในระดับผิวภายนอกและโครงสร้างใต้ผิว

      ข้อดีของการรักษาฝ้าด้วย  Code of White 

      • โปรแกรม  Code of White ใช้เทคโนโลยีที่ไม่เป็นอันตราย ทั้งในด้านเครื่องมือและผลิตภัณฑ์ที่ใช้ร่วมในการรักษาฝ้า
      • โปรแกรม  Code of White สามารถปรับการรักษาให้เหมาะสำหรับทุกสภาพผิวได้โดยไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง
      • โปรแกรม  Code of White ใช้เทคนิคการผลักสารเข้าสู่ผิวอย่างอ่อนโยน ช่วยปลอบประโลมผิว ลดการอักเสบได้อย่างดี
      • โปรแกรม  Code of White ช่วยปรับสมดุลผิวและลดปัจจัยกระตุ้นที่อาจทำให้เกิดฝ้ากระใหม่ในอนาคตได้

      การรักษาแบบนี้เหมาะกับฝ้าประเภท

      โปรแกรม  Code of White เหมาะกับฝ้าสามารถลดเลือนฝ้า กระ ได้ทั้งในระดับผิวตื้นและลึก ครอบคลุมทั้งเม็ดสีที่อยู่ในชั้นหนังกำพร้าและหนังแท้

      • โปรแกรม  Code of White เหมาะกับฝ้าแบบตื้น
      • โปรแกรม  Code of White เหมาะกับฝ้าแบบลึก
      • โปรแกรม  Code of White เหมาะกับฝ้าแบบผสม
      • โปรแกรม  Code of White เหมาะกับฝ้าเรื้อรังหรือเคยรักษาด้วยวิธีอื่นแล้วยังไม่ได้ผล

      การรักษาฝ้าสามารถทำได้หลายวิธี ควรเลือกวิธีการรักษาฝ้าที่เหมาะสมกับประเภทและความรุนแรงของฝ้า เพื่อให้ได้รับการรักษาที่เหมาะสม ควบคู่กับการดูแลผิวอย่างถูกวิธี จะช่วยลดโอกาสการเกิดฝ้าใหม่ในอนาคตได้ค่ะ

       

      เคล็ดลับการเลือกวิธีรักษาฝ้าให้เหมาะกับตัวเอง
      เคล็ดลับการเลือกวิธีรักษาฝ้าให้เหมาะกับตัวเอง

       

      เคล็ดลับการเลือกวิธีรักษาฝ้าให้เหมาะกับตัวเอง

      การเลือกวิธีรักษาฝ้าให้เหมาะสมกับตัวเองเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้การรักษาฝ้ามีประสิทธิภาพและลดโอกาสการเกิดฝ้าซ้ำในอนาคตได้ แล้วเราควรเลือกรักษาฝ้าแบบไหนที่เหมาะกับตัวเอง ? การเลือกวิธีรักษาฝ้าที่เหมาะสม อาจสามารถพิจารณาได้จากปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ค่ะ 

      • ประเมินประเภทของฝ้าที่เป็นก่อนเลือกวิธีการรักษา

      เพื่อการเลือกการรักษาที่เหมาะสมกับตัวเอง ควรบทราบก่อนว่าฝ้าที่เป็น เป็นฝ้าประเภทใด เนื่องจากฝ้าแต่ละประเภทต้องการการรักษาที่แตกต่างกันออกไป หากปรึกษาแพทย์จะช่วยให้สามารถบอกถึงประเภทฝ้าที่คุณเป็นและได้รับคำแนะนำด้านวิธีการรักษาที่เหมาะสมได้ค่ะ

      • เลือกวิธีการรักษาฝ้าที่เหมาะสมกับสภาพผิวของตัวเอง

      สภาพผิวของแต่ละบุคคลตอบสนองต่อการรักษาที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้นการเลือกวิธีการรักษาฝ้า ควรเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับสภาพผิวของตัวเองด้วย เพื่อลดโอกาสเกิดผลข้างเคียงหลังการรักษาฝ้า

      • เลือกวิธีการรักษาที่มีไม่เป็นอันตรายและผ่านการรับรอง

      ในการรักษาฝ้าไม่ว่าจะเป็นวิธีใด ควรเลือกวิธีการรักษาที่มีไม่เป็นอันตราย มีการรับรอง และการทำโดยผู้ชำนาญการ ในสถานพยาบาลที่เชื่อถือได้ เพื่อไม่เป็นอันตรายตลอดการรักษาค่ะ

      • คำนึงถึงงบประมาณและระยะเวลาการรักษาที่เหมาะสมกับตัวเอง

      การรักษาฝ้าทุกวิธีล้วนมีค่าใช้จ่ายและระยะเวลาในการรักษาที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้นควรเลือกวิธีที่เหมาะสมกับงบประมาณและความต้องการของคุณ เพื่อให้สามารถรักษาฝ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

       

      ทำไมฝ้าถึงกลับมาเป็นอีก หลังจากรักษาหายแล้ว ?
      ทำไมฝ้าถึงกลับมาเป็นอีก หลังจากรักษาหายแล้ว ?

       

      ทำไมฝ้าถึงกลับมาเป็นอีก หลังจากรักษาหายแล้ว ?

      แม้ว่าฝ้าจะสามารถรักษาให้จางลงได้ แต่ฝ้าก็สามารถกลับมาเป็นได้อีก เนื่องจากเกิดการกระตุ้นจากหลายปัจจัย เช่น แสงแดด ฮอร์โมน พันธุกรรม และพฤติกรรมการดูแลผิวที่ไม่เหมาะสม ที่ไปกระตุ้นให้เซลล์เมลาโนไซต์ (Melanocyte) ผลิตเม็ดสีเมลานินมากเกินไป ส่งผลให้รอยฝ้าปรากฏขึ้นอีกครั้ง หากต้องการลดโอกาสที่ฝ้าจะกลับมาเกิดในระยะยาว ควรดูแลผิวให้เหมาะสม รวมถึงควรปกป้องผิวจากแสงแดด และหลีกเลี่ยงปัจจัยที่อาจกระตุ้นให้เกิดฝ้าค่ะ

      สิ่งที่คนเป็นฝ้าควรหลีกเลี่ยงเพื่อไม่ให้เกิดฝ้าซ้ำ

      การป้องกันไม่ให้เกิดฝ้าซ้ำสำหรับผู้ที่เคยเป็นฝ้ามาก่อน เป็นสิ่งที่จำเป็นเป็นอย่างมาก เนื่องจากหลังการรักษาแล้ว ฝ้าก็สามารถเกิดได้หลายปัจจัย ซึ่งการหลีกเลี่ยงปัจจัยเหล่านี้จะช่วยลดโอกาสการเกิดฝ้า และทำให้ผิวแข็งแรงขึ้นได้

       

      • ผู้เป็นฝ้าควรหลีกเลี่ยงแสงแดดและรังสี UV

      ในผู้ที่เป็นฝ้าควรหลีกเลี่ยงแสงแดดและรังสี UV เนื่องจากการสัมผัสรังสี UV มีความเข้มข้นสูง อาจทำให้ผิวเกิดการกระตุ้นเม็ดสีเมลานินมากขึ้น ทำให้เกิดการสะสมใต้ชั้นผิวหนังมากเกินไป จนเกิดเป็นฝ้าขึ้นอีกครั้ง

      • ผู้เป็นฝ้าควรหลีกเลี่ยงความร้อน

      ในผู้ที่เป็นฝ้าควรหลีกเลี่ยงความร้อนและไอร้อนจากที่ต่าง ๆ เนื่องจากความร้อน สามารถกระตุ้นการทำงานของเซลล์เมลาโนไซต์ ทำให้ฝ้ากลับมาเข้มขึ้น หรือกลับมาเกิดเป็นฝ้าอีกครั้ง

      • ผู้เป็นฝ้าควรหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารระคายเคือง

      ในผู้ที่เป็นฝ้าควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมที่อาจทำให้เกิดการระคายเคืองได้ เช่น แอลกอฮอล์ น้ำหอม พาราเบน และสารกันเสีย เนื่องจากสารสกัดจากผลิตภัณฑ์เหล่านี้ อาจทำให้ผิวระคายเคือง หรือผิวบางลงและไวต่อแสงแดด จนกระตุ้นการสร้างเม็ดสีมากเกินไป ทำให้เกิดเป็นฝ้าได้อีก

      • ผู้เป็นฝ้าควรหลีกเลี่ยงมลภาวะและอนุมูลอิสระ

      ในผู้ที่เป็นฝ้าควรหลีกเลี่ยงมลภาวะ สารพิษในอากาศ เนื่องจากสิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดอนุมูลอิสระที่กระตุ้นให้เซลล์ผิวผลิตเม็ดสีมากขึ้น ส่งผลให้ฝ้ากลับมาเข้มขึ้น และรักษาได้ยากขึ้นได้ 

      • ผู้เป็นฝ้าควรกินอาหารที่จำเป็นต่อผิว

      ในผู้ที่เป็นฝ้าควรกินอาหารที่จำเป็นต่อผิว เช่น วิตามิน C, วิตามิน E, ซิงค์ และโอเมก้า 3 เนื่องจากการขาดอาหารที่จำเป็นต่อผิวเหล่านี้ทำให้ผิวอ่อนแอและไวต่อแสงแดดมากขึ้น ส่งผลให้เกิดฝ้าได้

       

      การรักษาฝ้าเร่งด่วนเพื่อให้ผิวหน้ากลับมาสวยเรียบเนียนอีกครั้ง สามารถทำได้หลากหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการทำเลเซอร์ การฉีด หรือการผลัดเซลล์ผิว แต่ทั้งนี้ฝ้าก็สามารถเกิดซ้ำได้หากไม่มีการดูแลผิวที่ถูกต้อง ดังนั้นเมื่อรักษาฝ้าจนฝ้าจางลงแล้ว ควรดูแลผิวอย่างถูกต้องและปกป้องผิวอย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดโอกาสการเกิดฝ้าใหม่ในอนาคต อีกทั้งยังควรเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับตัวเอง เพื่อลดผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ค่ะ 

      ฝ้าเป็นปัญหาผิวที่พบได้บ่อยโดยเฉพาะในผู้หญิง ซึ่งฝ้าสามารถแบ่งออกได้หลายประเภท ได้แก่ ฝ้าตื้น ฝ้าลึก และฝ้าผสม ซึ่งฝ้าแต่ละประเภทเกิดจากปัจจัยที่แตกต่างออกไป ทำให้การรักษาฝ้าในแต่ละประเภทต้องการการรักษาที่ต่างกัน โดยวิธีการรักษาฝ้าในปัจจุบันมีหลากหลายวิธี การเลือกวิธีการรักษาฝ้าที่เหมาะสมกับประเภทของฝ้า จะช่วยให้การรักษาฝ้ามีประสิทธิภาพดีมากขึ้น แม้ว่าฝ้าจะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ในบางกรณี แต่การดูแลที่เหมาะสมสามารถช่วยลดเลือนและควบคุมไม่ให้ฝ้ากลับมาเป็นมากขึ้นได้

       

       

      *ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวแต่ละบุคคล *เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

      รู้ก่อนตัดสินใจ! ยกกระชับหน้าวิธีไหนดี?

      ยกกระชับหน้าวิธีไหนดี

      รู้ก่อนตัดสินใจ! ยกกระชับหน้าวิธีไหนดี?

       

      เคยสังเกตไหมว่าเมื่อเวลาผ่านไป ผิวหน้าของเราเริ่มสูญเสียความกระชับและความยืดหยุ่น ร่องแก้มลึกขึ้น หนังตาตก กรอบหน้าไม่ชัด หรือแม้แต่ริ้วรอยเล็ก ๆ ก็ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ปัจจัยเหล่านี้เกิดจากการเสื่อมสภาพของคอลลาเจนและอีลาสตินตามธรรมชาติ ร่วมกับปัจจัยภายนอก เช่น แสงแดด มลภาวะ ความเครียด และพฤติกรรมการใช้ชีวิต ซึ่งล้วนส่งผลให้ผิวดูหย่อนคล้อย ขาดความสดใส และดูมีอายุเกินกว่าความเป็นจริง

       

      แต่ในปัจจุบัน มีเทคนิคยกกระชับหน้าหลากหลายรูปแบบที่สามารถช่วยย้อนวัยให้ผิวเต่งตึง แลดูอ่อนเยาว์ขึ้น โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ว่าจะเป็น Ulthera Prime, Thermage FLX, Ultra 4D Lift, Fix Lift, Oligio และ EMFACE แต่ละเทคนิคมีจุดเด่นที่แตกต่างกัน ทั้งในด้านของหลักการทำงาน ความลึกของพลังงานที่ใช้ ระยะเวลาการเห็นผล และความเหมาะสมกับสภาพผิวแต่ละประเภท

       

      หากคุณกำลังมองหาวิธียกกระชับหน้าที่ไม่อันตราย เห็นผลลัพธ์จริง และเหมาะกับปัญหาผิวของคุณที่สุด บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจตัวเลือกที่ดี พร้อมเปรียบเทียบข้อดีและข้อเสียของแต่ละเทคนิค รวมถึงปัจจัยสำคัญที่ควรพิจารณา เพื่อให้สามารถตัดสินใจเลือกสิ่งที่ตอบโจทย์ ทั้งปัญหาผิวและไลฟ์สไตล์ได้อย่างมั่นใจ

       

      สรุปยกกระชับหน้า วิธีไหนดี?

      การเลือกวิธียกกระชับหน้าที่ดี ขึ้นอยู่กับ ปัญหาผิว อายุ งบประมาณ และผลลัพธ์ที่ต้องการ เนื่องจากแต่ละเทคนิคมีคุณสมบัติและข้อดีที่แตกต่างกัน การเลือกวิธีที่เหมาะสมกับตนเองจึงเป็นสิ่งสำคัญ

       

      ซึ่งไม่มีวิธีใดที่ดีสำหรับทุกคน เพราะแต่ละบุคคลมีสภาพผิวและความต้องการที่แตกต่างกัน การปรึกษาแพทย์เฉพาะทาง จะช่วยให้ทุกคนได้รับคำแนะนำที่เหมาะสม เลือกเทคนิคที่ไม่อันตราย และให้ผลลัพธ์ที่ตรงกับความต้องการของทุกคนมากที่สุด

       

      ยกกระชับหน้าด้วยเทคโนโลยียกกระชับ มีอะไรบ้าง?
      ยกกระชับหน้าด้วยเทคโนโลยียกกระชับ มีอะไรบ้าง?

       

      ยกกระชับหน้าด้วยเทคโนโลยียกกระชับ มีอะไรบ้าง? ยกกระชับหน้าวิธีไหนดี?

      สำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูง การใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ช่วยยกกระชับผิวหน้าเป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยม โดยเทคโนโลยีที่แนะนำ ดังนี้

      เทคโนโลยี Microfocused Ultrasound (MFU-V) ทำงานโดยส่งพลังงานอัลตราซาวนด์แบบโฟกัสสูงลงลึกถึงชั้น SMAS เพื่อกระตุ้นการผลิต คอลลาเจน และ อีลาสติน ตามธรรมชาติ ช่วยให้ผิวกระชับ เต่งตึงขึ้น พร้อมลดเลือนริ้วรอยบริเวณร่องแก้ม หางตา และลำคอ อีกทั้งยังช่วยปรับกรอบหน้าให้ดูเรียวและได้รูปมากขึ้น

      เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับใบหน้าและลำคอโดยไม่ต้องผ่าตัด หรือผู้ที่เริ่มมีปัญหาผิวหย่อนคล้อยในระดับปานกลาง โดยผลลัพธ์จะค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นภายใน 2-3 เดือน และสามารถคงอยู่ได้นาน 1-2 ปี

      • ยกกระชับหน้าด้วย Thermage FLX

      ใช้พลังงาน Monopolar RF (Radio Frequency) ส่งความร้อนลงลึกถึงชั้นไขมันใต้ผิว กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและช่วยให้โครงสร้างผิวแน่นขึ้น ช่วยลดไขมันส่วนเกินใต้ผิวหน้า เช่น บริเวณแก้ม คางสองชั้น และเหนียง ให้กรอบหน้าคมชัดขึ้น ให้ผลลัพธ์ที่ดูไม่แปลก ไม่ทำให้ใบหน้าแข็งตึง และสามารถใช้ได้กับทุกสภาพผิว เหมาะสำหรับผู้ที่มี ผิวหย่อนคล้อย และต้องการกระชับผิวแบบไม่ต้องผ่าตัด ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 1-2 ปี โดยจะเริ่มเห็นผลหลังทำ 2-3 เดือน

      ใช้เทคโนโลยี Micro&Macro focused Ultrasound ส่งพลังงานลงลึกถึงชั้น SMAS ช่วยให้ใบหน้ากระชับและริ้วรอยจางลง ลดเลือนริ้วรอยและเสริมสร้างอีลาสติน ทำให้ผิวหน้าดูเฟิร์มขึ้นและเนียนละเอียดขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูสภาพผิวแบบองค์รวม ทั้งในเรื่องของการยกกระชับหน้าและปรับรูปหน้าให้สมดุล เห็นผลลัพธ์ชัดเจนขึ้นใน 1-3 เดือน และอยู่ได้นาน 1 ปี

      • ยกกระชับหน้าด้วย Fix Lift

      ใช้เทคโนโลยี Microneedle RF (Radio Frequency Microneedling) ซึ่งเป็นการผสานพลังงานคลื่นวิทยุร่วมกับเข็มขนาดเล็ก 24 pin เพื่อส่งพลังงานลงลึกถึงชั้นใต้ผิว ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและเร่งการผลัดเซลล์ผิว ทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น ลดเลือนริ้วรอย และรอยแผลเป็นจากสิว และช่วยยกกระชับหน้า ลดความหย่อนคล้อย ทำให้ใบหน้าดูกระชับขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ เหมาะสำหรับผู้ที่มี ริ้วรอยลึก ผิวหย่อนคล้อย หรือมีปัญหารูขุมขนกว้าง และต้องการฟื้นฟูผิวในระดับลึก เห็นผลลัพธ์ชัดเจนภายใน 1-2 เดือน และสามารถอยู่ได้นาน 1-2 ปี

      • ยกกระชับหน้าด้วย Oligio

      ใช้พลังงาน Monopolar RF ส่งคลื่นวิทยุความถี่สูงเพื่อช่วยยกกระชับหน้า โดยให้ความรู้สึกสบายและเจ็บน้อยกว่า กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ลดเลือนริ้วรอย และทำให้ผิวแน่นขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการ ผลลัพธ์ที่เป็นดูสวยเหมือนไม่ได้ทำอะไรมา ไม่ต้องพักฟื้น และต้องการทำหัตถการที่เจ็บน้อย สามารถทำได้กับหลายบริเวณ เช่น ใบหน้า คอ และรอบดวงตา ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 6-12 เดือน และสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ภายใน 1-2 เดือน 

      • ยกกระชับหน้าด้วย EMFACE

      ใช้พลังงาน HIFES+Radio Frequency ในการกระตุ้นกล้ามเนื้อใบหน้าให้แข็งแรงขึ้น ช่วยยกกระชับหน้า ลดริ้วรอย และฟื้นฟูโครงสร้างผิว โดยไม่ต้องใช้เข็มหรือสารเติมเต็ม ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อใบหน้าให้แข็งแรงขึ้น ทำให้ใบหน้าดูสดใส อ่อนเยาว์ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการ กระชับผิวหน้า ลดความหย่อนคล้อย เห็นผลได้ตั้งแต่ 4-6 สัปดาห์หลังทำ และผลลัพธ์สามารถอยู่ได้นานถึง 6-12 เดือน

      ใช้เส้นไหมละลายที่มีโครงสร้างพิเศษสอดเข้าไปใต้ผิวหนัง เพื่อดึงและยกกระชับหน้าในทันที กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนรอบเส้นไหม ทำให้ผิวแน่นขึ้นและดูเต่งตึงขึ้นในระยะยาว เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการ ยกกระชับหน้า แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย และปรับรูปหน้าให้ดูคมชัดขึ้น เห็นผลลัพธ์ทันทีหลังทำ และผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 6-12 เดือน ขึ้นอยู่กับชนิดของไหม

      การฉีดไฮยาลูรอนิก แอซิด (HA) เป็นเทคนิคที่ช่วยเติมเต็มบริเวณที่มีร่องลึก เช่น ร่องแก้ม ใต้ตา ขมับ คาง และกรอบหน้า เพื่อให้ใบหน้าดูเอิบอิ่มขึ้น พร้อมลดปัญหาความหย่อนคล้อยที่เกิดจากการสูญเสียไขมันใต้ผิว

      เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าให้สมส่วน และลดเลือนริ้วรอยเพื่อให้ดูอ่อนเยาว์ยิ่งขึ้น โดยสามารถเห็นผลลัพธ์ได้ทันทีหลังทำ และคงอยู่ได้นานประมาณ 6-18 เดือน ขึ้นอยู่กับประเภทของโปรแกรมฟิลเลอร์ที่ใช้

      • ยกกระชับหน้าด้วยโปรแกรมฉีดโบ

      เป็นวิธีที่ใช้สำหรับลดริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงสีหน้า เช่น หน้าผาก หางตา รอยย่นระหว่างคิ้ว ช่วยลดขนาดกรามและปรับรูปหน้าให้ดูเรียวขึ้น โดยการคลายตัวของกล้ามเนื้อ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการใบหน้าดูสดใส อ่อนเยาว์ขึ้น เห็นผลภายใน 3-7 วัน และผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 3-6 เดือน

       

      ยกกระชับหน้าด้วยวิธีธรรมชาติ มีแบบไหนบ้าง? ยกกระชับหน้าวิธีไหนดี?

      สำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับหน้าแบบไม่ต้องใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ การดูแลผิวด้วยวิธีธรรมชาติสามารถช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่นมากขึ้น และชะลอการเกิดริ้วรอยได้

      • การนวดหน้าเพื่อกระตุ้นคอลลาเจน

      การนวดหน้าช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ทำให้ผิวหน้าดูสดใสขึ้น ช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและลดอาการบวมของใบหน้า เทคนิคที่นิยม เช่น การนวดกดจุด, การนวดด้วยน้ำมันธรรมชาติ หรือการใช้กัวซา

      • การออกกำลังกายใบหน้า (Face Yoga)

      ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อใบหน้าให้แข็งแรง ทำให้ใบหน้ากระชับขึ้น ลดความหย่อนคล้อยบริเวณกรอบหน้าและแก้ม ท่าที่นิยม ได้แก่ ท่าปากจู๋, ท่ายกหน้าผาก, ท่ายกคาง และการบริหารกล้ามเนื้อรอบดวงตา

      • การเลือกใช้ครีมและเซรัมกระชับผิว

      ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ เปปไทด์, เรตินอล, วิตามินซี และไฮยาลูรอนิก แอซิด ซึ่งครีมกระชับผิวจะช่วยเติมความชุ่มชื้นและเสริมสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ส่วนเซรัมที่มีสารแอนตี้ออกซิแดนท์จะช่วยป้องกันการเสื่อมของเซลล์ผิว

      • อาหารที่ช่วยเพิ่มคอลลาเจนให้ผิว
      • อาหารที่อุดมด้วยวิตามินซี เช่น ส้ม ฝรั่ง และเบอร์รี่ ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
      • อาหารที่มีโอเมก้า 3 เช่น ปลาแซลมอน ถั่วอัลมอนด์ และอะโวคาโด ช่วยให้ผิวยืดหยุ่น
      • โปรตีนจากธรรมชาติ เช่น ไข่ขาว กระดูกอ่อน และเจลาติน ช่วยเสริมสร้างโครงสร้างผิว
      • การนอนและดื่มน้ำให้เพียงพอ

      การนอนหลับที่เพียงพอ ช่วยให้ร่างกายซ่อมแซมผิวและผลิตคอลลาเจน และการดื่มน้ำวันละ 8-10 แก้วช่วยรักษาความชุ่มชื้นของผิวและทำให้ผิวดูอิ่มฟู

       

      ยกกระชับหน้าวิธีไหนดี?  วิธีเลือกวิธียกกระชับหน้าที่เหมาะกับตัวเอง

      การเลือกวิธียกกระชับหน้าที่เหมาะสม ขึ้นอยู่กับปัญหาผิว อายุ งบประมาณ และผลลัพธ์ที่คาดหวัง ซึ่งแต่ละปัจจัยมีผลต่อการเลือกเทคนิคที่ให้ประสิทธิภาพที่ดี โดยพิจารณาจากปัจจัยดังต่อไปนี้

      • ปัญหาผิวหน้า

      สำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับใบหน้า ควรเริ่มต้นจากการพิจารณาว่าผิวของตนเองมีปัญหาอะไร และต้องการแก้ไขในบริเวณไหน เช่น

      • ผู้ที่มีริ้วรอยรอบดวงตา หน้าผาก และร่องแก้ม ควรเลือก Ulthera Prime, Thermage FLX, Oligio, โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ หรือโปรแกรมฉีดโบ ซึ่งช่วยลดริ้วรอยและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
      • หากมีปัญหาหนังตาตกหรือคิ้วตก แนะนำ Ulthera Prime, EMFACE หรือร้อยไหม ซึ่งช่วยยกกระชับบริเวณใบหน้า และปรับโครงสร้างให้ดูสดใส อ่อนเยาว์ยิ่งขึ้น
      • สำหรับผู้ที่มีปัญหาแก้มหย่อนคล้อยหรือกรอบหน้าไม่ชัด สามารถเลือก Thermage FLX, Fix Lift, Ultra 4D Lift หรือการร้อยไหม ที่ช่วยให้ใบหน้าดูกระชับขึ้น พร้อมปรับรูปหน้าให้ดูเรียวได้สัดส่วนมากขึ้น
      • สำหรับผู้ที่มีปัญหาคางสองชั้นและเหนียง ควรเลือก Thermage FLX, Ultra 4D Lift หรือ Fix Lift เพื่อช่วยลดไขมันและกระชับผิวหน้า
      • อายุและสภาพผิว

      อายุเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการเลือกวิธียกกระชับหน้า เนื่องจากสภาพผิวในแต่ละช่วงวัยมีความแตกต่างกัน

      • สำหรับผู้ที่อายุ 30+ มักเริ่มมีริ้วรอยเล็ก ๆ และผิวหย่อนคล้อยเพียงเล็กน้อย ควรเลือก  Oligio, EMFACE, โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ หรือโปรแกรมฉีดโบ ซึ่งช่วยดูแลผิวให้ดูอ่อนเยาว์และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
      • สำหรับผู้ที่อายุ 40+ มักมีความหย่อนคล้อยของใบหน้ามากขึ้น กรอบหน้าเริ่มไม่ชัด และริ้วรอยลึกขึ้น ควรเลือก Ulthera Prime, Thermage FLX, Fix Lift, Ultra 4D Lift หรือ ร้อยไหม ซึ่งช่วยยกกระชับและฟื้นฟูผิวอย่างล้ำลึก
      • สำหรับผู้ที่อายุ 50+ ปัญหาผิวที่พบได้บ่อยคือ ริ้วรอยลึก ผิวบาง และขาดความยืดหยุ่น ควรเลือก Thermage FLX, Fix Lift, Ultra 4D Lift, โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ หรือร้อยไหม ซึ่งสามารถช่วยเติมเต็มและยกกระชับใบหน้าให้ดูสดใสขึ้น

       

      งบประมาณ

      ค่าใช้จ่ายในการยกกระชับหน้าขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีที่เลือก ซึ่งมีราคาตั้งแต่หลักหมื่นไปจนถึงหลักแสน โดยแต่ละเทคนิคมีช่วงราคาที่แตกต่างกัน ดังนี้

      • Oligio มีราคาเริ่มต้นที่ 10,000 – 30,000 บาท และผลลัพธ์อยู่ได้นาน 6-12 เดือน
      • EMFACE มีราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 30,000 – 60,000 บาท สามารถคงผลลัพธ์ได้นานประมาณ 12 เดือน
      • Ulthera Prime ราคาเริ่มต้นที่ 50,000 – 100,000 บาท และให้ผลลัพธ์ที่อยู่ได้นาน 1-2 ปี
      • Thermage FLX มีช่วงราคา 60,000 – 120,000 บาท และผลลัพธ์อยู่ได้นานถึง 1-2 ปี
      • Fix Lift มีค่าใช้จ่ายประมาณ 40,000 – 80,000 บาท และอยู่ได้นาน 1-2 ปี
      • Ultra 4D Lift มีค่าใช้จ่ายเริ่มต้น 40,000 – 90,000 บาท และสามารถอยู่ได้นาน 12-18 เดือน
      • ร้อยไหม มีค่าใช้จ่ายอยู่ระหว่าง 20,000 – 50,000 บาท และอยู่ได้นาน 6-12 เดือน
      • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ มีราคาประมาณ 15,000 – 50,000 บาท และสามารถคงผลลัพธ์ได้นาน 6-18 เดือน
      • โปรแกรมฉีดโบ มีราคาประมาณ 5,000 – 30,000 บาท และผลลัพธ์อยู่ได้นาน 3-6 เดือน

       

      5 สัญญาณของผิวหย่อนคล้อย มีอะไรบ้าง?
      5 สัญญาณของผิวหย่อนคล้อย มีอะไรบ้าง?

       

      5 สัญญาณของผิวหย่อนคล้อย มีอะไรบ้าง?

      เมื่ออายุเพิ่มขึ้น กระบวนการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในร่างกายจะค่อย ๆ ลดลง ส่งผลให้โครงสร้างผิวอ่อนแอลง ขาดความยืดหยุ่น และไม่กระชับเหมือนเดิม ทำให้เกิดความหย่อนคล้อยของผิวในบริเวณต่าง ๆ ซึ่งสามารถสังเกตได้จากสัญญาณเหล่านี้

      • ร่องแก้มลึกขึ้น 

      การสูญเสียไขมันใต้ผิวหนังและความยืดหยุ่น ทำให้ร่องแก้มดูชัดเจนขึ้น ส่งผลให้ใบหน้าดูมีอายุ

      • หนังตาตกและคิ้วต่ำลง 

      กล้ามเนื้อบริเวณรอบดวงตาอ่อนแอลง ทำให้ดวงตาดูเหนื่อยล้า ส่งผลให้ใบหน้าดูเรียวไม่กระชับ

      • กรอบหน้าไม่ชัดและคางสองชั้น 

      เกิดจากการสะสมของไขมันและการหย่อนคล้อยของกล้ามเนื้อ ส่งผลให้ใบหน้าดูเรียวไม่กระชับ

      • ริ้วรอยรอบดวงตาและมุมปาก 

      การเคลื่อนไหมของกล้ามเนื้อซ้ำ ประกอบกับการสูญเสียคอลลาเจน ทำให้ริ้วรอยเริ่มปรากฏและลึกขึ้น

      • ผิวบริเวณลำคอหย่อนคล้อย 

      เมื่อคอลลาเจนลดลง ผิวจะดูแห้งกร้าน ขาดความเปล่งปลั่ง และม่ร่องรอยแห่งวัยเพิ่มขึ้น

       

      รวมปัจจัยที่ทำให้ผิวหน้าหย่อนคล้อยก่อนวัย

      แม้ว่าการเสื่อมสภาพของผิวจะเป็นกระบวนการตามธรรมชาติ แต่มีปัจจัยหลายอย่างที่อาจทำให้เกิดความหย่อนคล้อยของผิวก่อนวัยอันควร ได้แก่

      • อายุที่เพิ่มขึ้น

      เมื่ออายุมากขึ้น เซลล์ผิวสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินลดลง ทำให้ผิวสูญเสียความตึงกระชับ

      • แสงแดดและรังสี UV

      การได้รับรังสี UV เป็เนวลานานจะทำให้เซลล์ผิวถูกทำลาย คอลลาเจนเสื่อมสภาพเร็วขึ้น และเกิดริ้วรอยก่อนวัย

      • มลภาวะและฝุ่นควั

      ส่งผลให้อนุมูลอิสระสะสมในชั้นผิว ทำให้เซลล์ผิวอ่อนแอและเกิดความเสื่อมสภาพเร็วยิ่งขึ้น

      • พฤติกรรมการใช้ชีวิต

      เช่น การพักผ่อนไม่เพียงพอ การรับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ การดื่มแอลกอฮอล์ และการสูบบุหรี่

      • ความเครียดและฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลง

      ความเครียดเรื้อรังส่งผลให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ซึ่งเร่งการเสื่อมของเซลล์ผิว ทำให้ผิวดูแก่กว่าวัย

      • การลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว

      การลดน้ำหนักโดยไม่ค่อยออกกำลังกาย อาจทำให้ผิวสูญเสียความกระชับ เพราะเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังลดลงเร็วเกินไป

       

      ยกกระชับหน้าด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ ช่วยอะไรบ้าง?
      ยกกระชับหน้าด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ ช่วยอะไรบ้าง?

       

      ยกกระชับหน้าด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ ช่วยอะไรบ้าง?

      • ยกกระชับหน้า ทำให้ได้ผลลัพธ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
      • ยกกระชับหน้า ช่วยลดริ้วรอยและร่องลึกบนใบหน้า
      • ยกกระชับหน้า ช่วยกระชับกรอบหน้าและลดคางสองชั้น
      • ยกกระชับหน้า ช่วยฟื้นฟูสภาพผิวให้ดูเรียบเนียนและสุขภาพดี
      • ยกกระชับหน้า ให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและเป็นธรรมชาติ
      • ยกกระชับหน้า มีเทคนิคที่สามารถให้ผลลัพธ์ได้ทันที
      • ยกกระชับหน้า ผลลัพธ์อยู่ได้นาน โดยไม่ต้องทำบ่อย
      • ยกกระชับหน้า สามารถปรับแต่งให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล
      • ยกกระชับหน้า สามารถช่วยลดไขมันสะสมใต้ผิว พร้อมปรับรูปหน้าให้เรียวขึ้น
      • ยกกระชับหน้า ช่วยปรับปรุงคุณภาพผิวโดยรวมให้ดีขึ้น
      • ยกกระชับหน้า สามารถเลือกแก้ไขปัญหาเฉพาะจุดได้
      • ยกกระชับหน้า สามารถผสมผสานหลายเทคนิคเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีอย่างมีประสิทธิภาพ
      • ยกกระชับหน้า มีทั้งวิธีที่เห็นผลทันทีและวิธีที่ช่วยฟื้นฟูผิวในระยะยาว
      • ยกกระชับหน้า มีตัวเลือกหลากหลายตามความต้องการของแต่ละบุคคล
      • ยกกระชับหน้า มีเสี่ยงอันตรายเมื่อทำโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์
      • ยกกระชับหน้า ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้นนาน ด้วยการใช้เทคโนโลยียกกระชับ

       

      ใครบ้างที่ควรยกกระชับหน้า แก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย

      • ยกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป และต้องการชะลอวัย
      • ยกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหน้าหย่อนคล้อย
      • ยกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มมีริ้วรอยและร่องลึกบนใบหน้า
      • ยกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาหนังตาตก คิ้วตก หรือใบหน้าดูเหนื่อยล้า
      • ยกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาคางสองชั้นหรือกรอบหน้าไม่ชัด
      • ยกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวหลังลดน้ำหนัก
      • ยกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดเหนียงและกระชับคางสองชั้น
      • ยกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการป้องกันหรือชะลอความหย่อนคล้อยของผิว
      • ยกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเสริมความมั่นใจและภาพลักษณ์ที่ดีขึ้น
      • ยกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าให้ดูสมส่วนและอ่อนเยาว์ขึ้น
      • ยกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเห็นผลลัพธ์เร็ว โดยไม่ต้องพักฟื้นนาน
      • ยกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูสภาพผิวให้ดูเรียบเนียนและสุขภาพดีขึ้น
      • ยกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับใบหน้าโดยไม่ต้องผ่าตัด
      • ยกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดริ้วรอยแบบไม่ต้องพึ่งศัลยกรรม
      • ยกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวจากแสงแดดและมลภาวะ
      • ยกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปรับผิวให้ดูเรียบเนียนและกระจ่างใสขึ้น
      • ยกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่ยาวนาน และไม่ต้องทำซ้ำบ่อย
      • ยกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่กลัวเข็ม หรือไม่ต้องการฉีดสารเติมเต็มเข้าสู่ร่างกาย
      • ยกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการแก้ไขปัญหาผิวที่เกิดจากความเครียด และการใช้ชีวิตประจำวัน

       

      ใครบ้างที่ไม่ควรยกกระชับหน้าเพื่อแก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย

      • ยกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะโรคผิวหนัง หรือมีปัญหาผิวหนังอักเสบ
      • ยกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัวรุนแรง เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน หรือแพ้ภูมิตัวเอง
      • ยกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับหญิงตั้งครรภ์ หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร
      • ยกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีอุปกรณ์ทางการแพทย์ฝังในร่างกาย เช่น เครื่องกระตุ้นหัวใจ
      • ยกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุน้อยเกินไป และยังไม่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยชัดเจน
      • ยกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่แพ้หรือไวต่อพลังงานความร้อนสูง
      • ยกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะผิวแพ้ง่าย หรือมีแนวโน้มเกิดแผลเป็นง่าย
      • ยกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาภาวะเลือดออกง่าย 
      • ยกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีมีโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบไหลเวียนโลหิต
      • ยกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวหน้ามีไขมันน้อย หรือใบหน้าผอมมาก
      • ยกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีประวัติเป็นโรคเริมที่ริมฝีปากหรือใบหน้า
      • ยกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีประวัติแพ้ยาชาหรือไวต่อความเจ็บปวด
      • ยกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียที่ผิวหนัง
      • ยกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีรอยสักบริเวณที่ต้องทำหัตถการยกกระชับหน้า
      • ยกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีโรคที่ส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน
      • ยกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวบางเกินไป
      • ยกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีแนวโน้มเกิดภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรง

       

      การเตรียมตัวก่อนทำยกกระชับหน้า

      • ก่อนทำยกกระชับหน้า ควรศึกษาและเลือกเทคนิคที่เหมาะสมกับปัญหาผิว
      • ก่อนทำยกกระชับหน้า ควรเข้ารับคำปรึกษากับแพทย์เฉพาะทาง เพื่อให้แพทย์ประเมินสภาพผิว
      • ก่อนทำยกกระชับหน้า ควรนอนหลับอย่างน้อย 7-8 ชั่วโมง ก่อนวันเข้ารับการรักษา
      • ก่อนทำยกกระชับหน้า หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอาง ครีม หรือโลชั่นใด ๆ บนใบหน้า วันที่เข้ารับการรักษา
      • ก่อนทำยกกระชับหน้า หลีกเลี่ยงยาที่ส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด อย่างน้อย 1 สัปดาห์
      • ก่อนทำยกกระชับหน้า หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก อย่างน้อย 24 ชั่วโมง
      • ก่อนทำยกกระชับหน้า หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้าโดยไม่จำเป็น
      • ก่อนทำยกกระชับหน้า งดเลเซอร์หน้า การทำสครับผิว อย่างน้อย 1 สัปดาห์
      • ก่อนทำยกกระชับหน้า งดดื่มแอลกอฮอล์และงดสูบบุหรี่ อย่างน้อย 24-48 ชั่วโมง
      • ก่อนทำยกกระชับหน้า งดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกรดผลัดเซลล์ผิว เรตินอล หรือวิตามินซีเข้มข้น 2-3 วัน

       

      การดูแลตัวเองหลังทำยกกระชับหน้า

      • หลังทำยกกระชับหน้า หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้าใน 24 ชั่วโมงแรก
      • หลังทำยกกระชับหน้า หลีกเลี่ยงการโดนแดดโดยตรง อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์
      • หลังทำยกกระชับหน้า หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกมาก เช่น ออกกำลังกายหนัก, การซาวน่า, อบไอน้ำ และการแช่น้ำร้อน ในช่วง 48 ชั่วโมงแรก
      • หลังทำยกกระชับหน้า หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ อย่างน้อย 3-7 วัน
      • หลังทำยกกระชับหน้า หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีกรดผลัดเซลล์ผิว, เรตินอล และวิตามินซีเข้มข้น ในช่วง 5-7 วันแรก
      • หลังทำยกกระชับหน้า งดนวดหน้า, ขัดผิวหน้า หรือเลเซอร์ผิวหน้า อย่างน้อย 2 สัปดาห์
      • หลังทำยกกระชับหน้า ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ให้ความชุ่มชื้นสูง เช่น มอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่มีไฮยาลูรอนิค แอซิด (Hyaluronic Acid) หรือเซราไมด์
      • หลังทำยกกระชับหน้า ควรดื่มน้ำอย่างน้อย 8-10 แก้วต่อวัน เพื่อช่วยให้ผิวฟื้นฟูเร็วขึ้น
      • หลังทำยกกระชับหน้า ควรรับประทานอาหารที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน

       

      รวมคำถามที่พบบ่อยของการยกกระชับใบหน้า
      รวมคำถามที่พบบ่อยของการยกกระชับใบหน้า

       

      รวมคำถามที่พบบ่อยของการยกกระชับใบหน้า

      การยกกระชับหน้าต่างจากการศัลยกรรมดึงหน้าอย่างไร?

      • การยกกระชับใบหน้าด้วยเทคโนโลยี เช่น Ulthera Prime, Thermage FLX และการร้อยไหม เป็นทางเลือกที่ไม่ต้องผ่าตัดและไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้น โดยช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนตามธรรมชาติ ทำให้ผิวกระชับและเต่งตึงขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ในทางกลับกัน การศัลยกรรมดึงหน้าเป็นหัตถการที่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยอย่างรุนแรง แม้ว่าจะให้ผลลัพธ์ที่ยาวนานกว่า แต่จำเป็นต้องใช้ระยะเวลาพักฟื้นหลังการผ่าตัด

       

      การยกกระชับหน้าอันตรายไหม?

      • การยกกระชับหน้าไม่เป็นอันตรายเมื่อทำโดยแพทย์เฉพาะทาง และใช้เทคโนโลยีที่ได้รับการรับรอง เช่น Ulthera Prime และ Thermage FLX ซึ่งผ่านการรับรองจาก FDA อย่างไรก็ตาม ควรเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐานเพื่อประสิทธิภาพที่ดีของการยกกระชับหน้า

       

      การยกกระชับหน้ามีผลข้างเคียงไหม?

      • โดยทั่วไป อาจมีผลข้างเคียงเล็กน้อย เช่น ผิวแดง รู้สึกตึง หรือบวมเล็กน้อย ซึ่งมักหายไปภายใน 1-7 วัน ขึ้นอยู่กับเทคนิคที่ใช้ หากมีอาการผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์ทันที

       

      สามารถทำการยกกระชับหน้าได้ตั้งแต่อายุเท่าไหร่?

      • การยกกระชับหน้าเหมาะกับผู้ที่มีอายุ 25 ปีขึ้นไป โดยทั่วไปอาจเริ่มมีริ้วรอยเล็ก ๆ หรือโครงหน้าเริ่มไม่กระชับ ซึ่งสามารถใช้เทคโนโลยี เช่น Oligio หรือ EMFACE เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และป้องกันความหย่อนคล้อยในอนาคต

       

      การยกกระชับหน้าทำให้หน้าเล็กขึ้นจริงไหม?

      • การยกกระชับหน้า เช่น Thermage FLX และ Ultra 4D Lift สามารถช่วยลดไขมันสะสมใต้ผิวหนัง เช่น บริเวณ แก้ม คางสองชั้น และเหนียง ทำให้ใบหน้าดูเล็กขึ้น นอกจากนี้การร้อยไหม หรือโปรแกรมฉีดโบกราม สามารถช่วยปรับรูปทรงของใบหน้าให้ดูเล็ก สมส่วนมากขึ้น

       

      ยกกระชับหน้าสำหรับผู้ชายสามารถทำได้ไหม?

      • ผู้ชายสามารถยกกระชับหน้าได้ ผู้ชายที่ต้องการกระชับใบหน้า ลดเหนียง หรือปรับกรอบหน้าให้ชัดเจนขึ้น สามารถทำโปรแกรมยกกระชับ เช่น Thermage FLX, Ulthera Prime, EMFACE หรือร้อยไหม ได้เหมือนผู้หญิงทั่วไป

       

      การเลือกวิธียกกระชับหน้า แบบไหนดี ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็น ปัญหาผิว อายุ งบประมาณ และผลลัพธ์ที่ต้องการ ปัจจุบันมีเทคโนโลยีที่ช่วยยกกระชับหน้าให้เลือกมากมาย ซึ่งแต่ละวิธีมีข้อดีและระยะเวลาของผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน

      ถึงแม้ว่าไม่มีวิธีไหนดีสำหรับทุกคน แต่มีวิธีที่เหมาะสมที่สุดสำหรับ ปัญหาผิวและความต้องการของแต่ละบุคคล การเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์ป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้คุณได้รับคำแนะนำที่เหมาะสมที่สุดและมั่นใจได้ว่า การยกกระชับหน้าจะให้ผลลัพธ์ที่สวยงาม ไม่เป็นอันตราย

      การดูแลผิวให้เต่งตึง อ่อนเยาว์ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องดูแลสุขภาพผิวจากภายใน ด้วยการพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำให้มากขึ้น และใช้สกินแคร์ที่ช่วยกระตุ้นคอลลาเจน เพียงเท่านี้คุณก็สามารถมีใบหน้าที่กระชับ สดใส และดูอ่อนกว่าวัยได้อย่างมั่นใจ

      ช่องคลอดหลวมเกิดจากอะไร? เปิดสาเหตุ พร้อมบอกวิธีคืนความฟิต

      ช่องคลอดหลวมเกิดจากอะไร? เปิดสาเหตุ พร้อมบอกวิธีคืนความฟิต

      ช่องคลอดหลวมเกิดจากอะไร? เปิดสาเหตุ พร้อมบอกวิธีคืนความฟิต

      ช่องคลอดหลวม เป็นปัญหาที่สาว ๆ หลายคนอาจกำลังกังวลจนทำให้ขาดความมั่นใจ และรู้สึกอายเมื่อพูดถึง ซึ่งปัญหาช่องคลอดหลวม ช่องคลอดไม่กระชับ เป็นปัญหาที่พบได้บ่อย และมีสาเหตุที่หลากหลาย วันนี้เราจะพามารู้จักสาเหตุ ช่องคลอดหลวมเกิดจากอะไร? เปิดสาเหตุ พร้อมบอกวิธีคืนความฟิต ช่วยให้คุณเข้าใจถึงสาเหตุ อาการ และวิธีฟื้นฟูช่องคลอดหลวมให้กลับมากระชับ เพิ่มความมั่นใจได้อีกครั้ง

       

      ช่องคลอดหลวม คืออะไร?

      ช่องคลอดหลวมเกิดจากอะไร ? ช่องคลอดหลวม เป็นภาวะที่กล้ามเนื้อภายในช่องคลอดสูญเสียความกระชับและความยืดหยุ่น ซึ่งสาเหตุอาจเกิดได้จากหลายปัจจัย เช่น อายุที่เพิ่มขึ้น การคลอดบุตร พันธุกรรม หรือพฤติกรรมการใช้ชีวิตบางอย่างที่อาจส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพได้ ถึงแม้ว่าภาวะช่องคลอดหลวมจะไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย แต่อาจจะส่งผลต่อความมั่นใจและสุขภาพทางเพศของผู้หญิงได้ 

       

      ช่องคลอดหลวมเกิดจากอะไร อาการเป็นอย่างไร?
      ช่องคลอดหลวมเกิดจากอะไร อาการเป็นอย่างไร?

       

      ช่องคลอดหลวมเกิดจากอะไร อาการเป็นอย่างไร?

      ช่องคลอดหลวม สามารถเกิดขึ้นได้กับผู้หญิงทุกวัย โดยเฉพาะผู้ที่เริ่มเข้าสู่วัยทอง ฮอร์โมนเพศหญิงเริ่มลดลง หรือเคยผ่านการคลอดบุตรมาแล้ว ซึ่งอาการช่องคลอดหลวมเบื้องต้นสามารถสังเกตได้เอง จากอาการที่เกิดขึ้น รวมถึงความรู้สึกที่อาจเปลี่ยนไป ดังนี้

      • ช่องคลอดหลวมอาจทำให้รู้สึกว่าช่องคลอดไม่มีความกระชับเหมือนเดิม
      • ช่องคลอดหลวมอาจทำให้รู้สึกโหว่ง ๆ หรือรู้สึกว่าช่องคลอดมีความหลวม
      • ช่องคลอดหลวมอาจทำให้เริ่มมีปัญหาในการควบคุมปัสสาวะ อาจเกิดอาการปัสสาวะเล็ด กลั้นปัสสาวะไม่ได้
      • ช่องคลอดหลวมอาจทำให้มีอาการปัสสาวะเล็ด ขณะไอ หรือจาม
      • ช่องคลอดหลวมอาจทำให้รู้สึกปวดหน่วงและหนักบริเวณท้องน้อย
      • ช่องคลอดหลวมอาจทำให้ความรู้สึกทางเพศลดลง หรือความรู้สึกร่วมขณะมีเพศสัมพันธ์ลดลง
      • ช่องคลอดหลวมอาจทำให้รู้สึกเจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์
      • ช่องคลอดหลวมอาจทำให้มีอาการช่องคลอดแห้ง ไม่ชุ่มชื้น

       

      นอกจากอาการที่กล่าวมาแล้วนั้น ช่องคลอดหลวมในบางกรณีอาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ปวดหลังส่วนล่าง ปัสสาวะติดขัดจากกล้ามเนื้อบริเวณช่องคลอดและอุ้งเชิงกรานอ่อนแอ หรือพบก้อนที่บริเวณช่องคลอด ซึ่งเป็นอาการที่ร้ายแรง ทั้งนี้หากพบว่ามีอาการช่องคลอดหลวมแล้วทำให้เกิดปัญหาสุขภาพ หรือกระทบกับการใช้ชีวิตประจำวัน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษา 

       

      ช่องคลอดหลวมเกิดจากอะไร ช่องคลอดไม่กระชับ มีวิธีรักษากี่แบบ?
      ช่องคลอดหลวมเกิดจากอะไร ช่องคลอดไม่กระชับ มีวิธีรักษากี่แบบ?

       

      ช่องคลอดหลวมเกิดจากอะไร ช่องคลอดไม่กระชับ มีวิธีรักษากี่แบบ?

      ปัญหาช่องคลอดหลวม ถือเป็นปัญหาสุขภาพที่สามารถเกิดขึ้นได้กับผู้หญิงส่วนมาก ซึ่งอาการช่องคลอดหลวมนั้นอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกาย สุขภาพทางเพศ การใช้ชีวิตประจำวัน รวมถึงขาดความมั่นใจในตัวเองได้ ซึ่งปัจจุบันก็มีวิธีการรักษาช่องคลอดหลวมหลากหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็น วิธีทางการแพทย์ หรือการออกกำลังกาย การดูแลตัวเอง ดังนี้ 

      • กระชับช่องคลอดด้วย โปรแกรม Emsella

      เก้าอี้กระชับช่องคลอดโปรแกรม Emsella ถือเป็นวิธีการแก้ปัญหาช่องคลอดหลวมที่รวดเร็ว สะดวกสบาย และไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย โปรแกรม Emsella เป็นการกระตุ้นการหดตัวของกล้ามเนื้อ และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ด้วยการปล่อยพลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความเข้มข้นสูงแบบเฉพาะเจาะจง (HIFEM) ไปที่กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน เพียงแค่นั่งบนเก้าอี้เวลาประมาณ 30 นาที ก็เทียบเท่ากับการขมิบอย่างต่อเนื่อง 11,200 ครั้ง โปรแกรม Emsella นั้นช่วยกระชับช่องคลอด แก้ปัญหาช่องคลอดหลวม รักษาอาการปัสสาวะเล็ด และช่วยเพิ่มความพึงพอใจทางเพศได้

      • การกระชับช่องคลอดด้วยการผ่าตัด หรือการผ่าตัดรีแพร์ 

      การผ่าตัดรีแพร์ (Vaginal Repair หรือ Vaginoplasty) เป็นวิธีรักษาภาวะช่องคลอดหลวม ช่องคลอดหย่อนยาน หรือภาวะกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแอ ที่อาจนำไปสู่ภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อนคล้อย  โดยการผ่าตัดรีแพร์จะช่วยกระชับช่องคลอดได้ตั้งแต่โครงสร้างภายในจนถึงการตกแต่งช่องคลอดภายนอก จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะช่องคลอดหลวมระดับรุนแรง

      • โปรแกรมเลเซอร์กระชับช่องคลอด 

      โปรแกรมเลเซอร์กระชับช่องคลอด หรือที่เรียกว่ามินิรีแพร์ (Mini Repair) เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยฟื้นฟูและเพิ่มความกระชับให้กับช่องคลอด โดยจะใช้พลังงานเลเซอร์ที่มีความร้อนต่ำ เข้าไปที่ผนังช่องคลอด เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ในเนื้อเยื่อบริเวณผนังช่องคลอด ช่วยให้กล้ามเนื้อมีความแข็งแรงมากขึ้น โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องใช้ยาชา และไม่มีแผล เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการกระชับช่องคลอด แก้ปัญหาช่องคลอดหลวม ช่วยลดอาการช่องคลอดแห้ง กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด 

      • การบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน 

      การบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน หรือการขมิบช่องคลอด (Kegel Exercise) เป็นวิธีธรรมชาติที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อบริเวณอุ้งเชิงกรานและช่องคลอด ช่วยกระชับช่องคลอด พร้อมช่วยป้องกันภาวะปัสสาวะเล็ดได้ ทั้งยังช่วยเพิ่มความพึงพอใจทางเพศได้ ทั้งนี้วิธีนี้เป็นวิธีกระชับช่องคลอดแบบธรรมชาติ แก้ปัญหาช่องคลอดหลวม โดยไม่ต้องใช้เทคโนโลยีทางแพทย์ ไม่ต้องใช้เครื่องมือ 

      การบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน Kegel Exercise แก้ปัญหาช่องคลอดหลวม สามารถทำได้ง่าย ๆ โดยการขมิบกล้ามเนื้อรอบ ๆ ช่องคลอด ไม่ต้องเกร็งหน้าท้อง ก้น หรือขา ขณะขมิบทำการนับ 1 – 10 ไปด้วย จากนั้นค่อย ๆ คลายออก สามารถทำได้วันละ 3 เวลา ครั้งละ 30 ครั้งขึ้นไป และควรทำควบคู่กับหายใจเข้าและออกลึก ๆ ขณะฝึก เพื่อให้กล้ามเนื้อทำงานอย่างถูกต้อง

      • ทานอาหารที่เพิ่มฮอร์โมนเอสโตรเจน

      ยิ่งอายุมากขึ้นฮอร์โมนเอสโตรเจนก็เริ่มลดลง จึงส่งผลให้ช่องคลอดหลวมได้ ซึ่งการป้องกันช่องคลอดหลวมเมื่ออายุมากขึ้น คือ การรับประทานอาหารที่ช่วยเพิ่มฮอร์โมนเอสโตรเจน เช่น ลูกพรุน งา น้ำมะพร้าว เมล็ดแฟลกซ์ น้ำเต้าหู้ งา ถั่ว ผลไม้ตระกูลเบอร์รี แคร์รอต และข้าวสาลี ที่จะช่วยทำให้ช่องคลอดกระชับแก้ปัญหาช่องคลอดหลวม  และช่วยในเรื่องสุขภาพทางเพศ

       

      ช่องคลอดหลวมเกิดจากอะไร แก้ได้ด้วยโปรแกรม Emsella

      โปรแกรม Emsella ทางเลือกใหม่กระชับช่องคลอด แก้ปัญหาช่องคลอดหลวม ปัสสาวะเล็ด กลั้นปัสสาวะไม่ได้ หรือภาวะกล้ามเนื้อช่องคลอดอ่อนแรง ช่องคลอดแห้ง ซึ่ง โปรแกรม Emsella เป็นเทคโนโลยีกระชับช่องคลอดโดยพลังงาน HIFEM ที่พัฒนามาในรูปแบบเก้าอี้ ที่สามารถทำการรักษาช่องคลอดหลวมได้ด้วยการนั่งบนเก้าอี้ โดยจะทำการกระตุ้นการหดเกร็งตัวของกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน ช่วยฟื้นฟูความแข็งแรง ทั้งยังกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินของเนื้อเยื่อ คือความยืดหยุ่น และความกระชับให้ช่องคลอด โปรแกรม Emsella เป็นเทคโนโลยีที่ได้รับรองมาตรฐานระดับสากล ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ แก้ปัญหาช่องคลอดหลวม โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่เจ็บ ไม่เกิดบาดแผล และไม่ต้องพักฟื้น

      ช่องคลอดหลวมเกิดจากอะไร : โปรแกรม Emsella ทำงานอย่างไร?

      โปรแกรม Emsella ใช้เทคโนโลยีพลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความเข้มข้นสูง HIFEM (High-Intensity Focused Electromagnetic Energy) โดยทำการส่งพลังงานผ่านตัวกลางอย่างเก้าอี้ โปรแกรม Emsella ไปยังกล้ามเนื้อบริเวณอุ้งเชิงกรานโดยตรง ทำให้เกิดการหดเกร็งของกล้ามเนื้ออย่างรุนแรง คล้ายการขมิบช่องคลอดอย่างต่อเนื่อง ช่วยกระตุ้นและเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ คล้ายกับการออกกำลังกายบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน (Kegel Exercise) แต่ โปรแกรม Emsella จะให้ประสิทธิภาพที่สูงกว่า เพียงแค่นั่งบนเก้าอี้ โปรแกรม Emsella 30 นาทีก็เทียบเท่ากับการขมิบช่องคลอดถึง 11,200 ครั้ง แก้ปัญหาช่องคลอดหลวม  โดยไม่ต้องออกแรง

       

      ช่องคลอดหลวมเกิดจากอะไร : ทำไมต้องทำโปรแกรม Emsella ?

      • โปรแกรม Emsella ช่วยกระชับช่องคลอด กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินบริเวณเนื้อเยื่อช่องคลอด แก้ปัญหาช่องคลอดหลวม เพิ่มความยืดหยุ่นให้ช่องคลอด
      • โปรแกรม Emsella ลดปัญหาปัสสาวะเล็ด หรือภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ เสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อลดความเสี่ยงของภาวะกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแรง ที่พบได้บ่อยในผู้หญิงหลังคลอดหรือผู้ที่เริ่มเข้าวัยทอง ที่เป็นสาเหตุของการปัสสาวะเล็ด ช่องคลอดหลวม
      • โปรแกรม Emsella เสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบสืบพันธ์ุให้ดีขึ้น เพิ่มความรู้สึกทางเพศมากขึ้น ช่วยให้ความพึงพอใจทางเพศสูงขึ้น
      • โปรแกรม Emsella ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น เป็นหัตถการที่ใช้ระยะเวลาในการทำที่น้อยประมาณ 20-30 นาทีต่อครั้ง ขึ้นอยู่กับปัญหาของแต่ละบุคคล ทั้งนี้หลังทำ โปรแกรม Emsella แก้แก้ปัญหาช่องคลอดหลวม ก็สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้โดยไม่ต้องพักฟื้นนาน

       

      ช่องคลอดหลวมเกิดจากอะไร : โปรแกรม Emsella เหมาะกับใครบ้าง?

      • โปรแกรม Emsella แก้ปัญหาช่องคลอดหลวม เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาช่องคลอดหลวม ช่องคลอดไม่กระชับ จากการคลอดบุตร หรืออายุที่เพิ่มขึ้น
      • โปรแกรม Emsella แก้ปัญหาช่องคลอดหลวม เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาปัสสาวะเล็ด กลั้นปัสสาวะไม่ได้ ขณะไอ จาม หรือหัวเราะ
      • โปรแกรม Emsella แก้ปัญหาช่องคลอดหลวม เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการกระชับช่องคลอด โดยไม่ต้องทำการผ่าตัด ไม่ต้องเลเซอร์
      • โปรแกรม Emsella แก้ปัญหาช่องคลอดหลวม เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการกระชับช่องคลอด แต่ไม่มีเวลาออกกำลังกายบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน
      • โปรแกรม Emsella แก้ปัญหาช่องคลอดหลวม เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการกระชับช่องคลอด โดยไม่ต้องทำการสอดใส่อุปกรณ์ขณะทำ โปรแกรม Emsella เป็นเก้าอี้กระชับช่องคลอด ไม่ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้า
      • โปรแกรม Emsella แก้ปัญหาช่องคลอดหลวม เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่มีเวลา ต้องการความรวดเร็ว ไม่ต้องการพักฟื้นนาน
      • โปรแกรม Emsella แก้ปัญหาช่องคลอดหลวม เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาความพึงพอใจทางเพศที่ลดลง
      • โปรแกรม Emsella แก้ปัญหาช่องคลอดหลวม เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ

      ทั้งนี้ ผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ แจ้งโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา หรือประวัติการรักษา ก่อนเข้ารับการบริการ

       

      ช่องคลอดหลวมเกิดจากอะไร : โปรแกรม Emsella ช่วยเรื่องอะไรบ้าง?
      ช่องคลอดหลวมเกิดจากอะไร : โปรแกรม Emsella ช่วยเรื่องอะไรบ้าง?

       

      ช่องคลอดหลวมเกิดจากอะไร : โปรแกรม Emsella ช่วยเรื่องอะไรบ้าง?

      • โปรแกรม Emsella ช่วยแก้ปัญหาช่องคลอดหลวม ไม่กระชับ ต้องการเพิ่มความยืดหยุ่นให้ช่องคลอด
      • โปรแกรม Emsella ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนบริเวณเนื้อเยื่อช่องคลอด แก้ปัญหาช่องคลอดแห้ง
      • โปรแกรม Emsella ช่วยแก้ปัญหาปัสสาวะเล็ดขณะไอ จาม หรือออกกำลังกาย หรือกลั้นปัสสาวะไม่อยู่
      • โปรแกรม Emsella ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน ทำให้ควบคุมการปัสสาวะได้ดียิ่งขึ้น
      • โปรแกรม Emsella ช่วยทำให้ความรู้สึกทางเพศดีขึ้น ช่วยเพิ่มความมั่นใจ และความพึงพอใจในชีวิตคู่
      • โปรแกรม Emsella ช่วยลดอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อบริเวณอุ้งเชิงกราน
      • โปรแกรม Emsella ช่วยกระชับกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานให้แข็งแรง ช่วยลดโอกาสภาวะกล้ามเนื้อช่องคลอดอ่อนแรง หรือภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อน
      • โปรแกรม Emsella ช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานหลังคลอดให้แข็งแรง กระชับ และฟื้นตัวได้ไวขึ้น
      • โปรแกรม Emsella ช่วยเพิ่มสมรรถภาพทางเพศได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย โดยช่วยชะลอการหลั่งเร็ว และช่วยกระตุ้นอวัยวะเพศให้แข็งตัวได้ดีขึ้นในผู้ชาย

       

      ข้อดีของ โปรแกรม Emsella มีอะไรบ้าง?

      • โปรแกรม Emsella ช่วยรักษาปัญหาช่องคลอดหลวม หย่อนคล้อย ไม่กระชับ หรือมีอาการปัสสาวะเล็ดได้
      • โปรแกรม Emsella ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน ลดการเกิดภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อน
      • โปรแกรม Emsella เป็นการรักษาด้วยพลังงาน HIFEM ที่ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย 
      • โปรแกรม Emsella มีความสะดวกสบาย สามารถนั่งรักษาช่องคลอดหลวมบนเก้าอี้ได้
      • โปรแกรม Emsella ไม่ต้องเตรียมตัวก่อนทำ สามารถทำได้เลย สะดวก รวดเร็ว 
      • โปรแกรม Emsella ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องใช้ยาชา ไม่มีบาดแผล ไม่ต้องพักฟื้น
      • โปรแกรม Emsella สามารถเห็นผลลัพธ์ได้ตั้งแต่ครั้งแรก และสามารถเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนได้เมื่อรักษา 6 ครั้ง
      • โปรแกรม Emsella ไม่ต้องเปลี่ยนชุด หรือไม่ต้องถอดเสื้อผ้าระหว่างการรักษาช่องคลอดหลวม
      • โปรแกรม Emsella แก้ปัญหาช่องคลอดหลวม ไม่มีการสอดอุปกรณ์ใด ๆ เข้าไปภายในร่างกาย
      • โปรแกรม Emsella สะดวก รวดเร็ว ใช้เวลาไม่นานประมาณ 30นาที 
      • โปรแกรม Emsella สามารถทำได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย
      • โปรแกรม Emsella สามารถให้ผลลัพธ์ที่ยาวนาน และสามารถทำซ้ำได้โดยไม่เป็นอันตราย
      • โปรแกรม Emsella ได้รับการรับรองมาตรฐานจากสากล

       

      ช่องคลอดหลวมเกิดจากอะไร?
       ช่องคลอดหลวมเกิดจากอะไร?

       

      ช่องคลอดหลวมเกิดจากอะไร?

      ช่องคลอดหลวมเกิดจากอะไร? ปัญหาช่องคลอดหลวม ไม่กระชับ หรือมีความหย่อนคล้อย เกิดได้จากหลากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็น โครงสร้างทางร่างกาย หรือพฤติกรรมการใช้ชีวิต ที่อาจส่งผลต่อความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานและช่องคลอด ทั้งโดยตรงและทางอ้อม ดังนี้

      • ช่องคลอดหลวมเกิดจากอายุที่เพิ่มขึ้นและการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน

      เมื่อผู้หญิงเริ่มมีอายุที่เพิ่มขึ้น หรือเริ่มเข้าสู่ช่วงวัยทองนั้น ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกายจะลดลง ซึ่งฮอร์โมนเอสโตรเจน นั้นมีบทบาทสำคัญในการคงความยืดหยุ่น และความชุ่มชื้นของเนื้อเยื่อในช่องคลอด เมื่อฮอร์โมนเอสโตรเจนมีระดับที่ลดลง อาจส่งผลให้ผนังช่องคลอดบางลง ช่องคลอดขาดความยืดหยุ่น และอาจนำไปสู่ภาวะช่องคลอดแห้ง ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของปัญหาช่องคลอดหลวม

      • ช่องคลอดหลวมเกิดจากการคลอดบุตรทางช่องคลอด

      คุณแม่หลังคลอดส่วนมากอาจประสบปัญหาช่องคลอดหลวม จากการคลอดบุตรโดยธรรมชาติ เนื่องจากการคลอดนั้นกล้ามเนื้อบริเวณอุ้งเชิงกรานจะมีการยืดขยายกว่าปกติ เพื่อรองรับการคลอดทารก ส่งผลให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานและผนังช่องคลอดเกิดความหย่อนคล้อย ไม่กระชับ แม้ว่าหลังคลอดร่างกายจะสามารถฟื้นตัวได้ แต่กล้ามเนื้ออาจจะไม่กลับมากระชับแบบเดิม โดยเฉพาะผู้ที่ผ่านการคลอดบุตรหลายครั้ง หรือทารกที่มีน้ำหนักตัวมาก อาจทำให้เกิดปัญหาช่องคลอดหลวมได้

      • ช่องคลอดหลวมเกิดจากพฤติกรรมและไลฟ์สไตล์ที่มีผลต่อความกระชับ

      หลาย ๆ พฤติกรรมการใช้ชีวิต ก็อาจทำให้เกิดปัญหาช่องคลอดหลวมโดยไม่รู้ตัว เช่น การสูบบุหรี่ การยกของหนักมากเกินไป หรือน้ำหนักตัวที่เกินมาตรฐาน พฤติกรรมเหล่านี้อาจเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน และเนื้อเยื่อบริเวณช่องคลอดสูญเสียความยืดหยุ่น หรืออาจทำให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแรง และเสี่ยงต่อการเกิดภาวะช่องคลอดหลวม ช่องคลอดหย่อนคล้อยได้ ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้กับผู้หญิงทุกวัย หรือผู้ที่ไม่เคยผ่านการคลอดบุตรมาก่อน 

      • ช่องคลอดหลวมเกิดจากพันธุกรรมและสภาพร่างกายแต่ละบุคคล

      โครงสร้างร่างกายหรือพันธุกรรมของแต่ละบุคคลนั้น มีผลต่อความแข็งแรงของกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานที่แตกต่างกัน  เช่น ผู้ที่มีพันธุกรรมที่ทำให้เนื้อเยื่อเกี่ยวพันอ่อนแอกว่าปกติ ผู้ที่ร่างกายมีการผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินได้น้อย หรือผู้ที่มีโครงสร้างกระดูกเชิงกรานและกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานที่ไม่แข็งแรงตั้งแต่กำเนิด อาจมีแนวโน้มทำให้ช่องคลอดสูญเสียความยืดหยุ่น เกิดปัญหาช่องคลอดหลวมได้ง่ายกว่าปกติ

      • ช่องคลอดหลวมเกิดจากการออกกำลังกายกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานไม่เพียงพอ

      การนั่งเป็นเวลานาน หรือการออกกำลังกายบริเวณกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานน้อย อาจเกิดปัญหาช่องคลอดหลวมได้ ซึ่งกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานมีหน้าที่รองรับอวัยวะภายในช่องท้องส่วนล่างของร่างกาย การออกกำลังกายร่างกายส่วนนี้จึงมีความสำคัญมาก เพราะสามารถช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน ช่วยลดปัญหาช่องคลอดหลวม ช่องคลอดไม่กระชับ และฟื้นฟูปัญหาสุขภาพทางเพศได้ โดยการออกกำลังกายสามารถทำได้ด้วยตัวเอง เช่น การบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน Kegel Exercis แก้ปัญหาช่องคลอดหลวม

       

      ช่องคลอดหลวมเกิดจากอะไร : ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับช่องคลอดหลวม

      ปัญหาช่องคลอดหลวม เรียกได้ว่าเป็นปัญหาที่สาว ๆ หลายคนต่างมีความกังวล และมีข้อสงสัยมากมาย ในบางคนอาจจะยังมีความเข้าใจผิด หรือมีความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับปัญหาช่องคลอดหลวม วันนี้เราจะพาสาว ๆ มาไขข้อสงสัยที่หลายคนต่างเข้าใจผิด ดังนี้

      • ช่องคลอดหลวมเพราะมีเพศสัมพันธ์บ่อย

      การมีเพศสัมพันธ์บ่อยไม่ได้ทำให้ช่องคลอดหลวม  เพราะช่องคลอดถือว่าเป็นอวัยวะที่มีความยืดหยุ่นสูง และสามารถคืนสภาพเดิมได้หลังจากการมีเพศสัมพันธ์ การที่ช่องคลอดหลวมนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนครั้งของการมีเพศสัมพันธ์ แต่ขึ้นอยู่กับหลาย ๆ ปัจจัยร่วมด้วย ไม่ว่าจะเป็น อายุ ฮอร์โมน และการคลอดบุตร ที่อาจทำให้เกิดปัญหาช่องคลอดหลวมไม่กระชับได้

      • ช่องคลอดหลวมถาวรจากการคลอดลูกแบบธรรมชาติ

      การคลอดบุตรตามธรรมชาติ ไม่ได้ทำให้ช่องคลอดหลวมถาวร ถึงแม้ว่าการคลอดจะทำให้เกิดการขยายตัวของกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานและช่องคลอด แต่เป็นการขยายแบบชั่วคราว จากนั้นร่างกายจะสามารถฟื้นตัวได้ และหากมีการออกกำลังกายบริหารอุ้งเชิงกราน หรือการทำ โปรแกรม Emsella ยิ่งจะช่วยทำให้ร่างกายสามารถฟื้นตัวได้เร็วขึ้น แก้ปัญหาช่องคลอดหลวม ช่องคลอดกระชับได้ไวขึ้น 

      • ช่องคลอดหลวมเป็นเรื่องของผู้หญิงสูงวัยเท่านั้น

      ช่องคลอดหลวมไม่ได้เกิดกับผู้หญิงสูงวัยเท่านั้น แต่ผู้หญิงอายุน้อยก็สามารถเกิดปัญหาช่องคลอดหลวมได้ ทั้งนี้เกิดจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็น ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ต่ำลง พันธุกรรม การตั้งครรภ์ รวมถึงพฤติกรรมการใช้ชีวิต ที่เสี่ยงต่อการทำให้ช่องคลอดสูญเสียความยืดหยุ่น และช่องคลอดหลวม

      • ช่องคลอดหลวมเพราะใช้ผ้าอนามัยแบบสอดหรือถ้วยอนามัย

      การใช้ผ้าอนามัยแบบสอดหรือถ้วยอนามัย ไม่มีผลต่อความกระชับของช่องคลอด ไม่ได้ทำให้ช่องคลอดหลวม เนื่องจากอุปกรณ์เหล่านี้ถูกออกแบบมาให้พอดีกับร่างกาย และช่องคลอดมีความยืดหยุ่นสูงสามารถคืนสภาพเดิมได้หลังนำอุปกรณ์เหล่านี้ออก

      • ช่องคลอดหลวมสามารถรักษาได้ด้วยสบู่หรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด

      ปัญหาช่องคลอดหลวมสามารถรักษาได้ด้วยสบู่ หรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด นั้นถือเป็นความเชื่อที่หลายคนเข้าใจผิด เพราะสบู่หรือผลิตภัณฑ์ล้างจุดซ่อนเร้น ไม่มีผลต่อความกระชับของช่องคลอด เนื่องจากเป็นการดูแลจากภายนอก หากต้องการให้ช่องคลอดมีความกระชับขึ้นต้องดูแลสุขภาพจากภายใน เช่น การบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน หรือใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ เช่น โปรแกรม Emsella หรือเลเซอร์ แก้ปัญหาช่องคลอดหลวม

      • ผู้หญิงที่มีช่องคลอดหลวมจะมีความสุขทางเพศน้อยลง

      แม้ปัญหาช่องคลอดหลวมจะทำให้ความรู้สึกทางเพศ หรือความพึงพอใจทางเพศของฝ่ายหญิงลดลง แต่ความสุขทางเพศไม่ได้ขึ้นอยู่กับความกระชับของช่องคลอดเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีหลาย ๆ ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสุขหรือความพึงพอใจทางเพศ เช่น ความสัมพันธ์ทางอารมณ์ ความไวต่อการกระตุ้น และสุขภาพโดยรวมของร่างกายอีกด้วย

      • ช่องคลอดหลวมทำให้มีเสียงระหว่างมีเพศสัมพันธ์

      การมีเสียงระหว่างมีเพศสัมพันธ์ ไม่ได้หมายความว่าช่องคลอดหลวม เพราะเสียงที่เกิดขึ้นระหว่างการมีเพศสัมพันธ์นั้น มักเกิดจากอากาศที่แทรกเข้าไปในช่องคลอดระหว่างการทำกิจกรรมทางเพศ ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่สามารถเกิดได้

       

      ช่องคลอดหลวมเกิดจากอะไร ส่งผลกระทบต่อชีวิตอย่างไร?

      ภาวะช่องคลอดหลวม อาจส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันทั้งทางด้านร่างกาย และทางด้านจิตใจ เช่น ความพึงพอใจทางเพศลดลง ความไม่มั่นใจในรูปร่างของตนเอง หรืออายในการมีเพศสัมพันธ์ ทำให้กระทบต่อความสัมพันธ์ของคู่รักได้ รวมถึงปัญหาสุขภาพที่อาจเกิดขึ้น เช่น อาการปัสสาวะเล็ด กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ หรืออาจเกิดภาวะกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแรงได้

      ทั้งนี้ ปัญหาช่องคลอดหลวมสามารถรักษาได้หลายวิธี เช่น การออกกำลังกายบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน หรือการใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ช่วยฟื้นฟูความกระชับของช่องคลอด เช่น โปรแกรม Emsella การเลเซอร์ หรือการผ่าตัดรีแพร์ช่องคลอดหลวม

       

      คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโปรแกรม Emsella
      คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโปรแกรม Emsella

       

      คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโปรแกรม Emsella

      ผลข้างเคียงที่อาจพบหลังทำ โปรแกรม Emsella

      โปรแกรม Emsella เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยแก้ปัญหาช่องคลอดหลวม ช่องคลอดไม่กระชับ และแก้ปัญหาอาการปัสสาวะเล็ด ที่ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย สามารถทำได้ทุกเพศ หลากหลายวัย แต่อย่างไรก็ตาม ผู้เข้ารับบริการอาจมีผลข้างเคียงหลังจากทำ โปรแกรม Emsella แก้ปัญหาช่องคลอดหลวมได้ ดังนี้

      • ระหว่างทำและหลังทำ โปรแกรม Emsella อาจมีความรู้สึกตึง ๆ หรือรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนบริเวณอุ้งเชิงกรานเพราะแรงกระตุ้นของพลังงานได้
      • หลังทำ โปรแกรม Emsella อาจมีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อบริเวณอุ้งเชิงกรานได้ เนื่องจากเกิดการหดเกร็งกล้ามเนื้ออย่างต่อเนื่อง แต่อาการปวดเมื่อยจะค่อย ๆ หายไปเอง
      • หลังทำ โปรแกรม Emsella ในบางคนอาจมีอาการเวียนหัว รู้สึกคลื่นไส้ หรืออาเจียน จากการกระตุ้นของแม่เหล็กไฟฟ้าระหว่างการรักษาได้
      • หลังทำ โปรแกรม Emsella อาจมีอาการปวดปัสสาวะบ่อยครั้ง เนื่องจากร่างกายกำลังทำการปรับตัว

      โดยปกติแล้วผลข้างเคียงหลังทำของ โปรแกรม Emsella นั้นจะไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย และสามารถหายไปได้เองภายใน 3-7 วัน ทั้งนี้หากพบอาการที่มีความผิดปกติอื่น ๆ ร่วมด้วย สามารถเข้าพบแพทย์ได้เลยทันที

      ระหว่างรักษา โปรแกรม Emsella เจ็บไหม?

      การกระชับช่องคลอดด้วยเก้าอี้ โปรแกรม Emsella แก้ปัญหาช่องคลอดหลวม เป็นเทคโนโลยีที่ไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีการใช้ยาชา และไม่ก่อให้เกิดความเจ็บระหว่างทำ โปรแกรม Emsella แต่ผู้เข้ารับบริการอาจจะรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือน ตึง ๆ หรือชาบริเวณอุ้งเชิงกรานขณะทำได้ ซึ่งเกิดการแรงกระตุ้นของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ส่งผ่านมายังกล้ามเนื้อ

      ช่องคลอดหลวมแก้ด้วย โปรแกรม Emsella ราคาเท่าไร?

      การรักษาช่องคลอดหลวมด้วยโปรแกรม Emsella ในแต่ละคลินิกนั้นก็จะมีราคาที่แตกต่างกันไป ซึ่งจะขึ้นอยู่กับปัญหาทางสุขภาพ จำนวนครั้งในการรักษา และช่วงเวลาโปรโมชั่นของคลินิกนั้น ๆ ทั้งนี้ หากต้องการแก้ปัญหาช่องคลอดหลวมควรเลือกคลินิกที่พร้อมให้บริการ โปรแกรม Emsella ที่มีคุณภาพ ราคาสมเหตุสมผล และดูแลโดยแพทย์เท่านั้น

      ผู้ชายใช้เก้าอี้ โปรแกรม Emsella ได้หรือไม่?

      โปรแกรม Emsella สามารถใช้รักษาได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง แม้ว่า โปรแกรม Emsella จะมีความโดดเด่นในการช่องแก้ปัญหาช่องคลอดหลวม แก้ปัสสาวะเล็ด กระชับช่องคลอด ทำให้ได้รับความนิยมอย่างมากในผู้หญิง แต่โปรแกรม Emsella ก็ยังช่วยเสริมสมรรถภาพทางเพศ ช่วยชะลอการหลั่งเร็ว การแข็งตัวของอวัยวะเพศ และช่วยแก้ปัญหากลั้นปัสสาวะไม่อยู่สำหรับผู้ชายได้อีกด้วย

       

      หลังทำ โปรแกรม Emsella ผลลัพธ์อยู่ได้นานแค่ไหน?

      หลังจากทำ โปรแกรม Emsella แก้ปัญหาช่องคลอดหลวม โดยทั่วไปผลลัพธ์ของการกระชับกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานด้วย โปรแกรม Emsella จะอยู่ได้นานประมาณ 3 – 6 เดือน อย่างไรก็ตาม ระยะเวลาของผลลัพธ์ของแต่ละบุคคลจะมีความแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับปัญหาของสุขภาพอุ้งเชิงกราน จำนวนครั้งที่รักษา ตลอดจนถึงการดูแลตัวเองหลังทำ

       

      แนะนำการดูแลหลังทำ โปรแกรม Emsella เพื่อให้ผลลัพธ์อยู่ได้นานขึ้น

      หลังจากเข้ารับการรักษาช่องคลอดหลวมด้วย โปรแกรม Emsella แล้วนั้น หากต้องการผลลัพธ์ที่คงอยู่ได้นาน ควรดูแลตัวเองหลังทำอย่างเหมาะสม เพื่อช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และช่วยให้ประสิทธิภาพในการรักษาของ โปรแกรม Emsella ดีขึ้น เช่น

      • หลังทำ โปรแกรม Emsella ควรออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานให้แข็งแรงอย่างสม่ำเสมอ
      • หลังทำ โปรแกรม Emsella ควรควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ไม่เสี่ยงโรคอ้วน
      • หลังทำ โปรแกรม Emsella ควรหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงได้ไว เช่น การยกของหนัก
      • หลังทำ โปรแกรม Emsella ควรดื่มน้ำให้เพียงพอและรับประทานอาหารที่ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรง
      • หลังทำ โปรแกรม Emsella ควรงดสูบบุหรี่และลดการดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวได้ดีขึ้น
      • หลังทำ โปรแกรม Emsella ควรทำการติดตามผล และควรเข้ารับการรักษาด้วย  โปรแกรม Emsella อย่างสม่ำเสมอ

      สรุป

      ช่องคลอดหลวมเกิดจากอะไร ? ปัญหาช่องคลอดหลวมเกิดได้จากหลายสาเหตุ และหลายปัจจัยรวมกัน เช่น อายุที่เพิ่มขึ้น ฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลง พฤติกรรมการใช้ชีวิต หรือการคลอดบุตร ต่างก็เป็นสาเหตุที่อาจส่งผลให้ช่องคลอดหลวม ไม่กระชับ ปัสสาวะเล็ด กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ได้ ซึ่งวิธีแก้ไขหรือรักษาช่องคลอดหลวมสามารถทำได้หลายวิธีทั้งแบบธรรมชาติ และทางการแพทย์อย่าง โปรแกรม Emsella ทางเลือกใหม่กระชับช่องคลอด โดยไม่ต้องผ่าตัด ที่สามารถเข้ารับบริการได้แล้วที่ รมย์รวินท์คลินิก

       

      *ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับการบริการ

      *เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

      Rh Collagen คืออะไร? อีกขั้นของการกระตุ้นคอลลาเจน

      Rh Collagen

      Rh Collagen คืออะไร? อีกขั้นของการกระตุ้นคอลลาเจน

      ในปัจจุบันวงการแพทย์ความงามได้มีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด โดยการวิจัย และคิดค้นผลิตภัณฑ์กระตุ้นคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ เพื่อตอบโจทย์ปัญหาผิวที่เสื่อมสภาพลงตามวัย ซึ่งหนึ่งในสารกระตุ้นคอลลาเจนที่ได้รับความสนใจในขณะนี้คือ “Rh Collagen” คอลลาเจนสังเคราะห์ที่มีโครงสร้างใกล้เคียงกับคอลลาเจนในร่างกายของมนุษย์ ถูกออกแบบมาเพื่อฟื้นฟูผิว และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่อย่างเป็นธรรมชาติ โดยมีคุณสมบัติ และจุดเด่นที่แตกต่างจากสารกระตุ้นคอลลาเจนตัวอื่น ๆ อย่างชัดเจน

      ในบทความนี้ จะพาทุกคนไปเรียนรู้ และทำความรู้จักเกี่ยวกับ Rh Collagen อย่างละเอียดว่า Rh Collagen คืออะไร? Rh Collagen ดีอย่างไร? และ Rh Collagen แตกต่างจากสารกระตุ้นคอลลาเจนตัวอื่น ๆ อย่างไร? รมย์รวินท์รวบรวมข้อมูลทั้งหมดที่ต้องรู้มาให้แล้ว

      Rh Collagen คืออะไร? ดีอย่างไร? สารกระตุ้นคอลลาเจนใหม่ล่าสุดในโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen

       

      ทำความรู้จักกับ Rh Collagen
      ทำความรู้จักกับ Rh Collagen

       

      ทำความรู้จักกับ Rh Collagen

      Rh Collagen (Recombinant Human Collagen) คือ สารกระตุ้นคอลลาเจนที่ถูกใช้ในผลิตภัณฑ์ความงามอย่างโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen ซึ่งเป็นคอลลาเจนที่ถูกสังเคราะห์ขึ้นจากหนอนไหม ผ่านกระบวนการดัดแปลงทางพันธุกรรม โดยมีโครงสร้างใกล้เคียงกับคอลลาเจนชนิดที่ 1 (Collagen Type 1) ในผิวของมนุษย์ จึงมีความบริสุทธิ์สูง และเข้ากันได้ดีกับร่างกาย สามารถนำไปใช้ในการซ่อมแซม และฟื้นฟูเนื้อเยื่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดโอกาสเสี่ยงในการเกิดการแพ้ หรือปฏิกิริยาต่อต้านจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย

       

      Rh Collagen มีคุณสมบัติเด่นอย่างไร?

      • Rh Collagen เป็นสารกระตุ้นคอลลาเจนที่มีโครงสร้างใกล้เคียงกับ คอลลาเจนชนิดที่ 1 ในร่างกายมนุษย์
      • Rh Collagen ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ตามธรรมชาติ โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการอักเสบในร่างกาย
      • Rh Collagen ช่วยฟื้นฟู และซ่อมแซมเซลล์ผิวอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นผิวหย่อนคล้อย แห้งกร้าน มีริ้วรอย ร่องลึก หรือแม้แต่ผิวหมองคล้ำ ไม่สดใส
      • Rh Collagen เหมาะสำหรับผิวบอบบาง หรือแพ้ง่าย เนื่องจากเป็นสารที่มีโครงสร้างใกล้เคียงกับคอลลาเจนในร่างกายมนุษย์ จึงช่วยลดโอกาสเสี่ยงในการเกิดปฏิกิริยาต่อต้าน หรืออาการแพ้

       

      เปรียบเทียบความต่างระหว่าง Rh Collagen และสารกระตุ้นคอลลาเจนตัวอื่น ๆ

      Rh Collagen เป็นสารกระตุ้นคอลลาเจนที่มีความแตกต่างจาก CaHA และ PLLA อย่างชัดเจน ซึ่งถือเป็นสารที่นิยมใช้ในวงการแพทย์ความงามอย่างมาก โดย Rh Collagen, CaHA และ PLLA มีความแตกต่างกัน ดังนี้

      • Rh Collagen 

      Rh Collagen (Recombinant Human Collagen) คือ สารกระตุ้นคอลลาเจนที่มีการสังเคราะห์ให้ใกล้เคียงกับคอลลาเจนชนิดที่ 1 ในร่างกายของมนุษย์ ซึ่งถือเป็นคอลลาเจนที่พบได้บ่อยในผิวหนัง โดย Rh Collagen มีคุณสมบัติในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และฟื้นฟูผิวที่เสื่อมสภาพ พร้อมเพิ่มความยืดหยุ่น และบำรุงผิวอย่างล้ำลึกจากภายใน ทำให้ผิวมีความชุ่มชื้น อิ่มฟู และเรียบเนียนอย่างเป็นธรรมชาติ อีกทั้ง Rh Collagen ยังเป็นสารที่มีความบริสุทธิ์สูง จึงช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดอาการแพ้ หรือปฏิกิริยาต่อต้านทางร่างกาย เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย ใบหน้าเริ่มหย่อนคล้อย หรือมีริ้วรอยเส้นเล็กๆ ต้องการฟื้นฟู และปรับปรุงคุณภาพผิวโดยรวม

      • CaHA

      CaHA (Calcium Hydroxylapatite) คือ สารกระตุ้นคอลลาเจน (Biostimulator) ที่มีการใช้งานในวงการแพทย์ความงามมาอย่างยาวนาน โดยสามารถพบได้บ่อยบริเวณเนื้อเยื่อกระดูก และฟันของร่างกาย มีลักษณะเป็นทรงกลมขนาดเล็กสม่ำเสมอ (Microsphere) ประมาณ 25 – 45 ไมครอน ซึ่ง CaHA มีคุณสมบัติในการกระตุ้นการสร้างเส้นใยตาข่ายผิวใหม่ถึง 5 ประการ ได้แก่ คอลลาเจนชนิดที่ 1, คอลลาเจนชนิดที่ 3,  Angiogenesis และ Proteoglycan ซึ่งเป็นสารที่มีความสำคัญต่อผิวหนัง ส่งผลให้ผิวแน่นกระชับ แข็งแรง และดูสุขภาพดีจากภายใน เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อย มีริ้วรอยร่องลึกอย่างเห็นได้ชัด ต้องการยกกระชับ และเพิ่มวอลลุ่มให้กับผิว

      • PLLA

      PLLA (Poly-L-lactic acid) คือ สารกระตุ้นคอลลาเจน (Biostimulator) ที่ถูกใช้กันอย่างแพร่หลายในวงการแพทย์ความงามตั้งแต่ปี 1999 ซึ่งเป็นสารสังเคราะห์จากพืชที่ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย และย่อยสลายตามธรรมชาติ โดย PLLA มีคุณสมบัติในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนชนิดที่ 1 ผ่านกระบวนการอักเสบในร่างกาย พร้อมฟื้นฟูโครงสร้างผิวชั้นลึกที่เสื่อมสภาพ และแก้ไขปัญหาผิวที่หย่อนคล้อยในระยะยาว ส่งผลให้ผิวเต่งตึง เฟิร์มกระชับ และดูอ่อนเยาว์จากภายใน เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวหลวม มีริ้วรอย หรือใบหน้าหย่อนคล้อยอย่างชัดเจน ต้องการฟื้นฟูคอลลาเจนตามธรรมชาติอย่างยั่งยืน

       

      โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen คืออะไร?
      โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen คืออะไร?

       

      โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen คืออะไร?

      โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen เป็นเทคโนโลยี Bio-Restorative Soft Filler ใหม่ล่าสุดจากประเทศอิตาลี ที่มีการใช้ Recombinant Human Collagen (Rh Collagen) สำหรับฉีดชนิดแรกของโลก ซึ่งมีการพัฒนา และวิจัยมาอย่างยาวนาน ทำให้ได้คอลลาเจนสังเคราะห์ที่มีความใกล้เคียงกับคอลลาเจนในร่างกายมนุษย์ โดยมีคุณสมบัติในการฟื้นฟู และซ่อมแซมเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ พร้อมกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่โดยตรง ทำให้ผิวแข็งแรง เต่งตึง และกระชับจากภายใน

       

      ส่วนประกอบของโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen

      โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen เป็นผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาเพื่อฟื้นฟู และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนอย่างเป็นธรรมชาติ โดยมี 3 ส่วนประกอบหลักที่ทำงานร่วมกัน ดังนี้

      • Collagen Polypeptidic a1 Chain R (Rh Collagen)

      Collagen Polypeptidic a1 Chain R (Rh Collagen) เป็นส่วนประกอบหลักของโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen ซึ่งสกัดมาจากหนอนไหม ผ่านการใช้เทคโนโลยีใหม่ที่ได้รับการจดสิทธิบัตรเฉพาะ โดยมีหน้าที่หลักในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ผ่านเซลล์ไฟโบรบลาสต์ในผิวหนัง ทำให้ผิวอิ่มฟู เต่งตึง และลดเลือนริ้วรอยเล็ก ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

      • High Molecular Weight Hyaluronic Acid (HMW – HA)

      High Molecular Weight Hyaluronic Acid (HMW – HA) เป็นส่วนประกอบหลักของโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen ซึ่งถูกสังเคราะห์ขึ้นมาเพื่อเลียนแบบสารที่มีอยู่ในร่างกาย และผิวหนัง โดยมีหน้าที่ในการอุ้มน้ำ พยุงโครงสร้างผิว และต้านสารอนุมูลอิสระทำให้ผิวมีความยืดหยุ่น เรียบเนียน และดูอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ

      • Carboxymethylcellulose (CMC)

      Carboxymethylcellulose (CMC) เป็นส่วนประกอบหลักของโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen ซึ่งถูกสังเคราะห์ขึ้นมาเพื่อเสริมประสิทธิภาพของ HA ให้สามารถคงรูป และยืดอายุให้คงอยู่ได้นานมากขึ้น อีกทั้ง ยังมีฤทธิ์ในการชะลอความเสื่อมสภาพของผิว และลดการทำงานของ MMPs (Matrix metalloproteinases) ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่จะทำลายคอลลาเจนในผิวหนัง

       

      จุดเด่นของโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen

      • โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen มี Rh Collagen แบบฉีดตัวแรกของโลก

      โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen เป็นผลิตภัณฑ์กระตุ้นคอลลาเจนตัวแรกของโลกที่ใช้ Rh Collagen (Recombinant Human Collagen) แบบฉีด ซึ่งสกัดมาจากหนอนไหมธรรมชาติ ผ่านการดัดแปลงทางพันธุกรรม

      • โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen ผสานส่วนประกอบถึง 3 ชนิด

      โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen เป็นสารกระตุ้นคอลลาเจนที่ผสมผสานส่วนประกอบระหว่าง Collagen Polypeptidic a1 Chain R (Rh Collagen), High Molecular Weight Hyaluronic Acid (HMW – HA) และ Carboxymethylcellulose (CMC) เข้าด้วยกันอย่างลงตัว เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพสูง

      • โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen เห็นผลลัพธ์ได้หลังทำ และระยะยาว

      หลังทำโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen สามารถเห็นผลลัพธ์ได้หลังทำ เนื่องจากการทำงานของสาร HA และ CMC ที่เข้าไปเติมเต็มริ้วรอย ร่องลึก หรือช่องว่างใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวอิ่มฟู เรียบเนียน และเต่งตึงขึ้น จากนั้น Rh Collagen จะค่อย ๆ ทำงาน โดยการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนชนิดที่ 2 และ 3 เพิ่มเติม ทำให้ผิวแน่นกระชับ แข็งแรง และดูสุขภาพดีในระยะยาว

      • โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen สามารถเข้ากับร่างกายได้ดี

      โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen เป็นสารกระตุ้นคอลลาเจนที่สามารถเข้ากับร่างกายได้ดี เนื่องจากใช้สารสกัดจากธรรมชาติ ที่ถูกสังเคราะห์ให้คล้ายกับคอลลาเจนชนิดที่ 1 ในร่างกายมนุษย์ ทำให้ลดโอกาสเสี่ยงในการเกิดอาการแพ้ หรือปฏิกิริยาต่อต้านทางร่างกาย

      • โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen ให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ

      โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen ให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ เน้นฟื้นฟูผิวที่เสื่อมสภาพ และปรับปรุงคุณภาพผิวโดยรวม โดยไม่ทำให้โครงสร้างใบหน้าเปลี่ยน หรือแข็งทื่อจนเกินไป

      • โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen ได้รับมาตรฐาน TH FDA

      โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen เป็นผลิตภัณฑ์กระตุ้นคอลลาเจนใหม่ล่าสุด ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานจาก องค์การอาหารและยา และ CE Mark เนื่องจากมีการวิจัย และพัฒนามาอย่างยาวนาน ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ และไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย

       

      โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen แก้ปัญหาอะไรได้บ้าง?
      โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen แก้ปัญหาอะไรได้บ้าง?

       

      โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen แก้ปัญหาอะไรได้บ้าง?

      เนื่องจากโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen เป็นผลิตภัณฑ์กระตุ้นคอลลาเจนที่ผสมผสานส่วนประกอบสำคัญถึง 3 ชนิดเข้าด้วยกัน ทำให้สามารถแก้ปัญหาได้อย่างหลากหลาย ดังนี้

      • โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen เหมาะสำหรับ การแก้ไขปัญหาริ้วรอย และร่องลึกบนใบหน้า
      • โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen เหมาะสำหรับ การแก้ไขปัญหาผิวหย่อนคล้อย แก้มห้อย ขาดความกระชับ
      • โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen เหมาะสำหรับ การแก้ไขปัญหาผิวหลวมจากการสูญเสียคอลลาเจน
      • โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen เหมาะสำหรับ การแก้ไขปัญหาใบหน้าตอบ หรือกระดูกที่ทรุดตัวลง
      • โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen เหมาะสำหรับ การแก้ไขปัญหาผิวไม่แข็งแรง หรือขาดความยืดหยุ่นตามวัย
      • โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen เหมาะสำหรับ การแก้ไขปัญหาผิวที่เสื่อมสภาพ ใบหน้าดูโทรม ไม่สดใส
      • โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen เหมาะสำหรับ การแก้ไขปัญหารูขุมขนกว้าง หรือรูขุมขนไม่กระชับ
      • โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen เหมาะสำหรับ การแก้ไขปัญหาผิวแห้ง หรือขาดความชุ่มชื้น
      • โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen เหมาะสำหรับ การแก้ไขปัญหาหลุมสิว รอยแผลเป็น หรือผิวไม่เรียบเนียนต่าง ๆ

      ทั้งนี้ ควรปรึกษาแพทย์ และแจ้งประวัติสุขภาพให้แพทย์ทราบอย่างละเอียด ตั้งแต่ประวัติโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา หรือประวัติการรักษาก่อนเข้ารับบริการ

       

      โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen ใช้ฉีดจุดไหนได้บ้าง?

      โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen สามารถใช้ฉีดได้หลากหลายจุดบนใบหน้า และส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย แต่โดยส่วนใหญ่ บริเวณที่นิยมทำโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen มีดังนี้

      • โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen สามารถใช้ฉีดบริเวณ หน้าผาก 
      • โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen สามารถใช้ฉีดบริเวณ ระหว่างคิ้ว
      • โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen สามารถใช้ฉีดบริเวณ ใต้ตา
      • โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen สามารถใช้ฉีดบริเวณ หางตา
      • โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen สามารถใช้ฉีดบริเวณ รอบดวงตา
      • โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen สามารถใช้ฉีดบริเวณ หน้าแก้ม
      • โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen สามารถใช้ฉีดบริเวณ ร่องแก้ม
      • โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen สามารถใช้ฉีดบริเวณ ลำคอ
      • โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen สามารถใช้ฉีดบริเวณ เนินอก
      • โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen สามารถใช้ฉีดบริเวณ หลังมือ

       

      ผลลัพธ์ที่ได้จากโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen
      ผลลัพธ์ที่ได้จากโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen

       

      ผลลัพธ์ที่ได้จากโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen

      เนื่องจากโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen เป็นผลิตภัณฑ์กระตุ้นคอลลาเจนที่ผสมผสานส่วนประกอบสำคัญถึง 3 ชนิดเข้าด้วยกัน ทำให้ได้ผลลัพธ์หลายประการ ดังนี้

      • โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen ช่วยให้ผิวมีความหนาแน่นจากการกระตุ้นคอลลาเจน
      • โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen ช่วยให้ผิวเต่งตึง กระชับ และลดความหย่อนคล้อย
      • โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen ช่วยให้ผิวแข็งแรง และชะลอความเสื่อมสภาพของผิว
      • โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen ช่วยลดเลือนริ้วรอย และร่องลึกให้ดูตื้นขึ้น
      • โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen ช่วยให้ผิวอิ่มฟู และมีความยืดหยุ่น
      • โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen ช่วยลดเลือนหลุมสิว และรอยแผลเป็นต่าง ๆ
      • โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen ช่วยให้รูขุมขนกระชับ และผิวมีความเรียบเนียน
      • โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น ฉ่ำวาว และดูสุขภาพดี
      • โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen ช่วยให้ผิวกระจ่างใส และสีผิวดูสม่ำเสมอ

       

      โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen มีข้อจำกัดอย่างไร?

      • โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีประวัติแพ้สารประกอบในโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen
      • โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่รับประทานยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด
      • โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีแผลติดเชื้อ และผิวบริเวณที่ฉีดเกิดการอักเสบ
      • โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง
      • โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่ตั้งครรภ์ หรือกำลังให้นมบุตร
      • โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์แบบถาวร
      • โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างใบหน้าแบบชัดเจน

      ทั้งนี้ ควรปรึกษาแพทย์ และแจ้งประวัติสุขภาพให้แพทย์ทราบอย่างละเอียด ตั้งแต่ประวัติโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา หรือประวัติการรักษาก่อนเข้ารับบริการ

       

      ก่อนทำโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen ควรเตรียมตัวอย่างไร?

      • ก่อนทำโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อประเมินสภาพผิวก่อนฉีด
      • ก่อนทำโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen ควรแจ้งประวัติโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา หรือประวัติหัตถการที่เคยทำ ให้แพทย์ทราบก่อนฉีด
      • ก่อนทำโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen งดรับประทานยากลุ่มต้านการอักเสบ หรือยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด
      • ก่อนทำโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen งดการทำทรีตเมนต์ หรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่ระคายเคืองผิว
      • ก่อนทำโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และงดการสูบบุหรี่
      • ก่อนทำโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen ควรพักผ่อนให้มาก ๆ และดื่มน้ำให้เพียงพอ

       

      ขั้นตอนการทำโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen

      • ก่อนทำโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen ปรึกษาแพทย์ เพื่อวิเคราะห์ และประเมินปัญหา พร้อมวางแผนการรักษาก่อนฉีด
      • เริ่มทำความสะอาดผิวหน้าก่อนทำโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen โดยการเช็ดเครื่องสำอาง หรือสิ่งสกปรกในบริเวณที่ฉีดออกให้หมด
      • ทายาชา หรือฉีดยาชาก่อนเริ่มทำโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen เพื่อลดความรู้สึกเจ็บแสบขณะฉีด
      • แพทย์จะทำการฉีดโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen เข้าไปยังบริเวณที่มีปัญหา โดยใช้เทคนิคในการฉีดที่เหมาะสม
      • เมื่อทำโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen เสร็จ แพทย์จะให้คำแนะนำเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวที่ถูกต้องหลังฉีดที่

       

      หลังทำโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen ควรดูแลตัวเองอย่างไร?

      • หลังทำโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen หลีกเลี่ยงการนวดคลึง กด และจับในบริเวณที่ฉีด
      • หลังทำโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen งดโดนแสงแดดจัดในบริเวณที่ฉีด
      • หลังทำโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen งดแต่งหน้าในช่วงแรกที่ฉีด
      • หลังทำโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen ควรประคบเย็นเบา ๆ เพื่อลดอาการบวม
      • หลังทำโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen งดทำกิจกรรมที่ทำให้เกิดความร้อนสูง
      • หลังทำโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และงดการสูบบุหรี่
      • หลังทำโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen งดการทำทรีตเมนต์ หรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่ระคายเคืองผิว
      • หลังทำโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen งดรับประทานอาหารหมักดอง อาหารดิบ หรืออาหารรสจัด
      • หลังทำโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen สามารถล้างหน้า ทาครีม หรือสกินแคร์ให้ตามปกติ เพื่อให้ผิวชุ่มชื้น
      • หลังทำโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen ควรพักผ่อนให้มาก ๆ และดื่มน้ำให้เพียงพอ
      • หลังทำโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen ควรสังเกตอาการของตนเอง หากมีความผิดปกติ ควรรีบพบแพทย์

       

      โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen ฉีดกี่ครั้งเห็นผล?
      โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen ฉีดกี่ครั้งเห็นผล?

       

      โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen ฉีดกี่ครั้งเห็นผล?

      โดยทั่วไป การทำโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen จะแนะนำให้ฉีดประมาณ 3 ครั้ง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งขึ้นอยู่กับสภาพผิว และปัญหาของแต่ละบุคคล แนะนำให้แพทย์ประเมินก่อนตัดสินใจ โดยการทำโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen ในแต่ละครั้งควรมีระยะห่างกัน ดังนี้

      • ทำโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen ครั้งที่ 1 แนะนำให้เริ่มฉีด 1 ไซริงค์
      • ทำโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen ครั้งที่ 2 แนะนำให้ฉีดเพิ่ม 1 ไซริงค์ โดยเว้นระยะห่างจากครั้งแรก ประมาณ 1 เดือน เพื่อเสริมประสิทธิภาพของผลลัพธ์ให้ดีมากขึ้น
      • ทำโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen ครั้งที่ 3 แนะนำให้ฉีดเพิ่มอีก 1 ไซริงค์ โดยเว้นระยะห่างจากครั้งที่ 2 ประมาณ 4 – 8 เดือน เพื่อให้ผลลัพธ์คงอยู่ได้ยาวนานมากขึ้น

       

      โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen สามารถอยู่ได้นานแค่ไหน?

      โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen สามารถให้ผลลัพธ์ทั้งในระยะสั้น และระยะยาว ซึ่งช่วยในการกระตุ้นคอลลาเจน และฟื้นฟูผิวแบบองค์รวม แต่โดยทั่วไปแล้ว ผลลัพธ์จากการทำโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen จะดีขึ้นเรื่อย ๆ หลังฉีด อย่างน้อย 3 สัปดาห์ขึ้นไป และสามารถคงอยู่ได้ยาวนาน ประมาณ 6 – 12 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล และการปฏิบัติตัวหลังฉีด ทั้งนี้ การทำโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen ซ้ำจะช่วยให้ผลลัพธ์มีความคงทน และมีประสิทธิภาพมากขึ้นในระยะยาว

       

      โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen มีผลข้างเคียงไหม?

      โดยทั่วไป การทำโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen ถือว่าไม่เป็นอันตราย และหลังทำสามารถใช้ชีวิตประจำวันในตามปกติ เนื่องจากใช้ Recombinant Human Collagen (Rh Collagen) ซึ่งมีความใกล้เคียงกับคอลลาเจนชนิดที่ 1 ของมนุษย์ ทำให้เข้ากับร่างกายได้ดี และเสี่ยงต่อการเกิดการแพ้ต่ำมาก แต่อย่างไรก็ตาม หลังฉีดอาจพบผลข้างเคียงเกิดขึ้นเล็กน้อย ซึ่งเป็นอาการปกติที่สามารถหายได้เองตามธรรมชาติ ดังนี้

      • หลังทำโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen อาจมีรอยแดงจากเข็มเกิดขึ้นในบริเวณที่ฉีด 
      • หลังทำโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen อาจมีอาการบวมช้ำในบริเวณที่ฉีด
      • หลังทำโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen อาจรู้สึกปวดตึงเล็กน้อยในบริเวณที่ฉีด

       

      จะเห็นได้ว่า โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen ถือเป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์กระตุ้นคอลลาเจนที่น่าจับตามองอย่างมากในขณะนี้ เนื่องจากมีการใช้ Recombinant Human Collagen (Rh Collagen) สำหรับฉีดตัวแรกของโลก ซึ่งมีโครงสร้างใกล้เคียงกับคอลลาเจนในร่างกายมนุษย์ จึงสามารถเข้ากันได้ดีกับร่างกาย และลดโอกาสเสี่ยงในการเกิดอาการแพ้ อีกทั้ง โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen ไม่เพียงแต่ช่วยกระตุ้นคอลลาเจนเท่านั้น แต่ยังช่วยเติมเต็ม และปรับปรุงคุณภาพผิวจากภายใน ทำให้ผิวอิ่มฟู เรียบเนียน และดูอ่อนเยาว์ขึ้น ทั้งในระยะสั้น และระยะยาว ที่สำคัญคือ โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen สามารถใช้ได้กับหลากหลายบริเวณ ไม่ว่าจะเป็นบริเวณใบหน้า ลำคอ หรือส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย ทำให้สามารถแก้ไขปัญหาผิวได้อย่างครอบคลุม และหลากหลาย เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟู และบำรุงผิวแบบองค์รวม โดยไม่ทำให้โครงสร้างใบหน้าเปลี่ยนแปลงแบบชัดเจน

      สำหรับใครที่กำลังมองหาผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในการกระตุ้นคอลลาเจน และฟื้นฟูผิว สามารถเข้ามาปรึกษาแพทย์ได้แล้ววันนี้ที่ รมย์รวินท์คลินิก ทุกสาขา เรามีทีมแพทย์ที่มีความรู้ และได้รับการฝึกอบรมจากบริษัทผู้จัดจำหน่ายโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen โดยตรง ทำให้สามารถวิเคราะห์ปัญหา และเลือกใช้เทคนิคในการฉีดที่เหมาะสมกับสภาพผิวของแต่ละบุคคล เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ และน่าพึงพอใจหลังทำ

       

      *ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับบริการ

      *เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯกำหนด

      Ultra Lift ยกกระชับผิวหน้า ปรับหน้าเรียว

      Ultra Lift ยกกระชับผิวหน้า ปรับหน้าเรียว

      ทำความรู้จักเทคโนโลยี Ultra Lift ยกกระชับผิวหน้า ปรับหน้าเรียว

      ในยุคที่เทคโนโลยีความงามก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว การดูแลผิวให้แลดูอ่อนเยาว์และสุขภาพดีไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป หนึ่งในนวัตกรรมที่ได้รับความสนใจอย่างมากในปัจจุบันคือ Ultra Lift ซึ่งเป็นเทคโนโลยีช่วยยกกระชับผิวหน้าด้วยพลังงานอัลตราซาวนด์ที่สามารถเข้าลึกถึงโครงสร้างผิวชั้นใน โดยไม่ต้องพึ่งการผ่าตัด และไม่มีช่วงพักฟื้นเหมือนหัตถการแบบเดิม ๆ

       

      ด้วยจุดเด่นที่เห็นผลได้อย่างรวดเร็ว และไม่รุกรานผิว Ultra Lift จึงกลายเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์ผู้ที่ใส่ใจรูปลักษณ์ และต้องการดูแลตัวเองแบบมีประสิทธิภาพในเวลาจำกัด

       

      นอกจากผลลัพธ์ด้านการยกกระชับแล้ว Ultra Lift ยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวลึก ลดเลือนริ้วรอยที่เกิดขึ้นตามวัย และเสริมสร้างความยืดหยุ่นให้กับผิวอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติและคงอยู่ได้นานขึ้น ที่สำคัญคือสามารถใช้ได้กับทุกเพศทุกวัย

       

      และหากคุณกำลังตั้งคำถามว่า Ultra Lift ทำงานอย่างไร? ให้ผลลัพธ์นานแค่ไหน? และทำไมถึงได้รับความนิยมในกลุ่มคนรุ่นใหม่? บทความนี้จะพาคุณไปค้นหาคำตอบอย่างละเอียด พร้อมแนะนำแนวทางการดูแลผิวหลังทำ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีอย่างมีประสิทธิภาพ

       

      ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift ปรับหน้าเรียว คืออะไร?
      ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift ปรับหน้าเรียว คืออะไร?

       

      ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift ปรับหน้าเรียว คืออะไร? 

      Ultra Lift เป็นเทคโนโลยีด้านความงามที่ใช้พลังงานคลื่นเสียงความถี่สูง (High-Intensity Focused Ultrasound – HIFU) ส่งผ่านพลังงานลงลึกไปถึง ชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นผิวเดียวกับที่ศัลยแพทย์ใช้ในการยกกระชับใบหน้าแบบผ่าตัด โดยไม่ต้องเจ็บตัวหรือเสียเวลาพักฟื้น

       

      หนึ่งในจุดเด่นของ Ultra Lift คือ หัวทิปเฉพาะที่ออกแบบมาให้ยิงพลังงานแบบจุด (Dot Pattern) และสามารถเข้าถึงความลึกสูงสุดประมาณ 4.5 มิลลิเมตร ซึ่งช่วยให้สามารถรักษาได้อย่างแม่นยำ ตรงจุด และสอดคล้องกับลักษณะของปัญหาผิวในแต่ละพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นบริเวณกรอบหน้า แก้ม หรือใต้คาง

       

      Ultra Lift ไม่ได้เพียงแค่ช่วยยกกระชับผิวให้เต่งตึง แต่ยังมีบทบาทในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และอีลาสตินตามธรรมชาติในชั้นผิว ทำให้ผิวดูแน่น เรียบเนียน อ่อนเยาว์อย่างต่อเนื่องเมื่อเวลาผ่านไป

       

      นอกจากนี้ เทคโนโลยีนี้ยังเหมาะกับการยกกระชับปรับรูปหน้าให้ดูเรียวได้รูปอย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่ต้องพึ่งการผ่าตัดหรือหัตถการที่ต้องมีการฟื้นตัวนาน จึงเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์สำหรับคนยุคใหม่ที่ต้องการดูแลผิวโดยไม่อันตรายและเห็นผลชัดเจน

       

      ถอดรหัสยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift ทำงานอย่างไรให้หน้าเรียว?

      กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิว

      เทคโนโลยี Ultrasound ถูกนำมาใช้ในการส่งพลังงานความร้อนอย่างแม่นยำลงสู่ชั้นผิวลึก โดยเฉพาะในบริเวณ SMAS (Superficial Muscular Aponeurotic System) ซึ่งเป็นชั้นเดียวกับที่ใช้ในการผ่าตัดดึงหน้าแบบศัลยกรรม ความร้อนที่ส่งลงไปมีอุณหภูมิประมาณ 60-70°C ซึ่งถือเป็นระดับที่เหมาะสมในการกระตุ้นการฟื้นฟูผิวโดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อรอบข้าง

       

      เมื่อเซลล์ผิวได้รับพลังงานความร้อนในระดับที่เหมาะสม ร่างกายจะเริ่มกระบวนการ สร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ตามธรรมชาติ ทำให้โครงสร้างผิวที่เคยหย่อนคล้อยกลับมากระชับแน่นและมีความยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น ผิวหน้าจึงดูเรียบเนียน เต่งตึง และอ่อนเยาว์ขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ

       

      ยกกระชับผิวหน้าชั้นลึก 

      เทคโนโลยีพลังงาน HIFU ถูกออกแบบมาให้ทำงานในระดับชั้นผิวที่แตกต่างกันออกไป ดังนี้

      • ชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) ช่วยปรับให้ผิวมีความเรียนเนียนมากขึ้น
      • ชั้นหนังแท้ (Dermis) ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและลดเลือนริ้วรอย
      • ชั้น SMAS ปรับโครงสร้างของผิวและยกกระชับผิวหน้าให้เต่งตึง

       

      ผลลัพธ์ที่แม่นยำแบบเฉพาะเจาะจง

      หนึ่งในจุดเด่นของ Ultra Lift คือ สามารถในการควบคุมความลึกและรดับพลังงานให้เหมาะสมกับแต่ละจุดบนใบหน้าและร่างกาย เช่น

      • ยกกระชับผิวหน้าบริเวณกรอบหน้า เพื่อยกกระชับและลดความหย่อนคล้อย
      • ยกกระชับผิวบริเวณรอบดวงตา เพื่อลดริ้วรอย ลดผิวหมองคล้ำให้กระจ่างใสขึ้น
      • ยกกระชับผิวบริเวณลำคอ เพื่อปรับรูปทรงลำคอให้ดูเรียวมากขึ้น

       

      ข้อดีสุดปัง ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift ที่ควรรู้
      ข้อดีสุดปัง ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift ที่ควรรู้

       

      ข้อดีสุดปัง ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift ที่ควรรู้

      ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift เป็นเทคโนโลยีที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน ด้วยคุณสมบัติและจุดเด่นที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการของคนอยากหน้าเรียวสวย มีดังนี้

      • ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องเสี่ยงจากการศัลยกรรม
      • ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift ไม่ต้องใช้ยาชา ไม่ต้องใช้เข็ม
      • ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift หลังทำสามารถใช้ชีวิตประจำวันปกติได้ทันที
      • ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift ได้รับการรับรองประสิทธิภาพจากองค์การอาหารและยา
      • ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift ทำงานแม่นยำโดยไม่ทำลายผิวด้านบน
      • ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift ผิวกระชับและเต่งตึงขึ้นทันทีประมาณ 20%
      • ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift ผลลัพธ์จะอยู่ได้นานถึง 12-18 เดือน
      • ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift เหมาะสำหรับทุกเพศ ทุกวัย และทุกสภาพผิว
      • ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift ไม่มีข้อจำกัดเรื่องสีผิวหรือระดับของความหย่อนคล้อย
      • ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift ใช้ระยะเวลาในการทำเพียง 30-60 นาที
      • ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift เป็นเทคโนโลยีที่คุ้มค่าในระยะยาว คุ้มค่าต่อการลงทุน
      • ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift ใบหน้าอ่อนเยาว์ ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ 

       

      ใครบ้างที่เหมาะกับยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift ที่สุด
      ใครบ้างที่เหมาะกับยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift ที่สุด

       

      ใครบ้างที่เหมาะกับยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift ที่สุด

      • ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift เหมาะกับผู้ที่เริ่มเห็นสัญญาณของการหย่อนคล้อยของใบหน้า
      • ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift เหมาะกับผู้ที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไปที่เริ่มมีริ้วรอยและผิวเริ่มสูญเสียความกระชับ
      • ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาหนังตาตก หางตาตก และคิ้วตก
      • ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาเหนียงหรือไขมันสะสมใต้คาง
      • ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift เหมาะกับผู้ที่ไม่ต้องการผ่าตัดศัลยกรรม
      • ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift เหมาะกับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ
      • ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift เหมาะกับผู้ที่ต้องการเห็นผลลัพธ์ที่รวดเร็ว
      • ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift เหมาะกับผู้ที่มีเวลาพักฟื้นน้อย
      • ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift เหมาะกับผู้ที่มีผิวมัน ผิวแห้ง หรือผิวแพ้ง่าย
      • ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift เหมาะกับผู้ที่สูญเสียความกระชับที่ใบหน้า
      • ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift เหมาะกับผู้ที่ลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วจนผิวหย่อนคล้อย
      • ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift เหมาะกับผู้ที่ต้องการยกกระชับผิวหน้าแบบเฉพาะจุด

       

      หมายเหตุ:
      ทั้งนี้ ผลลัพธ์ที่ได้อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล และควรปรึกษาแพทย์ประจำคลินิกก่อนเข้ารับบริการ เพื่อประเมินสภาพผิวอย่างเหมาะสม

       

      ใครบ้างที่ไม่เหมาะกับยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift ที่สุด

      • ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift ไม่เหมาะกับผู้ที่กำลังตั้งครรภ์หรือกำลังให้นมบุตร
      • ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift ไม่เหมาะกับผู้ที่มีโรคเกี่ยวกับผิวหนัง เช่น โรคผิวหนังอักเสบ
      • ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift ไม่เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย เช่น โรค SLE หรือภาวะภูมิคุ้มกันทำร้ายตนเอง
      • ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift ไม่เหมาะกับผู้ที่มีโรคเกี่ยวกับหลอดเลือด เช่น โรคหัวใจ
      • ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift ไม่เหมาะกับผู้ที่มีภาวะเลือดออกง่าย หรือใช้ยาสลายลิ่มเลือด
      • ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift ไม่เหมาะกับผู้ที่มีรอยแผลเป็นชนิดคีลอยด์
      • ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift ไม่เหมาะกับผู้ที่มีอุปกรณ์ทางการแพทย์ในร่างกาย เช่น เครื่องกระตุ้นหัวใจ
      • ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift ไม่เหมาะกับผู้ที่มีผิวหนังบอบบางเกินไป
      • ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift ไม่เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยอย่างรุนแรง
      • ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift ไม่เหมาะกับผู้ที่แพ้ง่ายต่อการสัมผัสความร้อน
      • ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift ไม่เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับเส้นประสาทหรือกล้ามเนื้อบนใบหน้า

       

      คำแนะนำ:

      ก่อนเข้ารับบริการ Ultra Lift ควรปรึกษาแพทย์ด้านผิวพรรณโดยตรง เพื่อประเมินสภาพผิวและสุขภาพโดยรวมอย่างละเอียด โดยเฉพาะหากมีโรคประจำตัวหรือข้อกังวลเกี่ยวกับสุขภาพผิว การวินิจฉัยเบื้องต้นอย่างถูกต้อง จะช่วยให้ได้รับผลลัพธ์ที่ไม่อันตรายและมีประสิทธิภาพสูงสุด

       

      ยกกระชับใบหน้า Ultra Lift ในแต่ละช่วงวัย ช่วยอะไรบ้าง?

      ช่วงวัย 20-30 ปี กับการปกป้องและดูแลผิวก่อนหย่อนคล้อย

      ผิวในช่วงวัยนี้มักจะยังมีผิวที่กระชับและเรียบเนียน แต่ในบางคนอาจเริ่มมีปัญหาเล็กน้อย เช่น ผิวหมองคล้ำ รูขุมขนกว้าง ซึ่ง Ultra Lift จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว เพื่อรักษาความกระชับและปกป้องริ้วรอยก่อนวัย รวมไปถึงช่วยปรับโครงสร้างของใบหน้าให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ในช่วงวัยนี้ควรทำยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift ปีละ 1 ครั้งหรือมากกว่านั้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล

       

      ช่วงวัย 30-40 ปี กับการเริ่มแก้ไขปัญหาผิวหย่อนคล้อย

      คอลลาเจนในผิวเริ่มลดลงตามธรรมชาติ ส่งผลให้ผิวเริ่มหย่อนคล้อยในบางจุด เช่น ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก และแนวกรอบหน้า ไม่ชัดเจนเหมือนเดิม ซึ่งการทำยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift จะช่วยยกกระชับผิวที่เริ่มหย่อนคล้อย ลดเลือนริ้วรอยที่เริ่มเห็นชัด และช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ในช่วงวัยนี้ควรทำยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift ทุก 6-12 เดือน เพื่อคงผลลัพธ์ให้ยาวนานที่สุด

       

      ช่วงวัย 40-50 ปี กับการฟื้นฟูผิวที่เสื่อมสภาพ

      ผิวสูญเสียความยืดหยุ่นอย่างชัดเจน มีริ้วรอยลึก ผิวหย่อนคล้อยในระดับที่มากขึ้น โดยเฉพาะบริเวณกรอบหน้า คางสองชั้น และลำคอ ซึ่งการทำยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift จะช่วยยกกระชับผิวชั้นลึกระดับ SMAS เพื่อแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย ช่วยลดความหย่อนคล้อยบริเวณกรามและลำคอ เติมเต็มผิวที่ดูแห้งกร้าน ให้กลับมาดูอิ่มฟูและมีชีวิตชีวา ในช่วงวัยนี้ควรทำยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift ทุก 6 เดือน หรืออาจพิจารณาทำเพิ่มเติมในกรณีที่ปัญหาผิวชัดเจนมาก

       

      เทียบจุดเด่นยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift กับเครื่องยกกระชับผิวหน้าอื่น

      Ultra Lift vs Ultherapy

      • Ultra Lift ใช้เทคโนโลยีพลังงาน Ultrasound เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ปรับโครงสร้างผิวชั้นลึกของ SMAS ทำให้ได้ผลลัพธ์ในเรื่องของการยกกระชับ
      • Ultherapy ใช้เทคโนโลยีพลังงาน Ultrasound เช่นกัน แต่มีจุดเด่นที่ระบบภาพ ซึ่งช่วยให้แพทย์มองเห็นชั้นผิวได้ชัดเจนขึ้นขณะทำการรักษา ทำให้สามารถกำหนดพลังงานได้อย่างแม่นยำในระดับลึก 

       

      Ultra Lift vs Thermage

      • Ultra Lift ถูกออกแบบมาเพื่อฟื้นฟูความกระชับของผิวอย่างล้ำลึก โดยเน้นการทำงานในระดับ ชั้น SMAS ซึ่งเป็นโครงสร้างผิวเดียวกับที่ใช้ในกระบวนการดึงหน้าทางศัลยกรรม ส่งผลให้การยกกระชับเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเห็นผลชัดเจน 
      • Thermage ใช้เทคโนโลยีพลังงานคลื่นวิทยุ EF ที่เหมาะกับการยกกระชับชั้นไขมันใต้ผิวหนัง ช่วยลดไขมันใต้ผิวบริเวณใบหน้าและร่างกายได้ เน้นลดความหย่อนคล้อยและปรับสภาพผิวให้เรียบเนียนขึ้น

       

      Ultra Lift vs HIFU

      • Ultra Lift ใช้พลังงานคลื่นเสียงความถี่สูง (Ultrasound) ที่ถูกออกแบบมาให้ลงลึกได้อย่างแม่นยำในแต่ละระดับของชั้นผิว พร้อมทั้งควบคุมการปล่อยพลังงานให้กระจายอย่างสม่ำเสมอในทุกจุดที่ทำการรักษา ช่วยลดโอกาสเกิดผลข้างเคียง เช่น อาการแสบร้อนหรือผิวแดงหลังทำ
      • HIFU เป็นเทคโนโลยีที่ปล่อยพลังงาน Ultrasound ที่คล้ายคลึงกัน แต่บางรุ่นอาจไม่มีระบบความคุมความลึกของพลังงาน ทำให้ต้องใช้ความรู้ของแพทย์เพื่อผลลัพธ์ที่สมบูรณ์ที่สุด โดยผลลัพธ์ที่ได้จะโดดเด่นในด้านการยกกระชับใบหน้าเช่นกัน

       

      การเตรียมตัวก่อนทำยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift
      การเตรียมตัวก่อนทำยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift

       

      การเตรียมตัวก่อนทำยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift

      • ก่อนยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift ควรพบแพทย์เพื่อวิเคราะห์ปัญหาผิวก่อนรักษา
      • ก่อนยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift ควรแจ้งแพทย์เกี่ยวกับโรคประจำตัว ยาที่กำลังใช้ หรืออาการแพ้ต่าง ๆ 
      • ก่อนยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift ควรใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 50 PA+++ เพื่อปกป้องผิว
      • ก่อนยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift ควรดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว
      • ก่อนยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift งดรับประทานยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด อย่างน้อย 7 วัน
      • ก่อนยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift งดรับประทานยาต้านการอักเสบ อย่างน้อย 7 วัน
      • ก่อนยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ อย่างน้อย 1-2 วัน
      • ก่อนยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีคุณสมบัติผลัดเซลล์ผิว
      • ก่อนยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift หลีกเลี่ยงการทำทรีตเมนต์หรือการสครับผิวหน้า อย่างน้อย 3-5 วัน
      • ก่อนยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift หลีกเลี่ยงแสงแดดจัด อย่างน้อย 7 วัน
      • ก่อนยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางหรือครีมบำรุงผิวที่มีส่วนผสมของน้ำมัน

       

      ขั้นตอนการยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift

      1. แพทย์จะตรวจเช็กปัญหาผิวและโครงสร้างใบหน้า เพื่อระบุบริเวณที่ต้องการยกกระชับผิวหน้า
      2. แพทย์วางแผนการรักษาโดยกำหนดระดับความลึกของคลื่น Ultrasound ที่เหมาะสมในแต่ละบริเวณ เพื่อให้พลังงานส่งไปถึงชั้น SMAS อย่างแม่นยำ
      3. เริ่มเตรียมผิวก่อนการรักษาด้วยการทำความสะอาดเครื่องสำอาง สิ่งสกปรก และน้ำมันส่วนเกินบนใบหน้า
      4. ในบางกรณี โดยเฉพาะบริเวณที่ผิวบาง เช่น รอบดวงตา หรือกรอบหน้า แพทย์อาจทายาชาก่อนเริ่มทำ เพื่อลดความรู้สึกไม่สบายขณะรักษา
      5. แพทย์ทาเจลนำคลื่น ช่วยให้คลื่น Ultrasound สามารถส่งผ่านเข้าสู่ชั้นผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยลดแรงเสียดทานระหว่างหัวเครื่องมือกับผิวหน้า
      6. แพทย์เริ่มใช้หัวเครื่อง Ultra Lift วางหัวเครื่องมือลงบนผิวหน้า และปล่อยพลังงานคลื่น Ultrasound ลงไปยังชั้นผิวในระดับที่กำหนด
      7. พลังงานจะลงไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นโครงสร้างสำคัญในการยกกระชับผิวหน้า
      8. ระหว่างยกกระชับผิวหน้าจะรู้สึกอุ่น ๆ หรือรู้สึกตึงเล็กน้อย เป็นสัญญาณว่าพลังงานกำลังทำงานในชั้นผิว ซึ่งใช้เวลาประมาณ 30-60 นาที ขึ้นอยู่กับขนาดของบริเวณที่รักษา
      9. หลังการรักษา แพทย์จะตรวจสอบความสมบูรณ์ของผิวอีกครั้ง พร้อมปรับพลังงานในบริเวณที่ต้องการเพิ่มเติม เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมามีประสิทธิภาพที่สุด
      10. เมื่อทำยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift เสร็จ แพทย์จะทำการให้คำแนะนำในการดูแลผิวหน้า

       

      ข้อปฏิบัติหลังทำยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift
      ข้อปฏิบัติหลังทำยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift

       

      ข้อปฏิบัติหลังทำยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift

      • หลังทำยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift หลีกเลี่ยงการถู แกะ หรือกดใบหน้าแรง ๆ 
      • หลังทำยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift หลีกเลี่ยงแต่งหน้าในวันแรกหลังการรักษา
      • หลังทำยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนประกอบของกรด
      • หลังทำยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift  หลีกเลี่ยงสกินแคร์ที่มีส่วนผสมน้ำหอม หรือแอลกอฮอล์
      • หลังทำยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift หลีกเลี่ยงการอบซาวน่า การออกกำลังกายหนัก ในช่วง 2-3 วันแรก
      • หลังทำยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift หลีกเลี่ยงการทำหัตถการที่อาจส่งผลกระทบต่อผิวเพิ่มเติม อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์
      • หลังทำยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift ควรล้างหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวที่อ่อนโยน
      • หลังทำยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift ควรใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 50 PA+++ อย่างน้อย 1 สัปดาห์
      • หลังทำยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift ควรดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว
      • หลังทำยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift  ควรใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่มีส่วนผสมช่วยปลอบประโลมผิว

       

      ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift vs การผ่าตัดดึงหน้า ความแตกต่างที่ควรรู้

      เทคโนโลยีที่ใช้

      • Ultra Lift ใช้คลื่นพลังงาน Ultrasound ที่สามารถเจาะลึกไปยังชั้นผิว SMAS ซึ่งเป็นชั้นโครงสร้างหลักที่ช่วยพยุงความยืดหยุ่นของผิว การส่งพลังงานไปที่ชั้นนี้ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้ผิวดูยกกระชับและเต่งตึงขึ้นโดยไม่ต้องผ่าตัด
      • การผ่าตัดดึงหน้า เป็นการผ่าตัดทางศัลยกรรม ที่ใช้วิธีการผ่าตัดผิวหนังและดึงเนื้อเยื่อชั้นลึก เพื่อยกกระชับผิว ลดริ้วรอย และแก้ไขปัญหาหย่อนคล้อยที่รุนแรง

       

      ระยะเวลาในการฟื้นตัว

      • Ultra Lift ไม่ต้องพักฟื้น สามารถทำกิจกรรมตามปกติได้ทันทีหลังการรักษา อาจมีรอยแดงเล็กน้อยหรือรู้สึกตึงผิว ซึ่งจะหายไปภายในไม่กี่ชั่วโมง
      • การผ่าตัดดึงหน้า ใช้เวลาพักฟื้นประมาณ 2-4 สัปดาห์ โดยช่วงแรกอาจมีอาการบวม เขียวช้ำ และต้องพักผ่อนอย่างเคร่งครัด อาจต้องหลีกเลี่ยงกิจกรรมหนัก เป็นเวลา 6-8 สัปดาห์

       

      ระยะเวลาของผลลัพธ์

      • Ultra Lift ผิวจะรู้สึกกระชับทันทีหลังทำ และเห็นผลลัพธ์ชัดเจนในช่วง 1-3 เดือน เนื่องจากคอลลาเจนถูกสร้างขึ้นใหม่ ซึ่งผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 6-12 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลหลังทำ
      • การผ่าตัดดึงหน้า หลังฟื้นตัวจากการผ่าตัด ผิวหน้าจะยกกระชับผิวหน้าอย่างเห็นได้ชัด ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 5-10 ปี หรือมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับอายุและสภาพผิว

       

      สรุปความแตกต่าง Ultra Lift vs การผ่าตัดดึงหน้า

      แม้ทั้ง Ultra Lift และการผ่าตัดดึงหน้า จะมีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือการฟื้นฟูความกระชับของผิวหน้า แต่ทั้งสองวิธีมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกันในแง่ของกระบวนการ ผลลัพธ์ และการดูแลหลังทำ

      สำหรับผู้ที่ต้องการทางเลือกที่ไม่ต้องผ่าตัด ไม่เจ็บตัว และไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้น Ultra Lift อาจเป็นทางออกที่เหมาะสมกว่า ด้วยเทคโนโลยีที่ช่วยกระตุ้นผิวให้ยกกระชับได้แบบดูเป็นธรรมชาติ โดยไม่รบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน

      ในทางกลับกัน การผ่าตัดดึงหน้าให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและยาวนานกว่า ในกรณีที่มีผิวหย่อนคล้อยอย่างรุนแรง แต่ก็มาพร้อมกับค่าใช้จ่ายที่สูงกว่า ความเสี่ยงจากการผ่าตัด และระยะเวลาฟื้นตัวที่นานขึ้น

       

      **ดังนั้น การเลือกวิธีใดจึงควรพิจารณาจาก ความรุนแรงของปัญหาผิว อายุ ผลลัพธ์ที่คาดหวัง และงบประมาณที่มี เพื่อให้ได้แนวทางที่ตอบโจทย์สำหรับแต่ละบุคคล

       

      คำถามพบบ่อยเกี่ยวกับยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift

       

      ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift เจ็บไหม?

      • ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift เป็นหัตถการที่มีความอ่อนโยนต่อผิวหน้า แต่ความรู้สึกระหว่างการทำอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล โดยทั่วไปจะรู้สึกเหมือนมีความร้อนหรือแรงกดเบา ๆ บริเวณผิวที่มีการรักษา เนื่องจากคลื่น Ultrasound ถูกส่งเข้าไปในผิวชั้น SMAS เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่

       

      ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift ต้องทำกี่ครั้งถึงจะเห็นผล?

      • ผลลัพธ์ของยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift สามารถเห็นได้ทันทีหลังการทำ โดยผิวจะรู้สึกกระชับขึ้นและมีความยืดหยุ่นมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์ที่ชัดเจนที่สุดจะเห็นผลภายใน 1-3 เดือน 

       

      ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift สามารถทำร่วมกับหัตถการอื่น ๆ ได้ไหม?

      • ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift สามารถทำร่วมกับหัตถการความงามอื่น ๆ ได้ ในบางกรณีการทำร่วมกับหัตถการอื่นอาจช่วยเพิ่มผลลัพธ์ที่ดีขึ้น โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาผิวในหลายมิติ

       

      หลังทำยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift มีผลข้างเคียงอะไรไหม?

      • โดยทั่วไปยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift ไม่เสี่ยงอันตราย แต่อาจเกิดผลข้างเคียงเล็กน้อย เช่น ผิวแดงหรือระคายเคืองเล็กน้อย รู้สึกตึงบริเวณผิวหน้า ซึ่งอาการเหล่านี้จะหายไปภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังจากทำการรักษา

       

      หลังทำยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift เห็นผลนานแค่ไหน?

      • หลังจากทำ Ultra Lift ผู้รับบริการจะเริ่มเห็นผลลัพธ์ด้านความกระชับ และความยืดหยุ่นของผิวภายในไม่กี่สัปดาห์ และผลลัพธ์เหล่านี้สามารถคงอยู่ได้ในช่วงเวลาประมาณ 6 ถึง 12 เดือน ทั้งนี้ระยะเวลาที่ผลลัพธ์อยู่ได้นาน จะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น อายุ สภาพผิว พฤติกรรมการใช้ชีวิต และการดูแลผิวหลังทำ

       

      ทำยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift สามารถแต่งหน้าได้เลยไหม?

      • หลังเข้ารับการยกกระชับผิวหน้าด้วย Ultra Lift ผู้เข้ารับบริการสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวัน รวมถึงแต่งหน้าได้ทันทีโดยไม่จำเป็นต้องพักฟื้น อย่างไรก็ตาม ในช่วง 1-2 วันแรกหลังทำ ควรให้ความระมัดระวังเป็นพิเศษในการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและเครื่องสำอาง

      เมื่ออาการบรรเทาลงแล้ว จึงสามารถแต่งหน้าและใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวตามปกติได้ตามความเหมาะสม

       

      ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift มีผลลัพธ์ถาวรไหม?

      • ผลลัพธ์ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift ไม่ได้ให้ผลลัพธ์แบบถาวร แต่ผลลัพธ์ที่ได้จากการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ในผิวสามารถคงอยู่ได้ในระยะเวลาหนึ่ง โดยเฉลี่ยประมาณ 6-12 เดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลตัวเองของแต่ละคน

       

      Ultra Lift เป็นหัตถการยกกระชับผิวหน้าที่ใช้เทคโนโลยีคลื่น Ultrasound ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวลึก เพื่อผลลัพธ์ที่ยกกระชับและฟื้นฟูผิวให้ดูอ่อนเยาว์โดยไม่ต้องผ่าตัด ซึ่งเหมาะสำหรับคนที่ต้องการผลลัพธ์ที่เห็นผลชัดเจน แต่ไม่ต้องการการฟื้นตัวที่ยาวนานเหมือนการผ่าตัดดึงหน้า

       

      ผลลัพธ์จากการทำ Ultra Lift อาจไม่เหมือนกันในทุกคน เนื่องจากปัจจัยอย่าง สภาพผิว อายุ การดูแลสุขภาพผิวในชีวิตประจำวัน รวมถึงการตอบสนองของแต่ละบุคคลต่อพลังงานที่ใช้ในการรักษา ล้วนมีผลต่อประสิทธิภาพและความคงทนของผลลัพธ์ เพื่อให้มั่นใจว่าเป็นวิธีที่เหมาะสมกับสภาพผิวและความต้องการของคุณ ควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์ก่อนเข้ารับบริการทุกครั้ง

       

      หากใครกำลังมองหาวิธีการยกกระชับผิวที่ไม่อันตรายและไม่ต้องผ่าตัด Ultra Lift คือทางเลือกที่ดี เหมาะสำหรับการพิจารณาเพื่อฟื้นฟูผิวและเพิ่มความมั่นใจให้กับตัวเองได้อย่างแน่นอน

      รวมเครื่องยกกระชับรมย์รวินท์ เปิดเผยจุดเด่นของแต่ละรุ่น

      เครื่องยกกระชับรมย์รวินท์

      รวมเครื่องยกกระชับรมย์รวินท์ เปิดเผยจุดเด่นของแต่ละรุ่น

      ในยุคที่ความสวยงามและสุขภาพผิวเป็นเรื่องสำคัญ การเลือกใช้เทคโนโลยีที่ช่วยดูแลผิวอย่างมีประสิทธิภาพจึงเป็นสิ่งที่หลายคนให้ความสนใจ เครื่องยกกระชับรมย์รวินท์ เป็นหนึ่งในตัวช่วยที่ตอบโจทย์สำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับผิวหน้า ปรับโครงหน้าให้เรียวขึ้น และฟื้นฟูคอลลาเจนโดยไม่ต้องผ่าตัด

       

      บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับ แต่ละรุ่นของเครื่องยกกระชับรมย์รวินท์ พร้อมเจาะลึกจุดเด่น เทคโนโลยี และประสิทธิภาพของแต่ละรุ่น เพื่อช่วยให้คุณเลือกใช้เครื่องที่เหมาะสมกับปัญหาผิวของคุณมากที่สุด ไม่ว่าคุณจะต้องการ ยกกระชับใบหน้า ลดริ้วรอย หรือเสริมความเรียบเนียนของผิว เราจะพาคุณไปสำรวจทุกมิติของเครื่องยกกระชับที่ช่วยให้คุณดูดีขึ้นได้แบบดูเป็นธรรมชาติ

       

      คุณสมบัติเด่นของแต่ละรุ่นของเครื่องยกกระชับรมย์รวินท์
      คุณสมบัติเด่นของแต่ละรุ่นของเครื่องยกกระชับรมย์รวินท์

       

      คุณสมบัติเด่นของแต่ละรุ่นของเครื่องยกกระชับรมย์รวินท์

      ในการเลือกเครื่องยกกระชับรมย์รวินท์แต่ละรุ่น สิ่งที่ทำให้แต่ละเครื่องแตกต่างกัน อยู่ที่เทคโนโลยีที่ใช้และจุดเน้นในการรักษาที่ตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของผู้ใช้งาน ซึ่งคุณสมบัติเด่นของแต่ละรุ่น มีดังนี้

       

      • เครื่องยกกระชับโปรแกรม Oligio

      เครื่องยกกระชับโปรแกรม Oligio เป็นอุปกรณ์ยกกระชับที่ใช้เทคโนโลยี RF (Radio Frequency) ส่งพลังงาน ลงลึกสู่ชั้นผิวหนังแท้ เพื่อ กระตุ้นคอลลาเจนและอีลาสติน โดยให้พลังงานที่สม่ำเสมอ ทำให้ ลดเลือนริ้วรอย ผิวกระชับขึ้น และดูเรียบเนียนขึ้น จุดเด่นของ Oligio คือ ให้ความรู้สึกอุ่นเบา ๆ โดยไม่รู้สึกเจ็บ เหมาะสำหรับทุกสภาพผิวและทุกช่วงวัย

       

      • เครื่องยกกระชับโปรแกรม Ultherapy Prime

      เครื่องยกกระชับโปรแกรม Ultherapy เป็นเครื่องยกกระชับผิวด้วยเทคโนโลยี MFU-V ที่ได้รับการพัฒนาต่อยอดจากโปรแกรม Ultherapy SPT โดยมีระบบประมวลผลที่ รวดเร็วขึ้น 20% ช่วยลดระยะเวลาในการรักษาและลดความรู้สึกไม่สบายขณะทำ นอกจากนี้ หน้าจอที่มีขนาด เพิ่มขึ้นถึง 35% ทำให้แพทย์สามารถควบคุมและตรวจสอบผลการรักษาได้อย่างแม่นยำ ดีไซน์ทันสมัย กะทัดรัด และใช้งานง่าย ให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ ช่วยให้ผิว ตึงกระชับ ยกขึ้น และดูอ่อนเยาว์ขึ้นแบบดูเป็นธรรมชาติ

      • เครื่องยกกระชับโปรแกรม Ultherapy SPT

      เครื่องยกกระชับโปรแกรม Ultherapy SPT ใช้เทคโนโลยีคลื่นอัลตราซาวด์ความเข้มสูง ส่งพลังงานลึกลงไปถึง ชั้น SMAS เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและยกกระชับผิว มาพร้อมกับระบบ See-Plan-Treat ที่ช่วย วิเคราะห์ชั้นผิวแบบเรียลไทม์ และวางแผนการรักษาอย่างแม่นยำ ช่วยให้ แพทย์สามารถส่งพลังงานได้ตรงจุด และเห็นผลลัพธ์ชัดเจนตั้งแต่ครั้งแรก เหมาะสำหรับการปรับกระชับบริเวณใบหน้า กรอบหน้า และลำคอ

      • เครื่องยกกระชับโปรแกรม Ultra 4D Lift

      เครื่องยกกระชับโปรแกรม Ultra 4D Lift  เป็นเทคโนโลยี Micro & Macro Focused Ultrasound ที่สามารถปรับระดับพลังงานให้ครอบคลุมทุกชั้นของผิว ตั้งแต่ ชั้นบนสุด (Epidermis), ผิวหนังแท้ (Dermis), ไปจนถึงชั้นลึก (SMAS) ที่เป็นชั้นเดียวกับที่ใช้ในการผ่าตัดดึงหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการ ยกกระชับผิว ลดริ้วรอย ปรับรูปหน้าให้เรียวขึ้น และฟื้นฟูคอลลาเจนในทุกระดับ

      • เครื่องยกกระชับโปรแกรม Super HIFU

      เครื่องยกกระชับโปรแกรม Super HIFU (High-Intensity Focused Ultrasound) เป็นเทคโนโลยี HIFU ความเข้มสูง ที่สามารถเจาะลึกเข้าสู่เนื้อผิวได้มากขึ้น โดยไม่ต้องใช้การผ่าตัดหรือการฉีดเข็ม เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าให้เรียว กระชับ และดูอ่อนเยาว์แบบดูเป็นธรรมชาติ ด้วยพลังงานที่ส่งลงไปอย่างแม่นยำ ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้ผิวดูเฟิร์มขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ

      • เครื่องยกกระชับโปรแกรม Fix Lift

      เครื่องยกกระชับโปรแกรม Fix Lift เป็นนวัตกรรมที่ผสมผสานพลังงานคลื่นวิทยุ (RF – Radio Frequency) ร่วมกับ เทคนิค Microneedling โดยใช้ เข็มขนาดเล็กส่งพลังงานลึกเข้าสู่ชั้นใต้ผิวหนัง เพื่อกระตุ้นการสร้าง คอลลาเจนและอีลาสติน อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้ผิว เรียบเนียนขึ้น ลดเลือนริ้วรอย และฟื้นฟูผิวจากภายใน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับเฉพาะจุด 

      • เครื่องยกกระชับโปรแกรม EMFACE

      เครื่องยกกระชับโปรแกรม EMFACE เป็นการรวมเทคโนโลยี RF (Radio Frequency) และ HIFES (High-Intensity Facial Electrical Stimulation) ซึ่งช่วย กระตุ้นกล้ามเนื้อใบหน้าโดยตรง และ เพิ่มความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อ ไปพร้อมกับการยกกระชับผิว ช่วยลดความหย่อนคล้อยในชั้นกล้ามเนื้อใบหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการให้กรอบหน้าคมชัดขึ้น โดยไม่ต้องใช้เข็มหรือผ่าตัด

      • เครื่องยกกระชับโปรแกรม Thermage FLX

      เครื่องยกกระชับโปรแกรม Thermage FLX ใช้เทคโนโลยี Monopolar RF (Radio Frequency) ส่งพลังงานความร้อนลงไปยัง ชั้นผิวหนังแท้ (Dermis) เพื่อ กระตุ้นคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิว แน่นขึ้น กระชับขึ้น และลดเลือนริ้วรอย ผลลัพธ์จะเห็นได้ทันทีหลังทำและอยู่ได้นาน 12-18 เดือน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดความหย่อนคล้อยในบริเวณใบหน้า ลำคอ แขน ขา และหน้าท้อง

       

      เปรียบเทียบราคาและความคุ้มค่าที่ได้รับจาก เครื่องยกกระชับรมย์รวินท์ ในแต่ละรุ่น

      เครื่องยกกระชับโปรแกรม Ulthera Prime

      • ราคา: ราคาเริ่มต้นประมาณ 30,000-60,000 บาท ต่อครั้ง
      • ความคุ้มค่า: เป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าที่สามารถกระชับผิวได้อย่างแม่นยำและดูเป็นธรรมชาติ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการกระชับผิวบริเวณใบหน้าและลำคอ โดยใช้เวลารักษาน้อยลง และลดความรู้สึกไม่สบายขณะทำ

      เครื่องยกกระชับ Ulthera SPT

      • ราคา: ราคาเฉลี่ยเริ่มต้นประมาณ 30,000 – 60,000 บาท ต่อครั้ง
      • ความคุ้มค่า: ระบบ See-Plan-Treat ช่วย วิเคราะห์และวางแผนการรักษาได้อย่างแม่นยำ ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้มีประสิทธิภาพสูงและเป็นธรรมชาติ การลงทุนในรุ่นนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการ การรักษาที่ตรงจุดและเห็นผลลัพธ์ตั้งแต่ครั้งแรก

      เครื่องยกกระชับโปรแกรม Ultra 4D Lift

      • ราคา: ราคาเฉลี่ยเริ่มต้นประมาณ 15,000 – 40,000 บาท ต่อครั้ง
      • ความคุ้มค่า: ด้วยการผสมผสาน RF และ Microneedling ทำให้สามารถเจาะลึกเข้าสู่ชั้นใต้ผิวเพื่อกระตุ้นคอลลาเจนและอีลาสติน เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการแก้ไขปัญหาผิวเฉพาะจุด หรือฟื้นฟูผิวที่ต้องการความละเอียดและแม่นยำ

      เครื่องยกกระชับโปรแกรม Fix Lift

      • ราคา: ราคาเริ่มต้นประมาณ 30,000 – 100,000 บาท ต่อครั้ง
      • ความคุ้มค่า: ด้วยการผสมผสานระหว่าง RF และ Microneedling ที่เน้นการแก้ไขปัญหาผิวในจุดเฉพาะ ทำให้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการแก้ไขปัญหาที่มีความเฉพาะเจาะจง ผลการรักษาเน้นความละเอียดและแม่นยำ ทำให้คุ้มค่าในกลุ่มลูกค้าที่ต้องการการปรับปรุงเฉพาะจุด

      เครื่องยกกระชับโปรแกรม EMFACE

      • ราคา: ราคาเฉลี่ยเริ่มต้นประมาณ 40,000 – 80,000 บาท ต่อครั้ง
      • ความคุ้มค่า: เป็นการรวมเทคโนโลยี RF และ HIFES เพื่อ กระตุ้นกล้ามเนื้อใบหน้าโดยตรง ทำให้ไม่เพียงแต่ยกกระชับผิว แต่ยังช่วย เสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการ กระชับกรอบหน้าอย่างดูเป็นธรรมชาติ

      เครื่องยกกระชับโปรแกรม Thermage FLX

      • ราคา: ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 50,000 – 100,000 บาท ต่อครั้ง
      • ความคุ้มค่า: ใช้พลังงาน Monopolar RF ในการส่งความร้อนลงสู่ ชั้น Dermis เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ช่วยให้ผิว ยกกระชับและลดริ้วรอยอย่างเห็นได้ชัด ผลลัพธ์สามารถอยู่ได้นานถึง 12-18 เดือน เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่รวดเร็วและยาวนาน

      เครื่องยกกระชับโปรแกรม Oligio

      • ราคา: ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 20,000 – 40,000 บาท ต่อครั้ง
      • ความคุ้มค่า: ใช้เทคโนโลยี Monopolar RF ที่ให้พลังงานอย่างต่อเนื่องโดย ไม่รู้สึกเจ็บ เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว ให้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ ภายใน 1-3 เดือน เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการดูแลผิวอย่างอ่อนโยน

      เครื่องยกกระชับโปรแกรม Super HIFU

      • ราคา: ราคาเริ่มต้นประมาณ 30,000-60,000 บาท ต่อครั้ง
      • ความคุ้มค่า: ใช้เทคโนโลยี HIFU ความเข้มสูง ซึ่งสามารถให้ ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและรวดเร็ว เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการยกกระชับใบหน้า ลดริ้วรอย และเห็นการเปลี่ยนแปลงในระยะเวลาอันสั้น

       

      วิวัฒนาการของเทคโนโลยีเครื่องยกกระชับรมย์รวินท์

      เทคโนโลยีเครื่องยกกระชับของ รมย์รวินท์คลินิก ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น และตอบโจทย์ความต้องการของผู้รับบริการในยุคปัจจุบัน โดยวิวัฒนาการของเทคโนโลยีเครื่องยกกระชับมีแนวทางสำคัญ ดังนี้

      • จากการผ่าตัดสู่เทคโนโลยียกกระชับแบบไม่ต้องผ่าตัด

      วิธีการยกกระชับผิว มักใช้การผ่าตัดศัลยกรรมดึงหน้า ซึ่งแม้จะให้ผลลัพธ์ที่ดี แต่ก็มีความเสี่ยงและต้องใช้เวลาพักฟื้นนาน ปัจจุบัน เทคโนโลยีเครื่องยกกระชับได้พัฒนาขึ้นมาเพื่อให้สามารถกระชับผิวได้โดยไม่ต้องผ่าตัด ลดระยะเวลาพักฟื้น และยังคงให้ผลลัพธ์ที่ใกล้เคียงกับการศัลยกรรม

      • การพัฒนาเทคโนโลยีให้มีความแม่นยำและลึกขึ้น

      เทคโนโลยีในยุคแรก ๆ อาจส่งพลังงานได้ไม่แม่นยำพอ หรือเข้าถึงชั้นผิวได้จำกัด แต่ในปัจจุบัน เครื่องยกกระชับของรมย์รวินท์ได้พัฒนาให้สามารถส่งพลังงานลงลึกถึง ชั้น SMAS (Superficial Musculoaponeurotic System) ซึ่งเป็นชั้นเดียวกับที่ศัลยแพทย์ใช้ในการผ่าตัดดึงหน้า ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

      • การใช้เทคโนโลยีผสมผสานเพื่อให้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น

      เครื่องยกกระชับในปัจจุบันไม่ได้อาศัยเพียงเทคโนโลยีเดียว แต่มีการผสมผสานเทคโนโลยีหลากหลายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ เช่น Microneedling+RF, HIFES+RF

      • เทคโนโลยีที่ช่วยลดความรู้สึกเจ็บ แต่ให้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น

      เครื่องยกกระชับยุคแรกมักมีข้อเสียคือ ทำให้รู้สึกเจ็บหรือไม่สบายในระหว่างการรักษา แต่เครื่องรุ่นใหม่ของรมย์รวินท์ ได้พัฒนาให้พลังงานถูกส่งไปยังผิวอย่างนุ่มนวลขึ้น ลดความรู้สึกเจ็บ แต่ยังคงให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ

      • การรักษาที่สามารถทำได้หลายบริเวณของร่างกาย

      เทคโนโลยียกกระชับมักใช้เฉพาะบนใบหน้า แต่ปัจจุบันเครื่องยกกระชับของรมย์รวินท์สามารถใช้ได้กับหลายบริเวณของร่างกาย เช่น ลำคอ แขน หน้าท้อง สะโพก และต้นขา ช่วยแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยได้ครอบคลุมยิ่งขึ้น

       

      จุดเด่นที่ทำให้ เครื่องยกกระชับรมย์รวินท์ แตกต่าง

      เครื่องยกกระชับของรมย์รวินท์คลินิก มีความโดดเด่นและแตกต่างจากที่อื่นด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยและแนวทางการรักษาที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของแต่ละบุคคล โดยมีจุดเด่นหลัก ดังต่อไปนี้

      • เทคโนโลยีเฉพาะที่แม่นยำ และตรงจุดกว่า

      เครื่องยกกระชับที่ใช้ในรมย์รวินท์คลินิกมาพร้อมกับเทคโนโลยีที่สามารถส่งพลังงานลงสู่ชั้นผิวได้อย่างแม่นยำ ที่สามารถเจาะลึกถึงชั้น SMAS เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้สามารถรักษาปัญหาผิวได้อย่างตรงจุด

      • การพัฒนาเทคโนโลยีให้มีความแม่นยำและลึกขึ้น

      เครื่องยกกระชับของรมย์รวินท์คลินิกได้รับการพัฒนาให้สามารถปล่อยพลังงานอย่างมีเสถียรภาพและควบคุมความร้อนให้เหมาะสมกับสภาพผิวของแต่ละบุคคล ช่วยลดความรู้สึกเจ็บขณะทำ แต่ยังคงให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและเต็มประสิทธิภาพ

      • การใช้เทคโนโลยีผสมผสานเพื่อให้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น

      เทคโนโลยีที่ใช้สามารถให้ผลลัพธ์ที่เห็นได้ตั้งแต่ครั้งแรกหลังทำ และผลการรักษาจะดีขึ้นเรื่อย ๆ ภายใน 1-3 เดือนหลังการรักษา นอกจากนี้ ผลลัพธ์ยังสามารถอยู่ได้นานถึง 12-18 เดือน ขึ้นอยู่กับการดูแลผิวของแต่ละบุคคล

      • เทคโนโลยีที่ช่วยลดความรู้สึกเจ็บ แต่ให้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น

      เครื่องยกกระชับที่รมย์รวินท์คลินิกเลือกใช้เป็นเทคโนโลยีที่ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับสากล เช่น US FDA และ CE ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก จึงมั่นใจได้ถึงประสิทธิภาพ

      • ออกแบบการรักษาเฉพาะบุคคล (Personalized Treatment)

      ที่รมย์รวินท์คลินิก การรักษาแต่ละครั้งจะถูกออกแบบให้เหมาะสมกับปัญหาและสภาพผิวของแต่ละบุคคล โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะทำการวิเคราะห์และวางแผนการรักษาเฉพาะบุคคล เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าแต่ละบุคคล

      • ผลลัพธ์ที่อยู่ได้นานขึ้น

      เทคโนโลยีในปัจจุบันสามารถให้ผลลัพธ์ที่คงอยู่ได้นานกว่าเดิม โดยเครื่องยกกระชับของรมย์รวินท์สามารถให้ผลลัพธ์อยู่ได้ตั้งแต่ 12 เดือน ถึง 24 เดือน ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีที่ใช้และสภาพผิวของแต่ละบุคคล

      • การรักษาที่สามารถทำได้หลายบริเวณของร่างกาย

      ในอดีตเทคโนโลยียกกระชับมักใช้เฉพาะบนใบหน้า แต่ปัจจุบันเครื่องยกกระชับของรมย์รวินท์สามารถใช้ได้กับหลายบริเวณของร่างกาย เช่น ลำคอ แขน หน้าท้อง สะโพก และต้นขา ช่วยแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยได้ครอบคลุมยิ่งขึ้น

       

      การเลือกเครื่องยกกระชับรมย์รวินท์ให้เหมาะกับสภาพผิว

      การเลือกเครื่องยกกระชับให้เหมาะกับสภาพผิวเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากแต่ละเทคโนโลยีและรุ่นเครื่องมีคุณสมบัติที่ตอบโจทย์ปัญหาผิวที่แตกต่างกันไป โดยมีข้อพิจารณาหลัก ๆ ดังนี้

      • ประเมินสภาพผิวและปัญหาที่ต้องการแก้ไข

      หากผิวมีความหย่อนคล้อยเล็กน้อยและต้องการการกระชับพื้นฐาน เช่น ผิวหน้าและลำคอ เครื่องยกกระชับรมย์รวินท์ที่เหมาะสมคือ Oligio, Fix Lift และ Thermage FLX สำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวลึกหรือความหย่อนคล้อยปานกลางถึงมาก เครื่องยกกระชับรมย์รวินท์ที่เหมาะสมคือ Ulthera SPT, Ulthera Prime, Ultra 4D Lift, Super HIFU และ EMFACE

      • เป้าหมายของการรักษา

      หากต้องการผลลัพธ์ระยะยาวและฟื้นฟูผิวในระดับลึก การเลือกเครื่องยกกระชับรมย์รวินท์ เช่น Ulthera SPT, Ulthera Prime และ Thermage FLX ที่สามารถคงผลลัพธ์ได้นานถึง 12-18 เดือน นับเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจอย่างมาก ส่วนในกรณีที่มีปัญหาผิวไม่กระชับ มีปัญหาหย่อนคล้อยเล็กน้อย สามารถเลือกเครื่องยกกระชับรมย์รวินท์อย่าง Oligio ได้ โดยสามารถเห็นผลลัพธ์หลังทำทันที และคงผลลัพธ์ได้นาน 6-12 เดือน

      • การปรับโปรแกรมและความแม่นยำของการรักษา

      เครื่องที่มาพร้อมระบบวิเคราะห์ผิวและวางแผนการรักษาอย่างโปรแกรม Ulthera Prime และโปรแกรม Ulthera SPT จะช่วยให้การรักษามีความแม่นยำและลดความรู้สึกไม่สบายในระหว่างการทำงาน ซึ่งเหมาะกับผู้ที่ต้องการความแ่นยำในการรักษาสูง

      • ความสะดวกในการใช้งาน

      เลือกเครื่องที่ออกแบบมาให้ใช้งานง่ายต่อผู้ใช้ในทุกสภาพผิว เช่น เครื่องที่มีระบบควบคุมพลังงานอัจฉริยะและดีไซน์ที่ทันสมัย จะช่วยให้การรักษาเป็นไปอย่างราบรื่นและมีความพึงพอใจสูง

       

      เครื่องยกกระชับรมย์รวินท์ มีข้อดีอะไรบ้าง?

      เครื่องยกกระชับรมย์รวินท์ มีข้อดีอะไรบ้าง?

       

      เครื่องยกกระชับรมย์รวินท์ มีข้อดีอะไรบ้าง?

      • เครื่องยกกระชับรมย์รวินท์ มีเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย และหลากหลายให้เลือก
      • เครื่องยกกระชับรมย์รวินท์ ให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ
      • เครื่องยกกระชับรมย์รวินท์ มีความเหมาะสมกับทุกสภาพผิว
      • เครื่องยกกระชับรมย์รวินท์ ใช้งานง่ายและไม่อันตราย
      • เครื่องยกกระชับรมย์รวินท์ ให้ผลลัพธ์ที่คงทนได้อย่างยาวนาน
      • เครื่องยกกระชับรมย์รวินท์ ไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีแผลเป็น และไม่ต้องพักฟื้น
      • เครื่องยกกระชับรมย์รวินท์ เทคโนโลยีมีความแม่นยำอย่างมีประสิทธิภาพ
      • เครื่องยกกระชับรมย์รวินท์ สามารถปรับโปรแกรมเฉพาะบุคคลได้
      • เครื่องยกกระชับรมย์รวินท์ ใช้ได้กับทุกสภาพผิว และหลายบริเวณของร่างกาย
      • เครื่องยกกระชับรมย์รวินท์ ได้ผลลัพธ์ที่รวดเร็วและยาวนาน
      • เครื่องยกกระชับรมย์รวินท์ ไม่มีผลข้างเคียงที่อันตราย

       

      เครื่องยกกระชับรมย์รวินท์ ช่วยแก้ปัญหาผิวอะไรบ้าง?
      เครื่องยกกระชับรมย์รวินท์ ช่วยแก้ปัญหาผิวอะไรบ้าง?

       

      เครื่องยกกระชับรมย์รวินท์ ช่วยแก้ปัญหาผิวอะไรบ้าง?

      • เครื่องยกกระชับ แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย และใบหน้าที่เริ่มขาดความกระชับ
      • เครื่องยกกระชับ แก้ปัญหาริ้วรอย และร่องลึกที่เริ่มปรากฏตามใบหน้า
      • เครื่องยกกระชับ แก้ปัญหากรอบหน้าไม่ชัด มีไขมันสะสม และคางสองชั้น
      • เครื่องยกกระชับ แก้ปัญหาผิวไม่เรียบเนียน รูขุมขนกว้าง
      • เครื่องยกกระชับ แก้ปัญหาผิวแห้ง ขาดน้ำ และขาดความยืดหยุ่น
      • เครื่องยกกระชับ แก้ปัญหาผิวเสื่อมสภาพจากแสงแดด และมลภาวะ
      • เครื่องยกกระชับ แก้ปัญหาผิวบริเวณลำคอ และส่วนอื่น ๆ ของร่างกายเริ่มหย่อนคล้อย
      • เครื่องยกกระชับ แก้ปัญหารอยแตกลายหลังคลอด หรือหลังลดน้ำหนัก
      • เครื่องยกกระชับ แก้ปัญหาผิวรอบดวงตาหย่อนคล้อย และมีริ้วรอย

       

      ใครบ้างที่ควรทำ เครื่องยกกระชับรมย์รวินท์?
      ใครบ้างที่ควรทำ เครื่องยกกระชับรมย์รวินท์?

       

      ใครบ้างที่ควรทำ เครื่องยกกระชับรมย์รวินท์?

      • เครื่องยกกระชับ เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีอายุ 25-30 ปีขึ้นไป
      • เครื่องยกกระชับ เหมาะสำหรับ ผู้เริ่มมีริ้วรอยและมีปัญหาผิวหย่อนคล้อย
      • เครื่องยกกระชับ เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวจากปัจจัยภายนอก
      • เครื่องยกกระชับ เหมาะสำหรับผู้ที่ปัญหาผิวเฉพาะจุด เช่น รอบดวงตา หรือมุมปาก
      • เครื่องยกกระชับ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับปรับรูปหน้าและกระชับกรอบหน้า
      • เครื่องยกกระชับ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์แบบดูเป็นธรรมชาติ
      • เครื่องยกกระชับ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการดูแลผิวแบบไม่ต้องผ่าตัด
      • เครื่องยกกระชับ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการป้องกันริ้วรอยในระยะยาว
      • เครื่องยกกระชับ เหมาะสำหรับผู้ที่กังวลเกี่ยวกับการผ่าตัดหรือวิธีการที่มีความเสี่ยงสูง
      • เครื่องยกกระชับ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาจำกัดแต่ต้องการผลลัพธ์ที่รวดเร็ว
      • เครื่องยกกระชับ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปรับปรุงรูปลักษณ์เพื่อความมั่นใจ
      • เครื่องยกกระชับ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่ไม่อันตรายและไม่มีแผล
      • เครื่องยกกระชับ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเฉพาะด้านการฟื้นฟูผิว
      • เครื่องยกกระชับ เหมาะสำหรับผู้ที่มีสภาพผิวหลากหลาย
      • เครื่องยกกระชับ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการป้องกันการเสื่อมสภาพของผิว

      หมายเหตุ:

      ผลลัพธ์ของการยกกระชับใบหน้าด้วยเครื่องมือที่ให้บริการโดยรมย์รวินท์คลินิก อาจแตกต่างกันในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายด้าน เช่น สภาพผิว อายุ ปัญหาผิวเฉพาะจุด รวมถึงการดูแลผิวหลังการรักษา เพื่อผลลัพธ์ที่ตรงตามความต้องการ แนะนำให้รับการตรวจประเมินจากแพทย์ก่อนเข้ารับบริการทุกครั้ง

       

      ใครที่ไม่เหมาะกับเครื่องยกกระชับรมย์รวินท์บ้าง?

      • เครื่องยกกระชับ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
      • เครื่องยกกระชับ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีโรคหัวใจ หรือ ใช้เครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemaker)
      • เครื่องยกกระชับ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีโรคเกี่ยวกับระบบไหลเวียนโลหิตผิดปกติ หรือมีปัญหาหลอดเลือด
      • เครื่องยกกระชับ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะลิ่มเลือดอุดตัน หรือใช้ยาละลายลิ่มเลือดเป็นประจำ
      • เครื่องยกกระชับ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวติดเชื้ออักเสบ หรือเป็นโรคผิวหนังรุนแรง เช่น งูสวัด, โรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis)
      • เครื่องยกกระชับ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีแผลเปิด แผลสด บริเวณที่จะทำการรักษา
      • เครื่องยกกระชับ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีโลหะฝังในร่างกาย เช่น รากฟันเทียม, ข้อต่อเทียม, แผ่นไทเทเนียมในกะโหลกศีรษะ
      • เครื่องยกกระชับ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เคยฉีดฟิลเลอร์ในจุดที่ต้องการทำเครื่องยกกระชับ
      • เครื่องยกกระชับ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวานชนิดรุนแรง และมีภาวะแทรกซ้อน
      • เครื่องยกกระชับ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีโรคเกี่ยวกับระบบประสาท เช่น โรคลมชัก หรือภาวะระบบประสาทไวเกิน
      • เครื่องยกกระชับ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีสิวอักเสบ บวมแดง หรือมีตุ่มหนอง บริเวณที่จะทำการรักษา
      • เครื่องยกกระชับ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวไวต่อความร้อน หรือมีอาการระคายเคืองจากการทำเลเซอร์มาก่อน
      • เครื่องยกกระชับ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เพิ่งฉีดโปรแกรมฟิลเลอร์ หรือโบลดริ้วรอยในบริเวณที่ต้องการทำเครื่องยกกระชับ

      คำแนะนำ:

      ก่อนเข้ารับบริการยกกระชับใบหน้าด้วยเครื่องยกกระชับที่รมย์รวินท์คลินิก แนะนำให้เข้ารับการประเมินกับแพทย์ประจำคลินิกก่อนทุกครั้ง เพื่อพิจารณาสภาพผิว สุขภาพโดยรวม และปัจจัยเฉพาะตัวที่อาจมีผลต่อแนวทางการรักษา โดยเฉพาะในผู้ที่มีภาวะสุขภาพที่ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ การวางแผนร่วมกับแพทย์จะช่วยให้การรักษาเป็นไปอย่างเหมาะสม

       

      การเตรียมตัวก่อนทำ และการดูแลหลังทำ เครื่องยกกระชับรมย์รวินท์
      การเตรียมตัวก่อนทำ และการดูแลหลังทำ เครื่องยกกระชับรมย์รวินท์

       

      การเตรียมตัวก่อนทำและการดูแลหลังทำเครื่องยกกระชับรมย์รวินท์

      การเตรียมตัวก่อนทำเครื่องยกกระชับรมย์รวินท์

      • ก่อนทำยกกระชับ ควรเข้าพบแพทย์เพื่อตรวจสภาพผิว และเลือกเครื่องยกกระชับที่เหมาะสม
      • ก่อนทำยกกระชับ ควรแจ้งแพทย์เกี่ยวกับ ประวัติสุขภาพ ยาที่ใช้อยู่ และการทำหัตถการอื่น ๆ ก่อนหน้านี้
      • ก่อนทำยกกระชับ ควรใช้ครีมกันแดดที่มี SPF 50 PA+++ เป็นประจำ
      • ก่อนทำยกกระชับ ควรนอนหลับให้เพียงพอ อย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง
      • ก่อนทำยกกระชับ ควรดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อให้ผิวชุ่มชื้น และพร้อมรับการรักษา
      • ก่อนทำยกกระชับ งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่ อย่างน้อย 24-48 ชั่วโมง
      • ก่อนทำยกกระชับ งดทานยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด 1 สัปดาห์

       

      การดูแลตัวเองหลังทำเครื่องยกกระชับรมย์รวินท์

      • หลังทำยกกระชับ ควรใช้ครีมกันแดดที่มี SPF 50 PA+++ เพื่อป้องกันผิวที่ไวต่อแสง
      • หลังทำยกกระชับ ควรดื่มน้ำมาก ๆ วันละ 2-3 ลิตร เพื่อช่วยให้ผิวฟื้นตัวเร็วขึ้น
      • หลังทำยกกระชับ หลีกเลี่ยงการตากแดดจัด อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์
      • หลังทำยกกระชับ หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีกรดผลัดเซลล์ผิว เช่น AHA, BHA, Retinol, Vitamin C เข้มข้น ประมาณ 1 สัปดาห์
      • หลังทำยกกระชับ หลีกเลี่ยงความร้อน เช่น ซาวน่า อบไอน้ำ หรือออกกำลังกายหนัก ๆ อย่างน้อย 48 ชั่วโมง
      • หลังทำยกกระชับ งดการขัดผิว หรือใช้สครับหน้า 1-2 สัปดาห์
      • หลังทำยกกระชับ งดแอลกอฮอล์และบุหรี่ อย่างน้อย 1 สัปดาห์

       

      เครื่องยกกระชับทำได้บ่อยแค่ไหน?

      • ความถี่ในการทำเครื่องยกกระชับขึ้นอยู่กับประเภทของเทคโนโลยีที่ใช้ โดยทั่วไป โปรแกรม Ulthera Prime, โปรแกรม Super HIFU, โปรแกรม Ultra 4D Lift สามารถทำปีละครั้ง และ โปรแกรม Thermage FLX, โปรแกรม Oligio สามารถทำทุก 6-12 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและความต้องการ ส่วนโปรแกรม Fix Lift และ โปรแกรม EMFACE สามารถทำถี่ขึ้น โดยแนะนำให้ทำทุก 3-6 เดือน เพื่อรักษาผลลัพธ์ให้ยาวนาน

       

      หลังทำเครื่องยกกระชับเห็นผลทันทีไหม?

      • ผลลัพธ์ของเครื่องยกกระชับสามารถเห็นความเปลี่ยนแปลงบางส่วนได้ทันทีหลังทำ อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์ที่ชัดเจนจะค่อย ๆ ปรากฏภายใน 1-3 เดือน เนื่องจากต้องใช้เวลาให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนและฟื้นฟูผิว

       

      เครื่องยกกระชับทำแล้วเจ็บไหม?

      • ระดับความรู้สึกขณะทำขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีของเครื่องที่ใช้ โดยปัจจุบันเครื่องรุ่นใหม่ เช่น โปรแกรม Ulthera Prime และ โปรแกรม Thermage FLX มีระบบช่วยลดความเจ็บ โดยบางคนอาจรู้สึกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หากกังวลเรื่องความเจ็บ สามารถใช้ ยาชาก่อนทำ เพื่อเพิ่มความสบายระหว่างทำหัตถการ

       

       เครื่องยกกระชับมีผลข้างเคียงไหม?

      • เครื่องยกกระชับเป็นเทคโนโลยีที่ไม่อันตรายและมีผลข้างเคียงน้อย อย่างไรก็ตาม อาจมีอาการ รอยแดง บวมเล็กน้อย หรือรู้สึกอุ่น ๆ ใต้ผิวหนัง ซึ่งเป็นอาการปกติที่มักหายไปภายใน 24-48 ชั่วโมง ในบางกรณีอาจพบรอยช้ำเล็ก ๆ หรือรู้สึกผิวตึง ๆ เป็นเวลาสั้น ๆ หากมีอาการผิดปกติที่ไม่หายไปภายใน 1 สัปดาห์ ควรปรึกษาแพทย์

       

       เครื่องยกกระชับสามารถทำร่วมกับหัตถการอื่นได้ไหม?

      • สามารถทำเครื่องยกกระชับร่วมกับหัตถการอื่นได้ เช่น โปรแกรมโบลดริ้วรอย โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ โปรแกรมเลเซอร์ และโปรแกรมทรีตเมนต์บำรุงผิว แต่ต้องเว้นระยะเวลาที่เหมาะสม เพื่อป้องกันผลกระทบต่อสารที่ฉีดเข้าไป นอกจากนี้ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำเพื่อให้การรักษาเหมาะสมและได้ผลลัพธ์ที่ดี

       

      • นอกจากใบหน้าแล้ว เครื่องยกกระชับยังสามารถใช้ได้กับ ลำคอ ต้นแขน หน้าท้อง ต้นขา และสะโพก เพื่อช่วยลดความหย่อนคล้อยของผิว เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการกระชับผิวทั่วร่างกาย เช่น ลดไขมันหน้าท้อง ยกกระชับต้นแขน หรือลดรอยแตกลายบริเวณขาและสะโพก

       

      การดูแลผิวให้กระชับ เต่งตึง และอ่อนเยาว์ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป ด้วยเทคโนโลยีเครื่องยกกระชับที่ช่วยให้คุณสามารถฟื้นฟูโครงสร้างผิวจากภายในโดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ว่าจะเป็นการลดริ้วรอย ปรับกรอบหน้าให้ชัดขึ้น หรือกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เครื่องแต่ละรุ่นถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ที่แตกต่างกัน และสามารถเลือกให้เหมาะกับสภาพผิวของแต่ละบุคคลได้

       

      หากคุณกำลังมองหาวิธีดูแลผิวที่ให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ การเลือกใช้เครื่องยกกระชับที่เหมาะสมกับสภาพผิวจะช่วยให้คุณเห็นผลลัพธ์ที่ดีขึ้น และอยู่ได้นานขึ้น เพียงแค่เลือกใช้เทคโนโลยีที่ถูกต้อง และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์

       

      ทั้งนี้ ผลลัพธ์ที่ได้อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับสภาพผิว อายุ และการดูแลหลังการรักษา

      ใบหน้าหย่อนคล้อย ยกกระชับด้วยวิธีไหนดี? รวมวิธียกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อยที่ได้ผล!

      รวมวิธียกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อยที่ได้ผล

      ใบหน้าหย่อนคล้อย ยกกระชับด้วยวิธีไหนดี? รวมวิธียกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อยที่ได้ผล!

      เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น ผิวหน้าของเราย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา หนึ่งในปัญหาที่หลายคนกังวลคือ ใบหน้าหย่อนคล้อย ซึ่งเกิดจากการเสื่อมสภาพของคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิว ส่งผลให้ผิวขาดความยืดหยุ่นและความกระชับ นอกจากนี้ ยังสามารถเกิดได้จากปัจจัยอื่น ๆ เช่น แรงโน้มถ่วง พฤติกรรมการใช้ชีวิต การลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว และการสัมผัสแสงแดดเป็นเวลานาน ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ล้วนเร่งให้เกิดริ้วรอยและความหย่อนคล้อยได้เร็วขึ้น ผลลัพธ์ที่ตามมาคือ กรอบหน้าไม่ชัด ผิวหย่อนคล้อย ขาดความเต่งตึง และอาจทำให้ดูแก่กว่าวัย

       

      ซึ่งในปัจจุบันมีวิธียกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อยที่ได้ผลจริงหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น การดูแลผิวด้วยตัวเอง การเลือกใช้สกินแคร์ที่ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน การออกกำลังกายใบหน้า รวมถึงเทคโนโลยีความงามที่ทันสมัย เช่น Thermage, Ulthera, Oligio, Ultra 4D Lift, EMFACE และ Fix Lift ซึ่งช่วยฟื้นฟูโครงสร้างผิวให้ตึงกระชับ ดูอ่อนเยาว์ขึ้น

       

      หากคุณกำลังมองหาวิธียกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อยที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ บทความนี้จะช่วยแนะนำ เทคนิคและตัวเลือกที่ดีให้คุณเลือกตามความต้องการ เพื่อให้ใบหน้าของคุณกลับมาเรียบเนียน กระชับ และดูอ่อนเยาว์อีกครั้ง

       

      ใบหน้าหย่อนคล้อยคืออะไร?
      ใบหน้าหย่อนคล้อยคืออะไร?

       

      ใบหน้าหย่อนคล้อยคืออะไร? 

      ใบหน้าหย่อนคล้อย คือ ภาวะที่ผิวสูญเสียความยืดหยุ่นและความกระชับ ทำให้โครงหน้าดูเปลี่ยนแปลง กรอบหน้าไม่คมชัด ผิวบริเวณแก้ม มุมปาก และลำคอเริ่มหย่อนลง ซึ่งเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงการเสื่อมสภาพของโครงสร้างผิว หากปล่อยทิ้งไว้อาจทำให้ใบหน้าดูแก่กว่าวัย และยากต่อการฟื้นฟูในอนาคต ซึ่งการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยให้ผิวกลับมากระชับ ดูอ่อนเยาว์ และรักษาความสมดุลของใบหน้าได้ดีขึ้น

       

      ใบหน้าหย่อนคล้อยเกิดจากอะไร?

      • อายุที่เพิ่มขึ้นทำให้คอลลาเจนและอีลาสตินลดลง

      เมื่ออายุมากขึ้น ร่างกายจะผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินน้อยลง ซึ่งเป็นโปรตีนสำคัญที่ช่วยทำให้ผิวมีความกระชับและยืดหยุ่น การลดลงของสารเหล่านี้จะทำให้ผิวเริ่มบางลง สูญเสียความเต่งตึง และเกิดความหย่อนคล้อยตามมา

      • แรงโน้มถ่วงส่งผลให้ผิวหย่อนคล้อย

      แรงโน้มถ่วงมีผลต่อผิวหน้าโดยตรง ยิ่งอายุเพิ่มขึ้นผิวที่เคยยืดหยุ่นจะเริ่มอ่อนแรงลงและไม่สามารถต้านทานแรงโน้มถ่วงได้ ส่งผลให้บริเวณแก้ม มุมปาก และลำคอเริ่มหย่อนคล้อยลง โครงหน้าที่เคยคมชัดจึงดูหย่อนคล้อยและเปลี่ยนแปลงไป

      • การใช้ชีวิตและพฤติกรรมที่ทำให้หน้าแก่ก่อนวัย

      การพักผ่อนไม่เพียงพอ ความเครียด การสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ และการสัมผัสแสงแดดเป็นเวลานาน ปัจจัยภายนอกเหล่านี้ สามารถเร่งให้คอลลาเจนเสื่อมสภาพเร็วขึ้น ทำให้ผิวบางลง ขาดความยืดหยุ่น และเกิดริ้วรอยก่อนวัย

      • การลดน้ำหนักเร็วเกินไป ทำให้ผิวหน้าไม่กระชับ

       การลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่มีการดูแลผิวที่เหมาะสม อาจทำให้ไขมันใต้ผิวลดลงในเวลาอันสั้น ส่งผลให้ผิวหน้าที่เคยเต่งตึงและกระชับเกิดความหย่อยคล้อย อีกทั้งยังเกิดริ้วรอยได้ง่ายขึ้นอีกด้วย

       

      อาการของใบหน้าหย่อนคล้อยที่สังเกตได้

      • กรอบหน้าไม่คมชัด

      เมื่อโครงสร้างผิวเริ่มอ่อนแอลง กรอบหน้าที่เคยคมชัดจะดูเลือนลางลง อาจมีไขมันสะสมบริเวณแก้มล่าง ทำให้เกิดลักษณะคล้าย “ถุงใต้คาง” หรือใบหน้าเริ่มไม่กระชับ

      • แก้มหย่อนคล้อย มุมปากตก

      ผิวบริเวณแก้มที่เคยกระชับจะค่อย ๆ หย่อนลง และมุมปากที่เคยยกขึ้นอาจเริ่มตก ทำให้ใบหน้าดูเศร้าหรือเหนื่อยล้าอยู่ตลอดเวลา

      • ร่องแก้มลึก ใต้ตาดูหย่อนคล้อย

      ร่องแก้มที่ลึกขึ้น เป็นผลมาจากการที่ผิวสูญเสียคอลลาเจนและไขมันใต้ผิว ทำให้เกิดรอยพับที่เด่นชัดขึ้น ส่วนใต้ตาที่เคยตึงกระชับอาจดูหย่อนลง ส่งผลให้ดูมีอายุและเหนื่อยล้า

      • คางสองชั้น

      เมื่อผิวหน้าเริ่มหย่อนคล้อย ไขมันบริเวณใต้คางอาจสะสมมากขึ้น ทำให้เกิดคางสองชั้นได้ง่าย แม้ว่าจะไม่ได้มีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นก็ตาม

       

      ใบหน้าหย่อนคล้อย ยกกระชับด้วยวิธีไหนดี
      ใบหน้าหย่อนคล้อย ยกกระชับด้วยวิธีไหนดี

       

      ใบหน้าหย่อนคล้อย ยกกระชับด้วยวิธีไหนดี

      การยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย เป็นวิธีที่ช่วยให้ใบหน้ากลับมาตึงกระชับและดูอ่อนเยาว์ขึ้น ซึ่งสามารถทำได้ทั้ง วิธีธรรมชาติ และ วิธีทางการแพทย์ โดยแต่ละวิธีมีข้อดีและผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับความต้องการและสภาพผิวของแต่ละคน

      วิธีธรรมชาติที่ช่วยให้ผิวกระชับขึ้น

      • การออกกำลังกายยกกระชับใบหน้า (Face Yoga)

      การบริหารกล้ามเนื้อใบหน้าหรือ Face Yoga เป็นวิธีที่ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือด เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และช่วยให้ใบหน้ากระชับขึ้น เช่น ท่าฝึกยกกระชับแก้ม ท่าลดริ้วรอยหน้าผาก และท่าลดคางสองชั้น

      • การเลือกอาหารที่ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน

      การรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินซี โปรตีน และกรดไขมันดี เช่น ปลาแซลมอน, อะโวคาโด, ถั่ว และผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ สามารถช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ลดเลือนริ้วรอย และทำให้ผิวเต่งตึงขั้นตามธรรมชาติ

      • การนวดกระตุ้นการไหลเวียนของผิวหน้า

      การนวดหน้าช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือด กระตุ้นระบบน้ำเหลือง และช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย ซึ่งวิธีนี้สามารถทำได้เองที่บ้านโดยใช้ปลายนิ้วนวดเป็นวงกลมเบา ๆ หรือใช้เครื่องนวดหน้าที่ช่วยให้ผิวกระชับและเรียบเนียนขึ้น

      • การเลือกใช้ครีมบำรุงผิวที่ช่วยกระชับผิว

      การใช้ครีมที่มีส่วนผสมของ เรตินอล, เปปไทด์, ไฮยาลูรอนิค แอซิด และไนอาซินาไมด์ สามารถช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน เพิ่มความชุ่มชื้น และทำให้ผิวแข็งแรงขึ้น เมื่อใช้เป็นประจำจะช่วยให้ผิวดูกระชับและเรียบเนียนขึ้น

       

      วิธีทางการแพทย์ในการยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย

      สำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่รวดเร็วและเห็นผลชัดเจนขึ้น เทคโนโลยีทางการแพทย์เป็นตัวเลือกที่มีประสิทธิภาพสูง โดยแต่ละเทคโนโลยีมีจุดเด่นและเหมาะกับสภาพผิวที่แตกต่างกัน ดังนี้

       

      ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อยด้วย Thermage FLX

      • ทำงานอย่างไร?

      Thermage FLX ใช้พลังงานคลื่นวิทยุ (Radiofrequency – RF) กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ในชั้นผิว ช่วยให้ผิวกระชับขึ้นโดยไม่ต้องผ่าตัด

      • เหมาะกับใคร?

      เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อยเล็กน้อยถึงปานกลาง ต้องการฟื้นฟูความกระชับของใบหน้าโดยไม่ต้องพักฟื้น

      • ผลลัพธ์ที่ได้?

      ผิวจะกระชับขึ้นทันทีหลังทำ และจะเห็นผลชัดเจนขึ้นภายใน 2-3 เดือน โดยผลลัพธ์สามารถอยู่ได้นาน 1-2 ปี

       

      ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อยด้วย Ultherapy

      • ทำงานอย่างไร?

      Ultherapy ใช้คลื่นเสียงอัลตราซาวนด์ความเข้มข้นสูง (High-Intensity Focused Ultrasound – HIFU) ยิงลงไปในชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นเดียวกับที่ศัลยแพทย์ใช้ดึงหน้า

      • เหมาะกับใคร?

      เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับผิวหน้าและลำคอ ลดริ้วรอย โดยไม่ต้องศัลยกรรม

      • ผลลัพธ์ที่ได้?

      ผลลัพธ์จะเริ่มเห็นภายใน 1-2 เดือน และอยู่ได้นาน 1-2 ปี

       

      ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อยด้วย Ultra 4D Lift

      • ทำงานอย่างไร?

      Ultra 4D Lift ใช้เทคโนโลยี Micro & Macro Focused Ultrasound (MMFU)พลังงานแม่นยำขึ้น ช่วยกระชับผิวได้ลึกหลายระดับของชั้นผิว ทำให้ใบหน้าดูยกกระชับแบบเป็นธรรมชาติ

      • เหมาะกับใคร?

      เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยเล็กน้อยถึงปานกลาง และต้องการเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนขึ้น

      • ผลลัพธ์ที่ได้

      ผิวจะดูกระชับขึ้นหลังทำ และเห็นผลชัดเจนภายใน 1-2 เดือน อยู่ได้นาน 12-18 เดือน

       

      ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อยด้วย Oligio

      • ทำงานอย่างไร?

      Oligio เป็นเทคโนโลยีคลื่นวิทยุ (RF) คล้าย Thermage แต่ให้ความรู้สึกสบายกว่าและช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ในชั้นผิว

      • เหมาะกับใคร?

      เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผิวกระชับและเรียบเนียนขึ้นโดยไม่ต้องทนความร้อนมาก

      • ผลลัพธ์ที่ได้

      ผิวจะดูกระชับและเรียบเนียนขึ้นภายใน 2-3 เดือน โดยผลลัพธ์อยู่ได้นาน 6-12 เดือน

       

      ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อยด้วย EMFACE

      • ทำงานอย่างไร?

      ใช้เทคโนโลยีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (HIFES) ร่วมกับคลื่นวิทยุ (RF) เพื่อกระตุ้นกล้ามเนื้อใบหน้าและเสริมสร้างคอลลาเจน

      • เหมาะกับใครบ้าง?

      เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับใบหน้า โดยเน้นการกระตุ้นกล้ามเนื้อร่วมกับการสร้างคอลลาเจน

      • ผลลัพธ์ที่ได้

      เห็นผลภายใน 4-6 สัปดาห์ และอยู่ได้นาน 1 ปี

       

      ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อยด้วย Fix Lift

      • ทำงานอย่างไร?

      เป็นเทคโนโลยีที่ใช้คลื่นวิทยุ (RF) ร่วมกับ Microneedling ส่งพลังงานลงไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวลึก

      • เหมาะกับใครบ้าง?

      เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย ต้องการยกกระชับและปรับผิวให้เรียบเนียนขึ้น

      • ผลลัพธ์ที่ได้

      เห็นผลลัพธ์ชัดเจนใน 1-3 เดือน และอยู่ได้นาน 1 ปี

       

      ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย วิธีไหนดีสุด?

      ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย Ultherapy

      • เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ คลื่นอัลตราซาวนด์ (MFU) ในการยกกระชับผิวชั้น SMAS ช่วยให้ใบหน้าดูกระชับขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ เหมาะสำหรับผู้ที่มีความหย่อนคล้อยระดับปานกลางถึงมาก 

      ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย Thermage FLX

      • Thermage ใช้พลังงานคลื่นวิทยุ (RF) ส่งความร้อนลงไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการ กระตุ้นคอลลาเจน ลดริ้วรอย และเพิ่มความกระชับของผิว โดยใช้คลื่นวิทยุ (RF) ที่สามารถทำได้ทั้งใบหน้าและลำคอ ผลลัพธ์อยู่ได้นานถึง 12-24 เดือน

      ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย Fix Lift

      • Fix Lift ใช้คลื่นวิทยุ (RF) ร่วมกับ Microneedling ซึ่งสามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ลดริ้วรอย และฟื้นฟูผิวในระดับลึก เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่ชัดเจนและอยู่ได้นาน

      ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย Ultra 4D Lift

      • เป็นเทคโนโลยีพลังงาน MMFU (Micro-Macro Focused Ultrasound) ที่สามารถส่งพลังงานได้ลึกและแม่นยำกว่า HIFU ทั่วไป ช่วย ยกกระชับใบหน้า ลดเหนียง และปรับรูปหน้าให้ดูเรียวขึ้น โดยเห็นผลลัพธ์อย่างเป็นธรรมชาติ

      ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย Oligio

      • ใช้พลังงาน คลื่นวิทยุ (RF) คล้าย Thermage แต่เจ็บน้อยกว่า ช่วยกระตุ้นคอลลาเจน ลดริ้วรอย และเพิ่มความยืดหยุ่นของผิว เหมาะสำหรับคนที่ต้องการ ลดริ้วรอยเล็ก ๆ และเพิ่มความเฟิร์มของผิว

      ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย EMFACE

      • ใช้เทคโนโลยี HIFES™ (High-Intensity Facial Electrical Stimulation) และ RF ช่วยยกกระชับและเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อใบหน้า โดยไม่ต้องใช้พลังงานคลื่นเสียงหรือความร้อน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูกล้ามเนื้อและกระชับผิวในเวลาเดียวกัน

       

      ใบหน้าหย่อนคล้อยมีกี่ระดับ? ควรเลือกใช้วิธีไหน?
      ใบหน้าหย่อนคล้อยมีกี่ระดับ? ควรเลือกใช้วิธีไหน?

       

      ใบหน้าหย่อนคล้อยมีกี่ระดับ? ควรเลือกใช้วิธีไหน?

      • ใบหน้าหย่อนคล้อยเล็กน้อย

      หากผิวเพิ่งเริ่มมีความหย่อนคล้อยเล็กน้อย อาจจะยังไม่ถึงขั้นต้องใช้เครื่องยกกระชับที่ลงลึกมาก เช่น Thermage หรือ Oligio จะช่วยกระชับผิวและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้ดี ปรับรูปหน้าให้ดูเฟิร์มขึ้น

      • ใบหน้าหย่อนคล้อยปานกลาง

      หากใบหน้าเริ่มหย่อนคล้อยบริเวณแก้ม ร่องแก้ม และกรอบหน้า เหมาะกับ Ulthera, Fix Lift  หรือ Ultra 4D Lift จะช่วยกระชับผิวและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน พร้อมฟื้นฟูผิวให้เนียนละเอียดขึ้น

      • ใบหน้าหย่อนคล้อยมาก

      หากมีปัญหาความหย่อนคล้อยมาก ควรใช้เทคโนโลยีที่สามารถส่งพลังงานลงไปลึกเพื่อยกกระชับได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น Fix Lift หรือ Ulthera ร่วมกับ Thermage สามารถใช้ควบคู่กันเพื่อเพิ่มความเฟิร์มของผิว และช่วยให้ใบหน้าดูกระชับขึ้นในทุกมิติ

       

      สรุปการเลือกวิธียกกระชับใบหน้าขึ้นอยู่กับระดับความหย่อนคล้อย และความต้องการของแต่ละคน หากเป็นระดับเล็กน้อย ควรเลือก Thermage, Oligio หรือ Ultra 4D Lift แต่หากเป็นระดับปานกลาง ควรเลือก Ulthera หรือ Fix Lift และหากเป็นระดับมาก การใช้ Fix Lift หรือการทำ Ulthera ร่วมกับ Thermage จะช่วยให้ผลลัพธ์ที่ดี

       

      ข้อดีของการยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย

      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย ทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ขึ้น
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย กระชับกรอบหน้าและปรับรูปหน้าให้ V-Shape
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย ลดปัญหาหนังตาตก และกระชับผิวรอบดวงตา
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย กระตุ้นคอลลาเจน ทำให้ผิวแข็งแรงขึ้น
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย ลดริ้วรอย และทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย ลดความหย่อนคล้อยที่ลำคอและเนินอก
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย ไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีแผล และไม่ต้องพักฟื้น
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย ใช้เวลาไม่นาน เห็นผลเร็ว
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย ผลลัพธ์อยู่ได้นาน
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย เหมาะกับทุกสภาพผิว และทำได้ทุกช่วงอายุ

       

      ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย ช่วยอะไรบ้าง?

      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย ช่วยแก้ปัญหาผิวที่เริ่มหย่อนคล้อยจากอายุที่เพิ่มขึ้น
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย ช่วยยกกระชับใบหน้าที่เริ่มมีแก้มห้อย กรอบหน้าไม่ชัด
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย ลดไขมันสะสมบริเวณใบหน้า เช่น เหนียง คางสองชั้น และแก้ม
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย ปรับรูปหน้าให้ดูเรียวขึ้นโดยไม่ต้องศัลยกรรม
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และอีลาสตินในชั้นผิว
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย ช่วยลดริ้วรอยเล็ก ๆ และริ้วรอยลึกบนใบหน้า
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย ลดปัญหาผิวที่ดูโทรม หมองคล้ำ และขาดความมีชีวิตชีวา
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย แก้ปัญหาร่องลึก เช่น ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย ช่วยให้ร่องน้ำหมากและมุมปากที่ตกดูยกขึ้น ทำให้ใบหน้าดูสดใส ไม่โทรม
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย แก้ไขปัญหาหนังตาหย่อน และถุงใต้ตา
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย ลดรอยเหี่ยวย่นรอบดวงตา ทำให้ดวงตาดูสดใสขึ้น
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย ลดปัญหาผิวหย่อนคล้อยที่ลำคอ และเนินอก
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย ลดโอกาสเกิดผิวหย่อนคล้อยในอนาคต

       

      ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย เหมาะกับใครบ้าง?
      ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย เหมาะกับใครบ้าง?

       

      ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย เหมาะกับใครบ้าง?

      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย เหมาะสำหรับผู้ที่อายุประมาณ 25-50 ปี ที่เริ่มสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของผิว
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย เหมาะสำหรับผู้ที่คอลลาเจนและอีลาสตินในผิวลดลง ทำให้ใบหน้าดูไม่กระชับเหมือนเดิม
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาแก้มหย่อน ร่องแก้มลึก กรอบหน้าไม่ชัด
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการพักฟื้นนาน แต่ยังต้องการผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัด
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาคางสองชั้นและเหนียงหย่อนคล้อย
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวบริเวณลำคอเริ่มหย่อนคล้อย ดูแก่กว่าวัย
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาแก้มเยอะ แก้มป่อง ทำให้หน้าดูกลม
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาร่องน้ำหมากชัดเจน ทำให้หน้าดูเศร้าหรือมีอายุ
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหามุมปากตก ทำให้ใบหน้าดูเหนื่อยและโทรม
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวบริเวณคอและเนินอกเริ่มเหี่ยวย่น ดูแก่กว่าวัย
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย เหมาะสำหรับผู้ที่มีริ้วรอยเล็ก ๆ บริเวณหน้าผาก ร่องแก้ม หางตา
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย เหมาะสำหรับผู้ที่ลดน้ำหนักรวดเร็ว ส่งผลให้ผิวหน้าหย่อนคล้อย
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย เหมาะสำหรับผู้ที่ผิวเสียจากรังสี UV และมลภาวะ ทำให้คอลลาเจนในชั้นผิวเสื่อมเร็วขึ้น
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย เหมาะสำหรับผู้ที่ผิวขาดความชุ่มชื้น ดูแห้งกร้านและไม่กระชับ
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย เหมาะสำหรับผู้ที่มีไลฟ์สไตล์ทำงานหนัก นอนดึก ผิวดูโทรม
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับใบหน้าแบบ ไม่ต้องศัลยกรรม ไม่มีแผล ไม่มีรอยเย็บ
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการให้ใบหน้าดูกระชับมากขึ้นหลังจากลดน้ำหนัก
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการให้ใบหน้าดู V-Shape กรอบหน้าคมชัดขึ้น
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการให้ผิวดูอิ่มฟู และอ่อนเยาว์ขึ้น
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการให้ผิวดูเรียบตึงและกระชับขึ้น
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการให้ลำคอดูเรียบเนียนและกระชับขึ้น
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการให้ใบหน้าดูกระชับขึ้นแบบเป็นธรรมชาติ
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการดูแลผิวให้กระชับก่อนอายุเยอะขึ้น

       

      ใครบ้างที่ไม่เหมาะกับการยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย?

      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย ไม่เหมาะสำหรับหญิงตั้งครรภ์หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีแผลสด แผลเปิด หรืออาการติดเชื้อที่ผิวหนัง
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีโรคผิวหนังบางประเภท เช่น โรคสะเก็ดเงิน โรคด่างขาว หรือโรคภูมิแพ้ผิวหนัง
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะเลือดออกง่าย หรือรับประทานยาละลายลิ่มเลือด
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemaker) หรืออุปกรณ์ฝังในร่างกาย
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยระดับรุนแรงมาก
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีประวัติโรคเนื้อเยื่อเกี่ยวพันผิดปกติ เช่น โรค SLE หรือโรคหนังแข็ง
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่คาดหวังผลลัพธ์เกินจริง
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาสุขภาพร้ายแรง หรือมีโรคประจำตัวที่ควบคุมไม่ได้
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวบาง แพ้ง่าย และเกิดรอยช้ำง่าย
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ไวต่อความร้อน หรือแพ้ยาชา
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีโลหะฝังในร่างกาย หรือใส่อุปกรณ์ทางการแพทย์
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังรักษามะเร็ง หรือเป็นโรคเรื้อรังรุนแรง
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติ
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีประวัติเป็นแผลเป็นนูน หรือคีลอยด์ง่าย

       

      การเตรียมตัวก่อนยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย

      • ก่อนทำยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย ควรปรึกษาแพทย์เพื่อเลือกวิธีที่เหมาะกับปัญหาผิว
      • ก่อนทำยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย ควรใช้ครีมกันแดด SPF 50 PA+++ ทุกวัน
      • ก่อนทำยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย ควรนอนหลับให้เพียงพอ อย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง
      • ก่อนทำยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย ควรดื่มน้ำสะอาด วันละ 1.5-2 ลิตร เพื่อให้ผิวชุ่มชื้น
      • ก่อนทำยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย หากมีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ, เบาหวาน, ความดันโลหิตสูง, ภูมิแพ้ หรือแพ้ยา ควรแจ้งแพทย์ล่วงหน้า
      • ก่อนทำยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย ควรรับประทานอาหารที่ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน
      • ก่อนทำยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย หลีกเลี่ยงการโดนแสงแดดจัด อย่างน้อย 1 สัปดาห์
      • ก่อนทำยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย หลีกเลี่ยง AHA, BHA, Retinol, Vitamin C เข้มข้น หรือกรดผลัดเซลล์ผิว อย่างน้อย 3-7 วัน
      • ก่อนทำยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย งดการทำเลเซอร์ หรือทรีทเมนต์ผลัดเซลล์ผิว อย่างน้อย 2-4 สัปดาห์
      • ก่อนทำยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย งดยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน, ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) อย่างน้อย 3-5 วัน
      • ก่อนทำยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และสูบบุหรี่ อย่างน้อย 24-48 ชั่วโมง

       

      การดูแลตัวเองหลังยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย

      • หลังทำยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย หลีกเลี่ยงการถู ขัด หรือกดผิวแรง ๆ ในช่วง 24-48 ชั่วโมงแรก
      • หลังทำยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มี AHA, BHA, Retinol, Vitamin C เข้มข้น หรือกรดผลัดเซลล์ผิว ประมาณ 1 สัปดาห์
      • หลังทำยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย หลีกเลี่ยงแสงแดด อย่างน้อย 7-14 วัน
      • หลังทำยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย หลีกเลี่ยงการแต่งหน้าหรือใช้เครื่องสำอางหนัก ๆ
      • หลังทำยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย หลีกเลี่ยงการใช้ห้องอบไอน้ำ ซาวน่า หรืออาบน้ำร้อนจัด
      • หลังทำยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย หลีกเลี่ยงการนอนคว่ำหรือกดใบหน้าไปกับหมอน
      • หลังทำยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย งดออกกำลังกายหนัก อย่างน้อย 48 ชั่วโมง
      • หลังทำยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย งดการทำเลเซอร์ ทรีทเมนต์ หรือหัตถการอื่น ๆ ที่ใช้พลังงานสูง อย่างน้อย 2-4 สัปดาห์
      • หลังทำยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย ควรนอนหนุนหมอนสูง กว่าปกติ 1-2 คืนแรก เพื่อช่วยลดอาการบวม
      • หลังทำยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย ควรดื่มน้ำให้ได้วันละ 1.5-2 ลิตร เพื่อช่วยให้ผิวฟื้นตัวเร็วขึ้น
      • หลังทำยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย ควรรับประทานอาหารที่มี คอลลาเจน วิตามิน C วิตามิน A และโปรตีนสูง
      • หลังทำยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย ควรใช้ครีมกันแดด SPF50 PA+++ และทาซ้ำทุก 2-3 ชั่วโมง

       

      ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย สามารถทำเฉพาะจุดได้ไหม?

      • การยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย สามารถทำเฉพาะจุดได้ โดยเทคโนโลยีที่มีความแม่นยำ เช่น Thermage, Ulthera, Ultra 4D Lift, Oligio, EMFACE และ Fix Lift (Morpheus8) สามารถเลือกปรับระดับพลังงานเพื่อแก้ปัญหาบริเวณที่ต้องการ เช่น ร่องแก้ม, กรอบหน้า, คางสองชั้น, ใต้ตา หรือบริเวณมุมปาก ได้อย่างตรงจุด

       

      บริเวณลำคอสามารถยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อยด้วย HIFU หรือ Thermage FLX ได้ไหม?

      • สามารถยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อยบริเวณลำคอได้ ทั้ง HIFU และ Thermage สามารถช่วยกระชับผิวที่ลำคอ ลดความหย่อนคล้อย และลดรอยพับบริเวณคอได้ Thermage จะเหมาะสำหรับคนที่ต้องการฟื้นฟูคอลลาเจนในชั้นลึก ส่วน HIFU จะช่วยดึงกระชับผิวที่เริ่มหย่อนคล้อย

       

      สามารถยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อยรอบดวงตาได้ไหม?

      • สามารถยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อยรอบดวงตาได้ โดยใช้เทคโนโลยีที่สามารถใช้กับรอบดวงตาได้อย่างปลอดภัย ได้แก่ Thermage Eyes, Ulthera, Oligio และ Fix Lift (Morpheus8) ซึ่งช่วยกระชับผิวรอบดวงตา ลดริ้วรอย และแก้ปัญหาหนังตาตก

       

      การยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย สามารถใช้กับร่างกายได้ไหม?

      • เทคโนโลยี Thermage Body, Ultra 4D Lift, และ Fix Lift (Morpheus8) ถูกออกแบบมาเพื่อใช้กับบริเวณร่างกาย เช่น ท้องแขน หน้าท้อง ต้นขา และสะโพก เพื่อช่วยกระชับผิวและลดความหย่อนคล้อย

       

      การทำยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย ส่งผลต่อความไวของผิวไหม?

      • เทคโนโลยียกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อยโดยใช้พลังงานความร้อน เช่น Thermage, Ulthera หรือ Fix Lift (Morpheus8) อาจทำให้ผิวมีความไวต่อสัมผัสชั่วคราว แต่ไม่ทำให้เกิดอาการแพ้ถาวร หลังทำหัตถการ ผิวอาจรู้สึกอุ่น ๆ หรือไวต่อการสัมผัสประมาณ 3-7 วัน แต่จะค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้น

       

      การยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย ช่วยลดไขมันบนใบหน้าได้จริงไหม?

      • เทคโนโลยีบางประเภทสามารถช่วยลดไขมันใบหน้าได้ เช่น Ultherapy, Ultra 4D Lift และ Fix Lift (Morpheus8) เนื่องจากคลื่นอัลตราซาวนด์ของ Ulthera และ Ultra 4D Lift สามารถช่วยลดไขมันสะสมบริเวณแก้มและเหนียงได้

       

      สามารถทำยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อยได้บ่อยแค่ไหน?

      • ความถี่ในการทำ ยกกระชับใบหน้า ขึ้นอยู่กับ เทคโนโลยีที่เลือกใช้ และ สภาพผิวของแต่ละบุคคล โดยทั่วไปมีแนวทางดังนี้
        • Thermage FLX หรือ Oligio ควรทำ ปีละ 1 ครั้ง เนื่องจากพลังงาน RF (Radio Frequency) สามารถกระตุ้นคอลลาเจนได้ลึกและให้ผลลัพธ์ที่อยู่ได้นานถึง 1-2 ปี
        • Ultherapy หรือ Ultra 4D Lift สามารถทำทุก 6-12 เดือน ขึ้นอยู่กับระดับความหย่อนคล้อยของผิว
        • Fix Lift (Morpheus8) สามารถทำ 2-3 ครั้ง ในช่วง 3 เดือนแรก (ทุก 4-6 สัปดาห์) จากนั้นทำ ปีละ 1-2 ครั้ง เพื่อรักษาผลลัพธ์

       

      อาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นหลังทำยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อยมีอะไรบ้าง?

      • อาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นหลังทำยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย จะแตกต่างกันไปตามเทคโนโลยีที่ใช้และการตอบสนองของผิวแต่ละบุคคล โดยทั่วไป อาการที่พบได้บ่อย ได้แก่ ผิวแดง ซึ่งมักเกิดขึ้นภายใน 1-2 ชั่วโมงหลังทำ และจะค่อย ๆ ดีขึ้นเอง ส่วนอาการผิวบวมเล็กน้อย อาการบวมจะลดลงภายใน 3-5 วัน บางรายอาจรู้สึกผิวตึงหรือชาชั่วคราว จากพลังงานที่กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ซึ่งอาการนี้มักดีขึ้นใน 1-2 สัปดาห์

       

      ปัญหาใบหน้าหย่อนคล้อย เป็นเรื่องที่สามารถแก้ไขได้ด้วยหลากหลายวิธี ตั้งแต่การดูแลผิวเบื้องต้น การออกกำลังกายใบหน้า ไปจนถึงการใช้เทคโนโลยียกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อยที่มีประสิทธิภาพ เช่น HIFU, Ultherapy, Thermage FLX, Oligio, EMFACE และ Fix Lift  ซึ่งแต่ละวิธีมีจุดเด่นและเหมาะกับสภาพผิวที่แตกต่างกัน

      การเลือกวิธียกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อยที่เหมาะสม ควรพิจารณาจากระดับความหย่อนคล้อยของผิว อายุ ไลฟ์สไตล์ และผลลัพธ์ที่ต้องการ หากต้องการปรับรูปหน้าให้ดูเรียวขึ้น ลดเหนียง และกระชับผิว HIFU หรือ Ultra 4D Lift อาจเป็นตัวเลือกที่ดี หากต้องการลดริ้วรอยและเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิว Thermage FLX หรือ Oligio จะช่วยกระตุ้นคอลลาเจนอย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวระดับลึกและให้ผลลัพธ์ที่อยู่ได้นาน Fix Lift หรือ Ulthera อาจเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์

      สุดท้ายนี้ หากคุณไม่แน่ใจว่าวิธีไหนเหมาะกับสภาพผิวของคุณที่สุด ควรเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์ด้านผิวพรรณ เพื่อเลือกแนวทางที่เหมาะสมและได้ผลลัพธ์ที่ดี

      อวดผิวสวยรับสงกรานต์ เตรียมความพร้อมให้เฉิดฉายสุดๆ

      อวดผิวสวยรับสงกรานต์

      สงกรานต์นี้ อยากมีผิวสวยใส หน้าใส ควรทำอย่างไรดี? ให้พร้อมอวดผิวสวยรับสงกรานต์

      สงกรานต์ปีนี้ หน้าสดต้องรอด ถึงแม้อากาศจะร้อนแค่ไหน ก็ทำอะไรความสวยของเราไม่ได้ เตรียมอวดผิวสวยใส มั่นใจไร้ขน เก็บหมดทุกจุดสำคัญ จนลืมไปเลยว่าเคยมีขนกวนใจ พร้อมสาดความชุ่มฉ่ำ ออร่าเปล่งปลั่ง เติมความสวยที่ร้อนแรงกว่าใคร รับเทศกาลสงกรานต์ปี 2025 ต้องรมย์รวินท์คลินิกเท่านั้น บทความนี้ คัดมาให้แล้วกับ 5 โปรแกรมที่จะช่วยยกระดับความสวย ผิวเนียนใส ไม่มีอ่อม เตรียมให้คุณเฉิดฉายทันวันสงกรานต์แน่นอนค่ะ

       

      สงกรานต์นี้ เตรียมสาดความมั่นใจ ผิวสวยใส ไร้ขน

       

      อวดผิวสวยรับสงกรานต์
      อวดผิวสวยรับสงกรานต์

       

      รวม 5 โปรแกรม อวดผิวสวย เนียนใส พร้อมโดนสาด

       Radiesse

      •  Radiesse เป็นผลิตภัณฑ์กระตุ้นคอลลาเจน Biostimulator ที่มีส่วนประกอบของ Calcium Hydroxylapatite (CaHA) ซึ่งเป็นสารสังเคราะห์ที่พบได้ในร่างกาย โดยเฉพาะเนื้อเยื่อกระดูก และฟัน มีขนาดเล็กสม่ำเสมอเท่ากัน ประมาณ 24 – 45 ไมครอน จึงสามารถเข้ากันได้ดีกับร่างกายมนุษย์ และไม่กระตุ้นให้เกิดการแพ้ ซึ่ง Radiesse จะทำงานโดยการเข้าไปเติมเต็ม และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิวชั้นลึก ทำให้เกิดการเพิ่มสารที่มีความสำคัญต่อผิวถึง 5 ประการ ได้แก่  Collagen Type 1, Collagen Type 3, Elastin,  Angiogenesis และ Proteoglycan ส่งผลให้ผิวมีสุขภาพที่ดี และดูอ่อนเยาว์ในระยะยาว โดยสามารถคงสภาพของผลลัพธ์ได้ยาวนานถึง 24 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และการดูแลตนเองหลังฉีด 
      •  Radiesse เหมาะสำหรับ ผู้ที่สูญเสียคอลลาเจนในผิวชั้นลึกจากอายุที่มากขึ้น รวมถึง ผู้ที่มีผิวไม่แข็งแรง หย่อนคล้อย และมีริ้วรอย ร่องลึกอย่างเห็นได้ชัด ทั้งนี้ ก่อนเข้ารับบริการควรปรึกษาแพทย์ และแจ้งประวัติสุขภาพให้แพทย์ทราบอย่างละเอียด
      • ผลลัพธ์ที่ได้หลังทำ Radiesse คือ โครงสร้างผิวมีความแข็งแรง ผิวยืดหยุ่น แน่นกระชับ เต่งตึง และอิ่มฟูขึ้นอย่างดูเป็นธรรมชาติ

       

      Profhilo

      •  Profhilo เป็นผลิตภัณฑ์ฟื้นฟูผิว Bio-Remodeling ที่มีส่วนประกอบของ Hyaluronic Acid (HA) แบบไม่มีการเชื่อมพันธะ (Non-crosslinked) ซึ่งถูกสังเคราะห์ขึ้นมาให้มีความเข้มข้น และบริสุทธิ์สูง โดยปราศจากสารเติมแต่ง จึงสามารถเข้ากันได้ดีกับร่างกายมนุษย์ และไม่กระตุ้นให้เกิดการต่อต้านทางภูมิคุ้มกัน ซึ่ง Profhilo จะทำงานโดยการเข้าไปฟื้นฟูโครงสร้างผิว ตั้งแต่ผิวชั้นตื้น ไปจนถึงผิวชั้นลึก รวมถึง กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนถึง 4 ชนิด ได้แก่  Collagen Type 1, Collagen Type 3, Collagen Type 4 และ Collagen Type 7 ส่งผลให้ชุ่มชื้น กระชับ และสุขภาพดีอย่างดูเป็นธรรมชาติ โดยสามารถคงสภาพของผลลัพธ์ได้ยาวนานถึง 6 – 9 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และการดูแลตนเองหลังฉีด
      •  Profhilo เหมาะสำหรับ ผู้ที่สูญเสียคอลลาเจน ผิวเริ่มหย่อนคล้อย มีริ้วรอยเส้นเล็ก ๆ บนใบหน้า และผู้ที่มีหลุมสิว ผิวขาดน้ำ รูขุมขนกว้าง  ทั้งนี้ ก่อนเข้ารับบริการควรปรึกษาแพทย์ และแจ้งประวัติสุขภาพให้แพทย์ทราบอย่างละเอียด
      • ผลลัพธ์ที่ได้หลังทำ Profhilo คือ ผิวมีความชุ่มชื้น ฉ่ำน้ำ ดูอิ่มฟู แน่นกระชับ และเรียบเนียนจากภายใน

       

       Rejuran

      •  Rejuran เป็นผลิตภัณฑ์ปรับปรุงคุณภาพผิว Skin Booster ที่มีส่วนประกอบของ Polynucleotide (PN) ซึ่งสกัดจาก DNA ของปลาแซลมอนที่อยู่ในทะเลธรรมชาติ จึงสามารถเข้ากันได้ดีกับร่างกายมนุษย์ และไม่กระตุ้นให้เกิดการแพ้ โดย Rejuran จะทำงานโดยการเข้าไปเร่งกระบวนการซ่อมแซม และฟื้นฟูเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ พร้อมทั้งกระตุ้นการหลั่ง Growth Factor และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ส่งผลให้ผิวชุ่มชื้น กระจ่างใส และดูสุขภาพดีจากภายใน
      •  Rejuran เหมาะสำหรับ ผู้ที่ผิวสูญเสียความชุ่มชื้น ผิวขาดน้ำ แต่งหน้าไม่ติด และผู้ที่มีรูขุมขนกว้าง ผิวโทรม หมองคล้ำ ไม่สดใส  ทั้งนี้ ก่อนเข้ารับบริการควรปรึกษาแพทย์ และแจ้งประวัติสุขภาพให้แพทย์ทราบอย่างละเอียด
      • ผลลัพธ์ที่ได้หลังทำ Rejuran คือ ผิวมีความฉ่ำวาว อิ่มน้ำ เต่งตึง เรียบเนียน และสีผิวสม่ำเสมออย่างดูเป็นธรรมชาติ

       

       Nu Pico Bright

      •  Nu Pico Bright เป็นเทคโนโลยีกำจัดเม็ดสี แก้ไขปัญหาฝ้า กระ จุดด่างดำ และความหมองคล้ำบนใบหน้าด้วย Picosecond Laser ซึ่งใช้พลังงานคลื่นแสงแบบเฉพาะเจาะจง โดยมีความยาวคลื่น 532 และ 1,064 นาโนเมตร มีความถี่ระยะเวลา 750 พิโควินาที ซึ่งจะทำงานโดยการปล่อยพลังงานเลเซอร์ไปยังเม็ดสีเมลานินที่มีความผิดปกติ ให้แตกตัวกระจายเป็นเม็ดเล็ก ๆ อย่างละเอียด และจางหายไปตามกระบวนการของร่างกาย โดยไม่ก่อให้เกิดการสะสมความร้อนใต้ชั้นผิว และไม่มีเลือดออกหลังทำ
      •  Nu Pico Bright เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีฝ้า กระ จุดด่างดำ รอยดำ รอยแดงจากสิว และผู้ที่มีผิวหมองคล้ำ ไม่สดใส สีผิวไม่สม่ำเสมอ  ทั้งนี้ ก่อนเข้ารับบริการควรปรึกษาแพทย์ และแจ้งประวัติสุขภาพให้แพทย์ทราบอย่างละเอียด
      • ผลลัพธ์ที่ได้หลังทำ Nu Pico Bright คือ ฝ้า กระ จุดด่างดำต่าง ๆ ดูจางลง รูขุมขนกระชับ ผิวกระจ่างใส และสีผิวสม่ำเสมออย่างดูเป็นธรรมชาติ

       

       Yag Laser 1064

      •  Yag Laser 1064 เป็นเทคโนโลยีกำจัดขนที่ใช้พลังงานคลื่นแสง ที่มีความยาวคลื่นอยู่ที่ 1,064 นาโนเมตร ซึ่งจะทำงานโดยการปล่อยพลังงานเลเซอร์ลงลึกถึงรากขน ทำให้รากขนบริเวณนั้นฝ่อตัวลง และหยุดการเจริญเติบโต จากนั้นเส้นขนจะค่อย ๆ หลุดร่วงไปตามกระบวนการของร่างกาย โดยไม่ทำลายผิวบริเวณรอบข้าง โดยสามารถกำจัดขนได้ถึง 20 – 30% ในครั้งแรก และจะค่อย ๆ ลดน้อยลง เมื่อทำอย่างต่อเนื่อง
      • Yag Laser 1064 เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการกำจัดขนในบริเวณต่าง ๆ มีปัญหาเส้นขนหนา และเส้นขนสีเข้ม รวมถึง ผู้ที่มีเหงื่อออกมาก มีปัญหาเรื่องกลิ่นตัว  ทั้งนี้ ก่อนเข้ารับบริการควรปรึกษาแพทย์ และแจ้งประวัติสุขภาพให้แพทย์ทราบอย่างละเอียด
      • ผลลัพธ์ที่ได้หลังทำ Yag Laser 1064 คือ เส้นขนบางลงเรื่อย ๆ ลดปัญหาตุ่มหนังไก่ ผิวดูเรียบเนียน และกระจ่างใสมากขึ้น รวมถึง ลดการสะสมของเหงื่อ และแบคทีเรีย ชะลอการเกิดเส้นขนใหม่ในอนาคต

       

      ไม่ว่าจะเทศกาลไหน ผิวเนียนใสได้ทุกวันที่ รมย์รวินท์คลินิก

      อยากมีผิวสวยใส ไร้ขนกวนใจ ออร่าเปล่งปลั่งกว่าใครในวันสงกรานต์ ต้องมาพิสูจน์ผลลัพธ์ที่ รมย์รวินท์คลินิก ไม่ว่าคุณมีปัญหาแบบไหน  Radiesse,  Profhilo, Rejuran,  Nu Pico Bright และ  Yag Laser 1064 ก็สามารถตอบโจทย์ปัญหาของคุณได้ ตั้งแต่การเพิ่มความชุ่มชื้น กระตุ้นคอลลาเจน ฟื้นฟูเซลล์ผิว แก้ปัญหาฝ้า กระ จุดด่างดำ ไปจนถึงการกำจัดขนทั่วเรือนร่าง เพื่อให้คุณสวยฉ่ำ พร้อมสาดความมั่นใจรับเทศกาลสงกรานต์ค่ะ

       

      *ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับบริการ

      *เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯกำหนด

      ข้อดี-ข้อเสียของการฉีดฟิลเลอร์มีอะไรบ้าง? รวมสิ่งที่ต้องรู้ก่อนฉีด

      ข้อดี-ข้อเสียของโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์มีอะไรบ้าง? รวมสิ่งที่ต้องรู้ก่อนฉีด

      ข้อดี-ข้อเสียของการฉีดฟิลเลอร์มีอะไรบ้าง? รวมสิ่งที่ต้องรู้ก่อนฉีด

      เมื่อพูดถึงหัตถการเติมเต็มผิว พร้อมยกกระชับปรับรูปหน้า คงหนีไม่พ้น “การฉีดฟิลเลอร์” ซึ่งเป็นหัตถการความงามที่ได้ความนิยมสูงมากในปัจจุบัน เนื่องจากการฉีดฟิลเลอร์ มีคุณสมบัติในการเติมเต็มริ้วรอย ร่องลึก ยกกระชับปรับรูปหน้า และเพิ่มความอิ่มฟูให้กับผิว โดยไม่ต้องผ่าตัด และไม่ต้องพักฟื้นนาน โดยสามารถนำมาฉีดได้หลายบริเวณบนใบหน้า เช่น ร่องแก้ม ขมับ คาง ใต้ตา และริมฝีปาก แต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการฉีดฟิลเลอร์จะให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ และดูเป็นธรรมชาติ รวมถึง ยังมีข้อดีอื่น ๆ อีกมากมาย แต่การฉีดฟิลเลอร์นั้น ก็มีข้อเสียที่ควรพิจารณาก่อนตัดสินใจฉีดเช่นกัน

       

      บทความนี้ รมย์รวินท์คลินิกจะพาไปเจาะลึกทุกแง่มุมของการฉีดฟิลเลอร์ ตั้งแต่ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์ ไปจนถึงข้อเสียของการฉีดฟิลเลอร์ที่ควรระวัง เพื่อให้ได้รับข้อมูลอย่างครบถ้วนก่อนตัดสินใจทำการฉีดฟิลเลอร์ค่ะ

       

      การฉีดฟิลเลอร์ มีข้อดีอะไร?
      การฉีดฟิลเลอร์ มีข้อดีอะไร?

       

      เจาะลึกข้อดี-ข้อเสียของการฉีดฟิลเลอร์ อันตรายไหม? อัปเดต 2025

      การฉีดฟิลเลอร์ มีข้อดีอะไร?

      การฉีดฟิลเลอร์ นอกจากจะช่วยในการเติมเต็มริ้วรอย ร่องลึก และยกกระชับปรับรูปหน้าแล้ว ยังมีข้อดีอื่น ๆ อีกมากมายที่ทำให้การฉีดการฉีดฟิลเลอร์ ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางทั่วโลก โดยข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์ มีดังนี้

      • ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์ สามารถเห็นผลลัพธ์หลังฉีด

      หนึ่งในข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์ที่มีความโดดเด่น คือ สามารถเห็นผลการเปลี่ยนแปลงได้หลังฉีด โดยสาร Hyaluronic Acid (HA) จะเข้าไปเติมเต็ม เพิ่มปริมาตรให้ผิว และยกกระชับปรับรูปหน้าหลังฉีดเสร็จ ซึ่งจะเห็นได้เลยว่า ผิวหน้ามีความอิ่มฟู ริ้วรอย ร่องลึกดูตื้นขึ้น รวมถึง ใบหน้าดูเข้ารูป มีสัดส่วนที่สมดุล

      • ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์ ใช้เวลาในการฉีดไม่นาน

      การฉีดฟิลเลอร์ โดยปกติแล้ว จะใช้เวลาในการฉีดไม่นาน ประมาณ 15 – 30 นาทีเท่านั้น ซึ่งขึ้นอยู่กับบริเวณที่ฉีด และปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้ เนื่องจากการฉีดฟิลเลอร์ มีขั้นตอนในการฉีดที่ไม่ซับซ้อน และไม่ต้องผสมตัวยาก่อนฉีด จึงมีความสะดวกสบายในการใช้งาน ทำให้ใช้ระยะเวลาในการฉีดไม่นาน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเติมเต็ม หรือยกกระชับปรับรูปหน้า แต่มีเวลาจำกัด

      • ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์ สามารถย่อยสลายได้เอง 

      เนื่องจากการฉีดฟิลเลอร์ประเภท Hyaluronic Acid (HA) ไม่เสี่ยงอันตราย เมื่อฉีดไปแล้ว สามารถย่อยสลายได้เองตามกระบวนการของร่างกาย โดยส่วนใหญ่ จะคงอยู่ได้นาน ประมาณ 6 – 18 เดือนหลังฉีด ขึ้นอยู่กับยี่ห้อที่ใช้ บริเวณที่ฉีด และการดูแลตัวเองหลังฉีด ซึ่งจะไม่ทิ้งสารตกค้างไว้ในชั้นผิว จึงช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียง หรือปัญหาผิวอื่น ๆ ในอนาคต

      • ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์ ไม่ต้องพักฟื้นนานหลังฉีด

      การฉีดฟิลเลอร์ ไม่ต้องใช้เวลาในการพักฟื้นนาน หลังฉีดเสร็จสามารถกลับไปทำกิจกรรมต่าง ๆ หรือใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ ซึ่งแตกต่างจากการผ่าตัดศัลยกรรมที่ต้องใช้เวลาในการพักฟื้นหลายวัน ดังนั้น การฉีดฟิลเลอร์ จึงเป็นทางเลือกที่สะดวกสบาย เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการพักฟื้นนานหลังฉีด

      • ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์ สามารถแก้ไขง่ายหากไม่พอใจผลลัพธ์

      การฉีดฟิลเลอร์ที่มีส่วนประกอบของ Hyaluronic Acid (HA) สามารถแก้ไขได้ง่าย หากยังไม่พอใจในผลลัพธ์ที่ได้ เช่น ต้องการฉีดเพิ่มเมื่อผลลัพธ์เริ่มลดลง หรือต้องการฉีดสลายออกก็สามารถทำได้ โดยไม่เป็นอันตรายใด ๆ ซึ่งการฉีดสลายการฉีดฟิลเลอร์นั้น จะใช้เอนไซม์ Hyaluronidase ในการเข้าไปทำปฏิกิริยากับสาร HA ในฟิลเลอร์ โดยจะทำลายการยึดเกาะ และลดการอุ้มน้ำ จึงทำให้ฟิลเลอร์ค่อย ๆ สลายตัวไป จนผิวกลับมาเรียบเนียนเหมือนเดิม

      • ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์ สามารถปรับแต่งได้หลายบริเวณบนใบหน้า

      การฉีดฟิลเลอร์ สามารถปรับแต่ง หรือฉีดได้หลายบริเวณบนใบหน้า ไม่ว่าจะเป็นหน้าผาก ขมับ หน้าแก้ม ร่องแก้ม ใต้ตา คาง หรือริมฝีปาก ซึ่งการฉีดในแต่ละบริเวณจะใช้ปริมาณการฉีดฟิลเลอร์ และเทคนิคในการฉีดที่แตกต่างกันออกไป จึงสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งการเติมเต็มริ้วรอย ร่องลึก ยกกระชับปรับรูปหน้า หรือเพิ่มปริมาตรให้ผิวเฉพาะจุด

       

      การฉีดฟิลเลอร์ มีข้อเสียอะไร?
      การฉีดฟิลเลอร์ มีข้อเสียอะไร?

       

      การฉีดฟิลเลอร์ มีข้อเสียอะไร?

      การฉีดฟิลเลอร์ แม้จะมีข้อดีให้เห็นมากมาย แต่ก็มีข้อเสียที่ควรพิจารณาก่อนฉีดเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากทำการฉีดฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐาน แพทย์ที่ไม่มีความรู้ในการฉีด อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ โดยข้อเสียของการฉีดฟิลเลอร์ส่วนใหญ่ มีดังนี้

      • ข้อเสียของการฉีดฟิลเลอร์ จะให้ผลลัพธ์ไม่ถาวร

      การฉีดฟิลเลอร์ประเภท Hyaluronic Acid (HA) จะให้ผลลัพธ์ที่ไม่ถาวร โดยส่วนใหญ่ จะสามารถคงผลลัพธ์ได้ ประมาณ 6 – 18 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อที่ใช้ บริเวณที่ฉีด และการดูแลตัวเอง ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไป สาร HA ในการฉีดฟิลเลอร์จะค่อย ๆ สลายตัวไปเอง ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้ค่อย ๆ ยุบตัวลง จึงต้องมีการฉีดฟิลเลอร์ซ้ำเป็นประจำ เพื่อคงสภาพผลลัพธ์ให้สวยงามในระยะยาว

       

      • ข้อเสียของการฉีดฟิลเลอร์ มีความเสี่ยงหากฉีดโดยแพทย์ที่ไม่ชำนาญ

      การฉีดฟิลเลอร์มีความเสี่ยง หากฉีดโดยแพทย์ที่ไม่มีความชำนาญ การฉีดฟิลเลอร์ผิดตำแหน่ง หรือเลือกเนื้อของฟิลเลอร์ที่ไม่เหมาะสมกับบริเวณที่ฉีด อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงอันตรายต่อใบหน้าได้ เช่น ฟิลเลอร์จับตัวเป็นก้อน ใบหน้าผิดรูป หรือเสี่ยงต่อการอุดตันในเส้นเลือด จนถึงขั้นตาบอดได้เลยทีเดียว

      • ข้อเสียของการฉีดฟิลเลอร์ มีความเสี่ยงหากใช้การฉีดฟิลเลอร์ปลอม

      การฉีดฟิลเลอร์มีความเสี่ยง หากใช้ฟิลเลอร์ปลอมประเภทซิลิโคนเหลว หรือพาราฟินในการนำมาฉีดเข้าสู่ผิวหน้า ซึ่งการฉีดฟิลเลอร์ปลอมนั้น ใช้สารที่ไม่ได้มาตรฐาน ไม่ได้ผ่านการรับรองจาก อย. และไม่สามารถย่อยสลายได้เอง จึงเกิดการตกค้างอยู่ในชั้นผิวแบบถาวร ต้องแก้ไขด้วยการผ่าตัด เพื่อนำฟิลเลอร์ออกเท่านั้น ไม่สามารถฉีดสลายได้เหมือนการฉีดฟิลเลอร์ประเภท Hyaluronic Acid (HA)

       

      การฉีดฟิลเลอร์ มีข้อจำกัดอะไร?

      การฉีดฟิลเลอร์ มีข้อจำกัดสำหรับบุคคลในบางกลุ่ม ซึ่งหากฉีดการฉีดฟิลเลอร์เข้าไป อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ โดยผู้ที่ไม่เหมาะสำหรับการฉีดการฉีดฟิลเลอร์ มีดังนี้

      • การฉีดฟิลเลอร์ ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่เคยมีประวัติแพ้สารประกอบ Hyaluronic Acid (HA) ในการฉีดฟิลเลอร์ 
      • การฉีดฟิลเลอร์ ไม่เหมาะสำหรับ ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ และให้นมบุตร ควรหลีกเลี่ยงการฉีดฟิลเลอร์ เพื่อป้องกันผลกระทบต่อลูกน้อยในครรภ์
      • การฉีดฟิลเลอร์ ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาผิวหนังอักเสบ เป็นผื่นแพ้ หรือลมพิษ ควรรอให้อาการหายดีก่อน
      • การฉีดฟิลเลอร์ ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาเลือดออกง่าย หรือรับประทานยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด
      • การฉีดฟิลเลอร์ ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่เคยมีประวัติแพ้ขั้นรุนแรง ควรหลีกเลี่ยงการฉีดการฉีดฟิลเลอร์ไปก่อน
      • การฉีดฟิลเลอร์ ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือมีโรคที่เกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน 

      ทั้งนี้ ควรเข้ารับการปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับบริการ และแจ้งประวัติสุขภาพให้แพทย์ทราบอย่างละเอียด ตั้งแต่ประวัติโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา หรือประวัติการรักษาก่อนเข้ารับบริการ

       

      รู้จัก การฉีดฟิลเลอร์ คืออะไร?

      การฉีดฟิลเลอร์ (Filler) คือ สารเติมเต็มกลุ่ม Hyaluronic Acid (HA) ซึ่งเป็นสารสังเคราะห์ที่ผลิตขึ้นมา เพื่อเลียนแบบสารที่มีอยู่ในร่างกายมนุษย์ มีคุณสมบัติเด่นในการกักเก็บความชุ่มชื้น และอุ้มน้ำไว้ในชั้นผิว โดยการฉีดฟิลเลอร์นั้น ถูกนำมาใช้ในวงการแพทย์ความงามมาอย่างยาวนาน เนื่องจากการฉีดฟิลเลอร์ สามารถแก้ไขปัญหาผิวได้หลายรูปแบบ เช่น เติมเต็มริ้วรอย ร่องลึก ยกกระชับปรับรูปหน้า รวมถึง เพิ่มปริมาตรให้ผิวในบริเวณที่ผิวหนังเสื่อมสภาพ หรือเกิดการยุบตัวลงตามวัย เมื่อฉีดฟิลเลอร์เข้าไปยังผิวหนังแล้ว สาร HA จะเข้าไปเติมเต็มผิวหน้า ทำให้ผิวเรียบเนียน อิ่มฟู และอ่อนเยาว์อย่างดูเป็นธรรมชาติ

       

      ฉีดฟิลเลอร์ ฉีดบริเวณไหนได้บ้าง?
      ฉีดฟิลเลอร์ ฉีดบริเวณไหนได้บ้าง?

       

      ฉีดฟิลเลอร์ ฉีดบริเวณไหนได้บ้าง?

      การฉีดฟิลเลอร์ สามารถฉีดได้หลายบริเวณของใบหน้า เพื่อช่วยในการเติมเต็มริ้วรอย ร่องลึก และยกกระชับปรับรูปหน้าให้มีสัดส่วนที่สมดุล โดยบริเวณที่นิยมฉีดฟิลเลอร์ มีดังนี้

      • การฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก จะใช้ปริมาณการฉีดฟิลเลอร์ ประมาณ 3 – 5 CC ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และปัญหาของแต่ละบุคคล
      • การฉีดฟิลเลอร์ขมับ จะใช้ปริมาณการฉีดฟิลเลอร์ ประมาณ 2 – 4 CC ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และปัญหาของแต่ละบุคคล
      • การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา จะใช้ปริมาณการฉีดฟิลเลอร์ ประมาณ 2 – 4 CC ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และปัญหาของแแต่ละบุคคล
      • การฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ จะใช้ปริมาณการฉีดฟิลเลอร์ ประมาณ 2 – 4 CC ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และปัญหาของแต่ละบุคคล
      • การฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม จะใช้ปริมาณการฉีดฟิลเลอร์ ประมาณ 1 – 3 CC ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และปัญหาของแต่ละบุคคล
      • การฉีดฟิลเลอร์แก้มส้ม จะใช้ปริมาณการฉีดฟิลเลอร์ ประมาณ 1 – 2 CC ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และปัญหาของแต่ละบุคคล
      • การฉีดฟิลเลอร์ปาก จะใช้ปริมาณการฉีดฟิลเลอร์ ประมาณ 1 – 2 CC ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และปัญหาของแต่ละบุคคล
      • การฉีดฟิลเลอร์คาง จะใช้ปริมาณการฉีดฟิลเลอร์ ประมาณ 1 – 2 CC ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และปัญหาของแต่ละบุคคล

       

      การฉีดฟิลเลอร์แต่ละยี่ห้อ มีข้อดีอะไรบ้าง?

       

      การฉีดฟิลเลอร์แต่ละยี่ห้อ มีข้อดีที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งแต่ละยี่ห้อก็ถูกพัฒนาขึ้นมา เพื่อตอบโจทย์ปัญหาผิวที่แตกต่างกันไป โดยข้อดี หรือจุดเด่นของการฉีดฟิลเลอร์แต่ละยี่ห้อ ที่ได้รับการรับรองจาก อย. มีดังนี้

      • การฉีดฟิลเลอร์ยี่ห้อ Restylane เป็นฟิลเลอร์ที่ถูกพัฒนาโดยบริษัท Galderma ซึ่งมีการพัฒนามาอย่างยาวนานกว่า 25 ปี และถูกใช้งานในวงการแพทย์ความงามมามากกว่า 70 ประเทศทั่วโลก จึงไม่เสี่ยงอันตราย ได้รับการรับรองมาตรฐานจาก อย. ซึ่ง ฟิลเลอร์ Restylane จะใช้ 2 เทคโนโลยีในการผลิต ได้แก่ NASHA Technology และ OBT Technology ทำให้เนื้อเจลมีความเรียบเนียน ทนต่อแรงขยับได้ดี และมีความเป็นธรรมชาติสูง ไม่ไหลไม่เป็นก้อนได้ง่าย ซึ่งมีหลากหลายรุ่นให้เลือกใช้ ตามความเหมาะสมกับปัญหาของแต่ละบุคคล
      • การฉีดฟิลเลอร์ยี่ห้อ Juvederm เป็นฟิลเลอร์ที่ถูกพัฒนาโดยบริษัท Allergan ซึ่งมีประสบการณ์ด้านการผลิตฟิลเลอร์มายาวนานกว่า 36 ปี และถูกใช้งานในวงการแพทย์ความงามมามากกว่า 100 ประเทศทั่วโลก จึงไม่เสี่ยงอันตราย ได้รับการรับรองมาตรฐานจาก อย. ซึ่งฟิลเลอร์ Juvederm มีการใช้ 2 เทคโนโลยีในการผลิต ได้แก่ Hylacross Technology และ Vycross Technology สามารถนำมาฉีดเพื่อยกกระชับผิวได้ดี และมีความคงทนสูงมาก สามารถคงอยู่ได้ยาวนาน อีกทั้ง ยังมีส่วนผสมของยาชา (Lidocaine) จึงช่วยลดความรู้สึกเจ็บขณะฉีดได้ โดยฟิลเลอร์ Juvederm มีหลากหลายรุ่นให้เลือกใช้ ตามความเหมาะสมกับปัญหาของแต่ละบุคคล
      • การฉีดฟิลเลอร์ยี่ห้อ Belotero เป็นฟิลเลอร์ที่ถูกพัฒนาโดย Merz Aesthetics ได้รับการรับรองมาตรฐานจาก อย. จึงไม่เสี่ยงอันตราย ไม่ทิ้งสารตกค้างในร่างกาย ซึ่งฟิลเลอร์ Belotero มีการใช้ CPM Technology ในการผลิต มาพร้อมกับ 3 จุดเด่น ได้แก่ Cohesivity ทำให้ฟิลเลอร์สามารถยึดเกาะได้ดี, Elasticity ทำให้ฟิลเลอร์มีความยืดหยุ่นสูง และ Plasticity ทำให้กฟิลเลอร์สามารถปั้นทรงง่าย เมื่อฉีดฟิลเลอร์ Belotero เข้าไปแล้ว เนื้อเจลจะเรียบเนียนไปกับผิวอย่างกลมกลืน ไม่เป็นก้อนง่าย โดยฟิลเลอร์ Belotero มีหลากหลายรุ่นให้เลือกใช้ ตามความเหมาะสมกับปัญหาของแต่ละบุคคล

       

      ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์

      • ก่อนเริ่มทำการฉีดฟิลเลอร์ แพทย์จะทำการประเมินใบหน้า และสอบถามถึงปัญหาที่ต้องการแก้ไข เพื่อวางแผนการรักษาอย่างเหมาะสม
      • แพทย์จะแนะนำยี่ห้อ และเนื้อของฟิลเลอร์ที่เหมาะสม กับบริเวณที่ต้องการแก้ไข
      • เริ่มทำความสะอาดใบหน้า เพื่อป้องกันการติดเชื้อหลังฉีด
      • ทายาชา หรือฉีดยาชาเข้าไปยังบริเวณที่จะฉีดฟิลเลอร์ เพื่อลดความเจ็บขณะฉีด
      • เข้าสู่ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์ แพทย์จะทำการฉีดฟิลเลอร์ในบริเวณที่ต้องการปรับปรุง โดยใช้เทคนิคในการฉีดที่เหมาะสม เพื่อให้สาร HA ในฟิลเลอร์กระจายตัวอย่างทั่วถึง
      • เมื่อฉีดเสร็จ แพทย์จะแนะนำวิธีการปฏิบัติตัวหลังฉีด เพื่อให้สาร HA ในการฉีดฟิลเลอร์อยู่ได้นาน และหลีกเลี่ยงการเกิดผลข้างเคียง

       

      ข้อควรระวังหลังทำการฉีดฟิลเลอร์
      ข้อควรระวังหลังทำการฉีดฟิลเลอร์

       

      ข้อควรระวังหลังทำการฉีดฟิลเลอร์

      • หลังทำการฉีดฟิลเลอร์ หลีกเลี่ยงการสัมผัส หรือกดทับในบริเวณที่ทำการฉีดฟิลเลอร์ เพื่อป้องกันการเคลื่อนตัว
      • หลังทำการฉีดฟิลเลอร์ งดการออกกำลังกายอย่างหนัก เพื่อป้องกันอาการบวมช้ำ
      • หลังทำการฉีดฟิลเลอร์ งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และสูบบุหรี่ เพื่อป้องกันรอยช้ำหลังฉีด
      • หลังทำการฉีดฟิลเลอร์ งดการสัมผัสความร้อน เช่น ซาวน่า อบไอน้ำ หรือตากแดด เพื่อป้องกันอาการบวมแดงหลังฉีด 
      • หลังทำการฉีดฟิลเลอร์ งดการผลัดเซลล์ผิว เพื่อป้องกันการระคายเคืองหลังฉีด
      • หลังทำการฉีดฟิลเลอร์ งดการใช้เครื่องสำอาง หรือแต่งงานในบริเวณที่ฉีด ประมาณ 24 ชั่วโมงแรก เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
      • หลังทำการฉีดฟิลเลอร์ งดการเลเซอร์ความร้อนทุกชนิด ประมาณ 1 เดือนหลังฉีด เพื่อป้องกันการสลายตัวเร็ว

       

      ผลข้างเคียงจากการฉีดฟิลเลอร์

      ผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยหลังจากทำการฉีดฟิลเลอร์ไปแล้ว ส่วนใหญ่จะเป็นผลข้างเคียงทั่วไปที่ไม่เป็นอันตราย และสามารถหายได้เอง โดยหลังทำการฉีดฟิลเลอร์มีผลข้างเคียงเกิดขึ้น ดังนี้

      • อาการบวมแดงหลังฉีด ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยในบริเวณที่ฉีด โดยจะค่อย ๆ ดีขึ้น ภายใน 1 – 3 วันหลังฉีด
      • รอยฟกช้ำหลังฉีด ซึ่งอาจเกิดขึ้นในบางกรณี โดยเฉพาะผู้ที่ช้ำง่าย หรือมีเส้นเลือดฝอยเยอะ ซึ่งรอยเขียวช้ำจะค่อย ๆ ดีขึ้น ภายใน 1 – 2 สัปดาห์หลังฉีด
      • อาการปวดตึงหลังฉีด ซึ่งในบริเวณที่ฉีดอาจรู้สึกตึง ๆ หรือปวดระบมในบริเวณที่ฉีดได้ โดยจะค่อย ๆ ดีขึ้น ภายใน 1 สัปดาห์หลังฉีด

       

      Q&A รวมคำถามเกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์
      Q&A รวมคำถามเกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์

      Q&A รวมคำถามเกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์

      หลังทำการฉีดฟิลเลอร์ กี่วันเข้าที่?

      • การฉีดฟิลเลอร์ สามารถเห็นผลลัพธ์ที่ได้หลังฉีด แต่จะเห็นผลอย่างเต็มที่ เมื่ออาการบวมค่อย ๆ ลดลง และเนื้อฟิลเลอร์ค่อย ๆ กลืนเข้ากับผิวอย่างดูเป็นธรรมชาติ ประมาณ 2 – 4 สัปดาห์หลังฉีด แนะนำให้ดูแลตัวเอง และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด

       

      หลังทำการฉีดฟิลเลอร์ ไม่ควรรับประทานอะไร?

      หลังทำการฉีดฟิลเลอร์ ควรงด หรือหลีกเลี่ยงอาหารในบางประเภท เพื่อป้องกันการอักเสบ ติดเชื้อ หรือบวมช้ำหลังฉีด โดยอาหารที่ควรหลีกเลี่ยง มีดังนี้

      • หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด เผ็ดจัด หรือเค็มจัด อย่างน้อย 1 สัปดาห์หลังฉีด เพื่อป้องกันการอักเสบ หรือการระคายเคืองในบริเวณที่ฉีด
      • หลีกเลี่ยงอาหารดิบ หรือหมักดอง อย่างน้อย 1 – 2 สัปดาห์หลังฉีด เพื่อป้องกันการอักเสบ หรือติดเชื้อในบริเวณที่ฉีด
      • หลีกเลี่ยงอาหารปิ้งย่าง หรือชาบูที่ต้องนั่งหน้าเตาร้อน ๆ อย่างน้อย 1 – 2 สัปดาห์หลังฉีด เพื่อป้องกันไม่ให้สารสลายตัวเร็ว
      • หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกประเภท อย่างน้อย 2 – 3 วันหลังฉีด เพื่อป้องกันรอยช้ำ หรืออาการบวมในบริเวณที่ฉีด 

       

      การฉีดฟิลเลอร์ อันตรายไหม?

      • โดยทั่วไป ฟิลเลอร์ ถือเป็นสารเติมเต็มไม่เสี่ยงอันตราย หากใช้ฟิลเลอร์แท้ผ่านการรับรองจาก อย. และฉีดโดยแพทย์ ซึ่งอันตรายจากการฉีดฟิลเลอร์ ส่วนใหญ่มาจากการฉีดฟิลเลอร์ปลอม การฉีดฟิลเลอร์ที่ไม่มีคุณภาพ ฉีดโดยหมอเถื่อน แพทย์ที่ไม่มีความชำนาญ ภายในคลินิกที่ไม่ได้มาตรฐาน ทำให้เกิดอันตรายต่อใบหน้าได้ เช่น เกิดการอุดตันเส้นเลือด เกิดเนื้อตาย หรือถึงขั้นตาบอดได้

       

      หลังทำการฉีดฟิลเลอร์แล้วเป็นก้อน เกิดจากอะไร?

      หลังทำการฉีดฟิลเลอร์แล้วเป็นก้อน สามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งจากการฉีดฟิลเลอร์แท้ และการฉีดฟิลเลอร์ปลอม รวมถึง เทคนิคในการฉีดของแพทย์ที่ไม่ถูกต้อง โดยสาเหตุที่พบได้บ่อย มีดังนี้

      • ฉีดผิดชั้นผิว การฉีดฟิลเลอร์ควรฉีดให้ถูกชั้นผิวในตำแหน่งที่เหมาะสม หากฉีดตื้นเกินไป อาจทำให้เกิดก้อนแข็งใต้ผิวหนังได้
      • เลือกเนื้อไม่เหมาะกับบริเวณที่ฉีด ซึ่งเนื้อของฟิลเลอร์แต่ละประเภท จะมีลักษณะที่แตกต่างกันออกไป หากเลือกการฉีดฟิลเลอร์เนื้อแข็งไปฉีดบริเวณผิวชั้นตื้น ก็อาจทำให้เกิดการจับตัวเป็นก้อนได้ง่าย
      • ใช้ปริมาณมากเกินไป หากใช้การฉีดฟิลเลอร์ในปริมาณมากเกินไป อาจทำให้สารกระจายตัวไม่ดี และกองรวมกันเป็นก้อนได้

       

      หลังทำการฉีดฟิลเลอร์แล้วเป็นก้อน แก้ไขได้อย่างไร?

      • หลังทำการฉีดฟิลเลอร์แล้วเป็นก้อน สามารถแก้ไขได้ด้วยการฉีดสลาย โดยการใช้เอนไซม์ Hyaluronidase ในการสลายสารเติมเต็มประเภท Hyaluronic Acid (HA) เพื่อแก้ไขปัญหาฉีดฟิลเลอร์แล้วเป็นก้อน รฉีดฟิลเลอร์แล้วผิดรูป หรือฉีดฟิลเลอร์แล้วไม่พอใจในผลลัพธ์ ซึ่งการฉีดสลายฟิลเลอร์ จะทำให้ผิวหน้ากลับมาเรียบเนียนเป็นปกติเหมือนเดิม

       

      การฉีดฟิลเลอร์ เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่หลาย ๆ คนต่างให้ความสนใจ ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเติมเต็มริ้วรอย ร่องลึก และยกกระชับปรับรูปหน้า โดยที่ไม่ต้องพักฟื้น และไม่ต้องผ่าตัดหลังฉีด โดยข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์นอกจากจะเห็นผลลัพธ์หลังทำแล้ว ยังไม่เสี่ยงอันตราย ฉีดได้เกือบทุกบริเวณ และสามารถย่อยสลายได้ตามกระบวนการของร่างกาย รวมถึง แก้ไขได้ง่ายหากไม่พอใจ ดังนั้น สำหรับใครที่สนใจเติมเต็มริ้วรอย ร่องลึก และยกกระชับปรับรูปหน้าด้วยการฉีดฟิลเลอร์ แนะนำให้ศึกษาหาข้อมูลก่อนตัดสินใจ หรือสามารถเข้ามาปรึกษาแพทย์ได้ที่รมย์รวินท์คลินิก

       

      *ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับบริการ

      *เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

      วิธีสร้างกล้ามเนื้อช่องคลอดด้วย Emsella เก้าอี้กระชับช่องคลอดดีจริงไหม?

      วิธีสร้างกล้ามเนื้อช่องคลอดด้วย Emsella เก้าอี้กระชับช่องคลอดดีจริงไหม?

      วิธีสร้างกล้ามเนื้อช่องคลอดด้วย Emsella เก้าอี้กระชับช่องคลอดดีจริงไหม?

       

      ปัญหาใหญ่สำหรับสาว ๆ ที่อายุเริ่มมากขึ้น หรือคุณแม่หลังคลอด คือ ช่องคลอดไม่กระชับ รู้สึกช่องคลอดหลวม อาจเกิดจากภาวะกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแอ การสร้างกล้ามเนื้อจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่จะช่วยแก้ไขปัญหานี้ วิธีสร้างกล้ามเนื้อช่องคลอด ด้วย Emsella เก้าอี้กระชับช่องคลอดดีจริงไหม? ทางเลือกใหม่ กระชับช่องคลอด ลดปัสสาวะเล็ด โดยไม่ต้องผ่าตัด

       

      วิธีสร้างกล้ามเนื้อช่องคลอด : การสร้างกล้ามเนื้อช่องคลอด คืออะไร?

      กล้ามเนื้อช่องคลอด ก็ถือเป็นอีกหนึ่งกล้ามเนื้อในร่างกายที่ควรดูแล และให้ความสำคัญไม่แพ้ส่วนอื่น ๆ ในร่างกาย  โดยกล้ามเนื้อช่องคลอด ถือเป็นกล้ามเนื้อที่ช่วยรองรับอวัยวะภายในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็น กระเพาะปัสสาวะ มดลูก และลำไส้ หากกล้ามเนื้อช่องคลอดเกิดความอ่อนแอ อาจทำให้เกิดปัญหาช่องคลอดไม่กระชับ ปัสสาวะเล็ด หรือภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อนคล้อยได้ การสร้างกล้ามเนื้อช่องคลอดจะช่วยแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ 

      ซึ่งการสร้างกล้ามเนื้อช่องคลอด  คือ การกระตุ้นกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานให้แข็งแรงมากขึ้น โดยการออกกำลังกายบริการกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน หรือการใช้ตัวช่วย รวมถึงการดูแลสุขภาพโดยรวม 

       

      วิธีสร้างกล้ามเนื้อช่องคลอด : การสร้างกล้ามเนื้อช่องคลอด ช่วยเรื่องอะไรบ้าง?
      วิธีสร้างกล้ามเนื้อช่องคลอด : การสร้างกล้ามเนื้อช่องคลอด ช่วยเรื่องอะไรบ้าง?

       

      วิธีสร้างกล้ามเนื้อช่องคลอด : การสร้างกล้ามเนื้อช่องคลอด ช่วยเรื่องอะไรบ้าง?

      1. วิธีสร้างกล้ามเนื้อช่องคลอด ช่วยกระชับช่องคลอดให้ดีขึ้น ผู้ที่รู้สึกว่าช่องคลอดไม่กระชับ ไม่มีความมั่นใจในการใช้ชีวิตประจำวัน การออกกำลังกายบริการกล้ามเนื้อช่องคลอด จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรง และความยืดหยุ่น ให้ช่องคลอดดูกระชับขึ้น
      2. วิธีสร้างกล้ามเนื้อช่องคลอด ช่วยลดปัญหาปัสสาวะเล็ด เนื่องจากเมื่อกล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้น จะทำให้ควบคุมปัสสาวะได้ดีขึ้น ทำให้ลดปัญหากลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ปัสสาวะเล็ดเมื่อไอ จาม หรือออกกำลังกาย
      3. วิธีสร้างกล้ามเนื้อช่องคลอด ช่วยลดโอกาสเกิดภาวะอวัยวะอุ้งเชิงกรานหย่อนคล้อย เนื่องจากอุ้งเชิงกรานนั้นช่วยพยุงอวัยวะภายใน เช่น มดลูก และกระเพาะปัสสาวะ การสร้างกล้ามเนื้อช่องคลอด กระชับช่องคลอด จะช่วยลดความเสี่ยงของภาวะนี้
      4. วิธีสร้างกล้ามเนื้อช่องคลอด ช่วยฟื้นฟูสุขภาพอุ้งเชิงกรานในวัยทอง เมื่ออายุเพิ่มขึ้นกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอาจเสื่อมสภาพ การสร้างกล้ามเนื้อจะช่วยกระชับช่องคลอด และทำให้ระบบต่าง ๆ ในร่างกายทำงานได้ดีขึ้น
      5. วิธีสร้างกล้ามเนื้อช่องคลอด ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของร่างกาย การมีกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานที่แข็งแรง จะช่วยทำให้ร่างกายมีความสมดุล เคลื่อนไหวได้ดีขึ้น กระชับช่องคลอด  และยังช่วยลดอาการปวดหลังล่างได้
      6. วิธีสร้างกล้ามเนื้อช่องคลอด ช่วยเพิ่มความสุขทางเพศ เมื่อมัดกล้ามเนื้อบริเวณอุ้งเชิงกราน หรือช่องคลอดมีความแข็งแรงและยืดหยุ่นขึ้น จะช่วยทำให้ควบคุมการหดเกร็งของช่องคลอดได้ดีขึ้น กระชับช่องคลอด ช่วยทำให้ความพึงพอใจทางเพศมีมากขึ้น
      7. วิธีสร้างกล้ามเนื้อช่องคลอด ช่วยให้การฟื้นตัวหลังคลอดเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับคุณแม่หลังคลอดที่มีปัญหาช่องคลอดไม่กระชับ หรือฟื้นตัวได้ช้า ต้องการกระชับช่องคลอด การออกกำลังกายกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน จะช่วยให้ฟื้นตัวได้ดีมากขึ้น

       

      วิธีสร้างกล้ามเนื้อช่องคลอด : กล้ามเนื้อช่องคลอด คืออะไร? สำคัญอย่างไร?

      หลาย ๆ คนอาจจะมีความสงสัยว่า กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน มีความสำคัญอย่างไรกับร่างกาย ? โดย กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน คือ กลุ่มกล้ามเนื้อที่ช่วยรองรับอวัยวะสำคัญในช่องท้องส่วนล่าง เช่น มดลูก กระเพาะปัสสาวะ และลำไส้ ซึ่งกล้ามเนื้อเหล่านี้จะทำการเชื่อมต่อกันเป็นชั้น ๆ เพื่อช่วยพยุงอวัยวะภายใน และมีบทบาทสำคัญในหลากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น การควบคุมการขับถ่าย ช่วยป้องกันภาวะปัสสาวะเล็ด รวมถึงส่งเสริมสุขภาพทางเพศให้ดีมากขึ้น การสร้างกล้ามเนื้อจะช่วยกระชับช่องคลอด ช่วยลดปัญหาสุขภาพต่าง ๆ ได้

       

      วิธีสร้างกล้ามเนื้อช่องคลอด กระชับช่องคลอด ให้แข็งแรง
      วิธีสร้างกล้ามเนื้อช่องคลอด กระชับช่องคลอด ให้แข็งแรง

       

      วิธีสร้างกล้ามเนื้อช่องคลอด กระชับช่องคลอด ให้แข็งแรง

      สำหรับผู้หญิงแล้วนั้นเมื่อยิ่งอายุมากขึ้น หรือเคยผ่านการคลอดลูกมาแล้วนั้น การที่ช่องคลอดจะเกิดความไม่กระชับสามารถเกิดขึ้นได้ ทั้งนี้ การดูแลตัวเองให้สุขภาพแข็งแรงจึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมาก วิธีสร้างกล้ามเนื้อช่องคลอดให้มีความแข็งแรง การกระชับช่องคลอด สามารถทำได้หลายวิธี ดังนี้

      • กระชับช่องคลอดด้วยการบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน

      การกระชับช่องคลอด ด้วยการบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน (Kegel Exercise) เรียกได้ว่าเป็นวิธีสร้างกล้ามเนื้อช่องคลอดที่ได้รับความนิยม โดยการทำ Kegel Exercise กระชับช่องคลอด คือ การฝึกขมิบกล้ามเนื้อช่องคลอดอย่างสม่ำเสมอ  สามารถทำได้ง่าย ๆ ที่บ้าน โดยการขมิบกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานค้างไว้ 5-10 วินาที แล้วคลายออก ทำซ้ำ 10-15 ครั้งต่อเซต วันละ 3-4 เซต เพื่อเป็นการบริการกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานให้มีความแข็งแรง ยืดหยุ่น และยังช่วยกระชับช่องคลอดได้ดี

      • กระชับช่องคลอดด้วยการออกกำลังกายโยคะ หรือพิลาทิส

      การกระชับช่องคลอด ด้วยการออกกำลังกายแบบโยคะ หรือพิลาทิส เป็นการออกกำลังกายที่ได้รับความนิยมมาก นอกจากจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น ความแข็งแรงให้กับร่างกายแล้วนั้น  ในบางท่านั้นยังช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน ช่วยกระชับช่องคลอดได้ เช่น ท่าสะพาน (Bridge Pose) ท่าแมวและวัว (Cat-Cow Stretch) ท่าเด็ก (Child’s Pose)  หรือพิลาทิสท่าสควอท (Deep Squat)

      • กระชับช่องคลอดด้วยการดูแลสุขภาพร่างกายให้ดี

      การกระชับช่องคลอด ด้วยการดูแลสุขภาพร่างกายโดยรวม จะช่วยเสริมสร้างร่างกายทุกส่วนให้แข็งแรง สำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับช่องคลอดไม่กระชับ หรืออยากหาวิธีสร้างกล้ามเนื้อช่องคลอด กระชับช่องคลอด สามารถดูแลสุขภาพได้ด้วย การควบคุมน้ำหนัก การดื่มน้ำให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ หมั่นออกกำลังกายอย่างเสม่ำเสมอ และหลีกเลี่ยงการกลั้นปัสสาวะนานเกินไป เพื่อช่วยให้ร่างกายสามารถฟื้นฟูกล้ามเนื้อต่าง ๆ ได้อย่างเต็มที่

      • กระชับช่องคลอดด้วย Emsella กระชับช่องคลอด

      การกระชับช่องคลอด ด้วย Emsella กระชับช่องคลอด เก้าอี้กระชับช่องคลอด เป็นการรักษาช่องคลอดไม่กระชับที่ใช้พลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแรงสูง (HIFEM) ที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ฟื้นฟูความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และกระตุ้นกล้ามเนื้อบริเวณอุ้งเชิงกรานให้เกิดการหดตัวคล้ายการขมิบอย่างต่อเนื่อง ได้มากถึง 11,200 ครั้งใน 28 นาที ทำให้มีส่วนช่วยกระชับช่องคลอดได้ โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่เจ็บ และไม่ต้องพักฟื้น 

       

      วิธีสร้างกล้ามเนื้อช่องคลอด : Emsella กระชับช่องคลอด คืออะไร? กระชับช่องคลอด โดยไม่ต้องผ่าตัด
      วิธีสร้างกล้ามเนื้อช่องคลอด : Emsella กระชับช่องคลอด คืออะไร? กระชับช่องคลอด โดยไม่ต้องผ่าตัด

       

      วิธีสร้างกล้ามเนื้อช่องคลอด :  Emsella กระชับช่องคลอด คืออะไร? กระชับช่องคลอด โดยไม่ต้องผ่าตัด

      ทางเลือกใหม่สำหรับผู้ที่มีปัญหาช่องคลอดไม่กระชับ ต้องการวิธีสร้างกล้ามเนื้อช่องคลอด  Emsella กระชับช่องคลอด เป็นเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ออกแบบมาเพื่อเสริมสร้างและฟื้นฟูกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานโดยใช้พลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความเข้มข้นสูง (HIFEM) ที่ช่วยกระตุ้นการหดตัวของกล้ามเนื้อ สร้างความแข็งแรง กระชับช่องคลอด เพิ่มความยืดหยุ่นให้กับกล้ามเนื้อช่องคลอด ทำให้ลดปัญหาช่องคลอดหลวม ช่องคลอดไม่กระชับ ปัสสาวะเล็ด หรือความรู้สึกทางเพศลดลง

       Emsella กระชับช่องคลอด ถือเป็นตัวช่วยสำหรับผู้ที่มีปัญหาปัสสาวะเล็ด กล้ามเนื้อช่องคลอดหย่อนคล้อย หรือผู้ที่ต้องการเสริมสร้างความแข็งแรงของอุ้งเชิงกราน กระชับช่องคลอด โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น สามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ

       

      วิธีสร้างกล้ามเนื้อช่องคลอด :  Emsella กระชับช่องคลอด ช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้อช่องคลอดได้อย่างไร?

       Emsella กระชับช่องคลอด ช่วยแก้ปัญหาช่องคลอดไม่กระชับ ปัสสาวะเล็ด หรือกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานไม่แข็งแรง โดยใช้พลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความเข้มข้นสูง HIFEM ช่วยกระตุ้นการหดตัวของกล้ามเนื้อมากกว่า 11,200 ครั้งใน 28 นาที คล้ายการขมิบอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสามารถทำได้ง่าย ๆ เพียงการนั่งบนเก้าอี้  Emsella กระชับช่องคลอด 28 นาที  ไม่ต้องเปลี่ยนชุด สะดวก ประหยัดเวลา

      ข้อดีของ Emsella กระชับช่องคลอด

      • ไม่ต้องออกแรงเอง เพียงแค่นั่งบนเก้าอี้ 20-30 นาที แต่ให้ผลลัพธ์เทียบเท่ากับการขมิบอย่างต่อเนื่อง
      • ไม่เป็นอันตราย ไม่มีการสอดอุปกรณ์ ไม่ต้องผ่าตัด และไม่ต้องพักฟื้น
      • เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาปัสสาวะเล็ด หรือกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแอ ช่องคลอดไม่กระชับ ต้องการเพิ่มความรู้สึกทางเพศ

       

      วิธีสร้างกล้ามเนื้อช่องคลอด : เทคโนโลยีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (HIFEM) ทำงานอย่างไร?

      คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า HIFEM (High-Intensity Focused Electromagnetic) เป็นพลังงานที่ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย นิยมใช้ในการรักษาปัญหาความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้ออ่อนแอ หรือผู้ที่ต้องการสร้างกล้ามเนื้อ โดยเทคโนโลยี HIFEM นำมาใช้ร่วมกับ Emsella กระชับช่องคลอด ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยกระตุ้นการหดตัวของกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยระหว่างทำ Emsella กระชับช่องคลอด ผู้เข้ารับบริการจะต้องนั่งบนเก้าอี้ที่ปล่อยพลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า จากนั้นพลังงานจะลงไปที่บริเวณอุ้งเชิงกราน

      โดยคลื่นพลังงานจะกระตุ้นให้กล้ามเนื้อหดตัวมากถึง 11,200 ครั้งใน 28 นาที เทียบเท่ากับการออกกำลังกายแบบ Kegel หรือการขมิบโดยไม่ต้องออกแรง ซึ่งการกระตุ้นจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยที่ผู้รับบริการไม่ต้องออกแรงเอง

       

      วิธีสร้างกล้ามเนื้อช่องคลอด : ข้อดีของการทำ Emsella กระชับช่องคลอด บริหารกล้ามเนื้อช่องคลอด

      กระชับช่องคลอดด้วย Emsella กระชับช่องคลอด ดีอย่างไร?  Emsella กระชับช่องคลอด ถือเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมสูง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน และต้องการกระชับช่องคลอดโดยไม่ต้องผ่าตัด นอกจากนี้ Emsella กระชับช่องคลอด ยังมีความโดดเด่นอีกมากมาย ได้แก่

      •  Emsella กระชับช่องคลอด ช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานและลดอาการปัสสาวะเล็ด

      ปัญหาหลักที่ผู้หญิงหลายคนต่างพบเจอเมื่ออยู่ในช่วงหลังคลอด หรือภาวะวัยทอง คือ กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแอ ที่อาจส่งผลให้เกิดอาการปัสสาวะเล็ด หรือกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ 

      ซึ่งการทำ Emsella กระชับช่องคลอด จะใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า HIFEM กระตุ้นกล้ามเนื้อให้หดตัวกว่า 11,200 ครั้งต่อการรักษาเพียง 28 นาที เพื่อช่วยฟื้นฟูความแข็งแรงของอุ้งเชิงกรานที่ช่วยควบคุมการปัสสาวะให้ดีขึ้น กระชับช่องคลอด จึงเหมาะสำหรับคุณแม่หลังคลอด ผู้ที่มีภาวะปัสสาวะเล็ด หรือผู้ที่มีอาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่

      •  Emsella กระชับช่องคลอด เสริมความมั่นใจในชีวิตคู่

      เมื่ออายุมากขึ้นอาจส่งผลให้กล้ามเนื้อช่องคลอดเกิดความหย่อนคล้อย และส่งผลต่อความมั่นใจในชีวิตคู่รวมถึงสุขภาพทางเพศ ซึ่งการทำ Emsella กระชับช่องคลอด จะสามารถช่วยกระชับกล้ามเนื้อช่องคลอด ช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดทำงานได้ดีขึ้น ทั้งยังช่วยเพิ่มความรู้สึกระหว่างการทำกิจกรรมทางเพศได้มากขึ้น ช่วยเพิ่มความมั่นใจในการใช้ชีวิตคู่ และส่งผลดีต่อสุขภาพโดยรวมได้

      •  Emsella กระชับช่องคลอด ไม่เป็นอันตราย ไม่เจ็บ ไม่ต้องพักฟื้น

      ถือเป็นหนึ่งในข้อดีที่ทำให้ Emsella กระชับช่องคลอด ได้รับความนิยมสูงเลยก็ คือ การทำหัตถการโดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีแผล ไม่ต้องใช้ยา และไม่มีผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย โดยการทำ Emsella กระชับช่องคลอด นั้นผู้รับบริการสามารถนั่งบนเก้าอี้ โดยไม่ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้า เมื่อครบเวลาการรักษาก็สามารถกลับบ้านได้ ทำให้หลังจากทำกระชับช่องคลอดสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ โดยไม่ต้องพักฟื้น เหมาะสำหรับคนที่ต้องการความสะดวกสบาย ไม่อยากผ่าตัด ไม่มีเวลาในการพักฟื้น

      •  Emsella กระชับช่องคลอด ใช้เวลาสั้น แต่ให้ผลลัพธ์ที่ยาวนาน

      การกระชับช่องคลอดด้วย Emsella กระชับช่องคลอด จะใช้เวลาเพียง 20-30 นาทีต่อครั้ง ซึ่งทำให้มีความสะดวกสบาย ประหยัดเวลา  ผู้เข้ารับบริการไม่ต้องออกแรง ก็สามารถเห็นผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ โดยการทำ Emsella กระชับช่องคลอด ผลลัพธ์จะค่อย ๆ ดีขึ้น เมื่อทำประมาณ 3-6 ครั้งขึ้นไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล ซึ่งผลลัพธ์นั้นสามารถอยู่ได้นาน และยังสามารถเข้ารับการรักษาซ้ำเพื่อคงผลลัพธ์ได้ โดยไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย

       

      วิธีสร้างกล้ามเนื้อช่องคลอด : ทำไมต้องเลือก Emsella กระชับช่องคลอด
      วิธีสร้างกล้ามเนื้อช่องคลอด : ทำไมต้องเลือก Emsella กระชับช่องคลอด

       

      วิธีสร้างกล้ามเนื้อช่องคลอด : ทำไมต้องเลือก Emsella กระชับช่องคลอด

      •  Emsella กระชับช่องคลอด ไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีแผล ไม่มีความเจ็บปวด
      •  Emsella กระชับช่องคลอด สะดวก ใช้ระยะเวลาสั้นเพียง 30 นาทีต่อครั้ง
      •  Emsella กระชับช่องคลอด สามารถเห็นผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงได้หลังทำต่อเนื่อง 3-6 ครั้ง
      •  Emsella กระชับช่องคลอด ได้รับการรับรองมาตรฐานจากสากล ว่าไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายและสามารถให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ
      •  Emsella กระชับช่องคลอด สะดวกสบายเพียงนั่งบนเก้าอี้ ไม่มีการใช้เครื่องมือสอดเข้าไปในร่างกาย
      •  Emsella กระชับช่องคลอด ช่วยกระชับช่องคลอด ลดปัสสาวะเล็ด และเพิ่มความมั่นใจในชีวิตคู่

       

       Emsella กระชับช่องคลอด เหมาะกับใครบ้าง?

      การกระชับช่องคลอดด้วย  Emsella กระชับช่องคลอด เป็นวิธีทางการแพทย์ที่ได้รับการยอมรับว่าไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย สามารถแก้ปัญหาปัสสาวะเล็ด กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ช่องคลอดไม่กระชับ รวมถึงปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพทางเพศได้เป็นอย่างดี จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหา ดังนี้ 

      •  Emsella กระชับช่องคลอด เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาช่องคลอดหลวม ช่องคลอดไม่กระชับจากการคลอดบุตร
      •  Emsella กระชับช่องคลอด เหมาะกับผู้ที่มีภาวะปัสสาวะเล็ด หรือกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ขณะไอ จาม หรือหัวเราะ
      •  Emsella กระชับช่องคลอด เหมาะกับผู้ที่เข้าสู่วัยทองที่มีฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง และต้องการฟื้นฟูกล้ามเนื้อบริเวณอุ้งเชิงกราน
      •  Emsella กระชับช่องคลอด เหมาะกับผู้ที่ไม่มีเวลาออกกำลังกายบริการกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน
      •  Emsella กระชับช่องคลอด เหมาะกับผู้หญิงที่มีปัญหาช่องคลอดแห้ง เกิดการระคายเคือง
      •  Emsella กระชับช่องคลอด เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาเสื่อมสมรรถภาพทางเพศเล็กน้อย

      ทั้งนี้ ผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ แจ้งโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา หรือประวัติการรักษา ก่อนเข้ารับการบริการ

       

      ใครบ้างที่ไม่ควรทำ Emsella กระชับช่องคลอด

      การรักษาด้วย Emsella กระชับช่องคลอด เป็นการรักษาด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความเข้มข้นสูง (HIFEM) ที่สามารถทำได้กับทุกเพศ ก็มีข้อจำกัดบางอย่างสำหรับในบางกลุ่มที่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับการรักษา เพราะอาจจะเกิดความเสี่ยง และเกิดอันตรายขณะรักษาได้ ดังนี้ 

      •  Emsella กระชับช่องคลอด ไม่เหมาะกับผู้ที่แพ้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
      •  Emsella กระชับช่องคลอด ไม่เหมาะกับผู้ที่มีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทางการแพทย์ฝังในร่างกาย เช่น เครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemaker) เครื่องช่วยฟังแบบฝังถาวร (Cochlear Implant) อุปกรณ์ประสาทเทียม หรืออุปกรณ์ควบคุมระบบประสาท รวมถึงอุปกรณ์โลหะฝังในร่างกาย เช่น ข้อเข่าเทียม หรือโลหะดามกระดูก
      •  Emsella กระชับช่องคลอด ไม่เหมาะกับผู้ที่กำลังตั้งครรภ์หรืออยู่ระหว่างการให้นมบุตร
      •  Emsella กระชับช่องคลอด ไม่เหมาะกับผู้ที่มีโรคประจำตัวรุนแรงบางชนิด เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวานเรื้อรัง โรคความดันโลหิตสูง โรคมะเร็ง และโรคทางระบบประสาท 
      •  Emsella กระชับช่องคลอด ไม่เหมาะกับผู้ที่กำลังใช้ยารักษาโรคบางชนิดยาบางประเภท 
      •  Emsella กระชับช่องคลอด ไม่เหมาะกับผู้ที่กำลังมีประจำเดือน
      •  Emsella กระชับช่องคลอด ไม่เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาด้านระบบไหลเวียนโลหิต

      ทั้งนี้ ผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ แจ้งโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา หรือประวัติการรักษา ก่อนเข้ารับการบริการ

       

      ข้อควรระวังและข้อจำกัดของ Emsella กระชับช่องคลอด

      แม้ว่า Emsella กระชับช่องคลอด จะเป็นเทคโนโลยีที่ได้รับการยอมรับในการฟื้นฟูและกระชับกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานให้มีความแข็งแรง โดยไม่ต้องผ่าตัด และใช้ระยะเวลาในการทำกระชับช่องคลอดไม่นาน แต่เนื่องด้วยเป็นการรักษาโดยใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความเข้มข้นสูง (HIFEM) ก็อาจจะมีข้อจำกัดบางประการ ที่ควรพิจารณาก่อนเข้ารับการรักษา

      • การเข้ารับการรักษากระชับช่องคลอดด้วย Emsella กระชับช่องคลอด ห้ามสวมใส่เครื่องประดับที่เป็นโลหะ เช่น สร้อยคอ แหวน ต่างหู เพราะอาจรบกวนพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้า ควรถอดออกก่อนเข้ารับการรักษา
      • หลังทำการรักษากระชับช่องคลอดด้วย Emsella กระชับช่องคลอด สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้
      • การทำ Emsella กระชับช่องคลอด อาจต้องเข้ารับการรักษาหลายครั้ง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ แพทย์จะทำการประเมินปัญหาและวางแผนการรักษา โดยปกติจะทำการรักษาประมาณ 6 ครั้ง ทั้งนี้ ผลลัพธ์ในการรักษาอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล 
      • ค่าใช้จ่ายของการรักษากระชับช่องคลอดด้วย Emsella กระชับช่องคลอด อาจมีราคาที่ค่อนข้างสูง ซึ่งแต่ละคลินิกก็จะมีราคาที่แตกต่างกันไป 
      •  Emsella กระชับช่องคลอด ต้องได้รับการรักษาภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น ควรเลือกรับบริการกระชับช่องคลอดจากสถานพยาบาลที่มีแพทย์เป็นผู้ประเมินปัญหา และให้คำแนะนำที่เหมาะสม

      ทั้งนี้ ผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ แจ้งโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา หรือประวัติการรักษา ก่อนเข้ารับการบริการ

       

      ภาวะกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแรง คืออะไร?

      ภาวะกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแรง เป็นภาวะที่เมื่อผู้หญิงเริ่มมีอายุที่มากขึ้น หรือผ่านการคลอดบุตรมากนั้นสามารถเกิดได้ ซึ่ง ภาวะกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแรง หมายถึง ภาวะที่กล้ามเนื้อบริเวณอุ้งเชิงกรานและช่องคลอดสูญเสียความแข็งแรงและความยืดหยุ่น ส่งผลให้ช่องคลอดไม่กระชับ มีปัญหากับการควบคุมปัสสาวะ ทำให้ปัสสาวะเล็ด กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ตลอดจนปัญหาเกี่ยวกับความพึงพอใจทางเพศ  และสุขภาพภายในกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานที่อาจมีปัญหาได้

       

      สาเหตุของภาวะกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแรง

      กล้ามเนื้อช่องคลอดอ่อนแอ สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ซึ่งปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานและช่องคลอดนั้น อาจจะเกิดได้จากทั้งโครงสร้างภายในร่างกาย หรือพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่อาจจะทำให้เกิดกล้ามเนื้อช่องคลอดอ่อนแอได้ 

      1. การตั้งครรภ์และการคลอดบุตร 

      การตั้งครรภ์และการคลอดบุตรตามธรรมชาตินั้น จะทำให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานขยายตัวมากกว่าปกติ ส่งผลให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงลงหลังคลอด ซึ่งหากไม่มีการฟื้นฟูหรือบริหารกล้ามเนื้อ อาจทำให้เกิดปัญหาปัสสาวะเล็ด หรือช่องคลอดไม่กระชับตามมาได้

      1. อายุที่เพิ่มขึ้น

      เมื่ออายุมากขึ้นและเริ่มเข้าสู่วัยทอง กล้ามเนื้อบริเวณต่าง ๆ ก็อาจจะเริ่มหย่อนคล้อย โดยเฉพาะเมื่ออายุมากขึ้น กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอาจเสื่อมสภาพและสูญเสียความยืดหยุ่น ส่งผลให้เกิดอาการหย่อนคล้อยของอวัยวะอุ้งเชิงกราน รวมถึงส่งผลต่อการควบคุมกระเพาะปัสสาวะ

      1. วัยหมดประจำเดือน 

      ระดับฮอร์โมนที่ลดลงอาจส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในร่างกายได้ อย่าง ฮอร์โมนเอสโตรเจน ที่หากลดลงอาจจะทำให้เกิดเนื้อเยื่อช่องคลอดบางลง ทำให้สูญเสียความกระชับ และส่งผลให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแอ และเกิดปัญหาปัสสาวะเล็ด ช่องคลอดแห้งตามมาได้ ซึ่งระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ลดลงมักเกิดในช่วงวัยทองของผู้หญิง

      1. การขาดการออกกำลังกายอุ้งเชิงกราน 

      การออกกำลังกายบริหารอุ้งเชิงกราน เป็นอีกวิธีสร้างกล้ามเนื้อช่องคลอดแบบธรรมชาติ ที่จะช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรง กระชับช่องคลอด ลดปัญหาอุ้งเชิงกรานอ่อนแรง ซึ่งการออกกำลังกายอุ้งเชิงกราน สามารถทำได้หลายวิธี เช่น การออกกำลังกาย Kegel Exercise กระชับช่องคลอด  หรือการฝึกขมิบอย่างสม่ำเสมอ

      1. น้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน 

      น้ำหนัก ถือเป็นสาเหตุที่ทำให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแอ ซึ่งการที่มีน้ำหนักที่มากเกินไปจะทำให้เพิ่มแรงกดทับไปที่อุ้งเชิงกราน ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแอลงได้ง่ายขึ้น ซึ่งเสี่ยงต่อภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อนคล้อย นอกจากนี้ ภาวะน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วนยังเพิ่มความเสี่ยงของอาการปัสสาวะเล็ดได้

      1. ภาวะท้องผูกเรื้อรัง 

      ภาวะท้องผูกเรื้อรัง เรียกได้ว่าเป็นสาเหตุของกล้ามเนื้อช่องคลอดอ่อนแอที่หลาย ๆ คนอาจจะคาดไม่ถึง เนื่องจากการเบ่งอุจจาระบ่อย ๆ จากอาการท้องผูกเรื้อรัง อาจทำให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานเกิดการรับแรงดันซ้ำ ๆ จนทำให้กล้ามเนื้อมีความอ่อนแอลง ทั้งยังส่งผลต่อการควบคุมปัสสาวะ และเพิ่มความเสี่ยงของภาวะอวัยวะอุ้งเชิงกรานหย่อนได้

       

      ภาวะกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแรง มีอาการอย่างไร?
      ภาวะกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแรง มีอาการอย่างไร?

       

      ภาวะกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแรง มีอาการอย่างไร?

      เมื่อกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานและช่องคลอดอ่อนแอลง อาจส่งผลให้เกิดอาการที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตของผู้หญิง ซึ่งอาการอาจแสดงออกได้หลาย  ๆ รูปแบบ เช่น

      • ปัสสาวะเล็ดเมื่อไอ จาม หรือหัวเราะ

      อาการปัสสาวะเล็ด มักเกิดจากกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแรงทำให้ไม่สามารถควบคุมแรงดันที่เกิดขึ้นเมื่อเกิดอาการไอ จาม หัวเราะ หรือเคลื่อนไหวร่างกายอย่างรวดเร็วได้ จนทำให้เกิดอาการปัสสาวะเล็ดโดยไม่รู้ตัว

      • กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ หรือรู้สึกปัสสาวะบ่อยกว่าปกติ 

      หากกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานไม่แข็งแรง จะยิ่งส่งผลต่อการควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะได้ยากมากขึ้น ทำให้กลั่นปัสสาวะไม่อยู่ หรือมีการปัสสาวะบ่อยกว่าปกติ ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน รวมถึงทำให้ความมั่นใจลดลง

      • รู้สึกว่าช่องคลอดหลวมกว่าปกติ ส่งผลต่อความรู้สึกทางเพศ

      กล้ามเนื้อช่องคลอดที่ไม่แข็งแรง อาจส่งผลให้ช่องคลอดไม่กระชับ ทำให้ความรู้สึกขณะทำกิจกรรมทางเพศลดลง และอาจกระทบต่อความพึงพอใจทางเพศที่ลดลง ความมั่นใจในตัวเองลดลงได้ ทำให้ความสัมพันธ์ในชีวิตคู่มีปัญหาในระยะยาวได้

      • มีแรงกดหรือรู้สึกเหมือนมีบางอย่างเคลื่อนตัวลงมาจากช่องคลอด

      หากรู้สึกว่าภายในช่องคลอดนั้นมีแรงกดหรือรู้สึกเหมือนมีบางอย่างเคลื่อนตัวลงมาจากช่องคลอด  อาจเป็นสัญญาณของ ภาวะอวัยวะอุ้งเชิงกรานหย่อน ซึ่งเกิดจากอวัยวะภายในอุ้งเชิงกราน เช่น มดลูก กระเพาะปัสสาวะ หรือทวารหนัก เกิดการเคลื่อนตัวลงมากดที่ผนังช่องคลอด ซึ่งอาจเกิดจากกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานที่อ่อนแอจนไม่สามารถพยุงอวัยวะต่าง ๆ ภายในไว้ได้เช่นเดิม

      • ปวดหลังส่วนล่างหรือรู้สึกหนัก ๆ บริเวณอุ้งเชิงกราน

      หากกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแอ อาจจะส่งผลให้เกิดอาการปวดหลังบริเวณส่วนล่าง ทำให้รู้สึกอึดอัด หรือมีความรู้สึกหนัก ๆ ในบริเวณอุ้งเชิงกราน โดยเฉพาะเมื่อต้องยืนนาน ๆ หรือมีการออกแรงมาก 

       

      คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Emsella กระชับช่องคลอด

      การทำ Emsella กระชับช่องคลอด ถือเป็นนวัตกรรมที่ช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน และยังช่วยกระชับช่องคลอดได้โดยไม่ต้องผ่าตัด แต่หลาย ๆ คนอาจจะมีข้อสงสัยเกี่ยวกับ Emsella กระชับช่องคลอด มากมาย วันนี้เราจะมาตอบข้อสงสัยยอดฮิตก่อนทำ Emsella กระชับช่องคลอด

       Emsella กระชับช่องคลอด ต้องทำกี่ครั้งถึงจะเห็นผล?

      โดยทั่วไปแพทย์จะแนะนำให้ทำ Emsella กระชับช่องคลอด ประมาณ 6 ครั้ง เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ตามต้องการ โดยระยะเวลาการรักษาจะใช้เวลาประมาณ 28 นาทีต่อการทำ 1 ครั้ง โดยผลลัพธ์หลังทำ Emsella กระชับช่องคลอด จะเริ่มรู้สึกว่าช่องคลอดกระชับขึ้น กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานมีความแข็งแรงขึ้น ตั้งแต่ครั้งที่ 2-3 โดยผลลัพธ์จะสามารถอยู่ได้นานขึ้นหลายเดือน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล และยังสามารถทำการรักษาซ้ำได้

       

       Emsella กระชับช่องคลอด มีข้อห้ามหรือข้อควรระวังอะไรบ้าง?

       Emsella กระชับช่องคลอด เก้าอี้กระชับช่องคลอดที่ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น และไม่มีผลข้างเคียงรุนแรง อย่างไรก็ตาม อาจมีในบางกรณีที่ควรหลีกเลี่ยงหรือปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับการรักษา เช่น ผู้ที่มีอุปกรณ์โลหะฝังในร่างกาย ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ หรือมีการติดเชื้อที่อุ้งเชิงกราน ไม่ควรทำ Emsella กระชับช่องคลอด และก่อนเข้ารับการรักษาด้วย Emsella กระชับช่องคลอด ไม่ควรใส่เครื่องประดับโลหะ หรือผู้ที่กำลังเป็นประจำเดือนควรหลีกเลี่ยงการทำ Emsella กระชับช่องคลอด ไปก่อน

       

       Emsella กระชับช่องคลอด สามารถทำร่วมกับหัตถการอื่น ๆ ได้หรือไม่?

      Emsella กระชับช่องคลอด สามารถทำร่วมกับหัตถการอื่น ๆ ได้ โดยเฉพาะหัตถการที่ช่วยกระชับช่องคลอด เสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อช่องคลอด หรือดูแลเรื่องสุขภาพทางเพศ เช่น เลเซอร์กระชับช่องคลอด ThermiVA หรือการรีแพร์ช่องคลอด อย่างไรก็ตาม หากต้องการทำหัตถการกระชับช่องคลอดหลายอย่างร่วมกัน ควรเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์ เพื่อวางแผนการรักษาให้เหมาะสมกับสุขภาพ และความต้องการของแต่ละบุคคล

      วิธีสร้างกล้ามเนื้อช่องคลอด เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อช่องคลอด และกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน ผู้ที่มีปัญหากล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแอ เกิดอาการช่องคลอดไม่กระชับ ปัสสาวะเล็ด กลั้นปัสสาวะไม่ได้ ซึ่ง วิธีสร้างกล้ามเนื้อช่องคลอด ก็สามารถทำได้หลายวิธีอย่าง Emsella กระชับช่องคลอด เก้าอี้กระชับช่องคลอด ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีสร้างกล้ามเนื้อช่องคลอด ช่วยกระชับช่องคลอด ลดปัสสาวะเล็ด พร้อมช่วยดูแลสุขภาพทางเพศให้ดีมากยิ่งขึ้น 

       

      *ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับการบริการ

      *เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

      ช่องคลอดไม่กระชับ เกิดจากอะไร? เปิดสาเหตุและวิธีดูแลให้กระชับขึ้น

      ช่องคลอดไม่กระชับ เกิดจากอะไร

      ช่องคลอดไม่กระชับ เกิดจากอะไร? เปิดสาเหตุและวิธีดูแลให้กระชับขึ้น

      สาว ๆ ที่เริ่มมีอายุมากขึ้น เคยรู้สึกไหมว่าช่องคลอดไม่กระชับเหมือนเดิม? แต่ไม่ต้องกังวลไป เพราะนี่เป็นเรื่องปกติที่สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็น การคลอดลูก อายุที่เพิ่มขึ้น หรือแม้แต่พฤติกรรมในชีวิตประจำวันบางอย่าง ก็อาจทำให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแอลง ส่งผลให้ช่องคลอดไม่กระชับเหมือนเมื่อก่อน วันนี้เราจะพาไปทำความรู้จักกับ ช่องคลอดไม่กระชับ เกิดจากอะไร? เปิดสาเหตุและวิธีดูแลให้กระชับขึ้น ที่ควรรู้

       

      ช่องคลอดไม่กระชับ คืออะไร?
      ช่องคลอดไม่กระชับ คืออะไร?

       

      ช่องคลอดไม่กระชับ คืออะไร?

      ช่องคลอดไม่กระชับ หรือภาวะช่องคลอดหย่อนคล้อย (Vaginal Laxity) เป็นภาวะที่กล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อภายในช่องคลอดสูญเสียความยืดหยุ่น ซึ่งอาจเกิดจากหลายปัจจัย เช่น การคลอดบุตร อายุที่เพิ่มขึ้น การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน หรือพฤติกรรมในชีวิตประจำวันที่ส่งผลต่อกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน ผู้ที่มีภาวะช่องคลอดไม่กระชับอาจรู้สึกไม่สบายตัว สูญเสียความมั่นใจ และอาจมีผลต่อความสัมพันธ์ทางเพศและสุขภาพโดยรวมได้

       

      ช่องคลอดไม่กระชับ มีระดับความรุนแรงอย่างไร?

      ภาวะช่องคลอดไม่กระชับ นั้นมีความรุนแรงหลายระดับ ซึ่งแต่ละระดับก็จะส่งผลต่อสุขภาพที่แตกต่างกัน โดยสามารถแบ่งได้เป็น 3 ระดับ ได้แก่

      1. ช่องคลอดไม่กระชับระดับเล็กน้อย (Mild Vaginal Laxity) ถือเป็นระดับเริ่มต้น โดยจะเริ่มสังเกตได้ว่าช่องคลอดมีความเปลี่ยนแปลง ช่องคลอดไม่กระชับเหมือนเดิม ซึ่งระดับนี้จะไม่มีผลกระทบต่อสุขภาพมากนัก
      2. ช่องคลอดไม่กระชับระดับปานกลาง (Moderate Vaginal Laxity) โดยช่องคลอดจะเริ่มมีการขยายตัวมากขึ้น อาจทำให้มีอาการปัสสาวะเล็ด หรือรู้สึกช่องคลอดไม่กระชับขณะมีเพศสัมพันธ์ ทำให้ส่งผลต่อความสัมพันธ์ทางเพศได้
      3. ช่องคลอดไม่กระชับระดับรุนแรง (Severe Vaginal Laxity) ช่องคลอดจะมีการขยายตัวมากจนส่งผลต่อคุณภาพชีวิต โดยอาจจะมีปัญหาปัสสาวะเล็ดรุนแรงร่วมด้วย เนื่องจากอวัยวะภายในเช่น กระเพาะปัสสาวะ หรือมดลูกอาจหย่อนตัวลงมา หากอยู่ในระดับรุนแรงจำเป็นต้องได้รับการรักษาทางการแพทย์ เช่น การทำรีแพร์ หรือใช้เทคโนโลยีแก้ปัญหาช่องคลอดไม่กระชับ Emsella เพื่อช่วยกระชับช่องคลอด

       

      ช่องคลอดไม่กระชับ เกิดจากสาเหตุใดได้บ้าง?
      ช่องคลอดไม่กระชับ เกิดจากสาเหตุใดได้บ้าง?

       

      ช่องคลอดไม่กระชับ เกิดจากสาเหตุใดได้บ้าง?

      • ช่องคลอดไม่กระชับจากการคลอดบุตร

      การคลอดบุตรทางช่องคลอด ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยหลัก ๆ ที่ทำให้เกิดภาวะช่องคลอดไม่กระชับ กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานและผนังช่องคลอดขาดความยืดหยุ่น เนื่องจากระหว่างการคลอดกล้ามเนื้อในบริเวณนี้จะต้องขยายตัวมากขึ้น จึงส่งผลให้โครงสร้างของกล้ามเนื้อ และเนื้อเยื่ออ่อนเกิดการยืดขยาย หากร่างกายฟื้นฟูได้ไม่เต็มที่ ก็อาจจะทำให้ช่องคลอดไม่กระชับได้

      • ช่องคลอดไม่กระชับจากอายุที่เพิ่มขึ้นและการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน

      สำหรับผู้ที่เริ่มก้าวเข้าสู่วัยทองนั้น อายุที่เพิ่มขึ้นอาจจะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกาย โดยระดับฮอร์โมนจะมีการลดลงเรื่อย ๆ จึงส่งผลให้เนื้อเยื่อในช่องคลอดนั้นมีความบางลง ขาดความยืดหยุ่น และยังเกิดความแห้งกร้าน ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะส่งผลให้ช่องคลอดไม่กระชับ นอกจากนี้การลดลงของฮอร์โมนเอสโตรเจนยังทำให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแอลง เพิ่มความเสี่ยงในการหย่อนคล้อยของอวัยวะภายใน และอาจส่งผลให้เกิดอาการปัสสาวะเล็ดได้

      • ช่องคลอดไม่กระชับจากน้ำหนักตัวเกินและโรคอ้วน

      น้ำหนักตัวที่เพิ่มมากขึ้น หรือผู้ที่มีน้ำหนักตัวเกินเกณฑ์ และมีโรคอ้วนนั้น อาจจะเกิดภาวะช่องคลอดหย่อนคล้อยได้ง่าย เนื่องจากน้ำหนักตัวที่มากนั้นอาจจะไปกดทับที่บริเวณอุ้งเชิงกรานได้ โดยจะส่งผลให้กล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อบริเวณดังกล่าวมีความอ่อนแอลง และยังเสี่ยงต่อการขยายตัวของช่องคลอด ช่องคลอดไม่กระชับ และทำให้เกิดปัสสาวะเล็ด เนื่องจากกระเพาะปัสสาวะเกิดการหย่อนคล้อย

      • ช่องคลอดไม่กระชับจากพันธุกรรม

      ปัจจัยทางพันธุกรรม ก็ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดภาวะช่องคลอดไม่กระชับ เช่น ผู้ที่มีโครงสร้างของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน และผู้ที่มีกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานที่อ่อนแอแต่กำเนิด นั้นมีแนวโน้มที่จะเกิดภาวะช่องคลอดไม่กระชับได้เร็วกว่าคนทั่วไป แม้จะไม่เคยคลอดลูกมาก่อน

      • ช่องคลอดไม่กระชับจากการออกกำลังกายหนักเกินไป

      ช่องคลอดไม่กระชับเกิดจากการออกกำลังกายที่มากเกินไป หรือการออกกำลังกายแบบผิดวิธี อาจส่งผลให้เกิดภาวะช่องคลอดไม่กระชับได้ เช่น การยกน้ำหนักมากเกินไป การเล่น CrossFit การยกเวทหนัก หรือการออกกำลังกายที่ต้องใช้แรงดันช่องท้องสูง มีโอกาสที่จะทำให้เกิดแรงกดที่กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานมากกว่าการออกกำลังกายประเภทอื่น หากไม่มีการบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานที่เหมาะสม อาจส่งผลให้กล้ามเนื้อในบริเวณนี้อ่อนแอลง และเกิดช่องคลอดไม่กระชับได้

      • ช่องคลอดไม่กระชับจากพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน

      พฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุหลักของการเกิดภาวะช่องคลอดไม่กระชับได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็น การอยู่ในท่าเดิมนาน ๆ อาจทำให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานไม่ได้รับการกระตุ้นเต็มที่ การเบ่งปัสสาวะหรืออุจจาระเป็นประจำ อาจไปเพิ่มแรงดันที่ส่งผลต่อกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน และ การสูบบุหรี่ ซึ่งบุหรี่นั้นมีผลต่อการไหลเวียนของเลือด และยังลดความยืดหยุ่นของเนื้อเยื่ออุ้งเชิงกรานได้

       

      ช่องคลอดไม่กระชับ มีผลกระทบอะไรบ้าง ?

      • ช่องคลอดไม่กระชับ ทำให้มีปัญหาด้านความมั่นใจและสุขภาพจิต

      ภาวะช่องคลอดไม่กระชับ อาจส่งผลต่อความมั่นใจและสุขภาพจิตได้ เนื่องจากหลายคนรู้สึกกังวลเกี่ยวกับร่างกายของจัวเอง และนำไปสู่ความเครียดและวิตกกังวลในชีวิตประจำวันได้ นอกจากนี้ หากเกิดความไม่มั่นใจอาจทำให้หลีกเลี่ยงความสัมพันธ์ทางเพศ ทำให้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตและคุณภาพชีวิตคู่ได้

      • ช่องคลอดไม่กระชับ ทำให้มีปัญหาปัสสาวะเล็ด

      ปัสสาวะเล็ด เป็นอีกหนึ่งอาการที่เกิดขึ้นได้หากช่องคลอดไม่กระชับ โดยการเกิดปัสสาวะเล็ดมักเกิดจากกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานที่อ่อนแอ ทำให้เมื่อไอ จาม หรือหัวเราะนั้น จะทำให้เกิดปัสสาวะเล็ดออกมา และส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันได้ เช่น เรื่องกลิ่น หรือการใส่แผ่นซับปัสสาวะเสมอ ทำให้เกิดความไม่สะดวกได้

      • ช่องคลอดไม่กระชับ ทำให้มีความสัมพันธ์และปัญหาชีวิตคู่มีปัญหา

      ช่องคลอดไม่กระชับ เมื่อช่องคลอดสูญเสียความกระชับ อาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์และปัญหาชีวิตคู่ได้ อาจจะส่งผลให้ความพึงพอใจลดลง หรือเกิดความไม่สบายใจในการมีเพศสัมพันธ์ได้ ทำให้ความถี่ในการร่วมรักลดลงและส่งผลต่อปัญหาชีวิตคู่ได้

       

      ช่องคลอดไม่กระชับแก้ด้วย Emsella คืออะไร?
      ช่องคลอดไม่กระชับแก้ด้วย Emsella คืออะไร?

       

      ช่องคลอดไม่กระชับแก้ด้วย Emsella คืออะไร?

      Emsella คือ เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยฟื้นฟูและเสริมสร้างความแข็งแรงให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน โดยการใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความเข้มข้นสูง (High-Intensity Focused Electromagnetic หรือ HIFEM) ช่วยกระชับอุ้งเชิงกราน ลดอาการปัสสาวะเล็ด แก้ปัญหาช่องคลอดไม่กระชับ และช่วยเสริมสมรรถภาพทางเพศได้โดยไม่ต้องผ่าตัด

      Emsella มีลักษณะเป็นเก้าอี้พิเศษที่สามารถปล่อยพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าเข้าสู่กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานได้ เพียงแค่นั่งบนเก้าอี้โดยไม่ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้า หรือใช้เครื่องมือสอดเข้าไปในร่างกาย โดยใช้ระยะเวลาในการรักษาไม่นาน ไม่ต้องผ่าตัด ไม่เจ็บ และยังไม่ต้องพักฟื้น การกระชับช่องคลอดด้วย Emsella จึงเป็นทางเลือกที่สะดวกสบาย รวดเร็ว ไม่เสี่ยงอันตราย และได้รับการยอมรับในระดับสากล

       

      ช่องคลอดไม่กระชับแก้ด้วย Emsella ทำงานอย่างไร?

      Emsella ใช้เทคโนโลยี High-Intensity Focused Electromagnetic (HIFEM) หรือ พลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความเข้มข้นสูง เข้าไปกระตุ้นบริเวณกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานให้เกิดการหดตัวอย่างสม่ำเสมอคล้ายการขมิบ ซึ่ง Emsella จะช่วยฟื้นฟูความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ช่วยแก้ปัญหาช่องคลอดไม่กระชับ ลดปัญหาปัสสาวะเล็ด สมรรถภาพทางเพศได้โดยไม่ต้องผ่าตัด

       

      หลักการทำงานของ Emsella แก้ช่องคลอดไม่กระชับ

      • ส่งพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าความเข้มข้นสูงลึกถึง 10 ซม.

      ช่องคลอดไม่กระชับรักษาด้วย Emsella มีการใช้พลังงานแบบ HIFEM สามารถลงไปถึงชั้นกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานได้ลึกถึง 10 เซนติเมตร ที่จะช่วยกระตุ้นการทำงานของเส้นใยกล้ามเนื้อที่อยู่ลึกลงไป ซึ่งเป็นระดับที่ลึกกว่าการออกกำลังกายทั่วไป ช่วยแก้ปัญหาช่องคลอดไม่กระชับ

      • กระตุ้นกล้ามเนื้อให้เกิดการหดตัวมากถึง 11,200 ครั้งใน 28 นาที

      Emsella ช่วยกระตุ้นการหดตัวของกล้ามเนื้อแบบ Supramaximal Contractions ซึ่งเป็นการหดตัว เทียบเท่ากับการขมิบอย่างต่อเนื่อง เพียงทำการรักษาประมาณ 30 นาทีต่อครั้ง แก้ปัญหาช่องคลอดไม่กระชับ

      • ช่วยกระชับช่องคลอด และลดอาการปัสสาวะเล็ด

      ช่องคลอดไม่กระชับรักษาด้วย Emsella ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานที่แข็งแรงขึ้น โดยจะช่วยทำให้ช่องคลอดกระชับ และช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของเนื้อเยื่อ ช่วยลดปัญหาปัสสาวะเล็ด ลดความปวดเมื่อย ฟื้นฟูหลังคลอด และเพิ่มสมรรถภาพทางเพศได้

      • เป็นวิธีที่ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น

      ช่องคลอดไม่กระชับรักษาด้วย Emsella เป็นเก้าอี้ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ เพื่อให้สามารถปล่อยพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าเข้าสู่กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานได้ แก้ปัญหาช่องคลอดไม่กระชับ เพียงแค่ทำการนั่งบนเก้าอี้ประมาณ 28 นาที โดยไม่ต้องถอดเสื้อผ้า หรือใช้เครื่องมือสอดเข้าไปในร่างกาย ทำให้สะดวกสบาย และมีความรวดเร็ว เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการกระชับช่องคลอด แก้ปัญหาปัสสาวะเล็ด ที่ไม่ต้องการผ่าตัด ไม่อยากมีแผล และไม่มีเวลาพักฟื้น

       

      ช่องคลอดไม่กระชับแก้ด้วย Emsella เหมาะกับใคร?

      Emsella เป็นเทคโนโลยีช่วยกระชับกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน และฟื้นฟูความแข็งแรงของช่องคลอด แก้ปัญหาช่องคลอดไม่กระชับ ลดปัญหาปัสสาวะเล็ด และช่วยดูแลเรื่องสมรรถภาพทางเพศ จึงสามารถใช้ได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย และผู้ที่มีปัญหา ดังนี้

      1. Emsella เหมาะกับผู้ที่มีภาวะช่องคลอดหย่อนคล้อยจากการคลอดบุตร เนื่องจากการคลอดบุตรทางช่องคลอด ทำให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานและเนื้อเยื่อช่องคลอดขยายตัว ส่งผลให้เกิดภาวะช่องคลอดหย่อนคล้อย
      2. Emsella เหมาะกับผู้ที่มีภาวะช่องคลอดหย่อนคล้อยจากอายุที่เพิ่มขึ้น เพราะอายุที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้คอลลาเจนและอีลาสตินในผนังช่องคลอดลดลง ทำให้ช่องคลอดสูญเสียความยืดหยุ่น และเกิดความหย่อนคล้อย ไม่กระชับได้
      3. Emsella เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาปัสสาวะเล็ดเมื่อไอ จาม หรือออกกำลังกาย Emsella สามารถกระตุ้นกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานให้แข็งแรงขึ้น และช่วยให้ควบคุมปัสสาวะได้ดีขึ้น
      4. Emsella เหมาะกับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานแต่ไม่ต้องการผ่าตัด สามารถนั่งบนเก้าอี้ Emsella ได้เลยโดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ไม่มีการสอดเครื่องมือ ไม่มีแผลหลังทำ
      5. Emsella เหมาะกับผู้ที่มีระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลง จึงให้ช่องคลอดไม่กระชับพบได้บ่อยในวัยทอง
      6. Emsella เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับสมรรถภาพทางเพศ Emsella ช่วยเพิ่มความรู้สึกทางเพศได้ ช่วยรักษาความสัมพันธ์ชีวิตคู่ได้

      ทั้งนี้ ผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ แจ้งโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา หรือประวัติการรักษา ก่อนเข้ารับการบริการ

      ช่องคลอดไม่กระชับแก้ด้วย Emsella มีข้อดีอะไรบ้าง ?

      • Emsella ลดปัญหาช่องคลอดไม่กระชับ ไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีแผล และไม่ต้องพักฟื้น

      Emsella เป็นเทคโนโลยีที่ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องใช้ยาชา และไม่มีแผลหลังทำ ทำให้หลังทำการรักษาช่องคลอดไม่กระชับสามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ ไม่ต้องพักฟื้นนานเหมือนการทำรีแพร์ หรือการผ่าตัดกระชับช่องคลอด จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ไม่มีเวลาพักฟื้น ต้องการความสะดวก

      • Emsella ลดปัญหาช่องคลอดไม่กระชับ ใช้เวลาทำเพียง 28 นาทีต่อครั้ง ไม่ต้องพักฟื้น

      ในการทำการรักษาช่องคลอดไม่กระชับด้วย Emsella แต่ละครั้งจะใช้เวลาประมาณ 28 นาที ซึ่งเทียบเท่ากับการขมิบอย่างต่อเนื่องมากกว่า 11,200 ครั้ง โดยไม่มีผลข้างเคียงที่รุนแรง และสามารถกลับไปทำงาน หรือใช้ชีวิตประจำวันได้ทันที ไม่ต้องพักฟื้น

      • Emsella สามารถนั่งทำการรักษาช่องคลอดไม่กระชับได้

      Emsella เป็นการรักษาช่องคลอดไม่กระชับที่แตกต่างจากการทำหัตถการกระชับช่องคลอดอื่น ๆ เนื่องจากไม่ต้องใช้เครื่องมือสอดเข้าไปในร่างกาย ผู้เข้ารับการรักษาเพียงแค่นั่งบนเก้าอี้ Emsella โดยไม่ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ทำให้ลดความไม่สบายใจ และสามารถรักษาได้ภายในเวลาไม่นาน

      • Emsella ลดปัญหาช่องคลอดไม่กระชับ ให้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นได้

      Emsella สามารถเห็นผลลัพธ์การรักษาได้ตั้งแต่ครั้งแรก แต่เพื่อผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ และยาวนาน แนะนำให้ทำอย่างต่อเนื่องประมาณ 6 ครั้ง เพื่อให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานแข็งแรงขึ้น โดย Emsella ลดปัญหาช่องคลอดไม่กระชับ สามารถกลับมาทำซ้ำได้ตามความต้องการ ไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่อันตราย

      • Emsella ลดปัญหาช่องคลอดไม่กระชับ ไม่เสี่ยงอันตรายและได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา

      Emsella ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา ไม่เสี่ยงอันตรายและมีประสิทธิภาพในการรักษา ใช้พลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าที่ไม่ทำลายเนื้อเยื่อ และสามารถใช้ได้กับทุกเพศ ทุกวัย ทำให้ได้รับความนิยมทั่วโลก

       

      ช่องคลอดไม่กระชับแก้ด้วย Emsella ให้ผลลัพธ์อย่างไร ?
      ช่องคลอดไม่กระชับแก้ด้วย Emsella ให้ผลลัพธ์อย่างไร ?

       

      ช่องคลอดไม่กระชับแก้ด้วย Emsella ให้ผลลัพธ์อย่างไร ?

      1. ช่องคลอดกระชับขึ้นอย่างเห็นได้ชัดหลังจากทำครบคอร์ส

      การรักษาช่องคลอดไม่กระชับด้วย Emsella สามารถช่วยกระตุ้นกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน ทำให้ช่องคลอดกระชับขึ้นและฟื้นฟูความยืดหยุ่นของเนื้อเยื่อ ทั้งยังช่วยลดภาวะช่องคลอดหย่อนคล้อย ที่เกิดจากการคลอดบุตร การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน หรืออายุที่เพิ่มขึ้น ให้ช่องคลอดกระชับ และมีความยืดหยุ่นมากขึ้น

      1. อาการปัสสาวะเล็ดดีขึ้น และสามารถควบคุมปัสสาวะได้ดีขึ้น

      ช่องคลอดไม่กระชับแก้ด้วย Emsella ช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานให้แข็งแรงขึ้น ทำให้สามารถควบคุมกระเพาะปัสสาวะได้ดีขึ้น ลดปัญหาปัสสาวะเล็ดเมื่อ ไอ จาม หรือออกกำลังกาย และช่วยลดอาการปัสสาวะบ่อย ช่วยเพิ่มความมั่นใจในการใช้ชีวิตประจำวันได้มากขึ้น

      1. Emsella ลดปัญหาช่องคลอดไม่กระชับ ช่วยเพิ่มความมั่นใจและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

      ผู้ที่มีปัญหาช่องคลอดไม่กระชับ หรือมีปัญหาปัสสาวะเล็ด มักมีความกังวลเกี่ยวกับชีวิตประจำวันและความสัมพันธ์ชีวิตคู่ การรักษาช่องคลอดไม่กระชับด้วย Emsella นอกจากจะช่วยฟื้นฟูสุขภาพให้แข็งแรงแล้ว ยังช่วยเพิ่มความมั่นใจในการใช้ชีวิตประจำวัน และยังช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในชีวิตคู่ ทำให้คุณภาพชีวิตดียิ่งขึ้น

      1. Emsella ลดปัญหาช่องคลอดไม่กระชับ สามารถอยู่ได้นานหลายเดือน

      การรักษาช่องคลอดไม่กระชับด้วย Emsella นั้น แพทย์จะทำการประเมินปัญหาและวางแผนจำนวนครั้งในการรักษา โดยผลลัพธ์หลังการรักษาช่องคลอดไม่กระชับจะสามารถอยู่ได้นานถึง 6-12 เดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองของแต่ละบุคคล หากต้องการผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพและยาวนาน ควรดูแลตัวเองควบคู่กับการรักษาไปด้วย

       

      ช่องคลอดไม่กระชับ มีวิธีป้องกันอย่างไร?

      วิธีป้องกันไม่ใช้เกิดภาวะช่องคลอดไม่กระชับ สามารถทำได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็น การปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน การสร้างความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อบริเวณอุ้งเชิงกราน การเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย การหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง และการออกกำลังกาย เช่น

      • ช่องคลอดไม่กระชับ ป้องกันได้ด้วยการหลีกเลี่ยงการยกของหนัก เพราะอาจเพิ่มแรงกดดันต่ออุ้งเชิงกราน
      • ช่องคลอดไม่กระชับ ป้องกันได้ด้วยการควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม
      • ช่องคลอดไม่กระชับ ป้องกันได้ด้วยการเลือกสวมใส่ชุดชั้นในที่พอดี และรองรับร่างกายได้ดี เพื่อช่วยลดแรงกดบริเวณอุ้งเชิงกราน
      • ช่องคลอดไม่กระชับ ป้องกันได้ด้วยการดูแลสุขอนามัยบริเวณจุดซ่อนเร้น หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีรุนแรง
      • ช่องคลอดไม่กระชับ ป้องกันได้ด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย จำพวกโปรตีน คอลลาเจน ผักผลไม้ และสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น ถั่วเหลือง อกไก่ ปลา บลูเบอร์รี ทับทิม และผักใบเขียว
      • ช่องคลอดไม่กระชับ ป้องกันได้ด้วยการดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย เพื่อรักษาความชุ่มชื้นและความยืดหยุ่นของเนื้อเยื่อช่องคลอด
      • ช่องคลอดไม่กระชับ ป้องกันได้ด้วยหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์
      • ช่องคลอดไม่กระชับ ป้องกันได้ด้วยหลีกเลี่ยงการนั่งหรือนอนท่าเดิมเป็นเวลานาน เช่น การนั่งไขว่ห้าง
      • ช่องคลอดไม่กระชับ ป้องกันได้ด้วยหลีกเลี่ยงการเบ่งแรงขณะปัสสาวะหรืออุจจาระ เพราะอาจทำให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแอลง
      • ช่องคลอดไม่กระชับ ป้องกันได้ด้วยหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่ใช้แรงดันช่องท้องมากเกินไป เช่น การยกน้ำหนัก
      • ช่องคลอดไม่กระชับ ป้องกันได้ด้วยการบริหารอุ้งเชิงกราน ฝึกการเกร็ง และคลายกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอย่างสม่ำเสมอ
      • ช่องคลอดไม่กระชับ ป้องกันได้ด้วยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้อุ้งเชิงกรานได้ เช่น โยคะและพิลาทิส ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน หรือการเดินเร็ว

       

      ช่องคลอดไม่กระชับรักษาด้วยเทคโนโลยีอะไรบ้าง ?

      Emsella กระชับช่องคลอด

      ช่องคลอดไม่กระชับรักษาด้วย Emsella เป็นเทคโนโลยีที่ใช้พลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแรงสูง (High-Intensity Focused Electromagnetic – HIFEM) ทำการกระตุ้นกล้ามเนื้อบริเวณอุ้งเชิงกราน ทำให้กล้ามเนื้อหดตัวมากถึง 11,200 ครั้งใน 28 นาที ซึ่งเทียบเท่ากับการขมิบอย่างต่อเนื่อง โดยวิธีนี้จะช่วยฟื้นฟูความแข็งแรงของกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน ช่วยกระชับช่องคลอดที่หย่อนคล้อย และลดปัญหาปัสสาวะเล็ดได้โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่เจ็บ และไม่ต้องพักฟื้น

      ข้อดีของการทำกระชับช่องคลอดด้วย Emsella

      • แก้ปัญหาช่องคลอดไม่กระชับ โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีแผล ไม่ต้องพักฟื้น
      • ไม่มีการสอดใส่อุปกรณ์ ทำให้สะดวกต่อการรักษา
      • ไม่ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้า สามารถนั่งทำได้เลย
      • ใช้เวลาน้อย แต่ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ

       

      คลื่นพลังงาน RF (Radiofrequency)

      ช่องคลอดไม่กระชับรักษาด้วย คลื่นพลังงาน RF (Radiofrequency) เป็นเทคโนโลยีที่ใช้พลังงานคลื่นความถี่วิทยุ เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในช่องคลอด โดยทำให้เนื้อเยื่อบริเวณช่องคลอดกระชับขึ้น เพิ่มความชุ่มชื้น ลดอาการช่องคลอดแห้ง แก้ปัญหาปัสสาวะเล็ด และอาการปวดบริเวณอุ้งเชิงกรานได้

      ข้อดีของการทำกระชับช่องคลอดด้วย RF

      • แก้ปัญหาช่องคลอดไม่กระชับ โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีแผล ไม่ต้องพักฟื้น
      • ช่วยให้ช่องคลอดมีความยืดหยุ่นและกระชับขึ้น
      • ลดปัญหาผิวช่องคลอดแห้ง ช่องคลอดไม่กระชับ ช่วยให้ผิวมีความชุ่มชื้น

       

      การศัลยกรรมรีแพร์ช่องคลอด (Vaginal Tightening Surgery)

      ช่องคลอดไม่กระชับรักษาด้วย การศัลยกรรมรีแพร์ช่องคลอด (Vaginal Tightening Surgery) เป็นการศัลยกรรมที่ช่วยกระชับช่องคลอดโดยตรง โดยแพทย์จะทำการตัดแต่งและเย็บกล้ามเนื้อช่องคลอดให้กระชับขึ้น ซึ่งวิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะช่องคลอดหย่อนคล้อยระดับรุนแรง หรือผู้ที่มีอาการปัสสาวะเล็ดร่วมด้วย หลังทำสามารถเห็นผลลัพธ์ได้อย่างชัดเจน จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการแก้ปัญหาภาวะช่องคลอดไม่กระชับอย่างถาวร

      ข้อดีของการทำกระชับช่องคลอดด้วยการศัลยกรรมรีแพร์

      • แก้ปัญหาช่องคลอดได้อย่างถาวร และเห็นผลได้ชัดเจน
      • เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการแก้ไขปัญหาช่องคลอดไม่กระชับอย่างถาวร

      ข้อเสียของการทำกระชับช่องคลอดด้วยการศัลยกรรมรีแพร์

      • เป็นการผ่าตัดแก้ปัญหาช่องคลอดไม่กระชับ ทำให้มีระยะเวลาพักฟื้นประมาณ 4-6 สัปดาห์
      • มีวิธีการดูแลตัวเองหลังทำที่เคร่งครัด เช่น งดการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างพักฟื้น
      • อาจมีความเสี่ยงจากการผ่าตัด เช่น การติดเชื้อ หรือแผลเป็น

       

      เลเซอร์กระชับช่องคลอด

      ช่องคลอดไม่กระชับรักษาด้วย การเลเซอร์กระชับช่องคลอด เป็นอีกเทคโนโลยีการรักษาปัญหาช่องคลอดไม่กระชับ ช่องคลอดแห้ง โดยการใช้เลเซอร์กระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนและช่วยฟื้นฟูเนื้อเยื่อภายในช่องคลอด ช่วยยกระชับผนังช่องคลอด ลดอาการช่องคลอดไม่กระชับ และเพิ่มความชุ่มชื้นภายในช่องคลอด โดยจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนหลังการทำประมาณ 1-2 เดือน และอาจจะต้องทำหลายครั้งขึ้นอยู่กับปัญหา

      ข้อดีของการทำกระชับช่องคลอดด้วยเลเซอร์

      • แก้ปัญหาช่องคลอดไม่กระชับ โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีแผล ไม่ต้องพักฟื้น
      • ใช้ระยะเวลาในการทำประมาณ 15-30 นาที
      • ไม่ต้องพักฟื้นนาน ฟื้นตัวเร็ว

       

      ทั้งนี้ ผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ แจ้งโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา หรือประวัติการรักษา ก่อนเข้ารับการบริการ

       

      คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับปัญหาช่องคลอดไม่กระชับ
      คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับปัญหาช่องคลอดไม่กระชับ

       

      คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับปัญหาช่องคลอดไม่กระชับ

      ช่องคลอดไม่กระชับ สามารถกลับมาเหมือนเดิมได้หรือไม่?

      ช่องคลอดไม่กระชับ เนื่องจากสูญเสียความยืดหยุ่น และความกระชับไปแล้วนั้น จะไม่สามารถกลับมากระชับได้เหมือนเดิม แต่สามารถฟื้นฟูให้กลับมาได้ในระดับหนึ่ง ทั้งนี้จะขึ้นอยู่กับวิธีการดูแลรักษา รวมถึงสาเหตุของการเกิดช่องคลอดไม่กระชับ เช่น Emsella ลดปัญหาช่องคลอดไม่กระชับ หรือเลเซอร์กระชับช่องคลอด หรือหากเกิดภาวะช่องคลอดไม่กระชับระดับรุนแรง อาจต้องใช้การศัลยกรรมรีแพร์เพื่อเป็นการแก้ไข

       

      ทำไมบางคนคลอดลูกแล้วช่องคลอดยังคงกระชับ?

      โดยทั่วไปแล้วการคลอดลูกอาจจะทำให้ช่องคลอดไม่กระชับได้ แต่ในบางคนที่คลอดลูกแล้วยังมีช่องคลอดที่กระชับ อาจเกิดได้จากหลายปัจจัย เช่น กรรมพันธุ์และโครงสร้างร่างกายของแต่ละบุคคล การดูแลตัวเองก่อนและหลังคลอด การออกกำลังกายบริหารอุ้งเชิงกรานอย่างต่อเนื่อง จะช่วยให้กล้ามเนื้อฟื้นตัวได้เร็วขึ้น และจำนวนครั้งและลักษณะของการคลอด โดยส่วนมากแล้วการคลอดในครั้งแรกหากทารกมีน้ำหนักตัวไม่มาก อาจจะไม่ทำช่องคลอดเกิดการหย่อนคล้อยมาก

       

      ช่องคลอดไม่กระชับ เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์บ่อยจริงหรือไม่?

      ถือเป็นคำถามที่หลายคนสงสัย และเข้าใจผิดกันได้ง่าย ซึ่งต้องบอกว่าการมีเพศสัมพันธ์บ่อยไม่ทำให้ช่องคลอดไม่กระชับได้ เนื่องจากช่องคลอดเป็นอวัยวะที่มีความยืดหยุ่นสูง สามารถขยายตัวและกลับคืนสู่สภาพเดิมได้เอง

      อย่างไรก็ตาม หากกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแอลงจากสาเหตุอื่น เช่น อายุที่เพิ่มขึ้น การคลอดบุตร หรือการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน อาจทำให้รู้สึกว่าช่องคลอดไม่กระชับ ซึ่งสามารถแก้ไขได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็น การออกกำลังบริหารอุ้งเชิงกราน หรือการใช้เทคโนโลยีอย่าง Emsella กระชับช่องคลอดได้

       

      ต้องดูแลตัวเองอย่างไรหลังทำ Emsella กระชับช่องคลอด?

      หลังจากเข้ารับการรักษาช่องคลอดไม่กระชับด้วย Emsella กระชับช่องคลอด ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่พึงพอใจ ได้แก่

      • หลังทำการรักษาช่องคลอดไม่กระชับด้วย Emsella สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ ไม่ต้องพักฟื้น
      • หลังทำการรักษาช่องคลอดไม่กระชับด้วย Emsella ควรดื่มน้ำมาก ๆ และรับประทานอาหารที่ช่วยฟื้นฟูเนื้อเยื่อ เช่น อาหารที่มีโปรตีนและคอลลาเจนสูง
      • หลังทำการรักษาช่องคลอดไม่กระชับด้วย Emsella ควรงดออกกำลังกายหนัก ๆ เช่น การยกเวทหรือการวิ่ง
      • หลังทำการรักษาช่องคลอดไม่กระชับด้วย Emsella ควรดูแลความสะอาดบริเวณจุดซ่อนเร้น และหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีรุนแรง เพื่อป้องกันการระคายเคืองผิว
      • หลังทำการรักษาช่องคลอดไม่กระชับด้วย Emsella ควรติดตามผล สังเกตอาการหลังทำ หากมีอาการผิดปกติ เช่น ปวดมาก มีเลือดออก หรือเกิดการติดเชื้อ ควรรีบเข้าพบแพทย์

       

      ช่องคลอดแห้ง กับช่องคลอดไม่กระชับ เกี่ยวข้องกันหรือไม่?

      ช่องคลอดแห้ง และช่องคลอดไม่กระชับ ในบางครั้งอาจเกิดจากสาเหตุเดียวกัน เนื่องจากช่องคลอดแห้งมักเกิดจากระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลง ส่งผลให้เนื้อเยื่อช่องคลอดขาดความชุ่มชื้นและขาดความยืดหยุ่น ในระยะยาวอาจส่งผลทำให้ช่องคลอดมีความอ่อนแอและสูญเสียความกระชับได้ ทั้งนี้สามารถใช้เทคโนโลยีรักษาช่องคลอดไม่กระชับด้วย Emsella ช่วยรักษาได้

       

      ภาวะปัสสาวะเล็ดที่เกิดจากอุ้งเชิงกรานอ่อนแอ รักษาได้หรือไม่?

      ช่องคลอดไม่กระชับอาจทำให้เกิดภาวะปัสสาวะเล็ดได้ เนื่องจากอุ้งเชิงกรานอ่อนแอ สามารถรักษาและฟื้นฟูกล้ามเนื้อได้ หากอยู่ในระดับที่ยังไม่รุนแรง สามารถออกกำลังกายบริหารอุ้งเชิงกรานได้ แต่หากมีอาการที่รุนแรง เช่น ปัสสาวะเล็ดขณะหัวเราะ ไอ จาม อาจจะต้องพิจารณาการรักษาช่องคลอดไม่กระชับด้วยเทคโนโลยีการแพทย์แทน

      ปัญหาช่องคลอดไม่กระชับ สามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็น พันธุกรรม อายุ ฮอร์โมน การคลอดบุตร รวมถึงภาวะวัยทอง ทั้งนี้ปัญหานี้อาจเกิดได้จากทั้งผู้ที่เคยคลอดบุตร หรือผู้ที่มีกล้ามเนื้อเชิงกรานอ่อนแอได้ ปัจจุบันก็มีเทคโนโลยีที่ทันสมัย ไม่เสี่ยงอันตราย และสะดวก ในการรักษาช่องคลอดไม่กระชับ อย่าง Emsella เก้าอี้กระชับช่องคลอด ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อ ที่ใช้เวลาในการรักษาเพียง 28 นาที สำหรับผู้ที่สนใจสามารถเข้ามารับคำปรึกษาได้ที่ รมย์รวินท์คลินิก ทุกสาขา

       

      *ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับการบริการ

      *เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

      ฉีดโบ Bienox (เบียนอกซ์) คืออะไร? โบท็อกซ์สุญญากาศ

      ฉีดโบ Bienox โบสุญญากาศ

      ฉีดโบ  Bienox (เบียนอกซ์) คืออะไร? โบท็อกซ์สุญญากาศ ใหม่ที่ให้ผลลัพธ์เร็วขึ้น

       

      การดูแลตัวเองให้ดูอ่อนเยาว์ สดใส และมีใบหน้าที่สมส่วนไม่จำเป็นต้องพึ่งการผ่าตัดเสมอไป ฉีดโบ ในปัจจุบัน จึงกลายเป็นหนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมอย่างสูง จนเรียกได้ว่า เดินไปที่ไหนจะต้องเจอคนที่เคยฉีดโบ มาแล้วเนื่องจาก ฉีดโบ มีความบริสุทธิ์มากขึ้นเรื่อยๆ จึงทำให้ไม่เกิดผลข้างเคียงในการฉีด

      ในตอนนี้ฉีดโบ รุ่นใหม่ที่ถูกพัฒนาให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นั่นคือ “ฉีดโบ  Bienox (เบียนอกซ์)” เป็นโปรแกรมฉีดโบที่ใช้เทคโนโลยีในการผลิตอันล้ำสมัยอย่าง Vacuum-drying process หรือกระบวนการทำให้แห้งด้วยระบบสุญญากาศ จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อว่าเป็นฉีดโบ สุญญากาศ  นับเป็นการผลิตฉีดโบ ที่ช่วยยกระดับมาตรฐานของฉีดโบ ให้ดียิ่งขึ้น ผลิตโดยบริษัท BNC Korea, Inc.

      ไม่อันตรายและได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

       ฉีดโบ  Bienox ได้รับการพัฒนาทั้งในด้านความคงตัวของตัวยา ด้านความบริสุทธิ์ของยา รวมทั้งผลลัพธ์หลังการฉีดโบ  จะให้ความเปลี่ยนแปลงกับใบหน้า รวมทั้งบริเวณอื่นๆที่ฉีดได้อย่างชัดเจนและรวดเร็วทั้งการลดริ้วรอย ปรับรูปหน้า

       

      ฉีดโบ Bienox (เบียนอกซ์) โบสุญญากาศ คืออะไร?
      ฉีดโบ Bienox (เบียนอกซ์) โบสุญญากาศ คืออะไร?

       

      ฉีดโบ  Bienox (เบียนอกซ์) โบสุญญากาศ คืออะไร?

      ฉีดโบ  Bienox คือ เป็นฉีดโบ ที่ผลิตด้วย กระบวนการสุญญากาศ Vacuum drying process   เพื่อคงคุณภาพของตัวยาฉีดโบ  Bienox ให้มีประสิทธิภาพสูง อีกทั้ง ฉีดโบ  Bienox ยังช่วยลดโอกาสการเกิดอาการแพ้รวมทั้งผลข้างเคียงต่างๆหลังฉีดได้เป็นอย่างดี ไม่เพียงเท่านั้น ฉีดโบ  Bienox ยังสามารถให้ผลลัพธ์ได้อย่างชัดเจนหลังฉีด

       

      จุดเด่นของฉีดโบ  Bienox  โบสุญญากาศ

      • ฉีดโบ  Bienox ใช้ความร้อนในการผลิตน้อย ลดการทำลายโครงสร้างสำคัญของตัวยา
      • ฉีดโบ  Bienox ใช้ระยะเวลาในการผลิตสั้น จึงสามารถรักษาความเข้มข้นและประโยชน์ของตัวยาได้เป็นอย่างดี
      • ฉีดโบ  Bienox  มีผลข้างเคียงต่ำ อีกทั้งยังช่วยลดโอกาสเกิดอาการแพ้ตัวยา เนื่องจากตัวยามีความบริสุทธิ์สูง ทั้งยังให้ผลลัพธ์หลังฉีดอย่างรวดเร็ จึงทำให้หลังฉีดโบ  Bienox สามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงของใบหน้าอย่างเห็นได้ชัด
      • ฉีดโบ  Bienox  สามารถช่วยลดปัญหาผิวพรรณได้อย่างมีประสิทธิภาพ

       

      จุดเด่นของฉีดโบ Bienox โบสุญญากาศ
      จุดเด่นของฉีดโบ Bienox โบสุญญากาศ

       

      ทำไมต้องเลือกฉีดโบ  Bienox  โบสุญญากาศ

      • ฉีดโบ  Bienox เป็นฉีดโบ ที่มีความเสถียรในตัวเองสูง จึงทำให้ตัวยาคงคุณภาพดีแม้หลังการเปิดใช้
      • ฉีดโบ  Bienox ให้ผลลัพธ์ที่ดูไม่แข็งไม่หลอก  
      • ฉีดโบ  Bienox สามารถคงสภาพผลลัพธ์อยู่ได้นาน 4-6 เดือน ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายและไม่ต้องฉีดซ้ำบ่อย
      • ฉีดโบ  Bienox ทำให้เกิดโอกาสดื้อยาน้อย  *เนื่องจากตัวยามีความบริสุทธิ์สูง
      • ฉีดโบ  Bienox ให้ผลลัพธ์ที่รวดเร็วภายใน 1-2 วัน
      • ฉีดโบ  Bienox ตอบโจทย์สำหรับผู้เข้ารับบริการที่ต้องการความรวดเร็วและทันใจ
      • ฉีดโบ  Bienox ได้ผลลัพธ์ชัดเจนและแม่นยำ
      • ฉีดโบ  Bienox เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการดื้อฉีดโบ 

       

      ฉีดโบ Bienox โบสุญญากาศ และ ฉีดโบ ทั่วไป แตกต่างกันอย่างไร? เลือกแบบไหนให้ไม่อันตรายและเห็นผลจริง
      ฉีดโบ Bienox โบสุญญากาศ และ ฉีดโบ ทั่วไป แตกต่างกันอย่างไร? เลือกแบบไหนให้ไม่อันตรายและเห็นผลจริง

       

      เปรียบเทียบฉีดโบ  Bienox โบท็อกซ์สุญญากาศ กับฉีดโบ ทั่วไป ต่างกันอย่างไร?

      ฉีดโบ  Bienox โบสุญญากาศ (Vacuum Drying)

      ฉีดโบ  Bienox เป็นฉีดโบ ที่ผลิตด้วยเทคโนโลยี Vacuum Drying process อันเป็นกรรมวิธีการดูดความชื้นออกจากตัวยาฉีดโบ  Bienox ด้วยแรงดันสุญญากาศ
      จึงทำให้สามารถ  ช่วยคงความบริสุทธิ์และเสถียรภาพของตัวยา ทั้งยังช่วยลดความร้อนและแรงดันระหว่างการผลิต ทำให้โครงสร้างโมเลกุลของฉีดโบ  Bienox ไม่เกิดการเสียหาย  อีกทั้งยังเป็นการลดความเสี่ยงในการกระจายตัวยา จึงทำให้ฉีดโบ  Bienox ได้ผลลัพธ์ในการรักษาที่แม่นยำ  เห็นผลเร็ว และมีประสิทธิภาพสูงขึ้น

       

      ฉีดโบ ทั่วไป (Freeze Drying)

      ฉีดโบ โดยทั่วไปจะใช้วิธีการการแช่แข็งฉีดโบ  (Freeze Drying) เพื่อทำให้แห้งลง
      จึงส่งผลให้  อาจมีการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างตัวยาของฉีดโบ  ส่งผลให้ความคงตัวของยาน้อยกว่าฉีดโบ แบบสุญญากาศ และอาจทำให้การกระจายตัวของยามีความไม่สม่ำเสมอ ส่งผลให้อาจมีผลข้างเคียงหรือประสิทธิภาพของฉีดโบ ที่ลดลง

       

       

      ฉีดโบ  Bienox โบสุญญากาศ ช่วยแก้ปัญหาเรื่องอะไรบ้าง? 

      • ฉีดโบ  Bienox ลดริ้วรอย และรอยย่นบริเวณใบหน้า

      ฉีดโบ  Bienox สามารถใช้แก้ปัญหา ริ้วรอย และรอยเหี่ยวย่นได้ ไม่ว่าจะเป็นรอยย่นหน้าผาก รอยตีนกา หรือรอยย่นระหว่างคิ้ว โดยฉีดโบ  Bienox จะเข้าไปช่วยคลายกล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีด ทำให้ผิวดูเรียบตึง ทั้งยังอ่อนเยาว์ขึ้นได้

      •  ฉีดโบ  Bienox ลดขนาดกราม ให้หน้าเรียวเล็กลง

      ฉีดโบ  Bienox สามารถลดขนาดกล้ามเนื้อกราม ที่เป็นกรามที่ใหญ่จากการบดเคี้ยว โดยการทำการฉีดโบ  Bienox บริเวณนี้จะช่วยให้หน้าเรียวสวย โดยไม่ต้องผ่าตัด

      • ฉีดโบ  Bienox  ยกกระชับกรอบหน้า

      ฉีดโบ  Bienox สามารถฉีดเพื่อยกกระชับใบหน้าที่มีความหย่อนคล้อย และช่วยให้ผิวกระชับ ปรับกรอบหน้าให้ดูคมชัด หน้าเด็กลงได้

      • ฉีดโบ  Bienox ลดเหงื่อ ลดกลิ่นตัว

      ฉีดโบ  Bienox สามารถฉีดบริเวณรักแร้หรือฝ่ามือ เพื่อช่วยลดการทำงานของต่อมเหงื่อทำให้รูขุมขนเล็กลง ทั้งยังช่วยลดปริมาณเหงื่ออีกด้วย เหมาะสำหรับคนที่มีเหงื่อออกมากเกินไปหรือมีกลิ่นกาย

      • ฉีดโบ  Bienox ลดขนาดกล้ามเนื้อคอ ให้ลำคอดูเรียวระหง

      ฉีดโบ  Bienox สามารถทำให้กล้ามเนื้อที่เกร็งบริเวณลำคอได้ ทำให้ลำคอดูที่ไม่เรียว ให้ดูยาวเรียวสวยได้ ทั้งยังช่วยลดความหย่อนคล้อยบริเวณคอและกรอบหน้าได้ในคราวเดียว

       

      ฉีดโบ Bienox เหมาะกับใครบ้าง?
      ฉีดโบ Bienox เหมาะกับใครบ้าง?

       

      ฉีดโบ  Bienox  เหมาะกับใครบ้าง?

      • ฉีดโบ  Bienox  เหมาะกับผู้ที่มีริ้วรอยบนใบหน้า
      • ฉีดโบ  Bienox  เหมาะกับผู้ที่มีรอยขมวดคิ้ว
      • ฉีดโบ  Bienox  เหมาะกับผู้ที่มีรอยย่นบริเวณหน้าผาก 
      • ฉีดโบ  Bienox  เหมาะกับผู้ที่มีรอยตีนกา
      • ฉีดโบ  Bienox  เหมาะกับผู้ที่มีรอยย่นระหว่างคิ้ว 
      • ฉีดโบ  Bienox  เหมาะกับผู้ที่มีกล้ามเนื้อกรามใหญ่ 
      • ฉีดโบ  Bienox  เหมาะกับผู้ที่ต้องการลดขนาดกล้ามเนื้อแขนให้ดูเรียวขึ้น
      • ฉีดโบ  Bienox  เหมาะกับผู้ที่ต้องการมีขาที่เรียว
      • ฉีดโบ  Bienox  เหมาะกับผู้ที่ต้องการลดขนาดกราม
      • ฉีดโบ  Bienox  เหมาะกับผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าให้เรียวขึ้น 
      • ฉีดโบ  Bienox  เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาเหงื่อออกมาก
      • ฉีดโบ  Bienox  เหมาะกับผู้ที่มีกลิ่นตัว

       

      การเตรียมตัวก่อนฉีดโบ Bienox ควรปฏิบัติตัวดังนี้
      การเตรียมตัวก่อนฉีดโบ Bienox ควรปฏิบัติตัวดังนี้

       

      การเตรียมตัวก่อนฉีดโบ  Bienox ควรปฏิบัติตัวดังนี้

      ก่อนฉีดโบ  Bienox งดวิตามินและยาบางชนิดก่อนฉีดอย่างน้อย 1 สัปดาห์ อาทิ

      • วิตามินอี
      • น้ำมันปลา
      • คอลลาเจน
      • ยาแอสไพริน หรือยาแก้ปวดบางชนิด
      • ยาละลายลิ่มเลือด

      เพื่อลดอาการช้ำ และเลือดออกมากระหว่างทำ

      • ควรแจ้งแพทย์หากมีโรคประจำตัว หรือแพ้สารประเภทโบฯ

       

      การดูแลตัวเองหลังฉีดโบ  Bienox  ควรปฏิบัติตัวดังนี้

      เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดของการฉีดโบ  Bienox  ควรดูแลตัวเองดังนี้

      • หลังฉีดโบ  Bienox ในช่วง 2–3 ชั่วโมงแรก ควรขยับกล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดบ่อย ๆ เพื่อกระตุ้นตัวยาให้ทำงานเร็วขึ้น
      • หลังฉีดโบ  Bienox ห้ามจับ บีบ หรือนวดบริเวณที่ฉีด เพื่อป้องกันการเคลื่อนที่ของตัวยา
      • หลังฉีดโบ  Bienox งดดื่มแอลกอฮอล์ 24 ชั่วโมง หลังทำ เพื่อหลีกเลี่ยงอาการบวมช้ำ
      • หลังฉีดโบ  Bienox สามารถแต่งหน้าและทาครีมได้หลังจาก 1 วัน
      • หลังฉีดโบ  Bienox งดทำทรีตเมนต์ หรือการนวดหน้าเป็นเวลา 2 สัปดาห์
      • หลังฉีดโบ  Bienox  ควรงดทำเลเซอร์ต่างๆเป็นเวลา 2 สัปดาห์

       

      ฉีดโบ  Bienox โบสุญญากาศ และ ฉีดโบ ทั่วไป แตกต่างกันอย่างไร? เลือกแบบไหนให้ไม่อันตรายและเห็นผลจริง

       

      ฉีดโบ  Bienox และ ฉีดโบ ทั่วไปต่างกันด้านกระบวนการผลิต

      • ฉีดโบ  Bienox

       ใช้เทคโนโลยี Vacuum Drying ซึ่งเป็นการทำให้แห้งด้วยแรงดันสุญญากาศ ไม่ใช้ความร้อนสูง จึงช่วยคงความบริสุทธิ์และโครงสร้างของตัวยาไว้ได้ดี ส่งผลให้ตัวยามีความคงตัวสูงและมีประสิทธิภาพในการออกฤทธิ์มากขึ้น

       

      • ฉีดโบ โดยทั่วไป

      ใช้เทคโนโลยี Freeze Drying หรือการแช่แข็งเพื่อทำให้แห้ง ซึ่งมีโอกาสทำให้โครงสร้างของโปรตีนในตัวยาเสียหายมากกว่า ทั้งยังอาจลดทอนประสิทธิภาพและความเสถียรของตัวยาลง

       

      ฉีดโบ  Bienox และ ฉีดโบ ทั่วไปต่างกันด้านระยะเวลาที่เห็นผลและระยะเวลาการคงอยู่

      • ฉีดโบ  Bienox

      ฉีดโบ  Bienox จะสามารถเริ่มเห็นผล ในการรักษาภายใน 1–2 วัน และอยู่ได้นาน 4–6 เดือน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ไว และไม่ต้องฉีดบ่อย

       

      • ฉีดโบ โดยทั่วไป

      ฉีดโบ ทั่วไปจะเริ่มเห็นผล โดยใช้เวลา 5–7 วัน และระยะเวลาการคงอยู่ประมาณ 3–6 เดือน

       

      ฉีดโบ  Bienox และ ฉีดโบ ทั่วไปต่างกันด้านผลลัพธ์ที่ได้และความนิยม

      • ฉีดโบ  Bienox

      ฉีดโบ ที่ได้รับความนิยมในวงการแพทย์ความงาม โดยเฉพาะในผู้ที่ต้องการ ผลลัพธ์ชัดเจน ไม่อันตราย และแม่นยำ ใช้ได้กับหลายปัญหา เช่น ริ้วรอย หน้าหย่อนคล้อย รูปหน้าใหญ่ กล้ามเนื้อกราม และเหงื่อออกมาก

       

      • ฉีดโบ โดยทั่วไป

       มีบางยี่ห้อที่ได้ผลดี แต่อาจเจอปัญหาเช่นผลลัพธ์ไม่ชัดเจน ตัวยากระจายไม่สม่ำเสมอ หรือมีผลข้างเคียงจากความบริสุทธิ์ของตัวยาที่ไม่คงที่

       

      คำแนะนำเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจเลือกใช้ฉีดโบ 

      • ตรวจสอบยี่ห้อและแหล่งที่มาของฉีดโบ ให้ชัดเจน
      • ปรึกษาแพทย์เจ้าของเคสอย่างละเอียดก่อนลงมือทำ
      • อย่าตัดสินใจเลือกทำโปรแกรมฉีดจากราคาที่ถูก

       

      ข้อควรระวังก่อนฉีดโบ  

      • ศึกษาข้อมูลให้รอบด้าน

       ก่อนตัดสินใจฉีดโบ   ควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับประเภทและยี่ห้อของโปรแกรมฉีด รวมถึงเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน มีใบอนุญาตถูกต้อง และแพทย์ผู้ให้บริการต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับฉีดโบ  และผิวหนัง พร้อมดูรีวิวจากผู้ที่เคยใช้บริการจริงเพื่อประกอบการตัดสินใจ

       

      • แจ้งประวัติสุขภาพให้แพทย์ทราบ

       หากมีโรคประจำตัว หรือกำลังใช้ยาบางชนิดอยู่ ควรแจ้งแพทย์ล่วงหน้าก่อนฉีดโบ  เพื่อให้สามารถประเมินความเหมาะสมและความไม่อันตรายในการฉีดได้อย่างถูกต้อง

       

      • ตรวจสอบตัวยาก่อนฉีดทุกครั้ง

      เพื่อความมั่นใจ ควรขอดูตัวฉีดโบ ก่อนทำการฉีดทุกครั้ง ว่าเป็นของแท้ มีฉลากชัดเจน และนำเข้าถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อป้องกันการใช้ผลิตภัณฑ์ปลอมที่อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพ

       

      Q&A ฉีดโบ  Bienox  คืออะไร

       

      Q: ฉีดโบ  Bienox  ช่วยเรื่องอะไรได้บ้าง?


      A: ฉีดโบ  Bienox  ช่วยลดการทำงานของกล้ามเนื้อที่ทำให้เกิดริ้วรอย เช่น บริเวณหน้าผาก ร่องแก้ม และรอบดวงตา ช่วยให้ผิวเรียบเนียน กระชับ และดูอ่อนเยาว์ขึ้น อีกทั้งยังสามารถนำมาใช้ในทางการแพทย์ เช่น ลดอาการปวดไมเกรน หรือรักษาอาการกล้ามเนื้อกระตุกที่ควบคุมไม่ได้

       

      Q: ฉีดโบ มีอันตรายหรือไม่?


      A: ฉีดโบ  Bienox ถือได้ว่ามีผลข้างเคียงไม่มาก หากฉีดโดยแพทย์ ที่มีความรู้และมีความแม่นยำ อีกทั้งยังต้องใช้ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา (FDA) อย่างไรก็ตาม ควรปรึกษาแพทย์ก่อนฉีดทุกครั้ง เพื่อประเมินความเหมาะสมกับสภาพผิวและสุขภาพก่อนเข้ารับบริการ

       

      Q: ใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะเห็นผลหลังฉีดโบ  Bienox


      A: โดยปกติฉีดโบ  Bienox จะเริ่มเห็นผลอย่างรวดเร็วภายใน 1-2 วัน หลังฉีด และผลลัพธ์จะอยู่ได้นานประมาณ 4 – 6 เดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปริมาณที่ใช้ พื้นที่ ที่ฉีด และปฏิกิริยาของร่างกายของผู้เข้ารับบริการแต่ละคน

       

      Q: ฉีดโบ  Bienox มีผลข้างเคียงไหม?


      A: อาจมีผลข้างเคียงเล็กน้อย เช่น อาการบวม แดง หรือช้ำเล็กน้อยบริเวณที่ฉีด (จากรอยเข็ม)  ซึ่งเป็นผลข้างเคียงที่เป็นปกติ สามารถหายไปภายในไม่กี่วัน แต่หากมีอาการผิดปกติหรือรุนแรง ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที

       

      อยากฉีดโบ  Bienox  ควรเลือกที่ไหนดี?

      ปัจจุบันการทำโปรแกรมฉีดเป็นหัตถการที่ได้รับความนิยมและเข้าถึงได้ง่าย แต่ไม่ใช่คลินิกเสริมความงามทุกแห่งจะให้บริการด้วยมาตรฐานและความไม่อันตรายที่เท่ากัน ก่อนตัดสินใจเข้ารับการรักษา ควรพิจารณาและศึกษาข้อมูลให้ครบถ้วน โดยมีแนวทางในการเลือกคลินิกดังนี้

       

      •  คลินิกเสริมความงามนั้นจะต้องได้มาตรฐาน

      เลือกคลินิกที่ได้รับการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุข และมีใบอนุญาตประกอบกิจการอย่างถูกต้องตามกฎหมาย

       

      • แพทย์จะต้องมีความรู้และมีความแม่นยำในการรักษา

       แพทย์ผู้ทำการรักษาจะต้องมีความรู้และทักษะด้านการฉีดโบ โดยเฉพาะ สามารถประเมินโครงสร้างใบหน้า ให้คำปรึกษา และวางแผนการรักษาได้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล

       

      • สามารถเปิดกล่องผลิตภัณฑ์ให้ตรวจสอบได้โดยตรง หากผู้รับบริการต้องการ

      เพื่อความมั่นใจ ควรมีการเปิดขวดฉีดโบ ให้ดูต่อหน้าหากต้องการและร้องขอ พร้อมทั้งสามารถตรวจสอบยี่ห้อและเลขล็อตผลิตภัณฑ์ได้

       

      • อุปกรณ์ต้องสะอาด ปลอดเชื้อ

       คลินิกควรใช้เครื่องมือที่ผ่านการฆ่าเชื้อและมีมาตรฐานความสะอาด เพื่อความไม่อันตรายของผู้เข้ารับบริการ

       

      • มีรีวิวจากผู้ใช้จริง

       ตรวจสอบรีวิวจากผู้ใช้บริการจริง เพื่อดูผลลัพธ์และประสบการณ์ที่ได้รับจากคลินิกนั้น ๆ

       

      • มีบริการติดตามผลหลังฉีด

       คลินิกที่ดีควรมีระบบติดตามผลหลังการรักษา เพื่อประเมินผลลัพธ์และให้คำแนะนำเพิ่มเติมหากจำเป็น

       

      อยากฉีดโบ  Bienox ต้องที่ รมย์รวินท์คลินิก

      หากกำลังมองหาคลินิกเสริมความงามในการโบ  Bienox ที่ได้มาตรฐาน ไม่อันตราย  และให้ผลลัพธ์ที่ไม่แข็ง ไม่หลอก รมย์รวินท์คลินิก พร้อมดูแลคุณด้วยทีมแพทย์ผู้มีความแม่นยำในการฉีดโบ และมีประสบการณ์สูง โดยแพทย์จะประเมินปริมาณฉีดโบ  Bienox  และปัญหาบนใบหน้าอย่างละเอียดรวมทั้งให้คำแนะนำตามโครงสร้างใบหน้าของแต่ละบุคคล เพื่อผลลัพธ์ที่สวยงามและดูสวย ละมุนไม่ดูหลอก

      ผลลัพธ์ที่ได้คือใบหน้าที่เรียวกระชับ ลดเลือนริ้วรอย โดยไม่แข็งตึงจนดูปลอมหรือหลอก ไม่เพียงแค่การรักษา รมย์รวินท์คลินิกยังใส่ใจในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การให้คำปรึกษาก่อนฉีด ไปจนถึงการติดตามผลหลังการรักษา เพื่อให้แน่ใจว่าคุณได้รับผลลัพธ์ที่ดี

       

      ลดไขมันด้วยความเย็น CoolSculpting กระชับสัดส่วน ดีจริงไหม?

      ลดไขมันด้วยความเย็น CoolSculpting กระชับสัดส่วน ดีจริงไหม?

      ลดไขมันด้วยความเย็น CoolSculpting กระชับสัดส่วน ดีจริงไหม?

      อยากหุ่นดี แบบไม่ต้องลงมีด ไม่ต้องผ่าตัด ทำได้ไหม? หนึ่งในวิธีการที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบันที่จะช่วยสร้างหุ่นสวยได้แบบตรงใจ คือ การลดไขมันด้วยความเย็น (Cryolipolysis) หรือที่รู้จักในชื่อ CoolSculpting ที่ไม่เพียงแต่จะช่วยกำจัดไขมันเฉพาะจุดที่ยากต่อการลด แต่ยังไม่เสี่ยงอันตรายและไม่ต้องพักฟื้นอีกด้วย มาทำความเข้าใจว่า ความเย็นลดไขมันได้อย่างไร ? CoolSculpting ลดไขมันด้วยความเย็น กระชับสัดส่วน ดีจริงไหม? ที่ควรรู้ก่อนทำ

       

      ลดไขมันด้วยความเย็น คืออะไร?
      ลดไขมันด้วยความเย็น คืออะไร?

       

      ลดไขมันด้วยความเย็น คืออะไร?

      ปัจจุบันมีเทคโนโลยีมากมาย ที่ช่วยในเรื่องการลดไขมัน ลดไขมันเฉพาะส่วน อย่าง การลดไขมันด้วยความเย็น ก็เป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่กำลังได้รับความสนใจอย่างมากในตอนนี้ ซึ่งการลดไขมันด้วยความเย็น (Cryolipolysis) เป็นกระบวนการที่ใช้ความเย็นในการควบคุมเซลล์ไขมันใต้ผิวหนัง โดยการแช่แข็งเซลล์ไขมัน เนื่องจากเซลล์ไขมันนั้นมีความไว และตอบสนองต่อความเย็นมากกว่าเซลล์เนื้อเยื่อชนิดอื่นในร่างกาย เมื่อเซลล์ไขมันนั้นถูกทำให้เย็นจนถึงอุณหภูมิที่เหมาะสม เซลล์ไขมันก็จะถูกทำลายและถูกกำจัดออกจากร่างกาย ผ่านกระบวนการธรรมชาติของร่างกาย ทำให้มีความไม่เสี่ยงอันตราย และยังไม่ต้องผ่าตัด

       

      ความเย็นลดไขมันได้อย่างไร ด้วย CoolSculpting ?

      การลดไขมันด้วยความเย็นเฉพาะส่วนด้วยเทคโนโลยี สามารถทำได้ผ่านเครื่องลดไขมันด้วยความเย็น CoolSculpting โดยมีหลักการทำงานแบบ Cryolipolysis คือ การส่งความเย็นในระดับจุดเยือกแข็งลงไปใต้ชั้นผิวหนัง เพื่อเข้าไปแช่แข็งเซลล์ไขมันทำให้เซลล์ไขมันค่อย ๆ ตายไปด้วยความเย็นจากนั้นจะถูกขับออกจากร่างกายตามธรรมชาติ ส่งผลให้หลังทำลดไขมันด้วยความเย็นเสร็จสัดส่วนจะดูกระชับขึ้น โดยคลื่นความเย็นนั้นจะเกาะเฉพาะที่เซลล์ไขมันเท่านั้น ไม่ไปทำลายเนื้อเยื่อบริเวณอื่น ๆ

       

      เครื่องลดไขมันด้วยความเย็น CoolSculpting จะส่งความเย็นผ่านหัวดูดผิว (Vacuum) ที่จะประกบกับผิวหนังบริเวณที่จะทำ จากนั้นจะส่งความเย็นเข้าไปที่เซลล์ไขมันใต้ชั้นผิว ให้เซลล์ไขมันแข็งตัว จากนั้นจะทำการกำจัดเซลล์ไขมัน โดยไขมันที่ถูก CoolSculpting กำจัดจะถูกขับออกทางระบบขับถ่ายของเสียของร่างกาย และจากนั้นเซลล์ไขมันที่เหลือจะค่อย ๆ เรียงตัวใหม่ ชั้นไขมันจะดูบางลง และทำให้รูปร่างดูกระชับมากขึ้น

       

      โดยกระบวนการลดไขมันด้วยความเย็น CoolSculpting นั้นจะทำให้เจ็บน้อย ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องใช้เข็ม จึงไม่ทำให้เกิดรอยแผล ไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้นภายหลังทำ ทำให้สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ

       

      ลดไขมันด้วยความเย็น CoolSculpting มีข้อดีมีอะไรบ้าง

      การลดไขมันด้วยความเย็น CoolSculpting มีข้อดีเด่น ๆ อยู่ดังนี้

      • CoolSculpting ลดไขมันด้วยความเย็น เป็นเทคโนโลยีที่คิดค้นและพัฒนาโดยนายแพทย์ Dieter Manstein และนายแพทย์ R. Rox Anderson จาก มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ประเทศสหรัฐอเมริกา และได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา
      • CoolSculpting ใช้เทคโนโลยีลดไขมันด้วยความเย็น Cryolipolysis เพื่อกำจัดเซลล์ไขมันด้วยความเย็น โดยมีระบบควบคุมอุณหภูมิที่แม่นยำ และยังมีหัวดูดที่หลากหลายสำหรับบริเวณต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น หน้าท้อง แขน ต้นขา และคาง
      • CoolSculpting ลดไขมันด้วยความเย็น มีระบบป้องกันผิวหนังจากความเย็นเพื่อป้องกันความเสียหาย
      • CoolSculpting ลดไขมันด้วยความเย็น โดยเซลล์ไขมันจะถูกทำลาย
      • CoolSculpting ลดไขมันด้วยความเย็น ใช้เวลาในการทำประมาณ 35-75 นาที (ขึ้นกับ Applicator)
      • CoolSculpting ลดไขมันด้วยความเย็น มีความไม่เสี่ยงอันตราย เจ็บน้อย
      • CoolSculpting หลังทำลดไขมันด้วยความเย็น สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ โดยไม่ต้องพักฟื้น
      • CoolSculpting ลดไขมันด้วยความเย็น ไม่มีการดูดไขมันหรือผ่าตัด (Non-Invasive Lipolysis)
      • CoolSculpting ลดไขมันด้วยความเย็น ทำให้เกิดผลข้างเคียงน้อยมาก
      • CoolSculpting ลดไขมันด้วยความเย็น ช่วยกำจัดไขมันแบบถาวร
      • CoolSculpting ลดไขมันด้วยความเย็น ช่วยให้สัดส่วนลดลงอย่างเห็นได้ชัด
      • CoolSculpting ลดไขมันด้วยความเย็น จะไม่ทำลายเซลล์และเนื้อเยื่อส่วนอื่นบริเวณข้างเคียง
      • CoolSculpting ลดไขมันด้วยความเย็น ไม่เกิดพังผืดใต้ผิวหนัง
      • CoolSculpting ลดไขมันด้วยความเย็น ไม่ต้องฉีดยา หรือใช้ยาชาเฉพาะจุด
      • CoolSculpting ลดไขมันด้วยความเย็น สามารถกลับไปทำซ้ำที่จุดเดิมได้ เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ชัดเจนขึ้น

       

      ความเย็นลดไขมันได้อย่างไร ทำส่วนไหนได้บ้าง?
      ความเย็นลดไขมันได้อย่างไร ทำส่วนไหนได้บ้าง?

       

      ความเย็นลดไขมันได้อย่างไร ทำส่วนไหนได้บ้าง?

      การลดไขมันด้วยความเย็น จะช่วยลดจำนวนเซลล์ไขมันลงอย่างถาวร เป็นการกำจัดไขมันแบบเฉพาะจุด สามารถทำได้ทุกจุดบนร่างกาย เช่น

      • ลดไขมันด้วยความเย็นบริเวณ เหนียงใต้คาง
      • ลดไขมันด้วยความเย็นบริเวณ ต้นแขนด้านใน
      • ลดไขมันด้วยความเย็นบริเวณ เนื้อส่วนเกินบริเวณรักแร้
      • ลดไขมันด้วยความเย็นบริเวณ หน้าอก
      • ลดไขมันด้วยความเย็นบริเวณ ปีกด้านหลัง
      • ลดไขมันด้วยความเย็นบริเวณ หน้าท้องบน-ล่าง
      • ลดไขมันด้วยความเย็นบริเวณ รอบเอว
      • ลดไขมันด้วยความเย็นบริเวณ ไขมันส่วนเกินข้างสะโพก บั้นท้าย
      • ลดไขมันด้วยความเย็นบริเวณ ต้นขาด้านใน-นอก

      ทั้งนี้ ผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล

       

      ลดไขมันด้วยความเย็น CoolSculpting มีขั้นตอนการรักษาอย่างไร ?

      1. ก่อนเริ่มการรักษาลดไขมันด้วยความเย็น CoolSculpting ผู้เชี่ยวชาญจะทำการประเมินบริเวณที่ต้องการกำจัดไขมัน เช่น หน้าท้อง สะโพก ต้นขา หรือต้นแขน
      2. หลังจากการประเมิน จะวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล
      3. เริ่มทำการรักษาลดไขมันด้วยความเย็น CoolSculpting จะทำการติดตั้งเครื่องมือในลักษณะแผ่นปล่อยความเย็นในบริเวณที่ต้องการ โดยอุปกรณ์ Cryolipolysis จะถูกวางลงบนบริเวณที่ต้องการกำจัดไขมัน
      4. จากนั้นจะทำการเช็กอุณหภูมิให้อยู่ในระดับเหมาะสม ก่อนจะปล่อยคลื่นลดไขมันด้วยความเย็นเข้าไปใต้ชั้นผิวหนัง
      5. เครื่องมือลดไขมันด้วยความเย็น CoolSculpting จะดูดบริเวณผิวหนังและชั้นไขมันขึ้นมาภายในหัวของเครื่อง จากนั้นจะปล่อยความเย็นที่ควบคุม เพื่อทำให้เซลล์ไขมันแข็งตัว
      6. จะทำการใช้คลื่นความเย็นต่อเนื่องกันครั้งละ 35-75 นาที ขึ้นอยู่กับ Applicator และขึ้นอยู่กับจุดที่ทำ จากนั้นจะใช้เครื่องมือนวดบริเวณที่ทำประมาณ 2-5 นาที ถือเป็นการเสร็จสิ้นกระบวนการลดไขมัน
      7. ขณะทำลดไขมันด้วยความเย็น CoolSculpting ในช่วงแรก อาจเกิดความรู้สึกเย็น ตึง หรือชา บริเวณที่ทำการรักษา
      8. หลังทำลดไขมันด้วยความเย็น CoolSculpting จะแนะนำวิธีดูแลตัวเองหลังทำ รวมถึงการวางแผนการรักษาในอนาคต เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ

       

      ลดไขมันด้วยความเย็น CoolSculpting เหมาะกับใคร?

      การลดไขมันด้วยความเย็น CoolSculpting สามารถทำได้เกือบทุกคน หากมีความต้องการกำจัดเซลล์ไขมันในจุดที่กำจัดได้ยากออก และไม่ต้องการให้มีเซลล์ไขมันกลับมาอีก โดยผู้ที่เหมาะกับการลดไขมันด้วยความเย็น ได้แก่

       

      • ลดไขมันด้วยความเย็นเหมาะกับ ผู้ที่ต้องการลดสัดส่วนเฉพาะจุด
      • ลดไขมันด้วยความเย็นเหมาะกับ ผู้ที่มีค่าดัชนีมวลกาย (BMI) อยู่ในเกณฑ์ปกติหรือเกินเล็กน้อย
      • ลดไขมันด้วยความเย็นเหมาะกับ ผู้ที่ออกกำลังกาย แต่ไม่สามารถลดไขมันในบางจุดได้
      • ลดไขมันด้วยความเย็นเหมาะกับ ผู้ที่ต้องการปรับรูปร่าง และต้องการเจ็บน้อย
      • ลดไขมันด้วยความเย็นเหมาะกับ ผู้ที่มีปัญหาไขมันส่วนเกินสะสมเฉพาะจุดบริเวณร่างกาย

      ทั้งนี้ ผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ แจ้งโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา หรือประวัติการรักษา ก่อนเข้ารับการบริการ

      ลดไขมันด้วยความเย็น CoolSculpting ไม่เหมาะกับใคร ?

      • ลดไขมันด้วยความเย็นไม่เหมาะกับ ผู้ที่ตั้งครรภ์ หรืออยู่ในระหว่างให้นมบุตร
      • ลดไขมันด้วยความเย็นไม่เหมาะกับ ผู้ที่รับการผ่าตัดคลอดบุตรน้อยกว่า 6 เดือน
      • ลดไขมันด้วยความเย็นไม่เหมาะกับ ผู้ที่อยู่ระหว่างการมีประจำเดือน
      • ลดไขมันด้วยความเย็นไม่เหมาะกับ ผู้ที่แพ้ความเย็น เช่น ลมพิษจากความเย็น โรคกลัวความเย็น
      • ลดไขมันด้วยความเย็นไม่เหมาะกับ ผู้ที่มีการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ หรือผู้ที่เป็นโรคเลือดที่มีการแข็งตัวผิดปกติ เมื่อสัมผัสกับความเย็น
      • ลดไขมันด้วยความเย็นไม่เหมาะกับ ผู้ที่รับประทานยาละลายลิ่มเลือด หรือยาที่ทำให้เลือดไม่แข็งตัวตามปกติ
      • ลดไขมันด้วยความเย็นไม่เหมาะกับ ผู้ที่เป็นโรคไส้เลื่อน
      • ลดไขมันด้วยความเย็นไม่เหมาะกับ ผู้ที่ติดอุปกรณ์ในร่างกาย เช่น เครื่องกระตุ้นหัวใจ หรืออุปกรณ์ควบคุมการเต้นของหัวใจ
      • ลดไขมันด้วยความเย็นไม่เหมาะกับ ผู้ที่เพิ่งผ่าตัด หรือมีแผลผ่าตัด ในบริเวณที่จะทำการลดไขมันน้อยกว่า 6 เดือน
      • ลดไขมันด้วยความเย็นไม่เหมาะกับ ผู้ที่มีแผลเปิด ผิวหนังอักเสบ หรือติดเชื้อ ในบริเวณที่จะทำการลดไขมัน

      ทั้งนี้ ผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ แจ้งโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา หรือประวัติการรักษา ก่อนเข้ารับการบริการ

      ลดไขมันด้วยความเย็น CoolSculpting ต้องเตรียมตัวอย่างไร ?

      การลดไขมันด้วยความเย็น CoolSculpting ไม่จำเป็นต้องเตรียมตัวเป็นพิเศษ เนื่องจากไม่ใช่วิธีการดูดหรือการผ่าตัดไขมัน แต่จะคล้ายกับการทำทรีตเมนต์ทั่วไป ทำให้หลังทำ CoolSculpting สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ สามารถเตรียมตัวได้ ดังนี้

      • ก่อนลดไขมันด้วยความเย็น ควรรับประทานอาหาร และดื่มน้ำ ตามปกติ
      • ก่อนลดไขมันด้วยความเย็น ควรพักผ่อนให้เพียงพอ
      • ก่อนลดไขมันด้วยความเย็น ควรงดอาหารอย่างน้อย 1 ชม. หากทำการลดไขมันด้วยความเย็นบริเวณช่วงท้อง
      • ก่อนลดไขมันด้วยความเย็น ควรหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ และสูบบุหรี่

       

      ผลลัพธ์ของ CoolSculpting ลดไขมันด้วยความเย็น
      ผลลัพธ์ของ CoolSculpting ลดไขมันด้วยความเย็น

       

      ผลลัพธ์ของ CoolSculpting ลดไขมันด้วยความเย็น

      การลดไขมันด้วยความเย็น จะทำให้เซลล์ไขมันที่ถูกคลื่นความเย็นค่อย ๆ ถูกขับออกทางระบบขับถ่ายของเสียตามธรรมชาติ โดยจะเริ่มเห็นผลได้ใน 3 สัปดาห์ และผลลัพธ์จะค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นหลัง 3 เดือน เพราะร่างกายขจัดเซลล์ไขมันที่ตายออกจากชั้นไขมันใต้ผิวหนังจนหมด จึงทำให้สัดส่วนกระชับและผิวเรียบเนียนขึ้น ทั้งนี้ในการลดไขมันด้วยความเย็นแต่ละครั้งจะกำจัดเซลล์ไขมันออกได้ จะต้องขึ้นอยู่กับจุดที่ทำและคุณภาพของเครื่องมือที่ใช้ด้วย

       

      ความเย็นลดไขมันได้อย่างไร เจ็บไหม ?

      ในระหว่างทำ CoolSculpting ลดไขมันด้วยความเย็น ผู้รับบริการจะรู้สึกเจ็บเล็กน้อย พร้อมกับรู้สึกแสบ และชา บริเวณผิวที่ทำ โดยในช่วง 5-10 นาทีแรก จะรู้สึกไม่สบายผิว ตึง รั้ง เนื่องจากความแน่นของหัวเครื่องมือลดไขมันด้วยความเย็น ที่ค่อย ๆ ดูดบริเวณผิว จากนั้นจะรู้สึกเย็นก่อนจะรู้สึกชา และปวดเล็กน้อย

      ซึ่งอาการเหล่านี้จะค่อย ๆ ทุเลาลงเมื่อได้รับลมเย็นต่อเนื่องจนครบ 35-75 นาที ขึ้นอยู่กับ Applicator หลังจากการลดไขมันด้วยความเย็นในช่วง 1-2 สัปดาห์ จะยังรู้สึกเมื่อย และคันบริเวณผิว และในช่วงหลังทำลดไขมันด้วยความเย็นระยะ 3-4 สัปดาห์ บางคนอาจยังมีอาการชาอยู่บ้าง แต่อาการเหล่านี้จะค่อย ๆ หายไปเอง พร้อมกับผลลัพธ์ที่ชัดเจนขึ้นภายใน 1-3 เดือน

       

      ลดไขมันด้วยความเย็น CoolSculpting มีข้อควรระวังไหม ?

      การลดไขมันด้วยความเย็นนั้นยังมีข้อจำกัด หรือข้อควรระวังอยู่บางประการ ดังนั้นก่อนจะเข้าไปทำลดไขมันด้วยความเย็น CoolSculpting อาจต้องทราบข้อจำกัดของ CoolSculpting ดังนี้

       

      • การลดไขมันด้วยความเย็น CoolSculpting จะค่อย ๆ เริ่มเห็นผลที่ชัดเจนเมื่อเวลาผ่านไปประมาณ 1-3 เดือน โดยครั้งแรก CoolSculpting จะสามารถลดไขมันได้ แต่อาจจะไม่ได้เห็นผลลัพธ์แบบทันที เพราะลดไขมันด้วยความเย็น CoolSculpting เป็นการใช้คลื่นความเย็นในการทำลายเซลล์ไขมันใต้ผิวหนัง และต้องรอให้เซลล์ไขมันนั้นถูกขับออกจากร่างกาย
      • การลดไขมันด้วยความเย็น จาก CoolSculpting ไม่เหมาะกับผู้ที่มีชั้นไขมันมากเกินไป หรือมีค่า BMI>35 เพราะอาจจะทำให้ผลลัพธ์ที่ได้นั้นอาจจะไม่เห็นผลที่ชัดเจนมาก
      • CoolSculpting เป็นเครื่องมือที่ใช้ลดไขมันด้วยความเย็น มุ่งเน้นไปที่การกำจัดไขมันใต้ชั้นผิวหนัง และกระชับสัดส่วนร่างกาย แต่ไม่สามารถกำจัดไขมันที่แทรกอยู่ในอัวยวะได้
      • ลดไขมันด้วยความเย็น CoolSculpting อาจจะไม่เหมาะกับผู้ที่มีโรคประจำตัวบางโรค หรือมีความผิดปกติในร่างกายบางประการ เช่น โรคแพ้ความเย็น ผู้ที่มีภาวะเลือดแข็งตัวผิดปกติ ผู้ที่เพิ่งเข้ารับการผ่าตัด ผู้ที่ใส่เครื่องกระตุ้นการทำงานของหัวใจ รวมไปถึงผู้ที่อยู่ระหว่างมีประจำเดือน และผู้ที่ตั้งครรภ์และกำลังให้นมบุตร

       

      ลดไขมันด้วยความเย็น ช่วยลดไขมันในช่องท้องได้หรือไม่?

      การลดไขมันด้วยความเย็น ( CoolSculpting หรือ Cryolipolysis) สามารถช่วยลดไขมันในชั้นไขมันใต้ผิวหนัง ที่มองเห็นและสัมผัสได้ เช่น บริเวณหน้าท้อง ต้นแขน ต้นขา ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่การลดไขมันด้วยความเย็น CoolSculpting ไม่สามารถลดไขมันใน ช่องท้อง (Visceral Fat) ซึ่งเป็นไขมันที่สะสมอยู่ลึกภายในรอบอวัยวะภายในช่องท้อง เช่น ตับ ลำไส้ และหัวใจ ได้

       

      ระหว่างทำ ความเย็นลดไขมันได้อย่างไร ต้องอยู่ท่าไหนจึงจะเหมาะสม?

      การลดไขมันด้วยความเย็น CoolSculpting จะขึ้นอยู่กับบริเวณที่ทำการรักษาและประเภทของเครื่องมือที่ใช้ ในระหว่างการทำหัตถการ ผู้เข้ารับบริการสามารถเลือกอิริยาบถที่สะดวกและเหมาะสมกับตัวเองได้ โดยส่วนใหญ่ระหว่างทำลดไขมันด้วยความเย็น ผู้เข้ารับบริการจะนั่งหรือเอนตัวในท่าที่สบาย และคงที่ระหว่างการรักษาลดไขมันด้วยความเย็นจะเหมาะสม

       

      ระหว่างการลดไขมันด้วยความเย็น ควรหลีกเลี่ยงการขยับร่างกายหรือเปลี่ยนอิริยาบถอย่างรวดเร็วในระหว่างการรักษา เพื่อป้องกันหัวดูดหลุด หรืออาจทำให้เครื่องลดไขมันด้วยความเย็น ทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ และหากรู้สึกไม่สบายในอิริยาบถใด สามารถแจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อปรับเปลี่ยนตำแหน่งได้

       

      ทำไมต้องลดไขมันด้วยความเย็น ?
      ทำไมต้องลดไขมันด้วยความเย็น ?

       

      ต้องลดไขมันด้วยความเย็น ?

      1. การลดไขมันด้วยความเย็นมีความไม่เสี่ยงอันตราย เนื่องจากการลดไขมันด้วยความเย็น ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (FDA)
      2. การลดไขมันด้วยความเย็น ไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีการใช้เข็ม ทำให้ลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อ หรือผลข้างเคียงที่รุนแรง
      3. การลดไขมันด้วยความเย็น ไม่ต้องพักฟื้น หลังการใช้ความเย็นลดไขมัน สามารถกลับไปทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันได้ทันที โดยไม่ต้องพักฟื้น
      4. การลดไขมันด้วยความเย็นช่วยกำจัดไขมันเฉพาะจุด วิธีลดไขมันด้วยความเย็นเหมาะสำหรับผู้ที่มีไขมันสะสมเฉพาะจุด เช่น หน้าท้อง ต้นขา สะโพก หรือบริเวณใต้คาง ที่ลดได้ยากแม้จะออกกำลังกายหรือควบคุมอาหาร
      5. การลดไขมันด้วยความเย็นช่วยให้เห็นผลลัพธ์ในระยะยาว เนื่องจากเมื่อเซลล์ไขมันถูกกำจัดออกไปแล้ว จะไม่กลับมาใหม่อีกหากมีการรักษาน้ำหนักตัวให้คงที่

      เซลล์ไขมัน คืออะไร ?

      ทำความรู้จักกับ เซลล์ไขมัน (Fat Cell) หรือ Adipocyte ซึ่งเป็นเซลล์ที่ช่วยทำหน้าที่กักเก็บพลังงานภายในร่างกาย โดยจะอยู่ในรูปแบบของไตรกลีเซอไรด์ โดยร่างกายจะปล่อยพลังงานออกมาใช้ ในช่วงที่ร่างกายขาดพลังงานจากอาหาร ทำให้เซลล์ไขมันมีความสำคัญในกระบวนการรักษาสมดุลพลังงานในร่างกาย แต่หากมีมากเกินไปอาจจะส่งผลต่อสุขภาพ และเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่าง ๆ ได้

       

      หากมีเซลล์ไขมันในร่างกายมากเกินไป จะเกิดอะไรขึ้น ?

      • เมื่อร่างกายของเราสะสมไขมันมากเกินไป จะทำให้เซลล์ไขมันขยายขนาดมากขึ้น หรือเกิดความหนาแน่นสูง อาจจะทำให้เกิดปัญหาผิวหนัง อย่าง เซลลูไลท์ (Cellulite) ที่ทำให้ผิวเป็นคลื่น ไม่เรียบเนียน
      • บริเวณที่มีเซลล์ไขมันสะสมมาก ในบางจุดอาจทำให้เกิดเป็นลักษณะผิวเปลือกส้ม โดยมักเป็นบริเวณที่ไขมันใต้ผิวหนังเยอะ เช่น หน้าท้อง ต้นขา สะโพก และก้น

       

      เซลล์ไขมัน มีหน้าที่อะไร?

      เซลล์ไขมันไม่ได้ทำหน้าที่เพียงเก็บพลังงาน แต่ยังมีส่วนสำคัญในการหลั่งฮอร์โมนและสารชีวเคมีที่มีอิทธิพลต่อระบบเผาผลาญและการอักเสบในร่างกาย เช่น ฮอร์โมนเลปติน (Leptin) ฮอร์โมนที่ช่วยควบคุมความอยากอาหาร และอะดิโพเนคติน (Adiponectin) ที่ช่วยเพิ่มความไวของอินซูลินและช่วยในการเผาผลาญไขมัน หากมีเซลล์ไขมันที่มากเกินไปอาจจะทำให้ส่งผลอันตรายต่อสุขภาพได้

      ซึ่งการจัดการไขมันส่วนเกินสามารถทำได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็น การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ หรือจะเป็นการใช้เทคโนโลยีช่วยลดไขมัน เช่น การลดไขมันด้วยความเย็น ที่สามารถช่วยลดและลดไขมันสะสมส่วนเกินได้เป็นอย่างดี

       

      ลดน้ำหนัก กับ ลดไขมัน ต่างกันไหม?
      ลดน้ำหนัก กับ ลดไขมัน ต่างกันไหม?

       

      ลดน้ำหนัก กับ ลดไขมัน ต่างกันไหม?

      การลดน้ำหนักและกำจัดเซลล์ไขมันมีความแตกต่างกันตรงที่การลดน้ำหนัก ดังนี้

      • การลดน้ำหนัก

      การลดน้ำหนักนั้น สามารถทำได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็น การออกกำลังกาย การควบคุมอาหาร หรือการทำหัตถการ ซึ่งเมื่อน้ำหนักลดลง เซลล์ไขมันก็จะมีขนาดเล็กลงแต่ยังมีอยู่จำนวนเท่าเดิม และในอนาคตก็สามารถกลับมาขยายได้ และเมื่อไม่สามารถกักเก็บต่อไปได้จะแบ่งตัวออกเป็นเซลล์ไขมันใหม่ ทำให้เกิดเป็นความอ้วนได้

      • การลดไขมัน

      การลดไขมัน หรือการการกำจัดเซลล์ไขมันส่วนเกินให้ได้แบบถาวร การเอาเซลล์ไขมันออกจากร่างกาย หรือการทำให้เซลล์ไขมันนั้นตาย ในปัจจุบันจะใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์มาช่วยกำจัดไขมัน เช่น การลดไขมันด้วยความเย็น CoolSculpting โดยไม่จำเป็นต้องทำการผ่าตัด

      ทั้งนี้ ผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ แจ้งโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา หรือประวัติการรักษา ก่อนเข้ารับการบริการ

       

      อยากลดไขมัน เลือกวิธีไหนดี?

      ปัจจุบันมีวิธีที่จะช่วยลดไขมันเฉพาะจุดได้หลายวิธี โดยแต่ละวิธีก็มีความโดดเด่น ข้อดี หรือข้อจำกัดที่แตกต่างกันออกไป การเลือกใช้วิธีลดไขมันที่เหมาะกับเราจะช่วยให้แก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด โดยข้อแตกต่างของ วิธีลดไขมันแต่ละวิธี มีดังนี้

      • Cryolipolysis (การลดไขมันด้วยความเย็น)

      การลดไขมันด้วยความเย็น เป็นการใช้ความเย็นที่ควบคุมอย่างแม่นยำในการทำให้เซลล์ไขมันแข็งตัว และตายตามธรรมชาติ (Apoptosis) โดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อรอบข้าง หลังทำไม่ต้องพักฟื้น ผู้เข้ารับการรักษาสามารถกลับไปทำกิจวัตรประจำวันได้ทันที

      ทั้งการลดไขมันด้วยความเย็นยังมีความเสี่ยงต่ำ อาจมีผลข้างเคียงหลังทำเล็กน้อย ได้แก่ แดง บวม หรือชาในบริเวณที่ทำ ซึ่งมักจะค่อย ๆ หายไปเอง การลดไขมันด้วยความเย็นสามารถเห็นผลชัดเจนใน 2-3 เดือน เนื่องจากร่างกายต้องใช้เวลาในการกำจัดเซลล์ไขมันที่ตายออกไปตามกระบวนการขับของเสีย *ทั้งนี้ ผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

      • Liposuction (การดูดไขมัน)

      การดูดไขมัน เป็นการผ่าตัดเพื่อดูดไขมันออกจากร่างกายโดยตรง โดยใช้ท่อดูดขนาดเล็กเข้าไปในชั้นไขมันผ่านแผลขนาดเล็ก หลังทำต้องพักฟื้นประมาณ 1-2 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับปริมาณไขมันที่ดูดและพื้นที่ที่ทำ

      ทั้งนี้การดูดไขมันอาจความเสี่ยงปานกลางถึงสูง เช่น การติดเชื้อ เลือดออก รอยแผลเป็น หรือผลข้างเคียงจากการดมยาสลบ เนื่องจากเป็นการผ่าตัดใหญ่ การดูดไขมันสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ แต่ต้องรอให้รอยบวมและช้ำหายไปเพื่อเห็นรูปร่างที่ชัดเจน *ทั้งนี้ ผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

      • การลดไขมันด้วยเลเซอร์ (Laser Lipolysis)

      การลดไขมันด้วยเลเซอร์ เป็นการใช้พลังงานแสงเลเซอร์ทำให้เซลล์ไขมันแตกตัวและถูกกำจัดออกจากร่างกายผ่านกระบวนการเผาผลาญตามธรรมชาติ หลังทำไม่ต้องพักฟื้น ผู้เข้ารับการรักษาสามารถกลับไปทำงานหรือทำกิจวัตรได้ทันที

      ทั้งนี้การลดไขมันด้วยเลเซอร์อาจมีความเสี่ยงต่ำ เช่น ผิวแดง หรือระคายเคืองเล็กน้อยบริเวณที่ทำ และสามารถถเห็นผลลัพธ์ได้ภายใน 1-2 เดือน เนื่องจากต้องรอให้ร่างกายขจัดไขมันออกไป *ทั้งนี้ ผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

       

      เปรียบเทียบการลดไขมัน แต่ละวิธี

      • Cryolipolysis: การลดไขมันด้วยความเย็น เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการผ่าตัด มีไขมันส่วนเกินเฉพาะจุด ต้องการลดไขมันด้วยความเย็น กระชับสัดส่วน และมีเวลาพักฟื้นน้อย มีกิจวัตรประจำวันเยอะ
      • Liposuction: เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดไขมันจำนวนมากในคราวเดียว และสามารถพักฟื้นได้
      • Laser Lipolysis: เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดไขมันเฉพาะจุดเล็ก ๆ และต้องการกระชับผิวร่วมด้ว

       

      หากต้องการที่จะลดไขมัน ควรศึกษาวิธีหรือเทคนิคการลดไขมันที่ตรงโจทย์ และปรึกษาแพทย์ เพื่อวางแผนการรักษาต่อไป ซึ่งการลดไขมันด้วยความเย็นก็ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่มาแรงมากในตอนนี้ เนื่องจากไม่ต้องผ่าตัด เจ็บน้อย ทั้งยังไม่ต้องพักฟื้นนานเหมือนวิธีอื่น ๆ ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับการบริการ

       

      ลดไขมันด้วยความเย็น ต้องดูแลตัวเองหลังทำอย่างไร ?

      แม้ว่าการลดไขมันด้วยความเย็น จะเป็นการลดไขมันที่ไม่ต้องผ่าตัด ทำให้ใช้เวลาพักฟื้นน้อยแล้ว อย่างไรก็ตาม หากต้องการผลลัพธ์ที่ชัดเจน มีประสิทธิภาพ และอยู่ได้นานขึ้น ควรดูแลตัวเองหลังทำ ดังนี้

      1. หลังทำลดไขมันด้วยความเย็น ดื่มน้ำมาก ๆ จะช่วยให้ระบบต่าง ๆ ในร่างกายทำงานได้ดีขึ้น และช่วยทำให้กระบวนการกำจัดเซลล์ไขมันที่ถูกทำลายในร่างกาย ทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
      2. หลังทำลดไขมันด้วยความเย็น รักษาน้ำหนักตัวให้คงที่ การควบคุมอาหาร และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดไขมันสะสมใหม่
      3. หลังทำลดไขมันด้วยความเย็น หลีกเลี่ยงการสัมผัสบริเวณที่ทำมากเกินไป เช่น การนวดหรือกดแรง ๆ ในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก เนื่องจากอาจทำให้ผิวบริเวณนั้นเกิดการระคายเคืองได้
      4. หลังทำลดไขมันด้วยความเย็น หลีกเลี่ยงการใช้ความร้อนในบริเวณที่ทำการรักษา เช่น การอาบน้ำร้อนหรือการทำซาวน่าในช่วงแรก เพื่อป้องกันการระคายเคือง
      5. หลังทำลดไขมันด้วยความเย็น รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เลือกรับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูง ไขมันดี และหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันทรานส์หรือน้ำตาลสูง เพื่อป้องกันการสะสมไขมันใหม่
      6. หลังทำลดไขมันด้วยความเย็น หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ เพื่อไม่ให้สารต่าง ๆ เข้าไปรบกวนกระบวนการเผาผลาญและกำจัดเซลล์ไขมัน

       

      CoolSculpting ลดไขมันด้วยความเย็น เป็นนวัตกรรมที่ช่วยกำจัดไขมันเฉพาะจุดได้อย่างไม่เสี่ยงอันตราย และมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องผ่านการผ่าตัดหรือพักฟื้น แม้ผลลัพธ์จะไม่ได้เห็นผลทันที แต่การลดไขมันอย่างถาวรด้วยการลดไขมันด้วยความเย็น ก็เป็นวิธีที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปรับรูปร่างอย่างเป็นธรรมชาติและไม่เสี่ยงต่อสุขภาพ หากใครกำลังมองหา การลดไขมันด้วยความเย็น (Cryolipolysis) หรือการใช้เครื่องการลดไขมันด้วยความเย็น CoolSculpting สามารถเข้ามาปรึกษาสอบถามเบื้องต้นได้ที่ รมย์รวินท์คลินิกทุกสาขา

       

       

      *ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับการบริการ

      *เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

      Duo Slim Max คืออะไร? ลดไขมัน ยกกระชับผิวได้ในเครื่องเดียว

      Duo Slim Max

      ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




        วันที่สะดวกในการติดต่อ








        Duo Slim Max คืออะไร? ลดไขมัน ยกกระชับผิวได้ในเครื่องเดียว

        ออกกำลังกายหนักแค่ไหนไขมันก็ไม่ลด ผิวก็ไม่กระชับ ทางเลือกสำหรับคนไม่มีเวลา ที่อยากจะลดไขมัน ยกกระชับ ได้พร้อมกันในครั้งเดียว แบบไม่ต้องพักฟื้น Duo Slim Max อาจจะเป็นคำตอบที่ใช่ มาทำความรู้จักกับ Duo Slim Max คืออะไร? ลดไขมัน ยกกระชับผิวได้ในเครื่องเดียว เหมาะกับใครบ้าง? ต้องทำกี่ครั้งถึงจะเห็นผล? บทความนี้เรามีคำตอบ

         Duo Slim Max คืออะไร?
        Duo Slim Max คืออะไร?

        Duo Slim Max คืออะไร?

        Duo Slim Max ลดไขมัน พร้อมยกกระชับร่างกาย ที่ใช้เทคโนโลยีคลื่นวิทยุความถี่สูงแบบขั้วเดียว  (Monopolar RF) ที่ทำงานร่วมกับคลื่นเสียง Ultrasound โดยส่งผ่านพลังงานแบบเฉพาะเจาะจง ที่จะส่งพลังงานความร้อนเข้าสู่ชั้นผิวหนังแท้ และชั้นไขมันใต้ผิวหนัง เพื่อช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ใต้ผิว ทั้งยังช่วยปรับโครงสร้างการจัดเรียงของคอลลาเจนให้เรียงตัวได้ดีขึ้น จึงส่งผลให้ผิวเรียบเนียน แก้ปัญหาผิวริ้วรอย เซลลูไลท์ รอยแตกลาย ลดไขมันส่วนเกินใต้ชั้นผิว และช่วยยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อยให้กลับมาเต่งตึง ซึ่งสามารถทำได้ทั้งบริเวณใบหน้าและลำตัว โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น สามารถเห็นผลลัพธ์ได้ทันทีหลังทำ Duo Slim Max จึงเป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่ใคร ๆ ก็ต่างไว้ใจ

         

        Duo Slim Max ทำงานอย่างไร ?

        หลักการทำงานของ Duo Slim Max นั้นจะใช้เทคโนโลยีที่มีความโดดเด่น ซึ่งประกอบด้วยการใช้คลื่นวิทยุความถี่สูง Monopolar Radio Frequency (RF) ร่วมกับคลื่นเสียง Ultrasound โดยจะทำการส่งพลังงานความร้อนที่อุณหภูมิประมาณ 40 – 42 °C ลงไปที่ชั้นผิวหนังแท้ (Dermis) และชั้นไขมันใต้ผิวหนัง (Subcutaneous) สามารถลงไปได้ลึกถึง 2.5 cm. ซึ่งจะมีความลึกมากกว่าการใช้พลังงานแบบ Monopolar RF อย่างเดียว จากนั้นพลังงานความร้อนจะเข้าไปทำให้เซลล์ไขมันตายอย่างธรรมชาติ (Apoptosis) และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ๆ พร้อมทั้งจัดเรียงโมเลกุลของคอลลาเจนให้เรียงตัวได้ดียิ่งขึ้น ส่งผลให้ผิวบริเวณที่ทำเกิดความเรียบเนียน เต่งตึง และไขมันลดลง และยังสามารถทำได้หลายบริเวณทั่วร่างกายนอกจากนี้ Duo Slim Max ยังมีเทคโนโลยีที่ช่วยตรวจจับอุณหภูมิ และช่วยปรับความร้อนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมกับผิวแต่ละบริเวณ จึงทำให้มั่นใจได้ว่าไม่เกิดความเจ็บ หรือผิวเกิดการเบิร์น โดย Duo Slim Max จะใช้เวลาในการรักษาประมาณ 20-30 นาที ต่อบริเวณ ทั้งนี้จะขึ้นอยู่กับปัญหาของแต่ละบุคคลด้วย

         Duo Slim Max ช่วยเรื่องอะไรบ้าง
        Duo Slim Max ช่วยเรื่องอะไรบ้าง

        Duo Slim Max ช่วยเรื่องอะไรบ้าง

        Duo Slim Max เป็นการใช้พลังงาน Radio Frequency (RF) และ Ultrasound ในการกระตุ้นเซลล์ผิว ออกแบบมาเพื่อช่วยยกกระชับผิวและลดไขมันโดยไม่ต้องผ่าตัด จึงทำให้มีข้อดีหลายด้านที่จะช่วยแก้ปัญหาผิว และปัญหารูปร่างได้ ดังนี้

        • Duo Slim Max ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ผิว ทำให้ผิวดูเต่งตึงและอ่อนเยาว์ขึ้น
        • Duo Slim Max ช่วยยกกระชับผิว ลดเลือนริ้วรอย ลดความหย่อนคล้อยของผิว เช่น ใบหน้า รอบดวงตา ลำคอ และเนินอก 
        • Duo Slim Max ช่วยลดไขมันส่วนเกิน กำจัดไขมันเฉพาะจุดบริเวณใต้วงแขน แขน หลังมือ หน้าท้อง สะโพก และต้นขา 
        • Duo Slim Max ช่วยปรับรูปร่างให้กระชับขึ้น โดยไม่ต้องผ่าตัด หรือดูดไขมัน
        • Duo Slim Max ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และการทำงานของระบบน้ำเหลือง
        • Duo Slim Max ช่วยกระตุ้นการเผาผลาญไขมันได้ดีขึ้น และยังช่วยยกกระชับสัดส่วนให้ได้รูปร่างที่สวยงาม
        • Duo Slim Max ช่วยขจัดเซลลูไลท์ ลดปัญหาผิวเปลือกส้ม ทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น
        • Duo Slim Max สามารถเห็นผลลัพธ์ได้ชัดเจน และเห็นความเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ครั้งแรก 
        • Duo Slim Max ไม่ต้องใช้เข็ม ไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีบาดแผล และมีความเจ็บน้อย ทำให้ไม่ต้องพักฟื้น

         

        Duo Slim Max เหมาะกับใคร?

        • Duo Slim Max เหมาะกับผู้ที่มีริ้วรอยเล็ก ๆ และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
        • Duo Slim Max เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย ผิวขาดความกระชับ 
        • Duo Slim Max เหมาะกับผู้ที่มีไขมันส่วนเกินเฉพาะจุด เช่น แขน หน้าท้อง หลัง สะโพก ต้นขา น่อง
        • Duo Slim Max เหมาะกับผู้ที่ออกกำลังกาย และต้องการให้เห็นมัดกล้ามเนื้อเชัดขึ้น
        • Duo Slim Max เหมาะกับคุณแม่หลังคลอด ที่มีผิวหน้าท้องที่หย่อนคล้อย
        • Duo Slim Max เหมาะกับผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อยจากการลดน้ำหนัก หรือดูดไขมัน
        • Duo Slim Max เหมาะกับผู้ที่ไม่ต้องการผ่าตัด Duo Slim Max ใช้เทคโนโลยีที่ไม่เสี่ยงอันตราย ไม่ต้องผ่าตัด
        • Duo Slim Max เหมาะกับผู้ที่มีเซลลูไลท์ หรือผิวเปลือกส้ม ต้องการลดเซลลูไลท์บริเวณต้นขาและสะโพก
        • Duo Slim Max เหมาะกับผู้ที่ต้องการเสริมการรักษาด้วยวิธีอื่น ๆ  เช่น ทำร่วมกับการดูดไขมัน หรือฉีดแฟต เพื่อผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น

        ทั้งนี้ ผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ แจ้งโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา หรือประวัติการรักษา ก่อนเข้ารับการบริการ

         

        Duo Slim Max ไม่เหมาะกับใคร

        แม้ว่า Duo Slim Max จะเป็นเทคโนโลยีที่ไม่เสี่ยงอันตรายต่อร่างกาย แต่อาจจะมีบางกลุ่มเสี่ยงที่อาจจะไม่เหมาะกับการใช้Duo Slim Max หรือควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำ ได้แก่

        • Duo Slim Max ไม่เหมาะกับผู้ที่มีอุปกรณ์ฝังในร่างกาย เช่น เครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemaker) หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในร่างกาย
        • Duo Slim Max ไม่เหมาะกับผู้ที่มีอุปกรณ์โลหะฝังอยู่ในร่างกาย หรือมีเหล็กดาม
        • Duo Slim Max ไม่เหมาะกับผู้ป่วยเบาหวานเรื้อรัง หรือผู้ที่มีแผลเรื้อรัง หรือระบบไหลเวียนเลือดไม่ดี
        • Duo Slim Max ไม่เหมาะกับผู้ที่มีความผิดปกติในการรับความรู้สึก อาจทำให้ไม่สามารถรับรู้ระดับความร้อนที่เกิดจากเครื่องได้
        • Duo Slim Max ไม่เหมาะกับผู้ที่มีโรคเกี่ยวกับมะเร็งเม็ดเลือด หรือเกล็ดเลือด
        • Duo Slim Max ไม่เหมาะกับผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ หรือกำลังอยู่ในช่วงให้นมบุตร
        • Duo Slim Max ไม่เหมาะกับผู้ที่อยู่ในช่วงมีประจำเดือน 
        • Duo Slim Max ไม่เหมาะกับผู้ที่ฉีดโบ ควรเว้นอย่างน้อย 3 เดือนหลังฉีดโบ
        • Duo Slim Max ไม่เหมาะกับผู้ที่ร้อยไหม ควรเว้นอย่างน้อย 6 เดือนหลังร้อนไหม
        • Duo Slim Max ไม่เหมาะกับผู้ที่มีภาวะผิวบางผิดปกติ หรือผิวไวต่อความร้อน ควรปรึกษาแพทย์ก่อน
        • Duo Slim Max ไม่เหมาะกับผู้ที่มีผิวอักเสบ หรือมีแผลเปิดในบริเวณที่ต้องการทำ Duo Slim Max ควรรอให้แผลหายก่อน

        ทั้งนี้ ผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ แจ้งโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา หรือประวัติการรักษา ก่อนเข้ารับการบริการ

         Duo Slim Max ช่วยเรื่องอะไรบ้าง
        Duo Slim Max ช่วยเรื่องอะไรบ้าง

        Duo Slim Max ช่วยลดไขมันส่วนไหนได้บ้าง?

        • ใบหน้าและลำคอ ช่วยลดไขมันบริเวณเหนียง กรอบหน้า และช่วยยกกระชับผิวบริเวณ แก้ม ร่องแก้ม เหนียง และลำคอ
        • หน้าท้องและเอว ช่วยลดไขมันหน้าท้องส่วนบนและล่าง รวมถึงไขมันบริเวณรอบเอว (Love Handles) 
        • ต้นแขน ช่วยลดไขมันทำให้แขนดูเรียวเล็กขึ้น ลดอาการแขนล้า และผิวหนังหย่อนคล้อย 
        • ต้นขาและสะโพก ช่วยลดไขมันให้ขาดูเรียวขึ้น ลดเซลลูไลท์ ปรับรูปทรงสะโพกให้ดูกระชับขึ้น
        • หลังมือ ช่วยลดความเหี่ยวย่นของหลังมือ กระตุ้นคอลลาเจนให้ผิวดูสดใส และเรียบเนียนขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการดูแลมือให้ดูอ่อนกว่าวัย
        • แผ่นหลังส่วนบนและล่าง ลดไขมันด้านหลังเสื้อชั้นใน (Bra Bulge) ทำให้แผ่นหลังดูกระชับและเรียบเนียนมากขึ้น

         

        Duo Slim Max ต้องเตรียมตัวก่อนทำอย่างไร

        Duo Slim Max ถือเป็นเครื่องที่ไม่เสี่ยงอันตราย จึงสามารถเข้ารับบริการได้เลยทันที แต่สำหรับใครที่อยากจะเตรียมตัวก่อนเข้ารับบริการ Duo Slim Max ลดไขมัน ยกกระชับ สามารถเตรียมตัวให้พร้อมได้ ดังนี้

        • ก่อนทำ Duo Slim Max ลดไขมัน ควรดื่มน้ำให้เพียงพออย่างน้อย 2-3 ลิตร ต่อวัน เพื่อช่วยให้ร่างกายสามารถขับของเสียและเผาผลาญไขมันได้ดีขึ้น
        • ก่อนทำ Duo Slim Max ควรหลีกเลี่ยงคาเฟอีนและแอลกอฮอล์ อาจส่งผลต่อการทำงานของ Duo Slim Max
        • ก่อนทำ Duo Slim Max ควรงดใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีสารออกฤทธิ์แรง เช่น ครีมที่มีกรดผลไม้ (AHA, BHA) หรือเรตินอลบริเวณที่ต้องการทำ Duo Slim Max อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนทำ
        • ก่อนทำ Duo Slim Max ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักก่อนทำ เพราะอาจทำให้ร่างกายเหนื่อยล้า และส่งผลต่อกระบวนการเผาผลาญไขมันในระหว่างการทำ Duo Slim Max
        • ก่อนทำ Duo Slim Max ควรแจ้งข้อมูลสุขภาพกับแพทย์อย่างละเอียด หากมีโรคประจำตัว หรือใช้เครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemaker) ควรแจ้งแพทย์หรือผู้ให้บริการก่อนเข้ารับการรักษา

         

        ขั้นตอนการทำ Duo Slim Max

        Duo Slim Max เป็นการลดไขมัน ยกกระชับ โดยใช้เทคโนโลยีที่ไม่เสี่ยงอันตรายอย่าง คลื่นวิทยุความถี่สูง (RF) และคลื่นเสียง Ultrasound ที่จะช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญ พร้อมช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนังได้โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้

        •  แพทย์จะทำการวิเคราะห์ปัญหา ประเมินสภาพผิวและไขมันเพื่อวางแผนการรักษาได้อย่างตรงจุด
        • การเตรียมผิวก่อนทำ เจ้าหน้าที่จะทำความสะอาดผิวบริเวณที่จะทำการรักษา และอาจมีการทาเจลนำคลื่นเพื่อให้พลังงาน RF กระจายได้อย่างทั่วถึง
        • เริ่มต้นกระบวนการรักษา แพทย์จะทำการใช้ Duo Slim Max ลดไขมัน โดยใช้หัวเครื่อง นำไปนวดวนบริเวณที่ต้องการรักษา และทำการปล่อยคลื่น RF และ Ultrasound ลงไปในชั้นผิว พร้อมปรับความร้อนให้เข้ากับผู้ใช้บริการ
        • โดยระยะเวลาที่ใช้ในการรักษาลดไขมันจะอยู่ที่ 30-60 นาทีต่อบริเวณ ทั้งนี้ระยะเวลาขึ้นอยู่กับขนาดของบริเวณที่ทำ เช่น ใบหน้าใช้เวลาประมาณ 30 นาที ส่วน หน้าท้องหรือต้นขาใช้เวลาประมาณ 45-60 นาที หรือปัญหาของแต่ละบุคคล 
        • เมื่อทำ Duo Slim Max เสร็จแล้วแพทย์จะทำการให้คำแนะนำ และวิธีดูแลตัวเองหลังทำ ซึ่งหลังจากทำเสร็จอาจจะรู้สึกอุ่นหรือแดงเล็กน้อยที่บริเวณผิว ซึ่งเป็นอาการปกติ และสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ทันที 

         

        Duo Slim Max ลดไขมัน ระหว่างทำเจ็บไหม?

        Duo Slim Max เป็นการใช้คลื่น RF และคลื่น Ultrasound ทำให้ขณะทำไม่มีความเจ็บ แต่จะมีความรู้สึกอุ่น ๆ หรือร้อนเล็กน้อยในบริเวณที่ทำ ในบางเคสอาจจะรู้สึกถึงความสบาย ซึ่งเกิดจากคลื่นความร้อนที่ปล่อยออกมาจาก Duo Slim Max ลดไขมัน หากระหว่างทำรู้สึกร้อนเกินไป สามารถแจ้งแพทย์เพื่อปรับระดับพลังงานให้เหมาะสมได้ หลังทำหากไม่มีอาการที่ผิดปกติ สามารถทำกิจกรรมหรือใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติได้ ไม่ต้องพักฟื้น

         

        Duo Slim Max หลังทำต้องดูแลตัวเองอย่างไร ?

        หลังจากทำ Duo Slim Max ลดไขมัน ควรปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้เพื่อช่วยให้ผลลัพธ์หลังทำออกมามีประสิทธิภาพ

        • หลังจากทำ Duo Slim Max ควรดื่มน้ำเยอะ ๆ เพื่อช่วยให้ร่างกายสามารถขับไขมันที่ถูกลดออกไปทางระบบขับถ่ายได้มากขึ้น
        • หลังจากทำ Duo Slim Max ควรหลีกเลี่ยงการทานอาหารที่มีไขมันสูง ควรเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผัก ผลไม้ และโปรตีน เพื่อช่วยให้ร่างกายสามารถเผาผลาญไขมันได้ดีขึ้น
        • หลังจากทำ Duo Slim Max ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักภายใน 24 ชั่วโมงแรก เนื่องจากหลังทำ Duo Slim Max อาจจะทำให้ร่างกายเกิดความเหนื่อยล้ามากเกินไป
        • หลังจากทำ Duo Slim Max ควรหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ผลัดเซลล์ผิว เช่น สารสกัด AHA, BHA, เรตินอล อย่างน้อย 24 ชั่วโมง เนื่องจากอาจจะทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองได้
        • หลังจากทำ Duo Slim Max ควรหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และการสูบบุหรี่ เนื่องจากอาจทำให้ Duo Slim Max ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ทั้งยังมีโอกาสที่จะทำให้ไขมันกลับมา
        • ควรทำ Duo Slim Max อย่างน้อย 4-6 ครั้ง โดยเว้นระยะห่าง 7-10 วันต่อการทำ 1 ครั้ง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและพึงพอใจมาก
         Duo Slim Max ต้องทำบ่อยแค่ไหน
        Duo Slim Max ต้องทำบ่อยแค่ไหน

        Duo Slim Max ต้องทำบ่อยแค่ไหน 

        การทำ Duo Slim Max สามารถลดไขมัน ยกกระชับ ได้ทั้งบริเวณใบหน้า และลำตัว ซึ่งในแต่ละบริเวณนั้นก็จะมีจำนวนครั้งในการทำที่แตกต่างกันไป 

        • Duo Slim Max ลดไขมัน สำหรับบริเวณใบหน้าและลำคอ ควรทำประมาณ 4 ครั้ง โดยแต่ละครั้งห่างกัน 7 – 10 วัน จะเริ่มเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนประมาณ 3 เดือน
        • Duo Slim Max ลดไขมัน สำหรับบริเวณลำตัว เช่น แขน หน้าท้อง เอว ลำตัว สะโพก และขา ควรทำอย่างน้อยประมาณ 4 ครั้ง โดยแต่ละห่างกันครั้งละ 7 – 10 วัน จะเริ่มเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนประมาณ 3 เดือน 

         

        Duo Slim Max ใช้เวลานานไหม

        การทำ Duo Slim Max ลดไขมัน ยกกระชับ ใช้เวลานานไหม ? ระยะเวลาในการทำ Duo Slim Max จะอยู่ประมาณ 30 นาที ต่อ 1 บริเวณ ซึ่งระยะเวลาจะขึ้นอยู่กับปัญหาผิว และปริมาณไขมันของแต่ละบุคคล โดยหลังทำการรักษา Duo Slim Max บริเวณผิวที่ทำจะมีอาการแดงเล็กน้อย ซึ่งสามารถหายได้เองภายใน 1-2 ชั่วโมง หลังจากนั้นผิวหนังอาจจะเกิดการแห้งได้ แนะนำให้บำรุงผิวด้วยครีมบำรุงที่มีความชุ่มชื้นสูงทั้งนี้ เพื่อผลลัพธ์การรักษา Duo Slim Max มีประสิทธิภาพ ควรเข้ามารักษาตามระยะเวลาที่แพทย์แนะนำอย่างต่อเนื่อง

         

        Duo Slim Max ลดไขมัน ต้องทำกี่ครั้งถึงจะเห็นผล ?

        ต้องทำการรักษาด้วย Duo Slim Max กี่ครั้งถึงเห็นผลลัพธ์ ? การทำ Duo Slim Max สามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงได้เลยทันทีหลังทำ และหากต้องการผลลัพธ์ที่ชัดเจนควรทำ Duo Slim Max ประมาณ 4 ครั้ง โดยแต่ละครั้งนั้นควรมีระยะห่างประมาณ 7-10 วัน และจะเห็นผลเต็มที่ภายใน 3 เดือน ทั้งนี้จำนวนครั้งจะขึ้นอยู่กับปัญหาผิวและปริมาณไขมันของแต่ละบุคคลทั้งนี้ เพื่อผลลัพธ์การรักษา Duo Slim Max ลดไขมัน  มีประสิทธิภาพ ควรเข้ามารักษาตามระยะเวลาที่แพทย์แนะนำอย่างต่อเนื่อง

         

        Duo Slim Max ผลลัพธ์อยู่ได้นานแค่ไหน?

        หลังทำ Duo Slim Max ลดไขมัน ยกกระชับ ผลลัพธ์นั้นจะอยู่ได้นานถึง 6 เดือนถึง 1 ปี โดยจะขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการใช้ชีวิต และการดูแลตัวเองหลังทำ Duo Slim Max ซึ่งแม้ว่าไขมันที่ถูกทำลายจะไม่สามารถกลับมาได้อีกนั้น แต่หากยังมีพฤติกรรมการใช้ชีวิตแบบเดิม การรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง และการพักผ่อนที่ไม่ดีนั้น อาจจะทำให้ไขมันใหม่นั้นเพิ่มขึ้นแทนได้

         

        Duo Slim Max เหมาะกับทุกสภาพผิวหรือไม่?

        Duo Slim Max เป็นการลดไขมัน ยกกระชับ ลดเลือนริ้วรอย และลดเซลลูไลท์ที่ไม่เสี่ยงอันตราย เนื่องจากใช้พลังงาน RF และ Ultrasound ทำให้มีข้อจำกัดการทำที่น้อยมาก Duo Slim Max สามารถทำได้กับทุกสภาพผิว และทุกสีผิว

         

        Duo Slim Max ลดไขมัน ทำที่ไหนดี?

        การเลือกคลินิกสำหรับทำ Duo Slim Max ลดไขมัน เป็นสิ่งสำคัญ เพราะแม้จะเป็นเทคโนโลยีที่ไม่เสี่ยงอันตราย แต่ Duo Slim Max เป็นหัตถการที่ควรทำโดยแพทย์เท่านั้นและอยู่ในสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐาน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี และลดความเสี่ยงจากผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งวิธีพิจารณาเลือกคลินิกทำ Duo Slim Max ลดไขมัน มีดังนี้

        • ตรวจสอบว่าคลินิกได้รับใบอนุญาตจากกระทรวงสาธารณสุข และดำเนินการโดยแพทย์ประจำคลินิก ซึ่งสามารถเช็กเลขที่ใบอนุญาตของคลินิกได้จากเว็บไซต์ของกระทรวงสาธารณสุข
        • Duo Slim Max ลดไขมัน ต้องมาจากบริษัท BTL Aesthetics และต้องได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)  ควรสอบถามกับคลินิกและขอดูเครื่องจริงก่อนทำ
        • แพทย์และผู้เจ้าหน้า แพทย์หรือเจ้าหน้าที่ที่ให้บริการควรมีประสบการณ์ในการใช้เครื่อง Duo Slim Max สามารถประเมินสภาพผิวได้อย่างแม่นยำ และสามารถตอบคำถามเกี่ยวกับตัวเครื่องได้อย่างชัดเจน
        • มีรีวิว Duo Slim Max ลดไขมัน จากผู้ใช้จริง และมีภาพผลลัพธ์ก่อน-หลังทำ โดยสามารถดูรีวิวได้จากเว็บไซต์ของคลินิก หรือโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook, Instagram หรือ Pantip เพื่อดูว่าคลินิกมีความน่าเชื่อถือ และมีประสบการณ์ในการใช้ Duo Slim Max มากแค่ไหน 
        • ต้องมีราคาที่เหมาะสม ควรเปรียบเทียบราคา Duo Slim Max ลดไขมัน กับคลินิกอื่น ๆ ซึ่งราคาควรอยู่ในช่วง มาตรฐานของตลาด ระวังคลินิกที่ราคาถูกเกินไป เพราะอาจใช้เครื่องปลอม หรือไม่ได้มาตรฐาน
        เหตุผลที่ควรเลือกทำ Duo Slim Max ลดไขมัน
        เหตุผลที่ควรเลือกทำ Duo Slim Max ลดไขมัน

        เหตุผลที่ควรเลือกทำ Duo Slim Max ลดไขมัน

        Duo Slim Max เป็นเทคโนโลยีลดไขมัน ยกกระชับผิว ที่ได้รับความนิยมสูง เนื่องจากไม่เสี่ยงอันตราย ทั้งยังมีจุดเด่นและมีข้อดีที่หลากหลาย ดังนี้

        1. Duo Slim Max ลดไขมันได้ โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่เจ็บ และไม่มีแผล ต่างจากการดูดไขมันหรือศัลยกรรม ทำให้หลังทำ Duo Slim Max ไม่ต้องพักฟื้น และไม่มีรอยแผลหลังทำ สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ
        2. Duo Slim Max ลดไขมัน สามารถใช้ได้ทั่วร่างกาย ทั้งบริเวณใบหน้าและร่างกาย โดยสามารถทำเพื่อยกกระชับผิวหน้า ลดเซลลูไลท์ และลดริ้วรอย หรือใช้สำหรับการลดไขมันเฉพาะจุด  ลดเหนียง เช่น หน้าท้อง เอว ต้นแขน ต้นขา ได้
        3. Duo Slim Max ลดไขมัน ไม่เสี่ยงอันตราย เนื่องจาก Duo Slim Max นั้นได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)  ทำให้มั่นใจได้เลยว่าไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย
        4. Duo Slim Max ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และกระตุ้นการเผาผลาญไขมันได้พร้อมกัน โดยการใช้พลังงาน Radio Frequency (RF) และ Ultrasound ทำให้ช่วยลดไขมันและกระชับผิวในเวลาเดียวกัน เพิ่มความสะดวกสบาย และประหยัดเวลาได้เป็นอย่างดี
        5. Duo Slim Max ลดไขมัน สามารถเห็นผลเร็ว โดยจะเริ่มเห็นผลลัพธ์ตั้งแต่ครั้งแรก และจะเริ่มเห็นชัดขึ้นเรื่อย ๆ หลังทำครบคอร์ส ผลลัพธ์อยู่ได้นานถึง 6 เดือน – 1 ปี

         

        Duo Slim Max กับเทคโนโลยีลดไขมันและยกกระชับผิวอื่น ๆ เลือกตัวไหนดี ?

        ปัจจุบันมีเทคโนโลยีหลากหลายที่ใช้ในการลดไขมันและยกกระชับผิว ซึ่งแต่ละเทคโนโลยีก็มีข้อดีและเหมาะกับความต้องการที่แตกต่างกันไป เรามาดูการเปรียบเทียบ Duo Slim Max กับเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่ได้รับความนิยม 

        • Duo Slim Max

        Duo Slim Max เป็นเทคโนโลยีลดไขมัน กระชับผิว ที่รวมมีความพิเศษ เนื่องจากได้รวมคลื่นวิทยุความถี่สูง (RF) และ Ultrasound ไว้ด้วยกัน เพื่อช่วยลดไขมันและยกกระชับผิวในคราวเดียวกัน โดย RF จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวดูกระชับเต่งตึงขึ้น ในขณะที่ Ultrasound จะช่วยลดไขมันใต้ผิวหนังได้ Duo Slim Max จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดไขมันเฉพาะจุด พร้อมกับยกกระชับผิวให้ดูเรียบเนียนขึ้น โดยไม่ต้องพักฟื้น โดยแนะนำให้ทำ Duo Slim Max ลดไขมัน ประมาณ 4-6 ครั้ง เพื่อผลลัพธ์ที่ชัดเจน และได้ประสิทธิภาพมาก

        HIFU (High-Intensity Focused Ultrasound) ใช้เทคโนโลยีคลื่นอัลตราซาวด์ความเข้มข้นสูง ที่สามารถลงไปถึงผิวชั้น SMAS เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ช่วยยกกระชับผิวให้มีความเต่งตึงขึ้น จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับใบหน้าและลำตัว แต่ไม่เน้นลดไขมัน โดยแนะนำให้ทำ HIFU ปีละ 1-2 ครั้ง

        CoolSculpting เป็นการลดไขมันโดยใช้เทคโนโลยี Cryolipolysis หรือ การแช่แข็งเซลล์ไขมันจนทำให้เซลล์ไขมันตายอย่างถาวร โดยไม่ต้องผ่าตัด ซึ่งเซลล์ไขมันที่ตายแล้วจะถูกขับออกจากร่างกายตามระบบขับของเสีย CoolSculpting สามารถลดไขมันได้แบบถาวร แต่ไม่ได้ช่วยเรื่องความยกกระชับของผิว เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการกำจัดไขมันเฉพาะจุด เช่น หน้าท้อง ต้นขา หรือสะโพก โดยแนะนำให้ทำ CoolSculpting 1-2 ครั้งต่อบริเวณ 

        • Thermage 

        Thermage เป็นการยกกระชับผิว โดยใช้เทคโนโลยีคลื่นวิทยุความถี่สูงแบบขั้วเดียว (Monopolar RF) ที่ส่งพลังงานไปถึงผิวหนังชั้นลึก ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และทำให้ผิวยกกระชับขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ทั้งยังช่วยลดเลือนริ้วรอย ยกกระชับผิวที่มีความหย่อนคล้อยได้เป็นอย่างดี Thermage เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการกระชับผิวหน้าและลำตัว โดยไม่ต้องลดไขมัน โดยแนะนำให้ทำ Thermage มักทำปีละ 1 ครั้งทั้งนี้ ผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ แจ้งโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา หรือประวัติการรักษา ก่อนเข้ารับการบริการ

        Duo Slim Max ลดไขมัน เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้อยากมีรูปร่างที่สวยงาม และมีหุ่นที่เฟิร์ม เนื่องจากเป็นการใช้เทคโนโลยี คลื่นวิทยุความถี่สูง (RF) และ Ultrasound ทำให้สามารถลดไขมันและยกกระชับผิวพร้อมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ต้องผ่าตัด และไม่ต้องพักฟื้น จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการดูแลรูปร่าง แต่ไม่มีเวลา สำหรับใครที่อยากจะมีหุ่นในฝันสามารถเข้ามารับคำปรึกษาได้ที่ รมย์รวินท์คลินิก ทุกสาขา

        *ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับการบริการ*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

         

        Body Firm ตัวช่วยสร้างกล้ามเนื้อ ลดไขมัน ปั้นหุ่นสวย

        Body Firm

        ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




          วันที่สะดวกในการติดต่อ








           

          Body Firm ตัวช่วยสร้างกล้ามเนื้อ ลดไขมัน ปั้นหุ่นสวย

          อยากปั้นหุ่นให้สวย แต่ไม่มีเวลาออกกำลังกาย ต้องมาทางนี้! สำหรับสาว ๆ ที่อยากจะปั้นหุ่นให้เป๊ะ อยากมีหน้าท้องแบบร่อง 11 ก้นเด้ง สะโพกกระชับ หรือหนุ่ม ๆ ที่อยากจะฟิตหุ่น ให้มีซิกแพค สร้างกล้ามเนื้อ พร้อมลดไขมันส่วนเกิน แต่ไม่มีเวลาออกกำลังกาย หรือออกกำลังกายหนักไม่ได้นั้น มาทำความรู้จักกับ Body Firm ตัวช่วยสร้างกล้ามเนื้อ ลดไขมัน ปั้นหุ่นสวย แค่ 30 นาทีก็เทียบเท่าการซิทอัพถึง 20,000 ครั้ง

           

           Body Firm คืออะไร?
          Body Firm คืออะไร?

           

          Body Firm คืออะไร?

          Body Firm หรือ Emsculpt เป็นเครื่องสร้างกล้ามเนื้อ และช่วยลดไขมันสะสมส่วนเกินใต้ชั้นผิวหนัง ซึ่ง Body Firm by Emsculpt® ก็มาพร้อมกับเทคโนโลยีเฉพาะอย่าง HIFEM (High-Intensity Focused Electromagnetic) หรือ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแบบจำเพาะเจาะจงที่มีความเสถียรสูง มีส่วนช่วยในการกระตุ้นเสริมสร้างกล้ามเนื้อ โดยพลังงานจะถูกส่งผ่านเข้าไปที่ชั้นกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อนั้นเกิดการหดและเกร็ง (Supramaximal Contraction) เช่นเดียวกับการออกกำลังกาย และส่งผลให้กล้ามเนื้อบริเวณที่ทำมีความแข็งแรง สัดส่วนดูกระชับขึ้น อีกทั้งยังช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญไขมันส่วนเกินในร่างกาย ทำให้สัดส่วนดูเล็กลง

           

          การทำ Body Firm by Emsculpt จะช่วยสร้างกล้ามเนื้อ สร้างซิกแพค กระชับสัดส่วน พร้อมลดไขมันได้ เพราะการทำ Body Firm เพียง 1 ครั้ง ก็เทียบเท่ากับการซิทอัพถึง 20,000 ครั้ง ทำให้เพิ่มกล้ามเนื้อได้ และยังสามารถลดไขมันได้อีกด้วย โดยจะค่อย ๆ เห็นผลลัพธ์ประมาณ 2-4 สัปดาห์ และร่างกายจะมีมวลกล้ามเนื้อมากขึ้นภายใน 1-2 เดือน ไขมันจะเริ่มลดไปประมาณ 4 สัปดาห์หลังทำ ทั้งนี้ควรเข้ารับบริการ Body Firm อย่างต่อเนื่องประมาณ 4-6 ครั้ง หรือตามที่แพทย์ได้วางแผนการรักษาไว้  โดยการทำ Body Firm 1 ครั้ง จะใช้เวลาประมาณ 30 นาที จึงเหมาะสำหรับคนที่ต้องการต้องการดูแลรูปร่าง แต่มีเวลาจำกัด 

           

          Body Firm เป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่สามารถช่วยทั้งสร้างกล้ามเนื้อ และลดไขมันพร้อมกันได้ นอกจากนี้ Body Firm ยังไม่เสี่ยงอันตราย เนื่องจากผ่านการรับรองจาก FDA ทั้งในประเทศไทย และประเทศสหรัฐอเมริกา เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสร้างกล้ามเนื้อ ลดไขมัน กระชับสัดส่วนแบบทันใจ ไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีแผล ให้ผลลัพธ์ที่พึงพอใจ

           

          Body Firm มีหลักการทำงานอย่างไร

          การทำงานของเครื่อง Body Firm จะปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแบบจำเพาะเจาะจง หรือ HIFEM (High-Intensity Focused Electromagnetic) เข้าสู่กล้ามเนื้อโดยตรง โดยพลังงานจะทำให้กล้ามเนื้อเกิดการหดและเกร็งอย่างรุนแรงมากกว่าการออกกำลังกายปกติ ซึ่งการหดเกร็งแบบนี้จะเรียกว่า Supramaximal Contractions คือ การเกร็งที่มีความเข้มข้นสูงเกินขีดจำกัดที่มนุษย์สามารถทำได้เอง เทียบเท่ากับการออกกำลังกายหนัก หรือการซิทอัพถึง 20,000 ครั้ง จากนั้นร่างกายจะเกิดการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ และกระตุ้นการสร้างมวลกล้ามเนื้อบริเวณนั้น ๆ เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้กล้ามเนื้อในระดับลึกถูกกระตุ้นให้ทำงาน และเร่งอัตราการเผาผลาญไขมันส่วนเกินไปพร้อมกัน ทำให้กล้ามเนื้อมีความแข็งแรง และมีขนาดที่ใหญ่มากขึ้น

          ขณะทำ Body Firm สร้างกล้ามเนื้อ จะรู้สึกว่ากล้ามเนื้อมีการบีบตัว เพราะคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า HIFEM จะไม่ทำให้เกิดความร้อนขึ้นบริเวณผิว ไม่ทำลายเนื้อเยื่อ หรือผิวหนัง เนื่องจากตัวคลื่นทำงานกับเฉพาะชั้นกล้ามเนื้อเท่านั้น โดยหลังทำอาจจะมีความรู้สึกตึง ๆ เหมือนกับการออกกำลังกายเสร็จใหม่ ๆ โดยจะใช้เวลาทำ Body Firm ประมาณ 30 นาที ต่อการทำ 1 ครั้ง จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาจำกัด หรือมีข้อจำกัดทางด้านการออกกำลังกาย

           

          Body Firm ช่วยอะไรบ้าง?

          • Body Firm ช่วยเสริมสร้างมวลกล้ามเนื้อในบริเวณที่ต้องการ เช่น หน้าท้อง ก้น ต้นแขน ต้นขา
          • Body Firm ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวมีขนาดที่ใหญ่ขึ้น 
          • Body Firm ช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญไขมันสะสมภายในร่างกาย
          • Body Firm ช่วยลดการสะสมไขมันส่วนเกินตามบริเวณต่าง ๆ 
          • Body Firm ช่วยลดไขมันสะสมหน้าท้อง (Visceral Fat) 
          • Body Firm ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการออกกำลังกายมากยิ่งขึ้น
          • Body Firm ช่วยลดอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย เนื่องจากกล้ามเนื้อมีความแข็งแรงขึ้น
          • Body Firm ช่วยลดอาการปวดหลัง เนื่องจากกล้ามเนื้อแกนกลาง (Core Muscle) แข็งแรงขึ้น
          • Body Firm ช่วยกระชับรูปร่าง และกระชับสัดส่วนให้เล็กลง เช่น ก้น สะโพก หน้าท้อง ต้นแขน ต้นขา
          • Body Firm ช่วยลดความหย่อนคล้อยของผิวหนังในบริเวณที่ไขมันสะสม

           

          ทั้งนี้ ผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ แจ้งโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา หรือประวัติการรักษา ก่อนเข้ารับการบริการ

           

          Body Firm เหมาะกับใครบ้าง?

          • Body Firm เหมาะกับผู้ที่ต้องการเพิ่มกล้ามเนื้อเฉพาะจุด เช่น กล้ามท้อง ต้นแขน ต้นขา ก้น หรือบริเวณอก
          • Body Firm เหมาะกับผู้ที่ต้องการเพิ่มความแข็งแรงและมวลกล้ามเนื้อ
          • Body Firm เหมาะกับผู้ที่ไม่อยากออกกำลังกายหนัก ๆ แต่ต้องการสร้างกล้ามเนื้อ
          • Body Firm เหมาะกับผู้ที่มีข้อจำกัดด้านสุขภาพ ไม่สามารถออกกำลังกายหนักได้
          • Body Firm เหมาะกับผู้ที่ต้องการลดไขมันสะสมในบริเวณหน้าท้อง, ต้นแขน, ต้นขา
          • Body Firm เหมาะกับผู้ที่ต้องการปั้นรูปร่างให้เฟิร์ม กระชับ และได้สัดส่วน
          • Body Firm เหมาะกับผู้ที่ออกกำลังกายเพื่อลดไขมัน หรือสร้างกล้ามเนื้อ แต่ยังไม่ได้ผล
          • Body Firm เหมาะกับผู้ที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพการออกกำลังกาย
          • Body Firm เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย ไม่กระชับเฉพาะจุด
          • Body Firm เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาการปวดหลัง โดยเฉพาะหลังส่วนล่าง ซึ่งอาจเกิดจากกล้ามเนื้อแกนกลางที่อ่อนแอ
          • Body Firm เหมาะกับผู้ที่ไม่มีเวลามากพอสำหรับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
          • Body Firm เหมาะกับผู้ที่ต้องการรูปร่างที่กระชับ และสมส่วน 
          • Body Firm เหมาะกับผู้ที่ต้องการมีกล้ามท้องแบบ Six Pack, 11 Line หรือ V Line
          • Body Firm เหมาะกับคุณแม่หลังคลอดที่พ้นช่วงให้นมบุตร ที่มีปัญหาหน้าท้องหย่อนคล้อยหลังคลอด
          • Body Firm เหมาะกับผู้ที่ต้องการยกกระชับก้น สะโพก ให้ได้รูปทรงที่สวยงามได้รูป
          • Body Firm เหมาะกับผู้ที่ต้องการลดไขมันแบบไม่เสี่ยงอันตราย โดยไม่ต้องผ่าตัด

          ทั้งนี้ ผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ แจ้งโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา หรือประวัติการรักษา ก่อนเข้ารับการบริการ

           

          Body Firm ไม่เหมาะกับใคร

          Body Firm เป็นการสร้างกล้ามเนื้อ และลดไขมัน ด้วยพลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า HIFEM ที่ถูกส่งผ่านเข้าไปกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อ ซึ่งอาจจะกระทบต่อบุคคลบางประเภท หรือผู้ที่มีโรคประจำตัวบางโรค ที่ควรเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์ และควรระวังก่อนตัดสินใจทำ Body Firm ดังนี้

          • Body Firm ไม่เหมาะกับผู้ที่ฝังเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ (Pacemaker Implantation)
          • Body Firm ไม่เหมาะกับผู้ที่ฝังอุปกรณ์กระตุ้นประสาท (Neurostimulator) ไว้ในร่างกาย
          • Body Firm ไม่เหมาะกับผู้ที่มีโลหะฝังตามร่างกาย (Metal Plate) หรือวัสดุฝังยึดกระดูก เช่น สกรู หรือหมุดโลหะในร่างกาย
          • Body Firm ไม่เหมาะกับผู้ที่มีโรคประจำตัวบางอย่าง เช่น โรคหัวใจ, โรคลมชัก
          • Body Firm ไม่เหมาะกับผู้ที่มีโรคประจำตัวเกี่ยวกับระบบไหลเวียนเลือด และผู้ที่ใช้ยาละลายลิ่มเลือด
          • Body Firm ไม่เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบประสาทหรือการรับความรู้สึกผิดปกติ
          • Body Firm ไม่เหมาะกับผู้ที่มีภาวะปอดผิดปกติ หรือมีปัญหาเกี่ยวกับการหายใจ
          • Body Firm ไม่เหมาะกับผู้ที่กำลังตั้งครรภ์หรือกำลังให้นมบุตร
          • Body Firm ไม่เหมาะกับผู้ที่มีอาการป่วยชั่วคราว เช่น ไข้หวัด ควรรักษาให้หายก่อนค่อยเข้ารับการบริการ

          สำหรับผู้ที่สนใจต้องการทำ Body Firm สร้างกล้ามเนื้อ ทั้งนี้ ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ประจำคลินิก เพื่อให้แพทย์ทำการประเมินปัญหา และวางแผนการรักษาได้อย่างไม่เสี่ยงอันตราย และลดโอกาสการเกิดผลข้างเคียง อย่างไรก็ตามหากมีปัญหาสุขภาพควรแจ้งแพทย์ให้ทราบก่อนเข้ารับการบริการ Body Firm สร้างกล้ามเนื้อ ก่อนทุกครั้ง  

           

           Body Firm ทำบริเวณไหนได้บ้าง?
          Body Firm ทำบริเวณไหนได้บ้าง?

           

          Body Firm ทำบริเวณไหนได้บ้าง?

          การสร้างกล้ามเนื้อ และสลดไขมันด้วย Body Firm สร้างกล้ามเนื้อ สามารถทำได้หลายบริเวณในร่างกายไม่ว่าจะเป็น บริเวณลำตัว หรือกล้ามเนื้อเฉพาะจุด เช่น 

          บริเวณหน้าท้อง

          • Body Firm จะช่วยสร้างกล้ามเนื้อหน้าท้อง เช่น ซิกแพค (Six Pack) หรือ 11 Line ได้
          • Body Firm จะช่วยลดไขมันหน้าท้อง (Visceral Fat) และไขมันใต้ผิวหนัง ให้รูปร่างกระชับขึ้น
          • Body Firm จะช่วยกระชับกล้ามเนื้อหน้าท้องที่หย่อนคล้อย เช่น ผู้ที่คลอดบุตร ผู้ที่มีไขมันสะสมเฉพาะจุด

          บริเวณก้น และสะโพก

          • Body Firm จะช่วยยกกระชับบริเวณก้นให้มีความแน่นขึ้น
          • Body Firm จะช่วยปั้นรูปร่างของสะโพกให้ได้รูปที่สวยงาม 
          • Body Firm จะช่วยลดความหย่อนคล้อยของกล้ามเนื้อบริเวณก้น สะโพก

          บริเวณต้นแขน

          • Body Firm จะช่วยเพิ่มมวลกล้ามเนื้อแขนด้านหน้า (Biceps) ให้มีความแข็งแรง
          • Body Firm จะช่วยลดความหย่อนคล้อยของต้นแขนด้านหลัง (Triceps) ให้กระชับขึ้น

          บริเวณต้นขา และน่อง

          • Body Firm จะช่วยยกกระชับกล้ามเนื้อต้นขาให้ได้สัดส่วนที่สวยงาม
          • Body Firm จะช่วยลดไขมันส่วนเกินบริเวณต้นขา แก้ปัญหาต้นขาใหญ่
          • Body Firm จะช่วยเพิ่มความกระชับและสร้างกล้ามเนื้อบริเวณน่อง ให้น่องมีสัดส่วนที่พอดี

          บริเวณแกนกลางลำตัว

          • Body Firm จะช่วยเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว เช่น หน้าท้อง และหลังส่วนล่าง
          • Body Firm จะช่วยแก้ปัญหาอาการปวดเมื่อย ปวดหลัง และช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กล้ามเนื้อ

           

          ทำไมต้องทำ Body Firm

          • Body Firm เป็นเทคโนโลยีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแบบจำเพาะเจาะจง HIFEM ที่จะช่วยกระตุ้นการสร้างกล้ามเนื้อ และช่วยลดไขมันไปในเวลาเดียวกัน ผลลัพธ์ที่ได้จะเทียบเท่ากับการออกกำลังกายอย่างหนัก
          • การทำ Body Firm 1 ครั้ง เสมือนกับการออกกำลังกายซิทอัพถึง 20,000 ครั้ง ในเวลาเพียง 30 นาที 
          • Body Firm เครื่องแท้ ตรวจสอบได้ ไม่เสี่ยงอันตราย มีงานวิจัยรองรับ และผ่านการรับรองมาตรฐานจากทั้งในและต่างประเทศ
          • Body Firm เป็นเครื่องที่เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่มีเวลาออกกำลังกาย ที่ต้องการสร้างมวลกล้ามเนื้อ และลดไขมันส่วนเกิน
          • Body Firm ช่วยดูแลรูปร่าง ปั้นหุ่นสวยได้โดยไม่ต้องผ่าตัด สามารถทำได้หลายบริเวณทั่วร่างกาย
          • Body Firm สามารถช่วยยกกระชับสะโพก และปั้นก้นให้ได้รูปที่สวยงาม
          • ขณะทำ Body Firm จะไม่มีความร้อนบริเวณผิว ทำให้ไม่รู้สึกร้อน หรือรู้สึกแสบหลังทำ

           

          Body Firm ต่างจากการดูดไขมันหรือไม่ ?

          เทคโนโลยีลดไขมันแบบ Body Firm สร้างกล้ามเนื้อ อาจจะทำให้หลาย ๆ คนมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการทำ Body Firm ว่ามีความแตกต่างจากการดูดไขมันหรือไม่? และให้ผลลัพธ์ที่เหมือนกันไหม ? Body Firm สร้างกล้ามเนื้อ เป็นเครื่องที่ใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า HIFEM  ในการช่วยกระตุ้นการสร้างมวลกล้ามเนื้อ และเพิ่มอัตราการเผาผลาญไขมันตามธรรมชาติให้ทำงานได้ดีมากขึ้น ไม่ต้องใช้การผ่าตัด 

          ซึ่งจะแตกต่างจาก การดูดไขมัน ที่เป็นการนำไขมันใต้ชั้นผิวออกจากร่างกายโดยการผ่าตัด ใช้เข็มเจาะไขมัน และนำไขมันออกมาด้วยเครื่องดูดไขมัน ซึ่งจะต้องทำหัตถการโดยแพทย์เท่านั้น และมีการพักฟื้นที่นานกว่า

           

           Body Firm VS Coolsculpting แตกต่างกันอย่างไร?
          Body Firm VS Coolsculpting แตกต่างกันอย่างไร?

           

          Body Firm VS Coolsculpting แตกต่างกันอย่างไร?

          ปัจจุบันมีเทคโนโลยีที่ช่วยลดไขมันได้อย่างหลากหลาย จึงอาจจะเกิดข้อสงสัยว่าแต่ละเครื่องนั้นมีความแตกต่างกันหรือไม่? อย่างเครื่อง Body Firm สร้างกล้ามเนื้อ และเครื่อง Coolsculpting

           โดย Body Firm จะเป็นเครื่องที่ใช้เทคโนโลยีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแบบจำเพาะเจาะจง HIFEM ที่จะเข้าไปกระตุ้นการสร้างกล้ามเนื้อ และเพิ่มอัตราการเผาผลาญไขมันสะสมในร่างกาย ช่วยลดไขมันเฉพาะจุดได้พร้อมกัน 

          สำหรับ Coolsculpting จะเป็นการลดไขมันด้วยความเย็น โดยใช้เทคโนโลยี Cryolipolysis เป็นการกำจัดเซลล์ไขมันได้ตั้งแต่ต้นกำเนิด วิธีนี้จะทำให้จำนวนของเซลล์ไขมันลดลง และไม่กลับมาเพิ่มอีก แต่ไม่สามารถสร้างกล้ามเนื้อได้แบบ Body Firm  

          ซึ่งทั้ง 2 เทคโนโลยีนี้ เป็นเทคโนโลยีที่ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย และไม่ต้องผ่าตัด พักฟื้นไม่นาน สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ และยังให้ผลลัพธ์ที่ตรงใจอีกด้วย

          ทั้งนี้ ผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ แจ้งโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา หรือประวัติการรักษา ก่อนเข้ารับการบริการ

           

          การเตรียมตัวก่อนทำ Body Firm สร้างกล้ามเนื้อ

          • ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินปัญหา และวางแผนการรักษาให้เหมาะสมสำหรับการทำ Body Firm
          • ควรแจ้งประวัติสุขภาพ รวมถึงโรคประจำตัว และการมีอุปกรณ์ทางการแพทย์ในร่างกาย เช่น เครื่องกระตุ้นหัวใจ หรือวัสดุโลหะฝังในร่างกาย อย่างตรงไปตรงมา
          • หลีกเลี่ยงการทำ Body Firm ในช่วงที่ป่วย เช่น เป็นไข้หวัด หรือมีอาการเจ็บป่วยอื่น ๆ
          • หญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร ควรรอจนกว่าจะพ้นช่วงให้นมบุตร
          • หลีกเลี่ยงการใส่เครื่องประดับโลหะ

           

          ขั้นตอนการทำ Body Firm สร้างกล้ามเนื้อ

          • ผู้เข้ารับบริการจะต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าที่สวมใส่สบาย เพื่อเหมาะสำหรับการทำการรักษา และถอดเครื่องประดับที่มีโลหะออกทั้งหมด เพื่อป้องกันการรบกวนคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
          • ก่อนเริ่มผู้เข้ารับบริการจะต้องนอนในท่าที่เหมาะสมสำหรับบริเวณที่ต้องการทำ เช่น หากทำบริเวณหน้าท้องควรนอนราบ หรือหากทำบริเวณก้นควรนอนคว่ำ
          • แพทย์จะวางแอปพลิเคเตอร์ (Applicator) หรือหัวยิงคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในตำแหน่งที่ต้องการกระตุ้นกล้ามเนื้อให้แนบสนิทกับร่างกาย จากนั้นจะใช้สายรัดเพื่อยึดอุปกรณ์ไว้ในตำแหน่งที่เหมาะสม ไม่ให้ขยับระหว่างการทำ
          • จากนั้นแพทย์จะทำการเปิดเครื่อง Body Firm และค่อย ๆ เพิ่มค่าพลังงานให้ถึงค่าที่เหมาะสมกับผู้เข้ารับบริการ ซึ่งเป็นค่าที่ให้ผลลัพธ์ได้ โดยไม่ทำให้รู้สึกเจ็บปวดเกินไป
          • เมื่อได้ระดับพลังงานที่เหมาะสมแล้ว เครื่องจะทำงานโดยกระตุ้นการหดเกร็งของกล้ามเนื้ออย่างต่อเนื่อง
          • การทำ Body Firm สร้างกล้ามเนื้อ  ใช้เวลาประมาณ 30 นาที ต่อบริเวณ ซึ่งระหว่างทำอาจจะรู้สึกถึงการกระตุกหรือการเกร็งของกล้ามเนื้อ ซึ่งเป็นเรื่องปกติ
          • ระหว่างทำแพทย์จะคอยสอบถามความรู้สึกของผู้เข้ารับบริการ หากต้องการเพิ่มหรือลดค่าพลังงานสามารถแจ้งได้ทันที
          • เมื่อครบเวลาที่กำหนด แพทย์จะทำการถอดแอปพลิเคเตอร์และสายรัดออก ถือเป็นการเสร็จขั้นตอน
          • เมื่อเสร็จสิ้นขั้นตอนการรักษาแพทย์จะแนะนำวิธีการดูแลตัวเองหลังทำ และให้คำแนะนำในการดูแลตัวเอง โดยหลังทำสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ ไม่ต้องพักฟื้น

           

           Body Firm อยู่ได้นานไหม?
          Body Firm อยู่ได้นานไหม?

           

          Body Firm อยู่ได้นานไหม?

          หลังทำ Body Firm สร้างกล้ามเนื้อ ผลลัพธ์จะอยู่ได้นานไหม? หลังทำสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ตั้งแต่ครั้งแรก หากเข้ารับบริการอย่างต่อเนื่อง 4 ครั้ง จะช่วยเพิ่มมวลกล้ามเนื้อได้ โดยกล้ามเนื้อจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้น ภายใน 1 เดือนหลังทำ เพื่อคงความแข็งแรงของกล้ามเนื้อสามารถทำ Body Firm สร้างกล้ามเนื้อ ซ้ำได้ทุก ๆ 2-3 เดือน ผลลัพธ์จะคงอยู่ได้นาน 6-12 เดือน 

          ทั้งนี้ ผลลัพธ์นั้นจะขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองหลังทำ รวมถึงปัญหาของแต่ละบุคคล หากต้องการผลลัพธ์ระยะยาว ควรทำควบคู่กับการออกกำลังกาย การปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต และดูแลตัวเองตามคำแนะนำของแพทย์

           

          Body Firm อันตรายไหม?

          Body Firm สร้างกล้ามเนื้อ ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย เนื่องจากได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)  ซึ่งยืนยันถึงความไม่เสี่ยงอันตราย และคุณภาพของเครื่อง Body Firm สร้างกล้ามเนื้อ นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยทางการแพทย์รองรับว่าเทคโนโลยี HIFEM (High-Intensity Focused Electromagnetic) ส่งผลเฉพาะกับกล้ามเนื้อและไขมันเท่านั้น โดยไม่กระทบต่อเนื้อเยื่อส่วนอื่น

          เทคโนโลยี Body Firm สร้างกล้ามเนื้อ เป็นการใช้พลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความเข้มข้นสูง (HIFEM) เข้าไปกระตุ้นให้กล้ามเนื้อให้หดและเกร็งตัว (Supramaximal Contraction) ซึ่งเหมือนการออกกำลังกายอย่างหนัก โดย Body Firm จะไม่มีการทำลายเนื้อเยื่อผิวหนัง เส้นประสาท หรือระบบอวัยวะอื่น ๆ โดยไม่ใช้เข็ม หรือผ่าตัด และไม่มีสารเคมีใด ๆ เข้าไปในร่างกาย

           

          Body Firm ราคาเท่าไร?

          Emsculpt หรือ Body Firm สร้างกล้ามเนื้อ ราคาเท่าไหร่? แพงไหม? ต้องบอกเลยว่า Body Firm นั้นเป็นเครื่องที่ช่วยสร้างกล้ามเนื้อและลดไขมัน ในระยะเวลา 30 นาที โดยจะมีราคาเริ่มต้นที่ 5,500-9,000 บาทต่อครั้ง หรือในบางคลินิกอาจจะมีการจ่ายแบบคอร์ส ทั้งนี้ราคาของการทำ Body Firm สร้างกล้ามเนื้อ นั้นจะขึ้นอยู่กับแต่ละคลินิก

           

          เลือกทำ Body Firm ที่ไหนดี

          เลือกทำ Body Firm สร้างกล้ามเนื้อ ที่ไหนดี ? การเลือกคลินิกที่ดี และมีมาตรฐาน จะช่วยให้คำแนะนำเกี่ยวกับการรักษาให้คุณได้อย่างเหมาะสม และยังทำให้มั่นใจว่าคุณจะได้รับการบริการที่ดี ไม่เสี่ยงอันตราย และได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ ซึ่งการเลือกทำ Body Firm สร้างกล้ามเนื้อ ที่ไหนดี สามารถพิจารณาได้ ดังนี้

          • ควรเลือกคลินิกที่มีความน่าเชื่อถือ สามารถตรวจสอบได้ และมีชื่อเสียง 
          • ควรเลือกคลินิกที่มีใบประกอบฯ อย่างถูกต้องตามกฎหมาย 
          • ควรเลือกคลินิกที่ตรวจสอบได้ว่าใช้เครื่อง Body Firm ที่เครื่องแท้ที่ผ่านการรับรองจาก สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)
          • ควรเลือกคลินิกที่มีแพทย์ในการดูแลใช้ Body Firm สร้างกล้ามเนื้อ และสามารถให้คำปรึกษาได้อย่างถูกต้อง
          • ควรเลือกคลินิกที่มีความสะอาด ได้รับมาตรฐานด้านสุขอนามัยที่ดี
          • ควรเลือกคลินิกที่มีเจ้าหน้าที่ที่ให้บริการอย่างสุภาพ มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่อง Body Firm และให้ข้อมูลที่ตรงไปตรงมา สามารถอธิบายและตอบข้อสงสัยได้

          นอกจากนี้คุณสามารถเลือกคลินิกที่น่าเชื่อถือได้จากการดูรีวิวของผู้ใช้บริการในด้านอื่น ๆ รวมถึงเลือกคลินิกที่แสดงราคาที่ชัดเจน ราคาไม่แพงหรือถูกจนเกินไป เพื่อไม่เสี่ยงอันตรายในการใช้บริการ

           

          ปรแกรม Body Firm ระหว่างทำ เจ็บไหม?

          ขณะทำ Body Firm สร้างกล้ามเนื้อ จะรู้สึกว่ากล้ามเนื้อมีการบีบตัว เนื่องจากคลื่นพลังงาน HIFEM จะเข้าไปกระตุ้นกล้ามเนื้อให้เกิดการหดตัวแบบ Supramaxiamal Contraction ทำให้เส้นใยของกล้ามเนื้อบริเวณนั้นเพิ่มมากขึ้น และยังช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญมากขึ้น ทำให้ไขมันถูกลด โดยเซลล์ไขมันที่ถูกกำจัดจะถูกขับออกมาตามกระบวนการขับของเสียของร่างกาย โดยคลื่นจะไม่ทำลายเนื้อเยื่อบริเวณรอบ ๆ หลังจากทำเสร็จแล้วนั้นจะไม่รู้สึกเจ็บ หรือไม่มีอาการฟกช้ำ ผิวหนังไหม้ แต่จะมีความรู้สึกปวดตามร่างกายเล็กน้อย เหมือนกับหลังออกกำลังกายเสร็จ เพราะร่างกายกำลังเผาผลาญไขมัน

           

           Body Firm ต้องทำบ่อยแค่ไหน ?
          Body Firm ต้องทำบ่อยแค่ไหน ?


          Body Firm ต้องทำบ่อยแค่ไหน ?

          หลังทำ Body Firm สร้างกล้ามเนื้อ ต้องทำบ่อยแค่ไหนถึงเห็นผล? การสร้างกล้ามเนื้อด้วย Body Firm จะสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ทันทีหลังทำ และจะค่อย ๆ เห็นผลลัพธ์ประมาณ 2-4 สัปดาห์หลังทำ และเพื่อผลลัพธ์ที่พึงพอใจและต่อเนื่องนั้น ควรเข้ารับบริการ Body Firm สร้างกล้ามเนื้อ อย่างน้อย 4-6 ครั้ง หรือทำ Body Firm 4 วันต่อครั้ง โดยสามารถทำซ้ำได้หลังจากทำครั้งล่าสุด 2-3 เดือน ซึ่งผลลัพธ์ของการสร้างกล้ามเนื้อ ลดไขมันด้วย Body Firm นั้นจะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

           

          Body Firm สร้างกล้ามเนื้อ สามารถทำร่วมกับวิธีอื่น ๆ ได้หรือไม่?

          Body Firm สามารถทำร่วมกับการสร้างกล้ามเนื้อวิธีอื่น ๆ ได้ ซึ่งการทำควบคู่กับวิธีอื่นนั้นจะช่วยให้ประสิทธิภาพในการทำงานของเครื่อง Body Firm นั้นทำงานได้ดีมากขึ้น ปั้นหุ่นได้รูปร่างที่ต้องการมากขึ้น ซึ่ง Body Firm สามารถทำร่วมกับวิธีอื่น ๆ ได้ ดังนี้

           

          • การออกกำลังกาย หลังทำ Body Firm สร้างกล้ามเนื้อ หากออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญไขมันมากขึ้น และยังช่วยสร้างกล้ามเนื้อทุกส่วนในร่างกายได้ สามารถออกกำลังกายที่จะช่วยสร้างกล้ามเนื้อได้ เช่น การยกเวท คาร์ดิโอ การทำโยคะ หรือพิลาทิส
          • การออกกำลังกายเฉพาะจุด จะช่วยเพิ่มความแข็งแรงในบริเวณที่ต้องการสร้างกล้ามเนื้อโดยเฉพาะ เช่น การซิทอัพ หรือสควอช จะช่วยให้เห็นผลได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
          • การควบคุมน้ำหนัก หรือการควบคุมปริมาณแคลอรีที่บริโภคในแต่ละวัน จะช่วยให้การลดไขมันจาก Body Firm ได้ผลดียิ่งขึ้น ควรเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และเหมาะสมกับร่างกาย หลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารที่มีไขมันสูงหรือหวานจัด เพื่อป้องกันการสะสมไขมันใหม่
          • การเลือกรับประทานอาหารที่ช่วยเพิ่มกล้ามเนื้อ เช่น อาหารที่มีโปรตีนสูง ไม่ว่าจะเป็น เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ไข่ นม ปลา และถั่ว เพื่อช่วยฟื้นฟูและสร้างมวลกล้ามเนื้อ
          • การพักผ่อนให้เพียงพอ จะช่วยให้กล้ามเนื้อที่ถูกกระตุ้นจาก Body Firm ได้รับการฟื้นฟูและสร้างมวลกล้ามเนื้อได้อย่างเต็มที่

           

          การทำ Body Firm เป็นการสร้างกล้ามเนื้อ และลดไขมัน ด้วยวิธีการกระตุ้นการหดและเกร็งกล้ามเนื้อ ประมาณ 30 นาที  ซึ่งเทียบกับการออกกำลังกายอย่างหนัก หรือการซิทอัพ หรือสควอช ถึง 20,000 ครั้ง ซึ่ง Body Firm จะช่วยเพิ่มมวลกล้ามเนื้อให้ขนาดใหญ่ขึ้น เสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และเพิ่มการเผาผลาญไขมันส่วนเกิน สำหรับใครที่อยากจะปั้นหุ่น ดูแลรูปร่าง ด้วย Body Firm สามารถเข้ามาปรึกษาได้ที่ รมย์รวินท์คลินิก ทุกสาขา

           

           

          *ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับการบริการ

          *เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

          โปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิวยอดนิยมที่จัดการหลุมสิวได้ทุกประเภท

          Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิวยอดนิยมที่จัดการหลุมสิวได้ทุกประเภท

          ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




            วันที่สะดวกในการติดต่อ








            โปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิวยอดนิยมที่จัดการหลุมสิวได้ทุกประเภท

            หากคุณกำลังเผชิญกับปัญหารอยหลุมสิว ผิวไม่เรียบเนียนโปรแกรม Nu Pico MLA อาจเป็นตัวช่วยที่คุณกำลังมองหา .. ด้วยเทคโนโลยีเลเซอร์ระดับสูงที่ช่วยให้หลุมสิวดูตื้นขึ้นและสามารถแก้ไขปัญหาผิวได้หลากหลาย วันนี้รมย์รวินท์จะพาทุกคนไปรู้จักกับโปรแกรม Nu Pico MLA  ว่าทำงานอย่างไร ? ช่วยแก้ปัญหาผิวแบบไหนได้บ้าง ? ทำไมถึงเป็นตัวเลือกยอดนิยมในการลดหลุมสิว

             

            Nu MLA  Pico เลเซอร์หลุมสิว คืออะไร ?

            โปรแกรม Nu Pico MLA เป็นเทคโนโลยีเลเซอร์หลุมสิว ที่ใช้การทำงานร่วมกันระหว่างสองเทคดนโลยี ได้แก่  PicoSecond Laser และ MLA (Micro Lens Array) ในการแก้ไขปัญหาผิวที่หลากหลายด้วยความแม่นยำสูง ไม่กระทบกับผิวหนังโดยรอบ ทำให้โปรแกรม Nu Pico MLA สามารถแก้ไขปัญหาผิวได้อย่างล้ำลึก ไม่ต้องการพักฟื้นเป็นเวลานานเท่าเลเซอร์แบบอื่น และยังสามารถช่วยให้ผิวกระจ่างใส เรียบเนียนได้อย่างเป็นธรรมชาติอีกด้วย

             

            หลักการทำงานของโปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิว
            หลักการทำงานของโปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิว

            หลักการทำงานของโปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิว

            หลักการทำงานของ Pico Laser ในโปรแกรม Nu Pico MLA ในการแก้ไขปัญหาหลุมสิวและปัญหาผิว สามารถอธิบายได้ ดังนี้

             

            เทคโนโลยี Pico Laserในโปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิว 

            โปรแกรม Nu Pico MLA เป็นเทคโนโลยีเลเซอร์หลุมสิวที่ใช้ Pico Laser ที่สามารถปล่อยพลังงานระดับพิโควินาที Picosecond (1 ในล้านล้านวินาที) ซึ่งแตกต่างจากเลเซอร์ทั่วไป เพื่อรักษาหลุมสิวและปัญหาผิวต่าง ๆ ซึ่งคุณสมบัติของ Pico Laser ได้แก่

            • โปรแกรม Nu Pico MLA ปล่อยพลังงานเลเซอร์ในระยะสั้น
            • โปรแกรม Nu Pico MLA ลดการสะสมความร้อนบนผิวหนัง
            • โปรแกรม Nu Pico MLA กระตุ้นกระบวนการฟื้นฟูผิว ช่วยให้ร่างกายผลิตคอลลาเจนใหม่

            ทำให้โปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิวสามารถส่งพลังงานเลเซอร์ที่มีความแม่นยำสูง เข้าไปกระตุ้นเซลล์ผิวในชั้นหนังแท้ได้โดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อรอบข้าง ทำให้เกิดการสร้างคอลลาเจนใหม่ที่ช่วยเติมเต็มร่องลึกของหลุมสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

             

            Micro Lens Array (MLA) ในโปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิว

            เทคโนโลยี Micro Lens Array (MLA)  ในโปรแกรม Nu Pico MLA เป็นระบบเลนส์ขนาดเล็กที่ช่วยกระจายพลังงานเลเซอร์ให้มีความหนาแน่นสูงขึ้น ซึ่งเทคโนโลยี Micro Lens Array (MLA) มีคุณสมบัติ ดังนี้

            • Micro Lens Array (MLA)  ในโปรแกรม Nu Pico MLA กระจายพลังงานได้ลึกขึ้นและสม่ำเสมอ
            • Micro Lens Array (MLA)  ในโปรแกรม Nu Pico MLA กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินอย่างรวดเร็ว
            • Micro Lens Array (MLA)  ในโปรแกรม Nu Pico MLA ลดระยะเวลาพักฟื้น เนื่องจากไม่ทำลายชั้นผิว

            ทำให้เทคโนโลยี Micro Lens Array (MLA)  ในโปรแกรม Nu Pico MLA สามารถช่วยกระตุ้นกระบวนการฟื้นฟูผิวโดยไม่ทำลายผิวชั้นบน ลดระยะเวลาการพักฟื้น และช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ใต้ชั้นผิว ทำให้ผิวเรียบเนียนและหลุมสิวตื้นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

             

            โปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิว ช่วยแก้ปัญหาผิวอะไรได้บ้าง ?
            โปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิว ช่วยแก้ปัญหาผิวอะไรได้บ้าง ?

             

            โปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิว ช่วยแก้ปัญหาผิวอะไรได้บ้าง 

            โปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิวเป็นเทคโนโลยีเลเซอร์ที่ใช้พลังงานเลเซอร์ที่มีความแม่นยำสูง ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และฟื้นฟูสภาพผิวอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้โปรแกรม Nu Pico MLA เป็นเลเซอร์หลุมสิวที่ถูกพัฒนาขึ้นให้สามารถแก้ไขปัญหาหลุมสิวได้อย่างล้ำลึกและยังสามารถแก้ไขปัญหาผิวได้อย่างหลากหลาย ดังนี้

            • โปรแกรม Nu Pico MLA ช่วยฟื้นฟูและรักษาหลุมสิวได้ทุกประเภท ทั้งแบบลึกและแบบตื้น
            • โปรแกรม Nu Pico MLA ช่วยลดรอยดำรอยแดงจากสิวให้จางลงได้ จากการอักเสบของสิว ทำให้ผิวดูสม่ำเสมอขึ้น
            • โปรแกรม Nu Pico MLA ช่วยลดฝ้า กระ จุดด่างดำ
            • โปรแกรม Nu Pico MLA ช่วยให้ผิวเรียบเนียนและกระชับรูขุมขน ลดปัญหารูขุมขนกว้าง ทำให้ผิวเรียบเนียนมากยิ่งขึ้น
            • โปรแกรม Nu Pico MLA ช่วยลดริ้วรอยตื้น ๆ และฟื้นฟูความยืดหยุ่นของผิว
            • โปรแกรม Nu Pico MLA ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสติน ช่วยให้ผิวแข็งแรงขึ้นและมีความยืดหยุ่นมากขึ้น
            • โปรแกรม Nu Pico MLA ช่วยปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ ทำให้ผิวดูสว่างกระจ่างใสขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ

             

            โปรแกรม Nu Pico MLA เป็นเทคโนโลยีเลเซอร์หลุมสิวที่มีประสิทธิภาพสูง สามารถช่วยฟื้นฟูและแก้ไขปัญหาผิวได้อย่างหลากหลาย โดยไม่ต้องพักฟื้นเป็นเวลานาน ควรทำโปรแกรม Nu Pico MLA กับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี

             

            โปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิวรักษาหลุมสิวได้อย่างไร ?

            โปรแกรม Nu Pico MLA เป็นเทคโนโลยีที่ใช้พลังงานคลื่นแสงความถี่สูงที่มีความแม่นยำสูง สามารถลงลึกไปถึงชั้นผิวแท้ เพื่อกระตุ้นการฟื้นฟูจากภายใน โดยทำงานผ่านกระบวนการสร้างคอลลาเจนและปรับโครงสร้างผิวให้แข็งแรงขึ้น ทำให้สามารถลดความลึกของหลุมสิวได้ทุกประเภท Rolling Scar, Boxcar Scar และ Ice Pick Scar

             

            โดยหลักการทำงานของโปรแกรม Nu Pico MLA ในการรักษาหลุมสิว คือโปรแกรม Nu Pico MLA ช่วยทำให้หลุมสิวตื้นขึ้นจากการส่งพลังงานระดับ Picosecond เข้าสู่ผิวหนังไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินให้ผลิตเพิ่มมากขึ้น ทำให้เนื้อเยื่อใต้ผิวหนังถูกซ่อมแซมและสร้างใหม่ ส่งผลให้หลังการทำโปรแกรม Nu Pico MLA หลุมสิวจะตื้นขึ้น อีกทั้งพลังงานเลเซอร์ของโปรแกรม Nu Pico MLA ยังสามารถช่วยฟื้นฟูโครงสร้างผิว ทำให้ผิวกระชับและเรียบเนียนมากยิ่งขึ้นได้อีกด้วย

             

            จุดเด่นของโปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิว
            จุดเด่นของโปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิว

             

            จุดเด่นของโปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิว

            โปรแกรม Nu Pico MLA เป็นเลเซอร์สิวที่ถูกออกแบบมาให้แก้ปัญหาหลุมสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังถูกออกแบบมาให้ฟื้นฟูสภาพผิวโดยรอบให้เรียบเนียน ด้วยเทคโนโลยี Micro Lens Array (MLA) มีจุดเด่นที่สำคัญ ดังต่อไปนี้

             

            1.โปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิวมีเทคโนโลยี Micro Lens Array (MLA)

            โปรแกรม Nu Pico MLA เป็นเทคโนโลยีที่มี Micro Lens Array (MLA) ช่วยให้พลังงานเลเซอร์ถูกกระจายไปยังจุดที่ต้องการอย่างเฉพาะเจาะจง สม่ำเสมอ สามารถเข้าถึงบริเวณที่มีปัญหาได้ลึกขึ้น ทำให้สามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินและฟื้นฟูโครงสร้างผิวได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น อีกทั้งการมี Micro Lens Array (MLA) ในโปรแกรม Nu Pico MLA ยังช่วยลดความเสี่ยงของรอยดำหรือแผลเป็นจากเลเซอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

            2.โปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิวมีพลังงานสูง จึงช่วยลดระยะเวลาในการรักษาได้

            โปรแกรม Nu Pico MLA ใช้พลังงานเลเซอร์ที่มีความเร็วระดับ Picosecond ทำให้สามารถส่งพลังงานเข้าสู่ผิวและกระตุ้นกระบวนการฟื้นฟูได้รวดเร็ว และช่วยลดรอยดำหลังเลเซอร์ได้ดีกว่าเลเซอร์ทั่วไป

            3.โปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิวเหมาะกับทุกสภาพผิว

            โปรแกรม Nu Pico MLA สามารถใช้รักษาหลุมสิวได้ทุกประเภท เหมาะกับทุกสภาพผิว แม้สำหรับผิวบอบบางและแพ้ง่าย ลดความเสี่ยงจากผลข้างเคียงได้ เนื่องจากมีเทคโนโลยีที่ช่วยควบคุมพลังงานให้เหมาะสมกับสภาพผิว

            4.โปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิวแก้ไขปัญหาผิวได้หลากหลาย

            โปรแกรม Nu Pico MLA เป็นเลเซอร์หลุมสิวที่สามารถแก้ไขปัญหาผิวได้อย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นช่วยกระชับรูขุมขน, ลดริ้วรอยเล็ก ๆ และรอยแผลเป็นจากสิว ปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ

             

            โปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิว เหมาะกับใคร 

            โปรแกรม Nu Pico MLA เป็นเลเซอร์หลุมสิวที่สามารถแก้ไขปัญหาผิวได้อย่างหลากหลาย และถูกออกแบบมาให้มีความแม่นยำสูง ทำให้โปรแกรม Nu Pico MLA เหมาะกับผู้ที่ต้องการแก้ไขปัญหาผิวในหลาย ๆ ด้าน โดยโปรแกรม Nu Pico MLA เหมาะสำหรับผู้มีปัญหาผิวดังต่อไปนี้

            • โปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิวเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาหลุมสิวทุกประเภท
            • โปรแกรม Nu Pico MLAเลเซอร์หลุมสิวเหมาะสำหรับผู้ที่มีรอยดำและรอยแดงจากสิว
            • โปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิวเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหารูขุมขนกว้าง และต้องการให้ผิวเรียบเนียนขึ้น
            • โปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิวเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวและลดริ้วรอยเล็ก ๆ
            • โปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิวเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาสีผิวไม่สม่ำเสมอ เช่น ฝ้า กระ หรือจุดด่างดำจากแสงแดด
            • โปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิวเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวโดยไม่ต้องพักฟื้นนาน

            โปรแกรม Nu Pico MLA เป็นเทคโนโลยีเลเซอร์หลุมสิว ที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวให้เรียบเนียน ลดหลุมสิว และแก้ไขปัญหาผิวอื่น ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก่อนการทำ Nu Pico MLA ควรเข้ารับการปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อประเมินสภาพผิวและเลือกแนวทางการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล

             

            โปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิว ไม่เหมาะกับใคร

            แม้ว่าโปรแกรม Nu Pico MLA จะเป็นเลเซอร์ที่มีประสิทธิภาพสูงในการรักษาหลุมสิวและฟื้นฟูผิว แต่ก็มีบางผู้คนที่อาจไม่เหมาะสมกับการทำโปรแกรม Nu Pico MLA หรือควรปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับการรักษา โดยผู้ที่ไม่เหมาะกับการทำโปรแกรม Nu Pico MLA ได้แก่

            • โปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิวไม่เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวหนังอักเสบหรือเป็นแผลเปิด
            • โปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิวไม่เหมาะกับผู้ที่เป็นสิวอักเสบขั้นรุนแรง
            • โปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิวไม่เหมาะกับผู้ที่หญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
            • โปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิวไม่เหมาะกับผู้ที่ผิวแพ้ง่ายหรือไวต่อแสง
            • โปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิวไม่เหมาะกับผู้ที่มีประวัติโรคผิวหนังที่เกิดจากเม็ดสีผิดปกติ
            • โปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิวไม่เหมาะกับผู้ที่ใช้ยาบางชนิดที่มีผลต่อผิวหนัง 

             

            แม้ว่าโปรแกรม Nu Pico MLA จะเป็นเลเซอร์ที่มีประสิทธิภาพ แต่อาจจะไม่เหมาะกับบางบุคคล ดังนั้นก่อนตัดสินใจทำโปรแกรม Nu Pico MLA ควรได้รับคำปรึกษาจากแพทย์ก่อนเสมอ เพื่อให้มั่นใจว่าการทำโปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิวจะให้ผลลัพธ์ที่ดี

             

            การเตรียมตัวก่อนทำโปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิว

            การเตรียมตัวก่อนการทำโปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิวเป็นสิ่งสำคัญ ที่จะช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพและช่วยลดความเสี่ยงของผลข้างเคียงที่อาจเกิดหลังการทำได้ ซึ่งการเตรียมตัวก่อนการทำโปรแกรม Nu Pico MLA มีดังนี้

            • ก่อนการทำโปรแกรม Nu Pico MLA ควรงดใช้สกินแคร์ที่มีสารผลัดเซลล์ผิวอย่างน้อย 3-5 วัน ก่อนทำเลเซอร์
            • ก่อนการทำโปรแกรม Nu Pico MLA ควรหลีกเลี่ยงการโดนแดดจัด อย่างน้อย 1 สัปดาห์ก่อนทำโปรแกรม Nu Pico MLA
            • ก่อนการทำโปรแกรม Nu Pico MLA ควรงดทำหัตถการที่ระคายเคืองผิว ในช่วงหนึ่งสัปดาห์ก่อนทำโปรแกรม Nu Pico MLA
            • ก่อนการทำโปรแกรม Nu Pico MLA ควรแจ้งแพทย์หากมีโรคประจำตัวหรือแพ้ยา เพื่อให้แพทย์ทราบและวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคลได้
            • ก่อนการทำโปรแกรม Nu Pico MLA ควรงดแอลกอฮอล์และบุหรี่ ซึ่งการงดก่อนทำโปรแกรมควรทำอย่างน้อย 24-48 ชั่วโมง

             

            การเตรียมตัวก่อนทำโปรแกรม Nu Pico MLA อย่างถูกต้อง จะช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงของผลข้างเคียง และช่วยให้ผิวฟื้นตัวเร็วขึ้น

            ระยะเวลาและผลลัพธ์ หลังการทำโปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิว

            โปรแกรม Nu Pico MLA ในการรักษาหลุมสิว จะมีระยะเวลาของผลลัพธ์อาจแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคลและการดูแลตัวเองหลังทำโปรแกรม Nu Pico MLA ซึ่งการทำโปรแกรม Nu Pico MLA จะให้ผลลัพธ์ ดังนี้

            • ช่วง 1-3 วันแรกหลังการทำโปรแกรม Nu Pico MLA

            หลังการทำโปรแกรม Nu Pico MLA 1-3 วันแรก อาจมีรอยแดงหรืออาการบวมเล็กน้อย จะลดลงภายใน 24-48 ชั่วโมง ซึ่งเป็นหนึ่งในกระบวนการของการเริ่มกระบวนการฟื้นฟูตัวเอง

            • สัปดาห์ที่ 1-2 หลังการทำโปรแกรม Nu Pico MLA

            หลังจากการเลเซอร์หลุมสิวด้วยโปรแกรม Nu Pico MLA ได้ประมาณ 7 วัน ผิวอาจเริ่มมีการผลัดเซลล์ออก ทำให้เกิดสะเก็ดเล็ก ๆ ที่หลุดออกได้ หากเกิดอาการเหล่านี้ไม่ต้องตกใจไป  เนื่องจากเป็นกระบวนการผลัดเซลล์ผิวเก่าในร่างกาย และเริ่มการสร้างเซลล์ผิวใหม่มาแทนที่

            • สัปดาห์ที่ 3-4 หลังการทำโปรแกรม Nu Pico MLA

            หลังการทำโปรแกรม Nu Pico MLA 3-4 สัปดาห์ ผิวจะเริ่มเรียบเนียนมากยิ่งขึ้น หลุมสิวจะเริ่มตื้นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งรอยดำและรอยแดงจากสิวจะลดลง ผิวโดยรวมดูเรียบเนียน กระจ่างใสมากยิ่งขึ้น

            • หลัง 1-3 เดือนหลังการทำโปรแกรม Nu Pico MLA

            หลังการทำโปรแกรม Nu Pico MLA 4-12 สัปดาห์จะเริ่มเห็นผลลัพธ์ในการฟื้นฟูผิวที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งจะเห็นได้ว่าหลุมสิวมีความตื้นขึ้น ผิวจะเริ่มสม่ำเสมอมากยิ่งขึ้น และหลังจากนี้คอลลาเจนใต้ผิวก็จะถูกกระตุ้นต่อไปเรื่อย ๆ ทำปัญหาผิวลดลงและให้สุขภาพผิวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง

             

            การปฎิบัติตัวหลังการทำโปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิว
            การปฎิบัติตัวหลังการทำโปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิว

             

            การปฎิบัติตัวหลังการทำโปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิว

            หลังจากเข้ารับการทำ Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิว ผิวจะต้องการการดูแลเป็นพิเศษเพื่อให้การฟื้นตัวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และลดโอกาสเกิดผลข้างเคียง 

            โดยการปฎิบัติตัวหลังการทำโปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิว มีดังนี้

            1. หลังการทำโปรแกรม Nu Pico MLA ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดโดยตรง อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ หากจำเป็นต้องออกแดด ควรใช้ครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอและทาซ้ำทุก 2-3 ชั่วโมง 
            2. หลังการทำโปรแกรม Nu Pico MLA ควรหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารระคายเคือง อย่างน้อย 5-7 วันก่อนการทำโปรแกรม Nu Pico MLA
            3. หลังการทำโปรแกรม Nu Pico MLA ควรให้ความชุ่มชื้นกับผิวให้เพียงพอ ซึ่งสามารถทำได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการดื่มน้ำให้มากขึ้นและการทามอยส์เจอไรเซอร์
            4. หลังการทำโปรแกรม Nu Pico MLA ควรหลีกเลี่ยงการขัดผิวและการสัมผัสผิวบ่อย ๆ เป็นเวลาอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์
            5. หลังการทำโปรแกรม Nu Pico MLA ควรงดแต่งหน้าและใช้ผลิตภัณฑ์อุดตันรูขุมขน หลังการทำโปรแกรมอย่างน้อย 24 ชั่วโมง ควรงดแต่งหน้าที่อาจทำให้อุดตันรูขุมขน
            6. หลังการทำโปรแกรม Nu Pico MLA ควรสังเกตอาการผิดปกติและปรึกษาแพทย์หากจำเป็น หากมีอาการบวมแดงผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อให้ได้รับคำแนะนำที่เหมาะสม

            การดูแลผิวหลังทำโปรแกรม Nu Pico MLA เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ผลลัพธ์ของการรักษาดีขึ้น และลดความเสี่ยงของผลข้างเคียงที่อาจเกิดในอนาคตได้ 

             

            ผิวบอบบาง แพ้ง่ายสามารถทำโปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิว ได้หรือไม่ ?

            แม้โปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิวเป็นเทคโนโลยีที่มีความแม่นยำสูงและอ่อนโยนต่อผิว แต่สำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย การทำโปรแกรม Nu Pico MLA อาจต้องพิจารณาปัจจัยหลายอย่างก่อนเข้ารับการรักษา เนื่องจากผู้ที่มีสภาพผิวบอบบาง อาจมีความเสี่ยงต่อการระคายเคือง หรือมีโอกาสเกิดผลข้างเคียงมากกว่าผิวประเภทอื่น ๆ การทำโปรแกรม Nu Pico MLA ในผู้ที่มีผิวบอบบาง แพ้ง่าย จึงจำเป็นต้องอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ เพื่อให้มีการปรับค่าพลังงานและการวางแผนการรักษาให้เหมาะกับสภาพผิวของแต่ละบุคคล 

            หลุมสิว คืออะไร ? 

            หลุมสิวเป็นปัญหาผิวที่เกิดจากกระบวนการอักเสบของสิว ส่งผลให้เนื้อเยื่อผิวหนังถูกทำลาย และเกิดการฟื้นฟูที่ผิดปกติ ทำให้เกิดรอยแผลเป็นลึกและผิวไม่เรียบเนียนได้ ซึ่งปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดหลุมสิว มีดังนี้

            • สิวอักเสบรุนแรง
            • พฤติกรรมการกดหรือบีบสิว
            • การติดเชื้อของแบคทีเรีย
            • ร่างกายสร้างคอลลาเจนไม่เพียงพอในระหว่างการรักษาสิว ทำให้เกิดรอยหลุม
            • พันธุกรรมและสภาพผิว
            • การละเลยการดูแลผิวที่ไม่เหมาะสม อาจทำให้สิวลุกลามจนเกิดเป็นหลุมสิวได้

             

            ทำไมควรรักษาหลุมสิว

            หลุมสิวเป็นปัญหาผิวที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะผู้ที่เคยมีสิวอักเสบหรือสิวอุดตันรุนแรง หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม อาจทำให้ผิวหน้าดูไม่เรียบเนียนได้ ซึ่งเหตุผลที่ควรรักษาหลุมสิว มีดังนี้ 

            • การรักษาหลุมสิวช่วยให้ผิวเรียบเนียน สม่ำเสมอ
            • การรักษาหลุมสิวช่วยลดเลือนรอยแผลเป็น
            • การรักษาหลุมสิวช่วยให้เครื่องสำอางเกาะติด แต่งหน้าง่ายขึ้น
            • การรักษาหลุมสิวช่วยป้องกันปัญหาผิวในอนาคต
            • การรักษาหลุมสิวช่วยเพิ่มความมั่นใจในการใช้ชีวิตประจำวัน

            การเลือกวิธีรักษาหลุมสิวควรได้รับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เหมาะสมและเหมาะสมต่อสภาพผิวของแต่ละบุคคล

             

            โปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิวไม่อันตรายแบบที่คิด
            โปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิวไม่อันตรายแบบที่คิด

             

            โปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิวไม่อันตรายแบบที่คิด

             

            โปรแกรม Nu Pico MLA เป็นเทคโนโลยีเลเซอร์หลุมสิวที่ได้รับการรับรองมาตรฐานจากองค์การอาหารและยา ซึ่งสามารถช่วยยืนยันถึงความไม่อันตรายและประสิทธิภาพในการรักษาหลุมสิวและปัญหาผิวต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้โปรแกรม Nu Pico MLA ยังไม่อันตรายอีกหลายด้าน ดังนี้

            • โปรแกรม Nu Pico MLA สามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวลึก โดยไม่ทำลายชั้นผิวหนังชั้นบน
            • โปรแกรม Nu Pico MLA มีความเสี่ยงต่อการเกิดแผลน้อย
            • โปรแกรม Nu Pico MLA เหมาะกับทุกสภาพผิว เพราะสามารถปรับค่าพลังงานให้เหมาะสมกับสภาพผิวของแต่ละบุคคลได้
            • โปรแกรม Nu Pico MLA มีความเสี่ยงของการเกิดผลข้างเคียงน้อย
            • โปรแกรม Nu Pico MLA มีโอกาสในการเกิดแผลน้อย
            • โปรแกรม Nu Pico MLA ได้รับการรับรองมาตรฐาน

             

            โปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิว เจ็บไหม 

             

            โดยปกติแล้วการทำโปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิวจะไม่ทำให้เกิดความเจ็บมาก เนื่องจากมีความอ่อนโยนและสามารถปรับระดับพลังงานได้ ซึ่งส่วนมากผู้ที่เข้าทำโปรแกรม Nu Pico MLA  จะมีความรู้สึกอุ่น ๆหรือรู้สึกจี๊ด ๆ เบา ๆ คล้ายกับการดีดหนังยางบนผิว แต่จะไม่ได้เจ็บมากจนทนไม่ไหว หรือในผู้ที่มีผิวบอบบางไวต่อการเจ็บ อาจมีความรู้สึกแสบร้อนเล็กน้อยระหว่างการทำโปรแกรม Nu Pico MLAได้ แต่ความรู้สึกเหล่านี้สามารถบรรเทาได้ด้วยการทายาชาก่อนทำเลเซอร์

             

            โปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิว มีผลข้างเคียงอะไรบ้าง ?

             

            แม้ว่าโปรแกรม Nu Pico MLA จะเป็นเลเซอร์หลุมสิวที่ไม่เป็นอันตรายและมีประสิทธิภาพสูง แต่หลังทำโปรแกรม Nu Pico MLA อาจมีผลข้างเคียงบางอย่างที่เกิดขึ้นชั่วคราว ซึ่งเป็นปฏิกิริยาปกติของผิวในการฟื้นฟูตัวเองที่สามารถเกิดขึ้นได้ โดยผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยหลังทำโปรแกรม Nu Pico MLA มีดังนี้

             

            • หลังทำโปรแกรม Nu Pico MLA ผิวอาจมีอาการแดงหรือบวมเล็กน้อย จากการที่เลเซอร์ไปกระตุ้นการฟื้นฟูของเซลล์ผิวได้ ซึ่งอาการนี้มักจะหายไปเองภายใน 24-48 ชั่วโมง
            • หลังทำโปรแกรม Nu Pico MLA อาจรู้สึกอุ่น ๆ หรือแสบร้อนบริเวณที่ทำเลเซอร์หลุมสิวได้ ซึ่งอาการนี้มักเกิดขึ้นในช่วง 1-2 ชั่วโมงแรกหลังการทำโปรแกรม Nu Pico MLA สามารถบรรเทาได้ด้วยการประคบเย็นและใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่อ่อนโยน
            • ในบางกรณีหลังทำโปรแกรม Nu Pico MLA อาจเกิดผิวแห้งหรือลอกเป็นขุยได้ ซึ่งเกิดจากกระบวนการผลัดเซลล์ผิวเก่าออก สามารถใช้มอยส์เจอไรเซอร์ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นเพื่อบรรเทาผลข้างเคียงนี้ได้ 
            • หลังทำโปรแกรม Nu Pico MLA อาจมีสะเก็ดเล็ก ๆ บนผิวได้ เนื่องจากเป็นกระบวนการของการสร้างผิวใหม่ หากมีผลข้างเคียงนี้ไม่ควรแกะหรือเกา โดยปกติแล้วสะเก็ดจะหลุดออกเองภายใน 5-7 วัน
            • หลังทำโปรแกรม Nu Pico MLA อาจเกิดอาการคันหรือรู้สึกระคายเคืองเล็กน้อย ในช่วง 1-2 วันแรกหลังทำเลเซอร์ หากมีผลข้างเคียงนี้ ควรหลีกเลี่ยงการเกาผิว

             

            การลดรอยตื้นของหลุมสิวด้วยโปรแกรม Nu Pico MLA สามารถทำได้กับหลุมสิวได้ทุกประเภท ด้วยการใช้สองเทคโนโลยี PicoSecond Laser และ Micro Lens Array ในการใช้พลังงานเลเซอร์ที่มีความแม่นยำสูงในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ และฟื้นฟูผิวอย่างล้ำลึก ทำให้สามารถลดความลึกความหลุมสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมกับฟื้นฟูผิวให้เรียบเนียน กระจ่างใสมากขึ้น นอกจากนี้โปรแกรม Nu Pico MLA ยังสามารถแก้ไขปัญหาผิวได้อีกมากมาย เช่น ปัญหารอยดำรอยแดงจากสิว ปัญหารูขุมขนกว้าง ผิวไม่เรียบเนียน หรือปัญหาผิวหมองคล้ำ แม้การทำโปรแกรม Nu Pico MLAจะเป็นการทำเลเซฮร์ที่มีการฟื้นฟูล้ำลึก แต่มีโอกาสในการเกิดผลข้างเคียงน้อยและไม่จำเป็นต้องพักฟื้นเป็นเวลานานหลังการทำ ทำให้โปรแกรม Nu Pico MLA จึงเป็นเลเซอร์หลุมสิวที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน และการเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่องและดูแลผิวอย่างเหมาะสมหลังการทำ จะช่วยให้ผลลัพธ์ชัดเจนและยาวนานมากยิ่งขึ้นค่ะ

            โปรแกรม Fix Lift ทางลัดสู่ผิวกระชับ อ่อนเยาว์ในแบบที่คุณต้องการ

            Fix Lift ทางลัดสู่ผิวกระชับ อ่อนเยาว์ในแบบที่คุณต้องการ

            ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




              วันที่สะดวกในการติดต่อ








              โปรแกรม Fix Lift ทางลัดสู่ผิวกระชับ อ่อนเยาว์ในแบบที่คุณต้องการ

              เคยรู้สึกไหมว่าผิวของเรากำลังส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ ไม่ว่าจะเป็นริ้วรอยที่เริ่มปรากฏบนใบหน้า ความหย่อนคล้อยที่ปกปิดเท่าไหร่ก็ไม่มิด หรือ ผิวที่ดูเหนื่อยล้าขาดชีวิตชีวา หากใครกำลังมองหาวิธีที่ช่วยฟื้นฟูผิวได้ลึกถึงต้นตอปัญหา พร้อมมอบผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดในระยะเวลาอันสั้น โปรแกรม Fix Lift กู้ผิวยับ อาจเป็นคำตอบที่ทุกคนกำลังตามหา

               

              ด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยที่รวมพลังของคลื่นวิทยุ (Radio Requency) และเข็มขนาดเล็ก (Microneedling) เข้าไปด้วยกัน โปรแกรม Fix Lift ไม่เพียงแต่ช่วยยกกระชับผิวหน้า แต่ยังช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนใหม่ ฟื้นฟูผิวให้เรียบเนียน ลดเลือนริ้วรอย และทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์กว่าที่เคย ซึ่งความพิเศษอยู่ที่การทำงานที่ลึกถึงใต้ชั้นผิวหนัง ทำให้ผิวได้ฟื้นฟูได้อย่างตรงจุดที่สุด

               

              แล้วโปรแกรม Fix Lift ทำงานอย่างไร? ใครเหมาะกับโปรแกรมนี้? บทความนี้จะพาทุกคนเจาะลึกทุกคำตอบ พร้อมเคล็ดลับที่จะช่วยให้มีผิวสวยได้อย่างมั่นใจอีกครั้ง

               

              โปรแกรม Fix Lift กู้ผิวยับ ยกผิวหย่อน คืออะไร?
              โปรแกรม Fix Lift กู้ผิวยับ ยกผิวหย่อน คืออะไร?

               

              โปรแกรม Fix Lift กู้ผิวยับ ยกผิวหย่อน คืออะไร?

              โปรแกรม Fix Lift คือ โปรแกรมยกกระชับผิวที่ใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยในการฟื้นฟูผิวหน้าและผิวกายให้เรียบเนียน ยกกระชับ และอ่อนเยาว์โดยไม่ต้องผ่าตัด โปรแกรม Fix Lift ใช้พลังงานคลื่นวิทยุ (Radio Requency) ร่วมกับ เข็มขนาดเล็ก (Microneedling) ที่สามารถส่งพลังงานลงลึกถึงชั้นใต้ผิวหนัง เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมช่วยฟื้นฟูผิวให้กลับมาดูสดใสเปล่งปลั่งอีกครั้ง

               

              หลักการทำงานของโปรแกรม Fix Lift กู้ผิวยับ ยกผิวหย่อน
              หลักการทำงานของโปรแกรม Fix Lift กู้ผิวยับ ยกผิวหย่อน

               

              หลักการทำงานของโปรแกรม Fix Lift กู้ผิวยับ ยกผิวหย่อน

              โปรแกรม Fix Lift กู้ผิวยับ ยกผิวหย่อน ทำงานโดยใช้เทคโนโลยีคลื่นวิทยุ (Radio Requency) ร่วมกับ เข็มขนาดเล็ก (Microneedling) สามารถส่งพลังงานลงลึกถึงชั้นใต้ผิวหนังได้อย่างแม่นยำ หลักการทำงานของเทคโนโลยีนี้ สามารถออกเป็น 3 ขั้นตอนสำคัญ ดังนี้

              • Microneedling กระตุ้นผิวด้วยเข็มขนาดเล็ก 24 pin

              โปรแกรม Fix Lift กู้ผิวยับ ยกผิวหย่อน ใช้หัวเข็มขนาดเล็ก 24 pin ที่ออกแบบมาให้เจาะจงไปยังชั้นผิวที่ต้องการได้อย่างแม่นยำ โดยเข็มเหล่านี้จะสร้างแผลเล็ก ๆ บนผิว ซึ่งเป็นการกระตุ้นกระบวนการฟื้นฟูตัวเองของผิวอย่างเป็นธรรมชาติ ช่วยในการผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ในชั้นผิว

              • Radio Frequency (RF) ส่งพลังงานความร้อนลึกถึงชั้นผิว

              ในขณะที่เข็มลงลึกสู่ชั้นใต้ผิว คลื่นวิทยุจะถูกส่งผ่านเข็มเหล่านี้เข้าสู่ชั้นผิวในรูปแบบของพลังงานความร้อน ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้ชั้นลึกของผิวหนังแท้ (Dermis) ทำให้ผิวกระชับขึ้น ลดเลือนริ้วรอย และเพิ่มความยืดหยุ่นของผิว

              • กระบวนการฟื้นฟูผิวจากภายใน

              เมื่อคลื่นวิทยุและเข็มทำงานร่วมกัน จะเกิดกระบวนการฟื้นฟูในทุกระดับของผิว ไม่ว่าจะเป็น กระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวเก่าของชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) กระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและอีลาสติน ลดเลือนริ้วรอยของชั้นหนังแท้ (Dermis) และช่วยยกกระชับ ปรับโครงสร้างผิวให้ดูเต่งตึงและอ่อนเยาว์

               

              รวมข้อดีของโปรแกรม Fix Lift กู้ผิวยับ ยกผิวหย่อน

              • โปรแกรม Fix Lift ยกกระชับผิวแบบล้ำลึกแบบไม่ต้องผ่าตัด
              • โปรแกรม Fix Lift ลดเลือนริ้วรอยทั้งตื้นและลึก เช่น ริ้วรอยหน้าผาก รอบดวงตา ร่องแก้ม
              • โปรแกรม Fix Lift ลดปัญหารูขุมขนกว้างและหลุมสิว ปรับผิวให้ละเอียดขึ้น
              • โปรแกรม Fix Lift ฟื้นฟูผิวจากภายใน เพิ่มความแข็งแรงให้ผิว
              • โปรแกรม Fix Lift แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยทุกจุดบนร่างกาย
              • โปรแกรม Fix Lift เหมาะกับทุกสภาพผิว แม้ผิวแพ้ง่าย
              • โปรแกรม Fix Lift กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนอย่างต่อเนื่อง เห็นผลลัพธ์ยาวนาน
              • โปรแกรม Fix Lift สามารถทำได้กับทุกช่วงวัย ตั้งแต่อายุ 25 ปีขึ้นไป
              • โปรแกรม Fix Lift ลดเหนียง และปรับกรอบหน้าให้ชัดขึ้น

               

              โปรแกรม Fix Lift กู้ผิวยับ ยกผิวหย่อน ช่วยแก้ปัญหาอะไรบ้าง?
              โปรแกรม Fix Lift กู้ผิวยับ ยกผิวหย่อน ช่วยแก้ปัญหาอะไรบ้าง?

               

              โปรแกรม Fix Lift กู้ผิวยับ ยกผิวหย่อน ช่วยแก้ปัญหาอะไรบ้าง?

              • โปรแกรม Fix Lift แก้ปัญหาผิวหน้าและลำคอที่เริ่มหย่อนคล้อย
              • โปรแกรม Fix Lift กระชับผิวใต้คาง ลดเหนียง ทำให้กรอบหน้าชัดขึ้น
              • โปรแกรม Fix Lift ปรับโครงสร้างผิวให้แน่นขึ้น ดูเต่งตึงขึ้น
              • โปรแกรม Fix Lift ลดริ้วรอยเล็ก ๆ บริเวณหน้าผาก หางตา และร่องแก้ม
              • โปรแกรม Fix Lift กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวแน่นขึ้น ยืดหยุ่นขึ้น
              • โปรแกรม Fix Lift ป้องกันริ้วรอยก่อนวัย เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการชะลอวัย
              • โปรแกรม Fix Lift กระชับรูขุมขน ทำให้ผิวหน้าเรียบเนียนขึ้น
              • โปรแกรม Fix Lift ลดความมันส่วนเกิน ปรับสมดุลการสร้างน้ำมันใต้ผิว
              • โปรแกรม Fix Lift กระตุ้นการซ่อมแซมเซลล์ผิว ลดเลือนรอยแผลเป็นจากสิว
              • โปรแกรม Fix Lift เติมเต็มร่องลึกของหลุมสิว ทำให้ผิวเนียนขึ้น
              • โปรแกรม Fix Lift ปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ ลดรอยดำรอยแดงจากสิว
              • โปรแกรม Fix Lift เสริมสร้างเกราะป้องกันผิว ลดอาการแพ้ง่าย
              • โปรแกรม Fix Lift กระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวใหม่ ทำให้ผิวดูสดใส เปล่งปลั่ง
              • โปรแกรม Fix Lift กระชับผิวบริเวณหน้าท้อง ต้นแขน ต้นขา และสะโพก
              • โปรแกรม Fix Lift ลดไขมันใต้คาง ทำให้ใบหน้าเรียวขึ้น

               

              โปรแกรม Fix Lift กู้ผิวยับ ยกผิวหย่อน สามารถทำที่บริเวณไหนได้บ้าง?
              โปรแกรม Fix Lift กู้ผิวยับ ยกผิวหย่อน สามารถทำที่บริเวณไหนได้บ้าง?

               

              โปรแกรม Fix Lift กู้ผิวยับ ยกผิวหย่อน สามารถทำที่บริเวณไหนได้บ้าง?

              • โปรแกรม Fix Lift ทำบริเวณแก้มและแนวกรอบหน้า – ยกกระชับผิว ลดไขมันสะสม ช่วยให้กรอบหน้าคมชัดขึ้น
              • โปรแกรม Fix Lift ทำบริเวณหน้าผากและระหว่างคิ้ว – ลดริ้วรอย ปรับผิวให้เรียบเนียนขึ้น
              • โปรแกรม Fix Lift ทำบริเวณรอบดวงตา –  ลดริ้วรอยและความหย่อนคล้อยบริเวณหางตาและใต้ตา
              • โปรแกรม Fix Lift ทำบริเวณร่องแก้มและมุมปาก – ลดความลึกของร่องแก้มและริ้วรอยรอบปาก
              • โปรแกรม Fix Lift ทำบริเวณใต้คาง – ลดไขมันและกระชับผิวใต้คาง ทำให้แนวคางดูชัดขึ้น
              • โปรแกรม Fix Lift ทำบริเวณลำคอ – ลดริ้วรอยและกระชับผิวที่หย่อนคล้อยบริเวณลำคอ
              • โปรแกรม Fix Lift ทำบริเวณต้นแขน – แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย กระชับต้นแขน
              • โปรแกรม Fix Lift ทำบริเวณต้นขาและเข่า – ลดความหย่อนคล้อย ปรับสภาพผิวให้เรียบเนียน
              • โปรแกรม Fix Lift ทำบริเวณหน้าท้อง – กระชับผิว ลดริ้วรอย และช่วยให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้น
              • โปรแกรม Fix Lift ทำบริเวณหลังและสะโพก – ช่วยกระชับผิวและลดรอยแตกลาย

               

              ใครที่เหมาะกับโปรแกรม Fix Lift กู้ผิวยับ ยกผิวหย่อน บ้าง?
              ใครที่เหมาะกับโปรแกรม Fix Lift กู้ผิวยับ ยกผิวหย่อน บ้าง?

               

              ใครที่เหมาะกับโปรแกรม Fix Lift กู้ผิวยับ ยกผิวหย่อน บ้าง?

              • โปรแกรม Fix Lift เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย ทั้งบริเวณใบหน้า ลำคอ
              • โปรแกรม Fix Lift เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาโครงหน้าไม่กระชับ ไม่เรียว 
              • โปรแกรม Fix Lift เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยร่องแก้ม ริ้วรอยหน้าผาก หรือริ้วรอยรอบดวงตา
              • โปรแกรม Fix Lift เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหารูขุมขนกว้าง ผิวหน้าไม่เรียบเนียน
              • โปรแกรม Fix Lift เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาหลุมสิว และรอยแผลเป็นจากสิว
              • โปรแกรม Fix Lift เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหารอยดำ รอยแดงจากสิว
              • โปรแกรม Fix Lift เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวบาง ผิวแพ้ง่าย หรือระคายเคืองง่าย
              • โปรแกรม Fix Lift เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเหนียงเยอะ กรอบหน้าไม่คมชัด
              • โปรแกรม Fix Lift เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผิวเด็กอย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่ต้องใช้สารเติมเต็ม
              • โปรแกรม Fix Lift เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการกระชับรูขุมขน ให้ผิวดูเนียนละเอียดขึ้น
              • โปรแกรม Fix Lift เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
              • โปรแกรม Fix Lift เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการป้องกันการเกิดริ้วรอยก่อนวัย
              • โปรแกรม Fix Lift เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูคอลลาเจนใต้ผิวอย่างมีประสิทธิภาพ
              • โปรแกรม Fix Lift เหมาะสำหรับผู้ที่อยากมีใบหน้าที่เต่งตึงขึ้นโดยไม่ต้องผ่าตัด
              • โปรแกรม Fix Lift เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการให้ผิวกลับมาแข็งแรงขึ้น 
              • โปรแกรม Fix Lift เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการให้ใบหน้าเรียวขึ้น โดยไม่ต้องดูดไขมัน
              • โปรแกรม Fix Lift เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลด ไขมันสะสมใต้คาง หรือผิวที่เริ่มหย่อนบริเวณคอ
              • โปรแกรม Fix Lift เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการกระชับผิวในบริเวณอื่น นอกจากใบหน้า

               

              ใครที่ไม่เหมาะกับโปรแกรม Fix Lift กู้ผิวยับ ยกผิวหย่อน บ้าง?

              • โปรแกรม Fix Lift ไม่เหมาะสำหรับสตรีที่กำลังตั้งครรภ์และอยู่ในช่วงให้นมบุตร
              • โปรแกรม Fix Lift ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีโรคผิวหนังเรื้อรัง หรือการติดเชื้อบริเวณใบหน้า
              • โปรแกรม Fix Lift ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวานที่ควบคุมไม่ได้
              • โปรแกรม Fix Lift ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด หรือใช้ยาละลายลิ่มเลือด
              • โปรแกรม Fix Lift ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemaker) หรืออุปกรณ์ฝังในร่างกาย
              • โปรแกรม Fix Lift ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เคยมีประวัติเป็นคีลอยด์หรือแผลเป็นนูนง่าย
              • โปรแกรม Fix Lift ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวบอบบางแพ้ง่ายหรือเป็นโรคผิวหนังภูมิแพ้
              • โปรแกรม Fix Lift ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เพิ่งทำหัตถการอื่น ๆ บนใบหน้าในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน
              • โปรแกรม Fix Lift ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรืออยู่ระหว่างการรักษาด้วยยากดภูมิ
              • โปรแกรม Fix Lift ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เคยรับการฉายรังสี หรือรักษามะเร็งบริเวณใบหน้ามาก่อน

               

              การเตรียมตัวก่อนทำโปรแกรม Fix Lift กู้ผิวยับ ยกผิวหย่อน

              • ก่อนทำโปรแกรม Fix Lift งดการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำให้ผิวบาง อย่างน้อย 3-5 วัน
              • ก่อนทำโปรแกรม Fix Lift งดกิจกรรมกลางแจ้งที่ต้องเผชิญแสงแดดจัด อย่างน้อย 1 สัปดาห์
              • ก่อนทำโปรแกรม Fix Lift งดยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน (Aspirin), วิตามินอี, โสม, น้ำมันปลา หรือ NSAIDs3-5 วัน
              • ก่อนทำโปรแกรม Fix Lift งดแอลกอฮอล์และบุหรี่อย่างน้อย 24-48 ชั่วโมง
              • ก่อนทำโปรแกรม Fix Lift งดแต่งหน้าในวันทำหัตถการ
              • ก่อนทำโปรแกรม Fix Lift หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักหรือกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกมาก อย่างน้อย 24 ชั่วโมง
              • ก่อนทำโปรแกรม Fix Lift ควรใช้ ครีมกันแดด SPF 50 PA+++ และสวมหมวกหรือใช้ร่มเพื่อป้องกัน
              • ก่อนทำโปรแกรม Fix Lift ควรนอนหลับให้เพียงพอและดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อให้ผิวชุ่มชื้น
              • ก่อนทำโปรแกรม Fix Lift ควรแจ้งแพทย์หากมีโรคประจำตัวหรือใช้ยาบางชนิด

               

              ขั้นตอนการทำโปรแกรม Fix Lift กู้ผิวยับ ยกผิวหย่อน

              1. แพทย์จะเริ่มตรวจประเมินสภาพผิวและปัญหาผิวของแต่ละบุคคล พร้อมแนะนำระดับความลึกของการทำ Fix Lift ที่เหมาะสม
              2. ผู้ช่วยแพทย์จะทำความสะอาดผิวหน้า เพื่อขจัดสิ่งสกปรก เครื่องสำอาง และความมันส่วนเกิน
              3. ผู้ช่วยแพทย์จะทายาชาเฉพาะที่บริเวณใบหน้าหรือจุดที่ต้องการรักษา เพื่อช่วยลดความรู้สึกเจ็บขณะทำ
              4. แพทย์จะเริ่มทำ Fix Lift ด้วยเครื่อง Morpheus8 โดยใช้ระยะเวลาในการทำ ประมาณ 30-60 นาที ขึ้นอยู่กับขนาดของพื้นที่ที่ทำ
              5. หลังจากทำหัตถการเสร็จ ผู้ช่วยแพทย์จะทำความสะอาดใบหน้าอีกครั้ง และลงผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเพื่อช่วยปลอบประโลมผิว

               

              การดูแลตัวเองหลังทำโปรแกรม Fix Lift กู้ผิวยับ ยกผิวหย่อน

              • หลังทำโปรแกรม Fix Lift งดล้างหน้าหรือโดนน้ำเป็นเวลา 24 ชั่วโมงแรก
              • หลังทำโปรแกรม Fix Lift งดแต่งหน้าในช่วง 24-48 ชั่วโมงแรก
              • หลังทำโปรแกรม Fix Lift งดโดนแดดจัดเป็นเวลาอย่างน้อย 1 สัปดาห์
              • หลังทำโปรแกรม Fix Lift งดใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิวหรือสารที่ระคายเคือง อย่างน้อย 1 สัปดาห์
              • หลังทำโปรแกรม Fix Lift หลีกเลี่ยงการแกะ เกา หรือถูผิวหน้าแรง ๆ
              • หลังทำโปรแกรม Fix Lift หลีกเลี่ยงการอบซาวน่า อบไอน้ำ ออกกำลังกายหนัก หรืออาบน้ำอุ่นจัด เป็นเวลา 3-7 วัน
              • หลังทำโปรแกรม Fix Lift หลีกเลี่ยงการทำหัตถการอื่น ๆ บนใบหน้า อย่างน้อย 2-4 สัปดาห์
              • หลังทำโปรแกรม Fix Lift หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ อย่างน้อย 48 ชั่วโมง
              • หลังทำโปรแกรม Fix Lift ควรเลือกมอยส์เจอไรเซอร์ที่ช่วยลดการอักเสบและให้ความชุ่มชื้นสูง
              • หลังทำโปรแกรม Fix Lift ควรใช้ครีมกันแดดที่มี SPF 50 PA+++ เพื่อปกป้องผิวจากรังสี UV
              • หลังทำโปรแกรม Fix Lift ควรดื่มน้ำเยอะ ๆ และพักผ่อนให้เพียงพอ
              • หลังทำโปรแกรม Fix Lift ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดอาการระคายเคืองและฟื้นฟูผิว

               

              เปรียบเทียบโปรแกรม Fix Lift กับเทคโนโลยียกกระชับอื่น ๆ

              การยกกระชับผิวมีหลายเทคนิคที่ให้ผลลัพธ์แตกต่างกัน ซึ่งโปรแกรม Fix Lift เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ได้รับความนิยม โดยมีการเปรียบเทียบกับหัตถการอื่น ๆ ดังนี้

               

              โปรแกรม Fix Lift

              • โปรแกรม Fix Lift ใช้เข็มขนาดเล็กส่งพลังงานคลื่นวิทยุ (RF) ลงลึกถึงชั้นใต้ผิว เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ช่วยให้ผิวยกกระชับขึ้น พร้อมทั้งสามารถช่วยลดไขมันส่วนเกินใต้ผิวหนัง ปรับสภาพผิวให้เรียบเนียน ลดริ้วรอย กระชับรูขุมขน และลดรอยแผลเป็นจากสิว เริ่มเห็นผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงภายใน 2-4 สัปดาห์ และผลลัพธ์อยู่ได้นาน 6-12 เดือน

              โปรแกรม HIFU (High-Intensity Focused Ultrasound)

              • โปรแกรม HIFU ใช้พลังงานอัลตราซาวนด์ที่สามารถลงลึกถึงชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นผิวเดียวกับที่ศัลยแพทย์ใช้ดึงหน้า เพื่อกระตุ้นการหดตัวของคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวยกกระชับขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่ต้องมีการผ่าตัด และไม่มีบาดแผล เริ่มเห็นผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงภายใน 1-3 เดือนหลังทำ และผลลัพธ์อยู่ได้นาน 6-12 เดือน

              โปรแกรม Thermage FLX

              • โปรแกรม Thermage FLX ใช้พลังงานคลื่นวิทยุความถี่สูง (RF) ส่งลงสู่ผิวในระดับลึก เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้ผิวยกกระชับขึ้น ช่วยลดริ้วรอยและกระชับไขมันใต้ผิวบางส่วน โดยไม่มีการใช้เข็มหรือมีแผลใด ๆ เห็นผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงทันที 20% และดีขึ้นภายใน 3-6 เดือน และผลลัพธ์อยู่ได้นาน 12-18 เดือน

              โปรแกรมร้อยไหม (Thread Lift)

              • เป็นการใช้เส้นไหมละลายสอดเข้าไปใต้ชั้นผิว เพื่อช่วยพยุงและยกกระชับใบหน้าทันที พร้อมทั้งกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในระยะยาว ทำให้ผิวมีความแน่นกระชับมากขึ้น เห็นผลทันทีหลังทำ และดีขึ้นเรื่อย ๆ ใน 1-3 เดือน ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 6-12 เดือน

              การผ่าตัดดึงหน้า (Facelift Surgery)

              • ศัลยแพทย์จะทำการผ่าตัดแก้ไขปัญหาผิวหย่อนคล้อย โดยการดึงชั้น SMAS ชั้นเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง พร้อมตัดผิวหนังส่วนเกินออก ซึ่งเป็นการยกกระชับใบหน้าอย่างถาวร และเห็นผลชัดเจนที่สุด เห็นผลทันทีหลังผ่าตัด ใช้ระยะเวลาพักฟื้นนาน 2-4 สัปดาห์ และผลลัพธ์คงอยู่ได้นาน 5-10 ปี

               

              โปรแกรม Fix Lift  เจ็บมากไหม?

              • โปรแกรม Fix Lift มีระดับความเจ็บอยู่ในระดับปานกลาง เนื่องจากเป็นหัตถการที่ใช้พลังงาน RF ร่วมกับเข็มขนาดเล็ก อย่างไรก็ตาม ก่อนทำหัตถการจะมีการทายาชาเพื่อลดความเจ็บ ทำให้ขณะทำรู้สึกสบายขึ้น ขณะทำอาจรู้สึกอุ่น ๆ หรือจี๊ด ๆ เพียงเล็กน้อย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับบริเวณที่ทำ

               

              โปรแกรม Fix Lift อันตรายไหม? มีผลข้างเคียงอะไรบ้าง?

              • โปรแกรม Fix Lift เป็นหัตถการที่ไม่อันตรายเมื่อดำเนินการโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและใช้เครื่องที่ผ่านมาตรฐาน FDA Approved ทั้งในประเทศไทยและสหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ตาม อาจมีผลข้างเคียงเล็กน้อย เช่น รอยแดง บวม หรือสะเก็ดเล็กน้อยภายใน 3-7 วันแรก ซึ่งอาการเหล่านี้จะหายได้เองในภายหลัง

               

              โปรแกรม Fix Lift ใช้เวลากี่ครั้งถึงเห็นผล? ผลลัพธ์อยู่ได้นานแค่ไหน?

              • หลังทำโปรแกรม Fix Lift จะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงของผิวภายใน 2-4 สัปดาห์ และผลลัพธ์จะค่อย ๆ ดีขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วง 3-6 เดือน แนะนำให้ทำ 1-3 ครั้ง โดยเว้นระยะห่าง 1-2 เดือนต่อครั้ง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล ซึ่งผลลัพธ์จากโปรแกรม Fix Lift สามารถอยู่ได้นานประมาณ 6-12 เดือน หากได้รับการดูแลผิวอย่างเหมาะสม

               

              โปรแกรม Fix Lift สามารถทำร่วมกับหัตถการอื่นได้ไหม?

              • โปรแกรม Fix Lift สามารถทำร่วมกับหัตถการอื่นได้ เช่น โปรแกรม HIFU, โปรแกรม Thermage FLX, โปรแกรมฉีดโบ, โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ หรือโปรแกรมเลเซอร์ โดยขึ้นอยู่กับปัญหาผิวและแผนการรักษาที่เหมาะสม แพทย์มักจะแนะนำให้เว้นระยะห่างระหว่างหัตถการแต่ละประเภท นอกจากนี้โปรแกรม Fix Lift สามารถทำร่วมกับโปรแกรมฉีดโบหรือโปรแกรมฟิลเลอร์ได้ แต่ควรให้แพทย์เป็นผู้ประเมินเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี หากต้องการทำเลเซอร์ลดเม็ดสี ควรเว้นระยะ 2-4 สัปดาห์ เพื่อป้องกันการระคายเคืองของผิว

               

              โปรแกรม Fix Lift ทำบ่อยแค่ไหนถึงจะดี?

              • โดยทั่วไปแนะนำให้ทำโปรแกรม Fix Lift 1-3 ครั้งต่อปี ขึ้นอยู่กับปัญหาผิวและอายุของแต่ละบุคคล หากต้องการคงผลลัพธ์ให้นานขึ้น ควรทำ ทุก 6-12 เดือน เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและรักษาความกระชับของผิวให้อยู่ในสภาพที่ดี

               

              อายุเท่าไหร่ถึงเริ่มทำโปรแกรม Fix Lift ได้?

              • โปรแกรม Fix Lift สามารถเริ่มทำได้ตั้งแต่อายุ 20 ปีขึ้นไป โดยขึ้นอยู่กับสภาพผิวและความต้องการของแต่ละคน สำหรับวัย 30-50 ปี ถือว่าเป็นช่วงที่เหมาะสมที่สุด เพราะเป็นวัยที่เริ่มมีปัญหาผิวหย่อนคล้อยและริ้วรอย ส่วนผู้ที่อายุ 50 ปีขึ้นไป ก็สามารถทำได้เช่นกัน แต่ควรพิจารณาทำร่วมกับหัตถการอื่น เช่น โปรแกรม Thermage FLX หรือการเติมโปรแกรมฟิลเลอร์ในบางจุด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี

               

              Fix Lift คือโปรแกรมเพื่อการยกกระชับผิวที่ล้ำสมัย ซึ่งช่วยฟื้นฟูโครงสร้างผิวให้ดูอ่อนเยาว์และเรียบเนียนอย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่ต้องผ่าตัดหรือพักฟื้นเป็นเวลานาน ด้วยการใช้พลังงาน Fractional RF+Microneedling ที่สามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ลึกถึงชั้นใต้ผิว ช่วยให้ผิวกระชับ เต่งตึง และมีความยืดหยุ่นมากขึ้น พร้อมลดเลือนริ้วรอยและปัญหาผิวไม่เรียบเนียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

               

              หากคุณกำลังมองหาวิธี ฟื้นฟูและยกกระชับผิว ที่ให้ผลลัพธ์ชัดเจน โปรแกรม Fix Lift คือคำตอบที่สมบูรณ์แบบ ไม่ว่าคุณจะต้องการ ลดเลือนริ้วรอยร่องลึก ฟื้นฟู ผิวหย่อนคล้อยให้กลับมาตึงกระชับ หรือคืนความสดใสให้กับผิวหน้า ซึ่งโปรแกรม Fix Lift สามารถตอบโจทย์ทุกปัญหาผิวได้อย่างครอบคลุม พร้อมช่วยให้คุณดูแลผิวให้แลดูอ่อนเยาว์ได้อย่างเป็นธรรมชาติและยาวนาน

              กระจกวิเศษบอกข้าเถิด ใครยกหน้าเลิศในปฐพี แล้วสโนว์ไวท์ ไปทำอะไรมาถึงเริศขนาดนี้

              Ultherapy Prime สโนว์ไวท์

              กระจกวิเศษบอกข้าเถิด ใครยกหน้าเลิศในปฐพี แล้วสโนว์ไวท์ ไปทำอะไรมาถึงเริศขนาดนี้

              กระจกวิเศษบอกข้าเถิด … ใครยกหน้าเลิศในปฐพี ก็คงหนีไม่พ้น “โปรแกรม Ultherapy Prime” ที่ รมย์รวินท์คลินิก อย่างแน่นอน อยากหน้าเล็ก หน้าเรียวแบบ Snow White ต้องลองตัวช่วยยกกระชับผิวหน้าแห่งปี 2025 ที่ไม่ได้มีดีแค่การยกกระชับเพียงอย่างเดียว แต่ยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้ผิวดูอ่อนกว่าวัย และลดความหย่อนคล้อยอย่างเห็นได้ชัด ที่สำคัญคือ ทำหัตถการโดยแพทย์ที่มีความรู้ ความชำนาญ และได้รับการฝึกอบรมมาเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะบริเวณกรอบหน้า แก้ม หรือเหนียง ก็สามารถยกกระชับให้เป๊ะปังทุกมิติได้ บทความนี้ รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับโปรแกรม Ultherapy Prime มาให้แล้วค่ะ

               

              โปรแกรม Ultherapy Prime ยกหน้าเลิศในปฐพีแห่งปี 2025

               

              Ultherapy Prime สโนว์ไวท์
              Ultherapy Prime

               

              ทำความรู้จัก โปรแกรม Ultherapy Prime

              โปรแกรม Ultherapy Prime เป็นเทคโนโลยียกกระชับผิวหน้าที่ถูกพัฒนาต่อยอดมาจากโปรแกรม Ultherapy รุ่นก่อน ๆ ซึ่งผลิตโดยบริษัท Merz Aesthetics บริษัทชั้นนำผู้ผลิตเทคโนโลยีความงามระดับโลก โดยโปรแกรม Ultherapy Prime นั้น มีการปรับปรุงระบบการใช้งานที่ทันสมัย และมีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งมีความเร็วในการรักษาเพิ่มขึ้นถึง 20% รวมถึงมีหน้าจอแสดงผลที่ใหญ่ และคมชัดขึ้นถึง 35% ทำให้เพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา และประหยัดเวลามากขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย

              โปรแกรม Ultherapy Prime ใช้พลังงานคลื่นเสียงอัลตราซาวนด์แบบเฉพาะเจาะจง (Micro-Focused Ultrasound) ที่มีความเข้มข้นสูง และสามารถส่งพลังงานความร้อนลงสู่ชั้นผิวหนังในระดับความลึกต่าง ๆ ได้อย่างแม่นยำ ตั้งแต่ 1.5 mm, 3.0 mm ไปจนถึง 4.5 mm หรือชั้น SMAS เพื่อแก้ไขปัญหาผิวที่แตกต่างกันได้อย่างตรงจุด จึงทำให้โปรแกรม Ultherapy Prime เป็นเทคโนโลยียกกระชับที่ให้ผลลัพธ์อย่างครอบคลุม โดยไม่ต้องผ่าตัด และไม่ต้องเสียเวลาพักฟื้น

               

              หลักการทำงานของโปรแกรม Ultherapy Prime

              หลักการทำงานของโปรแกรม Ultherapy Prime คือ ส่งพลังงานคลื่นอัลตราซาวนด์ลงไปยังชั้นผิวหนัง ซึ่งมีลักษณะเป็นจุดเล็ก ๆ (Dot) จำนวนมาก ขนาดประมาณ 1 mm. เรียงกันเป็นเส้นตรงคล้ายจุดไข่ปลา ทำให้เกิดความร้อน ประมาณ 60 – 70°C ใต้ชั้นผิว จากนั้นผิวจะเกิดการหดตัว และยกกระชับขึ้น พร้อมกระตุ้นการทำงานของเซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast) ให้สร้างเส้นใยคอลลาเจน และอีลาสตินขึ้นมาใหม่ ทดแทนคอลลาเจนที่เสื่อมสภาพไปตามอายุ ส่งผลให้ผิวแน่นกระชับ เต่งตึง และเรียบเนียนอย่างเป็นธรรมชาติ

               

              โปรแกรม Ultherapy Prime ช่วยเรื่องอะไร?

              • โปรแกรม Ultherapy Prime ช่วยให้ผิวแน่น กระชับ เต่งตึง
              • โปรแกรม Ultherapy Prime ช่วยลดความหย่อนคล้อยบนใบหน้า
              • โปรแกรม Ultherapy Prime ช่วยลดเหนียง เก็บคางสองชั้น
              • โปรแกรม Ultherapy Prime ช่วยลดเลือนริ้วรอยบนใบหน้า
              • โปรแกรม Ultherapy Prime ช่วยให้กรอบหน้าชัด ใบหน้ามีมิติ
              • โปรแกรม Ultherapy Prime ช่วยฟื้นฟูผิวหน้าให้ดูอ่อนเยาว์
              • โปรแกรม Ultherapy Prime ช่วยกระตุ้นคอลลาเจน และอีลาสติน
              • โปรแกรม Ultherapy Prime ช่วยให้ผิวแข็งแรงในระยะยาว

               

              ใครที่เหมาะกับโปรแกรม Ultherapy Prime?

              • โปรแกรม Ultherapy Prime เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป
              • โปรแกรม Ultherapy Prime เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อย ต้องการยกกระชับ
              • โปรแกรม Ultherapy Prime เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีริ้วรอยบนใบหน้าตามวัย
              • โปรแกรม Ultherapy Prime เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีกรอบหน้าไม่ชัด ใบหน้าไม่มีมิติ
              • โปรแกรม Ultherapy Prime เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีคิ้วตก หางตาตก หรือถุงใต้ตาหย่อน
              • โปรแกรม Ultherapy Prime เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีไขมันสะสมบริเวณเหนียง และแก้ม
              • โปรแกรม Ultherapy Prime เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีผิวขาดความยืดหยุ่น ไม่เต่งตึง
              • โปรแกรม Ultherapy Prime เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีผิวขาดคอลลาเจน และอีลาสติน
              • โปรแกรม Ultherapy Prime เหมาะสำหรับ ผู้ที่ไม่ต้องการผ่าตัด แต่ต้องการให้ผิวดูอ่อนเยาว์

               

              Ultherapy Prime สโนว์ไวท์
              Ultherapy Prime

               

              รวมข้อดีของโปรแกรม Ultherapy Prime 

              • โปรแกรม Ultherapy Prime มีหน้าจอแสดงผลขนาดใหญ่ขึ้น 35% ทำให้มีความละเอียด และคมชัดขึ้นกว่าเดิม
              • โปรแกรม Ultherapy Prime มีการประมวลผลที่รวดเร็วขึ้น 20% ทำให้ใช้เวลาในการรักษาน้อยลง และมีความสะดวกสบายมากขึ้น
              • โปรแกรม Ultherapy Prime มีดีไซน์ของเครื่องที่มีความทันสมัย ขนาดเล็กลง จึงสะดวกต่อการใช้งาน
              • โปรแกรม Ultherapy Prime สามารถยกกระชับผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ และแม่นยำ
              • โปรแกรม Ultherapy Prime มีการทำการรักษามาแล้วมากกว่า 3 ล้านเคสทั่วโลก
              • โปรแกรม Ultherapy Prime ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับสากล จากประเทศอเมริกา และประเทศไทย
              • โปรแกรม Ultherapy Prime สามารถเห็นผลการเปลี่ยนแปลงในทันที 20% และผลลัพธ์จะค่อย ๆ ดีขึ้นเรื่อย ๆ
              • โปรแกรม Ultherapy Prime สามารถคงประสิทธิภาพของผลลัพธ์ได้ยาวนานถึง 1 ปี 
              • โปรแกรม Ultherapy Prime เหมาะกับทุกสภาพผิว สามารถทำได้ทั้งผิวหน้า และผิวกาย
              • โปรแกรม Ultherapy Prime ไม่ต้องผ่าตัด และไม่ต้องเสียเวลาพักฟื้น หลังทำสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ

               

              รีบจองตั๋วยกหน้าพร้อมกันได้แล้ววันนี้ที่ รมย์รวินท์คลินิก

              สำหรับใครที่กำลังประสบปัญหาผิวหย่อนคล้อย ขาดความกระชับอยู่ กระจกวิเศษบอกแล้ว คำตอบมีเพียงหนึ่งเดียว คือ “โปรแกรม Ultherapy Prime” เท่านั้น ตัวช่วยยกกระชับผิวหน้าที่มีความทันสมัย และแม่นยำสูง สามารถยกกระชับได้อย่างครอบคลุมในทุกระดับชั้นผิว ไม่ว่าจะเป็นผิวหน้า หรือผิวกายก็สามารถทำได้ โดยไม่ต้องผ่าตัด และพักฟื้น เตรียมทวงบัลลังก์หน้าเรียว หน้าเล็กสุดในปฐพีที่ รมย์รวินท์คลินิก ได้ทุกสาขา

              โปรแกรม EMFACE vs โปรแกรม EMFACE Submentum ต่างกันอย่างไร

              เทียบชัด! โปรแกรม EMFACE vs โปรแกรม EMFACE Submentum

              เทียบชัด! โปรแกรม EMFACE vs โปรแกรม EMFACE Submentum คำตอบของผิวกระชับทุกจุด

              เมื่อพูดถึงเทคโนโลยียกกระชับผิวหน้าและลำคอที่ทันสมัย โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum ได้กลายมาเป็นคำตอบยอดนิยมสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูความอ่อนเยาว์โดยไม่ต้องเจ็บตัว เทคโนโลยีทั้งสองนี้มอบผลลัพธ์ที่แตกต่างและตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของผู้ใช้งาน 

               

              แต่จะเลือกแบบไหนดีระหว่าง โปรแกรม EMFACE ที่เน้นยกกระชับผิวหน้าอย่างทั่วถึง เสริมสร้างความมั่นใจให้ใบหน้าดูเรียวกระชับ กับ โปรแกรม EMFACE Submentum ที่ออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาบริเวณใต้คางและกรอบหน้าโดยเฉพาะ ช่วยลดปัญหาเหนียงและความหย่อนคล้อยได้อย่างมีประสิทธิภาพ

               

              ในบทความนี้ เราจะมาช่วยคุณไขข้อสงสัย พร้อมเปรียบเทียบความโดดเด่นของทั้งสองเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นคุณสมบัติเด่น วิธีการทำงาน หรือผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน เพื่อให้คุณได้เลือกสรรการดูแลผิวที่เหมาะสมที่สุดสำหรับเป้าหมายความงามของคุณ

               

              ทำความรู้จัก โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum 

               

              โปรแกรม EMFACE คืออะไร?
              โปรแกรม EMFACE คืออะไร?

               

              โปรแกรม EMFACE คืออะไร?

              เทคโนโลยีความงามที่ได้รับการพัฒนาเพื่อช่วยยกกระชับผิวหน้าโดยไม่ต้องผ่าตัด ผสานการใช้พลังงานคลื่นวิทยุ RF และเทคโนโลยี HIFES™ (High-Intensity Facial Electrical Stimulation) ซึ่งช่วยในการกระตุ้นกล้ามเนื้อใบหน้าให้แข็งแรง เสริมสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิว ผลลัพธ์ที่ได้คือให้ใบหน้าดูกระชับ เต่งตึง และอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติแบบไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องเจ็บ ไม่ต้องพักฟื้นนาน

               

              โปรแกรม EMFACE Submentum คืออะไร?
              โปรแกรม EMFACE Submentum คืออะไร?

               

              โปรแกรม EMFACE Submentum คืออะไร?

              เป็นการพัฒนาต่อยอดมาจากเทคโนโลยีโปรแกรม EMFACE โดยเน้นพัฒนาที่เจาะจงเพื่อการแก้ปัญหาบริเวณส่วนล่างของใบหน้าโดยเฉพาะ เช่น คางและลำคอ เป็นบริเวณที่หลายคนมักเผชิญกับปัญหาเหนียง ความหย่อนคล้อย และขาดความกระชับ ซึ่งโปรแกรม EMFACE Submentum ใช้เทคโนโลยีเดียวกันกับโปรแกรม EMFACE ในการกระตุ้นกล้ามเนื้อและเสริมสร้างโครงสร้างผิว เพียงแต่โปรแกรม EMFACE Submentum จะปรับแต่งการทำงานให้เหมาะสมกับผิวและกล้ามเนื้อในบริเวณคางและลำคอ เพื่อช่วยยกกระชับปรับรูปหน้าให้ชัดเจนยิ่งขึ้น และลดปัญหาเหนียงกวนใจ

               

              ทำไมโปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum ถึงได้รับความนิยม?

              • ผลลัพธ์ที่เห็นได้อย่างชัดเจน

              ทั้งโปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum สามารถเห็นความเปลี่ยนแปลงได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ และยิ่งเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนขึ้นเมื่อทำต่อเนื่อง ผิวหน้าดูกระชับขึ้น ริ้วรอยลดลง กรอบหน้าชัดเจนขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ

              • ไม่ต้องพักฟื้น

              การยกกระชับผิวหน้าด้วยโปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum ไม่มีการใช้เข็ม ไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีรอยแผล ทำให้ไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้นหลังทำ สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันปกติหลังทำได้เลยทันที

              • ทคโนโลยีที่เหมาะสำหรับทุกช่วงวัยและทุกปัญหาผิว

              การทำงานที่ออกแบบมาให้เหมาะสมกับทุกสภาพผิวและทุกปัญหาผิว โดยทั้งสองเทคโนโลยีสามารถปรับใช้ได้ตามความต้องการเฉพาะบุคคล ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ต้องการยกกระชับเพื่อป้องกันความหย่อนคล้อยในวัยเริ่มต้น หรือผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยและเหนียงที่ต้องการแก้ไขเฉพาะจุด

              • ตอบโจทย์ความต้องการแบบเฉพาะเจาะจง

              หากังวลเรื่องผิวหย่อนคล้อยทั่วใบหน้า โปรแกรม EMFACE จะช่วยดูแลในภาพรวมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะที่โปรแกรม EMFACE Submentum เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาใต้คางและลำคอ ทำให้สามารถเลือกเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ปัญหาเฉพาะจุดได้อย่างแม่นยำ

              • เพิ่มความมั่นใจในทุกมุมมอง

              ไม่ว่าจะต้องการปรับผิวหน้าให้ดูเรียบเนียน กระชับขึ้น หรือเพิ่มความคมชัดของกรอบหน้าและลำคอ ซึ่งเทคโนโลยีนี้ช่วยคืนความมั่นใจให้คุณได้ทุกมุมมองอย่างไร้ที่ติ

               

              หลักการทำงานของโปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum
              หลักการทำงานของโปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum

               

              หลักการทำงานของโปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum

              ทั้งโปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum ใช้เทคโนโลยีที่ล้ำสมัยและทำงานร่วมกันเพื่อช่วยยกกระชับผิวหน้าและลำคอโดยไม่ต้องผ่าตัด โดยมีหลักการทำงาน ดังนี้

              การผสานเทคโนโลยี HIFES™ และ RF

              • HIFES™ (High-Intensity Facial Electrical Stimulation)

              เป็นเทคโนโลยีส่งพลังงานไฟฟ้าความถี่สูงไปยังกล้ามเนื้อบริเวณที่ทำการรักษา เพื่อกระตุ้นให้กล้ามเนื้อทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงและยกกระชับกล้ามเนื้อใบหน้าและลำคอ

              • คลื่นวิทยุ RF

              เทคโนโลยีพลังงานคลื่นวิทยุความถี่สูง ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิวหนัง ลดเลือนริ้วรอยและความหย่อนคล้อย เพิ่มความเต่งตึงยกกระชับให้ผิว นอกจากนี้ยังช่วยลดไขมันส่วนเกินบริเวณใต้คาง และปรับสภาพผิวลำคอให้เรียบเนียนอีกด้วย

               

              การทำงานเฉพาะจุดของโปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum

              • โปรแกรม EMFACE เน้นการยกกระชับใบหน้าทั้งหมด ปรับโครงสร้างใบหน้าให้ดูสมดุลมากขึ้น กระตุ้นกล้ามเนื้อใบหน้าให้ทำงานดีขึ้น เสริมสร้างผิวให้ดูอ่อนเยาว์ที่สุด  รวมไปถึงช่วยลดเลือนริ้วรอยบริเวณหน้าผากและยกคิ้ว แก้ปัญหาคิ้วตก หนังตาตกได้อีกด้วย
              • โปรแกรม EMFACE Submentum ออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาบริเวณคางและลำคอโดยเฉพาะ ช่วยลดไขมันส่วนเกิน และแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยบริเวณกรอบหน้า ยกกระชับปรับรูปหน้าให้ได้สัดส่วนมากขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยยกกระชับลำคอให้เรียบเนียนขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ

               

              รวมข้อดีของการยกกระชับผิวหน้าด้วยโปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum

              • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน
              • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum ช่วยให้ผิวแข็งแรงขึ้น ลดริ้วรอยและความหย่อนคล้อยของใบหน้า
              • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum ใบหน้าดูกระชับขึ้น กรอบหน้าชัดเจน และลำคอเรียบเนียน
              • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum ลดปัญหากวนใจ เช่น เหนียง ผิวหย่อนคล้อย หรือกรอบหน้าไม่ชัด
              • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum ไม่มีแผล และไม่ต้องเสี่ยงกับการติดเชื้อ หรือผลข้างเคียงจากการผ่าตัด
              • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum หลังการทำสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ทันที
              • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum ไม่มีอาการบวมแดง รอยช้ำ หรืออาการเจ็บปวด
              • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum ใบหน้าและลำคอถูกยกกระชับอย่างเป็นธรรมชาติ
              • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum ไม่ทำให้ใบหน้าดูแข็งหรือตึงจนเกินไป 
              • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum สามารถเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ
              • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum ผลลัพธ์ชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อทำต่อเนื่อง 3-4 ครั้ง
              • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาจำกัดและต้องการดูแลตัวเองอย่างรวดเร็ว.
              • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum ปรับใช้ได้กับทุกปัญหาผิว และทุกสภาพผิว
              • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองหรืออาการแพ้

               

              โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum ช่วยอะไรบ้าง?
              โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum ช่วยอะไรบ้าง?

               

              โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum ช่วยอะไรบ้าง?

              • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum กระตุ้นกล้ามเนื้อใบหน้าให้แข็งแรงและยกกระชับขึ้น
              • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum ลดความหย่อนคล้อยในบริเวณหน้าผาก แก้ม และร่องแก้ม
              • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum ช่วยลดริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงอารมณ์ เช่น รอยย่นบริเวณหน้าผาก ร่องแก้ม และรอบดวงตา
              • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum เพิ่มความเรียบเนียนและความสดใสให้กับผิว
              • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิว
              • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum ช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่นและดูสุขภาพดี
              • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum ช่วยปรับโครงหน้าส่วนบนและกลางให้ได้สัดส่วน ดูสมดุล และเป็นธรรมชาติ
              • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum ลดไขมันส่วนเกินบริเวณใต้คาง ยกกระชับปรับรูปหน้าให้เรียวและคมชัดมากขึ้น
              • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum กระตุ้นกล้ามเนื้อบริเวณกรอบหน้าให้กระชับขึ้น
              • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum ลดความหย่อนคล้อยและรอยเหี่ยวย่นบริเวณลำคอ
              • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum ช่วยให้ลำคอดูเรียบเนียนและอ่อนเยาว์
              • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum ช่วยยกกระชับใบหน้าส่วนล่างให้สมดุลกับใบหน้าส่วนบน

               

              ใครบ้างที่เหมาะสำหรับยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum
              ใครบ้างที่เหมาะสำหรับยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum

              ใครบ้างที่เหมาะสำหรับยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum

              • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาผิวหน้าเริ่มหย่อนคล้อย เช่น ผิวบริเวณแก้ม ร่องแก้ม หางตาตก
              • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum เหมาะสำหรับ วัย 30-40 ปีขึ้นไป ที่เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างผิวตามธรรมชาติ
              • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการลดริ้วรอยโดยไม่ต้องใช้เข็ม
              • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวหน้าให้ดูสดใส
              • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการปรับกรอบหน้าให้คมชัด
              • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาโครงสร้างใบหน้าไม่สมดุล
              • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาเหนียงหรือไขมันใต้คางสะสม
              • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาความหย่อนคล้อยบริเวณลำคอ
              • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการปรับกรอบหน้าให้คมชัด
              • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการลดไขมันส่วนเกินและกระชับลำคอ
              • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูความอ่อนเยาว์บริเวณลำคอและส่วนล่างของใบหน้า
              • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum เหมาะสำหรับ ผู้ที่ไม่มีเวลาว่าง ใช้ชีวิตเร่งรีบ
              • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum เหมาะสำหรับ ผู้ที่ไม่ต้องการผ่าตัด ไม่ต้องการฉีด และไม่ต้องการดูดไขมันใต้คาง

               

              ใครบ้างที่ไม่เหมาะสำหรับการยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum

              • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum ไม่เหมาะสำหรับ สตรีที่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
              • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีอุปกรณ์โลหะในร่างกาย เช่น เครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemaker) หรือเครื่องกระตุ้นประสาท
              • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีการฝังโลหะในบริเวณที่ต้องทำการรักษา เช่น รากฟันเทียม หรือโลหะในบริเวณใบหน้า
              • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีโรคผิวหนัง เช่น โรคสะเก็ดเงิน ผิวหนังอักเสบ
              • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีการติดเชื้อบริเวณผิวที่ต้องการรักษา
              • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีภาวะสุขภาพร้ายแรง เช่น โรคหัวใจขั้นรุนแรง โรคลมชัก
              • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีแผลเปิดหรือการติดเชื้อ เช่น แผลสด บาดแผลติดเชื้อ
              • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีโรคผิวหนังเรื้อรังหรือมะเร็งผิวหนัง เช่น มะเร็งผิวหนังในบริเวณใบหน้าหรือลำคอ
              • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีไขมันส่วนเกินหรือผิวหย่อนคล้อยมากเกินไป
              • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่เพิ่งทำศัลยกรรมมา ควรหลีกเลี่ยงจนกว่าผิวจะฟื้นตัวเต็มที่
              • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่เพิ่งฉีดโปรแกรมฟิลเลอร์หรือฉีดโบ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อกำหนดระยะเวลาที่เหมาะสมก่อนทำ

               

              การเตรียมตัวก่อนทำโปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum

               

              • ควรนัดหมายเพื่อปรึกษาแพทย์ ประเมินปัญหาผิวและสภาพผิว ก่อนเลือกเทคโนโลยีที่เหมาะสม
              • ควรแจ้งข้อมูลสุขภาพของอย่างละเอียด เช่น การใช้ยาประจำ โรคประจำตัว หรือประวัติการทำศัลยกรรม ให้แพทย์ทราบอย่างละเอียด
              • ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อย 7-8 ชั่วโมง
              • ควรดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อให้ผิวชุ่มชื้นและลดความแห้งกร้าน
              • งดการใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิวบริเวณใบหน้าและลำคอ เช่น AHA, BHA หรือ Retinol ก่อนทำ 3-5 วัน
              • งดใช้ผลิตภัณฑ์ครีมหรือเซรัมที่มีส่วนผสมของวิตามินซีหรือไวท์เทนนิ่ง
              • หลีกเลี่ยงการตากแดดอย่างน้อย 1 สัปดาห์ก่อนทำ เพื่อปกป้องผิวไหม้หรือผิวระคายเคือง
              • งดการทำทรีตเมนต์อื่น ๆ เช่น การเลเซอร์, การฉีดโปรแกรมฟิลเลอร์ หรือการฉีดโปรแกรมโบ ในช่วง 2-4 สัปดาห์ก่อนทำ
              • หลีกเลี่ยงแต่งหน้าในวันทำหัตถการ เพื่อให้ผิวหน้าปราศจากสิ่งสกปรกหรือสารเคมี

               

              ขั้นตอนการทำโปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum

              ขั้นตอนการทำโปรแกรม EMFACE

              1. เริ่มทำความสะอาดผิวหน้าและลำคอให้สะอาด เพื่อขจัดสิ่งสกปรกและความมันบนผิว
              2. แพทย์จะตรวจสอบผิวในบริเวณที่ต้องการรักษา เพื่อเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการทำ
              3. ติดตั้งแผ่นทรีตเมนต์ในตำแหน่งที่เหมาะสม เช่น บริเวณหน้าผาก แก้ม และขมับ
              4. เปิดเครื่องและเริ่มการรักษา เครื่องจะเริ่มปล่อยพลังงานในระดับที่ไม่เป็นอันตราย
              5. แพทย์จะปรับระดับความเข้มข้นของพลังงานให้เหมาะสมกับผิวของคุณ โดยใช้เวลาในการรักษาประมาณ 20-30 ครั้ง

               

              ขั้นตอนการทำโปรแกรม EMFACE Submentum

              1. เริ่มทำความสะอาดผิวหน้าและลำคอให้สะอาด เพื่อขจัดสิ่งสกปรกและความมันบนผิว
              2. แพทย์จะตรวจสอบผิวในบริเวณที่ต้องการรักษา เพื่อเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการทำ
              3. ติดตั้งแผ่นทรีตเมนต์บริเวณใต้คางและลำคอ เพื่อเน้นการกระตุ้นกล้ามเนื้อในจุดนี้
              4. แพทย์จะปรับระดับให้เหมาะสมกับผิว เพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพสูงสุด โดยใช้เวลาในการรักษาประมาณ 20-30 ครั้ง

               

              การดูแลตัวเองหลังทำโปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum

              • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และแอลกอฮอล์ หลังทำโปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum
              • หลังทำควรหลีกเลี่ยงการถูหรือกดใบหน้าและลำคอแรง ๆ ในช่วง 24-48 ชั่วโมง
              • งดการนวดหรือทำทรีตเมนต์เพิ่มเติม ในบริเวณที่ทำการรักษา 
              • งดการตากแดดจัดอย่างน้อย 1 สัปดาห์ ควรทาครีมกันแดดปกป้องผิว
              • หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิว เช่น กรด AHA, BHA, หรือ Retinol เป็นเวลา 3-5 วันหลังการทำ
              • หลีกเลี่ยงการเข้าซาวน่า อบไอน้ำ หรือการออกกำลังกายหนัก ที่อาจทำให้ร่างกายร้อนเกินไปภายใน 24-48 ชั่วโมง
              • ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนต่อผิว เช่น ครีมบำรุงหรือเซรัมสำหรับฟื้นฟูผิว
              • ควรดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อช่วยให้ผิวชุ่มชื้น และเสริมกระบวนการสร้างคอลลาเจนหลังการรักษา

               

              สรุปความแตกต่างของโปรแกรม EMFACE vs โปรแกรม EMFACE Submentum

               

              บริเวณที่ต้องการเน้นการรักษา

              • โปรแกรม EMFACE เน้นยกกระชับผิวหน้าส่วนบนและส่วนล่าง เช่น หน้าผาก ขมับ แก้ม และร่องแก้ม ลดริ้วรอยและเพิ่มผิวกระชับ เต่งตึง ในบริเวณใบหน้าโดยรวม
              • โปรแกรม EMFACE Submentum เน้นการยกกระชับใบหน้าส่วนล่าง เช่น บริเวณใต้คาง เหนียง และลำคอ ช่วยลดเหนียง กระชับกรอบหน้าและยกกระชับปรับรูปหน้าให้ชัดเจนยิ่งขึ้น

               

              ปัญหาผิวที่แก้ไขได้

              • โปรแกรม EMFACE แก้ปัญหาริ้วรอย เช่น ริ้วรอยบนหน้าผาก ร่องแก้ม และรอบดวงตา แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยบริเวณแก้มและหน้าผาก เพิ่มความเรียบเนียนและกระชับผิวทั่วใบหน้า
              • โปรแกรม EMFACE Submentum แก้ปัญหาไขมันส่วนเกินบริเวณใต้คาง ลดความหย่อนคล้อยและรอยเหี่ยวย่นบริเวณลำคอ ช่วยกระชับกรอบหน้าให้ได้รูปและสมดุลมากขึ้น

               

              ผลลัพธ์ที่ได้

              • โปรแกรม EMFACE ช่วยให้ผิวหน้าเรียบเนียน เต่งตึง และดูอ่อนเยาว์ ลดริ้วรอยและเพิ่มความกระชับให้ใบหน้าโดยรวม
              • โปรแกรม EMFACE Submentum ช่วยให้กรอบหน้าคมชัดยิ่งขึ้น ลดไขมันใต้คาง ลำคอเรียบเนียนและกระชับ

               

              เหมาะกับใคร

              • โปรแกรม EMFACE เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาริ้วรอย มีความหย่อนคล้อยในบริเวณใบหน้าส่วนบนและกลาง และเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูความอ่อนเยาว์และยกกระชับปรับรูปหน้าให้สมดุล
              • โปรแกรม EMFACE Submentum เหมาะสำหรับผู้ที่มีไขมันสะสมใต้คาง หรือกรอบหน้าไม่คมชัด และเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดความหย่อนคล้อยและริ้วรอยบริเวณลำคอ

               

              การใช้ร่วมกัน

              • การใช้โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum ร่วมกันช่วยแก้ไขปัญหาได้ทั้งใบหน้าและลำคออย่างครบถ้วน ช่วยให้ผลลัพธ์ดูสมดุลและครอบคลุมในทุกจุด อีกทั้งยังเพิ่มความกระชับและฟื้นฟูความอ่อนเยาว์ทั้งใบหน้าและลำคอ

              รวมทุกคำถามที่ควรรู้เกี่ยวกับโปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum

              การทำโปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum เจ็บไหม?

              • การรักษาทั้งสองแบบเป็นการใช้เทคโนโลยีที่ไม่ทำลายผิว อาจมีความรู้สึกเพียงการกระตุกเบา ๆ ของกล้ามเนื้อจากเทคโนโลยี HIFES™ และความอุ่นเล็กน้อยจากคลื่น RF ซึ่งไม่ทำให้รู้สึกเจ็บในระหว่างทำการรักษา

               

              การทำโปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum ต้องทำกี่ครั้งถึงจะเห็นผล?

              • เริ่มเห็นผลตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ ผิวจะรู้สึกกระชับขึ้นทันทีหลังการรักษา และผลลัพธ์จะชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อทำต่อเนื่อง โดยทั่วไป แนะนำให้ทำ 4-6 ครั้ง ต่อคอร์ส เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีอย่างมีประสิทธิภาพ

               

              การทำโปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum ผลลัพธ์อยู่ได้นานแค่ไหน?

              • ผลลัพธ์สามารถอยู่ได้นาน 6-12 เดือน ขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองหลังการรักษา ซึ่งการทำซ้ำปีละ 1-2 ครั้ง จะช่วยรักษาผลลัพธ์ให้อยู่ได้นานยิ่งขึ้น

               

              โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum มีผลข้างเคียงไหม?

              • โดยทั่วไป ไม่มีผลข้างเคียงที่ร้ายแรง ในบางคนอาจมีอาการแดงเล็กน้อย หรือรู้สึกอุ่นบริเวณที่รักษา ซึ่งจะหายไปในไม่กี่ชั่วโมง

               

              สามารถทำโปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum พร้อมกันได้ไหม?

              • สามารถทำร่วมกันได้ เนื่องจากการทำทั้งสองแบบพร้อมกันจะช่วยแก้ปัญหาได้ทั้งใบหน้าและลำคอ ช่วยให้ผลลัพธ์ดูสมดุล ฟื้นฟูทั้งผิวหน้าและกรอบหน้าพร้อมกัน

               

              โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum อันตรายไหม?

              • เทคโนโลยีทั้งสองไม่อันตราย เนื่องจากเทคโนโลยีนี้ผ่านการรับรองจากองค์กรที่เกี่ยวข้องและถูกออกแบบมาเพื่อให้เหมาะสมกับทุกสภาพผิว

               

              โปรแกรม EMFACE Submentum ช่วยลดไขมันใต้คางได้จริงไหม?

              • โปรแกรม EMFACE Submentum ถูกออกแบบมาเพื่อลดไขมันสะสมใต้คางอย่างเฉพาะเจาะจง โดยใช้คลื่น RF เพื่อกระตุ้นการเผาผลาญไขมันและช่วยกระชับผิวในบริเวณดังกล่าว ผลลัพธ์จะเห็นได้ชัดเจนขึ้นเมื่อทำอย่างต่อเนื่องตามคอร์สที่แนะนำ

               

              โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum เป็นเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการในการฟื้นฟูและยกกระชับผิว โดยไม่ต้องเจ็บตัวหรือพักฟื้น ด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยที่ผสานพลังงานคลื่นวิทยุ (RF) และ HIFES™ ทั้งสองโปรแกรมช่วยแก้ปัญหาผิวในแต่ละส่วนอย่างตรงจุด ไม่ว่าจะเป็นการลดริ้วรอยและฟื้นฟูใบหน้าส่วนบนด้วยโปรแกรม EMFACE หรือการลดเหนียงและยกกระชับกรอบหน้ากับลำคอด้วยโปรแกรม EMFACE Submentum

               

              หากใครกำลังมองหาวิธีคืนความอ่อนเยาว์และเพิ่มความมั่นใจให้กับตัวเองอย่างมีประสิทธิภาพ การเลือกทำโปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมอย่างยิ่ง พร้อมช่วยให้คุณเผยผิวที่ดูอ่อนเยาว์ กระชับ และมีชีวิตชีวาอีกครั้ง ทั้งนี้ การปรึกษาแพทย์ที่มีความรู้เฉพาะด้าน จะช่วยให้คุณได้ผลลัพธ์ที่เหมาะสมกับความต้องการเฉพาะบุคคลเท่านั้น

              โปรแกรมฉีด HACa คืออะไร? ยกกระชับผิว กระตุ้นคอลลาเจน ดีจริงไหม?

              โปรแกรมฉีด HACa

              ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




                วันที่สะดวกในการติดต่อ








                โปรแกรมฉีด HACa คืออะไร? ยกกระชับผิว กระตุ้นคอลลาเจน ดีจริงไหม?

                การดูแลผิวหน้าให้สดใส เต่งตึง และดูอ่อนกว่าวัย เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยเสริมความมั่นใจ ซึ่งในปัจจุบันด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า และทันสมัย ทำให้วงการแพทย์ความงามมีการพัฒนาเทคโนโลยี Hybrid Filler ขึ้นมาใหม่ ซึ่งเหนือกว่าโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์แบบปกติ โดยมีชื่อเรียกว่า “โปรแกรมฉีด HACa” ซึ่งมีการผสานคุณสมบัติแบบ Dual Effect ทั้งยกกระชับผิว และกระตุ้นคอลลาเจนไว้ในหลอดเดียว ทำให้สามารถแก้ปัญหาได้อย่างครอบคลุมมากขึ้น บทความนี้ ขอพาไปทำความรู้จักเกี่ยวกับโปรแกรมฉีด HACa ว่า โปรแกรมฉีด HACa คืออะไร? โปรแกรมฉีด HACa ดีอย่างไร? และโปรแกรมฉีด HACa เหมาะกับใคร? เพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการแก้ไขปัญหาผิว

                โปรแกรมฉีด HACa คืออะไร? ตัวช่วยอัปผิวแน่น หน้ายก พร้อมกระตุ้นคอลลาเจน

                รู้จัก 2 ส่วนประกอบเด่นของโปรแกรมฉีด HACa
                รู้จัก 2 ส่วนประกอบเด่นของโปรแกรมฉีด HACa

                โปรแกรมฉีด HACa คืออะไร?

                โปรแกรมฉีด HACa เป็นชื่อย่อของโปรแกรมฉีด HArmonyCa เป็นโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ชนิดไฮบริด (Hybrid Filler) รุ่นใหม่จากบริษัท Allergan Aesthetics ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในวงการความงาม ซึ่งมีคุณสมบัติเด่นในการยกกระชับผิว และกระตุ้นคอลลาเจน เนื่องจากโปรแกรมฉีด HACa มีการรวมส่วนประกอบสำคัญระหว่าง Hyaluronic Acid (HA) และ Calcium Hydroxyapatite (CaHA) เข้าด้วยกันอย่างลงตัว ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ ทั้งในระยะสั้น และระยะยาว จึงถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจในการแก้ไขปัญหาผิว ไม่ว่าจะเป็นผิวหย่อนคล้อย มีริ้วรอย หรือผิวขาดความยืดหยุ่น

                รู้จัก 2 ส่วนประกอบเด่นของโปรแกรมฉีด HACa

                โปรแกรมฉีด HACa ประกอบไปด้วยส่วนประกอบเด่นถึง 2 ชนิด ดังนี้

                • โปรแกรมฉีด HACa มีส่วนประกอบของ Hyaluronic Acid (HA)  

                โปรแกรมฉีด HACa (HArmonyCa) มีส่วนประกอบของ Hyaluronic Acid (HA) ปริมาณ 70% ในรูปแบบ Crosslinked ซึ่ง HA เป็นสารที่สามารถพบได้ในร่างกายมนุษย์ โดยเฉพาะในผิวหนัง ทำหน้าที่หลักในการกักเก็บน้ำ ทำให้ผิวมีความชุ่มชื้น ยืดหยุ่น และดูอ่อนเยาว์มากขึ้น แต่เมื่ออายุมากขึ้น ร่างกายจะค่อย ๆ ผลิต HA ออกมาน้อยลง ทำให้ผิวหย่อนคล้อย และขาดความกระชับดังนั้น การฉีด HA สามารถเข้าไปยกกระชับผิว และเติมเต็มผิวในบริเวณที่ฉีด ทำให้ผิวกลับมาอิ่มฟู กระชับ และเรียบเนียนขึ้นในทันที

                • โปรแกรมฉีด HACa มีส่วนประกอบของ Calcium Hydroxyapatite (CaHA) 

                โปรแกรมฉีด HACa (HArmonyCa) มีส่วนประกอบของ Calcium Hydroxyapatite (CaHA) ปริมาณ 30% ซึ่งเป็นสารที่พบได้ในกระดูก และฟัน โดยจะอยู่ในรูปแบบของ Microspheres หรืออนุภาคขนาดเล็ก ที่มีลักษณะเป็นทรงกลม ทำหน้าที่หลักในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิว และฟื้นฟูโครงสร้างผิวให้แข็งแรง ทำให้ผิวมีความแน่นกระชับ ยืดหยุ่น และดูอ่อนเยาว์มากขึ้น

                หลักการทำงานของโปรแกรมฉีด HACa

                โปรแกรมฉีด HACa จะมีหลักการทำงาน และกลไกการออกฤทธิ์แบบ Dual Effect ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันระหว่าง Hyaluronic Acid (HA) และ Calcium Hydroxyapatite (CaHA) ทำให้มีประสิทธิภาพ ทั้งการยกกระชับผิว และกระตุ้นคอลลาเจนไปพร้อม ๆ กัน เมื่อฉีดโปรแกรมฉีด HACa เข้าสู่ผิว สาร HA จะเข้าไปเติมเต็มช่องว่างใต้ผิว และพยุงโครงสร้างผิวที่หย่อนคล้อย ให้ผิวเกิดการยกกระชับขึ้นในทันทีที่ฉีด หลังจากนั้น สาร CaHA ที่มีอนุภาคขนาดเล็ก จะเริ่มทำงานโดยการกระตุ้นการสร้างเส้นใยคอลลาเจน ผ่านเซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblasts) โดยตรง จึงทำให้คอลลาเจนชนิดที่ 1 และคอลลาเจนชนิดที่ 3 เพิ่มมากขึ้น ซึ่งคอลลาเจนที่ถูกสร้างขึ้นใหม่นั้น จะเข้าไปเสริมสร้างโครงสร้างผิว จนเกิดเป็นโครงสร้างคอลลาเจนที่แน่นหนา และแข็งแรงมากขึ้น ทำให้ผิวมีความกระชับ ยืดหยุ่น และลดเลือนริ้วรอยในระยะยาว

                ทำไมถึงควรฉีดโปรแกรมฉีด HACa?
                ทำไมถึงควรฉีดโปรแกรมฉีด HACa?

                ทำไมถึงควรฉีดโปรแกรมฉีด HACa?

                โดยปกติแล้ว ร่างกายของเราสามารถผลิตคอลลาเจน และอีลาสตินได้เอง ตามกระบวนการธรรมชาติ ผ่านการทำงานของเซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblasts) ซึ่งเป็นเซลล์สำคัญที่อยู่ในชั้นหนังแท้ (Dermis) ทำหน้าที่ในการสร้างคอลลาเจน และอีลาสติน เพื่อพยุงโครงสร้างผิวให้มีความแข็งแรง กระชับ และยืดหยุ่น

                แต่เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น กลไกการทำงานของเซลล์ไฟโบรบลาสต์ในร่างกายก็เริ่มทำงานช้าลง ส่งผลให้การผลิตคอลลาเจนในร่างกายเริ่มเสื่อมสภาพลงตามไปด้วย ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้ว คอลลาเจนจะลดลงประมาณ 1 – 1.5% ต่อปี เมื่อร่างกายผลิตคอลลาเจนได้น้อยลง ผิวก็จะเริ่มสูญเสียความหนาแน่น ความชุ่มชื้น และความยืดหยุ่น จนเกิดเป็นริ้วรอย ร่องลึก และใบหน้าหย่อนคล้อยอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์แบบปกติ สามารถเติมเต็มริ้วรอย ร่องลึก และเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวได้ แต่จะไม่มีคุณสมบัติในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ดังนั้น โปรแกรมฉีด HACa จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่สามารถตอบโจทย์ ทั้งการยกกระชับผิว และกระตุ้นคอลลาเจนแบบยั่งยืนในขั้นตอนเดียว

                โปรแกรมฉีด HACa มีความโดดเด่นอย่างไร?

                เนื่องจากโปรแกรมฉีด HACa เป็นเทคโนโลยีไฮบริดฟิลเลอร์ (Hybrid Filler) ที่ให้ผลลัพธ์แบบ Dual Effect ซึ่งเป็นผลมาจากการผสมผสานคุณสมบัติของสาร 2 ชนิดเข้าด้วยกัน ได้แก่ Hyaluronic Acid (HA) และ Calcium Hydroxyapatite (CaHA) ทำให้โปรแกรมฉีด HACa มีความโดดเด่น ดังนี้

                • โปรแกรมฉีด HACa ช่วยเสริมความแข็งแรงให้ผิว 

                เนื่องจากโปรแกรมฉีด HACa มีส่วนประกอบสำคัญอย่าง Calcium Hydroxyapatite (CaHA) ซึ่งทำหน้าที่เป็นเหมือนโครงสร้างที่ช่วยพยุงผิว และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้โครงสร้างผิวแข็งแรงขึ้นในระยะยาว และผิวมีความหนาแน่นมากขึ้น ลดปัญหาผิวหย่อนคล้อย ไม่กระชับ ทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ

                • โปรแกรมฉีด HACa ช่วยเสริมความยืดหยุ่นให้ผิว

                เนื่องจากโปรแกรมฉีด HACa มีส่วนประกอบสำคัญอย่าง Hyaluronic Acid (HA) ซึ่งมีคุณสมบัติในการเพิ่มความยืดหยุ่น และความชุ่มชื้นให้ผิว ทำให้ผิวดูสุขภาพดี อิ่มฟู และผลลัพธ์ที่ได้มีความเป็นธรรมชาติ แก้ปัญหาริ้วรอยบนใบหน้าได้เป็นอย่างดี

                • โปรแกรมฉีด HACa สามารถกระจายตัวได้ดี

                เนื่องจากโปรแกรมฉีด HACa มีส่วนประกอบสำคัญอย่าง Hyaluronic Acid (HA) และ Calcium Hydroxyapatite (CaHA) ซึ่งถูกออกแบบมาให้สามารถกระจายตัวได้ดี และสม่ำเสมอในบริเวณที่ฉีด ไม่เกิดการจับตัวเป็นก้อนง่าย และกลมกลืนเข้ากับผิวได้อย่างเรียบเนียน มีความเป็นธรรมชาติสูง

                • โปรแกรมฉีด HACa สามารถอุ้มน้ำได้ดี

                เนื่องจากโปรแกรมฉีด HACa มีส่วนประกอบสำคัญอย่าง Hyaluronic Acid (HA) ทำให้สามารถอุ้มน้ำได้ดี และกักเก็บความชุ่มชื้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ผิวชุ่มชื้น อิ่มน้ำ และดูสุขภาพดี พร้อมทั้งลดเลือนริ้วรอยที่เกิดจากผิวขาดน้ำได้

                โปรแกรมฉีด HACa เหมาะกับใคร?
                โปรแกรมฉีด HACa เหมาะกับใคร?

                โปรแกรมฉีด HACa เหมาะกับใคร?

                • โปรแกรมฉีด HACa เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย

                โปรแกรมฉีด HACa เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อย ผิวห้อยย้อย และขาดความกระชับ เนื่องจากโปรแกรมฉีด HACa มีส่วนประกอบของ Hyaluronic Acid (HA) และ Calcium Hydroxyapatite (CaHA) ซึ่งมีคุณสมบัติในการกระตุ้นคอลลาเจน และยกกระชับผิวในทันทีที่ฉีด แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยได้ในระยะยาว

                • โปรแกรมฉีด HACa เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาริ้วรอย และร่องลึก

                โปรแกรมฉีด HACa เหมาะสำหรับผู้ที่มีริ้วรอย ร่องลึก และร่องน้ำหมาก เนื่องจากโปรแกรมฉีด HACa มีส่วนประกอบของ Hyaluronic Acid (HA) และ Calcium Hydroxyapatite (CaHA) ซึ่งจะช่วยในการเติมเต็มริ้วรอย ร่องลึกอย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้ผิวหน้าดูอ่อนกว่าวัยอย่างเห็นได้ชัด

                • โปรแกรมฉีด HACa เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหากรอบหน้าไม่คมชัด

                โปรแกรมฉีด HACa เหมาะสำหรับผู้ที่มีกรอบหน้าไม่ชัด ใบหน้าขาดมิติ เนื่องจากโปรแกรมฉีด HACa มีส่วนประกอบของ Hyaluronic Acid (HA) และ Calcium Hydroxyapatite (CaHA) ซึ่งจะช่วยปรับรูปหน้า และยกกระชับผิวบริเวณกรอบหน้าให้มีความคมชัดมากขึ้น 

                • โปรแกรมฉีด HACa เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหน้าขาดความยืดหยุ่น

                โปรแกรมฉีด HACa เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวหน้าไม่ยืดหยุ่น ขาดคอลลาเจน เนื่องจากโปรแกรมฉีด HACa มีส่วนประกอบของ Calcium Hydroxyapatite (CaHA) ซึ่งจะช่วยในการกระตุ้นคอลลาเจน และอีลาสตินโดยตรง ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่น อิ่มฟู และเต่งตึงจากภายใน

                • โปรแกรมฉีด HACa เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหน้าไม่แข็งแรง

                โปรแกรมฉีด HACa เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวหน้าไม่แข็งแรง เนื่องจากโปรแกรมฉีด HACa มีส่วนประกอบของ Calcium Hydroxyapatite (CaHA) ซึ่งจะช่วยในการกระตุ้นคอลลาเจน และฟื้นฟูโครงสร้างผิวที่เสื่อมสภาพ ให้กลับมาแข็งแรง ทำให้ผิวมีความหนาแน่น เฟิร์มกระชับ และดูอ่อนเยาว์มากขึ้น

                • โปรแกรมฉีด HACa เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหน้าขาดความชุ่มชื้น

                โปรแกรมฉีด HACa เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวหน้าไม่ชุ่มชื้น ต้องการปรับสภาพผิวให้ดูสดใส เนื่องจากโปรแกรมฉีด HACa มีส่วนประกอบของ Hyaluronic Acid (HA) และ Calcium Hydroxyapatite (CaHA) ซึ่งมีคุณสมบัติในการกักเก็บความชุ่มชื้น และกระตุ้นคอลลาเจน จึงทำให้ผิวมีความอิ่มฟู สดใส และอิ่มน้ำมากขึ้น

                โปรแกรมฉีด HACa ไม่เหมาะกับใคร?

                • โปรแกรมฉีด HACa ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร เนื่องจากอาจส่งผลกระทบต่อลูกในครรภ์ได้ จึงควรหลีกเลี่ยงโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ทุกชนิด
                • โปรแกรมฉีด HACa ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีโรคที่เกี่ยวข้องกับภูมิคุ้มกัน เช่น โรคแพ้ภูมิตัวเอง หรือโรคภูมิคุ้มกันผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนตัดสินใจฉีดโปรแกรมฉีด HACa
                • โปรแกรมฉีด HACa ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีประวัติการแพ้ เช่น แพ้สาร Hyaluronic Acid (HA) หรือแพ้สาร Calcium Hydroxyapatite (CaHA) ควรหลีกเลี่ยงการฉีดโปรแกรมฉีด HACa
                • โปรแกรมฉีด HACa ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีแผลเป็นนูน หรือมีประวัติเคยเป็นคีลอยด์ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนตัดสินใจฉีดโปรแกรมฉีด HACa
                • โปรแกรมฉีด HACa ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหนังอักเสบ หรือติดเชื้อ เช่น สิวอักเสบ ลมพิษ ควรปรึกษาแพทย์ หรือรักษาอาการให้หายดีก่อน
                • โปรแกรมฉีด HACa ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีโรคเลือดออกง่าย หรือโรคที่เกี่ยวข้องกับการแข็งตัวของเลือด  ควรปรึกษาแพทย์ก่อนตัดสินใจฉีดโปรแกรมฉีด HACa

                โปรแกรมฉีด HACa ฉีดตำแหน่งไหนได้บ้าง?

                โปรแกรมฉีด HACa สามารถฉีดได้หลายตำแหน่ง แต่โดยส่วนใหญ่ ตำแหน่งที่ฉีดโปรแกรมฉีด  HACa จะเน้นในการยกกระชับผิว และกระตุ้นคอลลาเจน โดยตำแหน่งที่นิยมฉีดโปรแกรมฉีด HACa มีดังนี้

                • โปรแกรมฉีด HACa สามารถนำมาฉีดบริเวณโหนกแก้ม
                • โปรแกรมฉีด HACa สามารถนำมาฉีดบริเวณขากรรไกรล่าง
                • โปรแกรมฉีด HACa สามารถนำมาฉีดบริเวณกราม
                โปรแกรมฉีด HACa มีข้อดีอย่างไร?
                โปรแกรมฉีด HACa มีข้อดีอย่างไร?

                โปรแกรมฉีด HACa มีข้อดีอย่างไร?

                • โปรแกรมฉีด HACa สามารถให้ผลลัพธ์แบบ Dual Effect ด้วยส่วนประกอบของ Hyaluronic Acid (HA) ที่ช่วยเติมเต็ม และยกกระชับผิวในทันทีที่ฉีด และ Calcium Hydroxyapatite (CaHA) ที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และอีลาสตินในระยะยาว จึงทำให้ได้ 2 ผลลัพธ์ในขั้นตอนเดียว
                • โปรแกรมฉีด HACa สามารถให้ผลลัพธ์ที่ยาวนาน เนื่องจากโปรแกรมฉีด HACa จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และอีลาสตินอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผลลัพธ์อยู่ได้ยาวนาน โดยเฉลี่ยประมาณ 12 – 18 เดือน จึงไม่ต้องมีการฉีดซ้ำบ่อย ถึงแม้สารในโปรแกรมฉีด HACa จะสลายไป แต่คอลลาเจนที่สร้างขึ้นใหม่ยังคงอยู่
                • โปรแกรมฉีด HACa สามารถให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ เมื่อฉีดเข้าสู่ผิวแล้ว สารในโปรแกรมฉีด HACa จะกระจายตัวได้ดีในบริเวณที่ฉีด โดยไม่จับตัวเป็นก้อน และไม่ไหลย้อยง่าย ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้มีความเรียบเนียน และเป็นธรรมชาติ ใบหน้าดูไม่แข็งทื่อ
                • โปรแกรมฉีด HACa ไม่ต้องพักฟื้นหลังฉีด โดยหลังฉีดโปรแกรมฉีด HACa สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ มีผลข้างเคียงเกิดขึ้นน้อยมาก เช่น มีอาการบวมแดง หรือปวดตึง ซึ่งถือเป็นอาการปกติ และไม่เป็นอันตราย จึงไม่ต้องใช้เวลาในการพักฟื้นหลังฉีด
                • โปรแกรมฉีด HACa ไม่เป็นอันตราย เนื่องจากโปรแกรมฉีด HACa สามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ และไม่ทิ้งสารตกค้าง จึงไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ที่สำคัญโปรแกรมฉีด HACa ยังได้รับการรับรองจาก องค์การอาหารและยา (อย.) ของประเทศไทยอีกด้วย
                • โปรแกรมฉีด HACa ให้ความรู้สึกเจ็บน้อยขณะฉีด เนื่องจากโปรแกรมฉีด HACa มีส่วนผสมของยาชา (Lidocaine) ร่วมด้วย ทำให้ขณะฉีดรู้สึกผ่อนคลาย และสบายผิวมากขึ้น จึงช่วยลดความรู้สึกเจ็บปวดขณะฉีดได้

                วิธีการเตรียมตัวก่อนฉีดโปรแกรมฉีด HACa

                • ก่อนฉีดโปรแกรมฉีด HACa ควรปรึกษาแพทย์ก่อนฉีด โดยแพทย์จะประเมินสภาพผิว และโครงสร้างใบหน้า เพื่อวางแผนการฉีดโปรแกรมฉีด HACa อย่างเหมาะสม
                • ก่อนฉีดโปรแกรมฉีด HACa งดการรับประทานยา หรืออาหารเสริมที่ทำให้เลือดออกง่าย อย่างน้อย 1 สัปดาห์ เนื่องจากเป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอาการบวมช้ำหลังฉีด
                • ก่อนฉีดโปรแกรมฉีด HACa งดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และสูบบุหรี่ทุกประเภท อย่างน้อย 1 – 2 วัน เนื่องจากเป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอาการบวมช้ำหลังฉีด
                • ก่อนฉีดโปรแกรมฉีด HACa งดการทำเลเซอร์ ทรีตเมนต์ หรือสครับผิวหน้า อย่างน้อย 1 สัปดาห์ เนื่องจากเป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอาการอักเสบ หรือระคายเคืองหลังฉีด
                • ก่อนฉีดโปรแกรมฉีด HACa ควรดื่มน้ำ และพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายมีความพร้อมสำหรับการฉีดโปรแกรมฉีด HACa 

                ขั้นตอนการฉีดโปรแกรมฉีด HACa

                • แพทย์จะประเมินใบหน้าก่อนฉีด โดยจะวิเคราะห์ปัญหาผิว และสอบถามประวัติสุขภาพ เช่น ประวัติโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ หรือยาที่กำลังรับประทานอยู่ เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียง
                • ทำความสะอาดผิวหน้า โดยการเช็ดเครื่องสำอางให้สะอาด และฆ่าเชื้อในบริเวณที่ฉีด เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดการติดเชื้อ
                • ถึงแม้ว่าโปรแกรมฉีด HACa จะมีส่วนผสมของยาชา (Lidocaine) ที่ช่วยลดความรู้สึกเจ็บขณะอยู่แล้ว แต่สำหรับผู้ที่มีความกังวลเรื่องความเจ็บ สามารถขอทายาชา หรือฉีดยาชาเพิ่มเติมได้ เพื่อเพิ่มความผ่อนคลายขณะฉีด
                • แพทย์จะทำการฉีดโปรแกรมฉีด HACa เข้าไปยังผิวหน้าในตำแหน่งที่เหมาะสม โดยแพทย์จะใช้เทคนิคเฉพาะในการฉีด เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ได้ดูเป็นธรรมชาติ
                • หลังฉีดโปรแกรมฉีด HACa เสร็จ แพทย์จะแนะนำให้ขั้นตอนการดูแลตัวเองหลังฉีด เพื่อป้องกันการเกิดผลข้างเคียง

                วิธีการดูแลตัวเองหลังฉีดโปรแกรมฉีด HACa

                • หลังฉีดโปรแกรมฉีด HACa สามารถประคบเย็นในบริเวณฉีดเบา ๆ เพื่อลดอาการบวม รอยแดง หรือรอยช้ำหลังฉีด
                • หลังฉีดโปรแกรมฉีด HACa หลีกเลี่ยงการนวด กด หรือสัมผัสใบหน้าแรง ๆ ในบริเวณที่ฉีด อย่างน้อย 1 – 2 สัปดาห์
                • หลังฉีดโปรแกรมฉีด HACa หลีกเลี่ยงการนอนตะแคง หรือนอนในท่าทางที่กดทับใบหน้า อย่างน้อย 1 – 2 สัปดาห์
                • หลังฉีดโปรแกรมฉีด HACa งดการแต่งหน้า หรือใช้เครื่องสำอางในบริเวณที่ฉีด อย่างน้อย 12 – 24 ชั่วโมงแรกหลังฉีด
                • หลังฉีดโปรแกรมฉีด HACa งดการออกกำลังกายหนัก เช่น คาร์ดิโอหนัก ๆ หรือยกเวท อย่างน้อย 1 – 2 วันหลังฉีด
                • หลังฉีดโปรแกรมฉีด HACa งดความร้อน หรือแสงแดดจัด เช่น เข้าซาวน่า อบไอน้ำ หรือล้างหน้าด้วยความร้อน อย่างน้อย 1 – 2 สัปดาห์
                • หลังฉีดโปรแกรมฉีด HACa งดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และสูบบุหรี่ทุกประเภท อย่างน้อย 1 – 2 วันหลังฉีด
                • หลังฉีดโปรแกรมฉีด HACa งดการใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิว อย่างน้อย 1 – 2 สัปดาห์ เพื่อป้องกันการระคายเคืองหลังฉีด
                • หลังฉีดโปรแกรมฉีด HACa งดการทำเลเซอร์ร้อน ทรีตเมนต์ หรือเครื่องยกกระชับ อย่างน้อย 2 – 4 สัปดาห์หลังฉีด
                • หลังฉีดโปรแกรมฉีด HACa งดรับประทานยา หรืออาหารเสริม เช่น แอสไพริน หรือยาต้านการอักเสบ ที่ส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด อย่างน้อย 1 สัปดาห์หลังฉีด
                ผลลัพธ์ที่ได้จากโปรแกรมฉีด HACa
                ผลลัพธ์ที่ได้จากโปรแกรมฉีด HACa

                ผลลัพธ์ที่ได้จากโปรแกรมฉีด HACa 

                ผลลัพธ์ที่ได้หลังฉีดโปรแกรมฉีด HACa สามารถแบ่งได้เป็น 2 ระยะ ซึ่งมีทั้งผลลัพธ์ที่เห็นได้ในทันที และผลลัพธ์ในระยะยาว ดังนี้

                • โปรแกรมฉีด HACa สามารถให้ผลลัพธ์ทันที ด้วยส่วนประกอบของ Hyaluronic Acid (HA) ที่ช่วยในการเติมเต็ม และยกกระชับผิวในทันทีที่ฉีด ทำให้ผิวชุ่มชื้น อิ่มฟู ใบหน้าดูมิติ รวมถึง ผิวกระชับขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
                • โปรแกรมฉีด HACa สามารถให้ผลลัพธ์ระยะยาว ด้วยส่วนประกอบของ Calcium Hydroxyapatite (CaHA) ที่ช่วยในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผิวมีความแน่นกระชับ และยืดหยุ่น รวมถึง โครงสร้างผิวมีความแข็งแรงจากภายใน โดยผลลัพธ์จะเริ่มเห็นได้ชัดเจน ประมาณ 1 – 2 เดือนหลังฉีด

                โปรแกรมฉีด HACa มีความอันตรายไหม?

                โปรแกรมฉีด HACa เป็นเทคโนโลยีไฮบริดฟิลเลอร์ (Hybrid Filler) ที่ได้รับการรับรองจาก องค์การอาหารและยา (อย.)  นอกจากนี้ ส่วนประกอบสำคัญที่ใช้ในโปรแกรมฉีด HACa ได้แก่ Hyaluronic Acid (HA) และ Calcium Hydroxyapatite (CaHA) ยังเป็นสารที่สามารถพบได้ตามธรรมชาติในร่างกาย จึงสามารถเข้ากับร่างกายได้ดี และไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงในระยะยาว ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย ควรทำโปรแกรมฉีด HACa โดยแพทย์ที่มีความชำนาญ ภายในคลินิกที่ได้มาตรฐานเท่านั้น รวมถึง ใช้โปรแกรมฉีด HACa ของแท้ ที่สามารถตรวจสอบได้ เพื่อให้มั่นใจในผลลัพธ์ที่ดี และมีประสิทธิภาพหลังฉีด

                โปรแกรมฉีด HACa สามารถอยู่ได้นานแค่ไหน?

                โปรแกรมฉีด HACa สามารถคงผลลัพธ์อยู่ได้ยาวนาน ประมาณ 12 – 18 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล และการดูแลตัวเองหลังฉีด เนื่องจากโปรแกรมฉีด HACa มีส่วนประกอบของ Hyaluronic Acid (HA) ที่ช่วยยกกระชับผิว และ Calcium Hydroxyapatite (CaHA) ที่ช่วยกระตุ้นคอลลาเจน ทำให้สามารถคงผลลัพธ์ได้นานกว่าโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ปกติ ซึ่งแพทย์จะแนะนำให้กลับมาฉีดโปรแกรมฉีด HACa ซ้ำเมื่อครบกำหนด เพื่อคงประสิทธิภาพในการกระตุ้นคอลลาเจนอย่างต่อเนื่อง

                ถาม – ตอบทุกเรื่องเกี่ยวกับโปรแกรมฉีด HACa

                โปรแกรมฉีด HACa ฉีดพร้อมโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ได้ไหม?

                • โปรแกรมฉีด HACa สามารถฉีดร่วมกับโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ได้ แต่ต้องขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแพทย์ และตำแหน่งที่ต้องการฉีด โดยจะต้องมีการประเมินสภาพผิว และวางแผนการรักษาอย่างเหมาะสม เพื่อให้ได้ผลลัพธ์น่าพึงพอใจ

                โปรแกรมฉีด HACa ฉีดพร้อมโปรแกรมฉีด Radiesse ได้ไหม?

                • โปรแกรมฉีด HACa และโปรแกรมฉีด Radiesse จะไม่แนะนำให้ฉีดร่วมกันในตำแหน่งเดียวกัน เนื่องจากสารของทั้งสองตัวนี้ อาจเข้าไปรบกวนการทำงานของกันและกัน รวมถึง อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้ แต่ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแพทย์ แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ก่อนตัดสินใจฉีด เพื่อวางแผนการรักษาอย่างเหมาะสม

                โปรแกรมฉีด HACa ฉีดกี่วันถึงเห็นผล?

                • โปรแกรมฉีด HACa สามารถเห็นผลลัพธ์ในด้านการยกกระชับผิว และเติมเต็มได้ในทันทีที่ฉีด จากนั้นเมื่อผ่านไป 1 เดือน จะค่อย ๆ เห็นผลลัพธ์ในด้านการกระตุ้นคอลลาเจน เนื่องจากโปรแกรมฉีด HACa มีกลไกการออกฤทธิ์แบบ Dual Effect คือ การยกกระชับผิวจาก Hyaluronic Acid (HA) และกระตุ้นคอลลาเจนจาก Calcium Hydroxyapatite (CaHA) ทำให้ได้ผลลัพธ์ทั้งในระยะสั้น และระยะยาว

                โปรแกรมฉีด HACa ต้องฉีดบ่อยแค่ไหน?

                • โปรแกรมฉีด HACa สามารถคงผลลัพธ์ได้นาน ประมาณ 12 – 18 เดือน แต่โดยทั่วไป จะแนะนำให้ฉีดโปรแกรมฉีด HACa ซ้ำทุก 1 ปี ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และการดูแลตัวเองของแต่ละบุคคล เพื่อคงประสิทธิภาพของผลลัพธ์ให้ดูอ่อนเยาว์อย่างต่อเนื่อง

                โปรแกรมฉีด HACa ต้องพักฟื้นหลังฉีดไหม?

                • หลังฉีดโปรแกรมฉีด HACa ไม่จำเป็นต้องพักฟื้นหลังฉีด สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติทันที แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น แนะนำให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เช่น หลีกเลี่ยงการสัมผัสบริเวณที่ฉีด งดโดนความร้อน หรืองดออกกำลังกายหนัก เพื่อป้องกันการเกิดผลข้างเคียงในอนาคต

                โปรแกรมฉีด HACa ขณะฉีดเจ็บไหม?

                • โปรแกรมฉีด HACa จะให้ความรู้สึกเจ็บน้อยมากขณะฉีด เนื่องจากโปรแกรมฉีด HACa มีส่วนผสมของยาชา (Lidocaine) จึงช่วยลดความรู้สึกเจ็บปวดขณะฉีดลงได้ แต่ทั้งนี้ สามารถขอทายาชา หรือฉีดยาชาเพิ่มเติมได้ เพื่อให้รู้สึกผ่อนคลาย สบายตัวมากขึ้น

                โปรแกรมฉีด HACa ถือเป็นเทคโนโลยีไฮบริดฟิลเลอร์ ที่ตอบโจทย์สำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย ผิวไม่กระชับ และต้องการเติมเต็มคอลลาเจนให้ผิว ซึ่งการฉีดโปรแกรมฉีด HACa เพียงครั้งเดียว สามารถคงผลลัพธ์ได้นานถึง 12 – 18 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และการดูแลตัวเองหลังฉีด โดยจะให้ผลลัพธ์แบบ Dual Effect ทั้งยกกระชับผิวจาก Hyaluronic Acid (HA) ในทันที แต่กระตุ้นคอลลาเจนจาก Calcium Hydroxyapatite (CaHA) ระยะยาว ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้มีประสิทธิภาพ และมีความยั่งยืนมากกว่าโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์แบบปกติ โดยไม่ต้องผ่าตัด และไม่ต้องพักฟื้น สำหรับใครที่สนใจฉีดโปรแกรมฉีด HACa สามารถเข้ามาสอบถามเพิ่มเติม หรือปรึกษากับทีมแพทย์ของ รมย์รวินท์คลินิก ได้ทุกสาขา เพื่อให้แพทย์วิเคราะห์ และประเมินสภาพผิวหน้า พร้อมออกแบบการรักษาอย่างเหมาะสม ตอบโจทย์ความต้องการอย่างแท้จริง

                โปรแกรม Ultherapy ราคาเท่าไหร่? เจาะลึกการยกกระชับผิวที่ตอบโจทย์ทุกวัย พร้อมราคาอัปเดต 2025

                โปรแกรม Ultherapy

                โปรแกรม Ultherapy ราคาเท่าไหร่? เจาะลึกการยกกระชับผิวที่ตอบโจทย์ทุกวัย พร้อมราคาอัปเดต 2025

                 

                เมื่อพูดถึงเทคโนโลยีการยกกระชับผิวที่ให้ผลลัพธ์ชัดเจนและยาวนาน โปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) เป็นชื่อที่ถูกพูดถึงเป็นอันดับต้น ๆ ในวงการความงาม ด้วยเทคโนโลยีที่ใช้พลังงานคลื่นอัลตราซาวนด์เจาะลึกเข้าสู่ชั้นผิว ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและยกกระชับผิวได้อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาผิวหย่อนคล้อย ริ้วรอย หรือโครงหน้าที่ขาดความชัดเจน โปรแกรม  Ultherapy (อัลเทอร่า) สามารถตอบโจทย์ได้ทุกช่วงวัย ทั้งในเรื่องผลลัพธ์ที่น่าประทับใจและกระบวนการที่ไม่อันตราย

                 

                นอกจากนี้โปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) ยังได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในกลุ่มคนที่ต้องการดูแลตัวเองแบบไม่ต้องพึ่งการผ่าตัดหรือศัลยกรรมใหญ่ เพราะใช้เวลาไม่นาน เห็นผลลัพธ์หลังทำเพียงไม่นาน และไม่ต้องพักฟื้นผิว จึงเหมาะสำหรับคนยุคใหม่ที่ต้องการความสะดวกสบายและมีไลฟ์สไตล์เร่งรีบ

                 

                ในบทความนี้ เราจะพาคุณเจาะลึกทุกเรื่องที่ควรรู้เกี่ยวกับโปรแกรม Ulthera (อัลเทอร่า) ตั้งแต่เทคโนโลยีที่ใช้ ข้อดีของการทำโปรแกรม Ulthera (อัลเทอร่า) ผลลัพธ์ที่ได้ ไปจนถึงราคาค่าบริการ และสิ่งที่ควรพิจารณาก่อนเลือกทำ เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่าการยกกระชับผิวด้วยโปรแกรม  Ulthera (อัลเทอร่า) เหมาะกับคุณหรือไม่

                 

                โปรแกรม Ultherapy ราคาเท่าไหร่? ราคาอัปเดตใหม่ล่าสุด 2025

                ราคาของโปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น พื้นที่ที่ทำการรักษา ปัญหาผิวที่ต้องการแก้ไข และจำนวนช็อต (Shots) ที่ใช้ในแต่ละครั้ง โดยทั่วไป ราคาการทำโปรแกรม  Ultherapy (อัลเทอร่า) มีดังนี้

                • โปรแกรม Ultherapy ราคายกกระชับเฉพาะจุด เช่น รอบดวงตา ยกคิ้ว เริ่มต้นประมาณ 10,000 – 20,000 บาท
                • โปรแกรม Ultherapy ราคายกกระชับกรอบหน้า ราคาอยู่ในช่วงประมาณ 30,000 – 50,000 บาท
                • โปรแกรม Ultherapy ราคายกกระชับทั้งใบหน้าและลำคอ ราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 60,000 – 100,000 บาทขึ้นไป

                อย่างไรก็ตาม ราคาดังกล่าวอาจแตกต่างกันไปตามโปรโมชั่นของคลินิกที่ให้บริการ คุณภาพของเครื่องโปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) ที่ใช้ และความรู้ของแพทย์ผู้ทำการรักษา

                 

                โปรแกรม Ultherapy ราคาถูกกับราคาแพง แตกต่างกันอย่างไร?

                การทำโปรแกรม Ultherapy ราคาถูกและราคาแพงมีความแตกต่างในหลายด้าน ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพการบริการและผลลัพธ์ที่ได้รับ ดังนี้

                 

                • คุณภาพของเครื่องโปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า)

                การใช้เครื่องแท้ที่ได้รับการรับรองจาก FDA ของประเทศสหรัฐอเมริกา ส่วนมากจะพบได้ในคลินิกที่มีราคาสูง เนื่องจากสามารถให้พลังงานคลื่นอัลตราซาวนด์ที่แม่นยำ เจาะลึกถึงชั้น SMAS เพื่อยกกระชับผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ในทางกลับกัน คลินิกราคาถูกอาจใช้เครื่องที่ไม่ได้รับการรับรอง หรือเครื่องเลียนแบบ ซึ่งมีคุณภาพต่ำกว่า ผลลัพธ์อาจไม่ชัดเจน และเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียงตามมาภายหลัง เช่น ผิวไหม้ 

                 

                • จำนวนช็อต (Shots) ที่ใช้

                จำนวนช็อตที่ใช้ส่งผลโดยตรงต่อราคาและผลลัพธ์ของการทำโปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) คลินิกราคาถูกมักจะเลือกใช้จำนวนช็อตน้อย หรือไม่ได้ระบุจำนวนช็อตที่ชัดเจน ซึ่งอาจทำให้ผลลัพธ์ไม่สมบูรณ์ ในขณะที่คลินิกราคาแพง จะมีการกำหนดจำนวนช็อตอย่างเหมาะสมกับปัญหาผิวของแต่ละบุคคล และแจ้งรายละเอียดให้ทราบอย่างชัดเจน

                 

                • ความรู้และประสบการณ์ของแพทย์

                การทำโปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) โดยแพทย์ที่มีความรู้ มีผลต่อผลลัพธ์ที่ได้ คลินิกราคาถูกบางแห่งอาจใช้บุคลากรที่ไม่มีประสบการณ์ หรือไม่ได้รับการฝึกอบรมเฉพาะทาง ซึ่งอาจทำให้ผลลัพธ์ออกมาไม่ดี หรือเกิดปัญหาต่อผิว ในขณะที่คลินิกราคาแพงมักมีแพทย์ผู้มีความรู้และประสบการณ์สูงที่สามารถวางแผนการรักษาและปรับการยิงคลื่นพลังงานได้อย่างแม่นยำ

                 

                • บริการเสริมและการดูแลหลังทำ

                คลินิกราคาถูกอาจไม่มีการติดตามผลหลังทำ หรือให้บริการดูแลเพิ่มเติม เช่น การตรวจสภาพผิวหรือคำแนะนำการดูแลผิวหลังทำ อีกทั้งยังอาจใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้มาตรฐาน ในขณะที่คลินิกราคาแพงจะมีบริการติดตามผลและดูแลอย่างใกล้ชิด รวมถึงใช้ผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงเพื่อนดูแลผิวหลังการรักษา

                 

                • โปรโมชั่น

                คลินิกราคาถูกอาจมีโปรโมชั่นดึงดูดใจ แต่รายละเอียดเกี่ยวกับเครื่องมือ จำนวนช็อต หรือแพทย์ผู้ให้บริการอาจไม่ชัดเจน ในบางกรณีอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมที่ไม่ได้แจ้งไว้ล่วงหน้า ส่วนคลินิกราคาแพงมักโปร่งใสในเรื่องข้อมูล เช่น จำนวนช็อตที่ใช้ คุณภาพของเครื่อง และชื่อแพทย์ผู้ทำการรักษา พร้อมให้คำปรึกษาอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจ

                 

                การเลือกทำโปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) ไม่ควรพิจารณาเพียงแค่ราคาถูกหรือแพงเท่านั้น แต่ควรให้ความสำคัญกับคุณภาพของเครื่อง ความเชี่ยวชาญของแพทย์ และการบริการหลังทำ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่า แม้ว่าราคาสูงจะมีค่าใช้จ่ายที่มากกว่า แต่ก็อาจสะท้อนถึงความมั่นใจในคุณภาพและผลลัพธ์ที่ดีกว่าในระยะยาว

                 

                โปรแกรม Ultherapy ราคาในแต่ละพื้นที่ของร่างกาย

                การทำโปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) เป็นวิธีการยกกระชับผิวที่สามารถปรับแต่งให้เหมาะสมกับปัญหาในแต่ละจุดของใบหน้าและลำคอได้ ราคาจะแตกต่างกันไปตามพื้นที่ที่ทำการรักษาและจำนวนช็อต (Shots) ที่ใช้ในแต่ละบริเวณ ดังนี้

                 

                ราคาการทำโปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) เฉพาะจุด

                • รอบดวงตา – การทำโปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) รอบดวงตาเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยเล็ก ๆ หรือผิวหย่อนคล้อยบริเวณรอบดวงตา ซึ่งเป็นพื้นที่เล็กที่ใช้จำนวนช็อตไม่มาก ราคาประมาณ 10,000 – 15,000 บาท
                • ยกคิ้ว – เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปรับคิ้วให้ยกขึ้นและทำให้ดวงตาดูสดใสยิ่งขึ้น การทำโปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) ยกคิ้วเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม โดยมีราคาประมาณ 10,000 – 20,000 บาท
                • กรอบหน้า – การทำโปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) บริเวณกรอบหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับ ลดความหย่อนคล้อย และสร้างกรอบหน้าที่ชัดเจน ราคาอยู่ที่ประมาณ 30,000 – 50,000 บาท
                • ลำคอ – เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาความหย่อนคล้อยบริเวณลำคอ การทำโปรแกรม  Ultherapy (อัลเทอร่า) จะช่วยยกกระชับผิวและลดริ้วรอยได้ดี ราคาอยู่ที่ประมาณ 20,000 – 40,000 บาท
                • ใบหน้าและลำคอ – หากต้องการยกกระชับทั้งใบหน้าและลำคอแบบครบวงจร การทำโปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) จะให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและครอบคลุม ราคาจะอยู่ที่ 60,000 – 100,000 บาทขึ้นไป ขึ้นอยู่กับจำนวนช็อตที่ใช้

                 

                โปรแกรม Ultherapy ราคาสูงกว่า คุ้มค่าอย่างไร?
                โปรแกรม Ultherapy ราคาสูงกว่า คุ้มค่าอย่างไร?

                 

                โปรแกรม Ultherapy ราคาสูงกว่า คุ้มค่าอย่างไร?

                • ใช้เครื่องโปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) แท้ที่ได้รับการรับรอง FDA

                คลินิกราคาแพงใช้เครื่องโปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) ที่ได้รับการรับรองจาก FDA สหรัฐอเมริกา มีมาตรฐานสูง เครื่องแท้สามารถปล่อยคลื่นอัลตราซาวนด์ได้อย่างแม่นยำ เจาะลึกถึงชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นที่ช่วยยกกระชับผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะที่คลินิกราคาถูกอาจใช้เครื่องเลียนแบบที่ผลลัพธ์ไม่ดีเท่า และอาจเสียงต่อผลข้างเคียงได้

                • แพทย์ที่มีความรู้และประสบการณ์สูง

                คลินิกราคาแพงจะมีทีมแพทย์ที่ผ่านการอบรมการทำโปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) อย่างลึกซึ้ง สามารถวิเคราะห์ปัญหาผิวและออกแบบการรักษาได้อย่างแม่นยำ ในขณะที่คลินิกราคาถูกอาจใช้แพทย์ที่มีประสบการณ์น้อย หรืออาจใช้บุคลากรที่ไม่ใช้แพทย์ทำการรักษา ซึ่งอาจเสียงต่อความผิดพลาดและผลลัพธ์ที่ไม่ตรงตามต้องการ

                • จำนวนช็อต (Shots) ที่ได้มาตรฐาน

                คลินิกราคาแพงจะใช้จำนวนช็อตตามมาตรฐานที่เหมาะสมกับปัญหาผิวแต่ละบุคคลและบริเวณที่ทำการรักษา ทำให้เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนและอยู่ได้นานขึ้น ในขณะที่คลินิกราคาถูกบางแห่งอาจลดจำนวนช็อตเพื่อประหยัดต้นทุน ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้ไม่เต็มที่

                • ผลลัพธ์ที่คุ้มค่าและอยู่ได้นาน

                การทำโปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) กับคลินิกที่มีคุณภาพสูงให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและอยู่ได้นานถึง 12-24 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล ในขณะที่การทำกับคลินิกราคาถูกที่ใช้เครื่องคุณภาพต่ำ หรือยิงช็อตไม่ถูกต้อง อาจให้ผลลัพธ์ที่อยู่ได้เพียงไม่กี่เดือน

                • ลดความเสี่ยงของผลข้างเคียง

                คลินิกราคาแพงให้ความสำคัญกับผลลัพธ์ที่ไม่อันตราย มีมาตรฐานด้านสุขอนามัยที่เข้มงวด และใช้เทคนิคที่ช่วยลดความเจ็บปวดและลดความเสี่ยงของผลข้างเคียง เช่น อาการบวม หรือผิวไหม้จากพลังงานที่ไม่เสถียร ขณะที่คลินิกราคาถูกอาจไม่มีมาตรการป้องกันที่ดีพอ ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์

                • บริการดูแลหลังทำที่ครบวงจร

                คลินิกราคาแพงมักมีบริการติดตามผลหลังทำโปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) เช่น การตรวจเช็กสภาพผิวและให้คำแนะนำเพิ่มเติมเพื่อให้ผลลัพธ์อยู่ได้นานที่สุด ในขณะที่คลินิกราคาถูกอาจไม่มีการติดตามผลหลังทำ ทำให้ผู้รับบริการต้องดูแลตัวเองโดยไม่มีคำแนะนำที่ถูกต้อง

                • สถานที่และบรรยากาศของคลินิกที่ได้มาตรฐาน

                คลินิกราคาแพงมักมีสภาพแวดล้อมที่สะอาด และได้รับการออกแบบให้ลูกค้ารู้สึกสบายใจระหว่างทำการรักษา ในขณะที่บางคลินิกราคาถูกอาจมีสถานที่ที่ไม่ได้มาตรฐาน หรืออุปกรณ์ที่ไม่สะอาดพอ

                 

                การทำโปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) กับคลินิกที่มีราคาสูงกว่าอาจดูเหมือนเป็นการลงทุนที่แพงกว่าในระยะสั้น แต่เมื่อพิจารณาถึงคุณภาพของเครื่องมือ ความเชี่ยวชาญของแพทย์ จำนวนช็อตที่ได้มาตรฐาน และการบริการหลังทำแล้ว จะเห็นได้ว่าคุ้มค่ากว่าในระยะยาว เพราะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า อยู่ได้นานขึ้น มากกว่าเดิม

                 

                สรุปข้อดีของการทำโปรแกรม Ultherapy ราคาสูงกว่า ดีอย่างไร?

                • โปรแกรม Ultherapy ราคาสูง ใช้เครื่องแท้ที่ได้รับการรับรองจาก FDA ของสหรัฐอเมริกาและของไทย
                • โปรแกรม Ultherapy ราคาสูง ทำโดยแพทย์เฉพาะทางที่มีประสบการณ์สูง
                • โปรแกรม Ultherapy ราคาสูง มีจำนวนช็อตที่เหมาะสม ช่วยให้ผลลัพธ์อยู่ได้นาน
                • โปรแกรม Ultherapy ราคาสูง ช่วยลดความเสี่ยงของผลข้างเคียง เช่น ผิวไหม้ อาการบวม
                • โปรแกรม Ultherapy ราคาสูง มีบริการดูแลหลังทำ ช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี
                • โปรแกรม Ultherapy ราคาสูง ให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ ไม่แข็งหรือดูผิดปกติ
                • โปรแกรม Ultherapy ราคาสูง ทำเพียงครั้งเดียว เห็นผลในระยะยาว
                • โปรแกรม Ultherapy ราคาสูง มีสถานที่สะอาด ได้มาตรฐาน
                • โปรแกรม Ultherapy ราคาสูง มีรีวิวจากผู้ใช้จริงและดารา-เซเลบริตี้เลือกใช้
                • โปรแกรม Ultherapy ราคาสูง การันตีผลลัพธ์ที่ดีกว่าในระยะยาว

                 

                ทำความรู้จัก โปรแกรมUltherapy (อัลเทอร่า) คืออะไร ทำไมได้รับความนิยมอย่างมาก
                ทำความรู้จัก โปรแกรมUltherapy (อัลเทอร่า) คืออะไร ทำไมได้รับความนิยมอย่างมาก

                 

                ทำความรู้จัก โปรแกรมUltherapy (อัลเทอร่า) คืออะไร ทำไมได้รับความนิยมอย่างมาก

                โปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) เป็นเทคโนโลยียกกระชับผิวที่ใช้คลื่นอัลตราซาวนด์ความถี่สูง ซึ่งสามารถเจาะลึกไปถึงชั้นผิว SMAS (Superficial Musculoaponeurotic System) ซึ่งเป็นชั้นเดียวกับที่ศัลยแพทย์ใช้ในการผ่าตัดดึงหน้า เทคโนโลยีนี้ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ส่งผลให้ผิวมีความกระชับ ยืดหยุ่น และเรียบเนียนขึ้น

                 

                โปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) สามารถยกกระชับผิวโดยไม่ต้องผ่าตัด และให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย ริ้วรอยก่อนวัย หรือขาดความกระชับบริเวณใบหน้า กรอบหน้า ลำคอ และเนินอก โดยไม่ต้องพักฟื้นและสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติทันทีหลังทำ

                 

                เทคโนโลยีนี้ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาประเทศสหรัฐอเมริกา (US FDA) และองค์การอาหารและยาประเทศไทย (อย.ไทย) ให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ ทำให้โปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) เป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับและฟื้นฟูสภาพผิวโดยไม่ต้องผ่าตัดศัลยกรรม

                 

                ใครบ้างที่เหมาะกับการทำโปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) ?
                ใครบ้างที่เหมาะกับการทำโปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) ?

                 

                ใครบ้างที่เหมาะกับการทำโปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) ?

                • โปรแกรม Ultherapy เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหากรอบหน้าไม่ชัด มีเหนียง หรือแก้มหย่อนคล้อย
                • โปรแกรม Ultherapy เหมาะสำหรับผู้ที่มีริ้วรอยรอบดวงตา หรือหนังตาตก
                • โปรแกรม Ultherapy เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยบริเวณใบหน้า ลำคอ และเนินอก
                • โปรแกรม Ultherapy เหมาะสำหรับผู้ที่มีคิ้วตก หนังตาหย่อนคล้อย หรือดวงตาดูเหนื่อยล้า
                • โปรแกรม Ultherapy เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับใบหน้าโดยไม่ต้องศัลยกรรม
                • โปรแกรม Ultherapy เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเห็นผลลัพธ์แบบค่อยเป็นค่อยไปอย่างเป็นธรรมชาติ
                • โปรแกรม Ultherapy เหมาะสำหรับผู้ที่มีไลฟ์สไตล์เร่งรีบ ไม่สามารถพักฟื้นได้
                • โปรแกรม Ultherapy เหมาะสำหรับผู้ที่ลดน้ำหนักแล้วมีปัญหาผิวหย่อนคล้อย
                • โปรแกรม Ultherapy เหมาะสำหรับคุณแม่หลังคลอดที่มีปัญหาผิวหน้าและลำคอหย่อนคล้อย
                • โปรแกรม Ultherapy เหมาะสำหรับผู้ที่แพ้โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ หรือไม่ต้องการฉีดสารเติมเต็ม
                • โปรแกรม Ultherapy เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูสภาพผิวจากแสงแดดและมลภาวะ
                • โปรแกรม Ultherapy เหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มมีริ้วรอยแห่งวัย หรือผิวดูหย่อนคล้อยไม่กระชับ
                • โปรแกรม Ultherapy เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวบาง ผิวไม่กระชับ หรือขาดความยืดหยุ่น
                • โปรแกรม Ultherapy เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการให้ลำคอดูกระชับ และไม่มีรอยพับของผิวหนัง
                • โปรแกรม Ultherapy เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการให้ ผิวเนินอกเรียบเนียนขึ้น
                • โปรแกรม Ultherapy เหมาะสำหรับผู้ที่รู้สึกว่าโครงหน้าดูตก หรือใบหน้าดูโทรมจากอายุที่เพิ่มขึ้น
                • โปรแกรม Ultherapy เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการให้ใบหน้าและลำคอดูเรียบเนียนไปพร้อมกัน

                 

                ใครบ้างที่ไม่เหมาะกับการทำโปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า)?

                • โปรแกรม Ultherapy ไม่เหมาะสำหรับสตรีมีครรภ์และให้นมบุตร
                • โปรแกรม Ultherapy ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการบาดเจ็บหรือแผลเปิดบนใบหน้า
                • โปรแกรม Ultherapy ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีการติดเชื้อที่ผิวหนังบริเวณที่ต้องการทำ  เช่น สิวอักเสบรุนแรง โรคเริม
                • โปรแกรม Ultherapy ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน โรคภูมิแพ้ตัวเอง หรือผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง
                • โปรแกรม Ultherapy ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับเส้นประสาทหรือโรคทางสมอง
                • โปรแกรม Ultherapy ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายหรือมีภาวะผิวหนังบางผิดปกติ
                • โปรแกรม Ultherapy ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีรากฟันเทียมหรือโลหะฝังในใบหน้า
                • โปรแกรม Ultherapy ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับหลอดเลือด หรือโรคหัวใจ
                • โปรแกรม Ultherapy ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีประวัติแพ้ความร้อนหรือไวต่อพลังงานอัลตราซาวนด์
                • โปรแกรม Ultherapy ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวหนาหรือไขมันสะสมใต้ผิวมากเกินไป
                • โปรแกรม Ultherapy ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีประวัติแพ้ยาชา หรือมีความไวต่อยาชา
                • โปรแกรม Ultherapy ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เพิ่งทำหัตถการหรือศัลยกรรมใบหน้ามาไม่นาน

                 

                โปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) ช่วยอะไรบ้าง?
                โปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) ช่วยอะไรบ้าง?

                 

                โปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) ช่วยอะไรบ้าง? 

                • โปรแกรม Ultherapy ช่วยยกกระชับใบหน้าโดยไม่ต้องศัลยกรรม
                • โปรแกรม Ultherapy ช่วยกระชับกรอบหน้า และแก้มที่เริ่มหย่อนคล้อย
                • โปรแกรม Ultherapy ทำให้ใบหน้าดูเรียวขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
                • โปรแกรม Ultherapy ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ใต้ชั้นผิว
                • โปรแกรม Ultherapy ช่วยลดริ้วรอยตื้นและร่องลึก บริเวณหน้าผาก รอบดวงตา และมุมปาก
                • โปรแกรม Ultherapy สามารถยกกระชับบริเวณรอบดวงตาและหน้าผาก 
                • โปรแกรม Ultherapy สามารถช่วยลดเหนียงใต้คาง และความหย่อนคล้อยบริเวณลำคอ
                • โปรแกรม Ultherapy สามารถยกกระชับผิวบริเวณเนินอก และหน้าอกส่วนบน
                • โปรแกรม Ultherapy ช่วยปรับสมดุลของโครงหน้า ให้ดูสดใสและอ่อนเยาว์ขึ้น
                • โปรแกรม Ultherapy ช่วยลดร่องแก้มและร่องน้ำหมาก ให้ใบหน้าดูสดใสขึ้น
                • โปรแกรม Ultherapy ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ใต้ชั้นผิว
                • โปรแกรม Ultherapy ช่วยลดถุงใต้ตา และกระชับผิวรอบดวงตา
                • โปรแกรม Ultherapy ช่วยกระชับรูขุมขน ทำให้ผิวดูละเอียดขึ้น
                • โปรแกรม Ultherapy ลดริ้วรอยบริเวณคอ และช่วยให้ลำคอเรียบเนียนขึ้น

                 

                การเตรียมตัวก่อนทำโปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) ต้องทำอย่างไรบ้าง?
                การเตรียมตัวก่อนทำโปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) ต้องทำอย่างไรบ้าง?

                 

                การเตรียมตัวก่อนทำโปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) ต้องทำอย่างไรบ้าง?

                • ก่อนทำโปรแกรม Ultherapy ควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับ Ultherapy และเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน
                • ก่อนทำโปรแกรม Ultherapy ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินสภาพผิวและวางแผนการรักษา
                • ก่อนทำโปรแกรม Ultherapy ควรทาครีมกันแดด SPF 50  PA+++ และใส่หมวกป้องกันแสงแดด
                • ก่อนทำโปรแกรม Ultherapy ควรดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อให้ผิวชุ่มชื้นและพร้อมสำหรับการรักษา
                • ก่อนทำโปรแกรม Ultherapy งดใช้ยาที่ทำให้เลือดแข็งตัวช้าลง อย่างน้อย 1 สัปดาห์
                • ก่อนทำโปรแกรม Ultherapy หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ Retinol AHA หรือ BHA ที่อาจทำให้ผิวบางลง
                • ก่อนทำโปรแกรม Ultherapy หลีกเลี่ยงการทำเลเซอร์ หรือหัตถการที่ระคายเคืองผิว อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์
                • ก่อนทำโปรแกรม Ultherapy หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ หรืออาหารที่มีโซเดียมสูง อย่างน้อย 24 ชั่วโมง
                • ก่อนทำโปรแกรม Ultherapy หลีกเลี่ยงการออกแดดจัด หรือการทำกิจกรรมกลางแจ้ง อย่างน้อย 1 สัปดาห์

                 

                การดูแลตัวเองหลังทำโปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) ต้องทำอย่างไรบ้าง?

                • หลังทำโปรแกรม Ultherapy หลีกเลี่ยงการสัมผัสผิวหน้าบ่อย ๆ หลังทำทันที
                • หลังทำโปรแกรม Ultherapy หลีกเลี่ยงความร้อน และกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกมาก
                • หลังทำโปรแกรม Ultherapy หลีกเลี่ยงการออกแดดจัดเป็นเวลา 1-2 สัปดาห์
                • หลังทำโปรแกรม Ultherapy หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มี Retinol, AHA,  BHA, วิตามินซีเข้มข้น หรือสารผลัดเซลล์ผิว อย่างน้อย 5-7 วัน
                • หลังทำโปรแกรม Ultherapy หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่ อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์
                • หลังทำโปรแกรม Ultherapy ควรใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 50 PA++++ เพื่อปกป้องผิวจากรังสี UV
                • หลังทำโปรแกรม Ultherapy ควรใช้สกินแคร์ที่ให้ความชุ่มชื้นและอ่อนโยน เช่น มอยส์เจอร์ไรเซอร์ และเซรัมที่มีไฮยาลูรอนิกแอซิด
                • หลังทำโปรแกรม Ultherapy  ควรดื่มน้ำวันละ 8-10 แก้ว เพื่อให้ผิวมีความชุ่มชื้นและฟื้นตัวเร็วขึ้น

                 

                ทำโปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) ราคาพิเศษที่รมย์รวินท์คลินิก ดีอย่างไร?

                • ใช้เครื่องโปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) แท้ ได้รับการรับรองจาก US FDA และ อย.ไทย
                • แพทย์ผู้มีความรู้ ผ่านการอบรมด้านโปรแกรม Ultherapy โดยเฉพาะ
                • ลดความเสี่ยงของผลข้างเคียง ด้วยเทคนิคการทำที่แม่นยำ
                • โปรโมชั่นราคาพิเศษ ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีในราคาที่คุ้มค่า
                • มีบริการดูแลหลังทำ และติดตามผลเพื่อให้ผลลัพธ์ที่ดี
                • คลินิกสะอาด ไม่อันตราย และมีบรรยากาศระดับพรีเมียม
                • ได้รับความไว้วางใจจากดารา เซเลบริตี้ และมีรีวิวจากผู้ใช้จริง

                 

                โปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) ทำกี่ช็อตถึงจะเห็นผล?

                • จำนวนช็อตที่ใช้ในการทำโปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) ขึ้นอยู่กับปัญหาผิวและบริเวณที่ทำ โดยแพทย์จะเป็นผู้ประเมินว่าควรใช้จำนวนช็อตเท่าใดเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี โดยทั่วไป หากทำรอบดวงตาอาจใช้ประมาณ 100-200 ช็อต การยกคิ้วอาจใช้ 200-300 ช็อต ส่วนบริเวณกรอบหน้าจะใช้ประมาณ 400-600 ช็อต และหากทำทั้งใบหน้าและลำคอ อาจใช้มากกว่า 800 ช็อต เพื่อให้ผลลัพธ์ชัดเจนและอยู่ได้นาน

                 

                ทำโปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) แล้วหน้าจะตึงเกินไปไหม?

                • โปรแกรม Ulthera (อัลเทอร่า)  ไม่ทำให้หน้าตึงจนดูแข็งหรือผิดธรรมชาติ เพราะเป็นการกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินขึ้นเอง ทำให้ผิวดูยกกระชับขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ผลลัพธ์ของ Ulthera จะทำให้ผิวดูเรียบเนียน กระชับ และอ่อนเยาว์ขึ้นโดยไม่ทำให้ใบหน้าดูแข็งหรือตึงจนเกินไป

                 

                โปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) ทำแล้วเห็นผลจริงไหม?

                • โปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) เป็นเทคโนโลยียกกระชับที่ได้รับการรับรองจาก องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (US FDA) และองค์การอาหารและยาแห่งประเทศไทย ว่าสามารถช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและยกกระชับผิวได้จริง หลังทำจะเห็นผลบางส่วนทันที แต่ผลลัพธ์ที่ดีจะค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นภายใน 3-6 เดือน ผลลัพธ์สามารถอยู่ได้นานประมาณ 12-18 เดือน ทำให้เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่เห็นผลจริงและได้รับความนิยมในวงการความงาม

                 

                ทำโปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) แล้วทำโปรแกรม HIFU ซ้ำได้ไหม?

                • หลังจากทำโปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) สามารถทำโปรแกรม HIFU เพิ่มเติมได้ แต่โดยทั่วไปมักไม่จำเป็น เพราะโปรแกรม Ultherapy สามารถลงลึกถึงชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นผิวเดียวกับที่ใช้ในการผ่าตัดดึงหน้า และให้ผลลัพธ์ที่อยู่ได้นานกว่าโปรแกรม HIFU หากต้องการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนเพิ่มเติม อาจทำโปรแกรม HIFU ได้หลังจากทำโปรแกรม Ultherapy 6 เดือนขึ้นไป

                 

                ทำโปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) แล้วสามารถโปรแกรม ฉีดโบหรือโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ได้ไหม?

                • หลังจากทำโปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) สามารถทโปรแกรมฉีดโบ หรือโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ได้ แต่ควรเว้นระยะห่างให้เหมาะสม โดยแพทย์แนะนำให้ทำโปรแกรมฉีดโบหลังทำโปรแกรม Ultherapy อย่างน้อย 2 สัปดาห์ และโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์หลังทำโปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) อย่างน้อย 4 สัปดาห์ เนื่องจากโปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) ใช้พลังงานความร้อน ซึ่งอาจส่งผลต่อโปรแกรมฉีดโบหรือโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ หากฉีดเร็วเกินไป อาจทำให้ผลลัพธ์ของสารเติมเต็มเปลี่ยนไป ดังนั้นควรปรึกษาแพทย์ก่อนวางแผนทำหัตถการร่วมกัน

                 

                หลังทำโปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) สามารถทำเลเซอร์หรือทรีตเมนต์อื่นได้ไหม?

                • หลังจากทำโปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) สามารถทำเลเซอร์หรือทรีตเมนต์อื่นได้ แต่ควรเว้นระยะเวลาตามคำแนะนำของแพทย์เพื่อให้ผิวฟื้นตัวก่อน โดยการทำเลเซอร์ เช่น IPL, โปรแกรม Thermage หรือ RF ควรเว้นอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ เพื่อป้องกันการระคายเคืองต่อผิว ส่วนการทำทรีตเมนต์บำรุงผิว เช่น Skin Booster หรือ Facial Treatment สามารถทำได้หลังจาก โปรแกรม Thermage 3-5 วัน ทั้งนี้เพื่อให้ผิวได้รับการฟื้นฟูและลดความเสี่ยงของผลข้างเคียง

                 

                สรุปโปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) เป็นเทคโนโลยียกกระชับผิวที่ช่วยให้ใบหน้าดูกระชับ อ่อนเยาว์ และมีโครงหน้าชัดขึ้น โดยไม่ต้องศัลยกรรม ผลลัพธ์สามารถอยู่ได้นาน 12-18 เดือน จึงเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าสำหรับผู้ที่ต้องการ ฟื้นฟูผิว ลดริ้วรอย และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ให้ผิวแน่นขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ

                 

                สำหรับ ราคาโปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) ในปี 2025 นั้น อาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับ บริเวณที่ทำ จำนวนช็อต คุณภาพของเครื่องโปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) และความเชี่ยวชาญของแพทย์ โดยทั่วไป ราคาจะอยู่ที่ หลักหมื่นไปจนถึงหลักแสนบาท ดังนั้น การเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐานและมีแพทย์ผู้มีประสบการณ์เป็นสิ่งสำคัญ

                 

                หากคุณกำลังมองหาคลินิกที่ให้บริการโปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) เครื่องแท้ และมีแพทย์ผู้มีความรู้ที่ออกแบบการรักษาเฉพาะบุคคล เพื่อให้ผลลัพธ์ที่แม่นยำ รมย์รวินท์คลินิกเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์ ด้วยมาตรฐานระดับพรีเมียม เครื่องมือทันสมัย และเทคนิคเฉพาะที่ช่วยลดความเจ็บขณะทำ พร้อมบริการดูแลหลังทำอย่างใกล้ชิด

                 

                นอกจากนี้ รมย์รวินท์คลินิกยังมีโปรโมชั่นราคาพิเศษ ทำให้คุณสามารถทำโปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) ในราคาที่คุ้มค่า โดยไม่ลดคุณภาพหรือจำนวนช็อต หากต้องการ ปรึกษาแพทย์ผู้มีความรู้ และรับคำแนะนำเกี่ยวกับการทำโปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) ให้เหมาะกับปัญหาผิวของคุณ สามารถติดต่อ รมย์รวินท์คลินิก เพื่อขอรับคำแนะนำฟรี และจองโปรโมชั่นพิเศษได้เลยทุกสาขาใกล้บ้านคุณ

                ข้อดีของ HArmonyCa มีอะไรบ้าง? เหมาะกับใคร? 

                Focus Keyword ข้อดีของ HArmonyCa

                ข้อดีของ HArmonyCa มีอะไรบ้าง? เหมาะกับใคร? 

                ในชีวิตประจำวันที่เต็มไปด้วยมลภาวะ ฝุ่น ควัน และการใช้ชีวิตที่เร่งรีบ การดูแลผิวจึงกลายเป็นสิ่งสำคัญที่มองข้ามไม่ได้ โดยเฉพาะเมื่อเวลาผ่านไป ผิวหน้าก็เริ่มส่งสัญญาณเตือนถึงความเสื่อมสภาพ เช่น ผิวหย่อนคล้อย หรือเริ่มมีริ้วรอย ร่องลึก จนทำให้เทรนด์การทำหัตถการความงามกลายเป็นเรื่องที่หลายคนให้ความสนใจ เพื่อชะลอความเสื่อมสภาพของผิว และแก้ปัญหาความหย่อนคล้อยต่าง ๆ ซึ่งหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่กำลังได้รับความนิยม นั่นก็คือ “โปรแกรมฉีด HArmonyCa” 

                โปรแกรมฉีด HArmonyCa ถือเป็นสารเติมเต็มใหม่ใหม่ล่าสุดในวงการแพทย์ความงาม ซึ่งมาพร้อมกับคุณสมบัติพิเศษที่สามารถยกกระชับผิว และกระตุ้นคอลลาเจนได้ในขั้นตอนเดียว จึงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ สำหรับผู้ที่ต้องการคืนความอ่อนเยาว์ให้ผิว และสามารถคงอยู่ได้นานกว่าการทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ทั่วไป วันนี้ รมย์รวินท์คลินิก จะพาไปเจาะลึกข้อดี และข้อควรระวังของ โปรแกรมฉีด HArmonyCa ว่ามีอะไรบ้าง? แล้วใครที่เหมาะกับการโปรแกรมฉีด HArmonyCa? บทความนี้ มัดรวมข้อมูลทั้งหมดที่ต้องรู้มาให้แล้ว พร้อมไขข้อสงสัยว่าทำไม โปรแกรมฉีด HArmonyCa ถึงเป็นตัวเลือกที่น่าจับตามองในขณะนี้ค่ะ

                 

                รวมข้อดีของ HArmonyCa เจาะลึกทุกเรื่องก่อนฉีด 

                 

                ข้อดีของโปรแกรมฉีด HArmonyCa
                ข้อดีของโปรแกรมฉีด HArmonyCa

                 

                ข้อดีของโปรแกรมฉีด HArmonyCa 

                • ยกกระชับผิวหน้า

                เนื่องจากโปรแกรมฉีด HArmonyCa มีส่วนประกอบของ Hyaluronic Acid (HA) ซึ่งเป็นสารที่ช่วยในการอุ้มน้ำ และกักเก็บความชุ่มชื้นให้กับผิว เมื่อฉีดเข้าสู่ผิวหน้า สาร HA จะเข้าไปทำหน้าที่ในการเติมเต็ม และยกกระชับผิวได้ในทันทีที่ฉีด ส่งผลให้ใบหน้ามีความอิ่มฟู และลดความหย่อนคล้อยของผิวได้

                • กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน

                เนื่องจากโปรแกรมฉีด HArmonyCa มีส่วนประกอบของ Calcium Hydroxyapatite (CaHA) ซึ่งเป็นสารที่ช่วยในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และอีลาสตินใต้ชั้นผิว เมื่อฉีดเข้าสู่ผิวหน้า สาร CaHA จะเข้าไปกระตุ้นเซลล์ไฟโบรบลาสต์ ให้เกิดการสร้างเส้นใยคอลลาเจน และอีลาสตินขึ้นมาใหม่ ส่งผลให้ผิวหนาแน่น เฟิร์มกระชับ และแข็งแรงมากจึ้น

                • ให้ผลลัพธ์ทันที และระยะยาว

                เนื่องจากโปรแกรมฉีด HArmonyCa ผสมผสานส่วนประกอบ 2 ชนิดเข้าด้วยกัน ทั้ง Hyaluronic Acid (HA) และ Calcium Hydroxyapatite (CaHA) เมื่อฉีดโปรแกรมฉีด HArmonyCa เข้าสู่ผิวหน้า สาร HA จะเข้าไปยกกระชับผิวในบริเวณที่หย่อนคล้อย ทำให้ผิวดูเต่งตึง และกระชับขึ้นทันทีหลังฉีด จากนั้น CaHA จะเข้าไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวแบบค่อยเป็นค่อยไป ทำให้ผิวมีความหนาแน่น และยืดหยุ่นในระยะยาว แม้ HA จะย่อยสลายไปแล้วก็ตาม

                • ได้รับมาตรฐานระดับสากล

                เนื่องจากโปรแกรมฉีด HArmonyCa ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับสากล จากองค์การอาหารและยา (อย.) ของประเทศสหรัฐอเมริกา (US FDA) และประเทศไทย (TH FDA) อีกทั้ง สารที่ใช้ในโปรแกรมฉีด HArmonyCa ยังเป็นสารที่สามารถเข้ากันได้ดีกับร่างกาย จึงลดโอกาสเสี่ยงในการเกิดอาการแพ้ หรือผลข้างเคียงอันตราย

                • คงผลลัพธ์ยาวนาน

                เนื่องจากโปรแกรมฉีด HArmonyCa ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และอีลาสตินอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้คงอยู่ยาวนานกว่าการฉีดฟิลเลอร์ Hyaluronic Acid (HA) ทั่วไป จึงลดความถี่ในการฉีดซ้ำบ่อย ๆ ซึ่งโดยส่วนใหญ่โปรแกรมฉีด HArmonyCa สามารถคงอยู่ได้ยาวนานถึง 12 – 18 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และการดูแลตัวเองหลังฉีด

                • ไม่ต้องมีการพักฟื้น

                เนื่องจากโปรแกรมฉีด HArmonyCa มีความสะดวกสบาย หลังฉีดเสร็จจึงไม่จำเป็นต้องมีการพักฟื้น สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวัน หรือทำกิจกรรมได้ตามปกติทันที แต่แนะนำให้หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหักโหม ประมาณ 2 – 3 วันหลังฉีด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอาการบวมช้ำ

                • ลดความเจ็บปวดขณะฉีด

                เนื่องจากโปรแกรมฉีด HArmonyCa มีส่วนประกอบของยาชา (Lidocaine) ผสมอยู่ จึงช่วยลดความรู้สึกเจ็บปวดขณะฉีดได้ เมื่อฉีดโปรแกรมฉีด HArmonyCa เข้าสู่ผิวหน้าแล้ว ผู้รับบริการจะรู้สึกผ่อนคลาย และสบายตัวมากขึ้น ทำให้การทำโปรแกรมฉีด HArmonyCa เป็นไปอย่างราบรื่น และหมดกังวลเรื่องความเจ็บ

                 

                ข้อควรระวังก่อนทำโปรแกรมฉีด HArmonyCa

                • ควรฉีดโดยแพทย์ที่มีความรู้เท่านั้น

                โปรแกรมฉีด HArmonyCa ควรฉีดโดยแพทย์ที่มีความรู้ ความสามารถ และมีประสบการณ์เท่านั้น หากฉีดโดยแพทย์ที่ไม่มีความชำนาญ หรือฉีดในตำแหน่งที่ไม่เหมาะสม อาจส่งผลให้เกิดผลข้างเคียงอันตรายได้ เช่น เกิดก้อนนูน หรือสารกระจายตัวไม่สม่ำเสมอในบริเวณที่ฉีดได้

                • ไม่เหมาะกับบางบริเวณ

                โปรแกรมฉีด HArmonyCa อาจไม่เหมาะกับบางบริเวณ เช่น ใต้ตา ริมฝีปาก หรือหน้าผาก เนื่องจากบริเวณเหล่านี้ เป็นบริเวณที่มีการเคลื่อนไหว และขยับบ่อย หากทำการฉีดโปรแกรมฉีด HArmonyCa เข้าไป อาจทำให้เกิดเป็นก้อนแข็งใต้ผิวหนังได้

                • อาจบวมช้ำนานกว่าโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ทั่วไป

                แม้ว่าโปรแกรมฉีด HArmonyCa จะไม่ต้องมีการพักฟื้นหลังฉีด แต่ในบางกรณีอาจเกิดอาการบวมแดง ตึง หรือฟกช้ำนานกว่าโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ทั่วไปเล็กน้อย เนื่องจากมีส่วนประกอบของ CaHA ผสมอยู่ ซึ่งถือเป็นอาการปกติ และไม่ร้ายแรง สามารถหายได้เอง ภายใน 2 – 3 วัน

                 

                โปรแกรมฉีด HArmonyCa คืออะไร?
                โปรแกรมฉีด HArmonyCa คืออะไร?

                 

                โปรแกรมฉีด HArmonyCa คืออะไร?

                โปรแกรมฉีด HArmonyCa เป็นเทคโนโลยี Hybrid Filler ที่ถูกพัฒนาขึ้นโดยบริษัท Allergan จากประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำที่พัฒนาผลิตภัณฑ์ในวงการแพทย์ความงามระดับโลก โดยโปรแกรมฉีด HArmonyCa จะออกฤทธิ์ในการทำงานแบบสองกลไก (Dual Effect) ได้แก่ ยกกระชับผิว และกระตุ้นคอลลาเจนในขั้นตอนเดียว ซึ่งมีการผสานส่วนประกอบหลักของ Hyaluronic Acid (HA) และ Calcium Hydroxyapatite (CaHA) เข้าด้วยกันอย่างลงตัว เมื่อทั้งสองส่วนประกอบนี้ทำงานร่วมกัน ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้มีความยั่งยืน และสามารถคงอยู่ได้ยาวนาน ทั้งยกกระชับผิวในทันที และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในระยะยาว นอกจากนี้ โปรแกรมฉีด HArmonyCa ยังมีส่วนประกอบของยาชา (Lidocaine) ทำให้ขณะฉีดรู้สึกสบาย และลดความรู้สึกเจ็บปวดลงได้

                 

                โปรแกรมฉีด HArmonyCa มีจุดเด่นเรื่องอะไร?

                โปรแกรมฉีด HArmonyCa เป็น Hybrid Filler ที่มีคุณสมบัติพิเศษในการยกกระชับผิว และกระตุ้นคอลลาเจนในระยะยาว ซึ่งประกอบไปด้วยสารสำคัญถึงสองชนิด ทั้ง Hyaluronic Acid (HA) และ Calcium Hydroxyapatite (CaHA) จึงทำให้โปรแกรมฉีด HArmonyCa มีความโดดเด่นถึง 4 ประการ ดังนี้

                • เพิ่มความแข็งแรง

                โปรแกรมฉีด HArmonyCa สามารถเพิ่มความแข็งแรงให้กับผิว ด้วยคุณสมบัติของ Calcium Hydroxyapatite (CaHA) ที่ช่วยเสริมโครงสร้างผิวให้แข็งแรง แน่นกระชับ และลดความหย่อนคล้อยของผิวอย่างมีประสิทธิภาพ 

                • เพิ่มความยืดหยุ่น

                โปรแกรมฉีด HArmonyCa สามารถเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวได้ดี ด้วยคุณสมบัติของ Hyaluronic Acid (HA) ที่ช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่น ดูอิ่มฟู และดูมีวอลลุ่มอย่างเป็นธรรมชาติ 

                • กระจายตัวได้ดี

                โปรแกรมฉีด HArmonyCa สามารถกระจายตัวได้อย่างสม่ำเสมอทั่วบริเวณที่ฉีด จึงลดความเสี่ยงในการจับตัวเป็นก้อนใต้ชั้นผิว ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้มีความเรียบเนียน และกลมกลืนเข้ากับผิวอย่างเป็นธรรมชาติ

                • อุ้มน้ำสูง

                โปรแกรมฉีด HArmonyCa สามารถอุ้มน้ำได้ดี ด้วยคุณสมบัติของ Hyaluronic Acid (HA) ที่สามารถกักเก็บความชุ่มชื้นได้ดี มีความอุ้มน้ำสูง ทำให้ผิวอิ่มน้ำ ชุ่มชื้น ดูสุขภาพดี และชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัยได้

                 

                โปรแกรมฉีด HArmonyCa ฉีดบริเวณไหนได้บ้าง?

                โปรแกรมฉีด HArmonyCa ส่วนใหญ่จะเน้นยกกระชับผิว และกระตุ้นคอลลาเจนเป็นหลัก ดังนั้น บริเวณที่ตอบโจทย์ และนิยมทำโปรแกรมฉีด HArmonyCa จึงมีทั้งหมด 3 บริเวณ ดังนี้

                • บริเวณโหนกแก้ม (Zygomatic arch)
                • บริเวณขากรรไกรล่าง (Jaw ramus)
                • บริเวณกราม (Jaw angle)

                 

                โปรแกรมฉีด HArmonyCa เหมาะกับใคร?
                โปรแกรมฉีด HArmonyCa เหมาะกับใคร?

                 

                โปรแกรมฉีด HArmonyCa เหมาะกับใคร?

                • โปรแกรมฉีด HArmonyCa เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยจากการสูญเสียปริมาตรผิว และคอลลาเจนในผิวชั้นลึก
                • โปรแกรมฉีด HArmonyCa เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาริ้วรอย และร่องลึก ต้องการให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์
                • โปรแกรมฉีด HArmonyCa เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าให้คมชัด ใบหน้าดูมีมิติมากขึ้น
                • โปรแกรมฉีด HArmonyCa เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการกระตุ้นคอลลาเจนอย่างเป็นธรรมชาติ
                • โปรแกรมฉีด HArmonyCa เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาผิวหน้าขาดวอลลุ่ม ไม่อิ่มฟู ดูแก่กว่าวัย
                • โปรแกรมฉีด HArmonyCa เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาผิวหน้าแห้งกร้าน ไม่ชุ่มชื้น ขาดการบำรุง
                • โปรแกรมฉีด HArmonyCa เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการยกกระชับผิว และกระตุ้นคอลลาเจนในขั้นตอนเดียว
                • โปรแกรมฉีด HArmonyCa เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการเห็นผลลัพธ์ที่คงทน ไม่ต้องการฉีดซ้ำบ่อย

                 

                โปรแกรมฉีด HArmonyCa ไม่เหมาะกับใคร?

                • โปรแกรมฉีด HArmonyCa ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่แพ้ส่วนประกอบในโปรแกรมฉีด HArmonyCa ได้แก่ Hyaluronic Acid (HA) และ Calcium Hydroxyapatite (CaHA)
                • โปรแกรมฉีด HArmonyCa ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่แพ้ยาชา (Lidocaine) เนื่องจากโปรแกรมฉีด HArmonyCa มียาชาผสมอยู่
                • โปรแกรมฉีด HArmonyCa ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่เคยมีแผลเป็นนูน หรือคีลอยด์
                • โปรแกรมฉีด HArmonyCa ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีโรคประจำตัวที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน เช่น โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง
                • โปรแกรมฉีด HArmonyCa ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีโรคเลือดออกง่าย หรือกำลังรับประทานยาที่ส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด
                • โปรแกรมฉีด HArmonyCa ไม่เหมาะสำหรับ คุณแม่ตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร
                • โปรแกรมฉีด HArmonyCa ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีผิวหนังติดเชื้อ เป็นสิว มีผื่นแพ้ หรืออักเสบในบริเวณที่ฉีด

                 

                โปรแกรมฉีด HArmonyCa ช่วยเรื่องอะไรบ้าง?
                โปรแกรมฉีด HArmonyCa ช่วยเรื่องอะไรบ้าง?

                 

                โปรแกรมฉีด HArmonyCa ช่วยเรื่องอะไรบ้าง?

                • โปรแกรมฉีด HArmonyCa ช่วยยกกระชับผิวให้เต่งตึง ลดความหย่อนคล้อยบนใบหน้า
                • โปรแกรมฉีด HArmonyCa ช่วยกระตุ้นคอลลาเจนตามธรรมชาติของร่างกาย
                • โปรแกรมฉีด HArmonyCa ช่วยให้ผิวมีโครงสร้างที่แข็งแรง ดูสุขภาพดีมากขึ้น
                • โปรแกรมฉีด HArmonyCa ช่วยลดเลือนริ้วรอย ร่องลึก ทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์
                • โปรแกรมฉีด HArmonyCa ช่วยให้ผิวหนาแน่น มีความยืดหยุ่นมากขึ้น
                • โปรแกรมฉีด HArmonyCa ช่วยเติมเต็มใบหน้า และเพิ่มวอลลุ่มให้ผิว
                • โปรแกรมฉีด HArmonyCa ช่วยให้ใบหน้าดูอิ่มฟู ลดความตอบของใบหน้าได้
                • โปรแกรมฉีด HArmonyCa ช่วยปรับกรอบหน้าให้มีความคมชัด ดูมีมิติ
                • โปรแกรมฉีด HArmonyCa ช่วยปรับสภาพผิว ทำให้ผิวชุ่มชื้น ดูกระจ่างใสมากขึ้น

                 

                โปรแกรมฉีด HArmonyCa ต่างจากโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ทั่วไปอย่างไร?

                โปรแกรมฉีด HArmonyCa แตกต่างจากโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ทั่วไปอย่างชัดเจน ในเรื่องของส่วนประกอบ กลไกการทำงาน และผลลัพธ์ที่ได้ โดยโปรแกรมฉีด HArmonyCa ไม่ได้มีส่วนประกอบหลักของ Hyaluronic Acid (HA) เพียงอย่างเดียวเหมือนโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ทั่วไป แต่เป็นการผสมผสาน Hyaluronic Acid (HA) เข้ากับ Calcium Hydroxyapatite (CaHA) ซึ่งเป็นสารที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในระยะยาว ทำให้ โปรแกรมฉีด HArmonyCa ไม่เพียงแต่เติมเต็ม ยกกระชับผิว และปรับรูปหน้าเหมือนโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ทั่วไป แต่ยังช่วยให้โครงสร้างผิวแข็งแรง และมีความยืดหยุ่นจากการกระตุ้นคอลลาเจนอีกด้วย นอกจากนี้ โปรแกรมฉีด HArmonyCa ยังให้ผลลัพธ์ที่ยาวนานกว่าโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ทั่วไป โดยเฉลี่ยแล้ว ผลลัพธ์ของโปรแกรมฉีด HArmonyCa สามารถคงอยู่ได้นานถึง 12 – 18 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล ในขณะที่โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ทั่วไป จะอยู่ได้เพียง 6 – 18 เดือน ขึ้นอยู่ยี่ห้อที่ใช้ และสภาพผิวของแต่ละบุคคล

                ดังนั้น โปรแกรมฉีด HArmonyCa จะเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่ครอบคลุม ทั้งการยกกระชับผิว และกระตุ้นคอลลาเจน แต่หากต้องการผลลัพธ์ในด้านการเติมเต็ม หรือปรับรูปหน้าที่สามารถปรับแต่งได้เฉพาะจุด โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ทั่วไปอาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมกว่า แนะนำให้พิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจค่ะ

                 

                โปรแกรมฉีด HArmonyCa ต่างจากโปรแกรมฉีด Radiesse อย่างไร?

                โปรแกรมฉีด HArmonyCa มีความแตกต่างจากโปรแกรมฉีด Radiesse อย่างชัดเจน ในเรื่องของส่วนประกอบ และผลลัพธ์ที่ได้หลังฉีด โดยโปรแกรมฉีด HArmonyCa ไม่ได้มีส่วนประกอบหลักของ Calcium Hydroxyapatite (CaHA) เพียงอย่างเดียว เหมือนกับโปรแกรมฉีด Radiesse แต่โปรแกรมฉีด HArmonyCa เป็น Hybrid Filler ที่มีการผสมผสานส่วนประกอบระหว่าง Hyaluronic Acid (HA) และ Calcium Hydroxyapatite (CaHA) ซึ่งช่วยให้เห็นผลลัพธ์ในทันทีจากการเติมเต็ม ยกกระชับผิว และปรับรูปหน้า ขณะเดียวกันก็กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในระยะยาวร่วมด้วย ทำให้ผิวมีความแข็งแรง และมีความหนาแน่นมากขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ 

                ในส่วนของโปรแกรมฉีด Radiesse จะมีส่วนประกอบหลักเป็น CaHA เพียงอย่างเดียว ซึ่งจะเน้นกระตุ้นคอลลาเจนอย่างชัดเจน โดยที่ไม่มี HA ผสมอยู่ อีกทั้ง เนื้อเจลของโปรแกรมฉีด Radiesse นั้น มีความหนาแน่น และแข็งมากกว่าโปรแกรมฉีด HArmonyCa ซึ่งเหมาะสำหรับการปรับโครงสร้างผิวชั้นลึก และเพิ่มความหนาแน่นให้ผิวจากการกระตุ้นคอลลาเจน 

                นอกจากนี้ โปรแกรมฉีด Radiesse ยังให้ผลลัพธ์ที่ยาวนานกว่าโปรแกรมฉีด HArmonyCa โดยเฉลี่ยแล้ว ผลลัพธ์ของโปรแกรมฉีด HArmonyCa สามารถคงอยู่ได้นานถึง 12 – 18 เดือน ในขณะที่โปรแกรมฉีด Radiesse จะอยู่ได้นานถึง 24 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล ทั้งนี้ ก่อนเลือกทำโปรแกรมฉีด HArmonyCa หรือโปรแกรมฉีด Radiesse แนะนำให้พิจารณาจากปัญหาผิวเป็นหลัก ซึ่งควรปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนตัดสินใจ

                 

                ข้อควรปฏิบัติก่อน - หลังทำโปรแกรมฉีด HArmonyCa
                ข้อควรปฏิบัติก่อน – หลังทำโปรแกรมฉีด HArmonyCa

                 

                ข้อควรปฏิบัติก่อน – หลังทำโปรแกรมฉีด HArmonyCa

                ก่อนทำโปรแกรมฉีด HArmonyCa ควรปฏิบัติตัวอย่างไร?

                • ก่อนทำโปรแกรมฉีด HArmonyCa ควรแจ้งประวัติสุขภาพให้แพทย์ทราบก่อนฉีด เช่น ประวัติโรคประจำตัว ยาที่ใช้เป็นประจำ หรือประวัติการแพ้ต่าง ๆ
                • ก่อนทำโปรแกรมฉีด HArmonyCa หลีกเลี่ยงยา หรืออาหารเสริมที่ส่งผลให้เลือดไหลออกง่าย เช่น แอสไพริน ไอบูโพรเฟน หรือวิตามินอี อย่างน้อย 7 วันก่อนฉีด
                • ก่อนทำโปรแกรมฉีด HArmonyCa หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ หรือดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด อย่างน้อย 1 – 2 วันก่อนฉีด
                • ก่อนทำโปรแกรมฉีด HArmonyCa งดการนวดหน้า ทำเลเซอร์ หรือหัตถการอื่น ๆ อย่างน้อย 7 วันก่อนฉีด
                • ก่อนทำโปรแกรมฉีด HArmonyCa งดการออกกำลังกายอย่างหนัก อย่างน้อย 1 – 2 วันก่อนฉีด
                • ก่อนทำโปรแกรมฉีด HArmonyCa หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิว หรือโกนขน อย่างน้อย 7 วันก่อนฉีด
                • ก่อนทำโปรแกรมฉีด HArmonyCa ควรดูแลสุขภาพ โดยการดื่มน้ำให้มาก ๆ และพักผ่อนให้เพียงพอ

                 

                หลังทำโปรแกรมฉีด HArmonyCa ควรปฏิบัติตัวอย่างไร?

                • หลังทำโปรแกรมฉีด HArmonyCa งดแต่งหน้าหลังฉีด ประมาณ 24 ชั่วโมงแรก เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
                • หลังทำโปรแกรมฉีด HArmonyCa หากมีอาการบวม สามารถประคบเย็นในบริเวณที่ฉีด เพื่อลดอาการบวมได้
                • หลังทำโปรแกรมฉีด HArmonyCa งดการสัมผัส กด หรือจับในบริเวณที่ฉีดแรง ๆ ประมาณ 1 – 2 สัปดาห์แรก
                • หลังทำโปรแกรมฉีด HArmonyCa งดการทำเลเซอร์ เครื่องยกกระชับ หรือทรีตเมนต์อื่น ๆ ในบริเวณใบหน้า ประมาณ 1 – 2 สัปดาห์แรก
                • หลังทำโปรแกรมฉีด HArmonyCa หลีกเลี่ยงความร้อน เช่น ซาวน่า อบไอน้ำ หรือแสงแดดจัด ประมาณ 1 สัปดาห์แรกหลังฉีด
                • หลังทำโปรแกรมฉีด HArmonyCa หลีกเลี่ยงการออกกำลังกาย หรือกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออก ประมาณ 2 – 3 วันแรกหลังฉีด
                • หลังทำโปรแกรมฉีด HArmonyCa หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ หรือดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด ประมาณ 1 – 2 วันหลังฉีด
                • หลังทำโปรแกรมฉีด HArmonyCa ควรติดตามอาการหลังฉีดอย่างใกล้ชิด หากพบอาการผิดปกติ หรือมีข้อสงสัย เพิ่มเติม ควรปรึกษาแพทย์ทันที

                 

                รวมคำถามเกี่ยวกับโปรแกรมฉีด HArmonyCa

                โปรแกรมฉีด HArmonyCa 1 กล่องมีกี่ CC?

                • โปรแกรมฉีด HArmonyCa ถูกออกแบบในรูปแบบของ Prefilled syringe ผสมยาชาพร้อมใช้งาน โดยใน 1 กล่อง จะมีทั้งหมด 2 ไซริงค์ ซึ่งในแต่ละไซริงค์จะมีปริมาณ 1.25 CC ดังนั้น รวมกัน 1 กล่องจะมีปริมาณทั้งหมด 2.5 CC ซึ่งเป็นปริมาณที่เหมาะสม และเพียงพอสำหรับการนำมาฉีด เพื่อยกกระชับผิวหน้า และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในระยะยาว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับการประเมินของแพทย์ และปัญหาผิวของแต่ละบุคคลค่ะ

                 

                โปรแกรมฉีด HArmonyCa ฉีดกี่ครั้งเห็นผล?

                • โปรแกรมฉีด HArmonyCa สามารถเห็นผลลัพธ์ได้ทันทีตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉีด เนื่องจากโปรแกรมฉีด HArmonyCa มีส่วนประกอบของ Hyaluronic Acid (HA) ที่จะเข้าไปยกกระชับผิว และปรับรูปหน้าได้ทันทีหลังฉีด ส่วนผลลัพธ์จากการกระตุ้นคอลลาเจน สามารถเห็นผลลัพธ์ได้อย่างชัดเจน ภายใน 1 – 3 เดือนหลังฉีด เนื่องจากสาร Calcium Hydroxyapatite (CaHA) จะค่อย ๆ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และอีลาสตินตามธรรมชาติอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผิวแข็งแรง และยืดหยุ่นมากขึ้น

                 

                โปรแกรมฉีด HArmonyCa อยู่ได้นานไหม?

                • โปรแกรมฉีด HArmonyCa สามารถคงประสิทธิภาพของผลลัพธ์ได้นานถึง 12 – 18 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล และการปฏิบัติตัวหลังฉีด เนื่องจากโปรแกรมฉีด HArmonyCa มีส่วนประกอบของ Calcium Hydroxyapatite (CaHA) ซึ่งช่วยในการกระตุ้นคอลลาเจนอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้ผลลัพธ์อยู่ได้นานกว่า การทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ที่มี Hyaluronic Acid (HA) เพียงอย่างเดียว แม้ว่าสาร CaHA ในโปรแกรมฉีด HArmonyCa จะค่อย ๆ สลายไป แต่คอลลาเจนที่สร้างขึ้นใหม่จะยังคงอยู่ ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์ และแข็งแรงอย่างเป็นธรรมชาติ

                 

                โปรแกรมฉีด HArmonyCa อันตรายไหม?

                • โปรแกรมฉีด HArmonyCa เป็นเทคโนโลยี Hybrid Filler ที่ไม่เป็นอัตราย เนื่องจากได้รับการรับรองจาก อย. อเมริกา (US FDA) รวมถึง อย. ไทย (TH FDA) ซึ่งมีการใช้งานในวงการแพทย์ความงามกว่าทั่วโลก ด้วยส่วนประกอบหลักอย่าง Hyaluronic Acid (HA) และ Calcium Hydroxyapatite (CaHA) ซึ่งเป็นสารที่สามารถพบได้ตามธรรมชาติ จึงเข้ากันได้ดีกับร่างกาย ลดความเสี่ยงในการเกิดปฏิกิริยาต่อต้านจากระบบภูมิคุ้มกัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ควรทำโปรแกรมฉีด HArmonyCa กับแพทย์ที่มีความรู้ และประสบการณ์ ภายในคลินิกที่ได้มาตรฐาน เพื่อป้องกันการเกิดผลข้างเคียงอันตราย และเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพค่ะ

                 

                โปรแกรมฉีด HArmonyCa เจ็บไหม?

                • โปรแกรมฉีด HArmonyCa เป็นเทคโนโลยี Hybrid Filler ที่มีส่วนผสมของยาชา (Lidocaine) จึงช่วยลดความเจ็บ และแสบขณะฉีดได้ โดยส่วนใหญ่แล้ว การฉีดโปรแกรมฉีด HArmonyCa จะมีระดับความเจ็บใกล้เคียงกับโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ทั่วไป ซึ่งขณะฉีดอาจมีความรู้สึกตึงเล็กน้อย เนื่องจากตัวยากำลังกระจายเข้าสู่ผิว โดยระดับความเจ็บปวดนั้น อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล แต่สำหรับผู้ที่กลัวเจ็บมาก สามารถขอทายาชา หรือฉีดยาชาเพิ่มเติมได้ เพื่อลดความรู้สึกเจ็บปวดขณะฉีด และเพิ่มความสบายใจในการรับบริการมากขึ้น

                 

                โปรแกรมฉีด HArmonyCa หลังฉีดมีอาการข้างเคียงอะไรบ้าง?

                • โปรแกรมฉีด HArmonyCa อาจมีอาการข้างเคียงเกิดขึ้นได้เล็กน้อย ได้แก่ รอยแดง บวม ปวด กดเจ็บ และคันในบริเวณที่ฉีด ซึ่งอาการเหล่านี้ เป็นอาการปกติที่สามารถพบได้ทั่วไป โดยจะค่อย ๆ หายไปหลังจากฉีด ภายใน 1 – 2 วัน ส่วนอาการบวมจะค่อย ๆ หายไป ภายใน 1 สัปดาห์ สามารถประคบเย็นเบา ๆ เพื่อลดอาการบวมลงได้

                 

                ข้อควรพิจารณาก่อนทำโปรแกรมฉีด HArmonyCa เลือกฉีดที่ไหนดี?

                • คลินิกที่ขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้อง ก่อนทำโปรแกรมฉีด HArmonyCa ควรเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน มีการขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้อง ซึ่งต้องมีใบอนุญาตประกอบกิจการสถานพยาบาล 11 หลัก จากกระทรวงสาธารณสุขอย่างชัดเจน
                • แพทย์ที่มีประสบการณ์ ซึ่งโปรแกรมฉีด HArmonyCa ควรฉีดโดยแพทย์ที่มีความรู้ ความสามารถเท่านั้น ซึ่งแพทย์ที่ทำการฉีดจะต้องได้รับการฝึกอบรม เกี่ยวกับเทคนิคการฉีดโปรแกรมฉีด HArmonyCa โดยตรง รวมถึง มีประสบการณ์ในการทำโปรแกรมฉีด HArmonyCa มาก่อน เพื่อป้องกันความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียง
                • ใช้โปรแกรมฉีด HArmonyCa แท้ ก่อนทำโปรแกรมฉีด HArmonyCa ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่า คลินิกที่ให้บริการใช้โปรแกรมฉีด HArmonyCa แท้ที่นำเข้าจากบริษัท Allergan หรือไม่ โดยสามารถตรวจสอบได้จาก เลขทะเบียน อย. รวมถึง เลข Lot. บนกล่องผลิตภัณฑ์
                • มีรีวิวการทำโปรแกรมฉีด HArmonyCa ซึ่งก่อนทำโปรแกรมฉีด HArmonyCa ควรตรวจสอบรีวิวจากผู้ที่เคยใช้บริการจริง ทั้งแบบภาพถ่าย วิดีโอ และการแสดงความคิดเห็นผ่านสื่อออนไลน์ต่าง ๆ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความชำนาญของแพทย์ และแสดงให้เห็นถึงผลลัพธ์ที่ได้หลังฉีด 

                 

                โปรแกรมฉีด HArmonyCa ถือเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่ตอบโจทย์ในการยกกระชับผิว พร้อมกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ด้วยคุณสมบัติพิเศษที่โดดเด่น และข้อดีที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทั้งในด้านผลลัพธ์ที่ได้แบบ 2 in 1 ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับสากล ผลลัพธ์คงอยู่ยาวนาน และไม่ต้องมีการพักฟื้นหลังฉีด ทำให้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวให้ดูอ่อนเยาว์ และลดความหย่อนคล้อยของใบหน้าอย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่ต้องมีการฉีดซ้ำบ่อย ๆ แต่ทั้งนี้ แนะนำให้ศึกษาหาข้อมูล และปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนตัดสินใจ เพื่อวางแผนการทำโปรแกรมฉีด HArmonyCa อย่างเหมาะสม และให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ สำหรับใครที่มีข้อสงสัย หรือสนใจทำโปรแกรมฉีด HArmonyCa สามารถเข้ามาปรึกษา หรือสอบถามเบื้องต้นได้ที่ รมย์รวินท์ ทุกสาขา

                 

                โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์แก้ไขริ้วรอยได้จริงไหม? ก่อนฉีดควรรู้อะไรบ้าง?

                โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์แก้ไขริ้วรอยได้จริงไหม? ก่อนฉีดควรรู้อะไรบ้าง?

                โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์แก้ไขริ้วรอยได้จริงไหม? ก่อนฉีดควรรู้อะไรบ้าง?

                ริ้วรอย เป็นหนึ่งในสัญญาณเตือนของความเสื่อมสภาพบนผิวหนัง ซึ่งมักเกิดขึ้นตามวัยเมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น แต่ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทางการแพทย์ความงาม ทำให้โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์กลายเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ตอบโจทย์ และได้รับความนิยม สำหรับการลดเลือนริ้วรอย ร่องลึกต่าง ๆ บนใบหน้า วันนี้ รมย์รวินท์คลินิก จะพาไปเรียนรู้ และทำความเข้าใจเกี่ยวกับโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์แก้ไขริ้วรอยว่า โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์สามารถเติมเต็มริ้วรอยได้จริงไหม? แล้วมีจุดไหนที่ฉีดได้บ้าง? บทความนี้ รวบรวมข้อมูลมาให้แล้วค่ะ

                โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์แก้ไขริ้วรอยได้จริงไหม? สามารถฉีดจุดไหนได้บ้าง?

                 

                โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์แก้ไขริ้วรอย ได้จริงไหม?

                โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการลดเลือนริ้วรอย ร่องลึกอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะริ้วรอยตื้น ๆ ไปจนถึงร่องลึกเกิดจากการยุบตัวของชั้นผิว และชั้นกระดูก เนื่องจากโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ประเภท Hyaluronic Acid (HA) เป็นสารเติมเต็มที่ทำหน้าที่เติมเต็มริ้วรอย และร่องลึกบริเวณใบหน้า ทำให้ริ้วรอย และร่องลึกต่าง ๆ ดูตื้นขึ้นทันทีที่ฉีด ส่งผลให้ผิวหน้ากลับมาเรียบเนียน เต่งตึง และดูอ่อนเยาว์อีกครั้ง โดยโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์สามารถนำมาฉีดได้หลายบริเวณ เช่น ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก ใต้ตา หรือมุมปาก นอกจากนี้ โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ไม่เพียงแต่ช่วยเติมเต็มริ้วรอย ร่องลึก แต่ยังช่วยในการเติมเต็มความชุ่มชื้น ยกกระชับผิว รวมถึง ปรับรูปหน้าได้อีกด้วย

                 

                ทำความรู้จัก โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย
                ทำความรู้จัก โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย

                 

                ทำความรู้จัก โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย

                โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย คือ การฉีดสารเติมเต็มประเภท Hyaluronic Acid (HA) เข้าไปในบริเวณที่มีริ้วรอย หรือร่องลึกบนใบหน้า เพื่อเติมเต็มริ้วรอย และร่องลึกต่าง ๆ ให้ดูตื้นขึ้น ซึ่ง HA ที่ใช้ เป็นสารสังเคราะห์ที่ผลิตขึ้นมา เพื่อเลียนแบบสารที่มีอยู่ในร่างกาย มีคุณสมบัติหลักในการอุ้มน้ำ และเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว แต่เมื่ออายุมากขึ้น HA ในร่างกายจะค่อย ๆ ลดน้อยลง ทำให้ผิวเริ่มสูญเสียความชุ่มชื้น และความยืดหยุ่น จนเกิดริ้วรอย ร่องลึก หรือผิวหย่อนคล้อยได้ง่าย ซึ่งโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ประเภท HA จะช่วยเติมเต็มริ้วรอย และร่องลึกต่าง ๆ อย่างเป็นธรรมชาติ เพื่อทดแทนบริเวณที่เสื่อมสภาพไปตามอายุ โดยโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอยนั้น สามารถเห็นผลลัพธ์ได้ในทันทีที่ฉีด 

                 

                ริ้วรอย คืออะไร?

                ริ้วรอย คือ เส้น หรือรอยพับบนผิวหนัง ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติเมื่ออายุมากขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการเสื่อมสภาพของผิวหนังที่ประกอบด้วยคอลลาเจน อีลาสติน และ Hyaluronic Acid (HA) ที่ทำหน้าที่สำคัญในการเพิ่มความชุ่มชื้น และพยุงโครงสร้างผิวให้มีความแข็งแรง แต่พออายุเพิ่มขึ้น ปริมาณของสารเหล่านี้จะค่อย ๆ ลดลง ประมาณ 1 – 1.5% ต่อปี ส่งผลให้ผิวหนังเริ่มสูญเสียความยืดหยุ่น และเกิดเป็นริ้วรอย ร่องลึกต่าง ๆ บนใบหน้า โดยจะสามารถสังเกตเห็นได้ชัด เมื่ออายุ 25 ปีขึ้นไป แต่ในบางคนอาจมีริ้วรอยก่อนวัยเกิดขึ้นได้เช่นกัน ซึ่งอาจเป็นผลมาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น การโดนแสงแดด ความเครียด หรือพักผ่อนไม่เพียงพอ 

                 

                ริ้วรอย มีกี่ประเภท?

                • ริ้วรอยตื้น (Fine Lines)

                ริ้วรอยตื้น มีลักษณะเป็นริ้วรอยเส้นเล็กบาง ๆ บนผิวหนัง ซึ่งเป็นริ้วรอยที่เกิดขึ้นในระยะแรก ส่วนใหญ่มักเกิดจากผิวหนังชั้นบนแห้งกร้าน หรือขาดความชุ่มชื้น เช่น บริเวณรอบดวงตา หรือมุมปาก แต่หากปล่อยไว้นาน ๆ อาจสามารถพัฒนาไปเป็นริ้วรอยลึกได้

                • ริ้วรอยลึก (Deep Wrinkles)

                ริ้วรอยลึก มีลักษณะเป็นริ้วรอย ร่องลึกที่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน แม้ไม่มีการขยับใบหน้า ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากความเสื่อมสภาพของคอลลาเจน และอีลาสตินใต้ชั้นผิว รวมถึง พฤติกรรมการแสดงสีหน้าบ่อย ๆ ทำให้ผิวไม่สามารถเต่งตึงได้ตามปกติ โดยสามารถเห็นได้บ่อยในบริเวณร่องแก้ม หรือหน้าผาก

                 

                ริ้วรอย เกิดจากอะไร?
                ริ้วรอย เกิดจากอะไร?

                 

                ริ้วรอย เกิดจากอะไร?

                • อายุ เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของการเกิดริ้วรอยตามธรรมชาติ เนื่องจากพออายุมากขึ้น ฮอร์โมนในร่างกายก็จะค่อย ๆ ลดลง ซึ่งส่งผลกระทบต่อการผลิตคอลลาเจน และอีลาสตินใต้ชั้นผิว ทำให้ผิวขาดน้ำ สูญเสียความยืดหยุ่น จนเกิดเป็นริ้วรอย ร่องลึกได้
                • แสงแดด โดย รังสี UVA และ UVB ในแสงแดด ถือเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้คอลลาเจน และอีลาสตินใต้ชั้นผิวถูกทำลาย ส่งผลโครงสร้างผิวอ่อนแอ จนผิวขาดความยืดหยุ่น และมีริ้วรอยก่อนวัยเกิดขึ้นได้ง่ายมากขึ้น
                • การแสดงสีหน้า เป็นอีกหนึ่งสาเหตุของการเกิดริ้วรอย เช่น การยิ้ม หัวเราะ ขมวดคิ้ว หรือตกใจ ซึ่งทำให้กล้ามเนื้อใต้ผิวหนังเกิดการหดตัวซ้ำ ๆ จนเกิดเป็นเส้น หรือรอยพับบนใบหน้า
                • ความเครียด เมื่อมีความเครียด ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลออกมา ซึ่งจะเข้าไปทำลายคอลลาเจน และอีลาสตินใต้ชั้นผิว ทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้น และขาดความยืดหยุ่น จนเกิดเป็นริ้วรอย ร่องลึกบนใบหน้า
                • สูบบุหรี่ สารนิโคติน และสารพิษในบุหรี่ ถือเป็นตัวการสำคัญในการเร่งให้ผิวแก่ก่อนวัย ซึ่งส่งผลกระทบต่อการผลิตคอลลาเจน และอีลาสตินใต้ชั้นผิว ทำให้ผิวเสื่อมสภาพ จนมีริ้วรอยเกิดขึ้นได้ง่าย
                • พักผ่อนไม่เพียงพอ การนอนหลับ หรือพักผ่อนไม่เพียงพอ ทำให้ร่างกายไม่สามารถซ่อมแซมตัวเองได้ตามปกติ จนส่งผลกระทบให้ผิวอ่อนแอ ขาดความยืดหยุ่น และเกิดริ้วรอยก่อนวัยได้
                • ขาดความชุ่มชื้น เนื่องจาก Hyaluronic Acid (HA) ในผิวลดน้อยลง ทำให้ผิวขาดน้ำ ไม่สดใส จนเกิดริ้วรอยได้ง่ายกว่าผิวที่ชุ่มชื้น

                 

                รวมจุดฉีดโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย

                โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย และร่องลึก สามารถฉีดได้หลายจุดบริเวณใบหน้า โดยส่วนใหญ่ จุดที่นิยมฉีดโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย ร่องลึก มีดังนี้

                • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ บริเวณใต้ตา เพื่อเติมเต็มริ้วรอยเส้นเล็ก ๆ บริเวณรอบดวงตา รวมถึงเติมเต็มร่องลึกใต้ตาให้ดูตื้นขึ้น ทำให้ใบหน้าดูสดใส ไม่โทรม
                • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ บริเวณหน้าผาก เพื่อเติมเต็มริ้วรอย หรือรอยย่นบริเวณหน้าผาก รวมถึง ปรับรูปทรงหน้าผากให้ดูมีมิติมากขึ้น
                • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ บริเวณร่องแก้ม เพื่อเติมเต็มริ้วรอย หรือร่องลึกบริเวณร่องแก้มให้มีความอิ่มฟู คืนความอ่อนเยาว์ให้กับใบหน้า
                • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ บริเวณร่องน้ำหมาก เพื่อเติมเต็มริ้วรอย หรือร่องลึกบริเวณร่องน้ำหมากให้ดูตื้นขึ้น ทำให้ใบหน้าดูเด็กลง
                • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ บริเวณมุมปาก เพื่อเติมเต็มริ้วรอยเส้นเล็ก ๆ หรือร่องบริเวณมุมปาก รวมถึง ช่วยยกมุมปากขึ้น ทำให้ใบหน้าสดใส ดูเป็นมิตร

                 

                โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย เหมาะกับใคร?
                โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย เหมาะกับใคร?

                 

                โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย เหมาะกับใคร? 

                • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุ 25 ปีขึ้นไป
                • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย เหมาะสำหรับผู้ที่มีริ้วรอย และร่องลึกบนใบหน้า เช่น บริเวณร่องแก้ม หรือรอบดวงตา
                • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแห้งกร้าน ต้องการเติมน้ำให้ผิว
                • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อย ห้อยย้อย ขาดความกระชับ
                • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย เหมาะสำหรับผู้ที่ผิวสูญเสียความยืดหยุ่น และความอิ่มฟู
                • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวเสื่อมสภาพจากอายุที่มากขึ้น
                • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการชะลอริ้วรอยก่อนวัย
                • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเห็นผลลัพธ์ในทันที
                • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการผ่าตัด และไม่ต้องการพักฟื้นนาน

                 

                โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย ไม่เหมาะกับใคร? 

                • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่อยู่ในระหว่างการตั้งครรภ์
                • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่อยู่ในระหว่างการให้นมบุตร
                • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่แพ้ Hyaluronic Acid (HA) ในโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ 
                • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเลือดออกไม่หยุด
                • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวอักเสบ หรือติดเชื้อ
                • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่แพ้ยาชา เนื่องจากโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์บางยี่ห้อมียาชาผสมอยู่

                 

                โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย ดีอย่างไร?

                • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย สามารถแก้ไขปัญหาริ้วรอยตื้น ๆ และริ้วรอยร่องลึกได้อย่างตรงจุด 
                • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย สามารถเห็นผลลัพธ์ได้อย่างรวดเร็ว โดยจะเห็นได้ชัดว่า ริ้วรอย และร่องลึกดูตื้นขึ้นทันทีที่ฉีด
                • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย ไม่ต้องพักฟื้น เนื่องจากเป็นหัตถการที่ไม่มีรอยแผล หลังทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เสร็จ สามารถทำกิจกรรมได้ตามปกติ
                • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย ไม่เป็นอันตราย เนื่องจากโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์มีส่วนประกอบของสาร Hyaluronic Acid (HA) ที่สามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ และไม่ตกค้างในชั้นผิว
                • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย มีความสะดวกรวดเร็ว เนื่องจากโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ใช้ระยะเวลาในการฉีดไม่นาน ประมาณ 15 – 30 นาที จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาจำกัด

                 

                โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย กับ ฉีดโบลดริ้วรอย ต่างกันอย่างไร?

                โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย กับการฉีดโบลดริ้วรอย เป็นตัวช่วยในการแก้ไขปัญหาริ้วรอยทั้งคู่ แต่ทั้งสองหัตถการก็มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ในด้านของคุณสมบัติ หลักทำงาน บริเวณที่ฉีด และผลลัพธ์ที่ได้ ดังนี้

                • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย จะใช้สาร Hyaluronic Acid (HA) เป็นส่วนประกอบหลัก ซึ่งเป็นสารที่เลียนแบบสารในร่างกาย มีลักษณะเป็นเนื้อเจลที่มีโมเลกุลหลากหลาย สามารถเลือกฉีดได้ตามความเหมาะสมในแต่ละปัญหา เช่น เนื้อแข็ง เนื้อนิ่ม หรือเนื้อละเอียด โดยโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์แต่ละประเภทก็จะใช้ฉีดในชั้นผิวที่แตกต่างกัน ทั้งผิวหนังชั้นลึก ผิวหนังชั้นตื้น หรือแม้แต่ชั้นกระดูก เพื่อเข้าไปเติมเต็มริ้วรอย และร่องลึกต่าง ๆ บนใบหน้า เช่น ร่องแก้ม ใต้ตา หรือร่องน้ำหมาก ซึ่งสามารถเติมเต็มได้ทั้งริ้วรอยตื้น ๆ และริ้วรอยร่องลึก รวมถึง นำมาฉีดเพื่อเสริมปริมาตรให้ผิวในบริเวณที่ยุบตัว จากการสูญเสียคอลลาเจน อีลาสติน และกระดูกที่ทรุดตัวตามวัย ทำให้ริ้วรอยบริเวณที่ฉีดดูตื้นขึ้น ผิวมีความอิ่มฟู เต่งตึง และเรียบเนียนขึ้นทันทีที่ฉีด ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้ว โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์สามารถคงผลลัพธ์ได้นาน ประมาณ 6 – 18 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ที่ใช้
                • โปรแกรมฉีดโบลดริ้วรอย จะใช้สารที่สกัดจากแบคทีเรียชนิดหนึ่งเป็นส่วนประกอบหลัก ซึ่งมีคุณสมบัติในการคลายกล้ามเนื้อ และมีลักษณะเป็นผลึกสีขาว ต้องนำมาผสมน้ำเกลือก่อนฉีด โดยโบลดริ้วรอยจะใช้ฉีดในชั้นกล้ามเนื้อ เพื่อออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท ในการยับยั้งการหดเกร็งของกล้ามเนื้อโดยตรง ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดคลายตัวลง ส่งผลให้ริ้วรอย หรือรอยพับต่าง ๆ กลับมาเรียบตึงเหมือนเดิม ซึ่งถือเป็นการลดริ้วรอยจากการแสดงสีหน้าได้อย่างตรงจุด เช่น ริ้วรอยหน้าผาก ริ้วรอยระหว่างคิ้ว หรือริ้วรอยหางตา โดยสามารถเห็นผลลัพธ์ได้ใน 3 – 4 วันหลังฉีด และสามารถคงอยู่ได้นาน ประมาณ 4 – 6 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อฉีดโบที่ใช้

                ดังนั้น จะเห็นได้ว่าโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ และโปรแกรมฉีดโบ มีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด โดยโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์จะเน้นในการเติมเต็มริ้วรอย และร่องลึกในทันทีที่ฉีด ส่วนการฉีดโบจะเน้นยับยั้งการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ ทำให้ลดเลือนริ้วรอยจากการแสดงสีหน้าได้เป็นอย่างดี ซึ่งโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ และโปรแกรมฉีดโบนั้น สามารถฉีดร่วมกันได้ หากต้องการผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งนี้ แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ก่อนตัดสินใจฉีด

                 

                โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย ยี่ห้อไหนดี?

                โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอยมีให้เลือกหลายยี่ห้อ ซึ่งแต่ละยี่ห้อนั้น ก็มีเทคโนโลยี และจุดเด่นที่แตกต่างกัน โดยยี่ห้อโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ส่วนใหญ่ที่นิยมใช้ และได้รับการรับรองจาก อย. มีดังนี้

                โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ยี่ห้อ Juvederm 

                • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ Juvederm เป็นสารเติมเต็มสัญชาติสหรัฐอเมริกาที่นิยมใช้กันทั่วโลก และได้รับความไว้วางใจ ในวงการแพทย์ความงามมาอย่างยาวนาน ซึ่งถูกผลิตขึ้นโดยบริษัท Allergan บริษัทชั้นนำด้านการผลิตเทคโนโลยีความงามระดับโลก อีกทั้ง โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ Juvederm ยังได้รับการรับรองจาก องค์การอาหารและยาของ ประเทศสหรัฐอเมริกา (US FDA) และประเทศไทย (TH FDA) อีกด้วย
                • จุดเด่นของโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ Juvederm คือ ใช้ 2 เทคโนโลยีในกระบวนการผลิตโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ ได้แก่ Hylacross Technology และ Vycross Technology โดย Hylacross เป็นเทคโนโลยีที่เด่นเรื่องความอุ้มน้ำ เมื่อฉีดเข้าสู่ผิวแล้ว เนื้อของโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์จะฟูได้ดี และมีความยืดหยุ่นสูง ส่วน Vycross เป็นเทคโนโลยีที่เด่นเรื่องการยกกระชับผิว สามารถยึดเกาะได้อย่างแน่นหนา และทนต่อแรงขยับได้ดี
                • ปัจจุบันโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ Juvederm ได้ถูกออกแบบขึ้นมาหลากหลายรุ่น ให้เลือกตามความเหมาะสม ซึ่งในแต่ละรุ่นก็เหมาะสำหรับการฉีดในบริเวณที่แตกต่างกัน แต่โดยเฉลี่ยแล้ว โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ Juvederm สามารถคงผลลัพธ์ได้ยาวนาน ถึง 12 – 24 เดือน ขึ้นอยู่กับรุ่นโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ที่ใช้ และบริเวณที่ต้องการทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์

                โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ยี่ห้อ Restylane

                • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ Restylane เป็นสารเติมเต็มสัญชาติสวีเดนที่นิยมใช้ทั่วโลกเช่นเดียวกับ โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ Juvederm และมีการผลิตมาอย่างยาวนาน
                • ซึ่งถูกผลิตขึ้นโดยบริษัท Galderma บริษัทชั้นนำด้านการผลิตเทคโนโลยีความงามระดับโลกอย่าง Sculptra อีกทั้ง โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ Restylane ยังได้รับการรับรองจาก องค์การอาหารและยาของ ประเทศสหรัฐอเมริกา (US FDA) และประเทศไทย (TH FDA) อีกด้วย
                • จุดเด่นของโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ Restylane คือ ใช้ 2 เทคโนโลยีในกระบวนการผลิตโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ ได้แก่ OBT Technology และ NASHA Technology โดย OBT เป็นเทคโนโลยีที่เด่นเรื่องความยืดหยุ่น เมื่อฉีดเข้าสู่ผิวแล้ว สามารถปรับรูปทรงได้อย่างหลากหลาย ส่วน NASHA เป็นเทคโนโลยีที่เด่นเรื่องความคงตัว และความชุ่มชื้น สามารถอุ้มน้ำได้ดี โดยที่ไม่ไหล ไม่เป็นก้อนง่าย
                • ปัจจุบันโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ Restylane ได้ถูกออกแบบขึ้นมาหลากหลายรุ่น ให้เลือกตามความเหมาะสม ซึ่งในแต่ละรุ่นก็เหมาะสำหรับการฉีดในบริเวณที่แตกต่างกัน แต่โดยเฉลี่ยแล้ว โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ Restylane สามารถคงผลลัพธ์ได้ยาวนาน ถึง 6 – 18 เดือน ขึ้นอยู่กับรุ่นโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ที่ใช้ และบริเวณที่ต้องการทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์

                โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ยี่ห้อ Belotero

                • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ Belotero เป็นสารเติมเต็มสัญชาติสวิตเซอร์แลนด์ที่มีคุณภาพสูง และนิยมนำมาใช้มากขึ้นเรื่อย ๆ ในปัจจุบัน ซึ่งถูกผลิตขึ้นโดยบริษัท Merz Aesthetics บริษัทชั้นนำด้านการผลิตเทคโนโลยีความงามระดับโลกอย่าง โปรแกรม Ulthera และโปรแกรมฉีด Radiesse อีกทั้ง โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ Belotero ยังได้รับการรับรองจาก องค์การอาหารและยาของ ประเทศสหรัฐอเมริกา (US FDA) และประเทศไทย (TH FDA) อีกด้วย
                • จุดเด่นของโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ Belotero คือ ใช้เทคโนโลยีการผลิตที่จดสิทธิบัตรเฉพาะของโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ Belotero เท่านั้น มีเรียกชื่อว่า CPM Technology ซึ่งมาพร้อมกับ 3 คุณสมบัติเด่น ได้แก่ Cohesivity ทำให้คงรูปได้ดี ยึดเกาะกันเป็นเนื้อเดียว, Elasticity ทำให้มีความยืดหยุ่นสูง และ Plasticity ทำให้สามารถปั้นทรงได้ง่าย
                • ปัจจุบันโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ Belotero ได้ถูกออกแบบขึ้นมาหลากหลายรุ่น ให้เลือกตามความเหมาะสม ซึ่งในแต่ละรุ่นก็เหมาะสำหรับการฉีดในบริเวณที่แตกต่างกัน แต่โดยเฉลี่ยแล้ว โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ Belotero สามารถคงผลลัพธ์ได้ยาวนาน ถึง 6 – 18 เดือน ขึ้นอยู่กับรุ่นโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ที่ใช้ และบริเวณที่ต้องการทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ 

                 

                ก่อนทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย ควรปฏิบัติตัวอย่างไร?
                ก่อนทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย ควรปฏิบัติตัวอย่างไร?

                 

                ก่อนทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย ควรปฏิบัติตัวอย่างไร?

                • ก่อนทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย งดใช้ยากลุ่มต้านการอักเสบ และยาที่ส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด อย่างน้อย 1 – 2 สัปดาห์
                • ก่อนทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย งดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 1 วัน
                • ก่อนทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย งดการสูบบุหรี่ทุกประเภท อย่างน้อย 1 วัน
                • ก่อนทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย งดออกกำลังกายหักโหม อย่างน้อย 1 วัน
                • ก่อนทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย งดทำทรีตเมนต์บนใบหน้า เช่น การเลเซอร์ ขัดผิว หรือผลัดเซลล์ผิว อย่างน้อย 1 สัปดาห์

                 

                หลังทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย มีข้อควรระวังอย่างไร?

                • หลังทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย หลีกเลี่ยงการแต่งหน้า อย่างน้อย 12 – 24 ชั่วโมง
                • หลังฉีดโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย หลีกเลี่ยงการจับ นวด หรือกดทับบริเวณใบหน้า อย่างน้อย 1 – 2 สัปดาห์
                • หลังทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย งดนอนคว่ำ หรือนอนตะแคง อย่างน้อย 1 – 2 สัปดาห์
                • หลังทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย งดออกกำลังกายแบบหักโหม อย่างน้อย 2 – 3 วัน
                • หลังทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย งดโดนแสงแดด หรือทำกิจกรรมที่โดนความร้อนโดยตรง อย่างน้อย 1 – 2 สัปดาห์
                • หลังทำหลังโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย งดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 1 – 2 วัน
                • หลังทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย งดการสูบบุหรี่ทุกประเภท อย่างน้อย 1 – 2 วัน

                 

                โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย ใช้ปริมาณกี่ CC?

                • ปริมาณ CC ที่ใช้สำหรับโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย และร่องลึกนั้น จะขึ้นอยู่กับปัญหา และสภาพผิวของแต่ละบุคคล ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้ประเมิน และกำหนดปริมาณโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ที่เหมาะสมในบริเวณที่ต้องการแก้ไข แต่โดยทั่วไป จะใช้ปริมาณโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ ประมาณ 2 – 4 CC ต่อ 1 บริเวณค่ะ

                 

                โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ ช่วยเรื่องอะไรได้บ้าง?

                นอกจากการเติมเต็มริ้วรอย และร่องลึกแล้ว โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ยังช่วยแก้ไขปัญหาผิวได้หลายรูปแบบ ดังนี้

                • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ ช่วยในการยกกระชับผิว ลดความหย่อนคล้อยบนใบหน้า
                • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ ช่วยในการปรับโครงสร้างใบหน้า ทำให้ใบหน้ามีสัดส่วนที่สวยงาม
                • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ ช่วยในการเติมเต็มบริเวณที่เกิดการยุบตัว ทำให้ผิวอิ่มฟู ดูมีวอลลุ่มมากขึ้น
                • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ ช่วยในการเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ทำให้ผิวฉ่ำวาว แต่งหน้าติดทนมากขึ้น
                • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ ช่วยในการแก้ปัญหารูขุมขนกว้าง ผิวขรุขระ ไม่เรียบเนียน

                 

                โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ มีผลข้างเคียงอย่างไร?

                • หลังฉีดโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ อาจมีอาการบวมแดง ปวดตึง หรือฟกช้ำในบริเวณที่ฉีด ซึ่งเป็นอาการปกติที่พบได้บ่อย และไม่เป็นอันตรายใด ๆ โดยจะค่อย ๆ ดีขึ้น และสามารถหายไปได้เอง ภายใน 1 – 2 สัปดาห์ แต่แนะนำให้ฉีดโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์กับแพทย์ที่มีความรู้ และมีประสบการณ์ เพื่อป้องกันความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียง

                 

                โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ สามารถแก้ไขริ้วรอย และร่องลึกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งถือเป็นทางเลือกที่ดีที่ให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น สำหรับใครที่สนใจ หรือกำลังมองหาตัวช่วยในการลดเลือนริ้วรอยอยู่ โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ถือว่าตอบโจทย์ เพราะนอกจากการเติมเต็มริ้วรอย และร่องลึกแล้ว ยังสามารถปรับโครงสร้างใบหน้า และยกกระชับผิวได้อีกด้วย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ควรเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน และแพทย์ที่มีความชำนาญก่อนฉีด เพื่อผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ และไม่ก่อให้เกิดอันตรายหลังฉีด

                สาเหตุของการนอนกรนที่หลายคนมองข้าม รักษานอนกรนวิธีไหนได้ผล

                สาเหตุของการนอนกรน

                สาเหตุของการนอนกรนที่หลายคนมองข้าม รักษานอนกรนวิธีไหนได้ผล

                การนอนกรน อาจดูเหมือนเรื่องธรรมดาที่พบได้บ่อย แต่ความจริงแล้วอาการนอนกรนอาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตได้มากกว่าที่คิด หากเข้าใจสาเหตุของการนอนกรนก็จะช่วยให้หาวิธีรักษาและป้องกันได้อย่างถูกต้อง เราจะพาคุณไปดูกันว่าอะไรเป็น สาเหตุของการนอนกรนที่หลายคนมองข้าม รักษานอนกรนวิธีไหนได้ผล เพื่อเพิ่มคุณภาพของการนอน และช่วยให้สุขภาพดีมากขึ้น

                 

                สาเหตุของการนอนกรนที่พบบ่อย
                สาเหตุของการนอนกรนที่พบบ่อย

                 

                สาเหตุของการนอนกรนที่พบบ่อย

                อาการนอนกรน ถือเป็นอีกหนึ่งปัญหาสุขภาพที่ใครหลาย ๆ คนต่างอาจมองข้าม ซึ่งสาเหตุของการนอนกรนนั้น เกิดจากการที่ทางเดินหายใจแคบลง หรือมีการสั่นสะเทือนของเนื้อเยื่อในลำคอขณะหลับ ซึ่งอาการนี้เกิดได้จากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็น โครงสร้างร่างกาย พฤติกรรมการใช้ชีวิต หรือโรคบางชนิด ดังนี้

                1. ภาวะอุดกั้นทางเดินหายใจขณะหลับ

                ภาวะอุดกั้นทางเดินหายใจขณะหลับ (Obstructive Sleep Apnea – OSA) เป็นภาวะที่ทำให้ทางเดินหายใจถูกปิดกั้นชั่วคราวระหว่างการนอนหลับ จึงทำให้เกิดอาการหยุดหายใจเป็นช่วง ๆ และทำให้ร่างกายต้องพยายามหายใจแรงขึ้น ซึ่งก่อให้เกิดเสียงกรนขณะหลับ โดยภาวะอุดกั้นทางเดินหายใจขณะหลับนั้น มักพบในผู้ที่มีน้ำหนักตัวเกินเกณฑ์ เพดานอ่อนเกิดการหย่อนคล้อยลงขณะหลับ หรือมีโครงสร้างทางเดินหายใจที่ตีบแคบตั้งแต่กำเนิด ทำให้หายใจได้ลำบาก

                โดยอาการที่พบได้บ่อย คือ อาการนอนกรนเสียงดัง ตื่นขึ้นกลางดึกเพราะรู้สึกสำลักหรือขาดอากาศ และมีอาการง่วงนอนมากผิดปกติในเวลากลางวัน ปวดหัวหลังตื่นนอน สมาธิสั้น และมีอารมณ์ที่แปรปรวน ซึ่งหากปล่อยไว้ อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคอันตรายหลาย ๆ โรค เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และโรคหลอดเลือดสมอง ที่อาจก่อให้เกิดอันตรายได้ในอนาคต

                1. โครงสร้างทางเดินหายใจและพันธุกรรม

                การมีโครงสร้างทางเดินหายใจตีบ หรือมีความผิดปกติ ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุของอาการนอนกรนได้ เนื่องจากโครงสร้างของจมูก ลำคอ และเพดานอ่อน มีผลต่อการไหลเวียนของอากาศขณะหายใจ โดยคนที่มีลิ้นไก่ยาว เพดานอ่อนหนา คางเล็ก หรือทางเดินหายใจแคบโดยกำเนิด อาจมีแนวโน้มที่จะเกิดการนอนกรนมากกว่าคนปกติ เพราะพันธุกรรมนั้นถือว่ามีบทบาทสำคัญอย่างมาก หากมีสมาชิกในครอบครัวที่มีปัญหานอนกรนหรือภาวะ OSA ก็อาจมีโอกาสสูงที่ลูกหลานจะมีอาการนี้ได้

                1. น้ำหนักตัวเกินและโรคอ้วน

                สาเหตุของการนอนกรน สามารถเกิดได้จากน้ำหนักตัวที่เกินเกณฑ์ หรือผู้ที่มีโรคอ้วน เนื่องจากไขมันที่สะสมบริเวณรอบลำคอและบริเวณทางเดินหายใจ อาจทำให้ช่องลมหายใจตีบลงจากแรงกดทับได้ และอาจทำให้กล้ามเนื้อบริเวณทางเดินหายใจอุดกั้นได้ง่ายขึ้น ซึ่งการลดน้ำหนักสามารถช่วยลดอาการนอนกรน และลดการเกิดภาวะหยุดหายใจขณะหลับได้อย่างมีประสิทธิภาพ

                1. อายุ และความหย่อนคล้อยของกล้ามเนื้อ

                เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น กล้ามเนื้อในบริเวณลำคอและเพดานอ่อนจะสูญเสียความยืดหยุ่น ทำให้เนื้อเยื่อในลำคอเกิดความหย่อนคล้อย และเมื่อกล้ามเกิดความเนื้อหย่อนคล้อยมากขึ้น เนื้อเยื่อจะสามารถสั่นสะเทือนได้ง่ายขึ้นระหว่างการหายใจ ส่งผลให้เกิดเสียงกรนขณะหลับ ซึ่งสามารถช่วยบรรเทาอาการนอนกรนได้ด้วยการออกกำลังกายบริเวณลำคอ และการปรับพฤติกรรมการนอน

                1. พฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน
                • การดื่มแอลกอฮอล์

                เนื่องจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีฤทธิ์ที่กดประสาท และทำให้กล้ามเนื้อคลายตัวมากเกินไป รวมถึงกล้ามเนื้อในทางเดินหายใจ หากกล้ามเนื้อคลายตัวเพิ่มมากขึ้น จะทำให้ทางเดินหายเกิดการอุดกั้นได้ง่ายขึ้น ส่งผลให้เกิดอาการนอนกรนมากขึ้นกว่าปกติ การงดดื่มแอลกอฮอล์ก่อนนอน สามารถช่วยลดอาการนอนกรนได้

                • การสูบบุหรี่

                บุหรี่ ทำให้เกิดการอักเสบและบวมของเยื่อบุทางเดินหายใจ ซึ่งทำให้ช่องทางเดินหายใจแคบลง ทั้งนี้สารพิษในบุหรี่ยังทำให้บริเวณลำคอเกิดการระคายเคืองและมีเสมหะสะสมมากขึ้น ส่งผลให้หายใจได้ลำบากและเกิดเสียงกรนได้ ลดการสูบบุหรี่สามารถช่วยลดอาการนอนกรนได้ และยังช่วยลดความเสี่ยงของโรคระบบทางเดินหายใจ เช่น มะเร็งปอด ได้อีกด้วย

                • การใช้ยาบางชนิด

                การเลือกใช้ยาบางชนิด อาจจะทำให้เป็นสาเหตุของการนอนกรนได้ โดยยาที่มีผลต่อระบบประสาท เช่น ยานอนหลับ ยากล่อมประสาท หรือยาแก้แพ้บางชนิด อาจทำให้กล้ามเนื้อบริเวณทางเดินหายใจเกิดการคลายตัวมากเกินไป ซึ่งส่งผลให้เกิดอาการนอนกรนได้ ทั้งนี้หากจำเป็นต้องใช้ยาเหล่านี้ ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับทางเลือกอื่นๆ  เพื่อช่วยลดอาการนอนกรน

                • ท่านอนที่ส่งผลต่อการกรน

                ท่านอน ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่เป็นสาเหตุของการนอนกรน โดยการนอนหงาย จะทำให้ลิ้นและเพดานอ่อนตกลงไปปิดกั้นทางเดินหายใจได้ง่ายกว่าการนอนตะแคง ซึ่งจะทำให้เกิดเสียงกรนได้ขณะหลับ การนอนตะแคงจะช่วยทำให้อากาศไหลเวียนได้ดีมากขึ้น และช่วยลดเสียงกรนขณะหลับได้ อีกหนึ่งตัวช่วยลดการนอนกรน คือ การใช้หมอนกันกรน หรือการหนุนศีรษะให้สูงขึ้นเล็กน้อย เพื่อช่วยลดแรงกดทับที่บริเวณทางเดินหายใจได้

                 

                สาเหตุของการนอนกรน : โปรแกรม Snore Laser รักษาอาการนอนกรน คืออะไร?

                โปรแกรม Snore Laser เป็นวิธีการรักษาอาการนอนกรนโดยใช้เลเซอร์ชนิดเออร์เบียม (Er: YAG Laser) ยิงเข้าไปบริเวณเพดานอ่อน กระพุ้งแก้ม ลิ้นไก่ และโคนลิ้น โดยพลังงานความร้อนจากเลเซอร์จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้เนื้อเยื่อที่หย่อนคล้อยเกิดการหดตัวและกระชับขึ้น ซึ่งส่งผลให้ช่องทางเดินหายใจเปิดกว้างขึ้น ช่วยลดการสั่นสะเทือนของเนื้อเยื่อที่เป็นสาเหตุของเสียงกรน และช่วยทำให้อากาศสามารถไหลเวียนได้ดีขึ้น ทำให้หายใจได้สะดวกในขณะนอนหลับ

                ซึ่งหลักการทำงานของโปรแกรม Snore Laser คือ การช่วยให้เนื้อเยื่อในช่องคอและเพดานอ่อนไม่หย่อนตัวลงมาปิดกั้นทางเดินหายใจ ทั้งยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินบริเวณเนื้อเยื่อทำให้เนื้อเยื่อมีความกระชับมากขึ้น ส่งผลใช้ช่วยลดอาการนอนกรน และช่วยลดความเสี่ยงของภาวะหยุดหายใจขณะหลับที่เกิดจากการอุดกั้น (Obstructive Sleep Apnea – OSA) ทั้งนี้ โปรแกรม Snore Laser เป็นการรักษาอาการนอนกรนโดยไม่ต้องผ่าตัด ใช้ยาชาเฉพาะจุด เจ็บน้อย ทั้งยังใช้เวลาในการรักษาไม่นาน หลังทำสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ โดยไม่ต้องพักฟื้น

                 

                สาเหตุของการนอนกรน : ทำไมต้องรักษานอนกรนด้วยโปรแกรม Snore Laser
                สาเหตุของการนอนกรน : ทำไมต้องรักษานอนกรนด้วยโปรแกรม Snore Laser

                 

                สาเหตุของการนอนกรน :  ทำไมต้องรักษานอนกรนด้วยโปรแกรม Snore Laser

                ลดอาการนอนกรนด้วยโปรแกรม Snore Laser ทางเลือกใหม่สำหรับผู้ที่มีอาการนอนกรนจากภาวะหย่อนคล้อยของเนื้อเยื่อบริเวณทางเดินหายใจในระดับเริ่มต้นถึงปานกลาง ที่จะช่วยลดปัญหาการนอนกรนถี่ นอนกรนเสียงดัง และช่วยเพิ่มคุณภาพของการนอนให้หลับ ช่วยกระชับความสัมพันธ์กับคนรอบข้างให้ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์ของการรักษาโปรแกรม Snore Laser นั้นจะขึ้นอยู่กับโครงสร้างทางเดินหายใจของแต่ละบุคคล และขึ้นอยู่กับปัญหาของแต่ละบุคคล โดยอาจจะเข้ารับการรักษาประมาณ 3-5 ครั้ง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งผลลัพธ์ของการรักษาอาการลดนอนกรนด้วยโปรแกรม Snore Laser สามารถอยู่ได้นานถึง 6-12 เดือน และอาจจะต้องทำซ้ำเพื่อคงผลลัพธ์ให้ได้อย่างต่อเนื่อง

                 

                สาเหตุของการนอนกรน :  ทำไมต้องรักษาอาการนอนกรนด้วยโปรแกรม Snore Laser

                 

                • โปรแกรม Snore Laser ใช้พลังงานความร้อนจากเลเซอร์ชนิดเออร์เบียม

                โปรแกรม Snore Laser เป็นการใช้เลเซอร์ชนิดเออร์เบียม (Er: YAG Laser) พลังงานต่ำส่งคลื่นพลังงานไปยังบริเวณเพดานอ่อน (Soft Palate) ลิ้นไก่ (Uvula) และผนังคอหอย (Pharyngeal Wall) โดยพลังงานความร้อนของเลเซอร์จะเข้าไปกระตุ้นเนื้อเยื่อที่มีปัญหา โดยไม่ก่อให้เกิดแผลในช่องปาก

                • โปรแกรม Snore Laser ช่วยกระตุ้นการหดตัวของคอลลาเจนในเนื้อเยื่อ

                พลังงานจากเลเซอร์จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และช่วยเสริมความแข็งแรงของเนื้อเยื่อบริเวณทางเดินหายใจ เนื้อเยื่อที่หย่อนคล้อยจะเริ่มกระชับขึ้น ทำให้ลดการสั่นสะเทือนที่เป็นสาเหตุของการนอนกรน

                • โปรแกรม Snore Laser ช่วยลดความหย่อนคล้อยของเนื้อเยื่อ

                โปรแกรม Snore Laser จะช่วยลดความหย่อนคล้อยของเนื้อเยื่อ โดยเนื้อเยื่อบริเวณเพดานอ่อนและลิ้นไก่จะมีความกระชับขึ้น ช่วยให้ทางเดินหายใจกว้างขึ้น ทั้งยังช่วยลดโอกาสที่เนื้อเยื่อจะอุดกั้นทางเดินหายใจขณะหลับ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการนอนกรน

                • การทำโปรแกรม Snore Laser ไม่มีแผล ไม่ต้องผ่าตัด และไม่ต้องพักฟื้นนาน

                การรักษาด้วยโปรแกรม Snore Laser เป็นทางเลือกที่จะช่วยลดอาการนอนกรนได้แบบไม่ต้องเจาะผ่าตัด ไม่ต้องใช้ยาสลบ ทำให้ผู้เข้ารับการรักษาสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้โดยไม่ต้องพักฟื้น และไม่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ (CPAP) ขณะหลับ

                 

                สาเหตุของการนอนกรน : ข้อดีของการรักษาด้วยโปรแกรม Snore Laser

                • ไม่เป็นอันตราย ไม่ต้องผ่าตัด เนื่องจากโปรแกรม Snore Laser เป็นการรักษาด้วยเลเซอร์ ทำให้ไม่ต้องผ่าตัด และไม่ต้องวางยาสลบ ช่วยลดความเสี่ยงจากการผ่าตัด หรือลดความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อนจากการใช้ยาสลบ
                • ไม่มีอาการเจ็บปวด เนื่องจากเป็นการรักษาด้วยเลเซอร์ ทำให้ระหว่างทำการรักษาอาการนอนกรนด้วยโปรแกรม Snore Laser ผู้เข้ารับการรักษารู้สึกถึงความอุ่น ๆ บริเวณที่ทำการรักษา แต่จะไม่มีอาการเจ็บปวด แสบ ร้อน ระหว่างทำ
                • ระยะเวลาทำสั้น เป็นการรักษาที่ใช้เวลาเพียง 30-45 นาทีต่อครั้ง สามารถเข้ารับการรักษาได้ง่าย สะดวก รวดเร็ว เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย 
                • ฟื้นตัวไว ไม่ต้องพักฟื้น หลังทำการรักษาอาการนอนกรนด้วยโปรแกรม Snore Laser ผู้เข้ารับบริการสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ โดยไม่ต้องพักฟื้น เพียงแค่ต้องดูแลตัวเองหลังทำตามข้อปฏิบัติ
                • ช่วยลดเสียงกรนและอาการหยุดหายใจขณะหลับ หลังทำโปรแกรม Snore Laser จะช่วยทำให้ทางเดินหายใจกว้างขึ้น ทั้งยังช่วยลดการสั่นสะเทือนของเนื้อเยื่อที่ทำให้เกิดเสียงกรน ช่วยเพิ่มคุณภาพการนอนหลับ ทำให้หายใจสะดวกขึ้น และยังช่วยลดความเสี่ยงของภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (OSA) ระยะเริ่มได้

                 

                สาเหตุของการนอนกรน : ใครเหมาะกับการรักษาด้วยโปรแกรม Snore Laser?
                สาเหตุของการนอนกรน : ใครเหมาะกับการรักษาด้วยโปรแกรม Snore Laser?

                 

                สาเหตุของการนอนกรน :  ใครเหมาะกับการรักษาด้วยโปรแกรม Snore Laser?

                • ผู้ที่มีอาการนอนกรนจากภาวะหย่อนคล้อยของเพดานอ่อน

                การนอนกรน มักเกิดจากการที่เพดานอ่อนและเนื้อเยื่อบริเวณลำคอหย่อนตัวลง ทำให้เกิดการสั่นสะเทือนเมื่อหายใจ การทำโปรแกรม Snore Laser ช่วยกระชับเนื้อเยื่อเหล่านี้เพื่อลดอาการนอนกรน

                • ผู้ที่มีภาวะอุดกั้นทางเดินหายใจขณะหลับในระดับเริ่มต้นถึงปานกลาง

                หากมีอาการหยุดหายใจขณะหลับเล็กน้อยถึงปานกลาง และไม่ได้ต้องการใช้เครื่องรักษาอาการนอนกรน CPAP ขณะหลับ การรักษาอาการนอนกรนด้วยโปรแกรม Snore Laser สามารถช่วยลดการอุดกั้นทางเดินหายใจ และทำให้หายใจสะดวกขึ้น

                • ผู้ที่ไม่ต้องการเข้ารับการผ่าตัด

                โปรแกรม Snore Laser เป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการรักษาอาการนอนกรนโดยไม่ต้องผ่าตัด เนื่องจากเป็นการใช้เลเซอร์ชนิดเออร์เบียมในการรักษา ทำให้ไม่มีบาดแผล และไม่ต้องพักฟื้นนาน

                • ผู้ที่ไม่ต้องการใช้เครื่องช่วยหายใจ CPAP

                สำหรับผู้ที่มีปัญหาการนอนกรนและไม่ต้องการใช้เครื่อง CPAP หรืออาจรู้สึกไม่สะดวกหรือใช้งานได้ยาก การรักษาอาการนอนกรนด้วยโปรแกรม Snore Laser เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยให้หายใจสะดวกขึ้น

                • ผู้ที่มีน้ำหนักตัวอยู่ในเกณฑ์ปกติ

                ผู้ที่มีน้ำหนักตัวที่อยู่ในเกณฑ์ปกติ สามารถรักษาการนอนกรนด้วยโปรแกรม Snore Laser ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าผู้ที่มีปัญหาน้ำหนักตัวเกิน เนื่องจากอาการนอนกรนอาจเกิดจากไขมันรอบคอกดทับทางเดินหายใจ

                • ผู้ที่ไม่มีโรคร้ายแรงเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ

                ผู้ที่เป็นโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ เช่น หอบหืดขั้นรุนแรง หรือโรคเกี่ยวกับกล้ามเนื้อที่มีผลต่อการหายใจ สามารถรักษาการนอนกรนด้วยโปรแกรม Snore Laser ได้ แต่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับการรักษาอาการนอนกรนด้วยโปรแกรม Snore Laser เพื่อช่วยวางแผนการรักษาที่เหมาะสม

                • ผู้ที่ต้องการเพิ่มคุณภาพการนอนหลับ

                การรักษาอาการนอนกรนด้วยโปรแกรม Snore Laser สามารถช่วยลดเสียงกรน ความถี่ของการกรนได้ และช่วยทำให้การนอนหลับมีคุณภาพดีขึ้นไม่ว่าจะเป็นของตัวเอง หรือคนรอบข้าง ช่วยทำให้ความสัมพันธ์กับคนในครอบครัว และคนรอบข้างดีขึ้น

                 

                สาเหตุของการนอนกรน :  ใครไม่เหมาะกับการรักษาด้วยโปรแกรม Snore Laser?

                • ผู้ที่มีภาวะนอนกรนรุนแรงจากโรคหยุดหายใจขณะหลับระดับรุนแรง (Severe OSA)

                การรักษาอาการนอนกรนด้วยโปรแกรม Snore Laser เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะอุดกั้นทางเดินหายใจขณะหลับในระดับเบาถึงปานกลาง หากมีอาการหยุดหายใจขณะหลับระดับรุนแรง โดยมีอาการหยุดหายใจบ่อยครั้งและเป็นเวลานาน อาจจะต้องใช้การรักษาอื่น เพื่อแก้ปัญหาแทน

                • ผู้ที่มีโครงสร้างทางเดินหายใจผิดปกติอย่างรุนแรง

                ผู้ที่มีโครงสร้างทางเดินหายใจที่ผิดปกติในบริเวณเพดานอ่อน ลิ้นไก่ หรือทางเดินหายใจส่วนบน ที่อาจจะทำให้เกิดการตีบแคบของทางเดินหายใจ การรักษาอาการนอนกรนด้วยโปรแกรม Snore Laser อาจจะให้ผลลัพธ์ได้ไม่เต็มที่ อาจพิจารณาวิธีการรักษาอื่น ๆ เช่น การผ่าตัด 

                • ผู้ที่เป็นโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจเรื้อรัง

                สำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับทางเดินหายใจ หรือมีภาวะเกี่ยวกับโรคทางเดินหายใจเรื้อรัง เช่น โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) หรือโรคหอบหืดที่ควบคุมได้ยาก การรักษาอาการนอนกรนด้วยโปรแกรม Snore Laser อาจจะไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด เนื่องจากอาการนอนกรน อาจเป็นหนึ่งอาการของโรคดังกล่าว

                • ผู้ที่มีน้ำหนักตัวมากเกินไปหรือเป็นโรคอ้วน (Obesity BMI สูงมาก)

                น้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน ถือเป็นสาเหตุของการนอนกรนที่สำคัญที่อาจก่อให้เกิดภาวะหยุดหายใจขณะหลับได้ เนื่องจากไขมันที่สะสมบริเวณรอบคออาจจะกดทับทางเดินหายใจ ส่งผลให้เกิดการอุดกั้นที่ไม่สามารถรักษาอาการนอนกรนด้วยโปรแกรม Snore Laser เพียงอย่างเดียว ในกรณีนี้ควรดูแลสุขภาพโดยการลดน้ำหนัก และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตก่อน จากนั้นจึงค่อยรักษาอาการนอนกรน

                • ผู้ที่สูบบุหรี่จัดหรือดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ

                การสูบบุหรี่ทำให้เกิดการอักเสบและบวมของเนื้อเยื่อบริเวณทางเดินหายใจ และแอลกอฮอล์นั้นทำให้กล้ามเนื้อทางเดินหายใจคลายตัวมากขึ้น ส่งผลให้เกิดการอุดกั้นของทางเดินหายใจที่มากขึ้น ซึ่งอาจทำให้การรักษาอาการนอนกรนด้วยโปรแกรม Snore Laser มีประสิทธิภาพที่ลดลง

                • ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด

                แม้ว่าการรักษาอาการนอนกรนด้วยโปรแกรม Snore Laser จะเป็นการรักษาที่ไม่ได้ผ่าตัด หรือไม่มีแผลเปิด แต่ในบางกรณีหากเป็นผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือดหรือเนื้อเยื่อที่เกิดการบาดเจ็บฟื้นตัวช้า อาจต้องปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับการรักษา

                • สตรีมีครรภ์หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร

                สตรีมีครรภ์หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตรนั้น ควรหลีกเลี่ยงการทำโปรแกรม Snore Laser เนื่องจากระดับฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงระหว่างตั้งครรภ์ อาจส่งผลต่อเนื้อเยื่อในทางเดินหายใจ 

                • ผู้ที่คาดหวังผลลัพธ์แบบถาวร

                การรักษาด้วยโปรแกรม Snore Laser สามารถช่วยลดอาการนอนกรนได้ แต่ไม่สามารถให้ผลลัพธ์แบบถาวรได้ ซึ่งผู้เข้ารับบริการจะต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมควบคู่ไปด้วย เพราะหากไม่ดูแลตัวเองอาการนอนกรนอาจกลับมาได้

                 

                สาเหตุของการนอนกรน :  ผลลัพธ์ของการรักษาด้วยโปรแกรม Snore Laser

                1. อาการนอนกรนเริ่มลดลงหลังการรักษาอาการนอนกรนด้วยโปรแกรม Snore Laser 1-2 ครั้ง

                หลังจากเข้ารับการรักษานอนกรนด้วยโปรแกรม Snore Laser ครั้งแรก เสียงกรนจะค่อย ๆ ลดลง หรือมีความถี่ของการกรนน้อยลง โดยผลลัพธ์นั้นจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับปัญหาความหย่อนคล้อยของเนื้อเยื่อ 

                1. การรักษาอาการนอนกรนด้วยโปรแกรม Snore Laser อาจต้องเข้ารับการรักษาต่อเนื่อง 3-5 ครั้ง

                โดยทั่วไปการรักษาอาการนอนกรนโปรแกรม Snore Laser จะแนะนำให้ทำการรักษาอย่างต่อเนื่องประมาณ 3-5 ครั้ง โดยแต่ละครั้งควรเว้นระยะห่างกันประมาณ 2-4 สัปดาห์  เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด เนื่องจากโปรแกรม Snore Laser จะค่อย ๆ กระตุ้นการทำงานของเนื้อเยื่อให้เกิดการหดตัวของคอลลาเจนอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้จำนวนครั้งจะขึ้นอยู่กับปัญหาความรุนแรงของการหย่อนคล้อย

                • ผลลัพธ์ของการรักษาอาการนอนกรนด้วยโปรแกรม Snore Laser สามารถอยู่ได้นาน 6-12 เดือน

                หลังจากการรักษาอาการนอนกรนด้วยโปรแกรม Snore Laser ครบตามที่แพทย์ได้ทำการแนะนำแล้วนั้น ผลลัพธ์จะสามารถอยู่ได้นานถึงประมาณ 6-12 เดือน ทั้งนี้จะขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองหลังทำของแต่ละบุคคล โดยสามารถทำซ้ำได้ปีละ 1-2 ครั้ง เพื่อคงผลลัพธ์ของการรักษาให้ยาวนานขึ้น 

                1. ประสิทธิภาพของการรักษาอาการนอนกรนด้วยโปรแกรม Snore Laser ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

                การรักษาอาการนอนกรนด้วยโปรแกรม Snore Laser นั้นผลลัพธ์และประสิทธิภาพหลังทำการรักษาจะขึ้นอยู่กับปัญหาของความหย่อนคล้อยของเนื้อเยื่อในทางเดินหายใจของแต่ละบุคคล โดยผู้ที่มีโครงสร้างทางเดินหายใจแคบ หรือมีภาวะหย่อนคล้อยของเนื้อเยื่อมาก อาจต้องใช้ระยะเวลาในการรักษานานขึ้น เพื่อให้เนื้อเยื่อเกิดการกระชับตัวอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ยังขึ้นอยู่กับหลาย ๆ ปัจจัยร่วมกัน เช่น อายุ พฤติกรรมการใช้ชีวิต และภาวะน้ำหนักเกิน ที่อาจจะมีผลต่อการรักษา

                 

                สาเหตุของการนอนกรน : นอนกรน คืออะไร ?
                สาเหตุของการนอนกรน : นอนกรน คืออะไร ?

                 

                สาเหตุของการนอนกรน :  นอนกรน คืออะไร ?

                นอนกรน เป็นอาการที่มักเกิดขึ้นเมื่อทางเดินหายใจถูกปิดกั้นบางส่วนหรือทั้งหมด ส่งผลให้ลมหายใจไหลผ่านได้อย่างลำบาก จึงทำให้เกิดการสั่นสะเทือนของเนื้อเยื่อในทางเดินหายใจส่วนบนระหว่างการนอนหลับ ทำให้เกิดเสียงกรนขึ้น โดยอาการนอนกรนเกิดได้ในทุกเพศ ทุกวัย และเกิดได้จากหลาย ๆ ปัจจัย เช่น 

                • อาการนอนกรนเกิดจากการหย่อนคล้อยของกล้ามเนื้อในลำคอขณะนอนหลับ
                • อาการนอนกรนเกิดจากการสะสมของไขมันรอบคอและทางเดินหายใจ จนไปกดทับทางเดินหายใจ
                • อาการนอนกรนเกิดจากโครงสร้างภายในจมูกและช่องปากมีผลต่อการไหลของอากาศ
                • อาการนอนกรนเกิดจากภาวะอุดกั้นทางเดินหายใจขณะหลับ (Obstructive Sleep Apnea – OSA)

                 

                สาเหตุของการนอนกรน บ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพหรือไม่?

                การนอนกรนอาจจะดูเป็นเรื่องปกติสำหรับบางคน แต่การนอนกรนในบางกรณีอาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพหลาย ๆ อย่าง เช่น ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (OSA) ซึ่งเป็นภาวะที่อาจทำให้ระดับออกซิเจนในร่างกายลดลง ส่งผลให้มีอาการง่วงนอนตอนกลางวัน หงุดหงิดง่าย และเสี่ยงต่อโรคอันตรายต่าง ๆ ได้ เช่น

                • ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Obstructive Sleep Apnea – OSA) คือ ภาวะที่ร่างกายขาดอากาศออกซิเจนไหลเวียนชั่วขณะระหว่างนอนหลับ 
                • โรคความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจ
                • ความเหนื่อยล้าและง่วงนอนในเวลากลางวัน
                • ภาวะซึมเศร้าและความผิดปกติทางอารมณ์
                • ภาวะสมองขาดออกซิเจนและโรคหลอดเลือดสมอง ผู้ที่มีอาการนอนกรนร่วมกับภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ทำให้มีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคหลอดเลือดสมองสูงขึ้น

                 

                สัญญาณที่บ่งบอกถึงอาการนอนกรนที่เป็นอันตราย

                • นอนกรนเสียงดังและต่อเนื่อง
                • หายใจสะดุดหรือหยุดหายใจเป็นช่วง ๆ ขณะหลับ
                • ตื่นขึ้นมารู้สึกไม่สดชื่นแม้นอนเต็มอิ่ม
                • มีอาการง่วงนอนมากผิดปกติในช่วงกลางวัน
                • มีอาการอ่อนเพลีย ไม่มีสมาธิในช่วงกลางวัน

                 

                วิธีรักษาและป้องกันการนอนกรน ทำได้กี่วิธี?
                วิธีรักษาและป้องกันการนอนกรน ทำได้กี่วิธี?

                 

                วิธีรักษาและป้องกันการนอนกรน ทำได้กี่วิธี?

                1. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อลดการนอนกรน และช่วยป้องกันการนอน เช่น
                • การเปลี่ยนท่านอน ท่านอนตะแคงจะช่วยลดอาการนอนกรนได้
                • การลดน้ำหนัก จะช่วยลดการเกิดไขมันสะสมรอบลำคอ ลดอาการนอนกรนได้
                • หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์และยากล่อมประสาทก่อนนอน
                • รักษาอาการคัดจมูกจากภูมิแพ้หรือหวัด 
                • นอนหลับให้เพียงพอ ไม่นอนดึก
                1. อุปกรณ์ช่วยลดการนอนกรน ปัจจุบันมีอุปกรณ์หลายประเภทที่สามารถช่วยลดอาการนอนกรนได้ เช่น
                • ลดการนอนกรนด้วย เครื่องช่วยหายใจแรงดันบวกต่อเนื่อง (CPAP) คือ อุปกรณ์ที่ใช้สำหรับผู้ที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (OSA) โดยจะช่วยเปิดทางเดินหายใจขณะนอนหลับได้
                • ลดการนอนกรนด้วย อุปกรณ์ครอบปาก (Oral Appliance) คือ อุปกรณ์ช่วยเลื่อนตำแหน่งของลิ้นและขากรรไกรล่าง เพื่อให้ทางเดินหายใจกว้างขึ้น
                • ลดการนอนกรนด้วย หมอนกันกรน คือ หมอนที่ออกแบบมาพิเศษเพื่อช่วยปรับท่านอนให้เหมาะสม ช่วยลดโอกาสการปิดกั้นทางเดินหายใจ
                • ลดการนอนกรนด้วย แถบติดจมูก (Nasal Strips) ช่วยขยายรูจมูกให้หายใจสะดวกขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการนอนกรนจากการคัดจมูก
                1. การรักษาทางการแพทย์สำหรับผู้ที่นอนกรน สำหรับผู้ที่มีอาการนอนกรนในระดับเริ่มต้นถึงรุนแรง หรือมีภาวะหยุดหายใจขณะหลับร่วม อาจต้องเข้ารับการรักษาทางการแพทย์ เช่น
                • รักษาอาการนอนกรนด้วยโปรแกรม Snore Laser คือ เทคโนโลยีเลเซอร์ที่ช่วยกระชับเนื้อเยื่อในลำคอและเพดานอ่อน ลดการสั่นสะเทือนที่ทำให้เกิดเสียงกรน โดยไม่ต้องผ่าตัด
                • รักษาอาการนอนกรนด้วย การผ่าตัดเพื่อลดอาการนอนกรน คือ การผ่าตัดเพื่อปรับโครงสร้างทางเดินหายใจที่มีความผิดปกติ หรือมีทางเดินหายใจที่ตีบแคบ เช่น การผ่าตัดตกแต่งเพดานอ่อน การผ่าตัดขากรรไกร หรือการผ่าตัดโคนลิ้น 
                • รักษาอาการนอนกรนด้วย การรักษาด้วยการใช้คลื่นความถี่วิทยุจี้เพดานอ่อน หรือ RF palate

                 

                สาเหตุของการนอนกรน เกิดได้จากหลากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็น พันธุกรรม โครงสร้างของร่างกาย พฤติกรรมการใช้ชีวิต ท่านอน รวมถึงโรคประจำตัว โดยการนอนกรนอาจจะก่อให้เกิดโรคภัยเงียบต่าง ๆ ได้ ซึ่งการนอนกรนนั้นนอกจากจะทำให้คุณภาพการนอนของผู้ป่วยแย่แล้ว ยังทำให้คุณภาพการนอนของผู้ที่นอนร่วมแย่เช่นกัน ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อความสัมพันธ์ในครอบครัว อาการนอนกรนสามารถรักษาได้ ด้วยโปรแกรม Snore Laser เลเซอร์รักษาอาการนอนกรน ที่สะดวก รวดเร็ว ไม่ต้องผ่าตัด

                Fix Lift Body ลดเซลลูไลท์ ลดไขมัน ยกกระชับผิวเป๊ะ

                Fix Lift Body

                ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




                  วันที่สะดวกในการติดต่อ








                  โปรแกรม Fix Lift Body ลดเซลลูไลท์ ลดไขมัน ยกกระชับผิวเป๊ะ

                  ลดเซลลูไลท์ ผิวเปลือกส้ม กระชับสัดส่วนได้ง่าย ๆ ใช้วิธีไหนดี ? สาว ๆ หลายคนอาจจะมีปัญหาเรื่องผิวกวนใจที่ไม่ว่าจะแก้ยังไง ก็แก้ไม่ได้ เช่น เซลลูไลท์ หรือผิวเปลือกส้ม หรือปัญหาผิวหย่อนคล้อย ไม่กระชับ ซึ่งในปัจจุบันก็มีเทคโนโลยีมากมายที่จะช่วยยกกระชับผิว ลดไขมัน พร้อมช่วยลดเซลลูไลท์ได้แบบไม่ต้องผ่าตัด อย่าง โปรแกรม Fix Lift Body ลดเซลลูไลท์ ลดไขมัน ยกกระชับผิวเป๊ะ ได้แบบไม่อันตราย

                   

                  โปรแกรม Fix Lift Body คืออะไร?
                  โปรแกรม Fix Lift Body คืออะไร?

                   

                  โปรแกรม Fix Lift Body คืออะไร?

                  โปรแกรม Fix Lift Body หรือ Morpheus pro คือ เทคโนโลยีกระชับสัดส่วน ลดไขมัน ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้นใหม่ล่าสุด จากสหรัฐอเมริกา ที่ใช้พลังงานคลื่นวิทยุ (Radio Frequency: RF) ความเสถียรสูง โดยพลังงานสามารถผ่านชั้นผิวได้หลายระดับ ตั้งแต่  1-7 mm. (Muti-layer technology) โดย โปรแกรม Fix Lift Body จะมีหัว Body Tip ที่ออกแบบมาเพื่อใช้กับผิวกายโดยเฉพาะ โดยเป็นหัวเข็มสีทองขนาดเล็กระดับไมไครจำนวน 40 เข็ม (Golden Micro Pins) เพื่อเข้าไปกระตุ้นการทำงานของคอลลาเจนใต้ชั้นผิวให้มีการจัดเรียงตัวใหม่ ยกกระชับผิวให้เต่งตึง เรียบเนียน ลดการเกิดเซลลูไลท์ พร้อมลดชั้นไขมันใต้ผิวให้มีการหดตัวลง โปรแกรม Fix Lift Body ยกกระชับผิว สามารถทำได้หลายบริเวณโดยไม่ทำร้ายผิว ไม่ว่าจะเป็น ต้นแขน ต้นขา หน้าท้อง สะโพก หรือช่วงบริเวณลำตัวที่มีปัญหาผิวไม่กระชับ ผิวหย่อนคล้อย มีริ้วรอย ผิวแตกลาย ซึ่งการยกกระชับ ลดไขมันด้วย โปรแกรม Fix Lift Body ผ่านการรับรองมาตรฐานจาก US FDA และได้รับมาตรฐาน Gold Standard ทั้งยังได้รับรางวัลอีกมากมาย ทำให้มั่นใจได้ว่าไม่อันตรายต่อร่างกาย

                   

                  โปรแกรม Fix Lift Body ยกกระชับผิวได้ทุกจุด

                  โปรแกรม Fix Lift Body ยกกระชับผิว เป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่ช่วยดูแลทั้งปัญหาผิว และปัญหารูปร่าง ไม่ว่าจะเป็นทั้งใบหน้า และลำตัว ซึ่ง โปรแกรม Fix Lift Body สามารถยกกระชับผิวและดูแลปัญหาผิวได้ ดังนี้

                   

                  ฟื้นฟูผิวหน้าและลำคอ

                  • โปรแกรม Fix Lift Body ช่วยรักษาหลุมสิว ช่วยฟื้นฟูผิวบริเวณหลุมสิวให้ตื้นขึ้น พร้อมปรับผิวให้เรียบเนียนขึ้น
                  • โปรแกรม Fix Lift Body ช่วยยกกระชับผิวใบหน้าและลำคอ กระชับผิวที่มีความหย่อนคล้อยให้เต่งตึง
                  • โปรแกรม Fix Lift Body ช่วยลดเลือนร่องริ้วรอย ทั้งร่องตื้นและร่องลึก ให้ผิวดูเต็มอิ่มมากขึ้น
                  • โปรแกรม Fix Lift Body ช่วยกระชับรูขุมขนให้ดูเล็กลง ให้ผิวหน้าดูเรียบเนียนละเอียดขึ้น
                  • โปรแกรม Fix Lift Body ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินใต้ชั้นผิวหนัง เพิ่มความยืดหยุ่นและความกระชับให้ผิวดูอ่อนเยาว์

                   

                  ยกกระชับสัดส่วนต่าง ๆ ในร่างกาย

                  • โปรแกรม Fix Lift Body  ช่วยยกกระชับบริเวณผิวที่หย่อนคล้อย เช่น เหนียง ลำคอ ต้นแขน ต้นขา หรือหน้าท้อง
                  • โปรแกรม Fix Lift Body ช่วยลดไขมันส่วนเกินตามจุดต่าง ๆ ของร่างกาย ให้สัดส่วนดูเล็กลง ผิวกระชับขึ้น
                  • โปรแกรม Fix Lift Body ช่วยกระชับหน้าท้องที่หย่อนคล้อย แก้ปัญหาผิวแตกลาย ของคุณแม่หลังคลอด
                  • โปรแกรม Fix Lift Body ช่วยลดเซลลูไลท์ และผิวเปลือกส้มกระชับให้ผิวเรียบเนียนสม่ำเสมอ
                  • โปรแกรม Fix Lift Body ช่วยแก้ปัญหาต้นแขนหย่อนคล้อย ยกกระชับให้ต้นแขนเฟิร์มขึ้น
                  • โปรแกรม Fix Lift Body ช่วยลดไขมันส่วนเกินและกระชับเนื้อบริเวณรักแร้ให้ดูเล็กลง
                  • โปรแกรม Fix Lift Body ช่วยยกกระชับหน้าอกที่หย่อนคล้อยให้ได้รูปมากขึ้น

                   

                  โปรแกรม Fix Lift Body ช่วยเรื่องอะไร
                  โปรแกรม Fix Lift Body ช่วยเรื่องอะไร

                   

                  โปรแกรม Fix Lift Body ช่วยเรื่องอะไร

                  • โปรแกรม Fix Lift Body ช่วยยกกระชับผิวกายให้มีความเต่งตึง คืนความอ่อนเยาว์ให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้น
                  • โปรแกรม Fix Lift Body ช่วยลดไขมันสะสมส่วนเกินใต้ชั้นผิว พร้อมกระชับสัดส่วนที่หย่อนคล้อยให้ได้รูปมากขึ้น
                  • โปรแกรม Fix Lift Body ช่วยลดปัญหาผิวไม่เรียบเนียน ผิวเปลือกส้ม เซลลูไลท์ และรอยแตกลายทั่วร่างกาย ให้ผิวเรียบเนียนอย่างสม่ำเสมอ
                  • โปรแกรม Fix Lift Body ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ใต้ชั้นผิว และกระตุ้นการจัดเรียงของคอลลาเจนให้ผิวมีความกระจ่างใส ผิวยืดหยุ่นมากขึ้น และช่วยกระชับรูขุมขนให้เล็กลง
                  • โปรแกรม Fix Lift Body ช่วยลดเลือนรอยบนผิว ไม่ว่าจะเป็น รอยแผลเป็น รอยแผลเป็นจากหลุมสิว รวมถึงรอยแผลผ่าตัด ให้ดูจางลง
                  • โปรแกรม Fix Lift Body ช่วยยกกระชับผิวที่มีความหย่อนคล้อยเฉพาะจุด แก้ปัญหารอยเหี่ยวย่นที่บริเวณลำคอ และริ้วรอยรอบดวงตา

                   

                  หลักการทำงานของ โปรแกรม Fix Lift Body 

                  โปรแกรม Fix Lift Body หรือ Morpheus pro จะทำงานโดยการใช้พลังงานคลื่นความถี่วิทยุ RF (adio Frequency) ผ่านหัวทิป Gold Coated Micropins ซึ่งเป็นเข็มเคลือบทองคำขนาดเล็ก จำนวน 40 Pin โดยหัวทิปนี้ออกแบบมาเพื่อใช้กับบริเวณร่างกายโดยเฉพาะ ทำให้มีความใหญ่ขึ้น และยังมีความพิเศษสามารถปรับระดับความลึกได้สูงสุดถึง 1-7 mm. ทำให้พลังงานสามารถผ่านชั้นผิวได้หลายระดับ ซึ่งการใช้พลังงานคลื่นความถี่วิทยุนั้น จะส่งผลให้เกิดกระบวนการดังนี้ คือ

                  • โปรแกรม Fix Lift Body ยกกระชับผิว มีกระบวนการ Dermal Remodeling เป็นการกระตุ้นการสร้างและจัดเรียงคอลลาเจนใต้ชั้นผิวหนังแท้ใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ผิวเกิดความยืดหยุ่น และเต่งตึงขึ้น
                  • โปรแกรม Fix Lift Body ยกกระชับผิว มีกระบวนการ Subdermal Adipose Remodeling (SAR) เป็นการลดไขมัน โดยพลังงานจะเข้าไปช่วยหดชั้นไขมันใต้ผิว ให้ผิวที่มีความหย่อนคล้อยดูกระชับมากยิ่งขึ้น
                  • โปรแกรม Fix Lift Body ยกกระชับผิว มีกระบวนการ Extracellular Matriz (ECM) เป็นการกระตุ้นการสร้าง Hyaluronic Acid (HA) ใต้ชั้นผิว ที่มีส่วนช่วยฟื้นฟูสภาพผิวที่เสื่อมให้กลับมาเต่งตึง และช่วยลดเลือนลดริ้วรอย และความเหี่ยวย่นได้

                   

                  โปรแกรม Fix Lift Body ใข้เทคโนโลยีอะไร กระชับผิว

                  โปรแกรม Fix Lift Body จะใช้เทคโนโลยีกระชับสัดส่วน ลดไขมันด้วยพลังงานคลื่นวิทยุความถี่สูง (RF) โดยจะปล่อยพลังงานลงไปในชั้นผิวที่มีความลึกหลายระดับตั้งแต่ 1 – 7 มม. (Muti-layer technology) เพื่อให้พลังงานสามารถเข้าถึงได้ทุกชั้นผิว ไม่ว่าจะเป็น ชั้นผิวหนังแท้ (Dermis) และชั้นไขมันใต้ผิว (Subcutaneous Fat) โดย Multi-Layer Technology จะสามารถปรับระดับความลึกของพลังงานให้เหมาะสมกับชั้นผิวในแต่ละบริเวณ เช่น

                  • โปรแกรม Fix Lift Body ยกกระชับผิว ใช้บริเวณใบหน้าและลำคอ จะใช้ความลึก 2–4 มม. เพื่อฟื้นฟูริ้วรอย และกระชับผิว
                  • โปรแกรม Fix Lift Body ยกกระชับผิว ใช้บริเวณร่างกาย เช่น หน้าท้อง ต้นขา ท้องแขน จะใช้ความลึกสูงสุด 7 มม. เพื่อแก้ปัญหาไขมันส่วนเกิน และเซลลูไลต์

                  ซึ่งพลังงานคลื่นวิทยุนั้นจะถูกส่งผ่านทาง หัวทิปขนาดใหญ่สำหรับใช้บริเวณร่างกายโดยเฉพาะ ภายในหัวทิปจะมีหัวเข็มขนาดเล็ก (Microneedles) ที่เคลือบด้วยทองคำ (Golden Micro Pins) ซึ่งช่วยป้องกันการระคายเคืองและเหมาะสำหรับทุกสภาพผิว โดยพลังงานจะเข้าไปกระตุ้นให้เซลล์ผิวสร้างและจัดเรียงคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ โปรแกรม Fix Lift Body ยกกระชับผิว ทำให้ผิวแน่นขึ้น ยืดหยุ่น และดูอ่อนเยาว์ขึ้น พร้อมช่วยลดไขมันส่วนเกิน และยกกระชับสัดส่วน ลดการเกิดเซลลูไลท์ ผิวเปลือกส้ม ให้ผิวเรียบเนียนมากขึ้น โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น และไม่มีรอยแผล ซึ่งผลลัพธ์สามารถอยู่ได้นานถึง 1 ปี

                   

                  โปรแกรม Fix Lift Body มีจุดเด่นอะไร ?

                  • โปรแกรม Fix Lift Body เป็นเทคโนโลยีน้องใหม่ที่ได้รับการรับรองจาก US FDA ว่าเป็นเทคโนโลยีที่ไม่อันตรายต่อผิว ทั้งยังสามารถใช้ได้กับทุกสีผิว และทุกสภาพผิว
                  • โปรแกรม Fix Lift Body ช่วยแก้ไขปัญหาได้อย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น การลดไขมันส่วนเกิน การลดเซลลูไลต์และผิวเปลือกส้ม ช่วยแก้ปัญหารอยแตกลาย ริ้วรอย และรอยแผลเป็นบนผิวให้ดูจางลง
                  • โปรแกรม Fix Lift Body ช่วยฟื้นฟูผิว และช่วยยกกระชับ และปรับผิวให้มีความเรียบเนียนได้ ให้ผลลัพธ์ที่ยาวนานนานถึง 1 ปี
                  • โปรแกรม Fix Lift Body เป็นการทำหัตถการลดไขมัน กระชับสัดส่วน ผ่านพลังงานคลื่นวิทยุ เป็นการรักษาที่ไม่ต้องผ่าตัด ทำให้ไม่ต้องพักฟื้น ไม่มีแผลเป็น และไม่มีความเสี่ยงจากการดมยาสลบ

                   

                  ทำไมต้องทำ โปรแกรม Fix Lift Body ?

                  โปรแกรม Fix Lift Body ยกกระชับผิว มีเทคโนโลยี Burst ที่ช่วยกระตุ้นการซ่อมสร้าง Fibro Septal Network (FSN) bracing ซึ่ง FSN คือ เส้นใยที่ช่วยยึดระหว่างผิวชั้นหนังแท้และชั้นไขมัน ที่ช่วยในเรื่องคงความกระชับ และคงความยืดหยุ่นของผิว ให้โครงสร้างผิวแข็งแรงและแน่นมากขึ้น

                  นอกจากนี้ โปรแกรม Fix Lift Body ยกกระชับผิว ยังมีการใช้เทคโนโลยีคลื่นความถี่วิทยุ (Radio Frequency: RF) ที่มีการปล่อยพลังงานแบบ Multi-Level Penetration ที่สามารถปรับพลังงานให้เหมาะสมกับความลึกของชั้นผิวในระดับที่แตกต่างกันได้ ตั้งแต่ผิวชั้นตื้นและผิวชั้นลึก ได้แก่

                     – โปรแกรม Fix Lift Body ยกกระชับผิว มีการปล่อยพลังงานแบบ Cycle จะใช้ความลึกได้หลายระดับ 5mm, 3mm ,4mm, 2mm

                     – โปรแกรม Fix Lift Body ยกกระชับผิว มีการปล่อยพลังงานแบบ Multi-level penetration จะใช้ความลึกได้หลายระดับ 7mm, 5mm,3mm,6mm, 4mm, 2mm 

                   

                  โปรแกรม Fix Lift Body ยกกระชับผิว นั้นมีหัวทิปที่ไม่อันตรายต่อร่างกาย บรรจุอยู่ภายในซองที่ผ่านกระบวนการ GAMMA Sterilized ซึ่งเป็นมาตรฐานการฆ่าเชื้อระดับสูง โดยใช้ครั้งเดียวทิ้ง ไม่นำกลับมาใช้ซ้ำ หรือใช้เฉพาะบุคคลเท่านั้น ทำให้มั่นใจในความสะอาดได้  

                   

                  โปรแกรม Fix Lift Body ควรทำบริเวณไหน
                  โปรแกรม Fix Lift Body ควรทำบริเวณไหน

                   

                  โปรแกรม Fix Lift Body ควรทำบริเวณไหน

                  การทำ โปรแกรม Fix Lift Body เป็นการยกกระชับผิว พร้อมลดไขมัน ที่ช่วยดูแลปัญหารูปร่างได้อย่างครอบคลุม สามารถทำได้หลายบริเวณทั่วร่างกาย ไม่ว่าจะเป็น

                   

                  • โปรแกรม Fix Lift Body ทำบริเวณปีกหลังที่เอว (Love Handles) ช่วยลดไขมันส่วนเกินบริเวณปีกหลังที่ทำให้รูปร่างดูไม่กระชับ
                  • โปรแกรม Fix Lift Body ทำบริเวณสะโพก ช่วยแก้ปัญหาเซลลูไลท์ปรับผิวให้เรียบเนียน
                  • โปรแกรม Fix Lift Body ทำบริเวณเหนือเข่า ช่วยยกกระชับผิวบริเวณเหนือเข่า ที่มักมีลักษณะเป็นผิวเปลือกส้ม
                  • โปรแกรม Fix Lift Body ทำบริเวณหน้าท้องและลำตัว ช่วยลดไขมันส่วนเกินและลดเลือนผิวที่แตกลาย 
                  • โปรแกรม Fix Lift Body ทำบริเวณบั้นท้าย ช่วยยกกระชับและลดรอยแตกลาย ให้ผิวดูเรียบเนียนและเฟิร์มขึ้น
                  • โปรแกรม Fix Lift Body ทำบริเวณต้นแขนด้านใน ช่วยยกกระชับต้นแขนด้านในที่หย่อนคล้อย 

                   

                  โปรแกรม Fix Lift Body เหมาะกับใครบ้าง

                  โปรแกรม Fix Lift Body ช่วยยกกระชับสัดส่วน พร้อมลดไขมัน และช่วยแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยทั่วร่างกาย ซึ่งการทำ โปรแกรม Fix Lift Body ยกกระชับผิว เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาดังนี้

                   

                  • โปรแกรม Fix Lift Body เหมาะกับผู้ที่ต้องการกระชับผิวชั้นลึก (Deep Skin Tightening)
                  • โปรแกรม Fix Lift Body เหมาะกับผู้ที่มีอายุ 20–25 ปีขึ้นไป ที่ต้องการฟื้นฟูผิวหย่อนคล้อยและลดเลือนริ้วรอย
                  • โปรแกรม Fix Lift Body เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย ไม่กระชับจากน้ำหนัก เช่น บริเวณต้นแขน ต้นขา หน้าท้อง หรือบั้นท้าย
                  • โปรแกรม Fix Lift Body เหมาะกับผู้ที่มีริ้วรอยเหี่ยวย่นที่เกิดขึ้นตามวัย เช่น ริ้วรอยรอบลำคอ หรือจุดอื่นๆ บนร่างกาย
                  • โปรแกรม Fix Lift Body เหมาะกับผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อยเนื่องจากการสูญเสียคอลลาเจนและอีลาสตินตามวัย
                  • โปรแกรม Fix Lift Body เหมาะกับผู้ที่ต้องการลดเซลลูไลท์ ผิวเปลือกส้ม ผิวเป็นคลื่น ให้ผิวมีความเรียบเนียนอย่างสม่ำเสมอ
                  • โปรแกรม Fix Lift Body เหมาะกับผู้ที่มีไขมันสะสมตามจุดต่าง ๆ ตามบริเวณร่างกาย ต้องการลดไขมันส่วนเกิน เช่น ต้นแขน ต้นขา หน้าท้อง สะโพก เอว และบั้นท้าย
                  • โปรแกรม Fix Lift Body เหมาะกับผู้ที่ต้องการปรับรูปร่างให้ดูกระชับ และสมส่วน
                  • โปรแกรม Fix Lift Body เหมาะกับผู้ที่มีปัญหารอยแตกลาย ผิวไม่เรียบเนียน หลังคลอดบุตร
                  • โปรแกรม Fix Lift Body เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวแตกลายจากการเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักตัว ผิวเกิดความย้วย หย่อนคล้อย
                  • โปรแกรม Fix Lift Body เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวแห้ง หยาบกร้าน หรือขาดความชุ่มชื้น ต้องการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว
                  • โปรแกรม Fix Lift Body เหมาะกับผู้ที่มีผิวไม่เรียบเนียน มีรอยแผลเป็น
                  • โปรแกรม Fix Lift Bodyเหมาะกับผู้ที่ต้องการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและจัดเรียงตัวใหม่ของคอลลาเจนใต้ชั้นผิว
                  • โปรแกรม Fix Lift Body เหมาะกับผู้ที่ต้องการผิวที่ดูเต่งตึง อ่อนเยาว์ และกระจ่างใสมากขึ้น
                  • โปรแกรม Fix Lift Body เหมาะกับผู้ที่ต้องการยกกระชับผิวและลดไขมัน โดยไม่ต้องผ่าตัด
                  • โปรแกรม Fix Lift Body เหมาะกับผู้ที่ไม่มีเวลาออกกำลังกาย ไม่มีเวลาพักฟื้นนาน เพราะสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ

                   

                  โปรแกรม Fix Lift Body ไม่เหมาะกับใคร

                  • โปรแกรม Fix Lift Body ไม่เหมาะกับผู้ที่มีเครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemaker)
                  • โปรแกรม Fix Lift Body ไม่เหมาะกับผู้ที่มีอุปกรณ์โลหะฝังอยู่ในร่างกาย
                  • โปรแกรม Fix Lift Body ไม่เหมาะกับผู้ที่มีโรคประจำตัวบางประเภท
                  • โปรแกรม Fix Lift Body ไม่เหมาะกับผู้ที่กำลังตั้งครรภ์หรืออยู่ในช่วงในนมบุตร
                  • โปรแกรม Fix Lift Body ไม่เหมาะกับผู้ที่มีแผลเปิด หรือมีแผลติดเชื้อ
                  • โปรแกรม Fix Lift Body ไม่เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับโรคผิวหนัง หากต้องการทำ โปรแกรม Fix Lift Body  ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำ

                  สำหรับใครที่อยากจะลองทำ โปรแกรม Fix Lift Body ลดไขมัน ยกกระชับผิวนั้น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินปัญหา และวางแผนการรักษา โปรแกรม Fix Lift Body ที่ไม่อันตราย และได้ผลลัพธ์ที่ต้องการมากที่สุด

                   

                  โปรแกรม Fix Lift Body มีขั้นตอนการทำอย่างไร

                  การเตรียมตัวก่อนทำโปรแกรม Fix Lift Body ยกกระชับผิว ไม่จำเป็นที่จะต้องลดอาหาร หรือน้ำ สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ และแนะนำให้หยุดใช้ตัวยากลุ่ม NSAIDs เช่น แอสไพริน, ไอบูโพรเฟน 1 สัปดาห์ก่อนทำ  โดยขั้นตอนการทำโปรแกรม Fix Lift Body จะมีดังนี้

                  • อันดับแรกแพทย์จะทำการซักประวัติ และสอบถามเกี่ยวกับปัญหารูปร่าง และปัญหาผิว เพื่อวางแผนการรักษาด้วยโปรแกรม Fix Lift Body ยกกระชับผิว ให้ตรงกับปัญหา 
                  • จากนั้นเจ้าหน้าที่จะทำการความสะอาดผิวในบริเวณที่ต้องการทำโปรแกรม Fix Lift Body ยกกระชับผิว เพื่อเตรียมความพร้อม หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่จะทำการทายาชาบริเวณนั้น ๆ เพื่อช่วยบรรเทาอาการเจ็บขณะทำ 
                  • หลังจากยาชาเริ่มออกฤทธิ์แล้ว แพทย์จะทำการรักษาโดยเลือกใช้โปรแกรม Fix Lift Body เลือกพลังงานที่เหมาะกับผิวแต่ละจุด ด้วยการปรับระดับความลึกของชั้นผิวที่ต้องการด้วย Multi-layer Technology
                  • จากนั้นโปรแกรม Fix Lift Body ยกกระชับผิว จะทำการส่งพลังงานผ่านอุปกรณ์ Coated pins ในบริเวณที่ทำการรักษา
                  • แพทย์จะทำการวาง Hand Piece ให้แนบไปกับผิวแบบตั้งฉาก พร้อมกดน้ำหนักลงเล็กน้อยเพื่อส่งพลังงานคลื่นวิทยุ (RF) ลงสู่ชั้นใต้ผิว
                  • โดยขณะทำโปรแกรม Fix Lift Body ยกกระชับผิว จะมีความรู้สึกอุ่น ๆ บริเวณผิว และแพทย์จะทำการใช้พัดลมเป่าความเย็นเพื่อช่วยเพิ่มความสบายให้กับผิว  ซึ่งระยะเวลาการรักษานั้นจะอยู่ที่ประมาณ 45 นาที ถึง 1 ชั่วโมง แล้วแต่บริเวณการรักษา
                  • หลังการรักษาด้วยโปรแกรม Fix Lift Body ยกกระชับผิว เสร็จเรียบร้อย เจ้าหน้าที่จะทำความสะอาดผิว และทาครีมบำรุงผิว เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นและลดการระคายเคือง และแพทย์จะทำการให้คำแนะนำวิธีดูแลตัวเองหลังการทำโปรแกรม Fix Lift Body ยกกระชับผิว
                  • หลังทำ โปรแกรม Fix Lift Body ยกกระชับผิว เสร็จแล้วควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับแสงแดดโดยตรงในช่วง 1-2 วันแรก หมั่นทาครีมกันแดดเพื่อปกป้องผิวจากแสงแดด และป้องกันผิวจากการระคายเคือง

                   

                  หลังทำโปรแกรม Fix Lift Body ต้องดูแลตัวเองยังไง

                  • หลังทำโปรแกรม Fix Lift Body ควรหลีกเลี่ยงการโดนน้ำบริเวณผิวที่ทำ 24 ชั่วโมง
                  • หลังทำโปรแกรม Fix Lift Body ควรบำรุงผิวด้วยครีมที่มีความชุ่มชื้นสูง เช่น ปิโตรเลียมเจล (Healing Ointment) หรือขี้ผึ้งปฏิชีวนะ เพื่อช่วยเคลือบผิวคงความชุ่มชื้นหลังทำประมาณ 1-3 วัน 
                  • หลังทำโปรแกรม Fix Lift Body หากผิวมีการปิดสะเก็ดบาง ๆ แล้วนั้น สามารถทาครีมบำรุงผิวที่มีมอยเจอร์ไรเซอร์ เพื่อช่วยเติมความชุ่มชื้นให้ผิว และลดการระคายเคือง
                  • หลังทำโปรแกรม Fix Lift Body ประมาณ 1-3 สัปดาห์ ผิวบริเวณที่ทำจะมีสะเก็ดที่หลุดออกมา ไม่ควรแคะ แกะ หรือเกา บริเวณผิว และควรปล่อยให้สะเก็ดนั้นหลุดไปเองตามธรรมชาติ
                  • หลังทำโปรแกรม Fix Lift Body ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดดจัด และหมั่นทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 PA+++ ขึ้นไปอย่างสม่ำเสมอก่อนออกแดด

                  โปรแกรม Fix Lift Body อยู่ได้นานเท่าไหร่

                  หลังทำโปรแกรม Fix Lift Body จะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงได้การทำการรักษาครั้งแรก โดยผลลัพธ์หลังทำโปรแกรม Fix Lift Body จะอยู่ได้นานถึง 6 เดือน – 1 ปี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองของแต่ละบุคคล หากต้องการผลลัพธ์ที่ต่อเนื่อง ควรดูแลตัวเองตามคำแนะนำของแพทย์ 

                   

                  เซลลูไลท์ หรือ ผิวเปลือกส้ม คืออะไร ?

                  เซลลูไลท์ (Cellulite) หรือ ผิวเปลือกส้ม คือ ไขมันสะสมที่อยู่ใต้ผิวหนังชั้นตื้น โดยจะมีลักษณะขรุขระ ผิวเป็นคลื่น หรือมีรอยบุ๋มที่ผิว ทำให้ผิวของเรานั้นไม่ดูไม่เรียบเนียน ซึ่งเซลลูไลท์นั้นมักจะเกิดขึ้นในบริเวณได้หลายบริเวณ เช่น ต้นแขน ต้นขา หน้าท้อง ก้น หรือสะโพก และมักจะเกิดในผู้หญิงมากกว่ามากผู้ชาย ซึ่งเซลลูไลท์สามารถมองเห็นได้ง่าย ๆ เมื่อเกิดการจับ บีบ หรือการนั่ง

                   

                  เซลลูไลท์ เกิดจากอะไร ?
                  เซลลูไลท์ เกิดจากอะไร ?

                   

                  เซลลูไลท์ เกิดจากอะไร ?

                  หลาย ๆ คนอาจจะสงสัยว่าเซลลูไลท์เกิดขึ้นได้อย่างไร ? การเกิดเซลลูไลท์ หรือ ผิวเปลือกส้ม เป็นการสะสมของไขมันใต้ชั้นผิวหนังชั้นตื้นที่จับตัวกันเป็นก้อนในปริมาณที่มากเกินไป โดยส่วนมากจะอยู่ในบริเวณที่มีการไหลเวียนเลือดหรือน้ำเหลืองไม่ดี ทำให้เกิดผิวที่ขรุขระ มีคลื่น ผิวดูไม่เรียบ 

                  นอกจากนี้ยังมีหลายสาเหตุที่ทำให้เกิดเซลลูไลท์ เช่น 

                  • กรรมพันธุ์
                  • ฮอร์โมนที่ผิดปกติในร่างกาย
                  • ระบบเผาผลาญที่ทำงานไม่ดี
                  • การรับประทานอาหารที่มีไขมัน และมีน้ำตาลสูง
                  • การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และการสูบบุหรี่
                  • การลดน้ำหนักผิดวิธี
                  • การดื่มน้ำน้อย
                  • ความเครียด
                  • การไม่ออกกำลังกาย
                  • โรคอ้วน หรือมีปริมาณไขมันในร่างกายสูง
                  • การตั้งครรภ์ หรือเมื่อถึงวัยหมดประจำเดือน

                   

                  เซลลูไลท์ นั้นเป็นการสะสมไขมันส่วนเกินที่ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย แต่อาจจะสร้างความไม่มั่นใจให้กับหลาย ๆ คนได้ เนื่องจากผิวหนังจะไม่เรียบเนียน มีลักษณะเป็นคลื่น ผิวขรุขระ ซึ่งเซลลูไลท์สามารถกำจัดได้ด้วยหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็น การปรับพฤติกรรมการกิน ออกกำลังกาย ดูแลตัวเอง การดูดไขมัน หรือการใช้โปรแกรม Fix Lift Body ทางเลือกช่วยลดไขมัน ลดการเกิดเซลลูไลท์ กระชับสัดส่วน

                   

                  โปรแกรม Fix Lift Body ทำแล้วเจ็บไหม

                  ทำโปรแกรม Fix Lift Body แล้วเจ็บไหม? แพทย์จะทำการปรับค่าพลังงานให้เหมาะสำหรับผิวของแต่ละบุคคล โดยจะมีความรู้สึกอุ่น ๆ ระหว่างทำ และก่อนเริ่มทำจะมีการทายาชาเฉพาะที่ที่จะช่วยลดความเจ็บปวด ขณะทำโปรแกรม Fix Lift Body ยกกระชับผิว โดยจะรอให้ยาชาออกฤทธิ์ประมาณ 1.5 – 2 ชั่วโมง ก่อนเริ่มทำ เพื่อให้ผู้เข้ารับบริการรู้สึกสบายผิวขณะทำหัตถการ

                   

                  โปรแกรม Fix Lift Body ควรทำกี่ครั้งดี
                  โปรแกรม Fix Lift Body ควรทำกี่ครั้งดี

                   

                  โปรแกรม Fix Lift Body  ควรทำกี่ครั้งดี

                  โปรแกรม Fix Lift Body ควรทำกี่ครั้ง? ทำบ่อยไหม? คำถามที่หลาย ๆ คนต่างสงสัย ซึ่งการยกกระชับผิวด้วยโปรแกรม Fix Lift Body เป็นเทคโนโลยีที่ไม่อันตรายต่อร่างกาย จึงสามารถทำซ้ำได้ การยกกระชับด้วยโปรแกรม Fix Lift Body สามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ตั้งแต่ครั้งแรก และอยู่ได้นานถึง 6 เดือน – 1 ปี แต่เพื่อผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพนั้น สามารถทำซ้ำได้ แนะนำให้ทำโปรแกรม Fix Lift Body ประมาณ 3 ครั้ง โดยควรเว้นระยะห่างประมาณ 4-6 สัปดาห์ โดยจะขึ้นอยู่กับคำแนะนำของแพทย์ และปัญหาของแต่ละบุคคล 

                   

                  โปรแกรม Fix Lift Body ได้ผลจริงไหม 

                  โปรแกรม Fix Lift Body เป็นการยกกระชับผิวให้แน่นเฟิร์ม ช่วยลดเซลลูไลท์ ลดเลือนริ้วรอย และลดไขมัน ซึ่งเป็นการใช้คลื่นความถี่วิทยุ หรือ RF ที่สามารถปล่อยพลังงานเข้าถึงชั้นผิวได้ลึกหลายชั้น และมีความไม่อันตรายต่อผิว และโปรแกรม Fix Lift Body ยกกระชับผิว ผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยาของประเทศสหรัฐอเมริกา (FDA) และยังมีงานวิจัยรองรับหลายฉบับ

                   

                  โปรแกรม Fix Lift Body ถือเป็นทางลัดที่หลาย ๆ คนต่างไว้ใจ เพราะสามารถช่วยลดไขมัน กระชับสัดส่วนร่างกาย และช่วยลดเซลลูไลท์ ผิวเปลือกส้มได้ และ โปรแกรม Fix Lift Body ยกกระชับผิว ยังช่วยแก้ปัญหาผิว ดูแลรูปร่างได้แบบไม่อันตรายต่อผิว เนื่องจากใช้คลื่นความถี่วิทยุที่มีความเสถียรสูง ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น สำหรับใครที่สนใจสามารถเข้ามาสอบถามเกี่ยวกับ โปรแกรม Fix Lift Body ได้ที่รมย์รวินท์คลินิกทุกสาขา 

                  NU Pico mla และ Fractional Laser ต่างกันยังไง เลเซอร์หลุมสิวแบบไหน เหมาะกับเรา ?

                  รักษาหลุมสิว

                  NU Pico mla และ Fractional Laser ต่างกันยังไง เลเซอร์หลุมสิวแบบไหน เหมาะกับเรา ?

                  ปัญหา “หลุมสิว” เป็นปัญหาที่สร้างความกังวลใจให้หลายคน การรักษาหลุมสิวจึงเป็นที่ต้องการอย่างมากในปัจจุบัน ทำให้มีตัวเลือกในการรักษาหลุมสิวมากมาย ซึ่งวิธีที่ได้รับความนิยมมาก คือการรักษาหลุมสิวด้วยการทำเลเซอร์ ที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะเทคโนโลยี NU Pico MLA และ Fractional Laser

                   

                  วันนี้รมย์รวินท์จะพาไปเจาะลึกถึงความแตกต่างระหว่าง NU Pico MLA และ Fractional Laser สองเทคโนโลยีรักษาหลุมสิวยอดฮิต ว่าทั้งสองเทคโนโลยีนี้ มีความแตกต่างกันอย่างไร ทั้งการทำงาน ผลลัพธ์ ระยะเวลาในการรักษาและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น เพื่อประกอบการตัดสินใจ ว่าเราเหมาะกับการทำโปรแกรมรักษาหลุมสิวแบบไหนกันนะ ? 

                   

                  หลุมสิวเกิดจากอะไร ? 

                  หลุมสิว (Acne Scars) เกิดจากการที่ผิวหนังไม่สามารถฟื้นฟูให้กลับมาสมบรูณ์หลังจากเกิดปัญหาผิวได้ ทำให้เกิดเป็นรอยบุ๋มหรือหลุมบนผิวหน้า ซึ่งปัจจัยที่ทำให้เกิดปัญหาหลุมสิวได้ ดังนี้

                    • การที่ผิวไม่สมานแผลได้สมบรูณ์ 
                    • การอักเสบรุนแรงของสิว ทำให้เนื้อเยื่อคอลลาเจน และอิลาสตินในผิวถูกทำลาย
                    • การบีบ หรือกดสิวที่ไม่เหมาะสม
                    • พันธุกรรมที่ส่งต่อจากโครงสร้างผิว และความสามารถในการฟื้นฟูได้
                  • การล้างหน้าแรงเกินไป หรือการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ระคายเคือง

                   

                  ทำไมต้องรักษาหลุมสิว ?

                  การรักษาหลุมสิวมีความสำคัญมากในหลายด้านทั้งด้านความงามและสุขภาพ  ซึ่งการรักษาหลุมสิวจะช่วยป้องกันไม่ให้หลุมสิวลุกลาม และกลายเป็นปัญหาผิวที่ซับซ้อนมากขึ้น อีกทั้งการรักษาหลุมสิวยังมีความสำคัญอีกหลายประการ ดังนี้ 

                   

                  • การรักษาหลุมสิวช่วยในการป้องกันการเกิดปัญหาผิวเพิ่ม 
                  • การรักษาหลุมสิวช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดสิวในอนาคต
                  • การรักษาหลุมสิวทำให้ผิวเรียบเนียน
                  • การรักษาหลุมสิวช่วยส่งเสริมการผลัดเซลล์ผิวใหม่ ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์
                  • การปล่อยให้เป็นหลุมสิวนาน ๆ อาจทำให้โครงสร้างผิวเสียหายถาวร ซึ่งจะทำให้การรักษาภายหลังจะทำได้ยาก และมีค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น
                  • การรักษาหลุมสิวช่วยเพิ่มความมั่นใจ ลดความกังวลเกี่ยวกับปัญหาผิวได้
                  • เพื่อสุขภาพผิวในระยะยาว การรักษาหลุมสิวจะช่วยในการฟื้นฟุโครงสร้างผิว ทำให้ผิวแข็งแรงขึ้น

                   

                  การรักษาหลุมสิวมีประโยชน์ในหลายด้าน ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องความงาม แต่เป็นการทำเพื่อสุขภาพผิวด้วย โดยการเลือกวิธีการรักษาหลุมสิวที่เหมาะสมตั้งแต่เป็นหลุมสิวระยะเริ่มต้น จะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น

                   

                  วิธีรักษาหลุมสิว

                  วิธีรักษาหลุมสิวเป็นขั้นตอนที่ควรให้ความใส่ใจ และควรเลือกวิธีการรักษาหลุมสิวให้เหมาะสมของประเภทหลุมสิวและสภาพผิวของแต่ละคน โดยการรักษาหลุมสิวสามารถทำได้ด้วยวิธีทางการแพทย์ และการรักษาหลุมสิวด้วยตัวเองเบื้องต้น ดังนี้

                  • การรักษาหลุมสิวเบื้องต้นด้วยตัวเอง 

                  วิธีการนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีหลุมสิวตื้น และเหมาะสำหรับผู้ที่ทำควบคู่กับการรักษาหลุมสิวทางการแพทย์ โดยสามารถทำได้ด้วยวิธี ดังต่อไปนี้

                  • การรักษาหลุมสิวด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยฟื้นฟูผิว
                  • การรักษาหลุมสิวด้วยการสครับและมาส์กหน้า
                  • การรักษาหลุมสิวด้วยการปกป้องผิวจากแสงแดด
                  • การรักษาหลุมสิวด้วย การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์

                   

                  • การรักษาหลุมสิวด้วยวิธีการทางแพทย์

                  วิธีการรักษาหลุมสิวด้วยวิธีการทางการแพทย์ เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นหลุมสิวทุกประเภท และเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์การรักษาหลุมสิวที่ชัดเจน รวดเร็ว โดยการรักษาหลุมสิวด้วยวิธีการทางการแพทย์สามารถทำได้หลายวิธี ดังนี้

                  • การรักษาหลุมสิวด้วยการทำเลเซอร์
                  • การรักษาหลุมสิวด้วยการฉีดสารเติมเต็ม
                  • การรักษาหลุมสิวด้วยการทำ HIFU
                  • การรักษาหลุมสิวด้วยการทำ Microneedling

                   

                  การรักษาหลุมสิวสามารถทำได้หลายวิธี แต่หนึ่งในวิธีที่เป็นที่นิยมมากในปัจจุบันคือการรักษาหลุมสิวด้วยการทำเลเซอร์รักษาหลุมสิว เพราะเป็นวิธีการรักษาหลุมสิวที่เห็นผลลัพธ์หลังการรักษาที่ชัดเจน และรวดเร็ว โดยเลเซอร์รักษาหลุมสิวที่ได้รับความนิยมมากในการรักษาหลุมสิวคือ NU Pico MLA และ Fractional Laser 

                   

                  NU Pico MLA  

                  NU Pico MLA เป็นเลเซอร์รักษาหลุมสิวที่ทำงานด้วยเครื่อง Pico Laser  ผ่านเลนส์พิเศษที่มีชื่อว่า Microlens Array หรือเรียกสั้น ๆ ว่า เลนส์ MLA ซึ่งเครื่องเลเซอร์รักษาหลุมสิว NU Pico MLA นี้ จะยิงเลเซอร์ที่มีประสิทธิภาพสูงด้วยระยะเวลาสั้น ๆ ระดับ Picosecond เข้าสู่ผิวหนังอย่างแม่นยำ และไม่ทำลายเนื้อเยื่อโดยรอบ 

                   

                  โดยการทำงานหลักของเครื่องเลเซอร์รักษาหลุมสิว NU Pico MLA จะทำงานด้วยการไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ ทำให้สามารถรักษาหลุมสิวได้ถึงราก และยังสามารถรักษาปัญหาผิวได้อีกหลายอย่าง

                   

                  จุดเด่นของ NU Pico MLA 

                  เลเซอร์รักษาหลุมสิว NU Pico MLA มีจุดเด่นหลายประการที่ทำให้เครื่องเลเซอร์นี้โดดเด่นมากกว่าการรักษาหลุมสิวด้วยเลเซอร์อื่น ๆ โดยจุดเด่นของเลเซอร์ NU Pico MLA  มีดังนี้

                  • เลเซอร์รักษาหลุมสิว NU Pico MLA สามารถรักษาหลุมสิวได้ทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นหลุมสิวแบบลึกหรือหลุมสิวแบบตื้น 
                  • เลเซอร์รักษาหลุมสิว NU Pico MLA ใช้พลังงานเลเซอร์แบบ PicoSecond ที่มีความแม่นยำสูง ในการช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และอีลาสตินใหม่
                  • เลเซอร์รักษาหลุมสิว NU Pico MLA ฟื้นฟูผิวได้หลายระดับชั้น ทั้งชั้นหนังกำพร้าและชั้นหนังแท้
                  • เลเซอร์รักษาหลุมสิว NU Pico MLA สามารถแก้ปัญหาผิวได้หลากหลาย
                  • เลเซอร์รักษาหลุมสิว NU Pico MLA ช่วยฟื้นฟูโครงสร้างผิวและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในระยะยาว
                  • เลเซอร์รักษาหลุมสิว NU Pico MLA สามารถทำกับการรักษาหลุมสิววิธีอื่น ๆ ด้วยได้

                   

                  Fractional Laser คืออะไร ?

                  เลเซอร์รักษาหลุมสิว Fractional Laser เป็นเลเซอร์ที่มีจุดเด่นในการรักษาหลุมสิว และสามารถแก้ปัญหาผิวได้อย่างหลากหลายในระดับที่ลงลึก ด้วยการปล่อยพลังงานเลเซอร์เป็นจุดเล็ก ๆ เพื่อสร้างความร้อนบนชั้นผิวหนัง ทำให้เกิดการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ในผิวหนัง ช่วยในการซ่อมแซมเซลล์ผิวที่เสียหายและการรักษาหลุมสิว ทำให้หลุมสิวตื้นขึ้นได้แม้กระทั่งหลุมสิวที่มีความลึกและกว้าง

                   

                  จุดเด่นของ Fractional Laser

                  เลเซอร์รักษาหลุมสิว Fractional Laser มีจุดเด่นที่ทำให้ Fractional Laser ต่างจากเลเซอร์รักษาหลุมสิวอื่น ๆ หลายอย่าง โดยเฉพาะในด้านการรักษาหลุมสิวที่มีประสิทธิภาพ และการใช้เทคโนโลยีที่สามารถช่วยแก้ปัญหาผิวแบบเจาะจงได้ นอกจากการการรักษาหลุมสิวแล้ว  Fractional Laser ยังมีจุดเด่นอื่น ๆ อีกมากมาย ดังนี้

                  • เลเซอร์รักษาหลุมสิว Fractional Laser มีจุดเด่นในการฟื้นฟูผิวลึกถึงชั้นใต้ผิว 
                  • เลเซอร์รักษาหลุมสิว Fractional Laser มีจุดเด่นในการแก้ไขปัญหาผิวได้อย่างหลากหลายหลังจากการทำครั้งเดียว โดยสามารถแก้ไขปัญหาผิวได้อย่างครอบคลุม 
                  • เลเซอร์รักษาหลุมสิว Fractional Laser มีจุดเด่นในการปรับระดับความเข้มของพลังงานให้เหมาะกับปัญหาที่ต้องการแก้ไขและสภาพผิวของแต่ละบุคคลได้
                  • เลเซอร์รักษาหลุมสิว Fractional Laser มีเทคโนโลยีในการปล่อยพลังงาน
                  • เลเซอร์รักษาหลุมสิว Fractional Laser มีจุดเด่นในการเป็นจุดเล็ก ๆ เฉพาะบริเวณที่มีปัญหา โดยไม่ทำลายผิวที่ดีโดยรอบ

                   

                  NU Pico MLA กับ Fractional Laser ต่างกันยังไงในด้านการทำงาน
                  NU Pico MLA กับ Fractional Laser ต่างกันยังไงในด้านการทำงาน

                   

                  NU Pico MLA กับ Fractional Laser ต่างกันยังไงในด้านการทำงาน

                  แม้ทั้งสองเทคโนโลยีเลเซอร์รักษาหลุมสิวนี้จะช่วยในการรักษาหลุมสิวได้เป็นอย่างดี แต่ทั้ง NU Pico MLA และ Fractional Laser มีการทำงานที่แตกต่างกันออกไป โดย NU Pico MLA และ Fractional Laser  มีหลักการทำงานหลัก ๆ ที่แตกต่างกัน ดังนี้ 

                   

                  • เลเซอร์รักษาหลุมสิว NU Pico MLA ทำงานโดยการปล่อยพลังงานเลเซอร์ในระดับ Picosecond ผ่านเลนส์ Microlens Array MLA ที่จะกระจายแสงออกเป็นจุดเล็กๆ จำนวนมากลงใต้ผิวหนัง ทำให้เกิดการสั่นสะเทือนของโมเลกุลในผิวหนัง โดยพลังงานที่ปล่อยออกมานั้นจะไม่กระทบเนื้อเยื่อรอบข้าง ทำให้คอลลาเจนและอีลาสติน ถูกกระตุ้นและเกิดการสร้างใหม่ 

                   

                  • เลเซอร์รักษาหลุมสิว Fractional Laser ทำงานโดยการใช้พลังงานเลเซอร์ในระดับ Microsecond ในการยิงลำแสงเลเซอร์ลงบนผิวหนังเป็นจุดเล็กๆ หลายจุดทั่วบริเวณผิว ทำให้เกิดความร้อนในบริเวณที่ถูกเลเซอร์ยิง ซึ่งจะกระตุ้นให้ร่างกายเร่งซ่อมแซมตัวเอง โดยการสร้างคอลลาเจนและเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาทดแทนส่วนที่ถูกทำลาย อีกทั้ง Fractional Laser ยังสามารถปล่อยพลังงานเจาะลึกได้ถึงชั้นโครงสร้างผิว จึงช่วยซ่อมแซม และกระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ในระยะยาว

                   

                  NU Pico MLA กับ Fractional Laser แต่ละโปรแกรมเหมาะกับหลุมสิวแบบใดบ้าง ?
                  NU Pico MLA กับ Fractional Laser แต่ละโปรแกรมเหมาะกับหลุมสิวแบบใดบ้าง ?

                   

                  NU Pico MLA  กับ Fractional Laser แต่ละโปรแกรมเหมาะกับหลุมสิวแบบใดบ้าง ?

                  NU Pico MLA และ Fractional Laser เป็นเลเซอร์ที่สามารถรักษาหลุมสิวได้เป็นอย่างดี แต่ทั้งสองเลเซอร์นี้ก็มีความแตกต่างกันอยู่ ในด้านของการทำงานและการแก้ไขปัญหาผิวอื่น ๆ ทำให้ NU Pico MLA และ Fractional Laser เหมาะสมกับบุคคลที่แตกต่างกันออกไป ดังนี้ 

                   

                  • เลเซอร์รักษาหลุมสิว NU Pico MLA เหมาะสำหรับผู้ที่มีหลุมสิวตื้นถึงปานกลาง มีปัญหาผิวที่ไม่ลึกมาก และเหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวบอบบาง รวมถึงเหมาะกับผู้ที่ต้องการการรักษาหลุมสิวแบบแม่นยำ เห็นผลลัพธ์การทำตั้งแต่ครั้งแรก และต้องการผลลัพธ์หลังทำที่รวดเร็ว เจ็บน้อย ไม่ต้องพัก


                  • เลเซอร์รักษาหลุมสิว  Fractional Laser เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาหลุมสิวลึก หรือผู้ที่ต้องการกระตุ้นคอลลาเจนและการฟื้นฟูผิวในระดับลึกกว่า  เพราะเป็นเทคโนโลยีที่สามารถกระตุ้นคอลลาเจนในผิวได้ลึกกว่า และสามารถแก้ปัญหาผิวได้ยาวนานกว่า โดยมักต้องทำหลายครั้งในผู้ที่ต้องการรักษาหลุมสิวระดับลึก เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี รวมถึงการทำ Fractional Laser ต้องใช้เวลาพักฟื้นหลังการทำเลเซอร์

                   

                  NU Pico MLA กับ Fractional Laser ต่างกันยังไงในการให้ผลลัพธ์
                  NU Pico MLA กับ Fractional Laser ต่างกันยังไงในการให้ผลลัพธ์

                   

                  NU Pico MLA  กับ Fractional Laser ต่างกันยังไงในการให้ผลลัพธ์ 

                  แม้ผลลัพธ์ของ NU Pico MLA และ Fractional Laser จะมีความเหมือนกันในด้านของการรักษาหลุมสิวที่มีประสิทธิภาพ แต่ NU Pico MLA และ Fractional Laser ก็มีความแตกต่างกันในด้านผลลัพธ์การแก้ไขปัญหาผิว ตามการทำงานของเลเซอร์ โดย NU Pico MLA และ Fractional Laser มีความแตกต่างกันด้านผลลัพธ์ ดังนี้

                   

                  1. เลเซอร์รักษาหลุมสิว NU Pico MLA เป็นเลเซอร์รักษาหลุมสิวที่ให้ผลลัพธ์ในการรักษาที่มีความแม่นยำ และสามารถแก้ไขปัญหาผิวเฉพาะจุดได้ดี โดยหลังการทำ NU Pico MLA หลุมสิวจะตื้นขึ้น รอยดำ รอยแดงจะจางลง และจะผิวเรียบเนียนขึ้น ซึ่งในหลายบุคคลสามารถเห็นผลลัพธ์ที่ดีขึ้นได้หลังการทำ 1-2 ตั้งแต่ครั้งแรก ซึ่ง NU Pico MLA ให้ผลลัพธ์ได้ดีกับรักษาหลุมสิวที่ตื้น แผลเป็นที่ไม่ลึกมาก และผู้ที่ผิวมีรอยดำ รอยแดง

                   

                  1. เลเซอร์รักษาหลุมสิว  Fractional Laser เป็นเลเซอร์รักษาหลุมสิวที่ให้ผลลัพธ์ได้ดีกับผู้ที่เป็นหลุมสิวลึก รอยแผลเป็นขนาดใหญ่ หรือผิวที่มีปัญหาสะสม เช่น รูขุมขนกว้างและผิวไม่เรียบเนียน เนื่องจากมีการทำงานที่ส่งพลังงานไปยังผิวชั้นลึก ทำให้เกิดการกระตุ้นคอลลาเจนได้ในระดับลึกกว่า NU Pico MLA แม้การรักษาหลุมสิวด้วย Fractional Laser จะต้องการเวลาพักฟื้นและต้องทำหลายครั้ง แต่จะให้ผลลัพธ์ในระยะยาว และเห็นความเปลี่ยนแปลงของผิวอย่างชัดเจน

                   

                  NU Pico MLA กับ Fractional Laser เหมาะสำหรับการรักษาปัญหาผิวแบบใด ?
                  NU Pico MLA กับ Fractional Laser เหมาะสำหรับการรักษาปัญหาผิวแบบใด ?

                   

                  NU Pico MLA  กับ Fractional Laser เหมาะสำหรับการรักษาปัญหาผิวแบบใด ?

                  เลเซอร์รักษาหลุมสิว NU Pico MLA และ Fractional Laser เป็นเลเซอร์ที่มีประสิทธิภาพในด้านของการรักษาหลุมสิว และแก้ไขปัญหาผิวต่าง ๆ ที่แตกต่างกันออกไป โดยเลเซอร์รักษาหลุมสิว NU Pico MLA และ Fractional Laser มีประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาผิวที่แตกต่างกัน ดังนี้ 

                   

                  1.เลเซอร์รักษาหลุมสิว NU Pico MLA สามารถช่วยแก้ไขปัญหาผิวได้หลากหลายด้วยความแม่นยำสูงของพลังงานเลเซอร์ โดย NU Pico MLA สามารถแก้ไขปัญหาผิวทั้งหมดได้ ดังนี้ 

                  • เลเซอร์รักษาหลุมสิว NU Pico MLA  เหมาะสำหรับการเติมเต็มหลุมสิวและลดความลึกของหลุมสิวแบบตื้น 
                  • เลเซอร์รักษาหลุมสิว NU Pico MLA เหมาะสำหรับการลดรอยดำ รอยแดงจากสิว
                  • เลเซอร์รักษาหลุมสิว NU Pico MLA เหมาะสำหรับการลดฝ้า กระ จุดด่างดำ
                  • เลเซอร์รักษาหลุมสิว NU Pico MLA เหมาะสำหรับการกระชับรูขุมขนให้เล็กลง
                  • เลเซอร์รักษาหลุมสิว NU Pico MLA เหมาะสำหรับการปรับสีผิวให้กระจ่างใส 
                  • เลเซอร์รักษาหลุมสิว NU Pico MLA เหมาะสำหรับการลดริ้วรอยเล็ก ๆ 

                   

                  2.เลเซอร์รักษาหลุมสิว Fractional Laser เป็นเลเซอร์ที่สามารถฟื้นฟูและปรับสภาพผิวได้อย่างล้ำลึก โดย Fractional Laser สามารถรักษาปัญหาผิวต่าง ๆ ได้ ดังนี้

                  • เลเซอร์รักษาหลุมสิว Fractional Laser เหมาะสำหรับการเติมเต็มหลุมสิวลึกได้เป็นอย่างดี
                  • เลเซอร์รักษาหลุมสิว Fractional Laser เหมาะสำหรับการรักษารอยแผลเป็น
                  • เลเซอร์รักษาหลุมสิว Fractional Laser เหมาะสำหรับการแก้ปัญหาริ้วรอยและร่องลึกได้ดี
                  • เลเซอร์รักษาหลุมสิว Fractional Laser เหมาะสำหรับการกระชับรูขุมขนและการปรับผิวให้เรียบเนียน
                  • เลเซอร์รักษาหลุมสิว Fractional Laser เหมาะสำหรับการฟื้นฟูผิวที่ทำลายจากแสงแดด

                   

                  สรุปแล้วทั้งเลเซอร์รักษาหลุมสิว NU Pico MLA และ Fractional Laser สามารถแก้ปัญหาผิวได้อย่างหลากหลายทั้งคู่ เพียงแต่เลเซอร์รักษาหลุมสิว Fractional Laser จะสามารถรักษาหลุมสิวและแก้ปัญหาผิวในระดับลึกได้ดี ในขณะที่เลเซอร์รักษาหลุมสิว NU Pico MLA จะเด่นในเรื่องของการแก้ปัญหาผิวแบบเจาะจงที่จุดปัญหาได้ดี 

                   

                  ความรู้สึกระหว่างการทำ NU Pico MLA  กับ Fractional Laser   

                  ความแตกต่างระหว่าง NU Pico MLA และ Fractional Laser ในด้านความรู้สึกระหว่างการทำนั้น แตกต่างกันได้อย่างชัดเจน จากการปล่อยพลังงานเลเซอร์รักษาหลุมสิวที่แตกต่างกัน โดยความแตกต่างระหว่าง NU Pico MLA และ Fractional Laser มีดังนี้

                  • เลเซอร์รักษาหลุมสิว NU Pico MLA จะให้ความรู้สึกเหมือนโดนดีดผิวเบา ๆ ระหว่างการทำ โดยระหว่างการทำจะมีอาการเจ็บเพียงเล็กน้อย หรือแทบไม่เจ็บเลยในบางคน ซึ่งความรู้สึกจะแตกต่างกันได้ขึ้นอยู่กับระดับพลังงานและความหนาของชั้นผิว โดยส่วนมากระหว่างการทำจะเจ็บน้อยกว่า เนื่องจาก NU Pico MLA ใช้พลังงานที่แม่นยำ และใช้ช่วงเวลาปล่อยพลังงานที่สั้นมาก


                  • เลเซอร์รักษาหลุมสิว  Fractional Laser จะให้ความรู้สึกระหว่างทำเหมือนโดนเข็มเล็ก ๆ จิ้มทั่วบริเวณที่ทำการรักษา หรือในบางคนอาจจะรู้สึกเหมือนผิวโดนความร้อน ซึ่งระดับความเจ็บขึ้นอยู่กับพลังงานที่ใช้และปัญหาผิวที่ต้องการการรักษา โดยในการทำ Fractional Laser เพื่อรักษาหลุมสิว อาจต้องใช้พลังงานที่สูงขึ้น ทำให้อาจจะมีความรู้สึกเจ็บมากขึ้นได้ในบางบุคคล แต่ทั้งนี้ก่อนการทำการรักษาแพทย์มักจะทายาบนผิวบริเวณที่ทำ ก่อนการทำ Fractional Laser  เพื่อลดความเจ็บระหว่างการทำ

                   

                  ระยะเวลาในการรักษาระหว่าง NU Pico MLA กับ Fractional Laser
                  ระยะเวลาในการรักษาระหว่าง NU Pico MLA กับ Fractional Laser

                   

                  ระยะเวลาในการรักษาระหว่าง NU Pico MLA กับ Fractional Laser

                  • เลเซอร์รักษาหลุมสิว NU Pico MLA ใช้ระยะเวลาในการทำต่อครั้งอยู่ประมาณ 10-30 นาทีต่อครั้ง รวมทายาชาแล้วไม่เกิน 90 นาทีต่อครั้ง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาดพื้นที่ที่รักษา และเพื่อผลลัพธ์ที่ดี อาจต้องทำซ้ำ 2-4 ครั้ง โดยเว้นระยะห่างประมาณ 2-4 สัปดาห์ต่อครั้ง


                  • เลเซอร์รักษาหลุมสิว  Fractional Laser ใช้เวลาในการทำต่อครั้ง 30-60 นาที ขึ้นอยู่กับความลึกและขนาดพื้นที่การรักษา และก่อนทำมักต้องทายาชาก่อนทำประมาณ 30-45 นาที สำหรับผู้ที่มีปัญหาหลุมสิวลึก หรือปัญหาผิวที่รุนแรง อาจต้องทำซ้ำ 2-5 ครั้ง โดยเว้นระยะห่างระหว่างการทำ 4-6 สัปดาห์ ต่อครั้ง เพื่อมีเวลาให้ผิวฟื้นฟู และสร้างเซลล์ใหม่

                   

                  NU Pico MLA กับ Fractional Laser ต้องใช้เวลาพักฟื้นนานแค่ไหน ?

                  • เลเซอร์รักษาหลุมสิว NU Pico MLA หลังการทำแทบไม่ต้องพักฟื้นเลย เนื่องจากโอกาสเกิดผลข้างเคียงน้อยมาก โดนในบางบุคคลอาจมีรอยแดงเล็กน้อยหรือความอุ่นบนผิว ซึ่งจะหายไปภายในไม่นาน ซึ่งหลังการรักษาหลุมสิวด้วย NU Pico MLA จะไม่มีแผล ไม่มีสะเก็ด หรือการลอกของผิวเลย แต่อาจเกิดผิวแห้งได้เล็กน้อยในบางบุคคล แต่เป็นเพียงระยะเวลาสั้นก็จะหายเอง


                  • เลเซอร์รักษาหลุมสิว  Fractional Laser อาจต้องใช้ระยะเวลาพักฟื้นหลังการทำ เนื่องจากมีกระบวนการในการผลัดเซลล์ผิว โดยเฉลี่ยแล้วอาจต้องใช้ระยะเวลาการพักฟื้นประมาณ 5-7 วัน ขึ้นอยู่กับระดับพลังงานที่ใช้และสภาพผิวของแต่ละบุคคล  ซึ่งในช่วง 1-3 วันแรกหลังการทำ Fractional Laser ผิวจะมีรอยแดงหรือบวม หลังจากนั้นจะเกิดสะเก็ดเล็ก ๆ  และผิวที่เกิดสะเก็ดจะเริ่มลอกในช่วง 3-7 วันหลัง Fractional Laser จึงเหมาะกับผู้ที่มีเวลาในการพักฟื้นได้ และต้องการผลลัพธ์การฟื้นฟูผิวระดับลึก

                   

                  NU Pico MLA  กับ Fractional Laser มีโอกาสในการเกิดผลข้างเคียงใดได้บ้าง ?

                  ผลข้างเคียงระหว่างการทำ NU Pico MLA กับ Fractional Laser มีความแตกต่างกันจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นการทำงานของเลเซอร์และระดับพลังงาน โดยผลข้างเคียงหลังการทำของ NU Pico MLA กับ Fractional Laser มีความแตกต่างกัน ดังนี้

                   

                  1.เลเซอร์รักษาหลุมสิว NU Pico MLA  มีผลข้างเคียงหลังการทำที่น้อยมาก ซึ่งหลังการทำ NU Pico MLA อาจมีผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ ดังนี้

                  • ผลข้างเคียงหลังการทำ NU Pico MLA อาจเกิดรอยแดงหรือรู้สึกอุ่น ๆ บริเวณที่ทำเลเซอร์ได้ แต่อาการนี้จะหายได้เองภายใน 1-3 ชั่วโมง
                  • ผลข้างเคียงหลังการทำ NU Pico MLA ในบางบุคคลผิวอาจแห้งขึ้นเล็กน้อยหลังทำเลเซอร์เลเซอร์รักษาสิว แต่อาการนี้สามารถฟื้นฟูได้ด้วยการทามอยส์เจอไรเซอร์
                  • ผลข้างเคียงหลังการทำ NU Pico MLA ที่พบได้น้อยมาก ๆ  คือ การเป็นรอยแผลหรือการติดเชื้อ

                   

                  2.เลเซอร์รักษาหลุมสิว  Fractional Laser มีโอกาสในการเกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงมากกว่าการทำ แต่การรักษาหลุมสิวด้วย Fractional Laser เหมาะสำหรับปัญหาผิวและหลุมสิวที่ลึกกว่า แต่ต้องมีการดูแลหลังการทำที่ใกล้ชิด โดยผลข้างเคียงหลังการทำ Fractional Laser ที่อาจเกิดขึ้นได้ มีดังนี้

                  • ผลข้างเคียงหลังการทำ Fractional Laser ผิวอาจจะมีอาการแดงหรือบวมได้ในบริเวณที่รักษา แต่อาการทั้งหมดนี้จะค่อย ๆ ลดน้อยลงใน 1 – 3 วัน
                  • ผลข้างเคียงหลังการทำ Fractional Laser จะมีการผลัดเซลล์ผิว โดยผิวจะเริ่มมีสะเก็ดหรือรู้สึกแห้งตึงในช่วง 2 – 7 วันหลังทำ
                  • ผลข้างเคียงหลังการทำ Fractional Laser  อาจเกิดรอยดำชั่วคราวได้จากการอักเสบของผิว ซึ่งมักจะเกิดกับผู้ที่ผิวแพ้ง่ายหรือผู้ที่มีผิวเข้ม โดยรอยดำนี้จะจางหายได้เอง
                  • ผลข้างเคียงหลังการทำ Fractional Laser อาจเกิดการอักเสบได้ หากไม่ดูแลรักษาความสะอาดอย่างถูกต้องและเหมาะสม

                  สรุปได้ว่าทั้งสองเทคโนโลยีเลเซอร์รักษาหลุมสิว NU Pico MLA และ Fractional Laser เหมาะกับการรักษาหลุมสิวที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับระดับความลึกของหลุมสิวและสภาพผิวของแต่ละบุคคล รักษาหลุมสิว

                  โดย NU Pico MLA เหมาะกับการรักษาหลุมสิวขนาดเล็กและหลุมสิวตื้น ๆ สามารถทำได้ในผู้ที่มีผิวบอบบางและสามารถเห็นผลลัพธ์ได้รวดเร็วกว่า  ในขณะที่ Fractional Laser เหมาะกับผู้ที่มีหลุมสิวลึกและกว้าง ต้องการแก้ปัญหาผิวที่เจาะลึกถึงชั้นผิวแท้ อีกทั้งหลังการทำ Fractional Laser อาจมีการดูแลหลังการทำที่ซับซ้อนกว่า 

                  ดังนั้นสำหรับใครที่สนใจในการรักษาหลุมสิว ด้วยโปรแกรมเลเซอร์ NU Pico MLA หรือ Fractional Laser แนะนำว่าควรเข้าไปปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญอีกครั้งก่อนทำการรักษาหลุมสิว เพื่อประเมินสภาพผิวและหลุมสิวอย่างละเอียด และเพื่อให้ได้โปรแกรมที่เหมาะสมกับปัญหาผิว และการวางการรักษาที่เหมาะสม

                  เทคนิค Fast Moving ของ Oligio เพื่อผิวกระชับ

                  เทคนิค Fast Moving ของ Oligio ช่วยอะไร

                  ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




                    วันที่สะดวกในการติดต่อ








                    เทคนิค Fast Moving ของ Oligio เทคโนโลยีใหม่เพื่อผิวกระชับ

                    ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวล้ำไปข้างหน้า การดูแลและยกกระชับผิวหน้าก็ไม่ได้มีแค่การทำทรีตเมนต์แบบเดิม ๆ อีกต่อไป เทคโนโลยี Fast Moving ของ Oligio ได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงวงการความงาม ด้วยเทคโนโลยีที่ช่วยให้ผิวกระชับ ลดเลือนริ้วรอย และฟื้นฟูสภาพผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ แถมยังเห็นผลหลังทำเป็นอย่างดี

                    หากใครกำลังมองหาวิธีที่ไม่ต้องผ่าตัด แต่ได้ผลลัพธ์ที่น่าทึ่ง เทคโนโลยี Fast Moving ของโปรแกรม Oligio อาจเป็นคำตอบที่หลายคนกำลังตามหา ในบทความนี้ จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับเทคนิคที่กำลังได้รับความนิยมและผลลัพธ์ที่สามารถพิสูจน์ได้ พร้อมทั้งข้อดีและความน่าสนใจของเทคโนโลยีที่ไม่ควรพลาด

                    ทำความรู้จักโปรแกรม Oligio และเทคนิค Fast Moving ที่ทุกคนพูดถึง

                    ทำความรู้จักโปรแกรม Oligio และเทคนิค Fast Moving ที่ทุกคนพูดถึง
                    ทำความรู้จักโปรแกรม Oligio และเทคนิค Fast Moving ที่ทุกคนพูดถึง

                    โปรแกรม Oligio คืออะไร?

                    โปรแกรม Oligio เป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดในการยกกระชับผิวหน้าและฟื้นฟูผิวให้แลดูอ่อนเยาว์ โดยไม่ต้องผ่าตัดหรือฉีดสารเติมเต็มใด ๆ ถือเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายในวงการความงามปัจจุบัน

                    เทคโนโลยีนี้ทำงานผ่านพลังงานคลื่นวิทยุความถี่สูงแบบ Monopolar RF ซึ่งสามารถส่งผ่านพลังงานลงลึกสู่ชั้นผิวหนังแท้ (Dermis) ได้อย่างแม่นยำ พลังงานนี้จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ ซึ่งเป็นโครงสร้างสำคัญที่ช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่นและเต่งตึง

                    ผลลัพธ์จากการทำโปรแกรม Oligio คือ ผิวที่ดูกระชับขึ้น ริ้วรอยลดลง ผิวดูเรียบเนียน และมีความยืดหยุ่นมากขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่ต้องพักฟื้นและไม่ก่อให้เกิดบาดแผล อีกทั้งยังเหมาะกับทุกสภาพผิวและทุกช่วงวัย จึงเป็นตัวเลือกที่สมบูรณ์แบบสำหรับคนที่ต้องการยกกระชับผิวหน้าอย่างเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน

                    เทคนิค Fast Moving ของ Oligio คืออะไร?

                    เทคนิค Fast Moving เป็นเทคนิคใหม่ที่ใช้ร่วมกับโปรแกรม Oligio เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการยกกระชับผิวหน้า เทคนิคนี้มีจุดเด่นในการกระตุ้นการไหลเวียนของพลังงานในผิวหนังอย่างรวดเร็วและสม่ำเสมอ ทำให้ผิวได้รับการกระตุ้นจากคลื่นวิทยุอย่างมีประสิทธิภาพ โดยที่ไม่ทำเกิดอันตรายต่อผิวหน้า

                    หลักการของ Fasting Moving คือ การใช้โปรแกรม Oligio ส่งพลังงานคลื่นวิทยุไปยังชั้นผิวหนัง ในรูปแบบการกระจายพลังงานได้รวดเร็วและแม่นยำ การเคลื่อนไหวนี้ช่วยกระจายพลังงานอย่างสม่ำเสมอไปยังบริเวณที่ต้องการดูแล ส่งผลให้ผิวได้รับการกระตุ้นอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ผลลัพธ์ที่ได้คือผิวหน้าที่ดูยกกระชับ เต่งตึง ลดเลือนริ้วรอย พร้อมทั้งปรับโครงหน้าให้เรียวสวยโดยไม่ต้องใช้เวลาในการพักฟื้นนาน ถือเป็นเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์คนยุคใหม่ที่ต้องการผลลัพธ์รวดเร็ว

                    จุดเด่นของเทคนิค Fast Moving เทคโนโลยีเฉพาะตัวของโปรแกรม Oligio
                    จุดเด่นของเทคนิค Fast Moving เทคโนโลยีเฉพาะตัวของโปรแกรม Oligio

                    จุดเด่นของเทคนิค Fast Moving เทคโนโลยีเฉพาะตัวของโปรแกรม Oligio

                    เทคนิค Fast Moving เป็นเทคนิคพิเศษที่พัฒนาขึ้นมาเฉพาะสำหรับโปรแกรม Oligio ซึ่งออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดในการยกกระชับผิวหน้า เทคโนโลยีนี้ช่วยให้พลังงานคลื่นวิทยุถูกส่งเข้าสู่ชั้นผิวได้อย่างแม่นยำ โดยกระจายพลังงานได้รวดเร็วและสม่ำเสมอตลดการรักษา ลดความเสี่ยงจากความร้อนสะสส่งผลให้ได้ผลลัพธ์ที่เหนือกว่าวิธีการทั่วไป

                    • ลดความเจ็บปวดขณะรักษา (Minimize Pain)

                    โปรแกรม Oligio มาพร้อมระบบสั่นสะเทือนที่ช่วยลดความรู้สึกเจ็บในระหว่างการทำทรีตเมนต์ นอกจากนี้ยังมีระบบปล่อยพลังงานความเย็นที่ช่วยปกป้องผิวชั้นนอกจากพลังงานความร้อน พร้อมส่งพลังงานคลื่นวิทยุความถี่สูงลงไปยังผิวชั้นลึกได้อย่างไม่มีอันตราย

                    • การรักษาที่รวดเร็ว (Faster Treatment)

                    ด้วยฟังก์ชัน Auto และหัวทิปขนาด 4×2 ของโปรแกรม Oligio  ทำให้ช่วยประหยัดเวลาในการรักษา โดยโปรแกรม Oligio จำนวน 600 shots ซึ่งใช้ระยะเวลาเพียง 20-30 นาที และ โปรแกรม Oligio จำนวน 300 shots ใช้ระยะเวลาเพียง 10-15 นาทีเท่านั้น ทำให้การรักษารวดเร็วและเหมาะสำหรับคนที่มีเวลาจำกัด

                    •  การรักษาที่ไม่อันตราย (Safe Treatment)

                    โปรแกรม Oligio มีระบบตรวจวัดอุณหภูมิของผิวแบบเรียลไทม์ ซึ่งช่วยป้องกันไม่ให้ผิวไหม้ (Burn) หากอุณหภูมิสูงเกิน 43 องศาเซลเซียส เครื่องจะหยุดทำงานโดยอัตโนมัติ นอกจากนี้ยังมีระบบตรวจจับแรงกดของหัวทิปกับผิวหนัง เพื่อให้มั่นใจว่าพลังงานถูกส่งอย่างเหมาะสม 

                    • ความยืดหยุ่นและความสะดวกสบาย (Convenience)

                    โปรแกรม Oligio มีระบบการทำงานที่หลากหลายถึง 3 โหมด ได้แก่ Single Mode, Double Mode และ Auto Mode แพทย์สามารถเลือกโหมดที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้เข้ารับการรักษา ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพใการดูแลผิวและความสะดวกสบายในการใช้งาน

                    • ผลลัพธ์ที่ยาวนาน (Long-Lasting Effect)

                    โปรแกรม Oligio ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ชั้นผิว ทำให้สามารถช่วยคงผลลัพธ์ยกกระชับผิวหน้าได้นานถึง 6-12 เดือน

                    ทำไมเทคนิค Fast Moving ช่วยให้ผิวกระชับและสวยขึ้น?

                    • กระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและอีลาสติน

                    เมื่อใช้เทคโนโลยี Fast Moving ของโปรแกรม Oligio ผ่านการส่งคลื่นพลังงานเข้าสู่ชั้นผิวหนัง ทำให้เกิดพลังงานความร้อนที่ช่วยกระตุ้นให้เซลล์ที่ผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินในผิวหนัง ผลลัพธ์คือการสร้างคอลลาเจนใหม่ที่ช่วยให้ผิวกระชับขึ้น ช่วยลดริ้วรอยและทำให้ผิวเรียบเนียน

                    • เพิ่มการไหลเวียนของเลือด

                    คลื่นพลังงานที่ปล่อยออกมาจากโปรแกรม Oligio จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือดใต้ผิวหนัง ส่งผลให้ผิวมีสุขภาพดีและสดใสขึ้น รวมไปถึงเมื่อเลือดไหลเวียนดี ก็จะช่วยขจัดสารพิษและของเสียที่ค้างอยู่ใต้ผิวหนังได้อีกด้วย

                    • ยกกระชับผิวหน้าและลดความหย่อนคล้อย

                    เทคโนโลยี Fast Moving ของโปรแกรม Oligio ช่วยกระตุ้นการหดตัวของผิวหนังบริเวณที่ทำการรักษา ซึ่งการหดตัวของเซลล์ผิวนี้ ทำให้ผิวกระชับขึ้นและลดปัญหาผิวที่เริ่มหย่อนคล้อย เช่น รอบดวงตาและบริเวณกรอบหน้า ซึ่งจะช่วยให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ขึ้น

                    • ปรับสภาพผิวให้เรียบเนียน

                    คลื่นพลังงานวิทยุที่ใช้ในเทคโนโลยี Fast Moving ของโปรแกรม Oligio ยังช่วยในการกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวใหม่ ส่งผลให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้นและลดจุดด่างดำได้ด้วย

                    • ฟื้นฟูและซ่อมแซมผิว

                    เทคโนโลยี Fast Moving ของโปรแกรม Oligio มีการกระตุ้นให้ผิวหนังซ่อมแซมตัวเอง โดยกระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ ส่งผลให้ผิวดูมีความอ่อนเยาว์ ดูสุขภาพดี และมีความยืดหยุ่นมากขึ้น

                    • ลดเลือนริ้วรอย

                    การกระตุ้นผิวด้วยเทคโนโลยี Fast Moving ของโปรแกรม Oligio จะช่วยให้ริ้วรอยต่าง ๆ ที่เริ่มปรากฏลดเลือนลง เนื่องจากการกระตุ้นคอลลาเจนใหม่ทำให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้น

                    เทคนิค Fast Moving กับเทคนิคอื่น ๆ แบบไหนดีกว่ากัน? 

                    เมื่อเปรียบเทียบ Fast Moving จากโปรแกรม Oligio กับเทคนิคอื่น ๆ ที่ใช้ในการยกกระชับผิว เช่น Ultherapy, Thermage, Morpheus8, และ Ultraformer จะเห็นได้ว่าแต่ละเทคนิค มีลักษณะการทำงานที่แตกต่างกัน และเหมาะสมกับปัญหาผิวที่แตกต่างกันออกไป ดังนี้

                    • Fast Moving ของโปรแกรม Oligio ใช้พลังงานคลื่นวิทยุ Monopolar RF กระตุ้นการไหลเวียนเลือดและการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวลึก ช่วยยกกระชับผิวหน้า ลดเลือนริ้วรอย และทำให้ผิวดูสดใส แลดูสุขภาพดี ซึ่งการทำงานของเทคนิค Fast Moving ยังช่วยซ่อมแซมเซลล์ผิวและกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวใหม่ได้อีกด้วย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการยกกระชับผิวหน้า ฟื้นฟูผิวให้เรียบเนียนขึ้น
                    • Ultherapy ใช้คลื่นอัลตราซาวนด์กระตุ้นชั้นผิว SMAS ซึ่งเป็นเทคนิคที่เหมาะสำหรับการยกกระชับผิวหน้าและลดความหย่อนคล้อยของใบหน้า ผลลัพธ์ที่ได้จะเห็นได้อย่างชัดเจน และยังคงมีผลต่อเนื่องในระยะยาว
                    • Thermage ใช้พลังงานคลื่นวิทยุ (RF) เช่นเดียวกันกับโปรแกรม Oligio ที่มีความสามารถในการกระตุ้นผิวในชั้นลึก ซึ่งช่วยยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อยและลดริ้วรอยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผลลัพธ์จะเห็นได้
                    • Morpheus8 ใช้เทคโนโลยี Fractional Radiofrequency Microneedling โดยการใช้เข็มไมโครร่วมกับพลังงาน RF เพื่อกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนในหลายระดับของผิว ซึ่งเหมาะสำหรับการยกกระชับผิวและฟื้นฟูผิวที่มีความหย่อนคล้อยหรือมีริ้วรอย ผลลัพธ์ที่ได้คือช่วยให้ผิวมีความเรียบเนียนขึ้น 
                    • Ultraformer ใช้พลังงานคลื่นเสียงอัลตราซาวนด์ กระตุ้นผิวลึกถึงชั้น SMAS เหมาะสำหรับการยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อยในระดับลึก สามารถเห็นผลลัพธ์อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะบริเวณที่มีความหย่อนคล้อยสูง เช่น กรอบหน้าและลำคอ 

                    การเลือกเทคโนโลยีที่เหมาะสม

                    หากต้องการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Oligio เทคนิค Fast Moving เป็นตัวเลือกที่ดี โดยเฉพาะสำหรับผิวที่ไม่หย่อนคล้อยมาก และต้องการผลลัพธ์ที่ค่อยเป็นค่อยไป แต่หากต้องการยกกระชับผิวหน้าที่หย่อนคล้อยในระดับลึก เช่น บริเวณใบหน้าหรือลำคอ เทคโนโลยี Ultherapy, Thermage, หรือ Ultraformer จึงเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับคนที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยมาก

                    ทั้งนี้การเลือกใช้เทคนิคใด ขึ้นอยู่กับปัญหาผิวและผลลัพธ์ที่ต้องการ ดังนั้นการปรึกษาแพทย์ที่มีความรู้เฉพาะด้านยกกระชับผิวหน้า ก่อนตัดสินใจจะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

                    เทคนิค Fast Moving ของโปรแกรม Oligio เหมาะและไม่เหมาะกับใคร?
                    เทคนิค Fast Moving ของโปรแกรม Oligio เหมาะและไม่เหมาะกับใคร?

                    เทคนิค Fast Moving ของโปรแกรม Oligio เหมาะและไม่เหมาะกับใคร?

                    เทคนิค Fast Moving ของโปรแกรม Oligio เหมาะกับใคร?

                    • Fast Moving ของโปรแกรม Oligio เหมาะกับ คนที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยเล็กน้อยถึงปานกลาง
                    • Fast Moving ของโปรแกรม Oligio เหมาะกับ คนที่มีเริ่มมีปัญหาริ้วรอยเล็ก ๆ บนใบหน้า
                    • Fast Moving ของโปรแกรม Oligio เหมาะกับ คนที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยบริเวณลำคอและหน้าอก
                    • Fast Moving ของโปรแกรม Oligio เหมาะกับ คนที่มีปัญหาผิวมันหรือรูขุมขนกว้าง
                    • Fast Moving ของโปรแกรม Oligio เหมาะกับ คนที่มีปัญหาผิวแห้งและผิวขาดความชุ่มชื้น
                    • Fast Moving ของโปรแกรม Oligio เหมาะกับ คนที่มีผิวบอบบางหรือแพ้ง่าย
                    • Fast Moving ของโปรแกรม Oligio เหมาะกับ คนที่ไม่ต้องการผ่าตัดหรือการรักษาที่ซับซ้อน
                    • Fast Moving ของโปรแกรม Oligio เหมาะกับ คนที่ต้องการฟื้นฟูผิวให้สดใส อ่อนเยาว์ สุขภาพดี
                    • Fast Moving ของโปรแกรม Oligio เหมาะกับ คนที่ต้องการกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนในชั้นผิว
                    • Fast Moving ของโปรแกรม Oligio เหมาะกับ คนที่ต้องการยกกระชับผิวหน้าแบบไม่เจ็บตัว
                    • Fast Moving ของโปรแกรม Oligio เหมาะกับ คนที่ต้องการผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ
                    • Fast Moving ของโปรแกรม Oligio เหมาะกับ คนที่ไม่อยากใช้เวลาในการพักฟื้นนาน
                    • Fast Moving ของโปรแกรม Oligio เหมาะกับ คนที่ต้องการรักษาผิวในหลายบริเวณ

                    เทคนิค Fast Moving ของโปรแกรม Oligio ไม่เหมาะกับใคร?

                    • Fast Moving ของโปรแกรม Oligio ไม่เหมาะกับ สตรีที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
                    • Fast Moving ของโปรแกรม Oligio ไม่เหมาะกับ คนที่ใส่อุปกรณ์โลหะหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในร่างกาย
                    • Fast Moving ของโปรแกรม Oligio ไม่เหมาะกับ คนที่มีแผลเปิดบริเวณผิวที่ต้องการรักษา
                    • Fast Moving ของโปรแกรม Oligio ไม่เหมาะกับ คนที่มีการติดเชื้อบริเวณที่ต้องการรักษา
                    • Fast Moving ของโปรแกรม Oligio ไม่เหมาะกับ คนที่เป็นโรคผิวหนังอักเสบบริเวณที่ต้องการรักษา
                    • Fast Moving ของโปรแกรม Oligio ไม่เหมาะกับ คนที่มีโรคผิวหนังบางชนิด เช่น โรคสะเก็ดเงิน โรคผิวหนังภูมิแพ้
                    • Fast Moving ของโปรแกรม Oligio ไม่เหมาะกับ คนที่เป็นโรคเรื้อรังบางชนิด เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจรุนแรง
                    • Fast Moving ของโปรแกรม Oligio ไม่เหมาะกับ คนที่มีปัญหาเกี่ยวกับภูมิคุ้มกันบกพร่อง
                    • Fast Moving ของโปรแกรม Oligio ไม่เหมาะกับ คนที่เพิ่งผ่าตัดหรือศัลยกรรมบนใบหน้ามาไม่นาน
                    • Fast Moving ของโปรแกรม Oligio ไม่เหมาะกับ คนที่เพิ่งทำหัตถการอื่น ๆ มาไม่นาน เช่น เลเซอร์ ฟิลเลอร์ ฉีดโบ
                    • Fast Moving ของโปรแกรม Oligio ไม่เหมาะกับ คนที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบเลือด
                    ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Oligio เทคนิค Fast Moving ช่วยอะไรบ้าง?
                    ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Oligio เทคนิค Fast Moving ช่วยอะไรบ้าง?

                    ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Oligio เทคนิค Fast Moving ช่วยอะไรบ้าง?

                    • Fast Moving ของโปรแกรม Oligio ช่วยยกกระชับผิวหน้าที่หย่อนคล้อยให้กลับมาตึงกระชับ
                    • Fast Moving ของโปรแกรม Oligio ปรับรูปหน้าให้ดูเรียวสวยอย่างเป็นธรรมชาติ
                    • Fast Moving ของโปรแกรม Oligio ลดเลือนริ้วรอยตื้นและริ้วรอยลึกบนใบหน้า
                    • Fast Moving ของโปรแกรม Oligio เติมเต็มผิวให้เรียบเนียน อ่อนเยาว์ขึ้น
                    • Fast Moving ของโปรแกรม Oligio กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ใต้ชั้นผิว
                    • Fast Moving ของโปรแกรม Oligio ฟื้นฟูโครงสร้างผิวให้แข็งแรงขึ้นจากภายใน
                    • Fast Moving ของโปรแกรม Oligio ลดปัญหาผิวไม่เรียบเนียนและรูขุมขนกว้าง
                    • Fast Moving ของโปรแกรม Oligio ลดความหย่อนคล้อยบริเวณเหนียงและคางสองชั้น
                    • Fast Moving ของโปรแกรม Oligio ทำให้กรอบหน้าชัดเจนขึ้นและใบหน้าดูเรียวสวย
                    • Fast Moving ของโปรแกรม Oligio เพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวหน้ามากขึ้น
                    • Fast Moving ของโปรแกรม Oligio ป้องกันปัญหาผิวหย่อนคล้อยในอนาคต

                    ข้อควรระวังก่อนและหลังยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Oligio เทคนิค Fast Moving ที่ควรรู้

                    ข้อควรรู้ก่อนยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Oligio เทคนิค Fast Moving

                    • ก่อนทำ Fast Moving ของโปรแกรม Oligio ควรปรึกษาแพทย์ที่มีความรู้เพื่อประเมินสภาพผิวและความเหมาะสมในการรักษา
                    • ก่อนทำ Fast Moving ของโปรแกรม Oligio ควรแจ้งโรคประจำตัว ปัญหาสุขภาพ หรือยาที่รับประทานเป็นประจำ ให้แพทย์ทราบ
                    • ก่อนทำ Fast Moving ของโปรแกรม Oligio ควรทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF50PA+++ เพื่อปกป้องผิวหน้า
                    • ก่อนทำ Fast Moving ของโปรแกรม Oligio ควรดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อรักษาความชุ่มชื้นของผิว
                    • ก่อนทำ Fast Moving ของโปรแกรม Oligio งดดื่มแอลกอฮอล์ 24 ชั่วโมง
                    • ก่อนทำ Fast Moving ของโปรแกรม Oligio งดใช้ผลิตภัณฑ์ที่รุนแรงต่อผิวหน้า เช่น AHA, BHA และ Retinoids อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์
                    • ก่อนทำ Fast Moving ของโปรแกรม Oligio งดยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน
                    • ก่อนทำ Fast Moving ของโปรแกรม Oligio หลีกเลี่ยงการขัดผิวหน้าในช่วง 1-2 วันแรก
                    • ก่อนทำ Fast Moving ของโปรแกรม Oligio หลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดดโดยตรง หรือกิจกรรมที่ต้องใช้เวลากลางแจ้ง 2-3 วัน
                    • ก่อนทำ Fast Moving ของโปรแกรม Oligio หลีกเลี่ยงการทำหัตถการอื่น ๆ เช่น ฉีดฟิลเลอร์ ฉีดโบ 2 สัปดาห์

                    ขั้นตอนการยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Oligio เทคนิค Fast Moving

                    1. แพทย์จะประเมินสภาพผิวเพื่อดูความเหมาะสมก่อนทำโปรแกรม Oligio อธิบายวิธีการรักษาและตอบคำถามที่คนไข้สงสัย และกำหนดบริเวณที่ต้องการรักษา
                    2. แพทย์หรือผู้ช่วยแพทย์จะทำความสะอาดผิวบริเวณที่ต้องการรักษาอย่างละเอียด เพื่อขจัดคราบสกปรก น้ำมัน หรือเครื่องสำอาง
                    3. ทาเจลนำไฟฟ้าทาลงบริเวณผิวที่ต้องการยกกระชับ เพื่อช่วยนำพลังงาน Monopolar RF แทรกซึมเข้าสู่ชั้นผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
                    4. แพทย์จะเริ่มต้นใช้อุปกรณ์ของโปรแกรม Oligio ซึ่งเป็นเครื่องส่งพลังงาน Monopolar RF หัวเครื่องจะปล่อยคลื่นพลังงานลงไปกระตุ้นเซลล์ผิวในชั้นหนังแท้ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ กระชับผิวหน้า
                    5. แพทย์จะปรับพลังงานตามความเหมาะสมกับสภาพผิว คนไข้จะรู้สึกอุ่นเล็กน้อยใต้ผิวระหว่างทำการรักษา
                    6. หัวเครื่องจะถูกเคลื่อนที่ไปในแต่ละจุดอย่างเป็นระบบ เพื่อให้พลังงานกระจายตัวอย่างสม่ำเสมอทั่วบริเวณที่รักษา
                    7. หลังจากยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Oligio เสร็จ แพทย์จะทำความสะอาดใบหน้าอีกครั้ง
                    8. แพทย์อาจทาครีมหรือเซรัมบำรุงผิวที่เหมาะสม เช่น  ครีมบำรุงผิว

                     

                    ข้อควรระวังหลังยกกระชับผิวหน้า Oiligo เทคนิค Fast Moving 

                    • หลังทำ Fast Moving ของโปรแกรม Oligio ควรทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF50 PA+++ เพื่อปกป้องผิวหน้า
                    • หลังทำ Fast Moving ของโปรแกรม Oligio ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนบำรุงผิว เช่น สูตรที่ไม่มีน้ำหอมและไม่มีสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง
                    • หลังทำ Fast Moving ของโปรแกรม Oligio ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวจากภายใน
                    • หลังทำ Fast Moving ของโปรแกรม Oligio หลีกเลี่ยงการออกแดดโดยตรง ในช่วง 1-2 วันแรก
                    • หลังทำ Fast Moving ของโปรแกรม Oligio หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกรด 3-5 วันแรก
                    • หลังทำ Fast Moving ของโปรแกรม Oligio หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกมาก เช่น การออกกำลังกายหนัก การซาวน่า หรือการแช่น้ำร้อน ในช่วง 1-2 วันแรก
                    • หลังทำ Fast Moving ของโปรแกรม Oligio งดใช้น้ำร้อนล้างหน้า ควรล้างหน้าด้วยน้ำอุณหภูมิห้องหรืออุ่นเล็กน้อย
                    • หลังทำ Fast Moving ของโปรแกรม Oligio หลีกเลี่ยงการใช้ไดร์เป่าผมที่มีลมร้อนเป่าใกล้ผิว
                    ทำไม Oligio ถึงเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมในการยกกระชับผิวหน้า?
                    ทำไม Oligio ถึงเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมในการยกกระชับผิวหน้า?

                    ทำไม Oligio ถึงเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมในการยกกระชับผิวหน้า?

                    • เทคโนโลยี Monopolar RF 

                    Oligio ใช้พลังงานคลื่นวิทยุ Monopolar RF เป็นคลื่นวิทยุความถี่สูงที่สามารถส่งพลังงานลงลึกถึงชั้นผิวหนังแท้ (Dermis) และชั้นไขมัน (Subcutaneous Fat) ได้อย่างแม่นยำ โดยไม่ทำลายผิวชั้นบน พลังงานความร้อนที่ปล่อยออกมาจะกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ กระบวนการนี้จะช่วยยกกระชับผิวหน้า  เพิ่มความยืดหยุ่น ดูอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ

                    • เห็นผลลัพธ์ชัดเจนและรวดเร็ว

                    หลังทำยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Oligio จะสังเกตได้ว่าผิวมีความตึงกระชับขึ้น ผิวเฟิร์มและยืดหยุ่นมากกว่าเดิม โดยผลลัพธ์จะพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วง 1-3 เดือน หลังทำการรักษา และสามารถคงผลลัพธ์ไว้ได้นานถึง 6-12 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลหลังทำ

                    • สบายผิว ไม่รู้สึกเจ็บ

                    เทคโนโลยี Fast Moving ของโปรแกรม Oligio มาพร้อมกับระบบ Cooling System ที่ช่วยควบคุมอุณหภูมิของผิวให้คงที่ ทำให้ผู้รับการรักษารู้สึกสบายตลอดการรักษา โดยไม่ต้องใช้ยาชา

                    • ไม่อันตรายและได้มาตรฐานระดับสากล

                    โปรแกรม Oligio เป็นเทคโนโลยีที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานมาตรฐานระดับโลกอย่าง US FDA องค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกา และ CE Mark มาตรฐานของยุโรป ซึ่งยืนยันได้ว่าไม่มีอันตรายและมีประสิทธิภาพ

                    • เหมาะกับทุกสภาพผิวและทุกช่วงวัย

                    โปรแกรม Oligio สามารถทำได้กับทุกสภาพผิว ไม่ว่าจะเป็นผิวแห้ง ผิวมัน หรือผิวแพ้ง่าย อีกทั้งยังเหมาะสำหรับทุกช่วงวัย ในด้านของการป้องกันปัญหาผิวหย่อนคล้อยในช่วงวัย 20-30 ปี หรือการแก้ไขปัญหาผิวหย่อนคล้อยและมีริ้วรอยในวัย 40 ปีขึ้นไป

                    • ผลลัพธ์เป็นธรรมชาติอย่างยาวนาน

                    ผลลัพธ์ของการยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Oligio จะดูเป็นธรรมชาติมากกว่าการผ่าตัดศัลยกรรม นอกจากนี้ยังช่วยปรับรูปหน้าให้เรียวสวย ลดเลือนริ้วรอย และฟื้นฟูผิวให้อ่อนเยาว์ขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

                    ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Oligio ต้องเลือกรมย์รวินท์คลินิกเท่านั้น

                    การยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Oligio ที่รมย์รวินท์คลินิก มาพร้อมกับมาตรฐานให้บริการที่ครบครันและใส่ใจในทุกขั้นตอน โดยที่นี่มีทีมแพทย์ที่มีความรู้และประสบการณ์ ที่ผ่านการอบรมเฉพาะทางในการใช้โปรแกรม Oligio ทำให้สามารถออกแบบการรักษาได้อย่างเหมาะสมกับสภาพผิวและปัญหาของแต่ละบุคคล นอกจากนี้ ยังใช้โปรแกรม Oligio ของแท้ ที่ได้รับมาตรฐานจาก US FDA และ CE Mark ซึ่งไม่อันตราย ไม่ส่งผลเสียทั้งยังให้ประสิทธิภาพสูงสุด

                    ก่อนเริ่มการรักษา แพทย์จะทำการประเมินสภาพผิวอย่างละเอียด พร้อมวางแผนการรักษาที่เหมาะสม ทำให้มั่นใจได้ว่าได้ผลลัพธ์ที่ตรงกับความต้องการ อีกทั้งผลลัพธ์ที่ได้ยังดูเป็นธรรมชาติ 

                    หลังการรักษา รมย์รวินท์คลินิกจะมีการติดตามผลอย่างใกล้ชิด เพื่อให้มั่นใจว่าลูกค้าจะได้ผลลัพธ์ที่ยั่งยืนและคงอยู่ได้นาน นอกจากนี้รมย์รวินท์คลินิกยังมีรีวิวจากผู้ใช้บริการจริงมากมาย ที่เป็นเครื่องยืนยันถึงคุณภาพและความไว้วางใจที่คลินิกได้รับมาตลอด

                    คำถามยอดฮิตเกี่ยวกับยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Oligio เทคนิค Fast Moving

                    ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Oligio เจ็บไหม?

                    • ยกกระชับผิวหน้าด้วยโปรแกรม Oligio ไม่ทำให้รู้สึกเจ็บขณะทำการรักษา อาจมีเพียงแค่ความรู้สึกอุ่นบริเวณผิวเท่านั้น โดยระบบ Cooling System จะช่วยควบคุมอุณหภูมิผิวให้เย็นสบายตลอดขั้นตอน ทำให้ไม่จำเป็นต้องใช้ยาชาและไม่ต้องพักฟื้นหลังทำ

                    หลังทำยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Oligio จะเห็นผลลัพธ์เมื่อไหร่?

                    • หลังทำยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Oligio จะเห็นผลลัพธ์หลังทำโดยผิวจะรู้สึกตึงกระชับขึ้น และผลลัพธ์จะชัดเจนมากขึ้นในช่วง 1-3 เดือนหลังทำ โดยผลลัพธ์หลังทำจะอยู่ได้นาน 6-12 เดือน ขึ้นอยู่กับการดูแลผิวในแต่ละบุคคล

                    ต้องทำยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Oligio กี่ครั้งถึงจะเห็นผล?

                    • โดยปกติทั่วไป จะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ และแนะนำให้ทำโปรแกรม Oligio ซ้ำปีละ 1-2 ครั้ง เพื่อรักษาผลลัพธ์และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนอย่างต่อเนื่อง

                    ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Oligio อันตรายไหม?

                    • การทำยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Oligio ไม่ส่งผลเสียหรืออันตราย ผ่านการรับรองมาตรฐานจาก US FDA และ CE Mark โดยไม่ก่อให้เกิดบาดแผลหรือความเสี่ยงใด ๆ เหมาะกับทุกสภาพผิวและไม่มีผลข้างเคียงที่อันตราย

                    ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Oligio สามารถทำบริเวณใดได้บ้าง?

                    • โปรแกรม Oligio สามารถยกกระชับผิวได้หลากหลายบริเวณ เช่น ใบหน้า ลำคอ รอบดวงตา หน้าผาก และบริเวณเหนียงหรือใต้คาง โดยช่วยแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยและริ้วรอยได้อย่างแม่นยำและตรงจุด

                    สามารถยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Oligio ร่วมกับหัตถการอื่นได้ไหม?

                    • สามารถทำยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Oligio ควบคู่กับหัตถการอื่น ๆ เช่น ฉีดโบ ฉีดฟิลเลอร์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการยกกระชับและแก้ไขปัญหาผิวอย่างครอบคลุม โดยควรปรึกษาแพทย์ก่อนวางแผนการรักษา

                    หลังทำยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Oligio สามารถแต่งหน้าได้ทันทีไหม?

                    • หลังทำยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Oligio สามารถแต่งหน้าได้ทันที แต่แนะนำว่าให้ใช้เครื่องสำอางที่อ่อนโยนต่อผิวและหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีรุนแรงในช่วง 1-2 วันแรกหลังการรักษา

                    อายุเท่าไหร่ถึงจะเริ่มทำยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Oligio ได้?

                    • สามารถเริ่มทำยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Oligio ได้ตั้งแต่อายุ 25 ปีขึ้นไป เหมาะสำหรับคนที่ต้องการป้องกันปัญหาผิวหย่อนคล้อยก่อนวัย ส่วนในช่วงอายุ 35 ปีขึ้นไปจะเหมาะสำหรับการแก้ไขปัญหาผิวที่เริ่มหย่อนคล้อยอย่างตรงจุด

                    ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Oligio เหมาะกับผู้ชายไหม?

                    • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Oligio เหมาะสำหรับผู้ชายและผู้หญิง โดยเฉพาะผู้ชายที่ต้องการยกกระชับผิวหน้า ลดเหนียงใต้คาง และปรับกรอบหน้าให้ชัดเจนขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดเลือนริ้วรอยและทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ

                    ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Oligo มีผลข้างเคียงไหม?

                    • การยกกระชับผิวโปรแกรม Oligio โดยทั่วไปแล้ว ไม่มีผลข้างเคียงรุนแรง เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีที่ไม่อันตรายและผ่านการรับรองจาก US FDA และ CE Mark ซึ่งหลังทำอาจมีรอยแดงเล็กน้อย หรือ รู้สึกอุ่น ๆ บริเวณผิวหนัง ซึ่งอาการเหล่านี้มักจะหายไปเองภายในไม่กี่ชั่วโมงแบบไม่ต้องพักฟื้น

                    โปรแกรม Oligio คือเทคโนโลยียกกระชับผิวหน้าที่ล้ำสมัย ด้วยการใช้คลื่นวิทยุความถี่สูง (Monopolar RF) ที่สามารถส่งพลังงานลงลึกถึงชั้นผิวหนังแท้และชั้นไขมันใต้ผิวอย่างแม่นยำ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ ทำให้ผิวดูกระชับ เต่งตึง และเรียบเนียนขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งผลลัพธ์สามารถเห็นได้ผลหลังทำได้เป็นอย่างดี และผลลัพธ์ชัดเจนขึ้นในช่วง 1-3 เดือน 

                    โปรแกรม Oligio เหมาะสำหรับคนที่ต้องการยกกระชับผิวหน้าและลำคอ ลดเลือนริ้วรอย และฟื้นฟูความยืดหยุ่นของผิวแบบไม่ต้องผ่าตัด นอกจากนี้ เทคโนโลยีนี้ยังผ่านการรับรองจาก US FDA และ CE Mark ซึ่งมีประสิทธิภาพในการรักษาอีกด้วย

                    หากใครกำลังมองหาวิธีการดูแลผิวที่ได้ผลรวดเร็ว ไม่อันตราย และให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ โปรแกรม Oligio คือตัวเลือกที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการอย่างแน่นอน มาร่วมสัมผัสเทคโนโลยีการยกกระชับผิวที่เหนือระดับกับ รมย์รวินท์คลินิก เพื่อผิวสวยกระชับอย่างมั่นใจในแบบที่เป็นคุณ

                    โปรแกรม Ultherapy Prime vs โปรแกรม EMFACE เทคโนโลยียกกระชับผิวหน้าแบบไหนที่เหมาะกับคุณ?

                    เทคโนโลยียกกระชับผิวหน้าแบบไหนที่เหมาะกับคุณ

                    โปรแกรม Ultherapy Prime vs โปรแกรม EMFACE เทคโนโลยียกกระชับผิวหน้าแบบไหนที่เหมาะกับคุณ?

                    ในยุคปัจจุบัน ความงามและความอ่อนเยาว์ไม่ใช่เรื่องของวัยอีกต่อไป แต่กลายเป็นการดูแลตัวเองเพื่อเสริมสร้างความมั่นใจ เทคโนโลยีความงามได้พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเทคโนโลยียกกระชับผิวหน้าโดยไม่ต้องผ่าตัด ซึ่งกลายเป็นทางเลือกยอดนิยมสำหรับคนที่ต้องการดูแลผิวพรรณอย่างมีประสิทธิภาพ เห็นผลจริง และไม่ต้องพักฟื้นนาน

                     

                    ในบรรดาเทคโนโลยีที่ได้รับความนิยมสูงสุด โปรแกรม Ultherapy Prime และ โปรแกรม EMFACE เป็นทองเทคโนโลยีที่โดดเด่นและถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง ทั้งสองเทคโนโลยีต่างมีจุดเด่นเฉพาะตัวในการแก้ปัญหาผิวที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นการกระตุ้นกล้ามเนื้อใบหน้า การสร้างคอลลาเจน หรือการยกกระชับผิวชั้นลึก

                     

                    การเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะไม่ใช่ทุกวิธีจะเหมาะสมกับทุกคน ในบทความนี้ จะพาทุกคนไปเจาะลึกความแตกต่างระหว่างโปรแกรม Ultherapy Prime และ โปรแกรม EMFACE เพื่อให้ทุกคนได้เข้าใจถึงหลักการทำงาน ผลลัพธ์ ข้อดีและข้อจำกัดของแต่ละวิธี เพื่อให้สามารถตัดสินใจได้อย่างมั่นใจและตอบโจทย์ความต้องการของตัวเองได้อย่างแท้จริง

                     

                     

                     

                    ทำความรู้จักกับยกกระชับผิวหน้า โปรแกรม Ulthera Prime และ EMFACE

                    ยกกระชับผิวหน้า โปรแกรม Ulthera Prime คืออะไร?

                    โปรแกรม Ulthera Prime เป็นเทคโนโลยียกกระชับผิวหน้าที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง ในวงการความงามและการแพทย์ผิวหนังทั่วโลก โดยใช้พลังงาน Ultrasound แบบเฉพาะเจาะจง ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่สามารถส่งผ่านคลื่นเสียงความถี่สูงลงสู่ชั้นผิวที่ลึกได้อย่างแม่นยำ โดยเฉพาะชั้น SMAS (Superficial Muscular Aponeurotic System) เป็นชั้นเนื้อเยื่อที่อยู่ลึกใต้ผิวหนังและเป็นชั้นเดียวกับที่ศัลยแพทย์ใช้ในการผ่าตัดดึงหน้า

                     

                    เทคโนโลยี โปรแกรม Ulthera Prime ทำให้เกิดการหดตัวของชั้น SMAS โดยไม่ต้องผ่าตัด ส่งผลให้ผิวยกกระชับขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ในผิว ซึ่งจะค่อย ๆ แสดงผลลัพธ์อย่างเป็นธรรมชาติและยาวนาน

                     

                    จุดเด่นของยกกระชับผิวหน้า โปรแกรม Ulthera SPT Prime

                    • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime มีระบบประมวลผลได้รับการพัฒนาให้รวดเร็วขึ้นถึง 20% ลดระยะเวลาในการทำหัตถการ พร้อมเพิ่มความสบายให้กับผู้รับบริการ
                    • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime หน้าจอใหญ่ขึ้น 35% พร้อมความคมชัดระดับ Full HD ทำให้แพทย์สามารถมองเห็นรายละเอียดของชั้นผิวได้อย่างชัดเจน
                    • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime รูปลักษณ์ของเครื่องถูกออกแบบให้ทันสมัยและ กะทัดรัดขึ้น เพิ่มความสะดวกในการใช้งานและเคลื่อนย้าย
                    • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime เข้าลึกถึงชั้นผิว SMAS สามารถยกกระชับผิวชั้นลึกได้อย่างแม่นยำ ซึ่งเป็นชั้นเนื้อเยื่อที่ช่วยให้เกิดการยกกระชับผิวหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ
                    • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime สามารถเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน 30% หลังทำทันที และผลลัพธ์จะชัดเจนยิ่งขึ้นภายใน 2-3 เดือนหลังการรักษา
                    • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime ผลลัพธ์สามารถอยู่ได้นานถึง 1-2 ปี ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลรักษาของแต่ละบุคคล
                    • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime เป็นเทคโนโลยีที่ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา ในด้านความประสิทธิภาพในการยกกระชับผิว
                    • หลังทำยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime ผู้เข้ารับบริการสามารถกลับไปทำกิจกรรมประจำวันได้ทันที โดยไม่ต้องพักฟื้น

                     

                    ผลลัพธ์ที่ได้จากยกกระชับโปรแกรม Ultherapy Prime

                    • ผิวหน้าดูยกกระชับขึ้น แก้ไขปัญหาผิวหย่อนคล้อย
                    • ใบหน้าเรียวได้สัดส่วนมากขึ้น โดยเฉพาะบริเวณแนวกรามและคาง
                    • ริ้วรอยเล็ก ๆ และริ้วรอยร่องลึกดูจางลง
                    • ผิวมีความเรียบเนียนและดูสุขภาพดีขึ้น

                     

                    ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE คืออะไร?

                    โปรแกรม EMFACE คือเทคโนโลยียกกระชับผิวหน้าที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการดูแลผิวหน้าโดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องใช้เข็ม ไม่ต้องเจ็บปวดระหว่างการรักษา ซึ่งเทคโนโลยีนี้มีการผสานการทำงานของสองพลังงานด้วยกัน ได้แก่ HIFES (High-Intensity Facial Electrical Stimulation) และ Radio Frequency (RF) เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ในการยกกระชับผิวหน้าที่ครอบคลุมในระดับกล้ามเนื้อและผิวหนัง

                    • HIFES (High-Intensity Facial Electrical Stimulation) ช่วยกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อบนใบหน้าอย่างล้ำลึก ทำให้กล้ามเนื้อมีความแข็งแรงมากขึ้น และช่วยยกกระชับกล้ามเนื้อใบหน้าที่หย่อนคล้อย
                    • Radio Frequency (RF) ส่งพลังงานความร้อนลงไปยังชั้นผิวหนังแท้ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวมีความเต่งตึงและยืดหยุ่นมากขึ้น

                     

                    จุดเด่นของยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE

                    • การทำยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE ไม่ทำให้เกิดความรู้สึกเจ็บในระหว่างการรักษา แตกต่างจากเทคโนโลยีบางประเภทที่อาจทำให้เจ็บหรือรู้สึกระคายเคืองได้
                    • หลังทำยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE ผู้เข้ารับบริการสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติทันที โดยที่ไม่ต้องพักฟื้นนาน
                    • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE สามารถฟื้นฟูกล้ามเนื้อใบหน้าให้แข็งแรง พร้อมทั้งกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว ทำให้ใบหน้าดูกระชับและผิวอิ่มฟูขึ้น
                    • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE สามารถใช้ได้กับทุกสภาพผิว ไม่ว่าจะเป็น ผิวแห้ง ผิวมัน ผิวแพ้ง่าย
                    • หลังทำยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE ใบหน้าจะดูยกกระชับขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ

                     

                    ผลลัพธ์ที่ได้จากยกกระชับโปรแกรม EMFACE

                    • หลังทำโปรแกรม EMFACE  ใบหน้าจะดูยกกระชับขึ้น ร่องลึกต่าง ๆ บนใบหน้าดูลดเลือนลง
                    • ช่วยฟื้นฟูผิวชั้นลึก ทำให้ผิวเรียบเนียน ดูอ่อนเยาว์ และสุขภาพดีขึ้น
                    • การกระตุ้นคอลลาเจนและอีลาสติน ช่วยลดเลือนริ้วรอยเล็ก ๆ และริ้วรอยรอบดวงตา
                    • กล้ามเนื้อบนใบหน้าที่อ่อนแอหรือหย่อนคล้อย จะกลับมาแข็งแรงและกระชับขึ้น

                     

                    หลักการทำงานของยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ulthera Prime และ โปรแกรม EMFACE
                    หลักการทำงานของยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime และ โปรแกรม EMFACE

                     

                    หลักการทำงานของยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ulthera Prime และ โปรแกรม EMFACE

                    การทำงานของยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ulthera Prime คืออะไร?

                    1. ส่งคลื่นพลังงาน Ultrasound จะถูกส่งไปยังชั้นผิว SMAS โดยไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อผิวชั้นบน
                    2. คลื่นพลังงาน Ultrasound จะสร้างพลังงานความร้อนที่อุณหภูมิประมาณ 60-70 องศาเซลเซียส ในชั้น SMAS เพื่อกระตุ้นการหดตัวของเนื้อเยื่อและการสร้างคอลลาเจนใหม่
                    3. หลังจากการรักษา ร่างกายจะค่อย ๆ สร้างคอลลาเจนใหม่ขึ้นมา ทำให้ผิวค่อย ๆ ยกกระชับและดูอ่อนเยาว์ขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
                    4. เห็นการเปลี่ยนแปลงหลังทำทันที แต่จะให้ผลลัพธ์ที่เห็นชัดเจนในช่วง 2-3 เดือนหลังการรักษา

                     

                    การทำงานของยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE คืออะไร?

                    • HIFES (High-Intensity Facial Electrical Stimulation)

                    ส่งคลื่นพลังงานเพื่อกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อใบหน้าในระดับลึก ทำให้กล้ามเนื้อใบหน้ามีความแข็งแรง กระชับ และช่วยยกกระชับส่วนที่หย่อนคล้อย

                    • RF (Radio Frequency)

                    ปล่อยพลังงานคลื่นความถี่วิทยุลงไปยังชั้นผิวลึก กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิว ส่งผลให้ผิวมีความยืดหยุ่น กระชับ และลดเลือนริ้วรอย

                    • การทำงานร่วมกันระหว่าง HIFES และ RF

                    HIFES : กระตุ้นกล้ามเนื้อบนใบหน้า ให้แข็งแรงและยกกระชับขึ้น

                    RF : ส่งผ่านความร้อนลงสู่ชั้นผิว กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน

                     

                    ความแตกต่างของยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ulthera Prime และ โปรแกรม EMFACE
                    ความแตกต่างของยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ulthera Prime และ โปรแกรม EMFACE

                     

                    ความแตกต่างของยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime และ โปรแกรม EMFACE

                    โปรแกรม Ultherapy Prime และโปรแกรม EMFACE เป็นเทคโนโลยีที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์การยกกระชับผิวหน้าโดยไม่ต้องผ่าตัด แต่ทั้งสองมีหลักการทำงาน จุดเด่น และผลลัพธ์ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ซึ่งเหมาะกับความต้องการและปัญหาผิวที่แตกต่างกันไป ดังนี้

                     

                    หลักการทำงาน

                    • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime – ใช้พลังงาน Micro-Focused Ultrasound (MFU-V)  หรือ คลื่นเสียงความถี่สูงแบบเฉพาะเจาะจง โดยพลังงานจะลงลึกถึงชั้น SMAS (Superficial Musculo-Aponeurotic System) ซึ่งเป็นชั้นผิวเดียวกับการผ่าตัดดึงหน้า เน้นยกกระชับที่ผิวชั้นลึกและชั้น SMAS เพื่อยกกระชับโครงสร้างผิวอย่างมีประสิทธิภาพ
                    • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE –  ใช้เทคโนโลยี HIFES และ RF เพื่อกระตุ้นกล้ามเนื้อบนใบหน้าให้แข็งแรงและยกกระชับขึ้น เน้นยกกระชับที่กล้ามเนื้อและผิวชั้นบน

                     

                    บริเวณที่ต้องการรักษา

                    • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime – สามารถยกกระชับผิวหน้าบริเวณใบหน้า ใต้คาง ลำคอ และเนินอก เหมาะสำหรับการยกกระชับบริเวณที่ผิวหย่อนคล้อยอย่างชัดเจน
                    • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE – ยกกระชับบริเวณใบหน้า เช่น หน้าผาก โหนกแก้ม กรอบหน้า เหมาะสำหรับการฟื้นฟูกล้ามเนื้อใบหน้าให้แข็งแรงและยกกระชับผิวหน้าขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ

                     

                    ระยะเวลาการรักษาและฟื้นตัว

                    • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime – ใช้เวลาในการรักษาประมาณ 30-40 นาที ต่อครั้ง ขึ้นอยู่กับบริเวณที่ทำ อาจมีรอยแดงหรือบวมเล็กน้อยหลังการรักษา แต่สามารถกลับไปใช้ชีวิตปกติได้
                    • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE – ใช้เวลาในการรักษาประมาณ 20-30 นาที ต่อครั้ง ไม่ต้องพักฟื้นหลังทำ สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติทันที

                     

                    ระยะเวลาเห็นผลและความยาวนานของผลลัพธ์

                    • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime – เริ่มเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนหลังการรักษา ประมาณ 1-3 เดือน และผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 1-2 ปี
                    • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE – เริ่มเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนหลังการรักษา ประมาณ 4-6 สัปดาห์ และผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 6-12 เดือน

                     

                    ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ulthera Prime และโปรแกรม EMFACE เหมาะกับใคร?
                    ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime และโปรแกรม EMFACE เหมาะกับใคร?

                     

                    ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime และโปรแกรม EMFACE เหมาะกับใคร?

                    โปรแกรม Ulthera SPT และโปรแกรม EMFACE เป็นเทคโนโลยียกกระชับผิวหน้าที่มีจุดเด่นต่างกัน เหมาะกับกลุ่มคนดังนี้

                    ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime เหมาะกับใคร?

                    • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime เหมาะกับ ผู้มีอายุตั้งแต่ 30-60 ปี หรือ ผู้ที่เริ่มสังเกตเห็นปัญหาผิวหย่อนคล้อย
                    • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime เหมาะกับ ผู้ที่ต้องการยกกระชับผิวชั้นลึก บริเวณแก้ม แนวกราม ลำคอ และเนินอก
                    • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime เหมาะกับ ผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย ขาดความกระชับอย่างเห็นได้ชัด
                    • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime เหมาะกับ ผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยร่องลึกบริเวณใบหน้าและลำคอ
                    • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime เหมาะกับ ผู้ที่ต้องการยกกระชับกรอบหน้าให้ชัดเจนขึ้น
                    • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime เหมาะกับ ผู้ที่มีปัญหาเปลือกตาตก หนังตาหย่อนคล้อย
                    • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime เหมาะกับ ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ยกกระชับผิวหน้าแบบไม่ต้องผ่าตัด
                    • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime เหมาะกับ ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ยาวนานอย่างเป็นธรรมชาติ

                     

                    ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE เหมาะกับใคร?

                    • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE เหมาะกับ ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 25-50 ปี หรือ ผู้ที่เริ่มมีปัญหาผิวหย่อนคล้อยจากอายุที่เพิ่มขึ้น
                    • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE เหมาะกับ ผู้ที่มีปัญหากล้ามเนื้อใบหน้าอ่อนแรง
                    • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE เหมาะกับ ผู้ที่มีปัญหาใบหน้าหย่อนคล้อยเล็กน้อยถึงปานกลาง
                    • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE เหมาะกับ ผู้ที่มีปัญหามวลกล้ามเนื้อใบหน้าลดลง ทำให้ใบหน้าดูไม่กระชับ
                    • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE เหมาะกับ ผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าให้ได้สัดส่วนและกรอบหน้าชัดเจนขึ้น
                    • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE เหมาะกับ ผู้ที่ต้องการยกกระชับผิวหน้าโดยไม่ต้องเจ็บปวด
                    • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE เหมาะกับ ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูคอลลาเจนและความยืดหยุ่นของผิว
                    • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE เหมาะกับ ผู้ที่มีเวลาน้อย เพราะไม่ต้องพักฟื้น

                     

                    ข้อดีของการทำยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ulthera Prime และโปรแกรม EMFACE
                    ข้อดีของการทำยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime และโปรแกรม EMFACE

                     

                    ข้อดีของการทำยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime และโปรแกรม EMFACE

                    โปรแกรม Ulthera และโปรแกรม EMFACE เป็นเทคโนโลยียกกระชับผิวหน้าที่ให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน โดยมีข้อดีที่โดดเด่น ดังนี้

                    ข้อดีของ Ultherapy Prime

                    • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime สามารถยกกระชับผิวลึกถึงชั้น SMAS โดยไม่ต้องผ่าตัด
                    • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime แก้ไขปัญหาผิวหย่อนคล้อยได้อย่างชัดเจน
                    • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน
                    • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime ช่วยฟื้นฟูโครงสร้างผิวจากภายใน ทำให้ผิวแน่นและยืดหยุ่นขึ้น
                    • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime ผลลัพธ์อยู่ได้นานถึง 12-24 เดือน หลังทำเพียงครั้งเดียว
                    • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น สามารถใช้ชีวิตประจำวันหลังทำ
                    • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime สามารถยกกระชับได้หลายบริเวณ เช่น ใบหน้า ลำคอ และ เนินอก
                    • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime ช่วยทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์และกระชับขึ้น
                    • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime เทคโนโลยีผ่านการรับรองจาก FDA ไม่เป็นอันตราย และมีประสิทธิภาพที่เชื่อถือได้

                     

                    ข้อดีของโปรแกรม EMFACE

                    • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE ช่วยยกกระชับผิวหน้าและกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อพร้อมกันอย่างมีประสิทธิภาพ
                    • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE ฟื้นฟูคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวกระชับ เต่งตึงมากขึ้น
                    • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE ไม่เจ็บปวด ไม่ต้องใช้ยาชา รู้สึกผ่อนคลายระหว่างทำ
                    • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE เห็นผลลัพธ์ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ
                    • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE ไม่ต้องพักฟื้น สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ทันทีหลังทำ
                    • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE ใช้เวลาทำเพียง 20-30 นาทีต่อครั้ง
                    • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE ลดเลือนริ้วรอยเล็ก ๆ บนใบหน้า โดยเฉพาะบริเวณหน้าผาก หางตา และรอบปาก
                    • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE เหมาะกับทุกสภาพผิว และทุกโทนสีผิว

                     

                    ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ulthera Prime และโปรแกรม EMFACE ช่วยอะไรบ้าง?
                    ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime และโปรแกรม EMFACE ช่วยอะไรบ้าง?

                     

                    ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime และโปรแกรม EMFACE ช่วยอะไรบ้าง?

                    ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime และโปรแกรม EMFACE เป็นเทคโนโลยียกกระชับผิวที่ล้ำสมัย แต่มีจุดเด่นและการทำงานที่แตกต่างกัน ซึ่งช่วยแก้ปัญหาผิวในหลายมิติ ดังนี้

                    ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime ช่วยอะไรบ้าง?

                    • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime ช่วยส่งพลังงานลงลึกถึงชั้น SMAS 
                    • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime ช่วยยกกระชับกรอบหน้าคมชัด ดูเรียวได้รูป
                    • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime ช่วยยกกระชับผิวหย่อนคล้อยบริเวณลำคอและใต้คาง
                    • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime ช่วยยกหางตาและคิ้ว ทำให้ดวงตากลมโตและอ่อนเยาว์ขึ้น
                    • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime ช่วยลดปัญหาหนังตาตก ยกเปลือกตาที่หย่อนคล้อยให้ดูสดใส
                    • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้ผิวแน่นและกระชับขึ้น
                    • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime ช่วยลดเลือนริ้วรอยลึก โดยเฉพาะบริเวณหน้าผาก รอบดวงตา และร่องแก้ม
                    • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime ช่วยฟื้นฟูความยืดหยุ่นของผิว ให้กลับมาอ่อนเยาว์อีกครั้ง

                     

                    โปรแกรม EMFACE ช่วยอะไรบ้าง?

                    • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE ช่วยให้ใบหน้ายกกระชับขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
                    • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE ช่วยกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อเพื่อให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์
                    • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE ช่วยสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ใต้ผิว
                    • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE ช่วยลดริ้วรอยตื้น โดยเฉพาะบริเวณหน้าผาก รอบดวงตา และร่องแก้ม
                    • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE ช่วยยกผิวหนังชั้นบนที่หย่อนคล้อยให้กระชับขึ้น
                    • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE ช่วยทำให้กรอบหน้าดูเรียวได้รูปมากขึ้น
                    • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE ช่วยลดความหย่อนคล้อยบริเวณแก้ม ให้กระชับและเต่งตึงขึ้น

                     

                    ยกกระชับผิวหน้า Ultherapy Prime และโปรแกรม EMFACE เลือกเทคโนโลยีไหนให้เหมาะกับคุณ?

                    การเลือกเทคโนโลยีระหว่างโปรแกรม Ultherapy Prime และโปรแกรม EMFACE ขึ้นอยู่กับปัญหาผิว สภาพผิว และผลลัพธ์ที่ต้องการ โดยแต่ละเทคโนโลยีมีจุดเด่นและการทำงานที่แตกต่างกัน โดยหลักการเลือกเทคโนโลยียกกระชับผิวหน้า มีดังนี้

                    • หากมีปัญหาผิวหย่อนคล้อยอย่างชัดเจน และต้องการยกกระชับในชั้นลึกถึง SMAS การเลือกยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime จะตอบโจทย์ได้ดี
                    • หากคุณต้องการยกกระชับใบหน้าในระดับกล้ามเนื้อ พร้อมฟื้นฟูผิวโดยไม่เจ็บปวด การเลือกยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE เป็นตัวเลือกที่เหมาะสม

                    ปัจจัยที่ควรพิจารณาก่อนเลือกการยกกระชับผิวหน้าโปรแกรมUltherapy Prime และโปรแกรม EMFACE

                    • ปัญหาผิว

                    หากมีปัญหาผิวหย่อนคล้อยลึกและต้องการยกกระชับผิวชั้น SMAS จะเหมาะสำหรับยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime แต่ถ้าหากปัญหาหลักคือกล้ามเนื้อใบหน้าอ่อนแรงร่วมกับผิวหย่อนคล้อยเล็กน้อย จะเหมาะสำหรับยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE มากกว่า

                    • ระดับความหย่อนคล้อย

                    กรณีผิวมีความหย่อนคล้อยในระดับปานกลางถึงมาก ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime จะให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน ส่วนผิวมีความหย่อนคล้อยในระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE จะเหมาะสมและเห็นผลได้ดี

                    • ช่วงอายุ

                    ผู้ที่มีอายุระหว่าง 30-60 ปี เป็นช่วงวัยที่เผชิญกับปัญหาผิวหย่อนคล้อยอย่างชัดเจน เหมาะสำหรับการยกกระชับผิวหน้าด้วยโปรแกรม Ultherapy Prime สำหรับผู้ที่มีอายุระหว่าง 25-50 ปี ที่ต้องการดูแลผิว ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE เป็นทางเลือกที่เหมาะสม

                    • ระยะเวลาพักฟื้น

                    ทั้งยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ulthera SPT และโปรแกรม EMFACE ต่างเหมาะสำหรับผู้ที่ไม่มีเวลาพักฟื้น เพราะทั้ง 2 เทคโนโลยีสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันปกติหลังทำได้ทันที

                    • ผลลัพธ์ยกกระชับ

                    หากต้องการผลลัพธ์ที่ยาวนานต่อเนื่องโปรแกรม Ultherapy Prime จะตอบโจทย์มากกว่า แต่ถ้าหากต้องการเห็นผลลัพธ์อย่างรวดเร็วหลังทำครั้งแรก ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE สามารถมอบผลลัพธ์ที่ดีได้ทันที

                     

                    การเตรียมตัวก่อนยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime และโปรแกรม EMFACE

                    • ก่อนทำโปรแกรม Ultherapy Prime และโปรแกรม EMFACE ควรเข้ารับคำปรึกษากับแพทย์เพื่อประเมินสภาพผิวและวางแผนการรักษา
                    • ก่อนทำโปรแกรม Ultherapy Prime และโปรแกรม EMFACE งดยาในกลุ่มยาต้านการแข็งตัวของเลือด อย่างน้อย 1 สัปดาห์
                    • ก่อนทำโปรแกรม Ultherapy Prime และโปรแกรม EMFACE งดอาหารเสริมบางชนิด เช่น วิตามินอี น้ำมันปลา โสม
                    • ก่อนทำโปรแกรม Ultherapy Prime และโปรแกรม EMFACE งดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ AHA BHA และ Retinol อย่างน้อย 1 สัปดาห์
                    • ก่อนทำโปรแกรม Ultherapy Prime และโปรแกรม EMFACE งดการทำทรีตเมนต์ผิวหน้า ประมาณ 2 สัปดาห์ 
                    • ก่อนทำโปรแกรม Ultherapy Prime และโปรแกรม EMFACE หลีกเลี่ยงเลเซอร์ผิว ประมาณ 2 สัปดาห์ 
                    • ก่อนทำโปรแกรม Ultherapy Prime และโปรแกรม EMFACE หลีกเลี่ยงแสงแดดจัด หรือ ตากแดดเป็นเวลานาน
                    • ก่อนทำโปรแกรม Ultherapy Prime และโปรแกรม EMFACE หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก
                    • ก่อนทำโปรแกรม Ultherapy Prime และโปรแกรม EMFACE งดแต่งหน้าหรือบำรุงผิวด้วยสกินแคร์ในวันทำหัตถการ
                    • ก่อนทำโปรแกรม Ultherapy Prime และโปรแกรม EMFACE ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ

                     

                    การดูแลตัวเองหลังยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime และโปรแกรม EMFACE

                    • หลังทำโปรแกรม Ultherapy Prime และโปรแกรม EMFACE หลีกเลี่ยงการขัดผิว สครับผิว อย่างน้อย 1 สัปดาห์
                    • หลังทำโปรแกรม Ultherapy Prime และโปรแกรม EMFACE หลีกเลี่ยงการถูหรือกดใบหน้า ในช่วง 3-5 วันแรก
                    • หลังทำโปรแกรม Ultherapy Prime และโปรแกรม EMFACE งดอบซาวน่า อบไอน้ำ อย่างน้อย 1 สัปดาห์
                    • หลังทำโปรแกรม Ultherapy Prime และโปรแกรม EMFACE งดออกกำลังกายหนักที่ทำให้เหงื่อออกมากใน 48 ชั่วโมงแรก
                    • หลังทำโปรแกรม Ultherapy Prime และโปรแกรม EMFACE งดใช้สกินแคร์ที่มีกรดผลัดเซลล์ผิว เช่น AHA, BHA และ Retinol ประมาณ 1 สัปดาห์
                    • หลังทำโปรแกรม Ultherapy Prime และโปรแกรม EMFACE ควรทาครีมบำรุงผิวที่อ่อนโยน เพื่อช่วยให้ผิวชุ่มชื้นขึ้น
                    • หลังทำโปรแกรม Ultherapy Prime และโปรแกรม EMFACE ควรดื่มน้ำให้เพียงพอ ช่วยให้ผิวฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
                    • หลังทำโปรแกรม Ultherapy Prime และโปรแกรม EMFACE ควรทาครีมกันแดด SPF 50 PA+++ ทุกวัน

                     

                    รวมคำถามต้องรู้ก่อนทำยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime และโปรแกรม EMFACE

                     

                    ระหว่างยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime และโปรแกรม EMFACE ควรเลือกเทคโนโลยีไหน?

                    • หากมีปัญหาผิวหย่อนคล้อยในระดับลึก เช่น กรอบหน้าไม่ชัด หนังตาตก หรือผิวหย่อนคล้อย ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime จะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม เพราะสามารถยกกระชับได้ถึงชั้นผิวที่ลึก แบบไม่ต้องผ่าตัด แต่ถ้าหากมีปัญหาผิวหย่อนคล้อยระดับตื้น กล้ามเนื้อใบหน้าอ่อนแรง และต้องการเห็นผลลัพธ์รวดเร็วโดยไม่เจ็บปวด ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE จะเหมาะสมกว่า เพราะสามารถฟื้นฟูกล้ามเนื้อและผิวชั้นบนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

                     

                    ทำยกกระชับผิวหน้าโปรแกรมUltherapy Prime และโปรแกรม EMFACE ควบคู่กันได้หรือไม่?

                    • สามารถทำยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime และโปรแกรม EMFACE ควบคู่กันได้ เพราะทั้งสองเทคโนโลยีทำงานในชั้นผิวที่แตกต่างกัน โดยยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime จะเน้นยกกระชับชั้น SMAS ในระดับลึก ขณะที่ยกกระชับผิวหน้า EMFACE จะเน้นฟื้นฟูกล้ามเนื้อและผิวชั้นบน การทำทั้งสองหัตถการร่วมกัน จะช่วยให้ผลลัพธ์ที่ได้มีประสิทธิภาพสูงสุด ครอบคลุมทั้งชั้นลึกและชั้นตื้น

                     

                    ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime และโปรแกรม EMFACE มีผลข้างเคียงอะไรบ้าง?

                    • ทั้งยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime และโปรแกรม EMFACE มีผลข้างเคียงที่น้อยมาก โดยยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime อาจทำให้มีอาการบวม แดง หรือรู้สึกตึงผิวเล็กน้อยหลังทำ ซึ่งอาการเหล่านี้จะหายไป ภายใน 1-2 วัน ส่วนยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE อาจทำให้รู้สึกตึงหรือระคายเคืองเล็กน้อยที่บริเวณกล้ามเนื้อใบหน้า ซึ่งอาการดังกล่าวมักหายไปภายในไม่กี่ชั่วโมง

                     

                    อายุเท่าไหร่ควรเริ่มทำยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime หรือโปรแกรม EMFACE?

                    • การทำยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุประมาณ 30-60 ปี ซึ่งมักเริ่มมีปัญหาผิวหย่อนคล้อยอย่างชัดเจน ขณะที่โปรแกรม EMFACE เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุระหว่าง 25-50 ปี ซึ่งเริ่มสังเกตเห็นปัญหาผิวหย่อนคล้อยเล็กน้อยและต้องการฟื้นฟูกล้ามเนื้อใบหน้า

                     

                    ต้องทำยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime หรือโปรแกรม EMFACE บ่อยแค่ไหนถึงจะได้ผลดี?

                    • สำหรับยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime การทำ 1 ครั้งต่อปี ก็เพียงพอที่จะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนและยาวนาน แต่สำหรับยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE ควรทำตามโปรแกรมแนะนำ คือ 4 ครั้งต่อเนื่อง เพื่อกระตุ้นกล้ามเนื้อและผิวอย่างเต็มที่ หลังจากนั้นควรทำซ้ำปีละ 1-2 ครั้งเพื่อคงสภาพผิวที่ยกกระชับ

                     

                    ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรมUltherapy Prime และโปรแกรม EMFACE มีความอันตรายไหม?

                    • ทั้งยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime และโปรแกรม EMFACE เป็นเทคโนโลยีที่ผ่านการรับรองจาก US FDA (องค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกา) ว่าไม่เป็นอันตรายและมีประสิทธิภาพในการยกกระชับผิวหน้า โดยผลข้างเคียงที่พบได้น้อยมากและมักเป็นเพียงอาการชั่วคราว ทั้งสองเทคโนโลยีสามารถทำได้โดยไม่ต้องกังวลถึงผลกระทบระยะยาว

                     

                    การทำยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime หรือโปรแกรม EMFACE สามารถใช้ร่วมกับการรักษาอื่นได้ไหม?

                    • การทำยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime หรือโปรแกรม EMFACE สามารถใช้ร่วมกับการรักษาอื่น ๆ ได้ เช่น โปรแกรมฉีดโบ, โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ หรือโปรแกรมเลเซอร์ อย่างไรก็ตาม ควรปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนการรักษาอย่างเหมาะสม เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากผลข้างเคียง และเพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาดี

                     

                    โปรแกรม Ultherapy Prime และ EMFACE ต่างก็เป็นเทคโนโลยียกกระชับผิวหน้า ที่ตอบโจทย์ปัญหาผิวหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ด้วยระบบการทำงานและจุดเด่นที่แตกต่างกัน การเลือกเทคโนโลยีที่เหมาะสมจึงขึ้นอยู่กับสภาพผิว ปัญหาที่ต้องการแก้ไข และผลลัพธ์ที่คาดหวัง

                     

                    ซึ่งหากใครกำลังมองหาการยกกระชับที่ลงลึกถึงชั้น SMAS เพื่อจัดการกับปัญหาผิวหย่อนคล้อยอย่างชัดเจน พร้อมทั้งต้องการผลลัพธ์ที่ยาวนาน โปรแกรม Ultherapy Prime คือคำตอบที่เหมาะสม ในทางกลับกัน หากต้องการยกกระชับผิวพร้อมกับฟื้นฟูกล้ามเนื้อใบหน้า เพิ่มความกระชับในชั้นตื้น และต้องการเห็นผลลัพธ์ที่รวดเร็วโดยไม่ต้องพักฟื้น EMFACE จะเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ได้เป็นอย่างดี

                     

                    อย่างไรก็ตาม การผสมผสานพลังของทั้งสองเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะจะช่วยเสริมประสิทธิภาพ ในการยกกระชับผิวหน้าได้อย่างครอบคลุมทุกชั้นผิว ตั้งแต่ชั้นลึกจนถึงชั้นตื้น พร้อมฟื้นฟูกล้ามเนื้อและคอลลาเจนอย่างเต็มประสิทธิภาพ

                    ฉีดโบออฟฟิศซินโดรม ทางเลือกใหม่ แก้ปัญหาปวดคอ บ่า ไหล่

                    office syndrome

                    ฉีดโบออฟฟิศซินโดรม ทางเลือกใหม่ แก้ปัญหาปวดคอ บ่า ไหล่

                     

                    ปัญหาออฟฟิศซินโดรม เป็นปัญหาสุขภาพที่หลายคนกำลังเผชิญอยู่ และพบได้บ่อยมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะผู้ที่ต้องนั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน โดยไม่ได้มีการเปลี่ยนท่าทางที่เหมาะสม ส่งผลให้กล้ามเนื้อเกิดความตึงเครียด โดยเฉพาะบริเวณคอ บ่า ไหล่ และหลัง ซึ่งอาจนำไปสู่อาการปวดเมื่อยเรื้อรัง จนส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต และประสิทธิภาพในการทำงานได้

                    ปัจจุบัน มีทางเลือกในการรักษาอาการปวดเมื่อยจากออฟฟิศซินโดรมมากมาย ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ “โปรแกรมฉีดโบ” ซึ่งเป็นหัตถการที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน สามารถช่วยลดอาการปวดเมื่อยบริเวณคอ บ่า ไหล่ และหลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ บทความนี้ จะพาไปไขข้อสงสัยเกี่ยวกับโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรมอย่างละเอียดว่า โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรมคืออะไร? โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรมมีหลักการทำงานอย่างไร? และโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรมช่วยแก้ไขปัญหาอะไรได้บ้าง? เพื่อเป็นแนวทางในการตัดสินใจสำหรับผู้ที่กำลังมองหาวิธีรักษาออฟฟิศซินโดรมค่ะ

                     

                    โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม คืออะไร? เหมาะกับใคร?
                    โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม คืออะไร?

                     

                    โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม คืออะไร? เหมาะกับใคร? อัปเดต 2025

                    โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม คืออะไร?

                    โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม เป็นการรักษาที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน โดยการนำสารที่สกัดจากแบคทีเรียชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นโปรตีนบริสุทธิ์ที่ฉีดเข้าไปยังบริเวณกล้ามเนื้อที่เกิดการหดเกร็ง เพื่อให้กล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดคลายตัว และลดอาการปวดเมื่อยจากออฟฟิศซินโดรมได้เป็นอย่างดี ซึ่งปัญหาออฟฟิศซินโดรม มักเกิดจากการนั่งทำงานเป็นเวลานานในท่าที่ไม่ถูกต้อง ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณคอ บ่า ไหล่ และหลัง เกิดอาการตึงเครียด จนส่งผลเสียต่อสุขภาพโดยรวมได้

                     

                    โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม มีหลักการทำงานอย่างไร?

                    โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรมนั้น สามารถออกฤทธิ์ได้กับกล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดโดยตรง เมื่อฉีดโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม สารโปรตีนบริสุทธิ์จะเข้าไปยังบริเวณที่หดเกร็ง หรือถูกใช้งานอย่างหนักเป็นเวลานาน เช่น คอ บ่า ไหล่ และหลัง โดยจะ ยับยั้งสัญญาณประสาทที่ส่งไปยังกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อที่หดเกร็งซ้ำ ๆ เกิดการคลายตัว และลดความตึงเครียดลงชั่วคราว อีกทั้ง ยังลดการหลั่งสารที่ทำให้เกิดการหดตัวของกล้ามเนื้อ มีชื่อเรียกว่า “Trigger Point” ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อเรื้อรัง

                    โดย Trigger Point คือ จุดที่กล้ามเนื้อเกิดการหดเกร็งตัวอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน จนกลายเป็นก้อนแข็ง ๆ ขนาดเล็ก ซึ่งมักจะมีขนาดประมาณ 0.5 – 1 เซนติเมตร เมื่อกดลงไปที่จุดนี้จะรู้สึกเจ็บปวด และอาจปวดลามไปยังบริเวณอื่น ๆ ของร่างกายได้ ซึ่งส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นกับกล้ามเนื้อส่วนบน เช่น คอ บ่า ไหล่ และหลัง เนื่องจากการใช้งานกล้ามเนื้อที่ไม่เหมาะสม หรือการนั่งทำงานในท่าทางที่ไม่ถูกต้อง หากปล่อยไว้อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพโดยรวมได้ ดังนั้น โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรมจึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่สามารถลดอาการปวดเมื่อย แก้ปัญหาออฟฟิศซินโดรมบริเวณคอ บ่า ไหล่ และหลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

                     

                    ทำความรู้จักออฟฟิศซินโดรม คืออะไร?

                    ออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome) คือ อาการที่เกิดจากการนั่งทำงาน ในลักษณะที่ใช้กล้ามเนื้อมัดเดิมซ้ำ ๆ อย่างต่อเนื่องในท่าทางที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้บ่อยในกลุ่มพนักงานออฟฟิศ ที่ต้องนั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน ทำให้กล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ เกร็งตัวมากกว่าปกติ โดยเฉพาะบริเวณคอ บ่า ไหล่ และหลัง ส่งผลให้เกิดอาการปวดเมื่อยเรื้อรัง หรือเกิดการอักเสบ ซึ่งในบางกรณีอาจมีอาการปวดกระบอกตา หรือปวดศีรษะร่วมด้วย

                     

                    พฤติกรรมเสี่ยงออฟฟิศซินโดรม มีอะไรบ้าง?
                    พฤติกรรมเสี่ยงออฟฟิศซินโดรม มีอะไรบ้าง?

                     

                    พฤติกรรมเสี่ยงออฟฟิศซินโดรม มีอะไรบ้าง?

                    ปัญหาออฟฟิศซินโดรม ส่วนใหญ่มักเกิดจากพฤติกรรมในการใช้ชีวิตประจำวัน ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้ ล้วนเป็นปัจจัยที่นำไปสู่อาการปวดเมื่อยตามร่างกาย พบได้บ่อยในบริเวณคอ บ่า ไหล่ และหลัง หากปล่อยทิ้งไว้เป็นเวลานาน อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพ และคุณภาพชีวิตในระยะยาวได้ โดยพฤติกรรมเสี่ยง มีดังนี้

                    นั่งทำงานท่าเดิมนาน ๆ 

                    • การนั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน โดยไม่ได้มีการปรับเปลี่ยนท่าทาง หรือหยุดพัก เพื่อยืดเส้นยืดสาย อาจทำให้กล้ามเนื้อ และกระดูกต้องรองรับแรงกดดันอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้กล้ามเนื้อตึงเครียด และเกิดอาการปวดเมื่อยได้

                    ท่าทางการนั่งไม่เหมาะสม

                    • การนั่งทำงานในท่าทางที่ไม่เหมาะสม เช่น นั่งหลังค่อม นั่งคอไม่ตรง นั่งไขว่ห้าง หรือการนั่งท่าเดิม ๆ ซ้ำ ๆ อย่างต่อเนื่อง อาจส่งผลต่อกระดูกสันหลัง และกล้ามเนื้อ ทำให้เกิดอาการปวดเมื่อยได้

                    ยกของหนักผิดวิธี

                    • การยกของหนัก โดยไม่ได้ใช้ท่าทางที่ถูกต้อง หรือยกของหนักมากเกินไป อาจทำให้กล้ามเนื้อ และข้อต่อได้รับบาดเจ็บ จนเกิดอาการปวดเมื่อยได้

                    ความเครียด

                    • เมื่อรู้สึกเครียด ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนความเครียดออกมา ทำให้กล้ามเนื้อเกิดอาการเกร็ง และตึงเครียด โดยเฉพาะบริเวณคอ บ่า ไหล่ และหลัง ส่งผลให้เกิดอาการปวดเมื่อยต่าง ๆ ตามมา

                    การพักผ่อนไม่เพียงพอ 

                    • การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ ทำให้ร่างกายไม่สามารถฟื้นฟู และซ่อมแซมกล้ามเนื้อได้อย่างเต็มที่ ส่งผลให้กล้ามเนื้อเกิดอาการตึงเครียด และเมื่อยล้า โดยเฉพาะบริเวณคอ บ่า ไหล่ และหลัง

                    สภาพแวดล้อมในการทำงานไม่เหมาะสม 

                    • สภาพแวดล้อมในการทำงานไม่เหมาะสม เช่น โต๊ะทำงานสูงเกินไปหรือต่ำเกินไป นั่งเก้าอี้ที่ไม่รองรับสรีระ หรือแสงสว่างไม่เพียงพอ อาจทำให้กล้ามเนื้อหดตัว และเกิดอาการปวดเมื่อยตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ เช่น คอ บ่า ไหล่ และหลัง

                    ขาดการออกกำลังกาย

                    • การขาดการออกกำลังกาย ส่งผลให้เกิดออฟฟิศซินโดรมได้ เนื่องจากกล้ามเนื้ออ่อนแรง และขาดความยืดหยุ่น จนไม่สามารถรองรับการทำงานของร่างกายได้อย่างเต็มที่ เมื่อต้องนั่งทำงานท่าเดิมซ้ำ ๆ  เป็นเวลานาน ทำให้กล้ามเนื้อเกิดอาการตึงเครียด และปวดเมื่อยได้ง่าย

                     

                    อาการแบบไหนเข้าข่าย ออฟฟิศซินโดรม?
                    อาการแบบไหนเข้าข่าย ออฟฟิศซินโดรม?

                     

                    อาการแบบไหนเข้าข่าย ออฟฟิศซินโดรม?

                    ออฟฟิศซินโดรม มีลักษณะอาการที่หลากหลาย และแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล แต่โดยทั่วไปแล้ว อาการที่เข้าข่ายออฟฟิศซินโดรม มีดังนี้

                    • ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ มักเกิดขึ้นบริเวณคอ บ่า ไหล่ สะบัก และหลัง ซึ่งเป็นอาการที่พบได้บ่อยในผู้ที่เป็นออฟฟิศซินโดรม ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการนั่ง หรือยืนในท่าทางที่ไม่เหมาะสมเป็นเวลานาน 
                    • ปวดศีรษะ ในบางกรณี อาจมีอาการปวดศีรษะไมเกรนร่วมด้วย ซึ่งมักเกิดจากความเครียด หรือการใช้สายตาจดจ่อกับหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน
                    • ปวดกระบอกตา ตาล้าพร่ามัว เกิดจากการจ้องมองหน้าจอนาน หรือใช้สายตามากจนเกินไป ส่งผลให้เกิดอาการตาแห้ง ปวดกระบอกตา และตาล้าได้
                    • มือชาและนิ้วล็อก มักเกิดจากการที่ใช้งานมือ และข้อมือซ้ำ ๆ ในท่าเดิม ๆ เป็นเวลานาน ทำให้กล้ามเนื้อ และเส้นประสาทบริเวณนั้นถูกกดทับ รวมถึงเกิดการอักเสบได้
                    • ปวดตึง เหน็บชา ซึ่งส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นบริเวณแขน และขา เกิดจากการนั่งในท่าเดิมเป็นเวลานาน ทำให้การไหลเวียนของเลือดผิดปกติ

                     

                    โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม ช่วยแก้ปัญหาอะไรบ้าง?
                    โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม ช่วยแก้ปัญหาอะไรบ้าง?

                     

                    โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม ช่วยแก้ปัญหาอะไรบ้าง?

                    • โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม ช่วยลดอาการปวดเมื่อยเรื้อรังบริเวณคอ บ่า ไหล่ และหลัง ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดผ่อนคลายลง
                    • โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม ช่วยลดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ (Trigger Point) 
                    • โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม ช่วยให้ลำคอระหง ดูเรียวยาว และมีสัดส่วนที่สวยงาม
                    • โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม ช่วยให้ช่วงบ่า และไหล่มีความเรียวเล็ก มีสัดส่วน และรูปทรงที่เหมาะสม
                    • โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม ช่วยให้ร่างกายเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องตัวมากขึ้น สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
                    • โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม  ช่วยป้องกันไม่ให้อาการปวดเมื่อยลุกลามไปมากกว่าเดิม

                     

                    ใครที่เหมาะกับการทำโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม ?
                    ใครที่เหมาะกับการทำโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม ?

                     

                    ใครที่เหมาะกับการทำโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม ?

                    • โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม เหมาะสำหรับผู้ที่นั่งทำงานเป็นเวลานานโดยไม่เปลี่ยนท่าทาง
                    • โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการปวดคอ บ่า ไหล่ และหลังแบบเรื้อรัง
                    • โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาการยกไหล่ ไหล่ติด ไม่สามารถยกไหล่ได้อย่างเต็มที่
                    • โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการรับประทานยาแก้ปวด หรือเสี่ยงเป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบ
                    • โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม เหมาะสำหรับผู้ที่เคยลองรักษาออฟฟิศซินโดรมด้วยวิธีอื่นแต่ไม่ได้ผล
                    • โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม เหมาะสำหรับผู้ที่ออกกำลังกายหนัก ใช้งานกล้ามเนื้อมัดเดิมซ้ำ ๆ จนไหล่แข็ง
                    • โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาบ่าและไหล่ หัวไหล่มีความกว้าง ต้องการลดขนาดกล้ามเนื้อให้ดูเรียวเล็กมากขึ้น
                    • โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเห็นผลลัพธ์ที่รวดเร็ว

                     

                    ใครที่ไม่เหมาะกับการทำโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม?

                    • โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหากล้ามเนื้ออ่อนแรงขั้นรุนแรง
                    • โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม  ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีประวัติแพ้สารประกอบ ในโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม
                    • โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ ควรหลีกเลี่ยงไปก่อน
                    • โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังให้นมบุตร ควรหลีกเลี่ยงไปก่อน
                    • โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะเลือดหยุดไหลยาก
                    • โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีแผลติดเชื้อ ในบริเวณที่จะทำโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม 
                    • โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีความผิดปกติทางกล้ามเนื้อ และระบบประสาท

                     

                    ข้อดีของทำโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม

                    • โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม สามารถลดอาการปวดเมื่อยคอ บ่า ไหล่ได้อย่างตรงจุด
                    • โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม ไม่ต้องพักฟื้น หลังทำสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ
                    • โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม มีความสะดวก รวดเร็ว ใช้เวลาในการรักษาไม่นาน
                    • โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม สามารถเห็นผลลัพธ์ที่รวดเร็ว และจะเห็นผลลัพธ์ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ภายใน 7 – 14 วันหลังฉีด
                    • โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม สามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ได้รับการยอมรับในวงการแพทย์
                    • โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม ทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น โดยไม่ต้องรับประทานยาแก้ปวดอีกต่อไป

                     

                    ข้อเสียของการทำโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม

                    • โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม จะให้ผลลัพธ์เพียงชั่วคราว ไม่คงอยู่ถาวร โดยส่วนใหญ่แล้ว การทำโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม จะอยู่ได้นาน ประมาณ 3 – 6 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อโปรแกรมฉีดโบที่เลือกใช้ หลังจากนั้นอาการปวดเมื่อยอาจกลับมาเป็นอีก จึงต้องมีการฉีดซ้ำเป็นระยะเมื่อครบกำหนด
                    • โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม ไม่ใช่การแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ ดังนั้น จึงควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต และดูแลสุขภาพร่างกายควบคู่ไปด้วย
                    • โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม ต้องฉีดโดยแพทย์ที่มีความรู้ และมีประสบการณ์เท่านั้น เนื่องจากแพทย์จะเป็นผู้ประเมินปัญหาของแต่ละบุคคล เพื่อวางแผนการรักษา กำหนดตำแหน่งที่ต้องฉีดอย่างแม่นยำ และเลือกปริมาณยาที่เหมาะสม ลดโอกาสเสี่ยงให้การเกิดผลข้างเคียงอันตราย

                     

                    โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม แตกต่างจากการรักษาด้วยวิธีอื่นอย่างไร?

                    โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม มีความแตกต่างจากวิธีการรักษาอื่น ๆ อย่างชัดเจน ซึ่งแต่ละวิธีมีหลักการทำงานและข้อดีที่แตกต่างกันออกไป ดังนี้

                    โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม

                    • โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม เป็นการฉีดสารสกัดจากแบคทีเรียชนิดหนึ่ง ที่มีฤทธิ์ในการยับยั้งการทำงานของกล้ามเนื้อโดยตรง โดยจะเข้าไปบล็อกสัญญาณประสาทที่ส่งไปยังกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อที่หดเกร็ง เกิดการคลายตัวชั่วคราว จึงสามารถลดอาการปวดเมื่อย บริเวณคอ บ่า ไหล่ หลังได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ ถือเป็นวิธีการแก้ไขปัญหาออฟฟิศซินโดรมที่ไม่ต้องพักฟื้น

                    กายภาพบำบัด 

                    • การกายภาพบำบัด เป็นการยืดเหยียดกล้ามเนื้อ และใช้เครื่องมือทางการแพทย์ร่วมด้วย เพื่อเพิ่มความแข็งแรง และเพิ่มความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อที่ตึงเครียดให้คลายตัว พร้อมปรับปรุงท่าทางการนั่ง และการยืนที่ถูกต้อง เพื่อลดอาการปวดเมื่อยบริเวณคอ บ่า ไหล่ และหลังได้อย่างตรงจุด ลดความเสี่ยงในการเกิดอาการปวดเมื่อยซ้ำ ๆ

                    นวดแผนไทย

                    • การนวดแผนไทย เป็นการนวดที่ใช้เทคนิคในการกดจุด หรือนวดเฉพาะจุด เพื่อยืดกล้ามเนื้อที่ตึงเครียด ให้ผ่อนคลายลงชั่วคราว ซึ่งเป็นวิธีการแก้ไขปัญหาอาการปวดเมื่อยที่มีมาอย่างยาวนาน ถือเป็นวิธีการทางธรรมชาติ ที่ช่วยลดอาการปวดเมื่อยออฟฟิศซินโดรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

                    ฝังเข็ม 

                    • การฝังเข็มออฟฟิศซินโดรม เป็นการปรับสมดุลของร่างกายให้กลับมาเป็นปกติ  โดยใช้เข็มเล็ก ๆ ปักลงไปยังบริเวณที่มีอาการปวดเมื่อย เช่น คอ บ่า ไหล่ หลัง เพื่อกระตุ้นให้เกิดการหลั่งสารสื่อประสาท ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณนั้นเกิดการคลายตัว พร้อมกระตุ้นการไหลเวียนเลือดให้ไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย จึงถือเป็นอีกทางเลือกในการรักษาออฟฟิศซินโดรมแบบแพทย์แผนจีน

                    รับประทานยา 

                    • รับประทานยาแก้ปัญหาออฟฟิศซินโดรม เป็นการใช้ยาแก้ปวด ยาคลายกล้ามเนื้อ หรือยาต้านการอักเสบ เพื่อลดอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และลดการอักเสบลงชั่วคราว ทั้งนี้ การรับประทานยาบางชนิดเป็นเวลานาน อาจเกิดผลข้างเคียงต่อกระเพาะอาหาร ไต และตับได้ ดังนั้น ควรปรึกษาแพทย์อย่างละเอียด ก่อนตัดสินใจรับประทานยา โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัว หรือผู้ที่แพ้ยา

                     

                    วิธีการเตรียมตัวก่อนทำโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม

                    • ก่อนทำโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม ควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการรักษาออฟฟิศซินโดรมอย่างรอบคอบ 
                    • ก่อนทำโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม ควรแจ้งประวัติสุขภาพ ประวัติโรคประจำตัว ยาที่กำลังรับประทาน รวมถึง อาการแพ้ต่าง ๆ ให้แพทย์ทราบ
                    • ก่อนทำโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม งดรับประทานยา หรืออาหารเสริมที่ส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด อย่างน้อย 2 สัปดาห์
                    • ก่อนทำโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด อย่างน้อย 24 ชั่วโมง
                    • ก่อนทำโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม งดสูบบุหรี่ อย่างน้อย 24 ชั่วโมง
                    • ก่อนทำโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม งดผลัดเซลล์ผิว หรือสครับผิวในบริเวณที่จะทำการฉีด อย่างน้อย 2 – 3 วัน
                    • ก่อนทำโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม แนะนำให้นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายพร้อมสำหรับการฉีดโบ

                     

                    วิธีการดูแลตัวเองหลังทำโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม

                    • หลังทำโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม แนะนำให้ขยับกล้ามเนื้อในบริเวณที่ฉีดบ่อย ๆ ในช่วง 30 นาทีแรก เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม 
                    • หลังทำโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม งดนอนราบ หรือนอนคว่ำ อย่างน้อย 3 ชั่วโมงแรก 
                    • หลังทำโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม งดนวด บีบ หรือกดบริเวณที่ฉีด อย่างน้อย 24 ชั่วโมงแรก
                    • หลังทำโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม งดสัมผัสความร้อน เช่น เข้าซาวน่า อบไอน้ำ หรืออยู่ท่ามกลางแสงแดดเป็นเวลานาน 
                    • หลังทำโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม งดออกกำลังกายหนัก ๆ หรือกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออก
                    • หลังทำโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม งดการดื่มแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 2 สัปดาห์
                    • หลังทำโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม หลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสจัด หรือของหมักดอง อย่างน้อย 2 สัปดาห์
                    • หลังทำโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม แนะนำให้ปรับปรุงท่านั่ง และท่ายืนอย่างถูกต้อง เพื่อผลลัพธ์ที่ยั่งยืน
                    • หลังทำโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม หลีกเลี่ยงการนั่งท่าเดิมนาน ๆ ควรเปลี่ยนอิริยาบถบ่อย ๆ เพื่อป้องกันอาการปวดเมื่อยกลับมา

                     

                    Q&A คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ การทำโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม

                    โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม ควรใช้กี่ยูนิต?

                    • โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม มักจะใช้ปริมาณยูนิตที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของอาการ และบริเวณที่ต้องการรักษา โดยทั่วไปแล้ว ปริมาณยูนิตที่แนะนำสำหรับการทำโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม ประมาณ 50 – 100 ยูนิต ทั้งนี้ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการตัดสินใจ ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้ประเมินจุดที่ต้องฉีด และกำหนดปริมาณยูนิตที่เหมาะสมกับปัญหาที่ต้องแก้ไข เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ

                     

                    โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม กี่วันเห็นผล?

                    • หลังจากการทำโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรมแล้ว สามารถเห็นผลการเปลี่ยนแปลงได้ทันทีหลังฉีด โดยจะรู้สึกถึงการคลายตัวของกล้ามเนื้อที่ตึงเครียด และอาการปวดเมื่อยลดลง ซึ่งจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน เมื่อสารเริ่มทำงานอย่างเต็มที่ ภายใน 7 – 14 วันหลังฉีด 

                     

                    โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม อยู่ได้นานแค่ไหน?

                    • โดยทั่วไปแล้ว ผลลัพธ์หลังจากการทำโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรมจะอยู่ได้นาน ประมาณ 3 – 6 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อโปรแกรมฉีดโบที่เลือกใช้ ระดับความรุนแรงของอาการ และพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น การออกกำลังกาย การปรับท่าทางในการทำงาน ซึ่งจะช่วยเสริมประสิทธิภาพการทำโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม และช่วยยืดระยะเวลาของผลลัพธ์ได้ยาวนานยิ่งขึ้น

                     

                    โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม เจ็บไหม?

                    • โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม  อาจมีความรู้สึกเจ็บ หรือมีอาการตึงเพียงเล็กน้อยในระหว่างการฉีด ส่วนใหญ่ จะรู้สึกเหมือนถูกเข็มจิ้มเบา ๆ หรือแทบไม่รู้สึกเจ็บเลย ซึ่งเป็นระดับความเจ็บที่สามารถทนได้ เนื่องจากแพทย์จะใช้เข็มขนาดเล็กในการฉีด และอาจมีการใช้ยาชาร่วมด้วย เพื่อช่วยลดความรู้สึกเจ็บลงได้

                     

                    โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม อันตรายไหม?

                    • โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม  ถือว่ามีความเสี่ยงน้อย เมื่อฉีดโดยแพทย์ที่มีความรู้ ความชำนาญในคลินิกที่ได้มาตรฐาน และเลือกใช้ยี่ห้อโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม ที่ได้รับการรับรององค์การอาหารและยา (อย.) เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียงอันตรายได้

                    โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม มีผลข้างเคียงอะไรบ้าง?

                    โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรมมีความเสี่ยงน้อยแต่ก็มีโอกาสเกิดผลข้างเคียงได้ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผลข้างเคียงที่ไม่อันตราย ได้แก่

                    • อาการปวด และบวม ผู้ที่ทำโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรมอาจรู้สึกปวด หรือบวมในบริเวณที่ฉีดได้ ซึ่งเป็นอาการที่ปกติ และพบได้บ่อย สามารถหายได้เอง ภายใน 2 – 3 วัน
                    • มีรอยช้ำ ผู้ที่ทำโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม อาจมีรอยช้ำในบริเวณที่ฉีดได้ เนื่องจากการใช้เข็มฉีดยา ซึ่งเป็นอาการปกติ และสามารถหายได้เอง ภายใน 1 – 2 สัปดาห์

                    หากพบว่า มีผลข้างเคียงอันตรายจากโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซิโดรม เช่น กล้ามเนื้ออ่อนแรง ควรรีบพบแพทย์ทันที ซึ่งผลข้างเคียงอันตรายนี้ ถือเป็นอาการที่เกิดขึ้นได้น้อยมาก ส่วนใหญ่เกิดจากการที่แพทย์ฉีดผิดตำแหน่ง หรือใช้ปริมาณสารมากเกินความจำเป็น ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนตามมา

                     

                    หยุดทำโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม แล้วจะกลับมาเป็นซ้ำไหม?

                    • การหยุดทำโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรมนั้น อาจมีโอกาสที่ทำให้อาการปวดเมื่อย จะกลับมาเป็นซ้ำได้อีก เนื่องจากโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม จะทำหน้าที่คลายกล้ามเนื้อที่ตึงเครียดให้กลับมาเป็นปกติ เมื่อสารโปรตีนบริสุทธิ์ในโปรแกรมฉีดออฟฟิศซินโดรมหมดฤทธิ์ ภายในระยะเวลา 3 – 6 เดือน กล้ามเนื้อก็จะค่อย ๆ กลับมาหดเกร็งได้เหมือนเดิม หากไม่มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวืต และดูแลสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ

                     

                    จะเห็นได้ว่า การทำโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรมถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดี ในการแก้ไขปัญหาออฟฟิศซินโดรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเทียบกับวิธีการรักษาออฟฟิศซินโดรมอื่น ๆ เช่น การรับประทานยา การนวด หรือการกายภาพบำบัด เนื่องจากการทำโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม สามารถเห็นผลผลลัพธ์ได้อย่างรวดเร็ว ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดคลายตัวลง และลดอาการปวดเมื่อยได้อย่างตรงจุด โดยไม่ต้องมีการพักฟื้น 

                    ทั้งนี้ ก่อนตัดสินใจทำโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม ควรปรึกษาแพทย์อย่างละเอียด เพื่อประเมินสภาพร่างกาย และเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสม โดยแพทย์จะเป็นผู้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับข้อดี ข้อเสีย และผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการทำโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม เพื่อผลลัพธ์ที่ดี

                    จากดาหลาสู่ ฝ้าหนา ลูปฝ้า รักษายาก ร่วมไขปริศนาที่รมย์รวินท์

                    ดาหลา

                    จากดาหลาสู่ ฝ้าหนา ลูปฝ้า รักษายาก ร่วมไขปริศนาที่รมย์รวินท์

                    เปิดโปงเบาะแสลึกลับของดาหลา! ภายใต้ใบหน้าที่สวยงาม แต่กลับซ่อนปัญหาฝ้าไว้เบื้องหลัง ทั้งฝ้าหนา ลูปฝ้า แก้เท่าไหร่ก็ไม่หาย ซึ่งฝ้าเหล่านี้ อาจซ่อนอยู่ในพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่คาดไม่ถึง จนกลายเป็นตัวการกระตุ้นให้ฝ้ากลับมาใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม้จะผ่านการรักษามากี่ครั้ง ร่องรอยของฝ้าก็ยังคงอยู่ กลายเป็นปริศนาสำคัญที่นำไปสู่การสืบสวน จากฝ้าจุดเล็ก ๆ เริ่มลุกลามขยายวงกว้าง และมีสีเข้มขึ้นอย่างรวดเร็ว

                    รมย์รวินท์คลินิก ขอชวนคุณมาร่วมไขปริศนาความจริงที่ซ่อนอยู่ กับต้นตอของฝ้าที่ยากจะจางหาย พร้อมหยุดยั้งวงจรฝ้าหนา และคลี่คลายทุกปัญหาฝ้าว่า ฝ้าเกิดจากอะไร? ฝ้ามีกี่ประเภท? และฝ้ารักษาอย่างไรได้บ้าง? ก่อนที่ฝ้าจะแพร่กระจายไปทั่วใบหน้ามากกว่านี้ค่ะ

                     

                    ฝ้าหนา ลูปฝ้า รักษายาก ปิดตำนานปัญหาฝ้าด้วย โปรแกรม NU PICO BRIGHT

                    ฝ้ามีกี่แบบ?

                    • ฝ้าตื้น มีลักษณะเป็นสีน้ำตาลอ่อนถึงน้ำตาลเข้ม สามารถเห็นขอบของฝ้าได้อย่างชัดเจน และตอบสนองต่อการรักษาได้ดี โดยจะเกิดขึ้นในผิวชั้นนอก หรือชั้นหนังกำพร้า (Epidermis)
                    • ฝ้าลึก มีลักษณะเป็นสีน้ำตาลเทา หรือเทาเข้ม กลมกลืนไปกับผิว ไม่มีขอบเขตที่ชัดเจน และสามารถรักษาได้ยากกว่าฝ้าตื้น โดยจะเกิดขึ้นในชั้นหนังแท้ (Dermis) ซึ่งลึกกว่าฝ้าตื้น
                    • ฝ้าผสม มีลักษณะเป็นสีน้ำตาลอ่อน และเข้มผสมกัน ซึ่งเป็นการผสมกันระหว่างฝ้าตื้น และฝ้าลึก สามารถพบได้บ่อยที่สุด และต้องใช้การรักษาหลายวิธีควบคู่กัน 
                    • ฝ้าฮอร์โมน พบในผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ หรือรับประทานยาคุมกำเนิด เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนในร่างกาย สามารถเป็นได้ทั้งฝ้าตื้น ฝ้าลึก หรือฝ้าผสม และมักจะจางลงเมื่อฮอร์โมนกลับสู่ภาวะปกติ แต่ในบางกรณีอาจต้องใช้การรักษาอื่น ๆ ควบคู่กันไปด้วย
                    • ฝ้าเลือด มีลักษณะเป็นปื้นสีแดงอมม่วง หรือสีคล้ำ เกิดจากความผิดปกติของเส้นเลือดฝอยใต้ผิวหนัง ซึ่งอาจทำการรักษาได้ยากกว่าฝ้าทั่ว ๆ ไป

                     

                    สาเหตุของการเกิดฝ้า มีอะไรบ้าง?

                    • รังสี UV เป็นสาเหตุหลักของการเกิดฝ้า เนื่องจากรังสี UVA และ UVB ในแสงแดด อาจเข้าไปกระตุ้นเซลล์เมลาโนไซต์ (Melanocyte) ให้ผลิตเม็ดสีเมลานินมากขึ้น อีกทั้ง ยังเข้าไปทำลายโครงผิว ทำให้ผิวอ่อนแอ บางลง และเกิดฝ้าได้ง่าย
                    • อายุเพิ่มขึ้น เป็นอีกหนึ่งสาเหตุของการเกิดฝ้า เนื่องจากกระบวนการผลัดเซลล์ผิวทำงานช้าลง ทำให้เม็ดสีที่ผิดปกติสะสมอยู่ในชั้นผิวนานขึ้น จนส่งผลให้ฝ้าที่เป็นอยู่มีสีเข้ม และจางลงยากกว่าเดิม
                    • ฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง เนื่องจากระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน และโปรเจสเตอโรนในร่างกายสูงเกินไป ซึ่งมีผลโดยตรงต่อการกระตุ้นเม็ดสีเมลานินใต้ผิวหนัง สามารถพบได้บ่อยในผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ หรือผู้ที่ใช้ยาคุมอยู่
                    • ความเครียดเรื้อรัง เนื่องจากร่างกายหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลออกมามากเกินไป ซึ่งจะเข้าไปกระตุ้นการสร้างเม็ดสีเมลานินมากขึ้น ส่งผลให้เกิดฝ้าได้ง่าย
                    • ใช้สารระคายเคือง การใช้เครื่องสำอาง หรือสกินแคร์ที่มีส่วนผสมของสารระคายเคือง เช่น แอลกอฮอล์ ไฮโดรควิโนน สเตอรอยด์ หรือสารปรอท อาจเป็นการกระตุ้นให้ผิวบางลง และส่งผลให้ฝ้าที่เป็นอยู่มีสีเข้มขึ้นได้

                     

                    ดาหลา

                    โปรแกรม NU PICO BRIGHT ตัวช่วยปิดจบลูปฝ้าตั้งแต่ต้นตอ

                    ทำความรู้จักโปรแกรม NU PICO BRIGHT

                    โปรแกรม NU PICO BRIGHT เทคโนโลยีรักษาปัญหาฝ้าด้วย Picosecond Laser โดยการยิงพลังงานคลื่นแสงแบบเฉพาะเจาะจงไปยังเม็ดสีเมลานินที่มีความผิดปกติโดยตรง ทำให้เม็ดสีแตกตัวเป็นเม็ดเล็ก ๆ และค่อย ๆ จางหายไปตามธรรมชาติ ซึ่งใช้ความยาวคลื่นอยู่ที่ 532 นาโนเมตร และ 1,064 นาโนเมตร สามารถทำได้โดยไม่ต้องมีการแปะยาชา เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีเลเซอร์ที่มีความอ่อนโยนต่อผิวหน้า หลังทำจึงไม่มีเลือดออกใต้ผิวหนัง และไม่ต้องใช้เวลาในการพักฟื้น สามารถใช้ชีวิตตามปกติได้ทันที

                     

                    โปรแกรม NU PICO BRIGHT เหมาะกับใคร?

                    • โปรแกรม NU PICO BRIGHT เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาฝ้า ทั้งฝ้าตื้น ฝ้าลึก หรือฝ้าผสม
                    • โปรแกรม NU PICO BRIGHT เหมาะกับผู้ที่มีปัญหากระ ทั้งกระตื้น กระลึก หรือกระแดด
                    • โปรแกรม NU PICO BRIGHT เหมาะกับผู้ที่มีปัญหารอยดำ รอยแดงจากสิว
                    • โปรแกรม NU PICO BRIGHT เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาจุดด่างดำบนใบหน้า
                    • โปรแกรม NU PICO BRIGHT เหมาะกับผู้ที่มีปัญหารูขุมขนกว้าง
                    • โปรแกรม NU PICO BRIGHT เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวหมองคล้ำ
                    • โปรแกรม NU PICO BRIGHT เหมาะกับผู้ที่ไม่ต้องการพักฟื้นหน้าหลังทำ

                     

                    จัดการทุกปัญหาฝ้ากวนใจได้แล้ววันนี้ที่ รมย์รวินท์คลินิก

                    หมดกังวลกับปัญหาฝ้าหนา ลูปฝ้า ฝ้าฝังลึกที่รักษายากที่ รมย์รวินท์คลินิก เรามีโปรแกรม NU PICO BRIGHT ที่ช่วยจัดการปัญหาฝ้าตั้งแต่ต้นตอ พร้อมทีมแพทย์ที่มีความชำนาญ และประสบการณ์ สามารถวิเคราะห์ปัญหา และทำการรักษาได้อย่างเหมาะสม พร้อมคืนผิวสวยกระจ่างใสอย่างเป็นธรรมชาติ มั่นใจทุกสถานการณ์ค่ะ

                    เตือนภัย! หน้าล้นเพราะฟิลเลอร์งานผิว ฉีดมากไปเสี่ยงอันตราย

                    หน้าล้นเพราะฟิลเลอร์งานผิว

                    เตือนภัย! หน้าล้นเพราะฟิลเลอร์งานผิว ฉีดมากไปเสี่ยงอันตราย

                    เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในโลกออนไลน์ สะเทือนวงการแพทย์ความงามอีกครั้ง! เมื่อมีหญิงสาวรายหนึ่งออกมาแชร์ประสบการณ์ หลังตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์งานผิวหลากหลายยี่ห้อสะสมกัน เพื่อหวังผลลัพธ์ผิวสวยใส ฉ่ำวาว แต่กลับต้องเผชิญกับปัญหา “หน้าล้น” หรือ Overfilled Syndrome ใบหน้าบวมแน่นจนมีขนาดใหญ่ขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งสร้างความกังวลใจ และส่งผลกระทบต่อความมั่นใจอย่างมาก โดยประเด็นนี้  ได้กลายเป็นข้อถกเถียงกันในด้านของความปลอดภัย และความเหมาะสมของการฉีดฟิลเลอร์งานผิว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการฉีดฟิลเลอร์หลายยี่ห้อพร้อมกัน ซึ่งอาจทำให้ใบหน้าดูผิดรูปได้

                    เหตุการณ์ในครั้งนี้ ถือเป็นอุทาหรณ์สำคัญสำหรับผู้ที่สนใจการฉีดฟิลเลอร์ ควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจฉีด รวมถึง ปรึกษาแพทย์ที่มีประสบการณ์ เพื่อให้แพทย์ประเมินโครงสร้างใบหน้า และกำหนดปริมาณฟิลเลอร์ที่เหมาะสม หากฉีดฟิลเลอร์ปริมาณมากเกินไป หรือใช้ฟิลเลอร์ที่ไม่เหมาะสมกับสภาพผิว อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงอันตราย เช่น ใบหน้าบวม ช้ำ หรืออย่างในกรณีนี้อาจทำให้เกิดภาวะ “หน้าล้น” ได้ ซึ่งการเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน และมีแพทย์ที่มีความรู้ด้านการทำโปรแกรมฉีด Fillerจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพื่อความปลอดภัย และผลลัพธ์ที่สวยงาม

                    หน้าล้นเพราะโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์งานผิว มีวิธีป้องกันอย่างไร?

                     

                    ภาวะหน้าล้น (Overfilled Syndrome) คืออะไร?

                    ภาวะหน้าล้น หรือที่เรียกว่า Overfilled Syndrome คือ ภาวะที่เกิดขึ้นจากการฉีดโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์มากเกินไปในครั้งเดียว หรือฉีดหลากหลายยี่ห้อพร้อมกัน ทำให้ใบหน้าดูบวมหนา ผิดรูป และไม่เป็นธรรมชาติ เช่น หน้าแก้มบวม ริมฝีปากหนา หรือคางแหลม ซึ่งการแก้ไขภาวะหน้าล้นนั้น อาจต้องใช้การฉีดสลายโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ หรือในกรณีที่รุนแรง อาจต้องใช้ผ่าตัด เพื่อให้ใบหน้ากลับมาสมส่วน และดูเป็นธรรมชาติอีกครั้ง

                     

                    ภาวะหน้าล้น เกิดจากอะไร?
                    ภาวะหน้าล้น เกิดจากอะไร?

                     

                    ภาวะหน้าล้น เกิดจากอะไร?

                    ภาวะหน้าล้นจากโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ สามารถเกิดได้จากหลายปัจจัย ดังนี้

                    • ฉีดโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์มากเกินไปในครั้งเดียว การฉีดโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ในปริมาณมากเกินความจำเป็น อาจทำให้ใบหน้าดูบวม ใหญ่ และผิดรูปได้
                    • ฉีดโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ในตำแหน่งที่ไม่เหมาะสม การฉีดโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ผิดตำแหน่ง หรือเลือกใช้โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ไม่เหมาะสมกับตำแหน่งที่ฉีด อาจทำให้สารในโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์กระจายตัวไม่เหมาะสม จนส่งผลให้ใบหน้าดูบวม และผิดรูปได้
                    • ฉีดโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ซ้ำถี่เกินไป การฉีดโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ซ้ำหลายยี่ห้อถี่จนเกินไป โดยไม่ได้มีการประเมินโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เดิมที่ยังมีอยู่ อาจทำให้เกิดการสะสมของสารในโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ปริมาณมาก จนส่งผลให้ใบหน้าล้น หรือผิดรูปได้
                    • แพทย์ไม่มีความชำนาญ การฉีดโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ โดยแพทย์ที่ไม่มีความชำนาญ หรือแพทย์ใช้เทคนิคที่ไม่เหมาะสม อาจทำให้เกิดข้อผิดพลาดจากโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ จนส่งผลให้เกิดปัญหาหน้าล้นได้

                     

                    วิธีป้องกันภาวะหน้าล้นจากโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์งานผิว
                    วิธีป้องกันภาวะหน้าล้นจากโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์งานผิว

                     

                    วิธีป้องกันภาวะหน้าล้นจากโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์งานผิว

                    • เลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน การฉีดโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ ควรเลือกคลินิกความงามที่ได้มาตรฐาน แพทย์ที่มีความรู้ด้านโปรแกรมฉีด Fillerใช้ฟิลเลอร์แท้ที่ผ่านการรับรองจาก อย. เท่านั้น
                    • ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ ก่อนฉีดโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ ควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์อย่างละเอียด ทั้งประเภทของโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ ปริมาณที่ควรฉีดในแต่ละบริเวณ ข้อดี ข้อเสีย และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
                    • ปรึกษาแพทย์อย่างละเอียด ก่อนฉีดโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ ควรปรึกษาแพทย์อย่างละเอียด โดยพูดคุยถึงความต้องการ และปัญหาที่ต้องการแก้ไข ซึ่งแพทย์ที่มีประสบการณ์ จะสามารถประเมินปริมาณโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ที่ใช้ และตำแหน่งที่ฉีดได้อย่างเหมาะสม เพื่อป้องกันปัญหาหน้าล้น จากการฉีดโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์มากเกินไป
                    • ฉีดโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ในปริมาณที่พอดี การฉีดโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ ควรฉีดในปริมาณที่เหมาะสม หากต้องการฉีดซ้ำควรเริ่มทยอยฉีดทีละน้อย ๆ หรือรอให้สารในโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เข้าที่ประมาณ 2 – 4 สัปดาห์ แล้วค่อยตัดสินใจฉีดเพิ่ม
                    • เลือกใช้โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ที่เหมาะสม เนื่องจากโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์แต่ละประเภทมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน ควรเลือกใช้โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ที่เหมาะสมกับบริเวณที่ต้องการฉีด เพื่อป้องกันปัญหาหน้าล้น หรือใบหน้าผิดรูปหลังฉีดฟิลเลอร์
                    • เว้นระยะห่างในการฉีดโปรแกรมฉีฟิลเลอร์แต่ละครั้ง การฉีดโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ ควรเว้นระยะห่างในการฉีดแต่ละครั้ง ตามระยะเวลาที่กำหนด หรือรอให้สารในโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์สลายหมดก่อนค่อยฉีดเพิ่ม เพื่อป้องกันการสะสมของสารในโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ และลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะหน้าล้น

                     

                    เตือนภัย! หน้าล้นเพราะโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์งานผิว ฉีดมากไปเสี่ยงอันตราย

                     

                    วิธีแก้ไขภาวะหน้าล้นจากโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์

                    • ฉีดสลายโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ (Hyaluronidase) 

                    การฉีดสลายโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ เป็นการใช้เอนไซม์ Hyaluronidase เข้าไปสลายโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ประเภท Hyaluronic Acid (HA) เหมาะสำหรับการแก้ไขปัญหาหน้าล้น (Overfilled Syndrome) โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เป็นก้อน โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ไหลผิดตำแหน่ง หรือเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ฉีดโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์แล้วอุดตันเส้นเลือด จนอาจเป็นอันตรายต่อผิวหนังได้ ซึ่งการฉีดสลายโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ ถือเป็นวิธีที่ปลอดภัย และสามารถเห็นผลได้อย่างรวดเร็ว แต่อาจต้องทำการฉีดซ้ำหลายครั้ง เพื่อให้สารสลายออกทั้งหมด

                    • ผ่าตัดนำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ออก

                    การผ่าตัดนำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ออก เป็นกระบวนการนำสารในโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ที่ไม่สามารถสลายได้ด้วยเอนไซม์ Hyaluronidase ออกจากร่างกาย โดยการผ่าตัดเปิดแผลเพื่อนำสารออกโดยตรง ซึ่งมักใช้กับสารประเภทซิลิโคนเหลว หรือพาราฟินในกรณีที่เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่นจับตัวเป็นก้อน ไหลย้อยผิดตำแหน่ง เกิดอาการอักเสบเรื้อรัง หรือใบหน้าผิดรูป แต่การนำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ออกด้วยการผ่าตัดนั้น ไม่สามารถนำสารออกมาได้ทั้งหมด ซึ่งถือเป็นวิธีที่มีความเสี่ยงสูง อาจก่อให้เกิดแผลเป็นถาวร และต้องใช้เวลาในการพักฟื้นนาน

                     

                    โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์งานผิว อันตรายไหม?
                    โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์งานผิว อันตรายไหม?

                    โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์งานผิว อันตรายไหม?

                    โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์งานผิว หากฉีดโดยแพทย์ที่มีความรู้ด้านการทำโปรแกรมฉีด Filler ถือว่ามีความปลอดภัยสูง ไม่ก่อให้อันตรายใด ๆ ต่อร่างกาย แต่หากฉีดโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์งานผิวในปริมาณมากเกินไป หรือฉีดในตำแหน่งที่ไม่เหมาะสม อาจก่อให้เกิดภาวะหน้าล้น หรือ Overfilled Syndrome ซึ่งส่งผลกระทบต่อใบหน้าได้ ดังนั้น ก่อนตัดสินใจฉีด ควรเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน แพทย์ที่ทำโปรแกรมฉีด Filler และปรึกษาแพทย์อย่างละเอียด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่สวยงามตามต้องการมากที่สุด

                     

                    โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์งานผิว ควรฉีดบ่อยแค่ไหน?

                    โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์งานผิว โดยทั่วไปจะสามารถฉีดซ้ำได้เมื่อสารในโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เริ่มสลายตัว ซึ่งส่วนใหญ่โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์งานผิวจะมีระยะเวลาคงอยู่ ประมาณ 3 – 9 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อ และสภาพผิวของแต่ละบุคคล แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ก่อนทำการฉีด เพื่อให้แพทย์ประเมินสภาพผิว และวางแผนปริมาณที่ควรฉีดในครั้งถัดไปได้อย่างเหมาะสม

                     

                    ปัญหาหน้าล้นจากการฉีดโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์งานผิวมากเกินไป เป็นปัญหาที่สามารถป้องกันได้ หากมีการวางแผน และปรึกษาแพทย์อย่างรอบคอบ ซึ่งการฉีดโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ที่เหมาะสมนั้น จะช่วยให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ สำหรับใครที่สนใจโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ สามารถเข้ามาปรึกษาได้ที่ รมย์รวินท์คลินิก ทุกสาขา เรามีทีมแพทย์ที่มีความรู้ และประสบการณ์ ซึ่งจะคอยประเมินสภาพผิวทุกครั้งก่อนฉีด รวมถึงประเมินปริมาณที่ควรใช้ได้อย่างเหมาะสม เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาหน้าล้นจากการฉีดโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ในอนาคต

                     

                    BB HIFU ผิวกระชับ เรียบเนียนในขั้นตอนเดียว

                    โปรแกรม BB HIFU งานผิว

                    ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




                      วันที่สะดวกในการติดต่อ








                      BB HIFU ผิวกระชับ เรียบเนียนในขั้นตอนเดียว

                      หากใครกำลังมองหาวิธีดูแลผิวหน้าให้เรียบเนียน กระชับ และดูอ่อนเยาว์โดยไม่ต้องผ่าตัด BB HIFU งานผิว คือคำตอบที่สมบูรณ์แบบสำหรับคุณ! ด้วยเทคโนโลยีคลื่นอัลตราซาวนด์ความถี่สูง (High-Intensity Focused Ultrasound) ที่มาพร้อมหัวขนาด 2.0 mm ออกแบบมาเพื่อเก็บรายละเอียดเล็ก ๆ บนผิวหน้าได้อย่างแม่นยำ นี้ช่วยลดเลือนริ้วรอยเล็ก ๆ ปรับสภาพผิวให้เรียบเนียนและกระชับในขั้นตอนเดียว คุณจึงมั่นใจได้ในผลลัพธ์ที่สวยงามแบบไม่ต้องรอนาน พร้อมเผยผิวสวยสุขภาพดีในทุกมุมมอง

                       

                      นี้ไม่ได้ช่วยแค่ลดเลือนริ้วรอยเล็ก ๆ เท่านั้น แต่ยังมอบผลลัพธ์ที่ทำให้ผิวของคุณดูสวยเนียนใสอย่างเป็นธรรมชาติในขั้นตอนเดียว หลายคนคงเริ่มสงสัยว่าทำไม BB HIFU งานผิว ถึงกลายเป็นที่นิยมของคนรักงานผิว? ไขทุกข้อสงสัยและเหตุผลว่าทำไมคุณไม่ควรพลาดที่ช่วยเปลี่ยนผิวของคุณให้สวยในแบบที่คุณไม่เคยสัมผัสมาก่อนได้พร้อมกันที่บทความนี้

                       

                      ทำความรู้จัก BB HIFU งานผิวสวย ผิวเนียนแบบมืออาชีพ

                      BB HIFU งานผิว คือดูแลผิวที่ใช้เทคโนโลยีคลื่นอัลตราซาวนด์ความถี่สูง (High-Intensity Focused Ultrasound) โดยเน้นให้พลังงานเข้าถึงชั้นผิวหนังกำพร้า (Epidermis) และชั้นหนังแท้ (Dermis) ได้อย่างแม่นยำและปลอดภัย มีคุณสมบัติเด่นในการยกกระชับผิว ลดเลือนริ้วรอย และปรับผิวหน้าให้เรียบเนียนขึ้นโดยไม่ต้องผ่าตัดหรือใช้เข็ม

                       

                      ความพิเศษของ BB HIFU งานผิว อยู่ที่ หัวทิปขนาด 2.0 mm ซึ่งได้รับการออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อจัดการรายละเอียดเล็ก ๆ บนผิวหน้า เช่น ริ้วรอยเล็ก ๆ บริเวณรอบดวงตา ริมฝีปาก และผิวหน้าที่ต้องการความละเอียดในการดูแล นี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวให้สดใส กระชับ และดูอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ

                       

                       BB HIFU งานผิว ทำงานอย่างไร?
                      BB HIFU งานผิว ทำงานอย่างไร?

                       

                      BB HIFU งานผิว ทำงานอย่างไร? เปิดกลไกผิวสวยเรียบเนียน

                      ส่งพลังงานเข้าสู่ชั้นผิวอย่างลึก

                      • BB HIFU งานผิว ใช้คลื่นอัลตราซาวนด์ที่มีความเข้มสูง เพื่อส่งพลังงานเข้าสู่ชั้นผิวหนังกำพร้า (Epidermis) และชั้นหนังแท้ (Dermis) พลังงานนี้ช่วยให้เกิดการหดตัวของเนื้อเยื่อและสร้างความยืดหยุ่นให้ผิว

                      กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน

                      • พลังงานความร้อนที่ปล่อยเข้าสู่ชั้นผิวลึกช่วยกระตุ้นเซลล์ผิวให้สร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ ซึ่งเป็นโครงสร้างสำคัญที่ช่วยให้ผิวดูเรียบเนียน กระชับ และอ่อนเยาว์

                      ดูแลเฉพาะจุดอย่างแม่นยำ

                      • ด้วยหัวทิปขนาดเล็ก 2.0 mm ของ BB HIFU งานผิว สามารถเจาะจงดูแลปัญหาผิวในบริเวณที่ยากต่อการเข้าถึง เช่น รอบดวงตา มุมปาก หรือใต้คาง

                      ไม่ทำลายผิวชั้นนอก

                      • แม้ว่าพลังงานจะเข้าถึงชั้นผิวที่ลึก แต่ BB HIFU งานผิว ไม่ทำลายผิวหนังชั้นบน (Epidermis) ทำให้ไม่มีรอยแผลหรืออาการระคายเคืองหลังทำ

                       

                      เปิดทุกข้อดีของ BB HIFU งานผิว ที่ควรรู้
                      เปิดทุกข้อดีของ BB HIFU งานผิว ที่ควรรู้

                       

                      เปิดทุกข้อดีของ BB HIFU งานผิว ที่ควรรู้

                      • BB HIFU งานผิว ลดเลือนริ้วรอยบนใบหน้าอย่างตรงจุด
                      • BB HIFU งานผิว ฟื้นฟูผิวหน้าให้กระชับ เต่งตึง ได้ทุกจุดบนใบหน้า
                      • BB HIFU งานผิว จัดการรายละเอียดเล็ก ๆ ได้เป็นอย่างดี เช่น รอบดวงตา มุมปาก 
                      • BB HIFU งานผิว ผิวจะดูเรียบเนียน กระชับขึ้นทันที
                      • BB HIFU งานผิว กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว 
                      • BB HIFU งานผิว ดูแลทุกมิติของผิว ปรับสภาพผิวให้ดูอ่อนเยาว์
                      • BB HIFU งานผิว ช่วยให้ผิวเรียบเนียนและกระชับรูขุมขน
                      • BB HIFU งานผิว เห็นผลลัพธ์ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ
                      • BB HIFU งานผิว ปลอดภัยและผ่านการรับรองมาตรฐาน
                      • BB HIFU งานผิว เหมาะกับทุกสภาพผิว ไม่ว่าจะเป็นผิวแห้ง ผิวมัน หรือผิวบอบบาง
                      • BB HIFU งานผิว หลังทำสามารถกลับไปทำกิจวัตรประจำวันได้ทันที
                      • BB HIFU งานผิว ไม่ต้องเจ็บตัว ไม่ต้องพักฟื้น
                      • BB HIFU งานผิว มีความปลอดภัยสูง โดยไม่ก่อให้เกิดรอยแผลหรืออาการระคายเคือง

                       

                      เจาะลึกประโยชน์ BB HIFU งานผิว ช่วยอะไรบ้าง?

                      • BB HIFU งานผิว ช่วยจัดการกับริ้วรอยเล็ก ๆ บริเวณหน้าผาก รอบดวงตา มุมปาก
                      • BB HIFU งานผิว ช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิว
                      • BB HIFU งานผิว ช่วยให้ผิวกระชับ อิ่มฟู และมีความยืดหยุ่นมากขึ้น
                      • BB HIFU งานผิว ช่วยปรับสภาพผิวให้เรียบเนียน ลดปัญหารูขุมขนกว้าง
                      • BB HIFU งานผิว ช่วยปรับสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอจากการเกิดจุดด่างดำหรือรอยหมองคล้ำ
                      • BB HIFU งานผิว ช่วยฟื้นฟูผิวหน้าได้โดยไม่ต้องพักฟื้น
                      • BB HIFU งานผิว ช่วยให้ผิวดูสุขภาพดี เนียนกระชับ และเปล่งปลั่งในทุกมิติ
                      • BB HIFU งานผิว ช่วยกระตุ้นกระบวนการฟื้นฟูของผิวในระดับเซลล์
                      • BB HIFU งานผิว ช่วยฟื้นฟูและดูแลปัญหาผิวจากความเหนื่อยล้า

                       

                      ใครควรทำ BB HIFU งานผิว บ้าง?
                      ใครควรทำ BB HIFU งานผิว บ้าง?

                       

                      ใครควรทำ BB HIFU งานผิว บ้าง?

                      • BB HIFU งานผิว เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยเล็ก ๆ บนใบหน้า
                      • BB HIFU งานผิว เหมาะกับผู้ที่ต้องการกระชับผิวบริเวณเฉพาะจุด
                      • BB HIFU งานผิว เหมาะกับผู้ที่มีปัญหารูขุมขนกว้างและผิวไม่เรียบเนียน
                      • BB HIFU งานผิว เหมาะกับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวหน้าโดยไม่ต้องศัลยกรรม
                      • BB HIFU งานผิว เหมาะกับผู้ที่ต้องการปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ
                      • BB HIFU งานผิว เหมาะกับผู้ที่ต้องการผิวดูอ่อนเยาว์ในทุกมิติ
                      • BB HIFU งานผิว เหมาะกับผู้ที่ต้องการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน
                      • BB HIFU งานผิว เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยเล็ก ๆ รอบดวงตา
                      • BB HIFU งานผิว เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยบริเวณร่องแก้มและรอบริมฝีปาก
                      • BB HIFU งานผิว เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวไม่กระจ่างใส
                      • BB HIFU งานผิว เหมาะกับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวหลังการโดนทำร้ายจากมลภาวะ
                      • BB HIFU งานผิว เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวแห้งและขาดความยืดหยุ่น
                      • BB HIFU งานผิว เหมาะกับผู้ที่ต้องการเตรียมผิวให้พร้อมสำหรับงานสำคัญ

                       

                      ใครที่ไม่ควรทำ BB HIFU งานผิว บ้าง?

                      • BB HIFU งานผิว ไม่เหมาะกับสตรีที่ตั้งครรภ์หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร
                      • BB HIFU งานผิว ไม่เหมาะกับผู้ที่มีโรคหรือภาวะทางผิวหนัง เช่น โรคผิวหนังอักเสบ, โรคสะเก็ดเงิน
                      • BB HIFU งานผิว ไม่เหมาะกับผู้ที่มีบาดแผลเปิดหรือผิวหนังอักเสบ
                      • BB HIFU งานผิว ไม่เหมาะกับผู้ที่มีประวัติการแพ้พลังงานความร้อนหรือคลื่นอัลตราซาวนด์
                      • BB HIFU งานผิว ไม่เหมาะกับผู้ที่มีอุปกรณ์ฝังในร่างกาย เช่น เครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemaker)
                      • BB HIFU งานผิว ไม่เหมาะกับผู้ที่มีโรคเรื้อรังที่ควบคุมไม่ได้ เช่น โรคหัวใจขั้นรุนแรง, โรคเบาหวานที่ยังไม่สามารถควบคุมได้ หรือโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน
                      • BB HIFU งานผิว ไม่เหมาะกับผู้ที่มีผิวบอบบางหรือแพ้ง่ายมาก
                      • BB HIFU งานผิว ไม่เหมาะกับผู้ที่เพิ่งทำหัตถการที่ผิวมาไม่นาน เช่น การทำเลเซอร์ การฉีดฟิลเลอร์ การฉีดโบ
                      • BB HIFU งานผิว ไม่เหมาะกับผู้ที่มีภาวะผิวหน้าบางหรือเส้นเลือดฝอยชัดเจน
                      • BB HIFU งานผิว ไม่เหมาะกับผู้ที่มีการใส่รากฟันเทียมหรือวัสดุโลหะในใบหน้า
                      • BB HIFU งานผิว ไม่เหมาะกับผู้ที่เคยมีประวัติการเกิดแผลเป็นคีลอยด์
                      • BB HIFU งานผิว ไม่เหมาะกับผู้ที่เป็นสิวอักเสบในบริเวณที่ต้องการทำ
                      • BB HIFU งานผิว ไม่เหมาะกับผู้ที่มีผิวไวต่อความร้อน
                      • BB HIFU งานผิว ไม่เหมาะกับผู้ที่มีโรคเกี่ยวกับระบบประสาทบนใบหน้า

                       

                      ดูแลตัวเองก่อนทำ BB HIFU งานผิว

                      • ก่อนทำ BB HIFU งานผิว ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำ เพื่อประเมินสภาพผิว ความเหมาะสม 
                      • ก่อนทำ BB HIFU งานผิว ควรแจ้งข้อมูลสุขภาพให้แพทย์ทราบ เช่น โรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา
                      • ก่อนทำ BB HIFU งานผิว ควรดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อรักษาความชุ่มชื้นให้ผิว
                      • ก่อนทำ BB HIFU งานผิว ควรพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อย 7-8 ชั่วโมง
                      • ก่อนทำ BB HIFU งานผิว งดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ AHA, BHA, Retinol อย่างน้อย 3-5 วัน
                      • ก่อนทำ BB HIFU งานผิว งดการขัดผิวหน้าหรือผลัดเซลล์ผิว อย่างน้อย 3-7 วัน
                      • ก่อนทำ BB HIFU งานผิว งดการทำเลเซอร์ ฉีดโบ ฉีดฟิลเลอร์ อย่างน้อย 2 สัปดาห์
                      • ก่อนทำ BB HIFU งานผิว งดดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ อย่างน้อย 24 ชั่วโมง
                      • ก่อนทำ BB HIFU งานผิว งดแต่งหน้าหรือให้เครื่องสำอางในวันที่ทำหัตถการ
                      • ก่อนทำ BB HIFU งานผิว งดอาหารรสจัดและเผ็ดร้อน เพื่อลดการบวมน้ำ 1-2 วัน
                      • ก่อนทำ BB HIFU งานผิว หลีกเลี่ยงการตากแดดจัดหรือทำกิจกรรมกลางแจ้ง อย่างน้อย 3-5 วัน
                      • ก่อนทำ BB HIFU งานผิว หลีกเลี่ยงการรับประทานยาบางชนิดที่ทำให้เลือดหยุดไหลยาก เช่น แอสไพริน หรือยากลุ่ม NSAIDs
                      • ก่อนทำ BB HIFU งานผิว หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก

                       

                      ขั้นตอนการทำ BB HIFU งานผิว 

                      1. แพทย์จะทำการประเมินปัญหาผิวและโครงหน้า เพื่อวางแผนการรักษาให้เหมาะสม แนะนำและอธิบายถึงจุดที่ต้องการฟื้นฟูผิว
                      2. ทำความสะอาดผิวอย่างหมดจด เพื่อให้ผิวพร้อมสำหรับการรักษา
                      3. ในบางกรณีอาจมีการทายาชาก่อนเริ่มทำเพื่อลดความรู้สึกไม่สบาย
                      4. แพทย์จะทาเจลอัลตราซาวนด์ลงบนผิวหน้า เพื่อช่วยให้คลื่นพลังงานเข้าสู่ผิวได้อย่างราบรื่น
                      5. แพทย์จะเลือกหัวอุปกรณ์ 2.0 mm. เพื่อเก็บรายละเอียดผิว เช่น ริ้วรอยเล็ก ๆ บนใบหน้า
                      6. แพทย์ตั้งค่าระดับพลังงานให้เหมาะสมกับปัญหาผิวและความไวต่อความรู้สึกของแต่ละบุคคล
                      7. แพทย์เริ่มใช้หัวอุปกรณ์ เลื่อนไปตามบริเวณผิวหน้าที่ต้องการรักษา
                      8. เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว แพทย์หรือผู้ช่วยแพทย์จะเช็ดเจลอัลตราซาวนด์ออก และทำความสะอาดผิวอีกครั้ง
                      9. แพทย์จะให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลผิวหลังทำ BB HIFU งานผิว

                       

                      ดูแลตัวเองหลังทำ BB HIFU งานผิว

                      • หลังทำ BB HIFU งานผิว หลีกเลี่ยงการโดนแดดจัด อย่างน้อย 1 สัปดาห์
                      • หลังทำ BB HIFU งานผิว หลีกเลี่ยงการใช้สครับผลัดเซลล์ผิวที่มีส่วนผสมของ AHA, BHA หรือ Retinol อย่างน้อย 1 สัปดาห์
                      • หลังทำ BB HIFU งานผิว หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือถูผิวหน้าแรง ๆ โดยเฉพาะบริเวณที่ทำการรักษา
                      • หลังทำ BB HIFU งานผิว หลีกเลี่ยงการอบซาวน่า การอบไอน้ำ หรืออาบน้ำร้อนจัด อย่างน้อย 3-7 วัน
                      • หลังทำ BB HIFU งานผิว หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตณ์หรือเครื่องสำอางที่อุดตันรูขุมขน
                      • หลังทำ BB HIFU งานผิว หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์
                      • หลังทำ BB HIFU งานผิว หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก หรือกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกมาก 1-2 วัน
                      • หลังทำ BB HIFU งานผิว ควรใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF50 PA+++ เป็นประจำ
                      • หลังทำ BB HIFU งานผิว ควรใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์หรือเซรัมที่ช่วยฟื้นฟูผิว
                      • หลังทำ BB HIFU งานผิว ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น

                       

                      เปรียบเทียบการทำ BB HIFU งานผิว กับ ฟิลเลอร์งานผิว
                      เปรียบเทียบการทำ BB HIFU งานผิว กับ ฟิลเลอร์งานผิว

                       

                      เปรียบเทียบการทำ BB HIFU งานผิว กับ ฟิลเลอร์งานผิว

                      BB HIFU งานผิว

                      BB HIFU เป็นเทคโนโลยีที่ใช้คลื่นอัลตราซาวนด์ความถี่สูง พร้อมหัวทิปขนาด 2.0 mm ส่งพลังงานลึกลงถึงชั้นผิวหนังกำพร้า (Epidermis) และชั้นหนังแท้ (Dermis) เพื่อช่วยยกกระชับผิวและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ผลลัพธ์คือผิวที่ดูกระชับ เรียบเนียน และยืดหยุ่นมากขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดเลือนริ้วรอยและฟื้นฟูผิวหน้าอย่างเป็นธรรมชาติ 

                       

                      ฟิลเลอร์งานผิว

                      ฟิลเลอร์งานผิวเป็นการฉีดสารเติมเต็มประเภท Hyaluronic Acid เข้าไปในชั้นผิวหนังเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น ฟื้นฟูผิวแห้ง และปรับสภาพผิวให้ดูสดใสและเปล่งปลั่ง เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวขาดน้ำ ผิวแห้งขาดความยืดหยุ่น หรือมีริ้วรอยเล็ก ๆ บนใบหน้า 

                       

                      สรุป BB HIFU งานผิว เน้นยกกระชับผิว กระตุ้นคอลลาเจน และลดเลือนริ้วรอยในระดับลึก เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูและปรับผิวหน้าให้กระชับ ส่วนฟิลเลอร์งานผิว เน้นเพิ่มความชุ่มชื้นและฟื้นฟูผิวแห้ง เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวขาดน้ำและต้องการให้ผิวดูเปล่งปลั่ง

                       

                      เปรียบเทียบการทำ BB HIFU งานผิว กับ เลเซอร์งานผิว

                      BB HIFU งานผิว

                      BB HIFU งานผิว เป็นเทคโนโลยีที่ใช้พลังงานคลื่นอัลตราซาวนด์ความถี่สูง ร่วมกับหัวทิปขนาด 2.0 mm เพื่อส่งพลังงานลงลึกถึงชั้น หนังกำพร้า (Epidermis) และ ชั้นหนังแท้ (Dermis) ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและยกกระชับผิว ผลลัพธ์คือผิวหน้าที่ดูกระชับ เรียบเนียน และยืดหยุ่นมากขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวหน้า ลดริ้วรอย และเพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิวดูสุขภาพดี

                       

                      เลเซอร์งานผิว

                      เลเซอร์เป็นเทคโนโลยีที่ใช้พลังงานแสงเพื่อปรับสีผิว กระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว และแก้ปัญหาผิวในระดับตื้นถึงกลาง เช่น รอยดำ รอยแดง หรือจุดด่างดำ นอกจากนี้ เลเซอร์บางประเภทสามารถช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวหนังแท้ได้ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ ลดจุดด่างดำ รอยสิว ฝ้า กระ และปรับผิวให้เรียบเนียน

                       

                      สรุป BB HIFU งานผิว เน้นการยกกระชับผิว กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นลึก และเพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิว เหมาะสำหรับการฟื้นฟูโครงสร้างผิวในระดับลึก ส่วนเลเซอร์งานผิว เน้นการปรับสีผิว ลดจุดด่างดำ รอยสิว และแก้ปัญหาผิวในชั้นตื้นถึงกลาง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการให้ผิวดูเรียบเนียนและสว่างใส

                       

                      รวมคำถามของ BB HIFU งานผิว

                      BB HIFU งานผิว เจ็บไหม?

                      • BB HIFU งานผิว อาจทำให้รู้สึกอุ่น ๆ หรือระคายเคืองเล็กน้อยในบริเวณที่ทำ ขึ้นอยู่กับความไวต่อความรู้สึกของแต่ละบุคคล บางคนอาจรู้สึกตึงใต้ผิว แต่ไม่ถึงขั้นเจ็บรุนแรง หากกังวลเรื่องความเจ็บ สามารถแจ้งแพทย์เพื่อทายาชาก่อนทำได้

                       

                      ต้องทำ BB HIFU งานผิว กี่ครั้งจึงจะเห็นผล?

                      • โดยปกติ BB HIFU งานผิว จะเริ่มเห็นผลได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ ผิวจะรู้สึกกระชับขึ้นเล็กน้อย และผลลัพธ์จะชัดเจนขึ้นในช่วง 1-3 เดือน เนื่องจากกระบวนการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว โดยทั่วไปการทำปีละ 1-2 ครั้ง

                       

                      ต้องพักฟื้นหลังทำ BB HIFU งานผิว ไหม?

                      • ไม่จำเป็นต้องพักฟื้นหลังทำ BB HIFU งานผิว คุณสามารถกลับไปทำกิจวัตรประจำวันได้ทันที เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีที่ไม่ทำลายผิวหนังชั้นนอก

                       

                      มีผลข้างเคียงจาก BB HIFU งานผิว ไหม?

                      • BB HIFU งานผิว มีความปลอดภัยสูง หากทำโดยแพทย์ที่มีความรู้ อาจมีผลข้างเคียงเล็กน้อย เช่น รอยแดง ตึงผิว หรืออาการบวมเล็กน้อยในบริเวณที่ทำ ซึ่งมักจะหายไปเองภายใน ไม่กี่ชั่วโมงถึง 1 วัน หากมีอาการผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์ทันที

                       

                      BB HIFU งานผิว เหมาะกับคนอายุเท่าไหร่?

                      • BB HIFU งานผิว เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุ 25 ปีขึ้นไป หรือผู้ที่เริ่มมีปัญหาผิวหย่อนคล้อยและต้องการฟื้นฟูผิวหน้าให้ดูกระชับ อ่อนเยาว์

                       

                      ผู้ชายสามารถทำ BB HIFU งานผิว ได้ไหม?

                      • ผู้ชายสามารถทำ BB HIFU ได้เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการยกกระชับผิวหน้า ลดริ้วรอย หรือปรับกรอบหน้าให้คมชัด

                      BB HIFU งานผิว สามารถทำได้กับทุกสภาพผิวไหม?

                      • BB HIFU งานผิว เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว ทั้งผิวมัน ผิวแห้ง และผิวผสม 

                       

                      หลังทำ BB HIFU งานผิว ผิวจะแดงหรือบวมไหม?

                      • หลังทำ BB HIFU งานผิว ผิวอาจมีรอยแดงหรือบวมเล็กน้อยในบางกรณี ซึ่งเป็นอาการปกติที่เกิดจากพลังงานคลื่นอัลตราซาวนด์ โดยอาการเหล่านี้จะหายไปเองภายใน ไม่กี่ชั่วโมงถึง 1 วัน

                       

                      BB HIFU งานผิว ปลอดภัยไหม?

                      • BB HIFU งานผิว เป็นเทคโนโลยีที่ปลอดภัยและได้รับการรับรองมาตรฐานระดับโลก หากทำโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ การรักษาไม่มีการใช้สารเคมีหรือเข็ม จึงไม่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ

                       

                      สามารถทำ BB HIFU งานผิว ร่วมกับการดูแลผิวอื่น ๆ ได้ไหม?

                      • สามารถทำ BB HIFU งานผิว ร่วมกับการดูแลผิวอื่น ๆ เช่น การฉีดวิตามินผิว การทำเลเซอร์ หรือการบำรุงผิวด้วยทรีตเมนต์ แต่ควรปรึกษาแพทย์เพื่อจัดลำดับการรักษาให้เหมาะสม

                       

                      หลังทำ BB HIFU งานผิว สามารถแต่งหน้าได้ไหม?

                      • หลังทำ BB HIFU งานผิว คุณสามารถแต่งหน้าได้ แต่ควรรอให้ผิวพักตัวอย่างน้อย 4-6 ชั่วโมง ก่อนเริ่มแต่งหน้า เพื่อป้องกันการระคายเคืองผิว

                       

                      BB HIFU งานผิว ถือเป็นเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการดูแลผิวให้กระชับ เรียบเนียน และดูอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ ด้วยเทคโนโลยีคลื่นอัลตราซาวนด์ความถี่สูงที่ปลอดภัยและไม่ต้องผ่าตัด จึงสามารถฟื้นฟูผิวหน้า ลดเลือนริ้วรอย และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ได้ในขั้นตอนเดียว อีกทั้งยังไม่ต้องเสียเวลาในการพักฟื้น

                      ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ที่เริ่มสังเกตเห็นสัญญาณแห่งวัยหรือผู้ที่ต้องการเพิ่มความมั่นใจในผิวหน้าของตนเอง BB HIFU งานผิว คือตัวเลือกที่ตอบโจทย์ เพื่อเสกผิวที่เรียบเนียน เปล่งปลั่ง และกระชับได้อย่างง่ายดาย มาเปลี่ยนผิวให้สวย สุขภาพดี พร้อมเผยความมั่นใจในทุกมุมมองไปพร้อมกับเทคโนโลยี BB HIFU 

                      โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก คืออะไร? แก้ปัญหาปีกจมูกบานได้จริงไหม? เหมาะกับใคร?

                      โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก

                      ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




                        วันที่สะดวกในการติดต่อ








                        โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก คืออะไร? แก้ปัญหาปีกจมูกบานได้จริงไหม? เหมาะกับใคร?

                         

                        ปัญหาปีกจมูกบาน ปีกจมูกกว้าง เป็นปัญหาที่หลายคนกังวล จนสูญเสียความมั่นใจ ทำให้ไม่กล้ายิ้ม หัวเราะ หรือพูดคุยได้อย่างปกติ เนื่องจากกลัวว่า ปีกจมูกจะบานออกมามากเกินไป ทำให้ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันอย่างมาก ในปัจจุบันโปรแกรมฉีดโบปีกจมูก เป็นหัตถการที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นวิธีการที่ไม่ยุ่งยาก และสามารถแก้ไขปัญหาปีกจมูกบาน ปีกจมูกกว้างได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ตอบโจทย์สำหรับ ผู้ที่มีปัญหาปีกจมูกบาน และปีกจมูกกว้างโดยเฉพาะ สำหรับใครที่สนใจ และกำลังมีข้อสงสัยว่า โปรแกรมฉีดโบปีกจมูกคืออะไร? ใครที่เหมาะกับโปรแกรมฉีดโบปีกจมูก? และโปรแกรมฉีดโบปีกจมูกมีข้อดีข้อเสียอย่างไร? อย่าพลาดกับบทความนี้ เราจะมาไขข้อสงสัยทุกเรื่องที่ต้องรู้ เกี่ยวกับโปรแกรมฉีดโบปีกจมูกค่ะ 

                         

                        โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก คืออะไร? ดีอย่างไร? เหมาะกับใครบ้าง? 

                        โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก คืออะไร?

                        โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก คือ การใช้สารโปรตีนบริสุทธิ์ ที่สกัดจากแบคทีเรียชนิดหนึ่ง มาฉีดเข้าสู่ผิวหน้าในบริเวณปีกจมูกทั้งสองข้าง เมื่อฉีดโปรแกรมฉีดโบปีกจมูก สารนี้จะทำหน้าที่ในการยับยั้งการทำงานของกล้ามเนื้อ ที่ทำให้ปีกจมูกบานออก เพื่อปรับรูปทรงปีกจมูกให้มีขนาดเล็ก และแคบลง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดขนาดปีกจมูก ให้จมูกดูสวยงามอย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่ต้องผ่าตัด และไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้นนาน

                         

                        ปีกจมูกบาน เกิดจากสาเหตุอะไร?
                        ปีกจมูกบาน เกิดจากสาเหตุอะไร?

                         

                        ปีกจมูกบาน เกิดจากสาเหตุอะไร?

                        ปัญหาปีกจมูกบาน ปีกจมูกกว้าง สามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนมาจากปัจจัยภายในที่ส่งผลให้ปีกจมูกบาน และกว้างออก โดยมีสาเหตุ ดังนี้

                        • พันธุกรรม

                        หนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดปัญหาปีกจมูกบาน คือ ปัจจัยทางพันธุกรรมที่กำหนดลักษณะโครงสร้างใบหน้า และรูปทรงจมูก ซึ่งสามารถถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นได้ หากมีบุคคลในครอบครัวมีลักษณะปีกจมูกบาน ก็อาจมีโอกาสที่เราจะมีปีกจมูกบานตามไปด้วย

                        • โครงสร้างกระดูกอ่อน 

                        ปัญหาปีกจมูกบาน สามารถเกิดได้จากโครงสร้างกระดูกอ่อน ที่รองรับบริเวณปีกจมูกมีขนาดใหญ่ มีการโก่งตัว หรือมีรูปร่างผิดปกติ ทำให้ปีกจมูกดูกว้าง และมีขนาดใหญ่ตาม

                        • เนื้อเยื่อบริเวณจมูก

                        ปัญหาปีกจมูกบาน สามารถเกิดได้จากการสะสมของเนื้อเยื่อ และไขมันบริเวณปีกจมูกที่มีอยู่มากเกินไป ทำให้ปีกจมูกดูหนา มีขนาดใหญ่ และบานออกเมื่อมีการเคลื่อนไหว สามารถสังเกตได้จากการจับบริเวณจมูกแล้วรู้สึกนิ่ม ๆ 

                        • กล้ามเนื้อบริเวณจมูก

                        ปัญหาปีกจมูกบาน สามารถเกิดได้จาก การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อบริเวณปีกจมูก เมื่อมีการแสดงออกทางสีหน้า หรือแสดงออกทางอารมณ์ เช่น ยิ้ม หัวเราะ โกรธ หรือพูดคุย ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณปีกจมูกทำงานหนักมากขึ้น และจะสังเกตเห็นได้ว่า หากมีการแสดงออกทางสีหน้า ปีกจมูกจะยกขึ้น และบานออก ซึ่งเป็นปัญหาที่สามารถพบได้บ่อยที่สุด 

                        ดังนั้น การเข้าใจถึงสาเหตุของปัญหาปีกจมูกบาน ทำให้สามารถแก้ไข และเลือกวิธีการรักษาได้อย่างตรงจุด ซึ่งโปรแกรมฉีดโบปีกจมูกก็เป็นอีกหนึ่งตัวช่วย ในการลดขนาดปีกจมูกที่บานออกจากกล้ามเนื้อ ทำให้ปีกจมูกเรียวเล็ก และแคบลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

                         

                        โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก สามารถแก้ปัญหาปีกจมูกบานได้อย่างไร?

                        โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก สามารถแก้ไขปัญหาปีกจมูกบาน ที่เกิดจากกล้ามเนื้อบริเวณปีกจมูกได้ โดยโปรแกรมฉีดโบปีกจมูกเข้าไปยังกล้ามเนื้อบริเวณปีกจมูก โดยเฉพาะกล้ามเนื้อ Dilator naris และกล้ามเนื้อ Alar nasalis ที่ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อบริเวณปีกจมูก ให้ขยายกว้างขึ้น และหดตัวลง เมื่อมีการหายใจแรง ๆ หรือแสดงออกทางสีหน้า เช่น ยิ้ม หัวเราะ หรือพูดคุย 

                        ซึ่งโปรแกรมฉีดโบปีกจมูกนั้น จะออกฤทธิ์ในการยับยั้งการปล่อยสารสื่อประสาทที่เรียกว่า Acetylcholine (Ach) ที่ปลายประสาท ซึ่งมีหน้าที่ในการส่งสัญญาณให้กล้ามเนื้อหดตัว เมื่อปริมาณ Ach ลดลง กล้ามเนื้อบริเวณปีกจมูกก็จะคลายตัวลง และไม่สามารถหดตัวได้ตามปกติ ส่งผลให้ปีกจมูกไม่สามารถขยายออก และไม่สามารถดึงขึ้นได้ชั่วคราว เมื่อมีการแสดงอารมณ์ต่าง ๆ ทำให้ปีกจมูกดูเรียวเล็ก รูจมูกแคบ และมีสัดส่วนที่สมดุล รับกับใบหน้ามากขึ้น

                         

                        โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก ช่วยเรื่องอะไรบ้าง?
                        โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก ช่วยเรื่องอะไรบ้าง?

                         

                        โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก ช่วยเรื่องอะไรบ้าง?

                        • โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก ช่วยลดขนาดปีกจมูก แก้ไขปัญหาปีกจมูกบาน ทำให้ปีกจมูกแคบลง
                        • โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก ช่วยแก้ปัญหารูจมูกกว้าง ทำให้รูจมูกดูเล็กลง
                        • โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก ช่วยปรับรูปทรงจมูกให้เรียวเล็ก ดูสวยงามมากขึ้น
                        • โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก ช่วยให้ใบหน้ามีความสมดุล จมูกดูรับกับใบหน้ามากขึ้น
                        • โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก ช่วยป้องกันไม่ให้ปีกจมูกบาน เมื่อ ยิ้ม หัวเราะ พูดคุย หรือแสดงออกทางสีหน้าต่าง ๆ

                         

                        โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก เหมาะกับใคร?

                        • โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาปีกจมูกบานแบบเห็นได้ชัด เวลาออกทางแสดงสีหน้า
                        • โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาปีกจมูกกว้าง ปีกจมูกมีขนาดใหญ่กว่าปกติ
                        • โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการปรับรูปทรงจมูกให้เรียวเล็ก
                        • โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหารูจมูกกว้าง รูจมูกบานออก
                        • โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก เหมาะสำหรับ ผู้ที่ขาดความมั่นใจเกี่ยวกับปีกจมูก
                        • โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก เหมาะสำหรับ ผู้ที่ไม่ต้องการผ่าตัด และไม่อยากพักฟื้นนาน 
                        • โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการความสะดวก รวดเร็ว และมีเวลาจำกัด

                         

                        โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก ไม่เหมาะกับใคร?

                        • โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการแก้ไข หรือปรับปรุงโครงสร้างจมูก แนะนำให้ทำศัลยกรรมจมูกจะสามารถแก้ปัญหาได้ครอบคลุมกว่า
                        • โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์อยู่ เนื่องจากอาจมีความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียงต่อลูกในครรภ์ได้
                        • โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่กำลังให้นมบุตร เนื่องจากอาจมีความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียงต่อลูกได้
                        • โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่แพ้สารโปรตีนบริสุทธิ์ในโปรแกรมฉีดโบปีกจมูก เนื่องจากอาจก่อให้เกิดอาการแพ้รุนแรงได้
                        • โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีแผลเปิด เป็นสิว หรือติดเชื้อในบริเวณที่จะทำการฉีด ควรรอให้แผลหายดีก่อน
                        • โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่กำลังรับประทานยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เนื่องจากอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้
                        • โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีโรคเกี่ยวกับระบบประสาท และกล้ามเนื้อ เนื่องจากอาจทำให้อาการแย่ลงได้

                         

                        โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก มีข้อดีอย่างไร?
                        โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก มีข้อดีอย่างไร?

                         

                        โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก มีข้อดีอย่างไร?

                        • โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก สามารถแก้ไขปัญหาปีกจมูกบาน จากกล้ามเนื้อได้อย่างตรงจุด
                        • โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก ช่วยเพิ่มความมั่นใจในตนเอง ทำให้สามารถแสดงสีหน้าได้อย่างเป็นธรรมชาติ 
                        • โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก เห็นผลลัพธ์รวดเร็ว ไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียง
                        • โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก มีขั้นตอนในการฉีดไม่ยุ่งยาก ใช้เวลาไม่นาน
                        • โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องเจ็บตัว และไม่ทิ้งบาดแผลไว้หลังฉีด
                        • โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก ไม่ต้องพักฟื้นนาน หลังฉีดเสร็จสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ
                        • โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก ราคาเข้าถึงง่าย เมื่อเทียบกับการศัลยกรรมตัดปีกจมูก เหมาะสำหรับผู้ที่งบประมาณจำกัด

                         

                        โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก มีข้อเสียอย่างไร?

                        • โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก จะให้ผลลัพธ์ที่ไม่ถาวร โดยสามารถอยู่ได้ประมาณ 3 – 6 เดือน เมื่อครบกำหนดกล้ามเนื้อบริเวณปีกจมูกจะค่อย ๆ กลับมาทำงานตามปกติ
                        • โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก อาจไม่ตอบโจทย์สำหรับผู้ที่มีปัญหาปีกจมูกบานมาก ๆ แนะนำให้ทำการศัลยกรรมตัดปีกจมูกจะเห็นผลที่ชัดเจนมากกว่า
                        • โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก หากฉีดโดยแพทย์ที่ไม่มีความรู้ ความเข้าใจ อาจทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้

                         

                        โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก กับ ศัลยกรรมตัดปีกจมูก ต่างกันอย่างไร?
                        โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก กับ ศัลยกรรมตัดปีกจมูก ต่างกันอย่างไร?

                         

                        โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก กับ ศัลยกรรมตัดปีกจมูก ต่างกันอย่างไร?

                        โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก และการศัลยกรรมผ่าตัดปีกจมูกนั้น มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ดังนี้

                        • โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก เป็นการฉีดสารเข้าไปยังกล้ามเนื้อบริเวณปีกจมูก เพื่อยับยั้งการทำงานของกล้ามเนื้อ ทำให้หดตัวได้น้อยลง ส่งผลให้ปีกจมูกไม่บานออกเวลาแสดงสีหน้า ซึ่งตอบโจทย์สำหรับผู้มีปัญหาปีกจมูกบานจากกล้ามเนื้อ และผู้ที่ไม่ต้องการผ่าตัด ไม่ต้องการพักฟื้น สามารถเห็นผลลัพธ์ ประมาณ 1 – 2 สัปดาห์หลังฉีด แต่คงไม่อยู่ถาวร จึงต้องมีการฉีดโปรแกรมฉีดโบปีกจมูกซ้ำเป็นระยะ ๆ เมื่อครบกำหนด
                        • การศัลยกรรมตัดปีกจมูก เป็นการผ่าตัดเนื้อเยื่อส่วนเกิน หรือกระดูกอ่อนบริเวณปีกจมูกออก เพื่อปรับรูปทรงจมูกให้สวยงามตามต้องการ ซึ่งตอบโจทย์สำหรับผู้ที่มีปัญหาโครงสร้างจมูก และผู้ที่ต้องการเห็นผลลัพธ์แบบชัดเจน สามารถคงอยู่ได้ถาวร โดยการศัลยกรรมตัดปีกจมูกนั้น สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างหลากหลาย แต่ก็มาพร้อมกับค่าใช้จ่ายที่สูง และต้องใช้เวลาในการพักฟื้นค่อนข้างนาน ซึ่งหากผลลัพธ์ที่ได้ไม่น่าพึงพอใจ อาจจะทำการแก้ไขได้ยาก

                         

                        โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก ยี่ห้อไหนดี?

                        โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก สามารถเลือกฉีดได้หลายยี่ห้อ ที่ได้รับการรับรองความปลอดภัยจาก อย. ซึ่งแต่ละยี่ห้อมีคุณสมบัติ และระยะเวลาในการคงอยู่ของผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน โดยส่วนใหญ่ ยี่ห้อที่ได้รับความนิยมสำหรับโปรแกรมฉีดโบปีกจมูก มีดังนี้

                        • โปรแกรมฉีดโบปีกจมูกยี่ห้อ Allergan

                        โปรแกรมฉีดโบปีกจมูกยี่ห้อ Allergan สัญชาติอเมริกา เป็นยี่ห้อแรกที่มีการคิดค้น และพัฒนาโปรแกรมฉีดโบ โดยบริษัท Allergan รวมถึง ยังเป็นยี่ห้อแรกที่ได้รับการรับรองจาก องค์การอาหารและยา ของประเทศอเมริกา (US FDA) ในปี 1989 ซึ่งมีงานวิจัยรองรับกว่า 3,500 ฉบับ 

                        คุณสมบัติเด่นของโปรแกรมฉีดโบปีกจมูกยี่ห้อ Allergan คือ มีความบริสุทธิ์สูงถึง 99.5% และตัวยากระจายตจัวแคบ ทำให้มีประสิทธิภาพในการลดริ้วรอย และปรับรูปหน้าได้อย่างแม่นยำ สามารถให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ คงอยู่ได้อย่างยาวนานกว่าโปรแกรมฉีดโบยี่ห้ออื่น ๆ 

                        • โปรแกรมฉีดโบปีกจมูกยี่ห้อ Dysport

                        โปรแกรมฉีดโบปีกจมูกยี่ห้อ Dysport สัญชาติอังกฤษ เป็นยี่ห้อที่ถูกพัฒนาโดยบริษัท Ipsen และยังได้รับการรับรองความปลอดภัยจาก องค์การอาหารและยา ของประเทศอเมริกา (US FDA) ในปี 2009

                        คุณสมบัติเด่นของโปรแกรมฉีดโบปีกจมูกยี่ห้อ Dysport คือ มีโมเลกุลขนาดเล็ก ทำให้สามารถกระจายตัวได้อย่างทั่วถึงในบริเวณกว้าง นิยมนำมาฉีดบริเวณที่มีกล้ามเนื้อมัดใหญ่ เช่น หน้าผาก กราม หรือรักแร้ ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้มีความเป็นธรรมชาติ 

                        • โปรแกรมฉีดโบปีกจมูกยี่ห้อ Xeomin

                        โปรแกรมฉีดโบปีกจมูกยี่ห้อ Xeomin สัญชาติเยอรมนี เป็นยี่ห้อที่ถูกพัฒนาโดยบริษัท Merz Pharma GmbH & Co. KGaA และยังได้รับการรับรองจาก องค์การอาหารและยา ของประเทศอเมริกา (US FDA) ในปี 2011 

                        คุณสมบัติเด่นของโปรแกรมฉีดโบปีกจมูกยี่ห้อ Xeomin คือ กระบวนการผลิตที่ใช้เทคโนโลยี XTRACT Technology ซึ่งช่วยกำจัดโปรตีนที่ไม่จำเป็นออกจากโมเลกุล ทำให้โมเลกุลมีขนาดเล็ก และมีความบริสุทธิ์สูงเมื่อเทียบกับโปรแกรมฉีดโบยี่ห้ออื่น ๆ อีกทั้ง ยังลดโอกาสในการดื้อโปรแกรมฉีดโบ ทำให้ร่างกายไม่เกิดปฏิกิริยาต่อต้าน สามารถให้ผลลัพธ์ที่ดี ในเคสที่มีประวัติดื้อโปรแกรมฉีดโบมาก่อน 

                        • โปรแกรมฉีดโบปีกจมูกยี่ห้อ Nabota

                        โปรแกรมฉีดโบปีกจมูกยี่ห้อ Nabota สัญชาติเกาหลีใต้ เป็นยี่ห้อที่ถูกพัฒนามาอย่างยาวนานกว่า 30 ปี โดยบริษัท Daewoong Pharmaceutical และเป็นโปรแกรมฉีดโบเกาหลีหนึ่งเดียวที่ได้รับการรับรองจาก องค์การอาหารและยา ของประเทศอเมริกา (US FDA) ในปี 2018 

                        คุณสมบัติเด่นของโปรแกรมฉีดโบปีกจมูกยี่ห้อ Nabota คือ กระบวนการผลิตที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตเฉพาะที่เรียกว่า HI-PURE Technology ทำให้ตัวยามีความบริสุทธิ์สูงถึง 98.7% จึงลดโอกาสในการดื้อยา และสามารถออกฤทธิ์ค่อนข้างไว ให้ผลลัพธ์ได้อย่างรวดเร็ว เมื่อเทียบกับโปรแกรมฉีดโบยี่ห้ออื่น ๆ 

                         

                        การเตรียมตัวก่อนฉีดโปรแกรมฉีดโบปีกจมูก

                        • ก่อนฉีดโปรแกรมฉีดโบปีกจมูก ควรเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน มีใบอนุญาตอย่างถูกต้อง รวมถึง แพทย์ที่มีความรู้ และมีประสบการณ์ในการฉีดโปรแกรมฉีดโบปีกจมูก 
                        • ก่อนฉีดโปรแกรมฉีดโบปีกจมูก งดรับประทานยา หรืออาหารเสริมที่ส่งผลให้เลือดหยุดไหลยาก อย่างน้อย 1 – 2 สัปดาห์
                        • ก่อนฉีดโปรแกรมฉีดโบปีกจมูก งดรับประทานยาแก้ปวด หรือยากลุ่มต้านการอักเสบ อย่างน้อย 1 – 2 สัปดาห์
                        • ก่อนฉีดโปรแกรมฉีดโบปีกจมูก หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ทุกประเภท อย่างน้อย 24 ชั่วโมง
                        • ก่อนฉีดโปรแกรมฉีดโบปีกจมูก หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ทุกประเภท อย่างน้อย 24 ชั่วโมง
                        • ก่อนฉีดโปรแกรมฉีดโบปีกจมูก งดสครับ ขัดหน้า หรือผลัดเซลล์ผิว ในบริเวณที่จะทำการฉีดโปรแกรมฉีดโบปีกจมูก อย่างน้อย 2 – 3 วัน

                         

                        ขั้นตอนการฉีดโปรแกรมฉีดโบปีกจมูก

                        • เข้ารับการปรึกษาแพทย์ก่อนฉีดโปรแกรมฉีดโบปีกจมูก โดยแพทย์จะประเมินปัญหาบริเวณปีกจมูก เพื่อคำนวณปริมาณโปรแกรมฉีดโบปีกจมูกได้อย่างเหมาะสมกับแต่ละบุคคล
                        • ทำความสะอาดใบหน้า และฆ่าเชื้อในบริเวณที่จะทำการฉีดโปรแกรมฉีดโบปีกจมูก เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
                        • เริ่มแปะยาชา หรือประคบเย็นในบริเวณที่จะฉีดโปรแกรมฉีดโบปีกจมูก เพื่อลดความรู้สึกเจ็บระหว่างฉีดโปรแกรมฉีดโบปีกจมูก
                        • เมื่อยาชาออกฤทธิ์เต็มที่แล้ว แพทย์จะทำการฉีดโปรแกรมฉีดโบปีกจมูก เข้าไปยังกล้ามเนื้อบริเวณปีกจมูก โดยใช้เข็มที่มีขนาดเล็ก และใช้เวลาประมาณ 10 – 15 นาทีในการฉีดโปรแกรมฉีดโบปีกจมูก
                        • หลังจากฉีดโปรแกรมฉีดโบปีกจมูกเสร็จ แพทย์จะให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลตัวเองหลังฉีด
                        • เมื่อเสร็จสิ้นขั้นตอนทั้งหมด สามารถกลับบ้าน และใช้ชีวิตได้ตามปกติ แต่แนะนำให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียงจากโปรแกรมฉีดโบปีกจมูก

                         

                        การดูแลตัวเองหลังฉีดโปรแกรมฉีดโบปีกจมูก

                        • หลังฉีดโปรแกรมฉีดโบปีกจมูก ควรขยับกล้ามเนื้อบริเวณปีกจมูกทันที 1 – 2 ครั้ง เพื่อให้ตัวยามีประสิทธิภาพมากขึ้น
                        • หลังฉีดโปรแกรมฉีดโบปีกจมูก งดการนอนราบ นอนคว่ำ หรือก้มหน้า ประมาณ 3 – 4 ชั่วโมงแรก เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวยากระจายตัว ไปยังบริเวณอื่น
                        • หลังฉีดโปรแกรมฉีดโบปีกจมูก หลีกเลี่ยงการสัมผัส หรือขยี้ในบริเวณที่ฉีด เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
                        • หลังฉีดโปรแกรมฉีดโบปีกจมูก หลีกเลี่ยงการทำเลเซอร์ ทรีตเมนต์ หรือนวดหน้า อย่างน้อย 1 – 2 สัปดาห์
                        • หลังฉีดโปรแกรมฉีดโบปีกจมูก หลีกเลี่ยงการโดนแสงแดดเป็นเวลานาน อย่างน้อย 1 – 2 สัปดาห์
                        • หลังฉีดโปรแกรมฉีดโบปีกจมูก งดการดื่มแอลกอฮอล์ทุกประเภท อย่างน้อย 1 – 2 สัปดาห์ เพื่อไม่ให้เกิดการขยายตัวของหลอดเลือด
                        • หลังฉีดโปรแกรมฉีดโบปีกจมูก งดการสูบบุหรี่ทุกประเภท อย่างน้อย 1 – 2 สัปดาห์ เพื่อไม่ให้หลอดเลือดขยายตัว
                        • หลังฉีดโปรแกรมฉีดโบปีกจมูก แนะนำให้รับประทาน Zinc 50 mg ทั้งก่อนและหลังฉีด เพื่อให้ตัวยาสามารถออกฤทธิ์ได้ดีมากขึ้น
                        • หลังฉีดโปรแกรมฉีดโบปีกจมูก ควรหมั่นสังเกตอาการผิดปกติของตนเอง เช่น หนังตาตก กล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือปากเบี้ยว หากพบอาการเหล่านี้ ควรรีบพบแพทย์เพื่อทำการรักษาทันที

                         

                        รวมคำถามเกี่ยวกับ โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก
                        รวมคำถามเกี่ยวกับ โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก

                         

                        รวมคำถามเกี่ยวกับ โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก

                        โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก ใช้ปริมาณโบกี่ยูนิต?

                        • โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก โดยทั่วไป จะใช้ตัวยาปริมาณประมาณ 10 – 25 ยูนิต ขึ้นอยู่กับปัญหาของปีกจมูกของแต่ละบุคคล และยี่ห้อที่เลือกฉีด โดยแพทย์จะเป็นผู้ประเมินปริมาณยูนิต ที่เหมาะสมก่อนทำการฉีด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพที่สุด

                         

                        โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก เจ็บไหม?

                        • โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก จะให้ความรู้สึกค่อนข้างเจ็บกว่าโปรแกรมฉีดโบในบริเวณอื่น ๆ เนื่องจากบริเวณจมูกมีเส้นประสาทจำนวนมาก ดังนั้น ก่อนทำการฉีดโปรแกรมฉีดโบปีกจมูก มักจะมีการแปะยาชา หรือประคบเย็น เพื่อบรรเทาความเจ็บระหว่างฉีดโปรแกรมฉีดโบปีกจมูก ทำให้รู้สึกเจ็บน้อยลง ซึ่งเป็นความเจ็บในระดับที่สามารถทนได้

                         

                        หลังฉีดโปรแกรมฉีดโบปีกจมูก กี่วันเห็นผล?

                        • โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก โดยทั่วไปแล้ว จะเริ่มเห็นผลการเปลี่ยนแปลง ภายใน 1 – 2 สัปดาห์หลังฉีด ซึ่งจะรู้สึกว่าปีกจมูกค่อย ๆ เล็กลง และสามารถขยับได้น้อยลง เมื่อมีการแสดงออกทางสีหน้า ทั้งนี้ โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก สามารถเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนที่สุด ภายใน 3 – 4 สัปดาห์หลังฉีด ซึ่งระยะเวลาในการเห็นผลอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล 

                         

                        โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก อยู่ได้นานกี่เดือน?

                        • โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก สามารถคงผลลัพธ์อยู่ได้ประมาณ 3 – 6 เดือน ขึ้นอยู่กับปริมาณที่ฉีด  ยี่ห้อที่ใช้ และการดูแลตัวเองหลังฉีด ซึ่งเมื่อครบกำหนดแล้ว ตัวยาจะค่อย ๆ สลายตัวไปตามธรรมชาติ ไม่ทิ้งสารตกค้างในร่างกาย สามารถทำโปรแกรมฉีดโบปีกจมูกซ้ำได้ เพื่อคงสภาพของผลลัพธ์ให้ดียิ่งขึ้น

                         

                        โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก อันตรายไหม?

                        • โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก เป็นหัตถการที่มีความปลอดภัย และมีขั้นตอนในการฉีดไม่ยุ่งยาก หากฉีดโดยแพทย์ที่มีความรู้ ความชำนาญเกี่ยวกับโครงสร้างใบหน้า สามารถวิเคราะห์ปัญหาได้อย่างแม่นยำ คำนวณปริมาณตัวยาที่ใช้ได้อย่างเหมาะสม และฉีดลงไปยังชั้นกล้ามเนื้อได้อย่างถูกจุด รวมถึง ควรเลือกยี่ห้อโปรแกรมฉีดโบปีกจมูกที่ได้รับความนิยม และได้รับการรับรองจาก อย. เท่านั้น เช่น โปรแกรมฉีดโบยี่ห้อ Allergan, โปรแกรมฉีดโบยี่ห้อ Xeomin และโปรแกรมฉีดโบยี่ห้อ Nabota เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ และมีความปลอดภัยสูง

                         

                        โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก มีผลข้างเคียงอะไรบ้าง?

                        ถึงแม้โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก จะเป็นหัตถการไม่อันตราย แต่ก็สามารถพบผลข้างเคียงได้เล็กน้อย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลข้างเคียงที่ไม่รุนแรง และสามารถหายได้เองตามธรรมชาติ ดังนี้

                        • บวมช้ำ 

                        หลังฉีดโปรแกรมฉีดโบปีกจมูก อาจเกิดอาการบวม และช้ำในบริเวณที่ฉีดได้ ซึ่งเป็นผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยหลังฉีด และสามารถหายได้เองภายใน 2 – 3 วัน

                        • รอยแดง

                        หลังฉีดโปรแกรมฉีดโบปีกจมูก อาจเกิดรอยแดงจากเข็มฉีดยาในบริเวณที่ฉีดได้ ซึ่งเป็นผลข้างเคียงปกติที่พบได้บ่อย และสามารถหายได้เอง ภายใน 2 – 3 วัน

                        • รู้สึกตึง

                        หลังฉีดโปรแกรมฉีดโบปีกจมูก อาจรู้สึกตึง หรือชาในบริเวณที่ฉีดได้ ซึ่งเป็นผลข้างเคียงที่พบได้บ่อย เนื่องจากตัวยากำลังเริ่มออกฤทธิ์ในการคลายกล้ามเนื้อในบริเวณที่ฉีด 

                         

                        การฉีดโปรแกรมฉีดโบปีกจมูก ถือเป็นทางเลือกที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดขนาดปีกจมูก โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น และสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติทันทีหลังฉีด สำหรับท่านใดที่มีปัญหาปีกจมูกกว้าง ปีกจมูกบาน และต้องการฉีดโปรแกรมฉีดโบปีกจมูก สามารถเข้ามาปรึกษาได้ที่ รมย์รวินท์คลินิก เพื่อให้แพทย์ช่วยประเมินใบหน้า วิเคราะห์ปัญหา พร้อมเลือกยี่ห้อ และกำหนดปริมาณที่เหมาะสม เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ ลดความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียงหลังฉีด

                        รักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser ดีจริงไหม ? บอกลานอนกรน แบบไม่ต้องผ่าตัด 

                        รักษาอาการนอนกรน

                        ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




                          วันที่สะดวกในการติดต่อ








                          รักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser ดีจริงไหม ? บอกลานอนกรน แบบไม่ต้องผ่าตัด 

                          นอนกรน ไม่ใช่เรื่องตลก อาการนอนกรนนอกจากจะเป็นเรื่องที่กวนใจผู้คนรอบข้างแล้ว ยังส่งผลต่อสุขภาพของผู้ที่นอนกรนอีกด้วย หากปล่อยไว้อาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพโรคเรื้อรังอื่น ๆ ตามมาได้ รู้จักกับ รักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser ดีจริงไหม ? บอกลานอนกรน แบบไม่ต้องผ่าตัด และไม่ต้องพักฟื้น ทางเลือกใหม่ที่คนนอนกรนต้องรู้จัก

                           

                          ปัญหานอนกรน ส่งผลกระทบอะไรบ้าง?

                          นอนกรนใครว่าไม่มีปัญหา การนอนกรน ถือเป็นอีกหนึ่งปัญหาสุขภาพที่หลาย ๆ คนอาจจะยังไม่รู้ ซึ่งการนอนกรนนั้นจะส่งผลต่อคุณภาของการนอนหลับโดยตรง ทำให้นอนหลับไม่สนิท และรู้สึกเหนื่อยล้า อ่อนเพลียหลังตื่นนอนได้ นอกจากนี้ การนอนกรนยังส่งผลกระทบในอีกหลาย ๆ เรื่อง ได้แก่

                          • อาการนอนกรนเสี่ยงต่อภาวะนอนหยุดหายใจขณะหลับ ซึ่งอาจทำให้ร่างกายขาดออกซิเจนได้
                          • อาการนอนกรนเสี่ยงต่อโรคหัวใจ และโรคความดันโลหิตสูง
                          • อาการนอนกรนทำให้เสี่ยงต่อโรคอ้วนลงพุงเพิ่มขึ้น 
                          • อาการนอนกรนอาจส่งผลต่อสุขภาพจิต ทำให้อารมณ์เสียได้ง่ายขึ้น ทั้งยังมีผลต่อบุคลิกภาพอีกด้วย
                          • อาการนอนกรนเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุขณะขับขี่ เนื่องจากอาการง่วงนอน และเหนื่อยล้าได้
                          • อาการนอนกรนอาจเกิดเสียงดังรบกวนคนในบ้าน ทำให้เกิดอาการนอนไม่พอ
                          • อาการนอนกรนอาจกระทบต่อความสัมพันธ์ของคู่สมรส ซึ่งอาจจะเกิดปัญหานอนไม่หลับได้

                           

                          ดังนั้นการนอนกรนจึงถือเป็นทั้งปัญหาสุขภาพ และปัญหาในด้านความสัมพันธ์ เนื่องจากการนอนกรนนั้นมีผลกระทบต่อคนรอบข้าง การรักษาอาการนอนกรนจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น ในปัจจุบันก็มีวิธีรักษาอาการนอนกรนที่ทันสมัย ปลอดภัย อย่างการทำ Snore Laser หรือการเลเซอร์แก้นอนกรน 

                           

                          รักษาอาการนอนกรน Snore Laser
                          รักษาอาการนอนกรน Snore Laser

                           

                          รักษาอาการนอนกรน Snore Laser

                          อาการนอนกรน เกิดจากการสั่นสะเทือนของเนื้อเยื่อในลำคอ โดยกล้ามเนื้อทางเดินหายใจเกิดการหย่อนตัวขณะหลับ เมื่ออากาศไหลผ่านทางเดินหายใจที่แคบลง ทำให้เกิดการสั่นสะเทือนของเพดานอ่อน ลิ้นไก่ ลิ้น หรือเนื้อเยื่อรอบ ๆ ลำคอ จึงส่งผลทำให้เกิดเสียงกรนขึ้น

                           

                          เลเซอร์รักษาอาการนอนกรน (Snore Laser) คือ วิธีรักษาอาการนอนกรนโดยการใช้เลเซอร์ชนิดเออร์เบียม (Er: YAG laser) ยิงเข้าไปภายในช่องปาก บริเวณเพดานอ่อน กระพุ้งแก้ม ลิ้นไก่ และโคนลิ้น โดยความร้อนจากเลเซอร์ จะเข้าไปและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้เนื้อเยื่อที่หย่อนตัวกระชับเข้ากับเพดานอ่อนและลิ้นไก่ ช่วยเปิดช่องทางเดินหายใจให้กว้างขึ้น ทำให้สามารถหายใจได้สะดวกขึ้น Snore Laser ช่วยกระชับเนื้อเยื่อช่องคอไม่ให้หย่อนลงมาปิดกั้นทางเดินหายใจขณะหลับ ช่วยลดอาการนอนกรน และลดความเสี่ยงของภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น ซึ่งการรักษาอาการนอนกรน ด้วย  Snore Laser นั้นสามารถทำได้โดยไม่ต้องผ่าตัด ใช้เวลาไม่นาน อีกทั้งยังไม่ต้องพักฟื้นนาน

                           

                          ทำไมต้องรักษานอนกรนด้วยเลเซอร์ Snore Laser

                          ทำไมต้องรักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser เลเซอร์รักษานอนกรนถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ที่มีปัญหานอนกรนเสียงดัง นอนกรนถี่ ทำให้คุณภาพการนอน และสุขภาพเริ่มมีปัญหา การรักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser จะช่วยแก้ปัญหาการนอนกรน ลดความเสี่ยงภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้นระดับเล็กน้อย-ปานกลางที่มีประสิทธิภาพสูง  ซึ่งการรักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser เป็นการรักษาที่ไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีต้องใช้อุปกรณ์เสริม ใช้เวลาประมาณ 30 นาที และสามารถเห็นผลลัพธ์ได้ตั้งแต่หลังทำครั้งแรก

                           

                          รักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser ดีอย่างไร?

                          • รักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น 
                          • รักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser ช่วยทำให้อาการนอนกรนลดลง สามารถรักษาอาการนอนกรนได้ตั้งแต่ครั้งแรก
                          • รักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser ช่วยเพิ่มคุณภาพการนอนหลับให้ดีขึ้น หลับได้ลึก ทำให้ลดอาการอ่อนเพลีย และอาการง่วงหลังตื่น
                          • รักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser หลังทำอาการนอนกรนสามารถลดลงถึง 80% โดยใช้เวลาในการทำประมาณ 30-45 นาทีต่อครั้ง 
                          • รักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser สามารถทำการรักษาต่อเนื่อง 3 ครั้ง โดยห่างกัน 2 และ 4 สัปดาห์ ทั้งนี้จะขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์
                          • รักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser มีความปลอดภัย ใช้เลเซอร์ชนิดเออร์เบียมที่ได้รับการรับรองจาก FDA หรือองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกาว่ามีความปลอดภัย ลดผลข้างเคียง ลดความบอบช้ำของเนื้อเยื่อโดยรอบ และช่วยให้ฟื้นฟูได้เร็ว

                           

                          รักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser เหมาะกับใคร?
                          รักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser เหมาะกับใคร?

                           

                          รักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser เหมาะกับใคร?

                          1. Snore Laser เหมาะกับผู้ที่มีอาการนอนกรนระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง หรือมีอาการนอนกรนที่เกิดจากเพดานอ่อนหย่อนตัว หรือทางเดินหายใจแคบ
                          2. Snore Laser เหมาะกับผู้ที่เสี่ยงภาวะหยุดหายใจขณะหลับระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง
                          3. Snore Laser เหมาะกับผู้ที่มีปัญหานอนหลับไม่สนิท รู้สึกง่วง และอ่อนเพลียตอนกลางวัน ตื่นกลางดึกบ่อย เพราะรู้สึกเหมือนหายใจไม่สะดวก
                          4. Snore Laser เหมาะกับผู้ที่ต้องการรักษาอาการนอนกรนแบบไม่ต้องผ่าตัด หรือไม่ต้องการใช้อุปกรณ์ระหว่างนอน การทำ Snore Laser ถือเป็นทางเลือกที่ดี เพราะไม่มีแผลผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น
                          5. Snore Laser เหมาะกับผู้ที่ต้องการรักษาอาการนอนกรน ที่รบกวนคนรอบข้าง ต้องการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัว

                           

                          รักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser ไม่เหมาะกับใคร?

                          1. Snore Laser ไม่เหมาะกับผู้ที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับระดับรุนแรง อาจจะต้องพิจารณาทางเลือกอื่น เช่น เครื่องช่วยหายใจ CPAP หรือการผ่าตัด หากสงสัยว่าตัวเองมี OSA ควรเข้ารับการตรวจ Sleep Test ก่อน
                          2. Snore Laser ไม่เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาโครงสร้างทางเดินหายใจที่มีความซับซ้อน เช่น ลิ้นไก่ยาวผิดปกติ ต่อมทอนซิลโต หรือผนังกั้นโพรงจมูกคดอาจจะต้องใช้การรักษาวิธีอื่นร่วมด้วย
                          3. Snore Laser ไม่เหมาะกับผู้ที่มีน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วนรุนแรง หรือผู้ที่มีค่าดัชนีมวลกาย (BMI) สูงมาก อาจต้องลดน้ำหนักก่อนเพื่อให้ผลการรักษามีประสิทธิภาพ
                          4. Snore Laser ไม่เหมาะกับผู้ที่คาดหวังผลลัพธ์แบบถาวรโดยไม่ปรับพฤติกรรม หากไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและดูแลสุขภาพ อาการนอนกรนก็สามารถกลับมาได้
                          5. Snore Laser ไม่เหมาะกับผู้ที่กำลังตั้งครรภ์และให้นมบุตร

                           

                          รักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser ต้องเตรียมตัวอย่างไร?

                          ก่อนเข้ารับการรักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser ควรตรวจเช็กสภาพร่างกายของตนเองและปฏิบัติตามคำแนะนำเพื่อให้การรักษาได้ผลดีที่สุด

                          1. วัดระดับการนอนกรนล่วงหน้า สามารถตรวจอาการนอนกรน ได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็น การซักประวัติจากแพทย์ การตรวจการนอนหลับ (Sleep Test) หรือการตรวจวินิจฉัยด้วยภาพถ่ายเอกซเรย์ CT scan หรือ MRI และการใช้แอปพลิเคชัน SnoreLab หรืออุปกรณ์บันทึกเสียง เพื่อวัดระดับเสียงกรน จากนั้นนำผลที่ได้ไปปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินการรักษาอาการนอนกรน
                          2. ตรวจสอบสุขภาพก่อนรักษาอาการนอนกรน ว่าไม่มีไข้หวัด หรือการติดเชื้อทางเดินหายใจ หากมีอาการคัดจมูก เจ็บคอ หรือไอ ควรรักษาให้หายดีก่อน
                          3. งดยาแอสไพรินและยาต้านการแข็งตัวของเลือดชั่วคราว เนื่องจากยากลุ่มนี้อาจทำให้เลือดออกง่ายขึ้น ควรปรึกษาแพทย์ก่อนหยุดยา
                          4. ตรวจเช็กสุขภาพช่องปาก ก่อนการรักษาอาการนอนกรนต้องไม่มีแผลในปาก หรือแผลร้อนใน เพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคืองจากเลเซอร์ได้
                          5. รับประทานอาหาร และดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย เนื่องจากการรักษาอาการนอนกรน Snore Laser ไม่จำเป็นต้องงดน้ำ หรืออาหาร ก่อนทำเหมือนการผ่าตัด

                           

                          รักษาอาการนอนกรนด้วยเลเซอร์ Snore Laser มีขั้นตอนอย่างไร?

                           

                          1. ตรวจเช็กสภาพร่างกาย ในชั้นตอนแรกแพทย์จะทำการตรวจเช็กโครงสร้างทางเดินหายใจ เช่น เพดานอ่อน ลิ้นไก่ และลำคอ จากนั้นจะทำการประเมินความรุนแรงของอาการนอนกรน เพื่อพิจารณาว่าการรักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser เหมาะสมหรือไม่
                          2. ทำการรักษาโดยการยิงเลเซอร์ชนิด Er: YAG laser ทำการยิงไปที่เพดานอ่อนและเนื้อเยื่อในลำคอ ซึ่งเลเซอร์จะเข้าไปช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้เนื้อเยื่อกระชับ ลดการสั่นสะเทือนที่ทำให้เกิดเสียงกรนได้
                          3. ระหว่างการรักษาอาการนอนกรน อาจทำให้ลำคอรู้สึกแห้งเล็กน้อย สามารถพักจิบน้ำเป็นระยะ ๆ  เพื่อช่วยให้รู้สึกสบายขึ้นขณะทำการรักษา
                          4. รักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser เป็นวิธีที่ ไม่ต้องใช้ยาชา ไม่ต้องผ่าตัด และไม่มีแผล โดยจะใช้เวลารักษาประมาณ 30-45 นาทีต่อครั้ง ขึ้นอยู่กับปัญหาของแต่ละบุคคล
                          5. หลังรักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser เสร็จ ไม่ต้องพักฟื้น สามารถรับประทานอาหารและดื่มน้ำได้ตามปกติหลังทำเสร็จ และควรหลีกเลี่ยงอาหารรสจัด และเครื่องดื่มร้อนหรือเย็นจัด ในช่วง 1 สัปดาห์แรกหลังทำ

                           

                          รักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser หลังทำต้องปฏิบัติตัวอย่างไร

                          • การรักษาด้วยเลเซอร์อาจทำให้ลำคอแห้ง ในช่วงสัปดาห์แรกจึงควรดื่มน้ำบ่อย ๆ เพื่อช่วยให้เนื้อเยื่อฟื้นตัวเร็วขึ้น
                          • หลังทำ 1 สัปดาห์ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารรสจัด เช่น อาหารเผ็ด เปรี้ยว หรือเค็มจัด  เพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคืองที่ลำคอที่ทำการรักษาได้  
                          • หลังทำ 1 สัปดาห์ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่ร้อนหรือเย็นเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองที่เนื้อเยื่อบริเวณที่ทำเลเซอร์

                           

                          รักษาอาการนอนกรนมีผลข้างเคียงอะไรบ้าง?

                          หลังทำการรักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser อาจจะมีผลข้างเคียงเล็กน้อย แต่อาการจะค่อย ๆ หายไปเองตามธรรมชาติ 

                          • หลังทำการรักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser อาจรู้สึกลำคอแห้ง หรือรู้สึกระคายเคืองลำคอในช่วง 1-2 วันแรก
                          • หลังทำการรักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser อาจมีอาการไอเล็กน้อย เนื่องจากเนื้อเยื่อเพดานอ่อนตอบสนองต่อเลเซอร์
                          • หลังทำการรักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser ในบางรายอาจรู้สึกร้อนบริเวณลำคอขณะทำ แต่ไม่มีอาการปวด และอาการหายไปเองได้

                          ทั้งนี้หากมีอาการผิดปกติอื่น ๆ นอกจากที่กล่าวมาข้างต้น เช่น ลำคอบวมมาก หรือรู้สึกกลืนลำบาก ควรรีบพบแพทย์ทันที

                           

                          อาการนอนกรน คืออะไร? 

                          อาการนอนกรน เป็นเสียงที่เกิดขึ้นขณะหายใจเข้าและออกระหว่างการนอนหลับ โดยเกิดจากการสั่นสะเทือนของเนื้อเยื่อในลำคอ ซึ่งมักเกิดจากการอุดกั้นของทางเดินหายใจบางส่วน ซึ่งการนอนกรนอาจเกิดได้จากหลายปัจจัย ทั้งความเหนื่อยล้า หรือท่านอนบางท่า แต่ในบางกรณีอาการนอนกรนก็อาจจะเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพ อย่าง ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Obstructive Sleep Apnea – OSA) ซึ่งอาจจะทำให้ส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกายได้ในระยะยาว จึงจำเป็นอย่างมากที่ควรรักษา

                           

                          อาการนอนกรน เป็นอย่างไร?
                          อาการนอนกรน เป็นอย่างไร?

                           

                          อาการนอนกรน เป็นอย่างไร?

                          อาการนอนกรนของแต่ละบุคคลนั้นก็จะมีลักษณะที่แตกต่างกันไป โดยบางคนอาจจะมีอาการนอนกรนเป็นครั้งคราว บางคนอาจจะมีอาการนอนกรนเสียงดังอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจส่งผลต่อคุณภาพในการนอนได้ วิธีสังเกตว่าเราอาการนอนกรน ดังนี้

                          • มีเสียงกรนขณะนอนหลับ
                          • เสียงกรนจะดังขึ้นเมื่อเกิดการเปลี่ยนท่านอน
                          • ขณะหลับอาจมีอาการสะดุ้งตื่น เพราะรู้สึกหายใจไม่ออก
                          • ตื่นมาพร้อมกับอาการปวดหัว
                          • รู้สึกเหนื่อย อ่อนเพลีย และง่วงนอนในตอนกลางวัน

                          ทั้งนี้ หากพบว่ามีอาการนอนกรนเสียงดังร่วมกับภาวะหยุดหายใจขณะหลับ หรือมีอาการหายใจสะดุดระหว่างหลับ ควรพบแพทย์เพื่อทำการตรวจและรักษาตามลำดับ

                           

                          สาเหตุของอาการนอนกรนเกิดจากอะไร? 

                          อาการนอนกรนสามารถเกิดได้จากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็น โครงสร้างทางเดินหายใจ พฤติกรรมการใช้ชีวิต หรือปัญหาสุขภาพ ดังนี้

                          1. โครงสร้างทางเดินหายใจ
                          • อาการนอนกรนเกิดจากกล้ามเนื้อบริเวณลำคอเกิดการหย่อนตัว โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ ทำให้ทางเดินหายใจแคบลง 
                          • อาการนอนกรนเกิดจากโครงสร้างลำคอที่แคบกว่าปกติ ทำให้อากาศไหลผ่านลำบาก จึงเกิดอาการกรนได้
                          • อาการนอนกรนเกิดจากลิ้นไก่หรือเพดานอ่อนยาวผิดปกติ อาจทำให้เกิดการอุดกั้นของทางเดินหายใจได้
                          • อาการนอนกรนเกิดจากผนังกั้นโพรงจมูกคด ทำให้หายใจทางจมูกลำบาก จึงเพิ่มโอกาสในการนอนกรนได้
                          • อาการนอนกรนเกิดจากต่อมทอนซิลหรือต่อมอะดีนอยด์โต พบมากในเด็กและอาจเป็นสาเหตุของการนอนกรน
                          1. พฤติกรรมการใช้ชีวิต
                          • อาการนอนกรนเกิดจากโรคอ้วนหรือน้ำหนักเกิน ไขมันที่สะสมรอบคออาจกดทับทางเดินหายใจ ทำให้เกิดอาการกรน
                          • อาการนอนกรนเกิดจากการนอนหงาย จะทำให้ลิ้นและเพดานอ่อนตกไปอุดกั้นทางเดินหายใจได้
                          • อาการนอนกรนเกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์และยานอนหลับ ทำให้กล้ามเนื้อในลำคอหย่อนตัวมากขึ้น
                          • อาการนอนกรนเกิดจากการสูบบุหรี่ ทำให้เกิดการอักเสบของเนื้อเยื่อในลำคอและเพิ่มเมือกในทางเดินหายใจ ทำให้หายใจได้ลำบาก
                          • อาการนอนกรนเกิดจากการอดนอนหรือพักผ่อนไม่เพียงพอ ทำให้กล้ามเนื้อลำคออ่อนแรงมากขึ้น ทำให้เกิดอาการกรน
                          1. ปัญหาสุขภาพ
                          • อาการนอนกรนเกิดจากโรคหยุดหายใจขณะหลับ เป็นภาวะที่ทางเดินหายใจอุดกั้นขณะหลับ ทำให้ร่างกายต้องตื่นขึ้นเพื่อหายใจ มักมีอาการหายใจสะดุด สะดุ้งตื่นกลางดึก และง่วงนอนตอนกลางวัน
                          • อาการนอนกรนเกิดจากโรคภูมิแพ้ หรือภาวะคัดจมูกเรื้อรัง ทำให้หายใจไม่สะดวก ต้องอ้าปากหายใจแทน จึงทำให้เกิดการนอนกรนได้
                          • อาการนอนกรนเกิดจากภาวะไทรอยด์ต่ำ ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณลำคอเกิดการอ่อนแรง

                           

                          อาการนอนกรน ส่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างไร?

                          แม้ว่าอาการนอนกรนจะดูเหมือนปัญหาเล็ก ๆ แต่อาการนอนกรนหากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง อาจจะส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว รวมถึงส่งผลต่อการใช้ชีวิตได้

                          1. อาการนอนกรนส่งผลต่อคุณภาพการนอน การนอนหลับไม่สนิทจะทำให้รู้สึกง่วงนอนในระหว่างวัน เนื่องจากตอนกลางคืนตื่นบ่อย เพราะหายใจไม่สะดวก
                          2. อาการนอนกรนเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรัง เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด หรือเบาหวานชนิดที่ 2
                          3. ส่งผลต่อสมองและอารมณ์ ไม่ว่าจะเป็น สมาธิสั้น ความจำแย่ลง อารมณ์แปรปรวน มีแนวโน้มเป็นโรคซึมเศร้า มีอาการปวดหัวตอนเช้าหลังตื่นนอน
                          4. อาการนอนกรนกระทบต่อคนรอบข้าง เสียงกรนดังอาจรบกวนการนอนของคนข้าง ๆ ส่งผลให้เกิดปัญหากับครอบครัวหรือคู่รักได้

                           

                          อาการนอนกรน แบบไหนถึงควรพบแพทย์

                          อาการนอนกรน บางครั้งอาจจะเกิดจากความเหนื่อยล้า หรือปัจจัยอื่น ๆ ร่วมด้วย แต่หากการนอนกรนที่มีเสียงดังมาก มีอาการหายใจสะดุด หรือรู้สึกง่วงผิดปกติในเวลากลางวัน อาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพได้ หากมีอาการดังต่อนี้ ควรรีบพบแพทย์เพื่อทำการรักษาอาการนอนกรนต่อไป

                          1. นอนกรนเสียงดังมากจนรบกวนคนรอบข้าง หากมีการนอนกรนเสียงดังมากในขณะหลับ หรือมีเสียงกรนเมื่อนอนหงาย
                          2. มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ หรือมีอาการหายใจสะดุด หรือหยุดหายใจเป็นช่วง ๆ ขณะหลับ ทำให้สะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก รวมถึงมีอาการไอสำลักน้ำลาย ทำให้หายใจติดขัดเวลานอน
                          3. รู้สึกไม่สดชื่นหรือมีอาการง่วงผิดปกติ หลังตื่นนอนแม้นอนเต็มอิ่ม มีอาการอ่อนเพลีย สมองไม่ปลอดโปร่ง รู้สึกง่วงตอนกลางวัน
                          4. มีอาการปวดหัวตอนเช้า ซึ่งอาจเกิดจากออกซิเจนไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอขณะหลับ อาจจะทำให้เกิดโรคความดันโลหิตสูงได้
                          5. มีภาวะอารมณ์แปรปรวน และมีปัญหาด้านความจำ สมาธิสั้น ทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง

                           

                          อาการนอนกรน มีผลข้างเคียงอย่างไร

                          อาการนอนกรนนั้นส่งผลกระทบในหลาย ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็น ปัญหาสุขภาพ ปัญหาการใช้ชีวิตประจำวัน รวมถึงปัญหาครอบครัวได้ นอกจากนี้อาการนอนกรนยังมีผลข้างเคียงกับร่างกาย ดังนี้

                           

                          • ไม่มีสมาธิ หลงลืมง่าย
                          • นอนไม่อิ่ม ไม่สดชื่นตอนตื่นนอน
                          • ง่วงนอนระหว่างวัน เหนื่อยล้า อ่อนเพลีย
                          • ปวดหัวตอนเช้า 
                          • เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุจากการขับขี่จากอาการเหนื่อยล้า
                          • สมรรถภาพทางเพศในเพศชายลดลง
                          • อาจเกิดภาวะซึมเศร้า
                          • อาจเกิดความดันโลหิตสูง
                          • โรคหัวใจและหลอดเลือด 
                          • นอกจากนี้อาการนอนกรนยังเสี่ยงต่อภาวะหยุดหายใจขณะหลับ และเสี่ยงต่อโรคเรื้อรังหลาย ๆ โรค

                           

                          วิธีรักษาอาการนอนกรนที่ได้ผลจริง

                          ปัจจุบันมีวิธีรักษาอาการนอนกรนที่หลากหลายและได้ผลดีมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น การรักษาทางการแพทย์ อย่าง Snore Laser เลเซอร์รักษาอาการนอนกรน หรือการปรับพฤติกรรม ดังนี้

                           

                          ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อรักษาอาการนอนกรน

                          เป็นวิธีที่ง่ายและมีความปลอดภัยที่สุดสำหรับการรักษาอาการนอนกรน สำหรับอาการนอนกรนที่เกิดจากการพฤติกรรมการใช้ชีวิต

                          • หลีกเลี่ยงการนอนหงาย เพราะอาจทำให้ลิ้นตกไปปิดกั้นทางเดินหายใจ แนะนำให้นอนตะแคง จะช่วยทำให้หายใจได้สะดวกมากขึ้น 
                          • ลดน้ำหนัก จะช่วยลดไขมันรอบลำคอที่อาจไปกดทับทางเดินหายใจ
                          • การออกกำลังกายและควบคุมอาหารช่วยให้กล้ามเนื้อลำคอแข็งแรงขึ้น
                          • หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์และบุหรี่ เนื่องจากทำให้กล้ามเนื้อลำคอหย่อนตัวมากขึ้น รวมถึงเกิดการระคายเคืองและอักเสบในทางเดินหายใจ ส่งผลให้เกิดอาการนอนกรน

                           

                          อุปกรณ์ช่วยรักษาอาการนอนกรน 

                          สำหรับผู้ที่มีอาการนอนกรนรุนแรง หรือไม่สามารถแก้ไขด้วยการปรับพฤติกรรมเพียงอย่างเดียว อาจต้องใช้อุปกรณ์ช่วย

                          • เครื่องช่วยหายใจ CPAP (Continuous Positive Airway Pressure) เป็นอุปกรณ์ที่ช่วยเป่าลมเข้าไปเปิดทางเดินหายใจ เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (OSA)
                          • อุปกรณ์ครอบฟันกันกรน เป็นอุปกรณ์ที่ช่วยเลื่อนขากรรไกรไปด้านหน้าเล็กน้อย เพื่อลดการอุดกั้นทางเดินหายใจ ใช้งานง่าย เหมาะสำหรับผู้ที่นอนกรนระดับปานกลาง
                          • หมอนลดอาการนอนกรน ช่วยปรับตำแหน่งของศีรษะและลำคอให้อยู่ในแนวที่เหมาะสม ช่วยลดแรงกดที่ทางเดินหายใจและช่วยให้หายใจสะดวกขึ้น

                           

                          การรักษาทางการแพทย์สำหรับอาการนอนกรน 

                          สำหรับผู้ที่มีปัญหานอนกรนเสียงดัง หรือเกิดภาวะหยุดหายใจขณะหลับ และใช้อุปกรณ์ช่วยรักษาอาการนอนกรนไม่ได้ผลนั้น อาจต้องพิจารณาแนวทางการรักษาทางการแพทย์

                          • เลเซอร์รักษานอนกรน Snore Laser ช่วยกระตุ้นการทำงานของเนื้อเยื่อบริเวณลำคอและเพดานอ่อนให้แข็งแรงขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะนอนกรนไม่รุนแรง
                          • การผ่าตัดรักษานอนกรน เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาโครงสร้างทางเดินหายใจ เช่น ผนังกั้นโพรงจมูกคด หรือต่อมทอนซิลโต

                           

                          อาการนอนกรน เป็นสัญญาณของโรคอะไรบ้าง?
                          อาการนอนกรน เป็นสัญญาณของโรคอะไรบ้าง?

                           

                          อาการนอนกรน เป็นสัญญาณของโรคอะไรบ้าง? 

                          อาการนอนกรน ไม่ใช่แค่ปัญหากวนใจในตอนกลางคืน แต่ยังอาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคร้ายแรงบางอย่างที่ส่งผลต่อสุขภาพระยะยาวได้

                          ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ

                          • มีอาการนอนกรนเสียงดังมาก และหยุดหายใจเป็นช่วง ๆ ขณะหลับ ทำให้สะดุ้งตื่นกลางดึก เพราะรู้สึกหายใจไม่ออก ส่งผลให้ปวดหัวหลังตื่นนอน และเกิดอาการง่วงนอนที่มากกว่าปกติในเวลากลางวัน 

                          โรคหัวใจและหลอดเลือด 

                          • อาการนอนกรนที่เกิดจากภาวะหยุดหายใจขณะหลับ จะทำให้ระดับออกซิเจนในเลือดลดลง และส่งผลให้หัวใจทำงานหนักขึ้น จึงเสี่ยงต่อภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ และเพิ่มโอกาสการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ และหัวใจวายได้

                          โรคความดันโลหิตสูง

                          • เมื่อร่างกายขาดออกซิเจนจากภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ทำให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้น ส่งผลให้ความดันโลหิตจะเพิ่มขึ้น เพื่อตอบสนองต่อการขาดออกซิเจน ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดโรคความดันโลหิตสูง 

                          โรคสมองเสื่อม

                          • อาการนอนกรน และภาวะหยุดหายใจขณะหลับนั้น อาจทำให้ร่างกายนำออกซิเจนไปเลี้ยงที่สมองได้ไม่เพียงพอ ส่งผลให้หลังตื่นนอนมีการอาการง่วง เหมือนนอนไม่เต็มอิ่ม ขาดสมาธิ เกิดอาการหลงลืม สมองล้า ซึ่งหากเป็นแบบนี้ในเวลานาน ๆ อาจส่งผลให้สมองเสื่อมเร็วขึ้น และเสี่ยงต่อโรคอัลไซเมอร์ได้ในอนาคต

                           

                          คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการรักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser

                          รักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser ช่วยรักษาภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (OSA) ได้หรือไม่?

                          • Snore Laser เป็นวิธีที่รักษาอาการนอนกรน และรักษาภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ที่เกิดจากการอุดกั้นระดับเล็กน้อยถึงปานกลางได้ แต่ไม่สามารถรักษาภาวะหยุดหายใจขณะหลับในระดับรุนแรงได้ หากมีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (OSA) ในระดับที่รุนแรง ควรพบแพทย์เพื่อวางแผนการรักษาอื่น ๆ 

                           

                          รักษาอาการนอนกรนต้องทำกี่ครั้ง ผลลัพธ์อยู่ได้นานแค่ไหน?
                          รักษาอาการนอนกรนต้องทำกี่ครั้ง ผลลัพธ์อยู่ได้นานแค่ไหน?

                           

                          รักษาอาการนอนกรนต้องทำกี่ครั้ง ผลลัพธ์อยู่ได้นานแค่ไหน? 

                          • หากต้องการผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพที่สุด ควรทำ Snore Laser ประมาณ  3 ครั้งขึ้นไป ซึ่งหลังทำครบคอร์สนั้นจะช่วยลดอาการนอนกรนได้ถึง 80% และประสิทธิภาพสามารถคงอยู่ได้นาน 6 เดือน – 2 ปี ทั้งนี้ระยะเวลาของผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับพฤติกรรมและสุขภาพของแต่ละบุคคล 

                           

                          รักษาอาการนอนกรนต้องทำซ้ำไหม?

                          • สำหรับใครที่สงสัยว่าการรักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser สามารถทำซ้ำได้ไหม หรือต้องทำซ้ำไหมนั้น หากอาการกรนกลับมา สามารถทำ Snore Laser ซ้ำปีละ 1 ครั้ง เพื่อช่วยคงผลลัพธ์ให้ยาวนานขึ้นได้

                          รักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser ถือเป็นหนึ่งทางเลือกสำหรับคนที่ต้องการรักษาอาการนอนกรน แต่ไม่อยากผ่าตัด ไม่อยากใส่อุปกรณ์เสริมระหว่างนอน ซึ่งการทำ Snore Laser เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการนอนกรน และเสี่ยงอยู่ในภาวะหยุดหายใจขณะหลับในระดับเล็กน้อย ที่ต้องการเพิ่มคุณภาพการนอนให้ดีขึ้น หลับสนิทขึ้น และช่วยเพิ่มความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัว สำหรับท่านใดที่สนใจ รักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser สามารถเข้ามาสอบถามได้ที่ รมย์รวินท์คลินิก ทุกสาขา

                          ปัญหาหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา มีอะไรบ้าง? ฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อน เกิดจากอะไร?

                          ฟิลเลอร์ใต้ตา

                          ปัญหาหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา มีอะไรบ้าง? ฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อน เกิดจากอะไร?

                           

                          ปัญหาใต้ตาคล้ำ เบ้าตาลึก เป็นปัญหาที่กวนใจใครหลาย ๆ คน เนื่องจากทำให้ใบหน้าดูอิดโรย เหนื่อยล้า ไม่สดใส ดังนั้น การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา จึงเป็นทางออกในการแก้ไขปัญหาใต้ตา โดยเฉพาะปัญหาถุงใต้ตา เบ้าตาลึก ใต้ตาคล้ำ และริ้วรอยใต้ตา ซึ่งฟิลเลอร์จะช่วยเติมเต็ม ให้ผิวใต้ตาดูอิ่มฟู สดใส ใบหน้าดูไม่โทรม แต่ทั้งนี้ การฉีดฟิลเลอร์ควรฉีดโดยแพทย์ที่มีความรู้และมีประสบการณ์เท่านั้น เพราะหากฉีดไม่ถูกวิธี อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงอย่าง ฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อนได้ 

                          ในบทความนี้ ได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตามาให้แล้วว่า ปัญหาหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตามีอะไรบ้าง? แล้วฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อนคืออะไร? ฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อนเกิดจากอะไร? พร้อมบอกวิธีแก้ไขฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อนมาไว้ให้แล้ว

                           

                          ปัญหาหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เป็นก้อนเกิดจากอะไร? มีวิธีแก้อย่างไร?

                           

                          ปัญหาอันตรายจากการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
                          ปัญหาอันตรายจากการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

                           

                          ฟิลเลอร์ใต้ตา คืออะไร?

                          ฟิลเลอร์ใต้ตา คือ การฉีดสารเติมเต็มที่มีส่วนประกอบหลักของ ไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid – HA) เข้าไปในบริเวณใต้ตา เพื่อแก้ไขปัญหาต่าง ๆ เช่น ร่องน้ำตา ใต้ตาคล้ำ ถุงใต้ตา และริ้วรอยใต้ตา ที่ทำให้ใบหน้าดูโทรมและมีอายุ ซึ่งการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจะช่วยเติมเต็มช่องว่าง เพื่อทดแทนไขมันและกระดูกทรุดตัวลงเมื่ออายุมากขึ้น ทำให้ใต้ตาดูสดใส อิ่มฟู และมีความเรียบเนียน

                          การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ถือว่ามีความปลอดภัยสูง เนื่องจาก HA เป็นสารที่พบได้ตามธรรมชาติ จึงสามารถเข้ากันได้ดีกับร่างกาย และย่อยสลายได้เอง แต่ก็มีความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียงได้เช่นกัน โดยเฉพาะบริเวณใต้ตาที่มีเส้นเลือดฝอยจำนวนมาก หากฉีดโดยแพทย์ที่ไม่มีความรู้ความชำนาญ อาจทำให้เกิดปัญหาตามมาได้

                           

                          ปัญหาที่พบบ่อยจากการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา?

                          • ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาแล้วบวม หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาอาจมีอาการบวมเกิดขึ้น ซึ่งมาจากการบวมยาชา หรือบวมเข็มที่ฉีดเข้าไป ถือเป็นอาการที่พบได้บ่อย และเป็นเรื่องปกติ โดยจะค่อย ๆ ดีขึ้นภายใน 1 – 2 สัปดาห์ แนะนำให้หลีกเลี่ยงการสัมผัส จับ กด นวดในบริเวณที่ฉีด เพื่อลดการเกิดผลข้างเคียง
                          • ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาแล้วมีรอยช้ำ หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา อาจมีรอยเขียวช้ำเกิดขึ้นจากรูเข็มที่ฉีด ถือเป็นอาการปกติที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะผู้ที่เขียวช้ำง่าย ซึ่งอาการนี้จะค่อย ๆ ดีขึ้น และหายไปเอง ภายใน 1 – 2 สัปดาห์
                          • ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาแล้วตึง ปวดระบม หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา อาจมีอาการตึง และปวดระบมเกิดขึ้น เนื่องจากบริเวณใต้ตาเป็นผิวหนังที่บอบบาง และมีเส้นเลือดฝอยจำนวนมาก ซึ่งการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตานั้น อาจทำให้เกิดปฏิกิริยาการอักเสบ หรือเนื้อเยื่อเกิดการบาดเจ็บเล็กน้อย จึงอาจทำให้รู้สึกปวดระบม หรือตึงได้บ้างในช่วงแรก ๆ ถือเป็นอาการปกติที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน และจะค่อย ๆ หายไปเอง

                          ปัญหาอันตรายจากการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

                          แม้ว่าการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา จะเป็นการแก้ไขปัญหาใต้ตาที่ได้รับความนิยม แต่ก็อาจส่งผลให้เกิดผลข้างเคียงได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากไม่ได้ฉีดโดยแพทย์ที่มีความรู้ความเข้าใจในโครงสร้างใบหน้า หรือเลือกใช้ยี่ห้อฟิลเลอร์ที่ไม่ผ่านการรับรองจาก อย. อาจทำให้เกิดปัญหาตามมามากมาย ดังนี้

                          • ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อน

                          ฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อน เป็นหนึ่งในปัญหาที่พบได้บ่อยมากในปัจจุบัน ซึ่งเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งเทคนิคในการฉีดไม่ถูกต้อง ฟิลเลอร์ที่ใช้ไม่ได้มาตรฐาน หรือแพทย์ไม่มีความรู้ความชำนาญเพียงพอ ทำให้ฟิลเลอร์ที่ฉีดเข้าไปบริเวณใต้ตาเกิดการจับตัวเป็นก้อนนูนใต้ผิวหนัง หากปล่อยทิ้งไว้ อาจส่งผลเสียในระยะยาวได้

                          • ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาแล้วอักเสบ ติดเชื้อ

                          หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาแล้ว เกิดการอักเสบ ติดเชื้อ เนื่องจากอุปกรณ์ หรือเครื่องมือทางการแพทย์ที่ใช้ไม่สะอาด หลังฉีดไปแล้วดูแลตัวเองไม่ถูกวิธี ทำให้เกิดการติดเชื้อโรค เชื้อแบคทีเรีย หรือสิ่งสกปรกต่าง ๆ ได้ รวมถึง เมื่อฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาไปแล้ว ร่างกายอาจเกิดปฏิกิริยาต่อต้านฟิลเลอร์ ทำให้เกิดการอักเสบ หรือเกิดอาการแพ้ในบริเวณที่ฉีด มีอาการปวด บวม ตุ่มขึ้น หรือมีหนองบริเวณใต้ตาได้

                          • ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเข้าเส้นเลือด

                          เนื่องจากบริเวณใต้ตามีเส้นเลือดอยู่เป็นจำนวนมาก ดังนั้น การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจึงจำเป็นต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจในโครงสร้างใบหน้า และเทคนิคการฉีดที่แม่นยำ หากแพทย์ที่ทำการฉีดไม่มีประสบการณ์เพียงพอ อาจทำให้ฉีดพลาด จนฟิลเลอร์หลุดเข้าไปในเส้นเลือดได้ ซึ่งส่งผลกระทบให้เกิดอันตรายร้ายแรง ถึงขั้นตาบอด

                          • ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาแล้วเคลื่อนที่

                          หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาแล้ว หากใช้เทคนิคในการฉีดที่ไม่ถูกต้อง เช่น  ฉีดตื้นเกินไป หรือฉีดในปริมาณมากเกินไป อาจทำให้ฟิลเลอร์บริเวณใต้ตาเคลื่อนที่ไปยังบริเวณอื่นได้ อีกทั้ง การนวด กด หรือขยับใบหน้าบ่อย ๆ ก็ส่งผลให้ฟิลเลอร์เคลื่อนที่ได้ง่ายเช่นกัน

                           

                          ปัญหาใต้ตาแบบไหน ควรฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา?

                          • เบ้าตาลึก

                          เบ้าตาลึก หรือที่เรียกกันว่า ตาโหล ตาโบ๋ มีลักษณะเป็นร่องลึกใต้ตา ทำให้ดวงตาดูโหลลึก จนเห็นขอบกระดูกเบ้าตาอย่างชัดเจน ทั้งบริเวณดวงตาด้านบนและด้านล่าง ทำให้ดวงตาโบ๋ลึกเข้าไปเป็นวง ในบางรายอาจดูเหมือนมีชั้นตาหลายชั้น ส่งผลให้ใบหน้าดูอิดโรย ดูเหนื่อย ไม่สดใส 

                          • ใต้ตาคล้ำ

                          ใต้ตาคล้ำ ใต้ตาดำ มีลักษณะเป็นรอยคล้ำที่อยู่บริเวณใต้ตา ซึ่งแต่ละคนก็อาจมีเฉดสีที่แตกต่างกันไป เช่น น้ำตาล น้ำเงิน ม่วง หรือดำ ทำให้ขอบตาดูหมองคล้ำ ไม่สดใส ส่งผลให้ใบหน้าโดยรวมดูโทรม เหมือนไม่ได้พักผ่อน

                          • ถุงใต้ตา

                          ถุงใต้ตา มีลักษณะเป็นถุงป่องนูนอยู่บริเวณใต้ดวงตา ทำให้ใต้ตาดูบวม ผิวหนังบริเวณใต้ตาหย่อนคล้อย ในบางรายอาจมีปัญหาใต้ตาคล้ำร่วมด้วย ทำให้ใบหน้าดูอ่อนเพลีย เหนื่อยล้า และดูมีอายุ

                          • ริ้วรอยใต้ตา

                          ริ้วรอยใต้ตา หรือที่เรียกกันว่า รอยตีนกา มีลักษณะเป็นเส้นเล็ก ๆ หรือเป็นร่องลึกที่เกิดขึ้นบริเวณผิวหนังใต้ดวงตา ทำให้ผิวหนังบริเวณใต้ตาหย่อนคล้อย ไม่เรียบเนียน ใบบางรายอาจมีปัญหาถุงใต้ตาร่วมด้วย ยิ่งทำให้ใบหน้าดูโทรม ไม่สดใส

                          • ร่องน้ำตาชัด

                          ร่องน้ำตาชัด หรือร่องที่อยู่บริเวณใต้ตา ตรงกระดูกเบ้าตา โดยเริ่มจากหัวมุมตา ไปจนถึงช่วงกลางกระดูกเบ้าตา ทำให้ดวงตาดูโหลลึกเข้าไปในเบ้าตา และเห็นขอบกระดูกเบ้าตาอย่างชัดเจน ส่งผลให้ใบหน้าดูเหนื่อยล้า ไม่สดใส และดูแก่กว่าวัย

                           

                          eye filler2

                           

                          ฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อน คืออะไร?

                          ฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อน คือ ปัญหาที่เกิดขึ้นหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ซึ่งมีลักษณะเป็นก้อนนูนเล็ก ๆ เนื่องจากฟิลเลอร์ที่ฉีดเข้าไปในบริเวณใต้ตากระจายตัวไม่สม่ำเสมอ ทำให้ฟิลเลอร์จับตัวกันเป็นก้อนใต้ผิวหนัง โดยสามารถเห็นได้ชัดเจนเมื่อมีการแสดงสีหน้า เช่น การยิ้ม หรือการแสดงอารมณ์ต่าง ๆ ซึ่งปัญหานี้ ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ดูไม่เป็นธรรมชาติ ใต้ตาไม่เรียบเนียน ในบางกรณีอาจมีการอักเสบ บวมแดง หรือใต้ตาเปลี่ยนสีร่วมด้วย โดยฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อนสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้

                          • ฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อนแบบไม่อักเสบ

                          ฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อนแบบไม่อักเสบ จะมีลักษณะเป็นก้อนไม่เรียบเนียนบริเวณใต้ตา มักจะเห็นได้ชัดเมื่อมีการยิ้มหรือแสดงสีหน้า แต่ไม่มีอาการปวด บวมแดง หรืออักเสบใด ๆ

                          • ฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อนแบบอักเสบ

                          ฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อนแบบอักเสบ จะมีลักษณะเป็นก้อนบวม ซึ่งจะบวมขึ้นเรื่อย ๆ ในบริเวณใต้ตา และยังรู้สึกเจ็บ รู้สึกว่าผิวใต้ตาร้อนกว่าบริเวณอื่น รวมถึง ฟิลเลอร์ใต้ตาอาจมีการเปลี่ยนสี เป็นสีแดง สีม่วง หรือสีคล้ำกว่าปกติได้ ซึ่งมักเกิดจากฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือฟิลเลอร์ปลอม หากมีอาการดังกล่าว แนะนำให้รีบพบแพทย์ทันที

                           

                          ฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อน มีสาเหตุมาจากอะไร?
                          ฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อน มีสาเหตุมาจากอะไร?

                           

                          ฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อน มีสาเหตุมาจากอะไร?

                          • ฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อน สาเหตุมาจาก เนื้อฟิลเลอร์ไม่เหมาะกับบริเวณใต้ตา

                          ฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อน เนื่องจากเลือกเนื้อฟิลเลอร์ไม่เหมาะสม ซึ่งฟิลเลอร์แต่ละเนื้อ ถูกออกแบบมาเพื่อฉีดชั้นผิวที่แตกต่างกัน โดยสำหรับการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาชั้นตื้น ควรเลือกฟิลเลอร์เนื้อนิ่มหรือเนื้อละเอียด เพื่อเติมเต็มให้ผิวใต้ตาดูเรียบเนียนเป็นธรรมชาติ ส่วนการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาชั้นลึก ควรเลือกฟิลเลอร์เนื้อแข็ง เพื่อช่วยเติมเต็มและเสริมชั้นกระดูกให้ผิวใต้ตาดูอ่อนเยาว์ หากเลือกเนื้อฟิลเลอร์ที่ไม่เหมาะสม เช่น เลือกฟิลเลอร์เนื้อแข็งไปฉีดใต้ตาชั้นตื้น อาจทำให้เกิดปัญหาฟิลเลอร์เป็นก้อนอย่างเห็นได้ชัด

                          • ฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อน สาเหตุมาจาก ฟิลเลอร์ปลอม ไม่ได้มาตรฐาน

                          ฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อน เนื่องจากฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือฟิลเลอร์ปลอม มีส่วนประกอบที่ไม่บริสุทธิ์ ไม่ผ่านการรับรองจาก อย. ทำให้เมื่อฉีดเข้าสู่ผิวหน้าแล้ว ร่างกายเกิดปฏิกิริยาต่อต้าน เกิดอาการแพ้ และอักเสบ จนส่งผลให้ฟิลเลอร์เป็นก้อนได้ อีกทั้ง ฟิลเลอร์ปลอม ไม่สามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ เมื่อฉีดไปนาน ๆ ฟิลเลอร์มักจับตัวกันเป็นก้อน จนไหลย้อยไม่เป็นทรง ใบหน้าบิดเบี้ยวไปจากเดิม จนส่งผลกระทบต่อความมั่นใจได้

                          • ฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อน สาเหตุมาจาก ฉีดฟิลเลอร์ปริมาณมากเกินไป

                          ฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อน เนื่องจากใต้ตาเป็นบริเวณที่มีผิวค่อนข้างบาง หากฉีดฟิลเลอร์ใต้ตามากเกินความจำเป็น อาจทำให้เกิดแรงดันภายในเนื้อเยื่อใต้ตา ส่งผลให้ฟิลเลอร์ถูกดันให้เคลื่อนที่ จนจับตัวกันเป็นก้อนได้ง่าย โดยสามารถเห็นได้ชัดเวลายิ้ม หรือแสดงสีหน้า

                          • ฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อน สาเหตุมาจาก แพทย์ไม่มีความรู้เพียงพอ

                          หากแพทย์ที่ทำการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาไม่มีความรู้ ความสามารถ และประสบกาณ์ในการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาที่เพียงพอ อาจไม่สามารถประเมินปัญหา คำนวณปริมาณฟิลเลอร์ และแนะนำเนื้อฟิลเลอร์ที่เหมาะสมกับปัญหาที่ต้องการแก้ไขได้ อีกทั้ง ยังเสี่ยงต่อการฉีดผิดจุด ฉีดผิดชั้นผิว จนทำให้ฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อน หรืออาจถึงขั้นฉีดพลาดเข้าเส้นเลือด ทำให้ตาบอดได้เลยทีเดียว

                           

                          ฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อน อันตรายไหม?

                          ความอันตรายของการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อนนั้น ขึ้นอยู่กับลักษณะของก้อนและอาการที่เกิดขึ้น หากฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อนแบบไม่อักเสบ มีเพียงแค่ก้อนนูนขึ้นมา ไม่มีการอักเสบหรือบวมแดงใด ๆ ถือว่าไม่อันตรายต่อร่างกาย สามารถฉีดสลายฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อนได้ตามปกติ แต่หากฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อนแบบอักเสบ มีลักษณะเป็นก้อนบวม ผิวบริเวณใต้ตาปลี่ยนสี เนื่องจากการใช้ฟิลเลอร์ปลอม หรือฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐาน ถือว่ามีความเสี่ยงอันตรายสูง ทั้งก่อให้เกิดพังผืด ฟิลเลอร์ไหลย้อย จนถึงขั้นตาบอดได้ โดยฟิลเลอร์ในลักษณะนี้ ไม่สามารถฉีดสลายได้ ต้องทำการขูดออกหรือผ่าตัดเท่านั้น อย่างไรก็ตาม หากสังเกตตัวเองว่า หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตามาแล้ว มีก้อนนูนเกิดขึ้น แนะนำให้รีบพบแพทย์ เพื่อหาทางแก้ไขฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อนทันที

                           

                          ฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อน มีวิธีแก้ไขอย่างไร?

                          • ฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อน สามารถแก้ไขด้วย การฉีดสลายฟิลเลอร์

                          การฉีดสลายฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อน เป็นการใช้สารที่เรียกว่า ไฮยาลูรอนิเดส (Hyaluronidase – HYAL) ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่สามารถย่อยสลายฟิลเลอร์ประเภท HA เท่านั้น โดยฉีดเข้าไปยังผิวหนังในบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ เพื่อลดการกักเก็บน้ำ และลดการยึดเกาะของเนื้อฟิลเลอร์ ทำให้บริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อน ค่อย ๆ ย่อยสลายไปเองตามธรรมชาติ ส่งผลให้ผิวใต้ตากลับมาเรียบเนียนอีกครั้ง

                          • ฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อน สามารถแก้ไขด้วย การขูดฟิลเลอร์อออก

                          การขูดฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อน เป็นวิธีการแก้ไขสำหรับผู้ที่เคยฉีดฟิลเลอร์แบบกึ่งถาวร หรือฟิลเลอร์ปลอมมาก่อน ซึ่งฟิลเลอร์ประภทนี้ไม่สามารถสลายตัวได้ตามธรรมชาติ เหมือนฟิลเลอร์ประเภท HA โดยการขูดฟิลเลอร์นั้น จะใช้เครื่องมือทางการแพทย์ขูดเอาเนื้อฟิลเลอร์ที่อยู่ใต้ชั้นผิวหนังออกมา ซึ่งสามารถขูดออกมาได้เพียง 60 – 70% เท่านั้น ไม่สามารถขูดออกมาได้ทั้งหมด

                          • ฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อน สามารถแก้ไขด้วย การผ่าตัดฟิลเลอร์

                          การผ่าตัดฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อน เป็นวิธีการแก้ไขสำหรับผู้ที่เคยฉีดฟิลเลอร์ปลอม ในกรณีที่ฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อนแข็งขนาดใหญ่ หรือเกิดการอักเสบอย่างรุนแรง จนพังผืดเกาะ ไม่สามารถขูดออกได้ โดยการผ่าตัดนั้น จะเป็นการผ่าตัดเปิดผิว และใช้เครื่องมือทางการแพทย์เลาะเนื้อฟิลเลอร์ออกมา ซึ่งต้องอาศัยแพทย์ที่มีความรู้และความชำนาญ เพื่อไม่ให้พลาดไปโดนเส้นประสาท จึงมีความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนสูง

                           

                          หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาควรปฏิบัติตัวอย่างไร?

                          • หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัส กดทับ หรือขยี้ตาในบริเวณที่ฉีด เนื่องจากอาจทำให้ฟิลเลอร์เคลื่อนที่ และเกิดการจับตัวเป็นก้อนได้
                          • หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ควรหลีกเลี่ยงความร้อน หรือกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออก เช่น ออกกำลังกายหนัก ทำเลเซอร์ หรือซาวน่า เนื่องจากอาจทำให้ฟิลเลอร์บวม หรืออักเสบได้
                          • หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ควรดื่มน้ำให้มาก ๆ เนื่องจากจะทำให้ฟิลเลอร์ฟูสวย และคงรูปได้นานขึ้น
                          • หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ และสูบบุหรี่ เพื่อป้องกันฟิลเลอร์อักเสบ ติดเชื้อ และฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อน
                          • หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา หากพบว่ามีอาการผิดปกติ อย่างเช่น ใต้ตาเปลี่ยนสี มีหนอง หรือฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อน ควรรีบไปพบแพทย์ เพื่อทำการรักษาทันที

                           

                          วิธีป้องกันปัญหาหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
                          วิธีป้องกันปัญหาหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

                           

                          วิธีป้องกันปัญหาหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

                          • เลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน มีเลขใบอนุญาตประกอบกิจการ 11 หลักอย่างถูกต้อง ตามกฎของกระทรวงสาธารณสุข รวมถึง ภายในคลินิกต้องมีความสะอาด ปลอดเชื้อ ไม่อับ ไม่คับแคบ
                          • เลือกฉีดฟิลเลอร์ใต้ตากับแพทย์ที่มีความรู้ และประสบการณ์เท่านั้น เพื่อให้แพทย์สามารถประเมินและวิเคราะห์โครงหน้าได้อย่างเหมาะสม รวมถึง ให้คำแนะนำได้อย่างตรงจุด รู้เทคนิคในการฉีดฟิลเลอร์ที่ถูกวิธี เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อนได้
                          • เลือกใช้ฟิลเลอร์แท้ประเภท HA ที่สามารถสลายได้หมด 100% ซึ่งต้องเป็นยี่ห้อฟิลเลอร์ที่ผ่านการรับรองจาก อย. แล้วเท่านั้น จึงจะมีความปลอดภัย ไม่ทิ้งสารตกค้างไว้ในร่างกาย และลดความเสี่ยงในการเกิดฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อน
                          • มีการนัดติดตามผลหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เพื่อสอบถามอาการและผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น พร้อมให้คำแนะนำวิธีการดูแลตัวเองหลังฉีดที่เหมาะสม ถือเป็นสัญญาณที่ดี และแสดงถึงความใส่ใจในผู้รับบริการ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลข้างเคียง หรือฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อนได้
                          • มีรีวิวที่น่าเชื่อถือ โดยดูรีวิวจากหลาย ๆ ช่องทาง ก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ทั้งภาพก่อน – หลัง รวมถึง คลิปวิดีโอ เพื่อให้เห็นความเปลี่ยนแปลงหลังฉีดอย่างชัดเจน ทำให้สามารถตัดสินใจได้อย่างเหมาะสม

                           

                          รวมคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ ฟิลเลอร์ใต้ตา
                          รวมคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ ฟิลเลอร์ใต้ตา

                           

                          รวมคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ ฟิลเลอร์ใต้ตา

                          ฉีดสลายฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อน อันตรายไหม?

                          • การฉีดสลายฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อน สามารถสลายฟิลเลอร์ประเภท HA ได้หมด 100% ไ่ม่ทิ้งสารตกค้างไว้ในร่างกาย จึงถือว่ามีความปลอดภัย ไม่ก่อให้เกิดอันตรายใด ๆ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ควรฉีดสลายฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อน โดยแพทย์ที่มีความรู้และประสบการณ์ เพื่อให้แพทย์ประเมินปัญหา และคำนวณปริมาณยาที่ฉีดสลายได้อย่างเหมาะสม หากฉีดในปริมาณที่มากเกินไป อาจเป็นการไปทำลายคอลลาเจนในบริเวณใต้ตาได้

                           

                          ฉีดสลายฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อนแล้ว สามารถเติมฟิลเลอร์ต่อได้เลยไหม?

                          • หลังจากฉีดสลายฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อนแล้ว ไม่สามารถเติมฟิลเลอร์ได้ทันที เนื่องจากสารที่ใช้ในการสลายฟิลเลอร์ใต้ตาจะต้องใช้เวลาในการทำงาน ประมาณ 24 – 72 ชั่วโมงหลังฉีด เพื่อสลายฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อนออกไปได้อย่างสมบูรณ์ หากเติมฟิลเลอร์ใหม่เข้าไปในทันที อาจทำให้ฟิลเลอร์ใหม่ถูกสลายไปด้วยได้ โดยทั่วไป แพทย์จะแนะนำให้เว้นระยะห่างประมาณ 1 – 2 สัปดาห์หลังฉีดสลาย แล้วจึงจะค่อยเติมฟิลเลอร์ใต้ตาใหม่ได้

                           

                          ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาแล้วบวม อันตรายไหม?

                          • โดยปกติแล้ว หลังจากฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา อาจมีอาการบวมช้ำเกิดขึ้นจากยาชา หรือจากเข็มฉีดยา ซึ่งอาการเหล่านี้ ถือว่าไม่เป็นอันตรายใด ๆ สามารถหายเองได้ภายในไม่กี่วัน แต่หากหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาแล้ว มีอาการบวมจากการติดเชื้อ หรือบวมจากการอักเสบ ทำให้บริเวณใต้ตามีสีคล้ำ หรือเปลี่ยนสีไปจากเดิม เนื่องจากฟิลเลอร์ที่ฉีดไม่มีคุณภาพ ขั้นตอนในการฉีดไม่สะอาด มีการปนเปื้อนของเชื้อโรค ถือว่ามีความอันตรายสูง ควรพบแพทย์ทันที

                           

                          ฟิลเลอร์ใต้ตา เหมาะกับใคร?

                          • ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาถุงใต้ตา มีริ้วรอยใต้ตา ใต้ตาคล้ำ เบ้าตาลึก
                          • ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่อยากผ่าตัด ไม่มีเวลาพักฟื้น ไม่อยากเจ็บตัว
                          • ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เหมาะสำหรับผู้ที่อายุมาก ต้องการแก้ไขกระดูกใต้ตาทรุดตัวลง
                          • ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเห็นผลการเปลี่ยนแปลงทันที
                          • ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาใต้ตาจากพันธุกรรม
                          • ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาใต้ตาจากโรคภูมิแพ้

                           

                          ฟิลเลอร์ใต้ตา ช่วยเรื่องอะไรบ้าง?

                          • การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ช่วยให้ผิวบริเวณใต้ตาเต่งตึง ลดความหย่อนคล้อย
                          • การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ช่วยให้ริ้วรอยใต้ตาตื้นขึ้น ใบหน้าดูอ่อนเยาว์
                          • การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ช่วยให้ผิวใต้ตาดูเรียบเนียน มีความอิ่มฟู 
                          • การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ช่วยให้ใบหน้าดูสดใส มีชีวิตชีวา เหมือนนอนเต็มอิ่มตลอดเวลา
                          • การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ช่วยให้ใต้ตาสว่างขึ้น ลดความหมองคล้ำบริเวณใต้ตา
                          • การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ช่วยให้เบ้าลึกใต้ตาตื้นขึ้น ใบหน้าดูมีมิติ อ่อนกว่าวัย

                           

                          ฟิลเลอร์ใต้ตา ควรฉีดกี่ CC?

                          • ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้สำหรับฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาในแต่ละคนนั้น จะมีความแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับปัญหาที่ต้องการแก้ไข และโครงหน้าของแต่ละคน โดยทั่วไปแล้ว ควรเริ่มต้นปริมาณ 1 – 2 CC ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้ประเมินว่า ควรใช้ฟิลเลอร์ปริมาณกี่ CC ถึงจะเหมาะสม และให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ หากฉีดปริมาณน้อยเกินไป อาจทำให้ไม่เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน แต่หากฉีดปริมาณมากเกินไป อาจทำให้ฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อน บวม ไม่เป็นธรรมชาติได้

                           

                          ฟิลเลอร์ใต้ตา ฉีดกี่วันเห็นผล?

                          • หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา สามารถเห็นผลลัพธ์ได้ทันทีตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉีด ซึ่งในช่วงแรกหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเสร็จ อาจมีอาการบวมช้ำเกิดขึ้นเล็กน้อย ซึ่งอาการบวมช้ำจะค่อย ๆ หายไป และเนื้อฟิลเลอร์จะค่อย ๆ เซ็ทตัวเข้ากับผิวของเรา ภายใน 1 – 2 สัปดาห์ 

                           

                          การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา นอกจากจะช่วยแก้ไขปัญหาต่าง ๆ บริเวณใต้ตาแล้ว ยังทำให้ใบหน้าดูสดใส และอ่อนกว่าวัยอีกด้วย ซึ่งถือเป็นหัตถการที่มีความละเอียดอ่อน จำเป็นต้องอาศัยความรู้และประสบการณ์ของแพทย์เป็นหลัก หากฉีดผิดพลาด อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงอันตรายได้ ทั้งฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อน ฟิลเลอร์ใต้ตาอักเสบ หรือฟิลเลอร์ใต้ตาติดเชื้อ ทั้งนี้ ก่อนตัดสินใจฉีด ควรศึกษาหาข้อมูลอย่างละเอียด พร้อมเลือกคลินิกที่มีมาตรฐาน ใช้ฟิลเลอร์แท้ที่ได้รับการอนุมัติจาก อย. เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ และปลอดภัยสูง

                          Volume Lifting ยกกระชับผิวหน้าเผยเคล็ดลับผิวอ่อนเยาว์

                          เผยเคล็ดลับผิวอ่อนเยาว์Volume Lifting

                          ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




                            วันที่สะดวกในการติดต่อ








                            ยกกระชับผิวหน้า เผยเคล็ดลับผิวอ่อนเยาว์อย่างมั่นใจด้วย Volume Lifting

                            ในยุคสมัยที่ทุกคนปรารถนาผิวที่กระชับ เรียบเนียน และดูอ่อนเยาว์เสมอ แต่เมื่ออายุเพิ่มขึ้น ปัจจัยต่าง ๆ อย่าง มลภาวะ ความเครียด การพักผ่อนไม่เพียงพอ อาจทำให้ผิวสูญเสียความเต่งตึงตามธรรมชาติ หากใครกำลังมองหาวิธีแก้ไขปัญหาเหล่านี้โดยไม่ต้องผ่าตัดโปรแกรมยกกระชับผิวหน้า 

                             

                            Volume Lifting คือคำตอบที่คุณไม่ควรมองข้าม เทคโนโลยี Volime Lifting นี้ไม่เพียงแต่ช่วยยกกระชับผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่านั้น แต่ยังกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และฟื้นฟูโครงสร้างผิว ให้ผิวดูสดใสและสุขภาพดีได้ในเวลาอันสั้น เตรียมพบกับความเปลี่ยนแปลงที่น่าทึ่งและความมั่นใจของผิวกระชับที่กลับคืนมาได้ในบทความนี้

                             

                             

                            ยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting คืออะไร?

                            ยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting เป็นเทคโนโลยีความงามที่ได้รับการรับรองจาก FDA สหรัฐอเมริกา ใช้พลังงานเลเซอร์ที่มีความยาวคลื่น 1,064 นาโนเมตร  (Nd YAG) และ 2,940 นาโนเมตร (Er YAG) ร่วมกัน โดดเด่นด้วยระบบเลเซอร์คู่ที่สามารถทำงานได้อย่างครอบคลุม ที่ช่วยยกกระชับผิวหน้าและฟื้นฟูโครงสร้างผิว โดยไม่ต้องผ่าตัด กระบวนการนี้ใช้เทคโนโลยีพลังงานเลเซอร์ขั้นสูง ทำงานโดยผ่านลงไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นหนังแท้ ซึ่งได้รับการออกแบบมาเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและปรับปรุงความยืดหยุ่นของผิวในชั้นลึก ช่วยแก้ไขปัญหาผิวหย่อนคล้อย ลดเลือนริ้วรอย และฟื้นฟูความเต่งตึงของใบหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

                             

                            เทคนิค Volume Lifting โดดเด่นในเรื่องการให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูใบหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ โดยไม่ต้องเสี่ยงต่อการพักฟื้นหรือผลข้างเคียงจากการทำศัลยกรรม นอกจากนี้ การทำ Volume Lifting ยังช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้เข้ารับบริการ ด้วยกระบวนการที่ปลอดภัยและทันสมัย

                             

                            หลักการทำงานของยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting

                            ยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting เป็นกระบวนการยกกระชับผิวที่ใช้พลังงานเลเซอร์ที่มีความยาวคลื่น 1,064 นาโนเมตร (Nd YAG) และ 2,940 นาโนเมตร (Er YAG) ร่วมกัน ทำงานโดยผ่านลงไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นหนังแท้ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัยและได้รับการยอมรับในวงการความงาม หลักการทำงานของเทคโนโลยีนี้สามารถแบ่งออกได้เป็นขั้นตอนหลัก ดังนี้

                            • การส่งพลังงานเลเซอร์เข้าสู่ชั้นผิวลึก

                            ใช้พลังงานเลเซอร์ที่มีความยาวคลื่น 1,064 นาโนเมตร  (Nd YAG) และ 2,940 นาโนเมตร (Er YAG) ร่วมกัน ในระดับที่สามารถลงไปกระตุ้นชั้นคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ผิวหนัง โดยพลังงานเลเซอร์นี้มี ความแม่นยำสูง สามารถปรับระดับพลังงานให้เหมาะสมกับสภาพผิว และทำงานเฉพาะจุดได้โดยไม่ทำลายผิวชั้นบน ซึ่งช่วยปกป้องผิวจากการบาดเจ็บและลดโอกาสเกิดผลข้างเคียง

                            • การกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่

                            เมื่อเลเซอร์ลงไปลึกถึงชั้นใต้ผิว จะกระตุ้นให้ร่างกายผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ กระบวนการนี้จะช่วยฟื้นฟูความยืดหยุ่นและความแข็งแรงของผิว ทำให้ผิวดูกระชับและเรียบเนียน ทั้งยังช่วยฟื้นฟูสภาพผิวที่เสียหายจากปัจจัยภายนอก เช่น แสงแดดหรือมลภาวะ

                            • การยกกระชับและฟื้นฟูโครงสร้างผิว

                            พลังงานเลเซอร์ช่วยเสริมสร้างโครงสร้างผิวจากภายใน ทำให้ผิวที่หย่อนคล้อยได้รับการยกกระชับ พร้อมทั้งลดเลือนริ้วรอยและร่องลึก กระบวนการนี้ยังช่วยปรับสมดุลของผิวหน้าให้ดูได้รูปมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการยกกรอบหน้า แก้ไขริ้วรอยรอบดวงตา หรือกระชับผิวบริเวณแก้ม ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์และสดใส

                            • ผลลัพธ์อย่างเป็นธรรมชาติ

                            การฟื้นฟูผิวหน้าด้วย Volume Lifting ให้ผลลัพธ์ที่ค่อยเป็นค่อยไปอย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่มีการทำลายเนื้อเยื่อหรือผิวชั้นบน ผู้เข้ารับบริการจึงไม่จำเป็นต้องพักฟื้นและสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติทันที ผลลัพธ์ที่ได้คือผิวที่ดูอ่อนเยาว์ขึ้น พร้อมความกระจ่างใสที่เห็นได้ชัดเจนตั้งแต่ครั้งแรก

                             

                            ยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting ช่วยแก้ปัญหาอะไรบ้าง?
                            ยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting ช่วยแก้ปัญหาอะไรบ้าง?

                             

                            ยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting ช่วยแก้ปัญหาอะไรบ้าง?

                            ยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting ซึ่งมีประโยชน์และช่วยแก้ไขปัญหาผิวพรรณได้หลากหลาย โดยเน้นการฟื้นฟูจากภายในสู่ภายนอกอย่างมีประสิทธิภาพ โดยประโยชน์หลักที่ Volume Lifting มอบให้ มีดังนี้

                            • ยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting ช่วยยกกระชับผิวหน้าที่หย่อนคล้อย
                            • ยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting ช่วยแก้ปัญหาผิวหน้าที่หย่อนคล้อย เช่น บริเวณกรอบหน้า แก้ม และคาง
                            • ยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting ช่วยลดริ้วรอยตื้นและร่องลึก เช่น ริ้วรอยรอบดวงตา ร่องแก้ม และหน้าผาก
                            • ยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน
                            • ยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting ฟื้นฟูผิวจากภายใน ทำให้ผิวหน้าเรียบเนียนขึ้น
                            • ยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting เพิ่มความยืดหยุ่นและความแข็งแรงให้กับโครงสร้างผิว
                            • ยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting ช่วยยกกระชับกรอบหน้า ทำให้ใบหน้าดูเรียวและได้รูปชัดเจนยิ่งขึ้น
                            • ยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting ช่วยฟื้นฟูผิวที่หมองคล้ำจากมลภาวะหรืออายุที่เพิ่มขึ้น
                            • ยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting ทำให้ผิวดูสดใสและเปล่งปลั่งอย่างเป็นธรรมชาติ
                            • ยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting ช่วยปรับสภาพผิวให้เรียบเนียนและแข็งแรงขึ้น
                            • ยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting ลดการเกิดปัญหาผิวในอนาคต เช่น ผิวแห้งหรือรูขุมขนกว้าง
                            • ยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting ช่วยให้ผิวสามารถกักเก็บความชุ่มชื้นได้ดีขึ้น
                            • ยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting ช่วยลดขนาดรูขุมขนและทำให้ผิวหน้าเรียบเนียนยิ่งขึ้น
                            • ยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting ช่วยลดความมันส่วนเกินบนผิวหน้า
                            • ยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting ฟื้นฟูความกระจ่างใสและปรับโทนสีผิวให้ดูสม่ำเสมอ
                            • ยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting ลดเลือนจุดด่างดำและรอยแดงที่เกิดจากสิว
                            • ยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting กระตุ้นการฟื้นตัวของผิวในระดับเซลล์

                             

                            ข้อดีของการยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting
                            ข้อดีของการยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting

                             

                            ข้อดีหลักที่ทำให้ยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting โดดเด่น มีดังนี้

                            • ยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting ยกกระชับผิวโดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่เจ็บตัว
                            • ยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting ปลอดภัยและไม่ต้องพักฟื้น สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ทันทีหลังการทำ
                            • ยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนอย่างเป็นธรรมชาติ
                            • ยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting ผลลัพธ์ของผิวยกกระชับและเรียบเนียนจะคงอยู่ยาวนาน
                            • ยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting แก้ปัญหาผิวได้หลากหลาย เช่น ยกกระชับกรอบหน้า แก้ปัญหาริ้วรอย ร่องลึก รูขุมขนกว้าง
                            • ยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting ใช้ได้กับทุกสภาพผิว ไม่ว่าจะเป็นผิวแห้ง ผิวมัน หรือผิวผสม
                            • ยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting เพิ่มความมั่นใจให้ตัวเองดูดีที่สุดในโอกาสสำคัญ
                            • ยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting ไม่มีผลข้างเคียงรุนแรง ไม่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
                            • ยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting ใช้เวลาในการรักษาสั้น เหมาะสำหรับคนที่ต้องการดูแลผิวอย่างรวดเร็ว
                            • ยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting สามารถปรับระดับพลังงานหรือโฟกัสในบริเวณที่ต้องการแก้ไขเฉพาะจุด
                            • ยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting ช่วยปรับสมดุลผิวในระยะยาวเมื่อทำต่อเนื่อง
                            • ยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting สามารถทำได้ทั้งในผู้ที่เริ่มมีปัญหาริ้วรอยเล็ก ๆ ไปจนถึงผู้ที่ต้องการลดความหย่อนคล้อยอย่างชัดเจน

                             

                            ใครที่เหมาะกับยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting?
                            ใครที่เหมาะกับยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting?

                             

                            ใครที่เหมาะกับยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting?

                            ยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting เป็นเทคโนโลยียกกระชับผิวที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวหน้า ลดริ้วรอย และแก้ปัญหาความหย่อนคล้อยโดยไม่ต้องพึ่งการผ่าตัด สามารถตอบโจทย์กลุ่มคนหลากหลายประเภท ดังนี้

                            • ยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวหน้าหย่อนคล้อย เช่น บริเวณกรอบหน้า แก้ม หรือคาง
                            • ยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting เหมาะกับผู้ที่มีริ้วรอยรอบดวงตา หน้าผาก หรือร่องแก้มลึก
                            • ยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting เหมาะกับผู้ที่ต้องการเพิ่มความสดใสและความยืดหยุ่นให้ผิว
                            • ยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวแห้งหรือรูขุมขนกว้าง
                            • ยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting เหมาะกับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวให้ดูอ่อนเยาว์
                            • ยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting เหมาะกับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวจากมลภาวะและปัจจัยภายนอก
                            • ยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting เหมาะกับผู้ที่ต้องการปรับสภาพผิวให้แข็งแรงขึ้น
                            • ยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting เหมาะกับผู้ที่ต้องการลดเลือนริ้วรอยและปรับผิวให้เรียบเนียน
                            • ยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting เหมาะกับผู้ที่ต้องการปรับโครงหน้าหรือยกกระชับกรอบหน้าให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
                            • ยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting เหมาะกับผู้ที่ไม่ต้องการผ่าตัดหรือพักฟื้น
                            • ยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting เหมาะกับผู้ที่ต้องการป้องกันปัญหาผิวในอนาคต
                            • ยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting เหมาะกับผู้ที่มองหาวิธีการฟื้นฟูผิวที่ให้ผลลัพธ์ยาวนาน
                            • ยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting เหมาะกับผู้มีปัญหาผิวไม่กระชับหลังลดน้ำหนัก
                            • ยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting เหมาะกับผู้ที่ต้องการปรับสมดุลใบหน้าโดยไม่ฉีดสารเติมเต็ม
                            • ยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting เหมาะกับผู้ที่ต้องการแก้ไขปัญหาผิวหลายจุดพร้อมกัน

                             

                            ใครที่ไม่เหมาะกับ Volume Lifting?

                            แม้ว่ายกกระชับผิวหน้า Volume Lifting จะเป็นกระบวนการยกกระชับผิวที่ปลอดภัยและเหมาะสำหรับคนส่วนใหญ่ แต่ก็ยังมีบางกลุ่มที่อาจไม่เหมาะสมหรือควรหลีกเลี่ยงการทำ Volume Lifting ดังนี้

                            • ยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting ไม่เหมาะกับสตรีที่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
                            • ยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting ไม่เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวอักเสบหรือแผลเปิด เช่น สิวอักเสบเรื้อรัง โรคสะเก็ดเงิน
                            • ยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting ไม่เหมาะกับผู้ที่มีโรคเกี่ยวกับผิวหนังที่รุนแรง เช่น โรคด่างขาว โรคภูมิแพ้ผิวหนัง
                            • ยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting ไม่เหมาะกับผู้ที่มีโรคเบาหวานชนิดที่ควบคุมไม่ได้
                            • ยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting ไม่เหมาะกับผู้ที่มีโรคประจำตัวร้ายแรง เช่น โรคหัวใจ
                            • ยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting ไม่เหมาะกับผู้ที่มีโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน
                            • ยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting ไม่เหมาะกับผู้ที่เพิ่งทำศัลยกรรมหรือการรักษาผิวอื่น ๆ
                            • ยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting ไม่เหมาะกับผู้ที่มีประวัติแพ้แสงเลเซอร์หรือมีผิวไวต่อความร้อน
                            • ยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting ไม่เหมาะกับผู้ที่เป็นโรคเกี่ยวกับระบบไหลเวียนโลหิต

                             

                            การเตรียมตัวก่อนทำยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting
                            การเตรียมตัวก่อนทำยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting

                             

                            การเตรียมตัวก่อนทำยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting

                            การเตรียมตัวก่อนเข้ารับบริการ Volume Lifting เป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุด และลดความเสี่ยงของผลข้างเคียง ซึ่งวิธีเตรียมตัวที่ควรรู้ มีดังนี้

                            • ก่อนทำยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting ควรเข้ารับคำปรึกษาเพื่อประเมินสภาพผิวกับแพทย์ที่มีความรู้
                            • ก่อนทำยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting ควรแจ้งประวัติการรักษาผิวก่อนหน้านี้ หรือโรคประจำตัว
                            • ก่อนทำยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting ควรดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อช่วยให้ผิวชุ่มชื้น
                            • ก่อนทำยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ Retinoids, AHA, BHA อย่างน้อย 3-5 วัน
                            • ก่อนทำยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting หลีกเลี่ยงการขัดผิวหรือสครับหน้า
                            • ก่อนทำยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting หลีกเลี่ยงการทำเลเซอร์ประเภทอื่น การทำทรีตเมนต์ หรือการอาบแดดอย่างน้อย 1 สัปดาห์
                            • ก่อนทำยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting หลีกเลี่ยงการใช้ยาและผลิตภัณฑ์ที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด 3-7 วัน
                            • ก่อนทำยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์
                            • ก่อนทำยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting งดการแต่งหน้าก่อนเข้ารับบริการ

                             

                            ขั้นตอนการทำยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting

                            1. ก่อนเริ่มต้นทำการรักษา แพทย์จะทำการประเมินสภาพผิวและปัญหาที่ต้องการแก้ไข พูดคุยถึงประวัติสุขภาพ การใช้ยา หรือการรักษาผิวที่ผ่านมา เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสม
                            2. ผู้เข้ารับบริการต้องทำความสะอาดผิวหน้าอย่างหมดจด
                            3. แพทย์อาจทายาชาเฉพาะที่ เพื่อช่วยลดความรู้สึกไม่สบายขณะทำ
                            4. แพทย์เริ่มใช้เครื่องเลเซอร์จะปล่อยพลังงานลงสู่ชั้นผิวในระดับลึก ขั้นตอนนี้จะใช้เทคนิคที่ปรับความเข้มข้นของพลังงานให้เหมาะสมกับแต่ละบริเวณ
                            5. แพทย์อาจใช้เลเซอร์ปรับแต่งบริเวณที่ต้องการแก้ไขเฉพาะจุด
                            6. หลังการทำ แพทย์จะประเมินสภาพผิวอีกครั้ง และให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลผิวในช่วงพักฟื้น
                            7. แพทย์อาจนัดติดตามผลหลังการทำ เพื่อประเมินผลลัพธ์และปรับการรักษาเพิ่มเติมในครั้งถัดไป หากจำเป็น

                             

                            การเตรียมตัวก่อนทำยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting
                            การเตรียมตัวก่อนทำยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting

                             

                            การดูแลตัวเองหลังทำยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting

                            หลังการทำยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting ผิวอาจต้องการการดูแลเป็นพิเศษเพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุด และลดโอกาสเกิดผลข้างเคียงคำแนะนำสำหรับการดูแลตัวเองหลังเข้ารับบริการ มีดังนี้

                            • หลังทำยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting หลีกเลี่ยงการอยู่กลางแดดจัดอย่างน้อย 7 วัน
                            • หลังทำยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting หลีกเลี่ยงการแต่งหน้าหนักในวันแรกหลังการทำ เพื่อป้องกันการระคายเคือง
                            • หลังทำยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting งดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกรด AHA, BHA, Retinol อย่างน้อย 5-7 วัน
                            • หลังทำยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting งดการขัดผิว การใช้สครับ หรือการถูหน้าแรง ๆ ในช่วง 3-5 วันแรก
                            • หลังทำยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting หลีกเลี่ยงการใช้ห้องซาวน่า การอาบน้ำอุ่นจัด หรือการออกกำลังกายหนัก 1-2 วันแรก
                            • หลังทำยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting ควรใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหรือยาตามที่แพทย์แนะนำ เช่น ครีมลดการอักเสบ หรือเซรัมเพิ่มความชุ่มชื้น
                            • หลังทำยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting ควรดื่มน้ำวันละ 8-10 แก้ว เพื่อช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
                            • หลังทำยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting ควรใช้ครีมกันแดดที่มี SPF50 และ PA+++ ทุกวัน
                            • หลังทำยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ให้ความชุ่มชื้นและอ่อนโยนต่อผิว

                             

                            ความแตกต่างระหว่างยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting กับเทคโนโลยีอื่น

                            ยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting มีความโดดเด่นเฉพาะตัวเมื่อเทียบกับเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่ใช้ในการยกกระชับผิวและฟื้นฟูความอ่อนเยาว์ เช่น HIFU, RF และการฉีดฟิลเลอร์ โดยทั้งหมดมีความแตกต่างกัน ดังนี้

                            ยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting vs HIFU

                            • ยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting ใช้พลังงานเลเซอร์เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวลึกอย่างปลอดภัยและอ่อนโยน ส่วน HIFU ใช้คลื่นอัลตราซาวนด์ความเข้มข้นสูง เพื่อยกกระชับชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นผิวที่อยู่ลึกกว่าเลเซอร์ทั่วไป โดยยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวอย่างอ่อนโยนและลดริ้วรอยได้หลายจุด ขณะที่ HIFU เน้นการยกกระชับกรอบหน้าและผิวชั้นลึกอย่างชัดเจน

                            ยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting vs RF (Radio Frequency)

                            • ยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting ใช้พลังงานเลเซอร์ที่สามารถกระตุ้นคอลลาเจนและฟื้นฟูโครงสร้างผิวในทุกชั้นได้อย่างล้ำลึก จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการแก้ปัญหาผิวหลายด้านพร้อมกัน เช่น ริ้วรอยลึก ผิวแห้ง หรือรูขุมขนกว้าง ส่วน RF ใช้คลื่นวิทยุสร้างความร้อนในชั้นผิวเพื่อกระตุ้นคอลลาเจนและช่วยยกกระชับผิวชั้นตื้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยเพียงเล็กน้อย

                            ยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting vs การฉีดฟิลเลอร์

                            • ยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting ฟื้นฟูผิวจากภายในด้วยพลังงานเลเซอร์ที่กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนตามธรรมชาติ ทำให้ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติและไม่ต้องใช้สารเติมเต็ม ในขณะที่การฉีดฟิลเลอร์ให้ผลลัพธ์ทันที โดยการเติมสารไฮยาลูรอนิก แอซิด ในบริเวณที่ต้องการเช่น ร่องแก้มหรือริมฝีปาก ดังนั้นยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวทั้งใบหน้า ส่วนฟิลเลอร์เหมาะสำหรับแก้ไขปัญหาจุดเฉพาะที่ต้องการวอลลุ่มทันที

                            ยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting vs การทำศัลยกรรมดึงหน้ายกกระชับ

                            • ยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting เป็นการรักษาที่ไม่ต้องผ่าตัดและไม่มีแผล ใช้พลังงานเลเซอร์เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ผจะค่อย ๆ เห็นผลลัพธ์อย่างเป็นธรรมชาติ ขณะที่การทำศัลยกรรมดึงหน้ายกกระชับ เป็นการผ่าตัดดึงผิวเพื่อแก้ไขปัญหาความหย่อนคล้อยอย่างรุนแรงให้เห็นผลทันที ยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยเล็กน้อยถึงปานกลาง ในขณะที่การทำศัลยกรรมดึงหน้ายกกระชับเหมาะกับผู้ที่มีปัญหาหย่อนคล้อยรุนแรง และต้องการผลลัพธ์ที่ชัดเจน

                            ยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting ราคาเท่าไหร่?

                            ราคาของการทำ Volume Lifting จะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับขนาดพื้นที่ที่ทำการรักษา ระดับความรุนแรงของปัญหาผิว และจำนวนครั้งที่จำเป็นต้องทำเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ โดยทั่วไปราคาของยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting มีราคาดังต่อไปนี้

                            • ยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting จะเริ่มต้นที่ประมาณ 5,000 – 10,000 บาทต่อครั้ง
                            • ยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting สำหรับบริเวณเล็ก เช่น ใต้ตาหรือรอบปาก ราคาประมาณ 15,000 – 30,000 บาท
                            • ยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting สำหรับทำทั่วทั้งใบหน้าและลำคอ ราคาประมาณ 20,000 – 40,000 บาท

                             

                            รวมคำถามทุกเรื่องของยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting

                            ยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting ปลอดภัยไหม?

                            • ยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting เป็นกระบวนการยกกระชับผิวที่มีความปลอดภัยสูง เนื่องจากใช้เทคโนโลยีเลเซอร์ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับสากล เช่น FDA ซึ่งยืนยันถึงความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการรักษา

                             

                            ยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting มีผลข้างเคียงไหม?

                            • โดยทั่วไปยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting มีผลข้างเคียงน้อยมาก ผู้เข้ารับบริการอาจพบรอยแดงหรือรู้สึกอุ่นบริเวณผิวหลังการรักษา ซึ่งมักหายไปภายในไม่กี่ชั่วโมงถึง 1-2 วัน

                             

                            ยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting ต้องทำกี่ครั้งถึงจะเห็นผล?

                            • ผลลัพธ์ของยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting อาจเริ่มสังเกตเห็นได้ตั้งแต่ครั้งแรก โดยเฉพาะผิวที่ดูเรียบเนียนและกระชับขึ้นเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม เพื่อผลลัพธ์ที่ชัดเจนและยาวนาน ควรทำการรักษาต่อเนื่องประมาณ 3-5 ครั้ง ขึ้นอยู่กับปัญหาผิวของแต่ละบุคคล

                             

                            จำนวนครั้งที่แนะนำของการยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting คือเท่าไหร่?

                            • แพทย์จะประเมินปัญหาผิว เช่น ความหย่อนคล้อย ความลึกของริ้วรอย หรือปัญหารูขุมขน เพื่อกำหนดจำนวนครั้งที่เหมาะสม ซึ่งโดยทั่วไปมักแนะนำที่ 3-5 ครั้งในช่วงแรก

                             

                            ยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting ผลลัพธ์จะเริ่มเห็นเมื่อไหร่ และจะคงอยู่นานแค่ไหน?

                            • ผลลัพธ์จะเริ่มเห็นได้ชัดเจนขึ้นหลังจากการรักษาครั้งแรก 1-2 สัปดาห์ โดยคอลลาเจนที่ถูกกระตุ้นจะค่อย ๆ ฟื้นฟูผิวในระยะ 1-3 เดือน ผลลัพธ์จะคงอยู่ได้นานประมาณ 6-12 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลของแต่ละบุคคล

                            ยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting ควรทำบ่อยแค่ไหน?

                            • ระหว่างการทำยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting ควรเว้นระยะห่างประมาณ 4-6 สัปดาห์ต่อครั้ง เพื่อให้ผิวมีเวลาฟื้นตัวและสร้างคอลลาเจนใหม่ 

                             

                            ยกกระชับผิวหน้า Volume Lifting เป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์สำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับผิวหน้า ลดริ้วรอย และฟื้นฟูความอ่อนเยาว์อย่างปลอดภัยและไม่ต้องผ่าตัด ด้วยเทคโนโลยีเลเซอร์ที่ทันสมัยและประสิทธิภาพในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่จากภายใน ผิวหน้าจะกลับมาดูเรียบเนียน เต่งตึง และสดใสมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

                             

                            สิ่งสำคัญคือการเลือกคลินิกที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน และแพทย์ผู้มีความรู้ที่สามารถวางแผนการรักษาให้เหมาะสมกับสภาพผิวของคุณ การปรึกษาและเตรียมตัวอย่างถูกต้อง รวมถึงการดูแลหลังการรักษา จะช่วยให้คุณได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและยาวนาน

                             

                            หากคุณกำลังมองหาวิธีคืนความอ่อนเยาว์และเพิ่มความมั่นใจให้ตัวเอง Volume Lifting คือคำตอบที่ช่วยให้คุณเผยผิวในแบบที่สดใสและดูสุขภาพดี พร้อมเผชิญทุกช่วงเวลาอย่างมั่นใจในตัวเอง

                            เทคโนโลยี HIFU เทคนิคยกกระชับผิวของคนอยากหน้าเด็ก

                            เทคโนโลยี HIFU

                            รวมเรื่องที่ควรรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยี HIFU เทคนิคยกกระชับผิวของคนอยากหน้าเด็ก

                            หากกำลังมองหาวิธีที่ช่วยยกกระชับผิวหน้าให้แลดูอ่อนเยาว์โดยไม่ต้องผ่าตัด HIFU หรือ High-Intensity Focused Ultrasound อาจเป็นคำตอบที่กำลังตามหา ด้วยเทคโนโลยีที่ใช้คลื่นอัลตราซาวนด์ความเข้มข้นสูง ส่งพลังงานลงไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวลึก ทำให้ผิวดูเต่งตึง เรียบเนียน และยกกระชับได้อย่างเป็นธรรมชาติ แบบไม่ต้องพักฟื้น

                             

                            HIFU เป็นเทคโนโลยีที่ได้รับการยอมรับในวงการความงาม เพราะช่วยจัดการกับปัญหาผิวหย่อนคล้อยและริ้วรอยได้อย่างตรงจุด ทั้งยังเหมาะสำหรับคนที่ต้องการให้ผิวหน้าดูอ่อนวัยแบบไม่ต้องเจ็บตัวหรือใช้เวลานาน 

                             

                            ในบทความนี้ รมย์รวินท์คลินิกได้รวบรวมทุกเรื่องที่ควรรู้เกี่ยวกับ HIFU ไม่ว่าจะเป็นหลักการทำงานที่ช่วยสร้างผลลัพธ์ ข้อดี-ข้อเสีย ข้อควรระวัง รวมถึงคำแนะนำก่อนและหลังทำ เพื่อให้มีข้อมูลครบถ้วนและตัดสินใจเลือกวิธีที่ดีที่สุดสำหรับการดูแลผิวของ

                             

                            เทคโนโลยี HIFU คืออะไร?
                            เทคโนโลยี HIFU คืออะไร?

                             

                            เทคโนโลยี HIFU คืออะไร?

                            HIFU หรือ High-Intensity Focused Ultrasound เป็นเทคโนโลยีความงาม ทำงานด้วยหลักการส่งคลื่นเสียงความถี่สูงแบบเฉพาะเจาะจง (Focused Ultrasound) ไปยังชั้นผิวหนังในระดับลึก เช่น ชั้น SMAS (Superficial Musculoaponeurotic System) ซึ่งเป็นชั้นผิวที่ทำหน้าที่รองรับโครงสร้างของผิวหนังและกล้ามเนื้อ การใช้พลังงานคลื่นเสียงนี้ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิว ทำให้ผิวกระชับและลดเลือนริ้วรอย โดยไม่ส่งผลกระทบต่อผิวหนังชั้นบนหรือเนื้อเยื่อบริเวณข้างเคียง

                            เทคโนโลยี HIFU ยังได้รับการออกแบบให้สามารถปรับระดับความลึก และความเข้มข้นของพลังงานได้ตามความเหมาะสมของสภาพปัญหาผิวในแต่ละบุคคล เช่น การยกกระชับใบหน้า การลดเหนียงใต้คาง หรือการปรับรูปหน้าให้เรียวขึ้น

                             

                            หลักการทำงานของเทคโนโลยี HIFU

                            • การโฟกัสพลังงานอัลตราซาวนด์

                            คลื่นเสียงจะถูกโฟกัสลงไปในจุดเล็ก ๆ ที่ชั้นผิวลึก โดยพลังงานจะไม่กระจายตัวออกไปบริเวณอื่น

                            • การสร้างความร้อนในผิวชั้นลึก

                            พลังงานคลื่นเสียงจะสร้างความร้อนในจุดที่โฟกัส อุณหภูมิประมาณ 60-70 องศาเซลเซียส ซึ่งเหมาะสมสำหรับการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่

                            • กระบวนการฟื้นฟูผิวตามธรรมชาติ

                            หลังจากที่คอลลาเจนถูกกระตุ้น ร่างกายจะเริ่มกระบวนการซ่อมแซมเซลล์ผิวอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผิวดูยกกระชับและเรียบเนียนยิ่งขึ้น โดยผลลัพธ์จะค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นในระยะเวลา 2-3 เดือนหลังทำ

                             

                            เทคโนโลยี HIFU ช่วยอะไรบ้าง?
                            เทคโนโลยี HIFU ช่วยอะไรบ้าง?

                             

                            เทคโนโลยี HIFU ช่วยอะไรบ้าง?

                            • เทคโนโลยี HIFU ช่วยยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อย เช่น แก้ม แนวกราม และใต้คาง
                            • เทคโนโลยี HIFU ปรับรูปหน้าให้เรียวขึ้น ดูได้รูปมากขึ้น
                            • เทคโนโลยี HIFU ลดริ้วรอยบริเวณหน้าผาก รอบดวงตา ร่องแก้ม และมุมปาก
                            • เทคโนโลยี HIFU ทำให้ผิวดูเรียบเนียนและอ่อนเยาว์
                            • เทคโนโลยี HIFU ช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิวลึก
                            • เทคโนโลยี HIFU กระชับผิวในบริเวณอื่นของร่างกาย เช่น คอ ท้องแขน หรือหน้าท้อง
                            • เทคโนโลยี HIFU ลดไขมันส่วนเกินใต้คางและบริเวณลำคอ
                            • เทคโนโลยี HIFU ทำให้ผิวดูเต่งตึงและยืดหยุ่นขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
                            • เทคโนโลยี HIFU ช่วยฟื้นฟูผิวให้ดูสดใส สุขภาพดี และอ่อนเยาว์
                            • เทคโนโลยี HIFU ลดความหมองคล้ำและปรับผิวให้แลดูสม่ำเสมอ
                            • เทคโนโลยี HIFU ช่วยเน้นกรอบหน้าให้ชัดเจนขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหากรอบหน้าไม่ชัด
                            • เทคโนโลยี HIFU ลดปัญหาผิวหย่อนคล้อยในจุดเฉพาะเจาะจง เช่น ยกกระชับหางตา ลดถุงใต้ตา หรือลดความหย่อนคล้อยของลำคอ

                             

                            ข้อดีของเทคโนโลยี HIFU

                            • เทคโนโลยี HIFU ให้ผลลัพธ์ที่เรียบเนียนอย่างเป็นธรรมชาติ
                            • เทคโนโลยี HIFU ไม่กระทบหรือทำลายผิวชั้นบน
                            • เทคโนโลยี HIFU ยกกระชับและลดริ้วรอยได้ในหลายจุดในใบหน้า
                            • เทคโนโลยี HIFU ลดไขมันและกระชับผิวได้ในครั้งเดียว
                            • เทคโนโลยี HIFU ปลอดภัยและได้รับการยอมรับในระดับสากล
                            • เทคโนโลยี HIFU เหมาะสำหรับคนทุกวัยที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย
                            • เทคโนโลยี HIFU ไม่ต้องมีการผ่าตัดหรือใช้เข็ม ไม่มีความเสี่ยงจากการติดเชื้อ
                            • เทคโนโลยี HIFU ไม่มีแผลและไม่ต้องพักฟื้น สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ทันที
                            • เทคโนโลยี HIFU เห็นผลตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำทันที และผลลัพธ์จะค่อย ๆ ชัดเจนขึ้น
                            • เทคโนโลยี HIFU สามารถปรับระดับความลึกของพลังงานได้ตามปัญหาและความต้องการ
                            • เทคโนโลยี HIFU ใช้เวลาเพียง 30–60 นาทีต่อครั้ง และไม่ต้องเสียเวลาในการดูแลหลังทำ
                            • เทคโนโลยี HIFU สามารถใช้ได้กับทุกสีผิว โดยไม่มีผลข้างเคียงจากความร้อน

                             

                            เทคโนโลยี HIFU ทำบริเวณใดได้บ้าง?
                            เทคโนโลยี HIFU ทำบริเวณใดได้บ้าง?

                             

                            เทคโนโลยี HIFU ทำบริเวณใดได้บ้าง?

                            • เทคโนโลยี HIFU สามารถทำบริเวณหน้าผาก – ช่วยลดริ้วรอยลึกและตื้นบริเวณหน้าผาก
                            • เทคโนโลยี HIFU สามารถทำบริเวณรอบดวงตา – ลดริ้วรอยรอบดวงตา ยกกระชับหนังตา
                            • เทคโนโลยี HIFU สามารถทำบริเวณแก้ม – ช่วยยกกระชับผิวแก้มที่หย่อนคล้อย
                            • เทคโนโลยี HIFU สามารถทำบริเวณร่องแก้ม – ลดร่องลึกที่เห็นได้ชัด
                            • เทคโนโลยี HIFU สามารถทำบริเวณกรอบหน้า – ปรับกรอบหน้าให้ชัดเจน ลดความหย่อนคล้อย
                            • เทคโนโลยี HIFU สามารถทำบริเวณใต้คาง – ลดไขมันบริเวณเหนียง พร้อมกระชับผิว
                            • เทคโนโลยี HIFU สามารถทำบริเวณมุมปาก – ยกกระชับมุมปากที่ตก
                            • เทคโนโลยี HIFU สามารถทำบริเวณลำคอ – ลดความหย่อนคล้อยและริ้วรอยรอบลำคอ
                            • เทคโนโลยี HIFU สามารถทำบริเวณหน้าอก – ลดริ้วรอยและยกกระชับผิวบริเวณเนินอก
                            • เทคโนโลยี HIFU สามารถทำบริเวณต้นแขน – ยกกระชับผิวบริเวณต้นแขนที่หย่อนคล้อย
                            • เทคโนโลยี HIFU สามารถทำบริเวณต้นขา – ช่วยกระชับผิวบริเวณต้นขา ลดความหย่อนคล้อยบริเวณขาด้านในและด้านนอก
                            • เทคโนโลยี HIFU สามารถทำบริเวณหน้าท้อง – กระชับผิวบริเวณรอบเอว และช่วยลดไขมันส่วนเกิน

                             

                            ใครบ้างที่เหมาะกับเทคโนโลยี HIFU

                            • เทคโนโลยี HIFU เหมาะกับผู้ที่เริ่มมีปัญหาผิวหน้าและลำคอหย่อนคล้อย
                            • เทคโนโลยี HIFU เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาไขมันสะสมบริเวณใบหน้าและลำคอ
                            • เทคโนโลยี HIFU เหมาะกับผู้ที่ต้องการยกกระชับผิว ปรับรูปหน้าให้เรียวขึ้น
                            • เทคโนโลยี HIFU เหมาะกับผู้ที่มีริ้วรอยบริเวณหน้าผาก รอบดวงตา ร่องแก้ม หรือมุมปาก
                            • เทคโนโลยี HIFU เหมาะกับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวให้ดูอ่อนเยาว์ สุขภาพดีมากขึ้น
                            • เทคโนโลยี HIFU เหมาะกับผู้ที่ไม่ต้องการผ่าตัดหรือพักฟื้นนาน
                            • เทคโนโลยี HIFU เหมาะกับผู้ที่ต้องการดูแลผิวหน้าในระยะเวลาจำกัด
                            • เทคโนโลยี HIFU เหมาะกับผู้ที่ต้องการป้องกันการหย่อนคล้อยของผิวหน้าในอนาคต
                            • เทคโนโลยี HIFU เหมาะกับผู้ที่ต้องการยกกระชับผิวบริเวณอื่น เช่น ลำคอ ท้องแขน ต้นขา และหน้าท้อง
                            • เทคโนโลยี HIFU เหมาะกับทุกสีผิว ทุกสภาพผิว และทุกปัญหาผิว
                            • เทคโนโลยี HIFU เหมาะกับผู้ที่ต้องการดูแลผิวหน้าอย่างต่อเนื่องในระยะยาว
                            • เทคโนโลยี HIFU เหมาะกับผู้ที่ต้องการแก้ปัญหาผิวเฉพาะจุด เช่น ผิวรอบดวงตา ลำคอ
                            • เทคโนโลยี HIFU เหมาะกับผู้ที่ต้องการเพิ่มความมั่นใจให้กับตัวเอง

                             

                            ใครบ้างที่ไม่เหมาะกับเทคโนโลยี HIFU

                            • เทคโนโลยี HIFU ไม่เหมาะกับสตรีที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
                            • เทคโนโลยี HIFU ไม่เหมาะกับผู้ที่มีผิวหนังอักเสบ มีแผลเปิด สิวอักเสบขั้นรุนแรง
                            • เทคโนโลยี HIFU ไม่เหมาะกับผู้ที่มีแผลเปิดบริเวณที่จะทำการรักษา
                            • เทคโนโลยี HIFU ไม่เหมาะกับผู้ที่มีการฝังเครื่องกระตุ้นหัวใจหรือโลหะในร่างกาย
                            • เทคโนโลยี HIFU ไม่เหมาะกับผู้ที่มีโรคที่เกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน เช่น โรค SLE โรคภูมิแพ้ตัวเอง
                            • เทคโนโลยี HIFU ไม่เหมาะกับผู้ที่มีโรคประจำตัวที่ไม่สามารถควบคุมได้ เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง
                            • เทคโนโลยี HIFU ไม่เหมาะกับผู้ที่เพิ่งผ่านการทำศัลยกรรมหรือหัตถการอื่น ๆ
                            • เทคโนโลยี HIFU ไม่เหมาะกับผู้ที่มีผิวบาง ผิวแพ้ง่าย และผิวไวต่อความร้อน
                            • เทคโนโลยี HIFU ไม่เหมาะกับผู้ที่มีภาวะเลือดออกง่ายหรือใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด
                            • เทคโนโลยี HIFU ไม่เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับเส้นประสาทบริเวณใบหน้า
                            • เทคโนโลยี HIFU ไม่เหมาะกับผู้ที่มีโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจที่ยังควบคุมอาการไม่ได้ หรือโรคเกี่ยวกับตับและไตที่มีภาวะรุนแรง
                            • เทคโนโลยี HIFU ไม่เหมาะกับผู้ที่มีเนื้อเยื่อผิดปกติในบริเวณที่ต้องการรักษา เช่น ซีสต์ เนื้องอก
                            • เทคโนโลยี HIFU ไม่เหมาะกับผู้ที่อยู่ในช่วงพักฟื้นจากการบาดเจ็บหรือการเจ็บป่วยอื่น ๆ
                            • เทคโนโลยี HIFU ไม่เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวหนังแพ้ง่ายและมีการอักเสบเรื้อรัง

                             

                            เปรียบเทียบเทคโนโลยี HIFU กับวิธียกกระชับอื่น ๆ

                            การยกกระชับผิวมีหลากหลายวิธี โดยแต่ละวิธีมีข้อดี-ข้อเสีย และเหมาะสมกับความต้องการที่แตกต่างกัน ต่อไปนี้เป็นการเปรียบเทียบเทคโนโลยี HIFU กับวิธีอื่น ๆ อย่างละเอียด ดังนี้

                            เทคโนโลยี HIFU vs ร้อยไหม

                            • เทคโนโลยี HIFU เป็นการใช้คลื่นอัลตราซาวนด์ความเข้มข้นสูง ส่งพลังงานไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวลึกโดยไม่ต้องมีแผลหรือใช้เข็ม ผลลัพธ์จะค่อย ๆ ชัดเจนใน 2-3 เดือน และอยู่ได้นานประมาณ 6-12 เดือน ข้อดีของ HIFU คือไม่มีบาดแผล ไม่ต้องพักฟื้น เหมาะกับผู้ที่ต้องการยกกระชับแบบค่อยเป็นค่อยไปตามธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์อาจไม่ชัดเจนทันทีเหมือนการร้อยไหม ซึ่งการร้อยไหมเป็นวิธีที่ใช้ไหมละลายเพื่อดึงผิวให้กระชับทันที เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยระดับปานกลาง และต้องการผลลัพธ์รวดเร็ว ซึ่งอาจมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อหรืออักเสบ และอาจมีรอยซ้ำหลังทำ

                             

                            เทคโนโลยี HIFU vs ศัลยกรรมยกกระชับใบหน้า

                            • เทคโนโลยี HIFU เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับผิวแบบไม่ต้องผ่าตัด ผลลัพธ์จะค่อย ๆ ชัดเจนในระยะเวลา 2-3 เดือน และอยู่ได้นาน 6-12 เดือนโดยไม่ต้องพักฟื้น ข้อดีของเทคโนโลยี HIFU คือไม่มีความเสี่ยงจากการผ่าตัด อย่างไรก็ตาม หากมีปัญหาผิวหย่อนคล้อยรุนแรง การทำเทคโนโลยี HIFU อาจไม่เพียงพอกับการแก้ปัญหานี้ ในกรณีนี้ การศัลยกรรมยกกระชับใบหน้า เป็นทางเลือกที่มีผลลัพธ์ชัดเจนและผลลัพธ์อยู่ได้นานหลายปี แม้ว่าจะต้องผ่าตัดใหญ่ มีแผล และต้องพักฟื้นประมาณ 2-3 สัปดาห์ นอกจากนี้การศัลยกรรมยกกระชับใบหน้ามีค่าใช้จ่ายสูง และมีความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อนอีกด้วย

                             

                            เทคโนโลยี HIFU vs เลเซอร์ยกกระชับผิว 

                            • เทคโนโลยี HIFU เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับผิวชั้นลึกโดยไม่กระทบผิวชั้นบน ทำให้เหมาะสำหรับทุกสีผิวและไม่มีความเสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงของเม็ดสี ข้อดีคือไม่มีบาดแผลและไม่ต้องพักฟื้น อย่างไรก็ตามเทคโนโลยี HIFU ไม่สามารถแก้ไขปัญหาเม็ดสีผิวหรือผิวชั้นบนได้ ในขณะที่เลเซอร์ยกกระชับผิวสามารถช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ เช่น ลดเลือนจุดด่างดำ ปรับสภาพผิว พร้อมกับยกกระชับผิวหน้า ซึ่งผลลัพธ์จากเลเซอร์จะเห็นผลใน 1-2 สัปดาห์ แต่เลเซอร์อาจไม่เหมาะกับผู้ที่มีผิวสีเข้ม เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อการเกิดรอยด่างหรือการระคายเคือง

                             

                            เทคโนโลยี HIFU ในแต่ละช่วงวัย

                            การทำ HIFU สามารถปรับใช้ให้เหมาะสมกับปัญหาผิวและความต้องการของแต่ละช่วงวัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยลักษณะของปัญหาผิวและผลลัพธ์ที่คาดหวังจะเปลี่ยนแปลงไปตามอายุ ดังนี้

                            วัย 20–30 ปี

                            • ในช่วงวัยนี้ ผิวหน้าจะยังมีความกระชับและยืดหยุ่นดี แต่เริ่มมีปัญหาผิวเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น ริ้วรอยตื้นจากการแสดงอารมณ์ ผิวหมองคล้ำจากการทำงานหนัก หรือพักผ่อนไม่เพียงพอและความหย่อนคล้อยเล็กน้อยจากแสงแดดหรือมลภาวะ 
                            • การทำเทคโนโลยี HIFU ในวัยนี้ จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิว ยกกระชับผิวบริเวณกรอบหน้า แนวกราม และใต้คาง รวมไปถึงป้องกันการเกิดริ้วรอยในอนาคต

                            วัย 30–40 ปี

                            • ในช่วงวัยนี้ ผิวจะเริ่มสูญเสียคอลลาเจนและอีลาสตินตามธรรมชาติ ส่งผลให้มีริ้วรอยร่องตื้นและปัญหาผิวหย่อนคล้อยที่เริ่มสังเกตได้ชัดขึ้น โดยเฉพาะบริเวณแก้ม แนวกราม และใต้ตา
                            • การทำเทคโนโลยี HIFU ในวัยนี้ จะช่วยลดเลือนริ้วรอยตื้น เช่น รอบดวงตาและร่องแก้ม กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ในชั้นผิวลึก อีกทั้งยังช่วยยกกระชับใบหน้า ปรับรูปหน้าให้ดูเรียวและได้รูปมากขึ้น

                            วัย 40-50 ปี

                            • ในช่วงวัยนี้ ความเสื่อมสภาพของผิวจะชัดเจนขึ้น ผิวเริ่มหย่อนคล้อยอย่างเห็นได้ชัด โครงหน้าขาดความกระชับ และมีริ้วรอยลึกปรากฏในบริเวณต่าง ๆ เช่น หน้าผาก ร่องแก้ม และลำคอ
                            • การทำเทคโนโลยี HIFU ในวัยนี้ จะช่วยยกกระชับใบหน้าและลำคอที่หย่อนคล้อย ลดริ้วรอยลึก เช่น หน้าผาก ร่องแก้ม รวมไปถึงช่วยฟื้นฟูโครงสร้างผิวในระยะยาว

                            วัย 50 ปีขึ้นไป

                            • ในช่วงวัยนี้ ผิวสูญเสียคอลลาเจนและอีลาสตินอย่างมาก โครงหน้าหย่อนคล้อย มีริ้วรอยลึกชัดเจน และผิวขาดความยืดหยุ่น
                            • การทำเทคโนโลยี HIFU ในวัยนี้ จะช่วยฟื้นฟูผิวลึกถึงชั้น SMAS เพื่อยกกระชับใบหน้า ลดความหย่อนคล้อยบริเวณลำคอ ใต้คาง และแก้ม คืนความยืดหยุ่นและความกระชับให้ผิว

                             

                            สิ่งที่ต้องเตรียมพร้อมก่อนทำเทคโนโลยี HIFU

                            • ก่อนทำเทคโนโลยี HIFU ควรเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์เพื่อประเมินสภาพผิวและปัญหา
                            • ก่อนทำเทคโนโลยี HIFU ควรแจ้งประวัติสุขภาพ รวมถึงโรคประจำตัว การใช้ยา 
                            • ก่อนทำเทคโนโลยี HIFU งดการทำทรีตเมนต์ผิวหน้า หรือหัตถการที่มีผลกระทบต่อผิว 1-2 สัปดาห์
                            • ก่อนทำเทคโนโลยี HIFU หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกรด AHA, BHA, Retinol 3-5 วัน
                            • ก่อนทำเทคโนโลยี HIFU หลีกเลี่ยงการออกแดดจัดและการทำกิจกรรมกลางแจ้ง
                            • ก่อนทำเทคโนโลยี HIFU งดการดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่ประมาณ 1–2 วัน
                            • ก่อนทำเทคโนโลยี HIFU งดการแต่งหน้าหรือทาครีมบำรุงผิวใด ๆ ในวันนัดหมาย
                            • ก่อนทำเทคโนโลยี HIFU หลีกเลี่ยงการรับประทานยาแก้ปวดหรือยาบางชนิด

                             

                            ขั้นตอนการทำเทคโนโลยี HIFU 

                            1. แพทย์จะทำการประเมินสภาพผิวและปัญหาที่ต้องการแก้ไข และกำหนดบริเวณที่ต้องการรักษาก่อนทำเทคโนโลยี HIFU
                            2. ก่อนเริ่มทำเทคโนโลยี HIFU ผิวหน้าจะถูกทำความสะอาดอย่างหมดจดเพื่อลบเครื่องสำอาง ครีมบำรุง และสิ่งสกปรกตกค้างบนผิว
                            3. ทาเจลอัลตราซาวนด์บนบริเวณที่ต้องการทำเทคโนโลยี HIFU เพื่อช่วยส่งพลังงานคลื่นเสียงเข้าสู่ผิว
                            4. แพทย์เริ่มวางหัวอุปกรณ์เทคโนโลยี HIFU จะถูกวางลงบนผิว และปรับระดับพลังงานให้เหมาะสมกับบริเวณที่ทำ
                            5. แพทย์ยิงพลังงาน HIFU ในแต่ละจุดอย่างละเอียดทั่วบริเวณที่ต้องการรักษา เพื่อให้พลังงานครอบคลุมและผลลัพธ์ออกมาสม่ำเสมอ
                            6. หลังจากทำเสร็จ แพทย์จะทำความสะอาดผิวอีกครั้ง
                            7. แพทย์อาจทาครีมบำรุงผิวหรือครีมกันแดดเพื่อปกป้องผิว และแนะนำการดูแลผิวเพิ่มเติม

                             

                            แนะนำวิธีการดูแลผิวหลังทำเทคโนโลยี HIFU

                            • หลังทำเทคโนโลยี HIFU หลีกเลี่ยงการออกแดดจัดในช่วง 7–14 วันแรก
                            • หลังทำเทคโนโลยี HIFU หลีกเลี่ยงการนวดหน้า ขัดผิว หรือกดผิวหน้า 1–2 สัปดาห์
                            • หลังทำเทคโนโลยี HIFU หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่ต้องใช้แรงมากหรือกิจกรรมที่ทำให้เกิดเหงื่อเยอะในช่วง 1–2 วันแรก
                            • หลังทำเทคโนโลยี HIFU งดการทำเลเซอร์ การร้อยไหม อย่างน้อย 2–4 สัปดาห์
                            • หลังทำเทคโนโลยี HIFU งดกิจกรรมที่ทำให้ผิวสัมผัสความร้อนจัดอย่างน้อย 1 สัปดาห์
                            • หลังทำเทคโนโลยี HIFU ควรทาครีมกันแดดที่มี SPF50 PA+++ เป็นประจำ
                            • หลังทำเทคโนโลยี HIFU ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีแอลกอฮอล์ น้ำหอม
                            • หลังทำเทคโนโลยี HIFU ควรใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น เช่น มอยส์เจอไรเซอร์หรือเซรัมไฮยาลูรอน

                             

                            รวมทุกคำถามที่ควรรู้ก่อนทำเทคโนโลยี HIFU

                            เทคโนโลยี HIFU ปลอดภัยไหม?

                            • HIFU เป็นเทคโนโลยีที่ได้รับการรับรองจาก FDA ว่าปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสำหรับการยกกระชับผิวและลดริ้วรอย พลังงานคลื่นอัลตราซาวนด์ที่ใช้สามารถโฟกัสเฉพาะชั้นผิวลึกโดยไม่ทำลายผิวชั้นบน ทั้งนี้ความปลอดภัยขึ้นอยู่กับการใช้เครื่องที่ได้มาตรฐานและการทำโดยผู้เชี่ยวชาญ

                             

                            หลังทำเทคโนโลยี HIFU ผิวหน้าจะเป็นอย่างไร?

                            • หลังทำเทคโนโลยี HIFU ผิวอาจรู้สึกกระชับขึ้นทันที แต่ผลลัพธ์ที่ชัดเจนจะปรากฏในช่วง 2–3 เดือน เนื่องจากกระบวนการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวลึกจะใช้เวลา ผิวอาจมีรอยแดงเล็กน้อยทันทีหลังทำ แต่จะหายไปภายในไม่กี่ชั่วโมง

                             

                            เทคโนโลยี HIFU มีผลข้างเคียงไหม?

                            • เทคโนโลยี HIFU มีผลข้างเคียงน้อยมาก แต่อาจพบได้ในบางกรณี เช่น รอยแดงหรือบวมเล็กน้อย ซึ่งจะหายไปใน 1–2 วัน นับว่าเป็นอาการปกติที่พบได้ทั่วไปหลังทำ

                             

                            เทคโนโลยี HIFU เห็นผลทันทีไหม?

                            • หลังทำเทคโนโลยี HIFU อาจมีความรู้สึกว่าผิวกระชับขึ้นทันที แต่ผลลัพธ์ที่ชัดเจนจะค่อย ๆ เห็นในช่วง 2–3 เดือน เพราะเป็นระยะเวลาที่ร่างกายกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่

                             

                            เทคโนโลยี HIFU สามารถทำร่วมกับหัตถการอื่น ๆ ได้ไหม?

                            • เทคโนโลยี HIFU สามารถทำร่วมกับหัตถการอื่น ๆ ได้ เช่น ฉีดโบ ฉีดฟิลเลอร์ หรือเลเซอร์ เพื่อเสริมผลลัพธ์ที่ครอบคลุมยิ่งขึ้น ทั้งนี้ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจสอบว่าควรเว้นระยะเวลาระหว่างการทำแต่ละอย่างนานเท่าไร

                             

                            ต้องทำเทคโนโลยี HIFU กี่ครั้งจึงจะเห็นผล?

                            • สำหรับคนส่วนใหญ่ การทำเทคโนโลยี HIFU 1 ครั้ง ก็สามารถเห็นผลลัพธ์การยกกระชับที่ชัดเจน ซึ่งในบางกรณีที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยมาก อาจต้องทำเพิ่มเติมตามคำแนะนำของแพทย์

                             

                            ความถี่ในการทำเทคโนโลยี HIFU ควรเว้นระยะห่างกี่เดือน?

                            • เทคโนโลยี HIFU ควรเว้นระยะห่างประมาณ 6–12 เดือน ต่อครั้ง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการตอบสนองของร่างกายต่อการกระตุ้นคอลลาเจน การทำซ้ำในช่วงเวลาที่เหมาะสมจะช่วยรักษาผลลัพธ์ให้อยู่ได้นานยิ่งขึ้น

                             

                            HIFU หรือ High-Intensity Focused Ultrasound เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยยกกระชับผิว ลดริ้วรอย และคืนความอ่อนเยาว์ให้ผิวโดยไม่ต้องผ่าตัด ด้วยการส่งพลังงานลงสู่ชั้นผิวลึกอย่างแม่นยำ ทำให้เทคโนโลยี HIFU สามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและฟื้นฟูโครงสร้างผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผลลัพธ์ที่ได้คือผิวที่ดูเต่งตึง กระชับ และสดใสอย่างเป็นธรรมชาติ

                            แม้ว่าการทำเทคโนโลยี HIFU จะมีข้อดีมากมาย แต่การเลือกคลินิกที่มีมาตรฐานและทำโดยแพทย์เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ดีที่สุด นอกจากนี้ การดูแลตัวเองทั้งก่อนและหลังการทำ จะช่วยเสริมให้ผลลัพธ์อยู่ได้นานยิ่งขึ้น

                            หากกำลังมองหาวิธีที่ช่วยให้ผิวหน้าดูอ่อนเยาว์อย่างมีประสิทธิภาพและไม่ยุ่งยาก เทคโนโลยี HIFU อาจเป็นคำตอบที่ตามหา การเริ่มต้นดูแลผิวตั้งแต่วันนี้จะช่วยให้มั่นใจในตัวเองและพร้อมเผชิญกับทุกโอกาสในอนาคตอย่างแน่นอน

                            หลังฉีด Sculptra ทำไมต้องนวดหน้า

                            หลังฉีด Sculptra ทำไมต้องนวดหน้า

                            หลังฉีด Sculptra ทำไมต้องนวดหน้า หากไม่นวดจะส่งผลอย่างไร?

                            Sculptra เป็นสารกระตุ้นคอลลาเจนประเภทหนึ่ง ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในการฉีดเพื่อฟื้นฟูความหย่อนคล้อยของใบหน้า ทำให้ผิวหน้ากลับมากระชับ เต่งตึง และยืดหยุ่นอย่างเป็นธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม หลังจากฉีด Sculptra ไปแล้ว หนึ่งในขั้นตอนสำคัญที่แพทย์มักแนะนำคือการ “นวดหน้า” เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ได้ออกมาดีที่สุด แต่ทำไมการนวดหน้าถึงมีความสำคัญ? และหากไม่ทำตามคำแนะนำนี้จะเกิดผลข้างเคียงอะไรขึ้นบ้าง? บทความนี้ จะช่วยไขข้อข้องใจให้ทุกคนได้เข้าใจ ถึงความสำคัญของการนวดหลังฉีด Sculptra พร้อมเปิดเคล็ดลับนวดหน้าแบบ Triple 5 หลังฉีด Sculpta ที่ถูกต้องค่ะ

                             

                            นวดหน้าหลังฉีด Sculptra เทคนิค Triple 5 นวดอย่างไรให้ปลอดภัย? 

                             

                            Sculptra คืออะไร?

                            Sculptra เป็นสารกระตุ้นคอลลาเจนประเภท PLLA (Poly-L-Lactic Acid) ซึ่งแตกต่างจากฟิลเลอร์ทั่วไปที่ใช้สาร Hyaluronic Acid (HA) เนื่องจาก Sculptra ไม่ได้ให้ผลลัพธ์ทันที แต่จะเข้าไปกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนขึ้นมาเองในระยะยาว ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้ดูเป็นธรรมชาติ และสามารถคงอยู่ได้นานถึง 2 ปี ขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองหลังฉีด

                            Sculptra ได้มีการนำมาใช้ในวงการแพทย์ในปี 1999 และเป็นสารกระตุ้นคอลลาเจนแบรนด์แรก ที่ได้รับการอนุมัติจาก องค์การอาหารและยา (อย.) ซึ่งมีงานวิจัยรับรองถึงประสิทธิภาพมากกว่า 50 ฉบับ และมีการใช้งานมาอย่างยาวนานทั่วโลก จึงถือเป็นสารกระตุ้นคอลลาเจนที่มีความปลอดภัย และสามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ

                             

                            Sculptra มีกลไกการทำงานอย่างไร?

                            เมื่อฉีด Sculptra เข้าสู่ผิวหน้า สาร PLLA จะเริ่มกระจายตัวเป็นอนุภาคเล็ก ๆ (Microparticles) และเข้าไปทำงานผ่านเซลล์แมคโครฟาจ (Macrophage) ซึ่งเป็นเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยการดึงเซลล์แมคโครฟาจให้เข้ามาล้อมรอบอนุภาคของสาร PLLA และปล่อยสารเคมีที่ส่งสัญญาณไปยังเซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast) ให้เข้ามารวมตัวกัน จนเกิดการผลิตคอลลาเจน และอีลาสตินขึ้นมาใหม่ ทำให้ผิวมีความหนาแน่น ตึงกระชับ และยืดหยุ่นมากขึ้น

                            เมื่อเวลาผ่านไป อนุภาคของสาร PLLA จะค่อย ๆ ย่อยสลายไปตามธรรมชาติ ผ่านกระบวนการไฮโดรไลซิส (Hydrolysis) และถูกขับออกจากร่างกาย เหลือไว้เพียงเส้นใยคอลลาเจนที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ และฟื้นฟูโครงสร้างผิวให้แข็งแรงในระยะยาว 

                             

                            นวดหน้าหลังฉีด Sculptra ดีอย่างไร?
                            นวดหน้าหลังฉีด Sculptra ดีอย่างไร?

                            หลังฉีด Sculptra ทำไมต้องนวดหน้า นวดหน้าหลังฉีด Sculptra ดีอย่างไร?

                            Sculptra เป็นสารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ที่ช่วยฟื้นฟูผิวให้ดูอ่อนเยาว์ ซึ่งการนวดหน้าหลังฉีด Sculptra จึงมีความสำคัญอย่างมากต่อผลลัพธ์ที่ได้ และความปลอดภัยหลังฉีด โดยเหตุผลที่ต้องนวดหน้าหลังฉีด Sculptra มีดังนี้

                            • ตัวยากระจายตัวได้ดี 

                            Sculptra เป็นสารกระตุ้นคอลลาเจนที่มาในรูปแบบผง ต้องมีการผสมกับน้ำกลั่น (Sterile water) ก่อนนำมาฉีดเข้าสู่ผิว ซึ่งเมื่อฉีดเสร็จแล้ว ต้องมีการนวดหน้า เพื่อให้สาร PLLA กระจายตัวได้อย่างทั่วถึงในบริเวณที่ฉีด ซึ่งจะทำให้ผลลัพธ์ที่ได้มีความสม่ำเสมอ และเป็นธรรมชาติมากขึ้น หากไม่ทำการนวดหน้า อาจส่งผลให้สาร PLLA เกาะกลุ่มรวมกันเป็นก้อน จนผิวไม่เรียบเนียนได้

                            • เพิ่มประสิทธิภาพการกระตุ้นคอลลาเจน 

                            เนื่องจาก Sculptra ทำงานโดยการกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนขึ้นมาเอง ตามกระบวนการธรรมชาติ ดังนั้น เมื่อมีการนวดหน้าเบา ๆ หลังฉีด สาร PLLA จะสามารถกระจายตัวอย่างเหมาะสม ทำให้กระบวนการสร้างคอลลาเจนเกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอ และผลลัพธ์ที่ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

                            • ผลลัพธ์ดูเรียบเนียน และเป็นธรรมชาติ 

                            หากไม่มีการนวดหน้าหลังฉีด Sculptra อาจทำให้บางบริเวณบนใบหน้ามีคอลลาเจนเพิ่มขึ้นมากกว่าบริเวณอื่น ซึ่งอาจทำให้เกิดความไม่สม่ำเสมอของผิวหนังได้ ดังนั้น การนวดจะทำให้สาร PLLA กระจายตัวดีขึ้น ส่งผลให้ผิวดูเรียบเนียน และสม่ำเสมอมากขึ้น

                            • ป้องกันการเกิดก้อนแข็งใต้ผิวหนัง

                            Sculptra เป็นสารกระตุ้นคอลลาเจนตามธรรมชาติของร่างกาย ดังนั้น หากสาร PLLA กระจายตัวไม่ดี หรือสะสมอยู่ในบางบริเวณ อาจทำให้เกิดเป็นก้อนแข็ง (Nodules) หรือจุดนูนใต้ผิวหนังได้ ซึ่งการนวดหน้าหลังฉีด Sculptra จะช่วยให้สาร PLLA กระจายตัวได้อย่างสม่ำเสมอ ลดโอกาสเสี่ยงในการเกิดปัญหาก้อนแข็งใต้ผิวหนัง

                             

                            หากไม่นวดหน้าหลังฉีด Sculptra จะส่งผลเสียอะไรบ้าง?
                            หากไม่นวดหน้าหลังฉีด Sculptra จะส่งผลเสียอะไรบ้าง?

                             

                            หากไม่นวดหน้าหลังฉีด Sculptra จะส่งผลเสียอะไรบ้าง?

                            หลังฉีด Sculpta หากไม่มีการนวดหน้า หรือนวดหน้าไม่ถูกวิธี อาจทำให้มีผลข้างเคียงเกิดขึ้นได้บริเวณใบหน้า ซึ่งผลข้างเคียงส่วนใหญ่ที่มักเกิดขึ้นหากไม่นวดหน้า มีดังนี้

                            • เกิดก้อนแข็งใต้ผิวหนัง

                            หากไม่ทำการนวดหน้าหลังฉีด Sculptra สาร PLLA จะไม่สามารถกระจายตัวอย่างเหมาะสม ซึ่งเป็นผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยที่สุด เมื่อไม่มีการนวดหน้าหลังฉีด โดยสาร PLLA อาจจับตัวกันเป็นก้อนแข็ง (Nodules หรือ Lumps) หรือเกิดตุ่มนูนใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวไม่มีความเรียบเนียน และส่งผลกระทบต่อใบหน้าโดยรวมได้

                            • ใบหน้าดูไม่สมส่วน 

                            หากไม่ทำการนวดหน้าหลังฉีด Sculptra สาร PLLA จะไม่สามารถกระจายตัวอย่างสม่ำเสมอ และทั่วถึงในบริเวณที่ฉีด ซึ่งอาจทำให้บางบริเวณของใบหน้าผิวดูยกกระชับมากกว่าบริเวณอื่น ๆ ส่งผลให้ใบหน้าไม่สมดุล และมีสัดส่วนที่เปลี่ยนไปจากเดิมได้

                            • สร้างคอลลาเจนไม่สม่ำเสมอ 

                            หากไม่ทำการนวดหน้าหลังฉีด Sculptra สาร PLLA จะกระจุกตัวกันในบางบริเวณ อาจทำให้บางบริเวณของใบหน้ามีการสร้างคอลลาเจนมากเกินไป ในขณะที่บางบริเวณอาจไม่เกิดการสร้างคอลลาเจน หรือไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงเลย ส่งผลให้ใบหน้าดูไม่สม่ำเสมอ และไม่เรียบเนียนได้

                            • เสี่ยงต่อการบวม และอักเสบ

                            หากไม่ทำการนวดหน้าหลังฉีด Sculptra อาจเป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอาการบวมช้ำ หรืออักเสบในบริเวณที่ฉีด ซึ่งส่งผลต่อระยะเวลาในการพักฟื้นหลังทำ อาจทำให้อาการเหล่านี้ คงอยู่นานมากกว่าปกติ เนื่องจากการนวดหน้าหลังฉีด Sculptra สามารถลดอาการบวมช้ำ และอักเสบหลังฉีดได้

                             

                            Triple 5 เทคนิคนวดหน้าหลังฉีด Sculptra
                            Triple 5 เทคนิคนวดหน้าหลังฉีด Sculptra

                             

                            Triple 5 เทคนิคนวดหน้าหลังฉีด Sculptra

                            การนวดหน้าหลังฉีด Sculptra ถือเป็นขั้นตอนสำคัญที่แพทย์จะแนะนำให้ทำหลังจากฉีด Sculptra เสร็จ โดยการใช้เทคนิคตามหลัก Triple 5 นวดหน้าวันละ 5 ครั้ง ครั้งละ 5 นาที ติดต่อกันอย่างต่อเนื่อง 5 วัน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด เนื่องจากการนวดหน้าจะช่วยให้ตัวยากระจายตัวได้อย่างทั่วถึง ลดความเสี่ยงในการเกิดก้อนแข็งให้ชั้นผิว และทำให้ผลลัพธ์ที่ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยสามารถปฏิบัติตาม 4 ขั้นตอนได้ ดังนี้

                            1. นวดหน้าขั้นตอนที่ 1 : ใช้นิ้วโป้งนวดบริเวณขมับทั้งสองข้าง จากนั้นใช้กำปั้นค่อย ๆ นวดเลื่อนจากบริเวณหน้าผากไปทางขมับด้านข้าง
                            2. นวดหน้าขั้นตอนที่ 2 : ใช้นิ้วโป้งยกขึ้น แล้วนวดแนบไปยังบริเวณหน้าแก้มทั้งสองข้าง จากนั้นค่อย ๆ เลื่อนจากหน้าแก้มออกไปยัง บริเวณข้างแก้มพร้อมกัน โดยเลื่อนอย่างช้า ๆ
                            3. นวดหน้าขั้นตอนที่ 3 : ใช้อุ้งมือกดบริเวณช่วงข้างแก้ม จากนั้นค่อย ๆ นวดไล่จากด้านล่าง ขึ้นไปด้านบนจนถึงโหนกแก้ม ทำซ้ำไปมาหลาย ๆ ครั้ง
                            4. นวดหน้าขั้นตอนที่ 4 : ทำมือลักษณะเดียวกันกับขั้นตอนที่ 2 โดยนวดบริเวณคาง จากนั้นค่อย ๆ เลื่อนขึ้นไปตามแนวกราม ทำซ้ำไปมาหลาย ๆ ครั้ง

                             

                            ข้อควรระวังในการนวดหน้าหลังฉีด Sculptra

                            • ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ โดยแพทย์จะเป็นผู้แนะนำวิธีการนวดหน้าที่ถูกต้อง และเหมาะสมกับแต่ละบุคคล ซึ่งควรปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลข้างเคียงอื่น ๆ ตามมาภายหลัง
                            • นวดหน้าอย่างเบามือ โดยใช้นิ้วมือนวดหน้าอย่างเบามือ ไม่ควรกด หรือคลึงแรงจนเกินไป
                            • นวดหน้าในทิศทางที่ถูกต้อง นวดหน้าในทิศทางที่แพทย์แนะนำ เพื่อให้สาร Sculptra กระจายตัวได้อย่างทั่วถึง
                            • นวดหน้าอย่างสม่ำเสมอ นวดหน้าอย่างสม่ำเสมอตามจำนวนครั้ง และระยะเวลาที่แพทย์กำหนดตามหลัก Triple 5
                            • ทำความสะอาดมือก่อนนวดหน้า โดยล้างมือให้สะอาดก่อนนวดหน้าทุกครั้ง เพื่อป้องกันการติดเชื้อบริเวณใบหน้า
                            • หากมีอาการผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์ โดยหากมีอาการผิดปกติ เช่น บวม แดง ร้อน หรือมีหนอง ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที

                             

                            PLLA Stimulator แก้ปัญหาอะไรได้บ้าง
                            PLLA Stimulator แก้ปัญหาอะไรได้บ้าง

                             

                            Sculptra สามารถแก้ปัญหาอะไรได้บ้าง?

                            • แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย ไม่กระชับ

                            Sculptra สามารถแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย ไม่กระชับได้ เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวหน้าเริ่มหย่อนคล้อย มีรอยพับ แก้มเริ่มห้อยลง ต้องการยกกระชับผิวให้ดูเต่งตึง

                            • แก้ปัญหาผิวหลวม ผิวไม่หนาแน่น

                            Sculptra สามารถแก้ปัญหาผิวหลวม ไม่หนาแน่น ดูขาดวอลุ่มได้ เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาใบหน้าตอบ ขมับตอบ และแก้มตอบ ดูไม่มีวอลุ่ม ต้องการเพิ่มความอิ่มฟูให้ผิวอย่างเป็นธรรมชาติ

                            • แก้ปัญหาริ้วรอย ร่องลึกต่าง ๆ

                            Sculptra สามารถแก้ปัญหาริ้วรอย ร่องลึกต่าง ๆ บนใบหน้าได้ เหมาะสำหรับผู้ที่มีร่องลึก หรือมีริ้วรอยเส้นเล็ก ๆ บริเวณใบหน้า ซึ่งเกิดจากการเสื่อมสภาพของผิวตามวัย

                            • แก้ปัญหาผิวขาดคอลลาเจน ไม่ยืดหยุ่น

                            Sculptra สามารถแก้ปัญหาผิวขาดคอลลาเจน ไม่ยืดหยุ่นได้ เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุ 25 ปีขึ้นไป คอลลาเจนค่อย ๆ เสื่อมสภาพลงทุก ๆ ปี ต้องการฟื้นฟูผิวให้กลับมายืดหยุ่น

                            • แก้ปัญหาผิวหมองคล้ำ ขาดความชุ่มชื้น

                            Sculptra สามารถแก้ปัญหาคุณภาพผิวโดยรวมได้ เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแห้ง หมองคล้ำ ไม่สดใส ต้องการเพิ่มความชุ่มชื้น และความกระจ่างใสให้ใบหน้า

                             

                            PLLA Stimulator ช่วยเรื่องอะไร
                            PLLA Stimulator ช่วยเรื่องอะไร

                             

                            Sculptra ช่วยเรื่องอะไร?

                            • Sculptra ช่วยกระตุ้นคอลลาเจน Type 1 เพิ่มขึ้น 66.5%
                            • Sculptra ช่วยยกกระชับผิวหน้า ให้มีความเต่งตึง
                            • Sculptra ช่วยให้ผิวเฟิร์มแน่น มีความยืดหยุ่นมากขึ้น
                            • Sculptra ช่วยลดความหย่อนคล้อยของใบหน้า
                            • Sculptra ช่วยลดริ้วรอย ร่องลึกต่าง ๆ บนใบหน้า
                            • Sculptra ช่วยฟื้นฟูโครงสร้างผิวชั้นลึก 
                            • Sculptra ช่วยให้ผิวแข็งแรง ดูสุขภาพดีจากภายใน
                            • Sculptra ช่วยให้ผิวเรียบเนียน รูขุมขนดูเล็กลง
                            • Sculptra ช่วยปรับปรุงคุณภาพผิวโดยรวม ผิวกระจ่างใส มีความชุ่มชื้น

                             

                            Sculptra ฉีดบริเวณใดได้บ้าง?

                            Sculptra สามารถฉีดได้หลายบริเวณบนใบหน้า เพื่อช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และฟื้นฟูความอ่อนเยาว์ให้ผิว โดยตำแหน่งที่เหมาะสมสำหรับการฉีด Sculptra ได้แก่

                            • Sculptra สามารถฉีดได้บริเวณ ขมับ
                            • Sculptra สามารถฉีดได้บริเวณ หน้าแก้ม (Midface)
                            • Sculptra สามารถฉีดได้บริเวณ กรอบหน้า

                             

                            ก่อนฉีด Sculptra ควรเตรียมตัวอย่างไร?

                            • ก่อนฉีด Sculptra ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อวิเคราะห์สภาพผิว ประเมินโครงสร้างใบหน้า และคำนวณปริมาณการฉีด Sculptra ที่เหมาะสม
                            • ก่อนฉีด Sculptra แจ้งข้อมูลเกี่ยวกับประวัติโรคประจำตัว ยาที่กำลังรับประทาน รวมถึงหัตถการที่เคยทำก่อนฉีด ให้แพทย์ทราบล่วงหน้า
                            • ก่อนฉีด Sculptra งดอาหารเสริม ยา หรือวิตามินที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพรินวิตามินอี น้ำมันตับปลา อย่างน้อย 1 – 2 สัปดาห์ก่อนฉีด
                            • ก่อนฉีด Sculptra งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือสูบบุหรี่ อย่างน้อย 1 – 3 วันก่อนฉีด เพื่อลดโอกาสการเกิดอาการบวมช้ำ
                            • ก่อนฉีด Sculptra งดการออกกำลังกายหนัก หรือกิจกรรมที่ส่งผลให้เลือดสูบฉีด อย่างน้อย 1 – 3 วันก่อนฉีด
                            • ก่อนฉีด Sculptra แนะนำให้พักผ่อนให้เพียงพอ และดูแลสุขภาพให้แข็งแรง 

                             

                            ขั้นตอนการฉีด Sculptra

                            • แพทย์จะทำการประเมินสภาพผิว และโครงสร้างใบหน้า พร้อมกำหนดบริเวณที่จะทำการฉีด และเลือกปริมาณ Sculptra ที่เหมาะสม
                            • ทำความสะอาดผิวในบริเวณที่จะทำการฉีด จากนั้นแปะยาชาทิ้งไว้ ประมาณ 30 – 45 นาที เพื่อให้ยาชาออกฤทธิ์ ช่วยลดความรู้สึกเจ็บขณะฉีดได้
                            • แพทย์จะทำการเตรียม Sculptra โดยการผสมสาร Sculptra ในรูปแบบผง เข้ากับน้ำกลั่นปราศจากเชื้อ (Sterile water) ในปริมาณที่เหมาะสม และใช้เครื่องเขย่ารวมกัน เป็นเวลา 1 นาที เพื่อให้ได้สารที่พร้อมใช้งาน
                            • แพทย์จะเริ่มทำการฉีด Sculptra โดยการใช้เข็มทู่ขนาด 22 – 25 G ฉีด Sculptra ลงไปยังผิวหนังชั้นลึก (Deep Dermis) 
                            • หลังจากนั้น แพทย์จะแนะนำให้วิธีการดูแลตัวเองหลังฉีด Sculptra พร้อมขั้นตอนการนวดหน้าหลังฉีดตามหลัก Triple 5

                             

                            หลังฉีด Sculptra ควรดูแลตัวเองอย่างไร?

                            • หลังฉีด Sculptra ควรนวดหน้าตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด โดยนวดวันละ 5 ครั้ง ครั้งละ 5 นาที ติดต่อกัน 5 วัน
                            • หลังฉีด Sculptra หากมีอาการบวม สามารถประคบเย็นเบา ๆ เพื่อลดอาการบวมได้
                            • หลังฉีด Sculptra งดแต่งหน้าในบริเวณที่ฉีด ประมาณ 24 ชั่วโมงแรก เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
                            • หลังฉีด Sculptra งดโดนความร้อน และแสงแดด ประมาณ  1 – 2 สัปดาห์
                            • หลังฉีด Sculptra งดการออกกำลังกายแบบหักโหม ประมาณ 2 – 3 วันแรก
                            • หลังฉีด Sculptra งดการดื่มแอลกอฮอล์ และสูบบุหรี่ ประมาณ 2 – 3 วันแรก
                            • หลังฉีด Sculptra หากพบอาการผิดปกติ เช่น ปวดมาก บวมมาก หรือผิวเปลี่ยนสี ให้แจ้งแพทย์ทันที

                             

                            ข้อห้ามในการฉีด Sculptra มีอะไรบ้าง?

                            • Sculptra ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่แพ้สาร Poly-L-lactic acid (PLLA) ซึ่งเป็นส่วนประกอบใน Sculptra
                            • Sculptra ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังตั้งครรภ์อยู่
                            • Sculptra ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังอยู่ในระหว่างการให้นมบุตร
                            • Sculptra ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นสิว ผิวอักเสบ ผื่นแพ้ หรือมีอาการติดเชื้ออื่น ๆ ในบริเวณที่จะทำการฉีด Sculptra
                            • Sculptra ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะเลือดออกง่าย แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ก่อนฉีด
                            • Sculptra ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือโรคแพ้ภูมิตัวเอง
                            • Sculptra ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีแนวโน้มเกิดแผลคีลอยด์ง่าย
                            • Sculptra ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีประวัติเคยแพ้ชนิดรุนแรง (Anaphylaxis)
                            • Sculptra ไม่เหมาะสำหรับการฉีดในบริเวณที่ผิวบอบบาง เช่น ริมฝีปาก หรือรอบดวงตา

                             

                            ฉีด Sculptra ต้องฉีดกี่ครั้ง?

                            การฉีด Sculptra โดยทั่วไป จะแนะนำให้ฉีด Sculptra ประมาณ 2 – 3 ครั้ง ซึ่งควรเว้นระยะห่างในการฉีดแต่ละครั้ง ประมาณ 4 – 6 สัปดาห์ เพื่อให้ผิวได้มีเวลาในการสร้างคอลลาเจนอย่างเต็มที่ และให้ได้ผลลัพธ์มีประสิทธิภาพที่สุด

                             

                            ฉีด Sculptra กี่วันเห็นผล?

                            Sculptra เป็นสารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนที่ จะไม่เห็นผลลัพธ์ทันทีเหมือนฟิลเลอร์ แต่ผิวจะค่อย ๆ ดีขึ้นเมื่อร่างกายสร้างคอลลาเจนอย่างต่อเนื่อง โดยทั่วไป จะเริ่มเห็นผลการเปลี่ยนแปลงหลังฉีดไปแล้ว ประมาณ 2 – 3 สัปดาห์ แต่จะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนที่สุด ภายใน 3 เดือน โดยจะรู้สึกได้ว่า ผิวมีความแน่นกระชับ อิ่มฟู และเต่งตึงมากขึ้น

                             

                            ฉีด Sculptra อยู่ได้นานแค่ไหน?

                            Sculptra เป็นสารกระตุ้นคอลลาเจนที่ไม่ได้ให้ผลลัพธ์ในทันที แต่จะทำงานโดยการกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนขึ้นมาเอง ทำให้ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ และอยู่ได้นานกว่าฟิลเลอร์ โดย Sculptra สามารถคงผลลัพธ์ได้ยาวนาน ประมาณ 2 ปี หรือมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และวิธีการดูแลตัวเองหลังฉีด ซึ่งเมื่อครบระยะเวลากำหนด สามารถกลับมาฉีดซ้ำได้ เพื่อคงสภาพของผลลัพธ์ให้มีความยั่งยืนมากขึ้น

                             

                            Sculptra กับ ฟิลเลอร์ ต่างกันอย่างไร?

                            • Sculptra มีส่วนประกอบหลักของ PLLA ซึ่งมีคุณสมบัติในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนโดยตรง ตามกระบวนการธรรมชาติ ซึ่งจะไม่ให้ผลลัพธ์ในการเติมเต็ม หรือปรับรูปหน้าในทันทีเหมือนกับการฉีดฟิลเลอร์ แต่จะค่อย ๆ เห็นผลลัพธ์เมื่อคอลลาเจนค่อย ๆ สร้างขึ้นอย่างต่อเนื่องในระยะยาว ทำให้ผิวมีแน่นกระชับ อิ่มฟู และลดความหย่อนคล้อยของใบหน้าได้ โดยสามารถคงประสิทธิภาพของผลลัพธ์ได้ยาวนาน ประมาณ 2 ปี หรือมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองหลังฉีด
                            • ฟิลเลอร์ มีส่วนประกอบหลักของ HA ซึ่งมีคุณสมบัติในการเติมเต็ม ปรับรูปหน้า หรือเพิ่มปริมาตรให้ผิวได้อย่างชัดเจนหลังฉีด แต่จะไม่ให้ผลลัพธ์ในการกระตุ้นคอลลาเจนเหมือนกับการฉีด Sculptra โดยฟิลเลอร์สามารถเติมเต็มได้หลายบริเวณบนใบหน้า ทั้งขมับ หน้าผาก ใต้ตา หรือริมฝีปาก ซึ่งการฉีดครั้งเดียว สามารถเห็นผลการเปลี่ยนแปลงได้ในทันทีหลังฉีด แต่ผลลัพธ์จะคงอยู่ ประมาณ 6 – 18 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อ และการดูแลตัวเองหลังฉีด

                             

                            วิธีตรวจสอบ Sculptra แท้

                            • ตรวจสอบสติกเกอร์บนกล่อง

                            ตรวจสอบสติกเกอร์บนกล่อง โดยบนกล่อง Sculptra ของแท้ จะต้องมีสติกเกอร์วงกลมโมโนแกรมสีเงิน หรือทองติดอยู่ที่ฝากล่อง โดยไม่มีรอยถูกเปิดออก หรือแกะมาก่อน

                            • ตรวจสอบสัญลักษณ์ลายน้ำ

                            ตรวจสอบสัญลักษณ์ลายน้ำตัวอักษร S บนหน้ากล่อง ซึ่งสามารถสัมผัสได้ด้วยมือ หากเป็นของแท้จะต้องมีลักษณะนูนอย่างชัดเจน

                            • ตรวจสอบเลขทะเบียน อย.

                            ตรวจสอบเลขทะเบียน อย. และเอกสารกำกับภาษาไทย โดยจะต้องมีเลขทะเบียน อย. และเอกสารกำกับภาษาไทยระบุไว้ที่ข้างกล่อง อย่างชัดเจน

                            • ตรวจสอบ QR Code

                            ตรวจสอบ QR Code ที่กล่อง โดยที่กล่อง Sculptra จะต้องมี QR Code ให้สแกน เพื่อตรวจสอบข้อมูลผลิตภัณฑ์ผ่านแอป eZTracker โดยข้อมูลที่ได้จะต้องตรงกับเอกสารที่อยู่ข้างกล่อง

                            • ตรวจสอบขวดผลิตภัณฑ์

                            ตรวจสอบขวดผลิตภัณฑ์ Sculptra โดยขวด Sculptra จะต้องปิดซีลมาสนิท ไม่มีรอยแกะ หรือเปิดใช้งานมาก่อน รวมถึง ภายในขวด Sculptra จะต้องมีลักษณะเป็นผงสีขาว (PLLA powder) ไม่มีของเหลวผสม 

                             

                            เลือกฉีด Sculptra ที่ไหนดี?

                            • เลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการสถานพยาบาล จากกระทรวงสาธารณสุขอย่างถูกต้อง ซึ่งภายในคลินิกต้องมีความสะอาด มีอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ปลอดเชื้อ และปฏิบัติตามมาตรฐานการแพทย์
                            • เลือกแพทย์ที่มีความชำนาญ ได้รับใบประกอบวิชาชีพจากแพทยสภาอย่างถูกต้อง ซึ่งแพทย์ควรมีความรู้ ความเข้าใจ และประสบการณ์ด้านการฉีด Sculptra โดยเฉพาะ รวมถึง รู้เทคนิคในการฉีด สามารถออกแบบการรักษา ให้เหมาะกับใบหน้าของแต่ละบุคคลได้อย่างตรงจุด
                            • เลือกใช้ Sculptra แท้ ที่สามารถตรวจสอบได้ โดย Sculptra ของแท้ จะต้องผลิตโดยบริษัท Galderma เท่านั้น ซึ่งจะต้องมีเลขทะเบียน อย. ระบุไว้อย่างชัดเจน สามารถขอให้ทางคลินิกแกะกล่อง และผสมตัวยาต่อหน้าได้
                            • เลือกคลินิกที่มีรีวิวจากผู้ใช้บริการจริง แนะนำให้ดูรีวิวจากผู้ที่เคยใช้บริการจริง เพื่อประกอบการตัดสินใจจากช่องทางที่เชื่อถือได้ ทั้งแบบรูปภาพ วิดีโอ และคอมเมนต์
                            • เลือกคลินิกที่ติดตามผลหลังฉีด ซึ่งคลินิกที่ดีจะต้องมีการติดตามผลลัพธ์หลังทำการรักษา เพื่อให้คำแนะนำในการดูแลตัวเองอย่างเหมาะสม และปรับแผนการรักษาในครั้งถัดไปได้อย่างตรงจุด

                             

                            การฉีด Sculptra เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการกระตุ้นคอลลาเจน และฟื้นฟูความหย่อนคล้อยของใบหน้า ซึ่งการดูแลตัวเองหลังฉีดนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะการนวดหน้าหลังฉีด Sculptra ถือเป็นขั้นตอนสำคัญ ที่ช่วยให้สาร PLLA กระจายตัวได้อย่างทั่วถึง และสม่ำเสมอในบริเวณที่ฉีด จึงลดความเสี่ยงในการเกิดก้อนแข็งหลังฉีด ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้ผิวมีความเรียบเนียน และเป็นธรรมชาติ ซึ่งหากไม่มีการนวดหน้าหลังฉีด Sculptra อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงต่าง ๆ ตามมา และอาจต้องรับการรักษาเพิ่มเติม

                            ดังนั้น สำหรับใครกำลังสนใจฉีด Sculptra และต้องการให้ผลลัพธ์ของ Sculptra ออกมาดีที่สุด อย่าลืมทำตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะการนวดหน้าหลังฉีด Sculptra เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ และสวยงามอย่างเป็นธรรมชาติ

                            ความลับของผิวสวย ยกกระชับลึกถึงชั้น SMAS ด้วยอัลเทอร่า

                            ความลับผิวสวยด้วย อัลเทอร่า

                            ความลับของผิวสวย ยกกระชับลึกถึงชั้น SMAS ด้วยอัลเทอร่า

                            ในยุคที่การดูแลผิวหน้าไม่ได้เป็นเพียงแค่ความงามภายนอก แต่ยังสะท้อนถึงความมั่นใจและการดูแลตัวเองอย่างแท้จริง การยกกระชับผิวเพื่อคงความอ่อนเยาว์กลายเป็นตัวเลือกยอดนิยมที่หลายคนมองหา หนึ่งในเทคโนโลยีที่โดดเด่นและได้รับความวางใจจากผู้เชี่ยวชาญทั่วโลก คือ อัลเทอร่า (Ulthera) เทคโนโลยีที่ใช้พลังงานคลื่นเสียงความถี่สูง ในการยกกระชับผิวลึกถึงชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นผิวเดียวกับที่ศัลยแพทย์ใช้ในการผ่าตัดดึงหน้า

                             

                            ไม่เพียงแค่ช่วยลดเลือนริ้วรอยและคืนความกระชับให้ผิวหน้า อัลเทอร่ายังเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์แบบธรรมชาติ โดยไม่ต้องเจ็บตัวหรือพักฟื้นเป็นเวลานาน สำหรับใครที่กำลังมองหาวิธีดูแลผิวที่ทั้งปลอดภัยและเห็นผลจริง อัลเทอร่าอาจเป็นคำตอบที่คุณกำลังตามหา ค้นพบความลับของผิวสวยและการยกกระชับที่เหนือชั้นไปพร้อมกันที่บทความนี้

                             

                            ULTHERA คืออะไร
                            ULTHERA คืออะไร

                            อัลเทอร่า (Ulthera) คืออะไร?

                            อัลเทอร่า (Ulthera) คือเทคโนโลยีการยกกระชับผิวหน้าและลำตัวโดยไม่ต้องผ่าตัด โดยใช้พลังงานคลื่นเสียงความถี่สูง ที่ได้รับการรับรองจาก FDA ของสหรัฐอเมริกา เทคโนโลยีนี้ถูกออกแบบมาเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ในชั้นผิวลึกถึงชั้น SMAS (Superficial Muscular Aponeurotic System) ซึ่งเป็นชั้นเนื้อเยื่อที่อยู่ลึกและเป็นโครงสร้างสำคัญของผิว

                             

                            จุดเด่นของอัลเทอร่าคือการใช้คลื่นเสียงพลังงานสูงที่มีความแม่นยำ สามารถปล่อยพลังงานลงไปยังจุดที่ต้องการได้อย่างเฉพาะเจาะจงโดยไม่ทำลายผิวชั้นบน กระบวนการนี้จะช่วยกระตุ้นให้คอลลาเจนและอีลาสตินในผิวให้เกิดการฟื้นฟู ทำให้ผิวดูกระชับ อ่อนเยาว์ และลดเลือนริ้วรอยอย่างเป็นธรรมชาติ

                             

                            หลักการทำงานของ ULTHERA
                            หลักการทำงานของ ULTHERA

                             

                            หลักการทำงานของอัลเทอร่า (Ulthera)

                            อัลเทอร่า (Ultehra) ใช้พลังงานคลื่นเสียงความถี่สูงที่สามารถส่งพลังงานลงไปยังชั้นผิวลึกได้อย่างแม่นยำ โดยไม่ทำลายผิวหนังชั้นบน กระบวนการทำงานของอัลเทอร่า (Ulthera) ประกอบด้วย 3 ขั้นตอนสำคัญ ดังนี้

                            • การปล่อยพลังงานคลื่นเสียงอย่างแม่นยำ

                            อัลเทอร่า (Ulthera) มีเทคโนโลยีหน้าจอการแสดงผลชั้นผิวแบบเรียลไทม์ ช่วยให้แพทย์มองเห็นชั้นผิวแบบเรียลไทม์ในระหว่างการทำ เพื่อกำหนดตำแหน่งที่เหมาะสมที่สุดในการส่งพลังงาน ซึ่งพลังงานคลื่นเสียงอัลตราซาวนด์จะถูกส่งลงไปยังชั้นผิวลึกถึงชั้น SMAS (Superficial Muscular Aponeurotic System) ซึ่งเป็นชั้นเดียวกับที่ศัลยแพทย์ใช้ในการผ่าตัดดึงหน้า

                            • กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว

                            เมื่อพลังงานคลื่นเสียงถูกส่งไปยังชั้น SMAS จะเกิดความร้อนในจุดเล็ก ๆ อย่างสม่ำเสมอ ความร้อนนี้จะทำให้เนื้อเยื่อในบริเวณนั้นหดตัว และกระตุ้นกระบวนการสร้างคอลลาเจนใหม่ กระบวนการนี้ช่วยฟื้นฟูความกระชับและความยืดหยุ่นของผิว

                            • การฟื้นฟูและยกกระชับอย่างต่อเนื่อง

                            หลังจากทำอัลเทอร่า (Ulthera) ผิวจะค่อย ๆ กระชับขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการสร้างคอลลาเจนใหม่ ซึ่งผลลัพธ์จะเริ่มเห็นได้ชัดเจนในช่วง 2-3 เดือนหลังทำ และผลลัพธ์สามารถคงอยู่ได้นานประมาณ 1-2 ปี ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลตัวเอง

                             

                            ข้อดีของการทำอัลเทอร่า (Ulthera)

                            อัลเทอร่า (Ulthera) มีข้อดีที่ทำให้เป็นตัวเลือกยอดนิยม ดังนี้

                            • อัลเทอร่า (Ulthera) ยกกระชับโดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีบาดแผล ไม่มีรอยช้ำ
                            • อัลเทอร่า (Ulthera) มอบผลลัพธ์ที่ผิวดูเต่งตึงและกระชับขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
                            • อัลเทอร่า (Ulthera) ปลอดภัยและได้รับการรับรองมาตรฐานจาก FDA ของสหรัฐอเมริกา และมาตรฐานความปลอดภัยระดับโลก
                            • อัลเทอร่า (Ulthera) มีระบบแสดงชั้นผิวแบบเรียลไทม์ ปล่อยพลังงานได้อย่างแม่นยำ
                            • อัลเทอร่า (Ulthera) กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ในผิวชั้นลึก
                            • อัลเทอร่า (Ulthera) สามารถใช้ได้กับทุกสภาพผิว ทั้งผิวมัน ผิวผสม ผิวแห้ง และผิวบอบบาง
                            • อัลเทอร่า (Ulthera) ช่วยยกกระชับผิวได้หลายบริเวณ เช่น ใบหน้า ลำคอ และร่างกาย
                            • อัลเทอร่า (Ulthera) ไม่มีผลข้างเคียงรุนแรง ไม่เป็นอันตรายต่อผิวหนัง
                            • อัลเทอร่า (Ulthera) ผลลัพธ์ยกกระชับผิวอยู่ได้ต่อเนื่องยาวนาน ประมาณ 1-2 ปี
                            • อัลเทอร่า (Ulthera) เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการศัลยกรรม
                            • อัลเทอร่า (Ulthera) ตอบโจทย์ได้หลากหลายช่วงอายุ ตั้งแต่ 30-50 ปีขึ้นไป
                            • อัลเทอร่า (Ulthera) สามารถลดริ้วรอยในบริเวณที่เข้าถึงยาก เช่น รอบดวงตา ริมฝีปาก
                            • อัลเทอร่า (Ulthera) ช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยใหม่ในอนาคต

                             

                            ULTHERA ช่วยอะไรบ้าง
                            ULTHERA ช่วยอะไรบ้าง

                            อัลเทอร่า (Ulthera) ช่วยอะไรบ้าง?

                            อัลเทอร่า (Ulthera) มีประโยชน์และคุณสมบัติเด่นในหลายด้าน ดังนี้

                            • อัลเทอร่า (Ulthera) ช่วยแก้ปัญหาผิวที่เริ่มหย่อนคล้อย ทั้งบริเวณใบหน้า ลำคอ และกรอบหน้า
                            • อัลเทอร่า (Ulthera) ยกกระชับบริเวณกรอบหน้า ลดความหย่อนคล้อยของแก้มและคาง
                            • อัลเทอร่า (Ulthera) ลดเลือนริ้วรอยรอบดวงตา รอบริมฝีปาก และ มุมปาก
                            • อัลเทอร่า (Ulthera) แก้ปัญหาผิวหน้าและลำคอที่หย่อนคล้อย
                            • อัลเทอร่า (Ulthera) ฟื้นฟูผิวบริเวณเนินอกให้เรียบเนียนและกระชับ
                            • อัลเทอร่า (Ulthera) ช่วยกระตุ้นกระบวนการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิว
                            • อัลเทอร่า (Ulthera) ทำให้ผิวแข็งแรงขึ้นจากภายใน พร้อมป้องกันการเกิดริ้วรอยในอนาคต
                            • อัลเทอร่า (Ulthera) ช่วยให้ผิวดูกระจ่างใสและมีชีวิตชีวา
                            • อัลเทอร่า (Ulthera) ลดความหมองคล้ำ และฟื้นฟูผิวให้ดูสดใส
                            • อัลเทอร่า (Ulthera) ยกกระชับผิวบริเวณแก้มและลดความลึกของร่องแก้ม
                            • อัลเทอร่า (Ulthera) ยกกระชับบริเวณหนังตาที่เริ่มตกหรือหย่อนคล้อย
                            • อัลเทอร่า (Ulthera) ช่วยให้รูขุมขนดูเล็กลง ผิวหน้าเรียบเนียนขึ้น
                            • อัลเทอร่า (Ulthera) ฟื้นฟูความยืดหยุ่นของผิว ทำให้ผิวหน้าดูเฟิร์มขึ้น
                            • อัลเทอร่า (Ulthera) ช่วยลดไขมันสะสมบริเวณใต้คาง
                            • อัลเทอร่า (Ulthera) แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยจากการลดน้ำหนัก

                             

                            ใครควรทำ ULTHERA
                            ใครควรทำ ULTHERA

                             

                            ใครควรทำอัลเทอร่า (Ulthera) บ้าง?

                            การทำอัลเทอร่า (Ulthera) เหมาะกับผู้ที่มีลักษณะและความต้องการ ดังนี้

                            • อัลเทอร่า (Ulthera) เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป
                            • อัลเทอร่า (Ulthera) เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยบริเวณรอบดวงตา หน้าผาก และหางตา
                            • อัลเทอร่า (Ulthera) เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาความหย่อนคล้อยของลำคอและเนินอก
                            • อัลเทอร่า (Ulthera) เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวเสียจากแสงแดดหรือการเสื่อมสภาพของผิว
                            • อัลเทอร่า (Ulthera) เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาแก้มตกและไขมันสะสมใต้ผิว
                            • อัลเทอร่า (Ulthera) เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยจากการแสดงออกทางสีหน้า
                            • อัลเทอร่า (Ulthera) เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการดูแลผิวทั้งใบหน้า ลำคอ และจุดอื่น ๆ 
                            • อัลเทอร่า (Ulthera) เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่มีเวลาพักฟื้นนาน ๆ สามารถใช้ชีวิตประจำวันปกติได้ทันทีหลังทำ
                            • อัลเทอร่า (Ulthera) เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ชัดเจนและอยู่ได้นาน 1-2 ปี
                            • อัลเทอร่า (Ulthera) เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการให้กรอบหน้าคมชัด ลดปัญหาคางสองชั้น
                            • อัลเทอร่า (Ulthera) เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการแก้ปัญหาคางสองชั้น
                            • อัลเทอร่า (Ulthera) เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดริ้วรอยและฟื้นฟูความอ่อนเยาว์
                            • อัลเทอร่า (Ulthera) เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการดูแลผิวเฉพาะจุด เช่น หนังตาตก ใต้ตาหย่อนคล้อย
                            • อัลเทอร่า (Ulthera) เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปรับสมดุลใบหน้าให้สมมาตร
                            • อัลเทอร่า (Ulthera) เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการแก้ปัญหาผิวเฉพาะบริเวณลำตัว
                            • อัลเทอร่า (Ulthera) เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการดูแลผิวโดยไม่ต้องใช้สารเติมเต็มหรือสารเคมีใด ๆ

                             

                            ใครไม่ควรทำอัลเทอร่า (Ulthera) บ้าง?

                            บางกลุ่มที่ควรหลีกเลี่ยงหรือปรึกษาแพทย์ก่อนทำ เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ดังนี้

                            • อัลเทอร่า (Ulthera) ไม่เหมาะสำหรับสตรีมีครรภ์หรือให้นมบุตร
                            • อัลเทอร่า (Ulthera) ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีโรคผิวหนังในบริเวณที่ทำการรักษา เช่น โรคสะเก็ดเงิน ผื่นแพ้เรื้อรัง
                            • อัลเทอร่า (Ulthera) ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีแผลเปิดหรือแผลสดบริเวณที่ต้องการรักษา
                            • อัลเทอร่า (Ulthera) ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีโรคเกี่ยวกับระบบประสาทหรือเนื้อเยื่อ
                            • อัลเทอร่า (Ulthera) ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีประวัติแพ้แสงหรือความร้อน
                            • อัลเทอร่า (Ulthera) ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemaker) หรือมีอุปกรณ์โลหะฝังในร่างกาย
                            • อัลเทอร่า (Ulthera) ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีโรคเรื้อรังที่ส่งผลต่อการฟื้นตัวของผิว เช่น ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ควบคุมน้ำตาลในเลือดไม่ได้
                            • อัลเทอร่า (Ulthera) ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เคยฉีดฟิลเลอร์ในบริเวณที่ต้องการทำ
                            • อัลเทอร่า (Ulthera) ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน เช่น ผู้ป่วยโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง (Autoimmune Disease)
                            • อัลเทอร่า (Ulthera) ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยมากเกินไป
                            • อัลเทอร่า (Ulthera) ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เพิ่งทำการรักษาด้วยความร้อนหรือเลเซอร์ในบริเวณเดียวกัน
                            • อัลเทอร่า (Ulthera) ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีประวัติการแพ้หรือผิวบอบบางจากการรักษาด้วยคลื่นเสียง
                            • อัลเทอร่า (Ulthera) ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการอักเสบในบริเวณที่จะรักษา เช่น การอักเสบของต่อมน้ำเหลือง สิวอักเสบเรื้อรัง

                             

                            เตรียมตัวก่อนทำอัลเทอร่า (Ulthera) ทำอย่างไรบ้าง?

                            • ก่อนทำอัลเทอร่า (Ulthera) ควรเข้ารับการปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินสภาพผิวและความเหมาะสมของการรักษา
                            • ก่อนทำอัลเทอร่า (Ulthera) ควรแจ้งประวัติการรักษา โรคประจำตัว หรือแพ้ยา ควรแจ้งให้แพทย์ทราบ
                            • ก่อนทำอัลเทอร่า (Ulthera) งดการทำเลเซอร์ ทรีตเมนต์ หรือการฉีดสารเติมเต็ม อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์
                            • ก่อนทำอัลเทอร่า (Ulthera) งดใช้สกินแคร์ที่มีส่วนผสมของกรด เช่น AHA, BHA หรือ Retinol ในช่วง 3-7 วัน
                            • ก่อนทำอัลเทอร่า (Ulthera) งดการทานยาแอสไพริน ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs (เช่น ไอบูโพรเฟน)
                            • ก่อนทำอัลเทอร่า (Ulthera) งดอาหารเสริมที่ทำให้เลือดไหลเวียนง่าย เช่น น้ำมันปลา วิตามินอี หรือโสม
                            • ก่อนทำอัลเทอร่า (Ulthera) หลีกเลี่ยงการออกแดดจัดหรือตากแดดเป็นเวลานาน ในช่วง 1 สัปดาห์
                            • ก่อนทำอัลเทอร่า (Ulthera) หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์และบุหรี่ในช่วง 2-3 วัน
                            • ก่อนทำอัลเทอร่า (Ulthera) ควรดื่มน้ำในปริมาณที่เหมาะสมเพื่อช่วยให้ผิวชุ่มชื้น
                            • ก่อนทำอัลเทอร่า (Ulthera) ควรล้างหน้าให้สะอาดและงดการแต่งหน้า เพื่อป้องกันการสะสมของสิ่งสกปรกหรือการระคายเคือง

                             

                            ขั้นตอนการทำ ULTHERA
                            ขั้นตอนการทำ ULTHERA

                             

                            ขั้นตอนการทำอัลเทอร่า (Ulthera)

                            1. ก่อนเริ่มทำแพทย์จะตรวจประเมินสภาพผิว วิเคราะห์ปัญหา และพูดคุยถึงเป้าหมายที่ต้องการ
                            2. แพทย์จะกำหนดบริเวณที่จะทำการรักษา เช่น ใบหน้า ลำคอ หรือบริเวณเนินอก รวมถึงระดับพลังงานที่เหมาะสม
                            3. แพทย์หรือผู้ช่วยแพทย์ จะทำความสะอาดใบหน้าให้สะอาด เพื่อขจัดสิ่งสกปรกและเครื่องสำอาง
                            4. อาจมีการทายาชาบริเวณที่จะทำ เพื่อช่วยลดความรู้สึกไม่สบายในระหว่างทำอัลเทอร่า (Ulthera)
                            5. แพทย์จะวาดกรอบหรือจุดบนใบหน้า เพื่อกำหนดพื้นที่ที่ต้องการยกกระชับ
                            6. เครื่องอัลเทอร่า (Ulthera) จะถูกตั้งค่าพลังงานและความลึกของคลื่นเสียงให้เหมาะสมกับสภาพผิว
                            7. ในระหว่างทำแพทย์จะใช้ระบบการมองเห็นภาพชั้นผิวแบบเรียลไทม์ เพื่อระบุตำแหน่งที่เหมาะสมในการปล่อยพลังงาน
                            8. แพทย์จะคอยตรวจสอบผลระหว่างทำ เพื่อให้มั่นใจว่าพลังงานถูกส่งไปยังตำแหน่งที่เหมาะสม
                            9. หลังจากทำเสร็จ จะมีการทำความสะอาดผิวอีกครั้ง แพทย์จะแนะนำวิธีดูแลผิวหลังทำ เช่น การใช้ครีมบำรุง ครีมกันแดด และหลีกเลี่ยงแสงแดด

                             

                            ดูแลตัวเองหลังทำอัลเทอร่า (Ulthera) ทำอย่างไรบ้าง?

                            • หลังทำอัลเทอร่า (Ulthera) หลีกเลี่ยงการตากแดดจัด หรือกิจกรรมการแจ้งเป็นเวลานาน
                            • หลังทำอัลเทอร่า (Ulthera) หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกรด เช่น AHA, BHA, หรือ Retinol ในช่วง 1 สัปดาห์
                            • หลังทำอัลเทอร่า (Ulthera) หลีกเลี่ยงการอบซาวน่า การว่ายน้ำ หรือการออกกำลังกายหนักที่ทำให้เหงื่อออกมากในช่วง 1-3 วัน
                            • หลังทำอัลเทอร่า (Ulthera) งดการนวดหน้า การกดใบหน้า หรือสัมผัสผิวแรง ๆ 
                            • หลังทำอัลเทอร่า (Ulthera) หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์และบุหรี่ในช่วง 1 สัปดาห์
                            • หลังทำอัลเทอร่า (Ulthera) ควรใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปเพื่อปกป้องผิว
                            • หลังทำอัลเทอร่า (Ulthera) ควรทามอยส์เจอไรเซอร์หรือผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ช่วยเติมความชุ่มชื้นให้ผิว
                            • หลังทำอัลเทอร่า (Ulthera) ควรดื่มน้ำอย่างเพียงพอ อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว
                            • หลังทำอัลเทอร่า (Ulthera) ควรรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินซีและโปรตีน

                             

                            การเปรียบเทียบอัลเทอร่า (Ulthera) กับเครื่องยกกระชับอื่น ๆ

                            ในปัจจุบันมีเทคโนโลยียกกระชับผิวหลายประเภทที่ตอบโจทย์การแก้ปัญหาผิวในระดับที่แตกต่างกัน ซึ่งแต่ละวิธีมีจุดเด่นและข้อจำกัดที่เหมาะสมกับความต้องการของผู้ใช้ ดังนี้

                             

                            อัลเทอร่า (Ulthera)

                            • อัลเทอร่า (Ulthera) เป็นเทคโนโลยี Focused Ultrasound ที่สามารถส่งพลังงานลงลึกถึงชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นเดียวกับที่ใช้ในการศัลยกรรมดึงหน้า ซึ่งอัลเทอร่ามีระบบการแสดงผลชั้นผิวแบบเรียลไทม์ ทำให้การปล่อยพลังงานมีความแม่นยำมากขึ้น ผลลัพธ์ของอัลเทอร่า (Ulthera) ช่วยยกกระชับผิวในชั้นลึก และเห็นผลชัดเจนภายใน 2-3 เดือนหลังทำ โดยผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 1-2 ปี เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยลึกและต้องการผลลัพธ์ที่ยาวนานโดยไม่ต้องผ่าตัด

                             

                            HIFU

                            • HIFU ใช้คลื่นเสียงความถี่สูงแบบโฟกัสที่สามารถส่งพลังงานไปยังชั้น SMAS ซึ่ง HIFU ไม่มีระบบการแสดงชั้นผิวแบบเรียลไทม์เหมือนอัลเทอร่า (Ulthera) ทำให้การส่งพลังงานอาจไม่แม่นยำเท่า เหมาะสำหรับการยกกระชับผิวระดับตื้นถึงปานกลาง ผลลัพธ์สามารถอยู่ได้นานประมาณ 6-12 เดือน

                             

                            Thermage

                            • Thermage ใช้เทคโนโลยี Radiofrequency (RF) ที่ส่งพลังงานคลื่นวิทยุเข้าสู่ชั้นผิวหนังแท้ (Dermis) เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เหมาะสำหรับการลดริ้วรอยในชั้นผิวตื้น เช่น รอบดวงตา และช่วยกระชับรูขุมขน ผลลัพธ์จะเริ่มเห็นชัดเจนในช่วง 2-3 เดือน และอยู่ได้นานประมาณ 1 ปี 

                             

                            Ultraformer MPT

                            • Ultraformer MPT คือเทคโนโลยี HIFU (High-Intensity Focused Ultrasound) ที่ได้รับการพัฒนาให้สามารถส่งพลังงานได้อย่างลึกและแม่นยำมากยิ่งขึ้น พลังงานคลื่นเสียงถูกออกแบบให้เจาะจงชั้นผิวได้หลากหลาย เช่น ชั้น SMAS และ ชั้นหนังแท้ (Dermis) ซึ่งเหมาะสำหรับการยกกระชับและฟื้นฟูผิวในระดับลึก ผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 12 เดือน

                             

                            Oligio

                            • เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ Monopolar RF (Radiofrequency) ซึ่งทำงานคล้ายกับ Thermage โดยการส่งพลังงานความร้อนลงสู่ชั้นหนังแท้ (Dermis) เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและฟื้นฟูความยืดหยุ่นของผิว จุดเด่นของ Oligio คือความสามารถในการยกกระชับผิว ลดริ้วรอยเล็ก ๆ บนใบหน้า รวมถึงปรับสภาพผิวให้ดูเรียบเนียนและอ่อนเยาว์ขึ้น  ผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 6-12 เดือน

                             

                            EMFACE

                            • EMFACE เป็นเทคโนโลยีที่รวมพลังงาน RF และ HIFES (High-Intensity Focused Electromagnetic Stimulation) เพื่อยกกระชับใบหน้าและกระตุ้นกล้ามเนื้อพร้อมกัน ช่วยฟื้นฟูคอลลาเจนในชั้นผิว  เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการกระตุ้นกล้ามเนื้อใบหน้าและลดริ้วรอย ผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 1 ปี

                             

                            Morpheus8

                            • Morpheus8 ใช้เทคโนโลยี Fractional RF+Microneedling ซึ่งผสานพลังงาน RF กับเข็มขนาดเล็กที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นลึก เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการดูแลทั้งพื้นผิวและโครงสร้างลึกใต้ผิว สามารถลดริ้วรอย กระชับรูขุมขน และฟื้นฟูผิวได้พร้อมกัน โดยผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 1-2 ปี

                             

                            การฉีดโบยกกระชับ

                            • การฉีดโบยกกระชับ เป็นการฉีดสารเพื่อช่วยยกกระชับผิวและปรับรูปหน้าให้เรียวขึ้น โดยการฉีดจะช่วยลดการทำงานของกล้ามเนื้อบางส่วนที่ทำให้ผิวหย่อนคล้อย พร้อมกระตุ้นให้กล้ามเนื้อส่วนที่ไม่ถูกกดทำงานดีขึ้น ซึ่งส่งผลให้ผิวดูกระชับและใบหน้าดูสมส่วน ผลลัพธ์ของโบยกกระชับจะอยู่ได้นานประมาณ 3-6 เดือน

                             

                            การฉีดฟิลเลอร์ยกกระชับ

                            • เป็นการฉีดสารเติมเต็มประเภท Hyaluronic Acid (HA) เพื่อช่วยยกกระชับผิวและปรับรูปหน้าให้ดูสมส่วนยิ่งขึ้น เทคนิคการฉีดนี้ไม่เพียงแต่เติมเต็มร่องลึก เช่น ร่องแก้ม หรือใต้ตา แต่ยังช่วยยกผิวบริเวณที่หย่อนคล้อยให้ดูกระชับขึ้น เช่น กรอบหน้า แก้ม หรือขมับ ผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 6-12 เดือน ขึ้นอยู่กับชนิดของฟิลเลอร์ที่ใช้และการดูแลรักษาหลังการฉีด

                             

                            อัลเทอร่า (Ulthera) เจ็บไหม?

                            • การทำอัลเทอร่า (Ulthera) มักทำให้รู้สึกตึงหรือเจ็บเล็กน้อยในชั้นผิวลึก เนื่องจากพลังงานคลื่นเสียงถูกส่งลงไปกระตุ้นชั้น SMAS อย่างไรก็ตาม ความเจ็บจะขึ้นอยู่กับความไวของผิวแต่ละคน โดยแพทย์สามารถทายาชา หรือปรับระดับพลังงานให้เหมาะสมเพื่อเพิ่มความสบายระหว่างทำ

                             

                            อัลเทอร่า (Ulthera) มีผลข้างเคียงไหม?

                            • หลังทำอัลเทอร่า (Ulthera) อาจมีผลข้างเคียงเล็กน้อย เช่น รอยแดง บวม หรือรู้สึกตึงผิวบริเวณที่ทำ แต่จะหายไปเองภายในไม่กี่ชั่วโมงถึง 1-2 วัน หากมีอาการผิดปกติ เช่น อาการปวดมากหรือรอยแดงไม่หาย ควรปรึกษาแพทย์ทันที

                             

                            อัลเทอร่า (Ulthera) ราคาเท่าไหร่?

                            • ราคาของอัลเทอร่า (Ulthera) ขึ้นอยู่กับบริเวณที่ทำและจำนวนช็อตที่ใช้ โดยทั่วไปจะเริ่มต้นที่ 50,000 – 100,000 บาท หรือมากกว่านั้นในบางคลินิก ทั้งนี้ ควรเลือกสถานที่ที่มีมาตรฐานและใช้เครื่องอัลเทอร่าของแท้

                             

                            สามารถทำอัลเทอร่า (Ulthera) ร่วมกับหัตถการอื่นได้ไหม?

                            • สามารถทำอัลเทอร่า (Ulthera) ร่วมกับหัตถการอื่น เช่น การฉีดโบ ฟิลเลอร์ หรือเลเซอร์ แต่ควรปรึกษาแพทย์เพื่อจัดลำดับเวลาที่เหมาะสม เช่น การทำเลเซอร์ควรเว้นช่วงก่อนหรือหลังทำอัลเทอร่า (Ulthera) อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ เพื่อป้องกันผลกระทบต่อผิว

                             

                            อัลเทอร่า (Ulthera) ผู้ชายทำได้ไหม?

                            • อัลเทอร่า (Ulthera) เหมาะสำหรับทั้งผู้ชายและผู้หญิง โดยผู้ชายสามารถทำเพื่อยกกระชับผิว ปรับกรอบหน้าให้ชัดขึ้น หรือลดความหย่อนคล้อยบริเวณแก้มและใต้คาง

                             

                            หลังทำอัลเทอร่า (Ulthera) ผิวหน้าจะบางลงไหม?

                            • การทำอัลเทอร่า (Ulthera) ไม่ทำให้ผิวหน้าบางลง เนื่องจากพลังงานคลื่นเสียงจะส่งลงไปที่ชั้นผิวลึก (SMAS) โดยไม่ทำลายผิวชั้นบน การกระตุ้นคอลลาเจนยังช่วยให้ผิวแข็งแรงและดูอ่อนเยาว์ขึ้นอีกด้วย

                             

                            สรุปอัลเทอร่า (Ulthera) คือเทคโนโลยียกกระชับผิวที่ตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูความอ่อนเยาว์โดยไม่ต้องผ่าตัด ด้วยการใช้พลังงานคลื่นเสียงความถี่สูง (Focused Ultrasound) ที่สามารถส่งพลังงานลึกถึงชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นผิวที่สำคัญต่อการยกกระชับ ทำให้อัลเทอร่า (Ulthera) สามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผลลัพธ์ที่ได้คือผิวที่ดูเรียบเนียน กระชับ และเต่งตึงอย่างเป็นธรรมชาติ

                            จุดเด่นของอัลเทอร่า (Ulthera) คือความแม่นยำด้วยระบบการแสดงชั้นผิวแบบเรียลไทม์ และความปลอดภัยที่ได้รับการรับรองจากองค์กรชั้นนำทั่วโลก นอกจากนี้ยังไม่ต้องพักฟื้น สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ทันทีหลังทำ อีกทั้งผลลัพธ์ยังอยู่ได้นานถึง 1-2 ปี

                            สำหรับผู้ที่กำลังมองหาวิธีดูแลผิวให้ดูอ่อนเยาว์และกระชับ อัลเทอร่า (Ulthera) คือคำตอบที่ลงตัว ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีนี้ คุณสามารถเผยความมั่นใจในแบบที่เป็นตัวเองได้อีกครั้ง หากต้องการปรึกษาหรือเริ่มต้นการดูแลผิวด้วยอัลเทอร่า (Ulthera) การเลือกสถานที่ที่มีมาตรฐานและทีมแพทย์ที่ไว้วางใจได้คือสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม

                            สิวไม่ใช่เรื่องเล็ก! ทำความเข้าใจปัญหาสิว กับรมย์รวินท์คลินิก

                            ทำความเข้าใจปัญหาสิว

                            สิวไม่ใช่เรื่องเล็ก! ทำความเข้าใจปัญหาสิว กับรมย์รวินท์คลินิก

                             

                            ในโลกของความงามที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีใหม่ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผู้คนเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับการยกกระชับผิวหน้าหรือการใช้เทคนิคต่าง ๆ เพื่อให้ผิวอ่อนเยาว์และฉ่ำวาวขึ้น แต่ท่ามกลางเทรนด์ใหม่เหล่านี้ สิ่งที่หลายคนมองข้ามไปคือการเตรียมผิวให้พร้อม เพราะการมีสุขภาพที่ดีและปราศจากสิว คือขั้นตอนสำคัญที่สุดในกระบวนการดูแลความงามของใบหน้า

                             

                            “สิว” บ่งบอกถึงสุขภาพภายใน

                             

                            บางคนอาจมองว่า “สิว” เป็นแค่ปัญหาผิวพรรณที่รบกวนความมั่นใจ แต่จริง ๆ แล้วสิวสามารถเป็นสัญญาณเตือนถึงปัญหาสุขภาพภายในได้ เมื่อร่างกายมีความแข็งแรง ผิวหน้าก็จะสะท้อนออกมาให้เห็นตามไปด้วย หากผิวหน้าของเรามีสุขภาพดี เราก็สามารถดูแลและบำรุงผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะใช้เครื่องสำอางหรือทรีตเมนต์ใด ๆ ก็จะให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

                             

                            มุมมองเรื่องสิวของแพทย์ผิวหนัง

                             

                            พญ.ฐานิสร ธรรมลิขิตกุล ว.10656 หรือ หมอฐา แพทย์ผู้มีความรู้ด้านผิวหนังโดยเฉพาะ มองว่าปัญหาสิวไม่ใช่แค่ปัญหาผิวพรรณที่ควรจัดการตามอารมณ์หรือแค่ความสวยงามเพียงเท่านั้น สิวเป็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับทั้งสุขภาพและจิตใจ การที่สิวเม็ดเล็ก ๆ รวมตัวกันเป็นกลุ่มใหญ่ หรือกระจายตัวเป็นเม็ดเล็ก ๆ ทั่วใบหน้า มักจะสร้างปัญหาทั้งในด้านความมั่นใจและสุขภาพจิต ทำให้หลายคนเกิดความวิตกกังวล หรือรู้สึกเครียดไปกับการปกป้องผิวจากสิว

                             

                            หมอฐามองว่าปัญหาสิวต้องได้รับการดูแลและรักษาอย่างจริงจัง และไม่ใช่แค่ปัญหาผิวที่ควรละเลย คนไข้ที่มาพบหมอมีทั้งผู้ที่ยังเป็นสิวในวัยรุ่นและผู้ใหญ่ที่ทำงานแล้ว สิวจึงไม่ได้เกิดจากการไม่ดูแลความสะอาดเท่านั้น แต่ยังเกิดจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นพันธุกรรม ฮอร์โมน สภาพร่างกายภายใน การกินอาหาร มลภาวะ หรือแม้กระทั่งวิธีการดูแลตัวเอง

                             

                            การแต่งหน้าเพื่อปกปิดสิว กับผลกระทบที่ไม่คาดคิด

                             

                            หลายคนเลือกที่จะปกปิดสิวด้วยการแต่งหน้า เพราะการแต่งหน้าสามารถเสริมความมั่นใจได้ในชั่วขณะหนึ่ง แต่การแต่งหน้ามากเกินไปก็สามารถกลายเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้สิวเกิดเพิ่มขึ้นจากเครื่องสำอางที่ใช้ หากเครื่องสำอางไม่สะอาดหรือมีส่วนผสมที่อุดตันรูขุมขน การเลือกวิธีการรักษาสิวที่ถูกต้องจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะการรักษาที่ดีและเหมาะสมสามารถทำให้สิวลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยไม่ส่งผลเสียให้เกิดสิวเพิ่ม

                             

                            รักษาสิวอย่างถูกวิธีคือทางออกที่ยั่งยืน

                             

                            การรักษาสิวไม่ใช่แค่การใช้ยาหรือทรีตเมนต์บางชนิด แต่ต้องเริ่มต้นจากการแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุและปรับสภาพผิวให้เหมาะสม การรักษาสิวที่ไม่ถูกต้องอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น  การอักเสบของผิว การติดเชื้อ หรือการเกิดรอยแผลเป็นจากสิว ซึ่งอาจทำให้เกิดหลุมสิวหรือรอยด่างดำที่แก้ไขได้ยาก

                            ในปัจจุบันการรักษาสิวได้พัฒนาไปมาก โดยเฉพาะในด้านการใช้เลเซอร์เพื่อยับยั้งต้นเหตุของการเกิดสิว เช่น ความมันส่วนเกินบนผิวหน้า จากผลการศึกษาพบว่า หากทำการรักษาโดยใช้เลเซอร์อย่างต่อเนื่อง 3 ครั้ง จะช่วยลดสิวอักเสบได้ถึง 97% และยังช่วยป้องกันการเกิดสิวในระยะยาวได้ถึง 2 ปี โดยใช้ระยะเวลาในการรักษาเพียง 30 นาทีต่อครั้ง ซึ่งเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการรักษาสิวโดยไม่ต้องใช้ยา 

                             

                            การเตรียมผิวให้แข็งแรงเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการดูแลผิวหน้า เมื่อผิวมีสุขภาพดี การบำรุงผิวด้วยทรีตเมนต์ต่าง ๆ ก็จะสามารถฟื้นฟูผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการใช้คลื่นพลังงานหรือการฉีดตัวยาบำรุงผิวต่าง ๆ 

                             

                            สุดท้ายการรักษาสิวไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ง่ายเสมอไป แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ยากเกินไป หากได้รับการดูแลจากผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจกลไกการเกิดสิว และสามารถเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคลได้อย่างถูกต้อง ซึ่งจะช่วยให้การรักษาสิวประสบความสำเร็จ และผลลัพธ์ที่ได้จะยั่งยืน ตรงความต้องการของแต่ละคนมากที่สุด

                            เทคนิค “Less is More” ทางเลือกใหม่ของการฉีดฟิลเลอร์

                            พญ.ช่ออัญชัญ ปัญญาเอกะวิทู ว.49909

                            เทคนิค “Less is More” ทางเลือกใหม่ของการฉีดฟิลเลอร์

                             

                            การทำโปรแกรมฟิลเลอร์มาแรงไม่หยุด! “คุณหมอบีบี – พญ.ช่ออัญชัญ ปัญญาเอกะวิทู” ว.49909 แพทย์ประจำรมย์รวินท์คลินิก ได้พูดเกี่ยวกับเทคนิคการฉีดฟิลเลอร์แบบ “Less is More” ซึ่งเป็นการฉีดฟิลเลอร์ที่เน้นในด้านการเลือกใช้ฟิลเลอร์ในปริมาณการฉีดที่เหมาะสม 

                             

                            เพื่อผลลัพธ์ที่ดูสวยงาม ละมุนอย่างเป็นธรรมชาติ คุณหมอบีบีได้อธิบายถึงวิธีการที่ช่วยทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์อย่างสมดุล โดยไม่ทำให้ใบหน้าเต็ม หรือแน่นจนเกินไป แต่มุ่งเน้นด้านการปรับใบหน้าให้สวยในแบบของคนไข้เอง พร้อมเสริมความมั่นใจในการใช้ชีวิตที่เพิ่มมากขึ้น

                             

                            เทคนิค “Less is More” สำหรับการฉีดฟิลเลอร์ที่ได้ผลลัพธ์เป็นธรรมชาติ

                             

                            โดยคุณหมอบีบีบอกเล่าถึงการฉีดฟิลเลอร์แบบ Less is More ว่าแท้จริงแล้วเป็นแนวทางการทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ ที่ไม่เพียงแค่เติมเต็มฟิลเลอร์ในปริมาณน้อยอย่างเหมาะสมเท่านั้น แต่คุณหมอยังเน้นการออกแบบรูปหน้า และแก้ปัญหาใบหน้าอย่างพิถีพิถัน ซึ่งเทคนิคนี้มีเป้าหมายเพื่อเติมเต็ม หรือยกกระชับในบริเวณที่ต้องการเท่านั้น  โดยไม่ทำให้ใบหน้าดูเปลี่ยนไปจากเดิมมาก จนขาดความเป็นตัวเอง ทั้งยังเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีความปลอดภัยสูง เป็นโปรแกรมฟิลเลอร์ยุคใหม่ สามารถสลายได้หมดตามธรรมชาติ ไม่ตกค้างในผิวเท่านั้น จึงทำให้หลังจากฉีดไปแล้ว ไม่ส่งผลลัพธ์ข้างเคียงที่อันตราย เช่นอาการ บวมๆ ยุบๆ รวมไปจนถึง การเคลื่อนย้ายไปตำแหน่งอื่นทั้งยังไม่กระตุ้นภูมิคุ้มกัน

                             

                            จุดเด่นของแนวคิด Less is More ของคุณหมอบีบี

                             

                            แนวคิด Less is More เป็นแนวคิดที่คุณหมอบีบีนำมาใช้เพื่อตอบโจทย์การเสริมความงามแบบพอดี ที่เน้นผลลัพธ์ความสวยแบบเป็นธรรมชาติ ด้วยการใช้ปริมาณฟิลเลอร์น้อยที่สุดหรือใช้เท่าที่จำเป็น เพื่อปรับแก้ปัญหาบนใบหน้าเฉพาะจุดอย่างแม่นยำ

                             

                            โดยคุณหมอจะเน้นไปที่การให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์โครงหน้า  และลักษณะปัญหาของคนไข้อย่างละเอียดก่อนที่จะทำการฉีด เทคนิคนี้มุ่งสร้างความสวยงามที่กลมกลืน สมดุล และดูเป็นธรรมชาติที่สุด ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ลงตัว และเหมาะสมกับลักษณะเฉพาะของแต่ละบุคคล

                             

                            ผลลัพธ์ดีอย่างเป็นธรรมชาติด้วยแนวคิด Less is More

                             

                            • ช่วยปรับใบหน้าให้สวยงามอย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่ส่งผลให้ใบหน้าดูแข็ง ไม่เป็นธรรมชาติ หรือผิดรูป จึงเหมาะเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการเสริมความงามอย่างเป็นธรรมชาติแบบไม่มีใครดูออก
                            • การปรับผิวให้ดูกระจ่างใส ลดริ้วรอยแห่งวัยบนใบหน้า  ด้วยคุณสมบัติของโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ที่ช่วยเติมเต็ม ช่วยทำให้ใบหน้าดูสดใส อ่อนเยาว์ อย่างเป็นธรรมชาติ
                            • การปรับแต่งเฉพาะจุด เติมเต็มในจุดที่ขาด การทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เพียงเล็กน้อยแต่ตรงจุด จะช่วยในการปรับแต่งโครงสร้างใบหน้าให้สวยงามและมีมิติมากขึ้น
                            • การให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติอย่างยาวนาน การทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์น้อยจะทำให้คงสภาพได้อย่างยาวนานมากขึ้น เน้นการดูแลและเสริมความงามด้วยโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์อย่างยั่งยืน
                            • การลดผลข้างเคียงเพื่อความปลอดภัย เป็นการทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ให้พอดีและเหมาะสม ช่วยลดโอกาสการเกิดผลข้างเคียงต่าง ๆ เช่น ใบหน้าบวมเกินไปเพราะฟิลเลอร์ ฟิลเลอร์ไหลย้อย นับว่าเป็นความเสี่ยงที่เกิดมาจากการทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ที่เยอะมากเกินไป
                            • การฟื้นฟูโครงสร้างของใบหน้าอย่างเหมาะสม เพิ่มความมั่นใจในตนเอง ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติจะช่วยเสริมสร้างความมั่นใจในใบหน้าของตัวเองมากขึ้น

                            รวมหลักการทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์น้อยแต่ได้ผลลัพธ์ดี

                             

                            • วิเคราะห์โครงสร้างใบหน้าอย่างละเอียด 

                            การตรวจสอบรูปหน้าและตำแหน่งของปัญหา เช่น ริ้วรอยหรือความหย่อนคล้อย เพื่อกำหนดจุดฉีดที่เหมาะสมและการปรับรูปหน้าอย่างตรงจุด

                            • เลือกเนื้อฟิลเลอร์ที่เหมาะสมกับบริเวณที่ฉีด

                            เลือกผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติเด่น เช่น ความแข็ง ความหนาแน่น ความคงตัว ความยืดหยุ่น รวมไปถึงการกระจายตัว ที่สามารถปรับเข้ากับสภาพผิวในแต่ละส่วน เพื่อผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ

                            • ใช้เทคนิคการฉีดแบบละเอียดอ่อนและจัดวางตำแหน่งอย่างแม่นยำ

                            เน้นการฉีดในชั้นผิวหนังที่เหมาะสมในบริเวณที่ต้องการแก้ปัญหา และหลีกเลี่ยงการฉีดทั่วใบหน้าในปริมาณที่มากเกินไป

                            • อัปเดตความรู้การทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์อย่างสม่ำเสมอ

                            การมีเทคนิคทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ที่ดี สามารถนำมาปรับใช้เพื่อการรักษาที่แม่นยำและตรงจุดที่สุด รวมไปถึงการเลือกใช้เทคโนโลยีใหม่ของฟิลเลอร์ ที่มีความปลอดภัยสูง เพื่อลดการเกิดผลข้างเคียงให้ได้มากที่สุด

                             

                            การทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ด้วยแนวคิด “Less is More” สะท้อนถึงศาสตร์และศิลป์ในการออกแบบความงามที่เน้นผลลัพธ์อย่างเป็นธรรมชาติ โดยหมอใช้เทคนิคเฉพาะที่ปรับให้เข้ากับใบหน้าของแต่ละคนอย่างประณีต ผสานกับผลิตภัณฑ์คุณภาพสูง เพื่อมอบผลลัพธ์ที่สมดุล อ่อนเยาว์ และยั่งยืน

                             

                            นอกจากจะสร้างความพึงพอใจในความงามที่ดูเป็นธรรมชาติแล้ว แนวทางนี้ของหมอยังเน้นความปลอดภัยและประสิทธิภาพที่ยั่งยืน ด้วยการปรับแต่งในปริมาณที่พอเหมาะ ทำให้เกิดความมั่นใจในทุกมิติของการดูแลความงามในแบบเฉพาะบุคคล

                            เผยความงามในแบบของคุณด้วยเทคนิค Lifting Select เฉพาะรมย์รวินท์คลินิก

                            พญ.วรรณวิมล วรรณรักษ์ ว.27827

                            เผยความงามในแบบของคุณด้วยเทคนิค Lifting Select เฉพาะรมย์รวินท์คลินิก

                             

                            ในยุคที่ความงามและการดูแลตนเองกลายเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญของการสร้างความมั่นใจ การเลือกวิธีการปรับปรุงและฟื้นฟูความงามต้องอาศัยทั้งความเชี่ยวชาญและเทคโนโลยีที่ทันสมัย ล่าสุด รมย์รวินท์คลินิก ได้รับเกียรติจาก The Standard ในการนำเสนอเทคนิคสุดล้ำอย่าง Lifting Select ผ่านบทสัมภาษณ์สุดพิเศษโดย “พญ.วรรณวิมล วรรณรักษ์” ว.27827 หรือ หมอแวว แพทย์ประจำรมย์รวินท์คลินิกที่มีความรู้เฉพาะด้านการปรับรูปหน้าและฟื้นฟูผิว ที่จะมาเผยถึงเบื้องหลังของเทคนิคเฉพาะของรมย์รวินท์คลินิก พร้อมเจาะลึกถึงวิธีการที่ช่วยแก้ปัญหาและยกระดับความงามในแบบที่เป็นคุณ

                             

                            เทคนิค Lifting Select มีเฉพาะที่รมย์รวินท์คลินิก

                             

                            เทคนิค Lifting Select ที่พัฒนาขึ้นโดย รมย์รวินท์คลินิก เป็นการผสมผสานที่สมบูรณ์แบบระหว่างการรักษาด้วยเทคนิคเฉพาะทาง การใช้โปรแกรมฉีด และการประยุกต์เทคโนโลยีที่ล้ำสมัยเข้าด้วยกัน เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ตอบโจทย์ความงามอย่างลงตัว ซึ่งหมอจะทำหน้าที่เสมือน โค้ชความงามส่วนตัว ที่ดูแลและแนะนำอย่างใกล้ชิด 

                             

                            โดยอาศัยการวิเคราะห์ลักษณะเฉพาะของผู้รับบริการในเชิงลึก (Personalized Approach) เพื่อออกแบบแผนการรักษาที่เหมาะสมกับความต้องการและโครงหน้าของแต่ละบุคคลโดยเฉพาะ มุ่งเน้นให้ผลลัพธ์ที่ไม่เพียงยกระดับความงาม แต่ยังสะท้อนเอกลักษณ์เฉพาะตัวของคุณออกมาอย่างงดงามที่สุด

                             

                            จุดเด่นที่ทำให้ Lifting Select แตกต่าง

                             

                            สิ่งที่ทำให้ Lifting Select โดดเด่น คือ หมอปรับแต่งเทคนิคให้มีความเหมาะสมกับความต้องการเฉพาะบุคคล โดยแพทย์จะทำการประเมินปัญหาและลักษณะใบหน้าของผู้เข้ารับบริการอย่างละเอียด ก่อนนำเสนอแผนการรักษาที่ตอบโจทย์ที่สุดใน 3 เฟรมเวิร์กสำคัญ ดังนี้

                            • Frame Selection

                            หมอจะเริ่มจากการวิเคราะห์การปรับโครงสร้างใบหน้าโดยพิจารณาจากองค์ประกอบทั้งหมด เพื่อให้เกิดความสมดุลและสมส่วนที่สุด ช่วยเสริมเสน่ห์เฉพาะของแต่ละบุคคล ไม่ว่าจะเป็น การยกกระชับใบหน้า ปรับแนวกรอบหน้า รวมไปถึงการแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยบริเวณกรามและลำคอ 

                            ซึ่งหากหมอพบว่าผู้เข้ารับบริการมีปัญหาเกี่ยวกับโครงสร้างของใบหน้าที่หย่อนคล้อยจากวัยที่เพิ่มมากขึ้น หมอจะเลือกใช้เทคโนโลยีความงามชนิดต่าง ๆ ในการรักษา ซึ่งเทคโนโลยีความงามที่หมอเลือกจะต้องมีค่าพลังงานที่ลงลึกอย่างหลากหลาย เพื่อแก้ปัญหาให้ครบทุกชั้นผิว ตั้งแต่ผิวหนังชั้นบนไปจนถึงผิวหนังชั้น SMAS เพื่อการยกกระชับผิวอย่างครบถ้วน

                            • Light & Shadow Me

                            หมอจะเริ่มวิเคราะห์ในจุดต่อมา เป็นการวิเคราะห์เพื่อเพิ่มมิติให้ใบหน้าด้วยวิธีการจัดแสงและเงา เสริมจุดเด่นและลดจุดด้อย เพื่อให้ใบหน้าดูโดดเด่น สดใส รวมไปถึงทำให้ใบหน้ามีมิติมากยิ่งขึ้น 

                            โดยเทคนิคที่ใช้ในการปรับปรุงแสงและเงาบนใบหน้า คือเทคโนโลยีพลังงานลงลึกถึงชั้นผิวหนังแท้และชั้นไขมันใต้ผิว ซึ่งเป็นชั้นผิวที่มีส่วนประกอบของคอลลาเจน เพื่อกระตุ้นการสร้างใหม่ของคอลลาเจนและอีลาสติน เพิ่มความยืดหยุ่นและความแข็งแรงให้กับใบหน้าของเรา

                            • Conceal Selection

                            ขั้นตอนสุดท้ายเป็นการเก็บรายละเอียดต่าง ๆ บนใบหน้า แก้ไขจุดบกพร่องเฉพาะจุด เช่นริ้วรอยและรูขุมขน ซึ่งหมอจะใช้เทคโนโลยีที่ทำงานกับชั้นผิวตื้น อย่างผิวหนังชั้นหนังกำพร้าและชั้นหนังแท้ เพื่อเก็บรายละเอียดงานผิวให้เรียบเนียนมากขึ้น สามารถแก้ปัญหาผิวไม่สม่ำเสมอกัน โดยคำนึงถึงผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติที่สุด

                             

                            ทั้งนี้เทคนิค Lifting Select ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์ปัญหาด้านความงามในแบบองค์รวม โดยเน้นการยกระดับรูปหน้าและผิวพรรณให้เหมาะสมกับโครงหน้าของแต่ละบุคคล เทคนิคนี้ผสานกันระหว่างเทคโนโลยีขั้นสูงและความรู้เฉพาะด้านของแพทย์เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด เราให้ความสำคัญกับการดึงเสน่ห์ในแบบที่เป็นตัวตนของคุณออกมา พร้อมแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด เพื่อความมั่นใจในทุกมิติของความงาม

                             

                            การันตีผลลัพธ์ด้วยแนวคิด “For the Better You”

                             

                            เทคนิค Lifting Select ถูกออกแบบและพัฒนาภายใต้แนวคิด “For the Better You” ที่มุ่งเน้นการเสริมสร้างความมั่นใจ และเผยความงามในแบบที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละบุคคล โดยหมอจะดูแลทุกขั้นตอนอย่างใกล้ชิด ตั้งแต่การวิเคราะห์ปัญหาไปจนถึงการเลือกเทคนิคที่เหมาะสมที่สุด เพื่อให้แน่ใจว่าผลลัพธ์ที่ได้ไม่เพียงแต่ตอบโจทย์ความงาม แต่ยังช่วยสร้างความมั่นใจในตัวเองให้คุณอย่างยั่งยืน ด้วยการติดตามผลหลังการรักษาอย่างละเอียด เพื่อให้มั่นใจว่าความงามในแบบที่คุณต้องการจะกลายเป็นจริงได้ในที่สุด

                             

                            เทคนิค Lifting Select ทางเลือกใหม่สำหรับทุกความงาม

                             

                            ด้วยความมุ่งมั่นของ รมย์รวินท์คลินิก ในการพัฒนาเทคโนโลยีที่ตอบสนองทุกความต้องการด้านความงาม เทคนิค Lifting Select จึงกลายเป็นทางเลือกใหม่ที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการแก้ไขปัญหารูปหน้าและผิวพรรณในระดับสูงสุด พร้อมสัมผัสประสบการณ์ความงามที่เปลี่ยนคุณให้เป็นคนใหม่ในแบบที่ดีกว่าเดิม

                            ดูแลรูปร่างและสุขภาพอย่างยั่งยืน ด้วยเทคนิคจากรมย์รวินท์คลินิก

                            ดูแลรูปร่างและสุขภาพอย่างยั่งยืน

                            ดูแลรูปร่างและสุขภาพอย่างยั่งยืน ด้วยเทคนิคจากรมย์รวินท์คลินิก

                             

                            การมีรูปร่างที่สมส่วนและสุขภาพที่ดี ไม่เพียงส่งผลต่อความมั่นใจในรูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ชีวิตโดยรวมมีคุณภาพมากขึ้น ในบทความนี้ หมอแพร พญ.ธิรดา จิตตการ ว.30170 แพทย์ผู้มีความรู้ด้านรูปร่างและผิวพรรณจาก รมย์รวินท์คลินิก แนะนำแนวทางการดูแลรูปร่างที่ถูกต้องอย่างยั่งยืนสำหรับทุกคน

                             

                            หุ่นดี สุขภาพดี ไม่ใช่เรื่องของความสวยงามภายนอกเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อสุขภาพโดยรวมอีกด้วย หลายครั้งคนไข้มักจะถามหมอว่า ‘ควรเริ่มดูแลตัวเองอย่างไรให้ได้ผลและยั่งยืน’ วันนี้หมอขอมาอธิบายถึงวิธีการดูแลรูปร่างที่ถูกต้อง ซึ่งใคร ๆ ก็สามารถทำตามได้ และที่สำคัญต้องปลอดภัย ไม่หักโหมจนเกินไป

                             

                            ความสำคัญของการดูแลรูปร่างควบคู่กับสุขภาพ

                             

                            หมออยากให้ทุกคนเข้าใจว่าการดูแลรูปร่างที่ดี ไม่ใช่แค่เรื่องของความสวยงามภายนอก แต่เป็นการดูแลสุขภาพโดยรวมของร่างกาย หลายคนพยายามลดน้ำหนักด้วยวิธีที่ไม่ถูกต้อง เช่น อดอาหาร หรือออกกำลังกายหักโหม เพื่อให้ได้ผลลัพธ์เร็วที่สุด ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว การดูแลรูปร่างต้องคำนึงถึงสุขภาพเป็นหลักและทำอย่างเหมาะสม ค่อยเป็นค่อยไป โดยเริ่มจากการเข้าใจในหลักโภชนาการ การออกกำลังกายอย่างถูกวิธี และบางครั้งอาจมีเทคโนโลยีความงามเข้ามาช่วยเสริมให้ผลลัพธ์ชัดเจนยิ่งขึ้น

                             

                            ขั้นตอนการดูแลรูปร่างร่วมกับรมย์รวินท์คลินิก

                             

                            สำหรับผู้ที่ต้องการวางแผนรูปร่างอย่างเป็นระบบ ทางคลินิกมีขั้นตอนการดูแลที่ออกแบบโปรแกรมการดูแลรูปร่างที่เหมาะสมและเฉพาะบุคคล โดยมีขั้นตอนต่าง ๆ ที่ได้รับการวางแผนและดูแลโดยแพทย์ที่มีความรู้พร้อมให้คำปรึกษาตลอดการดูแล ดังนี้

                            • การประเมินและวิเคราะห์รูปร่างอย่างละเอียด

                            ขั้นตอนแรกของการดูแลรูปร่างกับทางคลินิก คือการประเมินรูปร่างโดยรวมของผู้เข้ารับบริการ เพื่อให้สามารถเข้าใจสภาพร่างกายและปัญหาที่ต้องการแก้ไขได้อย่างถูกต้อง ทีมแพทย์จะทำการวัดค่าดัชนีมวลกาย (BMI), เปอร์เซ็นต์ไขมัน และมวลกล้ามเนื้อ พร้อมทั้งซักประวัติและพฤติกรรมการใช้ชีวิต โดยมีการถามถึงเป้าหมายที่ผู้เข้ารับบริการต้องการ ทั้งนี้เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้วนและสามารถวางแผนการดูแลที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งการวิเคราะห์ข้อมูลจากการประเมินเหล่านี้จะช่วยให้แพทย์สามารถเข้าใจถึงปัญหาหรือความต้องการแท้จริงของร่างกายผู้เข้ารับบริการ จึงสามารถวางแผนการรักษาที่เหมาะสมตรงจุดที่สุด

                             

                            • วางแผนการรักษาและออกแบบโปรแกรมเฉพาะบุคคล

                            หลังจากที่ได้ข้อมูลจากการประเมินรูปร่าง ทีมแพทย์จะทำการวางแผนรักษาที่เหมาะสมและตอบโจทย์กับไลฟ์สไตล์ของแต่ละคนอย่างละเอียด เช่น การแนะนำโภชนาการที่เหมาะสมต่อร่างกาย การออกแบบโปรแกรมการออกกำลังกายที่เหมาะสม และการใช้เทคโนโลยีความงามที่ปลอดภัยเพื่อช่วยในการกระชับรูปร่างและปรับปรุงสภาพผิว 

                             

                            • เลือกเทคโนโลยีที่เหมาะสม

                            การเลือกเทคโนโลยีที่ใช้ในการดูแลรูปร่างและกระชับผิวเป็นหนึ่งในขั้นตอนที่สำคัญ เพราะแต่ละเทคโนโลยีจะมีคุณสมบัติและผลลัพธ์ที่เหมาะสมกับปัญหาและเป้าหมายที่แตกต่างกันออกไป โดยสามารถใช้เทคโนโลยีที่สามารถลดสัดส่วน ลดไขมัน ลดขนาดของรูปร่าง รวมไปถึงลดไขมันเฉพาะจุด เช่น การลดไขมันด้วยความเย็นที่เหมาะสำหรับการใช้กำจัดไขมันเฉพาะจุด ซึ่งเน้นการทำลายไขมันโดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อที่อยู่รอบข้าง ไปจนถึงเทคโนโลยีกระชับผิวที่เกิดจากความหย่อนคล้อยจากการลดขนาดของรูปร่าง รวมไปถึงการใช้เทคโนโลยีที่ช่วยสร้างกล้ามเนื้อ ปั้นซิกซ์แพ็ก เช่น การใช้พลังงานไฟฟ้ากระตุ้นกล้ามเนื้อ จะเน้นด้านการสร้างกล้ามเนื้อและยกกระชับ พร้อมเผาผลาญไขมันไปในเวลาเดียวกัน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการมีร่างกายที่กำยำแข็งแรง ซึ่งการเลือกเทคโนโลยีที่เหมาะสมจะขึ้นอยู่กับสภาพผิวและความต้องการของแต่ละบุคคล โดยแพทย์จะช่วยพิจารณาและแนะนำให้เลือกเทคโนโลยีที่เหมาะสมที่สุด เพื่อตอบโจทย์การดูแลรูปร่างและผิวพรรณอย่างมีประสิทธิภาพ

                             

                            • การติดตามผลลัพธ์หลังทำอย่างใกล้ชิด

                            การติดตามผลลัพธ์หลังการทำการรักษาอย่างใกล้ชิด เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้มั่นใจได้ว่าผลลัพธ์ที่ได้รับจากการดูแลรูปร่างหรือการยกกระชับผิว ยังคงมีประสิทธิภาพและคงทนในระยะยาว การติดตามผลอย่างใกล้ชิดยังเป็นการช่วยปรับแผนการดูแลให้เหมาะสมกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงเวลา เพื่อให้ผลลัพธ์ยังคงเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้

                            หลังจากการรักษา ทางคลินิกจะทำการติดตามผลอย่างใกล้ชิดโดยทีมแพทย์ เพื่อประเมินความคืบหน้าของผลลัพธ์และดูผลลัพธ์ที่ได้รับตรงตามที่คาดหวังหรือไม่ ในบางกรณีอาจมีการปรับเปลี่ยนแผนการดูแลรักษาเพิ่มเติม เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด รวมไปถึงการนัดหมายเพื่อตรวจเช็กรูปร่างอย่างสม่ำเสมอ เช่น การวัดค่าดัชนีมวลกาย (BMI). เปอร์เซ็นต์ไขมัน และการประเมินการกระชับผิว ซึ่งจะช่วยให้แพทย์สามารถประเมินการเปลี่ยนแปลงและปรับวิธีการดูแลตามความเหมาะสม

                            นอกจากนี้ ทีมแพทย์ยังให้คำแนะนำในการดูแลตัวเอง เช่น การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การออกกำลังกายที่เหมาะสมกับสภาพร่างกายในช่วงต่าง ๆ รวมถึงการดูแลผิวพรรณเพื่อรักษาความกระชับและความเรียบเนียนของร่างกาย

                             

                            • ปลอดภัยทุกขั้นตอนการรักษา

                            การดูแลรูปร่างที่ทางคลินิกให้บริการจะเน้นความปลอดภัยเป็นอันดับแรก โดยทุกขั้นตอนของการรักษาจะได้รับการตรวจสอบและดูแลอย่างเข้มงวดจากทีมแพทย์ ซึ่งใช้เทคโนโลยีที่ผ่านการรับรองมาตรฐานและได้รับการทดสอบเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดโดยไม่เสี่ยงต่อสุขภาพ การให้ความสำคัญกับความปลอดภัยตลอดทุกขั้นตอนการรักษาจึงทำให้ผู้เข้ารับบริการ สามารถมั่นใจได้ว่า จะได้รับการดูแลที่ดีที่สุดและปลอดภัยที่สุด ทั้งในด้านผลลัพธ์และการดูแลสุขภาพระยะยาว

                             

                            การดูแลรูปร่างไม่ใช่เรื่องยากหากมีความตั้งใจและความเข้าใจที่ถูกต้อง การดูแลควรทำอย่างสมดุล ทั้งในเรื่องโภชนาการ การออกกำลังกาย และการเลือกใช้เทคโนโลยีที่ปลอดภัยและเหมาะสม โดยมีแพทย์ที่มีความรู้คอยให้คำแนะนำ การมีรูปร่างที่ดีควบคู่ไปกับสุขภาพที่แข็งแรงคือเป้าหมายที่เราสามารถทำให้เกิดขึ้นได้อย่างยั่งยืน

                            หากท่านใดสนใจวางแผนดูแลรูปร่าง สามารถติดต่อปรึกษาที่ รมย์รวินท์คลินิก เพราะเราใส่ใจทุกขั้นตอน เพื่อให้คุณมีสุขภาพและรูปร่างที่ดีอย่างมั่นใจและยั่งยืน

                            วาเลนไทน์นี้ แจกทรงปากสวยน่าจุ๊บ พร้อมออกเดต

                            ปากสวยน่าจุ๊บ

                            วาเลนไทน์นี้ แจกทรงปากสวยน่าจุ๊บ พร้อมออกเดต

                            วันวาเลนไทน์ปีนี้! ใครอยากมีทรงปากสวย อิ่มฟู น่าจุ๊บ หรืออยากปรับลุคให้ดูหวาน เซ็กซี่ มีเสน่ห์มากขึ้น การฉีดฟิลเลอร์ปาก ถือเป็นตัวช่วยสุดฮิตที่สามารถปรับรูปทรงปากให้ดูอวบอิ่ม น่าจุ๊บ และสวยงามได้ตามความต้องการ ไม่ว่าจะเป็นทรงปากน่ารักแบบสายเกา ทรงปากเซ็กซี่แบบสายฝอ หรือทรงปากสวยละมุนแบบพส.จีน ก็สามารถปั้นได้ วันนี้ รมย์รวินท์คลินิก จะพาคุณไปอัปเดตเทรนด์ทรงปากฮิตที่กำลังมาแรง และเป็นกระแสที่สุดในตอนนี้ พร้อมพาไปทำความรู้กับการฉีดฟิลเลอร์ปากว่า คืออะไร? ดีอย่างไร? เพื่อให้คุณมีริมฝีปากสวย น่าจุ๊บ มั่นใจไม่มีแผ่ว พร้อมออกเดตค่ะ

                            เทรนด์ฉีดฟิลเลอร์ปาก รวมทรงปากสวยน่าจุ๊บ รับวาเลนไทน์ 2025

                             

                            ปากสวยน่าจุ๊บ
                            ทรงปากฮิตพร้อม Kiss

                             

                            รวม 4 เทรนด์ ทรงปากสวยฮิตปี 2025

                            แน่นอนว่า ปี 2025 มีหลากหลายทรงปากที่ได้รับความนิยม โดยในแต่ละทรงปากก็มีลักษณะ และสไตล์ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ซึ่งเทรนด์ทรงปากที่มาแรงในปี 2025 มีดังนี้

                            • Douyin Lips 

                            Douyin Lips หรือทรงปากพส.จีน ได้รับแรงบันดาลใจมาจากริมฝีปากของสาวจีน โดยจะเน้นริมฝีปากอวบอิ่ม ฉ่ำวาว น่าจุ๊บ ดูสุขภาพดี ริมฝีปากบนมีความโค้งเว้าเล็กน้อย โดยที่ไม่ดูหนา หรือบางจนเกินไป เหมาะสำหรับสาว ๆ ที่ต้องการปรับลุคให้ดูอ่อนหวานละมุน และดูเด็กลง 

                            • Cherry Lips

                            Cherry Lips หรือทรงปากเชอร์รี่ตามสไตล์สายเกา เป็นทรงปากที่ได้รับความนิยมอย่างมาก โดยจะเน้นริมฝีปากบนมีความโค้งเว้า เป็นทรงกระจับเล็กน้อย ส่วนริมฝีปากล่างมีความอวบอิ่ม คล้ายลูกเชอร์รี่ เหมาะสำหรับสาว ๆ ที่ต้องการปรับลุคให้ดูน่ารัก สดใส แบบสาวเกาหลี

                            • Sexy Lips

                            Sexy Lips หรือทรงปากเซ็กซี่ตามสไตล์สายฝอ โดยจะเน้นความอวบอิ่มของริมฝีปากบน และริมฝีปากล่าง ทำให้ริมฝีปากดูเต็มสวย และอิ่มฟูอย่างชัดเจน รวมถึง ขอบปากมีความคมชัด และโดดเด่น เหมาะสำหรับ สาว ๆ ที่ต้องการปรับลุคให้มีความเซ็กซี่ดู และมั่นใจมากขึ้น

                            • Classy Lips

                            Classy Lips หรือทรงปากธรรมชาติ มีความน้อยแต่มาก โดยจะปรับรูปทรงปากให้เข้ากับใบหน้า ริมฝีปากบนและล่างมีขนาดที่สมดุลกัน ซึ่งจะไม่เน้นความอวบอิ่มมาก แต่ยังคงความน่ารัก และความละมุนอยู่ เหมาะสำหรับสาว ๆ ที่ต้องการริมฝีปากที่ดูเป็นธรรมชาติ โดยไม่ได้เปลี่ยนแปลงทรงปากเดิมมากนัก

                             

                            ปากสวยน่าจุ๊บ
                            ฟิลเลอร์ปากเติมปากสวย อวบอิ่ม

                             

                            ฟิลเลอร์ปาก คืออะไร? ทำไมถึงได้รับความนิยม?

                            ฟิลเลอร์ปาก คือ การฉีดสารเติมเต็ม Hyaluronic Acid (HA) เข้าไปยังบริเวณริมฝีปาก เพื่อเติมเต็มริมฝีปากให้มีความอวบอิ่ม แก้ไขปัญหาริ้วรอย หรือร่องลึกบริเวณริมฝีปาก รวมถึง สามารถปรับรูปทรงปากให้ได้สัดส่วนตามที่ต้องการ ซึ่งการฉีดฟิลเลอร์ปากนั้น จะช่วยให้ริมฝีปากดูสุขภาพดี เพิ่มความมั่นใจ และเพิ่มความโดดเด่นให้กับใบหน้ามากขึ้น โดยที่ไม่ต้องผ่าตัด และไม่ต้องพักฟื้น ที่สำคัญฟิลเลอร์ปาก ยังสามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ ไม่ทิ้งสารตกค้างในร่างกาย จึงมีความปลอดภัยสูง เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่ได้รับความนิยมตลอดกาลสำหรับผู้ที่ต้องการมีริมฝีปากสวยฉ่ำ น่าจุ๊บ

                            ฟิลเลอร์ปาก มีข้อดีอย่างไร?

                            • ปรับรูปทรงริมฝีปากได้ตามต้องการ 

                            การฉีดฟิลเลอร์ปาก สามารถปรับแต่งรูปทรงปากให้สวยงาม ได้หลากหลายตามความต้องการ ไม่ว่าจะเป็นทรงปากอวบอิ่มแบบสายฝอ ทรงปากกระจับแบบสายเกา หรือทรงปากที่เป็นธรรมชาติ 

                            • แก้ปัญหาริมฝีปากได้หลายรูปแบบ

                            การฉีดฟิลเลอร์ปาก สามารถแก้ไขปัญหาริมฝีปากบาง แห้ง แตก ลอก เป็นร่อง หรือริมฝีปากไม่เท่ากันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ริมฝีปากดูสุขภาพดี ชุ่มชื้น และมีสัดส่วนที่สวยงามมากขึ้น

                            • เห็นผลลัพธ์ในทันที

                            การฉีดฟิลเลอร์ปาก สามารถเห็นผลลัพธ์ได้ในทันทีที่ฉีด โดยจะเห็นได้ชัดว่า ริมฝีปากอวบอิ่ม ฉ่ำวาว และมีรูปทรงที่สวยงามตามที่ต้องการ 

                            • ไม่ต้องพักฟื้นหลังฉีด

                            การฉีดฟิลเลอร์ปาก ไม่ต้องมีการพักฟื้นหลังฉีด สามารถกลับไปทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้ตามปกติทันที เนื่องจากฟิลเลอร์ปาก เป็นปรับรูปทรงปากให้สวยงาม โดยที่ไม่ต้องผ่าตัด ทำให้ลดความเสี่ยงในการเกิดรอยแผล หรือผลข้างเคียงอันตรายหลังฉีด

                            • มีความปลอดภัย

                            การฉีดฟิลเลอร์ปาก มีความปลอดภัยสูง เนื่องจากฟิลเลอร์เป็นสาร Hyaluronic Acid (HA) ที่สามารถพบได้ตามธรรมชาติในร่างกาย เมื่อฉีดเข้าไปแล้ว ฟิลเลอร์จะกลมกลืน และเรียบเนียนไปกับริมฝีปาก อีกทั้ง ยังสามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ ไม่ทิ้งสารตกค้าง

                            • ปรับเปลี่ยน หรือแก้ไขง่าย

                            การฉีดฟิลเลอร์ปาก สามารถปรับเปลี่ยน หรือแก้ไขได้ง่ายตามต้องการ หากไม่พอใจในผลลัพธ์ หรือรูปทรงที่ได้ สามารถฉีดสลายฟิลเลอร์ด้วย Hyaluronidase ได้ทันที หรือเติมฟิลเลอร์ใหม่ได้เรื่อย ๆ เพื่อให้ริมฝีปากสวยงามได้ตามที่ต้องการ

                             

                            ออกแบบทรงปากให้สวยตรงใจ ต้องรมย์รวินท์คลินิก

                            สำหรับใครที่สนใจฉีดฟิลเลอร์ปาก หรือต้องการเติมเต็มริมฝีปากให้ดูอวบอิ่ม สวยงามอย่างเป็นธรรมชาติ สามารถเข้ามาปรึกษาแพทย์ได้แล้ววันนี้ที่ รมย์รวินท์คลินิก ทุกสาขา เราพร้อมวิเคราะห์ และออกแบบรูปทรงปากให้เหมาะสมกับรูปหน้าของแต่ละบุคคล ทั้งทรงปากสายฝอ ทรงปากสายเกา ทรงปากธรรมชาติ หรือทรงปากแบบพส.จีน ก็สามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ ริมฝีปากสวย โดดเด่น มั่นใจรับวาเลนไทน์ค่ะ

                            ฟิลเลอร์ปลอม คืออะไร? อันตรายจริงไหม? ทำไมไม่ควรฉีด? อัปเดต 2025

                            อันตรายจากฟิลเลอร์ปลอม

                            ฟิลเลอร์ปลอม คืออะไร? อันตรายจริงไหม? ทำไมไม่ควรฉีด? อัปเดต 2025

                             

                            ปัจจุบัน ฟิลเลอร์ปลอมยังคงเป็นปัญหาใหญ่ในวงการแพทย์ความงาม โดยจะเห็นได้จากข่าวที่มีมาให้เห็นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีหลายคนที่ยังหลงเชื่อ และตกเป็นเหยื่อของฟิลเลอร์ปลอม เนื่องจากฟิลเลอร์ปลอมมีราคาที่ถูกกว่าปกติ ทำให้สามารถเข้าถึงได้ง่ายกว่าฟิลเลอร์แท้ แต่รู้หรือไม่ว่า การฉีดฟิลเลอร์ปลอม อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อใบหน้าสารพัด ทั้งใบหน้าผิดรูป ติดเชื้อ เนื้อตาย หรือตาบอดได้เลยทีเดียว ซึ่งยากต่อการรักษา ดังนั้น สำหรับใครที่กำลังสนใจฉีดฟิลเลอร์อยู่ บทความนี้ รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับฟิลเลอร์ปลอมมาให้แล้วว่า ฟิลเลอร์ปลอมคืออะไร? ฟิลเลอร์ปลอมสังเกตได้อย่างไร? และมีวิธีไหนที่สามารถเช็กฟิลเลอร์แท้ได้บ้าง? เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่เกิดขึ้นจากฟิลเลอร์ปลอม

                             

                            ฟิลเลอร์ปลอมอันตราย รู้ทันก่อนฉีด รวมวิธีตรวจสอบฟิลเลอร์แท้

                             

                            ฟิลเลอร์ปลอม คืออะไร?

                             

                            ฟิลเลอร์ปลอมคืออะไร
                            ฟิลเลอร์ปลอมคืออะไร

                             

                            ฟิลเลอร์ปลอม เป็นฟิลเลอร์ที่ไม่ได้ผลิตจากสารที่มีคุณภาพ และไม่ได้รับการรับรองจาก องค์การอาหารและยา (อย.) ซึ่งส่วนใหญ่ฟิลเลอร์ปลอมจะใช้สารเติมเต็มประเภท ซิลิโคนเหลว (Liquid Silicone) และพาราฟิน (Paraffin) ที่ไม่สามารถย่อยสลายได้เอง ทำให้ร่างกายเกิดปฏิกิริยาต่อต้านง่าย ซึ่งแตกต่างจากฟิลเลอร์แท้ที่สามารถสลายเองได้ตามธรรมชาติ ไม่ทิ้งสารตกค้างไว้ในร่างกาย

                            โดยเมื่อฉีดฟิลเลอร์ปลอมเข้าไปแล้ว สารในฟิลเลอร์ปลอม จะตกค้างอยู่ในชั้นผิวหนัง ทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมามากมาย ทั้งอาการบวมแดง อักเสบ หรือแม้กระทั่งผิวหนังติดเชื้อ อีกทั้ง ฟิลเลอร์ปลอม ยังทำให้เกิดผลข้างเคียงในระยะยาวได้ เช่น ฟิลเลอร์เป็นก้อน เกิดพังผืดในชั้นผิว ทำให้ใบหน้าผิดรูป หรือตาบอด ซึ่งจะต้องทำการรักษาด้วยวิธีการผ่าตัด ทำให้เสี่ยงเกิดภาวะเเทรกซ้อน และมีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง

                             

                            ทำความรู้จัก ฟิลเลอร์แท้ คืออะไร?

                            ฟิลเลอร์แท้ (Filler) คือ สารเติมเต็มประเภท ไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid – HA) ที่ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา (อย.) ในหลาย ๆ ประเทศทั่วโลก โดยฟิลเลอร์แท้ถูกผลิตขึ้นมาเพื่อเลียนแบบ สารที่พบในร่างกายตามธรรมชาติ มีหน้าที่หลักในการกักเก็บความชุ่มชื้นให้กับผิว และฉีดเสริมชั้นผิวในบริเวณที่สูญเสียคอลลาเจน ไขมัน และกระดูกที่ทรุดตัวลง ทำให้ผิวหน้ากลับมาอิ่มฟู เรียบเนียน และดูอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่ทิ้งสารตกค้างไว้ในร่างกาย ซึ่งฟิลเลอร์แท้สามารถสลายตัวได้เองตามกระบวนการธรรมชาติ เมื่อครบระยะเวลาที่กำหนด

                             

                            ฟิลเลอร์ มีกี่ประเภท? 

                            ฟิลเลอร์ชั่วคราว (Temporary Filler)

                            • ฟิลเลอร์ชั่วคราว หรือ Temporary Filler เป็นฟิลเลอร์ที่สามารถสลายตัวได้เองตามธรรมชาติ โดยทั่วไป จะมีส่วนประกอบของ สารไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid – HA) ซึ่งได้รับความนิยม และมีการใช้งานในวงการแพทย์ความงามมาอย่างยาวนานทั่วโลก เนื่องจากมีความปลอดภัยสูง สามารถฉีดฟิลเลอร์ใหม่ได้เรื่อย ๆ เมื่อฟิลเลอร์เริ่มสลายตัว และหากไม่พอใจในผลลัพธ์ สามารถทำการฉีดสลายฟิลเลอร์ได้ โดยไม่เป็นอันตรายใด ๆ โดยผลลัพธ์จะคงอยู่ ประมาณ 6 – 18 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อที่ใช้ บริเวณที่ฉีด และการดูแลตัวเองหลังฉีด

                            ฟิลเลอร์กึ่งถาวร (Semi-Permanent Filler)

                            • ฟิลเลอร์กึ่งถาวร หรือ Semi-Permanent Filler เป็นฟิลเลอร์ที่สามารถสลายตัวได้ตามธรรมชาติ แต่ไม่สลายทั้งหมด 100% จึงมีความทนทานมากกว่าการฉีดฟิลเลอร์ชั่วคราว โดยทั่วไป จะมีส่วนประกอบของสารสังเคราะห์ เช่น Calcium Hydroxylapatite หรือ Poly-L-Lactic Acid ซึ่งเน้นในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิว โดยผลลัพธ์จะคงอยู่ประมาณ 18 – 24 เดือน ทำให้มีโอกาสเกิดผลข้างเคียง และปลอดภัยน้อยกว่า เมื่อเทียบกับฟิลเลอร์ชั่วคราว 

                            ฟิลเลอร์ถาวร (Permanent Filler)

                            • ฟิลเลอร์ถาวร หรือ Permanent Filler เป็นฟิลเลอร์ปลอมที่ไม่สามารถสลายตัวได้ตามธรรมชาติ อาจทิ้งสารตกค้างไว้ในร่างกายตลอดชีวิต โดยทั่วไป จะผลิตจากวัสดุสังเคราะห์ ได้แก่ ซิลิโคนเหลว และพาราฟิน ซึ่งไม่แนะนำให้ฉีดฟิลเลอร์ถาวร หรือฟิลเลอร์ปลอมอย่างยิ่ง เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดอันตรายกว่าฟิลเลอร์ชั่วคราว และฟิลเลอร์กึ่งถาวร อาจทำให้บริเวณที่ฉีดอักเสบ ใบหน้าผิดรูป ตาบอด หรือติดเชื้อในระยะยาวได้

                             

                            5 เหตุผลที่ไม่ควรฉีดฟิลเลอร์ปลอม

                            ฟิลเลอร์ปลอม ใช้สารที่ไม่ปลอดภัย

                            • สารที่ใช้ในฟิลเลอร์ปลอม เป็นสารเติมเต็มที่ไม่ได้มาตรฐาน และผลิตจากสารที่ไม่ปลอดภัย ได้แก่ ซิลิโคนเหลว และพาราฟิน เนื่องจากเป็นสารที่มีราคาถูก และพบได้บ่อยในฟิลเลอร์ปลอม ซึ่งไม่สามารถสลายได้ตามกระบวนการธรรมชาติ เมื่อฉีดฟิลเลอร์ปลอมไปแล้ว จะเกิดการจับตัวเป็นก้อนแข็งใต้ผิวหนัง ทำให้เกิดการอักเสบ ติดเชื้อ หรือเนื้อตายได้

                            ฟิลเลอร์ปลอม นำเข้าผิดกฎหมาย

                            • ฟิลเลอร์ปลอม มักมีการนำเข้าแบบผิดกฎหมาย โดยไม่ได้มีการตรวจสอบคุณภาพ จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น องค์การอาหารและยา (อย.) ทำให้ไม่สามารถรับประกันความปลอดภัย และประสิทธิภาพหลังฉีดได้ ซึ่งการนำเข้าฟิลเลอร์ปลอมแบบผิดกฎหมายนั้น ทำให้เสี่ยงต่อการได้รับสารที่ไม่ได้มาตรฐาน อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวได้

                            ฟิลเลอร์ปลอม ใช้กระบวนการผลิตไม่มีคุณภาพ

                            • ฟิลเลอร์ปลอม มักมีกระบวนการผลิตที่ไม่สะอาด ไม่ได้รับการควบคุมคุณภาพ หรือไม่มีการฆ่าเชื้อที่ถูกต้อง ทำให้ไม่มีความปลอดภัย และฟิลเลอร์ไม่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้มีการปนเปื้อนเชื้อโรคต่าง ๆ เช่น แบคทีเรีย เชื้อรา หรือไวรัส ซึ่งนำไปสู่การติดเชื้อรุนแรง อักเสบรุนแรง หรือหากสารปนเปื้อนเข้าสู่กระแสเลือด อาจนำไปสู่การติดเชื้อในกระแสเลือด ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

                            ฟิลเลอร์ปลอม เสี่ยงเกิดอันตราย

                            • การฉีดฟิลเลอร์ปลอม มีความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายต่อใบหน้าสูง เนื่องจากสารที่ใช้ในฟิลเลอร์ปลอม เป็นสารประเภทซิลิโคนเหลว หรือพาราฟิน ซึ่งไม่สามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ ทำให้เกิดการตกค้างในผิวหนัง ส่งผลให้เกิดผลข้างเคียงตามมามากมาย ทั้งเกิดการติดเชื้อ อักเสบ อุดตันในเส้นเลือด หรือแม้กระทั่งเสี่ยงตาบอด เนื้อตาย และใบหน้าผิดรูปได้

                            ฟิลเลอร์ปลอม ทำการรักษายาก

                            • หลังฉีดฟิลเลอร์ปลอมไปแล้ว ฟิลเลอร์อาจตกค้างอยู่ให้ชั้นผิว เนื่องจากสารที่ใช้ในฟิลเลอร์ปลอม เป็นสารประเภทซิลิโคนเหลว หรือพาราฟินที่ไม่สามารถสลายตัวได้เองตามธรรมชาติ หากเกิดปัญหากับใบหน้าขึ้นมา อาจมีความยากต่อการรักษา ต้องทำการผ่าตัดเท่านั้น ซึ่งการผ่าตัดก็ไม่สามารถนำฟิลเลอร์ออกได้ทั้งหมด และมีความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนอีกด้วย

                             

                            ฉีดฟิลเลอร์ปลอม อันตรายอย่างไร?

                            อันตรายจากฟิลเลอร์ปลอมระยะสั้น

                            ฟิลเลอร์ปลอมส่งผลให้ ติดเชื้อ

                            • หลังฉีดฟิลเลอร์ปลอม สามารถเกิดอาการบวมแดง ร้อน หรือปวดในบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ปลอม เนื่องจากสารที่ใช้ในฟิลเลอร์ปลอม ไม่ได้ผ่านการควบคุมคุณภาพ และความสะอาด ทำให้มีการปนเปื้อนของเชื้อโรค หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง อาจลุกลามจนเกิด ฝีหนอง หรือนำไปสู่การติดเชื้อรุนแรงได้

                            ฟิลเลอร์ปลอมส่งผลให้ แพ้ฟิลเลอร์

                            • หลังฉีดฟิลเลอร์ปลอม อาจเกิดอาการแพ้ฟิลเลอร์ในบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ปลอม ซึ่งร่างกายอาจตอบสนองต่อสารแปลกปลอม โดยเกิดปฏิกิริยาแพ้ต่อต้านสารที่ไม่รู้จัก ทำให้เกิดอาการแพ้รุนแรง เช่น ผื่น คัน บวม หรือหายใจลำบาก

                            ฟิลเลอร์ปลอมส่งผลให้ บวมแดงผิดปกติ

                            • หลังฉีดฟิลเลอร์ปลอม อาจเกิดอาการบวมแดงอย่างรุนแรงในบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ปลอม เนื่องจากฟิลเลอร์ปลอมไม่มีความปลอดภัย อาจเข้าไปกระตุ้นการอักเสบในร่างกาย ทำให้เกิดอาการบวมแดงผิดปกติอย่างรวดเร็ว หรือรู้สึกปวด กดแล้วเจ็บในบริเวณที่ฉีดได้

                            ฟิลเลอร์ปลอมส่งผลให้ ผิวเปลี่ยนสี

                            • หลังฉีดฟิลเลอร์ปลอม ผิวในบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ปลอมอาจเกิดการเปลี่ยนสีได้ ซึ่งเป็นผลข้างเคียงจากการฟิลเลอร์ปลอม อาจเกิดจากการอุดตันของเส้นเลือด เกิดการอักเสบ หรือเกิดการติดเชื้อ จนทำให้ผิวเปลี่ยนเป็นสีแดง สีม่วง สีคล้ำ หรือสีดำได้

                            ฟิลเลอร์ปลอมส่งผลให้ อุดตันเส้นเลือด

                            • หลังฉีดฟิลเลอร์ปลอม หากฉีดฟิลเลอร์ปลอมเข้าไปที่เส้นเลือดโดยตรง อาจทำให้เกิดการอุดตันของเส้นเลือด ซึ่งส่งผลให้เนื้อเยื่อบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ปลอมขาดเลือด และเกิดเนื้อตาย ในกรณีที่รุนแรง หากอุดตันเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงตา อาจทำให้ตาบอดได้

                             

                            อันตรายจากฟิลเลอร์ปลอมระยะยาว

                            ฟิลเลอร์ปลอมส่งผลให้ เกิดพังผืด

                            • หลังฉีดฟิลเลอร์ปลอม ร่างกายอาจสร้างพังผืดล้อมรอบสารในฟิลเลอร์ปลอม ซึ่งจะส่วนใหญ่ มักจะเกิดขึ้นหลังฉีด 3 – 5 ปี ทำให้บริเวณที่ฉีดเกิดพังผืดเกาะเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ใบหน้าบิดเบี้ยว และใบหน้าผิดรูปได้

                            ฟิลเลอร์ปลอมส่งผลให้ ฟิลเลอร์เป็นก้อน

                            • หลังฉีดฟิลเลอร์ปลอม เมื่อเวลาผ่านไป 3 – 5 ปี สารนี้ จะเริ่มไหลย้อยมากองรวมกัน เป็นก้อนแข็งใต้ชั้นผิว ทำให้เวลาลูบ หรือคลำในบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ปลอม จะรู้สึกเจ็บ เหมือนมีก้อนแข็ง ๆ อยู่ตลอดเวลา โดยสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน เมื่อมีการแสดงออกทางสีหน้า

                            ฟิลเลอร์ปลอมส่งผลให้ ฟิลเลอร์ไหลย้อย

                            • หลังฉีดฟิลเลอร์ปลอม สารในฟิลเลอร์ปลอมอาจไหลย้อย ไปยังบริเวณอื่น ๆ ของร่างกาย เช่น ตา จมูก หรือแม้กระทั่งปอด ทำให้เกิดการอักเสบ หรืออุดตันในอวัยวะต่าง ๆ ได้

                            ฟิลเลอร์ปลอมส่งผลให้ เนื้อตาย 

                            • หลังฟิลเลอร์ปลอม ถูกฉีดเข้าไปยังเส้นเลือด หรือกดทับหลอดเลือด ทำให้เลือดไม่สามารถไปเลี้ยงเนื้อเยื่อในบริเวณที่ฉีดได้ ส่งผลให้ผิวบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ปลอมขาดออกซิเจน จนเกิดเนื้อเยื่อตาย อาจเป็นแผลเป็นถาวร หรือส่งผลเสียต่อผิวหน้าขั้นรุนแรงได้

                            ฟิลเลอร์ปลอมส่งผลให้ ตาบอด 

                            • หลังฟิลเลอร์ปลอม ถูกฉีดเข้าสู่เส้นเลือดในบริเวณใบหน้า สารนี้ สามารถเข้าไปอุดตันเส้นเลือดที่เชื่อมกับดวงตา ซึ่งการอุดตันนั้น ทำให้เลือดไม่สามารถส่งออกซิเจนไปเลี้ยงจอประสาทตาได้ ส่งผลให้จอประสาทตาขาดเลือด และเกิดการตาบอดอย่างถาวร 

                             

                            วิธีสังเกตฟิลเลอร์ปลอม
                            วิธีสังเกตฟิลเลอร์ปลอม

                             

                            สังเกตฟิลเลอร์ปลอมจากจุดไหนได้บ้าง?

                            ฟิลเลอร์ปลอมสังเกตจาก ราคาถูกผิดปกติ

                            • หากพบว่า ฟิลเลอร์มีราคาถูกจนเกินไป หรือมีราคาที่ต่างจากคลินิกชั้นนำ ควรระมัดระวังอย่างยิ่ง และให้คิดไว้ก่อนเลยว่า อาจเป็นฟิลเลอร์ปลอม อีกทั้ง การจัดโปรโมชันที่มีราคาถูกจนเกินจริง ก็มีความเสี่ยงที่จะเป็นฟิลเลอร์ปลอมเช่นกัน เนื่องจากฟิลเลอร์แท้จะมีราคาต้นทุนที่สูง ซึ่งก็มาพร้อมกับคุณภาพที่สูงตาม แนะนำให้ตรวจสอบให้แน่ชัดก่อนตัดสินใจ โดยเปรียบเทียบราคาจากหลาย ๆ คลินิก เพื่อความปลอดภัย

                            ฟิลเลอร์ปลอมสังเกตจาก กล่องฟิลเลอร์ไม่สมบูรณ์

                            • หากพบว่า กล่องฟิลเลอร์มีสภาพที่ไม่สมบูรณ์ มีการยุบ บุบ มีรอยฉีกขาด หรือรายละเอียดบนกล่องเลือนลาง ข้อมูลไม่ครบถ้วน เช่น ไม่มีชื่อบริษัท ไม่มีวันที่ผลิต และไม่มีวันหมดอายุ รวมถึง ไม่มีฉลากภาษาไทย ให้คิดไว้ก่อนเลยว่า เป็นฟิลเลอร์ปลอม เนื่องจากฟิลเลอร์แท้จะมีสภาพกล่องที่สมบูรณ์ มีรายละเอียดครบถ้วน และชัดเจน แนะนำให้ตรวจสอบกล่องฟิลเลอร์ก่อนตัดสินใจ โดยศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับวิธีตรวจสอบฟิลเลอร์แท้ เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายต่อใบหน้า

                            ฟิลเลอร์ปลอมสังเกตจาก เลข Lot. ไม่ตรงกัน

                            • หากพบว่า ภายใน และภายนอกกล่องฟิลเลอร์ มีเลข Lot. บนกล่อง บนซอง และบนหลอดฟิลเลอร์ไม่ตรงกัน ไม่สามารถโทรตรวจสอบกับบริษัทผู้จัดจำหน่ายได้ ให้คิดไว้ก่อนเลยว่า เป็นฟิลเลอร์ปลอม เนื่องจากฟิลเลอร์แท้ทุกยี่ห้อจะมีเลข Lot. ทั้งภายใน และภายนอกกล่องที่ตรงกันทุกจุด โดยสามารถโทรตรวจสอบกับบริษัทผู้จัดจำหน่ายได้ ซึ่งบางยี่ห้ออาจมี เลข Lot. 3 จุด หรือบางยี่ห้ออาจมีเลข Lot. 4 จุด ขึ้นอยู่กับยี่ห้อที่เลือกใช้ แนะนำให้ตรวจสอบให้แน่ชัดก่อนตัดสินใจ 

                            ฟิลเลอร์ปลอมสังเกตจาก คลินิกที่ให้บริการไม่น่าเชื่อถือ

                            • หากพบว่า คลินิกที่ให้บริการไม่ได้มาตรฐาน ไม่มีใบอนุญาตประกอบกิจการอย่างถูกต้อง รวมถึง แพทย์ดูไม่น่าเชื่อถือ มีท่าทีปกปิดข้อมูล หรือไม่สามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับฟิลเลอร์ได้อย่างชัดเจน ให้คิดไว้ก่อนเลยว่า ผู้ที่ฉีดอาจไม่ใช่แพทย์ที่มีความรู้ ความชำนาญในการฉีดฟิลเลอร์ และฟิลเลอร์ที่ใช้อาจเป็นฟิลเลอร์ปลอม แนะนำให้ตรวจสอบคลินิกที่ให้บริการอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจ เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดอันตรายต่อใบหน้า

                            ฟิลเลอร์ปลอมสังเกตจาก แพทย์ไม่แกะกล่องต่อหน้า

                            • หากพบว่า ก่อนฉีดฟิลเลอร์ แพทย์ไม่ยินยอมแกะกล่องฟิลเลอร์ให้ดูต่อหน้า อาจเป็นไปได้ว่า ฟิลเลอร์ที่ใช้เป็นฟิลเลอร์ปลอม  และควรปฏิเสธการฉีด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การไม่แกะกล่องฟิลเลอร์ให้ดูต่อหน้า ก็ไม่ได้หมายความว่า จะเป็นฟิลเลอร์ปลอมเสมอไป แต่ก็แสดงให้เห็นถึงความไม่โปร่งใส และความไม่ใส่ใจในความปลอดภัยของผู้รับบริการ แนะนำให้พิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจ เพื่อป้องกันอันตรายจากฟิลเลอร์ปลอม

                            ฟิลเลอร์ปลอมสังเกตจาก ผลลัพธ์ไม่เป็นธรรมชาติ

                            • หากพบว่า หลังฉีดฟิลเลอร์ไปแล้วเกิดอาการปวดรุนแรง บวมแดง อักเสบ สีผิวเปลี่ยน หรือติดเชื้ออย่างเห็นได้ชัดเจน แม้ว่าบางครั้งผลข้างเคียงบางอย่าง สามารถเกิดขึ้นได้จากการฉีดฟิลเลอร์แท้ แต่ผลข้างเคียงที่ผิดปกติ ก็สามารถบ่งชี้ได้ว่า ฟิลเลอร์ที่ใช้เป็นฟิลเลอร์ปลอม ซึ่งเป็นอันตรายอย่างร้ายแรง แนะนำให้ตรวจสอบฟิลเลอร์ และคลินิกที่ให้บริการให้แน่ชัดก่อนตัดสินใจฉีด เพื่อป้องกันความเสี่ยงในการเกิดอันตรายต่อใบหน้าในระยะยาว

                             

                            ฟิลเลอร์ปลอมกับฟิลเลอร์แท้ต่างกันอย่างไร
                            ฟิลเลอร์ปลอมกับฟิลเลอร์แท้ต่างกันอย่างไร

                             

                            ฟิลเลอร์แท้ VS ฟิลเลอร์ปลอม แตกต่างกันอย่างไร?

                            ฟิลเลอร์ปลอม และฟิลเลอร์แท้ มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อความปลอดภัและผลลัพธ์ที่ได้หลังฉีด แต่การฉีดฟิลเลอร์ปลอมนั้น อาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงในระยะยาวได้ โดยฟิลเลอร์ปลอม และฟิลเลอร์แท้มีความแตกต่างกัน ดังนี้

                            ฟิลเลอร์แท้

                            • ฟิลเลอร์แท้ จะผลิตจาก ไฮยาลูรอนิก แอซิด (HA) ซึ่งเป็นสารที่มีอยู่ในร่างกาย สามารถสลายตัวได้ตามธรรมชาติ โดยฟิลเลอร์แท้นั้น จะผ่านกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐาน และมีการควบคุมคุณภาพอย่างเข้มงวด ทำให้มีความปลอดภัยสูง ผ่านการรับรองมาตรฐานจาก องค์การอาหารและยา (อย.) หากเกิดข้อพลาด สามารถฉีดสลายฟิลเลอร์ได้ทันที โดยไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย

                            ฟิลเลอร์ปลอม

                            • ฟิลเลอร์ปลอม จะผลิตจากสารที่เป็นอันตราย ได้แก่ ซิลิโคนเหลว และพาราฟิน ซึ่งสารเหล่านี้ ไม่สามารถย่อยสลายได้ ทำให้เกิดสารตกค้างในร่างกาย และก่อให้เกิดผลข้างเคียงรุนแรง โดยฟิลเลอร์ปลอมนั้น จะผ่านกระบวนการผลิตในโรงงานเถื่อนที่ไม่ได้มาตรฐาน ไม่มีความสะอาด และไม่มีการควบคุมคุณภาพที่ดีพอ ทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อ และอาจก่อให้เกิดปฏิกิริยาแพ้ อักเสบ หรือเป็นพิษต่อร่างกายได้

                             

                            ฟิลเลอร์หิ้ว VS ฟิลเลอร์ปลอม แตกต่างกันอย่างไร?

                            ฟิลเลอร์ปลอม และฟิลเลอร์หิ้ว ถึงแม้จะเสี่ยงอันตรายเหมือนกัน แต่ก็มีความแตกต่างกันอยู่ในหลาย ๆ ด้าน ซึ่งฟิลเลอร์ปลอม และฟิลเลอร์หิ้วมีความแตกต่างกัน ดังนี้

                            ฟิลเลอร์ปลอม

                            • ฟิลเลอร์ปลอม ผลิตจากสารอันตรายที่ไม่ใช่ไฮยาลูรอนิก แอซิด ได้แก่ ซิลิโคนเหลว และพาราฟิน ซึ่งยังไม่มีการรับรองจากหน่วยงานใด ๆ ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ จึงตรวจสอบได้ยาก เนื่องจากไม่มีเลขทะเบียน อย. หรืออาจมีการปลอมแปลงเอกสาร โดยฟิลเลอร์ปลอม ผ่านการผลิตในโรงงานที่ไม่ได้มาตรฐาน ทำให้มีความเสี่ยงสูงที่จะปนเปื้อนสารอันตราย เช่น เชื้อโรค หรือสิ่งแปลกปลอมอื่น ๆ 

                            ฟิลเลอร์หิ้ว

                            • ฟิลเลอร์หิ้ว อาจเป็นฟิลเลอร์ปลอม หรือฟิลเลอร์แท้ ที่มีการลักลอบนำเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย  โดยไม่ผ่านกระบวนการทางศุลกากร และไม่ได้รับการตรวจสอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทำให้ขาดการควบคุมคุณภาพในการขนส่ง และการเก็บรักษาที่ไม่เหมาะสม ทำให้ฟิลเลอร์มีคุณภาพเสื่อมลง ซึ่งส่งผลให้เกิดอาการแพ้ หรือผลข้างเคียงอันตรายได้

                             

                            วิธีแก้ไขฟิลเลอร์ปลอม มีอะไรบ้าง?

                            การแก้ไขปัญหาที่เกิดจากฟิลเลอร์ปลอมนั้น มีความซับซ้อน และแตกต่างจากการแก้ไขฟิลเลอร์แท้ เนื่องจากฟิลเลอร์ปลอม ผลิตจากซิลิโคนเหลว และพาราฟิน ทำให้ไม่สามารถใช้ Hyaluronidase ฉีดสลายได้เหมือนฟิลเลอร์แท้ ดังนั้น การแก้ไขฟิลเลอร์ปลอม จึงใช้วิธีการที่ยุ่งยากกว่า และใช้ระยะเวลาพักฟื้นนาน รวมถึง มีค่าใช้จ่ายที่สูง โดยวิธีแก้ไขฟิลเลอร์ปลอม มีดังนี้

                            แก้ไขฟิลเลอร์ปลอม ด้วยการขูดฟิลเลอร์

                            • ในกรณีที่ต้องการแก้ไขปัญหาที่เกิดจากฟิลเลอร์ปลอมนั้น สามารถทำการขูดฟิลเลอร์ปลอมออกได้ ซึ่งเหมาะสำหรับฟิลเลอร์ปลอมที่เป็นก้อน หรือแข็งตัว โดยแพทย์จะใช้เครื่องมือทางการแพทย์ขูดฟิลเลอร์ปลอมออกมา ประมาณ 60 – 70% เท่านั้น ไม่สามารถขูดออกได้ทั้งหมด ซึ่งวิธีนี้อาจทำให้เกิดรอยช้ำ หรือบวมหลังทำได้

                            แก้ไขฟิลเลอร์ปลอม ด้วยการผ่าตัด

                            • ในกรณีที่ต้องการแก้ไขปัญหาที่เกิดจากฟิลเลอร์ปลอมนั้น สามารถทำการผ่าตัดฟิลเลอร์ปลอมออกได้ หากฟิลเลอร์เป็นก้อนขนาดใหญ่ หรือแข็งมาก มีพังผืดเกาะแน่น หรือมีการติดเชื้อที่รุนแรง จนไม่สามารถขูดออกได้ การผ่าตัดอาจเป็นทางเลือกสุดท้าย โดยแพทย์จะทำการเปิดผิวหนังในบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ปลอม เพื่อนำฟิลเลอร์ปลอมออก ซึ่งต้องทำโดยศัลยแพทย์ที่มีความรู้ และประสบการณ์เท่านั้น เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นต่อเส้นเลือด และเส้นประสาท เนื่องจากการผ่าตัดฟิลเลอร์ปลอมนั้น มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนมากกว่าการขูดฟิลเลอร์

                             

                            วิธีเช็กฟิลเลอร์แท้แต่ละยี่ห้อ มีอะไรบ้าง?

                            การตรวจสอบฟิลเลอร์แท้ก่อนตัดสินใจฉีดมีความสำคัญอย่างมาก เพื่อความปลอดภัย ลดโอกาสเสี่ยงที่จะเจอฟิลเลอร์ปลอม หรือฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งฟิลเลอร์แท้แต่ละยี่ห้อก็มีวิธีการตรวจสอบที่ต่างกัน โดยสามารถตรวจสอบฟิลเลอร์แท้แต่ละยี่ห้อได้ ดังนี้

                             

                            เช็กฟิลเลอร์แท้ Belotero
                            เช็กฟิลเลอร์แท้ Belotero

                            วิธีตรวจสอบฟิลเลอร์แท้ยี่ห้อ Belotero

                            • ภายนอกกล่องฟิลเลอร์แท้ยี่ห้อ Belotero จะต้องมีสภาพที่สมบูรณ์ มีรายละเอียดพิมพ์ไว้อย่างชัดเจน และไม่มีรอยฉีกขาด 
                            • ภายในกล่องฟิลเลอร์แท้ยี่ห้อ Belotero จะต้องมีเอกสารกำกับภาษาไทย และเลขทะเบียนจาก อย. อย่างถูกต้อง
                            • ภายใน และภายนอกกล่องฟิลเลอร์แท้ยี่ห้อ Belotero จะต้องมีเลข Lot. ตรงกันทั้งหมด 3 จุด ทั้งตรงกล่องฟิลเลอร์, ตรงสติกเกอร์ และตรงหลอดฟิลเลอร์
                            • หากมีข้อสงสัย หรือต้องการตรวจสอบเลข Lot. ของฟิลเลอร์แท้ยี่ห้อ Belotero สามารถโทรตรวจสอบกับบริษัท เมิร์ซ เฮลธ์แคร์ (ประเทศไทย) ได้โดยตรง

                             

                            เช็กฟิลเลอร์แท้ Juvederm
                            เช็กฟิลเลอร์แท้ Juvederm

                             

                            วิธีตรวจสอบฟิลเลอร์แท้ยี่ห้อ Juvederm

                            • ภายนอกกล่องฟิลเลอร์แท้ยี่ห้อ Juvederm จะต้องมีสภาพที่สมบูรณ์ มีรายละเอียดพิมพ์ไว้อย่างชัดเจน และไม่มีรอยฉีกขาด 
                            • ภายในกล่องฟิลเลอร์แท้ยี่ห้อ Juvederm จะต้องมีเอกสารกำกับภาษาไทย และเลขทะเบียนจาก อย. อย่างถูกต้อง
                            • ภายใน และภายนอกกล่องฟิลเลอร์แท้ยี่ห้อ Juvederm จะต้องมีเลข Lot. ตรงกันทั้งหมด 4 จุด ทั้งตรงกล่องฟิลเลอร์, ตรงซอง, ตรงสติกเกอร์ และตรงหลอดฟิลเลอร์
                            • หากมีข้อสงสัย หรือต้องการตรวจสอบเลข Lot. ของฟิลเลอร์แท้ยี่ห้อ Juvederm สามารถโทรตรวจสอบกับบริษัท Allergan Thailand ได้โดยตรง

                             

                            เช็กฟิลเลอร์แท้ Restylane
                            เช็กฟิลเลอร์แท้ Restylane

                             

                            วิธีตรวจสอบฟิลเลอร์แท้ยี่ห้อ Restylane

                            • ภายนอกกล่องฟิลเลอร์แท้ยี่ห้อ Restylane จะต้องมีสภาพที่สมบูรณ์ มีรายละเอียดพิมพ์ไว้อย่างชัดเจน และไม่มีรอยฉีกขาด 
                            • ภายนอกกล่องฟิลเลอร์แท้ยี่ห้อ Restylane จะต้องมีสติกเกอร์โมโนแกรมคำว่า “VOID” ติดอยู่ เพื่อยืนยันความปลอดภัยว่า เป็นฟิลเลอร์แท้ไม่ใช่ฟิลเลอร์ปลอม
                            • ภายนอกกล่องฟิลเลอร์แท้ยี่ห้อ Restylane จะต้องมี QR Code ให้สแกนตรวจสอบ โดยสามารถใช้แอปพลิเคชัน eZTracker สแกน เพื่อยืนยันความถูกต้องของฟิลเลอร์ที่ใช้ได้
                            • ภายในกล่องฟิลเลอร์แท้ยี่ห้อ Restylane จะต้องมีเอกสารกำกับภาษาไทย และเลขทะเบียนจาก อย. อย่างถูกต้อง
                            • ภายใน และภายนอกกล่องฟิลเลอร์แท้ยี่ห้อ Restylane จะต้องมีเลข Lot. ตรงกันทั้งหมด 3 จุด ทั้งตรงกล่องฟิลเลอร์, ตรงสติกเกอร์ และตรงหลอดฟิลเลอร์
                            • หากมีข้อสงสัย หรือต้องการตรวจสอบเลข Lot. ของฟิลเลอร์แท้ยี่ห้อ Restylane สามารถโทรตรวจสอบกับบริษัท Galderma Thailand ได้โดยตรง

                             

                            ข้อควรรู้ก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ 

                            • เลือกคลินิกที่มีมาตรฐาน และมีใบอนุญาตประกอบกิจการจากกระทรวงสาธารณสุข รวมถึง ภายในคลินิกควรมีความสะอาด ปลอดภัย และมีอุปกรณ์ที่ทันสมัย 
                            • เลือกฉีดฟิลเลอร์โดยแพทย์ที่มีความรู้ และประสบการณ์ โดยสามารถตรวจสอบ ชื่อ-นามสกุล ของแพทย์ที่จะทำการฉีดฟิลเลอร์ได้ที่ เว็บไซต์แพทยสภา เพื่อตรวจสอบดูว่า แพทย์ที่ฉีดเป็นแพทย์จริงหรือไม่
                            • เลือกใช้ฟิลเลอร์แท้ที่ได้รับการรับรองจาก อย. ไทย ซึ่งในปัจจุบันมีฟิลเลอร์หลากหลายยี่ห้อที่ปลอดภัย และได้รับความนิยม เช่น Juvederm, Restylane หรือ Belotero 
                            • ตรวจสอบฟิลเลอร์แท้ก่อนฉีด โดยตรวจสอบเลขทะเบียน อย. เลข Lot. และรายละเอียดบนกล่อง หากมีข้อสงสัย ควรสอบถามแพทย์ หรือสอบถามบริษัทผู้จำหน่ายฟิลเลอร์ยี่ห้อนั้นโดยตรง
                            • ปรึกษาแพทย์ก่อนฉีดฟิลเลอร์แท้ เพื่อให้แพทย์ประเมิน และให้คำแนะนำเกี่ยวกับปริมาณฟิลเลอร์ที่เหมาะสม
                            • เลือกคลินิกที่มีการติดตามผลลัพธ์หลังฉีดฟิลเลอร์แท้ เพื่อแสดงถึงความใส่ใจ และหากเกิดปัญหาสามารถแก้ไขได้ทันที
                            • เลือกคลินิกที่มีรีวิวที่น่าเชื่อถือ มีทั้งภาพ วิดีโอ และคอมเมนต์ในเชิงบวก สามารถเห็นผลการเปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจน และเป็นที่น่าพอใจ

                             

                            ฟิลเลอร์ปลอม ถือเป็นฟิลเลอร์ที่มีความอันตรายสูง และสามารถก่อให้เกิดผลข้างเคียงในระยะยาวได้ ดังนั้น  หากไม่อยากเสี่ยงเจอฟิลเลอร์ปลอม หรือฟิลเลอร์ที่ไม่มีคุณภาพ แนะนำให้พิจารณา และตรวจสอบฟิลเลอร์อย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจฉีด โดยศึกษาหาข้อมูล และเลือกใช้ฟิลเลอร์แท้ที่ได้รับการรับรองจาก อย. เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากฟิลเลอร์ปลอม และเพื่อสร้างมั่นใจในผลลัพธ์ที่มีความปลอดภัยจากฟิลเลอร์แท้

                            HArmonyCa กับ ฟิลเลอร์ทั่วไปต่างกันอย่างไร? เลือกฉีดตัวไหนดี?

                            HArmonyCa กับ ฟิลเลอร์ทั่วไปต่างกันอย่างไร

                            HArmonyCa กับ ฟิลเลอร์ทั่วไปต่างกันอย่างไร? เลือกฉีดตัวไหนดี?

                             

                            ในปัจจุบัน การดูแลผิวหน้า และการทำหัตถการความงามกลายเป็นที่นิยมอย่างกว้างขวาง ฟิลเลอร์จึงกลายเป็นตัวเลือกอันดับต้น ๆ สำหรับการเติมเต็มริ้วรอย และปรับรูปหน้า แต่รู้หรือไม่ว่า? นอกเหนือจากฟิลเลอร์ทั่วไปแล้ว ปัจจุบันยังมีเทคโนโลยีฟิลเลอร์รุ่นใหม่ ที่เรียกว่า HArmonyCa ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นมา ให้มีประสิทธิภาพที่เหนือกว่าฟิลเลอร์ทั่วไป ด้วยคุณสมบัติที่โดดเด่น และกลไกการทำงานที่แตกต่างกัน บทความนี้ จะพาไปทำความรู้จักกับ HArmonyCa และฟิลเลอร์ทั่วไปว่า HArmonyCa และฟิลเลอร์ทั่วไป มีความแตกต่างกันอย่างไร? รวมถึง HArmonyCa และฟิลเลอร์ทั่วไป เหมาะกับใครบ้าง? เพื่อเป็นทางเลือกในการประกอบการตัดสินใจ มาหาคำตอบในบทความนี้กันค่ะ

                             

                            HArmonyCa VS ฟิลเลอร์ทั่วไป รู้ลึกก่อนฉีด แตกต่างกันอย่างไร? เหมาะกับใครบ้าง? 

                            ทำความรู้จัก HArmonyCa กับ ฟิลเลอร์ทั่วไป

                            HArmonyCa และฟิลเลอร์ทั่วไป เป็นสารเติมเต็มที่ใช้ในการปรับรูปหน้า และยกกระชับผิว ซึ่งมีความแตกต่างกันในด้านส่วนประกอบ กลไกการทำงาน และผลลัพธ์ที่ได้อย่างเห็นได้ชัด ดังนั้น เพื่อให้สามารถเลือกฉีดได้อย่างเหมาะสม และตอบโจทย์มากที่สุด มาทำความรู้จักกับ HArmonyCa และฟิลเลอร์ทั่วไป ดังนี้

                             

                            HACa เคล็ดลับอัปผิวแน่น
                            HACa เคล็ดลับอัปผิวแน่น

                             

                            HArmonyCa คืออะไร?

                            HArmonyCa คือ เทคโนโลยีฟิลเลอร์รุ่นใหม่ ที่เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า Hybird Filler โดยมีการผสมผสานส่วนประกอบสำคัญทั้ง 2 ชนิด เข้าด้วยกัน ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ ทั้งในระยะสั้น และระยะยาว ได้แก่

                            • Hyaluronic Acid (HA) เป็นสารประกอบใน HArmonyCa ที่มีคุณสมบัติในการกักเก็บน้ำ เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว โดยจะเข้าไปยกกระชับผิว และปรับรูปหน้าให้ดูมีมิติ ทำให้ผิวดูอิ่มฟู เต่งตึงขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งสามารถให้ผลลัพธ์ทันทีหลังฉีด
                            • Calcium Hydroxyapatite (CaHA) เป็นสารประกอบใน HArmonyCa ที่มีคุณสมบัติในการ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนตามธรรมชาติของร่างกาย โดยการกระตุ้นการทำงานของเซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast) ให้ผลิตคอลลาเจน และอีลาสตินขึ้นมาใหม่ ทำให้ฟื้นฟูโครงสร้างผิวได้ในระยะยาว ผิวมีความยืดหยุ่น กระชับ และดูสุขภาพดีอย่างยั่งยืน

                             

                            HArmonyCa เหมาะกับใคร?

                            • HArmonyCa เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย ใบหน้าไม่กระชับ ดูแก่กว่าวัย
                            • HArmonyCa เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหากรอบหน้าไม่ชัดเจน ใบหน้าไม่มีมิติ
                            • HArmonyCa เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาริ้วรอย และร่องลึกบนใบหน้
                            • HArmonyCa เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้า เติมเต็มใบหน้าให้ดูสมส่วน
                            • HArmonyCa เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาใบหน้าตอบ ขาดวอลุ่ม เช่น ขมับตอบ แก้มตอบ
                            • HArmonyCa เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวในระยะยาว ผิวขาดความยืดหยุ่น
                            • HArmonyCa เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาผิวหน้าขาดความชุ่มชื้น แห้งกร้าน ไม่สดใส
                            • HArmonyCa เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาผิวหน้าขาดคอลลาเจน ต้องการเพิ่มคอลลาเจนให้กับผิว 
                            • HArmonyCa เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการปรับปรุงคุณภาพให้ดูสุขภาพดี
                            • HArmonyCa เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหารูขุมขนกว้าง ผิวไม่เรียบเนียน
                            • HArmonyCa เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่ยาวนานกว่าฟิลเลอร์ทั่วไป

                             

                            ฟิลเลอร์เติมเต็มความอ่อนเยาว์
                            ฟิลเลอร์เติมเต็มความอ่อนเยาว์

                             

                            ฟิลเลอร์ทั่วไป คืออะไร?

                            ฟิลเลอร์ คือ สารเติมเต็ม Hyaluronic Acid (HA) ที่ถูกผลิตขึ้นมาเพื่อเลียนแบบสารที่มีอยู่ในร่างกาย มีคุณสมบัติในการกักเก็บน้ำ และเพิ่มความชุ่มชื้นในชั้นผิว เพื่อช่วยแก้ปัญหาผิวได้อย่างหลากหลาย ทั้งการเติมเต็มริ้วรอย ร่องลึก ปรับรูปหน้า เพิ่มปริมาตรให้ผิวในบริเวณที่ขาดคอลลาเจน และกระดูกทรุดตัวลง ทำให้ผิวกลับมาอิ่มฟู เรียบเนียน และดูอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ

                             

                            ฟิลเลอร์ทั่วไป เหมาะกับใคร?

                            • ฟิลเลอร์ทั่วไป เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาริ้วรอย และร่องลึกบนใบหน้า
                            • ฟิลเลอร์ทั่วไป เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการปรับโครงหน้าให้ดูสมส่วน
                            • ฟิลเลอร์ทั่วไป เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องยกกระชับ ลดความหย่อนคล้อยของใบหน้า
                            • ฟิลเลอร์ทั่วไป เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาผิวแห้งกร้าน ขาดความชุ่มชื้น
                            • ฟิลเลอร์ทั่วไป เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาหลุมสิว ผิวขรุขระ
                            • ฟิลเลอร์ทั่วไป เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหารูขุมขนกว้าง รูขุมขนไม่กระชับ
                            • ฟิลเลอร์ทั่วไป เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาผิวหน้าดูโทรม ใต้ตาคล้ำ ไม่สดใส
                            • ฟิลเลอร์ทั่วไป เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการเพิ่มวอลุ่ม เพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิว

                             

                            HACa VS ฟิลเลอร์ต่างกันอย่างไร
                            HACa VS ฟิลเลอร์ต่างกันอย่างไร

                             

                            HArmonyCa กับ ฟิลเลอร์ทั่วไปต่างกันอย่างไร?

                            การฉีด HArmonyCa และฟิลเลอร์ทั่วไป มีความแตกต่างกันในหลาย ๆ ด้าน ทั้งส่วนประกอบหลัก กลไกการทำงาน ระยะเวลาในการคงอยู่ และผลลัพธ์ที่ได้หลังฉีด ซึ่งมีความแตกต่างกัน ดังนี้

                            ส่วนประกอบหลัก

                            • HArmonyCa เป็นสารเติมเต็มแบบ Hybrid Filler ที่มีการผสมผสานส่วนประกอบของ Hyaluronic Acid (HA) 70% และ Calcium Hydroxyapatite (CaHA) 30% เข้าด้วยกัน โดยจะทำงานแบบ Dual Effect ทั้งการยกกระชับผิวในทันที และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในระยะยาว ทำให้ HArmonyCa ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ และยั่งยืนกว่าการฉีดฟิลเลอร์ทั่วไป
                            • ฟิลเลอร์ทั่วไป เป็นสารเติมเต็มที่มีส่วนประกอบของ Hyaluronic Acid (HA) เพียงอย่างเดียว ซึ่งเน้นในการเติมเต็มริ้วรอย ปรับรูปหน้า และเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว โดยไม่มีคุณสมบัติในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เนื่องจากไม่มีส่วนประกอบของ Calcium Hydroxyapatite (CaHA) เหมือนกับ HArmonyCa

                            บริเวณที่ฉีด

                            • HArmonyCa เหมาะสำหรับที่ต้องการยกกระชับ และปรับโครงสร้างใบหน้า เช่น ขมับ คาง กรอบหน้า หรือร่องแก้ม เนื่องจาก HArmonyCa มีส่วนประกอบของ Calcium Hydroxyapatite (CaHA) ทำให้เนื้อเจลมีความยืดหยุ่นน้อยกว่าฟิลเลอร์ทั่วไปที่ใช้ Hyaluronic Acid (HA) เพียงอย่างเดียว หากฉีด HArmonyCa เข้าไปในบริเวณที่มีการเคลื่อนไหวบ่อย เช่น ริมฝีปาก หรือใต้ตา อาจทำให้ฟิลเลอร์เคลื่อนที่ผิดตำแหน่ง เกิดเป็นก้อน หรือกระจายตัวไม่สม่ำเสมอได้
                            • ฟิลเลอร์ทั่วไป เหมาะสำหรับบริเวณที่ต้องการปรับรูปทรง และเติมเต็มเฉพาะจุด เช่น ใต้ตา ริมฝีปาก ร่องแก้ม ขมับ แก้มตอบ หรือคาง เนื่องจากฟิลเลอร์ทั่วไป มีส่วนประกอบของ Hyaluronic Acid (HA) เพียงอย่างเดียว ทำให้เนื้อเจลมีความคงตัว และมีความยืดหยุ่นสูง เหมาะสำหรับการแก้ไขปัญหาในบริเวณที่แตกต่างกัน สามารถฉีดได้ทั้งบริเวณที่มีการเคลื่อนไหวบ่อย และบริเวณที่ไม่ได้มีการเคลื่อนไหว

                            ผลลัพธ์ที่ได้

                            • HArmonyCa จะให้ผลลัพธ์แบบ 2 in 1 ในหลอดเดียว ทั้งในระยะสั้น และระยะยาว โดยในด้านการยกกระชับผิว และปรับรูปหน้า สามารถเห็นผลการเปลี่ยนแปลงทันทีจากสาร Hyaluronic Acid (HA) พร้อมกับการทำงานต่อเนื่องของสาร Calcium Hydroxyapatite (CaHA) ในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และอีลาสตินในระยะยาว ทำให้ผิวแข็งแรง และกระชับขึ้นเรื่อย ๆ จากภายใน
                            • ฟิลเลอร์ทั่วไป จะให้ผลลัพธ์ได้ทันทีจากสาร Hyaluronic Acid (HA) ในด้านการเติมเต็มริ้วรอย และปรับรูปหน้า แต่จะไม่ให้ผลลัพธ์ในด้านการกระตุ้นคอลลาเจน และอีลาสติน เนื่องจากไม่มีสาร Calcium Hydroxyapatite (CaHA) เหมือนกับ HArmonyCa

                            ระยะเวลาคงอยู่

                            • HArmonyCa สามารถคงผลลัพธ์อยู่ได้นาน ประมาณ 12 – 18 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และวิธีการดูแลตัวเองหลังฉีด เนื่องจาก HArmonyCa มีสาร Calcium Hydroxyapatite (CaHA) ที่ช่วยในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนอย่างต่อเนื่อง แม้สาร Hyaluronic Acid (HA) จะเริ่มสลายไปแล้วก็ตาม
                            • ฟิลเลอร์ทั่วไป สามารถคงผลลัพธ์อยู่ได้นาน ประมาณ 6 – 18 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อฟิลเลอร์ที่เลือกใช้ บริเวณที่ฉีด และวิธีการดูแลตัวเองหลังฉีด เมื่อครบระยะเวลาที่กำหนด สาร Hyaluronic Acid (HA) จะค่อย ๆ สลายไปตามธรรมชาติ จึงต้องมีการกลับมาฉีดซ้ำเป็นระยะ เพื่อคงสภาพของผลลัพธ์ให้สวยงามอย่างต่อเนื่อง

                            ราคา

                            • HArmonyCa เป็นสารเติมเต็มที่มีส่วนประกอบของ Hyaluronic Acid (HA) และ Calcium Hydroxyapatite (CaHA) จึงทำให้มีราคาสูงกว่าการฉีดฟิลเลอร์ทั่วไป เนื่องจาก HArmonyCa มีคุณสมบัติที่หลากหลาย ทั้งการยกกระชับผิวในระยะสั้น และกระตุ้นคอลลาเจนในระยะยาว ซึ่ง HArmonyCa จะให้ผลลัพธ์ที่ยาวนาน และมีความยั่งยืนมากกว่า
                            • ฟิลเลอร์ทั่วไป เป็นสารเติมเต็มที่มีส่วนประกอบของ Hyaluronic Acid (HA) เพียงอย่างเดียว จึงทำให้มีราคาที่ย่อมเยา และสามารถเข้าถึงได้ง่ายกว่าเมื่อเทียบกับ HArmonyCa เนื่องจากปัจจุบันฟิลเลอร์ทั่วไป มีให้เลือกหลากหลายยี่ห้อ เช่น Juvederm, Restylane, ฺBelotero, Neauvia หรือ Definisse ทำให้มีหลากหลายทางเลือกในการตัดสินใจ

                             

                            รวมข้อดีของ HACa VS ฟิลเลอร์
                            รวมข้อดีของ HACa VS ฟิลเลอร์

                             

                            ข้อดีของ HArmonyCa กับ ฟิลเลอร์ทั่วไป มีอะไรบ้าง?

                            ข้อดีของ HArmonyCa

                            • HArmonyCa มีคุณสมบัติแบบ Dual Effect เนื่องจาก HArmonyCa มีการผสมผสานระหว่าง  Hyaluronic Acid (HA) และ Calcium Hydroxyapatite (CaHA) ทำให้ได้ทั้งการยกกระชับผิว และการกระตุ้นคอลลาเจนในขั้นตอนเดียว
                            • HArmonyCa เห็นผลลัพธ์ทันที และระยะยาว โดยสามารถเห็นผลลัพธ์ของการยกกระชับผิว และปรับรูปหน้าได้ทันที ตามด้วยผลลัพธ์ของการกระตุ้นคอลลาเจนในระยะยาว
                            • HArmonyCa คงผลลัพธ์ได้ยาวนาน โดย HArmonyCa สามารถอยู่ได้นาน ประมาณ 12 – 18 เดือน เนื่องจากร่างกายจะกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง
                            • HArmonyCa ไม่ต้องมีการฉีดซ้ำบ่อย เนื่องจาก HArmonyCa สามารถคงผลลัพธ์ได้ยาวนานกว่าฟิลเลอร์ทั่วไป จึงทำให้ลดความถี่ในการฉีดลงได้ 
                            • HArmonyCa มีความปลอดภัยสูง เนื่องจาก HArmonyCa มีสาร Hyaluronic Acid (HA) และ Calcium Hydroxyapatite (CaHA) เป็นส่วนประกอบ ซึ่งสามารถเข้ากันได้ดีกับร่างกาย โดยจะสลายตัวได้ตามธรรมชาติ ไม่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันต่อต้าน อีกทั้ง ยังได้รับการรับรองจากหน่วยงานความงาม ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ 

                             

                            ข้อดีของ ฟิลเลอร์ทั่วไป

                            • ฟิลเลอร์ทั่วไป ให้ผลลัพธ์รวดเร็ว และทันที โดยหลังฉีดฟิลเลอร์ทั่วไป จะสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ทันที โดยเฉพาะในเรื่องของการเติมเต็มริ้วรอย ร่องลึก และสามารถปรับรูปหน้าได้ตามความต้องการ
                            • ฟิลเลอร์ทั่วไป ฉีดได้หลายบริเวณ โดยสามารถใช้ปรับรูปหน้า และเติมเต็มได้หลากหลายบริเวณ เช่น  ร่องแก้ม ใต้ตา ริมฝีปาก คาง ขมับ กรอบหน้า หรือมือ ซึ่งถือเป็นการแก้ไขปัญหาเฉพาะจุดได้อย่างแม่นยำ
                            • ฟิลเลอร์ทั่วไป มีความปลอดภัยสูง เนื่องจาก Hyaluronic Acid (HA) เป็นสารธรรมชาติที่เข้ากันได้ดีกับร่างกาย ทำให้สามารถสลายตัวได้เองตามธรรมชาติ ไม่ทิ้งสารตกค้าง อีกทั้ง ยังได้รับการรับรองจากหน่วยงานความงาม ทั้งในประเทศ และต่างประเทศอีกด้วย
                            • ฟิลเลอร์ทั่วไป เหมาะสำหรับผู้ที่มีงบประมาณจำกัด เนื่องจากฟิลเลอร์ทั่วไปมีให้เลือกหลากหลายยี่ห้อ จึงทำให้เข้าถึงได้ง่ายกว่า 

                             

                            ข้อจำกัดของ HArmonyCa กับ ฟิลเลอร์ทั่วไป มีอะไรบ้าง?

                            ข้อจำกัดของ HArmonyCa

                            • HArmonyCa ต้องฉีดโดยแพทย์ที่มีความรู้ ความชำนาญเท่านั้น เนื่องจาก HArmonyCa มีส่วนประกอบของ Hyaluronic Acid (HA) และ Calcium Hydroxyapatite (CaHA) ทำให้เทคนิคในการฉีดมีความซับซ้อน ต้องอาศัยความแม่นยำ และประสบการณ์ในการฉีด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ และปลอดภัยที่สุด
                            • HArmonyCa ไม่เหมาะสำหรับบริเวณที่เคลื่อนไหวบ่อย เช่น ริมฝีปาก ใต้ตา เนื่องจาก HArmonyCa มีส่วนประกอบของ Calcium Hydroxyapatite (CaHA) จึงมีความยืดหยุ่นน้อยกว่าฟิลเลอร์ทั่วไป หากฉีดเข้าไปอาจทำให้รู้สึกตึง หรือดูไม่เป็นธรรมชาติในบริเวณที่ฉีดได้
                            • HArmonyCa สามารถเกิดอาการบวม แดง หรือรู้สึกตึงได้มากกว่าการฉีดฟิลเลอร์ทั่วไป เนื่องจาก HArmonyCa มีส่วนประกอบของ Calcium Hydroxyapatite (CaHA) ในการกระตุ้นคอลลาเจน ซึ่งทำให้เกิดอาการข้างเคียงได้มากกว่า
                            • HArmonyCa มีราคาสูงกว่าฟิลเลอร์ทั่วไป เนื่องจาก HArmonyCa ให้ผลลัพธ์ในการกระตุ้นคอลลาเจน และยกกระชับผิวได้ในขั้นตอนเดียว ซึ่งอาจไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีงบประมาณจำกัด

                             

                            ข้อจำกัดของ ฟิลเลอร์ทั่วไป

                            • ฟิลเลอร์ทั่วไป ไม่มีการกระตุ้นคอลลาเจน เนื่องจากฟิลเลอร์ทั่วไปมีส่วนประกอบของ Hyaluronic Acid (HA) เพียงอย่างเดียว จึงเน้นการเติมเต็ม และปรับรูปหน้าเป็นหลัก
                            • ฟิลเลอร์ทั่วไป ผลลัพธ์คงอยู่ไม่นานเมื่อเทียบกับ HArmonyCa โดยปกติแล้ว หลังฉีดฟิลเลอร์ทั่วไป ผลลัพธ์จะอยู่ได้ประมาณ 6 – 18 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อของฟิลเลอร์ ซึ่งต้องมีการฉีดซ้ำอยู่บ่อย ๆ เมื่อฟิลเลอร์สลาย
                            • ฟิลเลอร์ทั่วไป ต้องฉีดโดยแพทย์ที่มีความรู้ ความชำนาญเท่านั้น เพื่อความปลอดภัย และผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ หากฉีดโดยแพทย์ที่ไม่มีความชำนาญ อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงได้

                             

                            HArmonyCa กับ ฟิลเลอร์ทั่วไป สามารถฉีดร่วมกันได้ไหม?

                            HArmonyCa และฟิลเลอร์ทั่วไป สามารถฉีดร่วมกันได้ในบางกรณี ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแพทย์ แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ก่อนตัดสินใจฉีด HArmonyCa และฟิลเลอร์ทั่วไป เพื่อให้แพทย์ประเมินผิวหน้าอย่างละเอียด และวางแผนการรักษาอย่างเหมาะสม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และบริเวณที่ต้องการฉีดของแต่ละบุคคล เพื่อความปลอดภัย และผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

                             

                            HArmonyCa กับ ฟิลเลอร์ทั่วไป ต่างจาก Radiesse อย่างไร?

                            HArmonyCa

                            • HArmonyCa เป็นสารเติมเต็มแบบ Hybrid Filler ที่มีการผสมผสานระหว่าง Hyaluronic Acid (HA) และ Calcium Hydroxyapatite (CaHA) ซึ่งทำหน้าที่ในการยกกระชับผิว ปรับรูปหน้า และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในระยะยาว โดย HArmonyCa เหมาะสำหรับการปรับโครงสร้าง และยกกระชับผิวในบริเวณที่ไม่ได้มีการขยับบ่อย ๆ เช่น ขมับ คาง กรอบหน้า หรือร่องแก้ม ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่น แน่นกระชับ และดูอ่อนเยาว์มากขึ้น โดย HArmonyCa สามารถคงผลลัพธ์ได้ยาวนานถึง 12 – 18 เดือน 

                            ฟิลเลอร์ทั่วไป

                            • ฟิลเลอร์ทั่วไป เป็นสารเติมเต็มที่มี Hyaluronic Acid (HA) เป็นส่วนประกอบหลัก ซึ่งทำหน้าที่ในการอุ้มน้ำให้กับผิว ช่วยในการเติมเต็มริ้วรอย และปรับรูปหน้า แต่ไม่ได้ช่วยในการกระตุ้นคอลลาเจน เนื่องจากไม่มี Calcium Hydroxyapatite (CaHA) เป็นส่วนประกอบ จึงเหมาะสำหรับการแก้ไขปัญหาเฉพาะจุด สามารถเลือกฉีดได้หลากหลายบริเวณ ทั้งบริเวณที่ต้องการความยืดหยุ่นสูง เช่น ริมฝีปาก ใต้ตา และบริเวณที่ต้องการความคงตัวสูง เช่น กรอบหน้า ขมับ คาง โดยฟิลเลอร์ทั่วไป สามารถคงผลลัพธ์ได้ยาวนานถึง 6 – 18 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อที่เลือกฉีด

                            Radiesse 

                            • Radiesse เป็นสารเติมเต็มกลุ่ม Biostimulator ที่มี Calcium Hydroxyapatite (CaHA) เป็นส่วนประกอบหลักเพียงอย่างเดียว ซึ่งทำหน้าที่ในการกระตุ้นคอลลาเจน และอีลาสตินโดยตรง รวมถึง ปรับโครงสร้างผิวให้แข็งแรงจากภายใน ทำให้สามารถยกกระชับผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ไม่สามารถให้ผลลัพธ์ในการเติมเต็มได้ทันที เนื่องจากไม่มีส่วนประกอบของ Hyaluronic Acid (HA) เหมาะสำหรับบริเวณที่ไม่ต้องการความยืดหยุ่น เช่น ร่องแก้ม ขมับ คาง โดย Radiesse สามารถคงผลลัพธ์ได้ยาวนานถึง 24 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และวิธีการดูแลตัวเองหลังฉีด

                             

                            วิธีการเตรียมตัวก่อนฉีด HArmonyCa กับ ฟิลเลอร์ทั่วไป

                            • ก่อนฉีด HArmonyCa และฟิลเลอร์ทั่วไป ควรปรึกษาแพทย์ก่อนตัดสินใจฉีด เพื่อประเมินปัญหา และบริเวณที่ต้องการแก้ไข ทำให้สามารถวางแผนการรักษาได้อย่างเหมาะสม
                            • ก่อนฉีด HArmonyCa และฟิลเลอร์ทั่วไป ควรแจ้งประวัติการแพ้ยา โรคประจำตัว ยาที่รับประทานเป็นประจำ และประวัติการทำหัตถการต่าง ๆ ให้แพทย์ทราบอย่างละเอียด
                            • ก่อนฉีด HArmonyCa และฟิลเลอร์ทั่วไป งดใช้ยา และอาหารเสริมที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น ยาแอสไพริน ยาไอบูโพรเฟน หรือสมุนไพรบางชนิด อย่างน้อย 1 – 2 สัปดาห์
                            • ก่อนฉีด HArmonyCa และฟิลเลอร์ทั่วไป งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนฉีด
                            • ก่อนฉีด HArmonyCa และฟิลเลอร์ทั่วไป งดสูบบุหรี่ อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนฉีด
                            • ก่อนฉีด HArmonyCa และฟิลเลอร์ทั่วไป งดสครับหน้า ขัดผิว ทำเลเซอร์ หรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมในการผลัดเซลล์ผิว อย่างน้อย 3 – 5 วันก่อนฉีด
                            • ก่อนฉีด HArmonyCa และฟิลเลอร์ทั่วไป ควรพักผ่อนให้เพียงพอ และดื่มน้ำให้มาก ๆ เพื่อให้ร่างกายพร้อมสำหรับการฉีด HArmonyCa และฟิลเลอร์ทั่วไป

                             

                            วิธีการดูแลตัวเองหลังฉีด HArmonyCa กับ ฟิลเลอร์ทั่วไป

                            • หลังฉีด HArmonyCa และฟิลเลอร์ทั่วไป ลีกเลี่ยงการแต่งหน้าทันที อย่างน้อย 12 – 24 ชั่วโมงหลังฉีด
                            • หลังฉีด HArmonyCa และฟิลเลอร์ทั่วไป หลีกเลี่ยงการสัมผัส กด นวด หรือคลึงในบริเวณที่ฉีด อย่างน้อย 1 – 2 สัปดาห์
                            • หลังฉีด HArmonyCa และฟิลเลอร์ทั่วไป งดนอนคว่ำ และนอนตะแคง ในท่าทางที่อาจเกิดการกดทับในบริเวณที่ฉีด อย่างน้อย 1 – 2 สัปดาห์
                            • หลังฉีด HArmonyCa และฟิลเลอร์ทั่วไป งดกิจกรรมที่สัมผัสความร้อนโดยตรง เช่น ซาวน่า อบไอน้ำ หรือการทำเลเซอร์ อย่างน้อย 1 – 2 สัปดาห์
                            • หลังฉีด HArmonyCa และฟิลเลอร์ทั่วไป งดการออกกำลังกายอย่างหนัก หรือกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออก อย่างน้อย 48 ชั่วโมงแรกหลังฉีด
                            • หลังฉีด HArmonyCa และฟิลเลอร์ทั่วไป งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 24 – 48 ชั่วโมงหลังฉีด 
                            • หลังฉีด HArmonyCa และฟิลเลอร์ทั่วไป งดสูบบุหรี่ทุกชนิด อย่างน้อย 24 – 48 ชั่วโมงหลังฉีด 
                            • หลังฉีด HArmonyCa และฟิลเลอร์ทั่วไป ควรดื่มน้ำให้มาก ๆ เพื่อให้ฟิลเลอร์อุ้มน้ำได้ดีมากขึ้น
                            • หลังฉีด HArmonyCa และฟิลเลอร์ทั่วไป ควรให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียง

                             

                            Q And A รวมคำถามี่พบบ่อยของ HACa
                            Q And A รวมคำถามี่พบบ่อยของ HACa

                             

                            คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ HarmonyCA กับ ฟิลเลอร์ทั่วไป

                            HArmonyCa กับ ฟิลเลอร์ทั่วไป ไม่เหมาะกับใคร?

                            • HArmonyCa และฟิลเลอร์ทั่วไป ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีประวัติแพ้ส่วนประกอบในฟิลเลอร์ เช่น  Hyaluronic Acid (HA) หรือ Calcium Hydroxyapatite (CaHA)
                            • HArmonyCa และฟิลเลอร์ทั่วไป ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีการติดเชื้อ หรืออักเสบในบริเวณที่ฉีด
                            • HArmonyCa และฟิลเลอร์ทั่วไป ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่เป็นโรค หรือมีปัญหาเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด
                            • HArmonyCa และฟิลเลอร์ทั่วไป ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ หรือกำลังให้นมบุตรอยู่
                            • HArmonyCa และฟิลเลอร์ทั่วไป ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่เป็นโรคประจำตัว เช่น โรคแพ้ภูมิตัวเอง
                            • HArmonyCa และฟิลเลอร์ทั่วไป ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการเห็นผลลัพธ์ถาวร เนื่องจาก HArmonyCa และฟิลเลอร์ทั่วไป สามารถสลายตัวตามธรรมชาติ เมื่อครบระยะเวลาที่กำหนด จึงต้องมีการฉีดซ้ำบ่อย ๆ

                             

                            ฉีด HArmonyCa กับ ฟิลเลอร์ทั่วไป กี่วันเห็นผล?

                            • HArmonyCa จะเริ่มเห็นผลการเปลี่ยนแปลงทันที ในเรื่องของการยกกระชับผิว และปรับรูปหน้า จากนั้น HArmonyCa จะเริ่มเห็นผลลัพธ์ ในเรื่องของการกระตุ้นคอลลาเจนจาก Calcium Hydroxyapatite (CaHA) ประมาณ 1 – 3 เดือนหลังฉีด 
                            • ฟิลเลอร์ทั่วไป จะเริ่มเห็นผลการเปลี่ยนแปลงทันที ในเรื่องของการเติมเต็มริ้วรอย ร่องลึก และปรับรูปหน้าได้ตามความต้องการ ซึ่งโดยทั่วไป การฉีดฟิลเลอร์จะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน เมื่อฟิลเลอร์เซตตัวเข้ากับผิวอย่างสมบูรณ์ ประมาณ 2 – 4 สัปดาห์หลังฉีด

                             

                            ฉีด HArmonyCa กับ ฟิลเลอร์ทั่วไป อยู่ได้นานแค่ไหน?

                            • HArmonyCa สามารถคงผลลัพธ์อยู่ได้นาน ประมาณ 12 – 18 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และวิธีการดูแลตัวเองหลังฉีด แต่ผลลัพธ์ในการกระตุ้นคอลลาเจน จะยาวนานกว่าการยกกระชับผิว เนื่องจากสาร Calcium Hydroxyapatite (CaHA) ทำให้ร่างกายจะสร้างคอลลาเจนในระยะยาว ถึงแม้ Hyaluronic Acid (HA) จะสลายตัวไปแล้วก็ตาม
                            • ฟิลเลอร์ทั่วไป สามารถคงผลลัพธ์อยู่ได้นาน ประมาณ 6 – 18 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิว ยี่ห้อที่เลือกฉีด และวิธีการดูแลตัวเองหลังฉีด หากฉีดในบริเวณที่มีการเคลื่อนไหวบ่อย อาจจะสลายตัวได้ง่ายกว่าในบริเวณอื่น

                             

                            ฉีด HArmonyCa กับ ฟิลเลอร์ทั่วไป เจ็บไหม?

                            • การฉีด HArmonyCa มักจะอยู่ในระดับความเจ็บที่สามารถทนได้ เนื่องจาก HArmonyCa มีส่วนผสมของยาชา (Lidocaine) ที่ช่วยลดความเจ็บปวดระหว่างการฉีดลงได้
                            • การฉีดฟิลเลอร์ทั่วไป มักจะอยู่ในระดับความเจ็บที่สามารถทนได้เช่นกัน เนื่องจากฟิลเลอร์ทั่วไปบางยี่ห้อก็มีส่วนผสมของยาชา (Lidocaine) อยู่ แต่บางยี่ห้อก็ยังไม่มีส่วนผสมของยาชา ดังนั้น ก่อนฉีดฟิลเลอร์ทั่วไป อาจมีการทายาชาเฉพาะจุด เพื่อลดความเจ็บปวดระหว่างฉีดลงได้

                             

                            HArmonyCa กับ ฟิลเลอร์ทั่วไป อันตรายไหม?

                            • การฉีด HArmonyCa และฟิลเลอร์ทั่วไป โดยทั่วไป ไม่มีความอันตราย หากฉีด HArmonyCa และฟิลเลอร์ทั่วไป โดยแพทย์ที่มีความรู้ และประสบการณ์ รวมถึง ใช้ HArmonyCa และฟิลเลอร์แท้ ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยจากองค์การอาหารและยา หรือ อย. ไทย เพื่อความปลอดภัย และผลลัพธ์ที่ตอบโจทย์ที่สุด

                             

                            HArmonyCa กับ ฟิลเลอร์ทั่วไป มีผลข้างเคียงไหม?

                            HArmonyCa และฟิลเลอร์ทั่วไป แม้จะมีความปลอดภัยเมื่อฉีดโดยแพทย์ แต่ก็อาจมีผลข้างเคียงเกิดขึ้นได้ ซึ่งส่วนใหญ่ไม่รุนแรง และสามารถหายได้เอง ดังนี้

                            • หลังฉีด HArmonyCa และฟิลเลอร์ทั่วไป อาจมีอาการบวมแดง ช้ำ หรือปวดตึงในบริเวณที่ฉีด ซึ่งเป็นอาการที่พบได้บ่อยที่สุดหลังการฉีด และมักจะหายได้เอง ภายใน 2 – 3 วัน ในบางกรณี อาจมีอาการบวมมากกว่าปกติเล็กน้อยหลังฉีด HArmonyCa เนื่องจากมีสาร Calcium Hydroxyapatite (CaHA) ในการกระตุ้นคอลลาเจน

                             

                            HArmonyCa และฟิลเลอร์ทั่วไป ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการยกกระชับผิว เติมเต็ม และปรับรูปหน้า แต่มีความแตกต่างกันที่ HArmonyCa เป็น Hybrid Filler ที่มีส่วนประกอบของ Hyaluronic Acid (HA) และ Calcium Hydroxyapatite (CaHA) ทำให้มีกลไกการทำงานแบบคู่ ทั้งยกกระชับผิวทันที และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนระยะยาว ในขณะที่ฟิลเลอร์ทั่วไปมีเพียง Hyaluronic Acid (HA) ที่เน้นการเติมเต็มเพียงอย่างเดียว ทำให้ HArmonyCa สามารถให้ผลลัพธ์ได้ยาวนาน และยั่งยืนมากกว่า แต่ก็มาพร้อมกับราคาที่สูงกว่าเช่นกัน 

                             

                            ดังนั้น ก่อนตัดสินใจฉีด HArmonyCa และฟิลเลอร์ทั่วไป แนะนำให้ศึกษาหาข้อมูล และพิจารณาอย่างรอบคอบ สำหรับใครที่สนใจฉีด HArmonyCa และฟิลเลอร์ทั่วไป สามารถเข้ามาปรึกษาแพทย์ได้ที่ รมย์รวินท์คลินิก ทุกสาขา เรามีแพทย์ที่มีความรู้ และความชำนาญ พร้อมให้คำแนะนำ และประเมินสภาพผิวอย่างละเอียด เพื่อวางแผนการรักษา และเลือกหัตถการที่ตอบโจทย์กับปัญหามากที่สุด

                            KARISMA Rh Collagen  พลิกโฉมผิวสู่ความอ่อนเยาว์ด้วยเทคโนโลยีแห่งอนาคต

                            KARISMA

                            ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                              วันที่สะดวกในการติดต่อ








                              KARISMA Rh Collagen  พลิกโฉมผิวสู่ความอ่อนเยาว์ด้วยเทคโนโลยีแห่งอนาคต

                               

                              วงการเสริมความงามเดินหน้า พัฒนาขึ้นทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นการใช้สารสกัดจากธรรมชาติ หรือสารสังเคราะห์เพื่อเลียนแบบธรรมชาติ รวมทั้ง สารที่สังเคราะห์ขึ้นมาใหม่เพื่อใช้เพิ่มคุณภาพผิวให้ดียิ่งขึ้น KARISMA Rh Collagen ก็เป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่เข้ามาเป็นตัวเลือกใหม่ในการดูแลผิว 

                               

                              KARISMA Rh Collagen เป็นผลิตภัณฑ์ประเภท Bio-Restorative ที่มี Recombinant Human Collagen (Rh Collagen) ซึ่งใช้สำหรับการฉีดเป็นตัวแรกของโลก ที่มีคุณสมบัติในการฟื้นฟูผิวที่ครบถ้วน ทั้ง เติมเต็มผิว แต่ยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในไฟโบรบลาสต์ของผิว ทำให้ผิวเต่งตึง ดูอ่อนเยาว์ และเรียบเนียนอย่างยาวนาน KARISMA Rh Collagen นับเป็นการผสานคุณสมบัติที่โดดเด่นของฟิลเลอร์และผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในการฟื้นฟูผิวไว้ด้วยกัน เพียงแค่ฉีดตัวเดียว

                               

                              การทำงานของ KARISMA Rh Collagen
                              การทำงานของ KARISMA Rh Collagen

                               

                              การทำงานของ KARISMA Rh Collagen

                              KARISMA Rh Collagen เมื่อถูกฉีดเข้าสู่ชั้นผิว Rh Collagen ใน KARISMA จะเข้าไปกระตุ้นไฟโบรบลาสต์เพื่อให้ใต้ชั้นผิวเกิดการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผลิตคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ ในขณะเดียวกัน Hyaluronic Acid (HA) ใน KARISMA Rh Collagen จะช่วยเติมความชุ่มชื้น อิ่มน้ำ และเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวได้ในทันที ส่น Carboxymethylcellulose (CMC) ที่เป็นสารเพิ่มความหนืด (Thickener) และยังเป็นสารให้ความคงตัว (Stabilizer) ที่ได้จากเซลลูโลส ซึ่งเป็นโพลีแซ็กคาไรด์ตามธรรมชาติที่พบในพืช โดยผ่านกระบวนการดัดแปลงทางเคมีให้เกิดหมู่ Carboxymethyl (-CH₂-COOH) เข้ามาแทนที่ไฮดรอกซิล (-OH) บางส่วนในโมเลกุลของเซลลูโลส และจะช่วยยืดอายุผลลัพธ์และเสริมสร้างชั้นผิวให้แข็งแรง โดยผลลัพธ์ที่ได้ไม่ใช่เพียงการเติมเต็มชั่วคราว แต่ KARISMA Rh Collagen ยังช่วยฟื้นฟูผิวในระยะยาว ทั้งในเรื่องของความเรียบเนียน ความกระชับ และสุขภาพผิวโดยรวม

                               

                              KARISMA Rh Collagen มีการวิจัยและพัฒนาอย่างยาวนาน จึงทำให้มีผลลัพธืที่ล้ำสมัย KARISMA Rh Collagen ได้รับการออกแบบให้มีความคล้ายคลึงกับ DNA ของมนุษย์ถึง 99.9% ทำให้โอกาสเกิดการแพ้น้อยมาก นอกจากนี้ ยังมี Hyaluronic Acid (HA) และ Carboxymethylcellulose (CMC) เป็นส่วนประกอบสำคัญ ที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น เติมเต็มผิว และกระตุ้นกระบวนการฟื้นฟูอย่างยั่งยืน

                              KARISMA Rh Collagen ไม่เพียงช่วยเติมเต็มริ้วรอยลึก ร่องแก้ม หรือริ้วรอยใต้ตา แต่ยังส่งเสริมให้ผิวของคุณแข็งแรงจากภายใน โดยการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใน ฟโบรบลาสต์ (Fibroblast) ซึ่งเป็นเซลล์ที่สำคัญในกระบวนการฟื้นฟูและซ่อมแซมผิว

                               

                              คุณสมบัติเด่นของ KARISMA Rh Collagen®

                              KARISMA Rh Collagen® ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาผิวอย่างครอบคลุม ด้วยคุณสมบัติที่โดดเด่นดังนี้:

                              • KARISMA Rh Collagen กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิว ด้วยไฟโบรบลาสต์ที่ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวเต่งตึงและแข็งแรง
                              • KARISMA Rh Collagen แก้ไขริ้วรอยและร่องลึก เติมเต็มร่องลึกและรอยย่นบนใบหน้า เช่น ร่องแก้ม ริ้วรอยใต้ตา และรอยย่นเหนือริมฝีปาก
                              • KARISMA Rh Collagen ยกกระชับผิว ลดปัญหาผิวหย่อนคล้อย ให้ผิวแน่นกระชับ ดูอ่อนเยาว์
                              • KARISMA Rh Collagen ช่วยให้หลุมสิวตื้นขึ้น ฟื้นฟูผิวที่เสียหาย ลดหลุมสิว และปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ
                              • KARISMA Rh Collagen เพิ่มความยืดหยุ่นและความชุ่มชื้นให้ผิว ช่วยให้ผิวดูสุขภาพดี ฉ่ำวาว และอิ่มน้ำ

                               

                              คุณสมบัติเด่นที่ทำให้ KARISMA Rh Collagen แตกต่าง

                              1. KARISMA Rh Collagen  ช่วยฟื้นฟูผิวในทุกมิติ
                                ช่วยแก้ปัญหาผิวหลายประการในขั้นตอนเดียว ตั้งแต่ริ้วรอยลึก ความหย่อนคล้อย ไปจนถึงความหมองคล้ำ
                              2. KARISMA Rh Collagen ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิวอย่างมีประสิทธิภาพ
                                Rh Collagen ทำงานร่วมกับ HA และ CMC เพื่อเพิ่มการสร้างคอลลาเจน a1 และ a2 ในชั้นผิว ส่งผลให้ผิวดูแน่นและยืดหยุ่นในระยะยาว
                              3. KARISMA Rh Collagen  มีปลอดภัยสูง
                                ด้วยการสกัดคอลลาเจนจากรังไหม ซึ่งมี DNA ใกล้เคียงมนุษย์มากที่สุด จึงลดโอกาสการแพ้และอาการระคายเคือง
                              4. KARISMA Rh Collagen ให้ผลลัพธ์ที่เห็นทันทีและยั่งยืน
                                หลังฉีด ผิวจะดูชุ่มชื้นและอิ่มฟูทันที และในระยะยาว คอลลาเจนที่ถูกกระตุ้นจะช่วยให้ผิวดูอ่อนเยาว์และแข็งแรง

                               

                              Karisma เหมาะกับฉีดบริเวณไหน
                              Karisma เหมาะกับฉีดบริเวณไหน

                               

                              บริเวณที่สามารถฉีด KARISMA Rh Collagen ได้

                              KARISMA Rh Collagen มีความยืดหยุ่นสูงและสามารถฉีดได้หลากหลายบริเวณ เช่น

                               

                              KARISMA Rh Collagen เป็นผลิตภัณฑ์ที่นิยมใช้ในการดูแลผิวพรรณ โดยเฉพาะการฉีดเพื่อฟื้นฟูและบำรุงผิวหนัง ซึ่งเป็นการนำคอลลาเจนบริสุทธิ์มาช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและความยืดหยุ่นให้กับผิว โดยทั่วไป การฉีด KARISMA Rh Collagen จะถูกนำมาใช้ในบริเวณต่าง ๆ ตามความต้องการของผู้ใช้ อาทิ

                              • KARISMA Rh Collagen ใช้ฉีดบริเวณใบหน้า
                              • บริเวณแก้ม  ร่องแก้ม เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นและความยืดหยุ่น
                              • รอบดวงตา หางตา ใต้ตา เพื่อลดริ้วรอยเล็ก ๆ หรือความแห้งกร้าน
                              • หน้าผาก และระหว่างคิ้ว เพื่อช่วยลดริ้วรอยลึก
                              • เนินอก เพื่อความเรียบเนียน เต่งตึง

                               

                              • KARISMA Rh Collagen ใช้ฉีดบริเวณลำคอ
                                • ใช้สำหรับลดเลือนริ้วรอยและเพิ่มความเรียบเนียนให้กับผิวคอฃ

                               

                              • KARISMA Rh Collagenใช้ฉีดหลังมือ
                                • เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นและฟื้นฟูความยืดหยุ่นของผิว

                               

                              • KARISMA Rh Collagen บริเวณรอยแผลเป็น
                                • เพื่อช่วยลดความเด่นชัดของรอยแผลเป็นหรือรอยหลุม

                               

                              ส่วนประกอบสำคัญของ KARISMA Rh Collagen

                              KARISMA Rh Collagen เป็นผลิตภัณฑ์ที่รวมส่วนประกอบหลักสำคัญถึง 3 ชนิด เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่เสริมพลังในการรักษากันเป็นอย่างดี

                               

                              ส่วนประกอบหลักของ KARISMA Rh Collagen  อย่างที่ 1  คือ Collagen Polypeptidic a1 Chain R (Rh Collagen®)

                              • คอลลาเจนที่มีความคล้าย DNA ของมนุษย์ 99.9% สกัดจากหนอนไหม
                              • มีความปลอดภัยสูง โอกาสแพ้น้อยมาก

                              ส่วนประกอบหลักของ KARISMA Rh Collagen  อย่างที่ 2  คือ Macromolecular High Weight Hyaluronic Acid (HA)

                              • HA แบบน้ำหนักโมเลกุลสูง ช่วยเติมเต็มผิวและเพิ่มความชุ่มชื้น
                              • ให้ผลลัพธ์ทันทีหลังฉีด

                              ส่วนประกอบหลักของ KARISMA Rh Collagen  อย่างที่ 3  คือ Carboxymethylcellulose (CMC)

                              • เพิ่มประสิทธิภาพของ HA และช่วยยืดอายุความชุ่มชื้นในผิว

                               

                              กระบวนการทำงานของ KARISMA Rh Collagen

                               

                              KARISMA Rh Collagen ทำงานโดยการฉีด Rh Collagen เข้าไปในผิวเพื่อกระตุ้นกระบวนการสร้างคอลลาเจนธรรมชาติในไฟโบรบลาสต์ ซึ่งช่วยให้ผิวฟื้นฟูตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ Hyaluronic Acid และ Carboxymethylcellulose ยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและปรับปรุงโครงสร้างผิวให้เหมาะสมสำหรับการฟื้นฟู

                              ผลลัพธ์หลังการฉีด KARISMA Rh Collagen

                              • ทันทีหลังฉีด KARISMA Rh Collagen : ผิวดูอิ่มฟู กระชับ และริ้วรอยลดลง
                              • ผลระยะยาวของการฉีด KARISMA Rh Collagen : การกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนช่วยให้ผิวดูแข็งแรงและยืดหยุ่นยาวนาน

                              การฉีด KARISMA Rh Collagen

                              • เข็มแรกของการฉีด KARISMA Rh Collagen : ฉีดครั้งแรกเพื่อเริ่มต้นกระบวนการฟื้นฟู
                              • เข็มที่สองของการฉีด KARISMA Rh Collagen (30 วันหลังจากเข็มแรก) : เสริมผลลัพธ์และยืดอายุการดูแลผิว
                              • เข็มเสริมของการฉีด KARISMA Rh Collagen  (4-6 เดือนหลังเข็มที่สอง) : เพิ่มประสิทธิภาพการฟื้นฟูคอลลาเจน

                               

                              จุดเด่นของ KARISMA Rh Collagen

                              1. KARISMA Rh Collagen  เป็น Recombinant Human Collagen ตัวแรกในโลกที่เป็นเทคโนโลยีที่ก้าวข้ามขีดจำกัดของการฟื้นฟูผิว
                              2. KARISMA Rh Collagen เป็นผลิตภัณฑ์สูตรลิขสิทธิ์เฉพาะที่ ผสานสารสำคัญ 3 ชนิดเพื่อผลลัพธ์สูงสุด
                              3. KARISMA Rh Collagen มีความปลอดภัยสูง จึงทำให้เกิดโอกาสแพ้น้อยมาก เนื่องจากมีส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ที่คล้าย DNA ของมนุษย์
                              4. KARISMA Rh Collagen มีราคาเข้าถึงได้จึงทำให้มีผลลัพธ์ที่คุ้มค่าในราคาที่เหมาะสม

                               

                              KARISMA Rh Collagen เหมาะกับใคร
                              KARISMA Rh Collagen เหมาะกับใคร

                               

                              KARISMA Rh Collagen เหมาะกับใคร

                              • KARISMA Rh Collagen เหมาะกับ ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวให้ดูอ่อนเยาว์และสุขภาพดี
                              • KARISMA Rh Collagen เหมาะกับ ผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยและร่องลึก เช่น ร่องแก้มและริ้วรอยใต้ตา
                              • KARISMA Rh Collagen เหมาะกับ ผู้ที่ต้องการยกกระชับผิวและเพิ่มความยืดหยุ่น
                              • KARISMA Rh Collagen เหมาะกับ ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูหลุมสิวและปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ

                               

                              Bio-Restorative และ Biostimulator ต่างกันอย่างไร

                              • Bio-Restorative

                              เป็นการฟื้นฟูผิวโดยเน้นการเติมเต็มหรือซ่อมแซมส่วนที่ขาดหายไปในผิว เช่น การเพิ่มความชุ่มชื้น การฟื้นฟูคอลลาเจนที่เสื่อมสภาพ หรือการปรับสมดุลของผิว

                              • Biostimulator


                              เป็นการกระตุ้นกระบวนการสร้างคอลลาเจนหรือเส้นใยใต้ผิวหนังของร่างกายโดยอาศัยสารที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดการตอบสนองโดยการสร้างคอลลาเจน ใต้ผิวในระยะยาว

                               

                              กลไกการทำงานของ Bio-Restorative และ Biostimulator

                              Bio-Restorative

                              • เติมเต็มหรือเสริมสิ่งที่ผิวสูญเสียไป เช่น ความชุ่มชื้นหรือคอลลาเจน
                              • ผลลัพธ์จะเห็นได้ทันที เช่น ผิวดูชุ่มชื้น กระชับ หรือริ้วรอยตื้นขึ้น
                              • ไม่มีผลกระตุ้นกระบวนการสร้างคอลลาเจนใหม่ในระยะยาว

                              Biostimulator

                              • กระตุ้นให้เซลล์ผิวหนังหรือเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่
                              • ผลลัพธ์จะชัดเจนมากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป (ประมาณ 4-8 สัปดาห์หลังการฉีด) และให้ผลระยะยาว
                              • มักใช้สำหรับการฟื้นฟูโครงสร้างผิวที่หย่อนคล้อยหรือการปรับปรุงผิวที่ขาดความกระชับ

                               

                              ระยะเวลาผลลัพธ์ของ Bio-Restorative และ Biostimulator

                              Bio-Restorative

                              • ผลลัพธ์มักอยู่ได้ประมาณ 3-6 เดือน ขึ้นอยู่กับประเภทของสารที่ใช้
                              • ต้องมีการเติมซ้ำอย่างสม่ำเสมอเพื่อรักษาผลลัพธ์

                              Biostimulator

                              • ผลลัพธ์อยู่ได้ยาวนานกว่า 12-24 เดือน เพราะสารที่ใช้ช่วยกระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อใหม่อย่างต่อเนื่อง
                              • ระยะเวลาขึ้นอยู่กับประเภทของสารที่ฉีดและการตอบสนองของร่างกาย

                               

                              Bio-Restorative และ Biostimulator เหมาะกับใคร

                              Bio-Restorative

                              • ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวในระยะสั้น เน้นความชุ่มชื้นหรือการบำรุงผิวที่อ่อนล้า
                              • ผู้ที่ต้องการปรับปรุงผิวในบริเวณที่บอบบาง เช่น รอบดวงตาหรือริมฝีปาก

                              Biostimulator

                              • ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ระยะยาวและต้องการฟื้นฟูผิวที่เสื่อมสภาพอย่างรุนแรง
                              • ผู้ที่ต้องการปรับปรุงโครงสร้างผิวให้ดูอ่อนเยาว์ เช่น ผิวหย่อนคล้อยหรือริ้วรอยลึก

                               

                              รวมคำถามของ Karisma
                              รวมคำถามของ Karisma

                              ปรียบเทียบการทำงานของ KARISMA Rh Collagen กับ Radiesse

                              1. ส่วนประกอบหลักของ KARISMA Rh Collagen กับ Radiesse

                               

                              KARISMA Rh Collagen

                              • มีส่วนประกอบหลักคือคอลลาเจนชนิดที่ 1 ที่ได้จากกระบวนการทางวิศวกรรมชีวภาพ (Recombinant Human Collagen)
                              • เน้นการเติมความชุ่มชื้น เพิ่มความยืดหยุ่น และช่วยฟื้นฟูผิว
                              • ไม่มีส่วนผสมของแคลเซียมหรือสารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนแบบถาวร

                               

                              Radiesse

                              • ส่วนประกอบหลักคือ Calcium Hydroxylapatite (CaHA) ซึ่งเป็นสารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนตามธรรมชาติในร่างกาย
                              • ทำหน้าที่เป็นฟิลเลอร์เพื่อเติมเต็มร่องลึก และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ในระยะยาว

                              2. วัตถุประสงค์การใช้งานของ KARISMA Rh Collagen กับ Radiesse

                               

                              KARISMA Rh Collagen

                              • ใช้เพื่อฟื้นฟูสภาพผิว ทำให้ผิวชุ่มชื้นและเรียบเนียนขึ้น
                              • เหมาะกับผู้ที่ต้องการปรับปรุงผิวโดยรวมโดยไม่ต้องการการเติมเต็มแบบถาวร
                              • นิยมใช้ในบริเวณที่ผิวขาดความยืดหยุ่น เช่น ใบหน้า ลำคอ และหลังมือ

                              Radiesse

                              • ออกแบบมาเพื่อเติมเต็มริ้วรอยลึก เช่น ร่องแก้มลึก หรือปรับรูปหน้า เช่น คางและกรอบหน้า
                              • มีคุณสมบัติเป็นทั้งฟิลเลอร์และตัวกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนระยะยาว
                              • ใช้สำหรับการแก้ไขปัญหาโครงสร้างใบหน้าและผิวหนังที่หย่อนคล้อย

                               

                              KARISMA ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล
                              KARISMA ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

                               

                              3. ระยะเวลาผลลัพธ์ของ KARISMA Rh Collagen กับ Radiesse

                               

                              KARISMA Rh Collagen

                              • ผลลัพธ์อยู่ได้ประมาณ 4-6 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลหลังทำ
                              • ผลที่ได้มักจะค่อยเป็นค่อยไป เน้นความเป็นธรรมชาติ

                              Radiesse

                              • ผลลัพธ์สามารถอยู่ได้ประมาณ 12-18 เดือน เนื่องจากสาร CaHA กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่
                              • เห็นผลทันทีหลังฉีด และผลระยะยาวจะชัดเจนยิ่งขึ้นใน 2-3 เดือนหลังการรักษา

                              4. ข้อจำกัดของ KARISMA Rh Collagen กับ Radiesse

                               

                              KARISMA Rh Collagen

                              • ไม่เหมาะสำหรับการเติมเต็มริ้วรอยลึกหรือปรับโครงสร้างใบหน้า
                              • ผลลัพธ์อาจไม่ชัดเจนในผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยหรือการสูญเสียโครงสร้างผิวอย่างรุนแรง

                              Radiesse

                              • ไม่เหมาะสำหรับการใช้ในบริเวณที่ผิวบางมาก เช่น รอบดวงตา
                              • อาจเกิดผลข้างเคียง เช่น การจับตัวเป็นก้อน หากฉีดในชั้นผิวที่ไม่เหมาะสม

                               

                              KARISMA ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล
                              KARISMA ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

                               

                              5. KARISMA Rh Collagen กับ Radiesse เหมาะกับใคร

                               

                              KARISMA Rh Collagen

                              • เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวอย่างเป็นธรรมชาติ และเน้นการบำรุงผิวโดยรวม
                              • ผู้ที่ไม่ต้องการการเปลี่ยนแปลงที่เห็นชัดเจนแบบทันที

                              Radiesse

                              • เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปรับโครงสร้างใบหน้า เติมเต็มริ้วรอยลึก หรือฟื้นฟูผิวที่สูญเสียคอลลาเจนอย่างชัดเจน
                              • ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ระยะยาว

                               

                              เปรียบเทียบการทำงานของ KARISMA Rh Collagen กับ Profhilo

                               

                              1. ส่วนประกอบหลักของ KARISMA Rh Collagen กับ Profhilo

                               

                              KARISMA Rh Collagen

                              • ใช้คอลลาเจนมนุษย์ หรือ Recombinant Human Collagen ที่มีโครงสร้างคล้ายกับคอลลาเจนในร่างกายของคนเรา

                              Profhilo:

                              • ใช้กรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid) ในความเข้มข้นสูง ซึ่งช่วยกักเก็บน้ำในผิวและเพิ่มความชุ่มชื้น

                               

                              2. วัตถุประสงค์การใช้งาน KARISMA Rh Collagen กับ Profhilo

                               

                              KARISMA Rh Collagen

                              • เติมเต็มและซ่อมแซมโครงสร้างผิวโดยตรง
                              • เสริมสร้างคอลลาเจนในผิว
                              • ลดเลือนริ้วรอยและเพิ่มความกระชับของผิว

                               

                              Profhilo

                              • เพิ่มความชุ่มชื้นในผิว
                              • กระตุ้นให้ผิวผลิตคอลลาเจนและอิลาสตินเองตามธรรมชาติ
                              • ฟื้นฟูผิวให้ดูอ่อนเยาว์และเรียบเนียน

                               

                              KARISMA ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล
                              KARISMA ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

                               

                              3. ระยะเวลาผลลัพธ์ KARISMA Rh Collagen กับ Profhilo

                               

                              KARISMA Rh Collagen

                              • ผลลัพธ์อาจเห็นชัดในระยะยาวขึ้นอยู่กับจำนวนครั้งและความถี่ของการทำ
                              • การรักษาเป็นกระบวนการต่อเนื่องเพื่อผลลัพธ์ที่ยั่งยืน

                              Profhilo

                              • ผลลัพธ์เริ่มเห็นภายใน 4-6 สัปดาห์หลังการฉีด
                              • ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดจะได้จากการทำตามรอบการรักษาที่แพทย์แนะนำ

                              4. ข้อจำกัดของ KARISMA Rh Collagen กับ Profhilo

                               

                              KARISMA Rh Collagen

                              • อาจต้องการการรักษาหลายครั้งเพื่อเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน
                              • ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนใช้ เนื่องจากการฉีดคอลลาเจนอาจมีความเสี่ยงในบางกรณีและต้องการการดูแลเฉพาะ

                              Profhilo

                              • ผลลัพธ์อาจแตกต่างกันไปตามสภาพผิวของแต่ละบุคคล
                              • ต้องรักษาตามรอบที่กำหนดและดูแลผิวหลังการฉีดเพื่อให้ผลลัพธ์ยั่งยืน

                               

                              KARISMA ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล
                              KARISMA ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

                              5. KARISMA Rh Collagen กับ Profhilo เหมาะกับใคร

                               

                              KARISMA Rh Collagen

                              • ผู้ที่ต้องการเสริมสร้างคอลลาเจนในผิวโดยตรง
                              • ผู้ที่มีปัญหาเรื่องความแข็งแรงของผิวและต้องการลดเลือนริ้วรอย
                              • เหมาะสำหรับผู้ที่มองหาการฟื้นฟูและซ่อมแซมโครงสร้างผิวในระยะยาว

                               

                              Profhilo

                              • ผู้ที่มีผิวแห้งหรือผิวที่เริ่มมีสัญญาณของความชราเล็กน้อย
                              • ผู้ที่ต้องการเพิ่มความชุ่มชื้นและกระตุ้นให้ผิวผลิตคอลลาเจนเองตามธรรมชาติ
                              • เหมาะสำหรับการดูแลผิวที่ต้องการผลลัพธ์ที่รวดเร็วและไม่เจาะจงแค่การเติมเต็มคอลลาเจนเท่านั้น

                               

                              KARISMA ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล
                              KARISMA ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

                               

                              KARISMA Rh Collagen เป็นการใช้เทคโนโลยี Recombinant Human Collagen (Rh Collagen) ที่มีความคล้ายคลึงกับคอลลาเจนธรรมชาติในร่างกายถึง 99.9% จึงมีความปลอดภัยสูงและลดโอกาสการแพ้ ผลิตภัณฑ์นี้จัดอยู่ในประเภท Bio-Restorative ที่ไม่เพียงแต่เติมเต็มและซ่อมแซมผิวเท่านั้น แต่ยังกระตุ้นไฟโบรบลาสต์ให้สร้างคอลลาเจนใหม่อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ผิวดูเต่งตึง เรียบเนียน และอ่อนเยาว์ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยผสานส่วนประกอบสำคัญอย่าง Hyaluronic Acid (HA) ที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น และ Carboxymethylcellulose (CMC) ที่ยืดอายุผลลัพธ์ นอกจากนี้ KARISMA Rh Collagen ยังสามารถใช้งานในหลายบริเวณของใบหน้าและร่างกาย เช่น ใบหน้า ลำคอ หลังมือ และรอยแผลเป็น เพื่อแก้ไขปัญหาหลายประการของผิว ไม่ว่าจะเป็นริ้วรอย ร่องแก้ม หรือปัญหาผิวหย่อนคล้อย อีกทั้งยังเปรียบเทียบได้กับผลิตภัณฑ์อื่น ๆ เช่น Profhilo และ Radiesse ซึ่งมีวิธีการทำงานและจุดเด่นที่แตกต่างกัน โดย KARISMA Rh Collagen เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวแบบองค์รวมและยั่งยืน ด้วยผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติและสามารถตอบโจทย์การดูแลผิวในทุกมิติของความงามและสุขภาพผิวได้อย่างครบถ้วน สนใจสอบถามได้ที่ช่องทางออนไลน์ของรมย์รวินท์คลินิกทุกช่องทาง >>https://www.facebook.com/RomrawinClinic

                              ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                วันที่สะดวกในการติดต่อ








                                รู้ลึก รู้จริง Ultherapy เทคโนโลยียกกระชับผิวที่ดีที่สุด

                                Ultherapy คืออะไร

                                ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                  วันที่สะดวกในการติดต่อ








                                  รู้ลึก รู้จริง! Ultherapy เทคโนโลยียกกระชับผิวที่ดีที่สุด

                                  ในยุคที่เทคโนโลยีความงามก้าวหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง การยกกระชับผิวหน้าโดยไม่ต้องผ่าตัด ได้กลายเป็นเทรนด์ที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย สำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูความอ่อนเยาว์ให้ผิวดูเต่งตึง กระชับ และสดใสอีกครั้ง โดยไม่ต้องเจ็บตัวหรือใช้เวลาพักฟื้นยาวนาน

                                   

                                  หนึ่งในเทคโนโลยีที่โดดเด่นและได้รับการยอมรับทั่วโลกคือ Ultherapy เทคโนโลยีที่ใช้พลังงานคลื่นเสียงอัลตราซาวนด์ที่มีความแม่นยำสูง ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวลึกอย่างตรงจุด ยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อยได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องผ่าตัดศัลยกรรมดึงหน้า

                                   

                                  บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับ Ultherapy อย่างละเอียด ทั้งหลักการทำงาน จุดเด่น ขั้นตอนการรักษา และคำแนะนำการดูแลผิวหลังทำ เพื่อให้คุณมั่นใจ และพร้อมสำหรับการยกระดับความงามอย่างปลอดภัย และได้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจที่สุด

                                   

                                  Ultherapy เทคโนโลยียกกระชับผิว ทางเลือกดึงหน้ายกเรียวที่ดีที่สุด
                                  Ultherapy เทคโนโลยียกกระชับผิว ทางเลือกดึงหน้ายกเรียวที่ดีที่สุด

                                   

                                  Ultherapy คืออะไร Ultherapy เทคโนโลยียกกระชับผิว ทางเลือกดึงหน้ายกเรียวที่ดีที่สุด

                                  ใช้เทคโนโลยี Ultrasound ที่มีประสิทธิภาพสูง

                                  • Ultherapy ใช้คลื่นเสียงความถี่สูง ใช้พลังงาน Focused Ultrasound เพื่อส่งพลังงานลงลึกถึงชั้นผิว SMAS (Superficial Musculo-Aponeurotic System) ซึ่งเป็นชั้นผิวที่ศัลยแพทย์ใช้ในการผ่าตัดดึงหน้า แต่ Ultherapy สามารถทำได้โดยไม่ต้องผ่าตัดหรือพักฟื้น

                                  กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่

                                  • คลื่นอัลตราซาวนด์ ช่วยกระตุ้นกระบวนการสร้างคอลลาเจนใหม่ในชั้นผิวหนัง ทำให้ผิวกระชับและยืดหยุ่นได้ดีขึ้นตามธรรมชาติ ลดริ้วรอยและความหย่อนคล้อยในระยะยาว

                                  เห็นผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ

                                  • หลังการทำ Ultherapy ผิวจะค่อย ๆ ยกกระชับและดูอ่อนเยาว์ขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ โดยเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนภายใน 2-3 เดือน และผลลัพธ์อยู่ได้นานถึง 1-2 ปีขึ้นอยู่กับการดูแลในแต่ละบุคคล

                                  ได้รับการรับรองจาก FDA

                                  • Ultherapy ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (US FDA) และองค์การอาหารและยาของประเทศไทย (อย.) ว่าปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการยกกระชับผิวบริเวณใบหน้า ลำคอ และใต้คาง รวมถึงช่วยยกคิ้ว

                                  ความแม่นยำสูง

                                  • ระบบมองเห็นชั้นผิวแบบเรียลไทม์ ช่วยให้แพทย์สามารถมองเห็นชั้นผิวที่กำลังทำการรักษาในขณะนั้น ทำให้การรักษามีความแม่นยำและตรงจุดมากยิ่งขึ้น

                                   

                                  ยกกระชับผิวหน้า Ultherapy คืออะไร ?

                                  Ultherapy คือ เทคโนโลยียกกระชับผิวหน้าด้วยคลื่นเสียงอัลตราซาวนด์ที่มีความแม่นยำสูง สามารถส่งพลังงานลงลึกถึงชั้นผิวหนังแท้และชั้น SMAS แบบไม่ต้องผ่าตัด ซึ่งพลังงานอัลตราซาวนด์จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ ทำให้ผิวตึงกระชับ แลดูอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ

                                   

                                  เทคโนโลยี Ultherapy ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (FDA) มีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการยกกระชับผิวบริเวณใบหน้า ลำคอ และใต้คาง อีกทั้งยังช่วยปรับรูปหน้าให้ดูเรียวขึ้น ลดความหย่อนคล้อย และฟื้นฟูความยืดหยุ่นให้กับผิวหน้าอย่างเห็นได้ชัด

                                   

                                  ยกกระชับผิวหน้า Ultherapy จึงเป็นทางเลือกที่สมบูรณ์แบบสำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับผิวโดยไม่ต้องผ่าตัด ซึ่งเหมาะกับไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ที่สุด

                                   

                                  หลักการทำงานของยกกระชับผิวหน้า Ultherapy
                                  หลักการทำงานของยกกระชับผิวหน้า Ultherapy

                                   

                                  หลักการทำงานของยกกระชับผิวหน้า Ultherapy 

                                  เทคโนโลยีอัลตราซาวนด์ (Micro Focused Ultrasound)

                                  • ยกกระชับผิวหน้า Ultherapy ใช้เทคโนโลยีอัลตราซาวนด์ (MFU) เป็นพลังงานคลื่นเสียงความถี่สูงที่สามารถส่งผ่านพลังงานลงสู่ชั้นผิวลึกได้อย่างแม่นยำ โดยพลังงานจะถูกโฟกัสไปยังจุดที่ต้องการรักษา เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่และฟื้นฟูผิวจากภายในสู่ภายนอก

                                   

                                  กลไกการทำงานลงลึกถึงชั้น SMAS

                                  • ชั้น SMAS เป็นชั้นเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังที่ศัลยแพทย์ใช้เป็นจุดในการยกกระชับผิวหน้าในการผ่าตัดดึงหน้า ซึ่ง Ultherapy สามารถส่งพลังงานลงลึกถึงชั้น SMAS โดยไม่ต้องผ่าตัด ทำให้ผิวตึงกระชับขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ

                                   

                                  กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่อย่างเป็นธรรมชาติ

                                  • พลังงานคลื่นอัลตราซาวนด์ของ Ultherapy จะกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่อย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งกระบวนการนี้ค่อย ๆ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผิวดูยกกระชับ เรียบเนียน และอ่อนเยาว์ขึ้น

                                   

                                  รวมข้อดีของการทำยกกระชับผิวหน้า Ultherapy

                                  • Ultherapy ยกกระชับผิวหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างตรงจุดและเห็นผลชัดเจน
                                  • หลังทำ Ultherapy ผิวจะยกกระชับและดูอ่อนเยาว์ขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ 
                                  • Ultherapy เป็นหัตถการที่ไม่ต้องผ่าตัด จึงไม่มีแผล ลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อ
                                  • หลังทำ Ultherapy ไม่ต้องพักฟื้น สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ทันที
                                  • Ultherapy ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ใต้ชั้นผิว
                                  • Ultherapy สามารถทำได้กับทุกสภาพผิว โดยไม่ต้องกังวลเรื่องสีผิว
                                  • ผลลัพธ์จาก Ultherapy สามารถอยู่ได้นานถึง 1-2 ปี ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลหลังทำ
                                  • Ultherapy ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา มีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ 

                                   

                                  ใครบ้างที่เหมาะกับการทำยกกระชับผิวหน้า Ultherapy
                                  ใครบ้างที่เหมาะกับการทำยกกระชับผิวหน้า Ultherapy

                                   

                                  ใครบ้างที่เหมาะกับการทำยกกระชับผิวหน้า Ultherapy

                                  การทำยกกระชับผิวหน้า Ultherapy เป็นเทคโนโลยียกกระชับผิวแบบไม่ต้องผ่าตัด ซึ่งสามารถตอบโจทย์ได้หลากหลายกลุ่มคนที่มีปัญหาผิวต่าง ๆ ดังนี้

                                  • Ultherapy เหมาะกับ ผู้ที่เริ่มสังเกตเห็นปัญหาผิวหย่อนคล้อย เช่น บริเวณแก้ม แนวกราม หรือคางสองชั้น
                                  • Ultherapy เหมาะกับ ผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยเล็ก ๆ บนใบหน้า เช่น ริ้วรอยรอบดวงตา หน้าผาก และร่องแก้ม
                                  • Ultherapy เหมาะกับ ผู้ที่มีปัญหาหนังตาตก ผิวรอบดวงตาหย่อนคล้อย
                                  • Ultherapy เหมาะกับ ผู้ที่มีปัญหาผิวหมองคล้ำ ไม่สดใส ผิวไม่กระชับ
                                  • Ultherapy เหมาะกับ ผู้ที่ต้องการยกกระชับผิวหน้าแบบไม่ต้องผ่าตัด ไม่เจ็บตัว 
                                  • Ultherapy เหมาะกับ ผู้ที่ต้องการยกกระชับผิวหน้าอย่างเป็นธรรมชาติ
                                  • Ultherapy เหมาะกับ ผู้ที่น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ผิวหน้าหย่อนคล้อย
                                  • Ultherapy เหมาะกับ ผู้ที่ต้องการแก้ไขปัญหาความหย่อนคล้อยบริเวณลำคอและเนินอก
                                  • Ultherapy เหมาะกับ ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่ยาวนานโดยไม่ต้องทำซ้ำบ่อยครั้ง
                                  • Ultherapy เหมาะกับ ผู้ที่ไม่มีเวลาพักฟื้นจากการผ่าตัด
                                  • Ultherapy เหมาะกับ ผู้ที่เริ่มมีสัญญาณของความหย่อนคล้อยตั้งแต่อายุ 30 ปีขึ้นไป

                                   

                                  ใครบ้างที่ไม่เหมาะกับการทำยกกระชับผิวหน้า Ultherapy 

                                  แม้ว่า Ultherapy จะเป็นเทคโนโลยีที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ในการยกกระชับผิวแบบไม่ต้องผ่าตัด แต่ก็ยังมีข้อจำกัดและกลุ่มคนที่อาจไม่เหมาะกับการทำยกกระชับผิวหน้า Ultherapy ดังนี้

                                  • Ultherapy ไม่เหมาะกับ ผู้ที่มีผิวหนังหย่อนคล้อยมากเกินไป
                                  • Ultherapy ไม่เหมาะกับ สตรีที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
                                  • Ultherapy ไม่เหมาะกับ ผู้ที่เป็นโรคผิวหนังเฉียบพลัน เช่น โรคงูสวัด, โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง, หรือโรคผิวหนังอักเสบ
                                  • Ultherapy ไม่เหมาะกับ ผู้ที่มีบาดแผลเปิดหรือการติดเชื้อที่ผิวหนัง ควรรอให้แผลหายสนิทก่อน
                                  • Ultherapy ไม่เหมาะกับ ผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ผู้ป่วย HIV/AIDS
                                  • Ultherapy ไม่เหมาะกับ ผู้ที่มีโรคเกี่ยวกับเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน เช่น โรค Scleroderma (ผิวหนังแข็ง)
                                  • Ultherapy ไม่เหมาะกับ ผู้ที่ใส่อุปกรณ์ทางการแพทย์ในร่างกายบริเวณใบหน้า
                                  • Ultherapy ไม่เหมาะกับ ผู้ที่มีโรคประจำตัวรุนแรง เช่น โรคหัวใจ, โรคเบาหวานที่ควบคุมไม่ได้ หรือโรคไทรอยด์
                                  • Ultherapy ไม่เหมาะกับ ผู้ที่มีปัญหาผิวบางและไวต่อความร้อนมากเกินไป
                                  • Ultherapy ไม่เหมาะกับ ผู้ที่รับประทานยาบางชนิดที่มีผลข้างเคียงทำให้ผิวไวต่อแสงหรือความร้อน
                                  • Ultherapy ไม่เหมาะกับ ผู้ที่มีอาการเส้นประสาทใบหน้าผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับการรักษา

                                   

                                  บริเวณที่สามารถทำยกกระชับผิวหน้า Ultherapy ได้

                                  เทคโนโลยี Ultherapy สามารถใช้ได้กับหลายบริเวณของร่างกาย ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย ริ้วรอย หรือขาดความกระชับ ดังนี้

                                  • Ultherapy ทำบริเวณทั่วใบหน้า : แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยทั่วใบหน้า ปรับกรอบหน้าให้ชัดเจน
                                  • Ultherapy ทำบริเวณหน้าผากและคิ้ว : ช่วยยกคิ้วและลดความหย่อนคล้อยบริเวณหน้าผาก
                                  • Ultherapy ทำบริเวณรอบดวงตาได้ : ยกกระชับเปลือกตาบน ลดถุงใต้ตา
                                  • Ultherapy ทำบริเวณแก้ม : กระชับผิวหย่อนคล้อยบริเวณแก้ม เติมเต็มร่องแก้มให้ดูตื้นขึ้น
                                  • Ultherapy ทำบริเวณแนวกราม : ยกกระชับผิวใต้คางและกรอบหน้า กำจัดเหนียงใต้คาง
                                  • Ultherapy ทำบริเวณคาง : ลดความหย่อนคล้อยใต้คาง ปรับคางให้เรียวและกระชับ
                                  • Ultherapy ทำบริเวณลำคอ : กระชับผิวหย่อนคล้อยและลดริ้วรอยบริเวณลำคอ
                                  • Ultherapy ทำบริเวณเนินอก : ลดริ้วรอยและความหย่อนคล้อยบริเวณเนินอก

                                   

                                  เตรียมตัวก่อนทำ Ultherapy เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

                                  • ก่อนยกกระชับผิวหน้า Ultherapy ควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับ Ultherapy ให้เข้าใจ
                                  • ก่อนยกกระชับผิวหน้า Ultherapy ควรปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนการรักษาให้เหมาะสม
                                  • ก่อนยกกระชับผิวหน้า Ultherapy ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อย 7-8 ชั่วโมง
                                  • ก่อนยกกระชับผิวหน้า Ultherapy ควรทาครีมกันแดดที่มี SPF50 PA+++ เพื่อปกป้องผิว
                                  • ก่อนยกกระชับผิวหน้า Ultherapy หลีกเลี่ยงการใช้ยาบางชนิด เช่น ไอบูโพรเฟน หรือแอสไพริน อย่างน้อย 1 สัปดาห์
                                  • ก่อนยกกระชับผิวหน้า Ultherapy งดทานอาหารเสริมบางชนิด เช่น วิตามินอี, โสม, กระเทียมสกัด และ น้ำมันปลา
                                  • ก่อนยกกระชับผิวหน้า Ultherapy หลีกเลี่ยงการโดนแดดจัด ประมาณ 1 สัปดาห์
                                  • ก่อนยกกระชับผิวหน้า Ultherapy หลีกเลี่ยงการทำเลเซอร์ ประมาณ 2 สัปดาห์
                                  • ก่อนยกกระชับผิวหน้า Ultherapy หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ อย่างน้อย 24 ชั่วโมง

                                   

                                  ขั้นตอนการทำยกกระชับผิวหน้า Ultherapy

                                  1. แพทย์จะประเมินปัญหาผิวและโครงสร้างใบหน้า วางแผนจุดที่ต้องการรักษาและกำหนดพลังงานของ Ultherapy ที่เหมาะสม
                                  2. ทำความสะอาดใบหน้าเพื่อขจัดสิ่งสกปรกและคราบเครื่องสำอาง
                                  3. ทายาชาหรือให้ยาชาเฉพาะที่ ขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้เข้ารับบริการ
                                  4. แพทย์จะวาดจุดหรือเส้นกำหนดบริเวณที่จะทำการรักษา เพื่อความแม่นยำ
                                  5. แพทย์จะใช้หัวอุปกรณ์ Ultherapy วางลงบนผิวบริเวณที่ต้องการรักษา
                                  6. แพทย์จะส่งพลังงานคลื่นอัลตราซาวนด์ลงสู่ชั้นผิว SMAS พลังงานที่ส่งไปจะกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่
                                  7. หลังทำเสร็จ แพทย์จะตรวจสอบสภาพผิวและผลลัพธ์เบื้องต้น และให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลผิวหลังทำยกกระชับผิวหน้า Ultherapy

                                   

                                  การดูแลหลังทำยกกระชับผิวหน้า Ultherapy

                                  • หลังทำยกกระชับผิวหน้า Ultherapy ควรทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF50 PA+++ และทาซ้ำทุก 2-3 ชั่วโมง
                                  • หลังทำยกกระชับผิวหน้า Ultherapy ควรดื่มน้ำให้เพียงพออย่างน้อย 8 แก้วต่อวัน
                                  • หลังทำยกกระชับผิวหน้า Ultherapy ควรใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่ให้ความชุ่มชื้นสูงอย่างสม่ำเสมอ
                                  • หลังทำยกกระชับผิวหน้า Ultherapy หลีกเลี่ยงการโดนแสงแดดจัดโดยตรง
                                  • หลังทำยกกระชับผิวหน้า Ultherapy หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มี AHA, BHA, Retinol และ Vitamin C เป็นเวลา 1 สัปดาห์
                                  • หลังทำยกกระชับผิวหน้า Ultherapy หลีกเลี่ยงการนวดหน้า เป็นเวลา 2 สัปดาห์
                                  • หลังทำยกกระชับผิวหน้า Ultherapy งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่ อย่างน้อย 48 ชั่วโมงหลังทำ
                                  • หลังทำยกกระชับผิวหน้า Ultherapy หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้ร่างกายร้อนจัด เช่น ซาวน่า, อบไอน้ำ หรือออกกำลังกายหนัก

                                   

                                  เปรียบเทียบยกกระชับผิวหน้า Ultherapy กับเทคโนโลยียกกระชับอื่น ๆ
                                  เปรียบเทียบยกกระชับผิวหน้า Ultherapy กับเทคโนโลยียกกระชับอื่น ๆ

                                   

                                  เปรียบเทียบยกกระชับผิวหน้า Ultherapy กับเทคโนโลยียกกระชับอื่น ๆ  Ultherapy คืออะไร

                                  Ultherapy

                                  • ใช้พลังงานคลื่นอัลตราซาวนด์ความถี่สูง (Focused Ultrasound) ยิงลงลึกถึงชั้น SMAS เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและยกกระชับผิวจากภายใน โดยสามารถลงลึกได้ถึงชั้น SMAS (4.5 มม.) ซึ่งเป็นชั้นเดียวกับที่ศัลยแพทย์ใช้ในการผ่าตัดดึงหน้า ทำให้ผิวหน้ายกกระชับขึ้น กรอบหน้าชัดเจน ผิวเรียบเนียนและดูอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อยระดับปานกลางถึงมาก และต้องการยกกระชับโดยไม่ต้องผ่าตัด

                                   

                                  HIFU

                                  • ใช้พลังงานคลื่นอัลตราซาวนด์ความถี่สูง ยิงลงไปในชั้นผิวเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและยกกระชับผิว ลงได้ลึกถึงชั้น SMAS ช่วยให้ผิวหน้าดูกระชับขึ้น ริ้วรอยตื้น ๆ จางลง กรอบหน้าชัดขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยเล็กน้อยถึงปานกลาง

                                   

                                  Thermage

                                  • ใช้พลังงานคลื่นวิทยุความถี่สูง (RF) ส่งพลังงานความร้อนลงไปในชั้นหนังแท้ (Dermis) เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้ผิวดูกระชับ เนียนเรียบ ลดริ้วรอยและร่องลึกเล็ก ๆ บนผิวหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยในระดับตื้นถึงกลาง

                                   

                                  ร้อยไหม

                                  • เป็นการใช้เส้นไหมละลายร้อยเข้าใต้ผิวหนังเพื่อดึงและยกกระชับผิวหน้าชั้นใต้ผิวหนัง สามารถยกกระชับใบหน้า กรอบหน้าชัดทันที เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่เห็นได้ทันที ซึ่งสามารถยกกระชับใบหน้าได้ชัดเจน เห็นผลเร็ว แต่ผลลัพธ์ไม่ยั่งยืน และอาจมีอาการบวมช้ำ

                                   

                                  ฉีดโบยกกระชับ

                                  • เป็นการฉีดสารออกฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อ เพื่อลดการทำงานของกล้ามเนื้อ ฉีดเข้าไปยังผิวหนังชั้นกล้ามเนื้อ ช่วยลดริ้วรอย ลดร่องลึก ยกกระชับบางจุด เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดริ้วรอยและยกกระชับในบางจุด เป็นหัตถการที่เห็นผลลัพธ์เร็ว ราคาเข้าถึงง่าย แต่ต้องฉีดซ้ำบ่อยครั้งเพื่อรักษาผลลัพธ์อย่างต่อเนื่อง

                                   

                                  การผ่าตัดศัลยกรรมดึงหน้า

                                  • เป็นการผ่าตัดยกกระชับผิวและกล้ามเนื้อใบหน้าบริเวณชั้น SMAS และลึกกว่านั้น ช่วยยกกระชับผิวหน้าได้อย่างชัดเจนและถาวร แต่ต้องพักฟื้นนานกว่าวิธียกกระชับแบบอื่น ๆ

                                   

                                  ทำ Ultherapy ที่ไหนดี ให้ปลอดภัยและได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด?
                                  ทำ Ultherapy ที่ไหนดี ให้ปลอดภัยและได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด?

                                   

                                  ทำ Ultherapy ที่ไหนดี ให้ปลอดภัยและได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด?

                                  การทำยกกระชับผิวหน้า Ultherapy เป็นหัตถการยกกระชับผิวหน้าที่ต้องอาศัยเทคโนโลยีที่ได้มาตรฐานและความเชี่ยวชาญของแพทย์ผู้ให้บริการ ดังนั้นการเลือกสถานที่ที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด โดยพิจารณาจากปัจจัย ดังต่อไปนี้

                                  • เลือกคลินิกหรือสถานพยาบาลที่ได้รับการรับรอง

                                  ควรเลือกคลินิกหรือสถานพยาบาลที่มี ใบอนุญาตประกอบกิจการ จากกระทรวงสาธารณสุข อย่างถูกต้อง สถานที่ต้องมี มาตรฐานความสะอาด ปลอดภัย และถูกสุขอนามัย รวมไปถึงอุปกรณ์ที่ใช้ต้องผ่านการรับรองจาก US FDA (องค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกา) และ อย. ไทย

                                  • แพทย์ที่มีความรู้เฉพาะทาง

                                  การทำยกกระชับผิวหน้า Ultherapy ควรดำเนินการโดย แพทย์ผู้มีความรู้ที่มีประสบการณ์สูง ซึ่งแพทย์ต้องมี ใบประกอบวิชาชีพเวชกรรมอย่างถูกต้อง จากแพทยสภา เท่านั้น 

                                  • ใช้เครื่อง Ultherapy ของแท้

                                  ตรวจสอบว่าคลินิกหรือสถานพยาบาลนั้น ใช้เครื่อง Ultherapy ของแท้จากบริษัท Merz Aesthetics ผู้ผลิตโดยตรงหรือไม่ โดยสามารถขอดู ใบรับรอง (Certificate) หรือ Serial Number ของเครื่อง Ultherapy ได้

                                  • รีวิวจากผู้ใช้จริง

                                  ควรศึกษา รีวิวจากผู้ใช้บริการจริง ทั้งบนเว็บไซต์ โซเชียลมีเดีย หรือช่องทางต่าง ๆ และดูภาพ ก่อนและหลังการรักษา เพื่อดูผลลัพธ์ที่ชัดเจน สมจริง สำหรับการประกอบการตัดสินใจก่อนเลือกทำยกกระชับผิวหน้า Ultherapy

                                  • ขั้นตอนการให้บริการที่โปร่งใส

                                  คลินิกต้องมีขั้นตอนการปรึกษาที่ชัดเจน ตั้งแต่การวิเคราะห์ปัญหาผิวหน้า การอธิบายวิธีการรักษา ไปจนถึงผลลัพธ์ที่คาดหวังได้ รวมไปถึงมีการแจ้ง ค่าใช้จ่ายที่โปร่งใส ไม่มีการบังคับขายคอร์สหรือค่าใช้จ่ายแอบแฝง

                                  • บริการหลังการทำยกกระชับผิวหน้า Ultherapy

                                  คลินิกควรมี บริการติดตามผลหลังการรักษา อย่างสม่ำเสมอ และสามารถติดต่อขอคำปรึกษาได้หากมี อาการผิดปกติหรือข้อสงสัย หลังการรักษา

                                   

                                  Ultherapy ที่รมย์รวินท์คลินิก ยกกระชับผิวหน้าอย่างมั่นใจ ด้วยมาตรฐานระดับสากล

                                  หากกำลังมองหาสถานที่ทำ Ultherapy ที่ได้มาตรฐาน ปลอดภัย และให้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ ต้องเลือก รมย์รวินท์คลินิก คลินิกเสริมความงามชั้นนำที่มีความเชี่ยวชาญด้านการยกกระชับผิวด้วย Ultherapy โดยใช้เครื่องแท้จากบริษัท Merz Aesthetics ที่ได้รับการรับรองจาก US FDA และ อย.ไทย เท่านั้น

                                   

                                  โดยที่ รมย์รวินท์คลินิก คุณจะได้รับการดูแลจาก ทีมแพทย์เฉพาะทาง ที่มีประสบการณ์สูงในการทำ Ultherapy พร้อมให้คำปรึกษาอย่างละเอียดและวางแผนการรักษาให้เหมาะสมกับปัญหาผิว นอกจากนี้ ยังมีการติดตามผลและดูแลหลังทำอย่างใกล้ชิด เพื่อให้มั่นใจได้ว่าจะได้รับผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ผิวดูยกกระชับ เต่งตึง และอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ

                                   

                                  ตอบคำถามทุกข้อสงสัยเกี่ยวกับยกกระชับผิวหน้า Ultherapy

                                   

                                  ยกกระชับผิวหน้า Ultherapy เจ็บไหม?

                                  • ในระหว่างการทำยกกระชับผิวหน้า Ultherapy อาจรู้สึกจี๊ด ๆ หรืออุ่น ๆ ใต้ผิวหนัง ซึ่งเกิดจากพลังงานคลื่นอัลตราซาวนด์ที่ส่งลงไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว SMAS ระดับความเจ็บปวดขึ้นอยู่กับความไวของผิวแต่ละคน แต่โดยทั่วไปการทำยกกระชับผิวหน้า Ultherapy จะอยู่ในระดับที่อดทนได้ หากรู้สึกไม่สบายมากเกินไป สามารถแจ้งแพทย์เพื่อปรับระดับพลังงานหรือใช้ยาชาเฉพาะที่ช่วยบรรเทาอาการได้

                                   

                                  อายุเท่าไหร่ถึงเหมาะกับการทำยกกระชับผิวหน้า Ultherapy?

                                  • โดยทั่วไป Ultherapy เหมาะกับผู้ที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป ซึ่งเป็นช่วงที่เริ่มมีสัญญาณของผิวหย่อนคล้อย หรือมีริ้วรอยบาง ๆ แต่ยังไม่ถึงขั้นต้องผ่าตัดดึงหน้า อย่างไรก็ตาม ผู้ที่อายุน้อยกว่านี้ก็สามารถทำ Ultherapy ได้ หากเริ่มเห็นสัญญาณของความหย่อนคล้อย หรือต้องการป้องกันปัญหาผิวก่อนที่จะเริ่มหย่อนคล้อย

                                   

                                  ยกกระชับผิวหน้า Ultherapy สามารถทำกับผิวแบบไหนได้บ้าง?

                                  • Ultherapy เหมาะกับทุกสภาพผิว ไม่ว่าจะเป็นผิวมัน ผิวแห้ง ผิวผสม หรือผิวบอบบางแพ้ง่าย เนื่องจากเทคโนโลยีของ Ultherapy จะส่งพลังงานลึกลงไปยังชั้น SMAS โดยไม่ทำลายผิวชั้นบน

                                   

                                  ยกกระชับผิวหน้า Ultherapy มีผลข้างเคียงอะไรบ้าง?

                                  • หลังทำ Ultherapy อาจพบผลข้างเคียงเล็กน้อย เช่น ผิวแดง บวมเล็กน้อย มักจะหายได้เองภายในไม่กี่ชั่วโมง 

                                   

                                  ยกกระชับผิวหน้า Ultherapy สามารถทำซ้ำได้บ่อยแค่ไหน?

                                  • โดยทั่วไป ยกกระชับผิวหน้า Ultherapy สามารถทำซ้ำได้ทุก 12-18 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและความหย่อนคล้อยของแต่ละคน แพทย์จะประเมินและแนะนำช่วงเวลาที่เหมาะสมในการทำยกกระชับผิวหน้า Ultherapy ซ้ำเพื่อรักษาผลลัพธ์ให้ยาวนาน

                                   

                                  ทำไมบางคนทำยกกระชับผิวหน้า Ultherapy ถึงเห็นผลช้ากว่าปกติ?

                                  • ระยะเวลาในการเห็นผลลัพธ์จาก Ultherapy อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับ สภาพผิว อายุ และการดูแลตัวเองหลังทำ

                                   

                                  ยกกระชับผิวหน้า Ultherapy สามารถทำร่วมกับการรักษาอื่น ๆ ได้ไหม?

                                  • สามารถทำยกกระชับผิวหน้า Ultherapy ร่วมกับหัตถการอื่น ๆ ได้ เช่น ฉีดโบยกกระชับ, ฟิลเลอร์ยกกระชับ, ร้อยไหม และเลเซอร์ อย่างไรก็ตาม ควรปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมและปลอดภัยที่สุด

                                   

                                  ยกกระชับผิวหน้า Ultherapy สามารถทำให้ผิวบางลงได้ไหม?

                                  • ยกกระชับผิวหน้า Ultherapy ไม่ได้ทำให้ผิวบางลง เนื่องจากพลังงานคลื่นอัลตราซาวนด์จะลงไปยังชั้น SMAS โดยไม่ส่งผลกระทบต่อผิวชั้นบน ตรงกันข้าม การสร้างคอลลาเจนใหม่จาก Ultherapy จะช่วยให้ผิวแข็งแรงและยืดหยุ่นมากขึ้น

                                   

                                  รวมบทสรุปทุกเรื่องของยกกระชับผิวหน้า Ultherapy

                                  ยกกระชับผิวหน้า Ultherapy คือเทคโนโลยียกกระชับผิวที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล ด้วยการใช้พลังงานคลื่นอัลตราซาวนด์ความถี่สูง ที่สามารถส่งผ่านพลังงานได้อย่างแม่นยำลึกถึงชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นผิวเดียวกับที่ศัลยแพทย์ใช้ในการผ่าตัดดึงหน้า ทำให้ผิวหน้ากระชับ กรอบหน้าชัดเจน ผิวดูเรียบเนียนและอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่ต้องผ่าตัดและไม่ต้องพักฟื้น

                                   

                                  จุดเด่นของยกกระชับผิวหน้า Ultherapy คือผลลัพธ์ที่คงทนยาวนานถึง 1-2 ปี และยังเหมาะกับทุกสภาพผิว อีกทั้งผ่านการรับรองจาก US FDA และ อย.ไทย ทำให้มั่นใจได้ถึงความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการรักษา

                                   

                                  การเลือกสถานที่ทำยกกระชับผิวหน้า Ultherapy เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ควรเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน มีอุปกรณ์แท้จาก Merz Aesthetics และดำเนินการโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์โดยตรง เพื่อให้มั่นใจได้ว่าจะได้รับผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและปลอดภัยที่สุด

                                   

                                  หากคุณกำลังมองหาวิธียกกระชับผิวที่ให้ผลลัพธ์ชัดเจน ดูเป็นธรรมชาติ และไม่ต้องผ่าตัด Ultherapy คือคำตอบที่ใช่สำหรับคุณ เพื่อให้คุณได้เผยผิวที่ยกกระชับ ดูอ่อนเยาว์ และมีความมั่นใจอีกครั้ง

                                   

                                  ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                    วันที่สะดวกในการติดต่อ








                                    Morpheus8 คืออะไร ทำงานยังไง ดียังไง ช่วยเรื่องอะไร

                                    Morpheus8

                                    ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                      วันที่สะดวกในการติดต่อ








                                      Morpheus8 เทคโนโลยีล้ำสมัย เปลี่ยนผิวยับหย่อนคล้อยให้กระชับทุกมิติ

                                      เมื่อวันและเวลาผ่านไป ผิวของคนเราย่อมมีการเปลี่ยนแปลงไปตามอายุที่เพิ่มขึ้นและปัจจัยภายนอกต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นมลภาวะ แสงแดด หรือความเครียด สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลให้ผิวหน้าเกิดปัญหาผิวยับ หย่อนคล้อย ริ้วรอยร่องลึก และรูขุมขนที่กว้างขึ้น ซึ่งเทคโนโลยีทางการแพทย์สามารถตอบโจทย์ปัญหาผิวนี้เหล่านี้ได้ 

                                       

                                      หนึ่งในเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับปัญหานี้ที่สุด คือ Morpheus8 เป็นเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาผิวโดยเฉพาะ ด้วยการผสานกันของพลังงาน Radio Frequency และ Microneedling ที่ช่วยฟื้นฟูผิวในระดับลึก ยกกระชับผิวยับ หย่อนคล้อย ให้กลับมาอ่อนเยาว์อีกครั้ง

                                       

                                      บทความนี้ จะพาคุณไปรู้จักกับ Morpheus8 เทคโนโลยีล้ำสมัยในการยกกระชับผิวหน้า ที่ รมย์รวินท์คลินิก ซึ่งมาพร้อมกับมาตรฐานการดูแลระดับพรีเมียม จากทีมแพทย์ผู้มีความรู้ ไม่เพียงแต่ช่วยยกกระชับผิว แต่ยังฟื้นฟูผิวให้กลับมาอ่อนเยาว์ และเรียบเนียนอย่างที่ต้องการ หากคุณสงสัยว่า Morpheus8 จะช่วยให้ผิวของกลับมาสดใสและยกกระชับได้อย่างไร วันนี้เรามีคำตอบสำหรับทุกคำถามที่คุณไม่ควรพลาด

                                       

                                      Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย คืออะไร
                                      Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย คืออะไร

                                       

                                      Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย คืออะไร

                                      Morpheus8 เป็นเทคโนโลยียกกระชับ ที่ช่วยแก้ปัญหาผิวยับหย่อนคล้อยให้เรียบเนียนขึ้น โดยใช้เทคโนโลยี Multi-layer Technology ที่ช่วยยกกระชับผิวหน้าด้วยการใช้เข็มทองคำ หรือเข็มเคลือบทอง 24 pin ที่ยิงพลังงานคลื่นวิทยุความถี่สูง Radio Frequency ลงบนชั้นผิวแต่ละระดับ โดยสามารถปรับความลึกของเข็มได้ตั้งแต่ 2 mm. 3 mm. และ 4 mm. ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัญหาผิวที่ต้องการทำการรักษา เทคโนโลยีนี้ช่วยทำให้การรักษาแม่นยำและปลอดภัยสูงสุด ไม่ทำร้ายชั้นผิวและไขมันใต้ชั้นผิว  ทำให้ Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย สามารถแก้ไขปัญหาผิวได้อย่างครอบคลุม

                                       

                                      Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย ทำงานอย่างไร?
                                      Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย ทำงานอย่างไร?

                                       

                                      Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย ทำงานอย่างไร?

                                      เทคโนโลยี Morpheus8 เป็นวิธีการยกกระชับผิวที่ใช้การรวมกันของ microneedling และพลังงาน radiofrequency (RF) เพื่อฟื้นฟูและยกกระชับผิวจากภายใน โดยมีหลักการทำงานที่สำคัญ ดังนี้

                                      • Microneedling

                                      เทคโนโลยียกกระชับ Morpheus8 จะใช้เข็มทองคำหรือเข็มเคลือบทอง ที่มีจำนวน 24 pin ซึ่งจะทิ่มลงบนผิว เพื่อสร้างบาดแผลขนาดเล็กในชั้นผิวหนังกำพร้าและชั้นผิวหนังแท้ เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายนั้นเริ่มกระบวนการซ่อมแซมตัวเอง สร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ ทำให้ผิวดูแน่นและกระชับขึ้น

                                      • Radio Frequency

                                      หลังจากที่เข็มทองคำทิ่มลงไปบริเวณชั้นผิวแล้ว Morpheus8 จะยิงพลังงานคลื่นวิทยุความถี่สูง RF ผ่านเข็มไปยังชั้นผิวหนังแท้และชั้นไขมัน ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน แบบไม่ทำลายผิว และยังช่วยแก้ปัญหาผิวยับ หย่อนคล้อย ลดเลือนริ้วรอย และรอยแผลเป็นจากสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

                                      • Multi-layer Technology

                                      เทคโนโลยียกกระชับ Morpheus8 สามารถทำงานลงลึกได้ถึงทุกชั้นผิว ทั้งชั้นผิวหนังกำพร้าและชั้นหนังแท้ ทำให้สามารถช่วยแก้ไขปัญหาผิวได้อย่างครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็นการยกกระชับผิว ลดเลือนริ้วรอย ลดไขมันสะสมบริเวณใบหน้า รวมไปถึงช่วยฟื้นฟูผิวหนังจากภายใน 

                                      • ระดับความลึกของพลังงาน

                                      เทคโนโลยียกกระชับ Morpheus8 มีความโดดเด่นในเรื่องของการปรับระดับความลึกของเข็มได้ตั้งแต่ 2mm. 3mm. และ 4 mm. ขึ้นอยู่กับปัญหาผิวที่ต้องการรักษา โดยแพทย์จะปรับระดับความลึกของเข็มและพลังงาน เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพผิวในแต่ละบริเวณ

                                       

                                      Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย มีข้อดีอย่างไร?

                                      เทคโนโลยียกกระชับ Morpheus8 เป็นการยกกระชับผิวที่มีข้อดีหลายประการ ทำให้เป็นเครื่องยกกระชับยอดนิยมสำหรับคนที่ต้องการปรับสภาพผิวแบบไม่ต้องผ่าตัด โดยข้อดีของเทคโนโลยียกกระชับ Morpheus8 มีดังนี้

                                      • Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้นนาน
                                      • Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย รักษาลงลึกได้หลายชั้นผิว เช่น ชั้นหนังแท้ ชั้นไขมัน
                                      • Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย ปรับพลังงานได้หลากหลายระดับความลึก
                                      • Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติหลังทำ
                                      • Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย เหมาะสำหรับหลากหลายปัญหาผิว เช่น ยกกระชับ ลดริ้วรอย รักษารอยแผลจากสิว
                                      • Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย มีความปลอดภัยสูงและมีความเสี่ยงต่ำ
                                      • Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย ไม่มีรอยแผล ไม่ทำให้เกิดการระคายเคือง
                                      • Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว เช่น ผิวมัน ผิวแห้ง ผิวผสม และผิวแพ้ง่าย
                                      • Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย รักษาบริเวณเฉพาะจุดได้อย่างแม่นยำ
                                      • Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่
                                      • Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย ลดขนาดของรูขุมขนให้กระชับขึ้น
                                      • Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย ช่วยปรับรูปร่างให้มีความกระชับมากขึ้น
                                      • Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย ผลลัพธ์อยู่ได้นาน ไม่ต้องทำซ้ำบ่อย

                                       

                                      Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย ช่วยอะไรบ้าง?
                                      Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย ช่วยอะไรบ้าง?

                                       

                                      Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย ช่วยอะไรบ้าง?

                                      Morpheus8 เป็นเทคโนโลยียกกระชับที่มีความสามารถในการรักษาผิวได้อย่างหลากหลาย โดยผสานการทำงานกันระหว่าง Microneedling และ Radio Frequency ช่วยยกกระชับผิว กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ โดย Morpheus8 ใช้รักษาปัญหาผิว ได้ดังนี้

                                      • Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย ช่วยยกกระชับผิวหน้า
                                      • Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย ลดริ้วรอยบริเวณรอบดวงตาและรอยหางตา
                                      • Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย รักษารอยแผลเป็นจากสิว
                                      • Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่
                                      • Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย รักษาผิวที่มีจุดด่างดำ รอยแผลเป็น
                                      • Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย ปรับสีผิวให้กระจ่างใสและเรียบเนียนขึ้น
                                      • Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย ลดไขมันสะสมใต้ผิวหนัง
                                      • Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย ช่วยปรับรูปหน้าให้ดูเรียวขึ้น
                                      • Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย ช่วยรักษาผิวที่มีความหยาบกร้าน ไม่เรียบเนียน

                                       

                                      Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย ทำบริเวณใดได้บ้าง? 

                                      เทคโนโลยียกกระชับ Morpheus8 สามารถตอบโจทย์สำหรับคนที่ต้องการแก้ไขปัญหาผิวยับ ผิวหย่อนคล้อย และมีริ้วรอยทั่วใบหน้าและร่างกาย โดยลงลึกถึงหลายชั้นผิว ซึ่งสามารถทำได้ในบริเวณต่อไปนี้

                                      • Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย ทำบริเวณแก้มและร่องแก้ม ช่วยลดริ้วรอยลึกและยกกระชับแก้ม
                                      • Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย ทำบริเวณหน้าผาก ลดริ้วรอยตื้นและลึกที่เกิดจากการแสดงอารมณ์
                                      • Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย ทำบริเวณรอบดวงตา ยกกระชับผิวรอบดวงตา ลดรอยคล้ำใต้ตา
                                      • Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย ทำบริเวณแนวกรามและคาง ปรับกรอบหน้าให้ดูชัดเจนขึ้น และลดไขมันส่วนเกินใต้คาง
                                      • Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย ทำบริเวณลำคอ ยกกระชับผิวบริเวณลำคอที่หย่อนคล้อย ให้เรียบเนียนและตึงกระชับ
                                      • Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย ทำบริเวณเนินหน้าอก ลดเลือนริ้วรอยและยกกระชับผิวให้เรียบเนียนขึ้น
                                      • Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย ทำบริเวณท้องแขน ฟื้นฟูและยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อยจากอายุหรือการลดน้ำหนัก
                                      • Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย ทำบริเวณหน้าท้อง ช่วยกระชับผิวบริเวณหน้าท้องที่หย่อนคล้อยจากการตั้งครรภ์หรือลดน้ำหนัก ปรับพื้นผิวให้เรียบเนียนขึ้น
                                      • Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย ทำบริเวณต้นขาและสะโพก ยกกระชับผิวให้เรียบเนียน พร้อมสลายเซลลูไลต์ใต้ผิวหนัง
                                      • Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย ทำบริเวณมือ ฟื้นฟูผิวให้กลับมาอ่อนเยาว์ สุขภาพดี
                                      • Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย ทำบริเวณเข่า ยกกระชับและปรับผิวให้เรียบเนียนได้

                                       

                                      Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย ลงลึกผิวหนังชั้นไหนได้บ้าง?

                                      Morpheus ใช้เทคโนโลยีการส่งพลังงานคลื่นวิทยุความถี่สูง (RF) ผ่านเข็มทองคำที่มีความลึกในการลงชั้นผิวหนังต่าง ๆ โดยสามารถปรับพลังงานความลึกของเข็มได้เพื่อความเหมาะสมของสภาพผิว ซึ่งสามารถลงลึกได้ถึง 4 ชั้นผิวด้วยกัน ดังนี้

                                      • ชั้นผิวหนังกำพร้า (Epidermis)

                                      พลังงาน RF สามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวหนังกำพร้า ช่วยทำให้ผิวเรียบเนียนมากขึ้น

                                      • ชั้นผิวหนังแท้ (Dermis)

                                      เป็นผิวหนังชั้นสำคัญสำหรับการลดเลือนริ้วรอย การส่งพลังงาน RF ลงลึกได้ถึงชั้นหนังแท้ ช่วยกระตุ้นการสร้างใหม่ของคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวมีความกระชับและยืดหยุ่น

                                      • ชั้นไขมันใต้ผิว (Subcutaneous Fat)

                                      Morpheus8 สามารถลงลึกได้ถึงชั้นไขมันใต้ผิวเพื่อช่วยลดไขมันบางส่วน เช่น บริเวณแก้มหรือเหนียง ช่วยให้กรอบหน้าเรียวขึ้นและลดปัญหาผิวยับ หย่อนคล้อย

                                      • ชั้นเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน (Fibrous Tissue)

                                      Morpheus8 ลงลึกถึงชั้นเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน สามารถกระตุ้นการฟื้นฟูผิว ยกกระชับได้ดี และช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวหน้าได้อีกด้วย

                                       

                                      Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย เหมาะกับใคร?
                                      Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย เหมาะกับใคร?

                                       

                                      Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย เหมาะกับใคร?

                                      • Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย เหมาะกับคนที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย ไม่กระชับ
                                      • Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย เหมาะกับคนที่มีริ้วรอยและร่องลึกบริเวณใบหน้า
                                      • Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย เหมาะกับคนที่มีปัญหาเหนียง หรือไขมันสะสมใต้คาง
                                      • Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย เหมาะกับคนที่มีรอยแผลเป็นจากสิว รอยหลุมสิว และ รอยดำ รอยแดงบนผิวหน้า
                                      • Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย เหมาะกับคนที่มีปัญหารูขุมขนกว้าง ไม่กระชับ
                                      • Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย เหมาะกับคนที่มีปัญหารอยแตกลาย
                                      • Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย เหมาะกับคนที่ต้องการปรับรูปหน้าให้ชัดเจนขึ้น
                                      • Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย เหมาะกับคนที่ต้องการกระตุ้นการสร้างของคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่
                                      • Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย เหมาะกับคนที่ต้องการฟื้นฟูผิวที่ถูกทำลายจากแสงแดด
                                      • Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย เหมาะกับคนที่ต้องการปรับสีผิวให้กระจ่างใส
                                      • Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย เหมาะกับคนที่ต้องการลดไขมันเฉพาะจุด
                                      • Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย เหมาะกับคนที่ต้องการลดความหย่อนคล้อยของผิวบริเวณที่มีเซลลูไลต์
                                      • Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย เหมาะกับคุณแม่หลังคลอดที่ต้องการฟื้นฟูผิวให้เรียบเนียน
                                      • Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย เหมาะกับคนที่ไม่ต้องการผ่าตัด ไม่ต้องการพักฟื้นนาน

                                       

                                      Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย ไม่เหมาะกับใคร?

                                      • Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย ไม่เหมาะกับคนที่มีปัญหาเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด
                                      • Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย ไม่เหมาะกับคนที่ใช้เครื่องกระตุ้นหัวใจ
                                      • Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย ไม่เหมาะกับคนที่มีโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง
                                      • Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย ไม่เหมาะกับคนที่มีโรคผิวหนังอักเสบเรื้อรัง ในบริเวณที่ต้องการรักษา
                                      • Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย ไม่เหมาะกับคนที่มีแผลเปิดในบริเวณที่ต้องการรักษา
                                      • Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย ไม่เหมาะกับคนที่เป็นโรคเริม หรือติดเชื้อไวรัสบริเวณที่ต้องการรักษา
                                      • Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย ไม่เหมาะกับคนที่มีประวัติการเกิดแผลเป็นคีลอยด์
                                      • Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย ไม่เหมาะกับสตรีที่กำลังตั้งครรภ์หรือกำลังให้นมบุตรอยู่

                                       

                                      การเตรียมตัวก่อนยกกระชับ Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย

                                      การเตรียมตัวก่อนยกกระชับ Morpheus8 เป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะจะช่วยให้การยกกระชับได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด และช่วยลดความเสี่ยงของผลข้างเคียงต่าง ๆ โดยการเตรียมตัวก่อนยกกระชับ มีดังนี้

                                      • ก่อนทำ Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจสอบและประเมินสภาพผิว
                                      • ก่อนทำ Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย ควรแจ้งประวัติสุขภาพ การแพ้ยา หรือยาที่กำลังรับประทานอยู่ ให้แพทย์ทราบก่อนทำ
                                      • ก่อนทำ Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย ควรใช้ครีมกันแดดที่มี SPF 50 PA+++ ทุกวัน
                                      • ก่อนทำ Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย ควรพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อเตรียมร่างกายให้พร้อม
                                      • ก่อนทำ Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ AHA, BHA, Retinol และ Vitamin C 3-5 วัน
                                      • ก่อนทำ Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย หลีกเลี่ยงการรับประทานยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด อย่างน้อย 1 สัปดาห์
                                      • ก่อนทำ Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย หลีกเลี่ยงดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ 1-2 วัน
                                      • ก่อนทำ Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย งดใช้ผลิตภัณฑ์สครับผิว 
                                      • ก่อนทำ Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย งดกิจกรรมกลางแจ้งที่ต้องเจอแสงแดด
                                      • ก่อนทำ Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย งดทำหัตถการอื่น ๆ อย่างน้อย 7-14 วัน

                                       

                                      ขั้นตอนการยกกระชับ Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย

                                      1. เข้าปรึกษาแพทย์ประจำคลินิก เพื่อประเมินปัญหาผิวบริเวณที่ต้องการยกกระชับ โดยแพทย์จะเลือกความลึกของเข็มและระดับพลังงานที่เหมาะสม พร้อมทั้งคำแนะนำเกี่ยวกับการทำยกกระชับ Morpheus8
                                      2. ทำความสะอาดผิวบริเวณที่ต้องการยกกระชับด้วย Morpheus8 
                                      3. แพทย์หรือผู้ช่วยแพทย์จะทายาชาบริเวณที่จะยกกระชับ ใช้เวลาประมาณ 30-45 นาที
                                      4. แพทย์จะเลือกหัวเข็มที่เหมาะสมสำหรับบริเวณที่ยกกระชับ เช่น หัวเข็มขนาดเล็กสำหรับบริเวณที่ละเอียดอ่อน หัวเข็มขนาดใหญ่สำหรับบริเวณกว้าง
                                      5. แพทย์จะวางหัวเข็ม Morpheus8 บนผิวหน้า และปล่อยพลังงาน RF ผ่านเข็มเคลือบทองคำ
                                      6. เข็มจะเจาะลงไปใต้ชั้นผิวตามระดับความลึกที่กำหนด ส่งเพลงงาน RF เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและแก้ปัญหาผิว โดยใช้เวลาประมาณ 30-60 นาที
                                      7. หลังการรักษา แพทย์จะทำความสะอาดผิวอีกครั้ง แพทย์อาจทาครีมหรือเจลที่ช่วยลดการระคายเคือง และแพทย์จะแนะนำวิธีการดูแลตัวเอง เพื่อผลลัพธ์ที่ดีอย่างมีประสิทธิภาพ

                                       

                                      การดูแลตัวเองหลังทำยกกระชับ Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย

                                      • หลังทำ Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย ควรใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าอ่อนโยนหลังจาก 24 ชั่วโมงแรก
                                      • หลังทำ Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย ควรปกป้องผิวด้วยครีมกันแดดที่มีค่า SPF50 PA+++ ทุกวัน
                                      • หลังทำ Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย ควรบำรุงผิวด้วยผลิตภัณฑ์มอยส์เจอไรเซอร์ เติมความชุ่มชื้นให้ผิว
                                      • หลังทำ Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย ควรดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อช่วยให้ผิวและร่างกายชุ่มชื้น
                                      • หลังทำ Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสม AHA, BHA, Retinol หรือ Vitamin C อย่างน้อย 1 สัปดาห์
                                      • หลังทำ Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย หลีกเลี่ยงการล้างหน้าทันทีในช่วง 24 ชั่วโมงแรก
                                      • หลังทำ Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย หลีกเลี่ยงแสงแดดจัดและกิจกรรมกลางแจ้งเป็นเวลา 1-2 สัปดาห์แรก
                                      • หลังทำ Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย หลีกเลี่ยงความร้อนทุกชนิด เช่น การอบไอน้ำ การซาวน่า
                                      • หลังทำ Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย หลีกเลี่ยงการแต่งหน้าในช่วง 48 ชั่วโมงแรก
                                      • หลังทำ Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย หลีกเลี่ยงการทำหัตถการความงาม เช่น การฉีดโบลดริ้วรอย ฉีดฟิลเลอร์ หรือ ทำเลเซอร์ ในช่วง 2 สัปดาห์
                                      • หลังทำ Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย หลีกเลี่ยงการสัมผัสผิวหน้า เพราะอาจทำให้ผิวติดเชื้อง่าย
                                      • หลังทำ Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย หลีกเลี่ยงการเกาหรือดึงสะเก็ดผิวที่เกิดจากการรักษา

                                       

                                      ปรียบเทียบยกกระชับ mopheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย กับหัตถการอื่น ๆ
                                      ปรียบเทียบยกกระชับ mopheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย กับหัตถการอื่น ๆ

                                       

                                      เปรียบเทียบยกกระชับ mopheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย กับหัตถการอื่น ๆ

                                       

                                      Morpheus8 vs Ultherapy

                                      • Morpheus8 เป็นเทคโนโลยีที่ใช้พลังงานคลื่นวิทยุ (Radio Frequency – RF) ร่วมกับหัวเข็มขนาดเล็กทองคำ ซึ่งสามารถปรับระดับความลึกได้ตามต้องการ ทำให้พลังงานสามารถส่งลงไปถึงชั้นหนังแท้และไขมันใต้ผิวหนัง
                                      • Ultherapy ใช้เทคโนโลยีพลังงานคลื่นความถี่สูง ส่งพลังงานความร้อนลึกลงสู่ผิวชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นผิวเดียวกับการผ่าตัดยกกระชับ ช่วยยกกระชับบริเวณกรอบหน้า คาง และลำคอ เหมาะสำหรับคนที่ต้องการปรับโครงสร้างและยกกระชับใบหน้า

                                       

                                      Morpheus8 vs Oligio

                                      • Morpheus8 ใช้พลังงานเทคโนโลยียกกระชับ RF สามารถปรับระดับความลึกได้ตั้งแต่ 2-4 mm. ทำให้พลังงานเจาะลึกถึงชั้นหนังแท้และชั้นไขมันใต้ผิว ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ลดปัญหาผิวยับ หย่อนคล้อย ริ้วรอยลึก และลดหลุมสิว
                                      • Oligio ใช้เทคโนโลยีพลังงาน Monopolar RF ที่ส่งพลังงานเข้าสู่ชั้นผิวหนังแท้และชั้นไขมัน โดยพลังงานจะกระจายตัวเพื่อยกกระชับผิวในบริเวณกรอบหน้า แก้ม ลำคอ และรอบดวงตา

                                       

                                      Morpheus8 vs Thermage

                                      • Morpheus8 มีจุดเด่นที่หัวเข็มทองคำ 24 pin ซึ่งสามารถปรับระดับความลึกในการรักษาได้หลายชั้น ช่วยยกกระชับผิวหย่อนคล้อยพร้อมลดริ้วรอยลึกได้อย่างครอบคลุม รวมไปถึงช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ในระยะยาวได้อีกด้วย
                                      • Thermage ใช้เทคโนโลยีพลังงาน Monopolar RF ที่ส่งพลังงานผ่านเข้าสู่ชั้นผิวหนังแท้ โดยเน้นการยกกระชับผิวตื้นในบริเวณกรอบหน้า รอบดวงตา และลำคอ เหมาะสำหรับคนที่ต้องการผลลัพธ์ที่รวดเร็ว

                                       

                                      Morpheus8 vs HIFU

                                      • Morpheus8 เน้นช่วยฟื้นฟูผิว ยกกระชับ และลดริ้วรอยลึก โดยเฉพาะปัญหาเฉพาะจุด เช่น หลุมสิว ผิวยับ หย่อนคล้อย และริ้วรอยลึก
                                      • HIFU ใช้เทคโนโลยีพลังงานคลื่นเสียงอัลตราซาวนด์เพื่อยกกระชับผิวหนังชั้น SMAS มีจุดเด่นในเรื่องการยกกระชับกรอบหน้า ลดเหนียง และฟื้นฟูผิวกระชับบริเวณลำคอได้อีกด้วย 

                                       

                                      Morpheus8 vs ฉีดโบ ฉีดฟิลเลอร์

                                      • Morpheus8 กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนตามธรรมชาติ ช่วยฟื้นฟูโครงสร้างผิวอย่างยั่งยืน
                                      • ฉีดโบ ช่วยลดริ้วรอยเฉพาะจุด ขณะที่ฟิลเลอร์ ช่วยเติมเต็มร่องลึก ซึ่งเห็นผลลัพธ์ทันทีแต่ไม่ถาวร

                                       

                                      Morpheus8 vs ผ่าตัดยกกระชับ

                                      • Morpheus8 เป็นการยกกระชับแบบไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้นนาน และปลอดภัย เหมาะกับคนที่มีริ้วรอยปานกลางและต้องการยกกระชับผิวหน้า
                                      • ผ่าตัดยกกระชับ เหมาะกับคนที่มีผิวหย่อนคล้อยรุนแรง และต้องการผลลัพธ์ยกกระชับในระยะยาว แต่ต้องพักฟื้นนานและเสี่ยงจากการผ่าตัด

                                       

                                      คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Morpheus8 กู้ผิวยับ หย่อนคล้อย

                                      Morpheus8 เจ็บไหม?

                                      • การทำยกกระชับ Morpheus8 อาจรู้สึกเจ็บเล็กน้อยระหว่างทำ แต่แพทย์จะทายาชาเพื่อลดความรู้สึกเจ็บลง ซึ่งระดับความเจ็บจะแตกต่างกันออกไปในแต่ละบุคคล

                                       

                                      หลังยกกระชับ Morpheus8 ต้องพักฟื้นนานแค่ไหน?

                                      • ปกติหลังยกกระชับ Morpheus8 มีระยะการพักฟื้นไม่นาน รอยแดงหรือสะเก็ดจะหายไปภายใน 3-5 วัน สามารถแต่งหน้าได้ในวันถัดไป

                                       

                                      ยกกระชับ Morpheus8 ต้องทำกี่ครั้งถึงจะเห็นผล

                                      • ผลลัพธ์ของการยกกระชับด้วย Morpheus8 จะเริ่มเห็นได้ตั้งแต่หลังทำครั้งแรก และจะเห็นผลชัดเจนมากขึ้นในช่วง 1-3 เดือน โดยปกติแนะนำให้ทำ 2-3 ครั้ง โดยเว้นระยะห่างกันครั้งละ 4-6 สัปดาห์ เพื่อผลลัพธ์ที่ดีอย่างมีประสิทธิภาพ

                                       

                                      Morpheus8 มีผลข้างเคียงไหม?

                                      • ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ คือ รอยแดง บวม หรือสะเก็ดผิว ซึ่งสามารถหายได้เองในเวลา 3-5 วัน โดยการทำยกกระชับ Morpheus8 เป็นเทคโนโลยียกกระชับที่ปลอดภัยหากทำโดยแพทย์ที่มีความรู้โดยเฉพาะ

                                       

                                      ทำยกกระชับ Morpheus8 แล้วจะมีแผลเป็นไหม?

                                      • การยกกระชับ Morpheus8 อาจทิ้งรอยเล็ก ๆ จากหัวเข็ม แต่จะสามารถหายได้เองในเวลาต่อมา และรอยเข็มนี้จะไม่ทำให้เกิดรอยแผลเป็นถาวรอย่างแน่นอน

                                       

                                      ผลลัพธ์ของยกกระชับ Morpheus8 อยู่ได้นานแค่ไหน?

                                      • ผลลัพธ์ของการยกกระชับด้วย Morpheus8 จะอยู่ได้นาน 12-18 เดือน ขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองและสภาพผิวของแต่ละบุคคล

                                       

                                      Morpheus8 ช่วยลดไขมันได้จริงไหม?

                                      • เครื่องยกกระชับ Morpheus8 ช่วยลดไขมันใต้ชั้นผิวได้ในบางบริเวณ เช่น แก้มและเหนียง ทำให้ใบหน้าดูเรียวขึ้น

                                       

                                      Morpheus8 เป็นเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ทุกปัญหาผิวได้อย่างครอบคลุมในยุคปัจจุบัน ด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยที่ผสานการทำงานของ Radio Frequency และ Microneedling อย่างลงตัว ช่วยแก้ไขปัญหาผิวยับ หย่อนคล้อย ริ้วรอยลึก และหลุมสิว ได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด นอกจากให้ผลลัพธ์เรื่องการยกกระชับ แต่ยังช่วยฟื้นฟูผิวให้เรียบเนียนและอ่อนเยาว์อีกครั้ง

                                       

                                      การเลือกทำยกกระชับ Morpheus8 จึงเป็นเทคโนโลยีที่ควรค่าแก่การลงทุนเพื่อผิวที่ดูดีในระยะยาว ด้วยความปลอดภัยสูงสุด ทำให้การทำ Morpheus8 ภายใต้การดูแลของแพทย์ที่มีความรู้ประจำรมย์รวินท์คลินิก ยิ่งเพิ่มความมั่นใจในผลลัพธ์และความปลอดภัยอย่างมีประสิทธิภาพ

                                      ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                        วันที่สะดวกในการติดต่อ








                                        Melasma Fade ลดฝ้า เผยผิวหน้าเนียนใส

                                        Melasma Fade โปรแกรมลดฝ้าเผยผิวหน้าเนียนใส

                                        ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                          วันที่สะดวกในการติดต่อ








                                          Melasma Fade ลดฝ้า เผยผิวหน้าเนียนใส

                                          “ฝ้า” ปัญหาผิวที่สร้างความกังวลให้กับหลายคน ไม่ว่าจะเป็นฝ้าจากฮอร์โมน แดด หรือฝ้าอื่น ๆ ล้วนทำให้หน้าดูหมองคล้ำ ไม่สดใส ทำให้หลายคนที่เป็นฝ้าเกิดความไม่มั่นใจ ปัญหาฝ้าจึงเป็นมากกว่าแค่ความไม่สวยงาม แต่ยังส่งผลกระทบต่อด้านจิตใจอีกด้วย ซึ่งในปัจจุบันมีวิธีการลดฝ้าที่หลากหลายและได้ผลดี หนึ่งในนั้นคือการลดฝ้าด้วยโปรแกรม Melasma Fade โปรแกรมที่ถูกพัฒนามาเพื่อการลดฝ้าอย่างมีประสิทธิภาพ และรวดเร็ว วันนี้รมย์รวินท์จะพาไปรู้จัก “Melasma Fade โปรแกรมลดฝ้า เพื่อผิวหน้าเนียนใส” กัน

                                           

                                          ฝ้าคืออะไร ?

                                          ฝ้า (Melasma) เป็นปัญหาผิวหนังที่เกิดจากความผิดปกติของการสร้างเม็ดสีเมลานิน (Melanin) ในผิว ซึ่งเมลานินเป็นสารที่ให้สีแก่ผิวหนัง เส้นผม และดวงตา โดยฝ้าเกิดขึ้นเมื่อเซลล์ที่เรียกว่า เมลาโนไซต์ (Melanocytes) ซึ่งมีหน้าที่ผลิตเม็ดสี ถูกกระตุ้นให้ทำงานมากเกินไป ส่งผลให้เกิดการสะสมของเม็ดสีในผิวหนังมากขึ้นจนเห็นเป็นรอยคล้ำ

                                           

                                          ลักษณะของฝ้า

                                          ฝ้ามักมีลักษณะเป็นจุดหรือรอยคล้ำ รูปร่าง ลักษณะจะแตกต่างกันออกไปตามประเภท โดยส่วนมากฝ้าจะสีน้ำตาลอ่อน น้ำตาลเข้ม เทา หรือเทาอมฟ้า ขึ้นอยู่กับความลึกของเม็ดสีที่สะสมอยู่ในชั้นผิว ซึ่งมักฝ้าเกิดได้บ่อยในบริเวณที่สัมผัสแสงแดดบ่อย เช่น บริเวณใบหน้า และลำตัว 

                                           

                                          ฝ้าเกิดจากอะไร ?

                                          การเกิดฝ้าสามารถเกิดได้จากหลายปัจจัย ที่สามารถกระตุ้นให้เกิดเม็ดสีเมลานินในผิวให้ผิดปกติได้ จนเกิดเป็นฝ้าหรือรอยคล้ำหรือจุดสีน้ำตาลในบางบริเวณของผิวหนังได้ โดยสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดฝ้าประกอบด้วย

                                           

                                          • ฝ้าจากแสงแดด

                                          การเกิดฝ้าจากแสงแดดเป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยมากที่สุด เนื่องจากแสงแดดเป็นสาเหตุหลักที่กระตุ้นให้เกิดฝ้าได้โดยตรง จากการที่รังสี UV กระทบกับผิวหนังเป็นเวลานาน จนเกิดการกระตุ้นการผลิตเมลานินในผิวหนังที่เป็นเกราะป้องกันรังสี UV ซึ่งการผลิตมากเกินไปนี่เอง ทำให้เกิดฝ้าได้

                                           

                                          • ฝ้าจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน

                                          การเกิดฝ้าจากสาเหตุนี้มักเกิดในผู้หญิงที่มีฮอร์โมนในร่างกายเปลี่ยนแปลง เช่น ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์หรือผู้หญิงที่ใช้ยาคุมกำเนิด ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนจากปัจจัยเหล่านี้มีความเสี่ยงสูง ในการกระตุ้นการผลิตเม็ดสีเมลานินที่มากเกินไป จึงเสี่ยงทำให้เกิดฝ้าได้

                                           

                                          • ฝ้าจากพันธุกรรม

                                          ฝ้าที่ส่งต่อทางพันธุกรรมสามารถเกิดขึ้นได้ หากครอบครัวมีประวัติในการเป็นฝ้า ก็มีโอกาสส่งต่อทางพันธุกรรมได้ 

                                           

                                          • ฝ้าจากการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ระคายเคือง

                                          การใช้เครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมที่ระคายเคืองผิว อาจทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองหรืออักเสบ ซึ่งอาจกระตุ้นให้เกิดฝ้าได้

                                           

                                          • ฝ้าจากการระคายเคืองจากความร้อนและมลภาวะ

                                          ความร้อนจากแสงแดด หรือมลภาวะจากฝุ่น ควัน สามารถทำให้ผิวอ่อนแอลงจนไปกระตุ้นการผลิตเมลานิน ทำให้เกิดฝ้าได้

                                           

                                          Melasma Fade คืออะไร
                                          Melasma Fade คืออะไร

                                           

                                          Melasma Fade คืออะไร ?

                                          Melasma Fade เป็นโปรแกรมการลดฝ้าที่ใช้การฉีดยาช่วยยับยั้งเอนไซม์ที่กระตุ้นการผลิตเมลานิน ซึ่งการทำโปรแกรม Melasma Fade จะทำให้สารเข้าไปควบคุมการทำงานของเซลล์เม็ดสีในผิวหนัง ช่วยลดการผลิตเม็ดสีหรือเมลานินที่เป็นสาเหตุของฝ้า ทำให้สีผิวดูสม่ำเสมอขึ้นได้ ซึ่งการลดฝ้าด้วยการทำโปรแกรม Melasma Fade จะเห็นผลลัพธ์ได้เร็วกว่า เมื่อเทียบกับการใช้ครีมทาผิวเพื่อลดฝ้า

                                           

                                          Melasma Fade ช่วยลดฝ้าได้อย่างไร
                                          Melasma Fade ช่วยลดฝ้าได้อย่างไร

                                           

                                          Melasma Fade ช่วยลดฝ้าได้อย่างไร ?

                                          โปรแกรม Melasma Fade ลดฝ้าด้วยการใช้ตัวยาที่ช่วยยับยั้งเอนไซม์ยับยั้งกระบวนการผลิตเม็ดสีเมลานิน (Melanin) ซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดรอยฝ้า และจุดด่างดำบนผิวหนัง นอกจากนี้การทำโปรแกรม Melasma Fade ช่วยลดฝ้าได้ด้วยกระบวนการเพิ่มเติม ดังต่อไปนี้ 

                                           

                                          • โปรแกรม Melasma Fade ช่วยลดฝ้าได้จากการยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนส (Tyrosinase) ซึ่งเป็นเอนไซม์สำคัญในกระบวนการผลิตเมลานิน ซึ่งการยับยั้งนี้จะทำให้เซลล์เม็ดสีผลิตเมลานินน้อยลง จึงสามารถช่วยในการลดฝ้าบนผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
                                          • โปรแกรม Melasma Fade นอกจากจะช่วยในการยับยั้งการผลิตเม็ดสีเมลานินที่มากเกินไปแล้ว ยังสามารถช่วยปรับสมดุลของเม็ดสีเมลานิน ทำให้สีผิวกลับมาสม่ำเสมอ สดใส ได้อีกด้วย
                                          • โปรแกรม Melasma Fade สามารถช่วยในการควบคุมการตอบสนองของเม็ดสีเมลานิน จึงมีบทบาทสำคัญในการลดการเกิดฝ้าซ้ำในอนาคตได้

                                           

                                          Melasma Fade ดีอย่างไร
                                          Melasma Fade ดีอย่างไร

                                           

                                          Melasma Fade ดีอย่างไร ?

                                          การทำโปรแกรม Melasma Fade มีข้อดีในการทำหลายประการ ซึ่งข้อดีหลักที่โดดเด่นในการทำ Melasma Fade  คือการลดฝ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพและเห็นผลลัพธ์ได้รวดเร็วกว่าการลดฝ้าแบบ ธรรมดาทั่วไป นอกจากนี้การทำโปรแกรม Melasma Fade  ลดฝ้า ยังมีข้อดีอีกหลายอย่าง ดังนี้

                                          • โปรแกรม Melasma Fade ลดฝ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ และรวดเร็วกว่าการทาครีมเพื่อลดฝ้า
                                          • โปรแกรม Melasma Fade มีข้อดีในการให้ผลลัพธ์ที่รวดเร็ว ตรงจุด
                                          • โปรแกรม Melasma Fade มีข้อดีในการยับยั้งกระบวนการผลิตเม็ดสีเมลานิน (Melanin) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
                                          • โปรแกรม Melasma Fade มีข้อดีในการควบคุมการทำงานของเซลล์เม็ดสี ลดโอกาสการเกิดฝ้าซ้ำ
                                          • โปรแกรม Melasma Fade มีข้อดีในการไม่ก่อให้เกิดบาดแผล หรือความเสียหายต่อชั้นผิว 
                                          • โปรแกรม Melasma Fade ไม่เพียงแต่ช่วยในการลดฝ้า แต่ยังช่วยลดจุดด่างดำและผิวหมองคล้ำ ช่วยให้ผิวกลับมาดูเรียบเนียน กระจ่างใสได้อีกด้วย
                                          • โปรแกรม Melasma Fade สามารถลดฝ้าที่รุนแรง หรือฝ้าที่ได้รับการดูแลด้วยวิธีอื่นแล้วไม่เห็นผลได้

                                           

                                          สรุปได้ว่าการทำโปรแกรม Melasma Fade ลดฝ้ามีข้อดีหลายอย่าง ทั้งการลดฝ้า การปรับสีผิว และการลดโอกาสการเกิดฝ้าซ้ำในอนาคต อีกทั้งโปรแกรม Melasma Fade ยังสามารถช่วยลดฝ้ารุนแรง หรือลดฝ้าในผู้ที่ใช้วิธีอื่นแล้วไม่เห็นผลได้อีกด้วย

                                           

                                          Melasma Fade เหมาะกับใคร
                                          Melasma Fade เหมาะกับใคร

                                           

                                          Melasma Fade เหมาะกับใคร

                                          การทำโปรแกรม Melasma Fade ลดฝ้า สามารถช่วยให้ฝ้าจางลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้โปรแกรม Melasma Fade เหมาะกับบุคคล ดังต่อไปนี้

                                          • Melasma Fade เหมาะกับผู้ที่มีฝ้าจากการผลิตเม็ดสีเมลานินมากเกินไป
                                          • Melasma Fade เหมาะกับผู้ที่ไม่สามารถลดฝ้าด้วยวิธีอื่น ๆ ได้ 
                                          • Melasma Fade เหมาะกับผู้ที่ต้องการลดฝ้าที่เกิดจากการสัมผัสแสงแดดบ่อย ๆ 
                                          • Melasma Fade เหมาะกับผู้ที่ต้องการลดฝ้าอย่างรวดเร็ว เห็นผลลัพธ์ได้ในระยะเวลาไม่นาน
                                          • Melasma Fade เหมาะกับผู้ที่ต้องการลดเลือนจุดด่างดำบนใบหน้า

                                           

                                          Melasma Fade ไม่เหมาะกับใคร 

                                          แม้การลดฝ้าด้วยการทำโปรแกรม Melasma Fade จะมีความปลอดภัย แต่อาจไม่เหมาะกับบางบุคคลที่มีปัญหาสุขภาพ ดังต่อไปนี้

                                          • Melasma Fade ไม่เหมาะกับผู้ที่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
                                          • Melasma Fade ไม่เหมาะกับผู้ที่มีประวัติเกี่ยวกับโรคที่มีการแข็งตัวของเลือด หรือผู้ที่มีประวัติการเกิดลิ่มเลือดอุดตัน
                                          • Melasma Fade ไม่เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวที่บอบบางหรือแพ้ง่าย
                                          • Melasma Fade ไม่เหมาะกับผู้ที่มีโรคผิวหนังเรื้อรัง หรือผู้ที่มีโรคผิวหนังรุนแรงหรืออักเสบ
                                          • Melasma Fade ไม่เหมาะกับผู้ที่ทานยาบางชนิดเป็นประจำ เช่น ผู้ที่ทานยาต้านการแข็งตัวของเลือด

                                           

                                          สรุปแล้วการลดฝ้าด้วยโปรแกรม Melasma Fade อาจไม่เหมาะกับบุคคลประเภทดังที่กล่าวมา ดังนั้นเพื่อป้องกันการเกิดผลข้างเคียงที่รุนแรง ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการทำโปรแกรม Melasma Fade เพื่อความปลอดภัยสูงสุด

                                           

                                          การเตรียมตัวก่อนทำ Melasma Fade

                                          ขั้นตอนการเตรียมตัวก่อนการทำโปรแกรม Melasma Fade ลดฝ้าเป็นขั้นตอนที่มีความสำคัญมากที่จะช่วยให้การลดฝ้าออกมามีประสิทธิภาพ และลดความเสี่ยงที่อาจเกิดจากผลข้างเคียงได้ ดังนั้นควรเตรียมตัวก่อนการทำโปรแกรม Melasma Fade ลดฝ้าให้พร้อม โดยสามารถเตรียมตัวได้ ดังนี้

                                          • ก่อนทำ Melasma Fade ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินปัญหาฝ้าและสุขภาพผิว เพื่อวางแผนการดูแลรักษาให้เหมาะสมกับสภาพผิว
                                          • ก่อนทำ Melasma Fade ควรหลีกเลี่ยงการอยู่กลางแดดเป็นเวลานาน หรือถ้าหากจำเป็นต้องสัมผัสแดด ควรทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูง เพื่อปกป้องผิวก่อนการทำ Melasma Fade เพื่อป้องกันการกระตุ้นการผลิตเม็ดสีเมลานิน
                                          • ก่อนทำ Melasma Fade ควรหยุดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกรด อย่างน้อย 3-5 วันก่อนการ Melasma Fade เพื่อลดความเสี่ยงในการแพ้หรือการระคายเคืองหลังการทำ Melasma Fade
                                          • ก่อนทำ Melasma Fade ควรหยุดรับประทานยาหรืออาหารเสริมบางชนิด แต่ทั้งนี้การหยุดรับประทานยา ควรอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของแพทย์
                                          • ก่อนทำ Melasma Fade ควรหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำให้ผิวแห้งหรือระคายเคือง เพื่อลดความเสี่ยงของการระคายเคืองหลังการทำโปรแกรม Melasma Fade
                                          • ก่อนทำ Melasma Fade ควรหลีกเลี่ยงการทำเลเซอร์ ผลัดเซลล์ผิว หรือทรีตเมนต์ ที่อาจทำให้ผิวบางก่อนการทำโปรแกรม Melasma Fade อย่างน้อย 1 สัปดาห์
                                          • ก่อนทำ Melasma Fade ควรงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่อย่างน้อย 24 ชั่วโมง  
                                          • ก่อนทำ Melasma Fade ควรพักผ่อนอย่างเพียงพอ เพื่อให้ผิวฟื้นฟูได้เร็วและลดความเสี่ยงต่อการระคายเคือง 

                                           

                                          การปฏิบัติตัวหลังทำ Melasma Fade

                                          หลังจากการทำโปรแกรม Melasma Fade เพื่อลดฝ้า จะช่วยให้ผลลัพธ์การลดฝ้าคงอยู่ได้นาน และช่วยลดความเสี่ยงของผลข้างเคียงต่าง ๆ หลังการทำ Melasma Fade ได้ ซึ่งหลังการทำโปรแกรม Melasma Fade ลดฝ้าควรดูแลตัวเอง ดังนี้

                                          • หลังทำ Melasma Fade ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดดในช่วง 24-48 ชั่วโมงแรกหลังการทำ Melasma Fade
                                          • หลังทำ Melasma Fade ควรหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมรุนแรง หรือสารที่มีฤทธิ์รุนแรงในช่วง 3-5 วันหลังการทำ Melasma Fade
                                          • หลังทำ Melasma Fade ควรหลีกเลี่ยงการทำให้ผิวสัมผัสกับความร้อนในช่วง 24-48 ชั่วโมงแรก
                                          • หลังทำ Melasma Fade ควรหลีกเลี่ยงการแต่งหน้าในช่วง 24 ชั่วโมงแรกหลังการทำ Melasma Fade เพื่อลดโอกาสการติดเชื้อหรือการระคายเคืองผิว
                                          • หลังทำ Melasma Fade ควรสังเกตอาการผิดปกติ เช่น รอยแดง บวม คัน หรือปวดในบริเวณที่ฉีด หากมีอาการผิดปกติ ควรไปปรึกษาแพทย์ทันที
                                          • หลังทำ Melasma Fade ควรติดตามผลการประเมินการรักษา และติดตามผลการทำ Melasma Fade เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
                                          • หลังทำ Melasma Fade ควรหลีกเลี่ยงการเกาหรือขัดบริเวณที่ฉีด เพื่อลดการระคายเคือง

                                           

                                          Melasma Fade อันตรายไหม ?

                                          การทำ Melasma Fade เพื่อลดฝ้าถือว่ามีความปลอดภัย ไม่ก่อให้เกิดการสะสมของสารในร่างกาย แต่ในบางบุคคลอาจเกิดผลข้างเคียงได้บ้าง เช่น รอยแดงหรือบวมบริเวณที่ฉีด ซึ่งอาการเหล่านี้มักเกิดจากการระคายเคือง หรือรอยฟกช้ำที่เกิดจากเข็มฉีดยา ขณะทำ Melasma Fade แต่จะหายไปได้เองภายใน 1-2 วัน เพื่อประสิทธิภาพในการลดฝ้าและเพื่อความปลอดภัยสูงสุด ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการทำโปรแกรม Melasma Fade ในการประเมินปัญหาฝ้าและสุขภาพผิว เพื่อวางแผนการรักษาให้เหมาะสมกับสภาพผิว ลดการเกิดผลข้างเคียงที่อาจเกิดได้

                                           

                                          Melasma Fade มีผลข้างเคียงไหม
                                          Melasma Fade มีผลข้างเคียงไหม

                                           

                                          Melasma Fade มีผลข้างเคียงไหม ?

                                          แม้ในการลดฝ้าด้วยโปรแกรม Melasma Fade จะมีความปลอดภัย แต่ก็มีโอกาสในการเกิดผลข้างเคียงได้ในบางบุคคล ซึ่งผลข้างเคียงหลังการทำโปรแกรม Melasma Fade ลดฝ้าที่อาจเกิดได้ มีดังนี้

                                           

                                          1. ผลข้างเคียงทั่วไปที่พบได้ หลังการทำ Melasma Fade ลดฝ้า 

                                          • อาการบวมหรือรอยแดง บริเวณที่ฉีดยา ซึ่งอาการนี้สามารถหายได้เอง 1-2 วัน
                                          • อาการคันหรือการระคายเคือง บริเวณที่ทำโปรแกรม Melasma Fade  ลดฝ้า
                                          • รอยฟกช้ำที่เกิดจากเข็มฉีดหลังการทำ Melasma Fade การนี้จะหายได้เองในไม่กี่วัน
                                          • อาการคลื่นไส้หรือวิงเวียนศรีษะ แต่อาการนี้เกิดได้ไม่มากนัก และมักเป็นได้แค่ชั่วคราว จะบรรเทาไปได้เอง

                                           

                                          2. ผลข้างเคียงรุนแรงที่พบได้น้อย หลังการทำ Melasma Fade ลดฝ้า

                                          อาการแพ้รุนแรงหายใจลำบาก หรือหน้าบวม มีผื่นแดง บวม หรือคัน โดยอาการเหล่านี้มีโอกาสเกิดได้น้อย เกิดได้เฉพาะคนที่แพ้สารที่ฉีดใน Melasma Fade  เท่านั้น ซึ่งหากมีอาการเหล่านี้ที่รุนแรงหลังทำ Melasma Fade ควรรีบเข้าปรึกษาแพทย์เพื่อเข้ารับคำแนะนำหรือการรักษาและป้องกันที่ถูกต้อง

                                           

                                          ผลข้างเคียงหลังการทำ Melasma Fade เหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้ในบางบุคคล โดยส่วนใหญ่มักจะหายไปได้เอง และผลข้างเคียงรุนแรงสามารถพบได้น้อย อีกทั้งยังสามารถป้องกันการเกิดได้ด้วยการเข้าพบแพทย์ ก่อนทำการลดฝ้าด้วย Melasma Fade เพื่อประเมินว่าสามารถทำโปรแกรม Melasma Fade ได้โดยไม่มีอาการแพ้หรือไม่ อีกทั้งการดูแลตัวเองอย่างถูกต้อง ทั้งก่อน และหลังทำ Melasma Fade ลดฝ้า จะสามารถลดโอกาสเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียงต่าง ๆ ได้

                                           

                                          Melasma Fade กี่วันเห็นผล ?

                                          การลดฝ้าด้วยโปรแกรม Melasma Fade โดยทั่วไปแล้วสามารถเห็นผลได้ในระยะเวลา 2-4 สัปดาห์หลังการทำ Melasma Fade โดยจุดด่างดำและรอยฝ้า ความเข้มจะค่อย ๆ ลดลง แต่ผลลัพธ์อาจแตกต่างออกไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่ปัจจัยต่าง ๆ เฉพาะบุคคล เช่น สภาพผิว ความรุนแรงของฝ้า หรือการดูแลผิวหน้าหลังการทำ Melasma Fade 

                                           

                                          ซึ่งผลลัพธ์หลังการทำ Melasma Fade จะให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนได้หลังจากการทำการดูแลด้วย Melasma Fade หลายครั้ง ซึ่งจำนวนครั้งในการทำขึ้นอยู่กับการประเมินของแพทย์ โดยทั่วไปฝ้าจะจางลงประมาณ 20-50% ในแต่ละครั้งหลังการทำ Melasma Fade 

                                           

                                          Melasma Fade ต้องทำกี่ครั้ง ?

                                          การทำ Melasma Fade อาจจะต้องซ้ำหลายครั้ง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน เนื่องจากการเกิดฝ้ามีสาเหตุทั้งจากปัจจัยภายใน และปัจจัยภายนอก โดยจำนวนครั้งในการทำ Melasma Fade ลดฝ้าในแต่ละบุคคลนั้นจะไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของฝ้า ซึ่งจำนวนครั้งที่แน่ชัดในแต่ละบุคคลจะขึ้นอยู่กับการประเมินของแพทย์ แต่โดยเฉลี่ยแล้ว จำนวนครั้งในการทำโปรแกรม Melasma Fade ลดฝ้าของฝ้าแต่ละระดับ จะแบ่งได้ดังนี้

                                           

                                          1.การทำ Melasma Fade ในผู้ที่มีฝ้าไม่รุนแรง

                                          จำนวนครั้งในการลดฝ้าด้วยโปรแกรม Melasma Fade สำหรับผู้ที่มีฝ้าไม่รุนแรง โดยเฉลี่ยแล้วจะทำประมาณ 3-5 ครั้ง เว้นระยะห่างในการทำแต่ละครั้งอยู่ที่ 1-2 สัปดาห์ โดยหลังจากการทำ Melasma Fade ลดฝ้า จะช่วยให้ฝ้าจางลงได้ 20-50 % ต่อการทำแต่ละครั้ง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการตอบสนองของแต่ละบุคคลด้วย

                                           

                                          2.การทำ Melasma Fade ในผู้ที่มีฝ้ารุนแรงหรือลึก

                                          ในผู้ที่มีฝ้ารุนแรง จำเป็นที่จะต้องใช้จำนวนครั้งในการทำ Melasma Fade มากกว่าผู้ที่มีฝ้าปกติทั่วไป โดยอาจต้องทำ Melasma Fade ต่อเนื่องประมาณ 5-10 ครั้ง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ในการลดฝ้าที่มีประสิทธิภาพสูงสุด

                                           

                                          3.การทำ Melasma Fade เพื่อการลดฝ้าได้ผลลัพธ์ระยะยาว

                                          สำหรับผู้ที่ลดฝ้าจนฝ้าจางหายแล้วต้องการให้ผลลัพธ์ที่ได้ในระยะยาว และต้องการการป้องกันการเกิดฝ้าซ้ำ ควรทำโปรแกรม Melasma Fade  ซ้ำปีละ 1-2 ครั้ง เพื่อผลลัพธ์ที่ยาวนาน

                                           

                                          Melasma Fade อยู่ได้นานไหม ?

                                          การลดฝ้าด้วยการทำโปรแกรม Melasma Fade สามารถให้ผลลัพธ์ยาวนานได้ หากทำต่อเนื่อง ซึ่งหากดูแลผิวได้อย่างเหมาะสม ผลลัพธ์หลังการทำ Melasma Fade สามารถอยู่ได้ยาวนานถึง 1 ปี แต่ระยะเวลาในการคงอยู่ของผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายปัจจัย ดังนี้

                                          • การสัมผัสแสงแดด ปัจจัยนี้เป็นปัจจัยการกระตุ้นหลักที่ทำให้เกิดฝ้ากลับมาซ้ำได้ แม้จะผ่านการทำโปรแกรม Melasma Fade มาแล้ว หากไม่มีการดูแลป้องกันผิวที่เหมาะสม ซึ่งปัจจัยนี้สามารถป้องกันได้ด้วยการทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูง ซ้ำทุก ๆ 2-3 ชั่วโมง หรือหลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดดโดยตรง
                                          • การดูแลผิวหลังการทำ Melasma Fade เป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ผลลัพธ์การดูแลรักษาอยู่ได้ยาวนานมากยิ่งขึ้น 
                                          • การทำโปรแกรม Melasma Fade ซ้ำ แม้ผลลัพธ์หลังการทำ Melasma Fade จะสามารถอยู่ได้ยาวนานถึง 1 ปี แต่ก็จำเป็นเป็นอย่างมากในการทำซ้ำปีละ 1-2 ครั้ง เพื่อช่วยรักษาความสม่ำเสมอของสีผิว และลดโอกาสที่ฝ้าจะกลับมา
                                          • ปัจจัยภายในร่างกาย ปัจจัยนี้เป็นปัจจัยจากภายในร่างกายที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ มักเกิดจากฮอร์โมนในร่างกาย ในผู้ที่เป็นกรณีแพทย์อาจแนะนำการลดฝ้าวิธีการอื่นๆ ร่วมด้วย

                                           

                                          ปัจจัยต่าง ๆ ที่กล่าวมาข้างต้น เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อผลลัพธ์หลังการทำโปรแกรม Melasma Fade ลดฝ้าได้ ซึ่งในแต่ละบุคคลจะได้ผลลัพธ์หลังการทำที่ต่างกัน โดยการดูแลผิวอย่างต่อเนื่องจะช่วยยืดระยะเวลาของผลลัพธ์และป้องกันการเกิดฝ้าในอนาคตหลังการทำ Melasma Fade ได้

                                           

                                          การป้องกัน และการดูแลเพื่อผลลัพธ์หลังการทำ Melasma Fade ระยะยาว

                                           

                                          เพื่อผลลัพธ์ในการลดฝ้าที่ยาวนานและการป้องกันการเกิดฝ้าซ้ำในอนาคต การดูแลผิวในระยะยาวหลังการทำเป็นสิ่งสำคัญ โดยการป้องกันและการคงผลลัพธ์หลังการทำ Melasma Fade สามารถทำได้ ดังนี้

                                          1.การป้องกันแสงแดดอย่างต่อเนื่องหลังการทำ Melasma Fade

                                          แสงแดดปัจจัยที่ส่งผลต่อการเกิดฝ้ามากที่สุด โดยการป้องกันการเกิดฝ้าซ้ำ ควรทาครีมกันแดดที่มี SPF สูงซ้ำอย่างต่อเนื่องทุก ๆ 2-3 ชั่วโมง หรือถ้าหากจำเป็นต้องอยู่กลางแดด ควรใช้หมวกปีกกว้าง หรือร่มกันรังสียูวี และหลีกเลี่ยงการสัมผัสแดดโดยตรง เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด

                                           

                                          2.การดูแลผิวต่อเนื่องหลังการทำ Melasma Fade

                                          หลังการทำ Melasma Fade ลดฝ้าแล้วควรดูแลผิวอย่างต่อเนื่องเป็นประจำ แม้ผ่านการทำโปรแกรมลดฝ้ามาแล้ว เพื่อให้ผิวแข็งแรง ไม่เสี่ยงต่อการให้เกิดฝ้าซ้ำ โดยสามารถทำได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็น การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ช่วยลดฝ้า หรือจะเป็นการทำหัตถการ ทรีตเมนต์ต่าง ๆ เพื่อให้ผิวดีขึ้น

                                          3.การดูแลสุขภาพโดยรวม 

                                          การดูแลสุขภาพนอกจากจะช่วยให้สุขภาพแข็งแรงแล้ว ยังส่งผลให้ผิวแข็งแรงอีกด้วย ซึ่งหากผิวแข็งแรง มีเกราะป้องกันผิวที่ดีแล้ว โอกาสการเกิดฝ้าซ้ำจะน้อยลง โดยการดูแลสุขภาพก็สามารถทำได้ไม่ยาก เช่น การพักผ่อนให้เพียงพอ การรับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ หรือการหลีกเลี่ยงมลภาวะที่อาจทำร้ายผิว เป็นต้น  

                                                                                 

                                          Melasma Fade ทางเลือกใหม่ในการลดฝ้า

                                          โปรแกรม Melasma Fade เป็นโปรแกรมลดฝ้าที่ใช้วิธีการฉีดยับยั้งเอนไซม์ที่กระตุ้นเมลานิน ซึ่งเป็นสาเหตุหลักในการเกิดฝ้า จุดด่างดำ และปัญหาสีผิวไม่สม่ำเสมอ ซึ่งการทำโปรแกรม Melasma Fade จะช่วยให้ฝ้าจางลง และทำให้ผิวสม่ำเสมอเรียบเนียนได้รวดเร็วกว่าการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว 

                                           

                                          โดยเฉลี่ยแล้วการทำ Melasma Fade  สามารถเห็นผลลัพธ์ได้ภายใน 2-4 สัปดาห์ ซึ่งรอยฝ้าจะจางลง 20-50% ต่อการทำหนึ่งครั้ง และอาจต้องทำซ้ำ 3-10 ครั้ง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ ขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของฝ้า ซึ่งผลลัพธ์หลังจากการทำโปรแกรม Melasma Fade สามารถคงอยู่ได้นานถึง 1 ปี หากมีการดูแลผิวอย่างเหมาะสม ดังนั้น Melasma Fade จึงเป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพ และปลอดภัยในการลดฝ้า

                                          ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                            วันที่สะดวกในการติดต่อ








                                            เจาะลึก Ulthera Prime เทคโนโลยียกกระชับที่ฮอตที่สุดในปี 2025

                                            Ulthera Prime เทคโนโลยียกกระชับที่ฮอตที่สุดในปี 2025

                                            ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                              วันที่สะดวกในการติดต่อ








                                              เจาะลึก Ulthera Prime เทคโนโลยียกกระชับที่ฮอตที่สุดในปี 2025

                                              ในปี 2025 เทคโนโลยีความงามก้าวล้ำไปอีกขั้น โดยเฉพาะในด้านการยกกระชับผิวที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง Ulthera Prime ได้รับการยกย่องว่าเป็นเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ทั้งในเรื่องของผลลัพธ์ที่ชัดเจนและกระบวนการที่ปลอดภัย เทรนด์ความงามในยุคนี้ไม่ได้หยุดอยู่ที่การดูแลเพียงผิวพรรณภายนอก แต่ยังรวมถึงการฟื้นฟูจากภายในที่เห็นผลจริงแบบไม่ต้องผ่าตัด

                                               

                                              ทำไม Ulthera Prime ถึงถูกขนานนามว่าเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งของผู้ที่ต้องการยกกระชับผิวในปีนี้? เราจะพาคุณไปสำรวจทุกแง่มุม ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีเบื้องหลัง ข้อดีของการใช้งาน และผลลัพธ์ที่เปลี่ยนแปลงจนคุณรู้สึกได้ เตรียมพร้อมเปลี่ยนผิวหน้าให้ตึงกระชับในแบบที่คุณไม่เคยสัมผัสมาก่อน

                                               

                                              Ulthera Prime ดีไซน์เครื่องใหม่ลาสุด ยกเร็วขึ้น เจ็บน้อยลง
                                              Ulthera Prime ดีไซน์เครื่องใหม่ลาสุด ยกเร็วขึ้น เจ็บน้อยลง

                                               

                                              เทคโนโลยี Ulthera Prime ยกกระชับผิวหน้า พัฒนาการสุดล้ำจาก Ulthera SPT

                                              จากเทคโนโลยียกกระชับผิวหน้า Ulthera SPT ที่เน้นการวางแผนและการรักษาเฉพาะบุคคล Ulthera Prime ได้พัฒนาเพิ่มความแม่นยำแบบเฉพาะเจาะจงที่ละเอียดและตรงจุดมากขึ้น ซึ่งช่วยให้แพทย์สามารถมองเห็นชั้นผิวแบบเรียลไทม์ ทำให้การรักษาตรงจุดและลดความเสี่ยงจากการส่งพลังงานเกินความจำเป็น นอกจากนี้ยังเพิ่มประสิทธิภาพในการลดเลือนริ้วรอย และปรับรูปหน้าให้ชัดเจนขึ้น

                                               

                                              เทคโนโลยี Ulthera Prime ยกกระชับผิวหน้า คืออะไร?

                                              Ulthera Prime คือ เทคโนโลยีเพื่อการยกกระชับผิวหน้าที่ล้ำสมัย โดยใช้พลังงานอัลตราซาวนด์ ซึ่งสามารถส่งพลังงานคลื่นเสียงแบบเจาะจงเข้าสู่ชั้นผิว SMAS ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้ผิวตึงกระชับและดูอ่อนเยาว์มากยิ่งขึ้น โดยไม่ต้องผ่าตัดหรือพักฟื้น ถือเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่ใกล้เคียงกับการผ่าตัด แต่หลีกเลี่ยงความเสี่ยงและระยะเวลาพักฟื้นที่ยาวนาน

                                               

                                              จุดเด่นของ Ulthera Prime
                                              จุดเด่นของ Ulthera Prime

                                               

                                              จุดเด่นของเทคโนโลยี Ulthera Prime ยกกระชับผิวหน้า

                                              • หน้าจอแสดงผล Full HD ขนาดใหญ่ขึ้น

                                              เทคโนโลยียกกระชับผิวหน้า Ulthera Prime มาพร้อมกับหน้าจอแสดงผลแบบ Full HD ที่มีขนาดใหญ่กว่าเดิมถึง 35% ทำให้แพทย์สามารถมองเห็นโครงสร้างชั้นผิวในระหว่างการรักษาได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น ช่วยให้แพทย์สามารถประเมินและกำหนดตำแหน่งในการยิงพลังงานได้แม่นยำมากขึ้น นอกจากนี้ แพทย์ยังสามารถปรับพลังงานได้ตามสภาพผิวแบบเฉพาะบุคคล เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

                                              • ระบบประมวลผลที่เร็วขึ้น

                                              ด้วยการพัฒนาระบบประมวลผลที่ล้ำสมัย ซึ่งเทคโนโลยียกกระชับผิวหน้า Ulthera Prime สามารถประมวลผลได้เร็วขึ้นถึง 20% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อน ส่งผลให้การทำหัตถการใช้เวลาน้อยลง ผู้เข้ารับบริการจึงสามารถรับการรักษาได้อย่างรวดเร็วและมีความสะดวกสบายมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดความรู้สึกไม่สบายในระหว่างทำหัตถการได้อย่างมีประสิทธิภาพ

                                              • ดีไซน์ใหม่ทันสมัย

                                              เทคโนโลยียกกระชับผิวหน้า Ulthera Prime ได้รับการออกแบบให้มีรูปลักษณ์ที่ทันสมัย เรียบหรู และกะทัดรัดมากยิ่งขึ้น ทำให้เหมาะสมต่อการใช้งานใสคลินิกความงามทุกขนาด และสะดวกต่อการเคลื่อนย้ายหรือจัดวางในพื้นที่ต่าง ๆ นอกจากนั้น ยังช่วยเสริมภาพลักษณ์ที่เป็นมืออาชีพให้กับคลินิกได้อีกด้วย

                                               

                                              Ulthera Prime แต่ต่างจากรุ่นเดิมอย่างไร
                                              Ulthera Prime แต่ต่างจากรุ่นเดิมอย่างไร

                                               

                                              เทคโนโลยี Ulthera Prime ยกกระชับผิวหน้า แตกต่างกับ Ulthera SPT อย่างไร?

                                              Ulthera Prime เป็นรุ่นที่พัฒนาใหม่จาก Ulthera SPT โดยมุ่งเน้นความแม่นยำและประสิทธิภาพที่สูงขึ้น ช่วยให้แพทย์สามารถมองเห็นชั้นผิวแบบเรียลไทม์ วางแผนการรักษาแม่นยำมากขึ้น ทำการรักษาได้รวดเร็วขึ้น 20% ทำให้ผลลัพธ์มีความละเอียดและเป็นธรรมชาติ อีกทั้งยังเพิ่มความสบายในระหว่างการรักษา ทำให้รู้สึกเจ็บน้อยลงเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการการยกกระชับผิวอย่างครอบคลุมและปรับให้เหมาะสมกับสภาพผิวของแต่ละคน

                                               

                                              รวมข้อดีของเทคโนโลยี Ulthera Prime ยกกระชับผิวหน้า

                                              • Ulthera Prime ยกกระชับผิวอย่างล้ำลึกโดยไม่ต้องผ่าตัด
                                              • Ulthera Prime กระตุ้นให้ร่างกายผลิตคอลลาเจนใหม่ 
                                              • Ulthera Prime มีความแม่นยำสูงและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
                                              • Ulthera Prime ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติและยาวนานต่อเนื่อง
                                              • Ulthera Prime ลดเลือนริ้วรอยรอบดวงตา หน้าผาก ลำคอ 
                                              • Ulthera Prime กระชับรูขุมขนกว้าง ให้ผิวเรียบเนียนอีกครั้ง
                                              • Ulthera Prime ยกกรอบหน้าและปรับโครงหน้าให้ชัดเจนขึ้น
                                              • Ulthera Prime ใช้ได้กับทุกเฉดสีผิวและทุกปัญหาผิว
                                              • Ulthera Prime สามารถปรับให้เหมาะสมกับปัญหาผิวที่แตกต่างกันได้
                                              • Ulthera Prime ไม่ต้องผ่าตัดหรือพักฟื้น สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ทันที
                                              • Ulthera Prime สามารถใช้กับลำคอ เนินอก และส่วนอื่นที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยได้
                                              • Ulthera Prime ผ่านการรับรองจาก US FDA และหน่วยงานความปลอดภัยระดับโลก

                                               

                                              เทคโนโลยี Ulthera Prime ยกกระชับผิวหน้า ช่วยอะไรบ้าง?

                                              • Ulthera Prime ช่วยยกกระชับผิวหน้าที่หย่อนคล้อยให้กลับมาตึงกระชับ
                                              • Ulthera Prime ช่วยปรับรูปหน้าและกรอบหน้าให้ชัดเจนขึ้น
                                              • Ulthera Prime ช่วยลดปัญหาผิวหย่อนคล้อยบริเวณคางและลำคอ
                                              • Ulthera Prime ช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนในชั้นผิวลึก
                                              • Ulthera Prime ช่วยให้ผิวหน้าแข็งแรง ยืดหยุ่น และดูอ่อนเยาว์
                                              • Ulthera Prime ช่วยให้ผิวดูเรียบเนียนและริ้วรอยจางลง
                                              • Ulthera Prime ช่วยลดขนาดรูขุมขน ทำให้ผิวหน้าเนียนละเอียด
                                              • Ulthera Prime ช่วยฟื้นฟูผิวที่ไม่สม่ำเสมอจากการเสื่อมสภาพของเซลล์ผิว
                                              • Ulthera Prime ช่วยลดริ้วรอยบริเวณหน้าผาก รอบดวงตา ร่องแก้ม และมุมปาก
                                              • Ulthera Prime ช่วยยกกระชับบริเวณรอบดวงตาและหางตา เพื่อลดปัญหาหนังตาตก
                                              • Ulthera Prime ช่วยยกกระชับผิวบริเวณเนินอกเพื่อลดริ้วรอย
                                              • Ulthera Prime ช่วยฟื้นฟูผิวหลังน้ำหนักลดหรือหลังคลอด
                                              • Ulthera Prime ช่วยชะลอสัญญาณแห่งวัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
                                              • Ulthera Prime ช่วยเพิ่มความมั่นใจในตัวเอง

                                               

                                              Ulthera Prime เหมาะกับใคร
                                              Ulthera Prime เหมาะกับใคร

                                               

                                              เทคโนโลยี Ulthera Prime ยกกระชับผิวหน้า เหมาะกับใครบ้าง?

                                              • Ulthera Prime เหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มมีสัญญาณความหย่อนคล้อยในวัย 30+
                                              • Ulthera Prime เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย กรอบหน้าไม่ชัดเจน
                                              • Ulthera Prime เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดเลือนริ้วรอยบริเวณหน้าผาก รอบดวงตา และร่องแก้ม
                                              • Ulthera Prime เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับใบหน้าแบบไม่ผ่าตัด
                                              • Ulthera Prime เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาจำกัด ต้องการการรักษาที่ใช้เวลาสั้น ไม่ต้องพักฟื้น
                                              • Ulthera Prime เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการดูแลผิวในระยะยาวแบบยั่งยืน
                                              • Ulthera Prime เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหารูขุมขนกว้าง ต้องการกระชับรูขุมขนและปรับพื้นผิวหน้าให้เรียบเนียน
                                              • Ulthera Prime เหมาะสำหรับผู้ชายและผู้หญิงทุกช่วงวัยที่ต้องการยกกระชับผิวหน้า
                                              • Ulthera Prime เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการให้กรอบหน้าดูคมชัดและเป็น V Shape มากขึ้น
                                              • Ulthera Prime เหมาะสำหรับทุกโทนสีผิว สามารถทำได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องโทนสีผิว
                                              • Ulthera Prime เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวเฉพาะจุด เช่น ใต้ตา ร่องแก้ม หรือเนินอก
                                              • Ulthera Prime เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวหลังคลอด แก้ปัญหาผิวหน้าท้องไม่กระชับ
                                              • Ulthera Prime เหมาะสำหรับผู้ที่มีไลฟ์สไตล์ต้องการความสะดวกและต้องการการดูแลที่รวดเร็ว
                                              • Ulthera Prime เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดริ้วรอยและฟื้นฟูความเรียบเนียนบริเวณเนินอก
                                              • Ulthera Prime เหมาะสำหรับผู้ที่ผ่านการลดน้ำหนักหรือศัลยกรรมดูดไขมันมาก่อน

                                               

                                              เทคโนโลยี Ulthera Prime ยกกระชับผิวหน้า ไม่เหมาะกับใครบ้าง?

                                              • Ulthera Prime ไม่เหมาะสำหรับหญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
                                              • Ulthera Prime ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัวบางประเภท เช่น โรคผิวหนังเรื้อรัง (Psoriasis, Eczema)
                                              • Ulthera Prime ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีโรคเกี่ยวกับระบบประสาทที่อาจทำให้เกิดความไวต่อความร้อน
                                              • Ulthera Prime ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีอุปกรณ์โลหะฝังในร่างกาย เช่น ผู้ที่ใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemaker)
                                              • Ulthera Prime ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีแผลเปิดหรือการติดเชื้อในบริเวณที่จะรักษา
                                              • Ulthera Prime ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับผิวหนังบางผิดปกติ เช่น ผิวหนังที่ไวต่อการกระตุ้นหรือการเสียดสี
                                              • Ulthera Prime ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหนังหย่อนคล้อยระดับรุนแรงมาก
                                              • Ulthera Prime ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เคยได้รับการผ่าตัดหรือฉีดสารในบริเวณใบหน้ามาก่อน
                                              • Ulthera Prime ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เพิ่งผ่านการทำเลเซอร์ผิวหรือทรีตเมนต์เข้มข้นมาก่อน
                                              • Ulthera Prime ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีประวัติแพ้ต่อพลังงานคลื่นเสียง
                                              • Ulthera Prime ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวไวต่อแสงหรือความร้อน
                                              • Ulthera Prime ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีโรคติดเชื้อบางประเภท เช่น การติดเชื้อไวรัสเริม
                                              • Ulthera Prime ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่อยู่ในช่วงฟื้นฟูจากการทำศัลยกรรม
                                              • Ulthera Prime ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีโรคเกี่ยวกับเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน เช่น โรค Scleroderma
                                              • Ulthera Prime ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการบวม หรือต่อมน้ำเหลืองผิดปกติในบริเวณใบหน้า
                                              • Ulthera Prime ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัวที่ส่งผลต่อการหายของแผล เช่น โรคเบาหวานที่ควบคุมไม่ได้ หรือโรคที่มีผลต่อระบบไหลเวียนโลหิต

                                               

                                              Ulthera Prime ทำบริเวณใดได้บ้าง
                                              Ulthera Prime ทำบริเวณใดได้บ้าง

                                               

                                              เทคโนโลยี Ulthera Prime ยกกระชับผิวหน้า สามารถทำบริเวณใดได้บ้าง?

                                              • Ulthera Prime สามารถทำบริเวณหน้าผากได้ – ช่วยยกกระชับและลดริ้วรอยบนหน้าผาก
                                              • Ulthera Prime สามารถทำบริเวณใต้ตาได้ – ยกกระชับผิวใต้ตาและลดถุงใต้ตา
                                              • Ulthera Prime สามารถทำบริเวณหางตาได้ – แก้ปัญหาหางตาตก
                                              • Ulthera Prime สามารถทำบริเวณแก้มได้ – กระชับผิวแก้มที่หย่อนคล้อย ปรับรูปหน้าให้ดูเต่งตึง
                                              • Ulthera Prime สามารถทำบริเวณกรอบหน้าได้ – ยกกระชับกรอบหน้าให้ชัดเจนมากขึ้น ช่วยปรับรูปหน้าให้ดูเรียว
                                              • Ulthera Prime สามารถทำบริเวณคางได้ – ยกกระชับบริเวณใต้คาง ลดความหย่อนคล้อยและปัญหาเหนียง
                                              • Ulthera Prime สามารถทำบริเวณลำคอได้ – ยกกระชับผิวลำคอที่หย่อนคล้อย
                                              • Ulthera Prime สามารถทำบริเวณเนินอกได้ – ช่วยลดริ้วรอย ฟื้นฟูความเรียบเนียน 

                                               

                                              เปรียบเทียบเทคโนโลยี Ulthera Prime ยกกระชับผิวหน้า กับ เทคโนโลยียกกระชับอื่น

                                              • เทคโนโลยียกกระชับผิวหน้า Ulthera Prime

                                              เป็นเทคโนโลยียกกระชับที่ใช้พลังงาน Focused Ultrasound ซึ่งสามารถลงลึกถึงชั้น SMAS ได้ โดยชั้นนี้เป็นชั้นเดียวกับที่ศัลยแพทย์ใช้สำหรับการผ่าตัดดึงหน้า ทำให้เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยระดับปานกลางถึงมาก ผลลัพธ์จะเริ่มเห็นใน 2-3 เดือนหลังทำ และสามารถคงอยู่ได้นานถึง 1-2 ปี ข้อได้เปรียบของ Ulthera Prime คือมีระบบการแดงชั้นผิวแบบ Full HD ที่ช่วยให้แพทย์สามารถมองเห็นชั้นผิวขณะทำการรักษา ทำให้พลังงานถูกส่งได้อย่างแม่นยำและปลอดภัยมากขึ้น 

                                              • เทคโนโลยียกกระชับผิวหน้า HIFU

                                              เป็นเทคโนโลยีที่ใช้พลังงานคลื่นอัลตราซาวนด์เช่นกัน ทำให้เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยเล็กน้อยถึงปานกลาง ผลลัพธ์จะเริ่มเห็นใน 1-3 เดือน และอยู่ได้นานประมาณ 6-12 เดือน

                                              • เทคโนโลยียกกระชับผิวหน้า Thermage

                                              ใช้พลังงาน Radiofrequency (RF) เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นหนังแท้ (Dermis) ทำให้ผิวชั้นตื้นดูเรียบเนียนและริ้วรอยลดลง ผลลัพธ์จะเห็นชัดในช่วง 2-6 เดือน และอยู่ได้นาน 12-18 เดือน เทคโนโลยีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดริ้วรอยและฟื้นฟูผิวในระดับตื้น ข้อดีคือสามารถใช้ได้กับทุกสีผิวและไม่ต้องพักฟื้น แต่ Thermage ไม่สามารถยกกระชับได้ลึกเท่า Ulthera Prime

                                              • การร้อยไหม

                                              เป็นวิธีที่ใช้ไหมละลายสอดเข้าไปใต้ผิวเพื่อยกกระชับใบหน้า โดยจะให้ผลลัพธ์ทันทีและช่วยปรับกรอบหน้าให้ชัดเจนขึ้น ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 1-2 ปี ขึ้นอยู่กับไหมที่ใช้ ข้อดีคือสามารถเห็นผลได้ทันที แต่ผู้รับบริการอาจรู้สึกเจ็บในระหว่างทำ และมีโอกาสเกิดแผลหรืออาการบวมหลังทำ

                                              • การฉีดโบและฟิลเลอร์

                                              เป็นวิธีแก้ปัญหาที่เหมาะสำหรับการลดริ้วรอยหรือเติมเต็มร่องลึกในจุดที่ต้องการ เช่น ร่องแก้ม ใต้ตา หรือหน้าผาก ผลลัพธ์จะเห็นได้ทันที แต่จะอยู่ได้นานเพียง 3-12 เดือน และต้องทำซ้ำ ข้อดีคือผลลัพธ์รวดเร็ว แต่ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับผิวในระดับลึก

                                               

                                              สรุปความแตกต่างเทคโนโลยี Ulthera Primeยกกระชับผิวหน้า  กับ เทคโนโลยียกกระชับอื่น

                                              • Ulthera Prime เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับอย่างลึกถึงชั้น SMAS และผลลัพธ์ที่คงทน เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยระดับปานกลางถึงมาก และต้องการการดูแลในระยะยาว
                                              • HIFU เหมาะกับการแก้ปัญหาผิวหย่อนเล็กน้อยและมีงบประมาณจำกัด เหมาะสำหรับคนที่เริ่มมีปัญหาผิว และต้องการการยกกระชับแบบเบาๆ โดยไม่ต้องพักฟื้น
                                              • Thermage เหมาะสำหรับการลดริ้วรอยและฟื้นฟูผิวชั้นตื้น เหมาะกับผู้ที่ต้องการลดริ้วรอยเล็กน้อยและปรับพื้นผิวให้เรียบเนียน โดยไม่เน้นการยกกระชับลึก
                                              • ร้อยไหม เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ทันทีและปรับรูปหน้าชัดเจน เหมาะกับผู้ที่ต้องการยกกระชับอย่างเร่งด่วน เช่น ก่อนออกงานสำคัญ และต้องการโครงหน้าที่ชัดเจนขึ้น
                                              • การฉีดโบและฟิลเลอร์ เหมาะสำหรับการแก้ปัญหาลดเลือนริ้วรอยเฉพาะจุดและต้องการผลลัพธ์รวดเร็ว เช่น ร่องแก้ม ใต้ตา หน้าผาก หรือการเติมเต็มบริเวณใบหน้า เพื่อความดูดีในระยะสั้น

                                               

                                              การเตรียมตัวก่อนทำเทคโนโลยี Ulthera Prime ยกกระชับผิวหน้า

                                              • ก่อนทำ Ulthera Prime ควรนัดปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินปัญหาผิว
                                              • ก่อนทำ Ulthera Prime ควรแจ้งประวัติสุขภาพ ยาที่กำลังรับประทานอยู่ หรือการรักษาผิวหน้าที่เคยทำมาก่อน
                                              • ก่อนทำ Ulthera Prime พักผ่อนให้เต็มที่ก่อนวันเข้ารับการรักษา ช่วยให้ผิวมีความพร้อมต่อการฟื้นฟู
                                              • ก่อนทำ Ulthera Prime งดการออกแดดจัดเป็นเวลา 1 สัปดาห์
                                              • ก่อนทำ Ulthera Prime งดดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ก่อนทำอย่างน้อย 24 ชั่วโมง
                                              • ก่อนทำ Ulthera Prime หลีกเลี่ยงการทำทรีตเมนต์ที่อาจทำให้ผิวระคายเคือง
                                              • ก่อนทำ Ulthera Prime งดใช้ยาหรืออาหารเสริมบางชนิด เช่น วิตามินอี, โสม, หรือใบแปะก๊วย อย่างน้อย 7 วัน

                                               

                                              ขั้นตอนการทำเทคโนโลยี Ulthera Prime ยกกระชับผิวหน้า

                                              1. แพทย์จะตรวจสอบปัญหาผิวหน้า เช่น ความหย่อนคล้อยของผิว ริ้วรอย และบริเวณที่ต้องการการยกกระชับ
                                              2. แพทย์จะประเมินความเหมาะสมของการทำ Ulthera Prime เพื่อกำหนดจุดที่ต้องการรักษา
                                              3. ทำความสะอาดผิวหน้า ลบเครื่องสำอาง ครีมบำรุง หรือสิ่งตกค้างบนผิวหน้า อย่างหมดจด เพื่อเตรียมผิวให้พร้อมสำหรับการรักษา
                                              4. แพทย์จะทายาชาเฉพาะที่บริเวณผิวหน้า เพื่อช่วยลดความรู้สึกไม่สบายระหว่างทำ อาจใช้เวลาประมาณ 20-30 นาที เพื่อให้ยาชาออกฤทธิ์
                                              5. แพทย์จะวาดเส้นหรือจุดบนใบหน้าเพื่อกำหนดบริเวณที่ต้องการยกกระชับ ใช้ตำแหน่งนี้เป็นแนวทางในการส่งพลังงานลงไปอย่างแม่นยำ
                                              6. แพทย์จะเริ่มใช้หัวอุปกรณ์ Ulthera Prime ที่ปล่อยพลังงานคลื่น Focused Ultrasound ลงลึกถึงชั้น SMAS
                                              7. แพทย์จะรักษาผิวหน้าในจุดที่วางแผนไว้ เช่น หน้าผาก รอบดวงตา แก้ม กรอบหน้า คาง หรือลำคอ
                                              8. ระหว่างการรักษา ผู้รับบริการอาจรู้สึกอุ่นหรือกระตุกเบา ๆ บนผิว ซึ่งเป็นสัญญาณว่าพลังงานกำลังทำงานในชั้นผิว
                                              9. หลังทำเสร็จ แพทย์จะตรวจสอบผลลัพธ์เบื้องต้น และทำความสะอาดผิวหน้าอีกครั้ง
                                              10. แพทย์จะแนะนำวิธีการดูแลผิวหลังการรักษาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ

                                               

                                              การดูแลหลังทำเทคโนโลยี Ulthera Prime ยกกระชับผิวหน้า

                                              • หลังทำ Ulthera Prime งดการโดนแสงแดดจัดในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก
                                              • หลังทำ Ulthera Prime หลีกเลี่ยงการทำทรีตเมนต์หรือเลเซอร์ เป็นระยะเวลา 2 สัปดาห์
                                              • หลังทำ Ulthera Prime หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารกัดผิว เช่น เรตินอล หรือกรด AHA และ BHA
                                              • หลังทำ Ulthera Prime หลีกเลี่ยงการนวด กด หรือลูบใบหน้าแรง ๆ ในช่วง 1 สัปดาห์แรก
                                              • หลังทำ Ulthera Prime งดการออกกำลังกายที่ทำให้เหงื่อออกมากในช่วง 1-2 วันแรก
                                              • หลังทำ Ulthera Prime งดการดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก
                                              • หลังทำ Ulthera Prime ควรดื่มน้ำวันละ 8-10 แก้ว เพื่อช่วยให้ผิวชุ่มชื้น
                                              • หลังทำ Ulthera Prime ควรใช้ครีมบำรุงที่ช่วยฟื้นฟูผิว เช่น ครีมที่มีส่วนผสมของไฮยาลูโรนิก แอซิด หรือเซราไมด์

                                               

                                              คำถามที่ควรรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยียกกระชับผิวหน้า Ulthera Prime

                                              หลังทำ Ulthera Prime ต้องพักฟื้นไหม?

                                              • หลังทำ Ulthera Prime สามารถกลับไปทำกิจวัตรประจำวันได้ทันที ไม่ต้องพักฟื้น ซึ่งผิวอาจมีอาการตึง บวมเล็กน้อย หรือแดงในบางจุด ซึ่งจะหายไปใน 1-2 วัน

                                               

                                              ผลลัพธ์จากการทำ Ulthera Prime จะเห็นได้เมื่อไหร่?

                                              • ผลลัพธ์ Ulthera Prime บางส่วนจะเริ่มเห็นทันทีหลังทำ และจะค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นในช่วง 2-3 เดือน เนื่องจากเป็นช่วงที่คอลลาเจนถูกกระตุ้นและสร้างขึ้นใหม่

                                               

                                              ผลลัพธ์ของ Ulthera Prime อยู่ได้นานแค่ไหน?

                                              • ผลลัพธ์ Ulthera Prime สามารถคงอยู่ได้นานประมาณ 1-2 ปี ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลตัวเองของแต่ละบุคคล

                                               

                                              ทำ Ulthera Prime กี่ครั้งจึงจะเห็นผล?

                                              • โดยปกติ ทำ Ulthera Prime เพียงครั้งเดียวก็เพียงพอสำหรับการยกกระชับและกระตุ้นคอลลาเจน หากต้องการทำซ้ำ ควรเว้นระยะเวลาอย่างน้อย 1 ปี

                                               

                                              Ulthera Prime มีผลข้างเคียงไหม?

                                              • หลังทำ Ulthera Prime อาจมีอาการบวม แดง ตึง หรือรู้สึกเสียวในบางจุด แต่เป็นอาการชั่วคราวที่มักหายไปในเวลาอันสั้น หากมีอาการผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์

                                               

                                              สามารถทำ Ulthera Prime ร่วมกับเทคโนโลยีอื่นได้ไหม?

                                              • สามารถทำ Ulthera Prime ร่วมกับเทคโนโลยีอื่น เช่น การฉีดโบ ฉีดฟิลเลอร์ หรือเลเซอร์ แต่ควรปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนการรักษา และเว้นระยะเวลาที่เหมาะสม

                                               

                                              Ulthera Prime ต่างจาก การผ่าตัดดึงหน้า อย่างไร?

                                              • Ulthera Prime เป็นการยกกระชับผิวแบบไม่ผ่าตัด ไม่มีแผล และไม่ต้องพักฟื้น ส่วนการผ่าตัดดึงหน้า มีแผลและต้องใช้เวลาพักฟื้น แต่ผลลัพธ์ชัดเจนกว่ามาก ในกรณีที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยรุนแรง

                                               

                                              Ulthera Prime เจ็บไหม?

                                              • ระหว่างทำ Ulthera Prime อาจรู้สึกอุ่นและตึงใต้ผิว ซึ่งเป็นสัญญาณว่าคลื่น Ultrasound กำลังทำงาน อย่างไรก็ตาม สามารถใช้ยาชาหรือครีมลดความเจ็บได้

                                               

                                              สามารถทำ Ulthera Prime ได้บ่อยแค่ไหน?

                                              • ควรทำ Ulthera Prime ห่างกันอย่างน้อย 1 ปี เนื่องจากการกระตุ้นคอลลาเจนในผิวต้องใช้เวลาในการสร้างและฟื้นฟู

                                               

                                              Ulthera Prime เหมาะกับอายุเท่าไหร่?

                                              • Ulthera Prime เหมาะกับผู้ที่เริ่มมีปัญหาผิวหย่อนคล้อย ซึ่งมักเริ่มในช่วงอายุ 30 ปีขึ้นไป แต่สามารถทำได้ในทุกวัยหากมีปัญหาผิว

                                               

                                              ทำ Ulthera Prime แล้วผิวหน้าบางลงหรือไม่?

                                              • หลังทำ Ulthera Prime ผิวหน้าจะไม่บางลง เนื่องจาก Ulthera Prime ทำงานในชั้นลึกใต้ผิวหนังและช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่โดยไม่ทำลายผิวชั้นนอก

                                              Ulthera Prime ได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำที่สุดในวงการยกกระชับผิว ด้วยเทคโนโลยียกกระชับ Microfocused Ultrasound ที่ทำงานร่วมกับระบบการแสดงผลแบบเรียลไทม์ ช่วยให้การรักษาแม่นยำ ปลอดภัย และตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูความกระชับของผิวโดยไม่ต้องผ่าตัด ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดเจนตั้งแต่ครั้งแรก และการสร้างคอลลาเจนใหม่ที่ช่วยคงความอ่อนเยาว์ในระยะยาว ทำให้ Ulthera Prime เป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งของผู้ที่ใส่ใจในความงาม

                                              ในปี 2025 นี้ เทคโนโลยี Ulthera Prime ได้กลายเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายในกลุ่มคนรักผิวทั่วโลก และได้รับการยอมรับจากแพทย์เฉพาะทางในด้านความงาม ว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าเพื่อผิวที่ดูดีขึ้นอย่างแท้จริง หากคุณกำลังมองหาวิธีปรับรูปหน้า ลดริ้วรอย และฟื้นฟูความกระชับของผิวแบบไม่ต้องพักฟื้น Ulthera Prime อาจเป็นคำตอบที่ดีที่สุดสำหรับคุณ

                                              เพราะความงามไม่ได้มีแค่ในกระจก แต่คือความมั่นใจในตัวเองที่คุณสัมผัสได้ สำหรับใครที่สนใจ สามารถลองปรึกษาแพทย์เฉพาะทาง เพื่อเริ่มต้นเส้นทางสู่ผิวที่กระชับและอ่อนเยาว์กับ Ulthera Prime กับรมย์รวินท์คลินิก ได้แล้ววันนี้

                                              ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                                วันที่สะดวกในการติดต่อ








                                                Hybrid Filler คืออะไร? ช่วยเรื่องอะไร? ต่างจากฟิลเลอร์ทั่วไปอย่างไร?

                                                Hybrird Filler เติมเต็มผิวไปพร้อมกับกระตุ้นคอลลาเจน

                                                Hybrid Filler คืออะไร? ช่วยเรื่องอะไร? ต่างจากฟิลเลอร์ทั่วไปอย่างไร?

                                                 

                                                ในปัจจุบัน เทคโนโลยีการฉีดฟิลเลอร์ได้ถูกพัฒนาไปอีกขั้น และกำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยฟิลเลอร์กลุ่มนี้มีชื่อเรียกว่า “Hybrid Filler” ซึ่งสามารถตอบโจทย์ และแก้ไขปัญหาได้อย่างครอบคลุม มาพร้อมกับคุณสมบัติพิเศษที่ผสานส่วนประกอบสำคัญ 2 ชนิด ที่มีความโดดเด่นมากกว่าฟิลเลอร์ทั่วไป แต่หลายคนอาจเกิดความสงสัย และยังไม่ทราบว่า Hybrid Filler นั้นคืออะไร? Hybrid Filler ช่วยเรื่องอะไร? และ Hybrid Filler ดีกว่าฟิลเลอร์ทั่วไปอย่างไร? บทความนี้สรุปข้อมูลที่ต้องรู้เกี่ยวกับ Hybrid Filler มาให้เรียบร้อยแล้ว

                                                Hybrid Filler ยกกระชับผิว พร้อมกระตุ้นคอลลาเจน คืออะไร? เหมาะกับใครบ้าง?

                                                 

                                                Hybrird Filler คืออะไร
                                                Hybrird Filler คืออะไร

                                                 

                                                Hybrid Filler ยกกระชับผิว พร้อมกระตุ้นคอลลาเจน คืออะไร?

                                                Hybrid Filler เป็นเทคโนโลยีฟิลเลอร์เจนใหม่ในวงการแพทย์ ที่มีความพิเศษกว่าฟิลเลอร์ทั่ว ๆ ไป และกำลังได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน โดยมีการผสมผสานส่วนประกอบสำคัญอย่าง Hyaluronic Acid (HA) และ Calcium Hydroxyapatite (CaHA) เข้าด้วยกัน ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อยกกระชับผิว พร้อมกระตุ้นคอลลาเจนใต้ชั้นผิวในเวลาเดียวกัน ซึ่งช่วยเสริมโครงสร้างผิวให้แข็งแรง ผิวมีความหนาแน่น และฟื้นฟูผิวในระยะยาว จึงทำให้ผลลัพธ์ที่ได้ครอบคลุม และตอบโจทย์ปัญหาผิวได้หลากหลาย มากกว่าการฉีดฟิลเลอร์ทั่วไป

                                                 

                                                ส่วนประกอบของ Hybrird Filler
                                                ส่วนประกอบของ Hybrird Filler

                                                 

                                                Hybrid Filler ยกกระชับผิว พร้อมกระตุ้นคอลลาเจน มีส่วนประกอบสำคัญอะไร?

                                                การฉีด Hybrid Filler สามารถให้ 2 ผลลัพธ์ภายในขั้นตอนเดียว ซึ่งมีส่วนประกอบสำคัญ ที่ช่วยให้ Hybrid Filler มีประสิทธิภาพสูงในการเติมเต็ม ยกกระชับผิว พร้อมกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน โดยส่วนประกอบหลัก มีดังนี้

                                                Hyaluronic Acid (HA) 

                                                • Hyaluronic Acid หรือ HA คือ สารที่พบได้ตามธรรมชาติในผิวหนัง ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเลียนแบบ HA ในร่างกาย เป็นโมเลกุลน้ำตาลเชิงซ้อน ที่มีชื่อเรียกว่า Polysaccharide ซึ่งมีคุณสมบัติในการรักษาความชุ่มชื้น และอุ้มน้ำให้กับผิว ถือเป็นส่วนประกอบสำคัญที่มักใช้ในฟิลเลอร์ (Filler) ทั่วไป ซึ่งมีความปลอดภัยสูง สามารถเข้ากันได้ดีกับร่างกาย และให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ 

                                                Calcium Hydroxyapatite (CaHA)

                                                • Calcium Hydroxyapatite หรือ CaHA คือ สารกระตุ้นคอลลาเจนที่พบได้ตามธรรมชาติ มีโครงสร้างที่ใกล้เคียงกับแร่ธาตุในกระดูกและฟัน ทำให้สามารถเข้ากันได้ดีกับร่างกาย ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ โดย CaHA ถูกผลิตขึ้นมาในรูปแบบของ Microspheres ทรงกลมขนาดเล็กมาก จนทำให้ร่างกายตรวจจับได้ยาก ลดโอกาสเกิดปฏิกิริยาต่อต้านสิ่งแปลกปลอม ซึ่งมีคุณสมบัติในการ กระตุ้นการทำงานของเซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast) ให้เกิดการสร้างคอลลาเจน และอีลาสตินขึ้นมาใหม่ ออกฤทธิ์ในการฟื้นฟู และปรับปรุงคุณภาพผิวในระยะยาว ทำให้ผิวมีโครงสร้างที่แข็งแรง หนาแน่น และเต่งตึงขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ

                                                 

                                                Hybrid Filler ยกกระชับผิว พร้อมกระตุ้นคอลลาเจน มีหลักการทำงานอย่างไร?

                                                เนื่องจาก Hybrid Filler มีส่วนประกอบสำคัญอย่าง Hyaluronic Acid (HA) และ Calcium Hydroxyapatite (CaHA) เมื่อฉีด Hybrid Filler เข้าสู่ผิวหน้า HA จะทำหน้าที่ยกกระชับผิว เติมเต็ม และเพิ่มวอลุ่มให้ผิว เพื่อทดแทนบริเวณที่สูญเสียคอลลาเจน ไขมัน และกระดูกที่ทรุดตัวลงเมื่ออายุมากขึ้น ทำให้ใบหน้ามีความเรียบเนียน อิ่มฟู และดูอ่อนกว่าวัยทันทีหลังฉีด จากนั้น สาร CaHA จะทำหน้าที่ กระตุ้นการทำงานของเซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast) ให้ผลิตคอลลาเจน ชนิดที่ 1 คอลลาเจน ชนิดที่ 3 และอีลาสตินขึ้นมาใหม่ รวมทั้ง สร้างเส้นใยคอลลาเจน จนเกิดเป็นโครงสร้างคอลลาเจนที่แน่นหนา ทำให้ผิวดูอิ่มฟู กระชับ และเต่งตึงขึ้น 

                                                ดังนั้น ด้วยการทำงานร่วมกันของ 2 กลไกนี้ ทั้ง HA และ CaHA ทำให้ Hybrid Filler สามารถให้ผลลัพธ์ที่ยั่งยืนมากกว่าฟิลเลอร์ทั่วไป เพราะนอกจากจะยกกระชับผิวได้แล้ว ยังช่วยปรับปรุงคุณภาพของผิวให้ดีขึ้นในระยะยาวอีกด้วย

                                                 

                                                Hybrird Filler มียี่ห้ออะไรบ้าง
                                                Hybrird Filler มียี่ห้ออะไรบ้าง

                                                 

                                                Hybrid Filler มียี่ห้ออะไรบ้าง?

                                                ปัจจุบันการฉีด Hybrid Filler กำลังได้รับความนิยมอย่างมาก ซึ่งมีให้เลือกหลากหลายยี่ห้อ ดังนี้

                                                ยี่ห้อ HArmonyCa Filler

                                                • HArmonyCa Filler เป็นสารเติมเต็ม Hybrid Filler ที่พัฒนาโดยบริษัท Allergan Aesthetics จากประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำในการผลิตผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ และความงามระดับโลก โดย HArmonyCa Filler มีส่วนประกอบของ HA ปริมาณ 70% และมี CaHA ปริมาณ 30% รวมทั้ง มี Lidocaine หรือยาชา เป็นส่วนประกอบที่ช่วยลดความเจ็บปวด ทำให้รู้สึกสบายตัวมากขึ้น เหมาะสำหรับการเติมเต็ม ยกกระชับผิว ปรับรูปหน้า พร้อมกระตุ้นคอลลาเจนบริเวณใบหน้า ทำให้ผิวมีโครงสร้างที่แข็งแรง แน่นกระชับ และยืดหยุ่น สามารถคงประสิทธิภาพได้นาน ถึง 12 – 18 เดือน

                                                ยี่ห้อ Neauvia Filler รุ่น Neauvia Stimulate

                                                • Neauvia Filler รุ่น Neauvia Stimulate เป็นสารเติมเต็ม Hybrid Filler จากประเทศอิตาลี ผลิตขึ้นมาในปี 2012 และได้รับความนิยมใช้งานอย่างกว้างขวาง ใช้งานกว่า 80 ประเทศทั่วโลก มีส่วนประกอบของ HA ปริมาณ 26% และมี CaHA ปริมาณ 1%  รวมทั้ง มีส่วนประกอบของ L-Proline และ Glycine เหมาะสำหรับการเติมเต็มริ้วรอย ร่องลึก พร้อมกระตุ้นคอลลาเจน ในบริเวณต่าง ๆ ของใบหน้า เช่น ร่องแก้ม ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่น แข็งแรง และดูอ่อนเยาว์ โดยสามารถคงประสิทธิภาพได้นาน ถึง 12 เดือน

                                                ยี่ห้อ Neauvia Filler รุ่น Neauvia Hydro Deluxe

                                                • Neauvia Filler รุ่น Neauvia Hydro Deluxe เป็นสารเติมเต็ม Hybrid Filler จากประเทศอิตาลี ผลิตขึ้นมาในปี 2012 และได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง ใช้งานกว่า 80 ประเทศทั่วโลก มีส่วนประกอบของ HA ปริมาณ 18% และมี CaHA ปริมาณ 0.01% รวมทั้ง มีส่วนประกอบของ L-Proline และ Glycine เหมาะสำหรับการเติมเต็มหลุมสิว รูขุมขนกว้าง พร้อมกระตุ้นคอลลาเจน ในบริเวณต่าง ๆ ของใบหน้า เช่น หน้าผาก หน้าแก้ม หรือรอบดวงตา ทำให้ผิวอิ่มฟู ชุ่มชื้น และดูสุขภาพดีจากภายใน โดยสามารถคงประสิทธิภาพได้นาน ถึง 6 – 9 เดือน

                                                 

                                                Hybrird Filler ช่วยเรื่องอะไร
                                                Hybrird Filler ช่วยเรื่องอะไร

                                                 

                                                Hybrid Filler ช่วยเรื่องอะไรบ้าง?

                                                • Hybrid Filler ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ชนิดที่ 1 และ กระตุ้นคอลลาเจน ชนิดที่  3 ซึ่งเป็นคอลลาเจนที่มีความสำคัญต่อผิวของเราโดยเฉพาะ
                                                • Hybrid Filler ช่วยเติมเต็มริ้วรอย และร่องลึกต่าง ๆ บนใบหน้า
                                                • Hybrid Filler ช่วยยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อย ให้กลับมาเต่งตึง กระชับ
                                                • Hybrid Filler ช่วยปรับรูปหน้าให้เรียวเล็ก ดูอ่อนเยาว์
                                                • Hybrid Filler ช่วยปรับกรอบหน้าให้มีความคมชัด ใบหน้าดูมีมิติ
                                                • Hybrid Filler ช่วยเติมเต็มความชุ่มชื้นให้กับผิว ทำให้ผิวอิ่มน้ำ ดูสดใส
                                                • Hybrid Filler ช่วยให้ผิวแข็งแรง เสริมโครงสร้างผิวจากภายใน
                                                • Hybrid Filler ช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่น ผิวดูอิ่มฟูมากขึ้น
                                                • Hybrid Filler ช่วยลดความหมองคล้ำ ให้ผิวดูกระจ่างใส
                                                • Hybrid Filler ช่วยให้ผิวดูอ่อนกว่าวัย ใบหน้าดูเด็กลง
                                                • Hybrid Filler ช่วยปรับปรุงคุณภาพผิวในระยะยาว

                                                 

                                                Hybrid Filler ยกกระชับผิว พร้อมกระตุ้นคอลลาเจน เหมาะกับใคร?

                                                • การฉีด Hybrid Filler เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาริ้วรอย ร่องลึกต่าง ๆ บนใบหน้า
                                                • การฉีด Hybrid Filler เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าให้ดูมีมิติ มีสัดส่วนที่สมดุล
                                                • การฉีด Hybrid Filler เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการยกกระชับผิว ลดความหย่อนคล้อยบนใบหน้า
                                                • การฉีด Hybrid Filler เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีอายุ 25 ปี ขึ้นไป คอลลาเจนเริ่มเสื่อมสภาพลงตามอายุ
                                                • การฉีด Hybrid Filler เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการเสริมสร้างโครงสร้างผิว ให้มีความแข็งแรงจากภายใน 
                                                • การฉีด Hybrid Filler เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาผิวหน้าขาดคอลลาเจน ต้องการเพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิว
                                                • การฉีด Hybrid Filler เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหากรอบหน้าไม่ชัด ใบหน้าขาดมิติ
                                                • การฉีด Hybrid Filler เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการเติมเต็มความชุ่มชื้นให้ผิว มีปัญหาผิวขาดน้ำ
                                                • การฉีด Hybrid Filler เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหารูขุมขนกว้าง รูขุมขนไม่กระชับ ผิวไม่เรียบเนียน
                                                • การฉีด Hybrid Filler เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาหลุมสิว ต้องการเติมเต็มหลุมสิวให้ดูตื้นขึ้น 
                                                • การฉีด Hybrid Filler เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาใบหน้าโทรม ดูอ่อนเพลีย ไม่สดใส
                                                • การฉีด Hybrid Filler เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวหน้าในระยะยาว

                                                 

                                                Hybrid Filler ยกกระชับผิว พร้อมกระตุ้นคอลลาเจน ไม่เหมาะกับใคร?

                                                • การฉีด Hybrid Filler ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีประวัติแพ้สารใน Hybrid Filler ทั้ง HA และ CaHA ควรหลีกเลี่ยง
                                                • การฉีด Hybrid Filler ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีประวัติแพ้ยาชา เนื่องจากฟิลเลอร์บางยี่ห้อมีส่วนผสมของยาชา
                                                • การฉีด Hybrid Filler ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาผิวอักเสบ หรือติดเชื้อ อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้
                                                • การฉีด Hybrid Filler ไม่เหมาะสำหรับ ผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ ควรหลีกเลี่ยงการฉีดฟิลเลอร์ในช่วงเวลานี้ไปก่อน
                                                • การฉีด Hybrid Filler ไม่เหมาะสำหรับ ผู้หญิงที่กำลังให้นมบุตร ควรหลีกเลี่ยงการฉีดฟิลเลอร์ในช่วงเวลานี้ไปก่อน
                                                • การฉีด Hybrid Filler ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่ปัญหาการแข็งตัวของเลือด เลือดไหลออกง่าย อาจทำให้เกิดรอยช้ำได้ง่าย
                                                • การฉีด Hybrid Filler ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการฉีดฟิลเลอร์ที่มีความยืดหยุ่นสูง ในบริเวณที่มีการเคลื่อนไหวบ่อย

                                                 

                                                Hybrid Filler ยกกระชับผิว พร้อมกระตุ้นคอลลาเจน มีข้อดีอย่างไร?

                                                • การฉีด Hybrid Filler ให้ผลลัพธ์ที่ยั่งยืน เนื่องจากมีส่วนประกอบ CaHA ที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในระยะยาว ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้อยู่ได้นานกว่าฟิลเลอร์ทั่วไป
                                                • การฉีด Hybrid Filler สามารถครอบคลุมปัญหาผิวได้หลากหลาย ไม่เพียงแต่เติมเต็ม และยกกระชับผิว ยังช่วยกระตุ้นคอลลาเจนได้ในขั้นตอนเดียว
                                                • การฉีด Hybrid Filler มีความปลอดภัยสูง ไม่กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย จึงมีความเสี่ยงต่ำในการเกิดอาการแพ้ หรืออักเสบหลังการฉีด Hybrid Filler
                                                • การฉีด Hybrid Filler ไม่ต้องมีการพักฟื้น หลังฉีด Hybrid Filler สามารถใช้ชีวิต หรือทำกิจกรรมได้ตามปกติทันที
                                                • การฉีด Hybrid Filler เป็นหัตถการที่มีงานวิจัยรองรับ และผ่านการใช้งานมาแล้วจากหลากหลายประเทศทั่วโลก แต่แนะนำให้เลือกยี่ห้อ Hybrid Filler ที่ได้รับจากรับรองจาก อย. ไทยเท่านั้น

                                                 

                                                เทียบให้ชัด Hybrird Filler กับการทำหัตถการอื่นๆ
                                                เทียบให้ชัด Hybrird Filler กับการทำหัตถการอื่นๆ

                                                 

                                                เทียบให้ชัด Hybrid Filler แตกต่างจากหัตถการอื่นอย่างไร?

                                                Hybrid Filler VS ฟิลเลอร์ทั่วไป ต่างกันอย่างไร?

                                                การฉีด Hybrid Filler และการฉีดฟิลเลอร์ทั่วไป มีความแตกต่างกันในหลาย ๆ ด้าน ซึ่งการเข้าใจในความแตกต่าง และจุดเด่นของฟิลเลอร์นั้น ทำให้สามารถเลือกฉีดฟิลเลอร์ได้อย่างเหมาะสม และตอบโจทย์ปัญหามากที่สุด โดย Hybrid Filler และฟิลเลอร์ทั่วไปมีความแตกต่างกัน ดังนี้

                                                ฟิลเลอร์ทั่วไป

                                                • ฟิลเลอร์ทั่วไป มีส่วนประกอบของ HA เป็นหลักเพียงชนิดเดียว ซึ่งช่วยในการเติมเต็มริ้วรอย ร่องลึก และปรับรูปหน้า ทำให้ผิวมีความชุ่มชื้น อิ่มฟู และดูอ่อนเยาว์ โดยไม่ได้มีการกระตุ้นคอลลาเจนอย่างชัดเจน เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาริ้วรอย ร่องลึก และต้องการปรับรูปหน้าให้ดูมีมิติ อีกทั้ง ฟิลเลอร์ทั่วไป จะให้ผลลัพธ์ที่สั้นกว่า Hybrid Filler จึงต้องมีการฉีดซ้ำอยู่บ่อย ๆ 

                                                Hybrid Filler

                                                • Hybrid Filler เป็นเทคโนโลยีฟิลเลอร์แบบใหม่ ที่มีการพัฒนาต่อยอดมาจากฟิลเลอร์ทั่วไป โดยมีส่วนประกอบสำคัญระหว่าง HA ร่วมกับ CaHA ซึ่งช่วยในการเติมเต็ม ยกกระชับผิว พร้อมกระตุ้นคอลลาเจนในระยะยาว ทำให้ผิวมีความแข็งแรง กระชับ และมีความยืดหยุ่น เหมาะสำหรับผู้ที่ผิวหน้าเริ่มสูญเสียคอลลาเจน ใบหน้าหย่อนคล้อย และต้องการยกกระชับผิว โดยสามารถให้ผลลัพธ์ที่ครอบคลุม และยั่งยืนกว่า รวมถึง คงผลลัพธ์ได้ยาวนานกว่าการฉีดฟิลเลอร์ทั่วไป 

                                                 

                                                Hybrid Filler VS Radiesse VS Sculptra ต่างกันอย่างไร?

                                                Radiesse

                                                • Radiesse เป็นสารกระตุ้นคอลลาเจน (Biostimulator) ที่มีส่วนประกอบหลักของ CaHA เพียงอย่างเดียว ไม่ได้มีส่วนประกอบของ HA จึงทำหน้าที่ ในการกระตุ้นคอลลาเจนได้โดยตรง ไม่ได้เน้นเติมเต็ม หรือเพิ่มวอลุ่มให้ผิวเหมือน HA ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้จะค่อย ๆ เห็นชัดเจนมากขึ้น เมื่อคอลลาเจนเกิดกระบวนการสร้างตัวตามธรรมชาติ ส่งผลให้โครงสร้างผิวแข็งแรง และเกิดการยกกระชับในระยะยาว โดยสามารถคงประสิทธิภาพได้ยาวนานถึง 2 ปี

                                                Sculptra 

                                                • Sculptra เป็นสารกระตุ้นคอลลาเจน (Biostimulator)  ที่มีส่วนประกอบหลักของ Poly-L-Lactic Acid (PLLA) เพียงอย่างเดียว ไม่ได้มีส่วนประกอบของ HA เช่นกัน จึงทำหน้าที่กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้ผิวหนังได้โดยตรง แต่ไม่สามารถให้ผลลัพธ์ในการเติมเต็มได้ทันทีเหมือนฟิลเลอร์ ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้จะค่อยเป็นค่อยไป ใช้ระยะเวลา 1 – 3 เดือนถึงจะเห็นผล เมื่อคอลลาเจนเริ่มสร้างตัว ผิวจะค่อย ๆ กระชับขึ้นในระยะยาวทั่วทั้งใบหน้า สามารถลดความหย่อนคล้อยได้อย่างมีประสิทธิภาพ คงผลลัพธ์ได้ยาวนานถึง 2 ปี 

                                                Hybrid Filler

                                                • Hybrid Filler เป็นสารเติมเต็ม ที่มีการผสมผสานส่วนประกอบอย่าง HA และ CaHA เข้าด้วยกัน ซึ่งสามารถเติมเต็ม และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้ในขั้นตอนเดียว ให้ผลลัพธ์ในการเติมเต็ม และยกกระชับผิวจาก HA ได้ทันที และให้ผลลัพธ์ในการกระตุ้นคอลลาเจนได้ในระยะยาว ส่งผลให้ผิวแข็งแรง มีความหนาแน่น และดูอิ่มฟูมากขึ้น แต่จะคงผลลัพธ์ได้สั้นกว่า Radiesse และ Sculptra

                                                 

                                                ก่อนฉีด Hybrid Filler ควรเตรียมตัวอย่างไร?

                                                ก่อนฉีด Hybrid Filler ควรเตรียมตัวตามคำแนะนำดังต่อไปนี้ เพื่อให้ผลลัพธ์เป็นไปอย่างราบรื่น และลดความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียง

                                                • ก่อนฉีด Hybrid Filler งดรับประทานยากลุ่มต้านการอักเสบ ยาแอสไพริน หรือกลุ่มยาที่ส่งผลให้เลือดไหลออกง่าย อย่างน้อย 1 สัปดาห์ก่อนฉีด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดรอยช้ำ
                                                • ก่อนฉีด Hybrid Filler งดดื่มแอลกอฮอล์ และสูบบุหรี่ อย่างน้อย 1 – 2 วันก่อนฉีด เนื่องจากอาจทำให้เกิดรอยช้ำได้ง่าย และเพิ่มความเสี่ยงในการอักเสบ
                                                • ก่อนฉีด Hybrid Filler งดออกกำลังกายหนัก อย่างน้อย 1 วันก่อนฉีด เพื่อลดการไหลเวียนของเลือด
                                                • ก่อนฉีด Hybrid Filler นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายพร้อมสำหรับการฉีด Hybrid Filler
                                                • ก่อนฉีด Hybrid Filler แจ้งประวัติสุขภาพ รวมถึง ยา และอาหารเสริมที่กำลังรับประทาน เพื่อให้แพทย์สามารถประเมินความเหมาะสมในการฉีด Hybrid Filler ได้อย่างถูกต้อง
                                                • ก่อนฉีด Hybrid Filler หลีกเลี่ยงแต่งหน้าในวันที่ฉีด เพื่อให้ผิวมีความสะอาด พร้อมสำหรับการฉีด Hybrid Filler ลดโอกาสเสี่ยงในการติดเชื้อ

                                                 

                                                การฉีด Hybrid Filler มีขั้นตอนอะไรบ้าง?

                                                • ก่อนเริ่มต้นฉีด Hybrid Filler แพทย์จะทำการประเมินสภาพผิว และปัญหาที่ต้องการแก้ไข จากนั้น แพทย์จะวางแผนการฉีดให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล
                                                • เริ่มการทำความสะอาดผิวในบริเวณที่จะฉีด โดยผิวหน้าจะถูกทำความสะอาดอย่างละเอียด รวมถึงล้างเครื่องสำอางออกทั้งหมด เพื่อป้องกันการติดเชื้อในระหว่างการฉีด
                                                • ถึงแม้ Hybrid Filler บางยี่ห้อ จะมียาชาเป็นส่วนประกอบอยู่แล้ว แต่สำหรับผู้ที่กลัวเจ็บ สามารถขอทายาชาในบริเวณที่ฉีด เพื่อลดความรู้สึกเจ็บลงได้
                                                • เข้าสู่ขั้นตอนการฉีด แพทย์จะใช้เข็มฉีดยาขนาดเล็ก ฉีด Hybrid Filler เข้าไปในบริเวณที่ต้องการแก้ไข โดยในระหว่างที่ฉีด อาจรู้สึกเจ็บเล็กน้อยคล้ายกับมดกัด ใช้เวลาประมาณ 15 – 30 นาที ขึ้นอยู่บริเวณที่ฉีด
                                                • หลังจากฉีด Hybrid Filler เสร็จแล้ว แพทย์อาจมีการนวดบริเวณที่ฉีดเบา ๆ เพื่อปรับรูปทรง และให้ฟิลเลอร์กระจายตัวได้อย่างทั่วถึง
                                                • จากนั้น แพทย์จะให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลหลังการฉีด Hybrid Filler เช่น หลีกเลี่ยงการสัมผัสในบริเวณที่ฉีด งดการแต่งหน้า และงดออกกำลังกายหนัก เป็นต้น เพื่อป้องกันการอักเสบ และลดโอกาสเกิดผลข้างเคียง

                                                 

                                                หลังฉีด Hybrid Filler ควรปฏิบัติตัวอย่างไร?

                                                • หลังฉีด Hybrid Filler หลีกเลี่ยงการจับ กด บีบ หรือขยับบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ อย่างน้อย 1 – 2 สัปดาห์ เพื่อป้องกันไม่ให้ฟิลเลอร์เคลื่อนที่ หรือเกิดรอยช้ำ
                                                • หลังฉีด Hybrid Filler หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกมาก เช่น ออกกำลังกายหนัก ซาวน่า หรืออาบน้ำร้อนจัด อย่างน้อย 48 ชั่วโมงหลังฉีด เนื่องจากอาจทำให้เกิดการอักเสบบริเวณที่ฉีดได้
                                                • หลังฉีด Hybrid Filler งดการใช้เครื่องสำอางบริเวณที่ฉีดในช่วง 24 ชั่วโมงแรก เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
                                                • หลังฉีด Hybrid Filler หลีกเลี่ยงความร้อน หรือการโดนแสงแดดโดยตรง เมื่อออกไปข้างนอก
                                                • หลังฉีด Hybrid Filler หากมีอาการบวม สามารถประคบเย็นเบา ๆ ได้
                                                • หลังฉีด Hybrid Filler หลีกเลี่ยงการนอนตะแคง นอนคว่ำ โดยเฉพาะในช่วง 24 ชั่วโมงแรก เพื่อป้องกันไม่ให้ฟิลเลอร์เคลื่อนที่ หรือเกิดอาการบวม
                                                • หลังฉีด Hybrid Filler ควรดื่มน้ำประมาณ 1.5 – 2 ลิตรต่อวัน เพื่อให้ฟิลเลอร์มีประสิทธิภาพดีขึ้น เนื่องจากฟิลเลอร์มีคุณสมบัติในการอุ้มน้ำ
                                                • หลังฉีด Hybrid Filler งดการดื่มแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 48 ชั่วโมงแรกหลังฉีด เพื่อป้องกันการเกิดอาการบวมช้ำ
                                                • หลังฉีด Hybrid Filler งดเลเซอร์ร้อน อย่างน้อย 1 เดือนหลังฉีด เพื่อป้องกันไม่ให้ฟิลเลอร์สลายตัวเร็ว
                                                • หลังฉีด Hybrid Filler หากมีอาการผิดปกติ เช่น ผิวเริ่มเปลี่ยนสี หรือมีอาการบวมแดงมาก ควรรีบพบแพทย์ทันที

                                                 

                                                ผลลัพธ์ที่ได้หลังฉีด Hybrid Filler ยกกระชับผิว พร้อมกระตุ้นคอลลาเจน

                                                เนื่องจาก Hybrid Filler มีส่วนประกอบทั้ง HA และ CaHA ทำให้สามารถเห็นผลลัพธ์ได้ใน 2 ระยะด้วยกัน ดังนี้

                                                ผลลัพธ์ทันที

                                                • ผลลัพธ์หลังฉีด Hybrid Filler ทันที จะเห็นได้ชัดว่า HA จะช่วยในการเติมเต็ม ยกกระชับผิว และปรับรูปหน้าทันที ทำให้ผิวเต่งตึง กระชับ อิ่มฟู และเรียบเนียนขึ้นอย่างเห็นได้ชัดตั้งแต่ครั้งแรก

                                                ผลลัพธ์ระยะยาว

                                                • ผลลัพธ์หลังฉีด Hybrid Filler ในระยะยาว เมื่อ CaHA เริ่มกระบวนการสร้างคอลลาเจน และอีลาสตินตามธรรมชาติ จะเห็นได้ชัดว่า CaHA จะช่วยในการฟื้นฟูผิว และเสริมโครงสร้างผิวให้แข็งแรง ทำให้ผิวมีความแน่นกระชับ และมีความยืดหยุ่นมากขึ้น รวมถึง ปรับปรุงคุณภาพผิวโดยรวม ให้ดูสุขภาพดีจากภายใน ถึงแม้ว่า HA จะสลายตัวไปแล้วก็ตาม

                                                 

                                                คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Hybrid Filler ยกกระชับผิว พร้อมกระตุ้นคอลลาเจน

                                                ฉีด Hybrid Filler ยกกระชับผิว พร้อมกระตุ้นคอลลาเจน เจ็บไหม?

                                                • การฉีด Hybrid Filler จะให้ความรู้สึกเจ็บเทียบเท่ากับการฉีดฟิลเลอร์ทั่วไป ซึ่งถือเป็นระดับความเจ็บที่ทนได้ แต่โดยส่วนใหญ่ Hybrid Filler จะมียาชาผสมอยู่ ทำให้ลดความรู้สึกเจ็บลง หรือสำหรับผู้ที่กลัวเจ็บ สามารถขอทายาชาเพิ่มเติมได้

                                                 

                                                ฉีด Hybrid Filler ยกกระชับผิว พร้อมกระตุ้นคอลลาเจน กี่วันเห็นผล?

                                                • หลังฉีด Hybrid Filler สามารถเห็นผลลัพธ์ได้ทันที โดยเฉพาะในด้านการเติมเต็ม ยกกะชับผิว และปรับรูปหน้า จากนั้น CaHA จะค่อย ๆ เกิดการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ซึ่งสามารถเห็นผลลัพธ์ได้ ภายใน 1 – 3 เดือนหลังฉีด แต่จะเห็นผลลัพธ์อย่างชัดเจน ประมาณ 6 เดือนหลังฉีด

                                                 

                                                ฉีด Hybrid Filler ยกกระชับผิว พร้อมกระตุ้นคอลลาเจน อยู่ได้นานไหม?

                                                • ระยะเวลาที่ผลลัพธ์จะคงอยู่หลังฉีด Hybrid Filler นั้น ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งยี่ห้อที่เลือกใช้ บริเวณที่ฉีด และการดูแลตัวเองหลังฉีด ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว การฉีด Hybrid Filler จะสามารถอยู่ได้นานกว่าฟิลเลอร์ HA ทั่วไป เนื่องจากมีส่วนประกอบของ CaHA ที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวแข็งแรงขึ้นในระยะยาว

                                                 

                                                ฉีด Hybrid Filler ยกกระชับผิว พร้อมกระตุ้นคอลลาเจน ปลอดภัยไหม?

                                                • การฉีด Hybrid Filler ถือว่ามีความปลอดภัยสูง สามารถสลายตัวได้เองตามธรรมชาติ และไม่กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย จึงลดโอกาสเสี่ยงในการเกิดอาการแพ้ หรือการอักเสบ แต่ทั้งนี้ ควรเลือกยี่ห้อ Hybrid Filler ที่ได้รับการรับรองจาก อย. ไทย เท่านั้น และฉีดโดยแพทย์ที่มีความรู้ ความชำนาญ รู้เทคนิคในการฉีดโดยเฉพาะ สามารถฉีดถูกชั้นผิวได้อย่างแม่นยำ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด

                                                 

                                                หลังฉีด Hybrid Filler ยกกระชับผิว พร้อมกระตุ้นคอลลาเจน มีผลข้างเคียงอะไรบ้าง?

                                                • หลังฉีด Hybrid Filler อาจมีอาการรอยแดง บวม และปวดระบมเล็กน้อยในบริเวณที่ฉีด ซึ่งจะค่อย ๆ ดีขึ้น ภายใน 24 – 48 ชั่วโมงหลังฉีด รวมถึง อาจมีรอยเขียวช้ำในบริเวณที่ฉีด ซึ่งจะค่อย ๆ หายไป ภายใน 1 – 2 สัปดาห์ แต่แนะนำให้สังเกตอาการของตนเองอย่างใกล้ชิด หากพบอาการผิดปกติ เช่น รู้สึกปวดมากขึ้น, ผิวซีดลง หรือมีตุ่มหนอง ควรรีบพบแพทย์ เพื่อทำรักษาทันที

                                                 

                                                การฉีด Hybrid Filler ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างครอบคลุม และให้ผลลัพธ์ที่ยั่งยืนกว่าการฉีดฟิลเลอร์ทั่วไป ทั้งในด้านการเติมเต็ม ยกกระชับผิว และกระตุ้นคอลลาเจนในขั้นตอนเดียว ดังนั้นสำหรับใครที่สนใจฉีด Hybrid Filler รมย์รวินท์คลินิก ยินดีให้บริการ และพร้อมให้คำปรึกษา โดยทีมแพทย์เฉพาะทาง สามารถแก้ไขปัญหา และวางแผนการรักษาอย่างเหมาะสม เพื่อผลลัพธ์ที่ปลอดภัย และตอบโจทย์มากที่สุด

                                                ตรุษจีนนี้ ไม่อยากกินหนัก จนน้ำหนักพุ่ง ทำยังไงดี?

                                                ตรุษจีนนี้หุ่นปังไม่ต้องกลัวอ้วน

                                                ตรุษจีนนี้ ไม่อยากกินหนัก จนน้ำหนักพุ่ง ทำยังไงดี?

                                                 

                                                ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้! ตรุษจีนปีนี้ หุ่นสวยปัง เตรียมรับอั่งเปาตั่วตั่วไก๊ได้เลย ซึ่งเทศกาลตรุษจีน เป็นช่วงเวลาที่หลายคนเพลิดเพลินไปกับอาหารอร่อย ๆ ร่วมกับครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นขนมเข่ง ขนมเทียน เป็ดย่าง หรือหมูกรอบ ที่เต็มไปด้วยแป้ง ไขมัน น้ำตาล และแคลอรี่ที่สูง ซึ่งอาจทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นได้แบบไม่ทันตั้งตัว หากไม่ได้มีการควบคุมปริมาณอาหารอย่างเหมาะสม แต่ยังไม่ต้องกังวลใจไปค่ะ เพราะไม่ว่าจะเป็นเทศกาลไหน ก็สามารถดูแลหุ่นให้สวยเป๊ะ เฮงเฮงตลอดปีได้ง่าย ๆ บทความนี้ มีเคล็ดลับในการกินอาหารช่วงตรุษจีนมาบอก พร้อมแนะนำ 3 โปรแกรมลับ เสิร์ฟหุ่นสวยสับจาก รมย์รวินท์คลินิก บอกได้คำเดียวเลยว่า หุ่นดีกันถ้วนหน้าแน่นอน

                                                 

                                                3 โปรแกรมหุ่นสวยสับ รับตรุษจีน
                                                3 โปรแกรมหุ่นสวยสับ รับตรุษจีน

                                                 

                                                ฉลองตรุษจีน หุ่นปัง ไม่ต้องกลัวอ้วน เพราะมีตัวช่วยจาก รมย์รวินท์

                                                เคล็ดลับกินอย่างไร ไม่ให้อ้วนในช่วงตรุษจีน?

                                                กินอาหารในปริมาณที่เหมาะสม

                                                • เลือกกินอาหารในปริมาณที่เหมาะสม ตักอาหารแต่พอดี ไม่ควรตักอาหารจนล้น หรือกินอาหารมากเกินความจำเป็น โดยแนะนำให้แบ่งอาหารเป็นจานเล็ก ๆ เพื่อช่วยควบคุมปริมาณการกิน ทำให้ร่างกายรู้สึกอิ่มเร็วขึ้น

                                                เคี้ยวอาหารช้า ๆ 

                                                • เคี้ยวอาหารช้า ๆ ใช้เวลาในการกินให้มากขึ้น เพื่อให้ร่างกายรู้สึกอิ่มเร็วขึ้น และไม่กินอาหารเยอะจนเกินไป หากรู้สึกอิ่มแล้ว ควรหยุดกินอาหารทันที ไม่ต้องฝืนกินอาหารจนหมดจาน

                                                เน้นกินโปรตีน และผัก

                                                • เลือกกินอาหารจำพวกโปรตีนที่ไม่ติดมัน เช่น ไก่ต้ม หรือปลา แทนเนื้อสัตว์ติดมัน เนื่องจากโปรตีนจะช่วยให้รู้สึกอิ่มท้อง และช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ โดยควรเพิ่มผัก และผลไม้มากขึ้นในจาน เนื่องจากผัก และผลไม้มีกากใยอาหารสูง ที่สำคัญยังได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนอีกด้วย

                                                หลีกเลี่ยงของมัน ของทอด

                                                • เลือกกินอาหาร โดยลดปริมาณของมัน และของทอด เช่น หมูกรอบ หมูสามชั้นมิด ไก่ทอด หรือปอเปี๊ยะทอด เนื่องจากอาหารเหล่านี้ เป็นอาหารที่มีไขมันสูง ซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่ส่งผลให้น้ำหนักขึ้นได้ง่าย หากไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้จริง ๆ แนะนำให้นำหนังออก และเลือกกินแต่เนื้อแทน

                                                ควบคุมปริมาณของหวาน

                                                • เลือกกินอาหาร โดยการควบคุมปริมาณของหวาน เนื่องจากขนมไหว้ส่วนใหญ่ในช่วงเทศกาลตรุษจีน มักมีน้ำตาล และแป้งสูง จึงควรจำกัดปริมาณการกิน ไม่ควรกินมากจนเกินไป อีกทั้ง ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง เช่น น้ำอัดลม น้ำหวาน หรือชา แนะนำให้เลือกดื่มน้ำเปล่า หรือชาที่ไม่ใส่น้ำตาลแทน

                                                 

                                                3 โปรแกรม หุ่นสวยสับ พร้อมรับทรัพย์จัดเต็ม

                                                Slim & Slender

                                                • โปรแกรม Slim & Slender คือ ทางเลือกใหม่ในการลดน้ำหนัก ที่มีสารสำคัญอย่าง เปปไทด์ ที่ออกฤทธิ์เลียนแบบฮอร์โมน GLP-1 (Glucagon-Like Peptide 1) ที่มีอยู่ในร่างกายตามธรรมชาติ สูงถึง 97% ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่มีบทบาทสำคัญ ในการควบคุมความอยากอาหารของร่างกาย โดยจะเข้าไปชะลอการบีบตัวของกระเพาะอาหาร และลำไส้ ทำให้กระเพาะอาหารย่อยอาหารช้าลง ส่งผลให้รู้สึกอิ่มนานขึ้น และลดความอยากอาหารลง นอกจากนี้ ยังเข้าไปกระตุ้นการหลั่งอินซูลิน (Insulin) จากตับอ่อน ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่ และไม่สูงจนเกินไปอีกด้วย
                                                • ข้อดีของโปรแกรม Slim & Slender คือ ช่วยลดความอยากอาหาร ลดการกินจุกจิก พร้อมควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ทำให้รู้สึกอิ่มเร็ว อิ่มนาน และยังช่วยปรับพฤติกรรมการกินในระยะยาวได้อีกด้วย

                                                 

                                                วิตามิน Energy Plus

                                                • โปรแกรม วิตามินผิว Energy Plus คือ การให้วิตามิน และสารอาหารที่มีส่วนช่วยในการเผาผลาญเข้าสู่ร่างกาย ผ่านทางหลอดเลือดดำโดยตรง ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมได้มากถึง 90 – 100% ซึ่งมีประสิทธิภาพมากกว่าการรับประทานอาหารเสริมทั่วไป เนื่องจากไม่ต้องผ่านกระบวนการย่อยในระบบทางเดินอาหาร โดยมีส่วนประกอบสำคัญอย่างเช่น L-carnitine หรือ วิตามิน B Complex ที่จะเข้าไปกระตุ้นอัตราการเผาผลาญไขมันในร่างกาย และลดการสะสมไขมันส่วนเกิน จึงเหมาะสำหรับ ผู้ที่กำลังลดน้ำหนัก และผู้ที่มีปัญหาเรื่องการเผาผลาญ
                                                • ข้อดีของโปรแกรม วิตามินผิว Energy Plus คือ ช่วยให้ร่างกายเผาผลาญไขมันได้ดีขึ้น พร้อมฟื้นฟู และเสริมสร้างกล้ามเนื้อจากการออกกำลังกาย รวมถึง ยังช่วยเติมพลังงาน และลดความรู้สึกอ่อนเพลียได้อีกด้วย

                                                 

                                                Fit Shape Body

                                                • โปรแกรม Fit Shape Body คือ เทคโนโลยีกำจัดไขมัน และกระชับสัดส่วน ที่ใช้คลื่นวิทยุ Monopolar RF ที่มีความถี่สูง 448 kHz ในการกระตุ้นการทำงานของเซลล์ในร่างกาย พร้อมกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และน้ำเหลือง ทำให้สารอาหาร และออกซิเจนไปหล่อเลี้ยงเซลล์ต่าง ๆ ได้ดีมากขึ้น นอกจากนี้ ยังกระตุ้นการเผาผลาญระดับเซลล์ กำจัดไขมันส่วนเกินในร่างกาย ทั้งในชั้นผิวหนัง และไขมันในช่องท้อง (Visceral Fat) ทำให้ไขมันเกิดการหดตัว แตกตัว และถูกขับออกจากร่างกายตามธรรมชาติ อีกทั้ง ความร้อนจากพลังงาน ยังส่งตรงถึงชั้นผิวในการกระตุ้นเซลล์ Fibrobalst ให้สร้างคอลลาเจน และอีลาสตินขึ้นมาใหม่ ส่งผลให้หุ่นเฟิร์มกระชับ กำจัดเซลลูไลท์ในทุกระดับชั้นผิว
                                                • ข้อดีของโปรแกรม Fit Shape Body คือ ช่วยลดไขมันสะสมตามจุดต่าง ๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะไขมันในช่องท้อง (Visceral Fat) ซึ่งเป็นไขมันที่อันตรายต่อสุขภาพ รวมถึง ยังช่วยลดเซลลูไลท์ ปรับสัดส่วนให้ดูเฟิร์ม กระชับ เรียบเนียน และลดความหย่อนคล้อยของผิวได้อีกด้วย

                                                 

                                                จะเห็นได้ชัดว่า เทศกาลตรุษจีนปีนี้ แค่ปรับพฤติกรรมง่าย ๆ ก็สามารถมีหุ่นดีได้ โดยเน้นการควบคุมอาหาร เช่น กินอาหารในปริมาณที่เหมาะสม เคี้ยวช้า ๆ เน้นโปรตีน และผัก หลีกเลี่ยงของมัน ของทอด และของหวาน ควบคู่ไปกับการเสริมตัวช่วยจาก รมย์รวินท์คลินิก ได้แก่ โปรแกรม Slim & Slender ที่ช่วยคุมหิว อิ่มไว และโปรแกรม วิตามินผิว Energy Plus ที่ช่วยเร่งการเผาผลาญ รวมถึง โปรแกรม Fit Shape Body ที่ช่วยกำจัดไขมัน กระชับสัดส่วน ซึ่งทุกโปรแกรมถูกออกแบบมา เพื่อตอบโจทย์ทุกปัญหาเกี่ยวกับรูปร่าง ให้คุณสามารถเพลิดเพลินไปกับเทศกาล โดยไม่ต้องกังวลเรื่องน้ำหนักอีกต่อไป 

                                                Fit Shape Body ลดไขมัน กระชับสัดส่วน เคล็ดลับหุ่นเฟิร์ม

                                                Fit Shape Body ลดไขมัน กระชับสัดส่วน เคล็ดลับหุ่นเฟิร์ม

                                                ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                                  วันที่สะดวกในการติดต่อ








                                                  Fit Shape Body ลดไขมัน กระชับสัดส่วน เคล็ดลับหุ่นเฟิร์ม

                                                  หุ่นไม่เฟิร์ม มีพุง ลดไม่ได้ หัตถการช่วยได้จริงเหรอ? เรียกได้ว่าการมีรูปร่างที่ดีมีชัยไปกว่าครึ่ง เพราะรูปร่างจะช่วยเสริมความมั่นใจให้กับตัวเราได้เป็นอย่างดี สาว ๆ หรือหนุ่ม ๆ คนไหนที่กำลังมีปัญหากังวลใจเกี่ยวกับไขมันส่วนเกินเฉพาะจุด ที่ไม่ว่าจะลดยังไงก็เอาไม่ออกสักที หรือมีปัญหาหุ่นไม่กระชับ หุ่นไม่เฟิร์ม วันนี้มาทำความรู้จักกับ Fit Shape Body ลดไขมัน กระชับสัดส่วน เคล็ดลับหุ่นเฟิร์ม ตัวช่วยลดหุ่น กระชับสัดส่วนที่มาแรงในตอนนี้

                                                  Fit Shape Body คืออะไร

                                                  Fit Shape Body หรือ Indiba เป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีลดไขมัน กระชับสัดส่วนที่กำลังมาแรงอย่างมากในตอนนี้ โดย Fit Shape Body กระชับสัดส่วน นั้น ออกแบบมาเพื่อช่วยลดไขมัน กระชับสัดส่วน สามารถลดไขมันสะสมได้มากถึง 11% โดยไม่ต้องผ่าตัด นอกจากนี้ Fit Shape Body ยังสามารถช่วยแก้ไขปัญหาสุขภาพได้อย่างครอบคลุมตั้งแต่หัวจรดเท้า มาพร้อมเทคโนโลยี Capacitive Resistive Monopolar Radiofrequency (CRMRF) ใช้พลังงานคลื่นความถี่วิทยุที่ 448 kHz ที่มีความปลอดภัยสูง และถูกนำมาใช้ในทางการแพทย์นานกว่า 35 ปี ซึ่งการรักษา Fit Shape Body กระชับสัดส่วน ด้วยการใช้คลื่นวิทยุนั้น ถือเป็นคลื่นความถี่ที่มีความเสถียรในการรักษา ทำให้สามารถรักษาได้หลายจุด ไม่ว่าจะเป็น การกำจัดไขมัน การกระชับสัดส่วน ฟื้นฟูเนื้อเยื่อชั้นลึก รวมถึงการบรรเทาอาการปวดตามร่างกาย 

                                                   

                                                  Fit Shape Body คืออะไร
                                                  Fit Shape Body คืออะไร

                                                   

                                                  Fit Shape Body ดีอย่างไร?

                                                  Fit Shape Body ถือเป็นเทคโนโลยีที่จะช่วยดูแลสุขภาพได้อย่างหลากหลายตั้งแต่หัวจรดเท้า เนื่องจาก Indiba นั้น สามารถแก้ปัญหาได้ถึงระดับเซลล์ ช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์ในร่างกายให้ทำงานได้ดี และมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งการรักษาด้วย Fit Shape Body กระชับสัดส่วน สามารถช่วยอาการต่าง ๆ ได้ ดังนี้

                                                  • Fit Shape Body ช่วยลดไขมันสะสมใต้ชั้นผิวหนัง และไขมันในช่องท้อง (Visceral Fat) ช่วยกระชับสัดส่วน และช่วยลดเซลลูไลท์ ผิวเปลือกส้มในทุกจุด
                                                  • Fit Shape Body ช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์ให้ฟื้นฟู ซ่อมแซมตัวเอง อีกทั้งยังกระตุ้นเซลล์ต้นกำเนิด (Stem Cell) ให้กลับมาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
                                                  • Fit Shape Body ช่วยกระตุ้นการเกิดใหม่ของเส้นผม บำรุงหนังศีรษะ ชะลอการหลุดร่วงของเส้นผม ให้รากผมแข็งแรงขึ้น
                                                  • Fit Shape Body ช่วยเร่งกระบวนการฟื้นตัวของเนื้อเยื่อหลังการผ่าตัด ลดอาการปวด บวมหลังการผ่าตัด
                                                  • Fit Shape Body ช่วยยกกระชับผิวที่มีความหย่อนคล้อย ไม่ว่าจะเป็น บริเวณใบหน้า รอบดวงตา คอ และบริเวณลำตัว
                                                  • Fit Shape Body ช่วยบรรเทาอาการออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome) อาการปวดคอ บ่า ไหล่ 
                                                  • Fit Shape Body ช่วยฟื้นฟูเนื้อเยื่อและเซลล์ผิวบริเวณช่องคลอด กระชับช่องคลอด พร้อมลดปัญหาปัสสาวะเล็ด

                                                   

                                                  Fit Shape Body ช่วยเรื่องอะไร?
                                                  Fit Shape Body ช่วยเรื่องอะไร?

                                                   

                                                  Fit Shape Body ช่วยเรื่องอะไร?

                                                  Fit Shape Body เป็นเทคโนโลยีทางการแพทย์ ที่มีประสิทธิภาพในการดูแลสุขภาพได้อย่างครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็น การกระชับผิวหน้า กระชับรูปร่าง กระชับช่องคลอด ปลูกผม รวมถึงปัญหาออฟฟิศซินโดรม นอกจากนี้ Fit Shape Body ยังช่วยดูแลในเรื่อง การกระชับรูปร่างและสัดส่วนได้ ดังนี้

                                                  • Fit Shape Body ช่วยลดการสะสมไขมันส่วนเกินใต้ชั้นผิว และไขมันในช่องท้อง
                                                  • Fit Shape Body ช่วยลดไขมันเฉพาะจุด เช่น บริเวณหน้าท้อง ต้นขา
                                                  • Fit Shape Body ช่วยลดความหย่อนคล้อยของผิว ยกกระชับผิวให้เต่งตึง
                                                  • Fit Shape Body ช่วยกระชับสัดส่วนให้ได้รูปร่างที่ต้องการ
                                                  • Fit Shape Body ช่วยกำจัดและลดการเกิดเซลลูไลท์ (Cellulite) ใต้ชั้นผิว ลดการเกิดผิวเปลือกส้ม
                                                  • Fit Shape Body ช่วยเร่งการเผาผลาญของไขมัน และกระตุ้นการทำงานของระบบเผาผลาญในร่างกาย
                                                  • Fit Shape Body ช่วยฟื้นฟู ซ่อมแซม และกระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อใต้ชั้นผิว
                                                  • Fit Shape Body ช่วยฟื้นฟูเซลล์ในร่างกาย กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสติน
                                                  • Fit Shape Body ช่วยลดอาการปวด บวม ช้ำจากการศัลยกรรม หรือทำหัตถการ
                                                  • Fit Shape Body ช่วยลดการอักเสบของผิว ลดความฟกช้ำบริเวณผิวหนัง
                                                  • Fit Shape Body ช่วยลดเลือนรอยแผลเป็นให้ดูจางลง

                                                   

                                                  Fit Shape Body ปลอดภัยไหม? 

                                                  Fit Shape Body เป็นโปรแกรมที่มีประสิทธิภาพ เนื่องจากเป็นการใช้คลื่นความถี่วิทยุในการปรับสมดุลเซลล์ โดยคลื่นนั้นจะไม่ทำลายเซลล์บริเวณข้างเคียง ช่วยปรับอุณหภูมิในร่างกาย พร้อมกระตุ้นระบบเผาผลาญให้ทำงานได้ดีขึ้น จึงช่วยลดการสะสมไขมันในร่างกาย กระชับสัดส่วน ช่วยลดไขมัน และลดเซลลูไลท์ส่วนเกิน ทั้งยังมีความปลอดภัยสูง Fit Shape Body ได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือ FDA จากทั้งประเทศไทย และประเทศสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ยังมีการจดสิทธิบัตรรับรองถึง 12 สิทธิบัตร และยังได้รับรางวัลในการยอมรับระดับสากลมากมาย ว่า Fit Shape Body เป็นโปรแกรมที่มีประสิทธิภาพ ได้รับการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้ที่เข้ารับบริการ ซึ่ง Indiba เป็นโปรแกรมที่มีประโยชน์อย่างมากในด้านการแพทย์ ไม่ว่าจะเป็น เรื่องความงาม หรือการรักษา เนื่องจาก Fit Shape Body เป็นโปรแกรมที่สามารถทำการรักษาได้อย่างครอบคลุมทั่วทั้งร่างกาย

                                                   

                                                  Fit Shape Body ทำงานอย่างไร?

                                                  Fit Shape Body เป็นเทคโนโลยีที่ใช้พลังงานคลื่นความถี่วิทยุที่ 448 kHz ที่คลื่นความถี่ 0.5 MHz  โดยจะมีระบบโปรไอออนิก (Proionic) ที่จะส่งคลื่นไปที่ชั้นผิวหนังแท้ หรือชั้นผิวลึก ที่มีเส้นใยคอลลาเจนและอิลาสตินอยู่ โดยคลื่นวิทยุของ Fit Shape Body จะส่งพลังงานเข้าไปทำให้ร่างกายมีอุณหภูมิที่สูงขึ้นอย่างปลอดภัย และเข้าไปกระตุ้นการทำงานของเซลล์ที่อยู่ในระดับตื้น และระดับลึก ทำให้ผิวหรือเซลล์บริเวณนั้นถูกฟื้นฟู ซึ่งการรักษาโดย Fit Shape Body จะมี 3 โหมดด้วยกัน ซึ่งแต่ละโหมดนั้น ก็จะเหมาะกับแต่ละบริเวณ และแต่ละปัญหาที่แตกต่างกันไป ดังนี้

                                                  1. Fit Shape Body มีโหมด Biostimulation เป็นโหมดที่ไม่มีความร้อน ใช้กระตุ้นบริเวณชั้นผิวหนัง ซึ่งคลื่นความถี่วิทยุจะเข้าไปซ่อมแซม ฟื้นฟูเซลล์ที่เสียหาย และกระตุ้นการสร้างไฟโบรบลาสต์ ให้สร้างคอลลาเจนและอิลาสตินใต้ผิวหนังใหม่ และเรียงตัวได้ดีขึ้น ช่วยให้ผิวกระชับ กระชับสัดส่วน มีความยืดหยุ่นมากขึ้น ลดความหย่อนคล้อยได้
                                                  1. Fit Shape Body มีโหมด Vascularization เป็นโหมดที่ใช้ความร้อนปานกลาง โดยจะความรู้สึกอุ่น ๆ ที่ผิว ซึ่งคลื่นความถี่วิทยุจะเข้าไปกระตุ้นระบบไหลเวียนเลือดให้ทำงานได้ดีขึ้น ช่วยเพิ่มออกซิเจนให้กับเซลล์ใต้ชั้นผิวหนัง ให้เลือดไหลเวียนได้ดี ฟื้นฟูเนื้อเยื่อบริเวณชั้นผิวชั้นลึกให้ทำงานได้ดีขึ้น ช่วยลดบวม กระชับสัดส่วน พร้อมช่วยบรรเทาอาการปวดตามร่างกายได้ดี
                                                  1. Fit Shape Body มีโหมด Hyperactivation เป็นโหมดที่มีการใช้ความร้อนสูงบริเวณผิว จะให้ความรู้สึกที่อุ่นมากขึ้น ไม่ร้อนจนเกินไป โดยคลื่นความถี่วิทยุจะเข้าไปกระตุ้นการทำงานของกระบวนการเมแทบอลิซึม (metabolism) หรือกระบวนการเผาผลาญของเซลล์เพื่อให้ร่างกายสร้างพลังงานได้ ทั้งยังช่วยดีท็อกซ์ของเสียที่ตกค้างในร่างกาย Fit Shape Body พร้อมกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินใต้ชั้นผิว ช่วยลดไขมัน กระชับสัดส่วน ทั้งยังช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อใต้ชั้นผิว ฟื้นฟูสุขภาพได้ดี

                                                   

                                                  Fit Shape Body ช่วยลดไขมัน กระชับสัดส่วน ได้อย่างไร?

                                                  Fit Shape Body ใช้เทคโนโลยีคลื่นความถี่วิทยุ (Radio Frequency) 448 kHz ที่มีประสิทธิภาพสูงในการช่วยลดไขมันและกระชับสัดส่วน Fit Shape Body จะส่งคลื่นวิทยุความถี่ 448 kHz ผ่านกระแสแม่เหล็กไฟฟ้าเข้าสู่เนื้อเยื่อบริเวณที่มีการสะสมไขมันอย่างหนาแน่น จากนั้นจะค่อย ๆ เพิ่มอุณหภูมิบริเวณเนื้อเยื่อ ทำให้ไขมันเกิดการหดตัวและแตกตัวและไขมันเหล่านี้จะถูกเผาผลาญ จากนั้นจะถูกกำจัดออกผ่านกระบวนการตามธรรมชาติของร่างกาย โดยกระบวนการนี้ช่วยลดปริมาณไขมันสะสมในระดับเซลล์ และกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและไฟฟ้าระหว่างเซลล์ 

                                                  คลื่นความถี่จาก Fit Shape Body จะช่วยแก้ปัญหาไขมันสะสมส่วนเกินในระดับเซลล์ โดยทำการเพิ่มสารอาหารและออกซิเจนเข้าสู่เซลล์มากขึ้น ช่วยกระตุ้นการเผาผลาญในเซลล์ไขมัน ทำให้เซลล์ไขมันลดจำนวนลงอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงยังช่วยกระตุ้นไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast) ให้ผลิตคอลลาเจน และอิลาสตินใหม่ มากขึ้น ทำให้ผิวบริเวณที่ทำยกกระชับ ไม่หย่อนคล้อย กระชับสัดส่วน และ Fit Shape Body ช่วยปรับโครงสร้างเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง ทำให้ลดปัญหาผิวเปลือกส้มหรือเซลลูไลท์ ทำให้ผิวดูเรียบเนียนและกระชับมากยิ่งขึ้น

                                                   

                                                  Fit Shape Body กระชับสัดส่วน เหมาะกับใคร ?
                                                  Fit Shape Body กระชับสัดส่วน เหมาะกับใคร ?

                                                   

                                                  Fit Shape Body กระชับสัดส่วน เหมาะกับใคร ?

                                                  อยากลดไขมัน กระชับสัดส่วนด้วย Fit Shape Body by Indiba เทคโนโลยีที่จะช่วยฟื้นฟูเซลล์ภายในร่างกายให้กลับมาทำงานได้ดียิ่งขึ้น กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินใต้ชั้นผิว พร้อมกระตุ้นให้เซลล์ไขมันเสื่อมสภาพลง โดยพลังงานนี้จะไม่ทำให้เซลล์บริเวณรอบ ๆ ถูกทำลาย การลดไขมันกระชับสัดส่วนด้วย Fit Shape Body by Indiba เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการดูแลรูปร่าง หรือผู้ที่มีปัญหา ดังนี้

                                                  • Fit Shape Body เหมาะกับผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อยและต้องการกระชับสัดส่วน ต้องการฟื้นฟูผิวให้มีความยืดหยุ่น และยกกระชับให้ผิวดูเต่งตึงขึ้น
                                                  • Fit Shape Body เหมาะกับผู้ที่มีผิวไม่เรียบเนียน ผิวเปลือกส้ม มีเซลลูไลท์ที่เกิดจากไขมันใต้ผิวหนัง
                                                  • Fit Shape Body เหมาะกับผู้ที่มีผิวหลวม ผิวไม่แน่น หรือมีร่องริ้วรอย เนื่องจากอายุที่มากขึ้น หรือผิวย้วยจากการลดน้ำหนัก
                                                  • Fit Shape Body เหมาะกับผู้ที่มีไขมันสะสมเฉพาะจุด และต้องการลดไขมันส่วนเกินในจุดที่ลดได้ยาก
                                                  • Fit Shape Body เหมาะกับผู้ที่ต้องการรักษารอยแผลเป็น อยากลดรอยแผลเป็นให้จางลง 
                                                  • Fit Shape Body เหมาะกับผู้ที่มีริ้วรอยและต้องการฟื้นฟูผิวให้ดูอ่อนเยาว์
                                                  • Fit Shape Body เหมาะกับผู้ที่ต้องการลดเซลลูไลท์บริเวณต้นขา สะโพก หรือหน้าท้อง
                                                  • Fit Shape Body เหมาะกับผู้ที่มีไขมันหน้าท้อง ต้องการลดไขมันส่วนเกิน และกระชับสัดส่วนเฉพาะจุด 
                                                  • Fit Shape Body เหมาะกับผู้ที่ต้องการเผาผลาญไขมันในร่างกาย สำหรับคนที่ต้องการเร่งการเผาผลาญไขมันและเพิ่มความกระชับให้รูปร่าง

                                                  สำหรับใครที่อยากจะลดไขมัน กระชับสัดส่วนด้วย Fit Shape Body สามารถปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนการรักษาได้ ซึ่งผลลัพธ์ของการรักษาด้วย Fit Shape Body นั้นก็จะขึ้นอยู่กับปัญหา และรูปร่างของแต่ละบุคคล

                                                   

                                                  Fit Shape Body ไม่เหมาะกับใคร ?

                                                  Fit Shape Body กระชับสัดส่วน เป็นการรักษาโดยใช้คลื่นวิทยุความถี่ 448 kHz โดยจะมีการใช้พลังงานกระแสไฟฟ้าส่งไปยังบริเวณที่ต้องการรักษา จึงมีในบางกลุ่มที่อาจจะไม่เหมาะ หรือต้องระวังการรักษาด้วยคลื่นวิทยุ ดังนี้ 

                                                  • Fit Shape Body ไม่เหมาะกับผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ เนื่องจากคลื่นวิทยุอาจส่งผลต่อการเจริญเติบโตของทารกได้
                                                  • Fit Shape Body ไม่เหมาะกับผู้ที่มีเครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemaker) หรืออุปกรณ์ไฟฟ้าในร่างกาย เพราะคลื่นความถี่อาจรบกวนการทำงานของอุปกรณ์
                                                  • Fit Shape Body ไม่เหมาะกับผู้ที่มีโรคประจำตัวบางชนิด เช่น ผู้ป่วยโรคหลอดเลือด เส้นเลือดโป่งพอง
                                                  • Fit Shape Body ไม่เหมาะกับผู้ที่มีภาวะมะเร็งระยะลุกลาม
                                                  • Fit Shape Body ไม่เหมาะกับผู้ที่มีการติดเชื้อเฉพาะที่ หรือมีแผลเปิดบริเวณที่จะทำการรักษา Fit Shape Body

                                                   

                                                  Fit Shape Body มีข้อดีอะไรบ้าง ?

                                                  • Fit Shape Body เป็นคลื่นวิทยุความถี่ 448 kHz ที่เหมาะสมในการแลกเปลี่ยนพลังงานระหว่างเซลล์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 
                                                  • Fit Shape Body กระชับสัดส่วน สามารถช่วยฟื้นฟู และซ่อมแซมเนื้อเยื่อชั้นลึกได้ และ Fit Shape Body ยังช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์ต้นกำเนิดให้ทำงานได้เต็มที่ขึ้น
                                                  • Fit Shape Body กระชับสัดส่วน หลังทำไม่มีผลข้างเคียงใด
                                                  • การกระชับสัดส่วน ด้วย Fit Shape Body ไม่เจ็บ และไม่มีบาดแผล 
                                                  • Fit Shape Body กระชับสัดส่วน ช่วยรักษาแผลให้หายเร็วยิ่งขึ้น เนื่องจากช่วยเร่งกระบวนการฟื้นฟูเนื้อเยื่อใต้ชั้นผิว
                                                  • Fit Shape Body กระชับสัดส่วน ช่วยลดอาการเจ็บปวดหลังการผ่าตัด การทำคีโม หรือการบาดเจ็บได้
                                                  • Fit Shape Body กระชับสัดส่วน สามารถช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต พร้อมช่วยฟื้นฟูเนื้อเยื่อต่าง ๆ ภายในร่างกาย
                                                  • Fit Shape Body กระชับสัดส่วน ช่วยลดการเกิดพังผืดหลังการทำศัลยกรรม และช่วยรักษาแผลคีลอยด์

                                                   

                                                  ข้อควรระวังในการกระชับสัดส่วน ด้วย Fit Shape Body

                                                  • การกระชับสัดส่วน Fit Shape Body ในบางโหมดจะมีอุณหภูมิของเนื้อเยื่อ ควรปรับอุณหภูมิให้เหมาะสม ไม่ควรปล่อยให้เกิดความร้อนสูงเกินไปที่อาจทำให้ผิวหนังเกิดการระคายเคือง
                                                  • การกระชับสัดส่วน Fit Shape Body ไม่ควรทำการรักษานานเกินไปในจุดเดียว เพื่อหลีกเลี่ยงการทำให้เนื้อเยื่อ หรือเซลล์เกิดความเสียหาย โดยการทำ 1 พื้นที่ ไม่ควรเกิน 60 นาที เพราะอาจจะทำให้เกิดพลังงานสะสมได้
                                                  • การกระชับสัดส่วน Fit Shape Body ควรหลีกเลี่ยงทำในบริเวณที่มีโลหะในร่างกาย เช่น รากฟันเทียม หรือโลหะจากการผ่าตัด

                                                   

                                                  ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นหลังทำ Fit Shape Body

                                                  ในการทำ Fit Shape Body ลดไขมัน กระชับสัดส่วนนั้น จะมีการใช้ความร้อนในบริเวณผิวเพื่อลดไขมันสะสมใต้ชั้นผิว อาจจะทำให้ผิวบริเวณนั้นเกิดความแดงชั่วคราว หรือเกิดความร้อน และอาการตึงบริเวณผิว เนื่องจากการทำงานของคลื่นวิทยุใน Fit Shape Body กระชับสัดส่วน จะเข้าไปกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ให้ไหลเวียนดีขึ้น

                                                   

                                                  เทคโนโลยีไหนบ้าง ที่ช่วยลดไขมันได้
                                                  เทคโนโลยีไหนบ้าง ที่ช่วยลดไขมันได้ ?

                                                   

                                                  เทคโนโลยีไหนบ้าง ที่ช่วยลดไขมันได้ ?

                                                  การใช้ความเย็นลดไขมัน (Cryolipolysis)

                                                  เป็นการใช้เทคโนโลยี Cryolipolysis ที่เป็นคลื่นความเย็นต่ำกว่าจุดเยือกแข็งในการแช่แข็งและลดไขมันใต้ชั้นผิว กระชับสัดส่วน เช่น บริเวณ หน้าท้อง ข้างลำตัว สะโพก ต้นแขน หรือต้นขา ซึ่งปัจจุบันก็มีหลายเครื่องที่ใช้ความเย็นในการลดไขมัน เช่น Coolsculpting

                                                  คลื่นวิทยุ (RF หรือ Radio Frequency)

                                                  การใช้คลื่นวิทยุ เป็นคลื่นที่ได้รับความนิยมสูงในการกระชับสัดส่วน เป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่มีความปลอดภัย ที่สามารถช่วยลดไขมัน กระชับสัดส่วนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และไม่ทำลายเซล์บริเวณรอบ ๆ โดยจะทำการเผาผลาญไขมันใต้ชั้นผิว และช่วยกระตุ้นการสร้างและจัดเรียงคอลลาเจนใต้ชั้นผิวได้ดี ช่วยลดเซลลูไลท์ ให้ผิวเรียบเนียน เครื่องที่ใช้คลื่นวิทยุในการลดไขมัน เช่น Fit Shape Body

                                                  คลื่นอัลตราซาวนด์ (Ultrasound)

                                                  คลื่นอัลตราซาวนด์ เป็นเทคโนโลยีคลื่นความถี่สูง ที่ช่วยกระชับสัดส่วน และยังช่วยลดไขมันส่วนเกินได้ โดยไม่ทำลายเส้นเลือดและเส้นประสาทรอบ ๆ พร้อมช่วยลดปัญหาการเกิดเซลลูไลท์ เครื่องที่ใช้คลื่นอัลตราซาวนด์ในการลดไขมัน เช่น Accent Ultra 

                                                   

                                                  Fit Shape Body ต้องทำกี่ครั้งถึงเห็นผล?

                                                  การกระชับสัดส่วนด้วย Fit Shape Body ต้องทำกี่ครั้งถึงเห็นผล? ซึ่งผลลัพธ์ของการทำ Fit Shape Body จะขึ้นอยู่กับปัญหาผิว ปริมาณไขมัน และบริเวณที่ทำ โดยในแต่ละบริเวณนั้นก็จะมีจำนวนครั้งที่ไม่เท่ากัน ซึ่ง Fit Shape Body นั้นใช้เทคโนโลยีคลื่นวิทยุทำให้มีความเสถียรและความปลอดภัยสูงจึงสามารถทำได้หลายครั้ง ทั้งนี้ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อให้แพทย์วางแผนการรักษา Fit Shape Body ที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล

                                                   

                                                  ทำ Fit Shape Body เจ็บไหม?

                                                  ในการทำ Fit Shape Body ลดไขมัน กระชับสัดส่วนนั้น จะมีการใช้โหมดที่มีความร้อนเล็กน้อย ซึ่งจะให้ความรู้สึกอุ่น ๆ ไม่เจ็บ ไม่ปวด ไม่แสบ ไม่อันตรายต่อผิว จึงทำให้ไม่ต้องแปะยาชา และหลังทำ Fit Shape Body สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ 

                                                   

                                                  ลดไขมันด้วย Fit Shape Body ไขมันจะถูกขับออกทางไหน

                                                  ไขมันที่ถูกทำให้หดและแตกตัวด้วย Fit Shape Body จะถูกเผาผลาญ และถูกขับออกทางกระบวนการขับของเสียของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็น การปัสสาวะ อุจจาระ โดยไม่ตกค้าง และไม่เกิดอันตรายต่อร่างกาย

                                                   

                                                  หลังลดไขมันด้วย Fit Shape Body ไขมันจะกลับมาอีกไหม?
                                                  หลังลดไขมันด้วย Fit Shape Body ไขมันจะกลับมาอีกไหม?

                                                   

                                                  หลังลดไขมันด้วย Fit Shape Body ไขมันจะกลับมาอีกไหม?

                                                  หลังการลดไขมัน กระชับสัดส่วนด้วย Fit Shape Body นั้น มีโอกาสที่ไขมันจะกลับมาใหม่ เนื่องจากการทำ Fit Shape Body เป็นการลดไขมันเก่าที่สะสมอยู่ใต้ชั้นผิว และไม่สามารถป้องกันการสะสมของไขมันใหม่ได้ หากหลังทำแล้วไม่ดูแลตัวเอง ปรับพฤติกรรมการกิน และการออกกำลังกาย ก็อาจจะทำให้เกิดไขมันใหม่สะสมขึ้นมาได้ ทั้งนี้หากต้องการลดไขมัน ลดน้ำหนัก และลดสัดส่วนให้ได้ผลในระยะยาว ควรทำ Fit Shape Body ควบคู่กับการออกกำลังกาย ทานอาหารให้มีประโยชน์ ลดของมัน ของทอด ของหวาน พักผ่อนให้เพียงพอ ก็จะช่วยทำให้คุณได้รูปร่างที่สวยงาม และมีสุขภาพที่ดีได้

                                                   

                                                  เลือกทำ Fit Shape Body ที่ไหนดี?

                                                  เลือกทำ Fit Shape Body ที่ไหนดี? การเลือกคลินิกทำ Fit Shape Body นั้นมีหลายปัจจัยอย่างมาก เนื่องจาก Fit Shape Body เป็นเครื่องลดไขมัน กระชับสัดส่วน ที่ใช้พลังงานคลื่นความถี่วิทยุที่ 448 kHz  จึงจำเป็นอย่างมากที่ต้องทำโดยผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เพื่อความปลอดภัย และเพื่อผลลัพธ์ที่ตรงใจ ควรพิจารณาคลินิกที่ทำ Fit Shape Body ดังนี้

                                                  • คลินิกต้องมีความน่าเชื่อถือ และถูกกฎหมาย

                                                  ควรเลือกคลินิกที่มีความน่าเชื่อถือ ได้รับการรับรองมาตรฐาน ตรวจสอบว่าคลินิกมีใบอนุญาตประกอบกิจการสถานพยาบาลและได้รับการรับรองจากหน่วยงานกระทรวงสาธารณสุข และเลือกคลินิกที่มีประสบการณ์ในการให้บริการ Fit Shape Body โดยเฉพาะ

                                                  • คลินิกต้องมีแพทย์ที่ผ่านการอบรมการทำ Fit Shape Body 

                                                  คลินิกต้องมีแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญที่มีใบอนุญาต ที่ผ่านการฝึกอบรมในการใช้เครื่อง Fit Shape Body โดยเฉพาะ รวมถึงแพทย์ควรให้คำปรึกษาและประเมินสภาพร่างกายอย่างละเอียดก่อนเริ่มการรักษา

                                                  • เลือกใช้ Fit Shape Body เครื่องแท้ ตรวจสอบได้

                                                  เลือกคลินิกที่ใช้ Fit Shape Body ของแท้และได้รับการรับรองมาตรฐานความปลอดภัย และคลินิกที่เลือกใช้เครื่องมือที่ได้มาตรฐาน มีการบำรุงรักษาเครื่องมืออย่างสม่ำเสมอเพื่อความปลอดภัย

                                                  • คลินิกมีความสะอาดและมีมาตรฐานความปลอดภัย

                                                  คลินิกที่ดีควรมีความสะอาดและมีการจัดการตามมาตรฐานด้านสุขอนามัยในการให้บริการ รวมถึงผู้ให้บริการควรสวมถุงมือในการทำหัตถการทุกครั้ง และปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการติดเชื้อ

                                                  • อ่านรีวิว และสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับ Fit Shape Body 

                                                  ก่อนเลือกคลินิกทำ Fit Shape Body สามารถเข้าดูรีวิวของผู้เข้าใช้บริการ หรืออ่านประสบการณ์ของผู้ที่เคยใช้บริการที่คลินิกก่อน หรือสอบถามทางคลินิกเกี่ยวกับข้อมูล รายละเอียด และราคาของคอร์สก่อนเลือกทำ เพื่อให้ได้คลินิกที่ถูกใจ และมีความสบายใจในการเข้ารับบริการ 

                                                  • คลินิกมีบริการติดตามผลหลังการรักษา

                                                  ควรเลือกคลินิกที่ดูแลพร้อมให้คำแนะนำในการดูแลตัวเองหลังทำ Fit Shape Body และมีบริการติดตามผล และพร้อมให้คำแนะนำได้ทุกคำถาม

                                                   

                                                  Fit Shape Body ราคาเท่าไหร่

                                                  ราคาของ Fit Shape Body ลดไขมัน กระชับสัดส่วนนั้น ในแต่ละคลินิกก็จะมีราคาที่แตกต่างกันไป โดยจะขึ้นอยู่กับโปรโมชั่นในช่วงเวลานั้น ๆ และขึ้นอยู่กับปัญหาของแต่ละบุคคล ดังนั้นควรปรึกษาแพทย์ เพื่อประเมินถึงปัญหา รวมถึงวางแผนการรักษา Fit Shape Body เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด 

                                                  Fit Shape Body เป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่หลาย ๆ คนต่างให้ความสนใจ นอกจากเป็นเครื่องที่ใช้พลังงานคลื่นความถี่วิทยุที่ 448 kHz ซึ่งเป็นความถี่ที่ปลอดภัยต่อการฟื้นฟูได้ถึงระดับเซลล์แล้ว ยังช่วยลดไขมันส่วนเกิน กระชับสัดส่วน ลดความหย่อนคล้อย ผิวไม่เรียบเนียนได้เป็นอย่างดี สำหรับใครที่สนใจลดไขมัน กระชับสัดส่วน ด้วย Fit Shape Body สามารถเข้ามาปรึกษาและสอบถามได้ที่ รมย์รวินท์คลินิก ทุกช่องทาง

                                                   

                                                  ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                                    วันที่สะดวกในการติดต่อ








                                                    สมรสเท่าเทียมผ่านแล้ว! เตรียมตัวสวยปัง ในวันสำคัญที่ รมย์รวินท์คลินิก

                                                    สมรสเท่าเทียม

                                                    สมรสเท่าเทียมผ่านแล้ว! เตรียมตัวสวยปัง ในวันสำคัญที่ รมย์รวินท์คลินิก

                                                     

                                                    ในที่สุดก็เดินทางมาถึงวันนี้ วันที่สมรสเท่าเทียมได้เกิดขึ้นแล้วในประเทศไทย ประวัติศาสตร์ต้องจารึกไว้ว่า วันที่ความรักของคนทุกเพศได้รับการยอมรับ และคุ้มครองตามกฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน เป็นการสิ้นสุดการรอคอยที่แสนยาวนาน และถือเป็นก้าวสำคัญของสังคมไทย ในการยอมรับความหลากหลายทางเพศ ซึ่งการมีกฎหมายสมรสเท่าเทียมนี้ ไม่เพียงแต่เป็นการให้สิทธิทางกฎหมายแก่คู่รักเพศเดียวกันเท่านั้น แต่ยังเป็นการส่งเสริมความเท่าเทียมกันในสังคม ลดการเลือกปฏิบัติ และสร้างความเข้าใจในความหลากหลายทางเพศมากยิ่งขึ้น เป็นการเปิดโอกาสให้คู่รักทุกคู่ได้สร้างครอบครัวอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ได้รับสิทธิ และสวัสดิการต่าง ๆ เช่นเดียวกับคู่รักชายหญิงทั่วไป ที่สำคัญคือ เป็นการยืนยันว่าประเทศไทยโอบรับความรักในทุกรูปแบบอย่างแท้จริง

                                                     

                                                    เพราะวันสำคัญของทุกคนมีความหมาย และควรค่าแก่การจดจำ รมย์รวินท์คลินิก เข้าใจดีว่าวันแต่งงาน คือ วันที่พิเศษที่สุดในชีวิต เราพร้อมดูแล และซัพพอร์ตทุกความสวย ให้คุณเปล่งประกาย สะกดทุกสายตา ไม่ว่าคุณจะอยากดูดีลุคไหน ก็สามารถเผยความงามที่แท้จริงได้อย่างมั่นใจ เตรียมตัวสวยสมบูรณ์แบบพร้อมสำหรับวันสำคัญของคุณได้แล้ววันนี้ ที่ รมย์รวินท์คลินิก เท่านั้น บทความนี้ รวบรวมตัวช่วยที่จะทำให้คุณสวยโดดเด่น และมั่นใจที่สุดในวันสำคัญ ฉลองสมรสเท่าเทียมนี้ค่ะ

                                                     

                                                    สวย ครบ จบ ดูดีที่สุดในวันสำคัญ
                                                    สวย ครบ จบ ดูดีที่สุดในวันสำคัญ

                                                     

                                                    ฉลองสมรสเท่าเทียม เปิดเคล็ดลับปรับลุคสวยสมบูรณ์แบบ ก่อนแต่งงาน 

                                                    รวม 6 โปรแกรมสวยครบจบ สะกดทุกสายตา

                                                     

                                                    โปรแกรมฉีดโบ จัดการริ้วรอย จบทุกรอยย่น

                                                    • โปรแกรมฉีดโบ คือ การฉีดสารที่สกัดจากแบคทีเรียถึง 7 ชนิดเข้าสู่ผิวหน้า เพื่อใช้ในการลดเลือนริ้วรอย และปรับรูปหน้า รวมถึง นำมาใช้ในการรักษาทางการแพทย์ เช่น ลดเหงื่อ รักษาออฟฟิศซินโดรม และรักษาอาการปวดไมเกรนได้อีกด้วย ซึ่งการฉีดโบนั้น จะเข้าไปยับยั้งการส่งสัญญาณประสาทระหว่างเซลล์ประสาทกับกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดโบไม่สามารถหดตัวได้ชั่วคราว จึงช่วยลดขนาดกล้ามเนื้อกราม และลดริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงสีหน้าได้อย่างตรงจุด เช่น ริ้วรอยหน้าผาก ริ้วรอยหางตา และริ้วรอยระหว่างคิ้ว
                                                    • การฉีดโบ เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีริ้วรอยจากการแสดงสีหน้า ต้องการชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัย รวมถึง ผู้มีกล้ามเนื้อกรามใหญ่ ใบหน้าดูบาน ต้องการให้กรอบหน้าดูเรียวเล็ก 
                                                    • หลังฉีดโบไปแล้ว ตัวยาจะเริ่มออกฤทธิ์ ภายใน 3 – 4 วัน แต่จะเห็นผลการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน ภายใน  1 – 2 สัปดาห์ โดยส่วนใหญ่ ผลลัพธ์จะสามารถคงอยู่ได้ ประมาณ 4 – 6 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อโบที่เลือกฉีด และการดูแลตัวเองหลังฉีด

                                                     

                                                    โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ เติมเต็มร่องลึก คืนความอ่อนเยาว์

                                                    • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ คือ การฉีดสารเติมเต็ม Hyaluronic Acid (HA) เข้าสู่ผิวหน้า เพื่อเติมเต็ม และปรับโครงหน้าให้มีสัดส่วนที่สวยงาม โดยฟิลเลอร์จะเข้าไปเพิ่มปริมาตรให้ผิว ในบริเวณที่สูญเสียคอลลาเจน ไขมัน และกระดูกทรุดตัวลง ทำให้ผิวบริเวณที่ฉีดมีความอิ่มฟู เรียบเนียน ดูมีมิติ และเต่งตึงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งสามารถฉีดได้หลากหลายบริเวณบนใบหน้า ทั้งใต้ตา ร่องแก้ม ขมับ กรอบหน้า คาง หรือริมฝีปาก โดยไม่ทิ้งสารตกค้างไว้ในร่างกาย
                                                    • การฉีดฟิลเลอร์ เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีริ้วรอย ร่องลึก ใบหน้าตอบ ดูโทรม ไม่สดใส และผู้ที่มีสัดส่วนใบหน้าไม่สมดุล ต้องการยกกระชับผิวหน้าให้ดูเต่งตึง รวมถึง ผู้ที่มีรูขุมขนกว้าง หลุมสิว ผิวไม่เรียบเนียน
                                                    • หลังฉีดฟิลเลอร์ไปแล้ว สามารถเห็นผลลัพธ์ได้ทันที โดยฟิลเลอร์จะเริ่มเข้าที่ และกลมกลืนเข้ากับผิว ภายใน 1 – 2 สัปดาห์ แต่จะเห็นผลการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน ภายใน 2 – 4 สัปดาห์ โดยส่วนใหญ่ ผลลัพธ์จะสามารถคงอยู่ได้ ประมาณ 6 – 18 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อฟิลเลอร์ที่เลือกฉีด และการดูแลตัวเองหลังฉีด 

                                                     

                                                    โปรแกรม Ultherapy Prime ยกหน้าชัด ลงลึกถึงชั้น SMAS

                                                    • โปรแกรม Ultherapy Prime คือ โปรแกรมยกกระชับที่ใช้เทคโนโลยี Micro-Focused Ultrasound ในการส่งพลังงานความร้อน 60 – 70 องศา ลงลึกไปยังชั้น SMAS (Superficial Musculoaponeurotic System) เพื่อกระตุ้นให้เซลล์ไฟโบรบลาสต์ผลิตคอลลาเจน และอีลาสตินเพิ่มขึ้น ทำให้ผิวแน่นกระชับ เต่งตึง และมีความยืดหยุ่น ซึ่งความพิเศษของ Ultherapy Prime ที่ไม่พูดถึงไม่ได้ คือ หน้าจอแสดงผลแบบ Real Time มีขนาดใหญ่ขึ้น 35% ทำให้แพทย์มองเห็นชั้นผิวได้อย่างแม่นยำระหว่างการรักษา และส่งพลังงานในระดับที่เหมาะสม ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น อีกทั้ง ยังมีระบบประมวลผลที่รวดเร็วขึ้น 20% ทำให้ลดระยะเวลาในการรักษา ประหยัดเวลาผู้รับบริการอีกด้วย
                                                    • การทำ Ultherapy Prime เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีผิวหน้าหย่อนคล้อย มีริ้วรอย ร่องลึกจากอายุที่มากขึ้น รวมถึง ผู้ที่มีกรอบหน้าไม่ชัด ใบหน้าบาน มีแก้ม และเหนียง
                                                    • หลังทำ Ultherapy Prime สามารถเห็นผลลัพธ์ได้ทันที ประมาณ 20 – 30% แต่จะเห็นผลการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน ประมาณ 3 เดือน โดยส่วนใหญ่ ผลลัพธ์จะสามารถคงอยู่ได้ ประมาณ 1 ปี หรือมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และการดูแลตัวเองหลังทำ

                                                     

                                                    โปรแกรม Thermage FLX ล็อกหน้าตึง ลดแก้มเหนียง

                                                    • โปรแกรม Thermage FLX คือ เทคโนโลยียกกระชับ และลดไขมันที่ใช้คลื่นวิทยุความถี่สูง Monopolar RF ในการส่งพลังงานความร้อน 45 – 70 องศา เข้าสู่ชั้นผิวหนังแท้ (Dermis) และชั้นไขมันใต้ผิวหนัง (Subcutaneous Fat) ซึ่งสามารถลงลึกครอบคลุมทุกชั้นผิวเป็นวงกว้าง โดยจะเข้าไปแยกโมเลกุลน้ำในชั้นผิวออกจากเส้นใยคอลลาเจน ทำให้คอลลาเจนเดิมที่เสื่อมสภาพเกิดการหดตัวทันที พร้อมกระตุ้นเซลล์ไฟโบรบลาสต์ให้สร้างคอลลาเจน และอีลาสตินใหม่ ส่งผลให้ผิวดูแน่น กระชับ และปรับปรุงคุณภาพผิวให้ดีมากขึ้น นอกจากนี้ พลังงานความร้อนยังเข้าไปทำลายเซลล์ไขมันสะสม โดยเฉพาะไขมันบริเวณแก้ม และเหนียง ส่งผลให้ใบหน้าเรียวเล็ก กรอบหน้าชัดมากขึ้นอีกด้วย
                                                    • การทำ Thermage FLX เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีผิวหน้าหย่อนคล้อย มีริ้วรอย ร่องลึก กรอบหน้าไม่ชัดเจน รวมถึง ผู้ที่มีไขมันสะสมเฉพาะจุด บริเวณแก้ม และเหนียง 
                                                    • หลังทำ Thermager FLX สามารถเห็นผลลัพธ์ได้ทันที ประมาณ 20% แต่จะเห็นผลการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน ประมาณ 2 – 3 เดือน โดยส่วนใหญ่ ผลลัพธ์จะสามารถคงอยู่ได้ ประมาณ 1 – 2 ปี  ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และการดูแลตัวเองหลังทำ

                                                     

                                                    โปรแกรม Yag Laser เคลียร์ขน หมดกลิ่น

                                                    • โปรแกรม Yag Laser คือ เทคโนโลยีกำจัดขนที่ใช้พลังงานแสงเลเซอร์ ที่มีความยาวคลื่นอยู่ที่ 1064 นาโนเมตร สามารถส่งความร้อนลงลึกได้ถึงรากขน โดยจะเข้าไปทำลายรากขน ทำให้เส้นขนฝ่อ และหยุดการเจริญเติบโตในที่สุด เมื่อเส้นขนหยุดการเจริญเติบโต ขนก็จะค่อย ๆ หลุดร่วงไปตามธรรมชาติ แก้ปัญหาขนคุด รูขุมขนอุดตัน และผิวหนังไก่ได้อย่างตรงจุด ส่งผลให้ผิวเรียบเนียน กระชับ ลดกลิ่นอับชื้น และเพิ่มความมั่นใจในการใช้ชีวิตมากขึ้น 
                                                    • การทำ Yag Laser เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการกำจัดขน โดยเฉพาะผู้ที่มีเส้นขนหนา และมีสีเข้ม เช่น บริเวณหนวด รักแร้ แขน หรือขา รวมถึง ผู้ที่ต้องการลดเหงื่อ และระงับกลิ่นตัว
                                                    • หลังทำ Yag Laser สามารถกำจัดขนได้ ประมาณ 20 – 30% ตั้งแต่ครั้งแรก โดยขนจะเริ่มบางลง และหลุดออกไปเอง ประมาณ 1 – 2 สัปดาห์ แนะนำให้ทำซ้ำอย่างต่อเนื่อง ประมาณ 6 – 8 ครั้ง เว้นระยะห่างกัน 4 – 6 สัปดาห์ เพื่อให้เส้นขนหลุดออกไปจนหมด

                                                     

                                                    โปรแกรม Coolsculpting ลดทุกจุด หยุดส่วนเกิน

                                                    • โปรแกรม Coolsculpting คือ เทคโนโลยีลดไขมันด้วยความเย็น ที่ใช้กระบวนการ Cryolipolysis ในการปล่อยความเย็นระดับจุดเยือกแข็ง อุณหภูมิอยู่ที่ – 11 ถึง – 13 องศา ซึ่งเป็นระดับอุณหภูมิที่เหมาะสมในการฟรีซเซลล์ไขมันให้แข็งตัว และเข้าสู่ภาวะการตายของเซลล์ (Apoptosis) ในที่สุด หลังจาก เมื่อเซลล์ไขมันถูกทำลาย และตายลง ร่างกายจะค่อย ๆ กำจัดเซลล์ไขมันเหล่านี้ ผ่านทางระบบน้ำเหลือง และระบบขับถ่าย ซึ่งสามารถเลือกทำเฉพาะจุดได้ เช่น บริเวณเอว หน้าท้อง ปีกหลัง ต้นแขน หรือต้นขา โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องดูดไขมัน
                                                    • การทำ Coolsculpting เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีไขมันสะสมเฉพาะจุด และผู้ที่ไม่มีเวลาออกกำลังกาย รวมถึง ผู้ที่ไม่มีเวลาพักฟื้น และไม่ต้องการการผ่าตัด 
                                                    • หลังทำ Coolsculpting สามารถเห็นผลลัพธ์ได้ ประมาณ 27% ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ แต่จะเห็นผลการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน ประมาณ 2 – 3 เดือน แนะนำให้ทำซ้ำอย่างต่อเนื่อง อย่างน้อย 2 ครั้งขึ้นไป เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพที่สุด

                                                     

                                                    ซัพพอร์ตทุกความหลากหลาย สร้างความประทับใจที่สุดในวันสำคัญ ต้อง รมย์รวินท์คลินิก

                                                    สำหรับใครที่มีแพลนแต่งงาน อยากสวย ดูดี และเปล่งประกายที่สุด รมย์รวินท์คลินิก พร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความประทับใจในวันสำคัญของคุณ ด้วยโปรแกรมที่หลากหลาย และครอบคลุม ตั้งแต่การดูแลผิวพรรณ ปรับรูปหน้า ลดเลือนริ้วรอย ไปจนถึงการดูแลรูปร่าง และสัดส่วน พร้อมด้วยแพทย์ที่มีความรู้ ความชำนาญ สามารถให้คำปรึกษา และออกแบบการรักษาแบบเฉพาะบุคคล เพื่อให้คุณสวยสมบูรณ์แบบ และมั่นใจที่สุดในวันสำคัญของชีวิต

                                                    ยกกระชับผิวหน้า โดยไม่ต้องผ่าตัดด้วย Bar Lift

                                                    BARLIFT ยกกระชับผิวหน้า ลดริ้วรอย ไม่ต้องผ่าตัด

                                                    ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                                      วันที่สะดวกในการติดต่อ








                                                      Bar Lift เทคโนโลยียกกระชับผิวหน้า ลดริ้วรอยแบบไม่ต้องผ่าตัด

                                                      ในยุคปัจจุบันการยกกระชับผิวหน้าแบบไม่ต้องผ่าตัด กำลังได้รับความนิยมอย่างมาก โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่ต้องการดูแลผิวหน้าให้กระชับ ไร้ริ้วรอย แบบไม่ต้องเสี่ยงผ่าตัดหรือพักฟื้นนาน 

                                                      เทคโนโลยี Bar Lift เป็นหนึ่งในทางเลือกที่ทันสมัยในการยกกระชับผิวหน้า ที่จะช่วยให้ผิวอ่อนเยาว์และสดใสขึ้น ซึ่ง Bar Lift คือเทคนิคยกกระชับผิวหน้าที่ใช้เครื่องมือที่มีพลังงานในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว โดยที่ไม่จำเป็นต้องผ่าตัดหรือพักฟื้นนาน

                                                      บทความนี้จะพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับยกกระชับผิวหน้า Bar Lift ตั้งแต่หลักการทำงาน ประโยชน์ และเหตุผลที่ทำให้เทคโนโลยี Bar Lift กลายเป็นทางเลือกยอดนิยมในการดูแลผิวหน้าในปัจจุบัน

                                                       

                                                      BARLIFT คืออะไร
                                                      BARLIFT คืออะไร

                                                       

                                                      เทคโนโลยียกกระชับผิวหน้า Bar Lift คืออะไร?

                                                      เทคโนโลยียกกระชับผิวหน้า Bar Lift เป็นการยกกระชับผิวหน้าโดยใช้เทคโนโลยี HIFU (High-Intensity Focused Ultrasound) ซึ่งเป็นการส่งคลื่นเสียงความถี่สูงแบบเฉพาะเจาะจงไปยังชั้นผิว SMAS เพื่อกระตุ้นการหดตัวของเนื้อเยื่อและกระบวนการสร้างคอลลาเจนใหม่ ยกกระชับผิวหน้า Bar Lift จึงเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์สำหรับการยกกระชับผิวหน้าและแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยแบบไม่ต้องผ่าตัด ผลลัพธ์ที่ได้มีความปลอดภัยสูง มีประสิทธิภาพดี อีกทั้งยังเหมาะสำหรับคนที่มองหาการยกกระชับผิวหน้าอย่างเป็นธรรมชาติในระยะยาวอีกด้วย

                                                       

                                                      การทำงานของ BARLIFT
                                                      การทำงานของ BARLIFT

                                                       

                                                      หลักการทำงานของเทคโนโลยียกกระชับผิวหน้า Bar Lift

                                                      การทำงานของเทคโนโลยียกกระชับผิวหน้า Bar Lift โดยใช้เทคโนโลยีพลังงาน HIFU (High-Intensity Focused Ultrasound) ซึ่งเป็นการส่งคลื่นเสียงความถี่สูงไปยังผิวหนังอย่างแม่นยำ โดยพลังงานคลื่นอัลตราซาวนด์นี้จะถูกโฟกัสให้กระจายลงลึกไปยังชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นเนื้อเยื่อที่อยู่ใต้ผิวหนัง มีบทบาทสำคัญในการพยุงโครงสร้างของผิว

                                                      เมื่อคลื่นอัลตราซาวนด์ถูกส่งลงไปยังชั้น SMAS จะเกิดการเปลี่ยนพลังงานคลื่นเสียงให้กลายเป็นพลังงานความร้อน ซึ่งความร้อนนี้จะถูกกระจายออกเป็นจุดพลังงานเล็ก ๆ ที่เรียงตัวต่อเนื่องกันในลักษณะรูปแบบเส้น (Linear) บนชั้นผิวหนัง SMAS จุดพลังงานเหล่านี้ช่วยทำให้ชั้นเนื้อเยื่อเกิดการหดตัวในทันที  นอกจากนี้ ความร้อนที่เกิดขึ้นนั้นยังช่วยกระตุ้นให้เซลล์ผิวสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ ทำให้ผิวแข็งแรง แน่นกระชับ แลดูอ่อนเยาว์

                                                       

                                                      BARLIFT ช่วยอะไรบ้าง
                                                      BARLIFT ช่วยอะไรบ้าง

                                                       

                                                      เทคโนโลยียกกระชับผิวหน้า Bar Lift ช่วยอะไรบ้าง?

                                                      • ยกกระชับผิวหน้า Bar Lift ยกกระชับผิวหน้าให้เต่งตึงมากขึ้น
                                                      • ยกกระชับผิวหน้า Bar Lift ลดเลือนริ้วรอยเล็ก ๆ ที่เกิดจากอายุหรือการแสดงสีหน้า
                                                      • ยกกระชับผิวหน้า Bar Lift ปรับรูปหน้าให้เรียวกระชับ ได้รูปมากขึ้น
                                                      • ยกกระชับผิวหน้า Bar Lift ลดปัญหาแก้มที่หย่อนคล้อย คางสองชั้น 
                                                      • ยกกระชับผิวหน้า Bar Lift ลดการสะสมของไขมันบนใบหน้า
                                                      • ยกกระชับผิวหน้า Bar Lift เพิ่มความยืดหยุ่นและผิวกระชับให้กับผิวหน้า
                                                      • ยกกระชับผิวหน้า Bar Lift ปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ ลดรอยดำ และรอยแดง
                                                      • ยกกระชับผิวหน้า Bar Lift ลดขนาดของรูขุมขนกว้าง ให้เรียบเนียนกระชับขึ้น
                                                      • ยกกระชับผิวหน้า Bar Lift กระตุ้นการไหลเวียนของเลือดในบริเวณใบหน้าและลำคอ
                                                      • ยกกระชับผิวหน้า Bar Lift เหมาะสำหรับทุกสภาพผิวและทุกวัย

                                                       

                                                      ข้อดีของเทคโนโลยียกกระชับผิวหน้า Bar Lift

                                                      • ยกกระชับผิวหน้า Bar Lift ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้นนาน
                                                      • ยกกระชับผิวหน้า Bar Lift ผลลัพธ์สดใสและกระชับอย่างเป็นธรรมชาติ
                                                      • ยกกระชับผิวหน้า Bar Lift หลังทำสามารถใช้ชีวิตประจำวันปกติได้ทันที
                                                      • ยกกระชับผิวหน้า Bar Lift ยกกระชับใบหน้าและลำคอให้ผิวเต่งตึงมากขึ้น
                                                      • ยกกระชับผิวหน้า Bar Lift ปรับรูปหน้าให้สมส่วน กรอบหน้าคมชัดขึ้น
                                                      • ยกกระชับผิวหน้า Bar Lift กระชับรูขุมขนพร้อมปรับผิวหน้าให้เรียบเนียน
                                                      • ยกกระชับผิวหน้า Bar Lift เห็นผลลัพธ์ทันทีและต่อเนื่องในระยะยาว
                                                      • ยกกระชับผิวหน้า Bar Lift ไม่เจ็บ ไม่มีผลข้างเคียง ปลอดภัยในระยะยาว
                                                      • ยกกระชับผิวหน้า Bar Lift เหมาะสำหรับการยกกระชับหลากหลายบริเวณของร่างกาย
                                                      • ยกกระชับผิวหน้า Bar Lift ลดความหย่อนคล้อยของใบหน้าที่เกิดจากอายุหรือปัจจัยอื่น ๆ
                                                      • ยกกระชับผิวหน้า Bar Lift ฟื้นฟูผิวหน้าที่หมองคล้ำให้กลับมาสดใสและอ่อนเยาว์ขึ้น
                                                      • ยกกระชับผิวหน้า Bar Lift ช่วยแก้ปัญหาหนังตาตก ลดริ้วรอยรอบดวงตา
                                                      • ยกกระชับผิวหน้า Bar Lift สามารถทำร่วมกับหัตถการอื่น ๆ ได้

                                                       

                                                      ใครบ้างที่เหมาะกับเทคโนโลยียกกระชับผิวหน้า Bar Lift

                                                      • ยกกระชับผิวหน้า Bar Lift เหมาะกับ คนที่มีปัญหาผิวหน้าหย่อนคล้อยบริเวณใบหน้า กรอบหน้า และลำคอ
                                                      • ยกกระชับผิวหน้า Bar Lift เหมาะกับ คนที่มีปัญหาเหนียงหรือคางสองชั้น
                                                      • ยกกระชับผิวหน้า Bar Lift เหมาะกับ คนที่เริ่มมีริ้วรอยตื้นบริเวณรอบดวงตา ร่องแก้ม หรือหน้าผาก
                                                      • ยกกระชับผิวหน้า Bar Lift  เหมาะกับ คนที่มีปัญหาร่องใต้ตา ริ้วรอยรอบดวงตา
                                                      • ยกกระชับผิวหน้า Bar Lift เหมาะกับ คนที่ต้องการปรับรูปหน้าและลดเหนียง
                                                      • ยกกระชับผิวหน้า Bar Lift เหมาะกับ คนที่ต้องการปรับกรอบหน้าให้ชัดเจนขึ้น
                                                      • ยกกระชับผิวหน้า Bar Lift เหมาะกับ คนที่ต้องการลดริ้วรอยเล็ก ๆ บนใบหน้า
                                                      • ยกกระชับผิวหน้า Bar Lift เหมาะกับ คนที่ต้องการผิวเรียบเนียนและกระจ่างใส
                                                      • ยกกระชับผิวหน้า Bar Lift เหมาะกับ คนที่ต้องการเห็นผลลัพธ์ทันทีแบบไม่ต้องพักฟื้น
                                                      • ยกกระชับผิวหน้า Bar Lift เหมาะกับ คนที่กลัวการผ่าตัดหรือกลัวเข็ม

                                                       

                                                      ใครบ้างที่ไม่เหมาะกับเทคโนโลยียกกระชับผิวหน้า Bar Lift

                                                      • ยกกระชับผิวหน้า Bar Lift ไม่เหมาะกับ สตรีที่กำลังตั้งครรภ์และกำลังให้นมบุตร
                                                      • ยกกระชับผิวหน้า Bar Lift ไม่เหมาะกับ คนที่เป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับการไหลเวียนของเลือด เช่น โรคหัวใจ โรคไต
                                                      • ยกกระชับผิวหน้า Bar Lift ไม่เหมาะกับ คนที่ใส่อุปกรณ์ไฟฟ้าในร่างกายเ เช่น เครื่องกระตุ้นหัวใจ
                                                      • ยกกระชับผิวหน้า Bar Lift ไม่เหมาะกับ คนที่มีโลหะในร่างกายในบริเวณที่ต้องการทำการรักษา
                                                      • ยกกระชับผิวหน้า Bar Lift ไม่เหมาะกับ คนที่มีบาดแผลเปิดหรือแผลผ่าตัดที่ยังไม่หายสนิท
                                                      • ยกกระชับผิวหน้า Bar Lift ไม่เหมาะกับ คนที่มีแผลเป็นคีลอยด์บริเวณที่ต้องการรักษา
                                                      • ยกกระชับผิวหน้า Bar Lift ไม่เหมาะกับ คนที่มีการอักเสบของผิวหนังในบริเวณที่ต้องการรักษา
                                                      • ยกกระชับผิวหน้า Bar Lift ไม่เหมาะกับ คนที่มีเนื้อเยื่อผิวหนังหนาหรือไขมันสะสมมากเกินไป
                                                      • ยกกระชับผิวหน้า Bar Lift ไม่เหมาะกับ คนที่มีความไวต่อความรู้สึกหรือประสาทบกพร่อง

                                                       

                                                      BARLIFT ทำบริเวณใดได้บ้าง
                                                      BARLIFT ทำบริเวณใดได้บ้าง

                                                       

                                                      เทคโนโลยียกกระชับผิวหน้า Bar Lift ทำบริเวณใดได้บ้าง?

                                                      • ยกกระชับผิวหน้า Bar Lift สามารถทำบริเวณใบหน้า ยกกระชับ ปรับกรอบหน้าได้
                                                      • ยกกระชับผิวหน้า Bar Lift สามารถทำบริเวณหน้าผาก ลดริ้วรอยย่นบนหน้าผาก
                                                      • ยกกระชับผิวหน้า Bar Lift สามารถทำบริเวณรอบดวงตา ริ้วรอยหางตา และริ้วรอยรอบดวงตา
                                                      • ยกกระชับผิวหน้า Bar Lift สามารถทำบริเวณแก้ม ช่วยลดไขมันสะสมที่แก้ม
                                                      • ยกกระชับผิวหน้า Bar Lift สามารถทำบริเวณริมฝีปาก และร่องมุมปาก ช่วยลดริ้วรอยแห่งวัย
                                                      • ยกกระชับผิวหน้า Bar Lift สามารถทำบริเวณลำคอ ช่วยลดริ้วรอยหย่อนคล้อยที่ลำคอ
                                                      • ยกกระชับผิวหน้า Bar Lift สามารถทำบริเวณต้นแขน ช่วยลดไขมัน และกระชับสัดส่วนต้นแขน
                                                      • ยกกระชับผิวหน้า Bar Lift สามารถทำบริเวณหน้าท้อง ลดขนาดรอบเอวกระชับขึ้น 
                                                      • ยกกระชับผิวหน้า Bar Lift สามารถทำบริเวณสะโพก ช่วยกระชับสะโพกให้เข้ารูปมากขึ้น

                                                       

                                                      BARLIFT กับผลลัพธ์ในแต่ละช่วงวัย
                                                      BARLIFT กับผลลัพธ์ในแต่ละช่วงวัย

                                                       

                                                      เทคโนโลยียกกระชับผิวหน้า Bar Lift ในแต่ละช่วงวัย

                                                      • ยกกระชับผิวหน้า Bar Lift ในวัย 20-30 ปี

                                                      ในช่วงวัยนี้ ผิวจะยังคงกระชับและยังมีปริมาณคอลลาเจนอยู่ แต่ในบางคนอาจเริ่มมีริ้วรอยเล็ก ๆ หรือผิวหย่อนคล้อยเล็กน้อย เนื่องจากการนอนพักผ่อนไม่เพียงพอ ปัจจัยสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ เช่น ฝุ่น แสงแดด มลภาวะ การทำยกกระชับผิวหน้า Bar Lift จะช่วยฟื้นฟูผิว ป้องกันการเกิดริ้วรอยใหม่ในอนาคต และทำให้ผิวกระชับและดูสดใสขึ้น ซึ่งควรทำปีละ 1-2 ครั้งเพื่อรักษาผลลัพธ์ให้ยาวนาน

                                                      • ยกกระชับผิวหน้า Bar Lift ในวัย 30-40 ปี

                                                      ในช่วงวัยนี้ ผิวเริ่มสูญเสียความยืดหยุ่น เริ่มมีริ้วรอยบางจุด เช่น ริ้วรอยย่นบริเวณหน้าผาก และบริเวณรอบดวงตา  นอกจากนี้ผิวอาจเริ่มหย่อนคล้อยบริเวณแก้มหรือกรอบหน้า การทำยกกระชับผิวหน้า Bar Lift ช่วยลดเลือนริ้วรอย ฟื้นฟูโครงสร้างผิว ยกกระชับผิวหน้า และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ซึ่งควรทำปีละ 2-3 ครั้ง หรือปรึกษาแพทย์เพื่อกำหนดแผนการรักษาที่เหมาะสม

                                                      • ยกกระชับผิวหน้า Bar Lift ในวัย 40-50 ปี

                                                      ในช่วงวัยนี้ คอลลาเจนและอีลาสตินในผิวลดน้อยลง ทำให้ริ้วรอยลึกและความหย่อนคล้อยชัดเจน การทำยกกระชับผิวหน้า Bar Lift ช่วยยกกระชับผิวที่เริ่มหย่อนคล้อยอย่างชัดเจน ลดเลือนริ้วรอยลึกบริเวณหน้าผาก รอบดวงตา และร่องแก้ม ทำให้ผิวแลดูอ่อนเยาว์มากขึ้น ซึ่งควรทำปีละ 3 ครั้งขึ้นไป หรือปรึกษาแพทย์เพื่อกำหนดแผนการรักษาที่เหมาะสม

                                                       

                                                      การเตรียมตัวก่อนทำเทคโนโลยียกกระชับผิวหน้า Bar Lift

                                                      การเตรียมตัวก่อนทำเทคโนโลยียกกระชับผิวหน้า Bar Lift เป็นขั้นตอนสำคัญที่ทำให้การยกกระชับผิวหน้าปลอดภัยอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด โดยการเตรียมตัว มีดังนี้

                                                      • ก่อนทำยกกระชับผิวหน้า Bar Lift ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินสภาพผิวและปรึกษาปัญหาผิว โดยแพทย์จะแนะนำวิธีการรักษาที่เหมาะสมที่สุด
                                                      • ก่อนทำยกกระชับผิวหน้า Bar Lift งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ อย่างน้อย 24 ชั่วโมง
                                                      • ก่อนทำยกกระชับผิวหน้า Bar Lift หลีกเลี่ยงยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน ยาต้านอักเสบ
                                                      • ก่อนทำยกกระชับผิวหน้า Bar Lift หลีกเลี่ยงการแต่งหน้าวันที่ไปทำหัตถการ
                                                      • ก่อนทำยกกระชับผิวหน้า Bar Lift หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของเรตินอลหรือวิตามินซี

                                                      ขั้นตอนการทำเทคโนโลยียกกระชับผิวหน้า Bar Lift

                                                      1. วิเคราะห์สภาพผิวและปัญหาผิวโดยละเอียดกับแพทย์ เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมที่สุด
                                                      2. ทำความสะอาดผิวหน้าให้หมดจดก่อนทำยกกระชับผิวหน้า Bar Lift
                                                      3. แพทย์หรือผู้ช่วยแพทย์ทายาชาลงบนบริเวณผิวที่ต้องการรักษา โดยทาทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที เพื่อให้ยาชาออกฤทธิ์เต็มที่
                                                      4. แพทย์จะใช้หัวอุปกรณ์ของ Bar Lift ที่สามารถส่งคลื่นพลังงานอัลตราซาวนด์ความเข้มข้นสูง ลงไปยังชั้นผิว SMAS ได้อย่างแม่นยำ โดยคลื่นพลังงานจะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและยกกระชับผิวหน้าไปพร้อมกัน
                                                      5. หลังจากยกกระชับผิวหน้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว แพทย์จะตรวจสอบผลลัพธ์เบื้องต้น โดยสามารถเห็นผลลัพธ์หลังทำทันที 20% และผลลัพธ์ชัดเจนเต็มที่ภายใน 2-3 เดือน
                                                      6. แพทย์จะให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลผิวหลังทำ เพื่อรักษาผลลัพธ์ของการยกกระชับผิวหน้า

                                                       

                                                      การดูแลตัวเองหลังทำเทคโนโลยียกกระชับผิวหน้า Bar Lift

                                                      • หลังทำยกกระชับผิวหน้า Bar Lift ควรทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 50 PA+++ 
                                                      • หลังทำยกกระชับผิวหน้า Bar Lift ควรรับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ
                                                      • หลังทำยกกระชับผิวหน้า Bar Lift ควรดื่มน้ำให้เพียงพอ จะช่วยให้ผิวฟื้นฟูเร็วขึ้น
                                                      • หลังทำยกกระชับผิวหน้า Bar Lift ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
                                                      • หลังทำยกกระชับผิวหน้า Bar Lift หลีกเลี่ยงการโดนแสงแดดโดยตรง เป็นเวลา 1-2 สัปดาห์
                                                      • หลังทำยกกระชับผิวหน้า Bar Lift หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์
                                                      • หลังทำยกกระชับผิวหน้า Bar Lift หลีกเลี่ยงการกดหรือการนวดบนใบหน้า
                                                      • หลังทำยกกระชับผิวหน้า Bar Lift หลีกเลี่ยงความร้อนทุกชนิด เช่น อบไอน้ำ อบซาวน่า
                                                      • หลังทำยกกระชับผิวหน้า Bar Lift หากมีอาการปวดหรือรู้สึกตึงบริเวณผิว สามารถรับประทานยาแก้ปวดได้

                                                       

                                                      เปรียบเทียบยกกระชับผิวหน้า Bar Lift กับการยกกระชับผิวหน้าแบบอื่น

                                                      นอกจากเทคโนโลยียกกระชับผิวหน้า Bar Lift แล้ว ยังมีวิธีการยกกระชับผิวหน้าอีกหลากหลายวิธี เช่น Ultherapy, Thermage, HIFU และ Morpheus8 ซึ่งแต่ละเทคนิคมีความแตกต่างกันในเรื่องของเทคโนโลยีและหลักการทำงาน ดังนี้

                                                      • Ultherapy เป็นการใช้เทคโนโลยีพลังงานอัลตราซาวนด์ความถี่สูง ในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวลึก โดยสามารถลงลึกไปถึงชั้นผิวหนัง SMAS ซึ่งช่วยยกกระชับผิวหน้า ลดความหย่อนคล้อย ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
                                                      • Thermage ใช้พลังงานความร้อนในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว ด้วยพลังงานคลื่นวิทยุ โดยจะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและฟื้นฟูให้ผิวกระชับขึ้น โดยไม่ทำให้ชั้นผิวโดนทำลาย
                                                      • HIFU เป็นการใช้พลังงานคลื่นอัลตราซาวนด์ความเข้มข้นสูง ที่มีความแม่นยำในการลงสู่ชั้นผิวต่าง ๆ ช่วยให้ผิวหน้าดูยกกระชับแบบไม่ต้องผ่าตัด และสามารถเห็นผลในระยะเวลาอันสั้นได้
                                                      • Morpheus8 ใช้เทคโนโลยีการดูแลผิวด้วย Microneedling RF ที่ใช้เข็มขนาดเล็กส่งพลังงานคลื่นวิทยุเข้าสู่ชั้นผิว กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและฟื้นฟูผิวอย่างล้ำลึก ส่งผลให้ผิวหน้าดูกระชับ เรียบเนียน และมีความยืดหยุ่นมากขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ

                                                       

                                                      คำถามพบบ่อยของเทคโนโลยียกกระชับผิว Bar Lift

                                                      Q : ยกกระชับผิวหน้า Bar Lift เจ็บไหม?

                                                      A : การทำยกกระชับผิวหน้า Bar Lift โดยปกติจะไม่รู้สึกเจ็บ แต่ในบางคนอาจจะรู้สึกอุ่นหรือรู้สึกจี๊ดเล็กน้อยในระหว่างทำยกกระชับผิวหน้า ซึ่งระดับความรู้สึกนั้นขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

                                                      Q : ยกกระชับผิวหน้า Bar Lift ต้องทำกี่ครั้งถึงจะเห็นผล?

                                                      A : ผลลัพธ์ของการทำยกกระชับผิวหน้า Bar Lift จะเริ่มเห็นผลได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ และจะค่อย ๆ เห็นผลลัพธ์ชัดเจนขึ้นในระยะเวลา 4-6 สัปดาห์ ซึ่งอาจต้องทำซ้ำ 2-3 ครั้งต่อปี เพื่อคงผลลัพธ์การยกกระชับที่ดีที่สุด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคลด้วย

                                                      Q : ผลลัพธ์ของยกกระชับผิวหน้า Bar Lift อยู่ได้นานแค่ไหน?

                                                      A : ผลลัพธ์ของการทำยกกระชับผิวหน้า Bar Lift สามารถอยู่ได้นานตั้งแต่ 6 เดือนถึง 1 ปี ขึ้นอยู่กับการดูแลผิวของแต่ละบุคคล

                                                      Q : หลังทำยกกระชับผิวหน้า Bar Lift ต้องพักฟื้นไหม?

                                                      A : ทำยกกระชับผิวหน้า Bar Lift ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาพักฟื้น หลังทำสามารถใช้ชีวิตตามปกติได้ทันที อย่างไรก็ตามควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสแรง ๆ หรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่อาจทำให้ระคายเคืองในช่วง 1-2 วันแรก

                                                      Q : ยกกระชับผิวหน้า Bar Lift มีผลข้างเคียงไหม?

                                                      A : ผลข้างเคียงจากการทำยกกระชับ Bar Lift พบได้น้อยมาก อาจมีรอยแดงหรืออาการบวมเล็กน้อยหลังทำ ซึ่งจะหายได้เองภายใน 1-2 วัน

                                                      Q : ยกกระชับผิวหน้า Bar Lift เหมาะกับคนอายุเท่าไหร่?

                                                      A : ยกกระชับผิวหน้า Bar Lift เหมาะกับคนที่อายุ 25 ปีขึ้นไป โดยเฉพาะคนที่เริ่มมีสัญญาณของริ้วรอยและผิวหย่อนคล้อย

                                                      Q : ยกกระชับผิวหน้า Bar Lift ราคาเท่าไหร่?

                                                      A : ราคายกกระชับผิวหน้า Bar Lift โดยปกติทั่วไปจะอยู่ที่ 10,000-50,000 บาท ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับบริเวณที่ต้องการทำและจำนวนครั้งที่ต้องการทำ

                                                      Q : ยกกระชับผิวหน้า Bar Lift มีข้อจำกัดหรือไม่?

                                                      A : ยกกระชับผิวหน้า Bar Lift ไม่เหมาะกับสตรีที่กำลังตั้งครรภ์ มีปัญหาเกี่ยวกับผิวหนังในบริเวณที่ต้องการทำ หรือมีโรคประจำตัวบางชนิด เช่น โรคหัวใจหรือโรคเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน

                                                      Q : ยกกระชับผิวหน้า Bar Lift สามารถทำร่วมกับหัตถการอื่นได้ไหม?

                                                      A : ยกกระชับผิวหน้า Bar Lift สามารถทำร่วมกับหัตถการความงามอื่นได้ เช่น การฉีดโบหรือฟิลเลอร์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการยกกระชับผิวหน้าอย่างรอบด้าน อย่างไรก็ตาม ควรปรึกษาแพทย์ผู้มีความรู้เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมและปลอดภัยที่สุด

                                                      Q : ยกกระชับผิวหน้า Bar Lift สามารถทำบริเวณร่างกายได้ไหม?

                                                      A : ยกกระชับผิวหน้า Bar Lift สามารถทำบริเวณร่างกายได้ เช่น ลำคอ แขน หน้าท้อง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการประเมินของแพทย์

                                                      ยกกระชับผิวหน้า Bar Lift เป็นเทคโนโลยียกกระชับที่ตอบโจทย์คนยุคใหม่ ที่ต้องการดูแลผิวให้อ่อนเยาว์อย่างปลอดภัยแบบมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องผ่าตัดและไม่ต้องพักฟื้นนาน ซึ่งความโดดเด่นของยกกระชับผิวหน้า Bar Lift อยู่ที่การฟื้นฟูผิวจากภายใน กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวดูยกกระชับและเรียบเรียนขึ้นอีกครั้งอย่างเป็นธรรมชาติ

                                                      ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงวัยไหน การยกกระชับผิวหน้าด้วย Bar Lift ก็สามารถปรับให้เหมาะสมกับสภาพผิว และความต้องการเฉพาะบุคคลได้ หากกำลังมองหาคลินิกความงามที่น่าเชื่อถือและมีความรู้ในการดูแลผิวพรรณ รมย์รวินท์คลินิก พร้อมให้บริการด้วยทีมแพทย์ที่มีความรู้และเครื่องมือที่ทันสมัย มั่นใจได้ในผลลัพธ์ที่ปลอดภัยและคุ้มค่าที่สุด

                                                      ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                                        วันที่สะดวกในการติดต่อ








                                                        ฉีดโบลดกรามปรับหน้าเรียว เพื่ออะไร เหมาะกับใคร

                                                        ปรับหน้าเรียว

                                                        ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                                          วันที่สะดวกในการติดต่อ








                                                          ฉีดโบลดกรามปรับหน้าเรียว ทางเลือกใหม่ของคนอยากหน้า V-Shape

                                                          ในยุคที่รูปลักษณ์และความงามมีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวัน การมีใบหน้าที่เรียวสวยเป็นเป้าหมายที่หลายคนต้องการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีปัญหากรามใหญ่หรือรูปหน้าไม่สมส่วน ซึ่งอาจทำให้รู้สึกไม่มั่นใจในการเข้าสังคมหรือในสถานการณ์ต่าง ๆ การฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว จึงเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

                                                           

                                                          การฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว เป็นวิธีการที่ช่วยลดขนาดกล้ามเนื้อบริเวณกราม โดยหยุดการทำงานของกล้ามเนื้อ ทำให้ใบหน้าดูเรียวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งการทำหัตถการนี้ไม่เพียงแต่ให้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจ แต่ยังเป็นวิธีที่ไม่ต้องผ่าตัดและไม่ต้องพักฟื้นนาน ทำให้สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติทันที

                                                           

                                                          บทความนี้จะพาทุกท่านไปสำรวจทุกแง่มุมของการฉีดโบลดกราม ตั้งแต่ขั้นตอนการฉีดโบลดกราม ข้อดีข้อเสียของการฉีดโบลดกราม ไปจนถึงคำแนะนำในการดูแลหลังการฉีดโบลดกราม เพื่อให้คุณสามารถตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ และปลอดภัยในการปรับรูปหน้าให้สวยงาม

                                                           

                                                          ฉีดโบลดกราม ฉีดถูกจุด ปังกว่าเดิม
                                                          ฉีดโบลดกราม ฉีดถูกจุด ปังกว่าเดิม

                                                           

                                                          โบลดกรามจุดฮิต ปรับหน้าเรียว ทางลัดของคนอยากหน้า V-Shape

                                                          จุดฮิตฉีดโบลดกราม ฉีดถูกจุด ปังกว่าเดิม!

                                                          1. ขอบกรามด้านล่าง : เป็นการฉีดเน้นบริเวณกล้ามเนื้อที่ขยายใหญ่ขึ้นตรงกรามล่าง มักจะอยู่ตรงแนวกรามทั้งสองข้าง โดยการฉีดโบลดกรามจุดนี้จะช่วยให้กล้ามเนื้อ Masseter (แมสซีเทอร์) เล็กลงและดูผ่อนคลายขึ้น ทำให้บริเวณกรามดูเรียวเล็ก
                                                          2. ตำแหน่งกึ่งกลางของกล้ามเนื้อ Masseter : แพทย์จะทำการหาจุดกึ่งกลางของบริเวณกล้ามเนื้อ Masseter (แมสซีเทอร์) เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่สมดุลและสมส่วนที่สุด โดยตำแหน่งนี้จะช่วยลดขนาดของกล้ามเนื้อบริเวณกรามให้เล็กลงอย่างเป็นธรรมชาติ

                                                           

                                                          ฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว คืออะไร?

                                                          โบลดกราม ปรับหน้าเรียว คือ การฉีดสารออกฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อ เข้าไปในสู่บริเวณกล้ามเนื้อกราม เป็นวิธีการลดขนาดของกรามเพื่อให้ใบหน้าดูเรียวเล็กลง โดยมุ่งเน้นการฉีดที่กล้ามเนื้อ Masseter (แมสซีเทอร์) ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อที่อยู่ตรงบริเวณข้างกรามหรือกรามล่างของเรา ทำให้ใบหน้าดูเรียวขึ้นและกระชับมากขึ้น โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้นนาน ผลลัพธ์จะอยู่ได้นานประมาณ 4-6 เดือน หลังจากนั้นต้องฉีดซ้ำเพื่อนรักษาผลลัพธ์ให้คงอยู่

                                                           

                                                          ฉีดโบลดกราม ทำงานอย่างไร
                                                          ฉีดโบลดกราม ทำงานอย่างไร

                                                           

                                                          การทำงานของโบลดกราม ปรับหน้าเรียว

                                                          การออกฤทธิ์ของโบลดกราม เป็นวิธีการปรับรูปหน้าให้ดูเรียวขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ โดยการฉีดโบเข้าไปที่กล้ามเนื้อ Masseter (แมสซีเทอร์) ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อหลักที่ทำให้กรามดูกว้างและใหญ่ การออกฤทธิ์ของโบลดกรามจะทำงานโดยลดขนาดของกล้ามเนื้อในบริเวณนี้ให้เล็กลง ทำให้ใบหน้าดูเรียวและได้สัดส่วนมากขึ้น 

                                                           

                                                          ขั้นตอนของการออกฤทธิ์ของโบลดกราม

                                                          1. โบลดกรามเข้าสู่กล้ามเนื้อ Masseter (แมสซีเทอร์) : หลังจากฉีดโบลดกรามเข้าสู่กล้ามเนื้อ Masseter (แมสซีเทอร์) โดยตรง ที่เป็นกล้ามเนื้อที่ใช้สำหรับบดเคี้ยวอาหาร เมื่อทำการฉีดโบลดกรามเข้าไป จะช่วยยับยั้งการทำงานของสัญญาณประสาทที่ส่งจากสมองจากสมองมาที่กล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อกรามเกิดการผ่อนคลาย ไม่หดตัวหรือขยายขนาดจนมากเกินไป
                                                          2. ยับยั้งการหดตัวของกล้ามเนื้อกรามชั่วคราว : โบลดกรามจะยับยั้งการทำงานของสารสื่อประสาท Acetylcholine (อะเซทิลโคลีน) ซึ่งเป็นสารที่ส่งสัญญาณไปยังกล้ามเนื้อเพื่อทำให้กรามเนื้อหดตัว เมื่อสาร Acetylcholine (อะเซทิลโคลีน) ถูกยับยั้ง กล้ามเนื้อ Masseter (แมสซีเทอร์) จะเริ่มคลายตัวและหยุดการทำงานชั่วคราว ส่งผลลัพธ์ที่ทำให้ขนาดของกล้ามเนื้อค่อย ๆ ลดลง
                                                          3. กล้ามเนื้อกรามเริ่มเล็กลง : หลังจากฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียวไป 7-14 วัน จะเริ่มเห็นผลลัพธ์กล้ามเนื้อ Masseter (แมสซีเทอร์) มีขนาดเล็กลง ซึ่งผลมาจากการหยุดหดตัวของกล้ามเนื้อและทำให้เกิดการผ่อนคลายในระยะยาว ทำให้กรามดูเรียวลงมากขึ้น ผลลัพธ์ของโบลดกรามนั้นจะอยู่ได้นานประมาณ 4-6 เดือน หลังจากนั้นกล้ามเนื้อจะค่อย ๆ กลับมาทำงานอีกครั้ง อาจต้องกลับมาฉีดซ้ำเพื่อรักษาผลลัพธ์ให้คงอยู่ยาวนานขึ้น

                                                           

                                                          ฉีดโบลดกราม ช่วยเรื่องอะไรบ้าง
                                                          ฉีดโบลดกราม ช่วยเรื่องอะไรบ้าง

                                                           

                                                          ฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว ช่วยเรื่องอะไร

                                                          การฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว มีข้อดีที่หลากหลายด้าน ดังนี้

                                                          • ฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว ลดความกว้างของใบหน้าบริเวณกราม
                                                          • ฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว ทำให้โครงหน้าดูสมดุล สมส่วนมากขึ้น
                                                          • ฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว ช่วยให้ใบหน้าดูเล็กลง มีมิติมากขึ้น
                                                          • ฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว ช่วยทำให้ใบหน้าดูอ่อนหวาน ละมุนมากขึ้น
                                                          • ฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว ทำให้รูปหน้าดูสมมาตรมากขึ้น ในกรณีที่กรามสองข้างไม่เท่ากัน
                                                          • ฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว ช่วยเพิ่มความมั่นใจในชีวิตประจำวัน

                                                           

                                                          ฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว เหมาะกับใคร

                                                          การฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว เหมาะกับกลุ่มคน ดังนี้

                                                          • โบลดกราม ปรับหน้าเรียว เหมาะกับคนที่มีกรามใหญ่
                                                          • โบลดกราม ปรับหน้าเรียว เหมาะกับคนที่มีใบหน้ารูปทรงสี่เหลี่ยม
                                                          • โบลดกราม ปรับหน้าเรียว เหมาะกับคนที่มีกรามสองข้างไม่เท่ากัน
                                                          • โบลดกราม ปรับหน้าเรียว เหมาะกับคนที่กล้ามเนื้อกรามเยอะ
                                                          • โบลดกราม ปรับหน้าเรียว เหมาะกับคนที่ต้องการโครงหน้าที่สมส่วนมากขึ้น
                                                          • โบลดกราม ปรับหน้าเรียว เหมาะกับคนที่ต้องการเพิ่มความมั่นใจ
                                                          • โบลดกราม ปรับหน้าเรียว เหมาะกับคนที่มีระยะเวลาจำกัด มีเวลาน้อย
                                                          • โบลดกราม ปรับหน้าเรียว เหมาะกับคนที่ไม่ต้องการพักฟื้นนาน
                                                          • โบลดกราม ปรับหน้าเรียว เหมาะกับคนที่กลัวการผ่าตัด

                                                          ฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว ไม่เหมาะกับใคร

                                                          การฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว ไม่เหมาะกับกลุ่มคน ดังนี้

                                                          • โบลดกราม ปรับหน้าเรียว ไม่เหมาะกับคนที่มีโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง
                                                          • โบลดกราม ปรับหน้าเรียว ไม่เหมาะกับคนที่มีประวัติแพ้สารออกฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อ
                                                          • โบลดกราม ปรับหน้าเรียว ไม่เหมาะกับสตรีที่กำลังตั้งครรภ์ หรือกำลังให้นมบุตร
                                                          • โบลดกราม ปรับหน้าเรียว ไม่เหมาะกับคนที่เป็นโรคที่มีเลือดออกง่าย
                                                          • โบลดกราม ปรับหน้าเรียว ไม่เหมาะกับคนที่ติดเชื้อบริเวณที่ฉีด ควรรักษาให้หายก่อน
                                                          • โบลดกราม ปรับหน้าเรียว ไม่เหมาะกับคนที่มีกรามเล็กอยู่แล้ว
                                                          • โบลดกราม ปรับหน้าเรียว ไม่เหมาะกับคนที่มีผิวหนังบาง

                                                           

                                                          ข้อดีและข้อจำกัดขอการฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว

                                                          ข้อดีของการฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว

                                                          • โบลดกราม ปรับหน้าเรียว ช่วยปรับหน้าให้เรียวขึ้น
                                                          • โบลดกราม ปรับหน้าเรียว ช่วยลดขนาดของกล้ามเนื้อกราม
                                                          • โบลดกราม ปรับหน้าเรียว ไม่ต้องพักฟื้นนาน กลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ
                                                          • โบลดกราม ปรับหน้าเรียว ไม่ต้องผ่าตัด ลดความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อน
                                                          • โบลดกราม ปรับหน้าเรียว เห็นผลลัพธ์รวดเร็ว ไม่ต้องรอนาน
                                                          • โบลดกราม ปรับหน้าเรียว ไม่ต้องเจ็บตัว ไม่ต้องมีรอยแผลเป็น
                                                          • โบลดกราม ปรับหน้าเรียว ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 4-6 เดือน
                                                          • โบลดกราม ปรับหน้าเรียว มีความปลอดภัยสูง ได้รับการรับรองจากอย. ไทย

                                                           

                                                          ข้อจำกัดของการฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว

                                                          • โบลดกราม ปรับหน้าเรียว อาจเกิดอาการดื้อยาได้
                                                          • โบลดกราม ปรับหน้าเรียว ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ทุกประเภท
                                                          • โบลดกราม ปรับหน้าเรียว อาจเกิดผลข้างเคียง เช่น อาการบวม รอยแดง รอยช้ำ
                                                          • โบลดกราม ปรับหน้าเรียว อาจมีความเสี่ยงจากการฉีดในตำแหน่งที่ไม่เหมาะสม
                                                          • โบลดกราม ปรับหน้าเรียว ผลลัพธ์ไม่ถาวร เนื่องจากโบสลายได้เองตามธรรมชาติ

                                                           

                                                          ยี่ห้อโบลดกราม ปรับหน้าเรียว เลือกแบบไหนดี

                                                          โบลดกรามที่ใช้มีหลายยี่ห้อที่ได้รับความนิยมและมีการใช้กันอย่างแพร่หลาย แต่ละยี่ห้อจะมีคุณสมบัติและลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกันไป ซึ่งส่งผลต่อการออกฤทธิ์ ความปลอดภัย และระยะเวลาในการเห็นผล โดยยี่ห้อโบลดกรามที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน มีดังนี้

                                                          โบลดกราม ปรับหน้าเรียว ยี่ห้อ Allergan

                                                          • จุดเด่น : โบหางตายี่ห้อ Allergan เป็นยี่ห้อที่ได้รับความนิยมอย่างมาก และผ่านการรับรองจากทั้ง FDA สหรัฐอเมริกา และ อย.ไทย มีความบริสุทธิ์สูง ออกฤทธิ์ได้อย่างแม่นยำตรงจุด ทำให้เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนอย่างเป็นธรรมชาติ
                                                          • ระยะเวลาของผลลัพธ์ : เริ่มเห็นผลลัพธ์ภายใน 7 วัน และเริ่มเห็นผลลัพธ์ชัดเจนเต็มที่ใน 2 สัปดาห์
                                                          • ผลลัพธ์อยู่ได้นาน : โบลดกรามยี่ห้อ Allergan ผลลัพธ์จะอยู่ได้นานประมาณ 4-6 เดือน
                                                          • เหมาะกับ : คนที่ต้องการลดกรามและต้องการผลลัพธ์เปลี่ยนอย่างเป็นธรรมชาติ

                                                           

                                                          โบลดกราม ปรับหน้าเรียว ยี่ห้อ Dysport

                                                          • จุดเด่น : โบหางตายี่ห้อ Dysport มีขนาดโมเลกุลที่เล็กกว่าโบลดกรามทั่วไป ทำให้กระจายตัวได้ดีและเหมาะสำหรับการฉีดในบริเวณที่ต้องการลดกล้ามเนื้อขนาดใหญ่ เช่น กล้ามเนื้อกราม เหมาะกับคนที่ต้องการให้โบกระจายตัวไปทั่วกล้ามเนื้อเพื่อให้กรามดูเล็กลงแบบเป็นธรรมชาติ
                                                          • ระยะเวลาของผลลัพธ์ : เริ่มเห็นผลลัพธ์ภายใน 7 วัน และเริ่มเห็นผลลัพธ์ชัดเจนเต็มที่ใน 2 สัปดาห์
                                                          • ผลลัพธ์อยู่ได้นาน : โบลดกรามยี่ห้อ Dysport ผลลัพธ์จะอยู่ได้นานประมาณ 4-6 เดือน
                                                          • เหมาะกับ : คนที่ต้องการลดกรามที่ให้ผลลัพธ์อย่างเป็นธรรมชาติ และเหมาะกับกล้ามเนื้อใหญ่ที่ต้องการให้โบกระจายตัวได้ดี

                                                           

                                                          โบลดกราม ปรับหน้าเรียว ยี่ห้อ Xeomin

                                                          • จุดเด่น : มีคุณสมบัติโดดเด่นในด้านความบริสุทธิ์สูง ถูกออกแบบมาให้ปราศจากโปรตีนที่ไม่จำเป็น ทำให้ลดความเสี่ยงในการเกิดการดื้อโบ ซึ่งเกิดจากการสะสมของโปรตีนในร่างกายหลังการฉีดหลายครั้ง จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฉีดโบลดกรามระยะยาว
                                                          • ระยะเวลาของผลลัพธ์ : เริ่มเห็นผลลัพธ์ภายใน 7 วัน และเริ่มเห็นผลลัพธ์ชัดเจนเต็มที่ใน 2 สัปดาห์
                                                          • ผลลัพธ์อยู่ได้นาน : โบลดกรามยี่ห้อ Xeomin ผลลัพธ์จะอยู่ได้นานประมาณ 4-6 เดือน
                                                          • เหมาะกับ : คนที่มีปัญหาริ้วรอยหรือกรามใหญ่ ต้องการปรับรูปหน้าให้เรียวขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ รวมไปถึงเหมาะกับคนที่ดื้อโบลดกรามอีกด้วย

                                                           

                                                          โบลดกราม ปรับหน้าเรียว ยี่ห้อ Nabota

                                                          • จุดเด่น : เป็นโบลดกรามเกาหลีที่ได้รับความนิยมมากในประเทศไทย เพราะมีการพัฒนาคุณภาพที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ ผ่านการรับรองมาตรฐานจาก FDA สหรัฐอเมริกาและอย.ไทย นอกจากนี้โบลดกราม ยี่ห้อ Nabota ยังมีความบริสุทธิ์สูงถึง 98.7% ซึ่งช่วยให้ลดโอกาสการดื้อโบลดกรามได้ดี
                                                          • ระยะเวลาของผลลัพธ์ : เริ่มเห็นผลลัพธ์ภายใน 3 วัน และเริ่มเห็นผลลัพธ์ชัดเจนเต็มที่ใน 2 สัปดาห์
                                                          • ผลลัพธ์อยู่ได้นาน : โบลดกรามยี่ห้อ Nabota ผลลัพธ์จะอยู่ได้นานประมาณ 4-6 เดือน
                                                          • เหมาะกับ : คนที่ต้องการลดกรามอย่างรวดเร็ว และต้องการผลลัพธ์ที่ไว

                                                           

                                                          โบลดกราม ปรับหน้าเรียว ยี่ห้อ Aestox

                                                          • จุดเด่น : เป็นโบลดกรามของเกาหลีรุ่นใหม่ที่พัฒนามาให้มีความบริสุทธิ์สูง ช่วยลดโอกาสการดื้อโบลดกรามได้ดี ได้รับการรับรองจากอย.ไทย
                                                          • ระยะเวลาของผลลัพธ์ : เริ่มเห็นผลลัพธ์ภายใน 7 วัน และเริ่มเห็นผลลัพธ์ชัดเจนเต็มที่ใน 2 สัปดาห์
                                                          • ผลลัพธ์อยู่ได้นาน : โบลดกรามยี่ห้อ Aestox ผลลัพธ์จะอยู่ได้นานประมาณ 4-6 เดือน
                                                          • เหมาะกับ :  คนที่ต้องการโบลดกรามคุณภาพดี ที่ให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติและยาวนาน

                                                           

                                                          ฉีดโบลดกราม ดูแลตัวเองก่อนฉีดอย่างไร
                                                          ฉีดโบลดกราม ดูแลตัวเองก่อนฉีดอย่างไร

                                                           

                                                          การเตรียมตัวก่อนฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว

                                                          การเตรียมตัวก่อนฉีดโบลดกรามเป็นขั้นตอนที่สำคัญ เพื่อให้การฉีดโบลดกรามมีประสิทธิภาพสูงสุด และช่วยลดความเสี่ยงจากผลข้างเคียงต่าง ๆ ควรปฏิบัติตามคำแนะนำ ดังนี้

                                                           

                                                          • ก่อนฉีดโบลดกราม ควรเลือกคลินิกหรือสถานพยาบาลที่ได้รับมาตรฐาน มีแพทย์ที่มีความรู้ด้านการฉีดโบ
                                                          • ก่อนฉีดโบลดกราม ควรแจ้งข้อมูลของสุขภาพทั้งหมด เช่น การแพ้ยา โรคประจำตัว และ ยาที่รับประทานประจำ 
                                                          • ก่อนฉีดโบลดกราม งดยาแก้ปวดประเภทแอสไพริน ไอบูโพรเฟน หรือ ยากลุ่มต้านการอักเสบ ประมาณ 1 สัปดาห์ เพื่อลดความเสี่ยงเกิดรอยช้ำ
                                                          • ก่อนฉีดโบลดกราม งดรับประทานอาหารเสริมหรือสมุนไพรบางชนิด เช่น วิตามินอี น้ำมันปลา โสม และแปะก๊วย ประมาณ 5-7 วัน
                                                          • ก่อนฉีดโบลดกราม งดดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 24-48 ชั่วโมง เพราะอาจทำให้เส้นเลือดขยายตัวและเพิ่มโอกาสเกิดรอยช้ำ
                                                          • ก่อนฉีดโบลดกราม หลีกเลี่ยงการทำทรีตเมนต์ผิวหน้า เช่น การผลัดเซลล์ผิวหรือเลเซอร์ 1-2 สัปดาห์
                                                          • ก่อนฉีดโบลดกราม ในวันนัดฉีดควรล้างหน้าด้วยน้ำสะอาด และหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมของน้ำมัน
                                                          • ก่อนฉีดโบลดกราม นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุด

                                                           

                                                          ขั้นตอนการฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว

                                                          1. แพทย์จะวิเคราะห์รูปหน้าและประเมินกล้ามเนื้อกราม เพื่อกำหนดปริมาณโบลดกรามและจุดฉีดที่เหมาะสม
                                                          2. ทำความสะอาดบริเวณที่ต้องการฉีดโบลดกรามอย่างทั่วถึงด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ เพื่อลดความเสี่ยงของการติดเชื้อ
                                                          3. แพทย์จะทำการมาร์กจุดฉีดบนกราม ซึ่งมักจะเป็นตำแหน่งที่กล้ามเนื้อ Masseter หรือกล้ามเนื้อบดเคี้ยว
                                                          4. ในบางกรณีแพทย์อาจใช้ยาชาหรือเจลประคบเย็นเพื่อลดบรรเทาความเจ็บปวด
                                                          5. แพทย์จะใช้เข็มขนาดเล็กฉีดโบเข้าไปยังบริเวณที่มาร์กจุดไว้ โดยเข็มจะถูกสอดเข้าไปในกล้ามเนื้อ Masseter ในปริมาณที่เหมาะสม ซึ่งระยะเวลาในการฉีดในแต่ละจุดใช้เวลาไม่นาน โดยรวมทั้งหมดใช้ระยะเวลา 20 นาที
                                                          6. หลังฉีดเสร็จเรียบร้อยแล้ว แพทย์จะตรวจสอบใบหน้าของอีกครั้ง เพื่อดูว่าโบลดกรามกระจายตัวในกล้ามเนื้ออย่างเหมาะสม
                                                          7. แพทย์จะแนะนำก่อนดูแลตัวเองหลังฉีดโบลดกราม เพื่อให้โบออกฤทธิ์ได้ดีและปลอดภัยอย่างมีประสิทธิภาพ

                                                           

                                                          ฉีดโบลดกราม ดูแลตัวเองหลังฉีดอย่างไร
                                                          ฉีดโบลดกราม ดูแลตัวเองหลังฉีดอย่างไร

                                                           

                                                          การดูแลตัวเองหลังฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว

                                                          • หลังฉีดโบลดกราม หลีกเลี่ยงการนอนราบหรือนอนตะแคงในช่วง 4-6 ชั่วโมงแรก เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวยาเคลื่อนตัวไปยังตำแหน่งอื่น
                                                          • หลังฉีดโบลดกราม หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก เช่น วิ่ง หรือ ยกน้ำหนัก
                                                          • หลังฉีดโบลดกราม หลีกเลี่ยงการกด นวด หรือถูบริเวณกราม อย่างน้อย 24 ชั่วโมงแรก
                                                          • หลังฉีดโบลดกราม งดการอบซาวน่า อบไอน้ำ หรือการแช่น้ำร้อน ในช่วง 48 ชั่วโมงแรก
                                                          • หลังฉีดโบลดกราม งดดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ในช่วง 24-48 ชั่วโมง
                                                          • หลังฉีดโบลดกราม งดการทำเลเซอร์ ทรีตเมนต์ บริเวณกรามในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก
                                                          • หลังฉีดโบลดกราม หลีกเลี่ยงอาหารที่ต้องใช้แรงเคี้ยว เช่น หมากฝรั่ง หรืออาหารแข็งมาก ๆ ในช่วง 3-4 วันแรก
                                                          • หลังฉีดโบลดกราม ควรดื่มน้ำมาก ๆ เพราะจะช่วยให้โบออกฤทธิ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
                                                          • หลังฉีดโบลดกราม ควรกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อ เช่น การยิ้ม ในช่วง 1-2 วันแรก

                                                           

                                                          คำถามพบบ่อยของการฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว

                                                          โบลดกราม ปรับหน้าเรียว อยู่ได้นานแค่ไหน?

                                                          • ผลลัพธ์ของการฉีดโบลดกรามจะเริ่มเห็นชัดเจนประมาณ 2-4 สัปดาห์ หลังฉีด และอยู่ได้นานประมาณ 4-6 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายและพฤติกรรมการใช้กล้ามเนื้อของแต่ละคน

                                                           

                                                          ฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว เจ็บไหม?

                                                          • การฉีดโบลดกราม จะมีความรู้สึกเจ็บเล็กน้อยจากการถูกเข็มจิ้ม แต่ส่วนใหญ่แพทย์จะทำการทายาชาหรือประคบเย็นก่อนฉีดเพื่อลดความเจ็บระหว่างทำ

                                                          ฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว ต้องฉีดกี่ครั้งถึงจะเห็นผลถาวร?

                                                          • การฉีดโบลดกรามผลลัพธ์ไม่ถาวร สามารถย่อยสลายเองได้ตามธรรมชาติ แต่หากฉีดต่อเนื่อง 3-4 ครั้ง โดยห่างกันทุก 4-6 เดือน กล้ามเนื้อกรามอาจเล็กลงถาวร เพราะกล้ามเนื้อไม่ได้ถูกใช้งานจนมีการลดขนาดแบบถาวรได้

                                                           

                                                          ฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว อาจมีผลข้างเคียงอะไรบ้าง?

                                                          • ผลข้างเคียงที่อาจพบหลังฉีดโบลดกรามได้ คือ มีอาการบวม หรือรอยช้ำเล็กน้อยบริเวณที่ฉีด และมีอาการตึงบริเวณกรามในช่วงแรก นอกจากนี้ยังสามารถพบอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงชั่วคราว หากฉีดโบในปริมาณที่มากเกินไป ได้อีกด้วย

                                                           

                                                          ฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว มีผลต่อการเคี้ยวอาหารไหม?

                                                          • ในช่วงแรกหลังฉีดโบลดกรามอาจรู้สึกเมื่อยหรือเคี้ยวอาหารแข็งได้ยากขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่ส่งผลต่อการเคี้ยวในระยะยาว

                                                           

                                                          หยุดฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว กล้ามเนื้อกรามจะกลับมาใหญ่เหมือนเดิมไหม?

                                                          • หากหยุดฉีดโบลดกราม กล้ามเนื้อกรามจะค่อย ๆ กลับมาใหญ่ขึ้นตามการใช้งานปกติ แต่จะไม่ใหญ่ขึ้นกว่าขนาดเดิมก่อนฉีด

                                                           

                                                          ฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว สามารถทำพร้อมกับหัตถการอื่นได้ไหม?

                                                          • สามารถฉีดโบลดกรามควบคู่กับการทำหัตถการอื่นได้ เช่น การฉีดฟิลเลอร์หรือการทำเลเซอร์ แต่ควรปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนหัตถการอย่างเหมาะสม เพื่อป้องกันผลกระทบต่อกัน

                                                           

                                                          ฉีดโบลดกราม ปรับหน้าเรียว ความสวยที่มาพร้อมความมั่นใจ

                                                          การฉีดโบลดกรามเป็นหัตถการที่ช่วยปรับรูปหน้าให้ดูเรียวเล็กโดยไม่ต้องผ่าตัด ด้วยขั้นตอนที่ปลอดภัยและไม่ยุ่งยาก ผลลัพธ์ที่ได้คือใบหน้าที่ดูเรียวเล็กลง ช่วยเสริมความมั่นใจอย่างเป็นธรรมชาติ ทั้งนี้การเตรียมตัวและการดูแลหลังฉีดมีความสำคัญอย่างมากต่อผลลัพธ์ที่สวยงามและยาวนาน

                                                           

                                                          ที่สำคัญควรเลือกสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐาน พร้อมปรึกษาแพทย์ผู้มีความรู้เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมกับสภาพร่างกายและความต้องการ เพื่อใบหน้าที่เรียวสวยในแบบที่ต้องการ พร้อมกับความมั่นใจในทุก ๆ วัน เพราะความงามที่ปลอดภัยคือสิ่งสำคัญ การฉีดโบลดกรามจึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ตอบโจทย์สำหรับผู้ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างมีประสิทธิภาพ

                                                          ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                                            วันที่สะดวกในการติดต่อ








                                                            อวสารฟิลเตอร์ไอจี เตรียมหน้าจริงให้พร้อมก่อนถอดฟิลเตอร์ออกหมดด้วย Sylfirm X Plus

                                                            อวสารฟิลเตอร์ไอจี หน้าสดแค่ไหนก็รอด เพราะมี Sylfirm X Plus

                                                            อวสารฟิลเตอร์ไอจี เตรียมหน้าจริงให้พร้อมก่อนถอดฟิลเตอร์ออกหมดด้วย Sylfirm X Plus

                                                            เริ่มแล้ว อวสารฟิลเตอร์ไอจี! เตรียมทยอยถอดออก ปิดตำนานปกปิดหน้าสดด้วยฟิลเตอร์ ผิวสวยจริงเท่านั้นที่จะรอดในทุกสถานการณ์ เพราะฉะนั้นยกเลิกฟิลเตอร์ได้ แต่ยกเลิกดูแลผิวหน้าที่ รมย์รวินท์คลินิก ไม่ได้เด็ดขาด 

                                                            ถึงเวลาแล้วที่จะเปิดเผยหน้าจริง โชว์ผิวสวยแบบมั่นใจ บอกลาฝ้า กระ จุดด่างดำ รูขุมขนกว้างทิ้งไป หน้าสดแค่ไหนก็ไม่หวั่น ไม่ต้องพึ่งฟิลเตอร์อีกต่อไป วันนี้ รมย์รวินท์ มีตัวช่วยดี ๆ มาบอก กับ “Sylfirm X Plus” โปรแกรมซ่อมผิวพัง เคลียร์จบทุกปัญหาผิว หนักแค่ไหนก็เอาอยู่ พร้อมรีทัชงานผิวกริบ ให้ผิวดีเหมือนติดฟิลเตอร์ตลอดเวลา ไม่ต้องตุ๊งรูปให้ยุ่งยาก สำหรับใครที่กำลังสงสัยว่า Sylfirm X Plus คืออะไร? ช่วยแก้ปัญหาอะไรบ้าง? บทความนี้รวบตึงมาให้แล้ว

                                                             

                                                            Sylfirm X Plus
                                                            ปราบ ฝ้า กระ จุดด่างดำ ด้วย Sylfirm X Plus

                                                             

                                                            NO ฟิลเตอร์ เตรียมโชว์ผิวสวย มั่นใจแม้หน้าสดด้วย Sylfirm X Plus

                                                             

                                                            5 วิธี บอกลาปัญหาฝ้า กระ จุดด่างดำ

                                                            • รักษาด้วยการทาครีม

                                                            ปัญหาฝ้า กระ จุดด่างดำ สามารถรักษาได้ด้วยการทาครีมบำรุงผิว โดยการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสม ที่ช่วยปรับผิวให้กระจ่างใส และยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานินใต้ผิวหนัง เช่น วิตามินซี (Vitamin C), อาร์บูติน (Arbutin), ไนอาซินาไมด์ (Niacinamide) หรือกรดโคจิก (Kojic) เป็นต้น ทั้งนี้ แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ เนื่องจากอาจก่อให้เกิดการระคายเคืองได้

                                                            • รักษาด้วยสมุนไพรธรรมชาติ

                                                            ปัญหาฝ้า กระ จุดด่างดำ สามารถรักษาได้ด้วยสมุนไพรธรรมชาติ โดยการนำส่วนผสมจากธรรมชาติ ที่มีฤทธิ์ในการผลัดเซลล์ผิว หรือลดการผลิตเม็ดสีเมลานิน มาพอกบริเวณใบหน้า หรือแต้มเฉพาะจุด เช่น มะขามเปียก มีกรด AHA ช่วยผลัดเซลล์ผิว, หัวไชเท้า มีสาร Glycoside ช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสี หรือมะนาว มีกรด AHA ช่วยลดเลือนจุดด่างดำ ทั้งนี้ การรักษาฝ้า กระ จุดด่างดำด้วยสมุนไพรธรรมชาติ จะให้ผลลัพธ์ที่ไม่ชัดเจน และใช้ระยะเวลานาน ซึ่งไม่แนะนำสำหรับผู้ที่มีผิวบอบบาง

                                                            • รักษาด้วยการฉีดหน้าใส

                                                            ปัญหาฝ้า กระ จุดด่างดำ สามารถรักษาได้ด้วยหัตถการฉีดหน้าใส โดยเป็นการฉีดวิตามินบำรุงผิว เข้าสู่ชั้นผิวโดยตรง ซึ่งจะช่วยลดการสร้างเม็ดสีเมลานิน ชะลอการกระจายของฝ้า และฟื้นฟูผิวที่คล้ำเสีย ทำให้ผิวกระจ่างใสอย่างเป็นธรรมชาติ ทั้งนี้ การรักษาฝ้า กระ จุดด่างดำด้วยการฉีดหน้าใส อาจไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีฝ้าหนา หรือฝ้าสีเข้ม

                                                            • รักษาด้วยการเลเซอร์

                                                            ปัญหาฝ้า กระ จุดด่างดำ สามารถรักษาได้ด้วยการเลเซอร์ (Laser) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ได้รับความนิยมอย่างมาก โดยการปล่อยพลังงานความร้อนลงไปยังชั้นผิวที่มีปัญหา เพื่อทำลายเม็ดสีเมลานินที่ผิดปกติ โดยเฉพาะฝ้า กระ จุดด่างดำ พร้อมกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และอีลาสติน ทำให้ผิวเรียบเนียน ดูกระจ่างใส ฝ้า กระ จุดด่างดำดูจางลงอย่างเป็นธรรมชาติ

                                                            • รักษาด้วย RF Microneedling

                                                            ปัญหาฝ้า กระ จุดด่างดำ สามารถรักษาได้ด้วยเทคโนโลยี RF Microneedling เป็นการผสานพลังงานคลื่นวิทยุ (RF) เข้ากับ Microneedling ซึ่งเป็นการใช้เข็มขนาดเล็กมาก ๆ ส่งพลังงานความร้อนเข้าสู่ชั้นผิว ทำให้เกิดการกระตุ้นคอลลาเจน ลดการสร้างเม็ดสีเมลานิน พร้อมผลัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ แก้ปัญหาฝ้า กระ จุดด่างดำ และรูขุมขนกว้างได้อย่างตรงจุด โดยไม่ก่อให้เกิดสะเก็ดหลังทำ

                                                             

                                                            อวสารฟิลเตอร์ไอจี หน้าสดแค่ไหนก็รอด เพราะมี Sylfirm X Plus
                                                            อวสารฟิลเตอร์ไอจี หน้าสดแค่ไหนก็รอด เพราะมี Sylfirm X Plus

                                                            Sylfirm X Plus ปราบฝ้า กระ จุดด่างดำ สู่ผิวสวยทุกมิติ

                                                            Sylfirm X Plus คืออะไร?

                                                            Sylfirm X Plus คือ โปรแกรมฟื้นฟูผิว ที่ใช้เทคโนโลยี RF Microneedling System ผ่านเข็มขนาดเล็ก เพียง 300 ไมครอน ปรับระดับความลึกได้ตั้งแต่ 0.3 – 4.0 มม. จึงเข้าสู่ชั้นผิวหนังชั้นลึกได้อย่างแม่นยำ โดยการส่งพลังงานความร้อนลงสู่ชั้นผิว ประมาณ 40 – 60 องศา ซึ่งเป็นการปล่อยพลังงานแบบ Dual Wave ประกอบไปด้วย Pulse Wave Mode เน้นจัดการเม็ดสี ฝ้า กระ จุดด่างดำ และ Continuous Wave Mode เน้นกระตุ้นให้คอลลาเจนจัดเรียงตัวขึ้นใหม่ สามารถแก้ไขปัญหาผิวได้อย่างหลากหลาย และครอบคลุมในเครื่องเดียว โดยมีระบบ AI ที่ช่วยในการประเมินสภาพผิว ทำให้สามารถใช้พลังงานได้อย่างเหมาะสม ไม่ทำให้ผิวไหม้ ผิวเบิร์นหลังทำ

                                                             

                                                            Sylfirm X Plus แก้ปัญหาอะไรบ้าง?

                                                            • Sylfirm X Plus สามารถแก้ปัญหาริ้วรอย โดยการกระตุ้นคอลลาเจน และอีลาสตินขึ้นมาใหม่ ทำให้ผิวเต่งตึง ริ้วรอย หรือรอยเหี่ยวย่นต่าง ๆ ดูตื้นขึ้น
                                                            • Sylfirm X Plus สามารถแก้ปัญหารูขุมขนกว้าง รูขุมขนไม่กระชับ โดยจะทำให้เกิดการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ ส่งผลให้รูขุมขนมีขนาดเล็กลง มีความกระชับมากขึ้น
                                                            • Sylfirm X Plus สามารถแก้ปัญหาฝ้า กระ จุดด่างดำ โดยการลดการสร้างเม็ดสีเมลานินที่ผิดปกติ ทำให้ฝ้า กระ จุดด่างดำดูจางลง
                                                            • Sylfirm X Plus สามารถแก้ปัญหารอยแดง รอยดำจากสิว โดยการลดการทำงานของเม็ดสีที่ผิดปกติ ทำให้รอยดำ รอยแดงดูจางลง
                                                            • Sylfirm X Plus สามารถแก้ปัญหาหลุมสิว รอยแผลเป็นต่าง ๆ โดยจะทำให้เกิดการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ ทำให้หลุมสิวดูตื้นขึ้น
                                                            • Sylfirm X Plus สามารถแก้ปัญหาผิวหมองคล้ำ ฟื้นฟูผิวหน้าให้กระจ่างใส ปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ
                                                            • Sylfirm X Plus สามารถแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย โดยการฟื้นฟูผิวที่เสื่อมสภาพ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวตึงกระชับ ดูอ่อนเยาว์

                                                             

                                                            Sylfirm X Plus เหมาะกับใคร?

                                                            • Sylfirm X Plus เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาริ้วรอย และรอยเหี่ยวย่นต่าง ๆ
                                                            • Sylfirm X Plus เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาฝ้า กระ จุดด่างดำ
                                                            • Sylfirm X Plus เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหารูขุมขนกว้าง
                                                            • Sylfirm X Plus เหมาะสำหรับ รอยแดง และรอยดำจากสิว
                                                            • Sylfirm X Plus เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาหลุมสิว ผิวขรุขระ
                                                            • Sylfirm X Plus เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวหน้าให้กระจ่างใส

                                                             

                                                            รีทัชผิวใส เหมือนติดฟิลเตอร์ต้อง รมย์รวินท์คลินิก

                                                            ไม่ว่าปัญหาผิวไหน ๆ ก็จบได้หมด ทั้งฝ้า กระ จุดด่างดำ หรือรูขุมขนกว้าง แค่มา รมย์รวินท์คลินิก ทุกสาขา แม้ไม่มีฟิลเตอร์ก็สามารถมีผิวดีได้ จะรูปถ่าย หรือตัวจริงก็ตรงปกไม่จกตา ด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย พร้อมด้วยแพทย์ที่มีความรู้ และประสบการณ์ สามารถวางแผนการรักษา และแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด เตรียมเผยผิวใส หน้าสดแค่ไหนก็มั่นใจทุกสถานการณ์ 

                                                            Dorothy Dewy Filler รูขุมขุนกระชับ พร้อมผิวฉ่ำโกลว์

                                                            Dorothy Dewy รูขุมขุนกระชับ พร้อมผิวฉ่ำโกลว์

                                                            Dorothy Dewy Filler รูขุมขุนกระชับ พร้อมผิวฉ่ำโกลว์

                                                             

                                                            Dorothy Dewy Filler เป็นนวัตกรรมฟิลเลอร์ประเภท Skin Quality Filler ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ปัญหาผิวให้ดูฉ่ำวาว ชุ่มชื้น อิ่มฟู และเรียบเนียน โดยมีส่วนประกอบหลักคือ Hyaluronic Acid (HA) แบบเชื่อมขวาง (Crosslinked) ที่มีความเข้มข้น 20 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร Particle size อนุภาคขนาดเล็ก (<100 ไมครอน) ซึ่งทำให้ Dorothy Dewy Filler นั้นมีเนื้อที่เบาและกระจายตัวได้ดีช่วยให้ฟิลเลอร์กระจายตัวได้ดี ลดโอกาสเกิดการเป็นก้อน และเพิ่มความเป็นธรรมชาติหลังการฉีด

                                                             

                                                            Dorothy Dewy Filler คืออะไร
                                                            Dorothy Dewy Filler คืออะไร

                                                             

                                                            Dorothy Dewy Filler มีความปลอดภัย ไม่อันตราย สลายได้หมด ไม่มีผลข้างเคียง และยังผ่านการรับรองจาก อย. ไทย ยุโรป เกาหลี อีกทั้ง Dorothy Dewy Filler ยังเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้กันมาแล้วกว่า 40 ประเทศทั่วโลก

                                                            Dorothy Dewy Filler เป็นฟิลเลอร์นวัตกรรมใหม่ที่ผลิตโดย CHA Bio Group บริษัทชีวการแพทย์ชั้นนำอันดับ 1 ของเกาหลี ซึ่งอยู่ในกลุ่มมหาวิทยาลัยแพทย์ CHA และเครือ Medical Center กว่า 90 สาขา พร้อมทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญกว่า 1,800 คน และนักวิจัย R&D มากกว่า 2,000 คน บริษัทนี้ยังเป็นผู้ผลิตฟิลเลอร์ชื่อดังอย่าง HYAFILIA ที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในวงการความงาม

                                                             

                                                            Dorothy Dewy Filler โดดเด่นด้วยเทคโนโลยี IFRHA (Innovative Filler with Reinforced Hyaluronic Acid) ที่ผสานคุณสมบัติ 2-in-1 ทั้งเติมเต็มและฟื้นฟูผิวอย่างล้ำลึก โดยช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นยาวนานถึง 4-6 เดือน มอบความโกลว์ให้ผิว พร้อมกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ นอกจากนี้ ยังสามารถใช้เติมเต็มใต้ตา ปรับสภาพผิวให้เรียบเนียน และฉีดได้ทั้งใบหน้าและลำคอ ทำให้ผิวดูสุขภาพดี อ่อนเยาว์ และชุ่มชื้นอย่างยาวนาน

                                                             

                                                            Dorothy Dewy Filler ช่วยอะไรได้บ้าง
                                                            Dorothy Dewy Filler ช่วยอะไรได้บ้าง

                                                             

                                                            คุณสมบัติของ Dorothy Dewy Filler

                                                            • Dorothy Dewy Filler ช่วยเรื่อง Skin Glow

                                                             ปรับให้ผิวมีความสวย ใส ฉ่ำวาว ปรับให้ผิวมีสุขภาพดี แต่งหน้าติดง่าย

                                                            • Dorothy Dewy Filler ช่วยเรื่อง Skin Hydration

                                                            เพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว แก้ปัญหาผิวแห้งขาดน้ำ ด้วยการเติมน้ำให้ผิว

                                                            • Dorothy Dewy Filler ช่วยเรื่อง Skin Softness & Pore Tightening 

                                                            ช่วยปรับผิวเรียบเนียน กระชับแน่น  ทั้งยังเด่นเรื่องการกระชับรูขุมขน

                                                            • Dorothy Dewy Filler ช่วยเรื่อง Skin Firmness

                                                             กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เพิ่มความยืดหยุ่นของผิว

                                                            • Dorothy Dewy Filler ช่วยเรื่อง Lifting & Contour

                                                            ยกกระชับผิวหน้า ให้แน่นกระชับมากยิ่งขึ้น

                                                            • Dorothy Dewy Filler ช่วยเรื่อง Long Lasting Outcome

                                                            Dorothy Dewy Filler เป็นฟิลเลอร์งานผิวที่สามารถคงผลลัพธ์อยู่ได้นาน 6-12 เดือน

                                                             

                                                            จุดเด่นของ Dorothy Dewy Filler

                                                            • Dorothy Dewy Filler มีอนุภาคเล็ก (<100 ไมครอน) ลดโอกาสการเกิดก้อน ให้ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ
                                                            • Dorothy Dewy Filler เหมาะกับงานผิว ให้ผิวดูเปล่งปลั่ง อิ่มน้ำ เหมือนผิวสุขภาพดีจากภายใน
                                                            • Dorothy Dewy Filler ผ่านการรับรองมาตรฐาน ได้รับการรับรองจาก USFDA และใช้งานในกว่า 40 ประเทศทั่วโลก
                                                            • Dorothy Dewy Filler 1 ไซริงค์มีปริมาณ 3 cc 
                                                            • Dorothy Dewy Filler เหมาะกับผิวทุกประเภท

                                                             

                                                            บริเวณที่เหมาะสำหรับการฉีด Dorothy Dewy

                                                            1. ใบหน้า ควรฉีด Dorothy Dewy Filler เพิ่มความชุ่มชื้น กระชับผิว และลดริ้วรอยที่มีขนาดเล็ก ๆ
                                                            2. ใต้ตา ควรฉีด Dorothy Dewy Filler เพื่อแก้ปัญหาผิวแห้ง ใต้ตาลึก ดูสดใส
                                                            3. ลำคอ Dorothy Dewy Filler  คืนความอ่อนเยาว์ กระชับผิว ลดรอยสร้อยคอ และรอยเหี่ยวย่น

                                                             

                                                            ผลลัพธ์หลังการทำ Dorothy Dewy

                                                            •  Dorothy Dewy Filler  ทำให้รูขุมขนกระชับ
                                                            •  Dorothy Dewy Filler  ทำให้ผิวละเอียด เรียบเนียน 
                                                            •  Dorothy Dewy Filler  ทำให้ผิวโกลว์ ฉ่ำวาว
                                                            •  Dorothy Dewy Filler  ทำให้ผิวชุ่มชื้น อิ่มน้ำ
                                                            •  Dorothy Dewy Filler  ทำให้ผิวหน้ากระชับ

                                                             

                                                            Dorothy Dewy Filler เหมาะกับใคร
                                                            Dorothy Dewy Filler เหมาะกับใคร

                                                             

                                                            Dorothy Dewy Filler เหมาะสำหรับใคร

                                                            • Dorothy Dewy Filler เหมาะกับ ผู้ที่มีปัญหาผิวแห้ง ขาดน้ำ
                                                            • Dorothy Dewy Filler เหมาะกับ ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวให้ดูอิ่มฟู ฉ่ำวาว
                                                            • Dorothy Dewy Filler เหมาะกับ ผู้ที่มีริ้วรอยเล็ก ๆ หรือรูขุมขนกว้าง
                                                            • Dorothy Dewy Filler เหมาะกับ ผู้ที่ไม่ต้องการหัตถการที่เจ็บหรือพักฟื้นนาน
                                                            • Dorothy Dewy Filler เหมาะกับ ผู้ที่ผิวหมองคล้ำ ไม่สดใส
                                                            • Dorothy Dewy Filler เหมาะกับ ผู้ที่ต้องการความอ่อนเยาว์ และต้องการผิวที่ ดูอิ่มฟู
                                                            • Dorothy Dewy Filler เหมาะกับ ผู้ที่ต้องการมีผิวที่ยืดหยุ่น และมีความกระชับ
                                                            • Dorothy Dewy Filler เหมาะกับ ผู้ที่ต้องการทำหัตถการที่ไม่เจ็บ
                                                            • Dorothy Dewy Filler เหมาะกับ ผู้ที่ต้องการทำหัตถการงานผิวที่ไม่มีรอย และไม่ต้องพักฟื้น

                                                             

                                                            Dorothy Dewy Filler ไม่เหมาะสำหรับใคร

                                                            • Dorothy Dewy Filler ไม่เหมาะกับผู้ที่มีผิวหนังอักเสบของผิวในบริเวณที่ต้องการฉีด
                                                            • Dorothy Dewy Filler ไม่เหมาะกับผู้ที่มีประวัติแพ้สารเติมเต็ม
                                                            • Dorothy Dewy Filler ไม่เหมาะกับผู้ที่มีประวัติ แผลฟกช้ำง่าย รวมทั้งมีปัญหาเลือดหยุดยาก 
                                                            • Dorothy Dewy Filler ไม่เหมาะกับผู้ที่มีประวัติ อยู่ในขณะรับประทานยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเกล็ดเลือด
                                                            • Dorothy Dewy Filler ไม่เหมาะกับสตรีที่มีการตั้งครรภ์ 
                                                            • Dorothy Dewy Filler ไม่เหมาะกับผู้อยู่ในช่วงให้นมบุตร

                                                             

                                                            การเตรียมตัวก่อนฉีด Dorothy Dewy Filler

                                                            1. แจ้งประวัติการแพ้ยาและโรคประจำตัวแก่แพทย์ก่อนฉีด Dorothy Dewy Filler
                                                            2. หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ระคายเคืองผิวก่อนฉีด Dorothy Dewy Filler เช่น วิตามินซี หรือกรดผลัดเซลล์ผิว
                                                            3. งดการใช้ผลิตภัณฑ์วิตามิน และอาหารเสริม 1 สัปดาห์ ก่อนฉีด Dorothy Dewy Filler
                                                            4. งดดื่มแอลกอฮอล์ 1 วัน ก่อนทำ Dorothy Dewy Filler
                                                            5. หากมีโรคประจำตัว หรือยาที่ต้องรับประทานเป็นประจำ ควรแจ้งแพทย์ก่อนทำ Dorothy Dewy Filler
                                                            6. หากมีแผนทำหัตถการอื่น เช่น เลเซอร์ ฉีดแฟต ควรทำก่อนเริ่มฉีด Dorothy Dewy Filler

                                                             

                                                            ขั้นตอนการดูแลหลังฉีด Dorothy Dewy Filler

                                                            1. หลังฉีด Dorothy Dewy Filler ควรดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อเป็นการทำให้ HA จากผลิตภัณฑ์ ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
                                                            2. หลังฉีด Dorothy Dewy Filler ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสความร้อน เช่น การซาวน่า หรือแสงแดดจัด
                                                            3. หลังฉีด Dorothy Dewy Filler ควรทาครีมกันแดดและครีมบำรุงที่มีมอยเจอร์ไรเซอร์ เพื่อป้องกันผิวหน้าบอบบาง
                                                            4. หลังฉีด Dorothy Dewy Filler ควรทำความสะอาดใบอย่างเบามือ งดถูหน้า และงดสครับใบหน้า ที่จะทำให้ใบหน้าระคายเคือง
                                                            5. หลังฉีด Dorothy Dewy Filler ควรงดสูบบุหรี่อย่างต่ำ 48 ชั่วโมง
                                                            6. หลังฉีด Dorothy Dewy Filler ควรงดดื่มแอลกอฮอล์อย่างต่ำ 48 ชั่วโมง
                                                            7. หลังฉีด Dorothy Dewy Filler ควร งดทำเลเซอร์ผิวชั้นลึก เนื่องจากผิวมีความบอบบาง
                                                            8. หลังฉีด Dorothy Dewy Filler ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด

                                                             

                                                            มาตรฐานความปลอดภัยและของแท้สำหรับ Dorothy Dewy Filler

                                                            • ต้องมี สติ๊กเกอร์ QR Code บริเวณฝาเปิดของกล่อง เพื่อยืนยันความเป็นของแท้
                                                            • สัญลักษณ์บนกล่อง Dorothy Dewy Filler จะต้องนูนขึ้นมาอย่างชัดเจน
                                                            • มี สลากเลข อย. ไทย พร้อมเอกสารกำกับเครื่องมือแพทย์ครบถ้วน
                                                            • สามารถ สแกน QR Code ที่มี โลโก้ Vitapharm ผ่านแอปพลิเคชัน Hidden Tag เพื่อยืนยันผลิตภัณฑ์
                                                            • หมายเลข Lot บน Syringe จะต้องตรงกับหมายเลขบนกล่องทุกครั้ง

                                                             

                                                            Dorothy Dewy Filler ต้องทำกี่ครั้ง

                                                            • ต้องทำการฉีด Dorothy Dewy Filler ด้วยกัน 2 ครั้งจึงจะได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดของผลิตภัณฑ์ โดยครั้งแรกฉีดด้วยกัน 6 cc หรือ 2 ไซริงค์ และจากนั้น 1 เดือน ให้ฉีดเพิ่มอีก 3 cc หรือ 1 ไซริงค์

                                                             

                                                            Dorothy Dewy Filler ต้องฉีดถี่ห่างแค่ไหน

                                                            • การฉีด Dorothy Dewy Filler ควรฉีดอย่างน้อยปีละ 1 ครั้งเพื่อผลลัพธ์ที่คงทนยาวนาน

                                                             

                                                            Dorothy Dewy Filler ผลลัพธ์หลังทำ
                                                            Dorothy Dewy Filler ผลลัพธ์หลังทำ

                                                             

                                                            การฉีด Dorothy Dewy Filler เจ็บหรือไม่

                                                            • การฉีด Dorothy Dewy Filler เป็นหัตถการที่มีความเจ็บน้อยมาก จาก 10  ขอให้ระดับอยู่ที่ 3 เนื่องจากลักษณะของฟิลเลอร์ Dorothy Dewy Filler ถูกออกแบบมาสำหรับลดความเจ็บหรือแสบของตัวยา เนื่องจากเป็น Pure HA ทำให้แสบน้อยกว่าปกติ และมีการกระจายตัวที่ดี ซึ่งทำให้ผู้รับบริการรู้สึกสบายระหว่างการฉีด หรือหากกลัวเจ็บ สามารถทายาชาก่อนเข้ารับบริการได้ นอกจากนี้ การฉีดควรทำโดยแพทย์ที่ได้รับการเทรนด์ เพื่อลดความเจ็บและเพิ่มความแม่นยำ

                                                             

                                                            ฉีด Dorothy Dewy Filler ต้องเลือกคลินิกเสริมความงามอย่างไร จึงจะปลอดภัย

                                                            • เลือกฉีด Dorothy Dewy Filler กับ คลินิกเสริมความงามที่ได้มาตรฐาน มีใบอนุญาตประกอบกิจการและขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
                                                            • แพทย์ที่เป็นผู้ให้บริการฉีด Dorothy Dewy Filler จะต้องมีความเชี่ยวชาญ ในการฉีด Dorothy Dewy Filler  
                                                            • สามารถตรวจสอบประวัติรวมถึงเลขที่ใบประกอบวิชาชีพเวชกรรมของแพทย์ผู้ให้บริการได้อย่างโปร่งใส
                                                            • คลินิกเสริมความงามดังกล่าวจะต้องใช้ Dorothy Dewy Filler ของแท้ ที่ผ่านการรับรองจาก อย. โดยสามารถตรวจสอบความถูกต้องได้ทุกกล่อง 
                                                            • ผลิตภัณฑ์ Dorothy Dewy Filler จะต้องถูกเก็บรักษาในอุณหภูมิที่เหมาะสมตามข้อกำหนด
                                                            • ควรมี รีวิวจากผู้ใช้บริการจริง พร้อมภาพ Before-After ของ Dorothy Dewy Filler ที่ชัดเจน เพื่อยืนยันผลลัพธ์ และแสดงให้เห็นถึงขั้นตอนการฉีดที่ถูกต้องและปลอดภัย

                                                             

                                                            Dorothy Dewy filler กับงานผิวอื่นๆ
                                                            Dorothy Dewy filler กับงานผิวอื่นๆ

                                                             

                                                            Dorothy Dewy filler กับโปรแกรมงานผิวชนิดอื่นๆ

                                                             

                                                            เปรียบเทียบ Dorothy Dewy Filler กับ Belotero Revive

                                                            Dorothy Dewy Filler

                                                            • Dorothy Dewy Fillerใช้ Hyaluronic Acid (HA) แบบเชื่อมขวาง (Crosslinked) ความเข้มข้น 20 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร
                                                            • Dorothy Dewy Filler มีอนุภาคขนาดเล็ก (<100 ไมครอน) ทำให้เนื้อฟิลเลอร์กระจายตัวได้ดีเมื่อฉีดลงใต้ชั้นผิว  ลดโอกาสเกิดก้อน และให้ผลลัพธ์ที่แลดูสวยงามอย่างเป็นธรรมชาติ

                                                             

                                                            Belotero Revive

                                                            • Belotero Revive ใช้ Hyaluronic Acid (HA) แบบไม่เชื่อมขวาง (Non-Crosslinked) ผสมกับ Glycerol เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว
                                                            • Belotero Revive ออกแบบมาเฉพาะสำหรับเพิ่มความชุ่มชื้นและลดเลือนริ้วรอยตื้น

                                                             

                                                            การใช้งานของ Dorothy Dewy Filler กับ Belotero Revive

                                                            Dorothy Dewy Filler

                                                            • Dorothy Dewy Filler เป็นฟิลเลอร์ประเภท Skin Quality Filler หรือฟิลเลอร์ประเภทงานผิว ที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ฟื้นฟูผิว กระชับรูขุมขน และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
                                                            • Dorothy Dewy Filler ใช้สำหรับเพิ่มคุณภาพงานผิวในบริเวณใบหน้า ใต้ตา และลำคอ

                                                             

                                                            Belotero Revive

                                                            • Belotero Revive เน้นการให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวอย่างล้ำลึก เป็นอย่างดี ทั้งยังช่วยลดเลือนริ้วรอยขนาดเล็ก และปรับปรุงความเรียบเนียนของผิว
                                                            • Belotero Revive เหมาะสำหรับการฉีดผิวหน้า ลำคอ หรือบริเวณอื่นๆที่ต้องการเสริมคุณภาพผิว

                                                             

                                                             ผลลัพธ์หลังการฉีด

                                                            Dorothy Dewy Filler

                                                            • Dorothy Dewy Filler ให้ผลลัพธ์ด้านการเพิ่มความชุ่มชื้น ยกกระชับ และเติมเต็มผิวได้ในระดับตื้น เช่น ใต้ตาและผิวหน้า
                                                            • Dorothy Dewy Filler เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูคุณภาพผิวในเชิงลึก พร้อมผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ

                                                             

                                                            Belotero Revive

                                                            • Belotero Revive ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นของผิวได้เป็นอย่างดี ในทันที และยังช่วยลดริ้วรอยตื้น บนผิวหน้าได้ ทำให้ผิวสวย เงา เหมือนสาวเกาหลี
                                                            • Belotero Revive เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มความชุ่มชื้นและปรับปรุงผิวให้เรียบเนียนโดยไม่ต้องการเติมเต็ม

                                                             

                                                            ระยะเวลาการคงอยู่ของผลลัพธ์

                                                            Dorothy Dewy Filler

                                                            • Dorothy Dewy Filler ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 6-12 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลหลังการฉีด

                                                             

                                                            Belotero Revive

                                                            • Belotero Revive ผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 6-9 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิว

                                                             

                                                            ความปลอดภัยและการรับรอง

                                                            Dorothy Dewy Filler

                                                            • Dorothy Dewy Filler ผ่านการรับรองจาก USFDA, อย. ไทย, KFDA (เกาหลี) และใช้งานในกว่า 40 ประเทศ
                                                            • Dorothy Dewy Filler ใช้เทคโนโลยี IFRHA ที่ผสานคุณสมบัติเติมเต็มและฟื้นฟูผิวในตัวเดียว

                                                             

                                                            Belotero Revive

                                                            • Belotero Revive ผ่านการรับรองจาก USFDA และหน่วยงานสุขภาพในยุโรป
                                                            • Belotero Revive เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ Belotero ซึ่งมีชื่อเสียงในเรื่องฟิลเลอร์คุณภาพสูง

                                                             

                                                            การใช้งานในบริเวณต่าง ๆ

                                                            Dorothy Dewy Filler

                                                            • Dorothy Dewy Filler เหมาะสำหรับใบหน้า ใต้ตา และลำคอ โดยเน้นการฟื้นฟูผิวและยกกระชับ

                                                             

                                                            Belotero Revive

                                                            • Belotero Revive เหมาะสำหรับการเติมความชุ่มชื้นในผิวหน้า ลดรูขุมขน  และปรับปรุงผิวที่มีริ้วรอยตื้น

                                                             

                                                            เหมาะกับใคร

                                                            Dorothy Dewy Filler

                                                            • Dorothy Dewy Filler เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูคุณภาพผิวโดยรวม  และต้องการยกกระชับผิวไปพร้อมกัน 

                                                             

                                                            Belotero Revive

                                                            • Belotero Revive เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวหน้า ลดเลือนริ้วรอยตื้น ๆ และปรับปรุงผิวให้เรียบเนียนโดยเฉพาะ

                                                             

                                                            เปรียบเทียบ Dorothy Dewy Filler กับ Skinvive 

                                                            Dorothy Dewy Filler

                                                            • Dorothy Dewy Filler ใช้ Hyaluronic Acid (HA) แบบเชื่อมขวาง (Crosslinked) ความเข้มข้น 20 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร
                                                            • Dorothy Dewy Filler มีอนุภาคขนาดเล็ก (<100 ไมครอน) ทำให้เนื้อฟิลเลอร์กระจายตัวได้ดีเมื่อฉีดลงใต้ชั้นผิว  ลดโอกาสเกิดก้อน และให้ผลลัพธ์ที่แลดูสวยงามอย่างเป็นธรรมชาติ

                                                             

                                                            Skinvive 

                                                            • Skinviveใช้ Hyaluronic Acid (HA) แบบไม่เชื่อมขวาง (Non-Crosslinked) ที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น บางเบา และเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิว
                                                            • Skinvive ผสมเทคโนโลยี VYCROSS ช่วยกระจายตัวได้ดีและยืดอายุของผลลัพธ์

                                                             

                                                            การใช้งาน  Dorothy Dewy Filler กับ Skinvive

                                                            Dorothy Dewy Filler

                                                            • Dorothy Dewy Filler เป็นฟิลเลอร์ประเภท Skin Quality Filler หรือฟิลเลอร์ประเภทงานผิว ที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ฟื้นฟูผิว กระชับรูขุมขน และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
                                                            • Dorothy Dewy Filler ใช้สำหรับเพิ่มคุณภาพงานผิวในบริเวณใบหน้า ใต้ตา และลำคอ

                                                             

                                                            Skinvive

                                                            • Skinvive ออกแบบมาเพื่อปรับปรุงคุณภาพผิวโดยเฉพาะ เช่น ลดเลือนริ้วรอยเล็ก ๆ เพิ่มความชุ่มชื้น และทำให้ผิวดูอิ่มน้ำ
                                                            • Skinvive เหมาะสำหรับการฉีดบริเวณใบหน้า

                                                             

                                                            ผลลัพธ์หลังการฉีด

                                                            Dorothy Dewy Filler

                                                            • Dorothy Dewy Filler ให้ผลลัพธ์ที่ครอบคลุมทั้งเพิ่มความชุ่มชื้น ยกกระชับ และเติมเต็มในระดับตื้น
                                                            • Dorothy Dewy Filler ผิวดูฉ่ำวาว อิ่มฟู และสุขภาพดี

                                                             

                                                            Skinvive

                                                            • Skinvive เน้นเพิ่มความชุ่มชื้น ลดเลือนริ้วรอยเล็ก ๆ และปรับปรุงพื้นผิวให้เรียบเนียน
                                                            • Skinvive ผิวดูเปล่งปลั่งและมีความยืดหยุ่น

                                                             

                                                            ระยะเวลาการคงอยู่ของผลลัพธ์

                                                            Dorothy Dewy Filler

                                                            • Dorothy Dewy Filler ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 6-12 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลหลังการฉีด

                                                             

                                                            Skinvive

                                                            • Skinvive ผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 6-9 เดือน โดยขึ้นอยู่กับสภาพผิว

                                                             

                                                            ความปลอดภัยและการรับรอง

                                                            Dorothy Dewy Filler

                                                            • Dorothy Dewy Filler ผ่านการรับรองจาก USFDA, อย. ไทย และ KFDA (เกาหลี)
                                                            • Dorothy Dewy Filler ใช้เทคโนโลยี IFRHA ผสานคุณสมบัติฟื้นฟูและเติมเต็มในตัวเดียว

                                                             

                                                            Skinvive

                                                            • Skinvive ผ่านการรับรองจาก USFDA และเป็นผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ Juvederm ที่ได้รับความเชื่อถือในระดับสากล

                                                             

                                                            การใช้งานในบริเวณต่าง ๆ

                                                            Dorothy Dewy Filler

                                                            • Dorothy Dewy Filler เหมาะสำหรับงานผิวในบริเวณใบหน้า ใต้ตา และลำคอ
                                                            • Dorothy Dewy Filler เน้นการยกกระชับและฟื้นฟูคุณภาพผิวโดยรวม

                                                             

                                                            Skinvive

                                                            • Skinvive เหมาะสำหรับบริเวณใบหน้า เช่น แก้มและขมับ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นและปรับผิวให้เรียบเนียน

                                                             

                                                            เหมาะกับใคร

                                                            Dorothy Dewy Filler

                                                            • Dorothy Dewy Filler เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูคุณภาพผิวในเชิงลึก ให้ผิวดูอิ่มน้ำ ฉ่ำวาว และสุขภาพดี
                                                            • Dorothy Dewy Filler เหมาะกับผู้ที่ต้องการยกกระชับผิวและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน

                                                             

                                                            Skinvive

                                                            • Skinvive เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มความชุ่มชื้น ลดริ้วรอยเล็ก ๆ และปรับผิวให้ดูเรียบเนียนโดยเฉพาะ

                                                             

                                                            เปรียบเทียบ Dorothy Dewy Filler กับ Rejuran

                                                            ส่วนประกอบหลัก

                                                            Dorothy Dewy Filler

                                                            • Dorothy Dewy Filler ใช้ Hyaluronic Acid (HA) แบบเชื่อมขวาง (Crosslinked) ความเข้มข้น 20 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร
                                                            • Dorothy Dewy Filler มีอนุภาคขนาดเล็ก (<100 ไมครอน) ทำให้เนื้อฟิลเลอร์กระจายตัวได้ดีเมื่อฉีดลงใต้ชั้นผิว  ลดโอกาสเกิดก้อน และให้ผลลัพธ์ที่แลดูสวยงามอย่างเป็นธรรมชาติ

                                                             

                                                            Rejuran

                                                            • Rejuran มีส่วนประกอบหลักคือ Polynucleotide (PN) หรือ DNA ที่สกัดจากปลาแซลมอน ช่วยฟื้นฟูผิว กระตุ้นการซ่อมแซมเซลล์ และเพิ่มการสร้างคอลลาเจน

                                                             

                                                            การใช้งาน Dorothy Dewy Filler กับ Rejuran

                                                            Dorothy Dewy Filler

                                                            • Dorothy Dewy Filler เป็นฟิลเลอร์ประเภท Skin Quality Filler หรือฟิลเลอร์ประเภทงานผิว ที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ฟื้นฟูผิว กระชับรูขุมขน และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
                                                            • Dorothy Dewy Filler ใช้สำหรับเพิ่มคุณภาพงานผิวในบริเวณใบหน้า ใต้ตา และลำคอ

                                                             

                                                            Rejuran

                                                            • Rejuran เน้นการฟื้นฟูเซลล์ผิวระดับลึก ซ่อมแซมผิวที่เสียหาย ลดเลือนริ้วรอย และเพิ่มความยืดหยุ่นของผิว
                                                            • Rejuranใช้สำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวเสียสะสม เช่น รอยแผลจากสิว ผิวบาง หรือผิวที่เสื่อมสภาพ

                                                             

                                                            ผลลัพธ์หลังการฉีด

                                                            Dorothy Dewy Filler 

                                                            • Dorothy Dewy Filler ให้ผลลัพธ์ที่ครอบคลุมทั้งการเพิ่มความชุ่มชื้น ฟื้นฟูผิว และปรับผิวให้ฉ่ำวาว อิ่มฟู ดูสุขภาพดี

                                                             

                                                            Rejuran

                                                            • Rejuran เน้นการฟื้นฟูเซลล์ผิวในระดับลึก โดยช่วยปรับปรุงความเรียบเนียน ความแข็งแรง และยืดหยุ่นของผิว

                                                             

                                                            ระยะเวลาการคงอยู่ของผลลัพธ์

                                                            Dorothy Dewy Filler

                                                            • Dorothy Dewy Filler ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 6-12 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลหลังการฉีด

                                                             

                                                            Rejuran

                                                            • Rejuran ผลลัพธ์ต้องใช้เวลา 2-4 สัปดาห์หลังการฉีดถึงจะเริ่มเห็นผล และอยู่ได้นานประมาณ 4-6 เดือน

                                                             

                                                            การใช้งาน

                                                            Dorothy Dewy Filler

                                                            • Dorothy Dewy Filler เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวทันทีที่ฉีด กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และช่วยยกกระชับผิว

                                                             

                                                            Rejuran

                                                            • Polynucleotide (PN) เข้าไปกระตุ้นการฟื้นฟูเซลล์ผิวจากภายใน ช่วยซ่อมแซมผิวเสีย และกระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อใหม่

                                                             

                                                            ความปลอดภัยและการรับรอง

                                                            Dorothy Dewy Filler

                                                            • Dorothy Dewy Filler ผ่านการรับรองจาก USFDA, อย. ไทย และ KFDA (เกาหลี) และใช้งานในกว่า 40 ประเทศ

                                                             

                                                            Rejuran

                                                            • Rejuran ผ่านการรับรองจาก KFDA (เกาหลี) และใช้ในหลายประเทศในเอเชีย เช่น เกาหลีใต้ และสิงคโปร์

                                                             

                                                            การใช้งานในบริเวณต่าง ๆ

                                                            Dorothy Dewy Filler

                                                            • Dorothy Dewy Filler เหมาะสำหรับใบหน้า ใต้ตา และลำคอ โดยเน้นการฟื้นฟูผิวและเพิ่มความชุ่มชื้น

                                                             

                                                            Rejuran

                                                            • Rejuran เหมาะสำหรับใบหน้าและบริเวณที่มีปัญหาผิวเสีย เช่น รอยแผลจากสิว หรือผิวบางจากการโดนแดด

                                                             

                                                            เหมาะกับใคร

                                                            Dorothy Dewy Filler

                                                            • Dorothy Dewy Filler เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มความชุ่มชื้นและฟื้นฟูคุณภาพผิวในเชิงลึก ให้ผิวดูฉ่ำวาวและสุขภาพดี

                                                             

                                                            Rejuran

                                                            • Rejuran เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวเสียสะสม ผิวบางจากมลภาวะ รอยแผลเป็นจากสิว หรือผู้ที่ต้องการฟื้นฟูเซลล์ผิวอย่างล้ำลึก

                                                             

                                                            Dorothy Dewy Filler เป็นฟิลเลอร์นวัตกรรม Skin Quality Filler ที่โดดเด่นเรื่องการเพิ่มความชุ่มชื้น ฟื้นฟูผิว กระชับรูขุมขน และยกกระชับในหนึ่งเดียว ด้วย Hyaluronic Acid แบบเชื่อมขวาง (Crosslinked) ที่มีอนุภาคขนาดเล็ก (<100 ไมครอน) ให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติและยาวนาน 6-12 เดือน พร้อมมาตรฐานความปลอดภัยระดับสากล เมื่อเทียบกับฟิลเลอร์แบรนด์อื่น เช่น Belotero Revive, Skinvive, และ Rejuran ซึ่งเน้นคุณสมบัติเฉพาะด้าน เช่น เพิ่มความชุ่มชื้นหรือฟื้นฟูเซลล์ผิว Dorothy Dewy จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวโดยรวม ให้ผิวดูฉ่ำวาว สุขภาพดี และตอบโจทย์ปัญหาผิวหลากหลายได้ในหนึ่งเดียว ทั้งยังเหมาะกับทุกสภาพผิวและปลอดภัยสูงสุด และหากต้องการผลลัพธ์ที่ดีที่สุดควรปรึกษาแพทย์ที่ได้รับการเทรนด์ผลิตภัณฑ์และมีประสบการณ์ในการฉีด

                                                            แจกแพลนความสวย หุ่นจึ้ง ผิวเปล่งประกาย ทันวาเลนไทน์

                                                            ผิวสวย หุ่นจึ้ง มั่นใจทุกโมเมนต์เตรียมตัวก่อนวาเลนไทน์

                                                            แจกแพลนความสวย หุ่นจึ้ง ผิวเปล่งประกาย ทันวาเลนไทน์

                                                             

                                                            เคยไหม? ยิ่งใกล้วันสำคัญทีไร ผิวหน้ายิ่งไม่เป็นใจทุกที วันนี้ รมย์รวินท์คลินิก เสกความสวยมาให้แล้ว เตรียมตัวให้พร้อมกับแพลนผิวสวย หุ่นจึ้งแบบไม่มีสะดุด ไม่ว่าโมเมนต์ไหน ก็ต้องเป๊ะ มั่นใจเกินร้อย พร้อมออกเดตนัดสำคัญ ออร่าเปล่งประกายทันวันวาเลนไทน์ จัดเต็มทั้งงานผิว และรูปร่าง รับรองไม่ผิดหวังแน่นอนค่ะ

                                                            เตรียมตัวปรับลุคใหม่ มั่นใจทุกโมเมนต์ พร้อมออกเดตทันวาเลนไทน์

                                                             

                                                            รวมโปรเเกรมก่อนวาเลนไทน์

                                                             

                                                            รวมโปรแกรมที่ควรทำ ล่วงหน้า 1 เดือน ก่อนวาเลนไทน์

                                                            Coolsculpting 

                                                            • Coolsculpting คือ เทคโนโลยีลดไขมันด้วยความเย็น โดยการส่งความเย็นในระดับจุดเยือกแข็ง อุณหภูมิอยู่ที่ -11 ถึง -13 องศาเซลเซียส ไปยังบริเวณที่มีไขมันส่วนเกินสะสม เช่น หน้าท้อง ต้นขา ต้นแขน หรือเอว ซึ่งความเย็นระดับนี้ จะทำให้เซลล์ไขมันถูกแช่แข็ง และเกิดภาวะการตาย (Apoptosis) ในที่สุด เมื่อเซลล์ไขมันตายแล้ว ร่างกายจะเริ่มกระบวนการกำจัดเซลล์ไขมันเหล่านี้ ออกไปผ่านทางการขับถ่าย ทำให้ไขมันในบริเวณที่ทำลดลงอย่างถาวร โดยไม่ส่งผลกระทบต่อเซลล์ และเนื้อเยื่อบริเวณรอบข้าง
                                                            • Coolsculpting เหมาะสำหรับผู้ที่มีไขมันสะสมตามบริเวณต่าง ๆ ของร่างกาย และผู้ที่ไม่มีเวลาออกกำลังกาย แต่ต้องการลดไขมันอย่างยั่งยืน รวมถึง คุณแม่หลังคลอดที่ต้องการลดไขมันส่วนเกิน
                                                            • หลังทำ Coolsculpting จะเริ่มเห็นผลการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของ รูปร่าง และสัดส่วนที่ลดลง ภายใน 3 – 4 สัปดาห์ และจะเห็นผลชัดเจนที่สุด ภายใน 3 เดือน ซึ่งการทำ Coolsculpting 1 ครั้ง สามารถลดไขมันได้มากถึง 27% ทั้งนี้ แนะนำให้กลับมาทำ Coolsculpting ซ้ำในจุดเดิมอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด
                                                            • อาการที่เกิดขึ้นหลังทำ Coolsculpting จะรู้สึกปวดระบมเล็กน้อย ประมาณ 7 – 10 วันแรก รวมถึง อาจมีอาการบวม ชา และคันในบริเวณที่ทำ ประมาณ 1 เดือน ซึ่งถือเป็นอาการปกติ ไม่เป็นอันตรายใด ๆ และสามารถหายเองได้ตามธรรมชาติ

                                                             

                                                            Emsella

                                                            • Emsella คือ เทคโนโลยีกระชับอุ้งเชิงกราน ที่มาในรูปแบบเก้าอี้ โดยการส่งคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความเข้มข้นสูง หรือ High-Intensity Focused Electromagnetic (HIFEM) ไปยังบริเวณกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน ทำให้เกิดการหดตัวอย่างรวดเร็ว และต่อเนื่อง เทียบเท่ากับการขมิบ หรือออกกำลังกายบริเวณอุ้งเชิงกราน มากถึง 11,200 ครั้ง เพียงแค่นั่งเฉย ๆ 30 นาที ก็สามารถฟื้นฟูอุ้งเชิงกรานให้กลับมาแข็งแรง แก้ปัญหาปัสสาวะเล็ดได้อย่างตรงจุด รวมถึง ทำให้ช่องคลอดกระชับ ไม่หย่อนคล้อย เพิ่มความสุขทางเพศได้อีกด้วย โดยไม่ต้องถอดเสื้อผ้า และไม่ต้องใช้เวลาในการพักฟื้น
                                                            • Emsella เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีอุ้งเชิงกรานไม่แข็งแรง ช่องคลอดไม่กระชับ ช่องคลอดหลวม มีปัญหาปัสสาวะเล็ดขณะจาม ไอ หรือยกของหนัก รวมถึง ผู้ที่สมรรถภาพทางเพศเสื่อม ต้องการเพิ่มความรู้สึกทางเพศ
                                                            • หลังทำ Emsella สามารถเห็นผลลัพธ์ได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ แต่แนะนำให้ทำอย่างต่อเนื่อง สัปดาห์ละ 2 ครั้ง ติดต่อกัน ประมาณ 3 สัปดาห์ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด
                                                            • อาการที่เกิดขึ้นหลังทำ Emsella อาจรู้สึกชา และร้อนบริเวณอุ้งเชิงกรานเล็กน้อย รวมถึง อาจรู้สึกปวดเมื่อยล้าบริเวณอุ้งเชิงกราน ซึ่งถือเป็นอาการที่ไม่อันตราย และสามารถหายได้เอง ภายใน 1 – 2 วัน

                                                             

                                                            รวมโปรแกรมความสวย ที่ควรทำ 14 วัน รับวาเลนไทน์
                                                            รวมโปรแกรมความสวย ที่ควรทำ 14 วัน รับวาเลนไทน์

                                                            Continue reading

                                                            หน้าหมองเหมือนโดนของ อยากมีผิวกระจ่างใส ?

                                                            หน้าหมอง เพราะโดนของ

                                                            หน้าหมองเหมือนโดนของ อยากมีผิวกระจ่างใส ทำอย่างไรดี?

                                                             

                                                            เปิดศักราชใหม่เขย่าขวัญขั้นสุด พบกับปฐมบทแห่งเรื่องราวไสยศาสตร์ที่สะเทือนไปทั้งผิวหน้า เมื่อมีคนทักว่า หน้าหมองคล้ำเหมือนโดนของ ผิวโทรมไม่สดใส จนหลอนไปทุกโสตประสาท ถือเป็นจุดเริ่มต้นของความไม่มั่นใจ ที่จะคอยกัดกินจิตใจอย่างรุนแรงไม่มีที่สิ้นสุด สร้างความหวาดระแวง และความวิตกกังวลให้แก่ผู้ที่พบเห็นไปตลอดกาล 

                                                            ต้องรีบแก้ไขด่วน! ร่วมค้นหาเบาะแส และวิธีการกู้หน้าหมอง เพราะบางทีอาจไม่ใช่การโดนของ แต่เป็นเพราะความเครียด พักผ่อนน้อย และผิวไม่ได้รับการดูแลอย่างเต็มที่ ทำให้หน้าหมองเหมือนถูกคุณไสยเล่นงานตลอดเวลา สำหรับใครที่อยากมูฟออนหน้าหมอง ฟื้นฟูผิวกระจ่างใส รมย์รวินท์ มีทางออกมาให้แล้วในบทความนี้ค่ะ

                                                             

                                                            คู่หู กู้หน้าหมอง ทวงคืนผิวใส x2
                                                            คู่หู กู้หน้าหมอง ทวงคืนผิวใส x2

                                                             

                                                            สยบหน้าหมองเหมือนโดนของ สานต่อตำนานผิวใสที่ รมย์รวินท์

                                                            6 ตัวการหน้าหมองคล้ำ ผิวไม่สดใส

                                                            พักผ่อนไม่เพียงพอ

                                                            • การนอนดึก หรือพักผ่อนน้อย ทำให้ร่างกายไม่สามารถฟื้นฟูเซลล์ผิวได้อย่างเต็มที่ เนื่องจากร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนเมลาโทนิน (Melatonin) ออกมาในช่วงที่เราหลับสนิท เวลา 22.00 น. – 02.00 น. ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยซ่อมแซมร่างกาย หากนอนหลับ พักผ่อนไม่เพียงพอ อาจส่งผลให้หน้าหมองคล้ำ ดูเหนื่อยล้า และไม่สดใสได้

                                                            แสงแดด

                                                            • รังสี UV จากแสงแดด เป็นตัวการหลักที่ทำให้หน้าหมองคล้ำ ไม่สดใส โดยรังสี UV ในแสงแดดจะกระตุ้นการสร้างเม็ดสีเมลานินสะสม จนทำให้หน้าหมองคล้ำ ผิวแห้งเสีย อีกทั้ง ยังเร่งการเกิดฝ้า กระ จุดด่างดำ และริ้วรอยก่อนวัยได้ง่ายอีกด้วย

                                                            ความเครียด

                                                            • ความเครียด เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ส่งผลให้หน้าหมอง เนื่องจากความเครียด จะกระตุ้นให้ร่างกายฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ออกมา ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อผิวหนัง ทำให้หน้าหมองคล้ำ และเกิดปัญหาผิวต่าง ๆ ได้ เช่น สิว ริ้วรอย และจุดด่างดำ

                                                            ดื่มน้ำน้อย

                                                            • การดื่มน้ำน้อย หรือดื่มน้ำไม่เพียงพอ อาจทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้น จนผิวขาดน้ำ แห้งกร้าน ลอกเป็นขุยได้ ซึ่งส่งผลให้หน้าหมองคล้ำ ไม่สดใส ผิวดูไม่มีชีวิตชีวา

                                                            อายุ

                                                            • อายุที่มากขึ้น เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้หน้าหมองคล้ำ เนื่องจากร่างกายเริ่มเสื่อมสภาพลง การผลัดเซลล์ผิวก็ช้าลงตามไปด้วย อีกทั้ง คอลลาเจน และอีลาสตินใต้ชั้นผิวหนัง ก็ไม่สามารถผลิตออกมาได้อย่างเต็มที่ ทำให้ผิวดูหมองคล้ำ ไม่สดใส เกิดเป็นริ้วรอย และผิวหย่อนคล้อยได้

                                                            สภาพอากาศ

                                                            • สภาพอากาศ โดยเฉพาะในช่วงที่อากาศหนาว อากาศแห้ง หรืออยู่ในห้องแอร์เป็นเวลานาน อาจทำให้ผิวของเราถูกดูดความชุ่มชื้นออกไปจนหมด ส่งผลให้ผิวแห้ง แตก ลอกเป็นขุย และหน้าหมองคล้ำได้

                                                             

                                                            คู่หู กู้หน้าหมอง ทวงคืนผิวใส X2

                                                            โปรแกรม NU PICO BRIGHT 

                                                            • NU PICO BRIGHT เป็นโปรแกรมเลเซอร์ที่ใช้เทคโนโลยี Picosecond Laser ในการแก้ปัญหาผิวหน้าต่าง ๆ โดยเฉพาะปัญหาเรื่องเม็ดสี เช่น ฝ้า กระ จุดด่างดำ รวมถึง หน้าหมองคล้ำ และรูขุมขนไม่กระชับได้อย่างตรงจุด
                                                            • โดย NU PICO BRIGHT นั้น ใช้เลเซอร์ที่มีความยาวคลื่นเฉพาะอยู่ที่ 532 นาโนเมตร และ 1,064 นาโนเมตร มีความถี่ 750 พิโควินาที สามารถยิงพลังงานเลเซอร์ที่มีความเร็วสูงในระดับ Picosecond (หนึ่งในล้านล้านวินาที) ไปยังเม็ดสีเมลานินที่ผิดปกติ ทำให้เม็ดสีแตกตัวออกเป็นอนุภาคเล็ก ๆ และสามารถกำจัดออกได้ง่ายตามธรรมชาติ โดยไม่ก่อให้เกิดความร้อนสะสมบนผิวหนัง จึงลดความเสี่ยงของการเกิดผลข้างเคียง เช่น ผิวไหม้ หรือรอยดำหลังทำการรักษา
                                                            • ข้อดีของการทำ NU PICO BRIGHT คือ ช่วยฟื้นฟูผิวคล้ำเสีย ลดผิวที่หมองคล้ำ ให้กลับมาสว่าง กระจ่างใส ปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ จุดด่างดำต่าง ๆ ดูจางลง ลดรอยดำ รอยแดงจากสิว และช่วยให้รูขุมขนดูเรียบเนียนมากขึ้น โดยที่ไม่ทิ้งรอยแผล และไม่ตกสะเก็ดหลังทำ

                                                             

                                                            โปรแกรม REJURAN

                                                            • REJURAN เป็นโปรแกรม Skin Booster ที่มี Polynucleotide (PN) เป็นส่วนประกอบ โดยสกัดมาจาก DNA ของปลาแซลมอน ที่มีโครงสร้างใกล้เคียงกับ DNA ของมนุษย์ถึง 98% สามารถฟื้นฟูผิวได้ถึงระดับโครงสร้าง โดยเฉพาะปัญหาผิวแห้งกร้าน ขาดความชุ่มชื้น หน้าหมองคล้ำ ไม่สดใส รวมถึง รูขุมขุนกว้างได้อย่างมีประสิทธิภาพ
                                                            • โดย สาร PN ใน REJURAN นั้น จะเข้าไปกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่อย่างรวดเร็ว เพื่อแทนที่เซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพไป และกระตุ้นการหลั่ง Growth Factor ซึ่งเป็นสารที่ช่วยในการซ่อมแซม และฟื้นฟูเซลล์ผิว รวมทั้ง กระตุ้นการทำงานของ Fibroblast ให้เกิดการสร้างคอลลาเจน และอีลาสติน ทำให้ผิวแข็งแรงขึ้นจากภายใน อีกทั้ง สาร PN ยังมีคุณสมบัติในการต้านการอักเสบ ช่วยลดอาการระคายเคืองของผิว และทำให้ผิวมีสุขภาพดีขึ้นอีกด้วย
                                                            • ข้อดีของการทำ REJURAN คือ ช่วยเสริมเกราะป้องกันผิวจากมลภาวะ ปรับสีผิวให้สว่าง กระจ่างใส ลดความหมองคล้ำบนใบหน้า และคืนความชุ่มชื้นให้ผิวอิ่มน้ำ ฉ่ำวาวอย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่ต้องพักฟื้น และไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียง

                                                             

                                                            อยากหน้าใสทุกระดับ ต้องพิสูจน์ผลลัพธ์ที่ รมย์รวินท์คลินิก

                                                            อย่าปล่อยให้หน้าได้มีโอกาสหมอง พร้อมแล้วหรือยัง … ที่จะคืนชีพให้หน้ากระจ่างใส ด้วย 2 โปรแกรมพิเศษจาก รมย์รวินท์ ไม่ว่าจะเป็น NU PICO BRIGHT หรือ REJURAN ก็สามารถเพิ่มออร่าให้ผิวได้แบบไม่ต้องพัก พร้อมปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ มีความเรียบเนียน ดูเปล่งปลั่งกว่าที่เคยมีมา ยิ่งทำควบคู่กัน ผลลัพธ์ยิ่งปังกว่าเดิม ไม่ต้องทนหน้าหมองอีกต่อไป หน้าใสแบบนี้คุณก็มีได้แค่มา รมย์รวินท์คลินิก ทุกสาขา

                                                            ปิดตำนานรอยลบสักตลอดกาลด้วย PICO UN-TATTOO

                                                            ลบรอยสัก PICO UN-TATTOO

                                                            ปิดตำนานลบรอยสักตลอดกาลด้วย PICO UN-TATTOO

                                                             

                                                            สร้างปรากฏการณ์สั่นสะเทือนรูปแบบใหม่ กับจักรวาลความสยองขวัญ ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังรอยสักที่สวยงาม เตรียมปิดตำนานต้นกำเนิดรอยสักอาถรรพ์ที่ไม่มีวันจางหาย และยากจะลบเลือน คอยตามหลอกหลอนไปทุกหนทุกแห่งไม่มีวันสิ้นสุด ทุกคนจะต้องจดจำรอยสักนี้ไปตลอดกาล หากไม่สามารถลบออกได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งรอยสักนี้ เป็นปัญหาใหญ่ที่รอการแก้ไข จะมีวิธีใดที่สามารถกำจัดรอยสักนี้ได้บ้าง? โดยไม่หลงเหลือรอยใด ๆ บนร่างกาย บทความนี้รวบรวมมาให้แล้ว พร้อมแนะนำทางเลือกใหม่ ในการลบรอยสักอย่างปลอดภัย และมีประสิทธิภาพสูงค่ะ

                                                             

                                                            ลบต้นกำเนิด จักรวาลความผิดพลาดสู่ผิวสวยตลอดกาล
                                                            ลบต้นกำเนิด จักรวาลความผิดพลาดสู่ผิวสวยตลอดกาล

                                                             

                                                            เตรียมลบต้นกำเนิดรอยสัก จักรวาลความพลาด สู่ผิวสวย ตลอดกาล

                                                            4 วิธีลบรอยสักยอดฮิต มีอะไรบ้าง?

                                                            การลบรอยสักมีหลากหลายวิธี แต่ละวิธีก็จะมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันออกไป ซึ่งการเลือกวิธีลบรอยสักนั้น ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งขนาดของรอยสัก สีของหมึก และสภาพผิวของแต่ละบุคคล โดยส่วนใหญ่วิธีที่นิยมใช้สำหรับการลบรอยสัก มีดังนี้

                                                            • ลบรอยสักด้วยน้ำยาลบรอยสัก 

                                                            การลบรอยสักด้วยน้ำยาลบรอยสัก เป็นวิธีการที่มีความเสี่ยงสูง และไม่ปลอดภัยอย่างยิ่ง โดยน้ำยาลบรอยสักส่วนใหญ่ มักมีฤทธิ์เป็นกรด ซึ่งจะกัดเซาะผิวหนังบริเวณที่มีรอยสัก ทำให้เม็ดสี และน้ำหมึกที่ฝังอยู่จางหายไป ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดอันตรายต่อผิวหนังสูง ทำให้ผิวไหม้ เกิดการติดเชื้อ หรือเกิดแผลเป็นขั้นรุนแรงได้

                                                            • ลบรอยสักด้วยการศัลยกรรมผ่าตัด

                                                            การศัลยกรรมผ่าตัดลบรอยสัก เป็นวิธีการที่เหมาะสำหรับรอยสักขนาดเล็ก โดยจะตัดเอาผิวหนังที่มีรอยสักออกไปโดยตรง และทำการเย็บแผลปิดบริเวณที่ผ่าตัด ซึ่งหลังทำมีโอกาสที่จะเกิดรอยแผลเป็นใหม่ และใช้เวลาในการพักฟื้นค่อนข้างนาน รวมถึง มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดการติดเชื้อ เช่นเดียวกับการผ่าตัดอื่น ๆ 

                                                            • ลบรอยสักด้วยการกรอผิวหนัง

                                                            การลบรอยสักด้วยการกรอผิวหนัง เป็นวิธีการที่ใช้เครื่องมือแพทย์กรอผิว เพื่อขัดเอาเม็ดสี และน้ำหมึกออกจากผิวหนัง ทำให้รอยสักจางลง แต่ไม่สามารถหายไปได้ทั้งหมด ซึ่งจะต้องทำซ้ำหลายครั้งถึงเห็นผลชัดเจน อีกทั้ง ขณะทำอาจรู้สึกเจ็บ และรู้สึกแสบในบริเวณที่ทำการกรอผิวหนังได้

                                                            • ลบรอยสักด้วยเลเซอร์

                                                            การลบรอยสักด้วยเลเซอร์ เป็นวิธีการที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในปัจจุบัน เช่น เครื่อง PICO UN-TATTOO เนื่องจากเป็นทางเลือกที่มีความปลอดภัย มีประสิทธิภาพ และลดโอกาสในการเกิดแผลเป็น โดยเลเซอร์จะปล่อยพลังงานแสงเข้าไป เพื่อทำลายเม็ดสี และน้ำหมึกที่ฝังอยู่บนผิวหนัง ทำให้รอยสักบริเวณนั้นค่อย ๆ จางลง และหายไปตามธรรมชาติ โดยไม่ทิ้งรอยแผล และไม่ทำร้ายผิวหนังบริเวณรอบ ๆ แต่อาจจะต้องมีการทำหลายครั้ง จึงจะสามารถลบรอยสักออกได้ทั้งหมด 

                                                             

                                                            ลบเกลี้ยง PICO UN-TATTOO
                                                            ลบเกลี้ยง PICO UN-TATTOO

                                                             

                                                            PICO UN-TATTOO ลบรอยสัก ทางเลือกใหม่ ลบเกลี้ยงทุกรอยสัก กำจัดได้ทุกเม็ดสี

                                                            PICO UN-TATTOO ลบรอยสัก คืออะไร? ทำไมถึงนิยมลบรอยสัก?

                                                            PICO UN-TATTOO คือ เทคโนโลยีเลเซอร์ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ในการรักษาปัญหาผิว และลบรอยสักได้ทุกสี ทุกขนาด โดยใช้พลังงานความยาวคลื่นที่มีความหลากหลาย ได้แก่ 532 นาโนเมตร 670 นาโนเมตร และ 1,064 นาโนเมตร สามารถตอบโจทย์สำหรับการรักษาปัญหาผิวทุกรูปแบบ ตั้งแต่ฝ้า กระ รอยดำ รอยแดง หลุมสิว ไปจนถึงรอยสักได้อย่างตรงจุด ซึ่งการมีพลังงานความยาวคลื่นที่หลากหลายนั้น ทำให้สามารถปรับพลังงานได้ตามความเหมาะสมกับรอยสักในแต่ละสี ทั้งสีดำ สีแดง สีเหลือง หรือสีน้ำเงิน

                                                            อีกทั้ง เครื่อง PICO UN-TATTOO ยังสามารถปล่อยพลังงานในระดับ Nanosecond และ Picosecond ซึ่งมีความเร็วสูงมาก ทำให้เกิดปฏิกิริยา Photo-acoustic ที่ช่วยให้เม็ดสีแตกกระจาย เป็นโมเลกุลขนาดเล็กละเอียดได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ร่างกายกำจัดออกไปได้ง่ายขึ้น โดยไม่ทำให้เกิดความร้อนสะสมใต้ผิวหนัง จึงลดโอกาสในการเกิดแผลเป็น และผิวไหม้หลังทำ

                                                            นอกจากนี้ PICO UN-TATTOO ยังมีโหมด Pico Genesis ที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้ผิวเรียบเนียน มีความแข็งแรง และดูกระจ่างใสขึ้นหลังจากทำการรักษา 

                                                             

                                                            PICO UN-TATTOO ลบรอยสักมีข้อดีอะไรบ้าง?

                                                            • PICO UN-TATTOO ลบรอยสัก มีประสิทธิภาพสูงในการจัดการเม็ดสี โดยเฉพาะรอยสักได้ทุกสี ทุกขนาด ทั้งรอยสักสีดำ สีน้ำตาล สีแดง สีเขียว หรือสีน้ำเงิน
                                                            • PICO UN-TATTOO ลบรอยสัก สามารถรักษาปัญหาผิวได้หลากหลาย นอกจากการลบรอยสักแล้ว PICO UN-TATTOO ยังใช้รักษาปัญหาผิวอื่น ๆ ได้อีกด้วย เช่น ฝ้า กระ รอยดำ รอยแดง หลุมสิว และรูขุมขนกว้าง
                                                            • PICO UN-TATTOO ลบรอยสัก มีความปลอดภัยสูง เนื่องจากไม่มีความร้อนสะสมใต้ชั้นผิว ทำให้ลดความเสี่ยงในการเกิดแผลเป็น หรือผิวไหม้ ผิวเบิร์นหลังทำ
                                                            • PICO UN-TATTOO ลบรอยสัก สามารถเห็นผลลัพธ์ได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำการรักษา ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และปัญหาผิวของแต่ละบุคคล
                                                            • PICO UN-TATTOO ลบรอยสัก ได้รับการรับรองจาก องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (US FDA) ว่ามีความปลอดภัย และมีประสิทธิภาพในการรักษา
                                                            • PICO UN-TATTOO ลบรอยสัก ไม่ต้องมีการพักฟื้น หลังทำสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติทันที

                                                             

                                                            PICO UN-TATTOO ลบรอยสักเหมาะกับใคร?

                                                            • PICO UN-TATTOO ลบรอยสัก เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาฝ้า กระตื้น กระลึก และกระแดด
                                                            • PICO UN-TATTOO ลบรอยสัก เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาหลุมสิว ผิวไม่เรียบเนียน
                                                            • PICO UN-TATTOO ลบรอยสัก เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหารอยดำ รอยแดงจากสิว
                                                            • PICO UN-TATTOO ลบรอยสัก เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหารูขุมขนกว้าง รูขุมขนไม่กระชับ
                                                            • PICO UN-TATTOO ลบรอยสัก เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลบรอยสักทุกสี ทุกขนาด
                                                            • PICO UN-TATTOO ลบรอยสัก เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหารอยแผลเป็น รอยแตกลาย
                                                            • PICO UN-TATTOO ลบรอยสัก เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปรับสีผิวให้ดูสว่าง กระจ่างใส
                                                            • PICO UN-TATTOO ลบรอยสัก เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับเม็ดสี

                                                             

                                                            จะเห็นได้ว่า การทำ PICO UN-TATTOO ลบรอยสักถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการลบรอยสัก และสามารถจัดการกับปัญหาผิวได้อย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นฝ้า กระ จุดด่างดำ รอยสิว หลุมสิว หรือรูขุมขนกว้าง โดยไม่ทำลายผิวหนังบริเวณรอบข้าง ทำให้มีความปลอดภัยสูง ลดความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียง สำหรับใครที่กำลังมองหาตัวช่วยในการแก้ไขปัญหาผิว หรือต้องการลบรอยสัก สามารถเข้ามาปรึกษาแพทย์ได้แล้ววันนี้ ที่รมย์รวินท์คลินิก ทุกสาขา

                                                            ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอยรอบดวงตา

                                                            โบยกหางตา

                                                            ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                                              วันที่สะดวกในการติดต่อ








                                                              ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอยรอบดวงตา ทางเลือกใหม่ในการปรับใบหน้าให้อ่อนเยาว์

                                                              การฉีดโบยกหางตา เป็นหนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมในการปรับรูปหน้า ที่ช่วยลดริ้วรอยและยกหางตาให้ดูสดใสขึ้น โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยตีนกาและหางตาตก ซึ่งอาจทำให้ใบหน้าดูมีอายุและไม่สดใส การฉีดโบยกหางตาจะช่วยคลายกล้ามเนื้อบริเวณหางตา ทำให้ริ้วรอยเหล่านี้ลดลงอย่างเห็นได้ชัด 

                                                               

                                                              นอกจากนี้ยังช่วยให้ดวงตามีลักษณะที่เปิดกว้างและสดใสขึ้น โดยไม่ต้องผ่าตัดหรือพักฟื้นนาน บทความนี้จะพาทุกท่านไปสำรวจรายละเอียดเกี่ยวกับการฉีดโบยกหางตา รวมถึงข้อดี ข้อเสีย และสิ่งที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจทำ เพื่อให้คุณสามารถเลือกวิธีการดูแลตัวเองที่เหมาะสมที่สุด

                                                               

                                                              โบยกหางตา คืออะไร
                                                              โบยกหางตา คืออะไร

                                                               

                                                              ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย คืออะไร?

                                                              ฉีดโบยกหางตา คือ การฉีดสารออกฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อเข้าไปในบริเวณหางตา เพื่อช่วยลดริ้วรอยและยกหางตาให้ดูสูงขึ้น โดยเฉพาะในกรณีที่มีปัญหาริ้วรอยหางตาและหางตาตก ซึ่งจะทำให้ผิวบริเวณหางตาและรอบดวงตาเรียบเนียนและกระชับขึ้น ช่วยให้ดวงตามีความสดใสและกลมโตมากขึ้น

                                                               

                                                              ปัญหาหางตาตก เกิดจากอะไร?

                                                               

                                                              ปัญหาหางตาตกเกิดจากหลายสาเหตุที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างของใบหน้าและการเปลี่ยนแปลงตามอายุ ดังนี้

                                                               

                                                              • อายุที่มากขึ้น

                                                              เมื่ออายุมากขึ้น ผิวหนังจะสูญเสียคอลลาเจนและอิลาสติน ซึ่งเป็นสารที่ช่วยให้ผิวหนังเต่งตึงและยืดหยุ่น ทำให้ผิวหนังบริเวณหางตาหย่อนคล้อยและเกิดริ้วรอย ส่งผลให้หางตาดูตกลงต่ำกว่าเดิม

                                                              • โครงสร้างกระดูกและกล้ามเนื้อ

                                                              โครงสร้างกระดูกเบ้าตาที่ผิดปกติ เช่น กระดูกโหนกคิ้วที่โค้งลงมากเกินไป หรือความหนาของกระดูก สามารถส่งผลต่อระดับของหางตาได้ นอกจากนี้ กล้ามเนื้อที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของเปลือกตาอาจมีความผิดปกติหรืออ่อนแรง ทำให้ไม่สามารถยกหางตาขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

                                                              • การสะสมของไขมัน

                                                              การสะสมไขมันบริเวณหางตา อาจทำให้เกิดความรู้สึกว่าหางตาตก เนื่องจากไขมันส่วนเกินจะดึงผิวหนังให้หย่อนคล้อยมากขึ้น ส่งผลให้เกิดลักษณะหางตาที่ดูตกลง

                                                              • กรรมพันธุ์

                                                              บางคนอาจมีปัญหาหางตาตกเนื่องจากกรรมพันธุ์ ซึ่งส่งผลต่อโครงสร้างของดวงตาและผิวหนังบริเวณรอบดวงตา โดยเฉพาะในคนเอเชียที่มักมีเนื้อบริเวณรอบดวงตามากกว่าคนในทวีปอื่น

                                                              • พฤติกรรมการใช้ชีวิต

                                                              การขยี้ตาบ่อย ๆ การสัมผัสแดดโดยไม่ทาครีมกันแดดปกป้องผิว และการนอนหลับไม่เพียงพอ สามารถทำให้ผิวหนังรอบดวงตาเสื่อมสภาพเร็วขึ้น ส่งผลให้เกิดริ้วรอยและความหย่อนคล้อย

                                                              • ปัญหาสุขภาพอื่น ๆ

                                                              บางครั้ง ปัญหาหางตาตกอาจเกิดจากโรคหรือภาวะทางการแพทย์ เช่น ความผิดปกติของระบบประสาท หรือโรคที่ส่งผลต่อกล้ามเนื้อ ทำให้เกิดอาการหนังตาตกหรือหางตาตก

                                                               

                                                              ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอยรอบ ช่วยอะไร?

                                                              การฉีดโบยกหางตา เป็นหัตถการที่ช่วยแก้ไขปัญหาริ้วรอย และความหย่อนคล้อยบริเวณรอบดวงตา ซึ่งช่วยแก้ปัญหาได้ ดังนี้

                                                              • ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย ช่วยลดริ้วรอยบริเวณรอบดวงตาและหางตา
                                                              • ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย ช่วยยกหางตา ทำให้ใบหน้าดูสดใส อ่อนเยาว์
                                                              • ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย ช่วยปรับให้ใบหน้าโดยรวมดูดีขึ้น
                                                              • ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย เห็นผลลัพธ์ที่รวดเร็ว ไม่ต้องรอนาน
                                                              • ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย มีความปลอดภัยสูง ไม่มีผลข้างเคียงอันตราย
                                                              • ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย ไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีแผล ไม่ต้องพักฟื้นนาน
                                                              • ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย ปรับโหงวเฮ้งให้ดีขึ้น

                                                               

                                                              โบยกหางตา เหมาะกับใคร
                                                              โบยกหางตา เหมาะกับใคร

                                                               

                                                              ใครบ้างที่ควรฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย?

                                                              การฉีดโบยกหางตาเหมาะสำหรับกลุ่มคนดังต่อไปนี้

                                                              • ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย เหมาะกับคนที่อายุ 30 ปีขึ้นไป 
                                                              • ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย เหมาะกับคนที่ชั้นตาหลบใน
                                                              • ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย เหมาะกับคนที่มีปัญหาหางตาตก คิ้วตก
                                                              • ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย เหมาะกับคนที่มีปัญหาหนังตาหย่อนคล้อย
                                                              • ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย เหมาะกับคนที่มีริ้วรอยเล็ก ๆ บริเวณหางตาจากการแสดงสีหน้า
                                                              • ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย เหมาะกับคนที่ต้องการปรับใบหน้าให้สดใส อ่อนเยาว์
                                                              • ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย เหมาะกับคนที่ไม่ต้องการผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น

                                                               

                                                              ใครที่ไม่ควรฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย

                                                              คนที่ไม่ควรฉีดโบยกหางตาเพื่อลดริ้วรอยรอบดวงตา มีดังนี้

                                                              • ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย ไม่เหมาะกับสตรีที่กำลังตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร
                                                              • ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย ไม่เหมาะกับคนที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง โรคเกี่ยวกับระบบประสาทที่ส่งผลต่อการทำงานของกล้ามเนื้อ
                                                              • ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย ไม่เหมาะกับคนที่มีอาการแพ้สารออกฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อ
                                                              • ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย ไม่เหมาะกับคนที่มีการติดเชื้อบริเวณที่ต้องการฉีด
                                                              • ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย ไม่เหมาะกับคนที่มีแผลเปิดบริเวณที่ต้องการฉีด
                                                              • ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย ไม่เหมาะกับคนที่มีปัญหาผิวหนัง เช่น สิว ผดผื่น ควรรักษาให้หายก่อนฉีด
                                                              • ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย ไม่เหมาะกับคนที่ใช้ยาบางชนิด เช่น ยาต้านการแข็งตัวของเลือด ควรปรึกษาแพทย์ก่อนฉีด
                                                              • ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย ไม่เหมาะกับคนที่ต้องการผลลัพธ์ถาวร เพราะฉีดโบสลายได้เองตามธรรมชาติ

                                                               

                                                              ข้อดีของการฉีดโบยกหางตา
                                                              ข้อดีของการฉีดโบยกหางตา

                                                               

                                                              ข้อดีและข้อเสียของการฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอยรอบดวงตา

                                                              ข้อดีของการฉีดโบยกหางตาเพื่อลดริ้วรอย มีดังนี้

                                                              • ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย ไม่ต้องผ่าตัด และไม่ต้องมีรอยแผลเป็น
                                                              • ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย สามารถเห็นผลลัพธ์ที่รวดเร็ว
                                                              • ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย ช่วยยกหางตา แก้ปัญหาหางตาตก
                                                              • ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย ช่วยให้ดวงตาดูโตขึ้นและสดใสขึ้น
                                                              • ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย ไม่ต้องพักฟื้นนาน สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ
                                                              • ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย ช่วยลดเลือนริ้วรอยเล็ก ๆ บริเวณหางตาและรอบดวงตา

                                                               

                                                              ข้อเสียของการฉีดโบยกหางตาเพื่อลดริ้วรอย มีดังนี้

                                                              • ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย ผลลัพธ์ไม่ถาวร ต้องฉีดซ้ำเพื่อคงประสิทธิภาพ
                                                              • ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย ไม่เหมาะสำหรับปัญหาหางตาตกมาก
                                                              • ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย อาจเกิดอาการข้างเคียง เช่น หนังตาตก หรือเปลือกตาตก
                                                              • ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย อาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ หากฉีดในสถานพยาบาลที่ไม่สะอาด
                                                              • ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย อาจส่งผลกระทบต่อกล้ามเนื้อบริเวณใกล้เคียง

                                                               

                                                              ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย เลือกยี่ห้อไหนดี?

                                                              การเลือกยี่ห้อฉีดโบสำหรับการฉีดยกหางตาเพื่อลดริ้วรอยนั้นมีความสำคัญ เนื่องจากแต่ละยี่ห้อมีคุณสมบัติและผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ควรพิจารณาในการเลือกใช้ ดังนี้

                                                               

                                                              ฉีดโบยกหางตายี่ห้อ Allergan

                                                              • จุดเด่น : เป็นแบรนด์ที่มีการเลือกใช้งานยาวนานที่สุดในโลก และได้รับการรับรองจาก FDA สหรัฐอเมริกา มีความบริสุทธิ์สูง ออกฤทธิ์เร็ว เห็นผลชัดเจนภายใน 3-7 วัน และคงอยู่ได้นาน 4-6 เดือน ผ่านกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐาน ทำให้มีความปลอดภัย และมีความแม่นยำตรงจุด
                                                              • ข้อดี : สามารถใช้ในการรักษาได้หลายตำแหน่ง เช่น ลดริ้วรอยรอบดวงตา หน้าผาก แก้ม ปีกจมูก และกราม เพื่อปรับรูปหน้าให้เรียวขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถใช้เพื่อลดเหงื่อในบริเวณรักแร้ และปรับรูปร่างของแขนและขาได้

                                                               

                                                              ฉีดโบยกหางตายี่ห้อ Dysport

                                                              • จุดเด่น : เป็นยี่ห้อฉีดโบยกหางตาที่มาจากประเทศอังกฤษ มีโมเลกุลที่เล็กกว่าทำให้สามารถกระจายตัวได้กว้างและทั่วถึงเมื่อฉีดเข้าไปในกล้ามเนื้อ สามารถออกฤทธิ์ได้อย่างรวดเร็ว มีโอกาสน้อยที่จะเกิดอาการดื้อยา ผลลัพธ์จากการฉีด Dysport มักจะดูเป็นธรรมชาติ ไม่ทำให้ใบหน้าตึงหรือแข็งเกินไป
                                                              • ข้อดี : มีความหลากหลายในการใช้งาน ด้วยคุณสมบัติในการกระจายตัวอย่างดี ออกฤทธิ์รวดเร็ว มีระยะเวลาการอยู่ได้นาน ผลลัพธ์ที่ได้เป็นธรรมชาติ และเหมาะสำหรับการฉีดเพื่อลดขนาดกล้ามเนื้อใหญ่ เช่น กล้ามเนื้อบริเวณแขน น่อง

                                                               

                                                              ฉีดโบยกหางตายี่ห้อ Xeomin

                                                              • จุดเด่น : มีจุดเด่นที่สำคัญคือความบริสุทธิ์สูงถึง 100% ซึ่งไม่มีโปรตีนที่ไม่จำเป็นเจือปน ทำให้ลดโอกาสเกิดอาการแพ้และดื้อยาได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังมีโมเลกุลขนาดเล็กที่ช่วยให้กระจายตัวได้ดี ทำให้ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติและไม่แข็งตึง นอกจากนี้ Xeomin ยังได้รับการรับรองจาก USFDA ซึ่งยืนยันถึงความปลอดภัยและคุณภาพของตัวยา
                                                              • ข้อดี : สามารถใช้ในการรักษาได้หลายตำแหน่ง เช่น ลดริ้วรอยบนใบหน้า ปรับรูปหน้าให้เรียว และลดกล้ามเนื้อกราม เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดริ้วรอยและปรับรูปหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่เคยมีปัญหาการดื้อยา

                                                               

                                                              ฉีดโบยกหางตายี่ห้อ Aestox

                                                              • ข้อดี : มีความบริสุทธิ์สูงถึง 99.5% ซึ่งช่วยลดโอกาสในการดื้อยาและให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ นอกจากนี้ยังออกฤทธิ์เร็วและเห็นผลได้ภายในเวลาอันสั้น ทำให้เหมาะสำหรับการลดริ้วรอยและปรับรูปหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ 
                                                              • จุดเด่น :สามารถใช้ในการลดริ้วรอยต่าง ๆ เช่น รอยหางตา รอยย่นระหว่างหน้าผาก หรือปรับรูปหน้าให้เรียว  มีความบริสุทธิ์มาก ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ และออกฤทธิ์เร็ว เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดริ้วรอย และปรับรูปหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ

                                                               

                                                              ฉีดโบยกหางตายี่ห้อ Nabota

                                                              • ข้อดี : มีความบริสุทธิ์สูงถึง 98.7% ซึ่งช่วยลดโอกาสในการดื้อยา เป็นยี่ห้อฉีดโบยกหางตายี่ห้อเกาหลีเพียงยี่ห้อเดียวที่ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (US FDA) ใช้เทคโนโลยี Hi-PURE ที่พัฒนามานานกว่า 30 ปี ซึ่งช่วยในการสกัดและผลิต
                                                              • จุดเด่น : มีความบริสุทธิ์มาก ได้ผลลัพธ์ที่รวดเร็ว และได้รับการรับรองจาก US FDA ทำให้เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการลดริ้วรอย และปรับรูปหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ

                                                               

                                                              ฉีดโบหางตา ที่ไหนดี? เคล็ดลับเลือกคลินิกให้ปลอดภัย

                                                              • เลือกคลินิกที่ได้รับใบอนุญาตอย่างถูกต้อง

                                                              ตรวจสอบว่าเป็นคลินิกที่มีการจดทะเบียนกับกระทรวงสาธารณสุข มีใบอนุญาตชัดเจน และดำเนินการโดยแพทย์ที่มีความรู้ประจำคลินิก

                                                              • ฉีดโบยกหางตากับแพทย์ที่มีความรู้และประสบการณ์

                                                              แพทย์ที่มีความรู้จะเข้าใจกายวิภาคของใบหน้าว่ากล้ามเนื้อบริเวณหางตามีความซับซ้อน การฉีดในตำแหน่งที่ผิดอาจทำให้ใบหน้าดูแข็งหรือผิดธรรมชาติ เพราะฉะนั้นการฉีดโบกับแพทย์ที่มีความรู้มีความจำเป็นอย่างมาก เพื่อป้องกันผลข้างเคียงที่อันตรายในอนาคต

                                                              • ฉีดโบแท้ที่มีความปลอดภัยเท่านั้น

                                                              ฉีดโบหางตาที่ดีควรเป็นของแท้ มีการรับรองจาก อย. เช่น ยี่ห้อ Allergan, ยี่ห้อ Xeomin, หรือ ยี่ห้อ Dysport แพทย์ควรเปิดขวดใหม่ต่อหน้าเพื่อความมั่นใจ

                                                              • ตรวจสอบชื่อเสียงและรีวิว

                                                              ค้นหาข้อมูลและรีวิวจากผู้ใช้บริการจริงผ่านเว็บไซต์หรือโซเชียลมีเดีย เพื่อดูประสบการณ์ของลูกค้าคนอื่น ๆ ในการประกอบการตัดสินใจก่อนเลือกฉีดโบหางตา

                                                               

                                                              เปรียบเทียบการฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย กับการยกหางตาวิธีอื่น ๆ 

                                                              การยกหางตา เป็นวิธีการที่ช่วยปรับรูปทรงของดวงตาให้ดูสดใสและอ่อนเยาว์ขึ้น โดยมีหลายวิธีที่สามารถเลือกใช้ได้ ซึ่งแต่ละวิธีก็มีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกันไป ดังนี้

                                                               

                                                              • ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย

                                                              การทำงาน : เป็นการฉีดสารออกฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อบริเวณใต้ท้องคิ้ว เพื่อคลายกล้ามเนื้อที่ดึงหางตาตก ทำให้หางตายกขึ้นและใบหน้าดูอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ

                                                              ข้อดี : ช่วยให้หางตาที่ตกลงกลับมายกขึ้น โดยการคลายกล้ามเนื้อที่ดึงหางตาลง ทำให้ดวงตาดูสดใสและมีชีวิตชีวามากขึ้น เป็นทางเลือกที่ไม่ต้องใช้การผ่าตัด ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่รวดเร็วและปลอดภัย

                                                               

                                                              • ร้อยไหมยกหางตา ลดริ้วรอย

                                                              การทำงาน : เป็นการใช้ไหมชนิดละลายร้อยเข้าไปในชั้นผิวบริเวณเหนือหางตา เพื่อกระชับผิวและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน

                                                              ข้อดี : ช่วยยกหางตาที่ตกลงให้กลับมาสูงขึ้นทันทีหลังทำ โดยไม่ต้องผ่าตัด ทำให้ใบหน้าดูสดใสและอ่อนเยาว์ขึ้น สามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ทันทีหลังทำ ไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้น สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ

                                                               

                                                              • ฟิลเลอร์ยกหางตา ลดริ้วรอย

                                                              การทำงาน : เป็นการฉีดสารเติมเต็มประเภทไฮยาลูรอนิกเข้าไปใต้ผิวหนัง เพื่อเติมเต็มและยกคิ้วขึ้น

                                                              ข้อดี : ช่วยยกหางตาโดยการฉีดเข้าไปที่ใต้คิ้ว ทำให้หางตายกสูงขึ้นตามแนวคิ้วที่ถูกยกขึ้น สามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ทันทีหลังทำ เป็นวิธีที่ไม่ต้องใช้การผ่าตัดและไม่ต้องพักฟื้น สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ

                                                               

                                                              • Ulthera SPT ยกหางตา ลดริ้วรอย

                                                              การทำงาน : เป็นการใช้เทคโนโลยีพลังงานเสียงในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง

                                                              ข้อดี : การยกหางตาด้วย Ulthera SPT ให้ผลลัพธ์การยกหางตาแบบ 3 มิติ ทั้งส่วนหางตา ขมับ และชั้นผิวโดยรอบ ทำให้ดูเป็นธรรมชาติ เห็นผลลัพธ์ทันทีหลังทำ และผลลัพธ์จะดีขึ้นต่อเนื่องใน 2-3 เดือน

                                                               

                                                              • ศัลยกรรมยกหางตา

                                                              การทำงาน : เป็นการผ่าตัดเพื่อยกหางคิ้วหรือหนังตา ด้วยเทคนิค Subbrow Lift หรือ เทคนิค Temporal Lift ผลลัพธ์ที่ได้จะช่วยให้หางตายกสูงขึ้น และยังช่วยแก้ไขปัญหารอยตีนกาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

                                                              ข้อดี : การศัลยกรรมยกหางตา ช่วยให้หางตาที่ตกหรือหย่อนคล้อยกลับมายกขึ้น ลดรอยเหี่ยวย่นบริเวณหางตาและรอยหางตา ทำให้ผิวดูเรียบเนียนและอ่อนเยาว์ ผลลัพธ์จากการศัลยกรรมยกหางตามักจะคงอยู่ได้ถาวร โดยสามารถเห็นผลได้ทันทีหลังทำ

                                                               

                                                              เตรียมตัวก่อนฉีด โบยกหางตา
                                                              เตรียมตัวก่อนฉีด โบยกหางตา

                                                               

                                                              การเตรียมตัวก่อนฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย

                                                              การเตรียมตัวก่อนฉีดโบยกหางตา เป็นขั้นตอนที่สำคัญเพื่อให้การทำฉีดโบยกหางตาเป็นไปอย่างปลอดภัยและได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ดังนั้นควรปฏิบัติตามข้อแนะนำ ดังนี้

                                                              • ก่อนฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย ควรเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน
                                                              • ก่อนฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย ควรเลือกฉีดกับแพทย์ที่มีประสบการณ์เท่านั้น
                                                              • ก่อนฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย ควรแจ้งโรคประจำตัวและยาที่รับประทานประจำให้แพทย์ทราบก่อนฉีด
                                                              • ก่อนฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย ควรพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อย 8 ชั่วโมงก่อนฉีด
                                                              • ก่อนฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย ควรตรวจสอบโบที่ใช้ว่าแท้หรือไม่ เพื่อความมั่นใจว่าเป็นโบแท้
                                                              • ก่อนฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย งดทานอาหารเสริมประเภทวิตามินอี น้ำมันปลา ก่อนฉีด 1 สัปดาห์
                                                              • ก่อนฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย งดทานยาที่มีผลต่อการเข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน ก่อนฉีด 1 สัปดาห์
                                                              • ก่อนฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 24 ชั่วโมงก่อนฉีด
                                                              • ก่อนฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย งดการสครับหรือขัดหน้าเป็นเวลา 2-3 วันก่อนฉีด

                                                               

                                                              ขั้นตอนการฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย

                                                              การฉีดโบยกหางตา เป็นหัตถการการที่ช่วยปรับรูปทรงของดวงตาให้ดูสดใสและลดริ้วรอย โดยมีขั้นตอน ดังนี้

                                                              1. พบแพทย์เพื่อทำการตรวจวิเคราะห์และประเมินปัญหาที่เกิดขึ้นก่อนฉีดโบยกหางตา 
                                                              2. แพทย์จะพูดคุยเกี่ยวกับความต้องการของ และแนะนำยี่ห้อโบยกหางตา รวมถึงปริมาณตัวยาที่เหมาะสม
                                                              3. ทำความสะอาดผิวหน้าบริเวณที่จะฉีดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อและแอลกอฮอล์
                                                              4. เริ่มแปะยาชาบริเวณที่ต้องการฉีดโบยกหางตา เพื่อบรรเทาความเจ็บปวด โดยรอให้ยาชาออกฤทธิ์ประมาณ 15-30 นาที
                                                              5. แพทย์จะใช้เข็มขนาดเล็กฉีดโบหางตาเข้าไปบริเวณใต้ท้องคิ้วแถวหางตา
                                                              6. ในระหว่างการฉีดโบยกหางตา อาจมีการประคบเย็นเพื่อลดอาการเจ็บและบวมแดงจากเข็ม
                                                              7. เมื่อทำการฉีดโบยกหางตาเสร็จเรียบร้อยแล้ว แพทย์จะแนะนำเกี่ยวกับวิธีการดูแลตัวเองหลังฉีด

                                                               

                                                              เตรียมตัวก่อนฉีด โบยกหางตา
                                                              เตรียมตัวก่อนฉีด โบยกหางตา

                                                               

                                                              การดูแลตัวเองหลังฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย

                                                              การดูแลตัวเองหลังฉีดโบยกหางตา เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ผลลัพธ์อยู่ได้นาน และลดความเสี่ยงของผลข้างเคียง ควรปฏิบัติตามข้อแนะนำ ดังนี้

                                                              • หลังฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย งดการสัมผัส หรือ กดบริเวณที่ฉีดในช่วง 4 ชั่วโมงแรก
                                                              • หลังฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย งดการอบซาวน่า หรือการอยู่ในที่มีอุณหภูมิสูง
                                                              • หลังฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย งดใช้ยาที่ส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น ยาแก้อักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์
                                                              • หลังฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย งดนอนราบหรือนอนคว่ำในช่วง 4-6 ชั่วโมงแรก
                                                              • หลังฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย งดสูบบุหรี่และงดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
                                                              • หลังฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายอย่างน้อย 24 ชั่วโมง
                                                              • หลังฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย หลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดดโดยตรง
                                                              • หลังฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย หลีกเลี่ยงการทาสกินแคร์หรือเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของกรดวิตามินเอ AHA หรือ BHA ในวันแรก
                                                              • หลังฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย หากมีอาการบวม สามารถประคบเย็นบริเวณที่ฉีดเป็นเวลา 1 ชั่วโมง
                                                              • หลังฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย หลังฉีดประมาณ 30 นาที ควรทำการบริหารกล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีด เช่น ยักคิ้ว
                                                              • หลังฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย หากมีอาการบวม สามารถประคบเย็นบริเวณที่ฉีดเป็นเวลา 1 ชั่วโมง

                                                               

                                                              คำถามพบบ่อยเรื่องการฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย

                                                              • ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย ดีไหม?

                                                              การฉีดโบยกหางตาเป็นวิธีที่ดีสำหรับผู้ที่มีปัญหาหางตาตกหรือริ้วรอยรอบดวงตา โดยช่วยให้หางตายกขึ้นและลดเลือนริ้วรอยเล็ก ๆ ได้ในเวลาเดียวกัน นอกจากนี้ยังไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้น ทำให้สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ

                                                               

                                                              • ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย เจ็บไหม?

                                                              ก่อนการฉีดโบยกหางตาจะมีการใช้ยาชาและประคบเย็นระหว่างการฉีดโบยกหางตา ทำให้ความรู้สึกเจ็บน้อยลง โดยทั่วไปจะรู้สึกเพียงเล็กน้อยเมื่อเข็มลงบนผิวหน้า

                                                               

                                                              • ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย เห็นผลเมื่อไหร่?

                                                              การฉีดโบยกหางตา เริ่มเห็นผลลัพธ์ได้ภายใน 3-4 วันหลังจากการฉีด โดยจะมีการเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ที่ชัดเจนมากขึ้นในช่วง 7-14 วันหลังทำ ซึ่งจะช่วยให้หางตายกขึ้นและลดริ้วรอยรอบดวงตาได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

                                                               

                                                              • ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย ผลลัพธ์อยู่ได้นานไหม?

                                                              ผลลัพธ์จากการฉีดโบยกหางตาเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ภายใน 3-4 วันหลังจากฉีดโบหางตา และผลลัพธ์จะชัดเจนที่สุดในช่วง 7-14 วัน ซึ่งในระยะนี้จะช่วยให้หางตายกขึ้นและลดริ้วรอยรอบดวงตาได้อย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับระยะเวลาที่ผลลัพธ์จะอยู่ได้นั้น โดยทั่วไปจะอยู่ได้ประมาณ 3-6 เดือน ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ยี่ห้อของโบหางตาที่ใช้และการดูแลตัวเองหลังการฉีด

                                                               

                                                              • ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย มีอันตรายไหม?

                                                              การฉีดโบยกหางตามักไม่เป็นอันตราย หากทำโดยแพทย์ผู้มีความเชี่ยวชาญ และใช้โบยกหางตาของแท้ หากฉีดโดยแพทย์ที่ไม่มีประสบการณ์หรือใช้โบปลอม อาจเกิดผลข้างเคียงเช่น หางตาตกหรือใบหน้าดูแข็งเกินไป

                                                               

                                                              • ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย มีผลข้างเคียงไหม?

                                                              แม้ว่าการฉีดโบยกหางตาจะมีความปลอดภัยสูง แต่ก็ยังมีความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียง เช่น อาการบวม ฟกช้ำ หรือการเกิดอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงในบริเวณที่ไม่ได้ตั้งใจ หากทำโดยแพทย์ที่ไม่มีประสบการณ์

                                                               

                                                              • ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย สามารถฉีดซ้ำได้ไหม?

                                                              โบยกหางตาสามารถฉีดซ้ำได้ตามคำแนะนำของแพทย์ โดยทั่วไปควรทิ้งระยะเวลาประมาณ 3-6 เดือนระหว่างการฉีด เพื่อให้กล้ามเนื้อฟื้นตัวและไม่เกิดอาการดื้อยา

                                                               

                                                              • ฉีดโบยกหางตา ลดริ้วรอย สามารถทำร่วมกับวิธีอื่นได้ไหม?

                                                              การฉีดโบยกหางตาสามารถทำร่วมกับฟิลเลอร์หรือวิธีอื่น ๆ ได้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปรับรูปหน้า เช่น การใช้ฟิลเลอร์ใต้คิ้วเพื่อเสริมสร้างรูปทรงของใบหน้าให้ดูเรียวขึ้น เป็นต้น

                                                               

                                                              การฉีดโบยกหางตาเป็นหนึ่งในหัตถการที่ได้รับความนิยมอย่างมากในวงการความงาม โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ต้องการปรับรูปลักษณ์ของดวงตาให้ดูสดใสและอ่อนเยาว์มากขึ้น การทำหัตถการนี้มีข้อดีหลายประการ เช่น ช่วยยกหางตา ลดริ้วรอยรอบดวงตา และทำให้ใบหน้าดูมีชีวิตชีวามากขึ้น

                                                               

                                                              อีกทั้งการฉีดโบยกหางตาช่วยแก้ปัญหาหางตาตกและริ้วรอยได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเห็นผลลัพธ์ได้ภายใน 3-4 วันหลังการฉีด และจะชัดเจนที่สุดในช่วง 7-14 วัน การฉีดโบยกหางตาเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาหางตาตกเล็กน้อยหรือริ้วรอยรอบดวงตา แต่ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาหางตาตกมาก ซึ่งอาจต้องพิจารณาวิธีการอื่น เช่น การผ่าตัดหรือร้อยไหม

                                                               

                                                              เพราะฉะนั้น ควรเลือกฉีดโบยกหางตากับแพทย์ที่มีประสบการณ์ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและลดความเสี่ยงของผลข้างเคียง นอกจากนี้ ควรดูแลตัวเองหลังจากการฉีดโบยกหางตาอย่างเคร่งครัดเพื่อให้ผลลัพธ์อยู่ได้นานที่สุด

                                                              ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                                                วันที่สะดวกในการติดต่อ








                                                                Ultherapy Prime กับ Ulthera SPT ต่างกันอย่างไร เรื่องที่ต้องรู้ก่อนเลือกทำ

                                                                Ultherapy Prime กับ Ulthera SPT ต่างกันอย่างไร

                                                                เครื่องยกกระชับใบหน้า Ultherapy Prime กับ Ulthera SPT ต่างกันอย่างไร เรื่องที่ต้องรู้ก่อนเลือกทำ

                                                                การยกกระชับใบหน้าแบบไม่ต้องผ่าตัด กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในกลุ่มผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวให้กลับมาเต่งตึง อ่อนเยาว์ โดยไม่ต้องพักฟื้นนาน ซึ่ง Ulthera SPT นับเป็นเทคโนโลยีที่ได้รับความไว้วางใจจากแพทย์และผู้รับบริการมายาวนาน ล่าสุดเทคโนโลยีนี้ได้ถูกพัฒนาต่อยอดออกเป็นเวอร์ชันที่โดดเด่นขึ้น นั่นก็คือ Ultherapy Prime ซึ่งทั้งสองต่างก็มีจุดเด่นที่ตอบโจทย์ความต้องการที่แตกต่างกันไป

                                                                ในบทความนี้ รมย์รวินท์คลินิกจะพาไปทำความรู้จักกับความแตกต่าง ระหว่างยกกระชับใบหน้าด้วย Ultherapy Prime และ Ulthera SPT เพื่อให้สามารถตัดสินใจได้ว่าเทคโนโลยีแบบใดเหมาะสมกับความต้องการและปัญหาผิวมากที่สุด พร้อมทั้งข้อดีและผลลัพธ์ที่แตกต่างกันของทั้งสองเทคโนโลยีนี้

                                                                Ultherapy Prime vs Ulthera SPT ความแตกต่างที่จำเป็นต้องรู้ก่อนยกกระชับใบหน้า 

                                                                Ultherapy เทคโนโลยีใหม่ที่พัฒนาจาก Ulthera SPT
                                                                Ultherapy เทคโนโลยีใหม่ที่พัฒนาจาก Ulthera SPT

                                                                ยกกระชับใบหน้าด้วย Ultherapy Prime เทคโนโลยีใหม่ที่พัฒนามาจาก Ulthera SPT

                                                                • เทคโนโลยีล่าสุดในวงการความงาม Ultherapy Prime ถือเป็นการปฏิวัติเทคโนโลยีการยกกระชับผิวหน้า ที่พัฒนาต่อยอดจาก Ulthera SPT ด้วยการผสานความก้าวหน้าและความเข้าใจในสรีรวิทยาผิวอย่างลึกซึ้ง ระบบนี้โดดเด่นด้วยความแม่นยำในการส่งคลื่นพลังงานที่เหนือชั้น สามารถเจาะลึกถึงชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นโครงสร้างสำคัญใต้ผิวหนัง 
                                                                • การรักษาด้วย Ultherapy Prime ไม่เพียงมอบประสิทธิภาพที่เหนือกว่า แต่ยังลดระยะเวลาการทำลงอย่างมาก ส่งผลให้ผู้รับการรักษาได้สัมผัสประสบการณ์ที่สะดวกสบายยิ่งขึ้น พร้อมกับผลลัพธ์การยกกระชับที่เห็นผลชัดเจนและเป็นธรรมชาติ นับเป็นการยกระดับมาตรฐานการดูแลผิวที่ตอบโจทย์ทั้งแพทย์ผู้ให้การรักษาและผู้รับบริการ
                                                                • สิ่งที่โดดเด่นของการยกกระชับด้วย Ultherapy Prime คือผลลัพธ์ที่ชัดเจนและยาวนาน ผิวจะค่อย ๆ กระชับและแลดูอ่อนเยาว์ขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ โดยจะเห็นความเปลี่ยนแปลงชัดเจนภายใน 2-3 เดือนหลังทำ และสามารถคงผลลัพธ์ได้นานถึง 1-2 ปี โดยไม่ต้องพึ่งการผ่าตัดหรือใช้เวลาพักฟื้นนาน เทคโนโลยีนี้จึงถือเป็นอีกก้าวสำคัญของเทคโนโลยีการยกกระชับผิว ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพและลงตัว

                                                                ยกกระชับใบหน้าด้วย Ultherapy Prime คืออะไร?

                                                                Ultherapy Prime คือเทคโนโลยีการยกกระชับผิวหน้าล่าสุดที่ถูกพัฒนาขึ้นจาก Ulthera SPT โดยยังคงใช้หลักการของ High-Intensity Focused Ultrasound (HIFU) หรือคลื่นอัลตราซาวนด์ความถี่สูงที่มีความแม่นยำสูง ในการส่งพลังงานความร้อนลงสู่ชั้นผิวชั้น SMAS (Superficial Muscular Aponeurotic System) ซึ่งเป็นชั้นเดียวกับที่ศัลยแพทย์ใช้ในการผ่าตัดดึงหน้า

                                                                จุดเด่นของ Ultherapy Prime ที่ทำให้โดดเด่นกว่าเดิม มีดังนี้

                                                                • หน้าจอขนาดใหญ่และคมชัด 35% 

                                                                Ultherapy Prime มาพร้อมระบบแสดงผลอัลตราซาวนด์รุ่นใหม่ ที่ยกระดับประสบการณ์การมองเห็นด้วยหน้าจอขนาดใหญ่พิเศษ 35% พร้อมความคมชัดระดับ Full HD ช่วยให้แพทย์สามารถศึกษาโครงสร้างผิวได้อย่างละเอียด ทั้งในแง่ความลึกและมิติของชั้นผิวแต่ละระดับ

                                                                ด้วยภาพที่คมชัดเหนือระดับนี้ ทำให้การวินิจฉัยและวางแผนการรักษาทำได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด 

                                                                • ระบบประมวลผลที่รวดเร็วและเสถียรขึ้น

                                                                Ultherapy Prime มาพร้อมกับระบบที่พัฒนาขึ้นให้มีประสิทธิภาพในการประมวลผลสูงขึ้นถึง 20% ช่วยให้การปล่อยพลังงานเป็นไปอย่างรวดเร็ว แม่นยำ และต่อเนื่องยิ่งขึ้น ส่งผลให้ระยะเวลาในการทำหัตถการสั้นลง โดยยังคงรักษาคุณภาพของผลลัพธ์ไว้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

                                                                • ดีไซน์ทันสมัยและใช้งานง่าย

                                                                ตัวเครื่องถูกออกแบบใหม่ให้มีดีไซน์ที่ทันสมัย ดูหรูหรา และใช้งานง่ายยิ่งขึ้น ขนาดเครื่องถูกปรับให้ เล็กลงกว่าเดิม ทำให้สามารถจัดวางและเคลื่อนย้ายได้สะดวก ออกแบบตามหลัก Ergonomics (สรีรศาสตร์) เพื่อรองรับการใช้งานที่ยาวนานของแพทย์ ลดความเมื่อยล้า และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน

                                                                Ultherapy Prime ทำงานอย่างไร
                                                                Ultherapy Prime ทำงานอย่างไร

                                                                หลักการทำงานของยกกระชับใบหน้าด้วย Ultherapy Prime

                                                                • ยกกระชับใบหน้าด้วยพลังงานคลื่นอัลตราซาวนด์

                                                                ด้วยหน้าจอที่ใหญ่ขึ้น 35% ช่วยให้แพทย์มองเห็นชั้นผิวหนังแบบเรียลไทม์ผ่านหน้าจออัลตราซาวนด์ได้ดีกว่าเดิม ทำให้พลังงานคลื่นเสียงถูกโฟกัสอย่างแม่นยำลงไปยังชั้น SMAS (Superficial Muscular Aponeurotic System) ซึ่งเป็นชั้นเดียวกับที่ศัลยแพทย์ใช้ในการผ่าตัดดึงหน้า โดยพลังงานที่ส่งลงไปจะทำให้ชั้น SMAS หดตัว และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่

                                                                • กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่

                                                                เมื่อพลังงานความร้อนถูกส่งไปยังชั้น SMAS จะเกิดจุดความร้อนเล็กๆ จำนวนมากในชั้นผิว

                                                                ความร้อนนี้จะกระตุ้นเซลล์ผิวหนังให้สร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ตามธรรมชาติ

                                                                คอลลาเจนที่ถูกสร้างขึ้นใหม่จะช่วยฟื้นฟูและยกกระชับผิวจากภายในสู่ภายนอก

                                                                • ผลลัพธ์ที่แม่นยำและตรงจุด

                                                                ด้วยระบบประมวลผลที่เร็วขึ้น ทำให้พลังงานถูกควบคุมให้มีความเสถียรและแม่นยำตลอดการรักษา แพทย์สามารถกำหนดระดับความลึกและตำแหน่งที่พลังงานจะลงไปได้อย่างแม่นยำ ส่งผลให้ผิวยกกระชับและดูอ่อนเยาว์ขึ้นอย่างชัดเจน โดยไม่กระทบกับชั้นผิวหนังส่วนอื่น

                                                                ข้อดีของการยกกระชับใบหน้าด้วย Ultherapy Prime 

                                                                • ยกกระชับใบหน้าด้วย Ultherapy Prime กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนอย่างลึกถึงชั้น SMAS
                                                                • ยกกระชับใบหน้าด้วย UltherapyPrime ช่วยลดความเสี่ยงของการยิงพลังงานผิดตำแหน่ง
                                                                • ยกกระชับใบหน้าด้วย Ultherapy Prime สามารถแก้ไขปัญหาผิวได้หลากหลาย
                                                                • ยกกระชับใบหน้าด้วย Ultherapy Prime เป็นเทคโนโลยีที่ไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีแผล หรือรอยช้ำหลังทำ
                                                                • ยกกระชับใบหน้าด้วย Ultherapy Prime สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติหลังทำทันที
                                                                • ยกกระชับใบหน้าด้วย Ultherapy Prime ทำให้ผลลัพธ์ยกกระชับใบหน้าที่ได้ดูเป็นธรรมชาติ
                                                                • ยกกระชับใบหน้าด้วย Ultherapy Prime เพิ่มประสิทธิภาพในการสร้างคอลลาเจนใหม่ ให้ผิวแน่นกระชับมากขึ้น
                                                                • ยกกระชับใบหน้าด้วย Ultherapy Prime ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 1-2 ปี
                                                                • ยกกระชับใบหน้าด้วย Ultherapy Prime มีหน้าจอที่ใหญ่ขึ้น 35% ช่วยให้แพทย์มองเห็นชั้นผิวได้แบบละเอียดมากขึ้น
                                                                • ยกกระชับใบหน้าด้วย Ultherapy Prime มีระบบประมวลผลเร็วขึ้น 20% ใช้เวลาในการทำน้อยลง
                                                                • ยกกระชับใบหน้าด้วย Ultherapy Prime ดีไซน์เครื่องทันสมัยขึ้น อำนวยความสะดวกต่อการใข้งานและการเคลื่อนย้าย

                                                                ยกกระชับใบหน้าด้วย Ulthera SPT คืออะไร?

                                                                Ulthera SPT เป็นเทคโนโลยียกกระชับผิวหน้าที่ใช้พลังงานคลื่นอัลตราซาวนด์ความถี่สูง (High-Intensity Focused Ultrasound: HIFU) ในการส่งพลังงานความร้อนลงสู่ชั้นผิวลึกที่เรียกว่า SMAS (Superficial Muscular Aponeurotic System) ซึ่งเป็นชั้นผิวเดียวกับที่ใช้ในการผ่าตัดดึงหน้า

                                                                การทำงานของ Ulthera SPT เป็นการใช้เทคโนโลยี SPT (See-Plan-Treat) ซึ่งช่วยให้แพทย์สามารถ มองเห็นชั้นผิวแบบเรียลไทม์ (Real-Time) ผ่านหน้าจออัลตราซาวนด์ ทำให้สามารถวางแผนและกำหนดจุดปล่อยพลังงานได้อย่างแม่นยำในชั้นผิวที่ต้องการรักษา

                                                                หลักการทำงานของยกกระชับใบหน้า Ulthera SPT

                                                                หลักการทำงานของยกกระชับใบหน้าด้วย Ulthera มี 3 ขั้นตอนหลัก ดังนี้

                                                                • ส่งพลังงานคลื่นเสียงเข้าสู่ชั้นผิวลึก

                                                                เทคโนโลยี Ulthera SPT ใช้พลังงานคลื่นเสียงอัลตราซาวนด์ ที่มีความแม่นยำสูงในการส่งพลังงานความร้อนลงไปยังชั้นผิวหนังลึกที่เรียกว่า SMAS (Superficial Muscular Aponeurotic System) ซึ่งเป็นชั้นผิวที่ศัลยแพทย์ใช้ในการผ่าตัดดึงหน้า พลังงานที่ปล่อยออกมาจะสร้างจุดความร้อนเล็กๆ ในชั้น SMAS ช่วยกระตุ้นการหดตัวของเส้นใยคอลลาเจนและทำให้ผิวกระชับขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ

                                                                • กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่

                                                                หลังจากส่งพลังงานลงไปยังชั้น SMAS จะเกิดจุดความร้อนที่มีขนาดและความลึกแม่นยำ ซึ่งช่วยกระตุ้นให้เซลล์ผิวสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ กระบวนการนี้จะฟื้นฟูผิวจากภายใน ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่น กระชับ และเรียบเนียนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

                                                                • ผลลัพธ์ที่แม่นยำตรงจุด

                                                                ด้วยเทคโนโลยี Real Time ใน Ulthera SPT แพทย์สามารถมองเห็นภาพชั้นผิวหนังได้แบบเรียลไทม์ขณะทำการรักษา ทำให้สามารถกำหนดตำแหน่ง ความลึก และความเข้มข้นของพลังงานได้อย่างเหมาะสม เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการยกกระชับผิว ลดความเสี่ยงจากความคลาดเคลื่อน และมั่นใจได้ว่าพลังงานจะถูกส่งไปยังตำแหน่งที่ต้องการอย่างแม่นยำที่สุด

                                                                ข้อดีของการยกกระชับใบหน้าด้วย Ulthera SPT

                                                                • ยกกระชับใบหน้าด้วย Ulthera SPT ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น สามารถใช้ชีวิตประจำวันปกติได้ทันที
                                                                • ยกกระชับใบหน้าด้วย Ulthera SPT ใช้พลังงานคลื่นเสียงอัลตราซาวนด์ที่มีความปลอดภัยสูง
                                                                • ยกกระชับใบหน้าด้วย Ulthera SPT เป็นเทคโนโลยีที่ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาจากสหรัฐอเมริกา
                                                                • ยกกระชับใบหน้าด้วย Ulthera SPT ใช้เทคโนโลยีแบบ Real Time ที่ช่วยให้แพทย์มองเห็นชั้นผิวและวางแผนการรักษาได้อย่างแม่นยำ
                                                                • ยกกระชับใบหน้าด้วย Ulthera SPT ช่วยลดความเสี่ยงในการยิงพลังงานผิดจุด
                                                                • ยกกระชับใบหน้าด้วย Ulthera SPT ช่วยยกกระชับผิวได้นาน 1-2 ปี
                                                                • ยกกระชับใบหน้าด้วย Ulthera SPT สามารถใช้ได้กับทุกสีผิวและทุกสภาพผิว
                                                                • ยกกระชับใบหน้าด้วย Ulthera SPT ช่วยลดเลือนริ้วรอยเล็ก ๆ บนใบหน้า 
                                                                • ยกกระชับใบหน้าด้วย Ulthera SPT ช่วยให้ใบหน้าเรียบเนียนและดูอ่อนเยาว์ขึ้น
                                                                • ยกกระชับใบหน้าด้วย Ulthera SPT เหมาะสำหรับคนที่ต้องการยกกระชับผิว แต่ไม่อยากเจ็บตัวหรือมีรอยแผล

                                                                Ulthera SPT VS Ultherapy Prime
                                                                Ulthera SPT VS Ultherapy Prime

                                                                ความแตกต่างระหว่างยกกระชับใบหน้าด้วย Ultherapy Prime vs Ulthera SPT

                                                                การเปรียบเทียบระหว่าง Ultherapy Prime และ Ulthera SPT มีความแตกต่างกัน ดังต่อไปนี้

                                                                1. เทคโนโลยี

                                                                Ultherapy Prime และ Ulthera SPT เป็นการยกกระชับใบหน้าที่ใช้เทคโนโลยีเดียวกัน ด้วยการใช้พลังงานคลื่นเสียงความถี่สูงแบบ HIFU (High Intensity Focused Ultrasound) เพื่อยิงพลังงานลงลึกไปถึงชั้นผิว SMAS ซึ่งเป็นชั้นเดียวกับการศัลยกรรมดึงหน้า 

                                                                แต่ Ulthera Prime เป็นการพัฒนาเทคโนโลยีเพิ่มเติม โดยเพิ่มระบบการประมวลผลที่รวดเร็วมากขึ้น 20% มีหน้าจอใหญ่ขึ้น 35% ซึ่งช่วยให้การรักษามีความแม่นยำตรงจุดได้เฉพาะบุคคลมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงดีไซน์เครื่องที่ทันสมัย สะดวกต่อการใช้งานมากขึ้น

                                                                2. เทคโนโลยีการมองเห็นชั้นผิวที่ล้ำสมัย

                                                                ทั้ง Ultherapy Prime และ Ulthera SPT มาพร้อมกับระบบแสดงภาพชั้นผิวที่มีความละเอียดและคมชัดสูง ช่วยให้แพทย์สามารถมองเห็นและวิเคราะห์โครงสร้างผิวในทุกชั้นได้อย่างชัดเจน ทำให้สามารถวางแผนการรักษาได้อย่างแม่นยำและตรงจุด โดยการปรับระดับพลังงานและความลึกให้เหมาะสมกับลักษณะผิวเฉพาะของแต่ละบุคคล เพื่อให้การยกกระชับมีประสิทธิภาพสูงสุดและได้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจในทุกขั้นตอนการรักษา

                                                                3. การวางแผนการรักษา

                                                                เทคโนโลยี Ultherapy Prime และ Ulthera SPT มอบความสามารถในการแสดงภาพชั้นผิวแบบเรียลไทม์อย่างคมชัด ช่วยให้แพทย์สามารถประเมินโครงสร้างผิว ระบุปัญหาเฉพาะจุด และเข้าใจความต้องการของผู้รับบริการได้อย่างละเอียด ส่งผลให้สามารถวางแผนการรักษา กำหนดตำแหน่ง ระดับความลึก และพลังงานที่เหมาะสมสำหรับแต่ละจุดได้อย่างแม่นยำ เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการยกกระชับผิว

                                                                4. ความแม่นยำในการยิงพลังงาน

                                                                ทั้ง Ultherapy Prime และ Ulthera SPT มีความแม่นยำสูงขึ้น เนื่องจากมีระบบการมองเห็นชั้นผิวแบบ Real Time ซึ่งช่วยให้แพทย์สามารถวิเคราะห์โครงสร้างผิวและมองเห็นชั้นผิวหนังได้อย่างชัดเจนในระหว่างการรักษา ทำให้สามารถกำหนด ตำแหน่ง ความลึก และความเข้มข้นของพลังงาน ได้อย่างเหมาะสมและตรงจุด

                                                                นอกจากนี้ ระบบการควบคุมพลังงานยังถูกออกแบบมาให้ ปล่อยพลังงานอย่างสม่ำเสมอและเสถียรในทุกจุดที่ทำการรักษา เพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มประสิทธิภาพในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนลึกถึงชั้น SMAS อย่างเต็มประสิทธิภาพ

                                                                5. ผลลัพธ์ที่ได้รับ

                                                                Ultherapy Prime และ Ulthera SPT ช่วย ยกกระชับใบหน้า ลดเลือนริ้วรอย และ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ชั้นผิวหนัง อย่างมีประสิทธิภาพ โดยให้ผลลัพธ์ที่ เป็นธรรมชาติและสม่ำเสมอมากยิ่งขึ้น

                                                                6. ความรู้สึกระหว่างยกกระชับใบหน้า

                                                                Ultherapy Prime อาจมีความรู้สึกเจ็บน้อยลง เนื่องจากมีการประมวลผลระบบการทำงานมีความรวดเร็วขึ้น ทำให้ใช้ระยะเวลาในการทำที่น้อยลง ส่วน Ulthera SPT อาจจะมีความรู้สึกจี๊ด ๆ อุ่น ๆ ในระดับที่ทนไหวตรงบริเวณที่ทำการรักษา ซึ่งก่อนทำจะมีการทายาชา เพื่อลดความเจ็บในระหว่างการรักษา

                                                                Ultherapy Prime ยกกระชับที่ดีกว่าเดิม
                                                                Ultherapy Prime ยกกระชับที่ดีกว่าเดิม

                                                                ข้อดีของการยกกระชับใบหน้าด้วย Ultherapy Prime ที่เหนือกว่า Ulthera SPT

                                                                • ความแม่นยำที่เหนือกว่า เพื่อผลลัพธ์การยกกระชับที่สมบูรณ์แบบ

                                                                Ultherapy Prime นำเสนอเทคโนโลยีการยกกระชับผิวที่ล้ำสมัย ด้วยระบบการแสดงภาพชั้นผิวแบบเรียลไทม์ที่มีความคมชัดและละเอียดมากขึ้น ช่วยให้แพทย์สามารถโฟกัสพลังงานได้อย่างแม่นยำในทุกจุดสำคัญ เช่น กรอบหน้า ร่องแก้ม และบริเวณใต้คาง ทำให้การยกกระชับเป็นไปอย่างตรงจุดและมีประสิทธิภาพสูงสุด พร้อมตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะบุคคลอย่างครบถ้วน เพื่อผลลัพธ์ที่ชัดเจนและยั่งยืนกว่าเดิม

                                                                • การวางแผนการรักษาที่ดีกว่า

                                                                การเห็นภาพชั้นผิวระหว่างทำยกกระชับใบหน้าด้วย Ultherapy Prime ทำให้แพทย์สามารถวางแผนการยิงพลังงานได้อย่างละเอียด และเหมาะสมกับสภาพผิวของแต่ละบุคคล

                                                                • ผลลัพธ์ที่รวดเร็วและคงนานกว่า

                                                                เนื่องจากความแม่นยำในการยิงพลังงานและผลลัพธ์ที่ได้จากการยกกระชับใบหน้าด้วย Ultherapy Prime จะเห็นได้ชัดเจนในระยะเวลาที่เร็วขึ้น และผลลัพธ์คงนานอย่างเป็นธรรมชาติ

                                                                • ความสะดวกสบาย

                                                                เทคโนโลยียกกระชับใบหน้าด้วย Ultherapy Prime ที่สามารถปรับพลังงานให้เหมาะสมกับแต่ละจุด ทำให้ผู้รับบริการรู้สึกเจ็บน้อยลง และมีความสบายมากขึ้นในระหว่างการทำยกกระชับ

                                                                ใครควรเลือกการยกกระชับใบหน้าด้วย Ultherapy Prime vs Ulthera SPT

                                                                ใครควรเลือกยกกระชับใบหน้า Ultherapy Prime?

                                                                • ยกกระชับใบหน้าด้วย Ultherapy Prime เหมาะกับคนที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป 
                                                                • ยกกระชับใบหน้าด้วย Ultherapy Prime เหมาะกับคนที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยบริเวณกรอบหน้า หางตา และแก้ม
                                                                • ยกกระชับใบหน้าด้วย Ultherapy Prime เหมาะกับคนที่มีปัญหาริ้วรอยร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก และหางตาตก
                                                                • ยกกระชับใบหน้าด้วย Ultherapy Prime เหมาะกับคนที่ต้องการยกกระชับแบบไม่ต้องผ่าตัด
                                                                • ยกกระชับใบหน้าด้วย Ultherapy Prime เหมาะกับคนที่ต้องการป้องกันความหย่อนคล้อย
                                                                • ยกกระชับใบหน้าด้วย Ultherapy Prime เหมาะกับคนที่ต้องการปรับรูปหน้าให้เรียวสวย
                                                                • ยกกระชับใบหน้าด้วย Ultherapy Prime เหมาะกับคนที่ต้องการผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ
                                                                • ยกกระชับใบหน้าด้วย Ultherapy Prime เหมาะกับคนที่ต้องการผลลัพธ์ที่เห็นผลได้ชัดเจน

                                                                ใครควรเลือกยกกระชับใบหน้า Ulthera SPT?

                                                                • ยกกระชับใบหน้าด้วย Ulthera SPT เหมาะกับคนที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยบริเวณ แก้ม หางตา และลำคอ
                                                                • ยกกระชับใบหน้าด้วย Ulthera SPT เหมาะกับคนที่มีปัญหาริ้วรอยร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก ริ้วรอยรอบดวงตา ให้ดูตื้นขึ้น
                                                                • ยกกระชับใบหน้าด้วย Ulthera SPT เหมาะกับคนที่ต้องการปรับรูปหน้าให้เรียวสวย
                                                                • ยกกระชับใบหน้าด้วย Ulthera SPT เหมาะกับคนที่ต้องการกรอบหน้าคมชัด ยกกระชับมากขึ้น
                                                                • ยกกระชับใบหน้าด้วย Ulthera SPT เหมาะกับคนที่ต้องการฟื้นฟูผิวให้ดูอิ่มฟู เต่งตึงมากขึ้น
                                                                • ยกกระชับใบหน้าด้วย Ulthera SPT เหมาะกับคนที่ต้องการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน
                                                                • ยกกระชับใบหน้าด้วย Ulthera SPT เหมาะกับคนที่ต้องการผลลัพธ์แบบธรรมชาติ

                                                                ขั้นตอนการยกกระชับใบหน้าด้วย Ulthera Prime vs Ulthera SPT

                                                                การเตรียมตัวก่อนทำ Ulthera Prime vs Ulthera SPT

                                                                • ก่อนยกกระชับใบหน้า ควรเข้ารับการปรึกษากับแพทย์ที่มีความรู้ เพื่อประเมินสภาพผิวและวางแผนการรักษา
                                                                • ก่อนยกกระชับใบหน้า ควรแจ้งให้แพทย์ทราบเกี่ยวกับประวัติสุขภาพ โรคประจำตัว และยาที่กำลังรับประทานอยู่
                                                                • ก่อนยกกระชับใบหน้า หลีกเลี่ยงการโดนแสงแดดจัด 1-2 สัปดาห์ก่อนทำ
                                                                • ก่อนยกกระชับใบหน้า งดใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมของกรดผลไม้ เรตินอล หรือ วิตามินซี อย่างน้อย 3-5 วันก่อนทำ
                                                                • ก่อนยกกระชับใบหน้า หลีกเลี่ยงการขัดผิวหรือทำทรีตเมนต์
                                                                • ก่อนยกกระชับใบหน้า งดทานยาแอสไพริน ไอบูโพรเฟน หรือยาแก้อักเสบบางชนิด อย่างน้อย 1 สัปดาห์
                                                                • ก่อนยกกระชับใบหน้า งดอาหารเสริมหรือสมุนไพรบางชนิด เช่น วิตามินอี น้ำมันปลา โสม หรือกระเทียม อย่างน้อย 1 สัปดาห์
                                                                • ก่อนยกกระชับใบหน้า งดแต่งหน้าในวันที่มาทำ เพื่อให้ผิวสะอาดพร้อมสำหรับการทำหัตถการ

                                                                ขั้นตอนการทำ Ulthera Prime vs Ulthera SPT

                                                                1. ปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินสภาพผิวหน้าและปัญหา เพื่อกำหนดตำแหน่งที่ต้องการยกกระชับใบหน้า
                                                                2. แพทย์หรือผู้ช่วยแพทย์จะทำความสะอาดบริเวณใบหน้าและลำคอ เพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
                                                                3. ทายาชาบริเวณที่ต้องการยกกระชับใบหน้า เพื่อลดความเจ็บขณะทำ
                                                                4. แพทย์เริ่มใช้หัวเครื่องมือเพื่อส่งพลังงานคลื่นอัลตราซาวนด์ลงไปสู่ชั้น SMAS ชั้นผิวสำหรับยกกระชับใบหน้าโดยเฉพาะ
                                                                5. แพทย์จะทำการดูชั้นผิวผ่านหน้าจอการแสดงผลแบบเรียลไทม์ เพื่อปรับระดับพลังงานให้เหมาะสมในแต่ละจุด
                                                                6. หลังจากการยกกระชับใบหน้า ผิวอาจมีรอยแดงหรือรู้สึกอุ่นเล็กน้อย นับเป็นอาการปกติและจะหายได้เองในไม่กี่ชั่วโมง
                                                                7. แพทย์จะให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลตัวเองหลังยกกระชับใบหน้า

                                                                การดูแลตัวเองหลังทำ Ulthera Prime vs Ulthera SPT

                                                                • หลังยกกระชับใบหน้า งดออกกำลังกายหนัก ในช่วง 2-3 วันแรก
                                                                • หลังยกกระชับใบหน้า งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือสูบบุหรี่
                                                                • หลังยกกระชับใบหน้า หลีกเลี่ยงการสัมผัสความร้อน อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์
                                                                • หลังยกกระชับใบหน้า หลีกเลี่ยงการกด นวด หรือขัดผิวหน้า ในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก
                                                                • หลังยกกระชับใบหน้า หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกรดผลไม้ เรตินอล หรือสารเคมี อย่างน้อย 7 วันหลังทำ
                                                                • หลังยกกระชับใบหน้า ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวให้มีความชุ่มชื้น
                                                                • หลังยกกระชับใบหน้า ควรนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ และดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว
                                                                • หลังยกกระชับใบหน้า ควรทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 50+++ ทุกวัน เพื่อปกป้องผิวจากรังสี UV

                                                                Ultherapy Prime กับ Ulthera SPT ต่างกันอย่างไร
                                                                Q&A รวมคำถามยอดฮิตเกี่ยวกับ Ultherapy

                                                                รวมคำถามยอดฮิตเกี่ยวกับ Ulthera Prime vs Ulthera SPT

                                                                • ยกกระชับใบหน้าด้วย Ultherapy Prime ดีกว่า Ulthera SPT ไหม?

                                                                ยกกระชับใบหน้าด้วย Ultherapy Prime มีข้อได้เปรียบในเรื่องความแม่นยำ และการรักษาที่ตรงจุดมากขึ้น จึงให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ ช่วยลดความรู้สึกไม่สบายระหว่างการทำ

                                                                • การยกกระชับใบหน้าด้วย Ultherapy Prime เจ็บน้อยกว่า Ulthera SPT ไหม?

                                                                เทคโนโลยียกกระชับใบหน้า Ultherapy Prime ได้รับการพัฒนาให้ลดความรู้สึกเจ็บน้อยลง โดยการประมวลผลของระบบการทำงานที่รวดเร็วขึ้นถึง 20% ทำให้ช่วยลดระยะเวลาในการทำให้น้อยลง จึงอาจช่วยให้สามารถช่วยลดความเจ็บได้ด้วย

                                                                • ยกกระชับใบหน้าด้วย Ultherapy Prime เห็นผลเร็วกว่า Ulthera SPT?

                                                                ผลลัพธ์ของการยกกระชับใบหน้าของทั้งสองเทคโนโลยีใช้ระยะเวลาเห็นผลใกล้เคียงกัน โดยผลลัพธ์ชัดเจนเต็มที่ใน 2-3 เดือนหลังทำ

                                                                • ยกกระชับใบหน้าด้วย Ultherapy Prime เหมาะสำหรับทุกสภาพผิวหรือไม่?

                                                                Ultherapy Prime และ Ulthera SPTสามารถใช้ได้กับทุกสภาพผิว เนื่องจากพลังงานอัลตราซาวนด์ไม่ทำลายชั้นผิวหนังด้านนอก ทำให้สามารถยกกระชับใบหน้าได้ดี

                                                                • ต้องยกกระชับใบหน้าด้วย Ulthera Prime บ่อยแค่ไหน?

                                                                ผลลัพธ์ของการยกกระชับใบหน้าด้วย Ultherapy Prime สามารถอยู่ได้นานประมาณ 1-2 ปี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลตัวเองในแต่ละบุคคล

                                                                • ยกกระชับใบหน้าด้วย Ulthera Prime สามารถทำร่วมกับหัตถการอื่นได้ไหม?

                                                                Ultherapy Prime สามารถทำร่วมกับหัตถการอื่นได้ แต่ควรเว้นระยะเวลาในการทำ เช่น การฉีดโบหรือการฉีดฟิลเลอร์ ควรทำหลังยกกระชับใบหน้าด้วย Ulthera SPT อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ ทั้งนี้แพทย์จะเป็นผู้วางแผนการรักษาเพื่อลำดับการทำหัตถการให้เหมาะสมในแต่ละบุคคล

                                                                Ultherapy Prime vs Ulthera SPT เทคโนโลยียกกระชับผิวหน้าที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการ

                                                                Ultherapy Prime และ Ulthera SPT เป็นเทคโนโลยียกกระชับผิวที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการแก้ไขปัญหาผิวหย่อนคล้อยโดยไม่ต้องผ่าตัด ทั้งสองเทคโนโลยีมีประสิทธิภาพสูงในการฟื้นฟูความยืดหยุ่นของผิว พร้อมยกกระชับให้ดูอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ

                                                                อย่างไรก็ตาม Ultherapy Prime ถือเป็นเวอร์ชันที่ถูกพัฒนาให้ก้าวล้ำยิ่งขึ้นจาก Ulthera SPT โดยเน้นที่ความแม่นยำในการส่งพลังงานล้ำลึกถึงชั้นผิวที่ต้องการ มีระบบประมวลผลที่เร็วขึ้น ช่วยลดระยะเวลาในการรักษา และหน้าจออัลตราซาวนด์ที่ใหญ่ขึ้นถึง 35% พร้อมความคมชัดระดับ Full HD ทำให้การวิเคราะห์และวางแผนการรักษาในแต่ละจุดมีความละเอียดและแม่นยำยิ่งกว่าเดิม

                                                                ก่อนตัดสินใจ ควรปรึกษาแพทย์ผู้มีความรู้และประสบการณ์ เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมที่สุดกับความต้องการและสภาพผิว ในการยกกระชับด้วย Ultherapy Prime ไม่เพียงแต่จะช่วยยกกระชับใบหน้า แต่ยังช่วยเสริมความมั่นใจ และคืนความอ่อนเยาว์ให้ใบหน้าได้อย่างยาวนาน

                                                                หน้าเด็ก ลดอายุผิว ทำอย่างไร หน้าเด็กต้องรับวันเด็ก 2025

                                                                ยกขบวนหน้าเด็ก

                                                                หน้าเด็ก ลดอายุผิว ทำอย่างไร

                                                                 

                                                                วันเด็กปีนี้! หน้าไม่ยอมแก่ง่าย ๆ เตรียมยกขบวนหน้าเด็ก ยกระดับความสวยให้ปังกว่าใคร เผยผิวใหม่ ดูอ่อนกว่าวัย เหมือนกดรีเซตอายุให้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง รมย์รวินท์คลินิก จัดมาให้แล้ว อัปเดต 4 หัตถการสตาฟหน้าเด็ก โกงอายุผิว ก้าวข้ามปัญหาริ้วรอย ร่องลึก ผิวหย่อนคล้อย และขาดความยืดหยุ่น ไม่ต้องทนหน้าแก่ก่อนวัยอีกต่อไป แต่จะมีหัตถการอะไรบ้างนั้น? บทความนี้รวบตึงมาให้แล้วค่ะ

                                                                 

                                                                ล็อกหน้าเด็ก เป๊ะทุกองศา
                                                                ล็อกหน้าเด็ก เป๊ะทุกองศา

                                                                ยกขบวนหน้าเด็ก ยกระดับความสวย เหนือกาลเวลา รับวันเด็ก 2025

                                                                 

                                                                หน้าแก่ก่อนวัย เกิดจากอะไร?

                                                                ปัญหาหน้าแก่ก่อนวัย เกิดได้จากหลายปัจจัย ทั้งปัจจัยภายใน และปัจจัยภายนอก โดยสาเหตุหลักที่ส่งผลให้หน้าแก่ก่อนวัย มีดังนี้

                                                                 

                                                                หน้าแก่ก่อนวัยจากปัจจัยภายใน

                                                                • ผิวเสื่อมสภาพตามวัย

                                                                เมื่ออายุมากขึ้น ร่างกายจะเริ่มผลิตคอลลาเจน และอีลาสตินลดลง ส่งผลให้ผิวสูญเสียความยืดหยุ่น และไม่เกิดการผลัดเซลล์ผิวใหม่ ทำให้ผิวหย่อนคล้อย และเหี่ยวย่นก่อนวัยนั่นเอง

                                                                • อนุมูลอิสระเพิ่มขึ้น 

                                                                การสะสมของอนุมูลอิสระ ทำให้ร่างกายไม่สามารถฟื้นฟู และซ่อมแซมตัวเองได้อย่างเต็มที่ ส่งผลให้เซลล์ผิวเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ ทำให้ผิวหน้าขาดความกระชับ และขาดความยืดหยุ่น จนเกิดเป็นริ้วรอยได้ง่าย

                                                                • สูญเสียไขมันใต้ผิวหนัง

                                                                อายุที่เพิ่มมากขึ้น ร่างกายจะค่อย ๆ สูญเสียไขมันใต้ผิวหนังไปตามกระบวนการธรรมชาติ เมื่อไขมันใต้ผิวหนังลดลง ผิวหนังก็จะขาดการพยุง ทำให้เกิดความหย่อนคล้อย ใบหน้าขาดความอิ่มฟู และดูแก่กว่าวัย

                                                                • ฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง

                                                                การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนในร่างกาย เช่น ในช่วงวัยหมดประจำเดือน ทำให้ฮอร์โมนเอสโตรเจนในผู้หญิงลดลง ซึ่งส่งผลให้ผิวแห้งกร้าน และเกิดริ้วรอยได้ง่ายกว่าปกติ

                                                                 

                                                                หน้าแก่ก่อนวัยจากปัจจัยภายนอก

                                                                • แสงแดด 

                                                                รังสี UV จากแสงแดด ถือเป็นศัตรูตัวร้ายของผิวหนัง โดยรังสี UV ในแสงแดดจะเข้าไปทำลายคอลลาเจน และอีลาสตินใต้ชั้นผิว ทำให้เกิดปัญหาผิวตามมามากมาย ทั้งเกิดริ้วรอย จุดด่างดำ และผิวเหี่ยวย่นได้ง่าย

                                                                • มลภาวะ

                                                                มลพิษ ฝุ่นละออง ควัน และสารเคมีในชีวิตประจำวัน สามารถกระตุ้นให้เกิดอนุมูลอิสระได้ ซึ่งเป็นตัวการในการทำร้ายเซลล์ผิว ทำให้ผิวอ่อนแอ และดูแก่กว่าวัย

                                                                • สูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์

                                                                สารพิษในบุหรี่ และแอลกอฮอล์ อาจส่งผลกระทบต่อคอลลาเจน และอีลาสตินใต้ชั้นผิว ทำให้ผิวสูญเสียน้ำ ขาดความชุ่มชื้น และเสื่อมสภาพเร็วขึ้นกว่าปกติ

                                                                • นอนหลับไม่เพียงพอ

                                                                การนอนหลับไม่เพียงพอ ทำให้ร่างกายไม่สามารถหลั่ง Growth Hormone ออกมาได้อย่างเต็มที่ ซึ่ง Growth Hormone มีบทบาทสำคัญในการซ่อมแซม และฟื้นฟูส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เมื่อนอนหลับไม่เพียงพอ ร่างกายจะหลั่ง Cortisol Hormone ออกมาแทน ส่งผลให้คอลลาเจนลดลง ผิวเกิดความหย่อนคล้อย ดูไม่สดใสได้

                                                                • ดื่มน้ำไม่เพียงพอ

                                                                การดื่มน้ำน้อย หรือดื่มน้ำไม่เพียงพอ อาจทำให้ร่างกายขาดน้ำ และส่งผลเสียต่อสุขภาพผิวในระยะยาว ทำให้ผิวแห้งกร้าน ขาดความยืดหยุ่น และเกิดริ้วรอยได้ง่าย

                                                                • ความเครียดสะสม

                                                                เมื่อมีความเครียด ร่างกายจะหลั่ง Cortisol Hormone ออกมามากขึ้น ซึ่งส่งผลให้เซลล์ผิวเสื่อมสภาพเร็ว และผิวแก่ก่อนวัย อีกทั้ง ความเครียดยังสามารถสังเกตได้จากการแสดงสีหน้า หากมีความเครียดมาก คิ้วจะเริ่มขมวด และใบหน้าบึ้งตึง ซึ่งทำให้เกิดริ้วรอยก่อนวัยได้อีกด้วย

                                                                • แต่งหน้าหนัก 

                                                                การแต่งหน้าหนัก หรือแต่งหน้าบ่อย ๆ โดยไม่ปล่อยให้ผิวได้พัก อาจทำให้รูขุมขนอุดตัน และส่งผลเสียต่อสุขภาพผิวโดยรวมได้ อีกทั้ง การทำความสะอาดผิวหน้าแรง ๆ เช่น การใช้สำลีถูหน้า อาจทำให้เกิดการเสียดสี จนผิวเกิดริ้วรอยได้ง่าย

                                                                 

                                                                รวมมิตรโปรแกรมฮิต ล็อกหน้าเด็ก เป๊ะทุกองศา 

                                                                • โปรแกรม Radiesse 

                                                                Radiesse คือ สารเติมเต็มที่ผลิตจาก Calcium Hydroxylapatite หรือ CaHA ซึ่งเป็นสารที่สามารถพบได้ในร่างกาย จึงมีความปลอดภัย ไม่ใช่สารแปลกปลอมใด ๆ โดย Radiesse มีคุณสมบัติพิเศษ ในการกระตุ้นการสร้างเส้นใยตาข่ายตรึงผิวใหม่ถึง 5 ประการ ได้แก่ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน Type 1,  กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน Type 3, กระตุ้นการสร้าง Elastin, กระตุ้นการสร้าง Proteoglycan และ กระตุ้นการสร้าง Angiogenesis เมื่อฉีด Radiesse เข้าไปยังผิวหนังแล้ว CaHA จะกระตุ้นการทำงานของ Fibroblasts ให้ผลิตคอลลาเจนใหม่มากขึ้น เพื่อเสริมความแข็งแรงให้ผิวถึงระดับโครงสร้าง ส่งผลให้ผิวดูเติมเต็ม หน้าเด็ก มีความอิ่มฟู และทำให้ร่องลึกต่าง ๆ ดูตื้นขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ สามารถคงผลลัพธ์ได้ยาวนานถึง 24 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวแต่ละบุคคล

                                                                • โปรแกรม Sculptra

                                                                Sculptra คือ สารกระตุ้นคอลลาเจนที่ผลิตจาก Poly-L-Lactic Acid หรือ PLLA ซึ่งเป็นสารแบบเดียวกับเส้นไหมที่แพทย์นำมาใช้ในการเย็บแผล อีกทั้ง ยังเป็นสารกระตุ้นคอลลาเจนตัวแรก และตัวเดียวที่ได้รับการรับรองจาก องค์การอาหารและยาในสหรัฐอเมริกา (US FDA) โดย Sculptra มีคุณสมบัติพิเศษ ในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน Type 1 มากถึง 66.5% เมื่อฉีด Sculptra เข้าสู่ผิวหน้าแล้ว PLLA จะไปกระตุ้นการทำงานของ Fibroblasts ที่อยู่ใต้ชั้นผิว ให้เกิดการรวมตัวกัน และผลิตคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ เพื่อฟื้นฟูโครงสร้างผิว และเสริมชั้นผิวให้แข็งแรง ส่งผลให้ผิวเกิดการยกกระชับ หน้าเด็กลง ผิวมีความหนาแน่น และยืดหยุ่นมากขึ้น สามารถคงผลลัพธ์ได้ยาวนานถึง 24 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวแต่ละบุคคล

                                                                • โปรแกรม Ultherapy Prime

                                                                Ultherapy Prime คือ เทคโนโลยียกกระชับที่ถูกพัฒนาต่อยอดมาจาก Ulthera รุ่นเดิม โดย Ultherapy Prime มีการปรับปรุงประสิทธิภาพให้สูงขึ้น และมีความรวดเร็วขึ้นถึง 20% รวมถึง หน้าจอที่มีขนาดใหญ่ถึง 35% ทำให้แพทย์สามารถทำการรักษาได้อย่างสะดวกสบาย และมีความแม่นยำมากขึ้น ซึ่ง Ultherapy Prime จะส่งพลังงาน Micro-Focused Ultrasound ลงลึกเข้าสู่ชั้นผิวได้ถึง 3 ระดับ สามารถแก้ไขปัญหาครอบคลุมในทุกระดับชั้นผิว ตั้งแต่ 1.5 มม. สำหรับลดริ้วรอย กระชับรูขุมขนชั้นบน, 3.0 มม. สำหรับลดความหย่อนคล้อยของผิว และ 4.5 มม. สำหรับชั้น SMAS ยกกระชับผิว ทั้งแก้ม เหนียง ลำคอ ส่งผลให้ผิวแน่นกระชับ เต่งตึง และหน้าเด็ก ดูอ่อนกว่าวัยมากขึ้น สามารถคงผลลัพธ์ยาวนานถึง 12 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวแต่ละบุคคล

                                                                • โปรแกรม Thermage FLX

                                                                Thermage FLX คือ เทคโนโลยียกกระชับ และลดไขมัน โดยใช้คลื่นวิทยุความถี่สูง (Monopolar RF) ส่งพลังงานลงไปยังชั้นผิวหนังแท้ (Dermis) และชั้นไขมันใต้ผิวหนัง (Subcutaneous Fat) ทำให้เกิดความร้อน และเกิดอาการสั่น Vibration ในชั้นผิวหนังแท้ และชั้นไขมัน จากนั้นคอลลาเจนจะเกิดการหดตัวลงทันที พร้อมกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ทดแทน อีกทั้ง ความร้อนนี้ ยังเข้าไปลดไขมันส่วนเกินในชั้นไขมัน โดยเฉพาะบริเวณแก้ม และเหนียง ส่งผลให้กรอบหน้าชัด ผิวเฟิร์มแน่น และลดเลือนริ้วรอยได้ สามารถคงผลลัพธ์ได้ยาวนานถึง 12 – 24 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวแต่ละบุคคล

                                                                 

                                                                อยากหน้าเด็ก ผิวสวยเหมือน 14 อีกครั้ง ต้องมาพิสูจน์ผลลัพธ์ที่ รมย์รวินท์คลินิกเท่านั้น ไม่ว่าจะมีปัญหาผิวหน้าแบบไหน โปรแกรม Radiesse, โปรแกรม Sculptra, โปรแกรม Ultherapy Prime และโปรแกรม Thermage FLX สามารถช่วยให้คุณมีผิวหน้าที่อ่อนกว่าวัย เปล่งปลั่ง และดูดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ ที่ รมย์รวินท์คลินิก เรามีทีมแพทย์ที่มีความรู้ ความชำนาญเกี่ยวกับโครงสร้างผิวหน้า พร้อมให้การดูแล และให้คำปรึกษาปัญหาผิวแบบเฉพาะบุคคล เพื่อให้ได้รับผลลัพธ์ที่ดีที่สุด และปลอดภัยที่สุด

                                                                Coolsculpting Elite สยบไขมันด้วยความเย็น

                                                                Coolsculpting Elite สยบไขมันด้วยความเย็น

                                                                ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                                                  วันที่สะดวกในการติดต่อ








                                                                  Coolsculpting Elite ตัวช่วยสยบไขมันด้วยความเย็น ลดไขมันได้ดีจริงไหม?

                                                                   

                                                                  ในยุคที่ใครก็ต่างให้ความสำคัญกับการดูแลรูปร่าง ดูแลตัวเอง เพราะการมีรูปร่างที่ดีจะช่วยเพิ่มความมั่นใจได้อย่างมาก ซึ่งในปัจจุบันก็มีตัวช่วยเรื่องหุ่นอย่าง Coolsculpting Elite เทคโนโลยีลดไขมันด้วยความเย็น ที่จะมาช่วยลดไขมันและกระชับสัดส่วนเฉพาะจุดได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องพึ่งการผ่าตัด

                                                                   

                                                                  Coolsculpting Elite ลดไขมันด้วยความเย็นคืออะไร
                                                                  Coolsculpting Elite ลดไขมันด้วยความเย็นคืออะไร

                                                                   

                                                                  Coolsculpting Elite ลดไขมัน ด้วยความเย็น คืออะไร?

                                                                  • ทำความรู้จักกับเทคโนโลยีที่จะช่วยสานฝันหุ่นสวยให้คุณได้อย่างรวดเร็ว Coolsculpting Elite คือ เทคโนโลยีลดไขมันด้วยความเย็นสัญชาติอเมริกา Coolsculpting Elite เป็นเครื่องที่พัฒนามาจาก Coolsculpting ซึ่งเป็นรุ่นเดิม โดยเพิ่มหัวแอปพลิเคเตอร์ (Applicator) ตัวใหม่รูปทรงตัว C เพิ่มทั้งหมด 3 หัว และปรับขนาดหัวแอปพลิเคเตอร์ให้มีขนาดใหญ่ขึ้นกว่า 20% ออกแบบมาให้เหมาะกับสรีระของร่างกายหลาย ๆ จุด ทั้งยังสามารถทำงานพร้อมกันได้ทั้ง 2 จุดในเวลาเดียวกัน เพิ่มความสะดวก ประหยัดเวลา และยังเห็นผลได้ไวขึ้น
                                                                  • ซึ่ง Coolsculpting Elite เป็นเทคโนโลยีลดไขมันที่ได้รับความสนใจอย่างมากในตอนนี้ เนื่องจากสามารถลดไขมันได้ด้วยความเย็นจัด ที่เรียกว่า Cryolipolysis ที่ช่วยลดไขมันอุณหภูมิ -11 ถึง -13 องศา ทำให้เซลล์ไขมันตายและหายไป นอกจากนี้ Coolsculpting Elite ยังมีความปลอดภัย เพราะได้รับการรับรองจาก U.S. FDA หรือ อย. อเมริกาและได้รับรอง อย. ไทย มีงานวิจัยรองรับมากกว่า 120 ฉบับ ลดไขมันได้โดยไม่ต้องผ่าตัด ทั้งยังให้ผลลัพธ์ที่ตรงใจ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก ยกกระชับ ลดสัดส่วนให้ได้ตามที่ต้องการ

                                                                   

                                                                  หลักการทำงานของ Coolsculpting Elite

                                                                  • Coolsculpting Elite เป็นเครื่องที่ช่วยลดไขมันเฉพาะจุด จะทำงานโดยการปล่อยพลังงานความเย็นด้วย Cryolipolysis แบบเสถียรในช่วงอุณหภูมิ –11 ถึง –13 องศา ลงไปยังเซลล์ไขมันที่อยู่ใต้ชั้นผิวหนัง ทำให้เซลล์ไขมันนั้น ถูกผลึกให้เป็นน้ำแข็งแและถูกทำลาย เซลล์ไขมันจะตาย และถูกขับออกจากทางร่างกายผ่านกระบวนการขับของเสียตามธรรมชาติ จึงทำให้ Coolsculpting Elite สามารถลดไขมันได้อย่างมีประสิทธิภาพแบบยั่งยืน นอกจากนี้ Coolsculpting Elite ยังมีความปลอดภัย และสามารถยิงพลังงานได้อย่างเสถียร เนื่องจากมีระบบ Freeze Detect ที่ช่วยตัดความเย็นให้เหมาะสมกับผล ลดโอกาสผิวเบิร์น ป้องกันความเสี่ยงที่เนื้อเยื่อจะเกิดความเสียหายได้ ทั้งนี้ระบบ Freeze Detect ยังได้รับการจดสิทธิบัตรเฉพาะเครื่อง Coolsculpting Elite เท่านั้น

                                                                   

                                                                  ซึ่ง Coolsculpting Elite นั้นจะมีหัว Applicators อยู่ทั้งหมด 7 หัว ที่สามารถเลือกใช้ในตำแหน่งที่เหมาะสมได้ทั่วร่างกาย 

                                                                   

                                                                  Coolsculpting Elite มีกี่หัว แต่ละหัวแตกต่างกันไหม?

                                                                  ลดไขมันด้วยความเย็น แบบปลอดภัย ด้วย Coolsculpting Elite ดีไหม ? ต้องบอกก่อนว่าปัจจุบัน Coolsculpting Elite ได้มีการพัฒนาหัว Applicators ให้มีหลายขนาดมากขึ้น เพื่อตอบโจทย์ผู้ใช้งานได้หลากหลายจุด โดยหัว Applicators ของ Coolsculpting Elite นั้นเป็นแบบ 2 IN 1 ซึ่งมีหัว 2 แบบ จึงสามารถทำได้ สามารถทำได้ 2 จุด พร้อมกันในเวลาเดียว ช่วยให้ประหยัดเวลาในการทำมากขึ้น และยังพัฒนาหัว Applicators ให้มีความใหญ่ขึ้น เพื่อช่วยเพิ่มหน้าที่ในการทำงานของ Coolsculpting Elite ได้ครอบคลุมมากขึ้น ทำให้สามารถลดไขมันได้มากกว่า 20% และยังสามารถเข้าถึงไขมันได้หลายส่วนมากขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของ Coolsculpting Elite ได้เต็มที่มากขึ้น โดยหัว Applicators จะมีทั้งหมด 7 ไซส์ แต่ละหัวก็มีคุณสมบัติที่แตกต่าง และเหมาะกับแต่ละจุดแตกต่างกันไป ดังนี้

                                                                   

                                                                  • CoolAdvantage เป็นหัว Applicator ที่ได้รับความนิยมสูง เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาไขมันสะสมระดับปานกลาง สามารถทำได้หลายส่วน ไม่ว่าจะเป็น เอว หน้าอกผู้ชาย แขน บริเวณปีกหลัง ท้อง ต้นขาด้านใน และใต้ก้น 
                                                                  • CoolAdvantage Petite เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาไขมันสะสมน้อย โดยหัวนี้จะใช้ลดไขมันได้หลายจุด เช่น ท้อง หน้าอกผู้ชาย เอว แขน บริเวณปีกหลัง ต้นขาด้านใน และใต้ก้น 
                                                                  • CoolAdvantage Plus เป็นหัวที่มีขนาดใหญ่ จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาไขมันสะสมที่เยอะ โดยจะใช้ลดไขมันบริเวณร่างกายที่มีพื้นที่เยอะ เช่น เอว ท้อง
                                                                  • CoolMini เป็นหัว Applicator ที่มีขนาดเล็กที่สุด จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีไขมันมันบริเวณเฉพาะจุด เช่น เหนียง เนื้อใต้รักแร้ หรือบริเวณนมน้อย หรือบริเวณที่เนื้อมีความย้วย
                                                                  • CoolSmooth Pro เป็นหัว Applicator เฉพาะที่ ใช้สำหรับลดไขมันบริเวณขาด้านนอก และบริเวณใต้สะโพกลงมา ทั้งยังสามารถใช้ทำซิกแพ็คบริเวณหน้าท้องได้

                                                                   

                                                                  หัว Applicators ตัวใหม่ของ Coolsculpting Elite นั้นจะแบ่งออกเป็น 3 Series ซึ่งแต่ละ Series นั้นก็มีคุณสมบัติ และความโดดเด่นที่แตกต่างกันไป ดังนี้

                                                                   

                                                                  • Curve Series เป็นหัว Applicator ที่มาใหม่ของ Coolsculpting Elite เหมาะกับบริเวณส่วนโค้งเว้าของร่างกาย โดยแบ่งออกเป็น

                                                                  หัว Curve 80 ช่วยลดไขมันโดยเฉพาะ ในบริเวณที่มีพื้นที่แคบ เช่น คาง หรือเหนียง เหนือหัวเข่า และนมน้อย

                                                                  หัว Curve 120 ช่วยลดไขมันบริเวณที่มีพื้นกว้างปานกลาง เช่น ต้นขาด้านใน หน้าท้อง และเอว

                                                                  หัว Curve 150 ช่วยลดไขมันบริเวณที่มีพื้นที่กว้าง เช่น บริเวณหน้าท้อง และบั้นท้าย

                                                                  หัว Curve 240 ช่วยลดไขมันส่วนเกินของผู้ที่มีปัญหาไขมันสะสมเยอะ ทั้งยังช่วยยกกระชับผิวให้ได้สัดส่วนมากขึ้น

                                                                  • Flat Series เป็นหัว Applicator ที่มาใหม่ของ Coolsculpting Elite มีความแบนจึงเหมาะสำหรับบริเวณผิวที่เรียบแบน โดยแบ่งออกเป็น

                                                                  หัว Flat 125 ช่วยลดไขมันส่วนเกินในบริเวณต้นขาด้านใน และบริเวณต้นแขน

                                                                  หัว Flat 165 ช่วยลดไขมันส่วนเกินในบริเวณหน้าท้องส่วนบน และหน้าท้องส่วนล่าง

                                                                  • Surface 150 ป็นหัว Applicator ที่มาใหม่ของ Coolsculpting Elite เหมาะสำหรับบริเวณที่หัวอื่น ๆ ไม่สามารถหนีบได้ เช่น บริเวณหน้าท้อง และต้นขาด้านนอก ช่วยลดไขมันส่วนเกินได้

                                                                   

                                                                  Coolsculpting Elite ช่วยอะไรบ้าง
                                                                  Coolsculpting Elite ช่วยอะไรบ้าง

                                                                   

                                                                  Coolsculpting Elite ช่วยอะไรบ้าง ?

                                                                  Coolsculpting Elite ช่วยเรื่องอะไรบ้าง ? เป็นอีกหนึ่งคำถามยอดฮิตที่หลาย ๆ คนกำลังสงสัย ซึ่ง Coolsculpting Elite นั้นสามารถช่วยลดไขมันในร่างกายได้หลายจุด ดังนี้

                                                                  • Coolsculpting Elite ช่วยลดไขมันต้นแขน แก้ปัญหาต้นแขนใหญ่ แขนไม่กระชับ แขนย้วย
                                                                  • Coolsculpting Elite ช่วยลดไขมันต้นขา แก้ปัญหาต้นแขนขาใหญ่ ไม่กระชับ หรือปัญหาขาเบียด
                                                                  • Coolsculpting Elite ช่วยลดไขมันหน้าท้อง แก้ปัญหาหน้าท้องไม่แบนราบ หรืออ้วนลงพุง  
                                                                  • Coolsculpting Eliteช่วยลดไขมันบริเวณรอบ ๆ เอว หรือเอวห่วงยาง ช่วยกระชับเอวให้ได้สัดส่วน
                                                                  • Coolsculpting Elite ช่วยลดไขมันบริเวณสะโพก และบริเวณก้น แก้ปัญหาสะโพกใหญ่ มีความย้วย ลดไขมันใต้ก้น ให้กระชับได้สัดส่วนขึ้น

                                                                  ขั้นตอนการทำ Coolsculpting Elite

                                                                  การทำ Coolsculpting Elite สามารถทำได้ง่าย ๆ โดยไม่ต้องมีขั้นตอนเยอะ เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีที่ออกแบบมาเพื่อลดไขมันด้วยความเย็นจัดโดยเฉพาะ ทำให้มีความปลอดภัย สะดวกสบาย และประหยัดเวลา ซึ่งขั้นตอนของ Coolsculpting Elite มีดังนี้

                                                                   

                                                                  • ก่อนเริ่มทำ Coolsculpting Elite ควรเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์ เพื่อให้เข้าใจถึงปัญหา ความกังวลของคนไข้ และทางแพทย์จะได้วางแผนการรักษาด้วยเครื่อง Coolsculpting Elite ได้ถูกต้องและตรงจุด 
                                                                  • แพทย์เลือกใช้หัว Applicator ตามตำแหน่งร่างกายที่ต้องการรักษา โดยแพทย์จะออกแบบการวางหัว Applicator บนผิวหนังตามสรีระร่างกาย จากนั้นจะเริ่มทำการรักษา
                                                                  • ขั้นตอนการรักษา แพทย์จะเริ่มวางหัว Applicator ในจุดที่ต้องการ จากนั้นจะทำการปล่อยพลังงานความเย็นเข้าไปที่ชั้นเซลล์ไขมันประมาณ 35 นาที
                                                                  • จากนั้นแพทย์จะทำการนวดก้อนไขมันเป็นเวลา 2 นาที เพื่อให้ก้อนไขมันนั้นแตกออกจากกัน และทำให้ไขมันสลายได้ดียิ่งขึ้น ผลลัพธ์จะเห็นได้ชัดขึ้น
                                                                  • เมื่อทำการรักษาเสร็จเรียบร้อย แพทย์จะทำการแนะนำวิธีดูแลตัวเองหลังทำ Coolsculpting Elite อย่างละเอียด จากนั้นจะทำการนัดหมายเพื่อมาติดตามผลอีกครั้ง แพทย์แนะนำวิธีดูแลตัวเองหลังทำอย่างใกล้ชิด และอาจมีการนัดหมายติดตามผลอย่างต่อเนื่อง

                                                                   

                                                                  การดูแลตัวเองหลังการทำ Coolsculpting Elite

                                                                  หลังลดไขมันด้วย Coolsculpting Elite ไม่ต้องพักฟื้น สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ โดยในช่วงแรกหลังทำ อาจจะรู้สึกถึงความปวด หรือชา ในบริเวณที่รักษาได้ แต่เป็นเพียงอาการชั่วคราวที่หายได้  ซึ่งวิธีดูแลตัวเองหลังทำ Coolsculpting Elite มีดังนี้

                                                                  • ควรสวมใส่เสื้อผ้าที่สบายในช่วงแรก เพื่อช่วยลดการระคายเคืองในบริเวณที่ทำการรักษาด้วย Coolsculpting Elite
                                                                  • ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อช่วยสร้างกล้ามเนื้อ และช่วยเรื่องระบบเผาผลาญในร่างกายให้ทำงานได้ดีขึ้น โดยควรเริ่มออกกำลังกายเบา ๆ เช่น การเดิน วิ่ง หรือเล่นโยคะ
                                                                  • ควรเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผัก ผลไม้ โปรตีนไขมันต่ำ และธัญพืชไม่ขัดสี
                                                                  • ควรหลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป ของทอด น้ำตาล และเครื่องดื่มที่มีแคลอรีสูง เช่น น้ำอัดลม และแอลกอฮอล์ ที่อาจจะทำให้เกิดไขมันส่วนเกินในร่างกายได้
                                                                  • ควรดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย เพื่อช่วยให้ร่างกายขับของเสียออก และช่วยให้ระบบเผาผลาญทำงานได้ดีขึ้น
                                                                  • หลีกเลี่ยงการนวด หรือกดแรง ๆ บริเวณที่ทำการรักษาในช่วงสัปดาห์แรก
                                                                  • หากมีอาการผิดปกติ เช่น บวม แดง หรือปวดบริเวณที่ทำการรักษาอย่างรุนแรง ควรปรึกษาแพทย์ทันที
                                                                  • เข้าพบแพทย์เพื่อติดตามอาการหลังทำ 

                                                                   

                                                                  Coolsculpting Elite เหมาะกับใคร
                                                                  Coolsculpting Elite เหมาะกับใคร

                                                                   

                                                                  Coolsculpting Elite ลดไขมัน เหมาะกับใคร

                                                                  • Coolsculpting Elite เหมาะสำหรับผู้ที่มีไขมันน้อยถึงปานกลาง มีค่าดัชนีมวลหรือค่า BMI<35
                                                                  • Coolsculpting Elite เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดสัดส่วนให้มีความกระชับ
                                                                  • Coolsculpting Elite เหมาะสำหรับผู้ที่มีไขมันสะสม มีไขมันส่วนเกินเฉพาะจุดตามร่างกาย เช่น หน้าท้อง ต้นขา ต้นแขน เหนียง
                                                                  • Coolsculpting Elite เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการหุ่นสวยแบบเร่งด่วน อยากได้หุ่นที่ต้องการ
                                                                  • Coolsculpting Elite เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่มีเวลาออกกำลังกาย ไม่มีเวลาควบคุมอาหาร
                                                                  • Coolsculpting Elite เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่อยากพักฟื้นนาน
                                                                  • Coolsculpting Elite เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่อยากผ่าตัด 

                                                                   

                                                                  Coolsculpting Elite ไม่เหมาะกับใคร

                                                                  • Coolsculpting Elite ไม่เหมาะกับ ผู้ที่เป็นโรคเกี่ยวกับความเย็น เช่น โรคภูมิแพ้ความเย็น (Cold Urticaria) หรือโรคเลือดผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับความเย็น (Cryoglobulinemia, Paroxysmal Cold Hemoglobinuria)
                                                                  • Coolsculpting Elite ไม่เหมาะกับ ผู้ที่มีปัญหาผิวหนังรุนแรงในบริเวณที่ต้องการทำ เช่น มีแผลเปิด การติดเชื้อ หรือปัญหาผิวอื่น ๆ ที่อาจทำให้การรักษาไม่ปลอดภัย
                                                                  • Coolsculpting Elite ไม่เหมาะกับ สตรีมีครรภ์หรือให้นมบุตร เนื่องจากหลังทำ Coolsculpting Elite อาจจะทำให้เกิดอันตรายต่อทารกในครรภ์ได้
                                                                  • Coolsculpting Elite ไม่เหมาะกับ ผู้ที่มีน้ำหนักเกินมาก Coolsculpting Elite ไม่ใช่วิธีลดน้ำหนัก แต่เหมาะสำหรับการปรับรูปร่างและกำจัดไขมันเฉพาะจุด
                                                                  • Coolsculpting Elite ไม่เหมาะกับ ผู้ที่มีภาวะสุขภาพไม่เหมาะสม เช่น โรคร้ายแรงที่ยังไม่ได้รับการรักษา หรือผู้ที่แพทย์ประเมินว่าไม่เหมาะสมกับการทำหัตถการนี้
                                                                  • Coolsculpting Elite ไม่เหมาะกับ ผู้ที่คาดหวังผลลัพธ์เกินจริง ควรเข้าใจว่า Coolsculpting Elite ช่วยลดไขมันเฉพาะจุด แต่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงรูปร่างได้ในทันที หรือลดน้ำหนักได้ทันที

                                                                   

                                                                  ข้อดีของการทำ Coolsculpting Elite ลดไขมันด้วยความเย็น

                                                                  • Coolsculpting Elite เป็นเทคโนโลยีลดไขมันด้วยความเย็น ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องใช้เข็ม มีความปลอดภัย พักฟื้นน้อย สามารถใช้ชีวิตปกติได้เลยหลังทำ
                                                                  • Coolsculpting Elite ช่วยลดไขมันส่วนเกินเฉพาะจุดได้ และช่วยแก้ปัญหาเซลลูไลท์ได้หลายบริเวณในร่างกาย 
                                                                  • Coolsculpting Elite ช่วยกำจัดเซลล์ไขมัน พร้อมกระชับสัดส่วนให้มีความสวยงาม ได้หุ่นที่สวยตามต้องการ
                                                                  • Coolsculpting Elite เป็นเทคโนโลยีลดไขมันที่มีงานวิจัยทางการแพทย์รองรับมากกว่า 120 ฉบับ
                                                                  • Coolsculpting Elite ได้รับการรับรองว่าผ่านการทดสอบและรับรองมาตรฐานจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) จากไทยและต่างประเทศ จึงมั่นใจได้ว่าปลอดภัยต่อผู้ใช้
                                                                  • Coolsculpting Elite เป็นการลดไขมันด้วยเทคโนโลยีความเย็น ที่ใช้เวลาไม่นาน มีขั้นตอนที่สะดวก ไม่ยุ่งยาก สามารถเห็นผลได้ไว

                                                                   

                                                                  ความรู้สึกระหว่างที่ทำ Coolsculpting Elite

                                                                  สำหรับผู้ที่มีความสนใจอยากลองลดไขมันด้วยเครื่อง Coolsculpting Elite แต่ยังกังวลว่าจะมีความเจ็บปวดไหม? หรือมีความรู้สึกอย่างไรระหว่างทำ โดยทั่วไปแล้ว การลดไขมันด้วยเครื่อง Coolsculpting Elite จะใช้เทคโนโลยีความเย็นในการฟรีซเซลล์ไขมันให้ตาย ซึ่งอาจจะทำให้บริเวณที่ทำการรักษานั้นรู้สึกตึง ๆ เย็น ๆ มีความชา หรืออาจจะมีอาการปวดร่วมด้วยเล็กน้อย และหลังจากทำ Coolsculpting Elite เสร็จแล้วอาการดังกล่าวจะค่อย ๆ ดีขึ้น และหายไปตามลำดับ

                                                                   

                                                                  ผลลัพธ์หลังทำ Coolsculpting Elite

                                                                  • หลังทำ Coolsculpting Elite สามารถเห็นผลได้ตั้งแต่ครั้งแรก โดยหลังทำ Coolsculpting Elite จะสามารถลดไขมันได้ถึง 27–31% ของไขมันทั้งหมดในบริเวณที่ทำการรักษา
                                                                  • หลังทำ Coolsculpting Elite จะสามารถเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนขึ้นภายใน 2–3 เดือน หลังทำการรักษา และผลลัพธ์สามารถอยู่ได้ยาวนานขึ้น หากมีการควบคุมน้ำหนักที่ดี
                                                                  • แนะนำให้ทำการรักษาด้วย Coolsculpting Elite อย่างต่อเนื่อง เพื่อคงผลลัพธ์และกำจัดไขมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
                                                                  • ผลลัพธ์ในการทำ Coolsculpting Elite นั้นจะขึ้นอยู่กับปริมาณไขมันและปัญหา ความกังวล ของแต่ละบุคคล

                                                                   

                                                                  ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นหลังทำ Coolsculpting Elite

                                                                  หลังการทำ Coolsculpting Elite ลดไขมัน อาจจะเกิดผลข้างเคียงที่เกิดจากขั้นตอนระหว่างทำได้ โดยผลข้างเคียงที่อาจะเกิดได้หลังทำ Coolsculpting Elite นั้นก็อาจมีหลายอาการ ไม่ว่าจะเป็น

                                                                  • ผลข้างเคียงหลังทำ Coolsculpting Elite อาจมีอาการบวม แดง ตึง ผิวบริเวณที่ทำมีการเปลี่ยนสีชั่วคราว หรือเกิดรอยฟกช้ำในบริเวณที่ทำการรักษา
                                                                  • ผลข้างเคียงหลังทำ Coolsculpting Elite ในช่วง 1–2 สัปดาห์แรก อาจรู้สึกเจ็บ ชา คัน หรือมีรอยแดงและบวมในบริเวณที่ทำการรักษา

                                                                  แต่อาการเหล่านี้จะค่อย ๆ หายไปหลังจากทำประมาณ 1-2 สัปดาห์ และจะเริ่มเห็นว่าสัดส่วนและไขมันในร่างกายลดลงภายใน 2–3 เดือนหลังการทำ หากพบว่ายังมีอาการข้างเคียงที่ยังไม่หาย หรือมีอาการอื่น ๆ นอกเหนือจากที่กล่าวมานั้น แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ทันที

                                                                   

                                                                  Coolsculpting Elite ทำที่ไหนดี
                                                                  Coolsculpting Elite ทำที่ไหนดี

                                                                   

                                                                  Coolsculpting Elite ต่างกับ Coolsculpting รุ่นเดิมอย่างไร ?

                                                                  ไขข้อสงสัย Coolsculpting Elite กับ Coolsculpting รุ่นเดิม มีความแตกต่างกันอย่างไร? และควรเลือกทำเครื่องไหนดี? วันนี้เรามีคำตอบ 

                                                                   

                                                                  Coolsculpting รุ่นเดิม

                                                                  • Coolsculpting รุ่นเดิม มีจำนวนหัว Applicator 5 หัว
                                                                  • Coolsculpting รุ่นเดิม สามารถทำได้ทีละหัว 
                                                                  • Coolsculpting รุ่นเดิม มีความเจ็บน้อย เนื่องจากใช้หัว Applicator แบบสุญญากาศ
                                                                  • Coolsculpting รุ่นเดิม สามารถลดไขมันได้ดี และให้ผลลัพธ์ที่ยาวนาน
                                                                  • Coolsculpting รุ่นเดิม เหมาะสำหรับผู้ที่มีไขมันไม่เยอะมาก และต้องการลดไขมันในราคาที่คุ้มค่า
                                                                  • Coolsculpting รุ่นเดิม มีราคาที่ประหยัดกว่า
                                                                  • Coolsculpting รุ่นเดิม มีความเสถียรในการปล่อยพลังงานเนื่องจากปล่อยพลังงานเพียงหัวเดียว

                                                                   

                                                                  Coolsculpting Elite

                                                                  • Coolsculpting Elite มีจำนวนหัว Applicator 7 หัว
                                                                  • Coolsculpting Elite สามารถทำหลายหัวพร้อมกันได้ในครั้งเดียว 
                                                                  • Coolsculpting Elite สามารถปรับการใช้งานให้สะดวกได้ยิ่งขึ้น
                                                                  • Coolsculpting Elite สามารถลดไขมันได้ดีและผลลัพธ์ยาวนานเหมือนกัน
                                                                  • Coolsculpting Elite เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดไขมันเร็วขึ้น และต้องการความสะดวกสบายยิ่งขึ้น
                                                                  • Coolsculpting Elite มีราคาที่สูงกว่า

                                                                   

                                                                  Coolsculpting Elite กับ การผ่าตัดดูดไขมัน ต่างกันอย่างไร ?

                                                                  ใครที่กำลังมีข้อสงสัยว่าแล้ว Coolsculpting Elite กับ ดูดไขมัน ต่างกันอย่างไร ? เลือกทำแบบไหนดี ? วันนี้เราจะมาอธิบายเกี่ยวกับข้อสงสัย สำหรับผู้ที่ต้องการลดไขมัน และอยากได้ทางเลือกที่ดีที่สุด และตอบโจทย์กับปัญหาได้มากที่สุด ซึ่งความแตกต่างระหว่างการทำ Coolsculpting Elite กับการดูดไขมัน มีดังนี้

                                                                   

                                                                  Coolsculpting Elite

                                                                  • Coolsculpting Elite ใช้เทคโนโลยีความเย็น Cryolipolysis ที่ช่วยลดไขมันในอุณหภูมิ -11 ถึง -13 องศา เพื่อทำลายเซลล์ไขมันแบบไม่ต้องผ่าตัด และร่างกายจะกำจัดเซลล์ไขมันออกเองตามธรรมชาติ สามารถทำได้หลายส่วนบนร่างกาย
                                                                  • Coolsculpting Elite เหมาะกับคนที่มีไขมันสะสมเฉพาะจุด หรือมี BMI<35  
                                                                  • Coolsculpting Elite เป็นการใช้เครื่อง ไม่ใช่การผ่าตัด จึงไม่มีการวางยาสลบ และไม่มีแผล
                                                                  • Coolsculpting Elite มีความเสี่ยงต่ำ มีความปลอดภัยสูง เนื่องจากเครื่องผ่านการรับรองอย. ทั้งไทย และต่างประเทศ
                                                                  • Coolsculpting Elite หลังทำอาจมีอาการปวดระบม หรือบวมในจุดที่เซลล์ไขมันตายและค้างอยู่ ซึ่งผลข้างเคียงจะหายได้เองใน 1-2 สัปดาห์
                                                                  • Coolsculpting Elite หลังทำไม่ต้องพักฟื้น สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ
                                                                  • Coolsculpting Elite จะค่อย ๆ เริ่มเห็นผลลัพธ์ใน 3-4 สัปดาห์ และจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนเต็มที่ใน 3 เดือน
                                                                  • Coolsculpting Elite มีค่าใช้จ่ายต่อครั้งที่อาจจะต่ำกว่าการดูดไขมัน แต่ต้องเข้ามาทำซ้ำ ในบางกรณีเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

                                                                   

                                                                  การผ่าตัดดูดไขมัน

                                                                  • การผ่าตัดดูดไขมัน เป็นวิธีการผ่าตัดที่ใช้เครื่องมือเฉพาะในการดูดเซลล์ไขมันออกจากร่างกายโดยตรงและทันที ช่วยปรับรูปร่างและลดสัดส่วนได้อย่างรวดเร็ว และต้องดำเนินการโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น
                                                                  • การผ่าตัดดูดไขมัน เหมาะกับคนที่มีปริมาณไขมันเยอะ หรือมี BMI>35
                                                                  • การผ่าตัดดูดไขมัน เป็นการผ่าตัดที่ช่วยปรับรูปร่างและลดสัดส่วนได้อย่างรวดเร็ว สามารถทำได้หลายส่วนบนร่างกาย
                                                                  • การผ่าตัดดูดไขมัน หลังทำผิวบริเวณที่ทำอาจมีอาการเจ็บบวม ฟกช้ำ ผิวเป็นคลื่นไม่เรียบเนียน
                                                                  • การผ่าตัดดูดไขมัน อาจมีความเสี่ยงจากการผ่าตัดได้ เช่น การติดเชื้อ หรือผลข้างเคียงจากการใช้ยาชา
                                                                  • การผ่าตัดดูดไขมัน อาจต้องใช้ระยะเวลาในการพักฟื้นนานถึง 1-2 เดือน ซึ่งขึ้นอยู่กับปริมาณไขมันที่ดูดออก
                                                                  • การผ่าตัดดูดไขมัน จะเห็นผลลัพธ์เต็มที่ประมาณ 3-4 เดือน หลังทำ
                                                                  • การผ่าตัดดูดไขมัน มีค่าใช้จ่ายต่อครั้งที่สูงกว่า แต่ทำเพียงครั้งเดียวก็สามารถแก้ปัญหาไขมันส่วนเกินได้

                                                                   

                                                                  สำหรับใครที่เลือกไม่ได้ว่า ดูดไขมัน กับ Coolsculpting Elite ทำอันไหนดี แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ เพื่อประเมินสัดส่วน วิเคราะห์ปัญหา และวางแผนการแก้ไขให้ตรงจุด เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัดดูดไขมัน หรือ การใช้เครื่องลดไขมัน Coolsculpting Elite หากต้องการผลลัพธ์ในระยะยาว และถาวร ควรควบคุมอาหาร และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตร่วมด้วย

                                                                   

                                                                  ทำ Coolsculpting Elite ที่ไหนดี ?

                                                                   

                                                                  หากต้องการที่จะทำ Coolsculpting Elite ลดไขมันด้วยความเย็นนั้น ต้องศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่รักษาให้ดี เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ดี การเลือกคลินิก ทำ Coolsculpting Elite ที่ไหนดี ? นั้นสำคัญมาก ซึ่งมีวิธีเลือก ดังนี้

                                                                  • ตรวจสอบว่าคลินิกมีใบอนุญาตประกอบกิจการที่ถูกต้อง และผ่านการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุข
                                                                  • เครื่อง Coolsculpting Elite  ต้องเป็นของแท้ที่สามารถตรวจสอบได้ เพื่อความปลอดภัย และเพื่อผลลัพธ์ที่ดีในการรักษา
                                                                  • คลินิกมีความสะอาดและมีอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ได้มาตรฐาน
                                                                  • เลือกคลินิกที่ทำการรักษาโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ในการใช้เครื่อง Coolsculpting Elite และมีความเชี่ยวชาญด้านการปรับสัดส่วนร่างกาย
                                                                  • แพทย์สามารถให้คำปรึกษาและแนะนำได้อย่างละเอียด เกี่ยวกับกระบวนการการรักษาด้วย Coolsculpting Elite และผลลัพธ์ที่คุณคาดหวัง
                                                                  • ควรหาข้อมูลเกี่ยวกับรีวิว Coolsculpting Elite หรือประสบการณ์จากผู้ที่เคยใช้บริการที่คลินิกนั้น เพื่อดูว่าผลลัพธ์เป็นอย่างไร
                                                                  • ควรเลือกคลินิกที่มีราคา Coolsculpting Elite ไม่ต่ำหรือสูงเกินไป เมื่อเทียบกับคุณภาพบริการ และมาตรฐานของสถานที่
                                                                  • ควรระวังโปรโมชั่นที่ราคาถูกมากเกินไป เพราะอาจเป็นเครื่องมือ Coolsculpting Elite ที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือเป็นเครื่องปลอมได้

                                                                   

                                                                  Coolsculpting Elite ต้องทำกี่ครั้ง ?

                                                                  การลดไขมันด้วย Coolsculpting Elite จะต้องทำกี่ครั้งถึงเห็นผล ? ในการทำ Coolsculpting Elite นั้นแพทย์จะทำการสอบถามถึงปัญหาและความกังวลใจของคนไข้ ว่าต้องการลดไขมันในจุดไหน และต้องทำกี่ครั้งถึงจะเริ่มเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน โดยทั้งนี้ระยะเวลาในการทำ และจำนวนครั้งในการทำ Coolsculpting Elite จะขึ้นอยู่กับปริมาณไขมันของคนไข้ โดยปกติแล้ว Coolsculpting Elite สามารถกลับมาทำซ้ำได้ทุก ๆ 4-6 สัปดาห์ เนื่องจากเป็นเครื่องลดไขมันที่ไม่ต้องพักฟื้น ไม่เจ็บ และขึ้นอยู่กับคำแนะนำของแพทย์

                                                                   

                                                                  Coolsculpting Elite ราคาเท่าไหร่ ?

                                                                  ราคาของ Coolsculpting Elite ขึ้นอยู่กับบริเวณที่ต้องการทำและโปรโมชั่นของแต่ละคลินิก โดยก่อนเริ่มทำ แพทย์จะประเมินและวางแผนการรักษาให้เหมาะสมกับความต้องการ และงบประมาณของแต่ละบุคคล เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในราคาที่เหมาะสม

                                                                   

                                                                  สำหรับใครที่อยากจะลดไขมันส่วนเกินเฉพาะจุด Coolsculpting Elite ลดไขมันด้วยความเย็น เรียกได้ว่าเป็นเครื่องที่ตอบโจทย์อย่างมากในตอนนี้ ช่วยแก้ปัญหารูปร่างได้อย่างตรงจุด ซึ่งทาง รมย์รวินท์คลินิก ก็พร้อมให้บริการแล้วทุกสาขา สามารถเข้ามาสอบถาม และรับคำปรึกษาเกี่ยวกับ Coolsculpting Elite ได้ที่ รมย์รวินท์คลินิก ได้ทุกสาขา

                                                                  โบกระชับรูขุมขน ฟื้นฟูใบหน้าเรียบเนียน กระชับรูขุมขนกว้าง

                                                                  ฉีดโบกระชับรูขุมขน

                                                                  ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                                                    วันที่สะดวกในการติดต่อ








                                                                    โบกระชับรูขุมขน ฟื้นฟูใบหน้าเรียบเนียน เผยผิวใส กระชับรูขุมขนกว้าง

                                                                    ปัญหารูขุมขนกว้าง เป็นหนึ่งในปัญหาผิวที่สร้างความกังวลใจให้กับหลาย ๆ คน ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย เพราะส่งผลต่อความมั่นใจในการใช้ชีวิตประจำวัน การแต่งหน้า และการดูแลผิวพรรณ ซึ่งการมีรูขุมขนกว้างทำให้ผิวหน้าดูขรุขระ ไม่เรียบเนียน และอาจทำให้เกิดสิวได้ง่ายขึ้น 

                                                                     

                                                                    ด้วยสาเหตุเหล่านี้ จึงมีผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมาย เพื่อตอบโจทย์ความต้องการในการแก้ไขปัญหารูขุมขนกว้าง หนึ่งในวิธีการที่ได้รับความนิยมและให้ผลลัพธ์ที่น่าสนใจก็คือ “การฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง” ซึ่งเป็นวิธีการทางการแพทย์ที่ช่วยให้รูขุมขนเล็กลง ผิวหน้าเรียบเนียนขึ้น และดูอ่อนเยาว์มากยิ่งขึ้น

                                                                     

                                                                    วันนี้รมย์รวินท์คลินิกจะมาแนะนำเรื่องของโบกระชับรูขุมขนกว้างว่ามีหลักการทำงานอย่างไร วิธีเลือกยี่ห้อควรเลือกแบบไหนดี รวมไปถึงการดูแลตัวเองก่อนและหลังฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง เพื่อประกอบการตัดสินใจก่อนเลือกทำหัตถการนี้ 

                                                                     

                                                                    ทำความรู้จักกับโบกระชับรูขุมขนกว้าง

                                                                    วิธีที่จะช่วยทำให้รูขุมขนเกิดความกระชับขึ้น ปรับผิวหน้าให้มีความเรียบเนียนได้ด้วยการฉีดสารออกฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อ ซึ่งเป็นสารที่สกัดมาจากแบคทีเรียที่มีชื่อว่า คลอสตริเดียม (Clostridium) ในปัจจุบันสารตัวนี้ได้ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายในวงการความงาม ใช้เพื่อการปรับรูปหน้า ลดเลือนริ้วรอยบนใบหน้า ปรับผิวให้อ่อนเยาว์ขึ้น โดยวิธีการฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง จะฉีดเข้าไปยังบริเวณในจุดกล้ามเนื้อและต่อมไขมัน ทำให้ผิวส่วนนั้นมีความกระชับมากขึ้น ส่งผลให้รูขุมขนหดตัวและแคบลง

                                                                     

                                                                    สาเหตุของปัญหารูขุมขนกว้าง
                                                                    สาเหตุของปัญหารูขุมขนกว้าง

                                                                     

                                                                    สาเหตุของปัญหารูขุมขนกว้าง

                                                                    ปัญหารูขุมขนกว้าง เป็นปัญหาผิวที่พบได้บ่อย สาเหตุของปัญหานี้มีหลากหลายปัจจัย เกิดได้จากปัจจัยภายในร่างกายและปัจจัยภายนอกที่เราสัมผัสในชีวิตประจำวัน ซึ่งสาเหตุหลักของปัญหารูขุมขนกว้าง ดังนี้

                                                                    • พันธุกรรม : การมีรูขุมขนกว้างจากพันธุกรรมที่ถ่ายทอดมาจากครอบครัวจะมีลักษณะรูขุมขนที่ใหญ่และชัดกว่าคนปกติทั่วไป เป็นปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้
                                                                    • อายุที่เพิ่มมากขึ้น : เมื่ออายุของคนเราเพิ่มมากขึ้น ผิวหนังจะสูญเสียความยืดหยุ่น คอลลาเจน และอีลาสติน ทำให้รูขุมขนบนผิวหน้าขยายตัวกว้างขึ้นได้
                                                                    • ระดับของฮอร์โมนที่มากเกินไป : ฮอร์โมนในร่างกายเป็นตัวการสำคัญในการกระตุ้นต่อมไขมันให้มากขึ้น ส่งผลให้เกิดการสร้างนำมันบนผิวที่มากกว่าปกติ ทำให้เกิดการอุดตันของรูขุมขนได้ง่ายกว่าปกติ
                                                                    • การผิวอักเสบของผิว : การเกิดสิวหรือการอักเสบของผิวที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง จะทำให้รูขุมขนขยายตัวกว้างขึ้นและอาจเกิดรอยแผลเป็นจากสิวได้อีกด้วย
                                                                    • การดูแลผิวไม่ถูกวิธี : การล้างหน้าบ่อยจนเกินไป การใช้ผลิตภัณฑ์สครับใบหน้า หรือการขัดผิวหน้าแรงเกินไป อาจทำให้เกิดผิวระคายเคืองและรูขุมขนขยายตัว
                                                                    • แสงแดด : แสงแดดเป็นตัวการสำคัญที่ทำร้ายผิวให้ทรุดโทรมได้ง่าย นอกจากนี้เมื่อร่างกายโดนความร้อนจากแสงแดด จะทำให้เกิดการสร้างน้ำมันบนผิวหน้าที่มากขึ้น จนทำให้รูขุมขนกว้างและเกิดริ้วรอยก่อนวัยได้
                                                                    • มลภาวะ : ในชีวิตประจำวัน ผิวต้องเผชิญกับมลภาวะต่าง ๆ เช่น ฝุ่นละออง PM2.5 ควัน และสิ่งสกปรก ที่ลอยอยู่ในอากาศ สิ่งสกปรกเหล่านี้จะสะสมและอุดตันอยู่ในรูขุมขน ส่งผลให้รูขุมขนขยายตัวกว้างมากขึ้น 
                                                                    • การใช้เครื่องสำอางไม่เหมาะสม : การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของน้ำมัน หรือสารเคมีที่รุนแรง อาจทำให้เกิดการอุดตันรูขุมขนและทำให้รูขุมขนกว้างขึ้น
                                                                    • การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน : ในช่วงวัยรุ่น หรือช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น การมีประจำเดือน หรือการตั้งครรภ์ อาจทำให้เกิดการผลิตน้ำมันบนผิวหน้าเพิ่มขึ้นและรูขุมขนกว้างขึ้น
                                                                    • พฤติกรรมการใช้ชีวิต : พฤติกรรมที่ทำในชีวิตประจำวัน เช่น การนอนพักผ่อนไม่เพียงพอ การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ ล้วนส่งผลกระทบต่อสุขภาพผิวและทำให้เกิดปัญหารูขุมขนกว้างได้
                                                                    • โรคบางชนิด : โรคผิวหนังบางชนิด เช่น โรคสะเก็ดเงิน โรคผิวหนังอักเสบ อาจทำให้รูขุมขนขยายตัวได้ 

                                                                     

                                                                    ฉีดโบกระชับรูขุมขนทำงานอย่างไร
                                                                    ฉีดโบกระชับรูขุมขนทำงานอย่างไร

                                                                     

                                                                    โบกระชับรูขุมขนกว้าง ทำงานอย่างไร?

                                                                    หลักการทำงานของการฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง คือการฉีดตัวยาที่เป็นสารออกฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อเข้าไปในบริเวณส่วนกล้ามเนื้อและต่อมไขมัน เพื่อให้ตัวยาถูกดูดซึมเข้าไปที่เซลล์ประสาท ทำให้บริเวณดังกล่าวทำงานได้ลดน้อยลงแบบชั่วคราว รูขุมขนจะค่อย ๆ หดตัวลง ส่งผลให้ช่วยลดความมันบนใบหน้าที่เป็นสาเหตุหลักของการเกิดสิวได้

                                                                     

                                                                    ฉีดโบกระชับรูขุมขนฉีดบริเวณไหนได้บ้าง
                                                                    ฉีดโบกระชับรูขุมขนฉีดบริเวณไหนได้บ้าง

                                                                     

                                                                    บริเวณที่สามารถฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้างได้

                                                                    โดยปกติทั่วไปการฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้างนั้น จะเน้นไปที่บริเวณที่มีปัญหาเรื่องรูขุมขนกว้างที่สุด ซึ่งตำแหน่งที่มักพบปัญหารูขุมขนกว้างได้ มีดังนี้

                                                                    • โบกระชับรูขุมขนกว้าง บริเวณแก้ม : เป็นบริเวณที่พบปัญหารูขุมขนกว้างบ่อยที่สุด
                                                                    • โบกระชับรูขุมขนกว้าง บริเวณจมูก : รูขุมขนบริเวณจมูกมักมีขนาดใหญ่กว่าบริเวณอื่น ๆ
                                                                    • โบกระชับรูขุมขนกว้าง บริเวณคาง : โดยเฉพาะบริเวณใต้คาง
                                                                    • โบกระชับรูขุมขนกว้าง บริเวณหน้าผาก : อาจฉีดเพื่อลดการผลิตน้ำมัน และช่วยให้ผิวเรียบเนียนขึ้น

                                                                     

                                                                    ฉีดโบกระชับรูขุมขนเหมาะกับใครบ้าง
                                                                    ฉีดโบกระชับรูขุมขนเหมาะกับใครบ้าง

                                                                    ใครบ้างที่เหมาะกับโบกระชับรูขุมขนกว้าง

                                                                    • โบกระชับรูขุมขนกว้าง เหมาะกับคนที่มีปัญหาผิวมัน
                                                                    • โบกระชับรูขุมขนกว้าง เหมาะกับคนที่มีปัญหารูขุมขนกว้าง
                                                                    • โบกระชับรูขุมขนกว้าง เหมาะกับคนที่ต้องการผิวเรียบเนียน ดูอ่อนเยาว์
                                                                    • โบกระชับรูขุมขนกว้าง เหมาะกับคนที่ต้องการลดการเกิดสิว
                                                                    • โบกระชับรูขุมขนกว้าง เหมาะกับคนที่ต้องการลดการทำงานของต่อมไขมัน
                                                                    • โบกระชับรูขุมขนกว้าง เหมาะกับคนที่ต้องการผลลัพธ์รวดเร็ว

                                                                     

                                                                    ใครบ้างที่ไม่เหมาะกับโบกระชับรูขุมขนกว้าง

                                                                    • โบกระชับรูขุมขนกว้าง ไม่เหมาะกับคนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี
                                                                    • โบกระชับรูขุมขนกว้าง ไม่เหมาะกับสตรีตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร
                                                                    • โบกระชับรูขุมขนกว้าง ไม่เหมาะกับคนที่มีโรคประจำตัวบางชนิด เช่น กล้ามเนื้ออ่อนแรง  โรคระบบประสาทบางชนิด
                                                                    • โบกระชับรูขุมขนกว้าง ไม่เหมาะกับคนที่มีแผลติดเชื้อ 
                                                                    • โบกระชับรูขุมขนกว้าง ไม่เหมาะกับคนที่แพ้สารออกฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อ
                                                                    • โบกระชับรูขุมขนกว้าง ไม่เหมาะกับคนที่มีผิวหนังอักเสบ 
                                                                    • โบกระชับรูขุมขนกว้าง ไม่เหมาะกับคนที่มีแผลเปิดบริเวณที่ต้องการฉีด
                                                                    • โบกระชับรูขุมขนกว้าง ไม่เหมาะกับคนที่มีปัญหากับการแข็งตัวของเลือด
                                                                    • โบกระชับรูขุมขนกว้าง ไม่เหมาะกับคนที่ต้องการผลลัพธ์ถาวร

                                                                     

                                                                    ฉีดโบกระชับรูขุมขนมีข้อดีอะไรบ้าง
                                                                    ฉีดโบกระชับรูขุมขนมีข้อดีอะไรบ้าง

                                                                     

                                                                    ข้อดีของการฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง

                                                                    • โบกระชับรูขุมขนกว้าง ช่วยทำให้รูขุมขนเล็กลง ผิวเนียนละเอียดขึ้น
                                                                    • โบกระชับรูขุมขนกว้าง ลดการทำงานของต่อมไขมัน ลดโอกาสเกิดสิวอุดตัน
                                                                    • โบกระชับรูขุมขนกว้าง ช่วยให้กล้ามเนื้อบนใบหน้ากระชับ เต่งตึงขึ้น
                                                                    • โบกระชับรูขุมขนกว้าง สามารถช่วยลดเลือนริ้วรอยเล็กบนใบหน้าได้
                                                                    • โบกระชับรูขุมขนกว้าง เห็นผลลัพธ์รวดเร็ว ไม่ต้องรอนาน
                                                                    • โบกระชับรูขุมขนกว้าง ไม่ต้องพักฟื้น หลังฉีดสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ
                                                                    • โบกระชับรูขุมขนกว้าง มีความปลอดภัยสูง โอกาสเกิดผลข้างเคียงน้อยมาก

                                                                     

                                                                    ข้อเสียของการฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง

                                                                    • โบกระชับรูขุมขนกว้าง ผลลัพธ์ไม่สามารถอยู่ได้ถาวร
                                                                    • โบกระชับรูขุมขนกว้าง อาจมีผลข้างเคียงเกิดขึ้นได้ เช่น บวม แดง หรือมีรอยช้ำ
                                                                    • โบกระชับรูขุมขนกว้าง ไม่สามารถแก้ไขทุกปัญหาผิวได้ 

                                                                     

                                                                    เลือกฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง ยี่ห้อไหนดี?

                                                                    โดยส่วนมากโบกระชับรูขุมขน มีทั้งของประเทศเกาหลี ประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศอังกฤษ ซึ่งจะมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันในแต่ละยี่ห้อ ซึ่งแพทย์จะเป็นคนประเมินว่าคนไข้ในแต่ละเคส เหมาะกับโบกระชับรูขุมขนชนิดไหน เพื่อความเหมาะสมและคุ้มค่าที่สุด โดยยี่ห้อโบกระชับรูขุมขนกว้าง มีดังนี้

                                                                     

                                                                    • โบกระชับรูขุมขนกว้างยี่ห้อ Aestox (ประเทศเกาหลี) : เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่ฮิตในประเทศไทย ส่งตรงจากแดนกิมจิ ที่โดดเด่นด้วยความบริสุทธิ์ 99.5% ส่งผลให้เห็นผลลัพธ์รวดเร็ว มีความเป็นธรรมชาติ ออกฤทธิ์ได้ไว ตัวยากระจายตัวแคบ ผลลัพธ์คงอยู่ได้สั้นกว่าโบกระชับรูขุมขนฝั่งยุโรปหรือสหรัฐอเมริกา
                                                                    • โบกระชับรูขุมขนกว้างยี่ห้อ Nabota (ประเทศเกาหลี) : เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ด้วยคุณสมบัติที่โดดเด่นในด้านการออกฤทธิ์เร็ว เห็นผลไวกว่าโบเกาหลีแบรนด์อื่น ๆ อีกทั้งยังมีความบริสุทธิ์สูงถึง 98.7% นอกจากนี้ Nabota ยังเป็นโบเกาหลีแบรนด์เดียว ที่ผ่านการรับรองจากงานวิจัยขององค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA) เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์แบบเร่งด่วน และมั่นใจในคุณภาพระดับสากล
                                                                    • โบกระชับรูขุมขนกว้างยี่ห้อ Allergan (ประเทศสหรัฐอเมริกา) : เป็นโบแบรนด์แรกของโลกที่ได้รับความไว้วางใจ และความนิยมจากผู้ใช้ในหลายประเทศ จุดเด่นของแบรนด์นี้อยู่ที่ตัวยาที่มีความบริสุทธิ์สูงถึง 99.5% พร้อมด้วยการกระจายตัวแคบ ทำให้การรักษามีความแม่นยำและตรงจุดมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังให้ผลลัพธ์ที่คงอยู่นานหลายเดือน
                                                                    • โบกระชับรูขุมขนกว้างยี่ห้อ Dysport (ประเทศอังกฤษ) : เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่สามารถเห็นผลลัพธ์ได้นานเทียบเท่ากับยี่ห้อ Allergan มีจุดเด่นในเรื่องมีขนาดโมเลกุลขนาดเล็ก ตัวยากระจายตัวได้กว้าง มีความเป็นธรรมชาติ เหมาะสำหรับคนที่ต้องการผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ
                                                                    • โบกระชับรูขุมขนกว้างยี่ห้อ Xeomin (ประเทศเยอรมัน) : เป็นแบรนด์ที่มีตัวยาบริสุทธิ์สูงมาก ทำให้ผลลัพธ์คงอยู่ได้นาน มีจุดเด่นคือการนำเอาข้อดีของยี่ห้อ Allergan กับ Dysport มารวมไว้ด้วยกัน เป็นแบรนด์ที่ได้รับผลลัพธ์ดีในเคสที่ดื้อยา

                                                                     

                                                                    เปรียบเทียบ โบกระชับรูขุมขนกว้าง VS วิธีรักษารูขุมขนกว้างอื่น ๆ

                                                                    ปัญหาเรื่องรูขุมขนกว้าง ทำให้ผิวหน้าดูไม่เรียบเนียนและอาจทำให้เกิดสิวได้ง่ายขึ้น การรักษาด้วยวิธีการทางการแพทย์ จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ได้รับความนิยม เนื่องจากให้ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดและรวดเร็ว

                                                                     

                                                                    วิธีทางการแพทย์นั้น มีหลากหลายวิธีในการรักษารูขุมขนกว้าง ในแต่ละวิธีจะมีข้อดี ข้อเสีย และความเหมาะสมแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและความรุนแรงของปัญหา วิธีการรักษาที่ได้รับความนิยม มีดังนี้

                                                                     

                                                                    • การฉีดโบรักษารูขุมขนกว้าง

                                                                    การฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง  เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ได้รับความนิยมในการรักษารูขุมขนกว้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริเวณทีโซนที่มักมีปัญหาเรื่องรูขุมขนกว้างและผิวมัน การฉีดโบจะเข้าไปช่วยลดการทำงานของกล้ามเนื้อและต่อมไขมัน ทำให้รูขุมขนหดเล็กลง ผิวเรียบเนียนขึ้น

                                                                     

                                                                    • การเลเซอร์รักษารูขุมขนกว้าง

                                                                    เป็นหนึ่งในวิธีการรักษารูขุมขนกว้าง ที่ได้รับความนิยมสูง เนื่องจากให้ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัด และรวดเร็ว โดยหลักการทำงานของเลเซอร์คือ การใช้พลังงานแสงความเข้มสูง ไปกระตุ้นให้ผิวสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ ทำให้ผิวกระชับขึ้น รูขุมขนเล็กลง และผิวหน้าดูเรียบเนียนขึ้น

                                                                     

                                                                    • การทำ HIFU กระชับรูขุมขนกว้าง

                                                                    เป็นเทคโนโลยีที่ใช้คลื่นเสียงความถี่สูงในการยกกระชับผิว และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ซึ่งนอกจากจะช่วยยกกระชับผิวแล้ว ยังมีประสิทธิภาพในการช่วยกระชับรูขุมขนให้เล็กลงอีกด้วย

                                                                     

                                                                    • การทำ RF กระชับรูขุมขนกว้าง

                                                                    เป็นเทคโนโลยีคลื่นวิทยุความถี่สูง ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในการดูแลผิว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องรูขุมขนกว้าง เพราะ RF ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวกระชับ รูขุมขนเล็กลง ผิวเรียบเนียนขึ้น

                                                                     

                                                                    • การฉีดวิตามินผิว กระชับรูขุมขนกว้าง

                                                                    การฉีดวิตามินผิว เป็นอีกหนึ่งวิธีการที่ได้รับความนิยมในการดูแลผิว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องรูขุมขนกว้าง

                                                                     

                                                                    • การฉีดฟิลเลอร์รักษารูขุมขนกว้าง

                                                                    การฉีดฟิลเลอร์รักษารูขุมขนกว้าง เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ได้รับความนิยมในการรักษารูขุมขนกว้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริเวณที่รูขุมขนกว้างมาก และเป็นปัญหาอย่างเห็นได้ชัด ฟิลเลอร์จะเข้าไปเติมเต็มร่องลึกและรูขุมขน ทำให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้น

                                                                     

                                                                    เลเซอร์ที่นิยมใช้สำหรับรักษารูขุมขนกว้าง มีดังนี้

                                                                    • Fractional CO2 Laser : ทำงานโดยการปล่อยลำแสงเลเซอร์ขนาดเล็กจำนวนมากลงสู่ชั้นผิวหนังชั้นบน ซึ่งช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าที่เสื่อมสภาพ ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ผิว ผลลัพธ์ที่ได้คือผิวที่ดูอ่อนเยาว์ เรียบเนียน และกระชับขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
                                                                    • Picosecond Laser : เป็นเลเซอร์ที่มีพลังงานสูงมาก ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ลดเลือนรอยดำ รอยแดง และรูขุมขน
                                                                    • IPL (Intense Pulsed Light) : เป็นเทคโนโลยีที่ใช้แสงที่มีความเข้มข้นสูงในการรักษาปัญหาผิวหลายประเภท โดยมีหลักการทำงานที่สามารถช่วยลดรอยแดงและรอยดำ รวมถึงกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวลึก ทำให้ผิวดูเรียบเนียน และมีสุขภาพดีขึ้น
                                                                    • Dual Yellow Laser : เป็นเทคโนโลยีเลเซอร์ที่ทำงานโดยการรวมพลังงานแสงสีเหลืองจากสองความยาวคลื่นที่เหมาะสม เพื่อทำลายเม็ดสีเมลานินอย่างแม่นยำ ช่วยลดปัญหาผิวคล้ำและสีผิวไม่สม่ำเสมอ

                                                                     

                                                                    การเตรียมตัวก่อนฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง

                                                                    • ก่อนฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง ควรทำการศึกษาข้อมูลและปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับบริการ
                                                                    • ก่อนฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
                                                                    • ก่อนฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง หากมีโรคประจำตัว ยาที่ต้องทานยาเป็นประจำ หรือการแพ้ยา ควรแจ้งแพทย์ก่อนทำ
                                                                    • ก่อนฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง งดทานยา วิตามินอาหารเสริม เช่น วิตามินอี แอสไพริน ยาต้านการอักเสบ อย่างน้อย 1 สัปดาห์
                                                                    • ก่อนฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง งดการทำเลเซอร์ผิวหน้า หรือทรีตเมนต์หน้า 1 เดือนก่อนทำ
                                                                    • ก่อนฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง งดทายากลุ่มผลัดเซลล์ผิว หรือครีมในกลุ่ม Anti-Aging อย่างน้อย 3 วัน
                                                                    • ก่อนฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง งดแวกซ์ผิว การสครับผิว การนวดหน้า 3 วันก่อนทำ
                                                                    • ก่อนฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง งดดื่มแอลกอฮอล์ งดสูบบุหรี่ อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อน
                                                                    • ก่อนฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง งดกิจกรรมที่ส่งผลให้มีการสูบฉีดไหลเวียนของเลือดมากขึ้น ในช่วง 24 ชั่วโมงก่อนทำ

                                                                     

                                                                    ขั้นตอนการฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง

                                                                    1. ก่อนการฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง แพทย์จะทำการประเมินสภาพผิว ตรวจสอบประวัติสุขภาพ และอธิบายถึงขั้นตอนการรักษา ผลลัพธ์ที่คาดหวัง และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
                                                                    2. ทำความสะอาดผิวหน้าของคุณให้สะอาดก่อนการฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง
                                                                    3. หากกังวลรู้สึกกลัวเจ็บ แพทย์อาจทายาชาบริเวณที่จะฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้างก่อน
                                                                    4. แพทย์จะใช้เข็มขนาดเล็ก ฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้างเข้าไปในกล้ามเนื้อและต่อมไขมันบริเวณที่ต้องการฉีด ใช้ระยะเวลาในการทำเพียง 15-30 นาที
                                                                    5. หลังจากฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว แพทย์จะประคบเย็นเพื่อลดอาการบวม
                                                                    6. แพทย์จะให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลตัวเองหลังการฉีดโบกระชับรูขุมขน เพื่อรักษาผลลัพธ์ให้คงอยู่นาน

                                                                     

                                                                    การดูแลตัวเองหลังฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง

                                                                    • หลังฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง ควรบริหารกล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดเป็นเวลา 1 ชั่วโมง เพื่อให้โบถูกปลายประสาทดูดซึมเข้าไปให้ได้มากที่สุด
                                                                    • หลังฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง ควรทำการประคบให้ถูกต้องตามคำแนะนำของแพทย์
                                                                    • หลังฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง ควรทำความสะอาดใบหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนต่อผิว
                                                                    • หลังฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง หากมีอาการปวด สามารถรับประทานยาแก้ปวดได้
                                                                    • หลังฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด
                                                                    • หลังฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง งดนอนราบ 3-4 ชั่วโมงแรกหลังทำ
                                                                    • หลังฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง งดการนวด กด บีบ คลึง ในบริเวณที่ฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง
                                                                    • หลังฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง หลีกเลี่ยงความร้อนทุกชนิด 2 สัปดาห์หลังฉีด
                                                                    • หลังฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง งดแต่งหน้า งดการทาครีมบำรุง 24 ชั่วโมง
                                                                    • หลังฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง งดการออกกำลังกาย หรือกิจกรรมที่จะทำให้เหงื่อออกมาก 1 สัปดาห์

                                                                     

                                                                    คำถามที่พบบ่อยของการฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง

                                                                     

                                                                    • ฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง ใช้กี่ยูนิต?

                                                                    โดยปกติการฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง จะใช้ปริมาณโบกระชับรูขุมขนกว้างประมาณ 65 ยูนิต ซึ่งในแต่ละบุคคลอาจใช้ปริมาณมากน้อยแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับปัญหาของผิวหน้า ทั้งนี้แพทย์ที่มีประสบการณ์จะประเมินปัญหาและปริมาณตัวยาที่เหมาะสม

                                                                     

                                                                    • โบกระชับรูขุมขนกว้าง เจ็บไหม?

                                                                    ระหว่างฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง อาจจะรู้สึกเจ็บจากเข็มเล็กน้อยในกรณีที่ใครกลัวเจ็บ สามารถแจ้งแพทย์ก่อนเริ่มฉีดได้ ซึ่งก่อนฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง แพทย์จะทายาชาบริเวณที่จะฉีด เพื่อลดความรู้สึกเจ็บให้เบาลง

                                                                     

                                                                    • ฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง กี่วันเห็นผล?

                                                                    การฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง โดยทั่วไปจะเริ่มรู้ว่าสึกผิวกระชับขึ้น หน้าไม่มัน รูขุมขนดูตื้นขึ้นเห็นและเห็นผลลัพธ์ได้ชัดเจน หลังจากฉีดประมาณ 1-2 สัปดาห์

                                                                     

                                                                    • ฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง อยู่ได้นานไหม?

                                                                    ผลลัพธ์ของการฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง โดยทั่วไปจะอยู่ได้นานประมาณ 3-4 เดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับยี่ห้อที่เลือกใช้และการดูแลตัวเองหลังฉีด

                                                                     

                                                                    • ฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง ดีไหม?

                                                                    การฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง ช่วยให้ผิวหน้าเรียบเนียนขึ้น ลดปัญหาสิว และดูอ่อนเยาว์ ซึ่งเป็นวิธีที่มีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ และสามารถเห็นผลได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ โดยจะเห็นผลได้นานประมาณ 3-4 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อของโบกระชับรูขุมขนกว้างที่เลือกฉีด

                                                                     

                                                                    • ทำไมต้องฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง? 

                                                                    การฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง จะช่วยลดการทำงานของกล้ามเนื้อและต่อมไขมัน ทำให้น้ำมันบนใบหน้าลดลง อีกทั้งยังช่วยทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น ลดปัญหาสิวอุดตัน ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์ สดใส และเปล่งปลั่ง

                                                                     

                                                                    • ผลข้างเคียงของการฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง?

                                                                    การฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง เป็นที่นิยมมากเนื่องจากเห็นผลเร็วและเห็นผลชัดเจน แต่การฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้างก็อาจมีผลข้างเคียงเกิดขึ้นได้ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผลข้างเคียงที่ไม่รุนแรงและหายไปได้เอง โดยผลข้างเคียงทั่วไปที่พบได้บ่อย มีดังนี้

                                                                    • อาการบวม แดง รอยเขียวช้ำ ซึ่งเป็นผลข้างเคียงที่พบได้ปกติทั่วไป มักเกิดขึ้นบริเวณที่ฉีด และสามารถหายไปเองภายใน 2-3 วัน
                                                                    • อาการปวดศีรษะ ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้บ้างในบางราย เนื่องจากกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้ามีการปรับตัว
                                                                    • อาการคลื่นไส้ ซึ่งโอกาสเกิดขึ้นได้น้อยมาก และมักหายไปเอง

                                                                     

                                                                    • โบกระชับรูขุมขนกว้าง ต้องฉีดซ้ำบ่อยแค่ไหน?

                                                                    การฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง เป็นวิธีการแก้ปัญหาที่ไม่ถาวร โดยผลลัพธ์จะค่อย ๆ สลายไปตามธรรมชาติ ทั้งนี้ระยะเวลาของผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเอง และสภาพผิวของแต่ละคน เพื่อรักษาความเรียบเนียนของผิวและกระชับรูขุมขนให้คงอยู่ แนะนำให้ฉีดซ้ำทุก ๆ 4-6 เดือน ตามคำแนะนำของแพทย์

                                                                     

                                                                    • โบกระชับรูขุมขนกว้าง ฉีดแล้วหน้าแข็งไหม?

                                                                    โดยปกติทั่วไปการฉีดโบโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์จะไม่ทำให้หน้าแข็ง แต่จะช่วยให้ใบหน้าดูผ่อนคลาย รูขุมขนเล็กลง และผิวเรียบเนียนขึ้น

                                                                     

                                                                    จากข้อมูลทั้งหมดจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าการฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้าง เป็นวิธีการที่ได้รับความนิยมในการรักษารูขุมขน เนื่องจากให้ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดและรวดเร็ว ทั้งนี้ผลลัพธ์ของการรักษาขึ้นอยู่กับหลากหลายปัจจัย เช่น ประเภทของผิวหนัง ปริมาณโบกระชับรูขุมขนที่ใช้ และเทคนิคการฉีดของแพทย์ นอกจากนี้ การฉีดโบกระชับรูขุมขนยังมีความจำเป็นต้องทำซ้ำอย่างต่อเนื่อง การตัดสินใจฉีดโบกระชับรูขุมขนกว้างจึงควรปรึกษาแพทย์ที่มีประสบการณ์ เพื่อประเมินสภาพผิวและให้คำแนะนำที่เหมาะสม 

                                                                    ฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว ในการแสดงสีหน้า

                                                                    ฉีดโบระหว่างคิ้วลดรอยขมวดคิ้ว

                                                                    ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ





                                                                      วันที่สะดวกในการติดต่อ








                                                                      ฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว เคล็ดลับใบหน้าอ่อนกว่าวัย

                                                                       

                                                                      ริ้วรอยระหว่างคิ้วที่เกิดขึ้นตามวัย ไม่เพียงแต่ทำให้ดูแก่กว่าวัย แต่ยังส่งผลต่อความมั่นใจในตัวเองอีกด้วย และไม่มีใครอยากมีใบหน้าที่ดูขมวดคิ้วตลอดเวลา การฉีดโบระหว่างคิ้วจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับใครหลายๆ คน ที่ต้องการมีใบหน้าที่เรียบเนียนอ่อนเยาว์ บทความนี้จะไขข้อข้องใจทุกอย่างเกี่ยวกับการฉีดโบระหว่างคิ้ว ไม่ว่าจะเป็นหลักการทำงานของโบระหว่างคิ้ว ผลลัพธ์ที่ได้จากการฉีดโบระหว่างคิ้ว ผลข้างเคียงของโบระหว่างคิ้วที่อาจเกิดขึ้น และคำถามที่ทุกคนอยากรู้ เพื่อให้คุณตัดสินใจได้อย่างมั่นใจก่อนฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว

                                                                       

                                                                      ฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว แก้ปัญหารอยย่นตรงจุด ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ

                                                                       

                                                                      ฉีดโบระหว่างคิ้ว คืออะไร?

                                                                       

                                                                      การฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว คือ การฉีดสารที่ออกฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อ เข้าไปใต้ชั้นผิวหนังในชั้นกล้ามเนื้อเพื่อลดริ้วรอยย่นบริเวณระหว่างคิ้ว ซึ่งกลไกการทำงานของโบระหว่างคิ้วจะออกฤทธิ์ในการยับยั้งสาร Acetycholine จากปลายประสาทบริเวณที่ฉีดเข้าไป สารตัวนี้จะทำให้กล้ามเนื้อบีบเกร็งตัว เมื่อฉีดโบระหว่างคิ้วเข้าไปยับยั้ง จะส่งผลให้กล้ามเนื้อบริเวณระหว่างคิ้วคลายตัว ลดความแรงในการบีบตัวของกล้ามเนื้อ เนื่องจากการบีบรัดตัวจากการขมวดคิ้ว เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดริ้วรอยย่นตรงระหว่างคิ้วได้

                                                                       

                                                                      ริ้วรอยขมวดคิ้ว เกิดจากสาเหตุอะไร
                                                                      ริ้วรอยขมวดคิ้ว เกิดจากสาเหตุอะไร

                                                                       

                                                                      ริ้วรอยขมวดคิ้ว เกิดจากสาเหตุอะไร?

                                                                       

                                                                      ริ้วรอยระหว่างคิ้ว รอยย่นจากการขมวดคิ้ว เป็นปัญหาที่หลายคนกังวล เพราะทำให้ใบหน้าดูเคร่งเครียดและดูแก่กว่าวัย ซึ่งสาเหตุของการเกิดริ้วรอยขมวดคิ้ว มีดังนี้

                                                                      • การแสดงออกทางสีหน้า : คนที่ชอบขมวดคิ้วบ่อย ๆ หรือคนที่ชอบแสดงอารมณ์ทางสีหน้า เช่น การเครียด เป็นต้น ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณระหว่างคิ้วทำงานหนัก ส่งผลให้เกิดรอยพับขนเห็นเป็นริ้วรอยชัดเจน
                                                                      • อายุที่เพิ่มขึ้น : เมื่ออายุที่เพิ่มมากขึ้น ผิวหนังของคนเราจะสูญเสียความยืดหยุ่น ร่างกายสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินน้อยลง ทำให้ผิวหน้าบางลง จนเกิดรอยพับและริ้วรอยได้ง่าย
                                                                      • แสงแดด : รังสียูวีจากแสงแดดจะเข้าไปทำลายคอลลาเจนและอีลาสตินในผิว ทำให้ผิวมีริ้วรอยและดูแก่เร็ว
                                                                      • มลภาวะ : ฝุ่นละอองและสารเคมีต่าง ๆ ทำให้ผิวอักเสบและเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าได้
                                                                      • การพักผ่อน : การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ ทำให้ผิวโทรม ไม่สดใส และเกิดริ้วรอยได้มากขึ้น 
                                                                      • พันธุกรรม : การเกิดพันธุกรรมสามารถเกิดริ้วรอยได้เหมือนกัน หากคนในครอบครัวมีคนที่มีริ้วรอยตั้งแต่อายุยังน้อย ก็ทำให้มีโอกาสเกิดริ้วรอยได้มากกว่าคนอื่น ๆ

                                                                       

                                                                      โบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้วได้อย่างไร?

                                                                      แพทย์จะฉีดสารออกฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อเข้าไปที่กล้ามเนื้อโปรเซอรัส (Procerus) ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อรูปพีระมิดขนาดเล็กอยู่ระหว่างคิ้ว ที่คอยทำหน้าที่ขมวดคิ้ว และกล้ามเนื้อคอร์รูเกเตอร์ ซูเปอร์ซิลิไอ (Corrugator Supercilii) ที่อยู่บริเวณเหนือหัวคิ้ว ที่ทำหน้าที่ดึงหัวคิ้วลงและดึงเข้าหากึ่งกลาง เกิดเป็นเส้น Glabellar Frown Lines โดยการฉีดโบจะออกฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อทั้ง 2 มัดนี้ เวลาที่แสดงสีหน้า เช่น เครียด หรือโกรธ ก็จะไม่ทำให้เกิดริ้วรอยบริเวณระหว่างคิ้ว

                                                                       

                                                                      ฉีดโบระหว่างคิ้วมีข้อดีอย่างไร
                                                                      ฉีดโบระหว่างคิ้วมีข้อดีอย่างไร

                                                                       

                                                                      ฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว มีข้อดีอย่างไร?

                                                                       

                                                                      • ฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว ช่วยลดเลือนริ้วรอยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
                                                                      • ฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว ช่วยทำให้ใบหน้าดูเรียบเนียนและอ่อนเยาว์ขึ้น
                                                                      • ฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว ช่วยให้ใบหน้าดูผ่อนคลาย ไม่ดูตึงเครียดจนเกินไป
                                                                      • ฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว ช่วยชะลอและป้องกันการเกิดริ้วรอยใหม่ในอนาคต
                                                                      • ฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว สามารถเห็นผลลัพธ์ได้อย่างรวดเร็ว 
                                                                      • ฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว มีขั้นตอนการทำที่ไม่ยุ่งยาก ไม่ต้องรอนาน
                                                                      • ฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว มีความปลอดภัยสูง ไม่เสี่ยงอันตราย
                                                                      • ฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว ไม่ต้องพักฟื้นนาน สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ

                                                                       

                                                                      ฉีดโบระหว่างคิ้วเหมาะกับใคร
                                                                      ฉีดโบระหว่างคิ้วเหมาะกับใคร

                                                                       

                                                                      ใครบ้างที่เหมาะกับการฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว?

                                                                       

                                                                      การฉีดโบระหว่างคิ้ว เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับใครหลายคนที่ต้องการลดเลือนริ้วรอย และแก้ไขปัญหาใบหน้าให้กลับมาดูอ่อนเยาว์ขึ้น เพราะฉะนั้นการฉีดโบระหว่างคิ้วจึงเหมาะกับคนที่มีปัญหาดังต่อไปนี้

                                                                      • ฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว เหมาะกับคนที่มีปัญหาริ้วรอยระหว่างคิ้ว จากการขมวดคิ้ว หรือแสดงสีหน้า
                                                                      • ฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว เหมาะกับคนที่มีปัญหาริ้วรอยระหว่างคิ้ว แม้ไม่แสดงสีหน้า
                                                                      • ฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว เหมาะกับคนที่ต้องการลดเลือนรอยย่นยับ
                                                                      • ฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว เหมาะกับคนที่ต้องการให้ใบหน้าดูผ่อนคลาย
                                                                      • ฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว เหมาะกับคนที่ต้องการป้องกันการเกิดริ้วรอยใหม่
                                                                      • ฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว เหมาะกับคนที่ต้องการใบหน้าที่ดูอ่อนเยาว์
                                                                      • ฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว เหมาะกับคนที่ต้องการลดริ้วรอยโดยไม่ต้องการผ่าตัดศัลยกรรม
                                                                      • ฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว เหมาะกับคนที่ต้องการลดริ้วรอยแบบเร่งด่วน

                                                                       

                                                                      ใครที่ไม่เหมาะกับการฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว?

                                                                       

                                                                      การฉีดโบระหว่างคิ้ว มีบุคคลบางกลุ่มที่ไม่เหมาะสมกับการทำหัตถการนี้ ดังนี้

                                                                      • ฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว ไม่เหมาะกับคนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี
                                                                      • ฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว ไม่เหมาะกับสตรีมีครรภ์และให้นมบุตร
                                                                      • ฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว ไม่เหมาะกับคนที่มีโรคประจำตัวบางชนิด เช่น กล้ามเนื้ออ่อนแรง 
                                                                      • ฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว ไม่เหมาะกับคนที่แพ้สารออกฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อ
                                                                      • ฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว ไม่เหมาะกับคนที่มีแผลติดเชื้อบริเวณที่ต้องการฉีด ควรรักษาให้หายปกติก่อน
                                                                      • ฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว ไม่เหมาะกับคนที่รับประทานยาบางชนิด เช่น ยาลดความดันโลหิต 
                                                                      • ฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว ไม่เหมาะกับคนที่มีโรคเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด
                                                                      • ฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว ไม่เหมาะกับคนที่ต้องการผลลัพธ์ถาวร

                                                                       

                                                                      ยี่ห้อโบระหว่างคิ้วที่ได้รับความนิยมมากที่สุด

                                                                       

                                                                      ปัจจุบันมีโบระหว่างคิ้วหลายยี่ห้อ ที่ได้รับการรับรองจาก อย.ไทย เช่น Allergan, Dysport, Xeomin, Nabota, Aestox เป็นต้น ซึ่งแต่ละยี่ห้อจะมีจุดเด่นที่แตกต่างกันไป ดังนี้

                                                                       

                                                                      โบระหว่างคิ้วยี่ห้อ Allergan จากประเทศสหรัฐอเมริกา 

                                                                      • จุดเด่นคือตัวยามีลักษณะการกระจายตัวแคบ 
                                                                      • มีความบริสุทธิ์มากถึง 99.5% ทำให้เกิดโอกาสดื้อโบน้อยที่สุด 
                                                                      • ให้ผลลัพธ์การรักษาที่แม่นยำและตรงจุด 
                                                                      • สามารถแก้ไขปัญหาริ้วรอยเฉพาะจุดได้ดี 
                                                                      • การันตีด้วยงานวิจัยมากมาย เป็นหนึ่งในยี่ห้อที่ได้รับความนิยมมากที่สุด

                                                                       

                                                                      โบระหว่างคิ้วยี่ห้อ Dysport จากประเทศอังกฤษ 

                                                                      • จุดเด่นคือมีขนาดของโมเลกุลที่เล็ก 
                                                                      • ตัวยามีลักษณะการกระจายตัวเป็นวงกว้าง
                                                                      • เหมาะสำหรับคนที่ต้องการแก้ไขปัญหาริ้วรอยย่น และคนที่ต้องการผลลัพธ์เร่งด่วน
                                                                      • หลังฉีดจะรู้สึกตึงประมาณ 50% ให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ

                                                                       

                                                                      โบระหว่างคิ้วยี่ห้อ Xeomin จากประเทศเยอรมัน 

                                                                      • จุดเด่นคือการนำข้อดีของยี่ห้อ Allergan และ Dysport มารวมไว้ด้วยกัน 
                                                                      • มีความบริสุทธิ์สูงมาก ไม่กระจุกตัวแคบเกินไป
                                                                      •  สามารถป้องกันการเกิดโอกาสดื้อโบได้ 
                                                                      • มีงานวิจัยแสดงว่าโบระหว่างคิ้วยี่ห้อ Xeomin ได้ผลลัพธ์ดีในกรณีที่ดื้อยา

                                                                       

                                                                      โบระหว่างคิ้วยี่ห้อ Nabota จากประเทศเกาหลี 

                                                                      • จุดเด่นคือมีความบริสุทธิ์ถึง 98.7% 
                                                                      • เป็นโบเกาหลียี่ห้อเดียวที่ผ่านงานวิจัยรับรองจากอย.อเมริกา 
                                                                      • ออกฤทธิ์ไวกว่าโบเกาหลียี่ห้ออื่น 
                                                                      • ช่วยแก้ไขปัญหาริ้วรอยบนใบหน้า 
                                                                      • เหมาะกับคนที่ต้องการผลลัพธ์เร่งด่วน

                                                                       

                                                                      โบระหว่างคิ้วยี่ห้อ Aestox จากประเทศเกาหลี 

                                                                      • พัฒนาโครงสร้างโมเลกุลให้เทียบเท่ากับ Allergan แต่อยู่ได้สั้นกว่า
                                                                      • จุดเด่นคือมีตัวยาบริสุทธิ์ 99.5% สามารถออกฤทธิ์ได้ไว
                                                                      • ตัวยากระจายตัวแคบ ออกฤทธิ์แม่นยำและตรงจุด
                                                                      • นิยมใช้เพื่อการแก้ไขปัญหาริ้วรอย ให้ผลลัพธ์เป็นธรรมชาติ

                                                                       

                                                                      เลือกยี่ห้อโบระหว่างคิ้ว
                                                                      เลือกยี่ห้อโบระหว่างคิ้ว

                                                                       

                                                                      วิธีการเลือกยี่ห้อโบระหว่างคิ้ว แบบไหนถึงดีที่สุด?

                                                                       

                                                                      • เลือกยี่ห้อที่ได้รับการรับรอง : ควรเลือกยี่ห้อโบระหว่างคิ้วที่ผ่านการรับรองจากอย.ไทยและการรับรองจากองค์กรระหว่างประเทศ เช่น FDA (องค์การอาหารและยาของประเทศสหรัฐอเมริกา) เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพของผลลัพธ์
                                                                      • ประสบการณ์ของแพทย์ : แพทย์ที่มีประสบการณ์จะสามารถเลือกใช้ยี่ห้อโบระหว่างคิ้วที่เหมาะสมกับปัญหาของแต่ละบุคคลได้อย่างแม่นยำ รวมไปถึงแพทย์ควรมีความเข้าใจในสรีรวิทยาของใบหน้า เพื่อวางแผนการฉีดให้ได้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ
                                                                      • ปัญหาที่ต้องการแก้ไข : โบระหว่างคิ้วแต่ละยี่ห้อจะมีประสิทธิภาพในการลดเลือนริ้วรอยที่แตกต่างกันออกไป เช่น บางยี่ห้ออาจเหมาะสำหรับริ้วรอยตื้น บางยี่ห้ออาจเหมาะสำหรับริ้วรอยลึก เป็นต้น
                                                                      • ความต้องการของแต่ละบุคคล : ในบางคนอาจต้องการผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ ในขณะที่บางคนอาจต้องการผลลัพธ์ที่ชัดเจนและอยู่ได้นาน ซึ่งโบระหว่างคิ้วในแต่ละยี่ห้อมีระยะเวลาในการออกฤทธิ์และคงอยู่แตกต่างกันออกไป
                                                                      • ปริมาณโบระหว่างคิ้วที่ใช้ : แพทย์จะทำการคำนวณปริมาณของโบระหว่างคิ้วที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติและปลอดภัย

                                                                       

                                                                      ข้อควรรู้ก่อนเลือกฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว

                                                                       

                                                                      ก่อนฉีดโบระหว่างคิ้ว เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและปลอดภัย ควรเตรียมตัวดังนี้

                                                                       

                                                                      • ก่อนฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว งดดื่มแอลกอฮอล์
                                                                      • ก่อนฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว งดรับประทานยายาที่ทำให้เลือดแข็งตัวช้า เช่น แอสไพริน ไอบูโพรเฟน 
                                                                      • ก่อนฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว งดอาหารเสริมบางชนิด เช่น วิตามินอี น้ำมันปลา
                                                                      • ก่อนฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว หลีกเลี่ยงการแต่งหน้าก่อนมาทำหัตถการ
                                                                      • ก่อนฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว หากมีโรคประจำตัว หรือยาที่ต้องรับประทานประจำ ควรแจ้งให้แพทย์ก่อนทำเพื่อให้แพทย์ประเมินความเสี่ยง และวางแผนการรักษาได้อย่างเหมาะสม
                                                                      • ก่อนฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว ควรพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อเตรียมพร้อมก่อนทำหัตถการ

                                                                       

                                                                      ขั้นตอนการฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว

                                                                       

                                                                      • ก่อนฉีดโบระหว่างคิ้ว เริ่มต้นด้วยการปรึกษาแพทย์ เพื่อให้แพทย์ทำการประเมินสภาพผิวและปัญหาผิวก่อนทำ รวมไปถึงแพทย์จะทำการอธิบายถึงกระบวนการฉีดโบระหว่างคิ้วด้วย
                                                                      • ทำความสะอาดผิวบริเวณที่ฉีดโบระหว่างคิ้ว เพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
                                                                      • แพทย์อาจทายาชาบริเวณที่ต้องการฉีดสำหรับคนที่กลัวเจ็บ เพื่อลดความเจ็บจากเข็ม
                                                                      • แพทย์จะเริ่มใช้เข็มขนาดเล็กฉีดโบระหว่างคิ้วเข้าไปในกล้ามเนื้อตรงช่วงระหว่างคิ้ว
                                                                      • หลังแพทย์ฉีดโบระหว่างคิ้วเสร็จเรียบร้อยแล้ว แพทย์จะทำการประคบเย็นบริเวณที่ฉีดเพื่อลดอาการบวม
                                                                      • ก่อนกลับบ้านแพทย์จะทำการแนะนำเกี่ยวกับการดูแลตนเองหลังจากฉีดโบระหว่างคิ้ว เพื่อผลลัพธ์คงอยู่อย่างยาวนานแบบเป็นธรรมชาติ

                                                                       

                                                                      ข้อห้ามและการดูแลตัวเอง หลังฉีดโบระหว่างคิ้ว

                                                                       

                                                                      • หลังฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว ควรรีบขยับเกร็งกล้ามเนื้อในบริเวณที่ฉีดทันที 1-2 ครั้ง
                                                                      • หลังฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว ควรฉีดโบต่อเนื่องในระยะเวลาที่เหมาะสม แต่ควรเว้นช่วงระยะเวลาที่เหมาะสม ไม่ฉีดถี่จนเกินไป
                                                                      • หลังฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
                                                                      • หลังฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว หลีกเลี่ยงความร้อนทุกชนิด
                                                                      • หลังฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว หลีกเลี่ยงการนวดหรือกดบริเวณที่ฉีดอย่างน้อย 24 ชั่วโมงแรก
                                                                      • หลังฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้หน้าแดง เช่น การออกกำลังกายหนัก ซาวน่า
                                                                      • หลังฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว หลีกเลี่ยงการนอนคว่ำหน้า และการนอนราบ

                                                                       

                                                                      ฉีดโบระหว่างคิ้วที่ไหนดี
                                                                      ฉีดโบระหว่างคิ้วที่ไหนดี

                                                                       

                                                                      ฉีดโบระหว่างคิ้ว ที่ไหนดี?

                                                                       

                                                                      การเลือกคลินิกฉีดโบระหว่างคิ้วเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะจะส่งผลโดยตรงต่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ได้ ดังนั้นก่อนตัดสินใจฉีดโบระหว่างคิ้ว ควรพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้

                                                                      • คลินิกที่มาตรฐาน มีความน่าเชื่อถือ

                                                                      ควรเลือกเข้ารับการฉีดโบระหว่างคิ้วจากคลินิกที่ได้มาตรฐานการรับรองตามกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งต้องมีใบอนุญาตอย่างถูกต้อง

                                                                      • มีแพทย์ที่มีประสบการณ์ประจำคลินิก

                                                                      การฉีดโบระหว่างคิ้วเป็นบริเวณที่ฉีดยาก ดังนั้นควรทำหัตถการโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ที่สามารถวิเคราะห์ใบหน้าได้เป็นอย่างดี และเลือกใช้เทคนิคเฉพาะตัวเพื่อให้คงผลลัพธ์ได้นาน และมีความปลอดภัยที่สุด

                                                                      • ใช้ผลิตภัณฑ์โบแท้ ตรวจสอบได้

                                                                      ควรเลือกคลินิกที่ยินยอมให้ตรวจสอบตัวยาว่าใช้โบแท้หรือไม่ และเลือกคลินิกที่แพทย์แกะกล่องผสมตัวยาให้ดูต่อหน้า เพื่อเพิ่มความมั่นใจก่อนฉีดโบระหว่างคิ้ว

                                                                       

                                                                      ฉีดโบระหว่างคิ้วกับรมย์รวินท์คลินิกดีอย่างไร?

                                                                       

                                                                      รมย์รวินท์คลินิกพร้อมให้บริการโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ โดยใช้ตัวยาที่มีคุณภาพ ปลอดภัย และมีอย.เท่านั้น สามารถตรวจสอบผลิตภัณฑ์ได้ว่าเป็นของแท้ที่ผ่านการสั่งซื้อจากบริษัทที่เป็นผู้นำเข้าอย่างถูกกฎหมาย สำหรับคนไข้ที่เข้ารับบริการฉีดโบระหว่างคิ้วกับรมย์รวินท์คลินิก จะได้รับการประเมินใบหน้าโดยแพทย์ประจำคลินิก โดยพิจารณาขนาดกล้ามเนื้อ ประเมินปริมาณของโบระหว่างคิ้ว เพื่อผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ

                                                                       

                                                                      รวมคำถามพบบ่อยของการฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว

                                                                       

                                                                      • ฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว กี่ยูนิต?

                                                                       

                                                                      การฉีดโบระหว่างคิ้ว เป็นจุดที่ใช้ปริมาณไม่เยอะ โดยส่วนมากการฉีดโบแก้ปัญหาริ้วรอยขมวดคิ้ว จะใช้โบระหว่างคิ้วประมาณ 25 ยูนิต ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัญหาและความต้องการในแต่ละบุคคล ซึ่งแพทย์จะประเมินเป็นรายบุคคล เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ดีและคุ้มค่าที่สุด

                                                                       

                                                                      • ฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว เจ็บไหม?

                                                                       

                                                                      ระหว่างฉีดโบระหว่างคิ้ว อาจจะรู้สึกเจ็บเล็กน้อย สำหรับใครที่กลัวเจ็บสามารถแจ้งแพทย์ก่อนเริ่มฉีดได้ ซึ่งแพทย์จะทายาชาบริเวณที่จะฉีด เพื่อลดความรู้สึกเจ็บลง

                                                                       

                                                                      • ฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว ดีจริงไหม?

                                                                       

                                                                      การฉีดโบระหว่างคิ้วทำให้กล้ามเนื้อบริเวณระหว่างคิ้วไม่ขยับ ไม่เกิดรอยพับ ส่งผลให้ผิวเรียบเนียนขึ้น ช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยในอนาคตได้ อีกทั้งการฉีดโบระหว่างคิ้ว มีขั้นตอนที่ไม่ยุ่งยาก ไม่ต้องพักฟื้น จึงได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน

                                                                       

                                                                      • ฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว อันตรายไหม?

                                                                       

                                                                      อันตรายที่เกิดจากการฉีดโบระหว่างคิ้วที่พบส่วนใหญ่ จะเกิดจากการฉีดโบปลอม โบหิ้วกับหมอกระเป๋า ฉีดกับแพทย์ที่ไม่มีประสบการณ์ ไม่มีรู้เรื่องกายวิภาค ทำให้มีโอกาสเสี่ยงสูงที่จะฉีดพลาดไปโดนเส้นเลือด จนเกิดรอยเขียวช้ำ หรือเป็นอันตราย เพราะฉะนั้นควรฉีดกับแพทย์ที่มีประสบการณ์ด้านการฉีด และมีความรู้เทคนิคการฉีดที่ถูกต้อง ด้วยโบแท้ที่สามารถย่อยสลายเองได้ตามธรรมชาติ เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ดี

                                                                      • ฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว กี่วันเห็นผล?

                                                                       

                                                                      หลังฉีดโบระหว่างคิ้ว จะเริ่มเห็นผลลัพธ์ใน 3-4 วัน โดยจะรู้สึกตึง ๆ ผิวบริเวณที่ฉีด และเห็นผลลัพธ์เต็มที่ใน 2 สัปดาห์

                                                                       

                                                                      • ฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว จะทำให้คิ้วไม่เท่ากันไหม?

                                                                       

                                                                      การฉีดโบระหว่างคิ้วสามารถทำให้คิ้วไม่เท่ากันได้ ในกรณีนี้จะเกิดจากแพทย์ฉีดผิดตำแหน่ง หรือคำนวณปริมาณโบระหว่างคิ้วผิดพลาด ซึ่งถ้าใช้ปริมาณของโบเยอะเกินไป จะทำให้ยากระจายตัวไปยังจุดอื่น ๆ ที่ไม่ต้องการ จึงทำให้ตาตก คิ้วไม่เท่ากันได้ ดังนั้นการเลือกคลินิกฉีดโบระหว่างคิ้วจึงเป็นสิ่งสำคัญ ควรเลือกฉีดกับแพทย์ที่มีประสบการณ์เท่านั้น จึงจะได้ผลลัพธ์ที่ดีและไม่เกิดผลข้างเคียง

                                                                       

                                                                      • ฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว อยู่ได้นานแค่ไหน?

                                                                       

                                                                      การฉีดโบระหว่างคิ้ว จะเริ่มเห็นผลลัพธ์ประมาณ 1 – 2 สัปดาห์หลังจากที่ฉีดโบระหว่างคิ้วไปแล้ว โดยบริเวณระหว่างคิ้วจะเริ่มตึงขึ้น และริ้วรอยรอยย่นค่อย ๆ ลดลง ผลลัพธ์คงอยู่ได้นานถึง 3 – 6 เดือนขึ้นอยู่กับยี่ห้อโบที่เลือกใช้ 

                                                                       

                                                                      • ฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว ช่วยลดริ้วรอยระหว่างคิ้วได้จริงไหม?

                                                                       

                                                                      การฉีดโบระหว่างคิ้ว แก้ปัญหาริ้วรอยขมวดคิ้ว สามารถช่วยแก้ปัญหาริ้วรอยย่น ริ้วรอยขมวดคิ้วได้จริง และยังเป็นวิธีแก้ไขปัญหาที่รวดเร็ว ตรงจุด และเห็นผลลัพธ์ได้ชัดเจน

                                                                       

                                                                      • ฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว มีผลข้างเคียงไหม?

                                                                       

                                                                      หลังจากฉีดโบระหว่างคิ้ว อาจพบอาการบวมเข็ม หรือรอยช้ำจากจุดที่ฉีด ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้เป็นปกติ และหายได้เองในเวลาต่อมา ไม่ถือว่าเป็นผลข้างเคียง ส่วนผลข้างเคียงจากการฉีดโบระหว่างคิ้ว เกิดได้จาก 2 กรณี คือ

                                                                      • แพทย์ไม่มีประสบการณ์ในด้านการฉีดโบระหว่างคิ้ว ฉีดผิดตำแหน่ง ใช้ประมาณของโบไม่เหมาะสม อาจทำให้คิ้วไม่เท่ากันได้
                                                                      • ใช้โบปลอม ทำให้ฉีดโบระหว่างคิ้วแล้วไม่ได้ผล ทำให้ต้องฉีดบ่อยขึ้นจนเสี่ยงต่อการดื้อโบ หรือกรณีฉีดโบแล้วตัวยากระจายตัวไปโดนกล้ามเนื้อมัดอื่น ซึ่งสามารถทำให้หนังตาตกได้

                                                                       

                                                                      • ฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว แก้ปัญหาใดได้อีกบ้าง?

                                                                       

                                                                      นอกจากการฉีดโบระหว่างคิ้วจะช่วยลดริ้วรอยระหว่างคิ้วแล้ว ยังสามารถช่วยยกคิ้วขึ้น แก้ปัญหาหนังตาตกได้อีกด้วย ทั้งนี้ต้องทำโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์สูง เนื่องจากเป็นกล้ามเนื้อมัดเล็ก ต้องใช้ความละเอียดเป็นพิเศษ

                                                                       

                                                                      • ฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว แก้หนังตาตกได้จริงไหม?

                                                                       

                                                                      การฉีดโบระหว่างคิ้วสามารถช่วยแก้ไขปัญหาหนังตาตกได้จริง โดยแพทย์จะฉีดตัวยาเข้าสู่บริเวณหน้าผากเหนือบริเวณคิ้ว วิธีนี้จะช่วยทำให้คิ้วยกสูงขึ้น ส่งผลให้ดวงตาดูเฉี่ยวและกลมโตมากขึ้น เหมาะสำหรับคนที่มีปัญหาคิ้วตก หนังตาตกไม่มาก 

                                                                       

                                                                      • ทำไมต้องฉีดโบระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว?

                                                                       

                                                                      ในการฉีดโบระหว่างคิ้ว จะช่วยเข้าไปยับยั้งการทำงานของกล้ามเนื้อที่ทำให้เกิดริ้วรอย ทำให้ริ้วรอยระหว่างคิ้วจางลง ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดริ้วรอยใหม่เพิ่มขึ้น ซึ่งการฉีดโบระหว่างคิ้วจะทำให้ใบหน้าดูผ่อนคลาย ไม่เคร่งเครียด และดูอ่อนเยาว์ลง ส่งผลให้ใบหน้าดูดีขึ้น ช่วยเพิ่มความมั่นใจในตัวเองมากขึ้นด้วย นอกจากนี้การฉีดโบระหว่างคิ้วเป็นหัตถการที่เห็นผลรวดเร็ว สามารถเริ่มเห็นผลใน 3-7 วัน ไม่ต้องพักฟื้น หลังฉีดโบระหว่างคิ้วสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ และมีความปลอดภัยเมื่อฉีดกับแพทย์ที่มีประสบการณ์

                                                                       

                                                                      สรุปการฉีดโบระหว่างคิ้ว เป็นวิธีการที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ในการลดเลือนริ้วรอยและให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ขึ้น อย่างไรก็ตามผลลัพธ์ที่ได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ประสบการณ์ของแพทย์ คุณภาพของโบ และการดูแลหลังการฉีด ดังนั้น ผู้ที่สนใจควรปรึกษาแพทย์ที่มีประสบการณ์เพื่อประเมินสภาพผิวและให้คำแนะนำที่เหมาะสม 

                                                                      ไขมันในช่องท้อง (Visceral fat) คืออะไร ? อันตรายแค่ไหน

                                                                      ไขมันในช่องท้อง (visceral fat) คืออะไร อันตรายยังไง

                                                                      ไขมันในช่องท้อง (Visceral fat) คืออะไร ? รู้จักกับภัยเงียบที่ทำลายสุขภาพ

                                                                      หลาย ๆ คนได้ยินคำว่าไขมัน อาจจะนึกถึงสัดส่วนที่เกินมาตรฐาน หรือความอ้วน ซึ่ง ไขมัน ที่ร่างกายของเรามีนั้น ไม่ได้มีเพียงไขมันที่มองเห็นเท่านั้น แต่ยังมี ไขมันที่มองไม่เห็น อย่าง ไขมันในช่องท้อง ไขมันตัวร้าย ภัยเงียบที่ทำลายสุขภาพของใครหลาย ๆ คน มาทำความรู้จักกับ ไขมันในช่องท้อง พร้อมวิธีการดูแลตัวเองให้สุขภาพดี

                                                                       

                                                                      ไขมันในช่องท้อง (visceral fat) คืออะไร
                                                                      ไขมันในช่องท้อง (visceral fat) คืออะไร

                                                                       

                                                                      ไขมันในช่องท้อง (Visceral fat)  คืออะไร ?

                                                                      ไขมันในช่องท้อง (Visceral Fat) เป็นไขมันที่มองไม่เห็น และแทรกอยู่ภายในร่างกาย โดยจะแทรกอยู่ตามบริเวณอวัยวะภายในช่องท้อง เช่น ตับ กระเพาะอาหาร หรือลำไส้เล็ก ซึ่งไขมันประเภทนี้เป็นไขมันที่มีความอันตรายต่อร่างกาย เนื่องจากสามารถแทรกซึมเข้าสู่หลอดเลือดแดงของเราได้ นอกจากนี้ไขมันในช่องท้องยังเป็นไขมันที่เป็นสาเหตุของการเกิดโรคหลายโรค

                                                                       

                                                                      ไขมันในช่องท้อง (Visceral fat) อันตรายแค่ไหน?

                                                                      หากมีคำถามว่าไขมันในช่องท้องอันตรายไหม? ต่างจากไขมันใต้ชั้นผิวอย่างไร โดยไขมันใต้ชั้นผิวนั้น หากร่างกายมีมากเกินไป จะทำให้เกิดไขมันส่วนตามสัดส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ซึ่งอาจจะทำให้รูปร่างของเราดูอ้วนขึ้น แต่หากมีไขมันในช่องท้องเยอะ อาจจะเกิดอันตรายต่อสุขภาพร่างกายได้ เนื่องจากไขมันจะไปสะสมบริเวณอวัยวะภายใน และเป็นความเสี่ยงที่อาจจะก่อให้เกิดโรคอื่น ๆ ตามมา

                                                                      สัญญาณเตือน ไขมันในช่องท้องเกิน
                                                                      สัญญาณเตือน ไขมันในช่องท้องเกิน

                                                                       

                                                                      สัญญาณเตือนว่าคุณอาจมีไขมันในช่องท้องเกิน

                                                                      ไขมันในช่องท้อง เป็นไขมันที่ไม่สามารถมองเห็นได้ หรือสามารถสัมผัสได้เหมือนกับไขมันบริเวณผิวชั้นนอก เนื่องจากไขมันในช่องท้องนั้นจะเข้าไปแทรกและสะสมอยู่ตามอวัยวะสำคัญภายในช่องท้อง ซึ่งทำให้เสี่ยงต่อโรค เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ หรือโรคความดันโลหิตสูง แต่ก็มีวิธีสังเกตหรือมีสัญญาณเตือนที่จะบอกได้ว่าคุณอาจมีไขมันในช่องท้อง ดังนี้ 

                                                                       

                                                                      • เส้นรอบเอวเพิ่มขึ้น อาจเกิดจากไขมันในช่องท้องเยอะเกินไป

                                                                       

                                                                      ในผู้ที่มีไขมันในช่องท้องเยอะนั้น จะสังเกตได้ว่ามีไขมันสะสมรอบ ๆ ท้อง หรือเอวมากขึ้น โดยลักษณะหน้าท้องจะมีความตึงและแน่น ซึ่งคุณสามารถใช้สายวัดรอบเอวที่ระดับสะดือ โดยไม่ต้องกลั้นหายใจ โดยเกณฑ์มาตรฐานทั่วไป คือ

                                                                      ผู้ชาย: เส้นรอบเอวเกิน 90 ซม. (35 นิ้ว)

                                                                      ผู้หญิง: เส้นรอบเอวเกิน 80 ซม. (32 นิ้ว)

                                                                      หากมีเส้นรอบเอวเกินกว่าตัวเลข คุณอาจจะมีความเสี่ยงที่อาจมีไขมันในช่องท้องสะสมเยอะเกิน

                                                                       

                                                                      • น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะบริเวณกลางลำตัว อาจเกิดจากไขมันในช่องท้องเยอะเกินไป

                                                                      หลาย ๆ คนที่มีปัญหาน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นเร็ว หรือมีไขมันสะสมบริเวณท้องส่วนกลางมากกว่าบริเวณอื่น เช่น คนที่มีรูปร่างแบบแอปเปิล (Apple Shape)  แม้จะมีน้ำหนักตัวที่ปกติ แต่มีสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น อาจจะเป็นสัญญาณว่าคุณมีไขมันในช่องท้องสะสมมากขึ้น

                                                                       

                                                                      • ค่าดัชนีมวลกาย (BMI) และอัตราส่วนรอบเอวต่อสะโพก (WHR) สูง อาจเกิดจากไขมันในช่องท้องเยอะเกินไป

                                                                      การคำนวณค่าดัชนีมวลกาย (BMI) ย่อมาจาก Body Mass Index เป็นค่าสากลที่ใช้เพื่อคำนวณเพื่อหาน้ำหนักตัวที่เป็นมาตรฐาน โดยจะคำนวณจากน้ำหนักตัว และส่วนสูง ซึ่งค่า BMI นั้นจะมีค่ามาตรฐานของน้ำหนักที่สมส่วน โดยคำนวณจากน้ำหนักและส่วนสูง หากค่า BMI เกิน 25 ถือว่าอาจมีน้ำหนักเกิน

                                                                      และการดูอัตราส่วนรอบเอวต่อสะโพก (WHR) ย่อมาจาก Waist-to-Hip Ratio จะคำนวณจากความยาวเส้นรอบเอว (หน่วยเป็นเซนติเมตร) และความยาวเส้นรอบสะโพก (หน่วยเป็นเซนติเมตร) ซึ่งค่าที่ได้จะเป็นจุดทศนิยม หากผู้ชายมีค่า WHR มากกว่า 0.9 และผู้หญิงมีค่า WHR มากกว่า 0.85 อาจจะแสดงให้เห็นว่าเริ่มมีความอ้วน และอาจมีไขมันในช่องท้อง

                                                                       

                                                                      • พลังงานในการทำกิจกรรมต่าง ๆ น้อยลง อาจเกิดจากไขมันในช่องท้องเยอะเกินไป

                                                                      การมีไขมันในช่องท้องที่มากเกินไป อาจจะส่งผลให้คุณรู้สึกเหนื่อยง่าย อ่อนเพลียเรื้อรัง หรือไม่มีเรี่ยวแรงได้ เนื่องจากไขมันในช่องท้องนั้นไปรบกวนการทำงานของระบบเผาผลาญในร่างกาย และยังรบกวนระบบการสร้างพลังงานในร่างกายอีกด้วย

                                                                       

                                                                      • ความดันโลหิตสูง อาจเกิดจากไขมันในช่องท้องเยอะเกินไป

                                                                      ความดันโลหิตสูง เกิดได้จากหลายปัจจัยรวมถึง เกิดจากไขมันในช่องท้องที่มีมากเกินไป ซึ่งนอกจากความดันโลหิตสูงแล้ว ไขมันในช่องท้องยังเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ และหลอดเลือดอีกด้วย เนื่องจากไขมันในช่องท้องนั้นสามารถส่งผลต่อระบบฮอร์โมน และกระบวนการอักเสบในร่างกาย 

                                                                       

                                                                      • ค่าคอเลสเตอรอลและน้ำตาลในเลือดผิดปกติ อาจเกิดจากไขมันในช่องท้องเยอะเกินไป

                                                                      สัญญาณที่เตือนว่าคุณอาจจะมีไขมันในช่องท้องสะสมอีกหนึ่งสัญญาณ คือ ระดับไขมันในเลือด และระดับน้ำตาลในเลือดที่เพิ่มขึ้น (คอเลสเตอรอล LDL สูง, HDL ต่ำ, ไตรกลีเซอไรด์สูง) เนื่องจากไขมันในช่องท้องมีบทบาทสำคัญในการผลิตสารที่ส่งผลกระทบต่อระบบเผาผลาญ เช่น สารอักเสบที่อาจกระตุ้นให้ระดับไขมันในเลือด และระดับน้ำตาลเพิ่มขึ้น

                                                                       

                                                                      • มีอาการกรนหรือหยุดหายใจขณะหลับ อาจเกิดจากไขมันในช่องท้องเยอะเกินไป

                                                                      ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Sleep Apnea) เป็นอาการที่พบได้บ่อยในผู้ที่มีไขมันสะสมในช่องท้อง  เพราะไขมันในช่องท้องมีผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจ เนื่องจากไขมันในช่องท้องสามารถกดทับบริเวณช่องอกและระบบทางเดินหายใจ อาจจะทำให้ทางเดินหายใจตีบหรืออุดตันในขณะหลับ ส่งผลให้เกิดการกรนหรือหยุดหายใจชั่วคราว ซึ่งเป็นอันตรายอย่างมาก

                                                                       

                                                                      • ระบบย่อยอาหารผิดปกติ อาจเกิดจากไขมันในช่องท้องเยอะเกินไป

                                                                      หากมีไขมันในช่องท้องที่มากเกินไป ไขมันอาจจะเข้าไปรบกวนการทำงานของลำไส้และกระเพาะอาหารได้ โดยอาจจะส่งผลทำให้ระบบย่อยอาหารมีความผิดปกติ เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ หรือมีปัญหาเกี่ยวกับการขับถ่ายได้

                                                                       

                                                                      • ความเครียดสูงและมีอารมณ์แปรปรวน อาจเกิดจากไขมันในช่องท้องเยอะเกินไป

                                                                      ความเครียดสะสม ถือเป็นปัจจัยที่สำคัญในการกระตุ้นการเกิดไขมันในช่องท้องมากเกินไป เนื่องจากเมื่อเกิดความเครียดสูงร่างกายจะกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล ที่เพิ่มการสะสมไขมันในช่องท้อง จึงส่งผลให้เกิดอารมณ์ที่แปรปรวนและหงุดหงิดง่าย เรียกได้ว่าไขมันในช่องท้องส่งผลกระทบต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิต

                                                                       

                                                                      • ประวัติครอบครัวเกี่ยวกับโรคเรื้อรัง อาจเกิดจากไขมันในช่องท้องเยอะเกินไป

                                                                      หากครอบครัวมีประวัติเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 โรคหัวใจ หรือโรคอ้วน อาจจะมีความเสี่ยงสูงที่จะทำให้เป็นโรคเกี่ยวกับพันธุกรรม ซึ่งอาจจะเกิดไขมันในช่องท้องที่มากเกินไป 

                                                                       

                                                                      ไขมันในช่องท้อง (Visceral fat) เกิดจากอะไร ?

                                                                      ไขมันในช่องท้อง (Visceral Fat) เป็นไขมันที่สะสมอยู่ในช่องท้องลึก รอบอวัยวะสำคัญ เช่น ตับ ตับอ่อน และลำไส้ ไขมันในช่องท้องมีบทบาทสำคัญในระบบร่างกายเมื่ออยู่ในปริมาณที่เหมาะสม แต่เมื่อสะสมมากเกินไป อาจจะเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาสุขภาพได้ ซึ่งสาเหตุการเกิดไขมันในช่องท้องสะสมมากเกินไปนั้น เกิดได้จากหลายสาเหตุ ดังนี้

                                                                       

                                                                      1. การรับประทานอาหารที่ไม่สมดุล

                                                                       ไขมันในช่องท้อง เกิดจากการรับประทานอาหารที่ไม่สมดุล หรือไม่ครบ 5 หมู่นั้น อาจทำให้ร่างกายขาดสารอาหาร ซึ่งการรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันสูง ยิ่งเพิ่มปัจจัยในการสะสมไขมันในช่องท้อง เช่น

                                                                      • การรับประทานอาหารแปรรูป เช่น ขนมขบเคี้ยว ไส้กรอก เบเกอรี่
                                                                      • การรับประทานเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง เช่น น้ำอัดลม ชานมไข่มุก
                                                                      • การรับประทานอาหารไขมันอิ่มตัว เช่น เนื้อสัตว์ติดมัน ของทอด

                                                                      การเลือกรับประทานอาหารประเภทนี้มากเกินไป จะทำให้ร่างกายนั้นได้รับพลังงานมากเกินไป ทำให้เผาผลาญได้ไม่หมด และกลายเป็นการสะสมไขมันในช่องท้อง 

                                                                       

                                                                      1. การขาดการออกกำลังกาย

                                                                       ไขมันในช่องท้อง เกิดจากการขาดการออกกำลังกาย เมื่อเราเคลื่อนไหวน้อยลง ก็จะทำให้การเผาผลาญพลังงานน้อยลงเช่นกัน ยิ่งใครที่ขาดการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอนั้น อาจจะทำให้พลังงานที่อยู่ภายในร่างกายถูกเผาผลาญได้ไม่เต็มที่ ทำให้เกิดไขมันในช่องท้องสะสมจำนวนมาก ดังนั้นจึงควรหากิจกรรมที่ได้เคลื่อนไหวระหว่างวันบ้าง เช่น การเดิน การวิ่ง

                                                                       

                                                                      1. ความเครียดและฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol)

                                                                       ไขมันในช่องท้อง เกิดจากความเครียด ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ร่างกายสะสมไขมันในช่องท้องมากกว่าปกติ ซึ่งเมื่อเราเกิดความเครียดนั้น ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล หรือฮอร์โมนความเครียดในปริมาณสูง ซึ่งฮอร์โมนนี้จะเข้าไปกระตุ้นให้ตับสร้างน้ำตาลมากขึ้น เนื่องจากในภาวะเครียดร่างกายจะต้องการพลังงานมากกว่าปกติ โดยจะส่งผลให้หิวบ่อยขึ้น กินเยอะขึ้น และอาจจะทำให้เกิดไขมันในช่องท้องได้ 

                                                                       

                                                                      1. การนอนหลับไม่เพียงพอ

                                                                       ไขมันในช่องท้อง เกิดจากการนอนหลับไม่เพียงพอ หากร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ หรือมีปัญหานอนหลับไม่เพียงพอ จะส่งผลต่อฮอร์โมนเกรลิน (Ghrelin) และเลปติน (Leptin) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยควบคุมความหิวในร่างกาย ที่ทำให้กระตุ้นความอยากอาหารมากขึ้น โดยเฉพาะอาหารประเภทของหวาน และของหวานที่มีไขมันสูง ซึ่งการรับประทานอาหารเหล่านี้มากเกินไป อาจจะทำให้เกิดการสะสมไขมันในช่องท้องที่มากขึ้น 

                                                                       

                                                                      1. การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก

                                                                       ไขมันในช่องท้อง เกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่มากเกินไป อาจเสี่ยงต่อการเกิดไขมันในช่องท้อง เนื่องจากแอลกอฮอล์นั้นมีแคลอรีที่สูง ทั้งยังทำให้ระบบเผาผลาญไขมันในร่างกายทำงานได้ช้าลง จึงเกิดเป็นไขมันส่วนเกินบริเวณรอบ ๆ เอว หรืออ้วนลงพุง

                                                                       

                                                                      1. พันธุกรรมและฮอร์โมนในร่างกาย

                                                                       ไขมันในช่องท้อง เกิดจากพันธุกรรมและฮอร์โมนในร่างกาย ในโรคบางโรคสามารถส่งต่อได้ทางพันธุกรรม โดยในบางคนนั้นอาจมีแนวโน้มที่จะสะสมไขมันในช่องท้อง นอกจากพันธุกรรมแล้ว ฮอร์โมนในร่างกาย ก็เป็นปัจจัยที่อาจส่งผลให้คุณมีไขมันในช่องท้อง เช่น การทำงานของอินซูลินที่ผิดปกติ หรือระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ลดลงในช่วงวัยหมดประจำเดือน ก็อาจทำให้เกิดไขมันในช่องท้องมากเกินไป

                                                                       

                                                                      โรคที่เกิดจากไขมันในช่องท้อง (Visceral fat) 

                                                                       

                                                                      การมีไขมันในช่องท้องสะสมในปริมาณมาก ๆ อาจจะนำไปสู่โรคที่อันตรายต่อสุขภาพได้ ไขมันเหล่านี้จะไปแทรกและสะสมอยู่ตามอวัยวะภายในร่างกายบริเวณช่องท้อง ซึ่งโรคที่อาจเกิดขึ้นจากไขมันในช่องท้องที่มากเกินไป มีดังนี้

                                                                       

                                                                      • ไขมันในช่องท้องทำให้เกิด โรคเบาหวานชนิดที่ 2 เนื่องจากไขมันเข้าไปกระตุ้นให้เกิดภาวะดื้ออินซูลิน
                                                                      • ไขมันในช่องท้องทำให้เกิด โรคไขมันในเลือดสูง เนื่องจากร่างกายจะกระตุ้นการสร้างไขมันเหลว หรือคอเลสเตอรอลมากกว่าไขมันดี
                                                                      • ไขมันในช่องท้องทำให้เกิด โรคความดันโลหิตสูง เนื่องจากร่างกายมีระดับอินซูลินในเลือดสูง
                                                                      • ไขมันในช่องท้องทำให้เกิด โรคหัวใจ เนื่องจากไขมันเข้าไปเกาะอยู่ตามหลอดเลือดหัวใจ ทำให้หัวใจทำงานหนัก และไขมันเข้าไปอุดตันในเส้นเลือด
                                                                      • ไขมันในช่องท้องทำให้เกิด โรคอัลไซเมอร์ เนื่องจากไขมันเข้าไปอุดตันตามหลอดเลือดแดง ทำให้มีเลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ
                                                                      • ไขมันในช่องท้องทำให้เกิด ภาวะไขมันพอกตับ เนื่องจากไขมันจะเข้าไปขัดขวางกระบวนการเผาผลาญน้ำตาลของร่างกาย
                                                                      • ไขมันในช่องท้องทำให้เกิด ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Sleep Apnea) เนื่องจากไขมันเข้าไปขัดขวางการขยายตัวของปอด ทำให้หายใจไม่เป็นปกติ หรือร่างกายอาจหยุดหายใจขณะนอนหลับได้ ซึ่งอันตรายมาก
                                                                      • ไขมันในช่องท้องทำให้เกิด โรคหลอดเลือดหัวใจขาดเลือด เนื่องจากไขมันไปเกาะอยู่ตามผนังหลอดเลือด ทำให้ระบบการไหลเวียนโลหิตผิดปกติ 
                                                                      • ไขมันในช่องท้องทำให้เกิด โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) เนื่องจากไขมันจะเข้าไปอุดตันเส้นเลือด ทำให้หลอดเลือดในสมองตีบ และนำไปสู่โรคหลอดเลือดสมอง
                                                                      • ไขมันในช่องท้องทำให้เกิด ภาวะภูมิแพ้ เนื่องจากไขมันไปอุดตันอยู่ตามหลอดเลือด ทำให้การไหลเวียนของเลือดผิดปกติ ส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ

                                                                       

                                                                      สำหรับใครที่มีความกังวลว่าจะมีภาวะไขมันในช่องท้องสะสมมากเกินไปนั้น สามารถวัดไขมันในเลือด (วัด Total cholesterol, Triglycerides, HDL-c, LDL-c) เพื่อเช็กระดับไขมัน คอเลสเตอรอลชนิดดี คอเลสเตอรอลชนิดไม่ดีได้ จากนั้นควรปรึกษาแพทย์ เพื่อวางแผนการรักษาไขมันในช่องท้องต่อไป ซึ่งในแต่ละบุคคลนั้นก็จะมีวิธีการรักษาที่แตกต่างกันไป

                                                                       

                                                                      ไขมันในช่องท้อง (visceral fat) ต่างจากไขมันทั่วไปอย่างไร
                                                                      ไขมันในช่องท้อง (visceral fat) ต่างจากไขมันทั่วไปอย่างไร

                                                                       

                                                                      ไขมันในช่องท้อง (Visceral fat) ต่างจากไขมันทั่วไป (Fat) อย่างไร?

                                                                      หลายคนอาจเคยได้ยินคำว่า “ไขมันในช่องท้อง” หรือ Visceral Fat แต่ยังไม่เข้าใจว่าแตกต่างจากไขมันทั่วไปที่สะสมอยู่ตามร่างกายอย่างไร และเหตุใดการมีไขมันในช่องท้องชนิดนี้มากเกินไปจึงส่งผลต่อสุขภาพอย่างรุนแรง ในบทความนี้ เราจะพาคุณมาทำความรู้จักกับไขมันทั้งสองประเภท พร้อมเปรียบเทียบความแตกต่าง และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น

                                                                       

                                                                      ไขมันในช่องท้อง คืออะไร ?

                                                                      ไขมันในช่องท้อง (Visceral Fat) เป็นไขมันที่สะสมอยู่ภายในร่างกายบริเวณช่องท้อง โดยไขมันจะกระจายตัวรอบ ๆ อวัยวะสำคัญในช่องท้อง เช่น ตับ ตับอ่อน และลำไส้ ไขมันในช่องท้องชนิดนี้ไม่สามารถมองเห็นหรือสัมผัสได้จากภายนอก จำเป็นต้องตรวจเท่านั้น หากมีการสะสมไขมันในช่องท้องมากเกินไป อาจจะเกิดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่าง ๆ ได้ เช่น โรคหัวใจ เบาหวานชนิดที่ 2 และโรคไขมันพอกตับ

                                                                       

                                                                      ไขมันทั่วไป คืออะไร ?

                                                                      นอกจาก ไขมันในช่องท้อง ร่างกายของเรายังมีไขมันอีกประเภท คือ ไขมันทั่วไป (Subcutaneous Fat) หรือไขมันที่อยู่บริเวณชั้นผิวหนัง จึงสามารถมองเห็นและสัมผัสได้ เกิดจากการที่ร่างกายได้รับพลังงานมากเกินความจำเป็น จากการที่รับประทานอาหารมากเกินไป และร่างกายไม่ได้เผาผลาญไขมันออกไป ทำให้เกิดไขมันส่วนเกินตามร่างกายได้ เช่น บริเวณหน้าท้อง ต้นแขน ต้นขา สะโพก ซึ่งไขมันประเภทนี้หากสะสมมากเกินไปอาจจะทำให้น้ำหนักตัวเปลี่ยนแปลง และรูปลักษณ์เปลี่ยนไปได้

                                                                       

                                                                      ไขมันในช่องท้อง (Visceral fat) มีผลกระทบต่อสุขภาพอย่างไร ?

                                                                      ไขมันในช่องท้อง จัดว่าเป็นไขมันชนิดที่มีความอันตรายต่อร่างกาย เนื่องจากสามารถผลิตสารอักเสบและฮอร์โมนที่รบกวนระบบเผาผลาญของร่างกาย ไขมันในช่องท้อง เป็นสาเหตุของการเกิดโรคหลาย ๆ โรค ไม่ว่าจะเป็น 

                                                                      • ไขมันในช่องท้องเพิ่มความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด เนื่องจากไขมันในช่องท้องจะเข้าไปเพิ่มความดันโลหิตให้สูงขึ้น และเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี (LDL) ให้สูงขึ้น จนอาจจะเกิดอันตรายได้
                                                                      • ไขมันในช่องท้องเพิ่มโอกาสการเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 เนื่องจากเข้าไปรบกวนการทำงานของอินซูลิน ทำให้ร่างกายเกิดภาวะดื้ออินซูลีน
                                                                      • ไขมันในช่องท้องเพิ่มการกระตุ้นการสะสมไขมันพอกตับ เนื่องจากไขมันในช่องท้องที่มากเกินไป จะเข้าไปสะสมแทรกตัวบริเวณตับ ทำให้เกิดไขมันพอกตับ และอาจจะพัฒนาเป็นโรคร้ายได้

                                                                       

                                                                      พฤติกรรมที่ทำให้คุณมีไขมันในช่องท้อง (Visceral fat) โดยไม่รู้ตัว

                                                                      • การรับประทานอาหารที่มีแคลอรีสูงและน้ำตาลมาก เช่น อาหารฟาสต์ฟู้ด อาหารแปรรูป หรือขนมหวาน
                                                                      • ขาดการออกกำลัง นั่ง หรือนอน ในเวลานาน
                                                                      • การนอนหลับไม่เพียงพอ หรือมีปัญหาเกี่ยวกับการนอน
                                                                      • ความเครียดสะสม หรือเครียดเรื้อรัง
                                                                      • การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก
                                                                      • การดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง เช่น น้ำอัดลม น้ำผลไม้บรรจุกล่อง และเครื่องดื่มชูกำลัง
                                                                      • การรับประทานอาหารดึกบ่อย ๆ
                                                                      • การดื่มน้ำไม่เพียงพอ ดื่มน้ำน้อยเกินไป

                                                                       

                                                                      5 วิธีลดขมันในช่องท้อง (visceral fat)
                                                                      5 วิธีลดขมันในช่องท้อง (visceral fat)

                                                                       

                                                                      มัดรวม 5 วิธีลดไขมันในช่องท้อง (Visceral fat) ด้วยตัวเอง

                                                                      • ทานอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อลดไขมันในช่องท้อง

                                                                      ควรทานอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่เพียงพอ ไม่ว่าจะเป็น ไขมันดี โปรตีน คาร์โบไฮเดรต และผักที่มีกากใยสูง ที่จะช่วยทำให้ร่างกายสุขภาพดี และยังช่วยลดการเกิดไขมันในช่องท้อง

                                                                       

                                                                      • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

                                                                      การออกกำลังกาย ทั้งแบบคาร์ดิโอ และแบบเวทเทรนนิ่ง จะช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อได้เป็นอย่างดี ซึ่งกล้ามเนื้อนั้นจะช่วยเร่งการเผาผลาญพลังงานจากน้ำตาลและไขมันในร่างกายได้ ซึ่งจะทำให้ไขมันในร่างกายลดลง ทั้งยังช่วยลดไขมันในช่องท้องได้ ซึ่งควรหมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

                                                                       

                                                                      • พักผ่อนให้เพียงพอ

                                                                      อยากลดไขมันช่องท้องต้อง พักผ่อนให้เพียงพอ นอนหลับให้เหมาะสมจะช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนในร่างกาย เช่น ฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) และฮอร์โมนความหิวอย่างเกรลิน (Ghrelin) และเลปติน (Leptin) ทำให้ร่างกายลดความอยากอาหารมากเกินความจำเป็น และช่วยลดการสะสมไขมันในช่องท้อง ซึ่งเวลานอนที่เหมาะสมจะอยู่ที่ 6-7 ชั่วโมงต่อวัน ที่จะช่วยลดไขมันในช่องท้อง และช่วยปรับสมดุลสุขภาพโดยรวม เช่น ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ เบาหวาน และปัญหาน้ำหนักเกิน

                                                                       

                                                                      • ควบคุมความเครียด

                                                                      ความเครียดไม่เพียงส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิต แต่ยังส่งผลกระทบต่อร่างกาย โดยเฉพาะการสะสมไขมันในช่องท้อง เนื่องจากหากเกิดความเครียดเรื้อรังร่างกายจะกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ฮอร์โมนความเครียด ที่ส่งผลให้ร่างกายสะสมไขมันในช่องท้องมากขึ้น ดังนั้นการควบคุมความเครียด หรือลดความเครียดจะช่วยลดการหลั่งฮอร์โมนชนิดนี้ 

                                                                       

                                                                      • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

                                                                      การสูบบุหรี่ และการดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำนั้น เป็นตัวการที่ทำให้เกิดภาวะน้ำหนักเกิน และเกิดการสะสมไขมันในช่องท้องที่มากเกินไป เพราะทำให้ประสิทธิภาพในการเผาผลาญพลังงานลดลง นอกจากนี้ยังส่งผลต่อโรคอื่น ๆ อีกด้วย ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่เครื่องดื่มแอลกอฮอล์

                                                                       

                                                                      ลดไขมัน กับลดน้ำหนัก ต่างกันอย่างไร
                                                                      ลดไขมัน กับลดน้ำหนัก ต่างกันอย่างไร

                                                                       

                                                                      ลดไขมัน กับ ลดน้ำหนัก ต่างกันอย่างไร ?

                                                                      การลดน้ำหนัก ไม่เท่ากับ การลดไขมัน หรือน้ำหนักที่น้อยไม่ได้แปลว่าหุ่นดี หรือมีสุขภาพที่ดี เพราะร่างกายของเรานั้นประกอบด้วยหลาย ๆ องค์ประกอบ ไม่ว่าจะเป็น น้ำ ไขมัน หรืออวัยวะภายใน หากต้องการลดไขมันในช่องท้อง ควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับการลดน้ำหนัก และการลดไขมัน 

                                                                       

                                                                      ลดน้ำหนัก

                                                                      การลดน้ำหนัก หมายถึง การทำให้ตัวเลขบนตาชั่งลดลง ซึ่งสามารถทำได้ง่ายในระยะสั้น โดยวิธีนี้จะทำให้ร่างกายเกิดการสูญเสียน้ำ และสูญเสียกล้ามเนื้อ เช่น การอดอาหาร หรือการลดปริมาณอาหารแบบหักดิบทันที ซึ่งวิธีนี้อาจจะเห็นผลลัพธ์ได้ไวทันที แต่อาจจะส่งผลไม่ดีต่อสุขภาพ และไม่ช่วยลดไขมันในช่องท้องในระยะยาว ทั้งยังเสี่ยงต่อการเกิดโยโย่เอฟเฟกต์ และอาจจะทำให้สัดส่วนของร่างกายดูไม่กระชับ ไม่ดูสุขภาพดี

                                                                       

                                                                      ลดไขมัน

                                                                      การลดไขมัน จะมุ่งเน้นไปที่การลดปริมาณไขมันในร่างกายอย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นเป้าหมายที่เหมาะสมสำหรับการมีสุขภาพดีและรูปร่างที่กระชับ โดยไขมันที่ควรลด คือ ไขมันใต้ผิวหนัง และไขมันในช่องท้อง ที่ส่งผลต่อปัญหาสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็น ไขมันที่สะสมอยู่บริเวณต้นแขน ต้นขา สะโพก และหน้าท้อง หรือไขมันในช่องท้องที่เกาะอยู่รอบอวัยวะสำคัญ เช่น ลำไส้ ตับ ไต การลดไขมันจะช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรัง ช่วยรักษากล้ามเนื้อไว้ และทำให้ระบบเผาผลาญยังทำงานได้ดี จึงทำให้สุขภาพดีในระยะยาว และยังทำให้รูปร่างกระชับและสัดส่วนเล็กลง

                                                                      อาหารที่ช่วยลดไขมันในช่องท้อง (Visceral fat) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

                                                                      1. ผักใบเขียว

                                                                      อาหารที่มีส่วนช่วยลดการสะสมไขมันในช่องท้อง คือ ผักใบเขียว ที่เป็นแหล่งไฟเบอร์ที่สำคัญ นอกจากจะช่วยเพิ่มความอิ่ม ลดความอยากอาหาร และทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้นแล้วนั้น ผักใบเขียวยังช่วยลดการสะสมไขมันในช่องท้องได้เป็นอย่างดี เช่น ผักโขม คะน้า บรอกโคลี หรือผักกาดหอม

                                                                       

                                                                      1. ธัญพืชเต็มเมล็ด 

                                                                      อาหารที่ช่วยลดไขมันในช่องท้อง คือ ธัญพืชเต็มเมล็ด (Whole Grains) ได้แก่ ข้าวกล้อง ควินัว ข้าวโอ๊ต และขนมปังโฮลวีต เป็นไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำ ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและไขมันในช่องท้อง ป้องกันการสะสมของไขมัน และยังช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ สามารถใช้แทนข้าวขาวได้

                                                                       

                                                                      1. ผลไม้ที่มีไฟเบอร์และน้ำตาลต่ำ

                                                                      อาหารที่ช่วยลดไขมันในช่องท้อง คือ ผลไม้ที่มีไฟเบอร์และน้ำตาลต่ำ การเลือกทานผลไม้ที่มีไฟเบอร์และน้ำตาลต่ำ เช่น แอปเปิล  เบอร์รี กีวี และเกรปฟรุต จะช่วยลดการสะสมไขมันในช่องท้อง และเนื่องจากผลไม้มีไฟเบอร์สูง มีน้ำตาลที่ต่ำ และอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีต่อสุขภาพ

                                                                       

                                                                      1. โปรตีนไขมันต่ำ

                                                                      อาหารที่ช่วยลดไขมันในช่องท้อง คือ โปรตีนไขมันต่ำ การเลือกทานโปรตีน จะช่วยเพิ่มการเผาผลาญไขมัน ลดการสะสมของไขมันในช่องท้อง และยังช่วยลดความหิวระหว่างวันได้ ทั้งนี้โปรตีนที่ดีต่อสุขภาพนั้น ควรเป็นโปรตีนที่มีไขมันต่ำ เช่น เนื้อไก่ไม่ติดหนัง เนื้อปลา ไข่ขาว และถั่วชนิดต่างๆ และควรหลีกเลี่ยงโปรตีนที่มีแคลอรี่สูง และมีไขมัน

                                                                       

                                                                      1. ไขมันดี

                                                                      อาหารที่ช่วยลดไขมันในช่องท้อง คือ ไขมันดี (Healthy Fats) การเลือกทานไขมันดี จะช่วยลดการอักเสบและช่วยเพิ่มการเผาผลาญไขมันในช่องท้องได้เป็นอย่างดี เช่น กรดไขมันโอเมก้า 3 ที่พบในปลาแซลมอน ปลาซาร์ดีน อะโวคาโด และถั่วอัลมอนด์ 

                                                                       

                                                                      1. น้ำเปล่า

                                                                      อาหารที่ช่วยลดไขมันในช่องท้อง คือ น้ำเปล่า การดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ประมาณ 6- 8 แก้วต่อวัน จะช่วยกระตุ้นระบบการเผาผลาญให้ทำงานดีขึ้น และยังช่วยลดการสะสมไขมันในช่องท้อง ทั้งยังช่วยขจัดสารพิษ และลดอาการบวมโซเดียมได้เป็นอย่างดี การดื่มน้ำเปล่านั้นจะช่วยทำให้ระบบต่าง ๆ ในร่างกายจะสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

                                                                       

                                                                      อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงเพื่อลดไขมันในช่องท้อง (Visceral fat) 

                                                                      • อาหารแปรรูป เช่น ขนมขบเคี้ยว ไส้กรอก หรืออาหารสำเร็จรูป
                                                                      • เครื่องดื่มที่มีน้ำตาล เช่น น้ำอัดลม ชานมไข่มุก 
                                                                      • ไขมันทรานส์ เช่น ขนมอบ หรืออาหารทอด
                                                                      • เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด 

                                                                       

                                                                      ไขมันในช่องท้อง เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่หลาย ๆ คนต่างพบเจอ โดยเฉพาะเหล่าวัยทำงานที่มีพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคนี้ ไม่ว่าจะเป็น การทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ การเคลื่อนไหวร่างกายน้อย หรือนั่งนานเกินไป การดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณที่เยอะ รวมถึงความเครียดสะสม ซึ่งการมีไขมันในช่องท้องที่เยอะนั้น จะส่งผลให้เกิดโรคหลาย ๆ โรคตามมาได้ ดังนั้นการดูแลตัวเองจึงเป็นสิ่งสำคัญมากที่จะช่วยให้คุณมีสุขภาพที่ดีในระยะยาวแบบปลอดภัย และมีความสุข หากต้องการตัวช่วยในการลดไขมันในช่องท้องเพื่อสุขภาพสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ >>https://bit.ly/Romrawinclinic

                                                                      Ultherapy Prime ยกหน้าตึง ดึงผิวให้กระชับ ส่งท้ายปี 2024

                                                                      Ultherapy Prime ยกหน้า

                                                                      Ultherapy Prime ยกหน้าตึง ดึงผิวให้กระชับ ส่งท้ายปี 2024

                                                                       

                                                                      เดินทางมาถึงเดือนสุดท้ายของปี 2024 ถึงเวลาแล้ว ที่เราจะเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเอง บอกลาผิวหน้าที่เคยหย่อนคล้อย เหี่ยวย่น ดูแก่กว่าวัย เป็นผิวยกกระชับ เป๊ะปัง เหมือนได้หน้าใหม่ ผิวเนียนละเอียดกว่าเดิม วันนี้ รมย์รวินท์คลินิก มีตัวช่วยดี ๆ มาบอก! สำหรับใครที่อยากอัปเกรดผิวตัวเองส่งท้ายปี และกำลังมองหาตัวช่วยยกกระชับผิวหน้าอยู่ รมย์รวินท์ขอแนะนำให้รู้จักกับ Ultherapy Prime ขั้นสุดของเทคโนโลยียกระชับ ที่อัปเกรดใหม่ล่าสุดในรอบ 15 ปี ซึ่งมีความปลอดภัยสูง สามารถยกกระชับผิวได้ดีกว่าเดิม โดยไม่ต้องมีการผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น

                                                                       

                                                                      ส่งท้ายปี 2024 ด้วย Ultherapy Prime ปฏิวัติวงการยกกระชับ เก็บหมดทุกความหย่อนคล้อย 

                                                                      ผิวหย่อนคล้อย คืออะไร?

                                                                      ผิวหย่อนคล้อย คือ สภาพผิวที่สูญเสียความยืดหยุ่น และความกระชับ จนทำให้ผิวเต่งตึงน้อยลง และค่อย ๆ หย่อนคล้อยลงมาตามบริเวณต่าง ๆ บนใบหน้า เช่น ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก รอบดวงตา และลำคอ ซึ่งปัญหานี้ ถือเป็นเรื่องปกติที่สามารถเกิดขึ้นได้เมื่ออายุมากขึ้น แต่ก็มีปัจจัยอื่น ๆ ที่กระตุ้นให้ผิวหย่อนคล้อยก่อนวัยได้เช่นกัน ไม่ว่าเป็นการพักผ่อนไม่เพียงพอ ความเครียด หรือแม้แต่รังสี UV ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ผิวหย่อนคล้อย ดูแก่กว่าวัยได้

                                                                       

                                                                      Ultherapy prime ยกกระชับแบบไม่ต้องผ่าตัด
                                                                      Ultherapy prime ยกกระชับแบบไม่ต้องผ่าตัด

                                                                       

                                                                      ผิวหย่อนคล้อย เกิดจากอะไร?

                                                                      • อายุที่มากขึ้น

                                                                      เมื่ออายุมากขึ้น การผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินในร่างกายจึงลดน้อยลง ส่งผลให้โครงสร้างผิวอ่อนแอ และผิวสูญเสียความยืดหยุ่น จนทำให้ผิวดูหย่อนคล้อย และไม่เต่งตึงเหมือนเดิม

                                                                      • พันธุกรรม

                                                                      พันธุกรรม ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ผิวหย่อนคล้อยได้เช่นกัน หากเรามีพันธุกรรมที่ทำให้ผิวยืดหยุ่น หรือผลิตคอลลาเจนออกมาน้อยกว่าปกติ อาจส่งผลให้ผิวมีแนวโน้มที่จะเกิดริ้วรอย และความหย่อนคล้อยได้เร็วกว่าคนอื่น 

                                                                      • ฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง

                                                                      การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ก็มีส่วนทำให้ผิวหย่อนคล้อยได้เช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้หญิงที่กำลังเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) เริ่มลดลง ทำให้ผิวสูญเสียความยืดหยุ่น และเกิดความหย่อนคล้อยได้ง่ายขึ้น

                                                                      • รังสี UV 

                                                                      รังสี UV ในแสงแดด เป็นตัวการสำคัญในการทำลายคอลลาเจนและอีลาสติน ให้แตกตัวและเสื่อมสภาพลง อีกทั้ง ยังทำให้เกิดอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสารที่ทำลายเซลล์ผิว และเร่งกระบวนการให้ผิวแก่ก่อนวัย ส่งผลให้เกิดริ้วรอย และความหย่อนคล้อยบนใบหน้าได้

                                                                      • ความเครียด

                                                                      เมื่อรู้สึกเครียด ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ออกมา ซึ่งส่งผลต่อการเสื่อมสภาพของเซลล์ผิว โดยฮอร์โมนนี้ จะเข้าไปยับยั้งการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน เมื่อคอลลาเจนและอีลาสตินลดลง ผิวจึงเริ่มสูญเสียความยืดหยุ่น และเกิดการหย่อนคล้อยตามมา

                                                                      • พักผ่อนไม่เพียงพอ

                                                                      การนอนหลับไม่เพียงพอ ทำให้ร่างกายไม่สามารถหลั่งโกรทฮอร์โมน (Growth Hormone) ออกมาได้อย่างเต็มที่ ซึ่งส่งผลให้ผิวหนังเกิดความหย่อนคล้อย มีริ้วรอย และเหี่ยวย่นได้ง่าย

                                                                      • สูบบุหรี่

                                                                      สารพิษต่าง ๆ ในบุหรี่ สามารถเร่งให้ผิวหนังเสื่อมสภาพได้โดยตรง โดยการทำลายคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ชั้นผิว รวมถึง ยังสร้างสารอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นตัวการที่ทำร้ายเซลล์ผิว ส่งผลให้ผิวยิ่งขาดความยืดหยุ่น จนใบหน้าหย่อนคล้อยเร็วมากขึ้น

                                                                      • ลดน้ำหนักรวดเร็ว

                                                                      เมื่อมีการลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว ผิวหนังที่เคยยืดออกเพื่อรองรับไขมันนั้น อาจไม่สามารถหดตัว หรือคืนสู่สภาพเดิมได้ทันที ทำให้ผิวบริเวณต่าง ๆ เกิดความหย่อนคล้อย ย้วย และไม่กระชับได้

                                                                       

                                                                      Ultherapy Prime ทางเลือกยกกระชับผิวเจนใหม่ โดยไม่ต้องผ่าตัด

                                                                      Ultherapy Prime คืออะไร?

                                                                      Ultherapy Prime คือ เทคโนโลยียกกระชับผิว ที่ถูกพัฒนาต่อยอดขึ้นมาจากเครื่อง Ulthera รุ่นก่อน โดยใช้พลังงาน Micro-Focused Ultrasound ที่มีความเข้มข้นสูง ในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ชั้นผิว สามารถทำการรักษาได้ที่หลายระดับความลึกของชั้นผิว ตั้งแต่ 1.5 มม. 3 มม. และ 4.5 มม. ลงลึกได้ถึงชั้น SMAS จึงยกกระชับผิวได้อย่างครอบคลุม และตรงจุดมากขึ้น

                                                                      อีกทั้ง Ultherapy Prime ยังมีฟังก์ชันในการสร้างภาพผ่านจอแบบเรียลไทม์ และมีหน้าจอแสดงผลใหญ่ขึ้นถึง 35% จึงทำให้แพทย์สามารถเห็นโครงสร้างผิวได้อย่างชัดเจนขณะทำ และสามารถทำการรักษาได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพ และเพิ่มความแม่นยำในการส่งพลังงานไปยังจุดที่เหมาะสม โดยมีการทำการรักษาไปแล้วกว่า 3 ล้านเคสทั่วโลก

                                                                       

                                                                      Ultherapy Prime มีข้อดีอะไรบ้าง?

                                                                      • Ultherapy Prime มีหน้าจอใหญ่ขึ้นกว่าเดิม 35% ซึ่งมีความละเอียดสูง และมีความคมชัดระดับ Full HD
                                                                      • Ultherapy Prime มีการประมวลผลรวดเร็วขึ้น ทำงานไว ศักยภาพสูง ได้ผลลัพธ์เพิ่มขึ้นถึง 20%
                                                                      • Ultherapy Prime เพิ่มความแม่นยำในการรักษา ทำให้สามารถยิงพลังงานได้อย่างตรงจุดมากขึ้น
                                                                      • Ultherapy Prime มีความสะดวก และประหยัดเวลามากกว่าเดิม
                                                                      • Ultherapy Prime สามารถพิสูจน์ผลลัพธ์หลังทำการรักษามากกว่า 3 ล้านเคสทั่วโลก
                                                                      • Ultherapy Prime ได้รับการรับรองมาตรฐานจาก US FDA หรือ อย. อเมริกา
                                                                      • Ultherapy Prime สามารถยกกระชับผิว ในทุกระดับชั้นผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
                                                                      • Ultherapy Prime สามารถคงผลลัพธ์ได้ยาวนานถึง 1 ปี ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล
                                                                      • Ultherapy Prime ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น ไม่ต้องเจ็บตัว

                                                                       

                                                                      Ultherapy Prime เหมาะกับใคร?

                                                                      • Ultherapy Prime เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย ขาดความกระชับ
                                                                      • Ultherapy Prime เหมาะสำหรับผู้ที่มีริ้วรอยเส้นเล็ก ๆ บนใบหน้า
                                                                      • Ultherapy Prime เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับผิวหน้า และลำคอ
                                                                      • Ultherapy Prime เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการผ่าตัด ไม่ต้องการพักฟื้นนาน
                                                                      • Ultherapy Prime เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการให้กรอบหน้าชัด 
                                                                      • Ultherapy Prime เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป 
                                                                      • Ultherapy Prime เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการมีผิวหน้าอ่อนกว่าวัย 
                                                                      • Ultherapy Prime เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูสภาพผิวหน้า

                                                                       

                                                                      สัมผัสประสบการณ์ยกกระชับผิวด้วย Ultherapy Prime ก่อนใครที่ รมย์รวินท์ 

                                                                      สำหรับใครที่อยากยกกระชับผิวหน้าส่งท้ายปี Ultherapy Prime คือคำตอบ ทางเลือกใหม่ในการยกกระชับผิวที่มีความแม่นยำ และมีประสิทธิภาพสูง สามารถยกกระชับผิวได้อย่างครอบคลุม ทั้งใบหน้า และลำคอ โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น สามารถเข้ามาปรึกษาแพทย์กับ รมย์รวินท์คลินิก ได้แล้ววันนี้ ทุกสาขา รีบมายกกระชับผิวหน้า ให้ดูอ่อนกว่าวัยก่อนสิ้นปีนี้กันนะคะ

                                                                       

                                                                      น้องโกโกวาแก้มเยอะ เหนียงชัด อยากลดแก้ม ลดเหนียงทำอย่างไรดี

                                                                      โกโกวา

                                                                      น้องโกโกวาแก้มเยอะ เหนียงชัด อยากลดแก้ม ลดเหนียงทำอย่างไรดี?

                                                                       

                                                                      มีใครเป็นแฟนคลับน้องโกโกวากันบ้าง? ล่าสุดน้องโกโกวา บุคแลนด์มาร์กใจกลางเมืองกรุงเทพ เล่นใหญ่สมการรอคอย กับการกลับมาของ Squid Game 2 ซึ่งจุดเด่นของน้องโกโกวาในครั้งนี้ คือ ขนาดตัวที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่มาพร้อมกับแก้มและเหนียงที่ดูเด่นชัดมาก แต่รู้หรือไม่ว่าปัญหาแก้มเยอะ แก้มห้อย เหนียงชัดนี่แหละที่ทำให้หลาย ๆ คนกังวลใจ จนขาดความมั่นใจได้เลยทีเดียว 

                                                                      สำหรับใครที่มีแก้มเยอะ เหนียงชัดแบบน้องโกโกวา ถึงเวลาต้องรีดไขมันออก! วันนี้ รมย์รวินท์คลินิก จะมาเปิดเผยเคล็ดลับที่ทำให้แก้ม และเหนียงหายไปจนหมดสิ้น เปลี่ยนจากสาวแก้มเยอะ เหนียงชัด ให้กลายเป็นสาวหน้าเรียวแบบง่าย ๆ แต่จะเป็นหัตถการอะไรนั้น บทความนี้เตรียมมาให้แล้วค่ะ

                                                                       

                                                                      โกโกวา
                                                                      ถึงเวลารีดไขมันออกด้วย Oligio

                                                                       

                                                                      แก้มเยอะ เหนียงชัดแบบน้องโกโกวา ถึงเวลารีดไขมันออก ฉบับรมย์รวินท์

                                                                      สาเหตุของไขมันแก้มเยอะ เหนียงชัด มีอะไรบ้าง?

                                                                      • ปัญหาไขมันแก้มเยอะ เหนียงชัดจาก พันธุกรรม

                                                                      ลักษณะโครงสร้างใบหน้า และการสะสมของไขมัน สามารถถูกส่งต่อทางพันธุกรรมได้ หากมีบุคคลในครอบครัวมีไขมันบริเวณแก้ม หรือเหนียงเยอะ อาจทำให้เรามีโอกาสสูงที่จะมีแก้ม หรือเหนียงเยอะตามไปด้วย

                                                                      • ปัญหาไขมันแก้มเยอะ เหนียงชัดจาก อายุ

                                                                      เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น ผิวหนังจะเริ่มสูญเสียคอลลาเจน และอีลาสติน ทำให้เกิดความหย่อนคล้อย ซึ่งส่งผลให้ไขมันบริเวณแก้ม และเหนียงสามารถเห็นได้ชัดมากขึ้น

                                                                      • ปัญหาไขมันแก้มเยอะ เหนียงชัดจาก พฤติกรรมการกิน

                                                                      การรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง เช่น ของทอด ขนมหวาน และอาหารแปรรูป รวมถึง การดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง อาจทำให้ร่างกายได้รับพลังงานมากเกินความจำเป็น จนถูกสะสมเป็นไขมันส่วนเกิน โดยเฉพาะบริเวณแก้ม และเหนียง

                                                                      • ปัญหาไขมันแก้มเยอะ เหนียงชัดจาก ขาดการออกกำลังกาย

                                                                      การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ มีส่วนช่วยในการเผาผลาญไขมันส่วนเกิน หากขาดการออกกำลังกาย หรือไม่ออกกำลังกายเลย อาจทำให้ร่างกายไม่สามารถเผาผลาญไขมันส่วนเกินได้อย่างเต็มที่ จนไขมันเข้าไปสะสมอยู่ตามอวัยวะต่าง ๆ รวมถึง บริเวณแก้ม และเหนียงอีกด้วย

                                                                      • ปัญหาไขมันแก้มเยอะ เหนียงชัดจาก น้ำหนักตัว

                                                                      การมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น ไขมันส่วนเกินจะเข้าไปสะสมอยู่ในส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย รวมถึง บริเวณแก้ม และเหนียง ทำให้ใบหน้าดูบาน แก้มเยอะ และเหนียงเด่นชัดมากขึ้น

                                                                      • ปัญหาไขมันแก้มเยอะ เหนียงชัดจาก ฮอร์โมน

                                                                      การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย มีผลกระทบต่อระบบเผาผลาญไขมัน ทำให้ไขมันสะสมได้ง่าย โดยเฉพาะในบริเวณแก้ม และเหนียง 

                                                                       

                                                                      Oligio เทคโนโลยีลดแก้ม หดเหนียง เก็บครบทุกไขมัน 

                                                                      ทำความรู้จัก Oligio คืออะไร?

                                                                      Oligo คือ เทคโนโลยียกกระชับ พร้อมลดไขมันในเครื่องเดี่ยว โดยใช้คลื่นวิทยุ (Monopolar RF) ที่มีความถี่สูง 6.78 MHz สามารถปรับโหมดได้ถึง 3 โหมด ได้แก่ โหมดเดี่ยว โหมดคู่ และโหมดอัตโนมัติ โดยจะแทรกซึมเข้าสู่ผิวชั้นลึกได้อย่างตรงจุด เจาะลึกถึงชั้นผิวหนังแท้ (Dermis) และชั้นไขมัน (Fat) ทำให้เกิดความร้อนอุณหภูมิ 40 – 60 องศา ในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และจัดเรียงคอลลาเจนใหม่ ส่งผลให้โครงสร้างผิวแข็งแรงขึ้น รวมทั้ง ยังสามารถลดเซลล์ไขมันส่วนเกินใต้ผิวหนัง โดยเฉพาะบริเวณแก้ม และเหนียง ทำให้ไขมันค่อย ๆ ลดหายไป และถูกขับออกจากร่างกายตามธรรมชาติ

                                                                      นอกจากนี้ ยังมีระบบเซ็นเซอร์ตรวจวัดอุณหภูมิ ที่จะช่วยควบคุมอุณหภูมิขณะทำ หากมีความร้อนสูงเกินไป เครื่องจะหยุดการทำงานทันที และมีระบบปล่อยความเย็น Cooling System ที่จะช่วยลดความแสบร้อนขณะทำ ทำให้การรักษามีความปลอดภัย และลดโอกาสเสี่ยงในการเกิดผิวไหม้ ผิวเบิร์น

                                                                       

                                                                      Oligio ช่วยเรื่องอะไรบ้าง?

                                                                      • Oligio ช่วยลดเลือนริ้วรอย และร่องลึกต่าง ๆ 
                                                                      • Oligio ช่วยกระตุ้นคอลลาเจน และอีลาสตินใต้ผิวหนัง
                                                                      • Oligio ช่วยยกกระชับใบหน้าที่หย่อนคล้อย
                                                                      • Oligio ช่วยลดไขมันส่วนเกิน บริเวณแก้ม และเหนียง
                                                                      • Oligio ช่วยปรับรูปหน้าให้เรียวเล็กลง
                                                                      • Oligio ช่วยปรับกรอบหน้าให้คมชัด ดูมีมิติมากขึ้น
                                                                      • Oligio ช่วยให้ผิวเรียบเนียน รูขุมขนกระชับ
                                                                      • Oligio ช่วยเสริมความแข็งแรงให้กับผิว
                                                                      • Oligio ช่วยปรับปรุงคุณภาพผิว ผิวดูสุขภาพดี

                                                                       

                                                                      ใครที่เหมาะกับการทำ Oligio?

                                                                      • Oligio เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีริ้วรอย มีร่องลึกต่าง ๆ 
                                                                      • Oligio เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการยกกระชับ ให้ผิวแน่นเฟิร์ม
                                                                      • Oligio เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีกรอบหน้าไม่คมชัด
                                                                      • Oligio เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีไขมันสะสม บริเวณแก้ม และเหนียง
                                                                      • Oligio เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อย มีแก้มห้อย 
                                                                      • Oligio เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหารูขุมขนกว้าง
                                                                      • Oligio เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูสภาพผิว
                                                                      • Oligio เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าให้เล็กลง
                                                                      • Oligio เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการชะลอความหย่อนคล้อยก่อนวัย

                                                                       

                                                                      Oligio ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ตอบโจทย์สำหรับ ผู้ที่ต้องการยกกระชับ พร้อมลดไขมันแก้ม และเหนียงในเครื่องเดียว ซึ่งมีความปลอดภัยสูง หลังทำเสร็จไม่ต้องมีการพักฟื้น สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติทันที สำหรับใครที่สนใจทำ Oligio รมย์รวินท์คลินิก ยินดีให้บริการ สามารถเข้ามาปรึกษาแพทย์ เพื่อประเมินผิวหน้า และวิเคราะห์ปัญหาได้ทุกสาขาค่ะ

                                                                      Switch Game เปลี่ยนหน้ายับ เป็นหน้ายกที่ รมย์รวินท์

                                                                      Switch Game

                                                                      Switch Game เปลี่ยนหน้ายับ เป็นหน้ายกที่ รมย์รวินท์

                                                                       

                                                                      เมื่อหน้ายับ ริ้วรอยเยอะ ผิวเหี่ยวย่น มีรอยพับเต็มไปหมด จะทนไปทำไมกับหน้ายับแบบเดิม ๆ ถึงเวลาแล้วที่จะพลิกเกม เตรียมล็อกหน้ายก บล็อกหน้ายับทุกด่าน เปิดศึกท้าชนทุกรอยพับ ปราบทุกปัญหาผิวหน้าให้อยู่หมัด ไม่ต้องทนหน้ายับอีกต่อไป ด้วยโปรแกรม FIXLIFT มิติใหม่แห่งการยกกระชับ อัปเลเวลความสวยไปอีกขั้น โดยไม่ต้องผ่าตัดจาก รมย์รวินท์คลินิก พร้อมเก็บทุกรอยยับ เย็บตึงทุกรอยพับให้หมดไป ยกได้ทั้งหน้าและคอไปพร้อมกัน ไม่ว่าเกมไหนก็พร้อมวินทุกมิชชั่น 

                                                                       

                                                                      ยกหน้ายับ อัปหน้าเด็กด้วย FIX LIFT
                                                                      ยกหน้ายับ อัปหน้าเด็กด้วย FIX LIFT

                                                                       

                                                                      ท้าชนทุกรอยยับ บอกลาทุกรอยพับกับ “Switch Game”

                                                                      หน้ายับ หน้าย่น คืออะไร?

                                                                      หน้ายับ หน้าย่น คือ ลักษณะของผิวหน้าที่มีความเหี่ยวย่น หย่อนคล้อย ดูมีรอยพับอย่างชัดเจน ซึ่งเกิดได้จากหลายปัจจัย ทั้งพฤติกรรมการใช้ชีวิต และอายุที่มากขึ้น ส่งผลให้ผิวสูญเสียความยืดหยุ่น และขาดความกระชับ จนเกิดเป็นรอยพับ ใบหน้ายับ ผิวหน้าดูไม่เรียบเนียน โดยสามารถเห็นได้ชัดในบริเวณที่มีการแสดงสีหน้าบ่อย ๆ เช่น หน้าผาก ร่องแก้ม หรือรอบดวงตา 

                                                                       

                                                                      หน้ายับ หน้าย่น เกิดจากอะไร?

                                                                      อายุที่เพิ่มขึ้น 

                                                                      • เมื่ออายุมากขึ้นเรื่อย ๆ ร่างกายของเราจะเริ่มผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินน้อยลงทุก ๆ ปี ทำให้ผิวค่อย ๆ เสื่อมสภาพ ขาดความยืดหยุ่น จนเกิดเป็นริ้วรอย ใบหน้ายับ และเหี่ยวย่นได้ง่าย

                                                                      แสงแดด 

                                                                      • รังสี UV จากแสงแดด สามารถทำลายคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิวได้ เมื่อคอลลาเจนและอีลาสตินเริ่มเสื่อมสภาพลง ผิวก็จะเริ่มขาดความชุ่มชื้น จนเกิดริ้วรอย รอยย่น ร่องลึก และดูหมองคล้ำได้ง่ายขึ้น

                                                                      การแสดงออกทางสีหน้า 

                                                                      • การแสดงออกทางสีหน้า ไม่ว่าจะเป็นการยิ้ม หัวเราะ ขมวดคิ้ว หรือเลิกคิ้ว ทำให้กล้ามเนื้อใต้ผิวหนังเกิดการหดตัวซ้ำ ๆ เมื่อมีการแสดงออกทางสีหน้าบ่อย ๆ ส่งผลให้เกิดรอยพับ หรือเกิดริ้วรอยได้อย่างชัดเจนบนผิวหน้า เช่น หน้าผาก รองดวงตา 

                                                                      การสูบบุหรี่ 

                                                                      • สารนิโคตินในบุหรี่ สามารถเข้าไปทำลายคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ชั้นผิว ทำให้ผิวขาดความยืดหยุ่น ไม่ตึงกระชับ จนเกิดเป็นริ้วรอย หรือรอยเหี่ยวย่นก่อนวัยได้ อีกทั้ง การสูบบุหรี่ยังเป็นการลดการไหลเวียนเลือด ทำให้เซลล์ผิวได้รับออกซิเจน และสารอาหารไม่เพียงพอ ผิวจึงดูหมองคล้ำ ไม่สดใส และแก่ก่อนวัยได้ง่าย

                                                                      การนอนหลับไม่เพียงพอ 

                                                                      • การนอนหลับ พักผ่อนไม่เพียงพอ ทำให้ร่างกายไม่สามารถซ่อมแซมตัวเอง และฟื้นฟูเซลล์ผิวได้อย่างเต็มที่ ส่งผลให้ผิวดูหมองคล้ำ เกิดริ้วรอยก่อนวัยได้ง่าย อีกทั้ง การนอนหลับไม่เพียงพอ ยังทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ออกมาเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ผิวเกิดการอักเสบ ขาดความยืดหยุ่น และเกิดรอยเหี่ยวย่นได้

                                                                      พันธุกรรม 

                                                                      • พันธุกรรมมีส่วนสำคัญในการกำหนดโครงสร้างผิวต่าง ๆ ในร่างกาย หากมีโครงสร้างผิวที่อ่อนแอ หรือบอบบาง อาจมีแนวโน้มที่จะเกิดริ้วรอยได้ง่ายกว่าปกติ

                                                                      สภาพแวดล้อม 

                                                                      • สภาพแวดล้อมที่เราพบเจอในชีวิตประจำวัน ทั้งมลภาวะ ฝุ่นละออง ควันพิษ และสารเคมีต่าง ๆ ล้วนส่งผลให้เซลล์ผิวเกิดกระบวนการออกซิเดชันเพิ่มขึ้น จนเกิดอนุมูลอิสระในผิวหนัง ซึ่งเป็นการเร่งให้ผิวแก่ก่อนวัย และทำให้ผิวอักเสบ ดูหมองคล้ำง่ายมากขึ้น

                                                                       

                                                                      ยกหน้ายับ อัปผิวเด็ก ด้วยโปรแกรม FIXLIFT 

                                                                      ทำความรู้จักโปรแกรม FIXLIFT คืออะไร ?

                                                                      โปรแกรม FIXLIFT คือ โปรแกรมยกกระชับที่ผสาน 2 เทคโนโลยีเข้าด้วยกัน ได้แก่ เทคโนโลยีคลื่นวิทยุ RF (Radio Frequency) และไมโครนีดลิ่ง (Microneedling) โดยคลื่นวิทยุ RF จะส่งพลังงานความร้อนไปในชั้นผิวหนัง โดยเฉพาะชั้นหนังแท้ (Dermis) และชั้นไขมันใต้ชั้นผิว (Subcutaneous Fat) ทำให้เกิดการกระตุ้นคอลลาเจนและอีลาสติน พร้อมช่วยให้คอลลาเจนจัดเรียงตัวใหม่ โดยไม่ทำให้ผิวชั้นบนเกิดความเสียหาย หรือเกิดผิวไหม้ ผิวเบิร์นหลังทำ ซึ่งจะทำร่วมกับเทคโนโลยี Microneedling ที่ประกอบไปด้วย หัวทิปที่เป็นเข็มขนาดเล็กเคลือบทองคำ “Golden Micro Pins” จำนวน 24 เข็มสำหรับผิวหน้า และ 40 เข็มสำหรับลำตัว เจาะลงไปยังผิวหนังเพื่อสร้างบาดแผลในชั้นผิว ทำให้ร่างกายของเราเกิดการซ่อมแซมตัวเอง โดยการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินขึ้นมาใหม่ 

                                                                      ซึ่งการผสมผสานของ 2 เทคโนโลยีนี้ ทำให้โปรแกรม FIXLIFT สามารถยิงพลังงานโฟกัสได้ในทุกชั้นผิว ปรับระดับความลึกของพลังงานได้ ตั้งแต่ 0.5 ไปจนถึง 4 มิลลิเมตรสำหรับใบหน้า และสูงสุด 7 มิลลิเมตรสำหรับลำตัว ส่งผลให้ผิวที่เหี่ยวย่นกลับมาแน่นกระชับ เต่งตึง ดูอ่อนเยาว์ แก้ปัญหาหน้ายับ ผิวหย่อนคล้อยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งใบหน้า ลำคอ และลำตัว

                                                                       

                                                                      โปรแกรม FIXLIFT มีข้อดีอย่างไร ?

                                                                      • โปรแกรม FIXLIFT สามารถส่งพลังงานลงลึกได้ทุกระดับชั้นผิว
                                                                      • โปรแกรม FIXLIFT สามารถยกกระชับผิวให้เรียบเนียน จัดการรอยเหี่ยวย่นให้เรียบตึง ทั้งผิวหน้า และลำตัว
                                                                      • โปรแกรม FIXLIFT สามารถลดเลือนริ้วรอย และร่องลึกต่าง ๆ ให้ตื้นขึ้น ทำให้ใบหน้าดูอ่อนกว่าวัย
                                                                      • โปรแกรม FIXLIFT สามารถปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ แก้ปัญหาเม็ดสีใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวดูสว่าง กระจ่างใส
                                                                      • โปรแกรม FIXLIFT สามารถลดไขมัน ลดแก้ม เหนียง และคางสองชั้นได้อย่างตรงจุด
                                                                      • โปรแกรม FIXLIFT สามารถรักษาได้ทุกโทนสีผิว โดยไม่ทำให้ผิวไหม้ ผิวเบิร์น
                                                                      • โปรแกรม FIXLIFT ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น หลังทำสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ
                                                                      • โปรแกรม FIXLIFT มีความปลอดภัย ได้รับการรับรองมาตรฐานจาก US FDA และ TH FDA

                                                                       

                                                                      หยุดผิวยับได้แล้ววันนี้ ที่ รมย์รวินท์คลินิก

                                                                      สำหรับใครที่มีปัญหาหน้ายับ ผิวเหี่ยวย่น ดูแก่กว่าวัย โปรแกรม FIXLIFT คือทางออก! ที่ตอบโจทย์สำหรับผู้ที่มีริ้วรอย ผิวหย่อนคล้อย ไม่ตึงกระชับ สามารถจัดการได้หมดทุกสภาพผิว ไม่ว่าจะเป็นผิวแบบไหนก็เรียบได้ ไม่ต้องทนอยู่กับหน้ายับแบบเดิม ๆ อีกต่อไป สามารถเข้ามาปรึกษาแพทย์ได้แล้ววันนี้ที่ รมย์รวินท์คลินิก ทุกสาขา ด้วยทีมแพทย์ที่มีความรู้ความเข้าใจ ด้านโครงสร้างผิวหน้าโดยเฉพาะ สามารถแก้ไขปัญหาผิวได้อย่างตรงจุด เพื่อให้ผิวกลับมากระชับ มั่นใจ ไม่มียับแน่นอน

                                                                      อวดผิวไบร์ท ทลายฝ้า ก่อนฉลองคริสต์มาส

                                                                      คริสต์มาส

                                                                      อวดผิวไบร์ท ทลายฝ้า ก่อนฉลองคริสต์มาส

                                                                      Ho Ho Ho! ใกล้เข้ามาแล้ว กับเทศกาลคริสต์มาสที่ทุกคนรอคอย ซึ่งเป็นเทศกาลแห่งความสุขที่ทุกคนล้วนเฉลิมฉลอง ออกมาปาร์ตี้ และออกมาทำคอนเทนต์ ถ่ายรูปสวย ๆ กันแบบจัดเต็ม แต่ไม่ว่าจะดูแลผิวหน้าแค่ไหน ผิวหน้าของเราก็ดูเหมือนจะยังไม่พร้อมอยู่ดี มีทั้งฝ้าแดด ฝ้าตื้น ฝ้าลึกเต็มไปหมด 

                                                                      ถึงเวลาแล้วที่จะทวงคืนผิวใส ปลุกความไบร์ทให้ผิวในทุกระดับ ไม่ต้องกลัวกล้องสด ไม่ต้องขอพรจากซานต้าอีกต่อไป เตรียมมีผิวใหม่ บอกลาฝ้ากวนใจ เปล่งประกาย จนใคร ๆ ต้องหันมามอง พร้อมออกไปเฉิดฉายในทุกปาร์ตี้ ทำคอนเทนต์ให้ทันก่อนคริสต์มาสนี้ ผิวสวยเหมือนรีทัชกริบทุกงานผิว แค่มาที่ รมย์รวินท์คลินิก

                                                                       

                                                                      กู้ผิวครบสูตรจบทุกปัญหาฝ้า ด้วย NUPICO BRIGHT
                                                                      กู้ผิวครบสูตรจบทุกปัญหาฝ้า ด้วย NUPICO BRIGHT

                                                                      ฝ้า คืออะไร?

                                                                      ฝ้า (Melasma) เป็นปัญหาผิวที่พบได้บ่อยในผู้หญิง มักมีลักษณะเป็นปื้นสีน้ำตาลอ่อน ไปจนถึงน้ำตาลเข้มบนผิวหนัง ซึ่งเกิดจากเซลล์เม็ดสีเมลานินใต้ผิวหนังทำงานผิดปกติ ทำให้เม็ดสีผลิตออกมามากจนเกินไป จนสะสมรวมกันเป็นกลุ่ม ทำให้เกิดเป็นฝ้าบนผิวหนัง สามารถเห็นได้ชัดในบริเวณที่โดนแสงแดดบ่อย เช่น โหนกแก้ม หน้าผาก คาง เหนือริมฝีปาก หรือจมูก 

                                                                      ฝ้า มีกี่ประเภท?

                                                                      • ฝ้าตื้น

                                                                      ฝ้าตื้น (Epidermal melasma) เป็นฝ้าที่เกิดขึ้นในชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) มีลักษณะเป็นสีน้ำตาลเข้มถึงดำ สามารถเห็นขอบได้อย่างชัดเจน และรักษาได้ง่ายกว่าประเภทอื่น ๆ

                                                                      • ฝ้าลึก

                                                                      ฝ้าลึก (Dermal melasma) เป็นฝ้าที่เกิดขึ้นในชั้นหนังแท้ (Dermis) มีลักษณะเป็นสีม่วงอมน้ำเงิน เห็นขอบไม่ชัดเจน มักกระจายตัวเป็นบริเวณกว้าง และรักษาได้ยากกว่าฝ้าตื้น

                                                                      • ฝ้าแดด

                                                                      ฝ้าแดด (Sunburn) เป็นฝ้าที่เกิดจากการที่ผิวหนังโดนแสงแดดเป็นเวลานาน ทำให้เซลล์เม็ดสีเมลานินผลิตออกมาปริมาณมากและสะสมกัน จนเกิดเป็นรอยด่างสีน้ำตาลเข้ม หรืออมเทาม่วงบนผิวหนัง

                                                                      • ฝ้าเลือด

                                                                      ฝ้าเลือด (Vascular melasma) เป็นฝ้าที่เกิดขึ้นในผู้ที่มีฮอร์โมนในร่างกายเปลี่ยนแปลง ผิวบอบบาง ไวต่อแสงแดด ทำให้ผิวมีสีแดง หรือมีรอยแดงคล้ายเส้นเลือด มักพบร่วมกับฝ้าแดด

                                                                      ฝ้า เกิดจากอะไร?

                                                                      • แสงแดด 

                                                                      ฝ้าเกิดจากแสงแดด โดยเฉพาะรังสี UVA และ UVB เป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้เซลล์ผลิตเม็ดสีเมลานินทำงานมากขึ้น ส่งผลให้เกิดฝ้า กระ จุดด่างดำได้ง่าย

                                                                      • ฮอร์โมน 

                                                                      ฝ้าเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย เช่น ระหว่างตั้งครรภ์ หรือการใช้ยาคุมกำเนิด ทำให้ร่างกายมีระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน และโปรเจสเตอโรนสูงเกินไป อาจเป็นการกระตุ้นให้เกิดฝ้าได้

                                                                      • พันธุกรรม

                                                                      ฝ้าเกิดจากพันธุกรรม สำหรับผู้ที่มีประวัติบุคคลในครอบครัวเคยเป็นฝ้ามาก่อน ก็มีโอกาสที่จะเป็นฝ้าได้สูงขึ้น

                                                                      • สารเคมีในเครื่องสำอาง

                                                                      ฝ้าเกิดจากสารเคมีในเครื่องสำอาง ที่ส่งผลให้ผิวบางลง ทำให้ฝ้าที่เป็นอยู่รุนแรงขึ้น และกระตุ้นให้เกิดฝ้าใหม่เพิ่มขึ้น เช่น สารปรอท สารสเตียรอยด์

                                                                      • อายุ

                                                                      ฝ้าเกิดจากอายุที่เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากร่างกายเสื่อมสภาพลง ส่งผลให้ผิวหนังของเราบางลง มีความไวต่อแสงแดดมากขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดฝ้าได้

                                                                      NU PICO BRIGHT กู้ผิวครบสูตร จบทุกปัญหาฝ้า

                                                                      NU PICO BRIGHT คืออะไร?

                                                                      NU PICO BRIGHT เทคโนโลยี Picosecond Laser รักษาฝ้า กระ จุดด่างดำ ที่มีพลังงานคลื่นแสงแบบเฉพาะเจาะจง มีความยาวคลื่นอยู่ที่ 532 นาโนเมตร และ 1,064 นาโนเมตร มีความถี่ในระยะเวลา 750 พิโควินาที โดยจะปล่อยลำแสงเลเซอร์ เพื่อนกำจัดเม็ดสีเมลานินที่มีความผิดปกติ ให้แตกตัวออกเป็นเม็ดเล็ก ๆ และจางหายไปในที่สุด  มีความอ่อนโยน ไม่ก่อให้เกิดการสะสมความร้อนใต้ชั้นผิว จึงมีความปลอดภัยสูง หลังทำสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ ไม่ต้องมีการพักฟื้น

                                                                      NU PICO BRIGHT มีข้อดีอะไรบ้าง?

                                                                      • NU PICO BRIGHT ช่วยลดปัญหาฝ้ากระ จุดด่างดำ
                                                                      • NU PICO BRIGHT ช่วยให้ผิวสว่าง กระจ่างใส ลดความหมองคล้ำ
                                                                      • NU PICO BRIGHT ช่วยให้รูขุมขนกระชับ ผิวมีความเรียบเนียนมากขึ้น
                                                                      • NU PICO BRIGHT ช่วยลดรอยแดง รอยดำจากสิว
                                                                      • NU PICO BRIGHT เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว
                                                                      • NU PICO BRIGHT ไม่เจ็บ ไม่แสบ ไม่ต้องมีการแปะยาชาใด ๆ
                                                                      • NU PICO BRIGHT ไม่ตกสะเก็ด ไม่ทิ้งรอยแผลไว้หลังทำ
                                                                      • NU PICO BRIGHT ไม่ทำให้เกิดการเลือดออกใต้ผิวหลังทำ

                                                                      อยากผิวใส ไม่ต้องรอซานต้าพิสูจน์ผลลัพธ์ที่ รมย์รวินท์คลินิก

                                                                      สำหรับใครที่มีปัญหาฝ้า กระ จุดด่างดำกวนใจ แต่ไม่รู้จะจัดการอย่างไรดี สามารถเข้ามาปรึกษาแพทย์ได้ที่ รมย์รวินท์คลินิก ทุกสาขา ด้วยโปรแกรม NU PICO BRIGHT ที่ตอบโจทย์สำหรับผู้ที่ต้องการเคลียร์ฝ้า ใช้หน้าเร่งด่วน หลังทำ NU PICO BRIGHT เสร็จแล้ว หน้าไม่แดง ไม่เบิร์น ไม่ตกสะเก็ด สามารถออกไปฉลองคริสต์มาสต่อได้เลย ไม่ว่าเทศกาลไหนก็ไม่หวั่น พร้อมอวดหน้าใส แบบไม่ต้องขอพรจากซานต้า

                                                                      คุณฟรอยด์พาคุณแม่มาจัดการฝ้าฝังลึกด้วย NU PICO BRIGHT 

                                                                      NU PICO BRIGHT

                                                                      คุณฟรอยด์พาคุณแม่มาจัดการฝ้าฝังลึกด้วย NU PICO BRIGHT 

                                                                       

                                                                      จะหล่อดูดีคนเดียวไม่ได้ คนข้างกายต้องดูดีด้วย คุณฟรอยด์ ณัฏฐพงษ์ เลยถือโอกาสนี้พาคุณแม่บุษบา มาเสริมสวยที่รมย์รวินท์คลินิกแบบแพ็กคู่ ให้ดูดีไปด้วยกันเลยน่ารักจริงๆ เลยค่ะ

                                                                       

                                                                      ฝ้า ปัญหาหนักใจของคุณแม่บุษบา

                                                                      NU PICO
                                                                      ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับบุคคล

                                                                      ปัญหาที่หนักใจของแม่ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องฝ้าค่ะ เพราะอายุที่มากขึ้นทำให้ผิวเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา ผิวหน้าเราก็บางลง ยิ่งมาเจอแดด ฝุ่น มลภาวะ ทำให้ผิวของเราบางลง เกิดเป็นริ้วรอย ฝ้า จุดด่างดำได้ง่ายขึ้นค่ะ ยิ่งแดดประเทศไทยร้อนแรงมาก ปัญหาฝ้าก็ยิ่งบานปลายมากค่ะ สำหรับแม่การทาครีมทาฝ้าก็คงจะไม่ตอบโจทย์เท่าไหร่แล้วค่ะ ตอนที่ฟรอยด์บอกว่าจะพาแม่ไปทำสวย แม่ก็ดีใจค่ะ แม่อยากทำ เป็นผู้หญิงก็อยากสวยเป็นธรรมดาแหละค่ะ ถึงแม้อายุจะมากแล้วก็ยังอยากดูดี ดูมั่นใจมากขึ้นค่ะ และวันนี้ก็ได้คุณหมอแวว (พญ.ช่ออัญชัญ ปัญญาเอกะวิทู) ช่วยดูแลเรื่องผิวให้แม่ค่ะ 

                                                                       

                                                                      NU PICO
                                                                      ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับบุคคล

                                                                      จัดการปัญหาฝ้าให้คุณแม่บุษบาด้วย NU PICO BRIGHT

                                                                      สำหรับปัญหาผิวของคุณแม่จากที่หมอบีบีประเมินนะคะ คุณแม่บุษบามีปัญหาเรื่องฝ้าที่เกิดจากอายุที่มากขึ้น และยังมีกระแดด และกระกรรมพันธุ์ ซึ่งวันนี้หมอบีบีก็จะใช้เครื่อง NU PICO BRIGHT ช่วยรักษาปัญหาฝ้า กระ จุดด่างดำ ซึ่ง NU PICO BRIGHT ถือว่าเป็นเทคโนโลยีที่ดีที่สุด ณ ตอนนี้ สำหรับการดูแลฝ้า กระ จุดด่างดำค่ะ และ NU PICO BRIGHT ยังช่วยทำให้คุณภาพผิวของคุณแม่บุษบาดีขึ้นได้อีกด้วยค่ะ เพราะ NU PICO BRIGHT ช่วยกระชับรูขุมขน กระตุ้นคอลลาเจนให้ผิวเรียบเนียนมากยิ่งขึ้น และไม่ใช่แค่ฝ้า กระ ที่จางลง แต่ NU PICO BRIGHT ยังช่วยทำให้สีผิวสม่ำเสมอกันได้อีกด้วยค่ะ ไม่ทำให้เลือดสาด หรือเลือดออกใต้ผิวหนังเลยค่ะ ทำ NU PICO BRIGHT เสร็จสามารถใช้หน้าต่อได้ทันที ไม่ต้องพักฟื้นค่ะ 

                                                                       

                                                                      NU PICO
                                                                      ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับบุคคล

                                                                      ผลลัพธ์หลังทำ NU PICO BRIGHT ของคุณแม่บุษบา

                                                                      หลังจากทำ NU PICO BRIGHT แม่รู้สึกว่าฝ้า กระ จางลงมาก สีผิวมันดูสม่ำเสมอ และผิวยังดูเนียนขึ้นกว่าก่อนทำด้วยค่ะ ตอนทำรู้สึกเจ็บน้อยกว่าที่คิด ไม่ต้องกังวลว่าจะมีเลือดออกเลยค่ะ เพราะคุณหมอบอกหลังทำหน้าจะแดงนิดๆ และก็จะค่อยๆ จางไปเองค่ะ ตอนนี้แม่รู้สึกว่าตัวเองสวยมากขึ้นกว่าเดิมค่ะ (ยิ้ม) ใครมีปัญหาฝ้า กระ จุดด่างดำแบบแม่ต้องมาลองทำ NU PICO BRIGHT ที่รมย์รวินท์คลินิกกันนะคะ 

                                                                       

                                                                      ทำความรู้จักกับ NU PICO BRIGHT 

                                                                      โปรแกรม NU PICO BRIGHT รักษาฝ้า กระ จุดด่างดำ ด้วยพลังงานเลเซอร์คลื่นแสงที่มีความยาวคลื่นอยู่ที่ 532 นาโนเมตร และ 1,064 นาโนเมตร และมีความเฉพาะเจาะจงไปที่เม็ดสีผิวเมลานินที่ผิดปกติให้เกิดการแตกตัวออกเป็นเม็ดเล็กๆ เพื่อให้ร่างกายกำจัดออกได้โดยง่าย โดย และไม่ต้องห่วงว่าเมื่อทำเสร็จจะทำให้เกิดเลือดออกใต้ผิวหนัง เพราะ NU PICO BRIGHT เป็นเลเซอร์ที่มีความอ่อนโยน โดยจะเลือกใช้พลังงานที่เหมาะสมกับสภาพของผิวหน้า สามารถทำได้โดยไม่จำเป็นต้องแปะยาชา หลังทำ NU PICO BRIGHT อาจจะทำให้หน้าแดงระเรื่อ อมชมพูเล็กน้อย ไม่ต้องพักฟื้นใบหน้า สามารถแต่งหน้าได้ เหมาะสำหรับผู้ที่จำเป็นต้องใช้หน้าทันที

                                                                       

                                                                      ทำไมถึงแนะนำให้ทำ NU PICO BRIGHT 

                                                                      • NU PICO BRIGHT ช่วยจัดการปัญหาเรื่องฝ้า กระ จุดด่างดำ 
                                                                      • NU PICO BRIGHT ช่วยให้ผิวเรียบเนียน รูขุมขนกระชับ
                                                                      • NU PICO BRIGHT ช่วยปรับผิวให้กระจ่างใส สีผิวสม่ำเสมอกัน
                                                                      • NU PICO BRIGHT เลเซอร์ที่อ่อนโยนไม่ทำให้เลือดออกใต้ผิวหนัง 
                                                                      • NU PICO BRIGHT ก่อนทำการรักษาไม่ต้องแปะยาชาก่อนทำ
                                                                      • NU PICO BRIGHT ไม่ทิ้งรอยแผลเป็น และไม่ทำให้หน้าตกสะเก็ด 
                                                                      • NU PICO BRIGHT หลังทำไมต้องพักหน้า สามารถใช้หน้าต่อได้ทันที