วิเคราะห์ 4 แนวทางหลักในการยกกระชับใบหน้า เพื่อผลลัพธ์ที่ตอบโจทย์กับใบหน้า
ในยุคที่ภาพลักษณ์ภายนอกมีผลต่อความมั่นใจและโอกาสในชีวิตประจำวัน การมีใบหน้าที่เต่งตึงแลดูอ่อนวัย จึงกลายเป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักของหลายคน ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงวัยใดก็ตาม ความหย่อนคล้อย ริ้วรอย หรือโครงหน้าที่เปลี่ยนไปตามกาลเวลา ล้วนเป็นสิ่งที่หลายคนต้องการแก้ไขให้ดูดีขึ้น โดยเฉพาะในยุคที่เทคโนโลยีความงามพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด ทำให้มีทางเลือกหลากหลายในการยกกระชับใบหน้า ทั้งแบบไม่ต้องผ่าตัด เทคนิคทางการแพทย์ หรือแม้แต่วิธีธรรมชาติที่สามารถทำได้เองที่บ้าน
อย่างไรก็ตาม การเลือกแนวทางยกกระชับใบหน้าให้เหมาะกับตนเอง ไม่ใช่เรื่องของกระแสหรือความนิยมเพียงอย่างเดียว แต่ควรพิจารณาจากปัจจัยหลานด้าน เช่น สภาพผิว ระยะเวลาที่ต้องการเห็นผล ความพร้อมในการพักฟื้น และงบประมาณที่ตั้งไว้ บทความนี้จึงขอพาผู้อ่านวิเคราะห์ 4 แนวทางหลักของการยกกระชับใบหน้า อย่างละเอียด พร้อมเปรียบเทียบจุดเด่น ความแตกต่าง และผลลัพธ์ที่ได้จากแต่ละวิธี เพื่อเป็นแนวทางให้ตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ และเลือกสิ่งที่ตอบโจทย์กับใบหน้าของคุณได้อย่างเหมาะสม
ความสำคัญของการยกกระชับใบหน้าในปัจจุบัน
ใบหน้าที่เต่งตึงและได้รูปไม่เพียงเป็นสัญลักษณ์ของความอ่อนวัย แต่ยังสะท้อนถึงความใส่ใจในการดูแลตนเอง ซึ่งมีผลต่อความมั่นใจ บุคลิกภาพ และภาพลักษณ์ในสังคม การเปลี่ยนแปลงของผิวหน้าอย่างเช่น ริ้วรอย ความหย่อนคล้อย หรือโครงหน้าที่ไม่คมชัด ล้วนเกิดขึ้นตามวัย การใช้ชีวิต และปัจจัยภายนอก ไม่ว่าจะเป็นแสงแดด มลภาวะ หรือความเครียด
แนวโน้มความต้องการในแต่ละช่วงวัย
ความต้องการด้านการยกกระชับใบหน้าแตกต่างกันไปตามช่วงอายุ โดยในแต่ละช่วงวัยจะมีเป้าหมายและปัญหาผิวที่แตกต่างกัน ดังนี้
- วัย 20–30ปี มักเริ่มมีปัญหารูขุมขนกว้าง ผิวขาดความยืดหยุ่นในบางจุด ความต้องการยกกระชับ จะเน้นที่การป้องกันริ้วรอยก่อนวัยและเสริมความกระชับ
- วัย 30–40ปี เป็นช่วงที่ปัญหาริ้วรอยเริ่มชัดเจนมากขึ้น เช่น ร่องแก้ม ผิวใต้ตา หรือกรอบหน้าที่ไม่คมชัดเหมือนเดิม
- วัย 40 ปีขึ้นไป ความหย่อนคล้อยของผิวเริ่มมากขึ้น โดยเฉพาะช่วงคาง ลำคอ และโหนกแก้ม ความต้องการยกกระชับจึงมักเน้นที่การฟื้นฟูลึก และให้ผลลัพธ์ที่ยาวนาน ไม่ว่าจะเป็นการใช้เทคโนโลยีขึ้นสูงหรือผ่าตัดยกกระชับในบางกรณี
ประเภทของการยกกระชับใบหน้า มีกี่วิธี?
การยกกระชับใบหน้าในปัจจุบันมีตัวเลือกที่หลากหลาย ครอบคลุมทั้งเทคโนโลยีล้ำสมัย หัตถการทางการแพทย์ ไปจนถึงวิธีธรรมชาติและการผ่าตัด ซึ่งแต่ละแนวทางมีข้อดี ข้อจำกัด และระดับความเหมาะสมที่แตกต่างกัน การเข้าใจคุณสมบัติของแต่ละวิธีจึงเป็นสิ่งสำคัญในการตัดสินใจเลือกวิธีที่ตรงกับปัญหาผิวและความต้องการของแต่ละบุคคล
การยกกระชับใบหน้าด้วยเทคโนโลยีเครื่องยกกระชับ
กลุ่มนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการพักฟื้นหรือไม่ต้องการผ่าตัด เน้นกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว ทำให้ผิวกระชับขึ้น
- Ultherapy Prime
ยกกระชับผิวหน้ารุ่นใหม่ที่ได้รับการพัฒนาต่อยอดจาก Ulthera SPT โดยอาศัยหลักการของ Micro-Focused Ultrasound (MFU) ในการส่งพลังงานอัลตราซาวนด์ความเข้มข้นสูงลงลึกถึงผิวชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นโครงสร้างลึกที่แพทย์ศัลยกรรมใช้ในการดึงหน้า
- Ultra 4D Lift
เทคโนโลยียกกระชับใบหน้าที่ถูกพัฒนาให้มีความแม่นยำสูงขึ้น ด้วยระบบ Micro Pulse Technology (MPT) จุดเด่นของเครื่องนี้คือสามารถส่งพลังงานอัลตราซาวนด์ลงสู่ผิวอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นผิวลึกที่มีบทบาทสำคัญในการพยุงโครงสร้างผิว
- Super HIFU
เป็นเทคโนโลยียกกระชับใบหน้าที่ใช้คลื่นเสียงอัลตราซาวนด์พลังงานสูงแบบโฟกัส (High-Intensity Focused Ultrasound) โดยสามารถส่งพลังงานความร้อนลงลึกถึงทั้งชั้นไขมันใต้ผิวและชั้น SMAS ซึ่งเป็นโครงสร้างหลักที่รองรับผิวหน้า พร้อมเร่งกระบวนการสร้างคอลลาเจนใหม่จากภายใน
- Thermage FLX
ใช้พลังงานคลื่นวิทยุความถี่สูง Monopolar RF กระตุ้นคอลลาเจนผ่านความร้อนที่ควบคุมได้ลึกถึงชั้นหนังแท้ เหมาะสำหรับยกกระชับผิวหน้า ลำคอ และรอบดวงตา จุดเด่นคือหัวเครื่องมือที่ครอบคลุมพื้นที่กว้าง เจ็บน้อยลง และไม่ต้องพักฟื้น
- Oligio
เทคโนโลยีที่ใช้พลังงานคลื่นวิทยุแบบ Monopolar RF ความถี่ 6.78 MHz ในการส่งความร้อนอย่างต่อเนื่องลงสู่ชั้นผิวหนังแท้และชั้นไขมันใต้ผิวอย่างลึกและแม่นยำ จุดเด่นของ Oligio คือความสามารถในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินภายในชั้นผิว ช่วยให้ผิวหน้าดูกระชับ เต่งตึงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
- EMFACE
เทคโนโลยีที่ผสานการทำงานของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความเข้มสูง (HIFES™) กับพลังงานคลื่นวิทยุแบบ Synchronized RF เข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว จุดเด่นของ EMFACE คือสามารถกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อบนใบหน้าให้หดตัวคล้ายกับการออกกำลังกายกล้ามเนื้อ
การยกกระชับใบหน้าด้วยเทคนิคทางการแพทย์
เป็นกลุ่มหัตถการที่ให้ผลลัพธ์รวดเร็ว เห็นผลชัดเจนในระยะสั้นถึงกลาง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับปรับรูปหน้า หรือเติมเต็มเฉพาะจุดโดยไม่ต้องใช้เวลาฟื้นฟูนาน
- การฉีดฟิลเลอร์
ใช้สารไฮยาลูรอนิก แอซิด (HA) เติมเต็มร่องลึก เช่น ร่องแก้ม ใต้ตา คาง หรือขมับ ช่วยเพิ่มวอลุ่มให้ใบหน้าดูยกกระชับขึ้น และกรอบหน้าคมชัดมากขึ้น
- การฉีดโบ
เป็นการใช้สารออกฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อ ยับยั้งการหดตัวของกล้ามเนื้อ ทำให้ผิวดูเรียบตึง ลดริ้วรอยบนหน้าผาก หางตา หรือบริเวณกราม เหมาะกับผู้ที่ต้องการหน้าเรียวแบบเร่งด่วน
- การฉีดไขมันตัวเอง
การดูดไขมันมาจากส่วนอื่นของร่างกาย เช่น หน้าท้องหรือต้นขา มาปั่นแยกและฉีดกลับเข้าไปเติมเต็มผิวหน้า ช่วยเพิ่มความแน่นกระชับ เหมาะกับผู้ที่ต้องการยกกระชับปรับรูปหน้าและฟื้นฟูผิวระยะยาว
- การร้อยไหม
ใช้ไหมละลายชนิดพิเศษในการดึงผิวให้กระชับ พร้อมกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ในระยะยาว ให้ผลลัพธ์ชัดเจนรวดเร็วและอยู่ได้นาน 1–2 ปี
การยกกระชับใบหน้าแบบวิธีธรรมชาติ
วิธีเหล่านี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการการดูแลผิวอย่างอ่อนโยนต่อเนื่อง โดยไม่ใช้เทคโนโลยีหรือหัตถการใด ๆ
- การบริหารใบหน้า
เช่น ท่ายิ้มกว้าง ดันแก้ม ดึงคาง ท่าพองแก้ม ช่วยบริหารกล้ามเนื้อใบหน้าให้แข็งแรงขึ้น ลดความหย่อนคล้อยในระยะยาว
- การนวดใบหน้า
เป็นการใช้นิ้วหรืออุปกรณ์ช่วยนวดในทิศทางที่ถูกต้อง เช่น จากคางขึ้นไปจ้างหู จากหน้าผากไล่ขมับ ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลืดและคลายกล้ามเนื้อใบหน้า
- การมาสก์หน้าด้วยวัตถุดิบธรรมชาติ
ใช้ส่วนผสมจากธรรมชาติ เช่น ไข่ขาว น้ำผึ้ง โยเกิร์ต แตงกวา หรือว่านหางจระเข้ ซึ่งช่วยบำรุงผิวและให้ความชุ่มชื้น
การยกกระชับใบหน้าด้วยการผ่าตัดศัลยกรรม
การผ่าตัดยกกระชับใบหน้า (Facelift Surgery) เป็นวิธีที่ช่วยจัดการกับปัญหาผิวหย่อนคล้อยได้อย่างแม่นยำ โดยแพทย์จะเลือกใช้เทคนิคที่เหมาะสมกับตำแหน่งของปัญหาและระดับความรุนแรงของผิวแต่ละราย
- Full Facelift
เป็นการผ่าตัดที่เน้นยกกระชับทั่วทั้งใบหน้าและลำคอ เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อยค่อนข้างมาก ให้ผลลัพธ์ชัดเจนและยาวนาน โดยสามารถคงความกระชับได้ประมาณ 5–10 ปี ทั้งนี้อยู่กับการดูแลหลังผ่าตัดและปัจจัยทางด้านอายุ
- Mini Facelift
เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยบางส่วน เช่น บริเวณกรอบหน้า หรือแนวกราม โดยเป็นการผ่าตัดยกกระชับเฉพาะจุด ใช้เวลาฟื้นตัวสั้น และมีความเสี่ยงน้อยกว่าการผ่าตัดแบบเต็มรูปแบบ
- Mid Facelift
เป็นการผ่าตัดที่มุ่งเน้นยกกระชับบริเวณกลางใบหน้า เช่น โหนกแก้ม แก้ม และใต้ตา ช่วยเติมวอลุ่มให้ใบหน้าดูเต่งตึงและมีมิติมากยิ่งขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่สูญเสียความกระชับเฉพาะส่วนกลางของใบหน้า
- Neck Lift
เน้นยกผิวที่หย่อนคล้อยบริเวณลำคอและใต้คาง เป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่มีไขมันสะสมหรือหนังคอหย่อนโดยเฉพาะ ช่วยให้ลำคอเรียบเนียนและดูเรียวขึ้น
- Endoscopic Facelift
เป็นการผ่าตัดที่ใช้กล้องขนาดเล็ก (Endoscope) ช่วยในการดึงยกผิว ทำให้แผลมีขนาดเล็กลง เจ็บน้อย และฟื้นตัวเร็ว เพิ่มความแม่นยำฝนการผ่าตัด เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่แนบเนียนโดยมีแผลผ่าตัดน้อย
- Temporal Lift
ศัลยกรรมยกบริเวณขมับ ซึ่งช่วยปรับตำแหน่งของหางตาและยกเปลือกตาส่วนบนให้เปิดกว้างขึ้น ลดความหย่อนคล้อยรอบดวงตา เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการแก้ไขเฉพาะจุด และคืนความสดใสให้ใบหน้าส่วนบน
เปรียบเทียบแนวทางการยกกระชับใบหน้าแต่ละประเภท
การยกกระชับใบหน้าในปัจจุบัน สามารถแบ่งออกเป็น 4 ประเภทหลัก โดยแต่ละประเภทมีจุดเด่น วิธีการทำงาน และระดับความเหมาะสมที่ต่างกันไปตามสภาพผิว และความต้องการของแต่ละบุคคล ดังนี้
การยกกระชับใบหน้าด้วยเทคโนโลยี
วิธีนี้เหมาะกับคนที่ไม่อยากพักฟื้น ไม่อยากเจ็บ และต้องการให้ผิวหน้ากระชับขึ้นอย่างดูกลมกลืนกับใบหน้า โดยใช้คลื่นเสียงหรือคลื่นวิทยุยิงลึกถึงชั้นผิวเพื่อกระตุ้นคอลลาเจน ดังนี้
- Ultherapy Prime ยิงลึกถึงชั้น SMAS เหมือนผ่าตัดดึงหน้าแบบไม่ต้องผ่า
- Ultrar 4D Lift พลังงานต่อเนื่องครอบคลุมหลายชั้นผิว
- Super HIFU ยกกระชับและลดไขมันแก้ม เหนียง
- Thermage FLX และ Oligio ใช้คลื่น Monopolar RF ช่วยให้ผิวแน่นขึ้น
- EMFACE กระตุ้นกล้ามเนื้อใบหน้าโดยไม่ใช้เข็ม
การยกกระชับใบหน้าด้วยเทคนิคทางการแพทย์
สำหรับผู้ที่ต้องการเห็นผลโดยไม่ต้องใช้เครื่องมือขนาดใหญ่ การเลือกใช้หัตถการทางการแพทย์ถือเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์มาก ดังนี้
- ฉีดฟิลเลอร์ ช่วยเติมเต็มร่องลึก เพิ่มวอลุ่มให้ใบหน้าดูอิ่มแน่นขึ้น
- ฉีดโบ คลายกล้ามเนื้อ ลดริ้วรอย ยกกระชับปรับหน้าเรียว
- ฉีดไขมันตัวเอง ใช้ไขมันของตัวเอง เติมเต็มและฟื้นฟูผิว
- การร้อยไหม สามารถเห็นผลลัพธ์รวดเร็ว และคงอยู่ได้ยาวนาน 1–2 ปี
การยกกระชับใบหน้าด้วยวิธีธรรมชาติ
แม้จะไม่เห็นผลลัพธ์ได้ชัดเจนเท่าการใช้เทคโนโลยีหรือหัตถการ แต่แนวทางธรรมชาติก็ยังคงได้รับความนิยมในกลุ่มที่ต้องการหลีกเลี่ยงความเสี่ยง โดยอาศัยการฝึกกล้ามเนื้อและการบำรุงผิวอย่างต่อเนื่อง ดังนี้
- บริหารใบหน้า ฝึกกล้ามเนื้อให้ตึงกระชับ
- นวดหน้า ช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียนเลือด
- มาสก์หน้าธรรมชาติ มีคุณสมบัติช่วยให้ผิวดูกระชับ
การยกกระชับใบหน้าด้วยการผ่าตัดศัลยกรรม
สำหรับผู้ที่มีปัญหาความหย่อนคล้อยรุนแรง หรือมีอายุที่ส่งผลให้โครงสร้างผิวอ่อนแรงจนการใช้เทคโนโลยีทั่วไปไม่เพียงพอ การผ่าตัดศัลยกรรมยกกระชับใบหน้าคือคำตอบที่เหมาะสม โดยสามารถเลือกทำได้หลายวิธี ดังนี้
- Full Facelift ที่ยกทั้งใบหน้าและลำคอในคราวเดียว ให้ผลลัพธ์ที่คงอยู่ได้ถึง 5–10 ปี
- Mini Facelift ที่ยกเฉพาะกรอบหน้าและแนวกรามเหมาะกับผู้ที่หย่อนคล้อยเพียงบางจุด
- Mid Facelift ที่มุ่งเน้นบริเวณโหนกแก้มและแก้มช่วงกลางใบหน้า
- Neck Lift เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาไขมันและผิวหย่อนบริเวณลำคอ
- Endoscopic Facelift ใช้กล้องเล็กช่วยให้แผลเล็กลง ฟื้นตัวเร็ว
- Temporal Lift ซึ่งช่วยยกหางตาและบริเวณขมับให้ดูสดใสขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
จะเลือกวิธีการยกกระชับใบหน้าอย่างไรให้เหมาะกับตัวเอง?
การยกกระชับใบหน้าไม่มีสูตรตายตัว เพราะผิวของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ไลฟ์สไตล์ก็แตกต่าง บางคนอยากเห็นผลเร็ว บางคนต้องการให้ดูเปลี่ยนแปลงอย่างกลมกลืน ขณะที่บางคนมองหาผลลัพธ์ชัดเจนและอยู่ได้นาน ดังนั้น ก่อนตัดสินใจ ควรพิจารณาปัจจัยเหล่านี้
- ระดับความหย่อนคล้อยของผิว
หากปัญหายังอยู่ในระดับเริ่มต้น เช่น กรอบหน้าไม่ชัด หรือมีริ้วรอยเล็ก ๆ การฉีดโบหรือฟิลเลอร์อาจเพียงพอ แต่หากมีเหนียง ร่องลึก หรือผิวหย่อนอย่างเห็นได้ชัด เทคโนโลยี เช่น Ultherapy Prime, Thermage FLX, หรือ Oligio เป็นต้น จะให้ผลลัพธ์ที่ครอบคลุมยิ่งขึ้น ส่วนผู้ที่มีอายุมากและผิวหย่อนคล้อยรุนแรง การผ่าตัดยกกระชับใบหน้า (Facelift) อาจเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์กว่า
- ระยะเวลาการพักฟื้น
สำหรับใครที่มีข้อจำกัดเรื่องเวลา เช่น ต้องทำงานทุกวันหรือไม่สะดวกหยุดพักยาว ควรเลือกวิธีที่ไม่ต้องพักฟื้น เช่น การใช้เทคโนโลยียกกระชับ หรือหัตถการอย่างร้อยไหม ซึ่งสามารถกลับไปใช้ชีวิตตามปกติได้หลังทำ ต่างจากการผ่าตัดที่ต้องใช้เวลาฟื้นตัวหลายวันถึงหลายสัปดาห์
- งบประมาณ
แต่ละวิธีมีต้นทุนต่างกัน วิธีธรรมชาติหรือการบริหารใบหน้าใช้งบไม่มาก แต่ต้องทำอย่างสม่ำเสมอจึงจะเห็นผล ขณะที่เทคโนโลยีหรือหัตถการมีราคาตั้งแต่หลักพันไปจนถึงหลักหมื่น ขึ้นอยู่กับประเภทเครื่องและบริเวณที่ทำ ส่วนการผ่าตัดจะมีค่าใช้จ่ายสูง แต่ก็ให้ผลลัพธ์ที่คงอยู่ได้นานหลายปี
- ความคาดหวังในผลลัพธ์
บางคนต้องการเพียงปรับผิวให้แน่นขึ้นแบบดูกลมกลืนไม่หลอกตา ในขณะที่บางคนต้องการผลลัพธ์ที่เปลี่ยนโครงหน้าให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ระยะเวลาของผลลัพธ์ก็มีผลต่อการเลือก เช่น การฉีดโบให้ผลประมาณ 4–6 เดือน เทคโนโลยีอยู่ได้ประมาณ 12–24 เดือน ส่วนการผ่าตัดศัลยกรรมอาจอยู่ได้นานถึง 5–10 ปี
การยกกระชับใบหน้า ช่วยอะไรบ้าง?
- ลดความหย่อนคล้อยของผิวหน้า โดยเฉพาะบริเวณแก้ม มุมปาก และใต้คาง
- ทำให้แนวกรอบหน้าดูคมชัด มีมิติมากขึ้น
- ยกกระชับปรับรูปหน้าให้ดูเรียวและสมดุลมากขึ้น
- ช่วยกระชับเนื้อใต้คางที่หย่อนและไขมันส่วนเกิน
- ยกมุมปากที่ตกให้ดูยกขึ้น สดใสขึ้น
- ช่วยเปิดดวงตาให้ดูโตและชัดขึ้นโดยไม่ต้องศัลยกรรมตา
- ลดริ้วรอยบริเวณหางตา หน้าผาก และหว่างคิ้ว
- ลดร่องแก้มลึกให้ดูตื้นขึ้น ช่วยให้ใบหน้าดูอ่อนวัย
- ช่วยกระชับผิวที่หย่อนบริเวณใต้ตา ให้ผิวเรียบเนียนขึ้น
- เสริมความเรียบตึงของผิวด้านบนใบหน้า ให้ดูสดใสและอ่อนวัยมากขึ้น
- ฟื้นฟูผิวให้ดูแน่นสุขภาพดี ไม่แห้งหย่อนหรือหยาบกร้าน
- กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว ส่งผลให้ผิวแข็งแรงจากภายใน
- ปรับสภาพผิวให้ดูสุขภาพดีขึ้น ผิวดูอิ่มฟู เปล่งปลั่ง
- ชะลอการเกิดริ้วรอยในอนาคต ช่วยป้องกันริ้วรอยใหม่ไม่ให้เกิดเร็วขึ้น
การยกกระชับใบหน้า เหมาะกับใครบ้าง?
- ผู้ที่มีอายุ 25 ปีขึ้นไปและเริ่มสูญเสียคอลลาเจน
- ผู้ที่มีผิวหน้าเริ่มหย่อนคล้อยเล็กน้อย
- ผู้ที่มีปัญหาเหนียงใต้คางหรือคางสองชั้น
- ผู้ที่เริ่มมีร่องแก้มลึกหรือริ้วรอยร่องมุมปาก
- ผู้ที่มีร่องใต้ตาและถุงใต้ตาเล็กน้อยจากผิวที่อ่อนแรง
- ผู้ที่ไม่ต้องการผ่าตัดดึงหน้า แต่ต้องการผลลัพธ์ใกล้เคียง
- ผู้ที่ต้องการยกกระชับปรับรูปหน้าให้ได้สัดส่วนมากขึ้น
- ผู้ที่ต้องการลดไขมันสะสมเฉพาะจุดบนใบหน้า
- ผู้ที่ต้องการกระชับผิวโดยไม่เปลี่ยนโครงหน้าจนเกินไป
- ผู้ที่มีผิวบางและหย่อนง่ายจากอายุหรือแสงแดด
- ผู้ที่ผ่านการลดน้ำหนักแล้วผิวหน้าหย่อนคล้อยตามมา
- ผู้ที่มีปัญหาแก้มไม่เท่ากัน หรือผิวหน้าข้างใดข้างหนึ่งหย่อนมากกว่าอีกข้าง
- ผู้ที่อยากลดริ้วรอยโดยไม่ใช้สารเติมเต็ม
- ผู้ที่มีปัญหาผิวไม่แน่น ฟู หรือดูโทรมแม้ไม่มีริ้วรอยชัดเจน
- ผู้ที่เริ่มมีหางตาตกหรือเปลือกตาหย่อนเล็กน้อย
หมายเหตุ
แม้ว่าการยกกระชับใบหน้าจะเหมาะกับคนจำนวนมาก และสามารถปรับใช้ได้กับหลากหลายช่วงวัย แต่ก่อนเข้ารับบริการควรได้รับการประเมินจากแพทย์อย่างละเอียด เพื่อให้มั่นใจว่าวิธีที่เลือกนั้นตรงกับปัญหาผิว สอดคล้องกับเป้าหมายของแต่ละบุคคล ทั้งนี้ ผลลัพธ์ของแต่ละวิธีอาจแตกต่างกันไปตามสภาพผิว อายุ และการดูแลหลังทำของแต่ละคน
การยกกระชับใบหน้า ไม่เหมาะกับใครบ้าง?
- ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร
- ผู้ที่มีแผลเปิด หรือการติดเชื้อบริเวณใบหน้า
- ผู้ที่มีปัญหาภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือกำลังใช้ยากดภูมิ
- ผู้ที่เพิ่งผ่าตัดศัลยกรรมใบหน้าและยังไม่หายดี
- ผู้ที่มีซิลิโคนฝังอยู่บริเวณใบหน้าหรือกราม
- ผู้ที่ใช้เครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemaker)
- ผู้ที่มีภาวะเลือดออกง่าย หรือรับยาละลายลิ่มเลือดต่อเนื่อง
- ผู้ที่คาดหวังผลลัพธ์เกินจริง
- ผู้ที่หวังผลรวดเร็วแบบถาวรจากการฉีดหรือทำเทคโนโลยี
- ผู้ที่เพิ่งฉีดฟิลเลอร์หรือโบมาในบริเวณใกล้เคียง
- ผู้ที่มีสภาพผิวแห้งลอก ขาดน้ำมากเกินไป
- ผู้ที่มีแผลเป็นนูนหรือแผลคีลอยด์ง่าย
- ผู้ที่มีอาการปวดกล้ามเนื้อใบหน้าเรื้อรัง
- ผู้ที่เพิ่งฟื้นตัวจากอาการแพ้ทางผิวหนัง เช่น ลมพิษเฉียบพลัน
- ผู้ที่อยู่ในช่วงมีประจำเดือนแล้วมีอาการผิวไวผิดปกติ
- ผู้ที่อยู่ระหว่างการรักษาโรคผิวหนัง เช่น โรคสะเก็ดเงิน หรือผิวหนังอักเสบเรื้อรัง
- ผู้ที่เคยมีประวัติผิวบาง หรือเกิดภาวะไขมันใต้ผิวหน้าหาย หลังทำหัตถการอื่น
- ผู้ที่มีประวัติเป็นโรคติดเชื้อที่ต้องควบคุม เช่น เริม หรือ SLE ซึ่งอาจกระตุ้นอาการได้
- ผู้ที่มีโรคประจำตัวที่ควบคุมไม่ได้ เช่น เบาหวานชนิดรุนแรง หรือความดันโลหิตสูง
- ผู้ที่มีแนวโน้มเกิดภาวะอารมณ์แปรปรวน หรือวิตกกังวลจากรูปลักษณ์ตนเองในระดับสูง (Body Dysmorphia)
หมายเหตุ
ข้อจำกัดหรือภาวะที่ไม่เหมาะกับการยกกระชับใบหน้า อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับวิธีที่เลือกทำ ทั้งนี้ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับบริการทุกครั้ง เพื่อประเมินความเสี่ยงอย่างรอบด้าน และเลือกรูปแบบที่เหมาะสม
ยกกระชับใบหน้า ทำบริเวณใดได้บ้าง?
- หน้าผาก ลดรอยย่น ปรับผิวให้เรียบตึง ดูสดใสขึ้น
- ระหว่างคิ้ว ลดรอยขมวดคิ้วลึก ให้ใบหน้าดูผ่อนคลาย
- ขมับ ช่วยยกหางคิ้วและหางตา ทำให้ตาดูเปิดขึ้น
- หางตา ลดรอยตีนกาและความหย่อนคล้อยบริเวณรอบดวงตา
- ใต้ตา ลดถุงใต้ตา ร่องลึก และผิวไม่เรียบ
- โหนกแก้ม ยกกระชับให้ใบหน้าส่วนกลางดูฟูและมีมิติมากขึ้น
- แก้ม ลดความหย่อนคล้อย แก้ปัญหาแก้มตก
- ร่องแก้ม ลดรอยลึกของร่องแก้มที่ทำให้ใบหน้าดูเหนื่อยล้า
- มุมปาก ยกมุมปากที่ตกขึ้น ทำให้หน้าดูสดใส
- แนวกราม ยกแนวกรอบหน้าให้ชัดขึ้น ลดความเบลอของใบหน้าช่วงล่าง
- กรอบหน้า ยกกระชับปรับรูปหน้าให้ได้สัดส่วนมากขึ้น
- ใต้คาง ลดเหนียง สร้างมุมคางที่คมชัด
- ลำคอ กระชับผิวที่หย่อนคล้อยหรือย่นเป็นรอยพับ
ก่อนทำการยกกระชับใบหน้า ต้องเตรียมตัวอย่างไร?
- ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้ง เพื่อประเมินสภาพผิว
- ควรพักผ่อนให้เพียงพอในคืนก่อนเข้ารับบริการ
- ควรดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อเติมความชุ่มชื้นให้ผิวก่อนทำ
- งดใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิว (AHA, BHA, Retinol) ประมาณ 3–5 วันก่อนทำ
- งดทำทรีตเมนต์หรือเลเซอร์ อย่างน้อย 1 สัปดาห์
- งดยาแก้อักเสบ ยาละลายลิ่มเลือด หรือแอสไพริน อย่างน้อย 3–7 วัน
- งดดื่มแอลกอฮอล์ก่อนทำ 24–48 ชั่วโมง
- งดนวดหน้า อย่างน้อย 2–3 วันก่อนทำ
- หลีกเลี่ยงการโดนแดดจัด ก่อนวันทำ
- หลีกเลี่ยงการแต่งหน้าในวันที่จะเข้ารับบริการ
หลังทำการยกกระชับใบหน้า ต้องดูแลตนเองอย่างไร?
- ควรใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่อ่อนโยนเป็นพิเศษในช่วง 1–3 วันแรก
- ควรทาครีมบำรุงและเซรัมเพิ่มความชุ่มชื้นอย่างสม่ำเสมอ
- ควรทาครีมกันแดดทุกวัน แม้อยู่ในบ้าน
- ควรดื่มน้ำมาก ๆ ประมาณ 2–3 ลิตรต่อวัน เพื่อช่วยให้ผิวฟื้นตัวเร็วขึ้น
- ควรพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 7–8 ชั่วโมง
- งดสัมผัสหน้าแรง ๆ หรือกดนวดบริเวณที่ทำ
- งดใช้ครีมที่มี AHA, BHA, Retinol อย่างน้อย 3–7 วันหลังทำ
- งดออกกำลังกายหนัก 1–3 วันแรก
- งดการอบซาวน่า อบไอน้ำ อาบน้ำร้อน 3–7 วัน
- งดแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ ประมาณ 3–5 วัน
- งดขัดหน้า สครับ ในช่วง 1 สัปดาห์แรก
- งดทำเลเซอร์ หรือหัตถการอื่น ในช่วง 1–2 สัปดาห์แรก
- หลีกเลี่ยงแสงแดดจัด หรือกิจกรรมกลางแจ้งโดยตรง ในช่วง 3–5 วันแรก
การยกกระชับใบหน้า วิธีไหนให้ผลลัพธ์ดี?
- ขึ้นอยู่กับระดับความหย่อนคล้อยของผิวและความคาดหวังของแต่ละคน หากต้องการผลลัพธ์ที่เปลี่ยนแปลงชัดเจนและอยู่ได้นาน การผ่าตัดยกกระชับใบหน้าจะให้ผลดีกว่า แต่ถ้าต้องการวิธีที่ไม่ต้องผ่าตัด เทคโนโลยีอย่าง Ultherapy Prime, Thermage FLX, Ultra 4D Lift หรือ EMFACE ก็ให้ผลดีมากในระดับที่ไม่อันตรายและไม่ต้องพักฟื้น
การยกกระชับใบหน้าเห็นผลรวดเร็วไหม?
- ขึ้นอยู่กับวิธีที่เลือกทำยกกระชับใบหน้า หากเป็นการร้อยไหมหรือการฉีดโบ จะสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเรื่องการยกผิวในบริเวณที่หย่อน เช่น มุมปาก ร่องแก้ม หรือกรอบหน้า แต่ผลลัพธ์จะชัดเจนขึ้น ภายใน 7–14 วัน ส่วนกรณีการยกกระชับใบหน้าด้วยเทคโนโลยี ส่วนใหญ่ยังไม่เห็นผลชัดเจนในวันแรก แต่ผิวจะรู้สึกกระชับขึ้นเล็กน้อย 20–30% หลังทำ จากนั้นผลลัพธ์จะค่อย ๆ ดีขึ้นเรื่อย ๆ ภายในช่วง 1–3 เดือน
การยกกระชับใบหน้ากับการผ่าตัดดึงหน้า แตกต่างกันไหม?
- การยกกระชับใบหน้า มีหลายวิธีที่ต่างกันทั้งกลไกการทำงาน ระยะเวลาที่เห็นผล ความคงทน และระดับความเปลี่ยนแปลง เช่น เทคโนโลยี Ultrasound หรือ RF ใช้พลังงานกระตุ้นคอลลาเจนจากชั้นผิวลึก ส่วนการฉีดฟิลเลอร์หรือโบจะช่วยเติมเต็มหรือคลายกล้ามเนื้อ และการร้อยไหมเป็นการดึงโครงสร้างผิวให้ยกกระชับหลังทำอย่างรวดเร็ว ส่วนการผ่าตัดให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและอยู่ได้นาน
การยกกระชับใบหน้าแทนการศัลยกรรมได้ไหม?
- สำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยในระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง การยกกระชับใบหน้าด้วยเทคโนโลยีหรือหัตถการสามารถให้ผลลัพธ์ใกล้เคียงกับการศัลยกรรมได้ในระดับหนึ่ง แต่หากความหย่อนคล้อยรุนแรงมาก การผ่าตัดจะยังคงเป็นวิธีที่ได้ผลลัพธ์ชัดเจนและอยู่ได้นาน
การยกกระชับใบหน้าสามารถใช้ร่วมกับการฉีดฟิลเลอร์หรือฉีดโบได้ไหม?
- การยกกระชับด้วยเทคโนโลยีสามารถใช้ร่วมกับการฉีดฟิลเลอร์หรือโบได้ เพื่อเสริมประสิทธิภาพให้ครอบคลุมทั้งการดึงยกผิว เติมเต็มร่องลึก และลดริ้วรอยจากกล้ามเนื้อ โดยควรให้แพทย์ประเมินและจัดแผนการรักษาให้เหมาะกับสภาพผิวและโครงหน้า
การยกกระชับใบหน้าไม่ใช่แค่เรื่องของความงาม แต่คือการดูแลผิวพรรณให้คงความอ่อนวัย สมดุล และเสริมความมั่นใจในตัวเองอย่างยั่งยืน ด้วยเทคโนโลยีและทางเลือกที่หลากหลายในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการใช้เครื่องมือทันสมัย หัตถการทางการแพทย์ หรือแม้แต่การดูแลตัวเองด้วยวิธีธรรมชาติ ทุกวิธีล้วนมีจุดเด่นและระดับความเหมาะสมที่ต่างกัน
สิ่งสำคัญคือการประเมินอย่างรอบด้านทั้งในเรื่องของปัญหาผิวจริง ไลฟ์สไตล์ งบประมาณ ความคาดหวัง และความพร้อมของร่างกาย เพื่อเลือกแนวทางที่ให้ผลลัพธ์ที่ดี และสอดคล้องกับตัวตนของคุณ
ก่อนตัดสินใจควรปรึกษาแพทย์ เพื่อวางแผนอย่างเหมาะสมในแต่ละขั้นตอน เพราะการดูแลผิวที่ดี เริ่มต้นจากความเข้าใจที่ถูกต้อง และเมื่อคุณเลือกวิธีที่ใช่ ผลลัพธ์ที่ได้ก็จะไม่ใช่แค่ผิวที่ดูดีขึ้นแต่คือความมั่นใจที่กลับคืนมาอย่างแท้จริง