Profhilo กับฟิลเลอร์ ต่างกันอย่างไร? ฉีดตัวไหนดีกว่ากัน?
ในปัจจุบัน การดูแลผิวให้ดูอ่อนกว่าวัยไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป ดังนั้นการฉีด Profhilo และฟิลเลอร์ จึงกลายเป็นอีกหนึ่งหัตถการที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งยังมีหลายคนที่เกิดความสับสน และสงสัยว่า ทั้งสองโปรแกรมนี้มีความแตกต่างกันอย่างไร? แม้จะมีส่วนประกอบของ Hyaluronic Acid (HA) ที่คล้ายกัน แต่ก็มีคุณสมบัติ กลไกการทำงาน และวิธีการฉีดที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน บทความนี้ จะพามาเปรียบเทียบความต่างระหว่าง Profhilo และฟิลเลอร์ พร้อมทำความเข้าใจเกี่ยวกับ Profhilo และฟิลเลอร์แบบเจาะลึก เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ และตอบโจทย์ปัญหาผิวอย่างแท้จริงค่ะ
Profhilo กับฟิลเลอร์ ต่างกันอย่างไร? เลือกฉีดตัวไหนดี?
รู้จัก Profhilo กับฟิลเลอร์
Profhilo คืออะไร?
Profhilo (โปรฟิโล) เป็นผลิตภัณฑ์กลุ่มกระตุ้นคอลลาเจน และฟื้นฟูโครงสร้างผิว (Bio-Remodeling) ที่ใช้ส่วนประกอบของ Hyaluronic Acid (HA) แบบ Non-crosslinked ที่มีความเข้มข้นสูงถึง 32 mg/ml โดยผ่านกระบวนการผลิตด้วยเทคโนโลยีที่จดสิทธิบัตร มีชื่อเรียกว่า NAHYCO® Hybrid Technology ซึ่งใช้พลังงานความร้อนเชื่อมโมเลกุลของ HA ทั้ง 2 ขนาดเข้าด้วยกัน ระหว่างโมเลกุลขนาดใหญ่ และโมเลกุลขนาดเล็ก ในรูปแบบ Hybrid Cooperative Complex (HCC) โดยไม่ต้องใช้สารเคมี หรือสารเชื่อมพันธะ จึงทำให้ Profhilo สามารถกระจายตัวในชั้นผิวหนังได้ดี และลดความเสี่ยงต่อการอักเสบ
โดย Profhilo ได้รับการออกแบบมาเพื่อปรับปรุง และฟื้นฟูโครงสร้างผิว ตั้งแต่ชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) ชั้นหนังแท้ (Dermis) จนถึงชั้นไขมันใต้ผิวหนัง (Subcutaneous Layer) ทำให้ผิวดูสุขภาพดี อิ่มฟู กระชับ และชุ่มชื้นอย่างแลดูเป็นธรรมชาติ โดยไม่ทำให้ใบหน้าเปลี่ยนแปลงรูปทรงไปจากเดิม
ฟิลเลอร์ คืออะไร?
ฟิลเลอร์ เป็นสารเติมเต็มที่ใช้ส่วนประกอบของ Hyaluronic Acid (HA) แบบ Crosslinked ที่มีความเข้มข้น ประมาณ 20 – 28 mg/ml ซึ่งมีให้เลือกหลากหลายยี่ห้อในปัจจุบัน เช่น ยี่ห้อ Juvederm, ยี่ห้อ Restylane หรือยี่ห้อ Belotero โดยส่วนใหญ่ฟิลเลอร์จะมีการใช้สารเชื่อมพันธะอย่าง BDDE เพื่อให้เนื้อเจลมีความหนืด และสามารถคงรูปได้ดี รวมถึง ปรับรูปทรงเฉพาะจุดได้ตามต้องการ
โดยฟิลเลอร์ ได้รับการออกแบบมาเพื่อเติมเต็มริ้วรอย ร่องลึก ยกกระชับปรับรูปหน้า และเพิ่มปริมาตรให้ผิวในบริเวณที่ยุบตัว ทำให้ผิวอิ่มฟู เรียบเนียน ดูมีวอลลุ่ม และโครงสร้างใบหน้ามีสัดส่วนที่สวยงาม เข้ารูปมากขึ้น โดยไม่ต้องผ่าตัด และไม่เสียเวลาในการพักฟื้นนาน
เปรียบเทียบความต่างระหว่าง Profhilo กับฟิลเลอร์
Profhilo และฟิลเลอร์ แม้จะมีส่วนประกอบหลักเป็น Hyaluronic Acid (HA) ที่คล้ายกัน แต่ก็มีคุณสมบัติ และกลไกการทำงานที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด โดย Profhilo และฟิลเลอร์มีความแตกต่างกัน ดังนี้
ส่วนประกอบของ Profhilo กับฟิลเลอร์
- Profhilo จะใช้ส่วนประกอบของ Non-Crosslinked Hyaluronic Acid (HA) ที่มีความเข้มข้นสูงถึง 32 mg/ml ซึ่งถือเป็นระดับความเข้มข้นที่สูงกว่าฟิลเลอร์ทั่วไป โดยผ่านการผลิตด้วย NAHYCO® Hybrid Technology ที่ผสาน HA โมเลกุลใหญ่ และเล็กเข้าด้วยกัน จึงไม่มีสารเชื่อมพันธะอย่าง BDDE ทำให้เนื้อเจลของ Profhilo มีความเหลว ไม่ขึ้นทรง และสามารถกลมกลืนเข้ากับผิวอย่างแลดูเป็นธรรมชาติ
- ฟิลเลอร์ จะใช้ส่วนประกอบของ Crosslinked Hyaluronic Acid (HA) ที่มีความเข้มข้น ประมาณ 20 – 28 mg/ml ซึ่งในแต่ละยี่ห้อก็จะมีระดับความเข้มข้นที่ต่างกัน โดยส่วนใหญ่ฟิลเลอร์ จะมีการใช้สารเคมีเชื่อมพันธะโมเลกุลอย่าง BDDE ทำให้เนื้อเจลของฟิลเลอร์ มีความหนืด ยืดหยุ่น และขึ้นทรงได้ดี ซึ่งมีให้เลือกหลายประเภท เช่น เนื้อแข็งสำหรับปรับโครงสร้างใบหน้า เช่น คาง ขมับ และเนื้อนิ่มสำหรับเติมเต็ม หรือเพิ่มปริมาตรให้ผิว
กลไกการทำงานของ Profhilo กับฟิลเลอร์
- Profhilo เมื่อทำการฉีดเข้าสู่ชั้นผิวหนังแล้ว สาร Non-Crosslinked HA จะเข้าไปทำงานโดยการกระจายตัวอย่างทั่วถึงในทุกชั้นผิว ตั้งแต่ชั้นหนังกำพร้า ชั้นหนังแท้ จนถึงชั้นไขมันใต้ผิวหนัง ทำให้เกิดการฟื้นฟูโครงสร้างผิว พร้อมกระตุ้นการทำงานของเซลล์ต่าง ๆ ได้แก่ เซลล์ Keratinocytes กระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว, เซลล์ Fibroblast กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และเซลล์ Adipocyte ฟื้นฟูเซลล์ไขมันที่เสื่อมสภาพ ส่งผลให้ผิวมีความเรียบเนียน ชุ่มชื้น อิ่มฟู กระชับ และดูอ่อนกว่าวัยจากภายใน
- ฟิลเลอร์ เมื่อทำการฉีดเข้าสู่ชั้นผิวหนังแล้ว สาร Crosslinked HA จะเข้าไปทำงานโดยการกักเก็บความชุ่มชื้นไว้ในชั้นผิว เพื่อเติมเต็มริ้วรอย ร่องลึก และเพิ่มปริมาตรให้ผิวในบริเวณที่ยุบตัวลง ส่งผลให้ผิวมีความอิ่มฟู เรียบเนียน และดูมีวอลลุ่มอย่างรวดเร็วตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉีด อีกทั้ง ยังสามารถยกกระชับปรับรูปหน้า และพยุงโครงสร้างผิว ทำให้ใบหน้าดูมีมิติ กรอบหน้าชัด และโครงสร้างใบหน้ามีสัดส่วนที่สมดุลมากขึ้น
คุณสมบัติของ Profhilo กับฟิลเลอร์
- Profhilo มีคุณสมบัติในการกระตุ้นคอลลาเจนมากถึง 4 Type ได้แก่ Collagen Type 1, Collagen Type 3, Collagen Type 4 และ Collagen Type 7 อีกทั้ง Profhilo ยังช่วยฟื้นฟูโครงสร้างผิวแบบ Bio-Remodeling ในทุกระดับชั้นผิว ตั้งแต่ชั้นหนังกำพร้า ชั้นหนังแท้ ไปจนถึงชั้นไขมันใต้ผิวหนัง ส่งผลให้ผิวดูสุขภาพดีอย่างแลดูเป็นธรรมชาติ
- ฟิลเลอร์ มีคุณสมบัติในการเติมเต็มริ้วรอย ร่องลึก ยกกระชับปรับรูปหน้า และเพิ่มปริมาตรให้ผิว เพื่อทดแทนบริเวณที่เกิดช่องว่างใต้ผิวหนัง ซึ่งจะเห็นผลการเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว ตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉีด โดยสามารถนำมาแก้ไขจุดบกพร่อง และเสริมจุดเด่นได้หลายบริเวณบนใบหน้า เช่น ใต้ตา ริมฝีปาก หน้าผาก ขมับ คาง หรือร่องแก้ม
วิธีการฉีด Profhilo กับฟิลเลอร์
- Profhilo จะใช้เทคนิค BAP (Bio Aesthetic Points) ในการฉีดเข้าสู่ชั้นผิว ซึ่งเป็นการฉีด 5 จุดบริเวณใบหน้าต่อ 1 ข้าง และฉีด 10 จุดบริเวณทั่วลำคอ เพื่อฟื้นฟูโครงสร้างผิวให้ชุ่มชื้น กระชับ ยืดหยุ่น และอ่อนกว่าวัยอย่างแลดูเป็นธรรมชาติ ซึ่งการใช้เทคนิค BAP ในการฉีดนั้น จะทำให้สาร Non-Crosslinked HA ใน Profhilo สามารถแทรกซึม และกระจายตัวในชั้นผิวอย่างทั่วถึงเป็นบริเวณกว้าง โดยไม่จำเป็นต้องฉีดหลายจุดเหมือนการฉีดฟิลเลอร์
- ฟิลเลอร์ จะใช้เทคนิคในการฉีดแบบเฉพาะจุด เพื่อเน้นเติมเต็ม และยกกระชับปรับรูปหน้า ซึ่งในแต่ละคนก็จะใช้เทคนิคในการฉีดที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับปัญหา และการพิจารณาของแพทย์ โดยการฉีดฟิลเลอร์นั้น จะไม่ให้ผลลัพธ์เป็นวงกว้าง เหมือนกับการฉีด Profhilo เนื่องจากสาร Crosslinked HA มีความหนืด และคงตัวสูง จึงเหมาะสำหรับการนำมาเติมเต็ม ปรับแต่งโครงสร้างใบหน้า และเพิ่มปริมาตรให้ผิวเฉพาะจุด ซึ่งจะให้ผลลัพธ์ที่แม่นยำ และมีความชัดเจนหลังฉีด
จำนวนครั้งที่ฉีด Profhilo กับฟิลเลอร์
- Profhilo โดยทั่วไป จะแนะนำให้ฉีด Profhilo ทั้งหมด 2 ครั้ง ซึ่งในแต่ละครั้งควรเว้นระยะเวลาห่างกัน ประมาณ 1 เดือน เพื่อให้สาร Non-Crosslinked HA ใน Profhilo เกิดการกระตุ้นคอลลาเจนอย่างต่อเนื่อง และให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพอย่างเต็มที่ ทั้งนี้ จำนวนครั้งในการฉีด Profhilo อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับปัญหาผิว และการพิจารณาของแพทย์เป็นหลัก
- ฟิลเลอร์ โดยทั่วไป จะแนะนำให้ฉีดฟิลเลอร์เพียง 1 ครั้งต่อ 1 บริเวณ เนื่องจากสาร Crosslinked HA มีความหนืด และคงรูปได้ดี จึงทำให้ผลลัพธ์ที่ได้มีความชัดเจน และมีประสิทธิภาพหลังฉีดอย่างรวดเร็ว ทั้งการเติมเต็มริ้วรอย ร่องลึก ยกกระชับปรับรูปหน้า และเพิ่มปริมาตรให้ผิวเฉพาะจุด ทั้งนี้ จำนวนครั้งในการฉีดฟิลเลอร์ อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับปัญหาผิว และการพิจารณาของแพทย์เป็นหลัก หากไม่พอใจในผลลัพธ์ สามารถทำการฉีดเพิ่ม หรือแก้ไขได้ โดยไม่เป็นอันตรายใด ๆ
ระยะเวลาคงอยู่ของ Profhilo กับฟิลเลอร์
- Profhilo โดยทั่วไป จะเริ่มเห็นผลการเปลี่ยนแปลงเบื้องต้น ภายใน 7 – 14 วัน ซึ่งจะรู้สึกได้ว่า ผิวมีความชุ่มชื้น และอิ่มฟูมากขึ้น หลังจากนั้นผลลัพธ์หลังการฉีด Profhilo จะค่อย ๆ ชัดเจน และดีขึ้นเรื่อย ๆ ภายใน 1 – 2 เดือน เมื่อผิวเกิดการฟื้นฟู และกระตุ้นคอลลาเจนอย่างเต็มที่ โดย Profhilo สามารถคงอยู่ได้ยาวนานถึง 6 – 9 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล และการดูแลตัวเองหลังฉีด Profhilo
- ฟิลเลอร์ โดยทั่วไป จะเริ่มเห็นผลการเปลี่ยนแปลง เมื่ออาการบวม ๆ ค่อยลดลง ภายใน 7 – 14 วัน หลังจากนั้นสามารถเห็นผลลัพธ์ได้อย่างชัดเจน และเต็มที่ เมื่อสาร Crosslinked HA เซตตัวเข้ากับผิวอย่างสมบูรณ์ ภายใน 2 – 4 สัปดาห์ โดยฟิลเลอร์ สามารถคงอยู่ได้ยาวนานถึง 6 – 18 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อที่ใช้ สภาพผิวของแต่ละบุคคล และการดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์
Profhilo กับฟิลเลอร์มีข้อดี – ข้อเสียอย่างไร?
ข้อดีของ Profhilo
- Profhilo สามารถกระตุ้นคอลลาเจนมากถึง 4 Type ได้แก่ Collagen Type 1, Collagen Type 3, Collagen Type 4 และ Collagen Type 7
- Profhilo เน้นการฟื้นฟูโครงสร้างผิวแบบ Bio-Remodeling ตั้งแต่ชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) ชั้นหนังแท้ (Dermis) จนถึงชั้นไขมันใต้ผิวหนัง (Subcutaneous Layer)
- Profhilo ใช้ Non-Crosslinked HA ที่มีความเข้มข้นสูงถึง 32 mg/ml ซึ่งเป็นระดับความเข้มข้นที่สูงกว่าการฉีดฟิลเลอร์ทั่วไป
- Profhilo ไม่เป็นอันตราย เนื่องจากสาร Non-Crosslinked HA สามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ และมีความบริสุทธิ์สูง ซึ่งปราศจากสารเคมีเชื่อมพันธะโมเลกุลอย่าง BDDE จึงช่วยลดความเสี่ยงต่อการแพ้ และอักเสบหลังฉีด Profhilo
- Profhilo ให้ผลลัพธ์ที่แลดูเป็นธรรมชาติ เนื่องจากสาร Non-Crosslinked HA สามารถกระจายตัวในชั้นผิวได้ดี โดยไม่ทำให้โครงสร้างใบหน้าเปลี่ยนแปลง และไม่ก่อให้เกิดก้อนแข็งหลังฉีด Profhilo
- Profhilo ใช้จุดฉีดน้อย จึงลดความรู้สึกเจ็บ และบวมช้ำหลังฉีด เนื่องจากเป็นการฉีดด้วยเทคนิค BAP (Bio Aesthetic Points) ซึ่งทำให้สาร Non-Crosslinked HA สามารถกระจายตัวได้อย่างทั่วถึง และออกฤทธิ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่จำเป็นต้องฉีดหลายจุด
- Profhilo ไม่จำเป็นต้องมีการพักฟื้นหลังฉีด เมื่อฉีด Profhilo เสร็จ สามารถกลับไปทำกิจกรรม หรือใช้ชีวิตได้ตามปกติ
ข้อเสียของ Profhilo
- Profhilo ไม่เหมาะสำหรับ การนำมาปรับแต่งโครงสร้างใบหน้า หรือปั้นรูปทรงเฉพาะจุดเหมือนฟิลเลอร์ เนื่องจากสาร Non-Crosslinked HA ที่มีความเหลว และบางเบาเหมือนน้ำ จึงเหมาะสำหรับการบำรุง และฟื้นฟูผิวโดยรวมมากกว่า
- Profhilo ไม่เหมาะสำหรับ การแก้ไขปัญหาผิวที่หย่อนคล้อยมาก หรือมีริ้วรอย ร่องลึกอย่างชัดเจน โดย Profhilo จะเน้นการฟื้นฟู และบำรุงผิวแบบโดยรวมเป็นหลัก
- Profhilo อาจให้ผลลัพธ์ที่ไม่ชัดเจนในครั้งแรกที่ฉีด เนื่องจากสาร Non-Crosslinked HA จะค่อย ๆ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนตามธรรมชาติร่างกาย ซึ่งโดยทั่วไป จะแนะนำให้ฉีดทั้งหมด 2 ครั้ง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพหลังฉีด Profhilo
ข้อดีของฟิลเลอร์
- ฟิลเลอร์ สามารถนำมาปรับแต่ง และแก้ไขปัญหาใบหน้าได้หลายรูปแบบ ทั้งการเติมเต็มริ้วรอย ร่องลึก ยกกระชับปรับรูปหน้า และเพิ่มปริมาตรให้ผิวเฉพาะจุด
- ฟิลเลอร์ สามารถเห็นผลการเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว และชัดเจนตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉีด
- ฟิลเลอร์ สามารถนำมาฉีดได้หลายบริเวณทั้งใบหน้า และร่างกาย เช่น ใต้ตา หน้าผาก ขมับ กรอบหน้า คาง หรือริมฝีปาก
- ฟิลเลอร์ ไม่เป็นอันตราย เนื่องจากสาร Crosslinked HA สามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ โดยไม่ทิ้งสารตกค้างในชั้นผิว
- ฟิลเลอร์ มีให้เลือกใช้หลากหลายยี่ห้อที่ได้รับการอนุมัติจาก อย. เช่น ยี่ห้อ Juvederm, ยี่ห้อ Restylane หรือ ยี่ห้อ Belotero
- ฟิลเลอร์ ไม่จำเป็นต้องมีการพักฟื้นหลังฉีด สามารถกลับไปทำกิจกรรม หรือใช้ชีวิตได้ตามปกติ
ข้อเสียของฟิลเลอร์
- ฟิลเลอร์ ไม่มีคุณสมบัติในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เหมือนกับ Profhilo จึงเหมาะสำหรับการนำมาเติมเต็ม และยกกระชับปรับรูปหน้าเฉพาะจุดมากกว่า
- ฟิลเลอร์ หากฉีดโดยแพทย์ที่ไม่มีความรู้ อาจทำให้เกิดก้อนแข็ง หรือผลลัพธ์แลดูไม่เป็นธรรมชาติหลังฉีดได้
Profhilo กับฟิลเลอร์ เหมาะกับใครบ้าง?
ใครบ้างที่เหมาะกับการฉีด Profhilo?
- Profhilo เหมาะกับ ผู้ที่มีอายุ 20 ปีขึ้นไป ต้องการบำรุงผิวโดยรวม
- Profhilo เหมาะกับ ผู้ที่มีปัญหาผิวแห้งลอก ขาดน้ำ และแต่งหน้าไม่ติด
- Profhilo เหมาะกับ ผู้ที่มีปัญหาผิวไม่กระชับ ใบหน้าเริ่มมีความหย่อนคล้อย
- Profhilo เหมาะกับ ผู้ที่เริ่มมีปัญหาริ้วรอยตื้น ๆ หรือริ้วรอยเส้นเล็ก ๆ บนใบหน้า
- Profhilo เหมาะกับ ผู้ที่มีปัญหารูขุมขนกว้าง รูขุมขนไม่กระชับ ขาดความเรียบเนียน
- Profhilo เหมาะกับ ผู้ที่มีปัญหาหลุมสิว มีรอยแผล และผิวขรุขระ
- Profhilo เหมาะกับ ผู้ที่มีปัญหาใบหน้าหมองคล้ำ โทรม ไม่สดใส
- Profhilo เหมาะกับ ผู้ที่มีปัญหาผิวขาดความอิ่มฟู ไม่ยืดหยุ่น
- Profhilo เหมาะกับ ผู้ที่มีปัญหาผิวบอบบาง แพ้ง่าย
- Profhilo เหมาะกับ ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวอย่างแลดูเป็นธรรมชาติ โดยไม่ทำให้โครงสร้างใบหน้าเปลี่ยน
ทั้งนี้ ก่อนเข้ารับบริการฉีด Profhilo ควรปรึกษาแพทย์ และแจ้งประวัติสุขภาพอย่างละเอียด ทั้งประวัติโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา หรือประวัติการรักษาก่อนเข้ารับบริการฉีด Profhilo
ใครบ้างที่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์?
- ฟิลเลอร์ เหมาะกับ ผู้ที่มีปัญหาริ้วรอย และร่องลึกบนใบหน้า
- ฟิลเลอร์ เหมาะกับ ผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย ต้องการยกกระชับผิว
- ฟิลเลอร์ เหมาะกับ ผู้ที่มีปัญหาโครงหน้าไม่สมดุล ไม่ได้สัดส่วน ต้องการปรับโครงสร้างใบหน้า
- ฟิลเลอร์ เหมาะกับ ผู้ที่มีปัญหาผิวสูญเสียปริมาตร ใบหน้าตอบ ดูแก่กว่าวัย
- ฟิลเลอร์ เหมาะกับ ผู้ที่มีปัญหากรอบหน้าไม่คมชัด ใบหน้าขาดมิติ
- ฟิลเลอร์ เหมาะกับ ผู้ที่มีปัญหาใบหน้าขาดวอลลุ่ม ไม่อิ่มฟู
- ฟิลเลอร์ เหมาะกับ ผู้ที่มีปัญหาผิวแห้ง ขาดความชุ่มชื้น
- ฟิลเลอร์ เหมาะกับ ผู้ที่มีปัญหาใบหน้าดูโทรม ไม่สดใส
- ฟิลเลอร์ เหมาะกับ ผู้ที่ต้องการแก้ไขปัญหาใบหน้าแบบเฉพาะจุด
ทั้งนี้ ก่อนเข้ารับบริการฉีดฟิลเลอร์ ควรปรึกษาแพทย์ และแจ้งประวัติสุขภาพอย่างละเอียด ทั้งประวัติโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา หรือประวัติการรักษาก่อนเข้ารับบริการ
Profhilo กับฟิลเลอร์ ไม่เหมาะกับใครบ้าง?
ใครบ้างที่ไม่เหมาะกับการฉีด Profhilo?
- Profhilo ไม่เหมาะกับ ผู้ที่กำลังอยู่ในระหว่างการตั้งครรภ์
- Profhilo ไม่เหมาะกับ ผู้ที่กำลังอยู่ในระหว่างการให้นมบุตร
- Profhilo ไม่เหมาะกับ ผู้ที่มีประวัติเคยแพ้สารประกอบใน Profhilo
- Profhilo ไม่เหมาะกับ ผู้ที่มีปัญหาการแข็งตัวของเลือด หรือเลือดหยุดไหลยาก
- Profhilo ไม่เหมาะกับ ผู้ที่มีอาการผิวหนังติดเชื้อ หรือแผลอักเสบบริเวณที่ฉีด
- Profhilo ไม่เหมาะกับ ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคมะเร็ง หรือโรคแพ้ภูมิตัวเอง
ทั้งนี้ ก่อนเข้ารับบริการฉีด Profhilo ควรปรึกษาแพทย์ และแจ้งประวัติสุขภาพอย่างละเอียด ทั้งประวัติโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา หรือประวัติการรักษาก่อนเข้ารับบริการฉีด Profhilo
ใครบ้างที่ไม่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์?
- ฟิลเลอร์ ไม่เหมาะกับ ผู้ที่กำลังอยู่ในระหว่างการตั้งครรภ์
- ฟิลเลอร์ ไม่เหมาะกับ ผู้ที่กำลังอยู่ในระหว่างการให้นมบุตร
- ฟิลเลอร์ ไม่เหมาะกับ ผู้ที่มีประวัติเคยแพ้สารประกอบในฟิลเลอร์
- ฟิลเลอร์ ไม่เหมาะกับ ผู้ที่มีปัญหาการแข็งตัวของเลือด หรือเลือดหยุดไหลยาก
- ฟิลเลอร์ ไม่เหมาะกับ ผู้ที่มีอาการผิวหนังติดเชื้อ หรือแผลอักเสบบริเวณที่ฉีด
- ฟิลเลอร์ ไม่เหมาะกับ ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคมะเร็ง หรือโรคแพ้ภูมิตัวเอง
ทั้งนี้ ก่อนเข้ารับบริการฉีดฟิลเลอร์ ควรปรึกษาแพทย์ และแจ้งประวัติสุขภาพอย่างละเอียด ทั้งประวัติโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา หรือประวัติการรักษาก่อนเข้ารับบริการ
Profhilo กับฟิลเลอร์ สามารถฉีดร่วมกันได้ไหม?
Profhilo และฟิลเลอร์สามารถฉีดร่วมกันได้ แต่ต้องขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแพทย์ เนื่องจาก Profhilo และ ฟิลเลอร์ มีคุณสมบัติในการใช้งาน และกลไกการทำงานที่แตกต่างกัน หากมีการวางแผนการรักษาที่เหมาะสม จะทำให้ผลลัพธ์ที่ได้มีประสิทธิภาพ และตอบโจทย์ปัญหาผิวมากขึ้น
โดย Profhilo จะเน้นบำรุง และฟื้นฟูโครงสร้างผิวโดยรวม ซึ่งจะให้ผลลัพธ์เป็นวงกว้าง และไม่ทำให้โครงสร้างใบหน้าเปลี่ยน ส่วนฟิลเลอร์จะเน้นเติมเต็มริ้วรอย ร่องลึก และยกกระชับปรับรูปหน้าเฉพาะจุด ซึ่งจะให้ผลลัพธ์ที่รวดเร็ว และมีความชัดเจนหลังฉีด ทั้งนี้ ก่อนเข้ารับบริการควรปรึกษาแพทย์ก่อนตัดสินใจ เพื่อวางแผนการรักษาการฉีด Profhilo และฟิลเลอร์อย่างเหมาะสมค่ะ
ข้อควรรู้ก่อนฉีด Profhilo กับฟิลเลอร์
- ก่อนฉีด Profhilo และฟิลเลอร์ ควรศึกษา หาข้อมูล และทำความเข้าใจเกี่ยวกับ Profhilo และฟิลเลอร์เบื้องต้น
- ก่อนฉีด Profhilo และฟิลเลอร์ ควรปรึกษาแพทย์ และแจ้งประวัติสุขภาพให้แพทย์ทราบก่อนฉีด Profhilo และฟิลเลอร์
- ก่อนฉีด Profhilo และฟิลเลอร์ งดการรับประทานยาที่ส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด
- ก่อนฉีด Profhilo และฟิลเลอร์ งดการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทุกประเภท
- ก่อนฉีด Profhilo และฟิลเลอร์ งดการสูบบุหรี่ทุกประเภท
- ก่อนฉีด Profhilo และฟิลเลอร์ งดการออกกำลังกายหนักที่ทำให้เลือดสูบฉีด
- ก่อนฉีด Profhilo และฟิลเลอร์ งดทำทรีตเมนต์ แว็กซ์ สครับ หรือผลัดเซลล์ผิวบริเวณที่ฉีด Profhilo และฟิลเลอร์
- ก่อนฉีด Profhilo และฟิลเลอร์ ควรดื่มน้ำเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ และพักผ่อนให้เพียงพอ
ข้อควรปฏิบัติหลังฉีด Profhilo กับฟิลเลอร์
- หลังฉีด Profhilo และฟิลเลอร์ หลีกเลี่ยงการแต่งหน้า หรือใช้เครื่องสำอางบริเวณที่ฉีด Profhilo และฟิลเลอร์
- หลังฉีด Profhilo และฟิลเลอร์ สามารถล้างหน้าเบา ๆ และทาครีมบำรุง เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นได้ตามปกติ
- หลังฉีด Profhilo และฟิลเลอร์ งดการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทุกประเภท
- หลังฉีด Profhilo และฟิลเลอร์ งดการสูบบุหรี่ทุกประเภท
- หลังฉีด Profhilo และฟิลเลอร์ งดการออกกำลังกายหนักที่ทำให้เลือดสูบฉีด
- หลังฉีด Profhilo และฟิลเลอร์ หลีกเลี่ยงการสัมผัส จับ นวด และกดทับในบริเวณที่ฉีด Profhilo และฟิลเลอร์
- หลังฉีด Profhilo และฟิลเลอร์ งดโดนความร้อน และอยู่ท่ามกลางแสงแดดจัด
- หลังฉีด Profhilo และฟิลเลอร์ งดการทำทรีตเมนต์ แว็กซ์ สครับ หรือผลัดเซลล์ผิวบริเวณที่ฉีด Profhilo และฟิลเลอร์
- หลังฉีด Profhilo และฟิลเลอร์ ควรดื่มน้ำเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ และพักผ่อนให้เพียงพอ
จะเห็นได้ว่า การฉีด Profhilo และฟิลเลอร์นั้น มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน โดย Profhilo จะเน้นกระตุ้นคอลลาเจน และฟื้นฟูโครงสร้างผิวโดยรวม เหมาะสำหรับผู้ที่สูญเสียคอลลาเจน มีปัญหาผิวแห้ง หลุมสิว รูขุมขนกว้าง และเริ่มมีริ้วรอยเล็ก ๆ ซึ่งการฉีด Profhilo จะให้ผลลัพธ์ที่แลดูเป็นธรรมชาติ โดยไม่ทำให้โครงสร้างใบหน้าเปลี่ยน ส่วนฟิลเลอร์ จะเน้นเติมเต็มริ้วรอย ร่องลึก และยกกระชับปรับรูปหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อย ขาดวอลลุ่ม ใบหน้าไม่ได้สัดส่วน และมีริ้วรอย ร่องลึกอย่างชัดเจน ซึ่งการฉีดฟิลเลอร์สามารถเห็นผลการเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว และแก้ไขปัญหาได้อย่างแม่นยำ
ทั้งนี้ สำหรับท่านใดที่ยังไม่มั่นใจว่า ควรฉีด Profhilo หรือฟิลเลอร์ดี สามารถเข้ามาปรึกษาแพทย์ได้แล้ววันนี้ที่ รมย์รวินท์คลินิก โดยแพทย์จะเป็นผู้ประเมินสภาพผิว พร้อมให้คำแนะนำในการเลือกฉีด Profhilo และฟิลเลอร์ที่เหมาะสม เพื่อตอบโจทย์กับปัญหาผิว และเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจค่ะ
*ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับบริการ
*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯกำหนด