ยกกระชับแบบไม่ผ่าตัด เหมาะกับใคร ต้องเริ่มทำเครื่องไหนตอนอายุเท่าไหร่

ยกกระชับแบบไม่ผ่าตัด

ถึงเวลาเริ่มยกกระชับแบบไม่ผ่าตัดหรือยัง? อายุเท่าไหร่ถึงทำได้ เช็คเลย !

เมื่อพูดถึงผิวหน้ากระชับ เต่งตึง สุขภาพดี คงเป็นเป้าหมายของใครหลายคนที่ให้ความสำคัญกับการดูแลตัวเอง แต่ในความเป็นจริง เมื่ออายุเพิ่มขึ้น สัญญาณแห่งวัยย่อมปรากฏขึ้นตามธรรมชาติ ทั้งริ้วรอย ความหย่อนคล้อย และความหมองคล้ำ ซึ่งล้วนเป็นผลจากการเสื่อมสภาพของโครงสร้างผิวในระดับลึก หลายคนจึงมองหาวิธีฟื้นฟูใบหน้าให้ดูสดใสและอ่อนวัยโดยไม่ต้องผ่าตัด

หนึ่งในทางเลือกที่ได้รับความนิยมอย่างมาก คือ การยกกระชับแบบไม่ผ่าตัด ซึ่งใช้เทคโนโลยีทันสมัย เข้าไปกระตุ้นคอลลาเจนในชั้นผิว คืนความเรียบเนียน กระชับ และลดริ้วรอยได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่ต้องพักฟื้นหรือเจ็บตัว

บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจคำตอบอย่างละเอียด ทั้งกระบวนการเสื่อมของผิวในแต่ละช่วงวัย สัญญาณผิวที่ควรสังเกต เทคโนโลยีที่เหมาะสมในแต่ละอายุ ไปจนถึงข้อดี ข้อจำกัด และคำแนะนำจากมุมมองทางการแพทย์ เพื่อช่วยให้คุณวางแผนดูแลผิวหน้าได้อย่างเหมาะสมและยั่งยืน

 

เข้าใจกระบวนการเสื่อมของผิวก่อนตัดสินใจ
เข้าใจกระบวนการเสื่อมของผิวก่อนตัดสินใจ

 

เข้าใจกระบวนการเสื่อมของผิวก่อนตัดสินใจ

ก่อนเลือกใช้เทคโนโลยียกกระชับแบบไม่ผ่าตัดเพื่อฟื้นฟูผิว หลายคนอาจยังไม่เข้าใจว่าผิวเสื่อมเกิดจากอะไรบ้าง แล้วเกิดจากอะไร เหตุใดริ้วรอยหรือความหย่อนคล้อยเริ่มปรากฏให้เห็นชัด ซึ่งกลไกเหล่านี้จะช่วยให้สามารถตัดสินใจดูแลผิวได้อย่างเหมาะสมมากขึ้น

กลไกทางชีวภาพที่ส่งผลต่อผิว

  • คอลลาเจนและอีลาสตินลดลง

คอลลาเจนคือโปรตีนที่ช่วยให้ผิวแข็งแรง กระชับ และเรียบเนียน ขณะที่อีลาสตินมีหน้าที่คล้ายสปริง ช่วยให้ผิวสามารถยืดหยุ่นและกลับคืนรูปได้ เมื่ออายุมากขึ้น การผลิตโปรตีนทั้งสองชนิดจะลดลง ทำให้ผิวเริ่มหย่อนคล้อย ไม่กระชับ และเกิดริ้วรอยง่ายขึ้น

  • กรดไฮยาลูรอนิกลดลง

ไฮยาลูรอนิกแอซิดมีบทบาทในการกักเก็บความชุ่มชื้นในชั้นผิว ช่วยให้ผิวดูอิ่มฟูและยืดหยุ่น แต่เมื่อร่างกายผลิตได้น้อยลง ผิวจะเริ่มแห้งกร้าน ดูหมอง และเกิดร่องลึกได้ง่าย

  • กระบวนการผลัดเซลล์ผิวช้าลง

ผิวของคนวัยหนุ่มสาวจะผลัดเซลล์เก่าออกและสร้างเซลล์ใหม่ได้อย่างรวดเร็ว แต่เมื่ออายุเพิ่มขึ้นกระบวนการนี้จะช้าลง ทำให้เซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพสะสมอยู่บนผิวหน้า ส่งผลให้ผิวดูหมองคล้ำ สีผิวไม่สม่ำเสมอ และดูไม่สดใส

  • ไขมันใต้ผิวลดลงและโครงหน้าเปลี่ยน

เมื่ออายุเพิ่มขึ้น ชั้นไขมันใต้ผิวจะเริ่มบางลง กล้ามเนื้ออ่อนแรง และกระดูกใบหน้าหดตัว ทำให้โครงสร้างใบหน้าโดยรวมดูตอบลง เกิดร่องลึกบริเวณแก้ม ใต้ตา หรือร่องน้ำหมาก รวมถึงทำให้กรอบหน้าดูไม่ชัดเจนเหมือนเดิม

 

ปัจจัยเร่งความเสื่อมของผิว

  • แสงแดดและมลภาวะ

รังสี UV โดยเฉพาะ UVA และ UVB สามารถทำลายคอลลาเจนใต้ผิว ทำให้ผิวสูญเสียความยืดหยุ่น เกิดจุดด่างดำ และเพิ่มโอกาสเกิดริ้วรอยได้เร็วกว่าปกติ ขณะเดียวกัน ฝุ่นควัน มลพิษ และสารเคมีจากอากาศรอบตัวก็สามารถกระตุ้นการอักเสบภายในผิวได้โดยไม่รู้ตัว

  • ความเครียด พักผ่อนไม่เพียงพอ และแอลกอฮอล์

ความเครียดเรื้อรังและการนอนหลับไม่เต็มที่จะส่งผลโดยตรงต่อการฟื้นฟูของเซลล์ผิว และทำให้ฮอร์โมนเสียสมดุล ส่งผลให้ผิวโทรมและเสื่อมเร็วขึ้น ส่วนแอลกอฮอล์นั้นมีฤทธิ์ขับน้ำออกจากร่างกาย ทำให้ผิวขาดน้ำได้ง่าย

  • พฤติกรรมที่เร่งให้ผิวแก่ก่อนวัย

การบริโภคอาหารที่มีน้ำตาลสูง การสูบบุหรี่ การไม่ทาครีมกันแดด และการไม่บำรุงผิวอย่างสม่ำเสมอ ล้วนเป็นพฤติกรรมที่สะสมความเสียหายให้กับผิว จนในระยะยาวกลายเป็นปัญหาผิวเรื้อรังและยากต่อการฟื้นฟู

 

สัญญาณที่บ่งบอกว่าผิวเริ่มเสื่อม

  • ริ้วรอยและร่องลึกเห็นชัด

ริ้วรอยที่เคยเกิดขึ้นเฉพาะตอนแสดงสีหน้า เริ่มปรากฏชัดแม้ในขณะพักหน้า โดยเฉพาะบริเวณหน้าผาก หางตา หรือร่องแก้ม

  • รูขุมขนกว้างขึ้น

เมื่อผิวเริ่มสูญเสียความกระชับ รูขุมขนจะเริ่มขยายตัว โดยเฉพาะบริเวณแก้มและจมูก ทำให้ผิวดูไม่เรียบเนียน

  • ผิวหมองคล้ำและแห้งกร้าน

สภาพผิวเริ่มดูไม่สดใสแม้นอนหลับพักผ่อนเพียงพอ สัมผัสแล้วรู้สึกผิวแห้งและขาดชีวิตชีวา อาจมีรอยแดงหรือรอยดำจากการอักเสบช้ากว่าปกติ

  • โครงหน้าเริ่มเบลอ

เมื่อเนื้อเยื่อใต้ผิวบางลงและไขมันเคลื่อนตัวต่ำลงตามแรงโน้มถ่วง กรอบหน้าที่เคยชัดเจนจะเริ่มเบลอ กลายเป็นรูปหน้าหย่อนคล้อย หรือเกิดคางสองชั้นได้ง่าย

 

อายุเท่าไหร่ถึงควรเริ่มทำยกกระชับแบบไม่ผ่าตัด

  • ช่วงอายุ 20-30 ปี เน้นการยกกระชับป้องกันและชะลอวัย

ในวัยนี้ผิวอาจยังไม่หย่อนคล้อย แต่กระบวนการผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินเริ่มลดลงโดยไม่รู้ตัว การเริ่มต้นดูแลด้วยเทคโนโลยี Oligio หรือ Ultra 4D Lift จะช่วยกระตุ้นคอลลาเจนใหม่ รักษาความแน่นกระชับของผิว และชะลอการเกิดริ้วรอยในอนาคต

  • ช่วงอายุ 30-40 ปี เริ่มยกกระชับฟื้นฟูและรักษาความกระชับของผิว

ในช่วงวัยนี้ หลายคนเริ่มพบปัญหาริ้วรอยที่ชัดเจนขึ้น เช่น ร่องแก้มเริ่มลึก กรอบหน้าไม่คม ผิวไม่ยืดหยุ่นเหมือนเดิม การเลือกใช้เทคโนโลยี Ultherapy Prime, Thermage FLX หรือ Fix Lift จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และคงผลลัพธ์ได้นาน

  • ช่วงอายุ 40 ปีขึ้นไป  ฟื้นฟูผิวขั้นลึก ยกกระชับทั้งใบหน้า

วัยนี้คือช่วงที่ผิวเริ่มเปลี่ยนแปลงชัดเจน ทั้งการสูญเสียไขมันใต้ผิว กล้ามเนื้ออ่อนแรง และความหย่อนคล้อยที่เห็นได้ชัด การใช้เทคโนโลยี Ultherapy Prime, EMFACE ยิงพลังงานลงลึกถึงชั้น SMAS หรือชั้นกล้ามเนื้อ จะช่วยฟื้นฟูโครงสร้างผิวและยกกระชับได้ทั่วทั้งใบหน้าโดยไม่ต้องผ่าตัด

 

เทคโนโลยียกกระชับแบบไม่ผ่าตัดยอดนิยมที่เหมาะกับแต่ละช่วงวัย
เทคโนโลยียกกระชับแบบไม่ผ่าตัดยอดนิยมที่เหมาะกับแต่ละช่วงวัย

 

เทคโนโลยียกกระชับแบบไม่ผ่าตัดยอดนิยมที่เหมาะกับแต่ละช่วงวัย

ช่วงวัย 20-30 ปี

ผิวยังไม่หย่อนคล้อย แต่คอลลาเจนเริ่มลดลงตามธรรมชาติ การเริ่มต้นยกกระชับแบบไม่ผ่าตัดจะช่วยชะลอสัญญาณริ้วรอย กระตุ้นคอลลาเจนได้ดี ซึ่งเทคโนโลยียกกระชับที่เหมาะสม มีดังนี้

  • Ultraformer 4D Lift

ใช้พลังงานคลื่นเสียงอัลตราซาวนด์แบบ MMFU ที่สามารถยิงได้ทั้งแบบจุดเล็กและจุดใหญ่ ด้วยหัวทิปที่มีความแม่นยำสูง จึงสามารถปล่อยพลังงานลงลึกถึงชั้น SMAS ได้อย่างเฉพาะเจาะจง ช่วยเก็บรายละเอียดผิวบริเวณเล็ก ๆ อย่างมุมปากหรือใต้ตาได้ดี ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้ดูค่อยเป็นค่อยไป โดยผิวจะค่อย ๆ กระชับขึ้น กรอบหน้าชัดขึ้น และคงผลได้ประมาณ 6–12 เดือน

  • Oligio

เป็นเทคโนโลยีที่ใช้พลังงานคลื่นวิทยุแบบ Monopolar RF ปล่อยความร้อนลงไปในชั้นหนังแท้และชั้นไขมัน เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ จุดเด่นของเครื่องนี้คือมีระบบความเย็นผสานแรงสั่นที่ช่วยให้รู้สึกสบายระหว่างทำ อีกทั้งยังมีระบบวัดอุณหภูมิแบบเรียลไทม์ ทำให้ควบคุมพลังงานได้อย่างแม่นยำ จึงเหมาะอย่างยิ่งกับผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นดูแลผิว โดยผลลัพธ์ที่ได้คือรูขุมขนกระชับขึ้น ผิวแน่นขึ้น และเรียบเนียนขึ้นภายในไม่กี่สัปดาห์ ซึ่งจะคงอยู่ได้นานราว 4–8 เดือน

 

ช่วงวัย 30-40 ปี

เริ่มมีร่องลึก รูขุมขนกว้าง ผิวไม่แน่นเหมือนเดิม การทำยกกระชับแบบไม่ผ่าตัดสำหรับช่วงวัยนี้จะช่วยฟื้นฟูผิวที่เริ่มหย่อนคล้อย กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ซึ่งเทคโนโลยียกกระชับที่เหมาะสม มีดังนี้

เป็นเครื่องที่ใช้คลื่นอัลตราซาวนด์แบบ Microfocused Ultrasound พร้อมหน้าจอ Visualization ที่ช่วยให้แพทย์มองเห็นชั้นผิวแบบเรียลไทม์ในขณะทำ ช่วยให้การยิงพลังงานได้อย่างแม่นยำ ผลลัพธ์ที่ได้คือผิวกระชับ กรอบหน้าคมขึ้น ริ้วรอยลดลง และยังช่วยยกกระชับได้ถึงชั้นลึกอย่าง SMAS โดยไม่ต้องผ่าตัด ทั้งนี้ผลลัพธ์จะชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ภายใน 2–3 เดือน และคงอยู่ได้นาน 12–18 เดือน

ใช้พลังงานคลื่นวิทยุ Monopolar RF ปล่อยพลังงานลึกลงสู่ชั้นผิวและไขมัน พร้อมกระตุ้นให้เส้นใยคอลลาเจนหดตัวและสร้างใหม่ หัวทิปขนาด 4.0 ของรุ่นนี้ช่วยให้ครอบคลุมพื้นที่การรักษาได้กว้างและใช้เวลาน้อยลง จุดเด่นคือสามารถยกกระชับทั่วใบหน้าแบบไม่เจ็บมากนัก เหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มรู้สึกว่าผิวเริ่มหย่อนแต่ยังไม่ต้องการหัตถการรุนแรง โดยผลลัพธ์จะเริ่มเห็นใน 2–3 เดือนและอยู่ได้ประมาณ 12–16 เดือน

เทคโนโลยีผสานพลังงาน RF เข้ากับ Microneedling เพื่อปล่อยพลังงานเจาะจงในชั้นไขมันใต้ผิว ช่วยในเรื่องของการฟื้นฟูผิวและยกกระชับในคราวเดียว เหมาะกับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ชัดเจนแต่ไม่อยากพักฟื้น โดยทั่วไปจะเริ่มเห็นผลภายใน 2–4 สัปดาห์ และสามารถคงผลได้ราว 9–12 เดือน

 

ช่วงวัย 40-50 ปี

มีริ้วรอยชัดเจน แก้มเริ่มยุบ กรอบหน้าไม่ชัด ไขมันใต้ผิวลดลง การทำยกกระชับแบบไม่ต้องผ่าตัด จะช่วยยกกระชับและฟื้นฟูโครงสร้างใบหน้าที่เปลี่ยนไป ซึ่งเทคโนโลยียกกระชับที่เหมาะสม มีดังนี้

  • Ultherapy Prime 

สามารถปล่อยพลังงานอัลตราซาวนด์แบบ MFU-V ลงลึกถึงชั้น SMAS โดยไม่ต้องผ่าตัด ใช้เวลาทำไม่นาน และสามารถยกกระชับได้ทั่วทั้งใบหน้า เหมาะอย่างยิ่งกับผู้ที่เริ่มมีความหย่อนคล้อยรุนแรงในหลายจุด พร้อมกันนี้เครื่องยังมีระบบ Visualization ที่ช่วยให้การยิงพลังงานแม่นยำมากขึ้น โดยผลลัพธ์บางส่วนอาจเห็นได้หลังทำครั้งแรก และจะชัดเจนขึ้นในช่วง 2–3 เดือนต่อมา พร้อมคงอยู่ได้นานถึง 12–18 เดือน

  • Thermage FLX

เทคโนโลยีคลื่นวิทยุ Monopolar RF ที่ปล่อยพลังงานความร้อนลงลึกถึงชั้นผิวหนังแท้และไขมันใต้ผิว เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ และกระชับเส้นใยคอลลาเจนที่หย่อนตัว จุดเด่นของรุ่น FLX คือหัวทิปขนาดใหญ่ ช่วยให้ทำได้เร็วขึ้นครอบคลุมทั่วใบหน้า พร้อมระบบวัดอุณหภูมิอัตโนมัติที่แม่นยำ โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น เหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มมีริ้วรอยและไขมันสะสมบริเวณแก้ม หรือแนวกรอบหน้า โดยจะเริ่มเห็นผลใน 2–3 เดือน และคงผลลัพธ์ได้ราว 12–16 เดือน

เทคโนโลยีที่รวมพลังงาน RF และคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความเข้มสูงแบบ HIFES ในเครื่องเดียว โดย RF จะทำหน้าที่ยกกระชับผิวชั้นบน ขณะที่ HIFES จะลงลึกเพื่อกระตุ้นกล้ามเนื้อให้ตึงตัวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จึงเหมาะกับผู้ที่ต้องการยกกระชับลึกถึงโครงสร้างกล้ามเนื้อใบหน้า โดยไม่ใช้เข็มหรือต้องพักฟื้นหลังทำ ผลลัพธ์ที่ได้คือกล้ามเนื้อกระชับ ใบหน้าดูสดใสและได้สัดส่วนดีขึ้นตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ

 

บริเวณที่สามารถยกกระชับแบบไม่ผ่าตัดได้

  • หน้าผาก ช่วยลดริ้วรอยแนวนอนและยกแนวคิ้วให้ดูตาเปิดขึ้นได้
  • หางตาและใต้ตา ลดรอยหางตา ผิวหย่อน และความหมองคล้ำ
  • ร่องแก้ม สามารถช่วยเติมความแน่นให้ผิวบริเวณแก้ม ลดความลึกของร่อง
  • กรอบหน้า ลดความหย่อนคล้อยบริเวณมุมปากหรือแนวกราม
  • คาง ลดเหนียง กระชับเนื้อส่วนล่างของใบหน้า และปรับแนวคางให้ได้รูป
  • ลำคอ ลดเส้นริ้วรอยและความหย่อนคล้อย

 

รวมข้อดีของการทำยกกระชับแบบไม่ผ่าตัด
รวมข้อดีของการทำยกกระชับแบบไม่ผ่าตัด

 

รวมข้อดีของการทำยกกระชับแบบไม่ผ่าตัด

  • ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องเปิดแผล ไม่ต้องมีแผลเย็บหรือทิ้งรอยแผลเป็น
  • ไม่มีเวลาพักฟื้น หลังทำสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้
  • ใบหน้ายกกระชับขึ้นโดยไม่แข็งตึงหรือดูหลอกตา
  • ช่วยยกผิวที่หย่อนคล้อย เช่น บริเวณกรอบหน้า แก้ม คาง หรือลำคอ
  • ช่วยลดริ้วรอยเล็ก ๆ เช่น รอยตีนกา ร่องแก้ม หน้าผาก
  • กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิว ทำให้ผิวแน่นขึ้นจากภายใน
  • ช่วยให้ผิวเรียบเนียนขึ้น ลดความขรุขระและรูขุมขนกว้าง
  • ลดขนาดรูขุมขน ทำให้ผิวดูละเอียดขึ้น
  • ฟื้นฟูผิวที่ดูเหนื่อยล้า ให้ดูสดใสและกระจ่างขึ้น
  • ลดไขมันเฉพาะจุดได้บางกรณี เช่น ใต้คาง หรือกรอบหน้า
  • สามารถทำซ้ำได้เรื่อย ๆ โดยไม่กระทบต่อโครงสร้างผิวในระยะยาว
  • ใช้เวลาทำน้อย โดยเฉลี่ย 30–90 นาที ขึ้นอยู่กับบริเวณที่ทำ
  • ปรับรูปหน้าให้ดูเรียวขึ้น โดยไม่ต้องใช้สารเติมเต็มหรือการฉีด
  • ช่วยชะลอการเสื่อมของผิวในระยะยาว ถ้าทำอย่างต่อเนื่อง
  • สามารถทำร่วมกับหัตถการอื่นได้ เช่น ฉีดฟิลเลอร์ เลเซอร์ ทรีตเมนต์
  • คุ้มค่าในระยะยาว เพราะช่วยชะลอสัญญาณความร่วงโรยของผิว
  • ช่วยปรับผิวให้สมดุล ไม่หย่อนเฉพาะบางจุด ลดความต่างระดับของผิว
  • สามารถเลือกทำเฉพาะจุดได้ เช่น ยกคิ้ว ยกหางตา หรือเก็บเหนียง
  • ใช้ได้กับทุกสภาพผิว ไม่ว่าจะผิวแห้ง ผิวมัน หรือผิวแพ้ง่าย
  • มีเครื่องให้เลือกหลากหลาย สามารถเลือกให้เหมาะกับปัญหาและงบประมาณ
  • ใช้พลังงานความร้อนอย่างแม่นยำ ทำให้ลดผลข้างเคียงจากการทำหัตถการ
  • สามารถช่วยลดความหมองคล้ำได้ เพราะการกระตุ้นคอลลาเจนทำให้ผิวสดใสขึ้น

 

ใครบ้างที่เหมาะกับการทำยกกระชับแบบไม่ผ่าตัด?
ใครบ้างที่เหมาะกับการทำยกกระชับแบบไม่ผ่าตัด?

 

ใครบ้างที่เหมาะกับการทำยกกระชับแบบไม่ผ่าตัด?

  • ผู้ที่มีอายุระหว่าง 25–60 ปี ที่เริ่มมีสัญญาณผิวเสื่อม
  • ผู้ที่ยังมีความยืดหยุ่นของผิวอยู่พอสมควร
  • ผู้ที่เริ่มมีริ้วรอยเล็ก ๆ เช่น รอยย่นรอบดวงตา ร่องแก้ม หน้าผาก
  • ผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อยเล็กน้อยถึงปานกลาง
  • ผู้ที่รู้สึกว่ากรอบหน้าไม่ชัด คางเบลอ หรือเริ่มมีเหนียง
  • ผู้ที่มีโครงหน้าเปลี่ยนแปลง เช่น แก้มตอบหรือคางหย่อน
  • ผู้ที่มีรูขุมขนกว้าง ผิวไม่เรียบเนียน ต้องการฟื้นฟูโครงสร้างผิว
  • ผู้ที่มีผิวหมองคล้ำ ดูอ่อนล้า แม้จะพักผ่อนเพียงพอ
  • ผู้ที่ไม่สะดวกพักฟื้นนาน หรือมีเวลาจำกัดในการดูแลตนเอง
  • ผู้ที่กลัวการผ่าตัด หรือยังไม่พร้อมกับศัลยกรรม
  • ผู้ที่ต้องการยกกระชับปรับรูปหน้าให้เรียวขึ้น โดยไม่ต้องผ่าตัดหรือฉีด
  • ผู้ที่ต้องการยกหางตา ปรับคิ้ว หรือยกเปลือกตาเล็กน้อย
  • ผู้ที่มีร่องลึกบริเวณร่องแก้ม มุมปาก หรือตา
  • ผู้ที่ต้องการลดไขมันเฉพาะจุด เช่น ใต้คาง
  • ผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนหลังลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว
  • ผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนในบางจุด แต่ไม่ต้องการทำทั่วใบหน้า
  • ผู้ที่ต้องการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนอย่างต่อเนื่อง
  • ผู้ที่มีปัญหาคางสองชั้นแต่ยังไม่เหมาะกับการผ่าตัดหรือตัดไขมัน

 

หมายเหตุ

การประเมินสภาพผิวอย่างละเอียดโดยแพทย์ก่อนเข้ารับบริการยังคงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้สามารถเลือกเทคโนโลยียกกระชับและวิธีการที่เหมาะสมกับโครงสร้างผิวของแต่ละบุคคลอย่างแท้จริง และเพื่อให้ผลลัพธ์เป็นไปตามที่คาดหวังอย่างมีประสิทธิภาพและไม่อันตรายได้ในระยะยาว

 

ใครบ้างที่ไม่เหมาะกับการทำยกกระชับแบบไม่ผ่าตัด?

  • ผู้ที่ตั้งครรภ์หรืออยู่ระหว่างให้นมบุตร
  • ผู้ที่มีเครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemaker) หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ฝังในร่างกาย
  • ผู้ที่มีโรคผิวหนังเฉพาะจุดที่ต้องการทำ เช่น โรคสะเก็ดเงิน, ผื่นแพ้, ผิวติดเชื้อ
  • ผู้ที่มีสิวอักเสบรุนแรงหรือมีแผลเปิดในบริเวณที่จะทำ
  • ผู้ที่มีประวัติเป็นคีลอยด์ (Keloid) ง่าย
  • ผู้ที่มีปัญหาเลือดแข็งตัวยาก หรือเกล็ดเลือดต่ำ
  • ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น SLE หรือโรคภูมิแพ้ตัวเอง
  • ผู้ที่ใช้ยากลุ่มสเตียรอยด์ในระยะยาว ซึ่งอาจทำให้ผิวบาง
  • ผู้ที่มีภาวะผิวไวต่อความร้อนหรือแสงอย่างผิดปกติ
  • ผู้ที่มีผิวบางมากหรือมีแผลเป็นนูนในบริเวณใบหน้า
  • ผู้ที่มีพังผืดใต้ผิวหนังซึ่งอาจรบกวนการกระจายพลังงาน
  • ผู้ที่เพิ่งฉีดโปรแกรมโบหรือฟิลเลอร์ มาในช่วงไม่เกิน 2 สัปดาห์
  • ผู้ที่เพิ่งผ่านการผ่าตัดหรือเลเซอร์ผิวบริเวณใบหน้า
  • ผู้ที่มีกล้ามเนื้อใบหน้าอ่อนแรง เช่น ผู้ที่เคยเป็น Bell’s palsy
  • ผู้ที่มีภาวะไขมันน้อยมากบนใบหน้า ซึ่งอาจไม่มีเนื้อให้ยกกระชับ
  • ผู้ที่มีใบหน้าตอบหรือแก้มแบนมาก อาจต้องพิจารณาหัตถการอื่นร่วมด้วย
  • ผู้ที่มีโรคเกี่ยวกับระบบประสาทและกล้ามเนื้อ
  • ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพเรื้อรังควบคุมไม่ได้ เช่น เบาหวานที่ยังไม่คุมระดับน้ำตาล
  • ผู้ที่อยู่ระหว่างรับเคมีบำบัดหรือรักษาโรคมะเร็ง
  • ผู้ที่มีอายุมากกว่า 65 ปีร่วมกับผิวบางจัดหรือหย่อนคล้อยมาก
  • ผู้ที่มีแผลสดหรือแผลหายไม่ดีในบริเวณที่จะทำ
  • ผู้ที่มีภาวะเส้นเลือดฝอยเปราะบาง หรือมีเส้นเลือดฝอยแตกง่าย
  • ผู้ที่กำลังใช้ยาละลายลิ่มเลือดหรือมีโรคเลือดอื่นที่เกี่ยวข้อง
  • ผู้ที่มีโรคไทรอยด์หรือระบบฮอร์โมนไม่สมดุล ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางก่อน
  • ผู้ที่มีโรคหัวใจหรือโรคหลอดเลือดรุนแรง
  • ผู้ที่มีภาวะบวมน้ำหรือบวมน้ำเหลืองบริเวณใบหน้า
  • ผู้ที่มีโรคผิวหนังติดเชื้อ เช่น เริม (HSV) ในช่วงที่โรคกำเริบ
  • ผู้ที่มีผิวลอกแพ้ง่ายมาก หรือเพิ่งลอกผิวด้วยสารเคมี
  • ผู้ที่กำลังมีไข้ อ่อนเพลีย หรือมีการติดเชื้อในร่างกาย
  • ผู้ที่มีความผิดปกติของระบบประสาทรับความรู้สึก บริเวณใบหน้า

 

หมายเหตุ

ผู้ที่มีโรคประจำตัว ภาวะเฉพาะทาง หรืออยู่ในเงื่อนไขที่กล่าวถึง ควรปรึกษาแพทย์ก่อนตัดสินใจทำหัตถการยกกระชับทุกครั้ง เพื่อประเมินความเสี่ยงอย่างรอบด้าน และเลือกวิธีดูแลผิวที่ไม่ร่างกาย และสอดคล้องกับสภาพร่างกายของตนเอง

 

การเตรียมตัวก่อนทำยกกระชับแบบไม่ผ่าตัด

  • ควรแจ้งแพทย์เกี่ยวกับโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดัน หัวใจ หรือภูมิคุ้มกันบกพร่อง
  • ควรแจ้งประวัติการแพ้ยา หรือแพ้โลหะ เพื่อป้องกันการเกิดอาการแพ้ในระหว่างการทำ
  • ควรพักผ่อนให้เพียงพอในคืนก่อนหน้า อย่างน้อย 6–8 ชั่วโมง
  • งดยาที่ส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน วิตามิน E หรือ Fish Oil อย่างน้อย 5–7 วัน
  • หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 24–48 ชั่วโมงก่อนทำ
  • งดสูบบุหรี่ เพื่อให้การฟื้นฟูผิวหลังทำเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
  • หลีกเลี่ยงแสงแดดจัด และงดกิจกรรมกลางแจ้งที่ทำให้ผิวอักเสบก่อนทำประมาณ 3 วัน
  • งดการขัดหน้า สครับ หรือใช้กรดผลัดเซลล์ผิว อย่างน้อย 3–5 วันล่วงหน้า
  • งดการทำทรีตเมนต์หรือนวดหน้าแรง ๆ ก่อนทำประมาณ 5 วัน
  • งดการทำเลเซอร์หรือหัตถการอื่นในบริเวณเดียวกัน อย่างน้อย 1–2 สัปดาห์
  • งดแว็กซ์ ถอนขน หรือโกนขนบริเวณใบหน้า ล่วงหน้าอย่างน้อย 5–7 วัน

 

การดูแลตัวเองหลังทำยกกระชับแบบไม่ผ่าตัด
การดูแลตัวเองหลังทำยกกระชับแบบไม่ผ่าตัด

 

การดูแลตัวเองหลังทำยกกระชับแบบไม่ผ่าตัด

  • ควรทาครีมกันแดด SPF 50 PA+++ ทุกวัน แม้อยู่ในที่ร่มหรือในอาคาร
  • ควรดื่มน้ำอย่างเพียงพอวันละ 1.5-2 ลิตร เพื่อช่วยให้ผิวฟื้นตัวดี
  • ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงต่อคืน
  • ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวสูตรอ่อนโยน ไม่มีส่วนผสมของน้ำหอมหรือแอลกอฮอล์
  • ควรหมั่นใช้มอยส์เจอไรเซอร์เป็นประจำ เพื่อช่วยให้ผิวฟื้นตัวดีและลดความแห้ง
  • งดใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิว เช่น AHA, BHA, Retinol หรือ Vitamin A อย่างน้อย 5-7 วัน
  • งดใช้เครื่องอบไอน้ำ อบซาวน่า หรือแช่น้ำร้อนจัด ประมาณ 1 สัปดาห์
  • งดออกกำลังกายหนัก เช่น วิ่งเร็ว เวทเทรนนิ่ง หรือคาร์ดิโอหนัก ๆ อย่างน้อย 24-48 ชั่วโมง
  • งดดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ อย่างน้อย 3–5 วัน เพื่อให้การฟื้นฟูเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
  • งดทำหัตถการอื่นซ้ำทันที เช่น ฉีดฟิลเลอร์ โบ หรือเลเซอร์ ควรเว้นระยะ 2-4 สัปดาห์
  • งดใช้แผ่นมาสก์หน้า หรือครีมบำรุงชนิดเข้มข้นจัด ใน 2-3 วันแรก
  • งดแวกซ์ โกน หรือถอนขนบริเวณใบหน้า อย่างน้อย 5-7 วัน
  • งดนอนคว่ำหน้าหรือกดหน้ากับหมอนแรง ๆ ในช่วงคืนแรก
  • หลีกเลี่ยงการนวดหน้า ขัดหน้า หรือกดสิวแรง ๆ อย่างน้อย 5-7 วัน
  • หลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้ง เช่น วิ่ง ปั่นจักรยาน ในช่วง 2-3 วันแรก
  • หลีกเลี่ยงแสงแดดโดยตรง อย่างน้อย 3-7 วัน เพื่อป้องกันการระคายเคืองและผิวคล้ำ

 

ทำยกกระชับแบบไม่ผ่าตัด เจ็บไหม?

  • โดยทั่วไปแล้ว ความรู้สึกขณะทำจะอยู่ในระดับที่สามารถทนได้  บางเทคโนโลยีอาจให้ความรู้สึกอุ่นหรือจี๊ดเล็กน้อยใต้ผิว ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระดับพลังงานและความไวของผิวแต่ละบุคคล 

 

ยกกระชับแบบไม่ผ่าตัด ต้องทำบ่อยแค่ไหน?

  • ความถี่ในการทำขึ้นอยู่กับประเภทของเทคโนโลยีที่ใช้และสภาพผิวของแต่ละคน โดยส่วนใหญ่แนะนำทุก 6-12 เดือน หรือปีละครั้งก็เพียงพอ แต่ในบางเครื่อง เช่น EMFACE หรือ Fix Lift อาจทำต่อเนื่องเป็นคอร์ส 2-4 ครั้งแล้วเว้นระยะเพื่อคงผลลัพธ์

 

ยกกระชับแบบไม่ผ่าตัด ถ้าไม่ทำต่อเนื่องจะเป็นอย่างไร?

  • หากหยุดทำยกกระชับแบบไม่ผ่าตัด ผลลัพธ์จะค่อย ๆ ลดลงตามกลไกการเสื่อมของผิวตามธรรมชาติ แต่ไม่ได้ทำให้ผิวแย่ลงกว่าก่อนเริ่มทำ การดูแลอย่างต่อเนื่องจะช่วยรักษาความกระชับไว้ได้นานกว่าและชะลอปัญหาผิวหย่อนคล้อยได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

คนอายุเยอะสามารถทำยกกระชับแบบไม่ผ่าตัดได้ไหม?

  • คนอายุเยอะสามารถทำได้เช่นกัน โดยเฉพาะผู้ที่ยังมีความยืดหยุ่นของผิวพอสมควร แม้จะมีอายุ 60 ปี หากผิวยังแข็งแรงก็สามารถใช้เทคโนโลยียกกระชับได้อย่างเหมาะสม ทั้งนี้ผลลัพธ์อาจไม่ชัดเจนเท่าในวัยหนุ่มสาว และอาจต้องทำควบคู่กับวิธีอื่นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ

 

ยกกระชับแบบไม่ผ่าตัด ทำร่วมกับโปรแกรมฉีดโบหรือโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ได้ไหม?

  • สามารถทำร่วมกันได้ โดยควรอยู่ภายใต้การวางแผนของแพทย์ เพื่อให้ผลลัพธ์ไม่ทับซ้อนกันและได้ประสิทธิภาพสูงสุด เช่น เลือกทำยกกระชับก่อน เว้นระยะ 2-4 สัปดาห์ก่อนฉีดโปรแกรมโบหรือฟิลเลอร์ เพื่อให้โครงสร้างผิวและกล้ามเนื้อเข้าที่ก่อน

สรุปแล้วการยกกระชับแบบไม่ผ่าตัด ถือว่าเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์สำหรับผู้ที่ต้องการดูแลผิวให้กระชับ เรียบเนียน และลดเลือนริ้วรอย โดยไม่จำเป็นต้องเจ็บตัวหรือใช้เวลาพักฟื้นนาน ทั้งยังมีเทคโนโลยีให้เลือกหลากหลายตามช่วงอายุ ลักษณะผิว และปัญหาเฉพาะจุด

 

แม้ว่าคำถามที่ว่าควรเริ่มทำยกกระชับเมื่อไหร่ จะดูเหมือนขึ้นอยู่กับตัวเลขอายุ แต่ในความเป็นจริง การประเมินสภาพผิวจากสภาพผิว ความหย่อนคล้อย และเป้าหมายในการดูแลตนเอง คือสิ่งสำคัญยิ่งกว่าการดูแลตั้งแต่เนิ่น ๆ ไม่เพียงช่วยชะลอความร่วงโรยของผิว แต่ยังช่วยฟื้นฟูสภาพผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพในระยะยาว

 

อย่างไรก็ตาม การเลือกวิธีที่เหมาะสมควรอยู่ภายใต้การประเมินจากแพทย์ผู้ดูแล เพื่อให้แน่ใจว่าเทคโนโลยีที่ใช้นั้นเหมาะกับโครงสร้างผิวและความต้องการของแต่ละบุคคล พร้อมลดความเสี่ยงและเพิ่มประสิทธิภาพให้ได้ผลลัพธ์ที่สวยงาม