Overfilled Syndrome ภาวะหน้าล้นจากฟิลเลอร์ คืออะไร? เกิดจากอะไร?
หลายคนอาจเข้าใจผิดว่า การฉีดฟิลเลอร์ในปริมาณมาก จะสามารถแก้ไขปัญหาใบหน้าได้อย่างครอบคลุม แต่ในความเป็นจริงแล้วการฉีดฟิลเลอร์ในปริมาณที่มากเกินไปนั้น อาจนำไปสู่ภาวะหน้าล้น หรือ “Overfilled Syndrome” ได้ ซึ่งถือเป็นผลข้างเคียงที่พบได้บ่อย สำหรับผู้ที่ฉีดฟิลเลอร์กับแพทย์ที่ขาดความรู้ภายในคลินิกที่ไม่ได้มาตรฐาน ทำให้ใบหน้าล้น ดูบวมแน่น หนาใหญ่ และผิดรูปได้ วันนี้ รมย์รวินท์คลินิกจะมาตอบทุกข้อสงสัยเกี่ยวกับ Overfilled Syndrome ว่า คืออะไร? เกิดจากอะไร? มีวิธีแก้ไข และป้องกันอย่างไร? บทความนี้รวบรวมข้อมูลทั้งหมดมาไว้ให้แล้ว
Overfilled Syndrome คืออะไร?
Overfilled Syndrome หรือ Facial Overfilled Syndrome คือ ภาวะหน้าล้นจากการฉีดฟิลเลอร์มากเกินไป หรือฉีดฟิลเลอร์ซ้ำบ่อยจนเกินความจำเป็น โดยไม่รอให้ฟิลเลอร์เดิมสลายหมดก่อน ส่งผลให้เนื้อฟิลเลอร์เกิดการทับถม และสะสมอยู่ใต้ผิวหนัง จนทำให้ใบหน้าดูบวม ล้น ผิดรูป และแลดูไม่เป็นธรรมชาติได้ ซึ่งจะเห็นได้ชัดเมื่อมีการแสดงสีหน้า เช่น ยิ้ม หรือหัวเราะ โดยภาวะนี้ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อความมั่นใจ แต่ยังส่งผลบให้เกิดผลข้างเคียงตามมาอีกมากมาย เช่น ฟิลเลอร์เป็นก้อน ฟิลเลอร์ไหลย้อย ฟิลเลอร์เคลื่อนที่ หรือเสี่ยงต่อการอุดตันในเส้นเลือด ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นจากแพทย์ที่ทำการฉีดขาดความรู้ และความเข้าใจ รวมถึงไม่สามารถประเมินปริมาณฟิลเลอร์ที่ควรใช้ได้อย่างเหมาะสม ทำให้นำไปสู่ภาวะ Overfilled Syndrome ได้ง่าย
Overfilled Syndrome เกิดจากอะไร?
Overfilled Syndrome หรือภาวะหน้าล้นจากการฉีดฟิลเลอร์ สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ดังนี้
- ฉีดฟิลเลอร์ปริมาณมากเกินไป
การฉีดฟิลเลอร์ปริมาณมากเกินไปในครั้งเดียว อาจส่งผลให้เกิดภาวะ Overfilled Syndrome ได้ ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะมาจากแพทย์ที่ทำการฉีด ประเมินปริมาณฟิลเลอร์ผิดพลาด หรือผู้รับบริการต้องการเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน จนมากเกินความพอดี ทำให้ใบหน้าล้น ดูบวมแน่น และผิดรูปได้
- ฉีดฟิลเลอร์ซ้ำบ่อยเกินไป
การฉีดฟิลเลอร์ซ้ำบ่อยเกินไป โดยไม่รอให้ฟิลเลอร์เดิมสลายหมดก่อน อาจส่งผลให้เกิดภาวะ Overfilled Syndrome ได้ ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะมาจากแพทย์ที่ทำการฉีด ไม่ได้ประเมินสภาพผิว และปริมาณฟิลเลอร์เดิมที่ยังหลงเหลืออยู่ เมื่อฉีดฟิลเลอร์ใหม่เพิ่มเข้าไป จึงทำให้ฟิลเลอร์เกิดทับถม และสะสมอยู่ใต้ผิวหนัง จนใบหน้าล้น ดูบวมแน่น และผิดรูปได้
- เทคนิคการฉีดไม่ถูกต้อง
การใช้เทคนิคการฉีดที่ไม่ถูกต้อง อาจส่งผลให้เกิดภาวะ Overfilled Syndrome ได้ ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะมาจากการฉีดผิดชั้นผิว หรือฉีดผิดตำแหน่ง เช่น ฉีดชั้นตื้นเกินไป อาจทำให้ฟิลเลอร์เคลื่อนที่ ไหลย้อย และจับตัวเป็นก้อน จนใบหน้าล้น บวมแน่น และผิดรูปได้
- เลือกเนื้อฟิลเลอร์ไม่เหมาะสม
การเลือกเนื้อฟิลเลอร์ไม่เหมาะสมกับบริเวณที่ฉีด อาจส่งผลให้เกิดภาวะ Overfilled Syndrome ได้ ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะมาจากแพทย์ที่ทำการฉีด ประเมินเนื้อฟิลเลอร์ผิดพลาด เช่น ใช้ฟิลเลอร์เนื้อแข็งฉีดผิวชั้นตื้น อาจทำให้ใบหน้าล้น ดูผิดรูป และฟิลเลอร์จับตัวเป็นก้อนได้
- แพทย์ขาดความรู้
การฉีดฟิลเลอร์กับแพทย์ที่ขาดความรู้ อาจส่งผลให้เกิดภาวะ Overfilled Syndrome ได้ ซึ่งโดยส่วนใหญ่แพทย์ที่ไม่มีประสบการณ์ จะไม่สามารถวิเคราะห์ ประเมิน และออกแบบการรักษาได้อย่างเหมาะสม ทำให้เกิดข้อผิดพลาดจากการฉีดฟิลเลอร์ได้ง่าย ส่งผลให้นำไปสู่ภาวะหน้าล้น ใบหน้าบวมแน่น และผิดรูปได้
Overfilled Syndrome มีสัญญาณเตือนอย่างไร?
Overfilled Syndrome หรือภาวะหน้าล้นจากการฉีดฟิลเลอร์ จะมีสัญญาณเตือนที่ชัดเจน และสามารถสังเกตได้ง่าย ดังนี้
- หน้าผากโหนกนูน (Flowerhorn Forehead) เกิดการฉีดฟิลเลอร์มากเกินไปบริเวณหน้าผาก ทำให้หน้าผากเป็นก้อน และดูโหนกนูนคล้ายปลาหมอสี จนใบหน้าไม่สมดุล และดูผิดรูปได้
- แก้มบวมล้น (Chipmunk Cheeks) เกิดจากการฉีดฟิลเลอร์มากเกินไปบริเวณใต้ตา หรือร่องแก้ม ทำให้หน้าแก้มดูบวมล้น และแน่น จนใบหน้าผิดรูป ส่งผลให้เมื่อเวลายิ้ม หน้าแก้มจะถูกยกขึ้นมาบังตา ทำให้ตาดูเล็กลง
- ใบหน้าบวม (Pillow Face/Flying Saucer Face) เกิดจากการฉีดฟิลเลอร์ในปริมาณมากบริเวณร่องแก้ม ทำให้ใบหน้าดูบวมเป่ง ไม่มีมิติ และร่องแก้มดูล้นจนผิดธรรมชาติ
- ปีกจมูกกว้าง (Broad Nose/Avatar Nose) เกิดจากการฉีดฟิลเลอร์มากเกินไปบริเวณร่องแก้ม ทำให้ปีกจมูกถูกดันออก จนส่งผลให้ปีกจมูกดูใหญ่ กว้าง และผิดรูปได้
- ริมฝีปากหนาใหญ่ (Duck Lips/Sausage Lips) เกิดจากการฉีดฟิลเลอร์มากเกินไปบริเวณริมฝีปาก ทำให้ริมฝีปากดูหนาใหญ่ และบวมแน่น ส่งผลให้ใบหน้าผิดธรรมชาติ และไม่เหมาะสมกับรูปหน้า
- คางแหลม (Witch Chin) เกิดจากการฉีดฟิลเลอร์มากจนเกินไปบริเวณคาง ทำให้คางย้อย คางแหลมผิดปกติคล้ายแม่มด จนทำให้ใบหน้าดูผิดรูป และไม่สมส่วน
Overfilled Syndrome มีวิธีแก้ไขไหม?
การแก้ไขปัญหา Overfilled Syndrome หรือภาวะหน้าล้นจากการฉีดฟิลเลอร์สามารถทำได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับประเภทของฟิลเลอร์ และความรุนแรงของอาการ โดยแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาวิธีการรักษาที่เหมาะสม ดังนี้
- Overfilled Syndrome สามารถแก้ไขด้วยการฉีดสลายฟิลเลอร์
การฉีดสลายฟิลเลอร์ด้วยเอนไซม์ Hyaluronidase เป็นแนวทางการรักษาที่จะใช้กับฟิลเลอร์ประเภท Hyaluronic Acid (HA) เท่านั้น ซึ่งแพทย์จะทำการฉีดเอนไซม์ชนิดนี้ เข้าไปยังบริเวณที่มีปัญหา เพื่อย่อยสลายฟิลเลอร์ส่วนเกินที่สะสมอยู่ใต้ผิวหนัง ให้ยุบตัวลงอย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ โดยไม่ก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อน หรือผลข้างเคียงอันตรายในระยะยาว
- Overfilled Syndrome สามารถแก้ไขด้วยการขูดฟิลเลอร์
การขูดฟิลเลอร์ เป็นแนวทางการรักษาที่จะใช้กับฟิลเลอร์ปลอม เช่น ซิลิโคนเหลว พาราฟิน หรือฟิลเลอร์ประเภทอื่นที่ไม่ใช่ประเภท HA ซึ่งแพทย์จะทำการผ่าตัด เพื่อเปิดแผลขนาดเล็ก และขูดฟิลเลอร์ส่วนเกินที่สะสมอยู่ใต้ผิวหนังออก โดยวิธีนี้จะสามารถนำฟิลเลอร์ออกจากผิวหนังได้แค่บางส่วนเท่านั้น ไม่สามารถนำออกมาได้ทั้งหมด ทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียง และภาวะแทรกซ้อนได้ง่าย
- Overfilled Syndrome สามารถแก้ไขด้วยการผ่าตัดฟิลเลอร์
การผ่าตัดฟิลเลอร์ เป็นแนวทางการรักษาที่จะใช้กับฟิลเลอร์ปลอม เช่น ซิลิโคนเหลว พาราฟิน หรือฟิลเลอร์ประเภทอื่นที่ไม่ใช่ประเภท HA โดยเฉพาะในกรณีที่ฟิลเลอร์เกิดพังผืดเกาะแน่น และไม่สามารถรักษาด้วยวิธีการอื่นได้ ซึ่งแพทย์จะทำการผ่าตัด เพื่อเปิดแผล และนำฟิลเลอร์ส่วนเกินที่สะสมอยู่ใต้ผิวหนังออก โดยวิธีนี้จะสามารถนำฟิลเลอร์ออกจากผิวหนังได้แค่บางส่วนเท่านั้น เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อการกระทบเส้นประสาท และเส้นเลือดที่สำคัญบนใบหน้า จึงทำให้ต้องใช้ความระมัดระวังในการทำการรักษา และอาจเกิดรอยแผลเป็นได้ง่าย
Overfilled Syndrome อันตรายไหม?
Overfilled Syndrome หรือภาวะหน้าล้นจากการฉีดฟิลเลอร์ อาจเป็นภาวะที่ไม่อันตรายถึงชีวิต แต่ก็สามารถส่งผลกระทบต่อความมั่นใจ และเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนในระยะยาวได้ หากไม่รีบทำการรักษา และแก้ไขอย่างเหมาะสม ซึ่งในกรณีที่รุนแรงฟิลเลอร์อาจมีการอักเสบ ติดเชื้อ เป็นก้อนแข็ง จนเกิดพังผืด หรือร้ายแรงถึงขั้นอุดตันในเส้นเลือดได้ ดังนั้นภาวะ Overfilled Syndrome จึงเป็นผลข้างเคียงที่ไม่ควรมองข้าม และควรป้องกันโดยการเลือกฉีดฟิลเลอร์กับแพทย์ที่มีความรู้ ความเข้าใจ และสามารถวางแผนการรักษาได้อย่างเหมาะสม ใช้เทคนิคการฉีดที่ถูกต้อง เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหน้าล้นหลังฉีดฟิลเลอร์
วิธีป้องกันไม่ให้เกิด Overfilled Syndrome
Overfilled Syndrome หรือภาวะหน้าล้นจากการฉีดฟิลเลอร์ เป็นผลข้างเคียงที่สามารถป้องกัน และหลีกเลี่ยงได้ โดยแนะนำให้ปฏิบัติตัว ดังนี้
- ค้นคว้าหาข้อมูลเกี่ยวกับฟิลเลอร์
ก่อนฉีดฟิลเลอร์ ควรศึกษา และค้นคว้าหาข้อมูลเกี่ยวกับฟิลเลอร์อย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็นเนื้อฟิลเลอร์ ยี่ห้อฟิลเลอร์ ปริมาณฟิลเลอร์ที่ควรฉีด รวมทั้งความเสี่ยง และผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น เพื่อป้องกันการเกิด Overfilled Syndrome
- เลือกฉีดฟิลเลอร์กับแพทย์ที่มีความรู้
ก่อนฉีดฟิลเลอร์ ควรเลือกฉีดกับแพทย์ที่มีความรู้ ภายในคลินิกที่ได้มาตรฐาน โดยแพทย์จะต้องมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพอย่างถูกต้องจากแพทยสภา รวมถึงมีความเข้าใจเกี่ยวกับโครงสร้างใบหน้าอย่างละเอียด เพื่อป้องกันการเกิด Overfilled Syndrome
- ปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินใบหน้า
ก่อนฉีดฟิลเลอร์ ควรเข้ารับการปรึกษาแพทย์ เพื่อประเมินใบหน้า และวิเคราะห์ปัญหาอย่างละเอียด โดยสามารถพูดคุยกับแพทย์เกี่ยวกับความกังวล และผลลัพธ์ที่คาดหวัง เพื่อให้แพทย์เลือกเนื้อฟิลเลอร์ และคำนวณปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้ได้อย่างแม่นยำ พร้อมทั้งสามารถวางแผนการรักษาได้อย่างเหมาะสม ป้องกันการเกิด Overfilled Syndrome ในอนาคต
- ฉีดฟิลเลอร์ในปริมาณที่เหมาะสม
การฉีดฟิลเลอร์ ควรฉีดในปริมาณที่เหมาะสม ไม่ควรฉีดมากเกินไปในครั้งเดียว โดยแนะนำให้เริ่มต้นจากการใช้ฟิลเลอร์ปริมาณน้อย ๆ เพื่อแก้ไขปัญหาในจุดที่ไม่มั่นใจ จากนั้นแนะนำให้รอประมาณ 2 – 4 สัปดาห์ เพื่อให้ฟิลเลอร์เซตตัวเข้ากับผิวอย่างสมบูรณ์ หากยังไม่พึงพอใจในผลลัพธ์ สามารถตัดสินใจฉีดเพิ่มได้
- เว้นระยะห่างในการฉีดฟิลเลอร์แต่ละครั้ง
ก่อนฉีดฟิลเลอร์ในครั้งถัดไป ควรเว้นระยะห่างในการฉีดอย่างเหมาะสม ไม่ควรฉีดฟิลเลอร์ซ้ำบ่อยจนเกินไป โดยแนะนำให้แพทย์ประเมินก่อนตัดสินใจฉีดซ้ำ และรอให้ฟิลเลอร์เดิมสลายหมดก่อน เพื่อป้องกันการเกิด Overfilled Syndrome
- เลือกเนื้อฟิลเลอร์ให้ตรงกับบริเวณที่ฉีด
ก่อนฉีดฟิลเลอร์ ควรเลือกเนื้อฟิลเลอร์ให้ตรงกับบริเวณที่ฉีด เนื่องจากเนื้อฟิลเลอร์แต่ละประเภทมีการใช้งาน และคุณสมบัติที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของความหนืด ความยืดหยุ่น หรือการกระจายตัว โดยแนะนำให้ปรึกษาแพทย์ เพื่อประเมินปัญหา และเลือกใช้เนื้อฟิลเลอร์ที่เหมาะสม ป้องกันการเกิด Overfilled Syndrome
- หมั่นสังเกตอาการของตนเองหลังฉีด
หลังฉีดฟิลเลอร์ ควรหมั่นสังเกตอาการผิดปกติของตนเอง โดยแนะนำให้รออาการบวมลดลง และฟิลเลอร์เข้าที่ประมาณ 2 – 4 สัปดาห์ หากยังรู้สึกว่าใบหน้าดูล้น บวมแน่น หรือผิดรูปอยู่ ควรเข้ารับการปรึกษาแพทย์ เพื่อทำการรักษาอย่างเหมาะสม
รู้จัก Golden Ratio หรือใบหน้าสัดส่วนทองคำ คืออะไร?
Golden Ratio หรือที่เรียกกันว่า ใบหน้าสัดส่วนทองคำ เป็นแนวคิดที่อ้างอิงจากทฤษฎีทางคณิตศาสตร์ โดยจะใช้วัดความสมดุล และความงามของใบหน้า ซึ่งเชื่อกันว่า Golden Ratio เป็นสัดส่วนที่น่าดึงดูด และเหมาะสมกับใบหน้าอย่างแท้จริง โดยมีอัตราส่วนประมาณ 1:1.618 ซึ่งการนำแนวคิดนี้มาประยุกต์ใช้นั้น จะช่วยให้แพทย์สามารถประเมิน และวิเคราะห์ความสมดุลขององค์ประกอบต่าง ๆ บนใบหน้าได้อย่างแม่นยำ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการวางแผน และออกแบบการรักษาอย่างเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นการฉีดฟิลเลอร์ หรือฉีดโบ ทำให้สามารถปรับแต่งรูปหน้า หรือแก้ไขปัญหาได้อย่างสมดุล โดยยังคงผลลัพธ์ที่สวยงาม และแลดูเป็นธรรมชาติตามหลัก Golden Ratio
เนื้อฟิลเลอร์มีกี่ประเภท? เลือกอย่างไรให้เหมาะสม?
การเลือกเนื้อฟิลเลอร์ให้เหมาะสมนั้นเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก เพื่อป้องกันการเกิด Overfilled Syndrome หรือผลข้างเคียงอื่น ๆ หลังฉีด ซึ่งโดยทั่วไปเนื้อฟิลเลอร์จะมีหลัก ๆ อยู่ 4 ประเภท ดังนี้
- เนื้อแข็ง
ฟิลเลอร์เนื้อแข็ง จะเป็นเนื้อเจลที่มีความหนืด หนาแน่น และคงตัวสูงคล้ายกับก้อนอิฐ ซึ่งจะใช้ในการฉีดชดเชยชั้นกระดูกที่ทรุดตัว เพื่อปรับรูปทรง ยกกระชับ และเสริมโครงสร้างใบหน้า ทำให้ใบหน้าดูคมชัด มีมิติ และให้ผลลัพธ์ที่มีความชัดเจน
- เนื้อกลาง
ฟิลเลอร์เนื้อกลาง จะเป็นเนื้อเจลที่มีความยืดหยุ่น และความหนืดปานกลาง ซึ่งจะใช้ในการเสริมปริมาตรให้ผิวในบริเวณที่ยุบตัว หรือปั้นทรงขึ้นรูปเฉพาะจุด ทำให้ใบหน้ามีสัดส่วนที่สมดุล และสวยงามมากขึ้น
- เนื้อนิ่ม
ฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม จะเป็นเนื้อเจลที่มีความอ่อนนุ่ม และยืดหยุ่นสูงคล้ายกับเยลลี่ ซึ่งจะใช้ในการเติมเต็ม และเพิ่มวอลลุ่มให้ผิวในบริเวณที่มีการเคลื่อนไหวบ่อย ทำให้ผิวมีความอิ่มฟู อวบอิ่ม และเรียบเนียนมากขึ้น
- เนื้อละเอียด
ฟิลเลอร์เนื้อละเอียด จะเป็นเนื้อเจลที่มีความบางเบา และเหลวเหมือนน้ำ ซึ่งจะใช้ในการฉีดผิวชั้นตื้น เพื่อปรับสภาพผิว ลดเลือนริ้วรอยเล็ก ๆ และเติมความชุ่มชื้นให้ผิว ทำให้ผิวดูอิ่มน้ำ เปล่งปลั่ง และให้ผลลัพธ์ที่แลดูเป็นธรรมชาติ
ฉีดฟิลเลอร์แต่ละบริเวณ ควรใช้ปริมาณกี่ CC?
การฉีดฟิลเลอร์ในแต่ละบริเวณ จะใช้ปริมาณฟิลเลอร์ที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับแพทย์ประเมิน ดังนี้
- ฟิลเลอร์หน้าผาก
การฉีดฟิลเลอร์บริเวณหน้าผาก ควรใช้ฟิลเลอร์ประมาณ 3 – 5 CC ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และการพิจารณาของแพทย์
- ฟิลเลอร์ขมับ
การฉีดฟิลเลอร์บริเวณขมับ ควรใช้ฟิลเลอร์ประมาณ 2 – 4 CC ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และการพิจารณาของแพทย์
- ฟิลเลอร์ใต้ตา
การฉีดฟิลเลอร์บริเวณใต้ตา ควรใช้ฟิลเลอร์ประมาณ 2 – 4 CC ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และการพิจารณาของแพทย์
- ฟิลเลอร์แก้มส้ม
การฉีดฟิลเลอร์บริเวณหน้าแก้ม ควรใช้ฟิลเลอร์ประมาณ 1 – 2 CC ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และการพิจารณาของแพทย์
- ฟิลเลอร์ร่องแก้ม
การฉีดฟิลเลอร์บริเวณร่องแก้ม ควรใช้ฟิลเลอร์ประมาณ 1 – 3 CC ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และการพิจารณาของแพทย์
- ฟิลเลอร์แก้มตอบ
การฉีดฟิลเลอร์บริเวณข้างตอบ ควรใช้ฟิลเลอร์ประมาณ 2 – 4 CC ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และการพิจารณาของแพทย์
- ฟิลเลอร์ปาก
การฉีดฟิลเลอร์บริเวณริมฝีปาก ควรใช้ฟิลเลอร์ประมาณ 1 – 2 CC ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และการพิจารณาของแพทย์
- ฟิลเลอร์คาง
การฉีดฟิลเลอร์บริเวณคาง ควรใช้ฟิลเลอร์ประมาณ 1 – 2 CC ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และการพิจารณาของแพทย์
- ฟิลเลอร์กรอบหน้า
การฉีดฟิลเลอร์บริเวณกรอบหน้า ควรใช้ฟิลเลอร์ประมาณ 2 – 4 CC ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และการพิจารณาของแพทย์
ฉีดฟิลเลอร์ ควรฉีดบ่อยแค่ไหน?
การฉีดฟิลเลอร์ สามารถกลับมาฉีดซ้ำได้เมื่อฟิลเลอร์เดิมเริ่มสลาย ซึ่งโดยส่วนใหญ่ระยะห่างในการฉีดฟิลเลอร์ของแต่ละคนนั้นจะแตกต่างกันไป แต่โดยเฉลี่ยแล้วผลลัพธ์หลังฉีดฟิลเลอร์จะสามารถคงอยู่ได้นานประมาณ 6 – 18 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อฟิลเลอร์ บริเวณที่ฉีด และการดูแลตัวเองหลังฉีด ซึ่งการเว้นระยะห่างในการฉีดฟิลเลอร์อย่างเหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่แลดูเป็นธรรมชาติ และไม่เสี่ยงเกิดผลข้างเคียงในระยะยาว ดังนั้นก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ซ้ำ ควรให้แพทย์พิจารณาอย่างละเอียด พร้อมทั้งประเมินว่าฟิลเลอร์เดิมยังคงหลงเหลืออยู่มาน้อยแค่ไหน โดยจะไม่แนะนำให้ฉีดฟิลเลอร์ซ้ำบ่อยจนเกินไป เนื่องจากอาจเกิดการสะสมของฟิลเลอร์ใต้ผิวหนัง จนทำให้เสี่ยงต่อการเกิด Overfilled Syndrome ได้
หลังฉีดฟิลเลอร์ มีอาการข้างเคียงทั่วไปอะไรบ้าง?
หลังฉีดฟิลเลอร์ อาจมีอาการข้างเคียงเกิดขึ้นได้เล็กน้อย ซึ่งเป็นอาการพื้นฐานที่สามารถเกิดขึ้นได้ตามปกติ และไม่เสี่ยงอันตรายใด ๆ โดยอาการที่พบบ่อย มีดังนี้
- อาการบวม
อาการบวม เป็นอาการข้างเคียงที่พบได้บ่อยเมื่อเทียบกับอาการอื่น ๆ ซึ่งจะเกิดจากปฏิกิริยาของร่างกายต่อฟิลเลอร์ที่ฉีดเข้าไป ทำให้มีอาการบวมเกิดขึ้นชั่วคราว โดยจะค่อย ๆ ยุบลงภายใน 1 – 2 สัปดาห์
- รอยแดง
รอยแดงจากเข็ม เป็นอีกหนึ่งอาการข้างเคียงที่พบได้บ่อยหลังฉีดฟิลเลอร์ ซึ่งจะเกิดจากปลายเข็มสัมผัสเข้ากับผิวหนัง ทำให้มีรอยแดง หรือรอยเข็มเกิดขึ้นชั่วคราว โดยจะค่อย ๆ ดีขึ้นภายใน 2 – 3 วัน
- รอยช้ำ
รอยฟกช้ำ เป็นอีกหนึ่งอาการข้างเคียงที่พบได้บ่อยหลังฉีดฟิลเลอร์ ซึ่งจะเกิดจากปลายเข็มกระทบกับเส้นเลือดฝอย ทำให้มีรอยฟกช้ำเกิดขึ้นชั่วคราว โดยจะค่อย ๆ จางลงภายใน 1 สัปดาห์
- รู้สึกตึงผิว
อาการปวดตึง หรือรู้สึกระบมผิว เป็นอีกหนึ่งอาการข้างเคียงที่พบได้บ่อยหลังฉีดฟิลเลอร์ ซึ่งจะเกิดจากปฏิกิริยาของร่างกายตอบสนองต่อฟิลเลอร์ และเนื้อเยื่อขยายตัวเพื่อรองรับฟิลเลอร์ที่ฉีดเข้าไป ทำให้รู้สึกปวดตึงผิวชั่วคราว โดยจะค่อย ๆ ดีขึ้นภายใน 1 สัปดาห์
- รู้สึกคันเล็กน้อย
อาการคัน หรือระคายเคืองเล็กน้อย เป็นอีกหนึ่งอาการข้างเคียงที่พบได้บ่อยหลังฉีดฟิลเลอร์ ซึ่งจะเกิดจากปฏิกิริยาของร่างกายต่อฟิลเลอร์ที่ฉีดเข้าไป ทำให้มีอาการคันในบริเวณที่ฉีดเกิดขึ้นชั่วคราว โดยจะค่อย ๆ ดีขึ้นภายใน 2 – 3 วัน
แต่ทั้งนี้หากมีอาการข้างเคียงผิดปกติเกิดขึ้น เช่น ผื่นแดง ตุ่มหนอง ผิวเปลี่ยนสี บวมผิดปกติ หรือปวดรุนแรง แนะนำให้รีบเข้ารับการพบแพทย์ เพื่อแก้ไข และทำการรักษาอย่างทันท่วงที
Overfilled Syndrome หรือภาวะหน้าล้นจากการฉีดฟิลเลอร์ ถือเป็นอีกหนึ่งผลข้างเคียงที่ไม่ควรมองข้าม เนื่องจากหากปล่อยทิ้งไว้นาน อาจมีความเสี่ยงที่จะทำให้ฟิลเลอร์เกิดการไหลย้อย เคลื่อนที่ผิดตำแหน่ง จับตัวเป็นก้อนแข็ง และอุดตันเส้นเลือดได้ง่าย ดังนั้นการป้องกัน Overfilled Syndrome สามารถทำได้ โดยการเลือกฉีดฟิลเลอร์กับแพทย์ที่มีความรู้ ความเข้าใจ ภายในคลินิกที่ได้มาตรฐาน และเข้ารับการปรึกษาแพทย์ทุกครั้งก่อนตัดสินใจฉีด ทั้งนี้สำหรับใครที่กำลังพบว่าตนเองเริ่มมีสัญญาณเตือนของ Overfilled Syndrome เกิดขึ้น ควรรีบเข้ารับการพบแพทย์ เพื่อประเมิน และวางแผนการรักษาอย่างเหมาะสม ทำให้ใบหน้ากลับมาสวยงามแบบไม่เสี่ยงอันตรายในระยะยาว และให้ผลลัพธ์ที่แลดูเป็นธรรมชาติหลังฉีด
*ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับบริการ
*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯกำหนด