ผิวรอบดวงตาเป็นบริเวณที่หลายคนมักกังวล เพราะเป็นส่วนที่บอบบางและแสดงความเปลี่ยนแปลงของผิวได้ชัดเจนมากกว่าส่วนอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นริ้วรอยเล็ก ๆ ความหย่อนคล้อย ความหมองคล้ำ หรือถุงใต้ตา ปัญหาเหล่านี้อาจทำให้ใบหน้าดูเหนื่อยล้าและขาดความสดใส ซึ่งส่งผลต่อภาพลักษณ์และความมั่นใจในชีวิตประจำวัน หลายคนจึงเริ่มมองหาวิธีการยกกระชับใต้ตา เพื่อให้ผิวรอบดวงตาดูมีชีวิตชีวามากขึ้น
สาเหตุของปัญหาผิวรอบดวงตาเกิดได้จากหลายปัจจัย ทั้งภายในและภายนอก เช่น อายุที่เพิ่มขึ้นทำให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินได้น้อยลง พฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น การนอนดึก การขยี้ตาบ่อย หรือการพักผ่อนไม่เพียงพอ ตลอดจนสิ่งแวดล้อมรอบตัวอย่างแสงแดด มลภาวะ และสภาพอากาศ ล้วนมีส่วนทำให้ผิวรอบดวงตาเสื่อมสภาพเร็วกว่าที่ควร การเข้าใจสาเหตุเหล่านี้ เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญก่อนเลือกแนวทางการยกกระชับใต้ตาที่เหมาะสม
ในปัจจุบัน แนวโน้มการดูแลผิวรอบดวงตาได้รับความสนใจมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีความงามหรือการแพทย์ที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง แต่ละวิธีมีหลักการ จุดเด่น และข้อควรพิจารณาที่แตกต่างกัน การเข้าใจข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้เลือกแนวทางการยกกระชับใต้ตาที่เหมาะกับสภาพผิว และความต้องการของตนเองได้ดียิ่งขึ้น
บทความนี้จะพาผู้อ่านไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหาใต้ตาหย่อนคล้อย พร้อมทั้งเทคนิคทางการแพทย์ที่หลากหลาย เพื่อให้เห็นภาพรวมของทางเลือกต่าง ๆ และช่วยให้คุณตัดสินใจได้ว่าวิธีใดในการยกกระชับใต้ตา เหมาะกับสภาพผิวและไลฟ์สไตล์ของตัวเอง
โครงสร้างผิวรอบดวงตาและความแตกต่างจากผิวบริเวณอื่น
ผิวรอบดวงตาถือเป็นบริเวณที่บอบบางอย่างมากบนใบหน้า และมีความหนาเฉลี่ยเพียงประมาณ 0.05 มิลลิเมตร ซึ่งบางกว่าผิวในหลาย ๆ ส่วนของร่างกาย เช่น ผิวบริเวณฝ่าเท้าที่มีความหนามากกว่า ผิวบริเวณนี้ยังมีต่อมไขมันและต่อมเหงื่อน้อย ทำให้ขาดความชุ่มชื้นตามธรรมชาติได้ง่าย ส่งผลให้แห้งและเกิดการระคายเคืองได้บ่อย นอกจากนี้ กล้ามเนื้อรอบดวงตา (Orbicularis oculi) ยังทำงานซ้ำ ๆ อยู่เสมอจากการกะพริบตาและการแสดงสีหน้า ส่งผลให้เกิดรอยพับหรือริ้วรอยเล็ก ๆ ได้ง่ายกว่าบริเวณอื่น ซึ่งเป็นเหตุผลที่หลายคนให้ความสำคัญกับการดูแลและยกกระชับใต้ตา
สาเหตุที่ทำให้ใต้ตาหย่อนคล้อยและเกิดริ้วรอย
- อายุที่เพิ่มขึ้น
เมื่ออายุมากขึ้น การผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินในร่างกายจะค่อย ๆ ลดลง ทำให้ผิวบางลงและสูญเสียความยืดหยุ่น ส่งผลให้ผิวรอบดวงตาดูหย่อนคล้อยและเกิดริ้วรอยได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงของไขมันและโครงสร้างกระดูกใต้ตา ซึ่งทำให้ถุงใต้ตาและร่องใต้ตาดูชัดเจนมากขึ้น จำเป็นต้องมีการดูแลหรือวิธีการช่วยยกกระชับใต้ตาให้เหมาะสมกับสภาพผิว
- การสูญเสียคอลลาเจนและอีลาสติน
คอลลาเจนและอีลาสตินเป็นโปรตีนสำคัญที่ช่วยให้ผิวมีความแข็งแรงและยืดหยุ่น การลดลงของโปรตีนเหล่านี้ทำให้ผิวขาดโครงสร้างรองรับ ส่งผลให้เกิดริ้วรอยและผิวไม่กระชับ ปัจจัยที่ทำให้คอลลาเจนเสื่อมสภาพเร็วขึ้น ได้แก่ การสัมผัสรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) จากแสงแดด มลภาวะ รวมถึงพฤติกรรมการใช้ชีวิตบางอย่าง หากไม่ได้รับการดูแลที่เหมาะสม ปัญหาผิวรอบดวงตาอาจชัดเจนขึ้น และทำให้หลายคนมองหาวิธีการฟื้นฟูหรือยกกระชับใต้ตา
- ปัจจัยสิ่งแวดล้อม
แสงแดดที่มีรังสี UV สามารถทำลายเส้นใยคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวรอบดวงตาเสื่อมสภาพเร็วขึ้น มลภาวะ เช่น ฝุ่นละออง ควัน หรือสารเคมีในอากาศ ก็เป็นปัจจัยที่สร้างอนุมูลอิสระ ทำให้เซลล์ผิวถูกทำลายและเกิดริ้วรอยเร็วขึ้น นอกจากนี้ สภาพอากาศที่ร้อนหรือแห้งเกินไป ยังส่งผลให้ผิวรอบดวงตาขาดความชุ่มชื้น ทำให้หลายคนเริ่มมองหาการบำรุงหรือวิธียกกระชับใต้ตาเพื่อฟื้นฟูความสดใส
- พฤติกรรมการใช้ชีวิต
การนอนหลับไม่เพียงพอส่งผลให้ร่างกายซ่อมแซมผิวได้ไม่เต็มที่ ทำให้ผิวรอบดวงตาดูเหนื่อยล้า การขยี้ตาบ่อย ๆ หรือใช้แรงกดกับผิวรอบดวงตาอาจทำให้เส้นใยคอลลาเจนและอีลาสตินเสียหายได้ง่ายขึ้น ขณะเดียวกัน การไม่บำรุงผิวรอบดวงตาอย่างเหมาะสม หรือการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะกับผิวบริเวณนี้ ก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ผิวแห้งและเกิดริ้วรอยได้ง่าย การใส่ใจพฤติกรรมเหล่านี้จึงเป็นหนึ่งในแนวทางสำคัญในการชะลอการเสื่อมสภาพและช่วยให้การยกกระชับใต้ตามีประสิทธิภาพมากขึ้น
รวมวิธียกกระชับใต้ตาหย่อนคล้อยด้วยเทคนิคทางการแพทย์
Thermage Eye
- Thermage Eye เป็นเทคโนโลยีที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับผิวรอบดวงตา โดยใช้พลังงานคลื่นวิทยุ Monopolar RF ส่งความร้อนลงไปในชั้นผิวลึก เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่และช่วยปรับสภาพผิวรอบดวงตาให้มีความกระชับมากขึ้น อีกทั้งยังสามารถช่วยลดการสะสมของไขมันใต้ตาได้ในบางกรณี เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวรอบดวงตาหย่อนคล้อย ริ้วรอยตื้น ๆ หรือถุงใต้ตาในระดับหนึ่ง
EMFACE Eyes
- EMFACE Eyes เป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่ได้รับความสนใจในการดูแลและยกกระชับใต้ตา โดยใช้คลื่นวิทยุความถี่สูงแบบ Synchronized RF ร่วมกับพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าความเข้มข้นสูง (HIFES™) เพื่อกระตุ้นทั้งการทำงานของกล้ามเนื้อและคอลลาเจนบริเวณรอบดวงตา จุดประสงค์คือช่วยให้ผิวรอบดวงตาดูเฟิร์มขึ้นและมีความแข็งแรงมากขึ้น
Ultherapy Prime
- Ultherapy Prime เป็นเทคนิคการยกกระชับใต้ตาที่ใช้พลังงานอัลตราซาวนด์ลงลึกถึงชั้น SMAS (Superficial Musculo-Aponeurotic System) ซึ่งเป็นชั้นเนื้อเยื่อที่มีบทบาทต่อความกระชับของผิว การทำงานในระดับนี้ช่วยกระตุ้นคอลลาเจนและทำให้ผิวรอบดวงตาดูแน่นขึ้น เหมาะกับผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อยระดับปานกลางหรือหนังตาตกเล็กน้อย
โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์
- โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการช่วยยกกระชับใต้ตา โดยการเติมสารกรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid) เข้าไปในชั้นผิวรอบดวงตา เพื่อเพิ่มปริมาตรและทำให้ร่องลึกหรือรอยย่นดูตื้นขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีร่องใต้ตาลึกหรือถุงใต้ตาขนาดเล็กถึงปานกลาง
โปรแกรมฉีดโบ
- การฉีดสารออกฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อ มักถูกใช้เพื่อการปรับริ้วรอยเล็ก ๆ และช่วยให้ผิวรอบดวงตาดูผ่อนคลายขึ้น ถือเป็นอีกหนึ่งเทคนิคที่สามารถช่วยในการยกกระชับใต้ตา โดยอาศัยการลดการทำงานของกล้ามเนื้อรอบดวงตา เช่น บริเวณตีนกา เหมาะสำหรับผู้ที่มีริ้วรอยจากการแสดงสีหน้า
เปรียบเทียบวิธียกกระชับใต้ตาหย่อนคล้อย
การดูแลและยกกระชับใต้ตาหย่อนคล้อยในปัจจุบันมีหลายเทคนิคทางการแพทย์ที่ได้รับความนิยม ได้แก่ Thermage FLX, EMFACE Eye, Ultherapy Prime, โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ และโปรแกรมฉีดโบ ซึ่งแต่ละวิธีมีหลักการทำงาน จุดเด่น และความเหมาะสมที่ต่างกันออกไป ดังนี้
- Thermage FLX
เป็นการใช้พลังงานคลื่นวิทยุ (Radio Frequency: RF) ส่งลงไปยังชั้นผิวเพื่อกระตุ้นการทำงานของคอลลาเจนตามธรรมชาติ พร้อมทั้งช่วยปรับโครงสร้างผิวให้แน่นขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับใต้ตาในกรณีที่ผิวรอบดวงตาหย่อนคล้อยหรือมีถุงใต้ตาระดับหนึ่ง จุดสังเกตของวิธีนี้คือไม่ต้องผ่าตัดและสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ แต่ค่าใช้จ่ายอาจสูงกว่าวิธีอื่น
- EMFACE Eye
ใช้ทั้งพลังงานคลื่น RF และแรงแม่เหล็กไฟฟ้าความเข้มข้นสูง (HIFES™) เพื่อกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อและผิวชั้นลึก เหมาะกับผู้ที่มีริ้วรอยเล็ก ๆ หรือถุงใต้ตาในระดับไม่มาก เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวรอบดวงตาและยกกระชับใต้ตาแบบไม่ต้องผ่าตัด และช่วยกระตุ้นกล้ามเนื้อไปพร้อมกัน
- Ultherapy Prime
ใช้พลังงานอัลตราซาวนด์ความเข้มข้นสูงที่สามารถลงลึกถึงชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นที่เกี่ยวข้องกับความกระชับของผิว เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาหนังตาตกหรือผิวใต้ตาหย่อนคล้อยระดับปานกลาง ถือเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยยกกระชับใต้ตาในระดับชั้นผิวลึก แต่ผลลัพธ์จะค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป
- โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์
ใช้การฉีดสารกรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid) เข้าไปเติมเต็มร่องลึกหรือพื้นที่ที่สูญเสียปริมาตรใต้ตา เหมาะสำหรับผู้ที่มีร่องใต้ตาลึกหรือถุงใต้ตาขนาดเล็กถึงปานกลาง ผลลัพธ์จะเห็นได้เร็ว แต่จำเป็นต้องทำซ้ำตามระยะเวลาเพราะสารที่ฉีดสามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ
- โปรแกรมฉีดโบ
เป็นการฉีดสารที่ช่วยคลายการทำงานของกล้ามเนื้อรอบดวงตา เช่น บริเวณตีนกา ทำให้ริ้วรอยเล็ก ๆ รอบดวงตาดูผ่อนคลายลง เหมาะสำหรับผู้ที่มีริ้วรอยจากการแสดงสีหน้า แม้ว่าจะไม่ได้ช่วยเพิ่มปริมาตรผิว แต่ก็เป็นอีกวิธีที่ช่วยให้ผิวรอบดวงตาดูเรียบขึ้น และเสริมผลลัพธ์ในการยกกระชับใต้ตาร่วมกับเทคนิคอื่นได้
ข้อดีของการทำยกกระชับใต้ตาหย่อนคล้อย
- ช่วยให้ผิวรอบดวงตาดูกระชับขึ้น เมื่อคอลลาเจนและอีลาสตินถูกกระตุ้นให้ทำงาน
- ลดความหย่อนคล้อยและริ้วรอยเล็ก ๆ รอบดวงตาให้ดูจางลง
- ถุงใต้ตาดูลดลง เมื่อไขมันและผิวได้รับการปรับสมดุล
- ดวงตาดูสดใสและมีชีวิตชีวามากขึ้น เพราะผิวรอบดวงตาได้รับการดูแล
- ช่วยปรับสมดุลผิวรอบดวงตา ให้เรียบเนียนมากขึ้น
- ส่งผลต่อภาพลักษณ์โดยรวมของใบหน้า เพราะดวงตาดูสดชื่นขึ้น
- ช่วยเสริมความมั่นใจ ในการใช้ชีวิตประจำวัน
- ไม่ต้องผ่าตัด ลดความกังวลเรื่องบาดแผลและการพักฟื้น
- เหมาะกับผู้ที่มีเวลาจำกัด และต้องการดูแลผิวรอบดวงตาโดยไม่กระทบการทำงาน
- มีหลายเทคนิคให้เลือก ทั้งแบบใช้พลังงานหรือการฉีดสารเติมเต็ม
- ปรับได้ตามระดับปัญหา เช่น ถุงใต้ตา ริ้วรอย หรือหนังตาตก
- ช่วยชะลอการเปลี่ยนแปลงของผิวตามวัย โดยการกระตุ้นคอลลาเจนใหม่
- ทำให้การแต่งหน้าบริเวณรอบดวงตาดูเรียบเนียนขึ้น รองพื้นไม่ตกร่องง่าย
- บางวิธีให้ผลลัพธ์คงอยู่ได้นาน เมื่อดูแลรักษาตามคำแนะนำ
- สามารถทำร่วมกับวิธีอื่น ๆ ได้ เพื่อเสริมการดูแลรอบดวงตา
ใครบ้างที่ควรพิจารณาการทำยกกระชับใต้ตาหย่อนคล้อย?
- ผู้ที่มีปัญหาผิวใต้ตาหย่อนคล้อยจากอายุที่เพิ่มขึ้น
- ผู้ที่เริ่มเห็นริ้วรอยเล็ก ๆ รอบดวงตา เช่น ตีนกา หรือรอยย่นใต้ตา
- ผู้ที่มีถุงใต้ตาเล็กน้อยถึงปานกลาง ทำให้ดวงตาดูอ่อนล้า
- ผู้ที่มีร่องน้ำตาหรือร่องใต้ตาลึก ส่งผลให้ใบหน้าดูไม่สดใส
- ผู้ที่มีปัญหาหนังตาตกเล็กน้อยและอยากเสริมความกระชับรอบดวงตา
- ผู้ที่พักผ่อนน้อยหรือนอนดึกบ่อย ๆ จนเกิดความหมองคล้ำและรอยย่นใต้ตา
- ผู้ที่ต้องการยกกระชับใต้ตาโดยไม่พึ่งการผ่าตัดใหญ่
- ผู้ที่ต้องการให้ผิวรอบดวงตาดูเรียบเนียนและกระชับขึ้น
- ผู้ที่มีพฤติกรรม เช่น ขยี้ตาบ่อย ๆ จนทำให้ผิวรอบดวงตาอ่อนแอและเกิดรอยย่น
- ผู้ที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีแสงแดด มลภาวะ หรือฝุ่นควัน ทำให้ผิวรอบดวงตาเสื่อมเร็ว
- ผู้ที่ต้องใช้สายตาและทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์นาน ๆ
- ผู้ที่มีงานที่ต้องพบปะผู้คนบ่อย และอยากดูสดใสมั่นใจมากขึ้นด้วยการยกกระชับใต้ตา
- ผู้ที่ไม่สะดวกใช้วิธีการผ่าตัด แต่ต้องการหาทางเลือกที่ช่วยฟื้นฟูผิวใต้ตา
หมายเหตุ
การพิจารณาเลือกทำการยกกระชับใต้ตาควรขึ้นอยู่กับลักษณะผิว ปัญหาเฉพาะบุคคล และความเหมาะสมด้านสุขภาพ ทั้งนี้ควรปรึกษาแพทย์ก่อนตัดสินใจ เพื่อให้ได้คำแนะนำที่ตรงกับสภาพผิวและความต้องการของแต่ละคน
ใครบ้างที่อาจไม่เหมาะกับการทำยกกระชับใต้ตาหย่อนคล้อย
- ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร
- ผู้ที่มีโรคประจำตัวบางชนิด เช่น โรคหัวใจรุนแรง, เบาหวานที่ควบคุมไม่ได้, โรคความดันโลหิตสูงที่ยังไม่คงที่
- ผู้ที่มีประวัติโรคทางผิวหนังเฉพาะจุด เช่น โรคผิวหนังอักเสบ, แผลติดเชื้อ, เริม หรือผื่นในบริเวณรอบดวงตา
- ผู้ที่มีประวัติเป็นคีลอยด์ง่าย หรือมีการสมานแผลผิดปกติ
- ผู้ที่เพิ่งทำหัตถการอื่นบริเวณดวงตาหรือใบหน้ามาไม่นาน โดยที่ยังอยู่ในระยะพักฟื้น
- ผู้ที่ใช้ยาบางชนิดที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น ยาต้านเกล็ดเลือด, ยาละลายลิ่มเลือด
- ผู้ที่มีโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือรับยากดภูมิ อาจทำให้ร่างกายฟื้นตัวช้ากว่าปกติ
- ผู้ที่มีความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด
- ผู้ที่มีแผลผ่าตัดหรือการบาดเจ็บใหม่ ๆ บริเวณรอบดวงตา
- ผู้ที่คาดหวังผลลัพธ์แบบรวดเร็วถาวร
หมายเหตุ
ข้อมูลนี้เป็นเพียงแนวทางเบื้องต้น การประเมินความเหมาะสมในการทำยกกระชับใต้ตาหย่อนคล้อย ควรได้รับการพิจารณาโดยแพทย์เพื่อความเหมาะสมกับสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล
การดูแลผิวหลังทำยกกระชับใต้ตาหย่อนคล้อย
- พักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ผิวรอบดวงตาฟื้นตัวได้อย่างเหมาะสม
- ดื่มน้ำอย่างเพียงพอ ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและสนับสนุนการสร้างคอลลาเจนตามธรรมชาติ
- ทาครีมบำรุงรอบดวงตา ที่อ่อนโยนและเหมาะสำหรับผิวบอบบาง เพื่อช่วยเติมความชุ่มชื้น
- ใช้ครีมกันแดดรอบดวงตา ที่มีค่า SPF 50 PA++++และไม่ระคายเคืองต่อดวงตา
- หลีกเลี่ยงการขยี้ตาหรือสัมผัสแรง ๆ บริเวณรอบดวงตาในช่วงแรกหลังทำ
- หลีกเลี่ยงแสงแดดโดยตรง และควรใส่แว่นกันแดดเมื่อต้องออกกลางแจ้ง
- หลีกเลี่ยงการแต่งหน้าหนัก ๆ หรือใช้เครื่องสำอางที่อาจก่อการระคายเคืองในช่วงแรก
- หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่ เพราะอาจส่งผลต่อการฟื้นตัวและการสร้างคอลลาเจน
- งดกิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีดมากเกินไป เช่น ออกกำลังกายหนัก, การอบซาวน่า, แช่น้ำร้อน ในช่วง 1–2 วันแรก
การเลือกวิธียกกระชับใต้ตาหย่อนคล้อยที่เหมาะสม
การตัดสินใจเลือกวิธียกกระชับใต้ตาควรพิจารณาจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นระดับปัญหาผิว อายุ งบประมาณ ไปจนถึงคำแนะนำจากแพทย์ โดยสามารถพิจารณาได้ดังนี้
- ระดับปัญหาของผิวใต้ตา
อันดับแรกคือการประเมินระดับปัญหาของผิวใต้ตา หากมีเพียงถุงใต้ตาขนาดเล็กหรือริ้วรอยตื้น ๆ อาจเลือกใช้วิธี Thermage Eye หรือ EMFACE Eye ซึ่งช่วยกระตุ้นคอลลาเจนและเหมาะสำหรับการยกกระชับใต้ตาให้ดูเรียบเนียนขึ้น แต่หากมีริ้วรอยลึก หนังตาตก หรือผิวหย่อนคล้อยระดับปานกลางถึงมาก อาจเหมาะกับการใช้เทคโนโลยีที่ลงลึกกว่าเดิม เช่น Ultherapy Prime สำหรับผู้ที่มีร่องลึกใต้ตาเนื่องจากการสูญเสียไขมัน อาจพิจารณาการฉีดฟิลเลอร์เพื่อเติมเต็ม ขณะที่ริ้วรอยเล็ก ๆ รอบดวงตา เช่น หางตา มักใช้การฉีดโบเพื่อลดการหดตัวของกล้ามเนื้อที่ทำให้เกิดรอย ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นแนวทางการยกกระชับใต้ตาที่มีให้เลือกแตกต่างกันไปตามสภาพผิว
- อายุ
อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญคืออายุ ผู้ที่อายุน้อยและเพิ่งเริ่มมีปัญหาผิวรอบดวงตา เช่น ริ้วรอยเล็กน้อยหรือถุงใต้ตาไม่มาก มักเลือกวิธีที่อ่อนโยนและไม่กระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น EMFACE Eye หรือ Thermage Eye ในขณะที่ผู้สูงอายุที่มีผิวหย่อนคล้อยชัดเจน อาจต้องพิจารณาวิธียกกระชับใต้ตาที่เจาะลึกกว่า เช่น Ultherapy Prime หรือการผ่าตัด
- งบประมาณและเวลา
งบประมาณและเวลาที่มีถือเป็นอีกปัจจัยที่ควรคำนึงถึง วิธีที่ไม่ต้องผ่าตัดและสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ เช่น Thermage Eye, EMFACE Eye หรือการฉีดโบ มักใช้เวลาทำไม่นานและมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการฉีดฟิลเลอร์ อย่างไรก็ตาม การพิจารณาความคุ้มค่าในระยะยาวก็สำคัญ เช่น วิธีการยกกระชับใต้ตานั้นให้ผลอยู่ได้นานเพียงใด และต้องทำซ้ำบ่อยแค่ไหน
- การผสมผสานหลายเทคนิค
ในบางกรณีการผสมผสานหลายเทคนิคเข้าด้วยกันก็เป็นอีกทางเลือก เช่น การใช้ Thermage Eye หรือ Ultherapy Prime เพื่อยกกระชับใต้ตาควบคู่กับการฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มร่องลึก หรือการใช้โบเพื่อลดริ้วรอยจากการแสดงสีหน้า การทำหลายวิธีร่วมกันอาจช่วยให้การดูแลครอบคลุมปัญหาได้หลากหลายยิ่งขึ้น แต่ทั้งนี้ควรอยู่ภายใต้คำแนะนำและการวางแผนอย่างเหมาะสมโดยแพทย์
โดยสรุปการเลือกวิธียกกระชับใต้ตาที่เหมาะสม ควรพิจารณาจากระดับปัญหาที่มีอยู่จริง อายุ งบประมาณ รวมถึงไลฟ์สไตล์ของแต่ละคน และที่สำคัญคือการได้รับคำแนะนำจากแพทย์เพื่อให้การดูแลผิวรอบดวงตาเป็นไปอย่างเหมาะสม
คำถามเจาะลึกเกี่ยวกับการยกกระชับใต้ตาหย่อนคล้อย
- ยกกระชับใต้ตา Thermage Eye ต่างจาก Ultherapy Prime อย่างไร?
Thermage Eye ใช้พลังงานคลื่นวิทยุ (Radio Frequency: RF) เพื่อส่งความร้อนลงไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว และปรับโครงสร้างผิวให้แน่นขึ้น วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวรอบดวงตาหย่อนคล้อยเล็กน้อยหรือมีถุงใต้ตาระดับไม่มาก ขณะที่ Ultherapy Prime ใช้พลังงานอัลตราซาวด์ความเข้มข้นสูงที่สามารถลงลึกถึงชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นที่เกี่ยวข้องกับการยกกระชับผิว จึงมักเหมาะกับผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อยระดับปานกลางถึงมากหรือมีหนังตาตก
- ยกกระชับใต้ตา EMFACE Eye แตกต่างจาก Thermage Eye อย่างไร?
EMFACE Eye ทำงานโดยใช้คลื่นวิทยุความถี่สูงผสานกับพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าความเข้มข้นสูง (HIFES™) ที่สามารถกระตุ้นทั้งกล้ามเนื้อและการสร้างคอลลาเจนไปพร้อมกัน จึงเหมาะกับผู้ที่ต้องการยกกระชับใต้ตาและฟื้นฟูผิวรอบดวงตาที่มีริ้วรอยเล็ก ๆ หรือถุงใต้ตาไม่มาก ส่วน Thermage Eye จะเน้นการใช้พลังงาน RF เพื่อลดไขมันใต้ตาเล็กน้อยและช่วยยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อย เหมาะกับผู้ที่ต้องการปรับความแน่นของผิวมากกว่า
- การยกกระชับใต้ตากับการฉีดฟิลเลอร์ต่างกันอย่างไร?
การยกกระชับใต้ตาด้วยเทคโนโลยี เช่น Thermage Eye, EMFACE Eye หรือ Ultherapy Prime จะเน้นกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและฟื้นฟูผิวให้กลับมากระชับขึ้นตามธรรมชาติ ผลลัพธ์จะค่อย ๆ ปรากฏตามกระบวนการของร่างกาย ขณะที่การฉีดฟิลเลอร์จะใช้สารไฮยาลูโรนิกเติมเต็มบริเวณร่องลึกหรือพื้นที่ที่สูญเสียปริมาตรใต้ตา ซึ่งสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงได้รวดเร็ว แต่ผลจะอยู่ได้ชั่วคราวและต้องทำซ้ำ
- การฉีดโบต่างจากเครื่องยกกระชับใต้ตาอย่างไร?
การฉีดโบหรือสารที่ออกฤทธิ์ต่อกล้ามเนื้อ ช่วยลดการหดตัวของกล้ามเนื้อรอบดวงตา เช่น บริเวณตีนกา ส่งผลให้ริ้วรอยเล็ก ๆ ดูผ่อนคลายลง เหมาะ
กับผู้ที่มีริ้วรอยจากการแสดงสีหน้า ขณะที่การยกกระชับใต้ตาด้วยพลังงาน จะช่วยแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยและความไม่กระชับของผิวในภาพรวม ซึ่งเป็นคนละแนวทางและสามารถทำร่วมกันได้ในบางกรณี
- ควรเลือกยกกระชับใต้ตาหรือผ่าตัดถุงใต้ตาดี?
การยกกระชับใต้ตาด้วยวิธีไม่ผ่าตัด เหมาะสำหรับผู้ที่มีถุงใต้ตาเล็กน้อยถึงปานกลาง หรือมีผิวรอบดวงตาหย่อนคล้อยในระดับที่ยังไม่รุนแรงมากนัก เพราะสามารถช่วยกระตุ้นคอลลาเจนและปรับความกระชับของผิวได้โดยไม่ต้องพักฟื้น ในทางกลับกัน ผู้ที่มีถุงไขมันใต้ตาขนาดใหญ่หรือผิวหนังส่วนเกินมาก อาจจำเป็นต้องพิจารณาการผ่าตัดเพื่อตอบโจทย์ปัญหาที่ชัดเจนกว่า
- ยกกระชับใต้ตาวิธีไหนเหมาะกับผิวบอบบาง?
สำหรับผู้ที่มีผิวรอบดวงตาบอบบางและไวต่อการระคายเคือง อาจเลือกวิธีที่สามารถปรับพลังงานได้อย่างละเอียด เช่น EMFACE Eye หรือ Thermage Eye ซึ่งออกแบบมาเพื่อใช้กับบริเวณที่มีความบอบบางสูง วิธีเหล่านี้มักไม่ทำให้เกิดบาดแผลและสามารถควบคุมพลังงานให้เหมาะสมกับผิวได้
- หากมีทั้งริ้วรอยและร่องลึกใต้ตาควรเลือกวิธีไหน?
หากมีทั้งริ้วรอยเล็ก ๆ และร่องลึกใต้ตา การใช้เพียงวิธีเดียวอาจไม่ครอบคลุมทั้งหมด บางครั้งแพทย์อาจแนะนำให้ใช้การผสมผสานหลายเทคนิค เช่น การยกกระชับใต้ตาด้วย Ultherapy Prime หรือ Thermage FLX เพื่อฟื้นฟูความกระชับของผิว ร่วมกับการฉีดโปรแกรมฟิลเลอร์เพื่อเติมเต็มร่องลึก และใช้โบเพื่อลดการทำงานของกล้ามเนื้อที่ก่อให้เกิดริ้วรอย วิธีการแบบผสมผสานจะช่วยดูแลปัญหาได้หลายมิติและปรับสมดุลผิวรอบดวงตาได้ดียิ่งขึ้น
ปัญหาใต้ตาหย่อนคล้อยเป็นสิ่งที่หลายคนเผชิญเมื่ออายุมากขึ้น หรือจากปัจจัยการใช้ชีวิตและสิ่งแวดล้อม การดูแลผิวรอบดวงตาจึงไม่เพียงช่วยให้ใบหน้าดูสดใสขึ้น แต่ยังเสริมความมั่นใจในชีวิตประจำวันด้วย ปัจจุบันมีเทคนิคทางการแพทย์ที่ออกแบบมาเพื่อยกกระชับใต้ตา ซึ่งแต่ละวิธีมีหลักการทำงาน ความเหมาะสม และข้อควรพิจารณาที่แตกต่างกัน
ดังนั้น การเลือกวิธียกกระชับใต้ตาที่เหมาะสมจึงควรพิจารณาจากระดับปัญหาของผิว อายุ งบประมาณ และวิถีชีวิต รวมถึงการปรึกษาแพทย์เพื่อให้ได้รับแนวทางที่สอดคล้องกับสภาพผิวของตนเอง การตัดสินใจโดยใช้ข้อมูลที่ครบถ้วนจะช่วยให้การดูแลและการยกกระชับใต้ตาเป็นไปอย่างเหมาะสมกับสภาพผิวและความต้องการของแต่ละบุคคล