ผิวหลวมผิวไม่แน่น จากคอลลาเจนและอีลาสตินที่น้อยลงตามอายุ

ผิวหลวม

ผิวหลวม เป็นหนึ่งในปัญหาผิวที่พบได้บ่อยเมื่ออายุมากขึ้น ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นผู้ชาย หรือผู้หญิง โดยมักมีสาเหตุมาจากการเสื่อมสภาพของคอลลาเจน และอีลาสตินในผิว ทำให้ผิวขาดความยืดหยุ่น และสูญเสียความกระชับ จนเกิดผิวหลวมตามมา วันนี้ รมย์รวินท์จะพามาทำความรู้จักกับผิวหลวมอย่างละเอียดว่า คืออะไร? มีลักษณะอย่างไร? เกิดจากสาเหตุอะไร? มีวิธีดูแล และป้องกันอย่างไร? พร้อมแนะนำหัตถการแก้ผิวหลวมฉบับรมย์รวินท์คลินิก บทความนี้รวบรวมคำตอบมาไว้ให้แล้ว

 

ผิวหลวม คืออะไร?
ผิวหลวม คืออะไร?

 

ผิวหลวม คืออะไร?

ผิวหลวม คือ สภาพผิวที่สูญเสียความแน่นกระชับ และขาดความยืดหยุ่น ทำให้ผิวเริ่มดูหย่อนคล้อย ใบหน้าห้อย และไม่เต่งตึง ซึ่งสามารถสังเกตเห็นได้ชัดเมื่อเวลาจับผิว แล้วผิวคืนตัวช้า หรือไม่แน่นเฟิร์มเหมือนเดิม โดยส่วนใหญ่มักเกิดจากการเสื่อมสภาพของโครงสร้างผิวตามวัย ซึ่งเป็นผลมาจากกระบวนการผลิตคอลลาเจน และอีลาสตินที่ค่อย ๆ ลดน้อยลง ร่วมกับปัจจัยภายนอกต่าง ๆ เช่น แสงแดด มลภาวะ พักผ่อนน้อย สูบบุหรี่ หรือดื่มแอลกอฮอล์ ส่งผลให้ใบหน้าโดยรวมดูโทรม เหนื่อยล้า และแก่กว่าวัยอย่างชัดเจน

 

สัญญาณเตือนผิวหลวม

ปัญหาผิวหลวม สามารถสังเกตได้จากสัญญาณเตือน ดังนี้

  • ผิวคืนตัวช้า เมื่อลองใช้มือหยิบดึงผิว แล้วปล่อย
  • กรอบหน้าไม่คมชัด แก้มดูหย่อนคล้อย
  • มีร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก และมุมปากเริ่มตก
  • ผิวใต้คางหย่อนคล้อย จนเห็นเหนียงห้อยลงมา
  • ผิวแห้ง หยาบกร้าน และไม่เรียบเนียน
  • ผิวหมองคล้ำ ไม่สดใส ดูโทรม และเหนื่อยล้า

 

ผิวหลวม เกิดจากอะไร?
ผิวหลวม เกิดจากอะไร?

 

ผิวหลวม เกิดจากอะไร?

ปัญหาผิวหลวมสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ โดยสาเหตุที่พบได้บ่อย มีดังนี้

  • อายุมากขึ้น

อายุที่มากขึ้น เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ผิวหลวม เนื่องจากเมื่ออายุมากขึ้น โครงสร้างผิวจะค่อย ๆ เกิดการเปลี่ยนแปลง และเสื่อมสภาพลงตามธรรมชาติ โดยเฉพาะกระบวนการผลิตคอลลาเจน และอีลาสตินใต้ผิวหนังที่จะลดลงประมาณ 1 – 1.5% ต่อปี เมื่อผิวมีปริมาณคอลลาเจนน้อยลง ก็จะส่งผลให้ผิวสูญเสียความยืดหยุ่น และความกระชับ จนเกิดผิวหลวม และดูหย่อนคล้อยตามวัย

  • ลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว

การลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว เป็นอีกหนึ่งสาเหตุหลักที่ทำให้ผิวหลวม เนื่องจากในช่วงที่ร่างกายมีน้ำหนักมาก ผิวหนังจะขยายออกเพื่อรองรับไขมันใต้ผิว แต่เมื่อน้ำหนักมีการลดลงอย่างรวดเร็ว ผิวหนังที่เคยขยายออกเป็นเวลานาน ก็จะไม่สามารถหดกลับคืนสู่สภาพเดิมได้ทัน ส่งผลให้ผิวหลวม เหี่ยวย่น และดูหย่อนคล้อยตามมา 

  • แสงแดด

แสงแดด เป็นอีกหนึ่งสาเหตุหลักที่ทำให้ผิวหลวม เนื่องจากรังสียูวีจากแสงแดด จะกระตุ้นให้ร่างกายสร้างเอนไซม์ MMPs (Matrix Metalloproteinases) ซึ่งมีหน้าที่ในการย่อยสลายคอลลาเจน และอีลาสตินใต้ผิวหนัง รวมทั้งยับยั้งการสร้างคอลลาเจนใหม่ เมื่อคอลลาเจน และอีลาสตินในผิวถูกทำลายอย่างต่อเนื่อง ก็จะส่งผลให้ผิวเสื่อมสภาพ สูญเสียความยืดหยุ่น และขาดความกระชับ จนผิวหลวม ดูโทรม แห้งกร้าน และเริ่มหย่อนคล้อยก่อนวัย

  • มลภาวะ

มลภาวะ เป็นอีกหนึ่งสาเหตุหลักที่ทำให้ผิวหลวม เนื่องจากอนุภาคของมลภาวะ จะกระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน (Oxidation) ในผิวหนัง ทำให้เกิดอนุมูลอิสระจำนวนมาก ซึ่งอนุมูลอิสระเหล่านี้ สามารถเข้าไปทำลายคอลลาเจน และอีลาสตินได้โดยตรง รวมทั้งยังกระตุ้นการอักเสบ และทำให้เกราะป้องกันผิวอ่อนแอ ส่งผลให้ผิวสูญเสียความยืดหยุ่น และความกระชับ จนผิวหลวม ดูโทรม แห้งกร้าน และผิวเกิดการหย่อนคล้อยตามมา

  • เครียดสะสม

ความเครียดสะสม เป็นอีกหนึ่งสาเหตุหลักที่ทำให้ผิวหลวม เนื่องจากเมื่อร่างกายเผชิญกับความเครียดอย่างต่อเนื่อง ต่อมหมวกไตจะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งฮอร์โมนนี้จะไปขัดขวางกระบวนการผลิตคอลลาเจน และอีลาสตินใต้ผิวหนัง ทำให้โครงสร้างผิวเกิดการเสื่อมสภาพได้ง่าย รวมทั้งยังกระตุ้นให้ร่างกายเกิดการอักเสบ ส่งผลให้ผิวอ่อนแอ สูญเสียความยืดหยุ่น และความกระชับ จนผิวหลวม ดูโทรม แห้งกร้าน และผิวเกิดการหย่อนคล้อยตามมา

  • นอนหลับไม่พอ

การนอนหลับไม่เพียงพอ เป็นอีกหนึ่งสาเหตุหลักที่ทำให้ผิวหลวม เนื่องจากเมื่อนอนหลับไม่พอ ร่างกายจะหลั่งโกรทฮอร์โมน (Growth Hormone) ได้น้อยลง แต่จะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) เพิ่มสูงขึ้นแทน ซึ่งฮอร์โมนนี้จะไปทำลายกระบวนการสร้างคอลลาเจน และอีลาสตินในผิว ทำให้ปริมาณคอลลาเจนลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ผิวสูญเสียความยืดหยุ่น และความกระชับ จนผิวหลวม ดูโทรม แห้งกร้าน และเกิดความหย่อนคล้อยตามมา

  • รับประทานอาหารที่มีน้ำตาลสูง

การรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลสูง เป็นอีกหนึ่งสาเหตุหลักที่ทำให้ผิวหลวม เนื่องจากเมื่อร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูง จะก่อให้เกิดปฏิกิริยาไกลเคชั่น (Glycation) โดยโมเลกุลของน้ำตาลจะไปเกาะติดกับโปรตีนในร่างกาย โดยเฉพาะเส้นใยคอลลาเจน และอีลาสติน ทำให้เกิดสารชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า AGEs (Advanced Glycation End Products) ซึ่งสารนี้เป็นตัวทำลายคอลลาเจน และอีลาสตินใต้ผิวหนัง ส่งผลให้ผิวสูญเสียความยืดหยุ่น และความกระชับ จนผิวหลวม และเกิดความหย่อนคล้อยตามมา

  • ดื่มแอลกอฮอล์

การดื่มแอลกอฮอล์ เป็นอีกหนึ่งสาเหตุหลักที่ทำให้ผิวหลวม เนื่องจากแอลกอฮอล์จะกระตุ้นให้ร่างกายขับปัสสาวะออกมามากกว่าปกติ ทำให้ผิวสูญเสียน้ำอย่างรุนแรง อีกทั้งยังกระตุ้นให้เกิดการอักเสบ และเพิ่มการสร้างอนุมูลอิสระมากขึ้น ทำให้กระบวนการผลิตเส้นใยคอลลาเจน และอีลาสตินในผิวเสื่อมสภาพ ส่งผลให้ผิวสูญเสียความยืดหยุ่น และความกระชับ จนผิวหลวม และเกิดความหย่อนคล้อยตามมา

  • สูบบุหรี่

การสูบบุหรี่ เป็นอีกหนึ่งสาเหตุหลักที่ทำให้ผิวหลวม เนื่องจากในบุหรี่ประกอบไปด้วยสารพิษเป็นจำนวนมาก ซึ่งสารพิษเหล่านี้จะกระตุ้นการสร้างเอนไซม์ชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า MMPs (Matrix Metalloproteinases) ทำให้กระบวนการผลิตคอลลาเจน และอีลาสตินในผิวเสื่อมสภาพได้ง่าย อีกทั้งยังทำให้เลือด และออกซิเจนไหลเวียนไปเลี้ยงเซลล์ผิวได้น้อยลง ส่งผลให้ผิวหมองคล้ำ สูญเสียความยืดหยุ่น และความกระชับ จนผิวหลวม และเกิดความหย่อนคล้อยตามมา

 

ผิวหลวม มีวิธีดูแลอย่างไร?
ผิวหลวม มีวิธีดูแลอย่างไร?

 

ผิวหลวม มีวิธีดูแลอย่างไร?

วิธีการดูแลผิวเมื่อมีปัญหาผิวหลวม สามารถเริ่มต้นได้จากการดูแลตัวเองในชีวิตประจำวัน ดังนี้

  • บำรุงผิวอย่างสม่ำเสมอ

การบำรุงผิวอย่างสม่ำเสมอ เป็นอีกหนึ่งวิธีในการดูแลผิวหลวม ซึ่งจะแนะนำให้เลือกสกินแคร์ที่มีส่วนผสมของสารเติมน้ำให้ผิวอย่าง Hyaluronic Acid (HA), Ceramide หรือ Glycerin เพื่อเสริมเกราะป้องกันผิว และเพิ่มความชุ่มชื้น รวมไปถึงสกินแคร์ที่มีส่วนผสมของสารต้านอนุมูลอิสระอย่าง Niacinamide หรือ Vitamin C เพื่อปกป้องผิวจากการถูกทำลาย และปรับสีผิวให้กระจ่างใส ทำให้ผิวแข็งแรง ยืดหยุ่น และช่วยลดการอักเสบของผิวได้ นอกจากนี้แนะนำให้เลือกเนื้อสัมผัสของสกินแคร์ให้เหมาะกับแต่ละสภาพผิว โดยเฉพาะผิวแพ้ง่าย ควรเลือกสกินแคร์สูตรปราศจากน้ำหอม แอลกอฮอล์ และพาราเบน เพื่อลดความเสี่ยงต่อการระคายเคือง

  • ปกป้องผิวจากแสงแดด

การปกป้องผิวจากแสงแดด เป็นอีกหนึ่งวิธีในการดูแลผิวหลวม ซึ่งจะแนะนำให้ใช้ครีมกันแดดทุกวัน แม้ในวันที่ไม่ได้ออกแดด โดยเลือกครีมกันแดดที่มี SPF ตั้งแต่ 30 – 50 และมี PA +++ ขึ้นไป เพื่อป้องกันผิวจากรังสี UVA และ UVB ลดการทำลายคอลลาเจน และอีลาสตินในผิว นอกจากนี้ควรทาครีมกันแดดก่อนออกแดดประมาณ 15 – 30 นาที เพื่อให้ครีมกันแดดได้มีเวลาซึมเข้าสู่ผิว และสร้างเกราะป้องกันผิวได้อย่างเต็มที่ รวมถึงควรทาเพิ่มทุก ๆ 2 ชั่วโมง หากทำกิจกรรมกลางแจ้งเป็นเวลานาน เพื่อปกป้องผิวอย่างต่อเนื่อง

  • รับประทานอาหารที่ดีต่อผิว

การรับประทานอาหารที่ดีต่อผิว เป็นอีกหนึ่งวิธีในการดูแลผิวหลวม ซึ่งจะแนะนำให้เลือกอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง และมีสารที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เช่น เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ปลาทะเลน้ำลึก หอยนางรม ไข่ ผักใบเขียวเข้ม มะเขือเทศ แคร์รอต ถั่ว เมล็ดฟักทอง ฝรั่ง ส้ม กีวี หรือผลไม้ตระกูลเบอร์รี 

  • ดื่มน้ำให้มาก ๆ 

การดื่มน้ำให้มาก ๆ เป็นอีกหนึ่งวิธีในการดูแลผิวหลวม ซึ่งจะแนะนำให้ดื่มน้ำตลอดทั้งวันให้ได้ 1.5 – 2 ลิตร เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว และทำให้ร่างกายได้รับน้ำอย่างสม่ำเสมอ โดยจะช่วยให้เซลล์ผิวสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งมีผลต่อความยืดหยุ่น และความกระชับของผิวโดยตรง นอกจากนี้ปริมาณน้ำที่ดื่มอาจมีการปรับเพิ่มขึ้น ในกรณีที่ออกกำลังกายเป็นประจำ หรืออยู่ในสภาพอากาศที่ร้อนจัด 

  • นอนหลับให้เพียงพอ

การนอนหลับให้เพียงพอ เป็นอีกหนึ่งวิธีในการดูแลผิวหลวม ซึ่งจะแนะนำให้นอนหลับให้ได้วันละ 7 – 8 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายหลั่งโกรทฮอร์โมน (Growth Hormone) ออกมาได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่นอนหลับสนิทประมาณ 22.00 – 02.00 น. ซึ่งโกรทฮอร์โมนมีบทบาทสำคัญในการซ่อมแซมเซลล์ผิว เสริมกระบวนการสร้างคอลลาเจน และกระบวนการผลัดเซลล์ผิว ทำให้เซลล์ต่าง ๆ สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งมีผลต่อความยืดหยุ่น และความกระชับของผิวโดยตรง

  • ออกกำลังกายเป็นประจำ

การออกกำลังกายเป็นประจำ เป็นอีกหนึ่งวิธีในการดูแลผิวหลวม ซึ่งจะแนะนำให้ออกกำลังกายให้ได้สัปดาห์ละ 3 – 5 ครั้ง โดยเน้นการออกกำลังกายที่หลากหลาย และไม่หักโหมจนเกินไป เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และลดการหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) รวมไปถึงช่วยเสริมกระบวนการสร้างคอลลาเจน และอีลาสตินใต้ผิวหนัง ซึ่งมีผลต่อความยืดหยุ่น และความกระชับของผิวโดยตรง

  • หากิจกรรมลดความเครียด

การหากิจกรรมลดความเครียด เป็นอีกหนึ่งวิธีในการดูแลผิวหลวม ซึ่งจะแนะนำให้ทำกิจกรรมยามว่างที่ช่วยผ่อนคลายจิตใจ ไม่ว่าจะเป็นการนั่งสมาธิ เล่นโยคะ ฟังเพลง อ่านหนังสือ จัดดอกไม้ หรือวาดรูป เพื่อลดการหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ร่างกายมักหลั่งออกมาเมื่อเกิดความเครียด ทำให้เส้นคอลลาเจน และอีลาสตินถูกทำลาย จนผิวหลวม และเกิดการหย่อนคล้อยได้ง่าย

  • หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงทำร้ายผิว

การหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงทำร้ายผิว เป็นอีกหนึ่งวิธีในการดูแลผิวหลวม ซึ่งจะแนะนำให้หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ นอนดึก เครียดสะสม หรือรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลสูง เนื่องจากพฤติกรรมเหล่านี้ล้วนส่งผลต่อกระบวนการผลิตคอลลาเจน และอีลาสตินโดยตรง ทำให้โครงสร้างผิวเสื่อมสภาพ จนผิวหลวม แห้งกร้าน และเกิดการหย่อนคล้อยได้ง่าย

 

รวมหัตถการแก้ผิวหลวม
รวมหัตถการแก้ผิวหลวม

 

รวมหัตถการแก้ผิวหลวม

ปัจจุบันการแก้ไขปัญหาผิวหลวม สามารถทำได้หลายหัตถการ โดยหัตถการที่นิยมแก้ผิวหลวม มีดังนี้

Sculptra

  • ส่วนผสม : Sculptra ประกอบไปด้วย Poly-L-Lactic Acid (PLLA) ผสานกับ Carboxymethylcellulose (CMC) และ Mannitol 
  • คุณสมบัติเด่น : Sculptra ช่วยกระตุ้น Collagen Type 1 ให้มีปริมาณมากขึ้น และฟื้นฟูโครงสร้างผิวที่เสื่อมสภาพตามวัย พร้อมเพิ่มความแน่นของผิว ปรับปรุงคุณภาพผิว และยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อย
  • จุดที่นิยมฉีด : Sculptra สามารถใช้ฉีดได้หลากหลายบริเวณ เช่น หน้าแก้ม ขมับ โหนกแก้ม และกรอบหน้า
  • เหมาะกับ : Sculptra เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย ขาดความยืดหยุ่น และมีริ้วรอย ร่องลึก และผู้ที่มีผิวหลวมจากการสูญเสียคอลลาเจนตามวัย
  • จำนวนครั้งที่ฉีด : Sculptra จะแนะนำให้ฉีดประมาณ 2 – 3 ครั้ง เว้นระยะห่างกัน 4 – 6 สัปดาห์ เพื่อให้สารทำงานอย่างเต็มที่
  • ผลลัพธ์คงอยู่ : Sculptra สามารถคงผลลัพธ์ได้นานถึง 24 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวแต่ละบุคคล

 

Radiesse

  • ส่วนผสม : Radiesse ประกอบไปด้วย Calcium Hydroxylapatite (CaHA) และ Carboxymethylcellulose (CMC)
  • คุณสมบัติเด่น : Radiesse ช่วยเติมเต็ม และกระตุ้นสารที่จำเป็นต่อผิวถึง 5 ชนิด ได้แก่ Collagen Type 1, Collagen Type 3, Elastin, Proteoglycan และ Angiogenesis
  • จุดที่นิยมฉีด : Radiesse สามารถใช้ฉีดได้หลากหลายบริเวณ เช่น หน้าแก้ม ร่องแก้ม ร่องมุมปาก ขมับ กรอบหน้า และคาง
  • เหมาะกับ : Radiesse เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย กรอบหน้าไม่ชัด และมีริ้วรอย ร่องลึก รวมถึงผู้ที่มีผิวหลวม ขาดคอลลาเจน และดูไม่มีวอลลุ่ม
  • จำนวนครั้งที่ฉีด : Radiesse จะแนะนำให้ฉีดประมาณ 1 – 3 ครั้ง เว้นระยะห่างกัน 4 สัปดาห์ เพื่อให้สารทำงานอย่างเต็มที่
  • ผลลัพธ์คงอยู่ : Radiesse สามารถคงผลลัพธ์ได้นานถึง 24 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวแต่ละบุคคล

Ultracol

  • ส่วนผสม : Ultracol ประกอบไปด้วย Polydioxanone (PDO) และ Carboxymethylcellulose (CMC)
  • คุณสมบัติเด่น : Ultracol ช่วยกระตุ้น Collagen Type 1 และ Collagen Type 3 ให้มีปริมาณมากขึ้น พร้อมเพิ่มความแน่นของผิว ปรับผิวให้กระจ่างใส และลดเลือนริ้วรอยต่าง ๆ 
  • จุดที่นิยมฉีด : Ultracol สามารถใช้ฉีดได้หลากหลายบริเวณ เช่น ใต้ตา หน้าผาก หน้าแก้ม ขมับ ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก มุมปาก และกรอบหน้า
  • เหมาะกับ : Ultracol เหมาะกับผู้ที่เริ่มมีปัญหาผิวหย่อนคล้อย มีริ้วรอย ร่องลึก ผิวไม่เรียบเนียน หมองคล้ำ แห้งกร้าน และขาดวอลลุ่ม รวมถึงผู้ที่มีผิวหลวมจากการสูญเสียคอลลาเจน
  • จำนวนครั้งที่ฉีด : Ultracol จะแนะนำให้ฉีดประมาณ 3 ครั้ง เว้นระยะห่างกัน 4 – 6 เดือน เพื่อให้สารทำงานอย่างเต็มที่
  • ผลลัพธ์คงอยู่ : Ultracol สามารถคงผลลัพธ์ได้นานถึง 6 – 8 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวแต่ละบุคคล

Profhilo

  • ส่วนผสม : Profhilo ประกอบไปด้วย Hyaluronic Acid (HA) ประเภท Non-Crosslinked
  • คุณสมบัติเด่น : Profhilo ช่วยปรับปรุงโครงสร้างผิว และกระตุ้นคอลลาเจนถึง 4 ชนิด ได้แก่ Collagen Type 1, Collagen Type 3, Collagen Type 4 และ Collagen Type 7
  • จุดที่นิยมฉีด : Profhilo สามารถใช้ฉีดได้หลากหลายบริเวณ เช่น ใต้ตา หน้าแก้ม โหนกแก้ม มุมปาก กรอบหน้า และคาง
  • เหมาะกับ : Profhilo เหมาะกับผู้ที่เริ่มมีปัญหาผิวหย่อนคล้อย มีริ้วรอยตื้น ๆ ผิวไม่เรียบเนียน แห้งกร้าน และขาดความยืดหยุ่น รวมถึงผู้ที่มีผิวหลวมจากการสูญเสียคอลลาเจน
  • จำนวนครั้งที่ฉีด : Profhilo จะแนะนำให้ฉีดประมาณ 2 ครั้ง เว้นระยะห่างกัน 4 สัปดาห์ เพื่อให้สารทำงานอย่างเต็มที่
  • ผลลัพธ์คงอยู่ : Profhilo สามารถคงผลลัพธ์ได้นานถึง 6 – 9 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวแต่ละบุคคล

Karisma Rh Collagen

  • ส่วนผสม : Karisma Rh Collagen ประกอบไปด้วย Collagen Polypeptide a1 Chain R (Rh Collagen) ผสานกับ High Molecular Weight Hyaluronic Acid (HMW – HA) และ Carboxymethylcellulose (CMC)
  • คุณสมบัติเด่น : Karisma Rh Collagen ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น เพิ่มความยืดหยุ่น และกระตุ้น Collagen Type 1 ให้มีปริมาณมากขึ้น ตามด้วย Collagen Type 2 และ Type 3 เพิ่มเติม
  • จุดที่นิยมฉีด : Karisma Rh Collagen สามารถใช้ฉีดได้หลากหลายบริเวณ เช่น ใต้ตา ระหว่างคิ้ว หน้าผาก หน้าแก้ม และร่องแก้ม
  • เหมาะกับ : Karisma Rh Collagen เหมาะกับผู้ที่เริ่มมีปัญหาผิวหย่อนคล้อย มีริ้วรอยตื้น ๆ ผิวแห้งกร้าน หมองคล้ำ และไม่เรียบเนียน รวมถึงผู้ที่มีผิวหลวมจากการสูญเสียคอลลาเจน
  • จำนวนครั้งที่ฉีด : Karisma Rh Collagen จะแนะนำให้ฉีดประมาณ 3 ครั้ง โดยเข็มที่สองเว้นระยะห่างจากเข็มแรก 4 สัปดาห์ และเข็มสุดท้ายเว้นระยะห่างจากเข็มที่สอง 4 – 8 เดือน เพื่อให้สารทำงานอย่างเต็มที่
  • ผลลัพธ์คงอยู่ : Karisma Rh Collagen สามารถคงผลลัพธ์ได้นานถึง 6 – 12 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวแต่ละบุคคล

Collaju

  • ส่วนผสม : Collaju ประกอบไปด้วย Atelocollagen Type 1 
  • คุณสมบัติเด่น : Collaju ช่วยเติมเต็ม และกระตุ้น Collagen Type 1 ให้มีปริมาณมากขึ้น พร้อมฟื้นฟูโครงสร้างผิว ลดเลือนริ้วรอย และปรับปรุงคุณภาพผิว
  • จุดที่นิยมฉีด : Collaju สามารถใช้ฉีดได้หลากหลายบริเวณ เช่น ใต้ตา หน้าผาก ขมับ หน้าแก้ม ร่องแก้ม ปาก และกรอบหน้า
  • เหมาะกับ : Collaju เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย กรอบหน้าไม่ชัด มีริ้วรอย ร่องลึก แก้มตอบ ผิวแห้ง และไม่เรียบเนียน รวมถึงผู้ที่มีผิวหลวมจากการสูญเสียคอลลาเจนตามวัย
  • จำนวนครั้งที่ฉีด : Collaju จะแนะนำให้ฉีดประมาณ 1 – 2 ครั้ง เว้นระยะห่างกัน 4 สัปดาห์ เพื่อให้สารทำงานอย่างเต็มที่
  • ผลลัพธ์คงอยู่ : Collaju สามารถคงผลลัพธ์ได้นานถึง 4 – 6 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวแต่ละบุคคล

 

ป้องกันผิวหลวมได้อย่างไร?

ป้องกันผิวหลวมได้อย่างไร?
ป้องกันผิวหลวมได้อย่างไร?

 

ปัญหาผิวหลวมสามารถป้องกันได้หลายวิธี ดังนี้

  • บำรุงผิวด้วยสกินแคร์สม่ำเสมอ เน้นสกินแคร์ที่มีส่วนผสมของสารต้านอนุมูลอิสระ สารเพิ่มความชุ่มชื้น และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เช่น Hyaluronic Acid (HA), Niacinamide, Vitamin C หรือ Peptides
  • ทาครีมกันแดดทุกวัน แม้ในวันที่ไม่โดนแสงแดดโดยตรง เพื่อปกป้องผิวจากแสงแดด ซึ่งเป็นตัวการที่ทำให้ผิวหลวม หมองคล้ำ แห้งกร้าน และเกิดริ้วรอยก่อนวัย
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อรักษาสมดุลในร่างกาย ทำให้ระบบต่าง ๆ สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยคงความชุ่มชื้น และความยืดหยุ่นของผิว
  • รับประทานอาหารเสริมบำรุงผิว เน้นอาหารเสริมที่มีสารสกัดเฉพาะที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เพื่อป้องกันผิวเสื่อมสภาพก่อนวัย เช่น Vitamin C, Vitamin E, Coenzyme Q10 หรือ Astaxanthin
  • นอนหลับให้เพียงพอ เพื่อให้เซลล์ผิวได้รับการฟื้นฟู พร้อมทั้งส่งเสริมกระบวนการสร้างคอลลาเจน และอีลาสตินในผิว 
  • ออกกำลังกายเป็นประจำ เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ทำให้เซลล์ผิวได้รับออกซิเจน และสารอาหารอย่างทั่วถึง พร้อมส่งเสริมกระบวนการสร้างคอลลาเจน และอีลาสตินในผิว 
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อผิว เน้นอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ และสารช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เพื่อชะลอความเสื่อมสภาพของผิว เช่น Vitamin C, Vitamin E, Vitamin A, Omega 3, Beta Carotene หรือ Zinc
  • จัดการความเครียด โดยการหากิจกรรมผ่อนคลาย เพื่อลดการหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ป้องกันคอลลาเจน และอีลาสตินถูกทำลาย ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ผิวหลวม และแก่กว่าวัย

 

แม้ว่าปัญหาผิวหลวม จะเป็นปัญหาที่หลีกเลี่ยงได้ยากเมื่ออายุมากขึ้น แต่หากเราเข้าใจถึงสาเหตุ และเริ่มดูแลตัวเองอย่างถูกต้อง ก็จะช่วยให้ผิวกลับมาแน่นกระชับ เต่งตึง และมีความยืดหยุ่นอีกครั้ง โดยควรเริ่มต้นดูแลตั้งแต่การใช้สกินแคร์บำรุงผิว การรับประทานอาหาร การพักผ่อน การออกกำลังกาย การดื่มน้ำ และหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงที่อาจทำร้ายผิว ไปจนถึงการเลือกทำหัตถการแก้ผิวหลวมที่เหมาะกับสภาพผิว ทั้งนี้ แนะนำให้เข้ารับการปรึกษาแพทย์ เพื่อให้แพทย์ประเมินปัญหา พร้อมแนะนำวิธีการดูแล และเลือกหัตถการที่ตอบโจทย์กับแต่ละบุคคล ช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ และดูอ่อนกว่าวัยในระยะยาว

 

*ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับบริการ

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯกำหนด