การมีริ้วรอยนับปัญหาใหญ่ที่สร้างความกังวลใจให้กับใครหลาย ๆ คน ไม่ว่าจะเป็นริ้วรอยหน้าผาก ริ้วรอยหางตา ริ้วรอยระหว่างคิ้ว หรือร่องแก้ม ซึ่งมัดจะปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนเป็นอันดับแรก ๆ เมื่อมีอายุมากขึ้น โดยริ้วรอยเหล่านี้ ไม่เพียงแต่สะท้อนให้เห็นถึงความเสื่อมสภาพของผิวตามวัย แต่ยังส่งผลกระทบต่อความมั่นใจในชีวิตประจำอย่างมาก บทความนี้ รมย์รวินท์คลินิกจะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับ “ปัจจัยที่ทำให้เกิดริ้วรอย” ทั้งปัจจัยภายใน และปัจจัยภายนอก เพื่อให้รู้ทัน และเข้าใจถึงสาเหตุของการเกิดริ้วรอย พร้อมสามารถวางแผนการดูแล และป้องกันริ้วรอยได้อย่างเหมาะสม
ปัจจัยที่ทำให้เกิดริ้วรอย
ปัจจัยที่ทำให้เกิดริ้วรอยสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มหลัก ๆ ได้แก่ ปัจจัยภายใน และภายนอก

ปัจจัยที่ทำให้เกิดริ้วรอย ปัจจัยภายใน
ปัจจัยภายในที่ทำให้เกิดริ้วรอย เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติของร่างกาย โดยไม่สามารถควบคุมได้ ดังนี้
- อายุมากขึ้น
เมื่ออายุมากขึ้น กระบวนการผลิตคอลลาเจน และอีลาสตินก็จะค่อย ๆ ลดลง โดยเฉลี่ยประมาณ 1 – 1.5% ต่อปี ซึ่งจะเริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่อายุ 20 ปีขึ้นไป ทำให้ผิวหนังขาดความยืดหยุ่น ไม่กระชับ และสูญเสียความชุ่มชื้น นอกจากนี้อายุที่มากขึ้นยังทำให้ชั้นไขมัน และชั้นกระดูกยุบตัวลง ส่งผลให้ผิวหนังขาดการรองรับ จนเกิดเป็นริ้วรอย และร่องลึกได้ง่าย
- พันธุกรรม
พันธุกรรมมีผลต่อโครงสร้างผิวโดยตรง เนื่องจากในแต่ละคนจะมีลักษณะโครงสร้างผิวที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นความหนาของผิว ปริมาณเม็ดสี รวมถึงความสามารถในการผลิตคอลลาเจน และอีลาสติน ซึ่งทำให้ในบางคนอาจมีแนวโน้มที่เกิดริ้วรอยก่อนวัยได้เร็วกว่าคนอื่น ๆ
- ฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง
ฮอร์โมนมีผลอย่างมากต่อโครงสร้างผิว โดยเฉพาะเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน หรือวัยทอง ซึ่งเกิดจากระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) ลดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้การผลิตคอลลาเจน และอีลาสตินลดลงตามไปด้วย ส่งผลให้ผิวค่อย ๆ บางลง ไม่กระชับ และขาดความยืดหยุ่น จนมีริ้วรอย และร่องลึกเกิดขึ้น

ปัจจัยที่ทำให้เกิดริ้วรอย ปัจจัยภายนอก
ปัจจัยภายนอกที่ทำให้เกิดริ้วรอย เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต หรือสิ่งแวดล้อมรอบตัวที่คอยกระตุ้น ดังนี้
- การแสดงสีหน้า
เมื่อมีการแสดงสีหน้า หรือแสดงออกทางอารมณ์เป็นประจำ เช่น ยิ้ม หัวเราะ ขมวดคิ้ว ขยี้ตา หรี่ตา หรือเลิกคิ้ว กล้ามเนื้อบนใบหน้าจะเกิดการหดตัว และทำให้ผิวหนังถูกพับซ้ำ ๆ จนกลายเป็นริ้วรอย และร่องลึกที่เห็นได้ชัด ซึ่งโดยทั่วไปจะสามารถพบได้ในบริเวณที่มีการขยับบ่อย ๆ เช่น ริ้วรอยหางตา ริ้วรอยหน้าผาก ริ้วรอยระหว่างคิ้ว หรือร่องแก้ม
- บำรุงผิวไม่เหมาะสม
เมื่อผิวได้รับการบำรุงไม่เหมาะสม หรือขาดการบำรุง เช่น สครับผิวบ่อย ขัดหน้าแรง ๆ ไม่ใช้มอยส์เจอไรเซอร์เป็นประจำ หรือใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่ไม่เหมาะกับสภาพผิว ก็จะทำให้เกราะป้องกันผิวอ่อนแอ และกระบวนการซ่อมแซมเซลล์ผิวทำงานช้าลง ส่งผลให้ผิวแห้งตึง ขาดความยืดหยุ่น ไม่กระชับ และสูญเสียน้ำ จนมีริ้วรอย และร่องลึกปรากฏขึ้นได้ง่ายกว่าผู้ที่มีผิวชุ่มชื้น
- แสงแดด
เมื่อเผชิญกับแสงแดดสะสมเป็นเวลานาน กระบวนการผลิตคอลลาเจน และอีลาสตินก็จะค่อย ๆ เสื่อมสภาพลง โดยเป็นผลมาจากรังสี UVA และรังสี UVB ที่กระตุ้นการสร้างเอนไซม์ Matrix Metalloproteinases (MMPs) ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ทำลายคอลลาเจน และอีลาสตินใต้ผิวหนัง รวมถึงกระตุ้นให้เกิดอนุมูลอิสระเพิ่มขึ้น จึงส่งผลให้เซลล์ผิวอ่อนแอ ขาดความยืดหยุ่น ไม่กระชับ และสูญเสียความชุ่มชื้น จนมีริ้วรอย และร่องลึกปรากฏขึ้น
- มลภาวะ
เมื่อเผชิญกับมลภาวะเป็นประจำ เช่น ฝุ่นละออง ควันรถ หรือสิ่งสกปรกที่ลอยอยู่ในอากาศ จะทำให้กระบวนการผลิตคอลลาเจน และอีลาสตินค่อย ๆ เสื่อมสภาพลง โดยเป็นผลมาจากอนุภาคขนาดเล็กที่แทรกซึมเข้าสู่ผิวหนัง ทำให้เกิดการกระตุ้นอนุมูลอิสระเพิ่มขึ้น รวมถึงกระตุ้นการอักเสบ และทำให้เกราะป้องกันผิวอ่อนแอลง ส่งผลให้ผิวไวต่อการระคายเคือง ขาดความยืดหยุ่น ไม่กระชับ และสูญเสียน้ำ จนกลายเป็นริ้วรอย และร่องลึกเกิดขึ้น
- ความเครียด
เมื่อเกิดความเครียดสะสม ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนที่ตอบสนองต่อความเครียดออกมา โดยมีชื่อว่า ฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ซึ่งฮอร์โมนนี้จะไปรบกวนการผลิตคอลลาเจน และอีลาสตินใต้ผิวหนัง รวมถึงกระตุ้นให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง และกระตุ้นการสร้างอนุมูลอิสระเพิ่มขึ้น ส่งผลให้เซลล์ผิวอ่อนแอ ขาดความยืดหยุ่น ไม่กระชับ และสูญเสียความชุ่มชื้น จนมีริ้วรอย และร่องลึกปรากฏขึ้น
- พักผ่อนไม่พอ
เมื่อพักผ่อนน้อย หรือพักผ่อนไม่เพียงพอ กระบวนการซ่อมแซมเซลล์ผิวก็จะทำงานช้าลง โดยเป็นผลมาจากร่างกายจะไม่สามารถหลั่งโกรทฮอร์โมน (Growth Hormone) ได้อย่างเต็มที่ ทำให้คอลลาเจน และอีลาสตินผลิตได้น้อยลง ส่งผลให้เซลล์ผิวอ่อนแอ ขาดความยืดหยุ่น และไม่กระชับ จนมีริ้วรอย และร่องลึกปรากฏขึ้น
- ดื่มแอลกอฮอล์
เมื่อดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำในปริมาณมาก ร่างกายจะเกิดการขับน้ำออกมามากกว่าปกติ และเกิดกระบวนการสร้างอนุมูลอิสระเพิ่มขึ้น ซึ่งทำให้คอลลาเจน และอีลาสตินค่อย ๆ เสื่อมสภาพลง ส่งผลให้ผิวหนังสูญเสียน้ำ ขาดความยืดหยุ่น และไม่กระชับ จนมีริ้วรอย และร่องลึกปรากฏขึ้นได้ง่าย
- สูบบุหรี่
เมื่อสูบบุหรี่เป็นประจำ ร่างกายจะเกิดกระบวนการสร้างอนุมูลอิสระเพิ่มขึ้น โดยเป็นผลมาจากสารนิโคติน หรือสารพิษอื่น ๆ ในควันบุหรี่ ทำให้คอลลาเจน และอีลาสตินค่อย ๆ เสื่อมสภาพลง อีกทั้งยังลดการไหลเวียนของเลือด ทำให้เซลล์ผิวได้รับออกซิเจน และสารอาหารไม่เพียงพอ ส่งผลให้เซลล์ผิวอ่อนแอ ขาดความยืดหยุ่น และไม่กระชับ จนมีริ้วรอย และร่องลึกปรากฏขึ้นได้ง่าย
ประเภทของริ้วรอย
ประเภทของริ้วรอย สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
- ริ้วรอยตื้น
ริ้วรอยตื้น เป็นริ้วรอยที่เกิดจากชั้นผิวหนังบนสุด หรือชั้น Epidermis ขาดน้ำ ไม่ชุ่มชื้น และมีความแห้งกร้าน ซึ่งโดยส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากอายุที่มากขึ้น หรือผิวขาดการบำรุง โดยจะมีลักษณะเป็นเส้นริ้ว หรือเส้นบาง ๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้า ซึ่งจะสังเกตเห็นได้บ่อยในบริเวณที่มีผิวบอบบาง เช่น หน้าผาก รอบดวงตา หรือรอบริมฝีปาก
- ริ้วรอยลึก
ริ้วรอยลึก เป็นริ้วรอยที่เกิดจากกล้ามเนื้อหดตัวซ้ำ ๆ ทำให้ผิวหนังชั้น Epidermis และ Dermis ถูกดึงเข้าหากัน จนเกิดเป็นรอยพับ หรือรอยย่นบนใบหน้า ประกอบกับการลดลงของคอลลาเจน และอีลาสตินเมื่ออายุมากขึ้น โดยจะมีลักษณะเป็นร่องลึกที่เห็นได้อย่างชัดเจน ซึ่งจะสังเกตเห็นได้บ่อยในบริเวณที่มีการแสดงสีหน้าเป็นประจำ เช่น หน้าผาก ระหว่างคิ้ว หรือร่องแก้ม

บริเวณที่มีริ้วรอยเกิดขึ้นบ่อย
ริ้วรอยมักเกิดขึ้นบ่อยในบริเวณที่มีผิวบอบบาง หรือบริเวณมีการขยับใบหน้าบ่อย ดังนี้
- หน้าผาก
หน้าผาก เป็นหนึ่งในบริเวณที่มีริ้วรอยเกิดขึ้นบ่อย เนื่องจากอายุที่มากขึ้น คอลลาเจน และอีลาสตินจะค่อย ๆ เสื่อมสภาพลง ทำให้ผิวขาดความยืดหยุ่น และไม่กระชับ อีกทั้งยังเกิดจากการแสดงสีหน้าซ้ำ ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเลิกคิ้ว หรือยกคิ้ว กล้ามเนื้อบริเวณหน้าผากจะเกิดการหดตัว จนกลายเป็นรอยพับ หรือเส้นริ้วปรากฏขึ้นบนใบหน้า ซึ่งหากละเลยการดูแลผิว ริ้วรอยเหล่านี้อาจพัฒนาเป็นร่องลึกได้
- ระหว่างคิ้ว
ระหว่างคิ้ว เป็นหนึ่งในบริเวณที่มีริ้วรอยเกิดขึ้นบ่อย เนื่องจากอายุที่มากขึ้น คอลลาเจน และอีลาสตินจะค่อย ๆ เสื่อมสภาพลง ทำให้ผิวขาดความยืดหยุ่น และไม่กระชับ อีกทั้งยังเกิดจากการแสดงสีหน้าซ้ำ ๆ ไม่ว่าจะเป็นการขมวดคิ้วเมื่อมีอารมณ์โกรธ หรือกำลังจ้องสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่ กล้ามเนื้อบริเวณระหว่างคิ้วจะเกิดการหดตัว จนกลายเป็นรอยพับ หรือรอยย่นปรากฏขึ้นบนใบหน้า ซึ่งหากละเลยการดูแลผิว ริ้วรอยเหล่านี้อาจพัฒนาเป็นร่องลึกได้
- หางตา
หางตา เป็นหนึ่งในบริเวณที่มีริ้วรอยเกิดขึ้นบ่อย เนื่องจากอายุที่มากขึ้น คอลลาเจน และอีลาสตินจะค่อย ๆ เสื่อมสภาพลง ทำให้ผิวขาดความยืดหยุ่น และไม่กระชับ อีกทั้งยังเกิดจากการแสดงสีหน้าซ้ำ ๆ ไม่ว่าจะเป็นการหรี่ตา หัวเราะ หรือยิ้ม กล้ามเนื้อบริเวณหางตาจะเกิดการหดตัว จนกลายเป็นรอยพับ หรือเส้นริ้วบาง ๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้า ซึ่งหากละเลยการดูแลผิว ริ้วรอยเหล่านี้อาจพัฒนาเป็นร่องลึกได้
- ร่องแก้ม
ร่องแก้ม เป็นหนึ่งในบริเวณที่มีริ้วรอยเกิดขึ้นบ่อย เนื่องจากอายุที่มากขึ้น ชั้นกระดูกก็จะเริ่มทรุดตัวตามวัย รวมถึงคอลลาเจน และอีลาสตินก็ค่อย ๆ เสื่อมสภาพลง ทำให้ผิวขาดความยืดหยุ่น และไม่กระชับ อีกทั้งยังเกิดจากการแสดงสีหน้าซ้ำ ๆ ไม่ว่าจะเป็นการหัวเราะ หรือยิ้ม จนทำให้บริเวณร่องแก้มกลายเป็นรอยพับ หรือเส้นริ้วแนวเฉียงตั้งแต่ปีกจมูกลงมาถึงมุมปาก ซึ่งหากละเลยการดูแลผิว ริ้วรอยเหล่านี้อาจพัฒนาเป็นร่องลึกได้
- รอบริมฝีปาก
รอบริมฝีปาก เป็นหนึ่งในบริเวณที่มีริ้วรอยเกิดขึ้นบ่อย เนื่องจากอายุที่มากขึ้น คอลลาเจน และอีลาสตินจะค่อย ๆ เสื่อมสภาพลง ทำให้ผิวขาดความยืดหยุ่น และไม่กระชับ อีกทั้งยังเกิดจากพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการใช้หลอดดูดน้ำ เม้มปากบ่อย หรือสูบบุหรี่เป็นประจำ จนทำให้บริเวณรอบริมฝีปากกลายเป็นรอยย่น หรือเส้นริ้ว ซึ่งหากละเลยการดูแลผิว ริ้วรอยเหล่านี้อาจพัฒนาเป็นร่องลึกได้
- ลำคอ
ลำคอ เป็นหนึ่งในบริเวณที่มีริ้วรอยเกิดขึ้นบ่อย เนื่องจากอายุที่มากขึ้น คอลลาเจน และอีลาสตินจะค่อย ๆ เสื่อมสภาพลง ทำให้ผิวขาดความยืดหยุ่น และไม่กระชับ อีกทั้งยังเกิดจากพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการก้มหน้าบ่อย หรือนอนคว่ำเป็นประจำ จนทำให้ผิวบริเวณลำคอถูกพับกลายเป็นรอยย่น หรือเส้นริ้ว ซึ่งหากละเลยการดูแลผิว ริ้วรอยเหล่านี้อาจพัฒนาเป็นร่องลึกได้

ป้องกันริ้วรอยได้อย่างไร?
ริ้วรอยเป็นปัญหาผิวที่สามารถป้องกันได้หลายวิธี ดังนี้
- ใช้สกินแคร์ที่เหมาะกับสภาพผิว
การใช้สกินแคร์ที่เหมาะสมกับสภาพผิวสามารถป้องกันริ้วรอยได้ โดยการเลือกสกินแคร์ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น กระตุ้นคอลลาเจน หรือเพิ่มความแข็งแรงให้ผิว เช่น Vitamin C, Vitamin E, Retinol, Peptides, Niacinamide, Hyaluronic Acid หรือ Ceramide
- ใช้ครีมกันแดดทุกวัน
การใช้ครีมกันแดดทุกวัน แม้ในวันที่ไม่ได้ออกแดดสามารถป้องกันริ้วรอยได้ โดยการเลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF มากกว่า 30 และ PA +++ ขึ้นไป ซึ่งจะแนะนำให้ทาอย่างน้อย 2 ข้อนิ้ว และทาก่อนออกแดดประมาณ 15 – 30 นาที เพื่อเป็นเกราะป้องกันผิวจากรังสี UVA และ UVB รวมถึงลดการสร้างอนุมูลอิสระ และลดการสร้างเม็ดสี นอกจากนี้ในกรณีที่ทำกิจกรรมกลางแจ้งเป็นประจำ แนะนำให้ทาครีมกันแดดซ้ำทุก ๆ 2 ชั่วโมง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปกป้องผิว
- รับประทานอาหารเสริม
การรับประทานอาหารเสริมสามารถป้องกันริ้วรอยได้ โดยการเลือกอาหารเสริมที่มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยกระตุ้นคอลลาเจน และชะลอความเสื่อมของผิว เช่น Collagen, Vitamin C, Vitamin E, Astaxanthin, Coenzyme Q10, Omega 3, Zinc หรือ Selenium ซึ่งจะแนะนำให้รับประทานอย่างต่อเนื่องเป็นประจำ ควบคู่กับการดูแลตัวเองในหลาย ๆ ด้าน เช่น การใช้สกินแคร์ การดื่มน้ำ และการพักผ่อนให้เพียงพอ
- ดื่มน้ำให้มาก ๆ
การดื่มน้ำให้มาก ๆ สามารถป้องกันริ้วรอยได้ โดยการดื่มน้ำสม่ำเสมอตลอดทั้งวันประมาณ 1.5 – 2 ลิตรต่อวัน หรือประมาณ 7 – 8 แก้ว เพื่อรักษาความชุ่มชื้นของผิว ขับของเสียออกจากร่างกาย และทำให้สกินแคร์ดูดซึมเข้าสู่ผิวได้ดีมากขึ้น ซึ่งจะแนะนำให้ดื่มน้ำหลังจากตื่นนอน และก่อนมื้ออาหาร เพื่อช่วยเรื่องระบบขับถ่าย และการไหลเวียนของเลือด รวมถึงควรหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำอัดลม ชา กาแฟ หรือเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูงแทนน้ำเปล่า
- นอนหลับให้เพียงพอ
การนอนหลับให้เพียงพอสามารถป้องกันริ้วรอยได้ โดยการนอนอย่างน้อย 7 – 8 ชั่วโมงต่อวัน เพื่อให้เซลล์ผิวได้เกิดการซ่อมแซมตัวเอง และกระตุ้นการหลั่งโกรทฮอร์โมนได้อย่างเต็มที่ ซึ่งจะแนะนำให้กำหนดเวลาเข้านอน และตื่นนอนให้เป็นเวลา รวมถึงสร้างบรรยากาศในห้องนอนที่เหมาะสมกับการนอน เช่น ห้องเงียบ มืด และอากาศเย็นพอดี หลีกเลี่ยงการเล่นโทรศัพท์ หรือคอมพิวเตอร์ก่อนนอน
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
การออกกำลังกายสม่ำเสมอสามารถป้องกันริ้วรอยได้ โดยการออกกำลังกายประมาณ 3 – 4 ครั้งต่อสัปดาห์ และอย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน เพื่อเพิ่มการไหลเวียนเลือด และขจัดของเสียผ่านทางเหงื่อ รวมถึงช่วยเสริมการสร้างคอลลาเจน และลดฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งจะแนะนำให้วอร์มร่างกายก่อนออกกำลังกาย และยืดเหยียดกล้ามเนื้อหลังออกกำลังกาย เพื่อลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ หรือปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์สามารถป้องกันริ้วรอยได้ โดยการเลือกรับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น ปลาทะเลน้ำลึก เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ไข่ นม ผักใบเขียว มะเขือเทศ แคร์รอต ส้ม ฝรั่ง ผลไม้ตระกูลเบอร์รี หรือธัญพืช เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว และกระตุ้นคอลลาเจน ซึ่งจะแนะนำให้รับประทานผัก และผลไม้หลากหลายสี เน้นโปรตีนคุณภาพสูง และไขมันดี หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารแปรรูป หรืออาหารที่มีน้ำตาลสูง
- หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงเกิดริ้วรอย
การหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงสามารถป้องกันริ้วรอยได้ โดยเฉพาะแสงแดด รังสี UV ฝุ่น ควัน มลภาวะ การพักผ่อนไม่เพียงพอ การดื่มน้ำน้อย การสูบบุหรี่ และการดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้ล้วนแต่เป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดริ้วรอย และผิวหย่อนคล้อยก่อนวัย รวมถึงยังกระตุ้นการสร้างอนุมูลอิสระ ทำให้เซลล์ผิวอ่อนแอ และเสื่อมสภาพได้ง่าย

วิธีลดริ้วรอยบนใบหน้า
วิธีลดริ้วรอยบนใบหน้าสามารถทำได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของริ้วรอย ดังนี้
- ทาสกินแคร์บำรุงผิว
การทาสกินแคร์บำรุงผิวมีส่วนช่วยในการลดริ้วรอยได้ โดยเลือกสกินแคร์ที่มีส่วนผสมของสารต้านอนุมูลอิสระ หรือสารที่มีฤทธิ์ลดเลือนริ้วรอย เช่น Vitamin C, Vitamin E, Retinol, Peptides, Niacinamide, Hyaluronic Acid หรือ Ceramide ซึ่งสารเหล่านี้จะช่วยเสริมเกราะป้องกันผิว ชะลอความเสื่อมของผิว และปกป้องผิวที่ได้รับความเสียหายจากปัจจัยภายนอก โดยแนะนำให้ใช้เป็นประจำ และต่อเนื่องกันทุกวัน ควบคู่ไปกับการทาครีมกันแดดสม่ำเสมอ เพื่อปกป้องผิวจากรังสี UV และทำให้สารสำคัญในสกินแคร์สามารถทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพมากขึ้น
- รับประทานอาหารเสริม
การรับประทานอาหารเสริมมีส่วนช่วยในการลดริ้วรอยได้ โดยเลือกอาหารเสริมที่มีสารสกัดของสารต้านอนุมูลอิสระ หรือสารที่มีฤทธิ์ลดเลือนริ้วรอย เช่น Collagen, Vitamin C, Vitamin E, Astaxanthin, Coenzyme Q10, Omega 3, Zinc หรือ Selenium ซึ่งสารสกัดเหล่านี้จะช่วยกระตุ้นคอลลาเจน ชะลอความเสื่อมของเซลล์ผิว และปกป้องผิวจากอนุมูลอิสระ โดยแนะนำให้รับประทานเป็นประจำ และต่อเนื่องกันทุกวัน ควบคู่ไปกับการดูแลผิวจากภายนอก เช่น พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำให้มาก ๆ และรับประทานอาหารที่ดีต่อผิว เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ยั่งยืนในระยะยาว
- นวดหน้า
การนวดหน้ามีส่วนช่วยในการลดริ้วรอยได้ โดยเลือกผลิตภัณฑ์นวดหน้าที่เหมาะกับสภาพผิว และมีความอ่อนโยนต่อผิว รวมถึงใช้ปลายนิ้วนวดเบา ๆ บริเวณใบหน้า ไม่กดแรงจนเกินไป และควรนวดในทิศทางที่เหมาะสมประมาณ 2 – 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ซึ่งการนวดหน้าจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือด และเสริมการสร้างคอลลเจน ทำให้ผิวมีความเปล่งปลั่ง และสดใส รวมถึงช่วยคลายกล้ามเนื้อที่หดตัวจากการแสดงสีหน้า อีกทั้งยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดูดซึมของสกินแคร์ ทำให้ผิวพร้อมรับการบำรุงมากขึ้น
- ทำเลเซอร์
การทำเลเซอร์มีส่วนช่วยในการลดริ้วรอยได้ โดยเลือกประเภทเลเซอร์ที่เหมาะกับสภาพผิว และมีคุณสมบัติในการลดเลือนริ้วรอยตื้น ๆ เช่น IPL, Nd:YAG หรือ Fractional Laser ซึ่งการทำเลเซอร์เหล่านี้ จะช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน และอีลาสติน รวมถึงช่วยผลัดเซลล์ผิว ลดเลือนจุดด่างดำ และเพิ่มความกระจ่างใสให้ผิว โดยแนะนำให้ทำการรักษาอย่างต่อเนื่องเป็นประจำ เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน
- ทำเครื่องยกกระชับ
การทำเครื่องยกกระชับมีส่วนช่วยในการลดริ้วรอยได้ โดยเลือกประเภทเครื่องยกกระชับที่เหมาะกับสภาพผิว และมีคุณสมบัติในการลดเลือนริ้วรอย เช่น เครื่องยกกระชับที่ใช้พลังงานคลื่นอัลตราซาวนด์ (Ultrasound) หรือเครื่องยกกระชับที่ใช้พลังงานคลื่นวิทยุ (RF) ซึ่งพลังงานเหล่านี้สามารถลงลึกถึงชั้นผิว เพื่อช่วยยกกระชับ และลดความหย่อนคล้อย พร้อมทั้งกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน และอีลาสติน ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่น แน่นกระชับ เรียบเนียน และเต่งตึงในระยะยาว โดยจะแนะนำให้ทำการรักษาอย่างต่อเนื่องเป็นประจำ เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน
- ร้อยไหม
การร้อยไหมมีส่วนช่วยในการลดริ้วรอยได้ โดยการเลือกชนิดของไหมที่เหมาะกับสภาพผิว ซึ่งไหมแต่ละชนิดก็จะมีเทคนิค และวิธีการร้อยที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับการประเมินของแพทย์ และระดับความรุนแรงของริ้วรอย โดยเมื่อทำการร้อยไหมเข้าไปยังผิว เส้นไหมเหล่านี้จะช่วยยกกระชับผิว และลดความหย่อนคล้อย พร้อมทั้งกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน และอีลาสตินรอบ ๆ เส้นไหม รวมถึงช่วยปรับกรอบหน้าให้คมชัด และดูมีมิติมากขึ้น
- ฉีดโบ
การฉีดโบมีส่วนช่วยในการลดริ้วรอยได้ โดยเฉพาะบริเวณที่มีการแสดงสีหน้าบ่อย ๆ เช่น ริ้วรอยหางตา ริ้วรอยระหว่างคิ้ว ริ้วรอยหน้าผาก หรือร่องแก้ม ซึ่งการฉีดโบจะช่วยยับยั้งการทำงานของกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดคลายตัว และไม่สามารถหดเกร็งได้ชั่วคราว ส่งผลให้ผิวบริเวณที่มีริ้วรอยกลับมาเรียบตึง และดูอ่อนกว่าวัยมากขึ้น อีกทั้งยังสามารถป้องกันการเกิดริ้วรอยใหม่ พร้อมยกกระชับปรับรูปหน้า และลดขนาดกล้ามเนื้อกรามได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ฉีดฟิลเลอร์
การฉีดฟิลเลอร์มีส่วนช่วยในการลดริ้วรอยได้ โดยเฉพาะบริเวณที่มีการยุบตัวของไขมัน และกระดูกเมื่ออายุมากขึ้น เช่น ร่องใต้ตา หรือร่องแก้ม รวมถึงบริเวณที่มีริ้วรอยเส้นเล็ก ๆ เช่น รอบดวงตา หรือรอบริมฝีปาก ซึ่งการฉีดฟิลเลอร์จะช่วยเติมเต็มริ้วรอย และร่องลึก พร้อมทั้งเพิ่มความอิ่มฟูให้ผิว และยกกระชับปรับรูปหน้า ทำให้ผิวกลับมาเรียบเนียน เต่งตึง กระชับ และใบหน้าดูมีมิติมากขึ้น
จะเห็นได้ว่า การเข้าใจถึงปัจจัยที่ทำให้เกิดริ้วรอย ทั้งปัจจัยภายใน และภายนอก เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยป้องกัน และชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัยได้ โดยแนะนำให้ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตให้เหมาะสม และดูแลตัวเองอย่างต่อเนื่องเป็นประจำ รวมถึงหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดริ้วรอย เช่น การเผชิญกับแสงแดด มลภาวะ ดื่มน้ำน้อย พักผ่อนไม่เพียงพอ เครียดสะสม สูบบุหรี่ หรือดื่มแอลกอฮอล์ก็จะสามารถลดโอกาสการเกิดริ้วรอยได้ ทำให้ผิวดูอ่อนกว่าวัย และดูสุขภาพดีจากภายในอย่างแท้จริง
*ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับบริการ
*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯกำหนด

