ไขมันสะสม คืออะไร? พร้อมแนะนำเคล็ดลับลดไขมัน

ไขมันสะสม คืออะไร

ไขมันสะสม คืออะไร? พร้อมแนะนำเคล็ดลับลดไขมัน

ไขมันสะสม คืออะไร? ทำไมถึงลดยาก แม้จะออกกำลังกายและคุมอาหารอย่างเคร่งครัด แต่ไขมันสะสมเฉพาะจุดก็ไม่ลดลงสักที จนทำให้เกิดปัญหาสุขภาพ และสร้างความไม่มั่นใจให้กับรูปร่าง บทความนี้จะพาไปรู้จักกับ ไขมันสะสม คืออะไร? พร้อมแนะนำวิธีลดไขมันเฉพาะจุดแบบไม่ต้องผ่าตัด ด้วยเทคโนโลยี CoolSculpting ที่ช่วยให้ลดไขมันดื้อ พร้อมกระชับหุ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

 

ไขมันสะสม คืออะไร? 

ไขมัน (Fat) เป็นหนึ่งในสารอาหารที่มีความสำคัญต่อร่างกาย โดยทำหน้าที่เป็นพลังงานสำรอง และช่วยรักษาอุณหภูมิของร่างกายให้คงที่ พร้อมปกป้องอวัยวะภายในจากแรงกระแทก รวมถึงยังมีบทบาทสำคัญในการช่วยดูดซึมวิตามินที่ละลายในไขมัน เช่น วิตามิน A, D, E และ K จึงถือเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย 

แต่หากมีการสะสมไขมันที่มากเกินกว่าความต้องการของร่างกาย ไขมันก็จะถูกสะสมไว้ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย และกลายเป็นไขมันสะสมส่วนเกิน ที่อาจส่งผลให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับรูปร่าง หรือเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคและปัญหาสุขภาพ เช่น โรคอ้วน โรคหัวใจ และเบาหวานได้

 

ไขมันสะสมส่วนไหน ที่ลดได้ยาก
ไขมันสะสมส่วนไหน ที่ลดได้ยาก

 

ไขมันสะสมส่วนไหน ที่ลดได้ยาก

การลดไขมันดื้อที่สะสมอยู่ในร่างกายนั้นทำได้ยาก และต้องอาศัยระยะเวลา ความอดทน ความสม่ำเสมอ รวมถึงอาจจะต้องใช้เทคนิคพิเศษในการช่วยลดไขมัน โดยไขมันดื้อ หรือไขมันสะสมที่ลดได้ยากมีอยู่หลายส่วนในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็น 

  • ไขมันหน้าท้อง

ไขมันหน้าท้องหรือพุง เป็นบริเวณที่เผาผลาญไขมันได้ยาก โดยเฉพาะไขมันช่องท้อง (Visceral Fat) ซึ่งเป็นไขมันที่เกาะอยู่รอบ ๆ อวัยวะภายในร่างกาย ที่หากเกิดการสะสมมากเกินไปอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น โรคหัวใจ เบาหวาน และโรคเรื้อรังอื่น ๆ

  • ไขมันต้นขา

ไขมันบริเวณต้นขา เป็นไขมันที่ลดได้ยากและยังพบมากในเพศหญิง ซึ่งอาจเกิดจากการทำงานของฮอร์โมนที่ทำให้ไขมันสะสมบริเวณต้นขาได้ง่าย ซึ่งไขมันต้นขานั้นจะทำให้ความมั่นใจในการแต่งตัวลดลง และยังส่งผลให้เกิดเซลลูไลท์หรือผิวเปลือกส้มอีกด้วย หากต้องการลดไขมันจะต้องใช้ระยะเวลา และการออกกำลังกายเฉพาะส่วน

  • ไขมันสะโพกและก้น

ไขมันสะโพกและก้น ถือเป็นไขมันที่จะช่วยทำให้รูปร่างดูมีส่วนเว้าส่วนโค้งชัดเจนขึ้นสำหรับผู้หญิง แต่หากมีไขมันสะสมที่มากเกินไป ก็อาจจะทำให้รูปร่างไม่สมส่วน อีกทั้งยังเป็นส่วนที่ลดได้ยาก 

  • ไขมันต้นแขน

ไขมันต้นแขน มักพบในบริเวณด้านหลังแขน และพบในผู้ที่มีอายุมาก หรือผู้ที่ไม่ค่อยออกกำลังกาย ซึ่งไขมันต้นแขนนอกจากจะทำให้แขนดูใหญ่แล้ว ในบางคนอาจจะเกิดการหย่อนคล้อยร่วมด้วยจนกลายเป็นถุงกาแฟ ซึ่งสามารถลดไขมันสะสมส่วนนี้ด้วยการออกกำลังกายแบบเวทเทรนนิ่ง

  • ไขมันเหนียงหรือใต้คาง

ไขมันใต้คางหรือเหนียง เป็นไขมันที่เกิดขึ้นบริเวณใบหน้าที่ลดได้ยากมาก อาจเกิดจากน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น พันธุกรรม หรือเกิดจากความหย่อนคล้อยของผิวตามช่วงวัย การลดเหนียงจึงต้องอาศัยเทคนิคเฉพาะทางการแพทย์ช่วย

 

CoolSculpting เทคโนโลยีลดไขมันสะสมด้วยความเย็น
CoolSculpting เทคโนโลยีลดไขมันสะสมด้วยความเย็น

 

CoolSculpting เทคโนโลยีลดไขมันสะสมด้วยความเย็น

CoolSculpting คือ เทคโนโลยีลดไขมันสะสมเฉพาะจุดด้วยความเย็นจัด หรือ Cryolipolysis ซึ่งเป็นการใช้คลื่นความเย็นในระดับต่ำกว่าจุดเยือกแข็งประมาณ –11°C ถึง –13°C ที่จะเข้าไปแช่แข็งเซลล์ไขมันใต้ชั้นผิวโดยไม่รบกวนเนื้อเยื่อหรือผิวหนังบริเวณรอบ ๆ จึงสามารถช่วยลดไขมันสะสมเฉพาะจุด และช่วยกระชับสัดส่วนได้หลายบริเวณ ไม่ว่าจะเป็น หน้าท้อง เอว ต้นแขน ต้นขา หรือเหนียง โดยไม่ต้องผ่าตัด และไม่ต้องพักฟื้นนาน

เทคโนโลยีลดไขมันสะสมด้วยความเย็น CoolSculpting จะใช้ตัวกลางอย่างหัว Applicator ในการส่งผ่านคลื่นความเย็นจัดไปยังเซลล์ไขมัน ซึ่งเซลล์ไขมันที่ได้รับความเย็นจะถูกแช่แข็งและจะค่อย ๆ เสื่อมสภาพและเกิดการตายอย่างธรรมชาติ (Apoptosis) จากนั้นจะถูกขับออกผ่านระบบกำจัดของเสียของร่างกาย ส่งผลให้ไขมันบริเวณที่ทำลดลง และผิวกระชับได้สัดส่วนมากขึ้น นอกจากนี้ CoolSculpting ยังมีระบบ Freeze Detect หรือระบบตรวจจับอุณหภูมิผิวแบบเรียลไทม์ ที่จะช่วยป้องกันผิวถูกเบิร์น จึงไม่เป็นอันตรายต่อผิวหนังและร่างกาย 

 

CoolSculpting ช่วยอะไรได้บ้าง?

CoolSculpting เป็นเทคโนโลยีการลดไขมันสะสมเฉพาะจุดด้วยความเย็น และกระชับสัดส่วนโดยไม่ต้องผ่าตัด และได้รับการรับรองด้านความปลอดภัยจาก อย. สามารถช่วยดูแลรูปร่างได้ ดังนี้

  • ช่วยลดไขมันสะสมเฉพาะจุดในบริเวณต่าง ๆ เช่น หน้าท้อง ปีกหลัง ต้นแขน ต้นขา สะโพก และเหนียง
  • ช่วยปรับรูปร่างให้กระชับ ได้สัดส่วน หลังเซลล์ไขมันถูกขับออกจากร่างกาย จะส่งผลให้รูปร่างดูเพรียว กระชับ และสมส่วนมากขึ้น โดยไม่ต้องผ่าตัด
  • ช่วยลดเซลลูไลท์หรือผิวเปลือกส้ม เนื่องจากการลดไขมันสะสมด้วยความเย็นสามารถช่วยให้ ผิวบริเวณที่ทำดูเรียบเนียนขึ้น

 

ทั้งนี้ ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล การทำ CoolSculpting  ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น ก่อนเข้ารับการบริการ CoolSculpting ควรแจ้งประวัติการรักษา ประวัติการแพ้ยา โรคประจำตัวให้ละเอียด

 

ข้อดีของการลดไขมันสะสมด้วย CoolSculpting

CoolSculpting ถือเป็นเทคโนโลยีลดไขมันสะสมที่ได้รับความนิยมมาอย่างต่อเนื่อง เพราะสามารถลดไขมันเฉพาะจุด และช่วยกระชับสัดส่วนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องผ่าตัด และไม่กระทบกับชีวิตประจำวัน นอกจากนี้ยังมีข้อดีอีกมากมาย เช่น 

  1. ลดไขมันสะสมเฉพาะจุดได้หลายบริเวณในร่างกาย เช่น เหนียง หน้าท้อง เอว ต้นแขน ต้นขา ปีกหลัง และบริเวณนมน้อย โดยที่ไม่ทำลายเนื้อเยื่อรอบ ๆ 
  2. ปรับรูปร่างให้กระชับและได้สัดส่วน เมื่อเซลล์ไขมันส่วนเกินที่ตายแล้วถูกขับออกจากร่างกาย จะส่งผลให้รูปร่างดูกระชับและได้สัดส่วนที่ชัดเจนมากขึ้น จึงช่วยเสริมบุคลิก และช่วยเพิ่มความมั่นใจในรูปร่างได้
  3. มีระบบ Freeze Detect ที่คอยตรวจจับอุณหภูมิแบบเรียลไทม์ เพื่อช่วยป้องกันผิวเบิร์นจากความเย็นจัด หากผิวหนังมีอุณหภูมิที่เย็นเกินไป เครื่องจะหยุดการทำงานทันที 
  4. ไม่ต้องผ่าตัด ไม่เจ็บตัว พักฟื้นน้อย เป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ไม่สะดวกผ่าตัดดูดไขมัน ไม่อยากเจ็บตัว และไม่มีเวลาพักฟื้นนาน หลังทำสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้
  5. ใช้เวลาไม่นานต่อบริเวณ การลดไขมันสะสมแต่ละบริเวณจะใช้เวลาประมาณ 35–60 นาที ทั้งนี้ จะขึ้นอยู่กับปริมาณของไขมันและบริเวณที่ทำ
  6. ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา CoolSculpting เป็นเทคโนโลยีที่ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา ว่ามีประสิทธิภาพในการลดไขมันเฉพาะจุด และยังไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย
  7. เห็นผลลัพธ์ภายใน 1–3 เดือนหลังทำ และจะเห็นผลได้ชัดเจนขึ้น เมื่อร่างกายขับเซลล์ไขมันออกได้เต็มที่ ในช่วง 2–3 เดือน ไขมันจะเริ่มค่อย ๆ ลดลงลง สัดส่วนจะดูกระชับขึ้น
  8. สามารถทำร่วมกับเทคโนโลยีอื่นได้ หรือโปรแกรมดูแลหุ่นอื่น ๆ ได้ เช่น Slim & Slender เปปไทด์ลดความอยากอาหาร ที่จะช่วยควบคุมความอยากอาหาร ช่วยให้อิ่มได้ไวและนานขึ้น พร้อมกระตุ้นการเผาผลาญ ทำให้การลดไขมันสะสมมีประสิทธิภาพมากขึ้น

 

ทั้งนี้ ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล การใช้ CoolSculpting ลดไขมันสะสม ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น ก่อนเข้ารับการบริการ CoolSculpting ลดไขมันสะสม ควรแจ้งประวัติการรักษา ประวัติการแพ้ยา โรคประจำตัวให้ละเอียด

 

Coolsculpting มีกี่หัว แต่ละหัวแตกต่างกันอย่างไร?

CoolSculpting เป็นเทคโนโลยีลดไขมันสะสมเฉพาะจุดที่ใช้ความเย็นจัดในการแช่แข็งเซลล์ไขมัน ซึ่งเซลล์ไขมันที่ถูกแช่แข็งจะเกิดการตาย และถูกขับออกทางระบบขับของเสียของร่างกาย ทำให้สามารถลดไขมันสะสม และกระชับสัดส่วนได้โดยไม่ต้องผ่าตัด และไม่ทำลายเนื้อเยื่อข้างเคียง CoolSculpting จะส่งความเย็นผ่านทางหัว Applicator ที่มีทั้งหมด 5 แบบ ซึ่งแต่ละหัวดูดจะออกแบบมาให้มีขนาด รูปทรง ที่แตกต่างกันออกไป เพื่อมาให้เหมาะสมกับลักษณะและตำแหน่งของไขมันในแต่ละบริเวณของร่างกาย ดังนี้

  1. CoolAdvantage เหมาะสำหรับบริเวณหน้าท้อง เอว ต้นแขน หน้าอกผู้ชาย ปีกหลัง ต้นขาด้านใน หรือใต้ก้น
  2. CoolAdvantage Petite เหมาะสำหรับเก็บรายละเอียดบริเวณหน้าท้อง เอว ต้นแขน หน้าอกผู้ชาย ปีกหลัง ต้นขาด้านใน หรือใต้ก้น 
  3. CoolAdvantage Plus เหมาะสำหรับบริเวณที่มีความกว้างได้ เช่น หน้าท้อง หรือเอว
  4. CoolMini เหมาะสำหรับบริเวณพื้นที่ขนาดเล็ก เช่น เหนียง  เนื้อใต้รักแร้ หรือนมน้อย และบริเวณเหนือเข่า
  5. CoolSmooth Pro เหมาะสำหรับบริเวณพื้นผิวเรียบหรือไขมันแข็ง เช่น ต้นขาด้านนอก ใต้สะโพก หรือกล้ามหน้าท้อง

 

Coolsculpting ลดไขมันสะสมส่วนไหนได้บ้าง ? 

ผู้ที่มีไขมันสะสมเฉพาะจุด และต้องการกระชับรูปร่างให้ได้สัดส่วนที่ชัดเจน CoolSculpting มาพร้อมกับหัว Applicator ที่มีความหลากหลาย จึงสามารถใช้ลดไขมันสะสมเฉพาะจุดได้หลายบริเวณ เช่น

  • บริเวณใบหน้าและเหนียง
  • บริเวณหน้าท้อง
  • บริเวณเอวและห่วงยาง
  • บริเวณนมน้อย
  • บริเวณต้นแขน
  • บริเวณต้นขา
  • บริเวณสะโพกและใต้ก้น
  • บริเวณปีกหลัง

 

Coolsculpting เหมาะกับใคร ?
Coolsculpting เหมาะกับใคร ?

 

Coolsculpting เหมาะกับใคร ?

CoolSculpting เป็นเทคโนโลยีลดไขมันเฉพาะจุดด้วยความเย็นจัดที่ผ่านการรับรองจากอย. ว่าไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ไม่ต้องผ่าตัด และใช้เวลาพักฟื้นน้อย จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ 

  • ผู้ที่มีไขมันเฉพาะจุดในระดับปานกลาง หรือมี BMI < 35 และผู้มีปัญหาไขมันสะสมเฉพาะจุดที่ลดยาก
  • ผู้ที่มีไขมันดื้อลดยาก แม้พยายามควบคุมอาหาร และออกกำลังกายอยู่แล้ว แต่ยังมีไขมันบางจุดก็ไม่ลด
  • ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพหรือข้อจำกัดด้านการออกกำลังกาย ไม่สามารถออกแรงได้เยอะ เช่น ผู้สูงอายุ ผู้มีปัญหาเข่า ข้อ หรือโรคเรื้อรังบางประเภท
  • ผู้ที่ต้องการกระชับสัดส่วนให้รูปร่างดูสมส่วน โดยไม่ต้องศัลยกรรม หรือผ่าตัด 
  • ผู้ที่ไม่อยากผ่าตัดหรือไม่มีเวลาพักฟื้น เนื่องจาก CoolSculpting เป็นเทคโนโลยีที่ไม่มีแผล ทำให้ใช้เวลาพักฟื้นไม่นาน หรือสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติหลังทำทันที เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาจำกัด

ทั้งนี้ ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล การทำ CoolSculpting  ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น ก่อนเข้ารับการบริการ CoolSculpting ควรแจ้งประวัติการรักษา ประวัติการแพ้ยา โรคประจำตัวให้ละเอียด

 

Coolsculpting ไม่เหมาะกับใคร ?

แม้ว่า CoolSculpting จะเป็นเทคโนโลยีลดไขมันสะสมที่ไม่อันตราย และมีผลข้างเคียงที่น้อย แต่อย่างไรก็ตาม อาจมีข้อจำกัดสำหรับคนบางกลุ่มที่ควรพิจารณา หรือปรึกษาแพทย์ก่อนการรักษา ดังนี้ 

  • ผู้ที่มีน้ำหนักตัวเกินเกณฑ์มาก (BMI > 35) หรือผู้ที่มีหนักมากเกินไป
  • ผู้ที่มีภาวะการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ อาจเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาระบบไหลเวียนเลือด
  • ผู้ที่เป็นโรคแพ้ความเย็น อาจเกิดอาการแพ้ที่รุนแรงได้
  • ผู้ที่เพิ่งผ่านการผ่าตัด หรือผู้ที่มีแผลเปิด ผิวหนังอักเสบบริเวณที่ทำ อาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อหรือการอักเสบได้ 
  • ผู้ที่มีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ฝังในร่างกาย เช่น เครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemaker) หรืออุปกรณ์ทางการแพทย์อื่น ๆ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการรักษา
  • ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร อาจส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์
  • ผู้หญิงที่กำลังมีประจำเดือน อาจเกิดการไม่สบายตัวระหว่างทำได้

 

CoolSculpting ทำกี่ครั้งจึงจะเห็นผล ?

ต้องทำ CoolSculpting กี่ครั้งจึงเห็นผล ? เป็นอีกหนึ่งคำถามยอดนิยมที่หลายคนสงสัย โดยทั่วไปแล้วการทำ CoolSculpting ลดไขมันสะสมด้วยความเย็นจะเริ่มเห็นผลลัพธ์ตั้งแต่ครั้งแรก จะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงของสัดส่วนในช่วง 3–4 สัปดาห์  และจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนในช่วง 2-3 เดือนหลังทำ หากต้องการผลลัพธ์ที่ชัดเจนและยาวนานต่อเนื่อง แนะนำให้ทำ CoolSculpting ประมาณ 4 ครั้งต่อเนื่องกันภายใน 1 เดือน โดยสามารถทำซ้ำบริเวณจุดเดิมได้โดยไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย เพื่อคงผลลัพธ์และเพิ่มประสิทธิภาพการลดไขมันสะสมที่ดีขึ้น

ทั้งนี้ ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล การทำ CoolSculpting  ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น ก่อนเข้ารับการบริการ CoolSculpting ควรแจ้งประวัติการรักษา ประวัติการแพ้ยา โรคประจำตัวให้ละเอียด

 

ลดไขมันสะสม CoolSculpting เจ็บไหม?

การลดไขมันสะสมด้วยความเย็นจัด หรือ CoolSculpting เป็นการใช้ความเย็นในอุณหภูมิที่ต่ำกว่าจุดเยือกแข็งเพื่อแช่แข็งเซลล์ไขมัน และทำให้เซลล์ไขมันแตกตัว ระหว่างทำนั้นจะมีการควบคุมอุณหภูมิไม่ให้เกิดความเย็นบนผิวหนังมากเกินไป จึงทำให้เกิดความสบาย ไม่เจ็บมาก และรู้สึกผ่อนคลายระหว่างทำ หลังทำการรักษาก็สามารถกลับบ้านและใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ เนื่องจากไม่ใช่การผ่าตัด จึงไม่จำเป็นต้องใช้ระยะเวลาในการพักฟื้นนาน

 

ผลข้างเคียงหลังทำ CoolSculpting
ผลข้างเคียงหลังทำ CoolSculpting

 

ผลข้างเคียงหลังทำ CoolSculpting

หลังทำการลดไขมันสะสมด้วย CoolSculpting อาจมีผลข้างเคียงเล็กน้อย ซึ่งอาจเป็นเพียงอาการชั่วคราวที่สามารถหายได้เองภายในไม่กี่วัน ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย โดยอาการที่อาจพบ ได้แก่

  1. อาการผิวบวม แดง หรือมีรอยช้ำเล็กน้อยในบริเวณที่ทำ ซึ่งอาจเกิดจากแรงดูดของหัว Applicator ซึ่งอาการจะค่อย ๆ ดีขึ้น
  2. อาจรู้สึกชาหรือเจ็บแปลบบริเวณผิวที่ทำ ซึ่งเป็นผลมาจากความเย็นจัด
  3. ผิวซีดในบริเวณที่ทำ เนื่องจากผิวหนังเกิดการถูกแช่แข็ง แต่จะกลับมาเป็นปกติหลังทำ
  4. อาจพบก้อนแข็งใต้ผิวบริเวณที่ทำ ซึ่งเกิดจากไขมันที่ถูกแช่แข็งกำลังถูกสลายตัว จากนั้นก้อนแข็งจะค่อย ๆ ยุบลงภายใน 1–2 สัปดาห์
  5. เกิดอาการเจ็บหรือรู้สึกไม่สบายตัว เมื่อถูกสัมผัสหรือกดเบา ๆ ในบริเวณที่ทำ จึงไม่ควรสวมใส่เสื้อผ้าที่รัดรูปหรือแน่นในช่วงแรกหลังทำ
  6. อาจรู้สึกระคายเคืองผิวบริเวณที่ทำ เช่น อาการคัน หรือแสบ ซึ่งเกิดจากการตอบสนองของระบบประสาทผิวหนัง จากนั้นอาการจะค่อย ๆ หายไปเอง
  7. อาการตึงผิวกว่าปกติในบริเวณที่ทำ เกิดจากกระบวนการแช่แข็งเซลล์ไขมันของ CoolSculpting และผิวจะค่อย ๆ คลายตัวในไม่กี่วัน
  8. ในบางคนอาจเกิดตะคริวหรือเกร็งกล้ามเนื้อแบบเบา ๆ บริเวณผิวหนังหลังทำ ซึ่งมักหายได้เอง

 

ไขมันสะสม เกิดจากอะไรได้บ้าง?

ไขมันสะสมในร่างกาย คือ ไขมันที่ร่างกายเก็บสะสมไว้ในรูปแบบของพลังงานสำรอง ซึ่งหากมีไขมันที่มากเกินไปจนร่างกายไม่สามารถเผาผลาญได้ทัน ก็อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกาย รวมถึงปัญหารูปร่าง  โดยปัจจัยที่ทำให้เกิดไขมันสะสมในร่างกายมีหลายปัจจัย ดังนี้

  1. การรับประทานอาหารเกินความจำเป็น

อาหารที่มีปริมาณไขมันและแคลอรี่สูง หากรับประทานมากเกินไปจะทำให้ร่างกายได้รับพลังงานที่มากเกินกว่าความจำเป็น และกลายเป็นไขมันสะสมในร่างกาย

  1. ระบบเผาผลาญทำงานต่ำ

ไขมันสะสมอาจเกิดได้จากระบบเผาผลาญที่ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ จึงทำให้ร่างกายใช้พลังงานได้น้อยลง และส่งผลให้ไขมันสะสมได้ง่ายขึ้น ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ในผู้สูงอายุ และผู้ที่ขาดการออกกำลังกาย หรือมีภาวะไทรอยด์ต่ำ

  1. พฤติกรรมเนือยนิ่ง

การไม่ขยับร่างกาย หรือการเคลื่อนไหวร่างกายน้อย จะทำให้ร่างกายใช้พลังงานได้น้อยลง ส่งผลให้พลังงานส่วนเกินถูกสะสมเป็นไขมัน เนื่องจากไม่มีการเผาผลาญไขมันส่วนเกิน

  1. ความเครียดและการพักผ่อนไม่เพียงพอ

ความเครียดและการนอนหลับไม่เพียงพอ อาจจะส่งผลต่อการสะสมไขมันในร่างกาย โดยฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ที่หลั่งเมื่อร่างกายเกิดความเครียด จะกระตุ้นให้เกิดการสะสมไขมัน โดยเฉพาะบริเวณหน้าท้องที่เพิ่มมากขึ้น และยังส่งผลต่อฮอร์โมนที่ควบคุมความหิวและความอิ่ม ทำให้กินมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว

  1. ปัจจัยทางพันธุกรรมและฮอร์โมน

การสะสมไขมันอาจเกิดได้จากปัจจัยทางพันธุกรรมและผู้ที่มีภาวะความผิดปกติของฮอร์โมน เช่น ภาวะไทรอยด์ต่ำ หรือภาวะดื้ออินซูลิน ซึ่งทำให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานได้ยาก และส่งผลให้เกิดการสะสมของไขมันบริเวณหน้าท้องได้ง่ายกว่าปกติ และส่งเสริมให้เกิดไขมันสะสม

 

ไขมันสะสมส่วนเกิน ส่งผลอะไรบ้างต่อสุขภาพ?

ไขมันสะสมในร่างกาย ไม่ได้ส่งผลต่อรูปร่างภายนอกเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อสุขภาพภายในโดยตรง ซึ่งไขมันสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทหลักที่ส่งผลต่อร่างกายแต่ละส่วน ดังนี้ 

  1. ไขมันในหลอดเลือด

ไขมันในหลอดเลือด หมายถึงไขมันรูปแบบคอเลสเตอรอล ซึ่งแบบออกเป็นไขมันชนิดดี HDL และไขมันชนิดร้าย LDL ซึ่งไขมัน LDL จะสะสมอยู่ในผนังหลอดเลือดและเสี่ยงต่อการอุดตันของหลอดเลือด รวมถึงโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง และภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ที่อันตรายต่อชีวิตได้ โดยไขมัน LDL มักจะเกิดจากการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูงเป็นประจำ 

  1. ไขมันใต้ชั้นผิวหนัง (Subcutaneous Fat)

ไขมันใต้ชั้นผิวหนัง เป็นไขมันที่สะสมอยู่ใต้ชั้นผิวหนังในส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็น หน้าท้อง ต้นแขน ต้นขา แก้ม และรอบคอ เป็นไขมันที่สามารถมองเห็นและสัมผัสได้ จึงส่งผลต่อรูปร่างและความมั่นใจในร่างกายโดยตรง แม้ไขมันประเภทนี้จะไม่อันตรายเท่าไขมันในช่องท้องและไขมันในหลอดเลือด แต่หากมีปริมาณที่มากเกินไปก็อาจส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน และอาจส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมาได้ 

  1. ไขมันในช่องท้อง (Visceral Fat)

ไขมันในช่องท้อง เป็นไขมันที่แทรกตัวอยู่ลึก ๆ รอบในอวัยวะภายในช่องท้อง เช่น ตับ ลำไส้ และกระเพาะอาหาร ซึ่งเป็นไขมันที่มีความอันตรายต่อร่างกายอย่างมาก เพราะไขมันจะเข้าไปรบกวนการทำงานจองระบบต่าง ๆ ภายในร่างกาย และหากมีการสะสมที่จำนวนมากก็อาจเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรื้อรัง เช่น โรคอ้วน เบาหวานชนิดที่ 2 โรคหัวใจและหลอดเลือด หรือโรคหลอดเลือดสมอง ไขมันในช่องท้องเป็นไขมันที่ไม่สามารถมองเห็นได้ หากต้องการตรวจอาจจะต้องใช้เครื่องวัดไขมันในช่องท้องโดยเฉพาะ

 

3 ตัวช่วยลดไขมันสะสมเฉพาะจุดยอดนิยม
3 ตัวช่วยลดไขมันสะสมเฉพาะจุดยอดนิยม

 

3 ตัวช่วยลดไขมันสะสมเฉพาะจุดยอดนิยม

การลดไขมันสะสม สามารถลดได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็น การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การคุมอาหาร และการพักผ่อนให้เพียงพอ ซึ่งล้วนเป็นวิธีลดไขมันสะสมแบบพื้นฐานที่หลายคนต่างรู้จัก แต่ไขมันบางจุดในร่างกายก็ไม่สามารถลดได้ง่าย ๆ ด้วยวิธีดังกล่าว เช่น เหนียง หน้าท้อง หรือสะโพก การลดไขมันสะสมด้วยหัตถการ หรือเทคโนโลยีทางการแพทย์ จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะช่วยลดไขมันส่วนเกินเฉพาะจุด พร้อมกระชับสัดส่วนให้ได้รูปและมีประสิทธิภาพ ซึ่ง 3 วิธีลดไขมันที่ได้รับความนิยม มีดังนี้

  • CoolSculpting 

CoolSculpting คือ เทคโนโลยีลดไขมันสะสมเฉพาะจุดด้วยความเย็นจัด (Cryolipolysis) โดยจะใช้ความเย็นระดับ -11°C ถึง -13°C ทำการแช่แข็งเซลล์ไขมันใต้ผิวหนัง ให้ไขมันเกิดการตายอย่างธรรมชาติ โดยไม่กระทบต่อเนื้อเยื่ออื่น จากนั้นเซลล์ไขมันที่ตายจะถูกขับออกตามกลไกทางธรรมชาติของร่างกาย จะเริ่มเห็นชัดเจนใน 1- 3 เดือน ซึ่งการทำ 1 ครั้งสามารถลดเซลล์ไขมันถาวรได้ประมาณ 25% โดยไม่ต้องผ่าตัด ใช้เวลาพักฟื้นน้อย จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มี BMI < 35 และมีไขมันเฉพาะจุดที่ลดได้ยาก และผู้ที่ไม่ต้องการผ่าตัด นิยมทำบริเวณหน้าท้อง เอว ต้นแขน ต้นขา และเหนียง

  • Body Firm 

Body Firm คือ การลดไขมันสะสมเฉพาะจุด โดยการใช้เทคโนโลยีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความเข้มสูง (HIFEM) เพื่อกระตุ้นให้กล้ามเนื้อหดเกร็งเหมือนออกกำลังกายอย่างหนัก เพื่อช่วยกระตุ้นการสร้างกล้ามเนื้อ เพิ่มมวลกล้ามเนื้อ กระชับรูปร่าง และลดไขมันได้พร้อมกันโดยไม่ต้องผ่าตัด จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการรูปร่างกระชับ แต่ไม่สะดวกออกกำลังกายหนัก ไม่ผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น นิยมทำบริเวณหน้าท้อง ต้นแขน ต้นขา สะโพก หรือการสร้างซิกแพคและร่อง 11

  • ดูดไขมัน (Liposuction)

การดูดไขมัน เป็นวิธีลดไขมันสะสมเฉพาะจุดโดยการผ่าตัดที่ต้องทำโดยแพทย์เท่านั้น เนื่องจากอาจมีความเสี่ยงในการผ่าตัด สามารถเห็นผลการเปลี่ยนแปลงได้ภายในครั้งเดียว หลังทำต้องใช้ระยะเวลาในการพักฟื้นหลายสัปดาห์ และต้องสวมใส่ชุดกระชับสัดส่วนทุกวันในช่วงแรก เหมาะสำหรับผู้ที่มีไขมันสะสมในปริมาณมาก หรือมีดัชนีมวลกาย (BMI) มากกว่า 35 นิยมทำบริเวณเหนียง หน้าท้อง ต้นแขน ต้นขา และสะโพก

ทั้งนี้ การลดไขมันสะสมเฉพาะจุดด้วยวิธีทางการแพทย์นั้น ผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับปริมาณไขมันเดิม การดูแลตัวเองหลังทำ และพฤติกรรมการใช้ชีวิตของแต่ละบุคคล

ไขมันสะสม ถือเป็นไขมันที่ส่งผลต่อทั้งรูปร่างและสุขภาพ ซึ่งการลดไขมันสะสมจะช่วยเพิ่มความมั่นใจในรูปร่าง ทั้งยังช่วยให้สุขภาพดีขึ้น วิธีลดไขมันสะสมเฉพาะจุดสามารถทำได้หลายวิธี ซึ่ง CoolSculpting ลดไขมันสะสมด้วยความเย็น ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะช่วยให้การลดไขมันดื้อ ไขมันเฉพาะจุด พร้อมปรับรูปร่างได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องผ่าตัด และใช้เวลาพักฟื้นน้อย สำหรับใครที่สนใจ CoolSculpting สามารถเข้ามาปรึกษาและสอบถามได้ที่ รมย์รวินท์คลินิกทุกสาขา

 

*ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับการบริการ

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด