ฉีด Radiesse Biostimulator สร้างงานผิวคุณภาพ ฟื้นฟูคอลลาเจนระดับลึก
Radiesse Biostimulator เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์กระตุ้นคอลลาเจน ที่ได้รับความนิยมระดับโลกในวงการความงาม ด้วยคุณสมบัติพิเศษที่ไม่เพียงแค่เติมเต็มปริมาตรให้ผิว แต่ยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และอีลาสตินตามธรรมชาติของร่างกาย ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้เเลดูเป็นธรรมชาติ และดูอ่อนกว่าวัยอย่างยาวนาน วันนี้ รมย์รวินท์คลินิกจะพาไปทำความเข้าใจ และรู้จักกับ Radiesse Biostimulator ว่า Radiesse Biostimulator คืออะไร? มีส่วนประกอบอะไร? มีคุณสมบัติอะไร? และเหมาะกับใครบ้าง? สามารถอ่านได้ในบทความนี้
Radiesse Biostimulator คืออะไร?
Radiesse Biostimulator เป็นสารกระตุ้นคอลลาเจนชนิดหนึ่ง ที่ใช้ส่วนประกอบหลักของ Calcium Hydroxylapatite (CaHA) ซึ่งเป็นสารประกอบแร่ธาตุที่สามารถพบได้ตามธรรมชาติ โดยเฉพาะในกระดูก และฟัน โดยมีหน้าที่หลักในการกระตุ้นกระบวนการสร้างคอลลาเจน และฟื้นฟูผิวลึกถึงโครงสร้าง ซึ่งจะมาในรูปแบบเนื้อเจลสีขาวขุ่นที่มีความหนืด และหนาแน่นสูง เมื่อฉีดเข้าผิวหนัง จะเข้าไปเติมปริมาตรให้ผิวในบริเวณที่เกิดช่องว่าง พร้อมกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และอีลาสตินขึ้นใหม่โดยตรง ทำให้ผิวแน่นฟู เรียบเนียน และมีความกระชับอย่างยั่งยืน โดยสามารถคงสภาพของผลลัพธ์ได้นานถึง 24 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวแต่ละบุคคล
Radiesse Biostimulator มีส่วนประกอบอะไรบ้าง?
ประกอบไปด้วยส่วนผสมหลักถึง 2 ชนิด ดังนี้
- Calcium Hydroxylapatite (CaHA) : มีลักษณะเป็นอนุภาคทรงกลมเล็ก ๆ ขนาดไมโครสเฟียร์ มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 25 – 45 ไมครอน ซึ่งเป็นสารที่มีอยู่ในร่างกายมนุษย์ พบได้ในกระดูก และฟัน ทำให้ไม่เสี่ยงอันตราย และสามารถเข้ากับร่างกายได้ดี โดยมีคุณสมบัติในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และอีลาสตินใหม่ใต้ชั้นผิว ทำให้ผิวมีความแข็งแรง ยืดหยุ่น และเต่งตึงในระยะยาว
- Carboxymethylcellulose (CMC) Gel Carrier : เป็นเจลที่ช่วยนำพาอนุภาค CaHA เข้าสู่ชั้นผิว ทำให้สามารถฉีดง่าย และควบคุมตำแหน่งได้ดี โดยมีคุณสมบัติในการเติมเต็มปริมาตรให้ผิวได้อย่างรวดเร็วตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉีด ซึ่งหลังฉีดเสร็จ เจล CMC จะถูกดูดซึม และสลายตัวไปเองตามธรรมชาติ ภายใน 1 – 3 เดือน จากนั้น จะถูกแทนที่ด้วยคอลลาเจนใหม่ที่ร่างกายสร้างขึ้นรอบ ๆ อนุภาค CaHA
Radiesse Biostimulator มีกระบวนการทำงานอย่างไร?
เมื่อทำการฉีด Radiesse Biostimulator เข้าสู่ผิวหนัง สาร CaHA จะเข้าไปเติมเต็มปริมาตรให้ผิวอย่างรวดเร็ว จากนั้นอนุภาคของ CaHA จะทำหน้าที่เป็นโครงสร้าง Scaffold หรือเส้นใยตาข่าย 3 มิติ (3D Matrix) เพื่อกระตุ้นเซลล์ Fibroblast ให้ผลิตคอลลาเจน และอีลาสตินขึ้นใหม่อย่างต่อเนื่องรอบ ๆ ส่งผลให้โครงสร้างผิวค่อย ๆ มีความแข็งแรง ยืดหยุ่น กระชับ และเรียบเนียนขึ้นอย่างแลดูเป็นธรรมชาติ
Radiesse Biostimulator มีคุณสมบัติเด่นอะไร?
Radiesse Biostimulator เป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างสารที่สำคัญต่อผิวหนังถึง 5 ชนิด ซึ่งมีผลต่อคุณภาพของผิวโดยตรง ดังนี้
- ช่วยเพิ่มปริมาณ Collagen Type 1 มากขึ้นถึง 150%
- ช่วยเพิ่มปริมาณ Collagen Type 3 มากขึ้นถึง 130%
- ช่วยเพิ่มปริมาณ Elastin มากขึ้นถึง 260%
- ช่วยเพิ่ม Proteoglycan หรือเสริมกระบวนการสร้างสารน้ำหล่อเลี้ยงผิว
- ช่วยเพิ่ม Angiogenesis หรือเสริมกระบวนการสร้างเส้นเลือดใหม่ในชั้นผิว
ฉีด Radiesse Biostimulator กับ 3 ผลลัพธ์ที่เหนือระดับ
หลังฉีดร่างกายจะค่อย ๆ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ผิวฟื้นฟูอย่างล้ำลึก และให้ผลลัพธ์ที่โดดเด่นถึง 3 ประการ ดังนี้
- Healthier : ผิวแน่นเฟิร์ม เรียบเนียน ดูสุขภาพดี และมีความอิ่มฟูจากภายใน
- Younger : ริ้วรอย ร่องลึกจางลง ผิวยกกระชับ และอ่อนกว่าวัยอย่างแลดูเป็นธรรมชาติ
- Longer : ผิวมีคุณภาพที่ดีอย่างยาวนาน และชะลอความเสื่อมของผิวในระยะยาว
ฉีด Radiesse Biostimulator ตำแหน่งไหนได้บ้าง?
Radiesse Biostimulator เป็นผลิตภัณฑ์กระตุ้นคอลลาเจน และเติมเต็มปริมาตรให้ผิวที่สามารถใช้ได้กับหลายตำแหน่ง โดยตำแหน่งที่นิยมฉีด Radiesse มีดังนี้
- สามารถใช้ฉีดบริเวณหน้าแก้ม เพื่อเพิ่มคอลลาเจน และเพิ่มความแน่นฟูให้กับผิว
- สามารถใช้ฉีดบริเวณร่องแก้ม เพื่อเติมเต็มร่องแก้มลึกให้ดูตื้นขึ้น และฟื้นฟูความหย่อนคล้อยของผิว
- สามารถใช้ฉีดบริเวณร่องน้ำหมาก เพื่อเติมเต็มร่องน้ำหมากให้ดูตื้นขึ้น และเพิ่มความกระชับให้กับผิว
- สามารถใช้ฉีดบริเวณหลุมสิว เพื่อเติมเต็มหลุมสิวให้ดูตื้นขึ้น และเพิ่มความเรียบเนียนให้กับผิว
- สามารถใช้ฉีดบริเวณลำคอ เพื่อฟื้นฟูรอยเหี่ยวย่น และความหย่อนคล้อยของผิว
- สามารถใช้ฉีดบริเวณหลังมือ เพื่อเติมเต็มริ้วรอย และเพิ่มความกระชับให้กับผิว
Radiesse Biostimulator เหมาะกับใคร?
- เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีสัญญาณผิวเสื่อมสภาพตามวัย โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป
- เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการเพิ่มคอลลาเจน และอีลาสตินให้กับผิว
- เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีริ้วรอย รอยพับ รอยเหี่ยวย่น และร่องลึกต่าง ๆ
- เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีผิวหน้าหย่อนคล้อย ขาดมิติ และต้องการยกกระชับผิว
- เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีผิวหนังยุบตัว ต้องการเติมปริมาตรให้ผิว
- เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีผิวไม่แข็งแรง หยาบกร้าน และขาดความยืดหยุ่น
- เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีผิวหลวม ขาดวอลลุ่ม และดูไม่เด้งฟู
- เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีผิวขาดน้ำ ไม่ชุ่มชื้น และดูโทรม
- เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีรูขุมขนกว้าง ผิวดูไม่เรียบเนียน
- เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีรอยแผลเป็น และหลุมสิว
- เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูคุณภาพผิวในระยะยาว
ทั้งนี้ ก่อนฉีด Radiesse Biostimulator ควรปรึกษาแพทย์ และแจ้งประวัติสุขภาพให้แพทย์ทราบอย่างละเอียด ตั้งแต่ประวัติโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ ประวัติการรักษา และยาที่รับประทานเป็นประจำ
Radiesse Biostimulator ไม่เหมาะกับใคร?
- ไม่เหมาะสำหรับ ผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ และให้นมบุตร
- ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีประวัติแพ้การแพ้สารใน Radiesse
- ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาเลือดออกง่าย หรือใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด
- ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีโรคภูมิคุ้มกันผิดปกติ หรือภูมิคุ้มกันบกพร่อง
- ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีการติดเชื้อที่ผิวหนัง เป็นเริม สิวอักเสบ หรือผื่นแพ้
- ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีประวัติการเกิดแผลคีลอยด์ง่าย
ทั้งนี้ ก่อนฉีด Radiesse Biostimulator ควรปรึกษาแพทย์ และแจ้งประวัติสุขภาพให้แพทย์ทราบอย่างละเอียด ตั้งแต่ประวัติโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ ประวัติการรักษา และยาที่รับประทานเป็นประจำ
ฉีด Radiesse Biostimulator ช่วยเรื่องอะไร?
Radiesse Biostimulator เป็นผลิตภัณฑ์กระตุ้นคอลลาเจนที่สามารถตอบโจทย์ปัญหาผิวอย่างหลากหลาย โดยคุณสมบัติที่ได้จากการฉีด Radiesse Biostimulator มีดังนี้
- ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่
- ช่วยเติมเต็มปริมาตรในจุดที่มีการยุบตัว
- ช่วยยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อย
- ช่วยลดเลือนริ้วรอย รอยเหี่ยวย่น และร่องลึก
- ช่วยเพิ่มความแน่น และเพิ่มความยืดหยุ่นของผิว
- ช่วยเพิ่มความอิ่มฟู และเพิ่มวอลลุ่มให้ผิว
- ช่วยกักเก็บความชุ่มชื้น และเติมน้ำให้ผิว
- ช่วยกระชับรูขุมขน และปรับผิวให้เรียบเนียน
- ช่วยลดเลือนรอยแผลเป็น และหลุมสิวตื้น ๆ
- ช่วยปรับให้ผิวดูสดใส สุขภาพดี และมีเลือดฝาด
- ช่วยฟื้นฟูโครงสร้างผิวที่สูญเสียไปตามวัย
- ช่วยปรับปรุงคุณภาพผิวจากภายใน
ฉีด Radiesse Biostimulator ดีอย่างไร?
- กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนมากถึง 2 Type ได้แก่ Collagen Type 1 และ Collagen Type 3
- สามารถเห็นผลได้อย่างรวดเร็ว และดีขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการสร้างคอลลาเจนใหม่
- สามารถคงผลลัพธ์ที่ยาวนาน และไม่ต้องฉีดซ้ำบ่อย โดยเฉลี่ยจะอยู่ได้นานถึง 24 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวแต่ละบุคคล
- สามารถเข้ากันได้ดีกับร่างกาย โดยไม่กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน และไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้หลังฉีด
- เหมาะกับหลายปัญหาผิว โดยสามารถใช้ได้กับผิวที่หย่อนคล้อย มีริ้วรอย ร่องลึก ขาดความชุ่มชื้น รวมถึง มีรูขุมขนกว้าง และหลุมสิว
- ไม่เสี่ยงอันตราย เนื่องจากสารที่ใช้เป็นสารที่พบได้ในร่างกาย รวมถึงมีงานวิจัยตีพิมพ์มากกว่า 250 ฉบับ และมีการนำมาใช้งานในหลากหลายประเทศทั่วทั้งโลก
- เป็นผลิตภัณฑ์กระตุ้นคอลลาเจน ที่ได้รับการอนุมัติอย่างถูกต้องจาก อย.
ฉีด Radiesse Biostimulator กับ ฉีดฟิลเลอร์ ต่างกันไหม?
Radiesse Biostimulator กับฟิลเลอร์มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ในเรื่องของส่วนประกอบ หลักการทำงาน คุณสมบัติ และผลลัพธ์หลังการฉีด ดังนี้
- Radiesse Biostimulator
Radiesse Biostimulator มีส่วนประกอบหลักของ Calcium Hydroxylapatite (CaHA) ซึ่งจะมีจุดเด่นในเรื่องของการกระตุ้นคอลลาเจน ฟื้นฟูผิวชั้นลึก และเติมเต็มปริมาตรให้ผิวเป็นหลัก โดยจะมีลักษณะเป็นเนื้อเจลที่มีความแข็ง และหนาแน่น เหมาะสำหรับการนำมาฉีดในบริเวณผิวชั้นลึก ซึ่งหลังฉีดเสร็จจะให้ผลลัพธ์แบบ 2 ระยะ ได้แก่ ผลลัพธ์ระยะสั้นจากการเติมเต็ม และผลลัพธ์ระยะยาวจากการกระตุ้นคอลลาเจน ทำให้แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นตามวัยได้อย่างครอบคลุม โดยสามารถคงอยู่ได้ยาวนานถึง 24 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวแต่ละบุคคล
- ฟิลเลอร์
ฟิลเลอร์ มีส่วนประกอบหลักของ Hyaluronic Acid (HA) ซึ่งจะมีจุดเด่นในเรื่องของเติมเต็มริ้วรอย ร่องลึก ยกกระชับปรับรูปหน้า และเพิ่มปริมาตรให้ผิวเฉพาะจึดเป็นหลัก โดยไม่ได้มีคุณสมบัติในการกระตุ้นคอลลาเจนเหมือนกับ Radiesse Biostimulator ซึ่งฟิลเลอร์จะมีลักษณะเป็นเนื้อเจลที่มีความหนืด ความยืดหยุ่น และการกระจายตัวที่แตกต่างกัน เช่น เนื้อแข็ง เนื้อกลาง เนื้อนิ่ม และเนื้อละเอียด โดยสามารถเลือกฉีดได้ตามความเหมาะสม ขึ้นอยู่บริเวณที่ต้องการฉีด และปัญหาที่ต้องการแก้ไข ซึ่งหลังฉีดเสร็จสามารถเห็นผลลัพธ์ได้อย่างรวดเร็ว และมีการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน โดยฟิลเลอร์สามารถคงอยู่ได้ยาวนานถึง 6 – 18 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวแต่ละบุคคล
ก่อนฉีด Radiesse Biostimulator ควรเตรียมตัวอย่างไร?
- ควรเข้ารับการประเมินใบหน้า เพื่อให้แพทย์วางแผนการฉีดอย่างเหมาะสม
- งดยา และอาหารเสริมบางชนิดก่อนฉีด เช่น แอสไพริน ไอบูโพรเฟน รวมถึง วิตามินที่ส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด
- งดสูบบุหรี่ และดื่มแอลกอฮอล์
- งดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีฤทธิ์ระคายเคืองผิว เช่น AHA หรือ BHA
- งดออกกำลังกายที่ทำให้เลือดสูบฉีด หรือเคลื่อนไหวแบบรุนแรง
- ควรนอนหลับให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายพร้อมรับการฉีด Radiesse Biostimulator
การฉีด Radiesse Biostimulator มีขั้นตอนอะไรบ้าง?
- ปรึกษา และวิเคราะห์ปัญหาโดยแพทย์
แพทย์จะเป็นผู้ประเมินสภาพผิว ปัญหาที่ต้องการแก้ไข และความต้องการของผู้รับบริการ เพื่อวางแผนการรักษา และเลือกใช้เทคนิคในการฉีดที่เหมาะสม
- เตรียมผิวก่อนฉีดโดยผู้ช่วยแพทย์
ก่อนเริ่มฉีด ผู้ช่วยแพทย์จะทำความสะอาดผิวบริเวณที่ฉีดอย่างทั่วถึง พร้อมทายาชา หรือฉีดยาชาเฉพาะจุด เพื่อให้ผู้รับบริการรู้สึกสบายตัวมากขึ้นขณะฉีด
- ตรวจสอบผลิตภัณฑ์ก่อนเริ่มฉีด
ก่อนเริ่มฉีด สามารถขอตรวจสอบผลิตภัณฑ์ Radiesse ว่าเป็นของแท้หรือไม่ โดยเช็กจากเลข Lot. การผลิต หรือสแกน QR Code เพื่อตรวจสอบข้อมูล
- เริ่มฉีด Radiesse Biostimulator โดยแพทย์
แพทย์จะทำการฉีด Radiesse เข้าไปยังผิวหนังในบริเวณที่วางแผนการรักษาไว้ โดยเทคนิคที่ใช้จะขึ้นอยู่กับปัญหาที่ต้องการแก้ไขของแต่ละบุคคล
- แนะนำวิธีการดูแลตัวเองอย่างเหมาะสม
หลังฉีดเสร็จ แพทย์จะให้คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการดูแลตัวเองอย่างละเอียด พร้อมนัดติดตามผลการรักษาภายหลัง เพื่อประเมินผลลัพธ์ที่ได้ว่าตรงตามความต้องการหรือไม่
หลังฉีด Radiesse Biostimulator ควรปฏิบัติตัวอย่างไร?
- หลีกเลี่ยงการจับ นวด และกดทับบริเวณที่ฉีด
- งดแต่งหน้าในวันแรกที่ทำการฉีด
- งดโดนแสงแดด และกิจกรรมที่สัมผัสความร้อนสูง
- งดนอนคว่ำ นอนตะแคง แนะนำให้นอนหมอนสูงกว่าระดับหน้าอกเล็กน้อย เพื่อลดอาการบวม
- งดสูบบุหรี่ และดื่มแอลกอฮอล์
- งดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีฤทธิ์ระคายเคืองผิว เช่น AHA หรือ BHA
- งดออกกำลังกายที่ทำให้เลือดสูบฉีด หรือเคลื่อนไหวแบบรุนแรง
- ควรดื่มน้ำเป็นประจำ และพักผ่อนอย่างเต็มที่
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการฉีด Radiesse Biostimulator
โดยทั่วไป ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการฉีด Radiesse Biostimulator แบ่งออกเป็น 3 ระยะหลัก ๆ ดังนี้
- ผลลัพธ์ที่เห็นอย่างรวดเร็วหลังฉีด
หลังฉีด Radiesse Biostimulator จะเห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในเรื่องของการเติมปริมาตรให้ผิว และลดริ้วรอย ร่องลึก คล้ายกับการฉีดฟิลเลอร์
- ผลลัพธ์ที่เห็นได้หลังฉีด 1 เดือน
หลังฉีด Radiesse Biostimulator ประมาณ 1 เดือน จะเห็นความเปลี่ยนแปลงในเรื่องของผิวที่มีความยืดหยุ่น อิ่มฟู และดูเนียนละเอียดมากขึ้น จากการที่ร่างกายเริ่มเข้าสู่กระบวนการสร้างคอลลาเจน และอีลาสตินผ่านการทำงานของเซลล์ Fibroblast โดยตรง
- ผลลัพธ์ที่เห็นได้หลังฉีด 6 – 24 เดือน
หลังฉีด Radiesse Biostimulator ประมาณ 6 – 24 เดือน จะเห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนในเรื่องของโครงสร้างผิวที่มีความแข็งแรง และหนาแน่นมากขึ้น จากคอลลาเจนที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ ทำให้ผิวยกกระชับ ดูอ่อนกว่าวัย และมีสุขภาพดีจากภายในอย่างยาวนาน
วิธีเช็ก Radiesse Biostimulator แท้
วิธีการตรวจสอบ Radiesse Biostimulator ของแท้ มีจุดสังเกตที่สามารถตรวจสอบได้เบื้องต้น ดังนี้
- กล่องผลิตภัณฑ์ Radiesse ต้องซีลแน่น ไม่บุบ หรือถูกเปิดมาก่อน รวมถึง คุณภาพการพิมพ์บนกล่องต้องคมชัด ไม่เบลอ หรือผิดเพี้ยน
- มีเลขทะเบียน อย. และเอกสารกำกับระบุไว้อย่างครบถ้วน
- มี QR Code หรือสติกเกอร์ Merz Check ให้สแกน เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล
- มีเลข Lot. ตรงกันทั้ง 2 จุด ได้แก่ บนกล่อง และบนซอง
- มี Radiesse Club Card หรือ Skin Rejuvenation Card ให้หลังฉีด ซึ่งเป็นใบรับประกันที่ยืนยันว่า เป็นผลิตภัณฑ์แท้ที่นำเข้าโดย Merz Aesthetics
- ตรวจสอบเลข Lot. และรายชื่อคลินิกที่ใช้ Radiesse แท้จากบริษัทที่นำเข้าโดยตรงได้ที่ www.merzaesthetics.co.th
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Radiesse Biostimulator
Radiesse Biostimulator ไม่ควรฉีดบริเวณไหน?
โดยทั่วไป การฉีด Radiesse Biostimulator จะไม่แนะนำให้ฉีดในบริเวณที่มีผิวบอบบางโดยตรง ดังนี้
- Radiesse Biostimulator ไม่ควรนำมาฉีดบริเวณใต้ตา
- Radiesse Biostimulator ไม่ควรนำมาฉีดบริเวณระหว่างคิ้ว
- Radiesse Biostimulator ไม่ควรนำมาฉีดบริเวณหน้าผาก
- Radiesse Biostimulator ไม่ควรนำมาฉีดบริเวณริมฝีปาก
- Radiesse Biostimulator ไม่ควรนำมาฉีดบริเวณจมูก
ฉีด Radiesse Biostimulator กี่ครั้งจึงจะได้ผลลัพธ์ที่ดี?
- โดยทั่วไป จำนวนครั้งที่เหมาะสมสำหรับการฉีด Radiesse Biostimulator ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย โดยแพทย์จะเป็นผู้พิจารณา และวางแผนการฉีดที่เหมาะสมกับปัญหาของแต่ละบุคคล ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้ว แพทย์จะแนะนำให้ฉีด อย่างน้อย 1 – 3 ครั้ง และเว้นระยะห่างในแต่ละครั้ง ประมาณ 1 เดือน เพื่อให้ร่างกายสามารถกระตุ้นคอลลาเจนได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
Radiesse Biostimulator อยู่ได้นานแค่ไหน?
- โดยทั่วไป หลังฉีด Radiesse Biostimulator ผลลัพธ์สามารถคงสภาพอยู่ได้ยาวนานถึง 24 เดือน หรือ 2 ปี ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล
Radiesse Biostimulator มีผลข้างเคียงอะไร?
โดยทั่วไป การฉีด Radiesse Biostimulator อาจมีผลข้างเคียงระยะสั้นเกิดขึ้นเล็กน้อยในบริเวณที่ฉีด ซึ่งอาการที่พบได้บ่อย และหายได้เอง มีดังนี้
- หลังฉีด Radiesse Biostimulator อาจมีอาการบวม รอยแดง หรือเขียวช้ำเล็กน้อย
- หลังฉีด Radiesse Biostimulator อาจรู้สึกตึงผิว หรือปวดเล็กน้อย
- หลังฉีด Radiesse Biostimulator อาจมีอาการคัน หรือระคายเคืองผิวเล็กน้อย
Radiesse Biostimulator อันตรายไหม?
โดยทั่วไป การฉีด Radiesse Biostimulator ไม่อันตราย หากเข้ารับการฉีดโดยแพทย์ที่มีความรู้ความสามารถและใช้ Radiesse แท้ที่ได้รับการอนุมัติจาก อย. เนื่องจากสาร CaHA ที่เป็นส่วนประกอบหลักใน Radiesse เป็นสารที่พบได้ในกระดูก และฟัน จึงสามารถเข้ากับร่างกายได้ดี และไม่กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ลดโอกาสเสี่ยงต่อการแพ้ หรือเกิดปฏิกิริยาต่อต้านหลังฉีด นอกจากนี้ Radiesse ยังเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีงานวิจัยตีพิมพ์สนับสนุนเป็นจำนวนมากกว่า 250 ฉบับ และมีการนำมาใช้งานในทั่วโลกมากกว่า 25 ปี
Radiesse Biostimulator เป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ ทั้งการเติมเต็มปริมาตรในระยะสั้น และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในระยะยาว ทำให้ผิวกลับมาแน่นกระชับ อิ่มฟู ยืดหยุ่น และดูอ่อนกว่าวัยจากภายใน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการแก้ไขปัญหาผิวที่เกิดขึ้นตามวัย ไม่ว่าจะเป็นผิวหย่อนคล้อย มีริ้วรอย ร่องลึก ใบหน้าตอบ ขาดน้ำ หรือผิวที่ไม่แข็งแรงก็สามารถตอบโจทย์ได้อย่างครบถ้วน พร้อมมอบผลลัพธ์ที่ยั่งยืน และยาวนานถึง 24 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวแต่ละบุคคล ทำให้ Radiesse จึงถือเป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่น่าจับตามอง และคุ้มค่าแก่การลงทุน ทั้งนี้ สำหรับใครที่สนใจฟื้นฟูผิวหน้าให้ดูอ่อนกว่าวัยด้วย Radiesse สามารถเข้ามาปรึกษา และประเมินสภาพผิวหน้าได้ที่ รมย์รวินท์คลินิก ทุกสาขา
*ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับบริการ
*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯกำหนด