ผิวอิ่มน้ำ เป็นเทรนด์งานผิวยอดฮิตที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของผิวที่ดูสุขภาพดี และได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม ทั้งจากภายใน และภายนอก โดยที่ไม่มันเยิ้ม หรือเหนอะหนะ บทความนี้ เราจะมาเปิดเผยเคล็ดลับการสร้างผิวอิ่มน้ำอย่างละเอียด ตั้งแต่ผิวอิ่มน้ำคืออะไร? ปัจจัยที่ทำให้ผิวอิ่มน้ำมีอะไรบ้าง? มีวิธีดูแลผิวอิ่มน้ำแต่ละช่วงวัยอย่างไร? พร้อมแนะนำหัตถการผิวอิ่มน้ำฉบับรมย์รวินท์คลินิก
เจาะลึก ผิวอิ่มน้ำ คืออะไร?
ผิวอิ่มน้ำ คือ ลักษณะของผิวที่มีความชุ่มชื้น สดใส เปล่งปลั่ง และมีความเงาวาวเหมือนน้ำกลิ้งอยู่บนผิว ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงผิวที่มีคุณภาพ และดูสุขภาพดีจากภายใน โดยส่วนใหญ่การมีผิวอิ่มน้ำมักเกิดขึ้นจากการดูแลตัวเอง และใส่ใจบำรุงผิวอย่างสม่ำเสมอ เช่น การใช้มอยส์เจอไรเซอร์เป็นประจำ ครีมกันแดดทุกวัน ดื่มน้ำบ่อย ๆ พักผ่อนอย่างเพียงพอ และหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำร้ายผิว อีกทั้งในปัจจุบันได้มีการพัฒนาหัตถการผิวอิ่มน้ำ ที่สามารถฟื้นฟูผิวให้ดูฉ่ำวาว และเติมความชุ่มชื้นให้ผิวอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นฉีดฟิลเลอร์งานผิว ฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจน หรือฉีด Skin Booster ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์เรื่องงานผิวโดยตรง โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาผิวแห้ง ขาดน้ำ และแต่งหน้าไม่ติด
ปัจจัยที่ช่วยให้ผิวอิ่มน้ำ มีอะไรบ้าง?
การมีผิวอิ่มน้ำ โดยส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นจากหลายปัจจัยที่ทำงานร่วมกัน ทั้งการดูแลตัวเองจากภายใน และภายนอก ดังนี้
- การใช้มอยส์เจอไรเซอร์
ปัจจัยที่ช่วยให้ผิวอิ่มน้ำ คือ การใช้มอยส์เจอไรเซอร์ทั้งในตอนเช้า และเย็น ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบเจล ครีม โลชั่น หรือเซรั่มล้วนมีส่วนช่วยในการเพิ่มความชุ่มชื้น ลดการสูญเสียน้ำ และเสริมเกราะป้องกันผิว โดยเฉพาะมอยส์เจอไรเซอร์ที่มีส่วนผสมของ Hyaluronic Acid, Glycerin หรือ Ceramide ซึ่งเป็นสารที่ช่วยในการกักเก็บความชุ่มชื้น และดึงน้ำเข้าสู่ผิว ทำให้ผิวดูสุขภาพดีจากภายใน
- การทำความสะอาดผิว
ปัจจัยที่ช่วยให้ผิวอิ่มน้ำ คือ การทำความสะอาดผิวทั้งในตอนเช้า และเย็น เป็นขั้นตอนพื้นฐานสำคัญในการดูแลผิว เนื่องจากช่วยขจัดสิ่งสกปรก และความมันส่วนเกินบนใบหน้า พร้อมเตรียมผิวให้พร้อมรับการบำรุงได้ดีในขั้นตอนถัดไป ซึ่งโดยทั่วไปจะแนะนำให้เลือกใช้คลีนเซอร์สูตรอ่อนโยน และไม่มีส่วนผสมที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง เช่น แอลกอฮอล์ น้ำหอม หรือ SLS (Sodium Lauryl Sulfate) เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวแห้งตึง และถนอมความสมดุลของผิว
- การผลัดเซลล์ผิว
ปัจจัยที่ช่วยให้ผิวอิ่มน้ำ คือ การผลัดเซลล์ผิวสัปดาห์ละ 1 – 2 ครั้ง จะช่วยขจัดเซลล์ผิวเดิมที่เสื่อมสภาพ และสิ่งสกปรกตกค้างบนใบหน้า ทำให้สารบำรุงต่าง ๆ สามารถแทรกซึมเข้าสู่ผิวได้ดีมากขึ้น ซึ่งโดยทั่วไปจะแนะนำให้เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิวสูตรอ่อนโยน และไม่ควรผลัดเซลล์ผิวบ่อยเกินไป เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวบาง แห้งตึง และระคายเคืองได้
- การใช้ครีมกันแดด
ปัจจัยที่ช่วยให้ผิวอิ่มน้ำ คือ การใช้ครีมกันแดดทุกวัน จะช่วยปกป้องผิวที่ถูกทำลายจากรังสี UVA และ UVB ซึ่งโดยทั่วไปจะแนะนำให้เลือกใช้ครีมกันแดดที่เหมาะสมกับสภาพผิว และมีค่า SPF 50 PA+++ ขึ้นไป รวมทั้งใช้ปริมาณอย่างน้อย 2 ข้อนิ้ว และในกรณีที่อยู่กลางแดดนานควรทาซ้ำทุก 2 – 3 ชั่วโมง
- การใช้มาสก์หน้า
ปัจจัยที่ช่วยให้ผิวอิ่มน้ำ คือ การมาสก์หน้าอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 – 3 ครั้ง จะช่วยฟื้นฟูผิวที่เหนื่อยล้า พร้อมเพิ่มความชุ่มชื้น และปลอบประโลมผิวอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งโดยทั่วไปจะแนะนำให้เลือกใช้มาสก์สูตรผิวอิ่มน้ำที่มีความอ่อนโยน หรือมีส่วนผสมของ Hyaluronic Acid, Glycerin จนถึง Ceramide ซึ่งเป็นสารที่ช่วยในการกักเก็บความชุ่มชื้น และเติมน้ำให้กับผิว ทำให้ผิวมีสุขภาพที่ดีอย่างแลดูเป็นธรรมชาติ
- การดื่มน้ำ
ปัจจัยที่ช่วยให้ผิวอิ่มน้ำ คือ การดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 1.5 – 2 ลิตร จะช่วยให้ผิวได้รับความชุ่มชื้นจากภายในสู่ภายนอก และทำให้ผิวตอบสนองต่อสารบำรุงได้ดีมากขึ้น ซึ่งโดยทั่วไปจะแนะนำให้ค่อย ๆ จิบน้ำอย่างสม่ำเสมอตลอดทั้งวัน แทนการดื่มทีเดียวมาก ๆ รวมทั้งหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน และน้ำตาลสูง
- การพักผ่อนให้เพียงพอ
ปัจจัยที่ช่วยให้ผิวอิ่มน้ำ คือ การพักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อยวันละ 7 – 8 ชั่วโมง จะช่วยให้ร่างกายสามารถฟื้นฟูเซลล์ต่าง ๆ ได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะช่วง 22.00 – 02.00 น. ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายจะหลั่งโกรทฮอร์โมน (Growth Hormone) ออกมา เพื่อชะลอความเสื่อมของผิว พร้อมลดการอักเสบ และกระตุ้นกระบวนการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวดูสุขภาพดี และอ่อนกว่าวัย
- การรับประทานอาหารที่ดีต่อผิว
ปัจจัยที่ช่วยให้ผิวอิ่มน้ำ คือ การรับประทานอาหารที่ดีต่อผิว จะช่วยเสริมกระบวนการสร้างคอลลาเจน ลดการอักเสบ และเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว โดยเฉพาะอาหารที่มีวิตามิน และแร่ธาตุสูง เช่น ผลไม้ตระกูลเบอร์รี ชาเขียว มะเขือเทศ อะโวคาโด เนื้อปลา และธัญพืชชนิดต่าง ๆ
- การทำหัตถการผิวอิ่มน้ำ
ปัจจัยที่ช่วยให้ผิวอิ่มน้ำ คือ การทำหัตถการผิวอิ่มน้ำ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวอย่างรวดเร็ว และให้ผลลัพธ์ได้ที่ชัดเจนเมื่อเทียบกับการใช้ครีมบำรุงเพียงอย่างเดียว โดยเฉพาะหัตถการกลุ่มฟิลเลอร์งานผิว และหัตถการกลุ่ม Collagen Biostimulator เช่น Sculptra, Radiesse, Profhilo หรือ Karisma Rh Collagen ที่ช่วยปรับปรุงคุณภาพจากภายใน และฟื้นฟูผิวระดับลึก
รวมหัตถการผิวอิ่มน้ำยอดฮิต
ปัจจุบันการทำหัตถการผิวอิ่มน้ำมีให้เลือกหลากหลายผลิตภัณฑ์ ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยม มีดังนี้
Belotero Revive
- ส่วนผสม : Belotero Revive มีส่วนผสมหลักของ Hyaluronic Acid (HA) และ Glycerol (กลีเซอรอล)
- จุดเด่น : Belotero Revive เป็นฟิลเลอร์งานผิวที่ช่วยปรับปรุงคุณภาพผิว และเติมน้ำให้ผิว พร้อมทั้งปลอบประโลม และฟื้นฟูผิวถึง 4 มิติ ได้แก่ ผิวเด้งกระชับ ผิวเรียบเนียน ผิวกระจ่างใส และผิวอิ่มน้ำ
- จุดที่นิยมฉีด : การฉีด Belotero Revive จะนิยมฉีดบริเวณหน้าแก้ม รอบดวงตา ริมฝีปาก ลำคอ และมือ
- จำนวนครั้งที่ฉีด : การฉีด Belotero Revive โดยทั่วไปจะแนะนำให้ฉีดประมาณ 3 ครั้ง และเว้นระยะห่างในแต่ละครั้งประมาณ 4 สัปดาห์ เพื่อให้สารบำรุงสามารถทำงานได้อย่างเต็มที่
- ผลลัพธ์คงอยู่ : หลังฉีด Belotero Revive ผลลัพธ์สามารถคงอยู่ได้นานประมาณ 6 – 9 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล
Dorothy Dewy
- ส่วนผสม : Dorothy Dewy มีส่วนผสมหลักของ Hyaluronic Acid (HA) ที่มี Particle size < 100 micron
- จุดเด่น : Dorothy Dewy เป็นฟิลเลอร์งานผิวที่ช่วยอุ้มน้ำ และปรับผิวให้ดูสุขภาพดี พร้อมทั้งฟื้นฟูงานผิวถึง 5 มิติ ได้แก่ ผิวโกลว์ ผิวชุ่มชื้น ผิวเนียนละเอียด ผิวแน่นกระชับ และใบหน้าดูมีมิติ
- จุดที่นิยมฉีด : การฉีด Dorothy Dewy จะนิยมฉีดบริเวณหน้าแก้ม ใต้ตา และลำคอ
- จำนวนครั้งที่ฉีด : การฉีด Dorothy Dewy โดยทั่วไปจะแนะนำให้ฉีดประมาณ 2 ครั้ง และเว้นระยะห่างในแต่ละครั้งประมาณ 4 สัปดาห์ เพื่อให้สารบำรุงสามารถทำงานได้อย่างเต็มที่
- ผลลัพธ์คงอยู่ : หลังฉีด Dorothy Dewy ผลลัพธ์สามารถคงอยู่ได้นานประมาณ 6 – 12 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล
Rejuran
- ส่วนผสม : Rejuran มีส่วนผสมหลักของ Polynucleotide (PN)
- จุดเด่น : Rejuran เป็นสกินบูสเตอร์ (Skin Booster) ที่ช่วยซ่อมแซมเซลล์ผิวที่เสียหาย กระตุ้นการหลั่งของ Growth Factor และเพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิว พร้อมทั้งต้านการอักเสบ และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนจากภายใน
- จุดที่นิยมฉีด : การฉีด Rejuran จะนิยมฉีดบริเวณหน้าแก้ม ใต้ตา หน้าผาก ร่องแก้ม ร่องมุมปาก ลำคอ และมือ
- จำนวนครั้งที่ฉีด : การฉีด Rejuran โดยทั่วไปจะแนะนำให้ฉีดประมาณ 4 ครั้ง และเว้นระยะห่างในแต่ละครั้งประมาณ 2 – 3 สัปดาห์ เพื่อให้สารบำรุงสามารถทำงานได้อย่างเต็มที่
- ผลลัพธ์คงอยู่ : หลังฉีด Rejuran ผลลัพธ์สามารถคงอยู่ได้นานประมาณ 3 – 6 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล
Sculptra
- ส่วนผสม : Sculptra มีส่วนผสมหลักของ Poly-L-Lactic Acid (PLLA), Carboxymethylcellulose (CMC) และ Mannitol
- จุดเด่น : Sculptra เป็นสารกระตุ้นคอลลาเจนที่ช่วยฟื้นฟูโครงสร้างผิวชั้นลึก เพิ่มปริมาณคอลลาเจนชนิดที่ 1 และยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อย พร้อมทั้งเพิ่มความหนาแน่นให้ผิว และปรับผิวให้ดูสุขภาพดีจากภายใน
- จุดที่นิยมฉีด : การฉีด Sculptra จะนิยมฉีดบริเวณหน้าแก้ม ขมับ โหนกแก้ม และกรอบหน้า
- จำนวนครั้งที่ฉีด : การฉีด Sculptra โดยทั่วไปจะแนะนำให้ฉีดประมาณ 2 – 3 ครั้ง และเว้นระยะห่างในแต่ละครั้งประมาณ 4 – 6 สัปดาห์ เพื่อให้สารบำรุงสามารถทำงานได้อย่างเต็มที่
- ผลลัพธ์คงอยู่ : หลังฉีด Sculptra ผลลัพธ์สามารถคงอยู่ได้นานประมาณ 2 ปี ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล
Radiesse
- ส่วนผสม : Radiesse มีส่วนผสมหลักของ Calcium Hydroxylapatite (CaHA) และ Carboxymethylcellulose (CMC)
- จุดเด่น : Radiesse เป็นสารกระตุ้นคอลลาเจนที่ช่วยเติมเต็มปริมาตรให้ผิว พร้อมทั้งเพิ่มสารที่สำคัญต่อผิวถึง 5 ชนิด ได้แก่ คอลลาเจนชนิดที่ 1, คอลลาเจนชนิดที่ 3, อีลาสติน, Proteoglycan และ Angiogenesis
- จุดที่นิยมฉีด : การฉีด Radiesse จะนิยมฉีดบริเวณหน้าแก้ม ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก ขมับ กรอบหน้า และหลังมือ
- จำนวนครั้งที่ฉีด : การฉีด Radiesse โดยทั่วไปจะแนะนำให้ฉีดประมาณ 1 – 3 ครั้ง และเว้นระยะห่างในแต่ละครั้งประมาณ 4 สัปดาห์ เพื่อให้สารบำรุงสามารถทำงานได้อย่างเต็มที่
- ผลลัพธ์คงอยู่ : หลังฉีด Radiesse ผลลัพธ์สามารถคงอยู่ได้นานประมาณ 2 ปี ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล
Profhilo
- ส่วนผสม : Profhilo มีส่วนผสมหลักของ Hyaluronic Acid (HA) ที่มีความเข้มข้นสูงถึง 32 mg/ml
- จุดเด่น : Profhilo เป็นสารกระตุ้นคอลลาเจนที่ช่วยปรับปรุง และฟื้นฟูโครงสร้างของผิว (Bio-Remodeling) พร้อมทั้งเพิ่มปริมาณคอลลาเจนถึง 4 ชนิด ได้แก่ คอลลาเจนชนิดที่ 1, คอลลาเจนชนิดที่ 3, คอลลาเจนชนิดที่ 4 และคอลลาเจนชนิดที่ 7
- จุดที่นิยมฉีด : การฉีด Profhilo จะนิยมฉีดบริเวณหน้าแก้ม รอบดวงตา รอบมุมปาก กรอบหน้า ลำคอ มือ และหน้าอก
- จำนวนครั้งที่ฉีด : การฉีด Profhilo โดยทั่วไปจะแนะนำให้ฉีดประมาณ 2 ครั้ง และเว้นระยะห่างในแต่ละครั้งประมาณ 4 สัปดาห์ เพื่อให้สารบำรุงสามารถทำงานได้อย่างเต็มที่
- ผลลัพธ์คงอยู่ : หลังฉีด Profhilo ผลลัพธ์สามารถคงอยู่ได้นานประมาณ 6 – 9 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล
Karisma Rh Collagen
- ส่วนผสม : Karisma Rh Collagen มีส่วนผสมหลักของ Collagen Polypeptide a1 Chain R (Rh Collagen), High Molecular Weight Hyaluronic Acid (HMW – HA) และ Carboxymethylcellulose (CMC)
- จุดเด่น : Karisma Rh Collagen เป็นสารกระตุ้นคอลลาเจนที่ช่วยเติมเต็ม ปรับปรุงความยืดหยุ่น และเพิ่มปริมาณคอลลาเจนชนิดที่ 1 พร้อมด้วยคอลลาเจนชนิดที่ 2 และคอลลาเจนชนิดที่ 3 เพิ่มเติม
- จุดที่นิยมฉีด : การฉีด Karisma Rh Collagen จะนิยมฉีดบริเวณหน้าแก้ม หน้าผาก รอบดวงตา ระหว่างคิ้ว ลำคอ มือ และหน้าอก
- จำนวนครั้งที่ฉีด : การฉีด Karisma Rh Collagen โดยทั่วไปจะแนะนำให้ฉีดประมาณ 3 ครั้ง โดยครั้งแรก และครั้งที่สองควรเว้นระยะห่างประมาณ 4 สัปดาห์ จากนั้นครั้งที่สาม ควรเว้นระยะห่างจากครั้งที่สองประมาณ 4 – 8 เดือน เพื่อให้สารบำรุงสามารถทำงานได้อย่างเต็มที่
- ผลลัพธ์คงอยู่ : หลังฉีด Karisma Rh Collagen ผลลัพธ์สามารถคงอยู่ได้นานประมาณ 6 – 12 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล
พฤติกรรมที่ทำให้ผิวไม่อิ่มน้ำ มีอะไรบ้าง?
พฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ทำให้ผิวหยาบกร้าน และไม่อิ่มน้ำ สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย ดังนี้
- การไม่ใช้มอยส์เจอไรเซอร์สม่ำเสมอ หรือบำรุงผิวไม่เพียงพอ จะส่งผลให้ผิวขาดน้ำ และแห้งตึงได้ง่าย
- การทำความสะอาดผิวจนบ่อยเกินไป หรือใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่ทำให้ผิวแห้งตึง จะส่งผลให้ผิวระคายเคืองได้ง่าย และยิ่งสูญเสียน้ำมากขึ้น
- การไม่ใช้ครีมกันแดดเป็นประจำ หรือใช้ครีมกันแดดไม่เพียงพอ จะส่งผลให้คอลลาเจนถูกทำลาย และผิวสูญเสียน้ำได้ง่าย
- การดื่มน้ำน้อย หรือดื่มน้ำไม่เพียงพอ จะส่งผลต่อความชุ่มชื้นของร่างกายโดยตรง และทำให้ผิวขาดน้ำได้
- การพักผ่อนน้อย หรือพักผ่อนไม่เพียงพอ จะส่งผลให้ผิวสูญเสียน้ำ ขาดการซ่อมแซม และฟื้นฟู
- การสูบบุหรี่ และดื่มแอลกอฮอล์บ่อยจนเกินไป จะส่งผลต่อการทำลายคอลลาเจน และอีลาสตินใต้ผิวหนัง
- การมีความเครียดสะสม จะส่งผลให้ผิวสูญเสียน้ำ เสื่อมสภาพก่อนวัย และเกิดการอักเสบได้ง่าย
- การรับประทานอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ หรือรับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ จะส่งผลให้ผิวเกิดการอักเสบ เสื่อมสภาพเร็ว และขาดความสมดุลได้ง่าย
เคล็ดลับดูแลผิวอิ่มน้ำแต่ละช่วงวัย
การดูแลผิวอิ่มน้ำให้สอดคล้องกับแต่ละช่วงวัยเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ผิวได้รับการบำรุงอย่างเหมาะสม และตอบโจทย์กับปัญหาผิวอย่างแท้จริง ดังนี้
- ช่วงวัย 20 ปี
การดูแลผิวอิ่มน้ำในช่วงวัย 20 ปีขึ้นไป จะเป็นช่วงที่เริ่มมีปัญหาผิวไม่มาก โดยส่วนใหญ่ปัญหาที่พบบ่อยมักจะเกิดจากมลภาวะ แสงแดด ความเครียด และการพักผ่อนไม่เพียงพอ ซึ่งจะเน้นการดูแลผิว โดยการใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่บางเบาเป็นประจำ ทาครีมกันแดดทุกวัน และมาสก์หน้าสัปดาห์ละ 2 – 3 ครั้ง พร้อมด้วยการทำหัตถการผิวอิ่มน้ำกลุ่ม Skin Booster หรือฟิลเลอร์งานผิว เช่น Rejuran, Dorothy Dewy หรือ Belotero Revive เพื่อให้ผิวมีความชุ่มชื้น และดูฉ่ำวาวจากภายใน รวมทั้งผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยนสัปดาห์ละ 1 – 2 ครั้ง และควรเริ่มใช้สกินแคร์ที่มีส่วนผสมของสารต้านอนุมูลอิสระ เพื่อปกป้องผิวจากมลภาวะ และสัญญาณริ้วรอยแรกเริ่ม
- ช่วงวัย 30 ปี
การดูแลผิวอิ่มน้ำในช่วงวัย 30 ปีขึ้นไป จะเป็นช่วงที่การผลิตคอลลาเจน และอีลาสตินเริ่มลดลงเรื่อย ๆ ทำให้ผิวเริ่มแห้งกร้าน รูขุมขนกว้าง และมีริ้วรอยเกิดขึ้นเล็กน้อย ซึ่งการดูแลผิวจะเน้นไปที่การใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่มีความเข้มข้น ทาครีมกันแดดสม่ำเสมอ และดูแลผิวรอบดวงตา ควบคู่กับการทำหัตถการผิวอิ่มน้ำกลุ่มฟิลเลอร์งานผิว หรือสารกระตุ้นคอลลาเจน เช่น Dorothy Dewy, Belotero Revive, Radiesse หรือ Profhilo เพื่อให้ผิวมีความชุ่มชื้น กระชับ และดูอ่อนกว่าวัยจากภายใน รวมทั้งควรใช้สกินแคร์ที่มีส่วนผสมของวิตามินซี วิตามินอี หรือไนอาซินาไมด์
- ช่วงวัย 40 ปี
การดูแลผิวอิ่มน้ำในช่วงวัย 40 ปีขึ้นไป จะเป็นช่วงที่การผลิตคอลลาเจน และอีลาสตินลดลงอย่างมาก ทำให้ผิวมีความแห้งกร้าน ขาดความยืดหยุ่น มีริ้วรอย และใบหน้าหย่อนคล้อยชัดเจนขึ้น ซึ่งการดูแลผิวจะเน้นไปที่การใช้มอยส์เจอไรเซอร์สูตรเข้มข้น ทาครีมกันแดดเป็นประจำ รวมถึงดูแลผิวบริเวณรอบดวงตา และลำคอ ควบคู่กับการทำหัตถการผิวอิ่มน้ำกลุ่มสารกระตุ้นคอลลาเจน เช่น Sculptra, Radiesse, Profhilo หรือ Kariama Rh Collagen เพื่อฟื้นฟูโครงสร้างผิว ลดเลือนริ้วรอย ร่องลึก และยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อย รวมทั้งควรใช้สกินแคร์ที่มีส่วนผสมของสารต้านอนุมูลอิสระ และเสริมเกราะป้องกันผิว เช่น เปปไทด์ ไนอาซินาไมด์ หรือเซราไมด์
- ช่วงวัย 50 ปีขึ้นไป
การดูแลผิวอิ่มน้ำในช่วงวัย 50 ปีขึ้นไป จะเป็นช่วงที่ผิวต้องการการดูแลเป็นพิเศษ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย และการผลิตคอลลาเจนที่ลดลงอย่างชัดเจน ทำให้ผิวบางลง มีความหยาบกร้าน หมองคล้ำ ขาดความยืดหยุ่น มีริ้วรอย และใบหน้าหย่อนคล้อยอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งการดูแลผิวจะเน้นไปที่การใช้มอยส์เจอไรเซอร์ หรือออยล์ที่มีความเข้มข้นสูง รวมถึงดูแลผิวบริเวณลำคอ รอบดวงตา และเนินอก ควบคู่กับการทำหัตถการผิวอิ่มน้ำกลุ่มสารกระตุ้นคอลลาเจนในผิวชั้นลึก เช่น Sculptra หรือ Radiessen เพื่อเติมวอลลุ่ม เพิ่มความหนาแน่นให้ผิว ลดเลือนริ้วรอย ร่องลึก และยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อย รวมทั้งควรใช้สกินแคร์ที่มีส่วนผสมของสารต้านอนุมูลอิสระ และเสริมเกราะป้องกันผิว เช่น วิตามินซี วิตามินอี เปปไทด์ ไนอาซินาไมด์ หรือเซราไมด์
ผิวอิ่มน้ำ กับ ผิวแห้ง ต่างกันอย่างไร?
ผิวอิ่มน้ำ และผิวแห้งมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนในหลาย ๆ ด้าน ทั้งในด้านลักษณะภายนอกของผิว และสุขภาพผิวโดยรวม โดยผิวอิ่มน้ำจะมีลักษณะผิวที่ดูชุ่มชื้น อิ่มน้ำ เปล่งปลั่ง และดูฉ่ำวาว ซึ่งเป็นสัญญาณของผิวที่ได้รับการบำรุง และดูแลอย่างเหมาะสมทั้งจากภายใน และภายนอก ในขณะที่ผิวแห้งจะมีลักษณะผิวที่ดูแห้งตึง หยาบกร้าน หมองคล้ำ และลอกเป็นขุย ซึ่งเป็นสัญญาณของผิวที่ขาดการบำรุง และไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม เช่น ดื่มน้ำน้อย ทำความสะอาดผิวบ่อยเกินไป ไม่ใช้มอยส์เจอไรเซอร์สม่ำเสมอ พักผ่อนไม่เพียงพอ หรือสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ อีกทั้งผิวแห้งยังมีแนวโน้มที่จะเกิดริ้วรอย ร่องลึก ใบหน้าหย่อนคล้อย และดูแก่กว่าวัยได้ง่ายเมื่อเทียบกับผิวอิ่มน้ำ
ผิวอิ่มน้ำ กับ ผิวมัน ต่างกันอย่างไร?
แม้ผิวอิ่มน้ำ และผิวมันจะมีความเงาวาวที่เหมือนกัน แต่ก็มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนในหลาย ๆ ด้าน ทั้งในด้านลักษณะภายนอกของผิว และสุขภาพผิวโดยรวม โดยผิวอิ่มน้ำจะมีลักษณะผิวที่ดูชุ่มชื้น อิ่มน้ำ เปล่งปลั่ง และดูฉ่ำวาว ซึ่งเป็นสัญญาณของผิวที่มีความสมดุลระหว่างน้ำ และน้ำมันในผิว ในขณะที่ผิวมันจะมีลักษณะผิวที่ดูมันเยิ้ม เหนอะหนะ รูขุมขนกว้าง และมีแนวโน้มเป็นสิวง่าย ซึ่งเป็นสัญญาณของผิวที่ขาดความสมดุล เนื่องจากมีการผลิตน้ำมันออกมาจากต่อมไขมันมากจนเกินไป และแม้จะดูมันแค่ภายนอก แต่ภายในผิวอาจขาดน้ำได้ ทำให้ผิวยิ่งแห้งตึง และดูโทรมในระยะยาว ดังนั้นหากต้องการมีผิวอิ่มน้ำที่แท้จริง ควรเน้นการดูแลผิวให้มีความชุ่มชื้นจากภายใน โดยการเลือกใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่เติมน้ำให้ผิว ทาครีมกันแดดเป็นประจำ ดื่มน้ำบ่อย ๆ และหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่กระตุ้นการผลิตน้ำมันมากเกินไป เพื่อให้ได้ผิวอิ่มน้ำ โกลว์ เรียบเนียน กระจ่างใส และดูสุขภาพดีอย่างแท้จริง
จะเห็นได้ว่า การมีผิวอิ่มน้ำไม่ใช่เรื่องยาก หากเริ่มต้นจากการใส่ใจดูแลตัวเอง และบำรุงผิวอย่างเหมาะสม โดยการทำความสะอาดผิวอย่างอ่อนโยน ทาครีมกันแดดสม่ำเสมอ ใช้มอยส์เจอไรเซอร์เป็นประจำ ดื่มน้ำให้เพียงพอ พักผ่อนให้เต็มที่ กินอาหารที่มีประโยชน์ต่อผิว ไปจนถึงการหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำร้ายผิว เช่น การนอนดึก ดื่มแอลกอฮอล์ และสูบบุหรี่ ซึ่งล้วนเป็นพฤติกรรมเสี่ยงที่เร่งให้ผิวเสื่อมสภาพก่อนวัย และสูญเสียความชุ่มชื้นได้ง่าย แต่สำหรับใครที่ต้องการมีผิวอิ่มน้ำอย่างรวดเร็ว การเสริมด้วยหัตถการความงาม เช่น Rejuran, Belotero Revive, Sculptra, Radiesse หรือ Profhilo ควบคู่ไปด้วย ก็ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ทำให้ผิวอิ่มน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ และให้ผลลัพธ์ที่ยั่งยืนในระยะยาว
*ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับบริการ
*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯกำหนด