ฝ้าเป็นปัญหาผิวที่พบได้บ่อย ซึ่งเกิดจากความผิดปกติของการสร้างเม็ดสีเมลานินในชั้นผิว ส่งผลให้เกิดรอยดำหรือรอยคล้ำบนใบหน้า ซึ่งนอกจากปัจจัยภายในแล้วปัจจัยภายนอกที่พบในชีวิตประจำวันก็มีส่วนสำคัญในการกระตุ้นให้เกิดฝ้าได้เช่นเดียวกัน บทความนี้จึงจะพาคุณไปทำความเข้าใจว่า พฤติกรรมหรือกิจวัตรที่คุณอาจทำโดยไม่รู้ตัวในแต่ละวันนั้น ส่งผลต่อการเกิดฝ้าอย่างไร พร้อมแนะนำแนวทางการปรับพฤติกรรมเพื่อช่วยชะลอและลดลดโอกาสของการเกิดฝ้าได้
ฝ้าคืออะไร ?
ฝ้า (Melasma) คือภาวะที่ผิวหนังเกิดรอยคล้ำหรือแผ่นสีเข้มผิดปกติ ซึ่งฝ้าส่วนใหญ่มักมีสีน้ำตาลอ่อนจนถึงน้ำตาลเข้ม หรือในบางครั้งอาจมีสีเทา โดยการเกิดฝ้าเกิดขึ้นจากการที่เม็ดสีเมลานินถูกผลิตออกมามากเกินความจำเป็น ซึ่งเกิดได้จากหลายปัจจัยกระตุ้น ซึ่งฝ้านั้นสามารถพบได้ให้หลายบริเวณทั่วใบหน้าและร่างกาย
ชีวิตประจำวันส่งผลต่อการเกิดฝ้าอย่างไร ?
ชีวิตประจำวันส่งผลต่อการเกิดฝ้า เนื่องจากกิจวัตรที่เราทำซ้ำในแต่ละวันสามารถกระตุ้นหรือเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของผิวหนังได้ โดยปัจจัยพฤติกรรมในชีวิตประจำวันที่ทำให้เกิดฝ้า มีดังนี้
- การสัมผัสแสงแดดโดยไม่ป้องกัน ทำให้เกิดการกระตุ้นการผลิตเม็ดสีเมลานิน ซึ่งเป็นสาเหตุของฝ้าได้
- ความเครียด เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่กระตุ้นให้เกิดฝ้าได้เนื่องจากความเครียดเรื้อรังส่งผลต่อฮอร์โมนในร่างกาย ซึ่งสามารถกระตุ้นการเกิดฝ้าได้
- การนอนหลับไม่เพียงพอ เพิ่มความเสี่ยงต่อการอักเสบและทำให้การเกิดฝ้าได้ เนื่องจากการนอนหลับไม่เพียงพอส่งผลให้ร่างกายฟื้นฟูผิวได้ไม่เต็มที่
- การรับประทานอาหารและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง หรือการดื่มแอลกอฮอล์ อาจส่งผลให้เกิดฝ้าได้ เนื่องจากอาหารเหล่านี้ส่งผลต่อสมดุลฮอร์โมนและกระบวนการอักเสบในร่างกาย
- การดูแลผิวไม่เหมาะสม หากใช้ผลิตภัณฑ์ที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง การล้างหน้ารุนแรง อาจทำให้ผิวไวต่อแสง ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดฝ้ามากขึ้น
- การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ในช่วงที่ร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน จะส่งผลโดยตรงต่อการเกิดฝ้าได้
พฤติกรรมในชีวิตประจำวันมีผลต่อการเกิดฝ้าทั้งทางตรงและทางอ้อม การดูแลตัวเองอย่างเหมาะสมจะช่วยลดโอกาสในการเกิดฝ้าได้
ฝ้ามีกี่แบบ ?
ฝ้าสามารถแบ่งได้หลายชนิด แบ่งตามระดับความลึกของเม็ดสีที่สะสมอยู่ในชั้นผิว ซึ่งฝ้าแต่ละชนิดจะมีความแตกต่างกันออกไป ดังนี้
- ฝ้าตื้น (Epidermal Melasma)
ฝ้าตื้นจะเกิดขึ้นที่ชั้นหนังกำพร้า(Epidermis) ซึ่งเป็นผิวชั้นบนสุด โดยฝ้าตื้นมักมีลักษณะเป็นสีน้ำตาลเข้มจนถึงดำ ซึ่งแตกต่างจากฝ้าลึกที่มักเป็นสีน้ำตาลอมเทาหรือเทาอมฟ้า สีของฝ้าตื้นมักจะดูชัด เพราะอยู่ใกล้ผิวด้านบน โดยฝ้าตื้นจะตอบสนองการรักษาได้ง่ายกว่าฝ้าอื่น ๆ เนื่องจากอยู่ผิวด้านบน
- ฝ้าลึก (Dermal Melasma)
ฝ้าลึกเกิดขึ้นที่ชั้นหนังแท้ (Dermis) ซึ่งเป็นชั้นที่อยู่ลึกกว่าหนังกำพร้า และมีโครงสร้างซับซ้อนมากกว่า ทำให้การรักษายากขึ้น โดยฝ้าลึกมีลักษณะสีที่แตกต่างจากฝ้าตื้น คือ ฝ้าตื้นจะมีสีออกน้ำตาลอมฟ้า เทา หรือ ม่วงน้ำตาลบอกถึงการสะสมของเมลานินในระดับลึก ทำให้การรักษาฝ้าประเภทนี้มักจะรักษายากกว่าและต้องใช้วิธีที่ซับซ้อนขึ้น
- ฝ้าผสม (Mixed Melasma)
ฝ้าผสมเป็นฝ้าที่มีเม็ดสีเมลานินสะสมอยู่ทั้งในชั้นหนังกำพร้า (epidermis) และชั้นหนังแท้ (dermis) ทำให้การรักษาฝ้าชนิดนี้ค่อนข้างซับซ้อน เพราะต้องจัดการเม็ดสีในหลายระดับของผิว โดยฝ้าผสมมักมีสีน้ำตาลเข้มปะปนกับสีเทาอมฟ้าหรือม่วงเทาในบริเวณเดียวกัน ซึ่งบางครั้งอาจสังเกตเห็นเป็นชั้นสีซ้อนกัน หรือสีไม่สม่ำเสมอในแผ่นฝ้าเดียวกัน ซึ่งจะมีบางบริเวณจะมี ขอบเขตชัดเจนคล้ายฝ้าตื้น ส่วนอื่น ๆ จะดู เบลอหรือกระจายคล้ายฝ้าลึก
บริเวณที่มักเกิดฝ้า
ฝ้า (Melasma) มักเป็นรอยคล้ำหรือจุดสีเข้มบนผิวหนัง พบได้บ่อยบริเวณใบหน้า แต่นอกจากทั่วใบหน้าแล้วยังสามารถเกิดได้อีกหลายบริเวณทั่วร่างกาย โดยบริเวณที่พบฝ้า มีดังนี้
บริเวณที่มักเกิดฝ้าบนใบหน้า
- โหนกแก้ม
- หน้าผาก
- จมูก
- เหนือริมฝีปากบน
- ขมับหรือกรอบหน้า
บริเวณอื่น ๆ ของร่างกายที่อาจเกิดฝ้าได้
- คอ
- แขน
- หลังมือ
รวมวิธีรักษาฝ้า
ฝ้าเป็นปัญหาผิวที่เกิดจากการสร้างเม็ดสีเมลานินมากเกินไปในชั้นผิวหนัง ทำให้เกิดเป็นปื้นสีน้ำตาลหรือเทาเข้ม ซึ่งการรักษาฝ้าสามารถทำได้หลายวิธีและควรเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับสภาพผิวของแต่ละบุคคลและประเภทของฝ้าด้วยค่ะ โดยวิธีการรักษาฝ้าหลัก ๆ มีดังนี้
1.การทาครีมลดฝ้า
การเลือกใช้ครีมลดฝ้า ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมที่ได้รับการยอมรับในทางการแพทย์ว่ามีประสิทธิภาพในการลดเลือนฝ้า เพื่อช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานินในผิวหนัง ทำให้สีผิวโดยรวมแลดูสว่างขึ้นและรอยฝ้าค่อย ๆ จางลงเมื่อใช้ผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง
2.การใช้ยารับประทานรักษาฝ้า
การรักษาฝ้าด้วยการรับประทานยาเป็นวิธีหนึ่งที่แพทย์ใช้ร่วมกับการทาครีมหรือทำหัตถการอื่น ๆ โดยการรับประทานยารักษาฝ้าจะช่วยลดเม็ดสีที่ผิดปกติ แต่ยาทุกชนิดที่รับประทานต้องใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น เนื่องจากยารักษาฝ้าอาจมีผลข้างเคียงต่อระบบต่าง ๆ ของร่างกาย และไม่เหมาะกับผู้ที่มีภาวะสุขภาพบางอย่าง จึงต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด โดยยารักษาฝ้าที่นิยมใช้ มีดังนี้
- Tranexamic Acid
- Glutathione
- วิตามิน C และ E
- Polypodium leucotomos extract (PLE)
3.การรักษาฝ้าด้วยการใช้เลเซอร์
ปัจจุบันการรักษาฝ้ามีหลากหลายวิธี หนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมและได้ผลลัพธ์ชัดเจนคือการใช้เลเซอร์ เนื่องจากมีเทคโนโลยีหลากหลายชนิดที่สามารถพัฒนาให้เหมาะกับปัญหาผิวและความลึกของฝ้าแตกต่างกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเลเซอร์รักษาสิวที่ได้รับความนิยม มีดังนี้
3.1 NU Pico Laser เป็นเทคโนโลยีที่เหมาะสำหรับการรักษาฝ้า ทำงานโดยการปล่อยพลังงานเลเซอร์ในระดับพิโควินาที ทำให้เม็ดสีเมลานินแตกตัวออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ โดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อรอบข้าง นอกจากนี้ยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ส่งผลให้ผิวเรียบเนียนและกระจ่างใสขึ้นได้อีกด้วย
ข้อดีของ NU Pico Laser ในการรักษาฝ้า
- NU Pico Laser ลดโอกาสการกลับมาเป็นซ้ำของฝ้า
- NU Pico Laser ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวเนียนละเอียดและสุขภาพดีขึ้น
- NU Pico Laser ไม่เป็นอันตราย แม้ผิวบอบบาง แพ้ง่าย
- NU Pico Laser เห็นผลได้รวดเร็วภายในไม่กี่ครั้ง
3.2 Sylfirm X Plus เป็นเทคโนโลยีที่ใช้การทำงานระหว่าง RF Micro-needle (Radio Frequency Microneedling) และพลังงานคลื่น Dual Wave ที่มีความสามารถในการปล่อยพลังงานแบบ Continuous Wave และ Pulsed Wave พร้อมกัน ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ ช่วยปรับโครงสร้างผิวให้แข็งแรงและเรียบเนียนยิ่งขึ้น
ข้อดีของ Sylfirm X Plus ในการรักษาฝ้า
- Sylfirm X Plus ลดเลือนฝ้าเลือดและฝ้าลึกได้
- Sylfirm X Plus ปรับสีผิวให้สม่ำเสมอและกระจ่างใส
- Sylfirm X Plus กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในระดับลึก
- Sylfirm X Plus ช่วยกระชับรูขุมขนและลดเลือนริ้วรอย
3.3 Dual Yellow Laser เป็นเทคโนโลยีเลเซอร์ที่มีความยาวคลื่น 578 nm (Yellow) และ 511 nm (Green) จึงสามารถรักษาได้ดีในการรักษาปัญหาผิวที่เกี่ยวข้องกับเม็ดสีและเส้นเลือดใต้ผิว โดยเฉพาะการรักษาฝ้า
ข้อดีของ Dual Yellow Laser ในการรักษาฝ้า
- Dual Yellow Laser รักษาทั้งฝ้าเม็ดสีและฝ้าเลือดได้
- Dual Yellow Laser ลดการอักเสบและการกระตุ้นเม็ดสี
- Dual Yellow Laser ฟื้นฟูผิวและกระตุ้นคอลลาเจน
- Dual Yellow Laser ไม่ทำลายผิวชั้นบน สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ ไม่มีแผล ไม่มีสะเก็ด
- Dual Yellow Laser ไม่เป็นอันตราย เหมาะกับทุกสภาพผิว แม้ในผู้ที่มีผิวบอบบางแพ้ง่าย
- Dual Yellow Laser ลดโอกาสที่ผิวจะเกิดรอยคล้ำหลังทำเลเซอร์ได้
3.4 Code of White เป็นเทคโนโลยีเลเซอร์ที่ออกแบบมาเพื่อลดเลือนฝ้าและจุดด่างดำ โดยส่งพลังงานเลเซอร์ในระดับที่พอเหมาะ เพื่อลดการกระตุ้นผิวให้อักเสบ จึงเหมาะกับผู้ที่ต้องการดูแลผิวอย่างต่อเนื่องโดยไม่เกิดผลข้างเคียงรุนแรง
ข้อดีของ Code of White ในการรักษาฝ้า
- Code of White ลดความเสี่ยงของการเกิดรอยคล้ำหลังเลเซอร์
- Code of White รักษาฝ้าได้ทั้งฝ้าเม็ดสีและฝ้าลึก
- Code of White ทำให้ผิวขาวกระจ่างใสแบบสม่ำเสมอ
- Code of White ฟื้นฟูผิวและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
- Code of White ไม่มีการทำลายผิวหนังชั้นบน จึงสามารถทำได้บ่อยตามแผนการรักษา
- Code of White เหมาะสำหรับผู้มีผิวบอบบางหรือเคยแพ้การรักษาอื่น
โปรแกรมรักษาฝ้า Melasma Fade ที่รมย์รวินท์
โปรแกรมรักษาฝ้า Melasma Fade เป็นโปรแกรมเฉพาะทางจากรมย์รวินท์คลินิก ที่ออกแบบมาเพื่อรักษาฝ้า โดยใช้การยับยั้งเอนไซม์ที่สร้างเม็ดสีเมลานิน ช่วยให้ผิวกระจ่างใสขึ้น พร้อมทั้งลดโอกาสการเกิดฝ้าใหม่
ข้อดีของโปรแกรมรักษาฝ้า Melasma Fade
- Melasma Fade จัดการฝ้าได้อย่างตรงจุดด้วยการเข้าไปยับยั้งการผลิตเม็ดสีเมลานิน
- Melasma Fade ลดโอกาสการกลับมาเป็นฝ้าซ้ำในอนาคต
- Melasma Fade ลดฝ้า จุดด่างดำ และผิวหมองคล้ำได้
- Melasma Fade เห็นผลลัพธ์ได้ในระยะเวลาไม่นาน
- Melasma Fade ไม่ทำลายผิวชั้นบน ไม่ก่อให้เกิดแผลหรืออาการลอกผิว
4 เหตุผลที่ควรรักษาฝ้า
ฝ้าเป็นปัญหาผิวที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะในผู้ที่ต้องเผชิญกับแสงแดดและมลภาวะอยู่เป็นประจำ หากละเลยไม่ดูแลรักษาฝ้าตั้งแต่แรกเริ่ม อาจทำให้เกิดปัญหาฝ้าเรื้อรังและยากต่อการรักษาในอนาคตได้ นอกจากนี้ยังส่งผลต่อสุขภาพผิวโดยรวมได้อีกด้วย ดังนี้
- ลดความเสี่ยงการเกิดฝ้าและกระลุกลาม
หากเป็นฝ้าแล้วไม่ดูฉลรักษา ฝ้าอาจลุกลามและเข้มขึ้น จนกลายเป็นปัญหาเรื้อรังที่ต้องใช้ระยะเวลาและงบประมาณในการรักษามากขึ้นได้ การรักษาฝ้าตั้งแต่เริ่มต้นจะช่วยควบคุมอาการให้อยู่ในระดับที่จัดการได้ง่ายกว่า
- ช่วยเพื่อความมั่นใจในตัวเองได้ดี
การรักษาฝ้าทำให้ผิวดูเรียบเนียน สม่ำเสมอ และส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดี เนื่องจากฝ้าทำให้ผิวหน้าดูหมองคล้ำ ไม่สดใส
- ช่วยส่งเสริมให้สุขภาพผิวดีในระยะยาว
การรักษาฝ้าไม่ได้เป็นเพียงแค่รักษารอยดำคล้ำบนใบหน้า แต่ยังช่วยฟื้นฟูสภาพผิวให้กลับมาเนียนนุ่ม กระจ่างใส ฟื้นฟูผิวให้แข็งแรงขึ้นได้อีกด้วย
- ช่วยฟื้นฟูผิวให้ผิวแลดูอ่อนกว่าวัย
ผิวที่เป็นฝ้าจะดูหมองคล้ำและแลดูแก่กว่าวัย ทำให้ผิวหน้าดูอ่อนล้า ขาดความสดใส การรักษาฝ้าจะช่วยลดเลือนจุดจ่างดำ แต่ยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ลดเลือนริ้วรอย และป้องกันการเกิดฝ้าใหม่ในอนาคต ทำให้ผิวหน้าดูอ่อนกว่าวัยและสุขภาพดี
ฝ้าสามารถหายเองได้ไหม ?
ฝ้าเป็นปัญหาผิวที่เกี่ยวข้องกับความผิดปกติในการทำงานของเซลล์เม็ดสีใต้ผิวหนัง ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นแบบฉับพลัน แต่เป็นการสะสมของเม็ดสีเมลานินที่เพิ่มมากขึ้นทีละเล็กทีละน้อยจากการกระตุ้นซ้ำ ๆ ทำให้ผิวเกิดจุดด่างดำขึ้นมา แม้ฝ้าจะไม่ใช่โรคร้ายแรงแต่ก็ไม่สามารถหายได้เองตามธรรมชาติ โดยสาเหตุที่ทำให้ฝ้าไม่สามารถหายไปเองได้ มีดังนี้
- ปัจจัยกระตุ้นให้เกิดฝ้ายังคงมีอยู๋ในชีวิตประจำวัน
การที่ไม่รักษาฝ้าตั้งแต่เนิ่น แล้วปล่อยให้ผิวเผชิญกับปัจจัยการกระตุ้นต่าง ๆ และไม่ได้รับการป้องกันที่เหมาะสม จะส่งผลให้เซลล์เม็ดสีถูกกระตุ้นอยู่ตลอดเวลา
- ความลึกของเม็ดสีในชั้นผิว
ฝ้าบางประเภทฝังลึกถึงชั้นหนังแท้ ทำให้การจางลงเป็นไปได้ยาก และต้องใช้เวลานานหรือวิธีการรักษาเฉพาะทาง
- การเสื่อมของเซลล์ผิวตามวัย
เมื่ออายุมากขึ้นระบบฟื้นฟูผิวตามธรรมชาติลดลง ทำให้ฝ้าไม่จางลงได้เอง โดยเฉพาะฝ้าที่เกิดในผู้ที่มีอายุมาก
- ฝ้าเป็นภาวะเรื้อรัง
ฝ้าเป็นภาวะเรื้อรัง มีโอกาสกลับมาได้ตลอด แม้จะรักษาหายแล้วก็ตาม หากยังสัมผัสกับปัจจัยกระตุ้นเดิม ทำให้ฝ้าไม่สามารถหายได้เองและพร้อมกลัยมาได้เสมอหากไม่ได้รับการดูแลและป้องกันอย่างเหมาะสม
นอกจากนี้หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ดูแลรักษาฝ้า ฝ้ามักจะพัฒนาเป็นภาวะเรื้อรังที่รักษาได้ยาก โดยเฉพาะหากยังคงได้รับปัจจัยกระตุ้นเดิม หรือไม่ได้ป้องกันผิวอย่างเหมาะสม อาจทำให้ฝ้ามีสีเข้มขึ้น และแพร่กระจายเป็นบริเวณกว้าง และส่งผลกระทบต่อสภาพผิวและความมั่นใจในระยะยาวได้
รวม 5 ปัจจัยที่ทำให้เกิดฝ้าซ้ำแม้รักษาหายแล้ว
แม้ฝ้าจะได้รับการรักษาจนจางลงหรือหายไปแล้ว แต่โอกาสที่ฝ้าจะกลับมาใหม่ยังสามารถเกิดขึ้นได้ หากไม่ได้ควบคุมและหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นที่ทำให้เกิดฝ้า ซึ่งปัจจัยเหล่านี้มีทั้งจากภายนอกและภายในร่างกาย ดังนี้
- แสงแดดและรังสียูวี (UV)
หากไม่ป้องกันผิวจากแสงแดดและ UV ฝ้ามีแนวโน้มกลับมาได้ง่ายมาก เนื่องจากแสงแดดเป็นปัจจัยกระตุ้นหลักที่กระตุ้นการสร้างเม็ดสีเมลานิน แม้จะอยู่ในร่มก็ยังมีรังสี UVA ที่สามารถทะลุผ่านหน้าต่างกระจกได้
- การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน
การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย โดยเฉพาะในผู้หญิงมีผลต่อการทำงานของเมลาโนไซต์ ส่งผลให้ฝ้ากลับมาอีกได้
- การใช้เครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์ที่ระคายเคืองผิว
การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารก่อให้เกิดการระคายเคืองหรือสารที่ไวต่อแสง อาจทำให้ผิวอ่อนแอและกระตุ้นฝ้าให้กลับมาได้เร็วขึ้น
- การไม่ทาครีมกันแดดหรือใช้ครีมกันแดดไม่เหมาะสม
หากไม่ป้องกันแสงแดดอย่างสม่ำเสมอหรือเลือกครีมกันแดดที่ค่า SPF ไม่เหมาะกับชีวิตประจำวัน ฝ้าจะกลับมาได้ง่ายแม้เพิ่งรักษาให้จางไปแล้ว
- ความเครียดและการพักผ่อนไม่เพียงพอ
เมื่อร่างกายมีความเครียดและการพักผ่อนไม่เพียงพอ ทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนบางชนิดที่ส่งผลต่อความสมดุลของผิว รวมถึงกระตุ้นการอักเสบ ส่งผลเป็นตัวการให้เร่งการเกิดฝ้าได้
การดูแลหลังการรักษาอย่างต่อเนื่องแม้รักษษฝ้าหายแล้ว จะช่วยลดโอกาสการเกิดฝ้าซ้ำซากในอนาคตและช่วยให้ผิวสุขภาพดีอีกด้วย
แนวทางการลดความเสี่ยงในการเกิดฝ้าในชีวิตประจำวัน
การใช้ชีวิตประจำวันของเราส่งผลให้เกิดฝ้าได้โดยตรง เพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงในการเกิดฝ้าจากการใช้ชีวิตประจำวัน สามารถทำได้ตามแนวทาง ดังนี้
- หลีกเลี่ยงแสงแดดโดยตรง การหลีกเลี่ยงแสงแดดโดยตรงโดยเฉพาะในช่วงเวลา 10.00-16.00 น. จะช่วยลดการเกิดฝ้าได้อย่างดี เพราะแสงแดดและ UV ถือเป็นตัวการสำคัญในการเกิดฝ้า หากจำเป็นต้องออกแดดควรสวมหมวกปีกกว้าง สวมแว่นกันแดด หรือใช้ร่ม เพื่อไม่ให้ผิวสัมผัสกับแสงแดดโดยตรง
- ทาครีมกันแดดเป็นประจำ หากต้องการลดโอกาสเกิดฝ้าควรทาครีมกันแดดเป็นประจำ โดยเลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 และมีค่า PA+++ ขึ้นไป และทาครีมกันแดดซ้ำทุก 2-3 ชั่วโมงเมื่ออยู่กลางแจ้ง
- ดูแลสุขภาพจากภายใน การรับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ ดื่มน้ำให้เพียงพอ และพักผ่อนให้เพียงพอ จะช่วยลดโอกาสในการเกิดฝ้าได้
- หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์ที่ทำให้ผิวระคายเคือง การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ แอลกอฮอล์ น้ำหอม หรือสารที่อาจก่อให้เกิดการแพ้ อาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองต่อผิวหนัง ส่งผลให้เกิดฝ้าหรือกระตุ้นให้ฝ้ารุนแรงขึ้นได้ด้วย
- ปรึกษาแพทย์ผิวหนังหากเกิดฝ้า เมื่อเริ่มเป็นฝ้า ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยที่ถูกต้อง และแนะนำแนวทางการดูแลผิวที่เหมาะสม ไม่ปล่อยให้เกิดฝ้าเรื้อรัง
วิธีการดูแลผิวขณะรักษาฝ้า
การดูแลผิวระหว่างการรักษาฝ้าถือเป็นขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยส่งเสริมให้การรักษษฝ้ามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพราะหากดูแลไม่ถูกวิธีอาจทำให้ฝ้ารุนแรงขึ้นหรือกลับมาเป็นซ้ำได้ โดยวิธีการดูแลผิวขณะรักษาฝ้า สามารถทำได้ ดังต่อไปนี้
- หลีกเลี่ยงแสงแดดให้มากที่สุด เนื่องจากแสงแดดเป็นตัวกระตุ้นการสร้างเมลานิน ในระหว่างการรักษาฝ้าจึงควรหลีกเลี่ยงการเผชิญแสงแดดโดยตรง เพื่อไม่ให้ฝ้าเกิดซ้ำในขณะที่กำลังรักษาอยู่
- ทาครีมกันแดดเป็นประจำ ในระหว่างการรักษาฝ้าควรทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไป และมีค่า PA+++ เพื่อให้สามารถป้องกันทั้ง UVA และ UVB เป็นประจำทุกวัน เพื่อป้องกันการกระตุ้นการสร้างเม็ดสีเมลานินเพิ่ม
- หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ระคายเคืองผิวและสารที่ทำให้ผิวไวต่อแสง เนื่องจากระหว่างการรักษาฝ้า ผิวของเรามักจะอ่อนแอลงและไวต่อสิ่งกระตุ้นมากกว่าปกติ การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารระคายเคืองอาจทำให้ผิวอักเสบ ผิวแดง แสบ หรือแห้งลอก และสามารถกระตุ้นให้ฝ้าเข้มขึ้นได้
- ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ช่วยลดการอักเสบและเสริมเกราะผิว เนื่องจากในช่วงที่ผิวกำลังรักษาฝ้า มักจะเกิดภาวะผิวอ่อนแอ,อักเสบ หรือไวต่อสิ่งกระตุ้นได้ง่าย การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวจะเป็นการช่วยให้ผิวแข็งแรง ลดการอักเสบ และช่วยให้การรักษาฝ้ามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น พร้อมลดผลข้างเคียงจากการรักษาได้ดีอีกด้วย แต่ทั้งนี้ควรปรึกษาแพทย์ที่ดูแลการรักษาฝ้าก่อนการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์
- ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ระหว่างการรักษษควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ ไม่ควรหยุดใช้ยาหรือเปลี่ยนผลิตภัณฑ์รักษาเอง และควรพบแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ผลการรักษาออกมาอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่เป็นอันตราย และลดความเสี่ยงที่ฝ้าจะลุกลามหรือกลับมาอีกในอนาคต
กิจวัตรประจำวันของเรามีผลอย่างมากต่อการเกิดฝ้า ทั้งในแง่ของการกระตุ้นให้เกิดฝ้าใหม่และทำให้ฝ้าที่มีอยู่เดิมรุนแรงขึ้น โดยพฤติกรรมในชีวิตประจำวันที่มักส่งผลต่อการเกิดฝ้า ได้แก่การเผชิญแสงแดดโดยไม่ป้องกัน ถือเป็นสาเหตุหลักที่กระตุ้นการผลิตเม็ดสีเมลานิน ทำให้เกิดฝ้าและทำให้ฝ้าเข้มขึ้นได้ นอกจากนี้การนอนหลับไม่เพียงพอและการพักผ่อนไม่เป็นเวลา ทำให้กระบวนการฟื้นฟูผิวทำงานได้ไม่เต็มที่ อีกทั้งความสมดุลของฮอร์โมนในร่างกายและความเครียดสะสม ยังเป็นอีกปัจจัยที่กระตุ้นให้ฝ้า และทำให้ฝ้าเข้มขึ้นได้เช่นกัน
ทำให้การใช้ชีวิตประจำวันอย่างเหมาะสมและใส่ใจในรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดฝ้า และทำให้การรักษาฝ้ามีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นในระยะยาวได้
*ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลและเงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด