รู้ไว้ใช่ว่า ปรับรูปหน้าเรียว Thermage, Ulthera และ Hifu เหมือนหรือต่างกันอย่างไร

202

หน้าไม่กระชับ ผิวหนังหย่อนคล้อย เป็นหนึ่งในปัญหาหลักของผู้หญิงที่พบเห็นกันได้อยู่เสมอ แน่นอนว่าปัจจัยสำคัญคือเรื่องของอายุซึ่งเป็นสิ่งที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ก็ใช่ว่าเราจะต้องยอมจำนนต่อธรรมชาติเสมอไป โชคดีที่สมัยนี้มีเทคโนโลยีในการทำหน้าเรียวมากมายที่ทำให้เราสวยได้เพียงเจ็บตัวนิดเดียวเท่านั้น สำหรับบทความนี้จะพาทุกคนไปรู้จักกับ 3โปรแกรมยกกระชับปรับรูปหน้าเรียวที่ฮิตที่สุดในเวลานี้ค่ะ

3 โปรแกรมยอดฮิต ยกกระชับผิวหน้า ปรับรูปหน้าเรียว

  1. Thermage เทอร์มาจ เป็นการใช้ความถี่ของคลื่นวิทยุส่งพลังงานความร้อนผ่านชั้นผิวด้านบนสุดเข้าไปทำงานในผิวชั้นล่าง หลักการคือคลื่นเสียงนี้จะทำให้โครงสร้างใต้ผิวหนังเกิดการสั่นอย่างรวดเร็ว ทำให้ผิวกระชับตัวดีขึ้น ปรับรูปหน้าเรียวได้
  2. Ulthera อัลเทาร่า เป็นการทำงานโดยคลื่นอัลตร้าซาวด์ ส่งผ่านพลังงานแบบไปที่ชั้นผิวหนังชั้น smas ซึ่งเป็นผิวหนังชั้นลึก จึงทำให้เกิดการหดตัว Ulthera เป็นนวัตกรรมที่สามารถทำงานกับชั้นผิวที่ลึกที่สุดเลยก็ว่าได้
  3. Hifu ส่วนไฮฟูนั้นใช้หลักการเดียวกันกับอัลเทร่า กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและปรับรูปหน้าเรียวเหมือนกัน เพียงแต่ความเข้มข้นของการส่งผ่านคลื่นจะน้อยกว่า แต่ข้อดีคือเจ็บน้อยที่สุด เหมาะสำหรับคนที่กลัวความเจ็บ

Thermage ต่างกับ Ulthera และ Hifu อย่างไร

เป็นอะไรที่ทำให้หลายคนสับสนพอสมควรระหว่างตัวช่วยในการยกกระชับทั้ง 3 ตัว กับ เทอร์มาจ อัลเทาร่า และ ไฮฟู ก่อนอื่นเลยขอแบ่งตามประเภทของคลื่นก่อน โดย “เทอร์มาจ เป็นการใช้ความถี่ของคลื่นวิทยุ”[  ส่วน “อัลทาร่า และ ไฮฟู ใช้คลื่นประเภทเดียวกันคือคลื่นอัลตราซาวด์”

จุดเด่นของโปรแกรมแต่ละประเภทก็แตกต่างกัน ในความเข้าใจของคนไทยมักจะเรียกโปรแกรม 3 อย่างนี้ว่าการ”ยกกระชับปรับรูปหน้า” แต่ความหมายในเชิงลึก “อัลทาร่าและไฮฟูจะเน้นไปที่…การยก” (ส่งคลื่นลงไปใต้ชั้นผิวหนังเพื่อทำให้ไขมันและกล้ามเนื้อที่ห้อยย้อย ยกกลับมายังจุดเดิม) ส่วน “เทอร์มาจจะเน้นที่…การกระชับ” (คลื่นเสียงจะทำให้ไขมันที่อยู่ใต้ผิวหนังเกิดการสั่นอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดการเกาะกลุ่มกันแน่นขึ้น กระชับขึ้น ทำให้ชั้นไขมันที่หนา ดูบางลง ปรับรูปหน้าเรียวได้)

 ส่วนอัลทาร่ากับไฮฟู หลายคนอาจสงสัยว่าต่างกันอย่างไร อัลทาร่าจะเป็นการส่งผ่านคลื่นลงไปในชั้นผิวที่ได้ลึกกว่า ซึ่งก็คือชั้น SMAS การทำงานในระดับที่ลึกกว่าทำให้ผลที่ได้อยู่นานกว่า แต่ก็เจ็บกว่า และค่าใช้จ่ายมากกว่าไฮฟู ส่วนไฮฟูข้อดีตรงกันข้ามกับอัลเทอร่า คือเจ็บน้อยกว่า แต่ก็ผลลัพธ์อยู่ได้น้อยกว่า ถ้าหากจะทำให้ได้ผลดีอย่างต่อเนื่องควรทำไฮฟูซ้ำปีละ 2-3 ครั้ง ต่างกับอัลเทร่าที่อยู่ได้นานถึง 1 ปี

ทำไมถึงปรับรูปหน้าเรียวแล้วไม่ได้ผล

หลายคนสงสัยว่าทำไมเข้าคอร์สยกกระชับปรับรูปหน้าเรียวแล้วไม่ได้ผล ต้องยอมรับว่าตัวแปรหนึ่งที่สำคัญคือ “ปริมาณของ Shot ที่ยิงนั้นน้อยเกินไป” หลายคนเข้าใจว่าขอแค่ได้ยิงผลลัพธ์ก็น่าจะไม่ต่างกัน ความจริงแล้วความเข้มข้นและความลึกของการส่งพลังงานคลื่นนั้นมีความสำคัญมาก โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาผิวหน้าหย่อนคล้อยเยอะเป็นพิเศษ หรือผู้ที่มีไขมันเยอะเป็นพิเศษ การยิง Shot ที่น้อยก็ไม่ต่างจากการทาครีมกันแดดบาง ๆ แล้วคาดหวังจะกันแดดได้นานหลายชั่วโมง ส่วนความลึกในการส่งคลื่นลงสู่ชั้นผิวก็เปรียบเหมือนกับค่า SPF ที่ยิ่งน้อยก็ย่อมป้องกันแดดได้น้อยกว่า แต่เหตุผลที่ปรับค่าของเครื่องให้ส่งน้อยลงนั้นเป็นเพราะหลายคนกลัวเจ็บนั่นเอง

จะเห็นได้ว่าโปรแกรมยกกระชับปรับรูปหน้าเรียวทั้ง 3 นี้ยังมีข้อจำกัดอยู่บ้าง การเลือกจำนวน shot เยอะย่อมนำมาซึ่งค่าใช้จ่ายที่สูง ส่วนการส่งคลื่นลงไปในระดับผิวที่ลึกย่อมทำให้รู้สึกเจ็บ ฉะนั้นวิธีการแก้ไขที่ดีที่สุดคือการทำทั้ง 3 โปรแกรมรวมกัน หรือเลือกทำสองอย่างควบคู่กัน แต่ทั้งนี้แต่ละคนควรจะ mixed and match แบบไหนดี ควรจะปรึกษาแพทย์เป็นรายบุคคลค่ะ สำหรับท่านใดที่อยากปรึกษาการยกกระชับปรับรูปหน้าเรียวด้วย 3 โปรแกรมนี้ สามารถสอบถามได้ฟรี ที่รมย์นวินท์คลินิกทุกสาขาค่ะ