ข้อดีของ Dorothy Dewy ฟิลเลอร์งานผิวฉ่ำโกลว์ เนียนละเอียด

ข้อดีของ Dorothy Dewy ฟิลเลอร์งานผิวฉ่ำโกลว์ เนียนละเอียด

ข้อดีของ Dorothy Dewy ฟิลเลอร์งานผิวฉ่ำโกลว์ เนียนละเอียด

ในปี 2025 เทรนด์งานผิวฉ่ำโกลว์ อิ่มน้ำ ดูสุขภาพดียังคงได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการทำหัตถการกลุ่มฟิลเลอร์งานผิว จึงถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ และน่าจับตามองอย่างมาก โดยหนึ่งในผลิตภัณฑ์งานผิวใหม่ล่าสุดที่กำลังมาแรงในตอนนี้ คือ “Dorothy Dewy” ตัวช่วยเติมน้ำ และปรับปรุงคุณภาพผิว เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการมีงานผิวฉ่ำวาว และเปล่งปลั่ง โดยไม่ต้องการพักฟื้นนาน และไม่เสี่ยงต่อการเกิดก้อนหลังฉีด ในบทความนี้ จะพาไปเจาะลึกถึงข้อดีของ Dorothy Dewy ว่ามีอะไรบ้าง? และมีข้อจำกัดอย่างไร? เพื่อเป็นทางเลือกประกอบการตัดสินใจก่อนเลือกฉีด

 

รวมข้อดีของ Dorothy Dewy มีอะไรบ้าง? มีข้อจำกัดอย่างไร?

 

ข้อดีของ Dorothy Dewy ฟิลเลอร์งานผิว
ข้อดีของ Dorothy Dewy ฟิลเลอร์งานผิว

 

ข้อดีของ Dorothy Dewy ฟิลเลอร์งานผิว

การฉีด Dorothy Dewy ฟิลเลอร์งานผิว มีข้อดี และจุดเด่นอยู่หลายประการ ดังนี้

  • Dorothy Dewy มีความเข้มข้นสูง

Dorothy Dewy เป็นฟิลเลอร์งานผิวที่มีส่วนประกอบของ Hyaluronic Acid (HA) แบบ Crosslinked ซึ่งมีความเข้มข้นสูงถึง 20 mg/CC ทำให้สามารถคงประสิทธิภาพของผลลัพธ์ได้ยาวนาน และเติมเต็มความชุ่มชื้นได้อย่างเป็นธรรมชาติ

  • Dorothy Dewy มีอนุภาคขนาดเล็ก

Dorothy Dewy เป็นฟิลเลอร์งานผิวที่มีส่วนประกอบของ Hyaluronic Acid (HA) แบบ Crosslinked โดยมีอนุภาคขนาดเล็กกว่า 100 ไมครอน (<100 micron) ซึ่งเป็นขนาดที่เล็กกว่าฟิลเลอร์งานผิวทั่วไป ทำให้ได้เนื้อสารเติมเต็มที่บางเบา และสามารถกระจายตัวได้ดีในผิวหนัง โดยไม่ก่อให้เกิดก้อนแข็งได้ง่าย 

  • Dorothy Dewy ให้ผลลัพธ์แบบ 2 in 1

ฃDorothy Dewy เป็นฟิลเลอร์งานผิวที่ให้ผลลัพธ์แบบ 2 in 1 โดยใช้เทคนิค IFRHA ในการฉีด ทำให้ได้ผลลัพธ์ ทั้งการเติมเต็มความชุ่มชื้นให้ผิวฉ่ำโกลว์ สุขภาพดี และเพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิวแน่น กระชับ และอิ่มฟูจากภายใน

  • Dorothy Dewy ได้รับการรับรองมาตรฐานสากล

Dorothy Dewy เป็นฟิลเลอร์งานผิวที่ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับสากลจาก สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) โดยมีการนำมาใช้งานในวงการแพทย์มากกว่า 40 ประเทศทั่วโลก

  • Dorothy Dewy 1 ไซริงค์ มีปริมาณ 3 CC

Dorothy Dewy เป็นฟิลเลอร์งานผิวที่มีความคุ้มค่าอย่างมาก โดยใน 1 ไซริงค์ (Syringe) จะมีปริมาณสารเติมเต็มทั้งหมด 3 CC ซึ่งใน 1 กล่องจะบรรจุมาทั้งหมด 3 ไซริงค์ ทำให้สามารถเติมความชุ่มชื้น และแก้ไขปัญหาผิวต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  • Dorothy Dewy เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว

Dorothy Dewy เป็นฟิลเลอร์งานผิวที่เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว ไม่ว่าจะเป็นผิวแห้ง ผิวขาดน้ำ ผิวมัน หรือผิวผสมก็สามารถทำ Dorothy Dewy ได้

  • Dorothy Dewy ให้ผลลัพธ์ที่ยาวนาน

Dorothy Dewy เป็นฟิลเลอร์งานผิวที่ให้ผลลัพธ์ยาวนาน และดูเป็นธรรมชาติหลังฉีด โดยสามารถคงประสิทธิภาพของผลลัพธ์ได้นานถึง 6 – 12 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และการดูแลตัวเองของแต่ละบุคคล

 

ข้อจำกัดของ Dorothy Dewy ฟิลเลอร์งานผิว

  • การฉีด Dorothy Dewy ไม่สามารถแก้ไขปัญหาร่องลึกได้ เนื่องจากเป็นฟิลเลอร์งานผิวที่เน้นเติมความชุ่มชื้น และปรับปรุงคุณภาพผิวโดยรวม
  • การฉีด Dorothy Dewy ไม่สามารถนำมาปรับรูปหน้า หรือขึ้นรูปทรงได้ เนื่องจากเป็นฟิลเลอร์งานผิวที่มีลักษณะเนื้อเจลบางเบา และมีอนุภาคขนาดเล็ก จึงเหมาะสำหรับการเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวฉ่ำวาว ดูสุขภาพดีมากกว่า

 

เจาะลึก Dorothy Dewy ฟิลเลอร์งานผิว
เจาะลึก Dorothy Dewy ฟิลเลอร์งานผิว

 

เจาะลึก Dorothy Dewy ฟิลเลอร์งานผิว

Dorothy Dewy เป็นฟิลเลอร์งานผิวที่ผลิตโดยบริษัท CHA Bio Group หรือบริษัทชีวการแพทย์อันดับ 1 ของประเทศเกาหลีใต้ ซึ่ง Dorothy Dewy ถูกออกแบบมาเพื่อเติมเต็มความชุ่มชื้น กระตุ้นคอลลาเจน และลดเลือนริ้วรอยเส้นเล็ก ๆ ให้กับผิวโดยเฉพาะ โดยมีส่วนประกอบหลักของ Hyaluronic Acid (HA) แบบ Crosslinked ที่มีความเข้มข้นสูงถึง 20 mg/CC และมีน้ำหนักโมเลกุลเฉลี่ยถึง 700 kDa อีกทั้ง ยังมีอนุภาคขนาดเล็กกว่า 100 ไมครอน (<100 micron) ทำให้สามารถกระจายตัวได้อย่างทั่วถึงในชั้นผิวหนัง มีเนื้อบางเบา และไม่ก่อให้เกิดก้อนหลังฉีด

 

Dorothy Dewy ฟิลเลอร์งานผิว ใช้ฉีดบริเวณไหน?

การฉีด Dorothy Dewy ฟิลเลอร์งานผิว สามารถนำมาฉีดได้หลากหลายบริเวณ โดยส่วนใหญ่บริเวณที่นิยมทำ Dorothy Dewy มีดังนี้

  • Dorothy Dewy ใช้ฉีดบริเวณทั่วใบหน้า

Dorothy Dewy ฟิลเลอร์งานผิว สามารถนำมาฉีดบริเวณทั่วใบหน้า เพื่อเติมความชุ่มชื้น และกระตุ้นคอลลาเจน ทำให้ผิวฉ่ำโกลว์ อิ่มน้ำ แน่นกระชับ และทำให้ริ้วรอยเส้นเล็ก ๆ ดูตื้นขึ้นได้

  • Dorothy Dewy ใช้ฉีดบริเวณใต้ตา 

Dorothy Dewy ฟิลเลอร์งานผิว สามารถนำมาฉีดบริเวณใต้ตา เพื่อเติมความชุ่มชื้น และลดเลือนริ้วรอยเส้นเล็ก ๆ บริเวณรอบดวงตา ทำให้ใต้ตาดูสดใส เปล่งปลั่ง และดูอ่อนเยาว์จากภายใน

  • Dorothy Dewy ใช้ฉีดบริเวณลำคอ

Dorothy Dewy ฟิลเลอร์งานผิว สามารถนำมาฉีดบริเวณลำคอ เพื่อลดเลือนรอยเหี่ยวย่นบริเวณลำคอ ทำให้ผิวบริเวณลำคอกระชับ เต่งตึง และชุ่มชื้นอย่างเป็นธรรมชาติ

 

คุณสมบัติพิเศษของ Dorothy Dewy ฟิลเลอร์งานผิว
คุณสมบัติพิเศษของ Dorothy Dewy ฟิลเลอร์งานผิว

 

คุณสมบัติพิเศษของ Dorothy Dewy ฟิลเลอร์งานผิว

  • Dorothy Dewy มีคุณสมบัติเรื่อง Skin Glow 

Dorothy Dewy มีคุณสมบัติเรื่อง Skin Glow ช่วยให้ผิวฉ่ำวาว อิ่มน้ำ งานผิวกระจก และแต่งหน้าติดมากขึ้น

  • Dorothy Dewy มีคุณสมบัติเรื่อง Skin Hydration

Dorothy Dewy มีคุณสมบัติเรื่อง Skin Hydration ช่วยเติมความชุ่มชื้นให้ผิว แก้ปัญหาผิวแห้งกร้าน ขาดน้ำ

  • Dorothy Dewy มีคุณสมบัติเรื่อง Skin Softness, Pore Tightening

Dorothy Dewy มีคุณสมบัติเรื่อง Skin Softness, Pore Tightening ช่วยให้ผิวละเอียด เรียบเนียน รูขุมขนกระชับ

  • Dorothy Dewy มีคุณสมบัติเรื่อง Skin Firmness

Dorothy Dewy มีคุณสมบัติเรื่อง Skin Firmness ช่วยกระตุ้นคอลลาเจน ทำให้ผิวยืดหยุ่น อิ่มฟู ดูอ่อนกว่าวัย

  • Dorothy Dewy มีคุณสมบัติเรื่อง Lifting & Contour 

Dorothy Dewy มีคุณสมบัติเรื่อง Lifting & Contour ช่วยยกกระชับผิวหน้า ทำให้ผิวเต่งตึง ใบหน้ามีมิติมากขึ้น

 

Dorothy Dewy ฟิลเลอร์งานผิว เหมาะกับใคร?

  • การฉีด Dorothy Dewy เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาผิวแห้งกร้าน ลอกเป็นขุย และขาดความชุ่มชื้น
  • การฉีด Dorothy Dewy เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการมีผิวฉ่ำโกลว์ อิ่มน้ำ และแต่งหน้าติดทนมากขึ้น
  • การฉีด Dorothy Dewy เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหารูขุมขนกว้าง ผิวไม่เรียบเนียน
  • การฉีด Dorothy Dewy เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยเล็ก ๆ บนใบหน้า
  • การฉีด Dorothy Dewy เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาผิวขาดความยืดหยุ่น ไม่กระชับ
  • การฉีด Dorothy Dewy เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาผิวหมองคล้ำ ดูโทรม ไม่สดใส
  • การฉีด Dorothy Dewy เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการมีผิวอิ่มฟู ดูอ่อนเยาว์
  • การฉีด Dorothy Dewy เหมาะสำหรับ ผู้ที่ไม่ต้องการพักฟื้นนาน 
  • การฉีด Dorothy Dewy เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีความกังวลเรื่องความเจ็บ

ทั้งนี้ ควรปรึกษาแพทย์ และแจ้งประวัติสุขภาพก่อนเข้ารับบริการ ไม่ว่าจะเป็นประวัติโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ ประวัติการรักษา และยาที่รับประทานเป็นประจำ

 

Dorothy Dewy ฟิลเลอร์งานผิว ไม่เหมาะกับใคร?

  • การฉีด Dorothy Dewy ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่เคยแพ้สาร Hyaluronic Acid (HA) ใน Dorothy Dewy
  • การฉีด Dorothy Dewy ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาเลือดหยุดไหลยาก หรือเป็นแผลฟกช้ำง่าย
  • การฉีด Dorothy Dewy ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่เป็นโรคแพ้ภูมิตัวเอง หรือโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน
  • การฉีด Dorothy Dewy ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีอาการผิวหนังอักเสบ หรือผิวหนังติดเชื้อ
  • การฉีด Dorothy Dewy ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่อยู่ในช่วงตั้งครรภ์
  • การฉีด Dorothy Dewy ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่อยู่ในระหว่างการให้นมบุตร

ทั้งนี้ ควรปรึกษาแพทย์ และแจ้งประวัติสุขภาพก่อนเข้ารับบริการ ไม่ว่าจะเป็นประวัติโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ ประวัติการรักษา และยาที่รับประทานเป็นประจำ

 

ข้อควรรู้ก่อนฉีด Dorothy Dewy ฟิลเลอร์งานผิว
ข้อควรรู้ก่อนฉีด Dorothy Dewy ฟิลเลอร์งานผิว

 

ข้อควรรู้ก่อนฉีด Dorothy Dewy ฟิลเลอร์งานผิว

  • ก่อนฉีด Dorothy Dewy ควรศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจฉีด
  • ก่อนฉีด Dorothy Dewy ควรปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนตัดสินใจฉีด
  • ก่อนฉีด Dorothy Dewy ควรแจ้งประวัติการแพ้ ประวัติหัตถการที่เคยทำ และประวัติโรคประจำตัวให้แพทย์ทราบ
  • ก่อนฉีด Dorothy Dewy งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และสูบบุหรี่
  • ก่อนฉีด Dorothy Dewy งดรับประทานยา หรืออาหารเสริมที่ทำให้เลือดหยุดไหลยาก
  • ก่อนฉีด Dorothy Dewy งดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารที่ทำให้ผิวบอบบาง เช่น AHA, BHA หรือ Retinol
  • ก่อนฉีด Dorothy Dewy งดการทำกิจกรรม หรือออกกำลังกายที่ทำให้เลือดสูบฉีด

 

ขั้นตอนการฉีด Dorothy Dewy ฟิลเลอร์งานผิว

  • ก่อนเริ่มฉีดควรปรึกษาแพทย์ เพื่อประเมินสภาพผิว และวิเคราะห์ปัญหาที่ต้องการแก้ไข
  • ทำความสะอาดผิวในบริเวณที่ฉีด โดยการเช็ดเครื่องสำอางออก เพื่อกำจัดสิ่งสกปรกต่าง ๆ 
  • ทายาชาในบริเวณที่ฉีด เพื่อลดความรู้สึกเจ็บแสบขณะทำ
  • แพทย์จะทำการฉีด Dorothy Dewy เข้าไปยังผิวหนังชั้นตื้น ด้วยเทคนิคที่เหมาะสม
  • หลังฉีดเสร็จ แพทย์จะให้คำแนะนำเกี่ยวกับขั้นตอนการปฏิบัติตัวหลังฉีดที่ถูกต้อง

 

ข้อควรปฏิบัติหลังฉีด Dorothy Dewy ฟิลเลอร์งานผิว
ข้อควรปฏิบัติหลังฉีด Dorothy Dewy ฟิลเลอร์งานผิว

 

ข้อควรปฏิบัติหลังฉีด Dorothy Dewy ฟิลเลอร์งานผิว

  • หลังฉีด Dorothy Dewy งดการใช้เครื่องสำอาง หรือแต่งหน้าหลังในวันแรกที่ฉีด
  • หลังฉีด Dorothy Dewy หลีกเลี่ยงการถู กด นวด หรือจับบริเวณที่ฉีด 
  • หลังฉีด Dorothy Dewy งดโดนแสงแดดจัด หรืออยู่ในสถานที่ที่มีอุณหภูมิสูง
  • หลังฉีด Dorothy Dewy งดการทำกิจกรรม หรือออกกำลังกายที่ทำให้เลือดสูบฉีด
  • หลังฉีด Dorothy Dewy งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และสูบบุหรี่
  • หลังฉีด Dorothy Dewy งดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารที่ทำให้ผิวบอบบาง เช่น AHA, BHA หรือ Retinol
  • หลังฉีด Dorothy Dewy งดอาหารรสจัด เช่น หวานจัด เค็มจัด หรือเผ็ดจัด
  • หลังฉีด Dorothy Dewy งดอาหารดิบ และของหมักดอง เช่น ปลาร้า 
  • หลังฉีด Dorothy Dewy งดการทำทรีตเมนต์ หรือเลเซอร์ผิวชั้นลึก
  • หลังฉีด Dorothy Dewy ควรดื่มน้ำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้สารเติมเต็มมีประสิทธิภาพที่ดี

 

ผลลัพธ์ที่ได้จากการฉีด Dorothy Dewy ฟิลเลอร์งานผิว

  • การฉีด Dorothy Dewy ฟิลเลอร์งานผิว ช่วยให้ผิวโกลว์ ฉ่ำวาว อิ่มน้ำ
  • การฉีด Dorothy Dewy ฟิลเลอร์งานผิว ช่วยให้ริ้วรอยเส้นเล็ก ๆ ดูตื้นขึ้น
  • การฉีด Dorothy Dewy ฟิลเลอร์งานผิว ช่วยให้รูขุมขนดูเล็กลง ผิวเรียบเนียนมากขึ้น
  • การฉีด Dorothy Dewy ฟิลเลอร์งานผิว ช่วยให้ผิวแน่น กระชับ ดูอิ่มฟู
  • การฉีด Dorothy Dewy ฟิลเลอร์งานผิว ช่วยให้ผิวยืดหยุ่น ดูสุขภาพดี
  • การฉีด Dorothy Dewy ฟิลเลอร์งานผิว ช่วยให้ผิวเปล่งปลั่ง ดูสดใส

 

Dorothy Dewy VS Belotero Revive ต่างกันอย่างไร?

แม้ว่า Dorothy Dewy และ Belotero Revive จะเป็นฟิลเลอร์งานผิวเหมือนกัน แต่ทั้งสองผลิตภัณฑ์ก็มีความแตกต่างในหลายด้าน ๆ ดังนี้

  • Dorothy Dewy เป็นฟิลเลอร์งานผิวจากประเทศเกาหลีใต้ ที่มีส่วนประกอบหลักของ Hyaluronic Acid (HA) แบบ Crosslinked เข้มข้นสูงถึง 20 mg/CC และมีอนุภาคขนาดเล็กกว่า 100 ไมครอน (<100 micron) ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อเติมเต็มความชุ่มชื้น กระชับรูขุมขน และลดเลือนริ้วรอยเส้นเล็ก ๆ บนใบหน้า โดยสาร HA ใน Dorothy Dewy นั้น มีลักษณะเป็นเนื้อเจลบางเบา สามารถกระจายตัวได้ดี และไม่ทำให้เกิดก้อนแข็งได้ง่าย เนื่องจากมีอนุภาคขนาดเล็ก ทำให้สามารถแก้ปัญหาผิวแห้งกร้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่ง Dorothy Dewy สามารถคงผลลัพธ์ได้นาน ประมาณ 6 – 12 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และการดูแลตัวเองของแต่ละบุคคล
  • Belotero Revive เป็นฟิลเลอร์งานผิวจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ที่มีส่วนประกอบหลักถึง 2 ชนิด ได้แก่ Hyaluronic Acid (HA) แบบ Crosslinked ที่มีความเข้มข้นสูงถึง 20 mg/CC และ Glycerol ที่มีความเข้มข้นสูงถึง 17.5 mg/CC โดยผ่านการผลิตด้วยเทคโนโลยีพิเศษที่เรียกว่า  CPM (Cohesive Polydensified Matrix) ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อปรับสภาพผิว เพิ่มความชุ่มชื้น ลดเลือนริ้วรอยเส้นเล็ก ๆ พร้อมกระชับรูขุมขน โดยสาร HA ใน Belotero Revive นั้น มีลักษณะเป็นเนื้อเจลละเอียด มีความยืดหยุ่นสูง และสามารถกลมกลืนเข้ากับผิวได้อย่างเรียบเนียน ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้ดูเป็นธรรมชาติ และสามารถคงผลลัพธ์ได้นาน ประมาณ 9 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และการดูแลตัวเองของแต่ละบุคคล

 

Dorothy Dewy VS Rejuran ต่างกันอย่างไร?

  • Dorothy Dewy เป็นฟิลเลอร์งานผิวจากประเทศเกาหลีใต้ ที่มีส่วนประกอบหลักของ Hyaluronic Acid (HA) แบบ Crosslinked อนุภาคขนาดเล็กกว่า 100 ไมครอน (<100 micron) ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อเติมเต็มความชุ่มชื้น กระชับรูขุมขน และลดเลือนริ้วรอยเส้นเล็ก ๆ บนใบหน้า ทำให้ผิวเนียนละเอียด ฉ่ำวาว และแน่นกระชับอย่างเป็นธรรมชาติ โดย Dorothy Dewy นั้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหารูขุมขนกว้าง ผิวแห้ง ขาดน้ำ และมีริ้วรอยเส้นเล็ก ๆ ซึ่งสามารถคงผลลัพธ์ได้นาน ประมาณ 6 – 12 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และการดูแลตัวเองของแต่ละบุคคล
  • Rejuran เป็นผลิตภัณฑ์กลุ่ม Skin Booster จากประเทศเกาหลีใต้ ที่มีส่วนประกอบหลักของ Polynucleotide (PN) ที่สกัดมาจาก DNA ปลาแซลมอนในทะเลธรรมชาติ ซึ่งมีความใกล้เคียงกับ DNA ของมนุษย์ถึง 98% โดย Rejuran ถูกออกแบบมาเพื่อซ่อมแซม และฟื้นฟูเซลล์ผิวระดับโครงสร้าง พร้อมกระตุ้นการสร้างเคอลลาเจนใหม่ ปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ ทำให้ผิวยืดหยุ่น แข็งแรง ชุ่มชื้น ฉ่ำวาว และดูสุขภาพดีอย่างเป็นธรรมชาติ โดย Rejuran นั้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวโทรม แห้งกร้าน ลอกเป็นขุย และต้องการฟื้นฟูผิวแบบเร่งด่วน ซึ่งสามารถคงผลลัพธ์ได้นาน ประมาณ 6 – 8 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และการดูแลตัวเองของแต่ละบุคคล

 

วิธีการตรวจสอบ Dorothy Dewy แท้

  • ตรวจสอบสติกเกอร์ QR Code ที่มีโลโก้ Vitapharm บนฝากล่อง Dorothy Dewy
  • สแกน QR Code เพื่อตรวจสอบผลิตภัณฑ์ผ่านแอปพลิเคชัน Hidden Tag
  • ตรวจสอบสัญลักษณ์บนกล่อง Dorothy Dewy ซึ่งจะต้องมีความนูนขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
  • ตรวจสอบเลขทะเบียน อย. และเอกสารกำกับภาษาไทยระบุรายละเอียดอย่างครบถ้วน
  • ตรวจสอบเลข Lot. บนกล่อง และบนไซริงค์ ซึ่งทั้ง 2 จุดจะต้องมีเลข Lot. ตรงกัน

 

ถาม – ตอบเกี่ยวกับ Dorothy Dewy

Dorothy Dewy ฉีดกี่ครั้งเห็นผล?

  • การฉีด Dorothy Dewy สามารถเห็นผลลัพธ์ได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉีด โดยเฉพาะในเรื่องของรูขุมขนที่เล็กลง ตามด้วยผิวฉ่ำโกลว์หลังฉีด ประมาณ 7 – 14 วัน ซึ่งโดยปกติแล้ว จะแนะนำให้ฉีด Dorothy Dewy ทั้งหมด 2 ครั้ง โดยเว้นระยะห่างกัน ประมาณ 1 เดือน เพื่อให้ผลลัพธ์คงอยู่ได้ยาวนาน

 

Dorothy Dewy อยู่ได้นานแค่ไหน?

  • เมื่อฉีด Dorothy Dewy ครบทั้งหมด 2 ครั้งแล้ว ผลลัพธ์จะสามารถคงอยู่ได้นาน ประมาณ 6 – 12 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และการดูแลตัวเองของแต่ละบุคคล แนะนำให้ปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อให้ผลลัพธ์คงอยู่ยาวนานมากขึ้น

 

Dorothy Dewy ใช้ปริมาณกี่ CC?

  • การฉีด Dorothy Dewy ในครั้งแรก จะแนะนำให้ฉีด Dorothy Dewy ไม่ต่ำกว่า 2 ไซริงค์ หรือ 6 CC จากนั้น ให้เว้นระยะห่าง ประมาณ 1 เดือน และกลับมาฉีด Dorothy Dewy เพิ่มอีก 1 ไซริงค์ หรือ 3 CC เพื่อให้ผลลัพธ์คงอยู่ได้ยาวนานมากขึ้น

 

Dorothy Dewy ควรฉีดซ้ำได้ตอนไหน?

  • การฉีด Dorothy Dewy เมื่อทำการฉีดครบทั้งหมด 2 ครั้งแล้ว สามารถให้กลับมาฉีด Dorothy Dewy ซ้ำทุก ๆ ปี อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อคงประสิทธิภาพของผลลัพธ์ให้ดูอ่อนเยาว์อย่างต่อเนื่อง

 

Dorothy Dewy 1 กล่อง มีอะไรบ้าง?

  • การฉีด Dorothy Dewy 1 กล่อง จะมีสารเติมเต็มบรรจุมาทั้งหมด 3 ไซริงค์ โดยใน 1 ไซริงค์ จะมีปริมาณ 3 CC ดังนั้น Dorothy Dewy 1 กล่อง จึงมีปริมาณสารเติมเต็มทั้งหมด 9 CC ซึ่งถือเป็นผลิตภัณฑ์งานผิวที่มีความคุ้มค่า และสามารถแก้ไขปัญหาผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

Dorothy Dewy เจ็บไหม?

  • การฉีด Dorothy Dewy ถือว่ามีความเจ็บน้อยมาก ประมาณ 3 เต็ม 10 เนื่องจากใช้สาร HA ที่มีอนุภาคขนาดเล็ก และสามารถกระจายตัวได้ดี ซึ่งจะถูกฉีดเข้าไปในบริเวณผิวหนังชั้นตื้น จึงทำให้รู้สึกเจ็บแสบน้อยกว่าปกติ แต่สำหรับในกรณีที่ผู้รับบริการมีความกังวลเรื่องความเจ็บ สามารถขอทายาชาในบริเวณที่ฉีดเพิ่มเติม เพื่อลดความเจ็บ และทำให้รู้สึกสบายตัวมากขึ้นได้

 

Dorothy Dewy อันตรายไหม?

  • การฉีด Dorothy Dewy ไม่มีความอันตราย หากทำการฉีดโดยแพทย์ที่มีความรู้ และประสบการณ์ สามารถใช้เทคนิคในการฉีดที่เหมาะสม อีกทั้ง สาร HA ใน Dorothy Dewy นั้นมีอนุภาคขนาดเล็กมาก ซึ่งน้อยกว่า 100 ไมครอน ทำให้สามารถกระจายตัวได้ดี และลดโอกาสเสี่ยงในการเกิดก้อนแข็งหลังฉีดได้

 

การฉีด Dorothy Dewy ถือเป็นฟิลเลอร์งานผิวที่ตอบโจทย์สำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวแห้งกร้าน ขาดน้ำ รูขุมขนกว้าง และมีริ้วรอยเส้นเล็ก ๆ เนื่องจาก Dorothy Dewy มีส่วนประกอบหลักของ HA ที่มีความเข้มข้นสูง และมีอนุภาคขนาดเล็กกว่าฟิลเลอร์งานผิวทั่ว ๆ ไป ทำให้สามารถกระจายตัวในชั้นผิวหนังได้อย่างทั่วถึง โดยไม่ก่อให้เกิดก้อนแข็งหลังฉีด อีกทั้ง Dorothy Dewy ยังให้ผลลัพธ์แบบ 2 in 1 ทั้งผิวฉ่ำโกลว์ และแน่นกระชับในขั้นตอนเดียว ดังนั้น สำหรับใครที่สนใจฉีด Dorothy Dewy สามารถเข้ามาปรึกษาได้ที่ รมย์รวินท์คลินิก ทุกสาขา เรามีทีมแพทย์ที่มีความรู้ และความชำนาญ สามารถวิเคราะห์ปัญหา และวางแผนการรักษาแบบเฉพาะบุคคล เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ และมีประสิทธิภาพ

 

*ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับบริการ

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯกำหนด

 

ดื้อโบคืออะไร? เกิดจากอะไร? ทำยังไงถึงจะไม่ดื้อโบ

ดื้อโบคืออะไร? เกิดจากอะไร?

ดื้อโบคืออะไร? เกิดจากอะไร?  ไขข้อสงสัยก่อนฉีดโบ

ภาวะดื้อโบ เป็นปัญหาที่หลายคนมักกังวลเมื่อทำการฉีดโบ และไม่อยากให้เกิดขึ้นกับตนเอง เนื่องจากหากเกิดภาวะดื้อโบไปแล้ว อาจทำให้ผลลัพธ์ที่ได้ไม่เป็นไปตามที่ต้องการ และต้องใช้ระยะเวลาในการพักนาน จึงจะสามารถกลับมาฉีดโบได้ตามปกติ บทความนี้ จะพาไปเรียนรู้ และทำความเข้าใจเกี่ยวกับภาวะดื้อโบว่า ภาวะดื้อโบ คืออะไร? ภาวะดื้อโบ เกิดจากอะไร? ภาวะดื้อโบ มีอาการอย่างไร? รวมถึง สามารถป้องกันภาวะดื้อโบได้อย่างไรบ้าง? เพื่อไม่ให้เกิดการดื้อโบในอนาคต

 

ดื้อโบเกิดจากอะไร?  อันตรายไหม? มีวิธีแก้อย่างไร? รู้ลึกก่อนฉีดโบ 

การดื้อโบ คืออะไร?

การดื้อโบ คือ ภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อทำการฉีดโบมาแล้วไม่เห็นผล ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาต่อต้านสารจากการฉีดโบ ทำให้ตัวยาไม่สามารถออกฤทธิ์ต่อกล้ามเนื้อได้อย่างเต็มที่ เมื่อฉีดโบเข้าไปแล้ว จึงไม่เกิดผลลัพธ์ตามที่คาดหวัง หรือผลลัพธ์อยู่ได้สั้นกว่าปกติ

 

การดื้อโบ เกิดจากสาเหตุอะไร?
การดื้อโบ เกิดจากสาเหตุอะไร?

 

การดื้อโบ เกิดจากสาเหตุอะไร?

  • การดื้อโบเกิดจาก การฉีดโบบ่อยเกินไป

การฉีดโบซ้ำบ่อยจนเกินไป โดยไม่ได้มีการเว้นระยะเวลาที่เหมาะสม อาจทำให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาต่อต้านสารจากการฉีดโบเพิ่มเรื่อย ๆ จนส่งผลให้เกิดภาวะดื้อโบได้ ซึ่งโดยปกติแล้ว การฉีดโบในแต่ละครั้ง ควรเว้นระยะเวลาห่างกัน อย่างน้อย 3 – 4 เดือนขึ้นไป

  • การดื้อโบเกิดจาก การฉีดโบปริมาณมากเกินไป

การฉีดโบปริมาณมากเกินไปในครั้งเดียว อาจทำให้ร่างกายตอบสนองด้วยการสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาต่อต้าน จนส่งผลให้เกิดภาวะดื้อโบได้ ซึ่งโดยปกติแล้ว การฉีดโบในแต่ละครั้ง ไม่ควรใช้ปริมาณสารในการฉีดโบเกิน 300 ยูนิต โดยแพทย์จะเป็นผู้ประเมินปริมาณสารที่ควรใช้ในแต่ละบริเวณอย่างเหมาะสม

  • การดื้อโบเกิดจาก การฉีดโบปลอม ไม่มีคุณภาพ

การฉีดโบปลอม หรือการฉีดโบหิ้วที่ไม่ได้มาตรฐาน อาจทำให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาต่อต้าน จนส่งผลให้เกิดภาวะดื้อโบได้ เนื่องจากโบปลอม ไม่ได้มีการจัดเก็บ และขนส่งในอุณหภูมิที่เหมาะสม รวมถึง อาจมีการปนเปื้อนสารแปลกปลอม หรือเชื้อโรค ทำให้ตัวยาเสื่อมคุณภาพ และส่งผลกระทบต่อผลลัพธ์ที่ได้หลังทำการรักษา

  • การดื้อโบเกิดจาก การฉีดโบหลายยี่ห้อเกินไป

การฉีดโบ โดยการเปลี่ยนยี่ห้อบ่อย หรือฉีดโบหลายยี่ห้อเกินไป อาจทำให้ร่างกายคิดว่า สารที่ฉีดใหม่เป็นสิ่งแปลกปลอม และกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้ทำงานมากขึ้น ซึ่งถือเป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดการดื้อโบ เนื่องจากการฉีดโบแต่ละยี่ห้อ ก็จะมีความบริสุทธิ์ และมีโปรตีนที่แตกต่างกัน ดังนั้น จึงไม่ควรเปลี่ยนยี่ห้อในการฉีดโบบ่อย ๆ 

 

สัญญาณเตือนการดื้อโบ มีอาการอะไรบ้าง?
สัญญาณเตือนการดื้อโบ มีอาการอะไรบ้าง?

 

สัญญาณเตือนการดื้อโบ มีอาการอะไรบ้าง?

ริ้วรอยไม่ลดลง

  • โดยปกติแล้ว หลังฉีดโบริ้วรอยบนใบหน้าจะค่อย ๆ ตื้นขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ แต่ในกรณีที่อยู่ในภาวะดื้อโบ ริ้วรอยบนใบหน้าจะยังคงเห็นได้อย่างชัดเจน หรือเห็นผลการเปลี่ยนแปลงน้อยมาก

กล้ามเนื้อยังขยับได้ตามปกติ

  • โดยปกติแล้ว หลังฉีดโบกล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดควรมีการคลายตัว แต่ในกรณีที่อยู่ในภาวะดื้อโบ กล้ามเนื้อจะยังคงทำงานได้ตามปกติ หรืออาจกลับมาขยับได้เร็วขึ้นกว่าเดิม

ผลลัพธ์อยู่ได้สั้นลง

  • โดยปกติแล้ว การฉีดโบจะมีระยะเวลาในการออกฤทธิ์ ประมาณ 3 – 6 เดือน แต่ในกรณีที่อยู่ในภาวะดื้อโบ อาจจะเห็นผลลัพธ์ได้เพียง 1 – 2 เดือน หรือแทบไม่เห็นผลการเปลี่ยนแปลงเลย

ต้องใช้ปริมาณโบมากขึ้น

  • การฉีดโบ หากเข้าสู่ภาวะดื้อโบแล้ว อาจต้องใช้ปริมาณสารในการฉีดโบที่มากขึ้นกว่าปกติ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งในบางกรณี แม้จะเพิ่มปริมาณสารในการฉีดโบมากขึ้น แต่ก็ยังสามารถไม่เห็นผลการเปลี่ยนแปลงหลังฉีด

 

ระดับความรุนแรงของการดื้อโบ

ระดับความรุนแรงของการดื้อโบ หรือระดับการตอบสนองของร่างกายต่อการฉีดโบ สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ระดับ ดังนี้

  • ดื้อโบ ระยะที่ 1

ร่างกายเริ่มมีการตอบสนองต่อสารในการฉีดโบลดลง แต่จะยังคงเห็นผลการเปลี่ยนแปลงได้อยู่ ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้อาจอยู่ได้สั้นกว่าปกติ จากเดิมที่สามารถคงผลลัพธ์ได้นาน ประมาณ 4 – 6 เดือน อาจลดลงเหลือเพียง 1 – 2 เดือน

  • ดื้อโบ ระยะที่ 2

สารในการฉีดโบเริ่มออกฤทธิ์ไม่เต็มที่ โดยจากเดิมที่ใช้ปริมาณสารเท่าเดิมแล้วเห็นผล กลับต้องใช้ปริมาณสารที่มากขึ้น เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ

  • ดื้อโบ ระยะที่ 3

ร่างกายไม่มีการตอบสนองต่อสารในการฉีดโบ ถึงแม้จะใช้ปริมาณสารที่มากขึ้น หรือเปลี่ยนยี่ห้อแล้วก็ตาม โดยจะสังเกตเห็นได้ว่า กล้ามเนื้อยังคงขยับได้ตามปกติ ไม่มีการคลายตัว และริ้วรอยยังคงเห็นได้อย่างชัดเจน

 

ดื้อโบ ส่งผลกระทบอย่างไร?

การดื้อโบ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพโดยตรง แต่ก็ส่งผลเสียต่อความสวยงาม และคุณภาพชีวิตได้ ดังนี้

  • การดื้อโบ ส่งผลให้ไม่เห็นผลลัพธ์ตามที่คาดหวัง 
  • การดื้อโบ ส่งผลให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการฉีดที่มากขึ้น
  • การดื้อโบ ส่งผลให้สูญเสียโอกาสในการฉีดโบในอนาคต
  • การดื้อโบ ส่งผลให้สูญเสียความมั่นใจในตนเอง

 

การดื้อโบ แก้ไขได้อย่างไร?
การดื้อโบ แก้ไขได้อย่างไร?

 

การดื้อโบ แก้ไขได้อย่างไร?

การดื้อโบ สามารถแก้ไขได้ด้วยการพักการฉีดโบชั่วคราว เพื่อรอให้ภูมิคุ้มกันค่อย ๆ หมดฤทธิ์ไปเอง ซึ่งโดยทั่วไป จะแนะนำให้พักการฉีดโบ ประมาณ 3 – 5 ปี หรือในบางกรณีอาจต้องใช้ระยะเวลานานถึง 10 – 20 ปี ซึ่งการพักฉีดโบชั่วคราวนั้น จะช่วยให้ร่างกายลดการสร้างภูมิคุ้มกันมาขึ้นต่อต้าน และสามารถกลับมาตอบสนองต่อสารในการฉีดโบได้อีกครั้ง 

ทั้งนี้ทั้งนั้น ควรปรึกษาแพทย์ที่มีความรู้ และความชำนาญอย่างละเอียด เพื่อหาสาเหตุ และแนวทางการแก้ไขที่เหมาะสม โดยแพทย์อาจแนะนำให้ใช้ทางเลือกอื่นในการแก้ไขปัญหาริ้วรอย ระหว่างที่ร่างกายกำลังพักฟื้นจากการฉีดโบ เช่น การทำเครื่องยกกระชับต่าง ๆ หรือฉีดฟิลเลอร์แทน

 

การดื้อโบ อันตรายไหม? 

การดื้อโบ ถือเป็นภาวะที่ไม่อันตรายต่อร่างกาย แต่ก็ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพในการฉีดโบได้ ทำให้สารในการฉีดโบไม่สามารถออกฤทธิ์ได้อย่างเต็มที่ และผลลัพธ์ที่ได้ไม่เป็นไปตามคาดหวัง จนต้องสูญเสียค่าใช้จ่ายโดยสิ้นเปลือง นอกจากนี้ หากฉีดโบซ้ำบ่อยเกินไป หรือใช้สารปริมาณมาก อาจเป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการที่ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาต่อต้านมากขึ้นไปอีก จนส่งผลกระทบในระยะยาวได้ ดังนั้น ควรปรึกษาแพทย์ที่มีความชำนาญก่อนฉีด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการดื้อโบในอนาคต

 

วิธีป้องกันการดื้อโบ
วิธีป้องกันการดื้อโบ

 

วิธีป้องกันการดื้อโบ

การดื้อโบ เป็นภาวะที่ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาต่อต้านสารในการฉีดโบ ซึ่งยังไม่มีวิธีการรักษาให้หายขาดได้ในปัจจุบัน แต่ก็มีวิธีที่สามารถป้องกันการดื้อโบได้ ดังนี้

  • เลือกใช้โบแท้ที่มีคุณภาพ

การดื้อโบสามารถป้องกันได้ ด้วยการเลือกฉีดโบที่ผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยา (อย.) และตรวจสอบให้แน่ใจว่า ยี่ห้อฉีดโบที่ใช้เป็นของแท้หรือไม่ โดยสังเกตจากบรรจุภัณฑ์ เลขทะเบียน อย. และตรวจสอบจากบริษัทผู้จัดจำหน่ายโดยตรง

  • เลือกฉีดโบโดยแพทย์

การดื้อโบสามารถป้องกันได้ ด้วยการเลือกฉีดโบกับแพทย์ที่มีความรู้ และความชำนาญ เพื่อให้แพทย์ประเมินผิวหน้า และวิเคราะห์ปัญหาอย่างละเอียด พร้อมวางแผนการรักษา โดยการเลือกยี่ห้อฉีดโบที่เหมาะสม เพื่อป้องกันการเกิดภาวะดื้อโบในอนาคต

  • เลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน มีความน่าเชื่อถือ

การดื้อโบสามารถป้องกันได้ ด้วยการเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน และมีความน่าเชื่อถือ ซึ่งจะต้องมีใบอนุญาตประกอบกิจการสถานพยาบาลอย่างถูกต้อง และได้รับการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุข

  • เว้นระยะห่างในการฉีดโบที่เหมาะสม

การดื้อโบสามารถป้องกันได้ ด้วยการเว้นระยะห่างในการฉีดโบอย่างเหมาะสม โดยควรเว้นระยะเวลาห่างกัน อย่างน้อย 3 – 4 เดือนขึ้นไป เพื่อป้องกันร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นต่อต้านสารในการฉีดโบ

  • ฉีดโบในปริมาณที่พอดี

การดื้อโบสามารถป้องกันได้ ด้วยการฉีดโบในปริมาณที่พอดี ซึ่งควรปรึกษาแพทย์ก่อนตัดสินใจฉีด โดยแพทย์จะเป็นผู้ประเมิน และแนะนำปริมาณสารที่ควรใช้ในแต่ละบริเวณอย่างเหมาะสม หลีกเลี่ยงการฉีดโบมากเกินจำเป็น เพื่อป้องกันร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นต่อต้าน

  • หลีกเลี่ยงการเปลี่ยนยี่ห้อโบบ่อยเกินไป

การดื้อโบสามารถป้องกันได้ ด้วยการหลีกเลี่ยงการเปลี่ยนยี่ห้อโบบ่อยจนเกินไป เนื่องจากการเปลี่ยนยี่ห้อโบบ่อย ๆ หรือใช้หลายยี่ห้อในระยะเวลาอันสั้นนั้น อาจเป็นการเพิ่มความเสี่ยงที่ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นต่อต้าน จนเกิดภาวะดื้อโบได้

 

ฉีดโบ ยี่ห้อไหนดี?

การเลือกยี่ห้อฉีดโบที่เหมาะสม และมีความบริสุทธิ์สูง จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดการดื้อโบได้ โดยยี่ห้อฉีดโบที่แนะนำ และได้รับการรับรองจาก อย. มีดังนี้

  • ฉีดโบยี่ห้อ Allergan

ฉีดโบยี่ห้อ Allergan เป็นการฉีดโบสัญชาติสหรัฐอเมริกาที่มีงานวิจัยรองรับมากกว่า 3,500 ฉบับ ซึ่งผ่านการพัฒนามาอย่างยาวนาน ทำให้มีโอกาสในการดื้อโบต่ำมาก เนื่องจากตัวยามีความบริสุทธิ์สูง และมีโมเลกุลขนาดใหญ่ กระจายตัวได้แคบ จึงสามารถออกฤทธิ์ได้อย่างแม่นยำ และตรงจุด อีกทั้ง ยังสามารถเห็นผลได้อย่างรวดเร็ว และคงผลลัพธ์อยู่ได้ยาวนานกว่าการฉีดโบยี่ห้ออื่น ๆ

  • ฉีดโบยี่ห้อ Dysport

ฉีดโบยี่ห้อ Dysport เป็นการฉีดโบสัญชาติอังกฤษที่มีการพัฒนามาอย่างยาวนาน ทำให้มีโปรตีนเจือปนน้อย และมีโอกาสในการดื้อโบต่ำ อีกทั้ง ตัวยามีโมเลกุลขนาดเล็ก และกระจายตัวอย่างทั่วถึงเป็นวงกว้าง โดยไม่เกิดการกระจุกตัวอยู่ในพื้นที่แคบ ๆ จึงเหมาะสำหรับการนำมาฉีดในบริเวณที่มีกล้ามเนื้อมัดใหญ่ เช่น ลิฟกรอบหน้า หรือลดเหงื่อ

  • ฉีดโบยี่ห้อ Xeomin

ฉีดโบยี่ห้อ Xeomin เป็นการฉีดโบสัญชาติเยอรมันที่มีการพัฒนามาอย่างยาวนาน ทำให้มีโอกาสในการดื้อโบต่ำมาก เนื่องจากตัวยามีความบริสุทธิ์สูง โดยปราศจากโปรตีนเจือปนที่ไม่จำเป็น (Complexing Protein) ทำให้ร่างกายไม่เกิดการสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นต่อต้านสารในการฉีดโบ จึงช่วยลดโอกาสเสี่ยงในการเกิดการดื้อโบในระยะยาวได้ เหมาะสำหรับผู้ที่เคยมีประวัติดื้อโบมาก่อน โดยจะต้องเว้นระยะเวลาในการฉีดโบมาแล้ว อย่างน้อย 2 – 3 ปี นอกจากนี้ ตัวยายังสามารถกระจายตัวได้ดี และเป็นวงกว้าง ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้ดูเป็นธรรมชาติ ไม่แข็งทื่อ หรือตึงจนเกินไป

  • ฉีดโบยี่ห้อ Nabota

ฉีดโบยี่ห้อ Nabota เป็นการฉีดโบสัญชาติประเทศเกาหลีใต้ ที่มีการพัฒนามาอย่างยาวนานกว่า 30 ปี ทำให้มีโอกาสในการดื้อโบต่ำ เนื่องจากตัวยามีความบริสุทธิ์สูง% และสามารถออกฤทธิ์ได้อย่างรวดเร็ว ทำให้เห็นผลไว เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเห็นผลการเปลี่ยนแปลงแบบเร่งด่วน และมีงบประมาณจำกัด

 

ฉีดโบแต่ละบริเวณ ควรใช้กี่ยูนิต?

การฉีดโบในแต่ละบริเวณ จะใช้ปริมาณยูนิตที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับปัญหา และการประเมินของแพทย์ ซึ่งโดยส่วนใหญ่ ปริมาณที่เหมาะสมในแต่ละบริเวณ มีดังนี้

  • หน้าผาก จะใช้ปริมาณสารในการฉีดโบ ประมาณ 10 – 30 ยูนิต ขึ้นอยู่กับปัญหา และการประเมินของแพทย์
  • ระหว่างคิ้ว จะใช้ปริมาณสารในการฉีดโบ ประมาณ 15 – 25 ยูนิต ขึ้นอยู่กับปัญหา และการประเมินของแพทย์
  • หางตา จะใช้ปริมาณสารในการฉีดโบ ประมาณ 15 – 25 ยูนิต ขึ้นอยู่กับปัญหา และการประเมินของแพทย์
  • ปีกจมูก จะใช้ปริมาณสารในการฉีดโบ ประมาณ 15 – 25 ยูนิต ขึ้นอยู่กับปัญหา และการประเมินของแพทย์
  • กราม จะใช้ปริมาณสารในการฉีดโบ ประมาณ 50 – 100 ยูนิต ขึ้นอยู่กับปัญหา และการประเมินของแพทย์
  • กรอบหน้า จะใช้ปริมาณสารในการฉีดโบ ประมาณ 30 – 50 ยูนิต ขึ้นอยู่กับปัญหา และการประเมินของแพทย์
  • รักแร้ จะใช้ปริมาณสารในการฉีดโบ ประมาณ 100 – 200 ยูนิต ขึ้นอยู่กับปัญหา และการประเมินของแพทย์

 

ไขข้อสงสัย การฉีดโบ คืออะไร?

การฉีดโบ เป็นหัตถการที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในวงการความงาม ซึ่งใช้สารโปรตีนที่สกัดจากแบคทีเรียถึง 7 ชนิด โดยมีคุณสมบัติในการคลายกล้ามเนื้อชั่วคราวในบริเวณที่หดตัว ส่งผลให้ริ้วรอยต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากการแสดงสีหน้าดูลดเลือนลง พร้อมปรับกรอบหน้า และกล้ามเนื้อกรามให้เรียวเล็ก อีกทั้ง ยังสามารถนำมาแก้ไขปัญหาสุขภาพต่าง ๆ เช่น ลดเหงื่อ ลดอาการปวดออฟฟิศซินโดรม และลดอาการปวดไมเกรนได้อีกด้วย

 

การฉีดโบ ช่วยเรื่องอะไร?

  • การฉีดโบ ช่วยลดเลือนริ้วรอยต่าง ๆ บนใบหน้า
  • การฉีดโบ ช่วยป้องกัน และชะลอการเกิดริ้วรอยใหม่
  • การฉีดโบ ช่วยลดขนาดปีกจมูก แก้ปัญหาปีกจมูกบาน
  • การฉีดโบ ช่วยกระชับรูขุมขน ทำให้รูขุมขนดูเล็กลง
  • การฉีดโบ ช่วยลดขนาดกล้ามเนื้อกราม ทำให้ใบหน้าเรียวเล็ก
  • การฉีดโบ ช่วยปรับกรอบหน้าให้คมชัด ใบหน้ามีมิติมากขึ้น
  • การฉีดโบ ช่วยลดเหงื่อ และระงับกลิ่นตัวไม่พึงประสงค์
  • การฉีดโบ ช่วยลดความถี่ของอาการปวดไมเกรน
  • การฉีดโบ ช่วยลดอาการปวดเมื่อยออฟฟิศซินโดรม

 

การฉีดโบ เหมาะกับใคร?

  • การฉีดโบ เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยจากการแสดงออกทางสีหน้า
  • การฉีดโบ เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัย
  • การฉีดโบ เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาปีกจมูกบานจากการแสดงออกทางสีหน้า
  • การฉีดโบ เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหารูขุมขนกว้าง รูขุมขนไม่กระชับ
  • การฉีดโบ เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหากล้ามเนื้อกรามใหญ่ ใบหน้าบาน 
  • การฉีดโบ เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหากรอบหน้าไม่คมชัด 
  • การฉีดโบ เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาเหงื่อออกมาก และมีกลิ่นตัว
  • การฉีดโบ เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีอาการปวดไมเกรน
  • การฉีดโบ เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีอาการปวดออฟฟิศซินโดรม

ทั้งนี้ ควรเข้ารับการปรึกษาแพทย์ก่อนตัดสินใจฉีดโบ และแจ้งประวัติสุขภาพให้แพทย์ทราบอย่างละเอียด ตั้งแต่ประวัติโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา หรือประวัติการรักษาก่อนเข้ารับบริการ

 

ข้อควรปฏิบัติก่อนฉีดโบ
ข้อควรปฏิบัติก่อนฉีดโบ

 

ข้อควรปฏิบัติก่อนฉีดโบ

  • ก่อนการฉีดโบ ควรเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน และปรึกษาแพทย์ก่อนฉีดโบ
  • ก่อนการฉีดโบ งดรับประทานยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน, ไอบูโพรเฟน และยากลุ่ม NSAIDs 
  • ก่อนการฉีดโบ งดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และการสูบบุหรี่
  • ก่อนการฉีดโบ งดทำทรีตเมนต์ หรือสครับบริเวณที่ฉีดโบ
  • ก่อนการฉีดโบ ควรพักผ่อนให้เพียงพอ

 

ข้อควรปฏิบัติหลังฉีดโบ

  • หลังการฉีดโบ ควรขยับกล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดทันที 1 – 2 ครั้ง เพื่อให้ตัวยาออกฤทธิ์ได้ดีขึ้น
  • หลังการฉีดโบ งดนอนราบ หรือก้มศีรษะต่ำ อย่างน้อย 3 – 4 ชั่วโมง เพื่อไม่ให้ตัวยากระจายไปยังบริเวณอื่น
  • หลังการฉีดโบ งดนวด จับ หรือกดบริเวณที่ฉีดแรง ๆ เพื่อไม่ให้ตัวยากระจายไปยังบริเวณอื่น
  • หลังการฉีดโบ งดโดนความร้อนทุกรูปแบบ และอยู่ท่ามกลางแสงแดดจัด
  • หลังการฉีดโบ งดกิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีด หรือทำให้เหงื่อออกมาก
  • หลังการฉีดโบ งดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และการสูบบุหรี่

 

การฉีดโบ ฉีดกี่วันเห็นผล?

การฉีดโบในแต่ละบริเวณ จะมีระยะเวลาในการออกฤทธิ์ และเห็นผลที่แตกต่างกันออกไป ดังนี้

  • การฉีดโบลดริ้วรอย จะเริ่มออกฤทธิ์ ภายใน 3 – 4 วัน และสามารถเห็นผลลัพธ์ได้อย่างเต็มที่ ภายใน 1 – 2 สัปดาห์
  • การฉีดโบปีกจมูก จะเริ่มออกฤทธิ์ ภายใน 1 – 2 สัปดาห์ และสามารถเห็นผลลัพธ์ได้อย่างเต็มที่ ภายใน 1 เดือน
  • การฉีดโบกราม จะเริ่มออกฤทธิ์ ภายใน 2 สัปดาห์ และสามารถเห็นผลลัพธ์ได้อย่างเต็มที่ ภายใน 2 – 3 เดือน
  • การฉีดโบลิฟกรอบหน้า จะเริ่มออกฤทธิ์ ภายใน 3 – 4 วัน และสามารถเห็นผลลัพธ์ได้อย่างเต็มที่ ภายใน 1 – 2 สัปดาห์

 

การฉีดโบ อยู่ได้นานแค่ไหน?

  • การฉีดโบ โดยส่วนใหญ่แล้ว จะสามารถเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน และคงอยู่ได้ยาวนาน ประมาณ 3 – 6 เดือน ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น บริเวณที่ฉีดโบ สภาพผิวของแต่ละบุคคล และการดูแลตัวเองหลังการฉีดโบ ซึ่งเมื่อสารในการฉีดโบค่อย ๆ หมดฤทธิ์ไปแล้ว สามารถกลับมาฉีดโบซ้ำได้ เพื่อคงประสิทธิภาพของผลลัพธ์ให้ยาวนานอย่างต่อเนื่อง

 

การฉีดโบ มีผลข้างเคียงอย่างไร?

  • หลังการฉีดโบ อาจมีผลข้างเคียงเกิดขึ้นเล็กน้อย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลข้างเคียงที่ปกติ และไม่รุนแรง เช่น รู้สึกปวดตึง มีอาการบวมแดง มีรอยฟกช้ำ หรือปวดศีรษะในช่วงแรก โดยอาการเหล่านี้ สามารถเกิดขึ้นได้ทั่วไป และจะค่อย ๆ หายไปเองตามธรรมชาติ แต่ในกรณีที่พบผลข้างเคียงผิดปกติ เช่น หายใจลำบาก หนังตาตก มุมปากเบี้ยว กล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือเกิดอาการบวมแดงมากกว่าปกติ แนะนำให้รีบพบแพทย์ เพื่อทำการรักษาในทันที

 

การฉีดโบ ทำร่วมกับหัตถการอื่นได้ไหม?

  • การฉีดโบสามารถทำร่วมกับหัตถการอื่น ๆ ได้ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น ฉีดฟิลเลอร์ หรือกลุ่มเครื่องยกกระชับ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น แพทย์จะเป็นผู้ให้คำแนะนำ และวางแผนการรักษาที่เหมาะสม เนื่องจากบางหัตถการต้องมีการเว้นระยะห่างในการทำ เพื่อป้องกันสารเคลื่อนที่ไปยังบริเวณอื่น หรือสลายตัวเร็ว

 

การดื้อโบ ถือเป็นปัญหาที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนที่ทำการฉีดโบ แม้จะเป็นภาวะที่ไม่เป็นอันตราย แต่ก็ส่งผลกระทบต่อความมั่นใจ และประสิทธิภาพของการรักษาในระยะยาวได้ ซึ่งอาจทำให้ผลลัพธ์ที่ได้ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง จนสูญเสียค่าใช้จ่ายโดยสิ้นเปลือง ดังนั้น การป้องกันไม่ให้เกิดการดื้อโบจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากสำหรับผู้ที่ทำการฉีดโบ โดยการเลือกใช้ยี่ห้อฉีดโบแท้ที่มีคุณภาพ ผ่านการรับรอบจาก อย. พร้อมปรึกษาแพทย์ก่อนตัดสินใจฉีดโบทุกครั้ง เพื่อให้ได้รับการประเมิน และวางแผนการรักษาอย่างเหมาะสม ลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะดื้อโบในอนาคต

 

*ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับบริการ

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

สิวอักเสบเกิดจากอะไร ? รวมคำถามเกี่ยวกับสิวอักเสบที่คุณไม่เคยรู้

สิวอักเสบเกิดจากอะไร ?

สิวอักเสบเกิดจากอะไร ? รวมคำถามเกี่ยวกับสิวอักเสบที่คุณไม่เคยรู้

“สิว” ปัญหาผิวหนังยอดฮิตที่กวนใจใครหลายคน ไม่ว่าจะเด็ก วัยรุ่น หรือผู้ใหญ่ ต่างก็ต้องเคยเผชิญกับสิวเม็ดเล็กๆ ที่ผุดขึ้นมาบนใบหน้า สร้างความรำคาญใจ ไม่มั่นใจ แต่สิวที่สร้างความหนักใจยิ่งกว่า คงหนีไม่พ้น “สิวอักเสบ” สิวตัวร้ายที่มากับอาการบวมแดง เจ็บปวด หากปล่อยทิ้งไว้ไม่รีบรักษา อาจนำไปสู่ปัญหาผิวหนังเรื้อรัง ทิ้งรอยแผลเป็นบนผิวได้ แล้วเราจะรับมือกับสิวอักเสบได้อย่างไร ?  บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกทุกแง่มุมของสิวอักเสบ เพื่อให้คุณเข้าใจ และสามารถเลือกวิธีการรักษาสิวอักเสบที่เหมาะสมกับตัวเองได้

 

สิวอักเสบคืออะไร ?

สิวอักเสบ คือ สิวประเภทหนึ่งที่เกิดการอุดตันของรูขุมขนจากน้ำมันส่วนเกิน และเชื้อแบคทีเรีย Cutibacterium acnes (C. acnes) ทำให้เกิดเป็นสิวที่มีการอักเสบ บวมแดง และอาจมีหนองร่วมด้วยในบางบุคคล ทำให้เกิดอาการเจ็บ

 

ลักษณะของสิวอักเสบ
ลักษณะของสิวอักเสบ

 

ลักษณะของสิวอักเสบ

สิวอักเสบเป็นสิวที่มีอาการเด่นชัด เช่น สีแดง บวม เจ็บ และอาจมีหนองร่วมด้วย ทำให้เกิดความรู้สึกไม่สบายผิวหรือระคายเคืองได้ การดูแลรักษาอย่างถูกวิธีจึงเป็นสิ่งสำคัญ ที่จะป้องกันการลุกลามและลดโอกาสการเกิดรอยแผลเป็น การสังเกตลักษณะของสิวจะช่วยให้คุณเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับสิวที่เป็นได้ โดยสิวอักเสบมีลักษณะที่สามารถสังเกตได้ ดังนี้

  • สิวอักเสบมักมีลักษณะบวมและแดง
  • สิวอักเสบมักอาจมีหัวหนองสีขาวหรือเหลืองได้ 
  • สิวอักเสบมักมีลักษณะที่กดแล้วเจ็บ หรือมีอาการปวด
  • สิวอักเสบมักสามารถพัฒนาเป็นตุ่มนูนขนาดใหญ่ หากรุนแรงอาจกลายเป็นก้อนแข็งหรือซีสต์ใต้ผิวหนัง
  • สิวอักเสบอาจทิ้งรอยดำหรือแผลเป็นได้หลังจากการรักษา

สิวอักเสบหากมีอาการรุนแรงอาจกลายเป็นก้อนแข็งหรือซีสต์ใต้ผิวหนัง และมีโอกาสทิ้งรอยแผลเป็นหรือรอยดำหลังจากหาย การดูแลรักษาตั้งแต่ระยะแรกเป็นสิ่งสำคัญเพื่อลดการอักเสบและป้องกันรอยแผลเป็นในอนาคต

 

สิวอักเสบเกิดจากอะไร ?
สิวอักเสบเกิดจากอะไร ?

 

สิวอักเสบเกิดจากอะไร ?

สิวอักเสบเป็นสิวที่เกิดจากการอักเสบของรูขุมขน โดยมีสาเหตุหลักจากการอุดตันของรูขุมขนจากน้ำมันส่วนเกิน (Sebum) เซลล์ผิวที่ตายแล้ว ร่วมกับการติดเชื้อแบคทีเรีย Cutibacterium acnes (C. acnes) ที่กระตุ้นให้เกิดการอักเสบ ซึ่งการเกิดสิวอักเสบมีกระบวนการเกิดสิว ดังนี้

 

  • กระบวนการแรกของการเกิดสิวอักเสบจะเกิดการอุดตันของรูขุมขน

กระบวนการนี้เกิดจากการที่น้ำมันส่วนเกิน (Sebum) ที่ผลิตโดยต่อมไขมันใต้ผิวหนังผลิตน้ำมันออกมามากเกินไป จนเกิดไขมันสะสมในรูขุมขน เมื่อผสมรวมกับเซลล์ผิวที่ตายไปแล้ว จะทำให้เกิดรูขุมขนอุดตันจนออกซิเจนไม่สามารถเข้าไปได้ ทำให้เกิดสภาวะที่เหมาะสมต่อการเติบโตของแบคทีเรีย

  • กระบวนการต่อมาของการเกิดสิวอักเสบจะเกิดการสะสมของแบคทีเรีย

หลังจากการที่รูขุมขนอุดตันจนไม่มีออกซิเจนเข้าไปได้แล้วนั้น แบคทีเรียที่ชื่อว่า Cutibacterium acnes (C. acnes) ที่อาศัยอยู่ในรูขุมขนจะปล่อยเอนไซม์และสารเคมีบางชนิดออกมา ซึ่งไปกระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาการอักเสบ

  • กระบวนการสุดท้ายของการเกิดสิวอักเสบ ร่างกายจะเกิดการกระตุ้นให้เกิดการอักเสบ

เมื่อร่างกายรับรู้ถึงการอักเสบหรือติดเชื้อ จะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันจะตอบสนองเพื่อไปต่อสู้กับเชื้อแบคทีเรีย ทำให้เกิดอาการบวมแดง ร้อน และเจ็บ จนเกิดเป็นสิวอักเสบรุนแรงขึ้นมาได้

 

การเข้าใจกระบวนการเกิดสิวอักเสบทั้ง 3 ขั้นตอนเหล่านี้ จะช่วยให้คุณเข้าใจและสามารถเลือกวิธีการรักษาสิวอักเสบและป้องกันการเกิดสิวอักเสบได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

ปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดสิวอักเสบ

การเกิดสิวอักเสบ เกิดจากหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อการอุดตันของรูขุมขนและการเติบโตของแบคทีเรีย Cutibacterium acnes (C. acnes) ซึ่งทำให้เกิดการอักเสบ บวมแดง และอาจมีหนองร่วมด้วย โดยปัจจัยหลักที่กระตุ้นให้เกิดสิวอักเสบ มีดังนี้

 

1.สิวอักเสบที่ถูกกระตุ้นด้วยมลภาวะและสิ่งแวดล้อม (Pollution & Environmental Factors)

สิวอักเสบสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย หนึ่งในนั้นคือมลภาวะและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นปัจจัยภายนอกที่ส่งผลต่อผิวโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นฝุ่นละออง ควันจากท่อไอเสีย สารเคมีในอากาศ และแสงแดด ที่จะไปกระตุ้นให้ผิวเกิดการอักเสบและกระตุ้นให้ต่อมไขมันทำงานหนักขึ้น จนเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดสิวอักเสบได้

 

2.สิวอักเสบที่ถูกกระตุ้นด้วยพฤติกรรมสัมผัสหน้าและบีบสิว

พฤติกรรมการสัมผัสใบหน้าและการบีบสิวเป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้เกิดสิวอักเสบโดยไม่รู้ตัวได้  เนื่องจากมือของเราอาจมีแบคทีเรียและน้ำมัน ที่จะทำให้รูขุมขนอุดตันและเกิดการอักเสบได้ง่ายขึ้น ซึ่งการสัมผัสหน้าบ่อย ๆ ด้วยมือที่ไม่สะอาด อาจทำให้เชื้อโรคสามารถแพร่กระจายเข้าสู่รูขุมขน ทำให้เกิดการติดเชื้อและกระตุ้นให้สิวอักเสบได้

 

3.สิวอักเสบที่ถูกกระตุ้นด้วยฮอร์โมน (Hormonal Changes)

สิวอักเสบที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเป็นหนึ่งในสาเหตุที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะในช่วงวัยรุ่น ผู้หญิงในช่วงรอบเดือน การตั้งครรภ์ หรือภาวะที่เกี่ยวข้องกับฮอร์โมนอื่น ๆ เมื่อระดับฮอร์โมนแปรปรวน อาจส่งผลให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมามากกว่าปกติ ทำให้รูขุมขนอุดตันและเกิดสิวอักเสบได้ง่ายขึ้น 

 

4.สิวอักเสบที่ถูกกระตุ้นด้วยผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและเครื่องสำอางบางชนิด (Skincare & Makeup Products)

การใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและเครื่องสำอางบางชนิดสามารถเป็นสาเหตุของการเกิดสิวอักเสบได้ หากผลิตภัณฑ์เหล่านั้นมีส่วนผสมที่อุดตันรูขุมขน หรือก่อให้เกิดการระคายเคืองกับผิว โดยเฉพาะในผู้ที่มีผิวมันหรือผิวที่มีแนวโน้มเป็นสิวง่าย (Acne-prone skin)

 

5.สิวอักเสบที่ถูกกระตุ้นด้วยการรับประทานอาหารบางชนิด

อาหารที่รับประทานในแต่ละวันสามารถมีผลต่อการเกิดสิวอักเสบได้ โดยเฉพาะอาหารที่ส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด ฮอร์โมน และการทำงานของต่อมไขมัน หรืออาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลสูง (Glycemic Index – GI) เนื่องจากอาหารต่าง ๆ เหล่านี้สามารถกระตุ้นให้ระดับอินซูลินในร่างกายเพิ่มสูงขึ้นได้ เมื่ออินซูลินสูงขึ้นก็จะกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากขึ้นด้วย ทำให้รูขุมขนอุดตันง่ายขึ้น ส่งผลให้เกิดสิวอักเสบได้มากขึ้น

 

6.สิวอักเสบที่ถูกกระตุ้นด้วยความเครียดและการพักผ่อน (Stress & Sleep)

ความเครียดเป็นปัจจัยสำคัญที่สามารถกระตุ้นให้เกิดสิวอักเสบได้ เนื่องจากเมื่อร่างกายเกิดความเครียด จะมีการหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ออกมา ซึ่งฮอร์โมนนี้สามารถกระตุ้นให้ต่อมไขมันใต้ผิวหนังผลิตน้ำมันออกมามากขึ้น ทำให้รูขุมขนอุดตันได้ง่าย และนำไปสู่การเกิดสิวอักเสบ นอกจากนี้การพักผ่อนไม่เพียงพอก็มีผลต่อการเกิดสิวเช่นกัน เพราะถ้าหากนอนดึกหรือนอนหลับไม่เพียงพอ ฮอร์โมนในร่างกายอาจเสียสมดุล ทำให้เกิดการผลิตน้ำมันบนผิวเพิ่มขึ้น จนเกิดสิวอักเสบได้

 

ปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดสิวอักเสบมีหลายสาเหตุ การควบคุมและหลีกเลี่ยงปัจจัยเหล่านี้สามารถช่วยลดโอกาสเกิดสิวอักเสบได้

 

สิวอักเสบมีกี่ประเภท ?

สิวอักเสบมีหลายประเภท ซึ่งสามารถแบ่งออกได้ตามระดับความรุนแรงและลักษณะของสิวเป็น 4 ประเภท ได้แก่

1.สิวอักเสบประเภทสิวตุ่มแดง (Papules)

สิวตุ่มแดง (Papules) เป็นสิวอักเสบระยะเริ่มต้นที่เกิดจากการอุดตันของรูขุมขนร่วมกับการอักเสบ มักทำให้รู้สึกเจ็บหรือระคายเคืองเมื่อสัมผัส

ลักษณะของสิวอักเสบประเภทสิวตุ่มแดง (Papules)

  • สิวอักเสบประเภทสิวตุ่มแดงมักมีลักษณะเป็น ตุ่มเล็กสีแดง หรือชมพู ขนาดประมาณ 1-5 มิลลิเมตร
  • สิวอักเสบประเภทสิวตุ่มแดงมักไม่มีหัวหนอง และไม่มีของเหลวภายใน
  • สิวอักเสบประเภทสิวตุ่มแดงอาจมีอาการเจ็บหรือระคายเคืองเมื่อลูบหรือสัมผัสได้

สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดสิวอักเสบประเภทสิวตุ่มแดง (Papules)

  • สิวอักเสบประเภทสิวตุ่มแดงมักเกิดจากการอุดตันของรูขุมขนจากน้ำมันส่วนเกินและเซลล์ผิวที่ตายแล้ว
  • สิวอักเสบประเภทสิวตุ่มแดงมักเกิดจากการสะสมของแบคทีเรีย Cutibacterium acnes (C. acnes)
  • สิวอักเสบประเภทสิวตุ่มแดงเกิดได้จากปัจจัยกระตุ้นอื่น ๆ เช่น ฮอร์โมน ความเครียด และการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ก่อให้เกิดการอุดตัน

 

2.สิวอักเสบประเภทสิวหัวหนอง (Pustules)

สิวหัวหนอง (Pustules) เป็นสิวอักเสบที่เกิดจากการอุดตันของรูขุมขนที่มีการติดเชื้อแบคทีเรีย Cutibacterium acnes (C. acnes) และร่างกายตอบสนองด้วยการส่งเซลล์เม็ดเลือดขาวไปต่อสู้กับเชื้อโรค ทำให้เกิดของเหลวสีขาวหรือเหลืองภายในหัวสิว

ลักษณะของสิวอักเสบประเภทสิวหัวหนอง (Pustules)

  • สิวอักเสบประเภทสิวหัวหนองมักมีลักษณะเป็นตุ่มแดงบวม และมีหัวหนองสีขาวหรือเหลืองตรงกลาง
  • สิวอักเสบประเภทสิวหัวหนองมักมีขนาดอยู่ระหว่าง 2-6 มิลลิเมตร
  • สิวอักเสบประเภทสิวหัวหนองอาจมีอาการเจ็บหรือคันบริเวณที่เป็นสิว
  • สิวอักเสบประเภทสิวหัวหนองหากบีบหรือแกะ อาจทำให้การอักเสบลุกลามและเกิดรอยดำหรือแผลเป็น

สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดสิวอักเสบประเภทสิวหัวหนอง (Pustules)

  • สิวอักเสบประเภทสิวหัวหนองมักเกิดจากการอุดตันของรูขุมขน
  • สิวอักเสบประเภทสิวหัวหนองมักเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายตอบสนองด้วยการส่งเซลล์เม็ดเลือดขาวไปกำจัดเชื้อ ทำให้เกิดหนอง
  • สิวอักเสบประเภทสิวหัวหนองมักเกิดจากปัจจัยกระตุ้นจากภายนอก เช่น การใช้ผลิตภัณฑ์ที่อุดตันรูขุมขน  การบีบหรือแกะสิว หรือการรับประทานอาหารบางชนิด

 

3.สิวอักเสบประเภทสิวหัวช้าง (Nodules)

สิวหัวช้าง (Nodules) เป็นสิวอักเสบชนิดรุนแรงที่เกิดลึกลงไปใต้ผิวหนังชั้นหนังแท้ ซึ่งสิวประเภทนี้เกิดจากการอักเสบอย่างรุนแรงของรูขุมขนที่อุดตัน และอาจใช้เวลานานกว่าจะหาย

ลักษณะของสิวอักเสบประเภทสิวหัวช้าง (Nodules)

  • สิวอักเสบประเภทสิวหัวช้างมักมีขนาดใหญ่และแข็ง อยู่ลึกใต้ผิวหนัง มักพบในบริเวณที่มีต่อมไขมันเยอะ เช่น กราม คอ และหลัง
  • สิวอักเสบประเภทสิวหัวช้างมักไม่มีหัวหนองชัดเจน แต่บางครั้งอาจมีหัวสิวสีแดงเข้มหรือม่วง
  • สิวอักเสบประเภทสิวหัวช้างมักเจ็บปวดมาก โดยเฉพาะเมื่อลูบหรือสัมผัส
  • สิวอักเสบประเภทสิวหัวช้างใช้เวลานานกว่าจะยุบตัว และมีโอกาสทิ้งรอยดำหรือแผลเป็นลึกได้

สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดสิวอักเสบประเภทสิวหัวช้าง (Nodules)

  • สิวอักเสบประเภทสิวหัวช้างมักเกิดจากการอุดตันของรูขุมขนอย่างรุนแรง
  • สิวอักเสบประเภทสิวหัวช้างมักเกิดจากแบคทีเรียเจริญเติบโตมากเกินไปในรูขุมขนที่อุดตัน
  • สิวอักเสบประเภทสิวหัวช้างมักเกิดจากกรรมพันธุ์และฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลง

 

4.สิวอักเสบประเภทสิวซีสต์ (Cystic Acne)

สิวซีสต์ (Cystic Acne) เป็น สิวอักเสบชนิดรุนแรงที่สุดที่เกิดลึกลงไปใต้ผิวหนัง ทำให้สิวประเภทนี้มักเจ็บปวดมากและใช้เวลานานกว่าจะหาย และหากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง อาจทิ้งรอยแผลเป็นลึกและรอยดำบนผิวหนัง

ลักษณะของสิวอักเสบประเภทสิวซีสต์ (Cystic Acne)

  • สิวอักเสบประเภทสิวซีสต์มักมีลักษณะเป็นก้อนสิวขนาดใหญ่อยู่ลึกใต้ผิวหนัง
  • สิวอักเสบประเภทสิวซีสต์มักมีหนองจำนวนมาก สะสมอยู่ภายใน ทำให้สิวดูบวมใหญ่
  • สิวอักเสบประเภทสิวซีสต์มักมีสีแดงเข้มหรือม่วงและบางครั้งอาจแตกออกเอง ทำให้หนองไหลออกมา
  • สิวอักเสบประเภทสิวซีสต์มักเจ็บปวดมาก และอาจรู้สึกตึงบริเวณที่เป็นสิว

สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดสิวอักเสบประเภทสิวซีสต์ (Cystic Acne)

  • สิวอักเสบประเภทสิวซีสต์มักเกิดจากฮอร์โมน โดยเฉพาะในช่วงวัยรุ่น หรือช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน
  • สิวอักเสบประเภทสิวซีสต์มักเกิดจากพันธุกรรม หากพ่อแม่เคยเป็นสิวรุนแรง ลูกอาจมีแนวโน้มเป็นสิวประเภทนี้
  • สิวอักเสบประเภทสิวซีสต์มักเกิดจากการอักเสบที่ลึกและรุนแรงของรูขุมขน

 

สิวอักเสบแต่ละประเภทต้องการวิธีรักษาที่แตกต่างกันออกไป และหากมีอาการรุนแรงมาก ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำในการรักษาที่เหมาะสม

 

สิวอักเสบต่างจากสิวอุดตันยังไง ?
สิวอักเสบต่างจากสิวอุดตันยังไง ?

 

สิวอักเสบต่างจากสิวอุดตันยังไง ?

สิวอักเสบ และ สิวอุดตัน เป็นสิวที่เกิดจากกระบวนการอุดตันของรูขุมขนเหมือนกัน แต่แตกต่างกันที่ระดับของการอักเสบและลักษณะของสิว โดยสิวอุดตันเป็นระยะเริ่มต้นของสิวแต่ยังไม่มีการอักเสบ ไม่เจ็บ และสามารถพัฒนาไปเป็นสิวอักเสบได้หากมีการติดเชื้อแบคทีเรีย มีความเสี่ยงต่อการเกิดรอยแผลเป็นหลังการรักษาน้อยกว่าสิวอักเสบ ในขณะที่สิวอักเสบเกิดจากสิวอุดตันที่ติดเชื้อแบคทีเรีย ทำให้เกิดการบวมแดง อาจมีหนอง และเจ็บได้ อีกทั้งยังมีความเสี่ยงต่อการเกิดรอยแผลเป็นหลังการรักษามากกว่า

 

สิวอักเสบมักขึ้นบริเวณไหนมากที่สุด ?

สิวอักเสบสามารถเกิดขึ้นได้ทุกบริเวณของร่างกายที่มีรูขุมขนและต่อมไขมัน แต่จะพบบ่อยในบริเวณที่มีการผลิตน้ำมันมากเป็นพิเศษ เนื่องจากไขมันส่วนเกินเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้รูขุมขนอุดตันและเกิดสิวอักเสบ โดยบริเวณที่พบสิวอักเสบมากที่สุด ได้แก่

 

  • สิวอักเสบมักพบได้บ่อยที่สุดบริเวณใบหน้า (Face) โดยเฉพาะบริเวณหน้าผาก แก้ม คางและกราม
  • สิวอักเสบมักพบได้บริเวณหลัง (Back Acne หรือ Bacne) เนื่องจากเป็นบริเวณที่มีต่อมไขมันขนาดใหญ่ ทำให้เกิดสิวอักเสบได้ง่าย
  • สิวอักเสบมักพบได้บริเวณหน้าอก (Chest Acne) เนื่องจากมักเกิดการสะสมของเหงื่อและเกิดการเสียดสีบริเวณนี้บ่อย 
  • สิวอักเสบมักพบได้บริเวณไหล่และต้นแขน (Shoulders & Upper Arms) เนื่องจากมักเกิดการสะสมของเหงื่อ และเกิดการเสียดสีกับเสื้อผ้า กระเป๋าสะพายบริเวณนี้บ่อย
  • สิวอักเสบมักพบได้บริเวณก้น (Butt Acne) จากการใส่เสื้อผ้าที่รัดแน่น เหงื่อสะสม หรือการเสียดสีของผิวหนัง

 

สิวอักเสบสามารถเกิดได้หลายบริเวณทั่วร่างกาย แต่หากเป็นสิวอักเสบรุนแรงในหลายบริเวณ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม

 

วิธีการรักษาสิวอักเสบ
วิธีการรักษาสิวอักเสบ

 

วิธีการรักษาสิวอักเสบ

การรักษาสิวอักเสบจำเป็นต้องเลือกวิธีที่เหมาะสมกับระดับความรุนแรงของสิวอักเสบที่เป็น และต้องดูแลผิวอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจและลดโอกาสการเกิดรอยแผลเป็นหลังการรักษา  โดยวิธีการรักษาสิวอักเสบสามารถทำได้หลายวิธี ดังนี้ 

 

1.รักษาสิวอักเสบด้วยการดูแลตนเองเบื้องต้น

การดูแลตนเองเป็นวิธีเบื้องต้นที่ช่วยลดอาการสิวอักเสบและป้องกันการเกิดสิวใหม่ โดยเน้นการทำความสะอาดผิวอย่างถูกต้อง ควบคุมความมัน และลดการอุดตันของรูขุมขน

การรักษาสิวอักเสบด้วยการดูแลตนเองเหมาะสำหรับ

  • ผู้ที่มีสิวอักเสบเล็กน้อยถึงปานกลาง
  • ผู้ที่ต้องการลดการเกิดสิวโดยไม่ใช้ยาแรง
  • ผู้ที่ต้องการปรับพฤติกรรมและดูแลสุขภาพผิวอย่างยั่งยืน

 

2.รักษาสิวอักเสบด้วยการใช้ยารักษาสิวอักเสบ

การใช้ยาในการรักษาสิวอักเสบเป็นแนวทางที่ช่วยลดการอักเสบ ควบคุมเชื้อแบคทีเรีย และป้องกันการเกิดสิวใหม่ได้ โดยสามารถแบ่งออกเป็น ยาทา (Topical Treatment) และยารับประทาน (Oral Medication) 

การรักษาสิวอักเสบด้วยการใช้ยารักษาสิวอักเสบเหมาะสำหรับ

  • ผู้ที่มีสิวอักเสบปานกลางถึงรุนแรง
  • ผู้ที่ดูแลตัวเองแล้วแต่สิวยังไม่ดีขึ้น
  • ผู้ที่ต้องการรักษาสิวให้หายเร็วขึ้นและลดโอกาสเกิดแผลเป็น
  • ผู้ที่มีสิวอักเสบจากฮอร์โมน หรือมีแนวโน้มเป็นสิวเรื้อรัง

 

3.รักษาสิวอักเสบด้วยการฉีดยาสเตียรอยด์เพื่อลดการอักเสบ

การฉีดยาสเตียรอยด์ (Intralesional Corticosteroid Injection) เป็นวิธีที่ช่วยลดการอักเสบของสิวที่มีขนาดใหญ่และเจ็บปวด เช่น สิวหัวช้าง หรือสิวซีสต์

การรักษาสิวอักเสบด้วยการฉีดยาสเตียรอยด์เพื่อลดการอักเสบ เหมาะสำหรับ

  • ผู้ที่มี สิวอักเสบรุนแรง เช่น สิวหัวช้าง สิวซีสต์ หรือสิวอักเสบขนาดใหญ่
  • ผู้ที่ต้องการ ลดการอักเสบของสิวอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะก่อนโอกาสสำคัญ เช่น งานแต่งงาน หรือการถ่ายรูป
  • ผู้ที่ใช้ยาทาหรือยารับประทานแล้วไม่ได้ผล หรือสิวมีแนวโน้มทิ้งรอยแผลเป็น

 

4.รักษาสิวอักเสบด้วยการทำเลเซอร์รักษาสิว

การทำเลเซอร์รักษาสิวเป็นวิธีที่ช่วยลดการอักเสบ ฆ่าเชื้อแบคทีเรียและลดการผลิตน้ำมันในรูขุมขน โดยใช้พลังงานแสงหรือคลื่นพลังงานเฉพาะที่ช่วยฟื้นฟูผิวและลดรอยแดงจากสิว

การรักษาสิวอักเสบด้วยการทำเลเซอร์รักษาสิวเหมาะสำหรับ

  • ผู้ที่มี สิวอักเสบเรื้อรัง และไม่ตอบสนองต่อยาทาหรือยารับประทาน
  • ผู้ที่ต้องการ ลดการอักเสบของสิวโดยไม่ใช้ยา
  • ผู้ที่มี ผิวมันและมีแนวโน้มเป็นสิวง่าย ต้องการควบคุมความมัน
  • ผู้ที่ต้องการลดรอยแดงและรอยดำจากสิวไปพร้อมกัน

 

5.รักษาสิวอักเสบด้วยการกดสิวและดูดสิวโดยแพทย์

การกดสิวและดูดสิวเป็นกระบวนการกำจัดสิวอุดตันและสิวอักเสบโดยใช้เครื่องมือพิเศษ เช่น ที่กดสิวหรือเครื่องดูดสิวสุญญากาศ เพื่อลดการอุดตันของรูขุมขนและป้องกันการเกิดสิวอักเสบซ้ำ

การรักษาสิวอักเสบด้วยการกดสิวและดูดสิวโดยแพทย์เหมาะสำหรับ

  • ผู้ที่มีสิวอุดตัน (Comedonal Acne) เช่น สิวหัวขาว (Whiteheads) และสิวหัวดำ (Blackheads)
  • ผู้ที่มีสิวอักเสบขนาดเล็ก ที่เกิดจากสิวอุดตัน เพื่อป้องกันการลุกลาม
  • ผู้ที่มีปัญหาผิวมันและรูขุมขนอุดตัน และต้องการลดสิ่งอุดตันในรูขุมขน
  • ผู้ที่ต้องการกำจัดสิวโดยไม่มีผลข้างเคียง แทนการบีบหรือแกะสิวเอง ซึ่งอาจทำให้เกิดการอักเสบหรือแผลเป็น

 

สิวอักเสบบีบออกด้วยตัวเองได้ไหม ?

โดยปกติแล้ว จะไม่แนะนำให้บีบสิวอักเสบ เพราะอาจทำให้การอักเสบรุนแรงขึ้นและเสี่ยงต่อการเกิดรอยแผลเป็นหรือรอยดำหลังสิวหายได้ โดยเหตุผลที่ไม่ควรบีบสิวอักเสบ มีดังนี้

  • การบีบสิวอักเสบอาจเพิ่มการอักเสบและการติดเชื้อได้
  • การบีบสิวอักเสบอาจทำให้สิวหายช้าลง
  • การบีบสิวอักเสบอาจเสี่ยงเกิดรอยดำและหลุมสิวถาวรได้
  • การบีบสิวอักเสบอาจกระตุ้นให้เกิดสิวใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม

หากต้องการรักษาสิวอักเสบไม่ควรบีบสิวอักเสบเอง เพราะเสี่ยงต่อการอักเสบ รอยดำ และหลุมสิว แต่หากเป็นสิวหัวหนองและต้องการกำจัดออก ควรทำโดยผู้เชี่ยวชาญเพื่อลดโอกาสเกิดผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต

 

สิวอักเสบหายแล้วจะกลับมาเป็นอีกไหม ?

สิวอักเสบสามารถกลับมาเป็นซ้ำได้ หากสาเหตุที่ทำให้เกิดสิวยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างเหมาะสม นอกจากนี้ปัจจัยภายนอกต่าง ๆ เช่น ความเครียด อาหารบางชนิด และมลภาวะ ก็อาจกระตุ้นให้เกิดสิวอักเสบซ้ำได้ แม้ว่าสิวจะหายไปแล้วก็ตาม ดังนั้น การดูแลผิวอย่างต่อเนื่อง เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม และปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต จะช่วยลดโอกาสที่สิวอักเสบจะกลับมาเป็นซ้ำได้

 

วิธีป้องกันการเกิดสิวอักเสบ 

วิธีการป้องกันการเกิดสิวอักเสบ เป็นกระบวนการที่ต้องทำอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง โดยเน้นไปที่การดูแลผิวและการปรับพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เพื่อลดปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดสิว โดยวิธีป้องกันการเกิดสิวอักเสบสามารถทำได้ ดังนี้

 

  • ป้องกันการเกิดสิวอักเสบด้วยการรักษาความสะอาดผิวหน้า ด้วยผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่อ่อนโยน ปราศจากสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง เพราะอาจกระตุ้นให้ผิวอักเสบและทำให้สิวอักเสบแย่ลงได้
  • ป้องกันการเกิดสิวอักเสบด้วยการเลือกใช้สกินแคร์และเครื่องสำอางที่ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน เพื่อป้องกันสิ่งตกค้างที่อาจทำให้เกิดสิวอุดตันและพัฒนาเป็นสิวอักเสบ
  • ป้องกันการเกิดสิวอักเสบด้วยการควบคุมความมันบนใบหน้า  สามารถทำได้ด้วยการเลือกใช้สกินแคร์ที่ช่วยควบคุมความมัน การใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่ช่วยลดความมัน เป็นต้น
  • ป้องกันการเกิดสิวอักเสบด้วยการลดความเครียดและนอนหลับให้เพียงพอ เพื่อช่วยให้ระบบฮอร์โมนสมดุลและลดโอกาสเกิดสิว
  • ป้องกันการเกิดสิวอักเสบด้วยการหลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้าและบีบสิว เพื่อลดการนำเชื้อโรคเข้าสู่รูขุมขนและกระตุ้นให้เกิดสิวอักเสบ
  • ป้องกันการเกิดสิวอักเสบด้วยการดูแลสุขภาพจากภายใน เช่น การหลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลสูง, อาหารแปรรูป และนมวัว และเลือกทานอาหารที่ช่วยบำรุงผิว เพื่อช่วยลดการอักเสบของสิว

 

สิวอักเสบเป็นปัญหาผิวที่พบได้บ่อย โดยสิวอักเสบเกิดจากการอุดตันของรูขุมขน ร่วมกับการติดเชื้อแบคทีเรีย Cutibacterium acnes (C. acnes) ส่งผลให้เกิดการอักเสบ บวมแดง เจ็บปวด และอาจมีหนองขึ้นในที่สุด 

ปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดสิวอักเสบมีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นฮอร์โมน ความเครียด การใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว เครื่องสำอางบางชนิด หรือการรับประทานอาหารบางชนิด การหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นเหล่านี้จะช่วยลดโอกาสการเกิดสิวอักเสบได้

อีกทั้งการรักษาสิวอักเสบยังสามารถทำได้หลายวิธีตั้งแต่การรักษาด้วยตัวเอง การรักษาด้วยยา การฉีด กด  และการทำเลเซอร์ แต่ทั้งนี้ควรทำควบคู่ไปกับการดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพและลดโอกาสการเกิดรอยแผลเป็นหลังการรักษาได้

 

*ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวแต่ละบุคคล

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

Emface Eyes ผสาน 2 เทคโนโลยีเพื่อผิวใต้ตาเฟิร์ม กระจ่างใส ดูอ่อนเยาว์

Emface Eyes

ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




    วันที่สะดวกในการติดต่อ








    Emface Eyes ผสาน 2 เทคโนโลยีเพื่อผิวใต้ตาเฟิร์ม กระจ่างใส ดูอ่อนเยาว์

     

    Emface Eyes เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดที่ออกแบบในการดูแลผิวบริเวณรอบดวงตาโดยเฉพาะ Emface Eyes ถูกคิดค้นให้ดูแลผิวบริเวณใต้ตาด้วย 2 เทคโนโลยีสำคัญไว้ใน Applicator แผ่นเดียว เหมือนกันกับ Emface และ Emface Submentum โดยใช้หลักการเดิมคือเป็นเครื่องยกกระชับที่สามารถยกกระชับได้ลึกถึงชั้นกล้ามเนื้อ เพียงแต่เปลี่ยน Applicator จากที่เดิมทำงานกับกล้ามเนื้อส่วนอื่นมาเป็นกล้ามเนื้อบริเวณใต้ตาแทนนั่นเอง

    Emface Eyes มี Applicator ที่ออกแบบพิเศษให้โค้งรับกับบริเวณใต้ตา ส่งพลังงานได้แม่นยำและนุ่มนวล โดยลักษณะของหัว Applicator จะมีความโค้งและเรียวเฉพาะตัว เพื่อให้แนบสนิทกับแนวผิวรอบเบ้าตา ซึ่งเป็นบริเวณที่มีลักษณะเว้า และบอบบางกว่าส่วนอื่นของใบหน้า การออกแบบเช่นนี้ทำให้สามารถควบคุมทิศทางและระดับพลังงานได้อย่างแม่นยำ ลดโอกาสเกิดการกระจายของพลังงานไปยังบริเวณที่ไม่ต้องการ และช่วยให้การกระตุ้นผิวและกล้ามเนื้อบริเวณใต้ตาเป็นไปอย่างอ่อนโยนและมีประสิทธิภาพ

     

    Emface Eyes ประกอบไปด้วย 2 คลื่นพลังงานเหมือนกับ Emface อื่นๆ คือ คลื่นพลังงาน

     

    Emface Eyes ประกอบไปด้วย 2 คลื่นพลังงาน
    Emface Eyes ประกอบไปด้วย 2 คลื่นพลังงาน

     

    HIFES ใน Emface Eyes 

    • หรือชื่อเต็มคือ High-Intensity Focused Electrical Stimulation เป็นคลื่นไฟฟ้าความเข้มสูงที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของมัดกล้ามเนื้อบริเวณใต้ตาโดยตรง ช่วยให้เกิดการเรียงตัวใหม่ของเส้นใยกล้ามเนื้อ ส่งผลให้ผิวใต้ตาดูเต่งตึงขึ้น มีความกระชับที่ชัดเจนโดยไม่ต้องใช้เข็มหรือผ่าตัด

    นอกจากนี้คลื่น HIFES ยังช่วยในการลดความหย่อนคล้อย และเพิ่มคืนความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อบริเวณใต้ตาในชั้นลึก ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของปัญหาริ้วรอยและความเหี่ยวย่นของใต้ตา

     

    Synchronized RF ใน Emface Eyes 

    • ใน Emface Eyes ยังประกอบด้วยอีก 1 คลื่นคือ Synchronized RF (Radiofrequency) ซึ่งเป็นพลังงานคลื่นวิทยุที่ทำงานอย่างแม่นยำและปลอดภัย ช่วยกระตุ้นสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิวอย่างต่อเนื่อง

    ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้จากการทำ Emface Eyes คือทำให้ผิวบริเวณใต้ตาดูอิ่มฟูขึ้น ริ้วรอยใต้ตาตื้นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด สีผิวในบริเวณที่บอบบางอย่างบริเวณใต้ตาจะมีความสม่ำเสมอมากขึ้น ความหมองคล้ำรอบดวงตาลดลง ทั้งยังเพิ่มความกระจ่างใสให้กับผิวบริเวณใต้ตาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

     

    โดยเมื่ออายุของคนเราเพิ่มมากขึ้น กล้ามเนื้อบริเวณใต้ตาที่เคยทำหน้าที่ยกพยุงชั้นไขมันจะค่อยๆ เสื่อมสภาพลงและคล้อยตัวลง การใช้ Emface Eyes จะช่วยในการให้กล้ามเนื้อบริเวณใต้ตามีความแข็งแรงมากขึ้นและยกกระชับตัวกลับไปอยู่ที่เดิม จึงส่งผลให้ไขมันที่เคยอยู่บริเวณใต้ตากลับไปอยู่ในบริเวณที่ควรอยู่ ส่งผลให้ถุงใต้ตาดูดีขึ้น และกระชับขึ้นนั่นเอง

     

    Emface Eyes ยกกระชับผิวในแต่ละชั้นได้อย่างไร?
    Emface Eyes ยกกระชับผิวในแต่ละชั้นได้อย่างไร?

     

    Emface Eyes ยกกระชับผิวในแต่ละชั้นได้อย่างไร?

    Emface Eyes ได้รับการออกแบบมาเพื่อฟื้นฟูและยกกระชับผิวรอบดวงตาอย่างครอบคลุม โดยส่งพลังงานได้แม่นยำลึกถึงชั้นต่าง ๆ ของโครงสร้างผิว ดังนี้

    1. Emface Eyes ลงชั้น Epidermis (ชั้นหนังกำพร้า)

    Emface Eyes ไม่ได้เน้นการผลัดเซลล์ผิวชั้นนอกเหมือนเลเซอร์หลายๆชนิด แต่การส่งคลื่น RF และ HIFES  จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ทำให้ผิวดูกระจ่างใส สดชื่นและสุขภาพดีขึ้น

    2. Emface Eyes ลงชั้น Dermis (ชั้นหนังแท้)

    พลังงาน Synchronized RF ใน Emface Eyes ที่ผ่านสู่ผิวในชั้นนี้ เพื่อกระตุ้นการสร้าง คอลลาเจนและอีลาสติน ช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่น หนาแน่น และลดเลือนริ้วรอยอย่างเป็นที่น่าพึงพอใจ

    3. Emface Eyes ลงชั้น Superficial Fat (ไขมันใต้ผิว)

    พลังงาน RF ใน Emface Eyes จะสามารถช่วยกระชับใต้ตาบริเวณที่ไขมันหย่อนคล้อยจนเห็นเป็นถุงใต้ตา ทำให้ดูตึงขึ้นโดยไม่ต้องดูดไขมันหรือผ่าตัด ทั้งนี้ช่วยลดผลข้างเคียงเรื่องใต้ตาลึกจากการดูดไขมันได้

    4.Emface Eyes ลงชั้น SMAS (Superficial Musculo-Aponeurotic System)

    ผิวหนังชั้น SMAS นับเป็นเป้าหมายหลักของการยกกระชับของ Emface Eyes โดยใช้พลังงาน HIFES กระตุ้นกล้ามเนื้อผ่านชั้น SMAS ทำให้บริเวณใต้ตาดูยกกระชับขึ้น และถุงใต้ตากระชับมากขึ้นจากการยกของชั้นกล้ามเนื้อ

    5. Emface Eyes ลงชั้น Muscle (กล้ามเนื้อใบหน้า)

    HIFES ใน Emface Eyes ทำงานโดยกระตุ้นการสร้างมัดกล้ามเนื้อใหม่ และเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อเดิม โดยเฉพาะกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับการยกพยุงใบหน้า เช่น รอบดวงตา มุมปาก และแก้ม ทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์และไม่หย่อนคล้อย

    6. Emface Eyes ลงชั้น Retaining Ligament & Facial Spaces

    ถึงแม้ว่า Emface Eyes ไม่ได้ทำงานลงลึกถึงระดับ Ligament แต่การยกกระชับจากชั้น SMAS และกล้ามเนื้อโดยรอบมีผลต่อการดึงแนวพยุงผิว (Retaining Ligament) ทำให้ความหย่อนคล้อยบริเวณรอบดวงตาลดลง ทั้งยังเสริมให้ผิวหนังบริเวณรอบดวงตามีความแน่นกระชับมากขึ้น

     

    ปัญหาดวงตาแบบไหนเหมาะกับการทำ Emface Eyes
    ปัญหาดวงตาแบบไหนเหมาะกับการทำ Emface Eyes

     

    ปัญหาดวงตาแบบไหนเหมาะกับการทำ Emface Eyes

    Emface Eyes ถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ผู้ที่มีปัญหาบริเวณใต้ตาหลากหลายประเภท โดยเหมาะกับผู้ที่ไม่ต้องใช้การฉีดสารเติมเต็ม (ฟิลเลอร์) หรือการผ่าตัดทำศัลยกรรม จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้มีปัญหาดังต่อไปนี้

     

    Emface Eyes เหมาะกับผู้มีปัญหาใต้ตาหย่อนคล้อย มีรอยเหี่ยวย่นใต้ตา

    • เมื่อชั้นผิวเกิดการสูญเสียความกระชับอันเนื่องมาจากอายุที่มากขึ้น รวมทั้งปัจจัยภายนอก เช่น แสงแดด ความเครียด หรือการพักผ่อนไม่เพียงพอ จะส่งผลให้ผิวหนังบริเวณใต้ตา เกิดการหย่อนคล้อยหรือเกิดรอยพับผิวเล็ก ๆ Emface Eyes จะเป็นโปรแกรมที่ช่วยในการกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อและคอลลาเจน เพื่อให้ใต้ตาถูกยกกระชับให้กลับมาเรียบเนียนมากขึ้น 

    Emface Eyes เหมาะกับผู้มีปัญหามีถุงใต้ตาหรือไขมันใต้ตาเยอะ

    • ผู้ที่มีถุงใต้ตาจะทำให้มีใบหน้าดูเหนื่อยล้าและแก่กว่าวัยการทำ Emface Eyes จะช่วยลดขนาดของถุงใต้ตาได้ โดยไม่ต้องผ่าตัด อีกทั้ง Emface Eyes ยังช่วยให้ใบหน้าดูสดใสขึ้นและอ่อนเยาว์ลง

    Emface Eyes เหมาะกับผู้มีปัญหาใต้ตาคล้ำ ดูไม่สดใส

    • รอยคล้ำใต้ตาเกิดจากหลายปัจจัย เช่น พันธุกรรม หรือการพักผ่อนน้อย Emface Eyes จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตและระบบน้ำเหลืองรอบดวงตา ทั้งยังช่วยในการฟื้นฟูผิวบริเวณรอบดวงตา ให้กลับมามีความชุ่มชื้น สีผิวสม่ำเสมอ และดูสุขภาพดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

    Emface Eyes เหมาะกับผู้มีปัญหามีริ้วรอยรอบดวงตา และตีนกา

    • ริ้วรอยเล็ก ๆ ที่หางตา รวมทั้งตีนกา เป็นสิ่งที่ทำให้คนมองเห็นปัญหาริ้วรอยแห่งวัยได้อย่างชัดเจน Emface Eyes เป็นโปรแกรมที่ช่วยลดริ้วรอยบริเวณใต้ตา และตีนกาลงอย่างเห็นได้ชัด 

     

    จุดเด่นของ Emface Eyes
    จุดเด่นของ Emface Eyes

     

    จุดเด่นของ Emface Eyes

    • Emface Eyes ไม่ต้องใช้เข็ม ไม่ต้องผ่าตัด
    • Emface Eyes ไม่ต้องพักฟื้นหลังทำ
    • Emface Eyes ใช้เวลาเพียง 20 นาทีต่อครั้ง
    • Emface Eyes ช่วยลดถุงใต้ตาได้
    • Emface Eyes ลดรอยตีนกาได้
    • Emface Eyes รอยคล้ำใต้ตาลงได้
    • Emface Eyes ไม่เจ็บ
    • Emface Eyes ไม่ต้องใช้ยาชา
    • Emface Eyes ยกกระชับรอบดวงตาได้

     

    ทำไมต้องเลือก Emface Eyes?

    • Emface Eyes ไม่อันตราย ไม่มีการใช้เข็ม ไม่มีการผ่าตัด และไม่ก่อให้เกิดบาดแผล
    • Emface Eyes เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว รวมถึงผู้ที่มีผิวบอบบาง
    • Emface Eyes ให้ผลลัพธ์ที่ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงด้วยการใช้คลื่น RF และ HIFES กระตุ้นกระบวนการสร้างเซลล์ใหม่ของร่างกายเองอย่างปลอดภัย 
    • Emface Eyes อ่อนโยนต่อผิวรอบดวงตาเนื่องจาก Applicator ที่ออกแบบพิเศษให้โค้งรับกับผิวใต้ตา ส่งพลังงานได้แม่นยำและนุ่มนวล
    • Emface Eyes ไม่ต้องพักฟื้น หลังทำสามารถกลับไปทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันได้ทันที ไม่ต้องหยุดงานหรือเว้นกิจกรรมกลางแจ้ง
    • Emface Eyes เห็นผลชัดเมื่อทำต่อเนื่อง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูอย่างค่อยเป็นค่อยไป เห็นผลลัพธ์ที่พัฒนาอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน

     

    ผลลัพธ์หลังการทำ Emface Eyes
    ผลลัพธ์หลังการทำ Emface Eyes

     

    ผลลัพธ์หลังการทำ Emface Eyes

    จากผลการเก็บข้อมูลของผู้ใช้บริการจริงพบว่าการทำ Emface Eyes ช่วยให้ผิวรอบดวงตาดูอ่อนเยาว์ลงอย่างชัดเจน 

    • ยกกระชับผิวรอบดวงตาให้เต่งตึงขึ้น
    • ลดถุงใต้ตาลดลง ขณะเดียวกันไม่ทำให้ใต้ตาลึก
    • ลดรอยตีนกา
    • รอยคล้ำใต้ตาลดลง
    • ผิวดูสดใสขึ้น สีผิวสม่ำเสมอ

     

    ความแตกต่างของ Emface ทั้ง 3 โปรแกรม

    แม้จะใช้เทคโนโลยีพื้นฐานเดียวกันคือ Synchronized RF และ HIFES แต่ทั้ง 3 โปรแกรมมีความแตกต่างกันเกี่ยวกับบริเวณที่ใช้ในการรักษา วัตถุประสงค์ในการรักษา และผลลัพธ์ที่ได้รับ

     

    • Emface เหมาะสำหรับการยกกระชับผิวทั่วใบหน้า ไม่ว่าจะเป็นบริเวณหน้าผาก แก้ม และแนวกรอบหน้า โดยติด Applicator ที่ หน้าผากและแก้ม 2 ข้าง  ใช้ระยะเวลาเพียง 20 นาที สามารถกระตุ้นทั้งคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิว และฟื้นฟูโครงสร้างกล้ามเนื้อให้ยกตัวขึ้นอย่างเป็นที่พึงพอใจ ผู้เข้ารับการรักษาจะรู้สึกถึงความอุ่น และแรงกระตุกเบา ๆ ของกล้ามเนื้อที่ขยับตามจังหวะของเครื่องที่ทำงาน

     

    • Emface Submentum เป็นโปรแกรมที่เน้นการลดไขมันและกระชับผิวใต้คาง หรือเหนียงเป็นหลัก ใช้หัว Applicator ติดที่แก้มสองข้างและใต้คาง ทำงานโดยการปล่อยพลังงาน เพื่อผลลัพธ์ที่ชัดเจนในการลดเหนียง แนวกรามคมชัดขึ้น และปรับรูปหน้าท่อนล่างให้ได้สัดส่วน ระหว่างทำจะรู้สึกอุ่นบริเวณเหนียง และรู้สึกถึงแรงกระตุกจากการกระตุ้นกล้ามเนื้อบริเวณลำคอ

     

    • Emface Eyes เป็นโปรแกรมที่อ่อนโยนและแม่นยำ ออกแบบมาสำหรับผิวบริเวณรอบดวงตาโดยเฉพาะ เช่น ใต้ตา หนังตา และหางตา ช่วยลดรอยคล้ำ ถุงใต้ตา และรอยตีนกา พร้อมทั้งกระตุ้นให้ผิวบริเวณนี้กระจ่างใสและดูอ่อนเยาว์ขึ้น ความรู้สึกขณะทำจะเบาและสบายมากที่สุดเมื่อเทียบกับ โปรแกรม Emface ทั้ง 3 โปรแกรม เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีผิวบอบบาง

     

    Emface EYE
    ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

    Emface  แต่ละโปรแกรมเหมาะกับปัญหาแบบใดบ้าง

    • Emface เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับใบหน้าโดยรวม ลดริ้วรอย และปรับโครงหน้าให้ได้สัดส่วน
    • Emface Submentum เหมาะกับผู้ที่มีไขมันสะสมใต้คาง มีคางสองชั้น หรือแนวกรามไม่ชัด
    • Emface Eyes เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาถุงใต้ตา รอยคล้ำ หรือริ้วรอยรอบดวงตา

     

    ความรู้สึกขณะทำ Emface ,Emface Submentum และ Emface Eyes 

    การทำโปรแกรม Emface ,Emface Submentum และ Emface Eyes  นั้นเป็นหัตถการที่ไม่เจ็บและไม่ต้องใช้เข็ม แต่ในระหว่างทำ ผู้รับบริการจะมีความรู้สึกที่ชัดเจนซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของ Emface เองโดยความรู้สึกระหว่างทำสามารถจำแนกได้ดังนี้

    • จะรู้สึก ตึงบริเวณใบหน้า คล้ายกับการถูกยกกระชับจากภายใน
    • รู้สึกเหมือนใบหน้าถูก “ดึง” ไปตามจังหวะของเครื่อง ซึ่งเป็นผลจากการทำงานของคลื่น HIFES
    • เกิดการ กระตุกของกล้ามเนื้อบนใบหน้า เป็นระยะ ซึ่งเป็นการกระตุ้นขึ้นจากพลังงานไฟฟ้าเฉพาะจุด
    • รู้สึกเหมือนใบหน้า ถูกควบคุมให้ขยับ ไปตามแรงของเครื่อง ซึ่งแสดงถึงการทำงานลึกถึงชั้นกล้ามเนื้อ
    • รู้สึกเหมือนใบหน้ากระตุก
    • บริเวณที่แปะ Applicator จะมีความรู้สึก อุ่นอย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากพลังงาน RF ที่ลงลึกเพื่อกระตุ้นคอลลาเจน
    • โดยรวมจะรู้สึกคล้ายกับถูก “นวดด้วยแรงจังหวะลึก” และเป็นจังหวะที่ต่อเนื่อง
    • ในส่วนของการทำ Emface Submentum (บริเวณเหนียง) จะรู้สึก อุ่นมากกว่าส่วนอื่นของใบหน้า เพราะ Applicator สำหรับบริเวณนี้ปล่อยพลังงานความร้อนในระดับที่สูงขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการลดไขมันและกระชับผิวใต้คาง
    • ในส่วนของการทำ Emface Eyes จะรู้สึกดึง นวด และกระตุกน้อยที่สุดใน 3 โปรแกรม

     

    การเตรียมตัวก่อนเข้ารับการรักษา Emface Eyes 

    เพื่อให้การรักษาด้วย Emface Eyes ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด แนะนำให้ดูแลตัวเองดังนี้

    • ก่อนทำ Emface Eyes ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อย 6–8 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายและผิวพร้อมต่อการฟื้นฟู
    • ก่อนทำ Emface Eyes ควรดื่มน้ำให้มากขึ้นในวันก่อนเข้ารับบริการ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ส่งเสริมการทำงานของพลังงาน RF และช่วยให้การฟื้นตัวของผิวดีขึ้น
    • ก่อนทำ Emface Eyes ควรงดแต่งหน้าในวันที่เข้ารับการรักษา เพื่อให้สามารถทำความสะอาดผิวหน้าได้อย่างหมดจด และช่วยให้พลังงานส่งผ่านได้เต็มประสิทธิภาพ

     

    Emface EYE
    ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

     

    การดูแลตัวเองหลังทำ Emface Eyes 

    • หลังเข้ารับการรักษาด้วย Emface Eyes ไม่จำเป็นต้องพักฟื้น เนื่องจากไม่มีรอยเข็ม ไม่มีรอยช้ำ และไม่ก่อให้เกิดบาดแผลบนผิวหน้า ผู้รับบริการสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติทันที
    • หลังทำ  Emface Eyes สามารถ ทาครีมบำรุงผิว แต่งหน้า หรือออกไปทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้ตามปกติ โดยไม่ต้องดูแลเป็นพิเศษใด ๆ หลังทำ
    •  Emface Eyes ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงชีวิตประจำวัน หรืองดการรับประทานยาใดใด

     

    อาการที่อาจพบหลังเข้ารับการรักษาEmface Eyes 

    หลังเข้ารับบริการ Emface Eyes  แต่ละครั้ง โดยปกติทั่วไปจะไม่พบผลข้างเคียงที่รุนแรง และสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ อย่างไรก็ตาม ในผู้ที่มีผิวบอบบางหรือแพ้ง่ายอาจสังเกตเห็น รอยแดงเล็กน้อยบริเวณที่ติดแผ่น Applicator ซึ่งเกิดจากการสัมผัสของอุปกรณ์และพลังงานความร้อนที่ปล่อยออกมา ทั้งนี้ รอยแดงดังกล่าวจะค่อย ๆ จางลงได้เองภายในระยะเวลาไม่กี่ชั่วโมง จึงไม่ใช่ปัญหาที่ต้องเป็นต้องกังวล อีกทั้ง Emface Eyes ยังไม่พบปัญหาที่กระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน

     

    ใครที่ไม่ควรเข้ารับการรักษาด้วย Emface Eyes 

     

    Emface Eyes เป็นเทคโนโลยีที่ปลอดภัยและไม่ต้องใช้เข็มหรือผ่าตัด แต่ก็เป็นโปรแกรมที่มีข้อควรระวังสำหรับผู้ที่มีเงื่อนไขทางสุขภาพบางประการ ซึ่งอาจไม่เหมาะกับการเข้ารับการรักษาด้วย Emface Eyes  โดยปัญหาสุขภาพดังกล่าวจำแนกได้ดังนี้

    • ผู้ที่มีโลหะฝังอยู่ใกล้บริเวณใบหน้า หรือบริเวณที่จะทำการรักษา เช่น แผ่นโลหะหรืออุปกรณ์ทางการแพทย์
    • ผู้ที่มีประวัติการใช้ เครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemaker) หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ฝังในร่างกาย
    • ผู้ที่เคยมี หรือกำลังมีภาวะ ตับหรือไตวาย
    • ผู้ที่มีโรคเกี่ยวกับ หัวใจและหลอดเลือด หรือมีภาวะเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของหัวใจ
    • ผู้ที่อยู่ระหว่างการรักษาด้วย เคมีบำบัด (Chemotherapy) หรือ รังสีบำบัด (Radiation Therapy)
    • สตรีมีครรภ์ ควรหลีกเลี่ยงการทำหัตถการทุกประเภทที่ใช้คลื่นพลังงานเพื่อความปลอดภัยของทั้งแม่และทารก

     

    Emface Eyes  สามารถทำร่วมกับหัตถการใดได้บ้าง?

    Emface Eyes สามารถทำร่วมกับหัตถการอื่นๆ  ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะ หัตถการกลุ่มฉีด ซึ่งสามารถทำร่วมกันได้อย่างปลอดภัยและไม่ส่งผลต่อประสิทธิภาพของตัวยา

    หัตถการกลุ่มฉีดที่สามารถทำร่วมกันกับ Emface Eyes  ได้

    • สารนิวโรท็อกซิน ช่วยลดการทำงานของกล้ามเนื้อหน้ามัดตก ขณะที่ Emface ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหน้ามัดยกพยุงผิว
    • สารเติมเต็ม (Filler) ทั้งในรูปแบบการปรับรูปหน้า และฉีดงานผิว
    • สารกระตุ้นคอลลาเจน (Biostimulator) เช่น การฉีด Radiesse หรือ Sculptra
    • งานผิวอื่น ๆ เช่น การฉีด Rejuran ไหมน้ำชนิดต่าง ๆ รวมทั้ง Biostimulator
    • การฉีดลดไขมันหรือลดเหนียง

    อย่างไรก็ตาม ควรมีการวางแผนการรักษาอย่างเหมาะสมตามคำแนะนำของแพทย์ผู้ดูแล

     

    ข้อแนะนำเรื่องระยะเวลาในการทำ Emface Eyes  และการใช้ตัวยาประเภทฉีด

    • หากเข้ารับหัตถการกลุ่มฉีดมา ควร เว้นระยะเวลาก่อนทำ Emface Eyes อย่างน้อย 2–4 สัปดาห์ ก่อนเข้ารับการรักษาด้วย Emface Eyes เพื่อให้รอยแผลจากการฉีดหายดี และตัวยาเข้าที่สมบูรณ์
    • กรณีที่ต้องการทำหัตถการฉีดและ Emface Eyes ในวันเดียวกัน แนะนำให้ทำ Emface Eyes  ก่อน แล้วจึงตามด้วยการฉีด ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้คลื่นพลังงานจากเครื่องไปกระทบตัวยาที่เพิ่งฉีดเข้าไป ซึ่งอาจทำให้ตัวยาเคลื่อนที่หรือออกฤทธิ์ผิดตำแหน่ง

     

    สามารถทำ Emface Eyes ร่วมกับหัตถการกลุ่มเครื่องได้หรือไม่?

    Emface Eyes สามารถทำร่วมกับหัตถการกลุ่มเครื่องยกกระชับหรือเครื่องลดไขมันชนิดอื่น ๆ ได้ ทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นเครื่อง RF, Ultrasound, HIFU, Thermage, Ultherapy หรือเครื่องลดเหนียงชนิดต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพสูงสุด ควรเว้นระยะและเข้ารับการรักษา แยกกันคนละครั้ง

    เหตุผลที่ควรเว้นระยะในการทำเครื่องร่วม

    เครื่องมือแต่ละชนิดมี พลังงานที่แตกต่างกันทั้งในด้านชนิดของคลื่นและระดับความลึกที่ส่งลงสู่ชั้นผิว เช่น

    • บางเครื่องเน้นการทำงานในชั้นผิวตื้น (Dermis)
    • บางเครื่องเจาะจงลงลึกถึงชั้นไขมันหรือกล้ามเนื้อ (SMAS)

    การเว้นระยะจะช่วยป้องกันไม่ให้พลังงานทับซ้อนหรือกระทบกัน และทำให้ผิวได้รับการกระตุ้นอย่างทั่วถึงในแต่ละชั้น

     

    การทำเครื่องร่วมช่วยเสริมผลลัพธ์

    การทำ Emface หรือ Emface Submentum ร่วมกับเครื่องยกกระชับชนิดอื่น ๆ ถือเป็นแนวทางที่ดีในการยกระดับผลลัพธ์การรักษา เพราะช่วยเสริมประสิทธิภาพ ในการยกกระชับผิวทุกระดับชั้น ตั้งแต่ผิวชั้นบนจนถึงชั้นกล้ามเนื้ออย่างครอบคลุม ทำให้ผลลัพธ์ชัดเจนและอยู่ได้นานยิ่งขึ้น

     

    การทำ Emface Eyes ร่วมกับหัตถการประเภทอื่น

    1. ทรีทเมนต์บำรุงผิว (Facial Treatment)

    สามารถทำ Emface Eyes ร่วมกับการทำทรีทเมนต์ดูแลผิวหน้าได้อย่างปลอดภัย เนื่องจากทรีทเมนต์ทั่วไปไม่มีการใช้เข็มหรือทำให้เกิดบาดแผล การทำทรีทเมนต์สามารถทำได้ ทั้งก่อนหรือหลังการรักษา โดยไม่รบกวนผลลัพธ์ และยังช่วยส่งเสริมการฟื้นฟูผิวให้ดีขึ้นอีกด้วย

     

    2. หัตถการเฉพาะจุด เช่น การฉีดสิว

    สามารถทำร่วมกันได้ แต่อาจต้องวางแผนให้เหมาะสม โดยแนะนำให้:

    • ทำ Emface Eyes  ก่อนเพื่อหลีกเลี่ยงอาการเจ็บหรือรอยช้ำที่อาจเกิดขึ้นจากการฉีด
    • หรือในกรณีที่ฉีดสิวไปแล้ว ควรเว้นระยะ อย่างน้อย 1–2 สัปดาห์ ก่อนเข้ารับ Emface Eyes  เพื่อให้ตัวยาออกฤทธิ์ได้เต็มที่ และให้ผิวมีเวลาฟื้นตัว

     

    3. การให้วิตามินทางหลอดเลือด (IV Drip / Skin Booster)

    สามารถทำได้ตามปกติ เพราะเป็นการดูแลสุขภาพผิวและร่างกายจากภายใน ไม่มีการกระทบกับใบหน้าโดยตรง และไม่รบกวนบริเวณที่ใช้ Applicator พลังงาน จึงไม่ก่อให้เกิดอันตรายหรือผลข้างเคียงแต่อย่างใด อีกทั้งยังช่วยส่งเสริมการฟื้นฟูสภาพผิวให้ดียิ่งขึ้นหลังทำ Emface Eyes 

     

    Emface Eyes คืออีกหนึ่งทางเลือกที่ล้ำหน้าในวงการเทคโนโลยีความงาม ที่ออกแบบมาเพื่อดูแลและฟื้นฟูผิวรอบดวงตาอย่างเฉพาะเจาะจง โดยไม่ต้องพึ่งพาการฉีดหรือผ่าตัด ด้วยการผสานพลังงาน Synchronized RF และ HIFES ที่ช่วยกระตุ้นทั้งกล้ามเนื้อและการสร้างคอลลาเจนในระดับลึก Emface Eyes จึงสามารถลดปัญหาถุงใต้ตา รอยคล้ำ ริ้วรอยตีนกา รวมถึงความหย่อนคล้อยได้อย่างเห็นผล พร้อมมอบผิวรอบดวงตาที่สดใส เต่งตึง และดูอ่อนเยาว์ขึ้น ไม่เจ็บ ไม่ต้องพักฟื้น และสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ทันทีหลังทำ เหมาะกับผู้ที่มองหาวิธีฟื้นฟูผิวรอบดวงตาอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ให้ผลลัพธ์ที่คงอยู่และยั่งยืน

     

    Oligio ตัวแทนของคนรุ่นใหม่ ที่ใส่ใจผลลัพธ์จริง พีพี บิวกิ้น

    พีพี บิวกิ้น

    มาแล้วววววว พีพี บิวกิ้น ตัวแทนของคนรุ่นใหม่ที่เลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ตัวเอง 

    เปิดตัวไปแล้ว และสร้างเสียงฮือฮาให้กับวงการยกกระชับประเทศไทยให้สั่นสะเทือนแบบสุดๆ กับโปรแกรมยกกระชับสุดฮิต ที่คนพูดถึงกันมากๆอย่าง Oligio งานนี้ได้พาไอดอลคนดังคู่จิ้นสุดฮิตเบอร์ต้นๆของประเทศไทยมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ ท่ามกลางเสียงฮือฮาของแฟนคลับ และสื่อมวลชน
    พีพี บิวกิ้น สองไอคอนของคนรุ่นใหม่ ไม่เพียงเป็นที่รู้จักจากผลงานในวงการบันเทิง แต่ยังเป็นตัวแทนของคนที่ ใส่ใจตัวเอง อย่างจริงจัง เลือกเฉพาะสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง และหนึ่งในนั้นคือการดูแลผิวหน้าและการยกกระชับด้วย Oligio เพราะความมั่นใจไม่ใช่แค่การแต่งหน้า หรือการแต่งตัว แต่เริ่มจากผิวหน้าที่เรียบตึง กระชับ ดูสดใสไร้ความหย่อนคล้อย และ Oligio ได้ตอบโจทย์นั้นอย่างตรงจุด ทำให้คนรุ่นใหม่หลายคนรู้สึกว่า สวยและดูดีได้แบบเป็นตัวของตัวเองอย่างมากที่สุด

     

    ยิ่งทำกับโปรแกรมยกกระชับที่ดี ร่วมกันกับแพทย์จากรมย์รวินท์ และเทคนิคที่คิดค้นโดยรมย์รวินท์คลินิกอย่าง Lifting Select ยิ่งยก ยิ่งสวย

     

    การเลือกแพทย์ผู้เป็นคนทำการรักษาก็เป็นหัวใจสำคัญของผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในการยกกระชับ ที่ รมย์รวินท์คลินิก เรามี  Lifting Select ที่เป็นโปรแกรมที่คิดค้นโดยรมย์รวินท์คลินิกที่เดียวเท่านั้น  นั่นคือการวิเคราะห์สภาพผิวอย่างละเอียด พร้อมกำหนดตำแหน่งการยิงอย่างแม่นยำ เพื่อยกกระชับในจุดที่จำเป็นจริง ส่งผลให้ใบหน้าได้รูป เฟิร์มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยไม่สูญเสียความเป็นตัวเองของผู้เข้ารับบริการ ยิ่งทำให้ได้ผลลัพธ์ในการรักษาที่ดัแบบคูณ 2

     

    เปิดตัว พีพี บิวกิ้น  ทั้งที รับไปเลยพิเศษสำหรับช่วงนี้! ให้คุณสวยยกกำลังสอง ด้วยโปรโมชัน Oligio ลดสูงสุดถึง 50%

     

    ตั้งแต่วันนี้ – 30 มิถุนายน 2568 เท่านั้น ที่รมย์รวินท์คลินิกทุกสาขาที่ร่วมรายการ

     

    Oligio เทคโนโลยีที่แพทย์จากรมย์รวินท์คลินิกเชื่อมั่น

     

    Oligio เป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาด้วยการใช้คลื่น  Monopolar Radio Frequency (RF) คลื่นวิทยุความถี่สูงที่ลงลึกถึงชั้นไขมัน ช่วยลดไขมันใต้ชั้นผิว อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นสร้างคอลลาเจน ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน เห็นความกระชับตั้งแต่ครั้งแรกหลังทำ
    จุดเด่นของ Oligio อยู่ที่ พลังงาน RF ที่เสถียรและกระจายสม่ำเสมอ ทำให้สามารถยกกระชับได้โดยไม่เจ็บ ไม่ต้องพักฟื้น และเหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มมีปัญหาผิวหย่อนคล้อยหรือรู้สึกว่าหน้าดูโทรม ไม่เฟิร์มเหมือนก่อน

     

    อีกทั้งเมื่อใช้ร่วมกันกับเทคนิค Fast moving เทคนิคยกกระชับของ Oligio ด้วยจึงยิ่งทำให้ยกมากขึ้นและรวดเร็วยิ่งกว่า

     

    เพราะความสวย ไม่ได้หมายถึงแค่รูปลักษณ์ภายนอกอีกต่อไป แต่คือความมั่นใจที่ส่งออกมาจากภายใน การดูแลตัวเอง” จึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ที่ไม่ใช่แค่ต้องการให้ดูดี แต่ต้อง มั่นใจได้ในผลลัพธ์ที่เป็นที่น่าพึงพอใจ และเพื่อผลลัพธ์ที่เป็นที่น่าพึงพอใจที่สุด ต้องทำกับคลินิกที่แพทย์มีความรู้ความสามารถ ที่เข้ารับการอัปเดตความรู้กับ Oligio อย่างต่อเนื่อง อย่างรมย์รวินท์คลินิกเท่านั้น !

     

     

     

    *โปรโมชันตั้งแต่วันนี้ – 30 มิถุนายน 2568 เท่านั้น 

    *โปรโมชันเฉพาะแพทย์ที่เข้าร่วมรายการเท่านั้น

    *โปรโมชันเฉพาะสาขาที่ร่วมรายการเท่านั้น 

    *ผลลัพธ์การรักษาอาจแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับเฉพาะบุคคล

    *เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด โปรดตรวจสอบรายละเอียด และเงื่อนไขเพิ่มเติมกับทางเจ้าหน้าที่

    ปัญหาช่องคลอดมีอะไรบ้าง? ฟื้นฟูได้ไม่ต้องผ่าตัดด้วย Emsella เก้าอี้กระชับช่องคลอด

    ปัญหาช่องคลอด

    ปัญหาช่องคลอดมีอะไรบ้าง? ฟื้นฟูได้ไม่ต้องผ่าตัดด้วย Emsella เก้าอี้กระชับช่องคลอด

    “ปัญหาช่องคลอดไม่กระชับ” หรือ “อาการปัสสาวะเล็ด” ถือเป็นเรื่องใกล้ตัวที่เกิดขึ้นได้กับผู้หญิงในหลายช่วงวัย ซึ่งปัญหาเหล่านี้ไม่เพียงส่งผลต่อร่างกาย แต่ยังลดความมั่นใจ กระทบความสัมพันธ์ และการใช้ชีวิตประจำวันทั่วไป วันนี้เราจะพามาเปิด ปัญหาช่องคลอดมีอะไรบ้าง? ฟื้นฟูได้ไม่ต้องผ่าตัดด้วย Emsella เก้าอี้กระชับช่องคลอด ตัวช่วยสำคัญฟื้นฟูกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานและคืนความกระชับให้ช่องคลอดได้ โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องเจ็บตัว และไม่ต้องเสียเวลาพักฟื้น

     

    ปัญหาช่องคลอดมีอะไรบ้าง?
    ปัญหาช่องคลอดมีอะไรบ้าง?

     

    ปัญหาช่องคลอดมีอะไรบ้าง?

    ปัญหาช่องคลอดสามารถพบได้ในผู้หญิงทุกวัย สามารถเกิดได้หลายรูปแบบ และเกิดได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็น อายุ การคลอดบุตร หรือภาวะฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง ซึ่งปัญหาช่องคลอดที่มักพบ มีดังนี้

    • ปัสสาวะเล็ด หรือกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ 

    ปัญหาปัสสาวะเล็ด กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ มักพบได้บ่อยในผู้หญิงหลังคลอด หรือผู้สูงอายุ โดยปัญหาช่องคลอดเกิดจากกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแรง ทำให้ความสามารถในการควบคุมปัสสาวะแย่ลง

    • ปัญหาช่องคลอดหย่อนคล้อย

    ปัญหาช่องคลอดหย่อนคล้อย เป็นอีกหนึ่งปัญหาช่องคลอดที่มักเกิดได้จากอายุที่เพิ่มมากขึ้น หรือหลังคลอดบุตร โดยจะรู้สึกว่าช่องคลอดไม่กระชับ ทำให้ส่งผลต่อคุณภาพชีวิต ความมั่นใจ และความสุขทางเพศได้ 

    • เจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์

    ปัญหาช่องคลอดหากเกิดความรู้สึกเจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์ อาจเกิดจากกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแรง ซึ่งส่งผลต่อ การหดเกร็งของช่องคลอด ทำให้มีอาการเจ็บหรือไม่สบายตัวได้ขณะมีเพศสัมพันธ์

    • อวัยวะภายในช่องคลอดหย่อนคล้อย

    ปัญหาช่องคลอดเมื่ออายุมากขึ้นอาจจะทำให้เกิดความรู้สึกว่าอวัยวะภายในไม่แข็งแรง หรืออวัยวะภายในเคลื่อนได้  เช่น กระเพาะปัสสาวะ มดลูก ที่อาจจะเริ่มเคลื่อนต่ำลงในช่องคลอด ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันได้

     

    Emsella แก้ปัญหาช่องคลอด คืออะไร?

    Emsella คือ เทคโนโลยีช่วยกระชับช่องคลอดที่ใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความเข้มข้นสูง (High-Intensity Focused Electromagnetic หรือ HIFEM) ช่วยกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานให้มีความแข็งแรง ช่องคลอดกระชับขึ้น ช่วยลดอาการปัสสาวะเล็ด กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ และช่วยเสริมสมรรถภาพทางเพศได้ โดย Emsella แก้ปัญหาช่องคลอด เป็นการกระชับช่องคลอดได้โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องใช้เครื่องมือสอดเข้าไปในร่างกาย ทำให้ไม่เกิดแผล สะดวกรวดเร็ว ไม่ต้องพักฟื้น Emsella ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย เนื่องจากได้รับการยอมรับในระดับสากล

     

    Emsella ช่วยเรื่องอะไรบ้าง

    • Emsella แก้ปัญหาช่องคลอดไม่กระชับ

    Emsella ช่วยกระตุ้นให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานหดเกร็งอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้กล้ามเนื้อบริเวณช่องคลอดแข็งแรงขึ้น ช่วยให้ช่องคลอดกลับมากระชับอีกครั้ง 

    • Emsella แก้ปัญหาช่องคลอดภาวะปัสสาวะเล็ด กลั้นปัสสาวะไม่อยู่

    Emsella ช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานให้แข็งแรงขึ้น ทำให้สามารถควบคุมกระเพาะปัสสาวะได้ดีขึ้น ช่วยลดอาการปัสสาวะเล็ด หรือรู้สึกปวดปัสสาวะบ่อยโดยไม่จำเป็น

    • Emsella แก้ปัญหาช่องคลอดช่วยฟื้นฟูสมรรถภาพทางเพศ

    Emsella เพิ่มความรู้สึกขณะมีเพศสัมพันธ์ ลดอาการเจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์ และ Emsella ยังช่วยฟื้นฟูสมรรถภาพทางเพศทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย

    • Emsella แก้ปัญหาช่องคลอดช่วยฟื้นฟูสุขภาพในผู้หญิงวัยทอง

    ผู้หญิงเมื่อเข้าสู่วัยทองฮอร์โมนเอสโตรเจนจะลดลง กล้ามเนื้อและเยื่อบุช่องคลอดมักแห้ง ทำให้เกิดการหย่อนคล้อย และขาดความยืดหยุ่น Emsella ช่วยฟื้นฟูความแข็งแรงของกล้ามเนื้อบริเวณอุ้งเชิงกรานได้

    • Emsella แก้ปัญหาช่องคลอดช่วยเพิ่มความมั่นใจและคุณภาพชีวิต

     Emsella แก้ปัญหาช่องคลอดไม่กระชับหรือปัสสาวะเล็ดไม่เพียงช่วยในด้านร่างกายเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อในเรื่องความมั่นใจในการเข้าสังคม และความสัมพันธ์ในชีวิตคู่ ทำให้ผู้เข้ารับบริการ Emsella มีความมั่นใจมากขึ้น

    ทั้งนี้ ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับการบริการ

     

    Emsella มีหลักการทำงานอย่างไร?
    Emsella มีหลักการทำงานอย่างไร?

     

    Emsella มีหลักการทำงานอย่างไร?

    Emsella ใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความเข้มข้นสูง (High-Intensity Focused Electromagnetic หรือ HIFEM)  ที่ช่วยฟื้นฟูความแข็งแรงของกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน แก้ปัญหาช่องคลอดไม่กระชับ ปัสสาวะเล็ด หรือกลั้นปัสสาวะไม่ได้ โดย Emsella จะส่งพลังงานแบบ HIFEM ลงไปถึงชั้นกล้ามเนื้อ เพื่อเข้าไปกระตุ้นการทำงานของเส้นใยกล้ามเนื้อที่อยู่ลึกลงไปบริเวณกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน ทำให้กล้ามเนื้อเกิดการหดเกร็งแบบสูงได้มากถึง 11,200 ครั้งใน 28 นาที เทียบเท่ากับการขมิบอย่างต่อเนื่อง ซึ่ง Emsella เป็นเทคโนโลยีที่มาในรูปแบบเก้าอี้พิเศษที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ ทำให้ Emsella ใช้งานได้สะดวก สามารถใช้บริการโดยการนั่งได้เลย โดยไม่ต้องถอดเสื้อผ้า ไม่มีการสอดอุปกรณ์เข้าภายในร่างกาย ไม่ต้องผ่าตัด จึงไม่ทำให้เกิดการบาดเจ็บ ทำให้หลังทำ Emsella สามารถใช้ชีวิตตามปกติได้เลย

     

    Emsella มีจุดเด่นอะไรบ้าง?

    •  Emsella เป็นเก้าอี้กระชับช่องคลอด สะดวกสบาย 

    ปัญหาช่องคลอดไม่กระชับสามารถรักษาได้ด้วย Emsella เป็นเทคโนโลยีรูปแบบ Non-invasive หรือไม่มีการสอดอุปกรณ์เข้าช่องคลอด ผู้เข้ารับบริการเพียงแค่นั่งบนเก้าอี้ไม่ต้องออกแรง เนื่องจากคลื่นแม่เหล็กความเข้มสูงของ Emsella สามารถผ่านกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อได้ โดยไม่ต้องถอดเสื้อผ้าหรือสอดอุปกรณ์ใด ๆ เข้าสู่ร่างกาย ทำให้รู้สึกสะดวก และไม่อึดอัด 

    • Emsella ไม่เจ็บ ไม่มีแผล ไม่ต้องพักฟื้น

    Emsella จะใช้พลังงานแม่เหล็กแบบความเข้มสูงกระตุ้นการหดเกร็งบริเวณกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน โดยจะไม่ทำให้เกิดความเจ็บปวด หรือเกิดบาดแผล เนื่องจากไม่ใช่การผ่าตัด และไม่มีการสอดอุปกรณ์ ทำให้ขณะทำและหลังทำ Emsella ไม่เจ็บปวด ไม่เกิดอาการช้ำ ไม่มีแผล และไม่ต้องพักฟื้น หลังทำสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ ทั้งยังสามารถมีเพศสัมพันธ์ได้โดยไม่ต้องพักฟื้น

    • Emsella ช่วยกระตุ้นกล้ามเนื้อให้เกิดการหดตัวมากถึง 11,200 ครั้ง ใช้เวลาเพียง 28 นาทีต่อครั้ง

    การรักษา Emsella จะช่วยฟื้นฟูและกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อให้เกิดการหดตัวมากถึง 11,200 ครั้ง โดยใช้เวลาเพียงประมาณ 28 นาทีต่อครั้ง เทียบเท่ากับการขมิบอย่างต่อเนื่อง แต่ Emsella ให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพสูง ใช้เวลาน้อย สะดวก รวดเร็ว และไม่ต้องพักฟื้นหลังทำ

    • Emsella ช่วยให้กล้ามเนื้อหดตัวโดยไม่ต้องออกแรง

    Emsella จะช่วยกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานหดและคลายตัวอย่างต่อเนื่องโดยไม่ผู้เข้ารับบริการไม่ต้องออกแรง ขณะทำ Emsella ร่างกายจะตอบสนองต่อคลื่นแม่เหล็กคล้ายกับการขมิบ หรือการทำ Kegel exercise แต่ให้ประสิทธิภาพที่สูงกว่า และสม่ำเสมอมากกว่าการทำเอง ทำให้เห็นผลได้อย่างรวดเร็ว

     

    Emsella เหมาะกับใครบ้าง?
    Emsella เหมาะกับใครบ้าง?

     

    Emsella เหมาะกับใครบ้าง?

    • Emsella เหมาะกับผู้ที่มีภาวะช่องคลอดหย่อนคล้อยจากการคลอดบุตร

    Emsella เหมาะกับคุณแม่หลังคลอด ที่มีกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานยืดขยายและอ่อนแรง ทำให้บริเวณช่องคลอดนั้นไม่กระชับเหมือนเดิม ซึ่งอาจส่งผลต่อความรู้สึกขณะมีเพศสัมพันธ์ และอาจจะส่งผลให้เกิดปัญหากลั้นปัสสาวะไม่ได้ ซึ่ง Emsella จึงเป็นตัวเลือกที่ช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้อให้แข็งแรงขึ้นโดยไม่ต้องผ่าตัด

    • Emsella เหมาะกับผู้ที่อยู่ในวัยทองหรือผู้ที่มีอายุเพิ่มขึ้น

    Emsella เหมาะกับผู้ที่อยู่ในวัยทอง เนื่องจากผู้หญิงเมื่ออายุมากขึ้นระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกายก็จะลดลง ส่งผลให้เยื่อบุช่องคลอดบาง และขาดความยืดหยุ่น ทำให้ช่องคลอดเกิดการหย่อนคล้อยได้ โดยการใช้ Emsella จะช่วยกระตุ้นกล้ามเนื้อบริเวณอุ้งเชิงกรานให้กลับมากระชับอีกครั้ง

    • Emsella เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาปัสสาวะเล็ดโดยไม่ตั้งใจ

    Emsella เหมาะกับผู้ที่มีอาการปัสสาวะเล็ดขณะไอ จาม หัวเราะ หรือขณะออกกำลังกาย สาเหตุนั้นมักเกิดจากกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแรง โดยเฉพาะผู้หญิงที่มีอายุมากขึ้น หรือผู้ที่เคยคลอดบุตร การรักษาด้วย Emsella จะเข้าไปกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อให้กลับมาแข็งแรง ทำให้ร่างกายสามารถควบคุมปัสสาวะได้ดีขึ้น

    •  Emsella เหมาะกับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานแบบไม่ผ่าตัด

    Emsella เหมาะกับผู้ที่ต้องการรักษาปัญหาช่องคลอด แต่ไม่ต้องการเจ็บตัวหรือไม่ต้องการผ่าตัด Emsella ถือเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์ เนื่องจาก Emsella เป็นการรักษาแบบไม่รุกล้ำ ไม่มีการสอดอุปกรณ์ ทำให้ผู้เข้ารับบริการรู้สึกสบายใจ

    •  Emsella เหมาะกับผู้ที่มีระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลง

    Emsella เหมาะกับผู้ที่มีระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลง มักจะพบปัญหาช่องคลอดแห้ง ช่องคลอดไม่กระชับ หรือรู้สึกไม่สบายตัวขณะมีเพศสัมพันธ์ Emsella จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อได้โดยตรง

    • Emsella เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาสมรรถภาพทางเพศ

    Emsella เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาสมรรถภาพทางเพศ ความไม่กระชับของช่องคลอด อาจส่งผลต่อความรู้สึกขณะมีเพศสัมพันธ์ การรักษาด้วย Emsella จะช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน ซึ่งอาจส่งผลให้ความรู้สึกทางเพศดีขึ้น ช่วยเพิ่มความพึงพอใจ และสร้างความสัมพันธ์ชีวิตคู่ให้ดีขึ้นได้

    ทั้งนี้ ผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ แจ้งโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา หรือประวัติการรักษา ก่อนเข้ารับการบริการ Emsella

     

    Emsella มีข้อดีอย่างไร?

    • Emsella ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ใช้ยาชา ไม่มีแผล ไม่ต้องพักฟื้น

    Emsella เป็นการรักษาปัญหาช่องคลอดได้โดยไม่ต้องผ่าตัด  ไม่ใช้เข็ม ยาชา หรือเครื่องมือสอดเข้าไปในร่างกาย จึงทำให้ผู้เข้ารับบริการไม่ต้องเสี่ยงกับผลข้างเคียงจากการผ่าตัด เช่น การติดเชื้อ เลือดออก หรือภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ อีกทั้ง Emsella ยังไม่ต้องพักฟื้นนานเหมือนกับการผ่าตัดกระชับช่องคลอด

    • Emsella ใช้เวลารักษาไม่นาน เพียง 28 นาทีต่อครั้ง

    การรักษาด้วย Emsella ในแต่ละครั้งจะใช้เวลาเพียง 28 นาทีต่อครั้ง จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาจำกัด รวมถึงสามารถเข้ารับบริการในช่วงเวลาพักกลางวัน หรือเลิกงานได้ เนื่องจาก Emsella ใช้เวลาไม่นาน สะดวก รวดเร็ว และยังไม่ต้องพักฟื้น จึงไม่กระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน

    • การทำ Emsella เสมือนการออกกำลังกายกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานกว่า 11,200 ครั้ง

    การรักษาปัญหาช่องคลอดด้วย Emsella 1 ครั้ง กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานจะถูกกระตุ้นให้มีการหดตัวมากกว่า 11,200 ครั้ง เช่นเดียวกับการขมิบ หรือทำ Kegel exercise อย่างต่อเนื่อง ในระดับที่ยากกว่าการฝึกเอง การกระชับช่องคลอดด้วย Emsella จึงให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและรวดเร็ว โดยผู้เข้ารับบริการไม่ต้องออกแรงเอง

    • Emsella ไม่ต้องถอดเสื้อผ้า ไม่ต้องสอดอุปกรณ์ ไม่รู้สึกอึดอัด

    Emsella เป็นเทคโนโลยีที่ถูกออกแบบมา เพื่อให้ความสะดวกสบายต่อผู้รับบริการ ผู้เข้ารับบริการเพียงแค่นั่งบนเก้าอี้ โดยไม่ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ไม่ต้องถอดชุดชั้นใน และไม่มีการสอดอุปกรณ์ใดเข้าสู่ช่องคลอด Emsella จึงช่วยเพิ่มความสะดวก และช่วยลดความรู้สึกไม่สบายใจ หรือความเขินอายขณะทำการรักษาได้

    • Emsella เห็นผลลัพธ์ได้ไวและสามารถทำต่อเนื่องได้

    หลังทำ Emsella สามารถเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ตั้งแต่ครั้งแรก เพื่อผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ แนะนำให้ทำการรักษาอย่างต่อเนื่องประมาณ 6 ครั้ง และสามารถทำการรักษา Emsella ซ้ำได้โดยไม่มีผลข้างเคียงที่รุนแรง ทั้งนี้ ผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับปัญหาของแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อทำการวางแผนการรักษา Emsella ให้เหมาะกับแต่ละบุคคล

    • Emsella ไม่อันตรายต่อร่างกาย ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา

    Emsella เป็นเทคโนโลยีกระชับช่องคลอด โดยใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความเข้มสูง ที่ไม่ทำลายเนื้อเยื่อ  ไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย และผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยา Emsella  จึงสามารถใช้ได้กับผู้หญิงหลากหลายช่วงวัย รวมถึงผู้ที่ไม่สามารถรับการผ่าตัดได้ด้วยเหตุผลทางสุขภาพ

    • Emsella เหมาะกับผู้ที่ต้องการทางเลือกที่สะดวก และเห็นผลจริง

    Emsella ถือเป็นตัวช่วยที่เพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้ที่ต้องการแก้ปัญหาช่องคลอด เนื่องจาก Emsella จะช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน หรือแก้ไขปัญหาช่องคลอดไม่กระชับได้ โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น ทั้งยังสะดวกสบาย ใช้เวลาไม่นาน และได้ประสิทธิภาพที่ดี

     

    Emsella ให้ผลลัพธ์หลังทำอย่างไร?

    • Emsella ช่วยให้ช่องคลอดกระชับขึ้นหลังทำ

    Emsella ช่วยกระตุ้นให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานหดตัวอย่างต่อเนื่องในระดับลึก ซึ่งเปรียบได้กับการออกกำลังกายเฉพาะจุด เช่น การขมิบเป็นเวลานาน โดยกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานและกล้ามเนื้อแกนกลางล่างจะกลับมาแข็งแรง และแน่นกระชับมากขึ้น Emsella จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะช่องคลอดหย่อนคล้อยจากการคลอดบุตร หรือผู้ที่มีอายุมากขึ้น หากต้องการผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ แนะนำให้ทำการรักษาอย่างต่อเนื่องประมาณ 6 ครั้ง หรือทำการรักษาตามที่แพทย์ได้วางแผนไว้

    • Emsella ช่วยควบคุมอาการปัสสาวะเล็ดให้ดีขึ้น

    Emsella สามารถช่วยแก้ปัญหาภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ปัสสาวะเล็ด ที่เป็นหนึ่งในปัญหาที่พบบ่อยหลังคลอดหรือในผู้สูงอายุ โดยเฉพาะเมื่อไอ จาม หัวเราะ หรือออกแรง ซึ่งมักเกิดจากกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแรง โดย Emsella จะช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานให้แข็งแรงขึ้น ทำให้ช่วยควบคุมการทำงานของกระเพาะปัสสาวะได้ดี ช่วยลดอาการปัสสาวะเล็ด ปัสสาวะบ่อย อีกทั้ง Emsella ยังช่วยเพิ่มความมั่นใจในใช้ชีวิตประจำวันได้อีกด้วย

    • Emsella ช่วยเพิ่มความมั่นใจและยกระดับคุณภาพชีวิต

    ปัญหาช่องคลอดไม่กระชับและอาการปัสสาวะเล็ด อาจส่งผลต่อความมั่นใจในตนเอง และความสัมพันธ์ชีวิตคู่ เนื่องจากหลาย ๆ คนที่มีปัญหาอาจจะรู้สึกไม่มั่นใจในร่างกายตนเอง และใช้ชีวิตประจำวันได้ยากขึ้น ซึ่ง Emsella นอกจากจะช่วยฟื้นฟูทางด้านร่างกายแล้วนั้น Emsella ยังช่วยฟื้นฟูสภาพจิตใจ ช่วยสร้างความมั่นใจ ความสบายตัวให้กับผู้เข้ารับบริการได้

    • Emsella ให้ผลลัพธ์อยู่ได้นานหลายเดือน

    เมื่อเข้ารับการรักษาปัญหาช่องคลอด Emsella ตามแผนการรักษาแล้วนั้น ผลลัพธ์จะสามารถอยู่ได้นานถึง 6 – 12 เดือน ทั้งนี้ ผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล โดยจะขึ้นอยู่กับปัญหาช่องคลอด รวมถึงพฤติกรรมการดูแลตนเองหลังทำ สำหรับผู้ที่ต้องการรักษาผลลัพธ์ในระยะยาว สามารถเข้ารับการรักษา Emsella ซ้ำได้ โดยไม่ส่งผลข้างเคียงหรือเป็นอันตราย

     

    ปัญหาช่องคลอด เกิดจากอะไร ?

    ปัญหาช่องคลอดสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเกิดจากทางร่างกาย ฮอร์โมน พฤติกรรมการใช้ชีวิต และปัจจัยทางเพศสัมพันธ์ โดยสามารถแบ่งปัญหาช่องคลอดออกได้ดังนี้

    • ปัญหาช่องคลอดจากฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง

    ช่วงวัยหมดประจำเดือนจะทำให้ฮอร์โมนเกิดการเปลี่ยนแปลง เช่น ฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกายลดลง จึงส่งผลให้บริเวณเยื่อบุช่องคลอดบาง แห้ง และยืดหยุ่นน้อยลง จึงทำให้เกิดอาการระคายเคือง หรือเจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์ หรือมีปัญหาการกลั้นปัสสาวะได้ ซึ่งในปัจจุบันก็มีเทคโนโลยีอย่าง Emsella เก้าอี้กระชับช่องคลอดที่สามารถช่วยแก้ปัญหาช่องคลอดนี้ได้

    • ปัญหาช่องคลอดจากการติดเชื้อและเสียสมดุลของจุลินทรีย์

    ปัญหาช่องคลอดอาจเกิดจากการติดเชื้อและการเสียสมดุลของจุลินทรีย์ในช่องคลอดได้ เช่น  การติดเชื้อจากเชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย หรือ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ที่อาจส่งผลให้ช่องคลอดเกิดความผิดปกติ มีตกข่าว กลิ่นแรง หรือเกิดอาการระคายเคือง

    • ปัญหาช่องคลอดจากพฤติกรรมการดูแลสุขอนามัยที่ไม่เหมาะสม

    พฤติกรรมการดูแลสุขอนามัยที่ไม่เหมาะสมหรือผิดวิธี อาจจะส่งผลให้เกิดปัญหาช่องคลอดได้ เช่น การล้างช่องคลอดบ่อยเกินไป การใช้น้ำยาที่มีความเป็นด่างสูงทำให้ทำลายจุลินทรีย์ดี (Lactobacillus) หรือการใส่เสื้อผ้าที่รัดแน่น อับชื้น ก็สามารถส่งผลให้เกิดการสะสมของเชื้อแบคทีเรียได้ 

    • ปัญหาช่องคลอดจากการตั้งครรภ์และคลอดบุตร

    การตั้งครรภ์หรือการคลอดบุตร จะทำให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแรง ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดภาวะช่องคลอดหย่อน หรืออวัยวะภายในเคลื่อน และอาจทำให้เกิดปัญหาช่องคลอด ปัญหาปัสสาวะเล็ด กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ได้ ซึ่งปัญหาช่องคลอดนี้สามารถแก้ไขได้ด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ เช่น Emsella เก้าอี้กระชับช่องคลอด

    • ปัญหาช่องคลอดจากพฤติกรรมทางเพศ

    การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาช่องคลอด โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ และการมีคู่นอนหลายคน สามารถเพิ่มโอกาสติดเชื้อซ้ำซ้อนได้

    • ปัญหาช่องคลอดจากโรคหรือภาวะทางสุขภาพ

    โรคหรือภาวะทางสุขภาพ เช่น มะเร็งปากมดลูก หรือมะเร็งช่องคลอด โรคเบาหวาน อาจทำให้เกิดการติดเชื้อจากเชื้อราหรือเชื้อแบคทีเรียได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำอาจจะเกิดปัญหาช่องคลอดได้ง่ายกว่า

     

    ปัญหาช่องคลอดส่งผลกระทบอะไรบ้าง?

    ปัญหาช่องคลอด นั้นมีหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น ช่องคลอดไม่กระชับ ช่องคลอดหย่อนคล้อย ภาวะปัสสาวะเล็ด กลั้นปัสสาวะไม่ได้ หรือความรู้สึกทางเพศลดลง ซึ่งปัญหาเหล่านี้ไม่เพียงแต่ส่งผลต่อร่างกายเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบในหลาย ๆ ด้าน ทั้งผลกระทบทางร่างกาย จิตใจและอารมณ์  ความสัมพันธ์ และคุณภาพชีวิตโดยรวม ดังนี้

    • ความไม่สบายตัวหรือเจ็บปวด ผู้ที่มีปัญหา เช่น ช่องคลอดแห้ง ช่องคลอดอักเสบ หรือช่องคลอดเกิดการติดเชื้อ จึงมักมีอาการคัน แสบ หรือเจ็บขณะนั่ง เดิน หรือปัสสาวะ ซึ่งปัญหาเหล่านี้จะรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันอย่างมาก
    • ปัญหาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ ช่องคลอดที่ไม่กระชับนั้นอาจส่งผลให้รู้สึกเจ็บ หรือทำให้รู้สึกไม่พึงพอใจขณะมีเพศสัมพันธ์ได้ ซึ่งอาจนำไปสู่ความเครียด และการหลีกเลี่ยงความสัมพันธ์ทางเพศ ทำให้ความสัมพันธ์ของชีวิตคู่นั้นเกิดปัญหาได้
    • การกลั้นปัสสาวะไม่ได้ ภาวะกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแรง จะส่งผลให้ร่างกายไม่สามารถควบคุมการขับถ่ายของเสียได้ดี อาจทำให้เกิดปัญหากลั้นปัสสาวะไม่ได้ ปัสสาวะเล็ด โดยเฉพาะเวลาจาม หรือหัวเราะ ซึ่งจะส่งผลต่อความมั่นใจและการใช้ชีวิตประจำวันได้
    • ความเครียดและวิตกกังวล ผู้ที่มีปัญหาช่องคลอดจะมีความรู้สึกไม่สบายตัว หรือมีปัญหาช่องคลอดระคายเคือง อาจทำให้เกิดความเครียดและความวิตกกังวลได้
    • ความไม่มั่นใจในตนเอง ปัญหาเกี่ยวกับช่องคลอด เช่น กลิ่นไม่พึงประสงค์ ช่องคลอดไม่กระชับ หรือภาวะปัสสาวะเล็ด อาจส่งผลให้เกิดความไม่มั่นใจในตัวเอง จนเกิดการเลี่ยงการเข้าสังคมได้
    • ผลกระทบต่อการใช้ประจำวัน หากมีอาการปวดหรือระคายเคืองตลอดเวลา และมีอาการปัสสาวะเล็ดบ่อยๆ อาจส่งผลให้สมาธิในการทำงานลดลง หรือมีปัญหาในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้

    หากทำการรักษาปัญหาช่องคลอดก็จะช่วยให้ผู้ป่วยกลับมาสุขภาพดี และมีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเทคโนโลยีทางการแพทย์อย่าง Emsella เก้าอี้กระชับช่องคลอด สามารถช่วยแก้ปัญหาปัสสาวะเล็ด ช่องคลอดไม่กระชับได้

     

    ปัญหาช่องคลอดหย่อน ปัสสาวะเล็ด มีวิธีไหนช่วยได้บ้าง?
    ปัญหาช่องคลอดหย่อน ปัสสาวะเล็ด มีวิธีไหนช่วยได้บ้าง?

     

    ปัญหาช่องคลอดหย่อน ปัสสาวะเล็ด มีวิธีไหนช่วยได้บ้าง?

    ปัจจุบันเทคโนโลยีทางการแพทย์สามารถช่วยแก้ไขปัญหาช่องคลอดได้หลากหลายรูปแบบ โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาช่องคลอดไม่กระชับ ช่องคลอดแห้ง ปัสสาวะเล็ด หรือเจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์ โดยเทคโนโลยีเหล่านี้เป็นทางเลือกที่ไม่ต้องผ่าตัด ฟื้นตัวไว และไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย

    • Emsella (HIFEM)

    Emsella เป็นการใช้พลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความเข้มข้นสูง หรือ High-Intensity Focused Electromagnetic Technology (HIFEM )ช่วยแก้ปัญหาช่องคลอดไม่กระชับ กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแรง ช่องคลอดหย่อนคล้อย ภาวะปัสสาวะเล็ด ซึ่ง Emsella นั้นเป็นเก้าอี้ที่นั่งเพียง 28 นาที ก็สามารถช่วยให้กล้ามเนื้อหดเกร็งเทียบเท่ากับการทำ Kegel 11,200 ครั้ง สามารถนั่งเฉย ๆ ได้โดยไม่ต้องออกแรง ไม่ต้องถอดเสื้อผ้า และไม่มีการสอดอุปกรณ์ในช่องคลอด Emsella ไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีบาดแผล ไม่เจ็บ ไม่ต้องพักฟื้น Emsella จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหากลั้นปัสสาวะไม่ได้ ปัสสาวะเล็ดหรือหลังคลอดบุตรที่กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแรง ช่องคลอดไม่กระชับ หรือเจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์

    • Radiofrequency (RF) 

    Radiofrequency หรือ RF เป็นการใช้คลื่นความถี่วิทยุในการรักษาปัญหาช่องคลอดที่ได้รับความนิยม คือ ThermiVa สามารถช่วยแก้ปัญหาช่องคลอดหย่อนคล้อย ช่องคลอดแห้ง กล้ามเนื้ออ่อนแรง ThermiVa เป็นการรักษาโดยมีการสอดอุปกรณ์เข้าสู่ช่องคลอด ซึ่งจะแตกต่างจากการทำ Emsella  โดยคลื่น RF จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นลึก พร้อมกระตุ้นการไหลเวียนเลือด ทำให้ช่องคลอดมีความกระชับทั้งภายในและภายนอก โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่เจ็บ ไม่ต้องพักฟื้น ทั้งยังเห็นผลได้เร็ว

    • เลเซอร์กระชับช่องคลอด

    เลเซอร์กระชับช่องคลอด ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการกระชับช่องคลอดด้วยการผ่าตัด โดยเลเซอร์สามารถแก้ปัญหาช่องคลอดแห้ง ช่องคลอดไม่กระชับ ภาวะวัยทองได้ โดยจะทำการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในเยื่อบุช่องคลอด ฟื้นฟูสภาพช่องคลอดให้กระชับ ทำให้ผิวบริเวณนั้นหนาขึ้น ชุ่มชื้น และมีความยืดหยุ่นมากขึ้น จึงเหมาะสำหรับผู้ที่อยู่ในวัยหมดประจำเดือน หรือคุณแม่หลังคลอด เนื่องจากฟื้นตัวเร็ว ใช้เวลาพักฟื้นไม่นาน

    ทั้งนี้ เทคโนโลยีทางการแพทย์ อย่าง Emsella ThermiVa หรือเลเซอร์นั้น ก็จะมีความโดดเด่นและมีหลักการทำงานที่ต่างกันออกไป หากต้องการเข้ารับบริการควรปรึกษาแพทย์ เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสม และผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล 

     

    Emsella ผู้ชายใช้ได้ไหม?

    Emsella นอกจากจะสามารถช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแรง แก้ปัญหาช่องคลอดในผู้หญิงได้แล้วนั้น ผู้ชายที่มีปัญหากลั้นปัสสาวะไม่ได้ หรือหย่อนสมรรถภาพทางเพศ อวัยวะเพศไม่แข็งตัว และมีปัญหาหลั่งเร็ว หรือไม่สามารถควบคุมการหลั่งได้ ก็สามารถใช้ Emsella ในการรักษาได้เช่นเดียวกัน

    ทั้งนี้ ผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ แจ้งโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา หรือประวัติการรักษา ก่อนเข้ารับการบริการ Emsella

     

     Emsella ต้องทำกี่ครั้งจึงจะเห็นผล?
    Emsella ต้องทำกี่ครั้งจึงจะเห็นผล?

     

     Emsella ต้องทำกี่ครั้งจึงจะเห็นผล?

    การรักษาปัญหาช่องคลอดด้วย Emsella นั้นควรปรึกษาแพทย์ เพื่อให้แพทย์ทำการวางแผนการรักษาที่เหมาะสม โดยปกติแล้ว Emsella สามารถเริ่มเห็นผลได้ตั้งแต่ครั้งแรกหลังทำ แต่เพื่อผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ แนะนำให้ทำ Emsella ต่อเนื่องประมาณ 6 ครั้ง โดยสามารถทำซ้ำได้ตามความเหมาะสมและตามคำแนะนำของแพทย์ ทั้งนี้ ผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์เพื่อแจ้งประวัติการรักษา ก่อนเข้ารับการบริการ Emsella

     

    Emsella สามารถทำร่วมกับการรักษาอื่นได้หรือไม่?

    Emsella เป็นการใช้พลังงานแบบ HIFEM ในการช่วยกระชับช่องคลอด ฟื้นฟูกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน ซึ่งพลังงาน HIFEM นั้นไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย Emsella จึงสามารถทำควบคู่กับการรักษาอื่น ๆ ได้ เช่น เลเซอร์ช่องคลอด หรือโปรแกรมเสริมสมรรถภาพทางเพศอื่น ๆ  เพื่อผลลัพธ์ที่ตรงจุดมากขึ้น โดยการรักษา Emsella ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น

    Emsella เหรือเก้าอี้กระชับช่องคลอด เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการดูแลสุขภาพทางเพศสำหรับผู้ที่มีปัญหาช่องคลอดไม่กระชับ ช่องคลอดแห้ง ปัสสาวะเล็ด หรือมีปัญหาเกี่ยวกับสมรรถภาพทางเพศ ที่ต้องการกระชับช่องคลอดโดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น สามารถสอบถามเกี่ยวกับบริการ Emsella กระชับช่องคลอด ได้ที่ รมย์รวินท์คลินิกทุกสาขา

     

    *ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับการบริการ

    *เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

    ยกกระชับผิวหน้าแบบไม่ผ่าตัด ทำได้โดยวิธีใดบ้าง

    ยกกระชับผิวหน้าแบบไม่ผ่าตัด

    ยกกระชับผิวหน้าแบบไม่ผ่าตัด เปิดเทคนิคผิวดูเด็กลง ที่เห็นผลจริง

    ใครกำลังรู้สึกว่าผิวหน้าไม่กระชับเหมือนเดิมอีกต่อไปไหม? เมื่อเวลาผ่านไป ผิวหน้าที่เคยเต่งตึงอาจเริ่มมีความหย่อนคล้อย ริ้วรอยบาง ๆ เริ่มปรากฏบนใบหน้า และโครงหน้าดูเปลี่ยนไป ทั้งหมดนี้เป็นสัญญาณของการลดลงของคอลลาเจนและอีลาสตินในผิว ซึ่งเป็นกระบวนการตามธรรมชาติที่ใคร ๆ ก็ต้องเจอ

     

    แต่การยกกระชับผิวหน้าไม่จำเป็นต้องศัลยกรรมเพื่อย้อนวัยให้ผิว ซึ่งปัจจุบันมีหลากหลายวิธีที่ช่วยยกกระชับผิวหน้าแบบไม่ผ่าตัด ตั้งแต่การดูแลตัวเองอย่างถูกวิธี ไปจนถึงเทคโนโลยีความงามที่สามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้ผิวกลับมาตึงกระชับอย่างเห็นผล

     

    หากใครกำลังมองหาวิธีฟื้นฟูผิวให้ดูเด็กลง บทความนี้จะพาทุกคนไปรู้จักเทคนิคที่ได้ผลจริง เพื่อให้ผิวหน้ากลับมาสดใส แลดูอ่อนเยาว์อีกครั้ง

     

    รวมเทคโนโลยียกกระชับผิวหน้าแบบไม่ผ่าตัด ที่เห็นผลจริง
    รวมเทคโนโลยียกกระชับผิวหน้าแบบไม่ผ่าตัด ที่เห็นผลจริง

     

    รวมเทคโนโลยียกกระชับผิวหน้าแบบไม่ผ่าตัด ที่เห็นผลจริง

    ในปัจจุบัน การยกกระชับผิวหน้าแบบไม่ผ่าตัดได้รับความนิยมมากขึ้น เนื่องจากไม่ต้องพักฟื้น ไม่เจ็บตัว และให้ผลลัพธ์ที่ดูจริง ไม่ดูแปลกโดยเทคโนโลยีแต่ละประเภทจะทำงานแตกต่างกัน ทั้งอัลตราซาวนด์ และคลื่นวิทยุ RF โดยเทคโนโลยียกกระชับแบบไม่ผ่าตัด มีดังนี้

    โปรแกรมยกกระชับผิวหน้า Oligio

    เป็นเทคโนโลยีที่ใช้พลังงาน Monopolar RF ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวหน้าตึงกระชับและเรียบเนียนขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มมีปัญหาผิวหย่อนคล้อยเล็กน้อย ต้องการยกกระชับผิวหน้าแบบรู้สึกเจ็บน้อยกว่า ผลลัพธ์หลังทำทำให้ผิวกระชับและดูเรียบเนียนขึ้น หลังทำสามารถเห็นผลทันที และดีขึ้นเรื่อย ๆ ใน 2-3 เดือน

    โปรแกรมยกกระชับผิวหน้า Ultherapy Prime

    เทคโนโลยี Micro-Focused Ultrasound (MFU-V) ที่ปล่อยพลังงานอัลตราซาวนด์แบบเฉพาะเจาะจง ลงลึกถึงชั้น SMAS ชั้นเดียวกับที่ศัลยแพทย์ใช้ในการผ่าตัดดึงหน้า ทำให้เกิดความร้อนและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย ต้องการยกกระชับแบบไม่ผ่าตัด ซึ่งผลลัพธ์หลังทำ ช่วยให้ใบหน้ากระชับขึ้น ริ้วรอยลดลง หลังทำเห็นผลทันที 30% เริ่มเห็นผลใน 1-3 เดือน และชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ใน 3-6 เดือน

    โปรแกรมยกกระชับผิวหน้า Thermage FLX

    ใช้พลังงานคลื่นวิทยุ Monopolar RF ในการส่งพลังงานความร้อนเข้าสู่ผิวชั้นลึก ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน จัดเรียงโครงสร้างผิวใหม่ ทำให้ผิวกระชับและเรียบเนียนขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหน้าหย่อนคล้อย ร่องแก้มลึก ผิวไม่กระชับ ผลลัพธ์ที่ได้หลังทำคือช่วยให้ผิวกระชับ เรียบเนียนขึ้น ริ้วรอยดูตื้นขึ้น  หลังทำเห็นผลทันที 20% และชัดเจนขึ้นใน 1-3 เดือน

    โปรแกรมยกกระชับผิวหน้า Ultra 4D Lift

    เป็นเทคโนโลยี Macro & Micro Focused Ultrasound (MMFU) ที่สามารถปล่อยพลังงานอัลตราซาวนด์ลงลึกถึง 4 ระดับชั้นผิว พร้อมโหมดการปล่อยพลังงานที่เร็วขึ้น ช่วยยกกระชับใบหน้า ลดริ้วรอย และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนอย่างมีประสิทธิภาพ เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย ขาดความกระชับ ซึ่งผลลัพธ์หลังทำนั้น ช่วยทำให้ผิวหน้ากระชับ กรอบหน้าชัดขึ้น ริ้วรอยลดลง เผยผิวเรียบเนียนอ่อนเยาว์ หลังทำเห็นผลทันที 20% เริ่มเห็นผลชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ 1-3 เดือน และอยู่ได้นาน 6-12 เดือน

    โปรแกรมยกกระชับผิวหน้า Fix Lift

    ใช้เทคโนโลยี Microneedling RF โดยผสานพลังงานคลื่นวิทยุ RF เข้ากับเข็มขนาดเล็ก 24 pin เพื่อส่งพลังงานลงลึกถึงชั้นใต้ผิว กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินอย่างมีประสิทธิภาพ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับและฟื้นฟูผิวหน้าให้แน่นขึ้น ผลลัพธ์หลังทำที่ได้คือช่วยให้ผิวแน่น กระชับ รูขุมขนเล็กลง ริ้วรอยลดลง หลังทำจะเริ่มเห็นผลภายใน 2-4 สัปดาห์ และดีขึ้นเรื่อย ๆ ใน 3 เดือน

    โปรแกรมยกกระชับผิวหน้า EMFACE

    โปรแกรมยกกระชับผิวหน้าที่รวมเทคโนโลยี HIFES™ เข้ากับพลังงาน Radio Frequency (RF) เพื่อกระตุ้นทั้งกล้ามเนื้อใบหน้าและชั้นผิวในเวลาเดียวกัน โดยระบบ HIFES™ จะช่วยกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อเฉพาะจุดอย่างลึกถึงชั้นลึก ขณะที่ RF จะช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในผิวอย่างอ่อนโยน ช่วยเพิ่ม มวลกล้ามเนื้อบนใบหน้า ส่งผลให้โครงหน้าชัดขึ้น ผิวตึงกระชับ โดยไม่ต้องใช้เข็มหรือสารเติมเต็มใด ๆ

     

    ทำไมผิวหน้าถึงหย่อนคล้อย? เข้าใจสาเหตุเพื่อแก้ปัญหาได้ตรงจุด

    ผิวหน้าที่เคยกระชับ เต่งตึง อาจเริ่มมีความหย่อนคล้อยเมื่อเวลาผ่านไป ซึ่งเป็นปัญหาที่หลายคนกังวลใจ และอาจทำให้ใบหน้าดูมีอายุเกินกว่าความเป็นจริง สาเหตุของปัญหาผิวหย่อนคล้อย มีดังนี้

    • อายุเพิ่มขึ้น และคอลลาเจนลดลง

    เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น ร่างกายจะผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินลดลง ซึ่งเป็นโปรตีนสำคัญที่ช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่นและกระชับ ผลกระทบที่ตามมาคือ ผิวเริ่มหย่อนคล้อย ขาดความยืดหยุ่น และเกิดริ้วรอยง่ายขึ้น นอกจากนี้ การผลัดเซลล์ผิวที่ช้าลงและการสูญเสียความชุ่มชื้นของผิว ก็เป็นปัจจัยที่ทำให้ใบหน้าดูอ่อนล้า ไม่สดใสเหมือนเดิม

    • แรงโน้มถ่วงและการสูญเสียไขมันใต้ผิว

    แรงโน้มถ่วงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เมื่ออายุมากขึ้น ไขมันใต้ผิวหน้าที่เคยช่วยพยุงโครงสร้างผิวจะลดลง ทำให้ผิวหนังขาดการพยุงตัวและเกิดการหย่อนคล้อย โดยเฉพาะบริเวณแก้ม ใต้ตา และแนวกราม นอกจากนี้มวลกระดูกบนใบหน้าจะค่อย ๆ ลดลง ทำให้โครงหน้าดูเปลี่ยนไป ส่งผลให้ผิวที่เคยตึงกระชับเริ่มดูหย่อนคล้อยมากขึ้น

    • พฤติกรรมที่ทำให้ผิวเสื่อมเร็วขึ้น

    นอกจากปัจจัยทางธรรมชาติแล้ว พฤติกรรมบางอย่างอาจเร่งให้ผิวหน้าเสื่อมสภาพเร็วกว่าที่ควร ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าว มีดังนี้

    • การโดนแสงแดดมากเกิน ทำลายคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวเหี่ยวย่นเร็วขึ้น
    • การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ ทำให้เส้นเลือดหดตัว ลดออกซิเจน และสารอาหารที่ไปหล่อเลี้ยงผิว
    • การแสดงสีหน้าซ้ำ ๆ เป็นเวลานาน เช่น การขมวดคิ้ว การยิ้ม หรือการเคี้ยวอาหารข้างเดียว อาจทำให้เกิดริ้วรอยและความหย่อนคล้อยบริเวณนั้น
    • การพักผ่อนไม่เพียงพอและความเครียด ส่งผลให้ร่างกายผลิตคอร์ติซอลมากขึ้น ซึ่งไปทำลายคอลลาเจนในผิว
    • การลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว ทำให้ไขมันใต้ผิวลดลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ผิวหน้าดูหย่อนคล้อยและขาดความกระชับ

     

    เปรียบเทียบวิธียกกระชับผิวหน้าแบบไม่ผ่าตัดแต่ละแบบ แบบไหนเหมาะกับคุณ?

    • โปรแกรมยกกระชับผิวหน้า Ulthera Prime vs Thermage FLX

    โปรแกรม Ulthera Prime ใช้พลังงานอัลตราซาวนด์ลงลึกถึงชั้น SMAS เหมาะกับผู้ที่ต้องการยกกระชับใบหน้า ปรับกรอบหน้าให้ชัดเจน โดยเฉพาะบริเวณแก้มและกรอบหน้า ในขณะที่โปรแกรม Thermage FLX ใช้พลังงานคลื่นวิทยุ RF กระตุ้นคอลลาเจน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการให้ผิวหน้าแน่นขึ้น ลดริ้วรอย อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความเรียบเนียนของผิวหน้าและลำคอ

    • โปรแกรมยกกระชับผิวหน้า Ulthera Prime vs Ultra 4D Lift

    ทั้งโปรแกรม Ulthera Prime และ โปรแกรม Ultra 4D Lift เป็นเทคโนโลยี Micro-Focused Ultrasound (MFU) ที่ใช้พลังงานอัลตราซาวนด์ในการยกกระชับผิวโดยไม่ต้องผ่าตัด ซึ่งสามารถปล่อยพลังงานอัลตราซาวนด์ลงลึกถึงชั้น SMAS ได้อย่างแม่นยำ ช่วยยกกระชับผิวหน้า และปรับรูปหน้าให้ชัดขึ้น โดยเฉพาะบริเวณกรอบหน้า แก้ม และใต้คาง ส่วนโปรแกรม Ultra 4D Lift สามารถปล่อยพลังงานแบบ Macro & Micro Focused Ultrasound (MMFU) ซึ่งช่วย กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้มากขึ้น และให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติขึ้น

    • โปรแกรมยกกระชับผิวหน้า Fix Lift vs Oligio

    โปรแกรม Fix Lift เป็นการใช้พลังงาน Microneedling RF ผสานพลังงานคลื่นวิทยุ RF เพื่อกระชับผิวและลดริ้วรอยลึก รวมถึงช่วยกระชับรูขุมขนและปรับคุณภาพผิว เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อยและต้องการฟื้นฟูผิวแบบครบวงจร ขณะที่โปรแกรม Oligio เป็นพลังงาน Monopolar RF ให้ความรู้สึกที่เจ็บน้อยกว่า ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ยกกระชับผิวหน้าให้กลับมาเรียวเล็กอีกครั้ง

    • โปรแกรมยกกระชับผิวหน้า EMFACE vs Thermage FLX 

    โปรแกรม EMFACE ใช้พลังงาน HIFES+RF ในการกระตุ้นกล้ามเนื้อใบหน้าและยกกระชับผิวหน้าไปพร้อมกัน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเน้นโครงหน้าชัดโดยไม่ใช้สารเติมเต็ม ส่วนโปรแกรม Thermage FLX เน้นไปที่การกระตุ้นคอลลาเจน ลดเลือนริ้วรอย ลดไขมันสะสมบริเวณแก้มและเหนียง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปรับผิวหน้าให้แน่นกระชับขึ้น

     

    ยกกระชับผิวหน้าแบบไม่ผ่าตัด เหมาะกับใครบ้าง?
    ยกกระชับผิวหน้าแบบไม่ผ่าตัด เหมาะกับใครบ้าง?

     

    ยกกระชับผิวหน้าแบบไม่ผ่าตัด เหมาะกับใครบ้าง?

    • ยกกระชับผิวหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มมีปัญหาผิวหย่อนคล้อย
    • ยกกระชับผิวหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการป้องกันผิวหย่อนคล้อยตั้งแต่อายุยังน้อย
    • ยกกระชับผิวหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการทำการผ่าตัดศัลยกรรม
    • ยกกระชับผิวหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าให้ชัดขึ้น โดยไม่ฉีดสารเติมเต็ม
    • ยกกระชับผิวหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยลึก ผิวขาดความแน่น
    • ยกกระชับผิวหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ลดน้ำหนักเร็วเกินไป ทำให้ผิวหย่อนคล้อย
    • ยกกระชับผิวหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวอ่อนล้าหลังคลอด ต้องการฟื้นฟูผิว
    • ยกกระชับผิวหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยจากมลภาวะและแสงแดด
    • ยกกระชับผิวหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ทำงานหนักและพักผ่อนไม่เพียงพอ
    • ยกกระชับผิวหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับผิวแบบเร่งด่วน 
    • ยกกระชับผิวหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่มีโครงหน้าหย่อนคล้อยจากพันธุกรรม
    • ยกกระชับผิวหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ออกกำลังกายหนัก และทำให้ไขมันบนใบหน้าลดลง
    • ยกกระชับผิวหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการให้ผลลัพธ์อยู่ได้นานกว่าการใช้โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์หรือโปรแกรมฉีดโบ
    • ยกกระชับผิวหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องริ้วรอยและผิวหย่อนคล้อยบริเวณลำคอ 
    • ยกกระชับผิวหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องร่องแก้มลึกและริ้วรอยรอบปาก
    • ยกกระชับผิวหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการทางเลือกที่ไม่มีผลข้างเคียงอันตราย

     

    ยกกระชับผิวหน้าแบบไม่ผ่าตัด ไม่เหมาะกับใครบ้าง?

    • ยกกระชับผิวหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยมากเกินไป
    • ยกกระชับผิวหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเห็นผลลัพธ์ทันทีแบบถาวร
    • ยกกระชับผิวหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่ถาวรโดยไม่ต้องทำซ้ำ
    • ยกกระชับผิวหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวบาง หรือผิวแพ้ง่ายมาก
    • ยกกระชับผิวหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะเลือดออกง่าย
    • ยกกระชับผิวหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการผิวไวต่อความร้อนมากผิดปกติ
    • ยกกระชับผิวหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด
    • ยกกระชับผิวหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีแผลสด แผลเป็นนูน หรือการติดเชื้อบนผิวหน้า
    • ยกกระชับผิวหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เพิ่งฉีดสารเติมเต็ม หรือการร้อยไหมมาแล้วไม่นาน
    • ยกกระชับผิวหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีเนื้องอก หรือเคยมีประวัติมะเร็งผิวหนัง
    • ยกกระชับผิวหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีแผลเป็นนูนง่ายหลังจากเกิดการอักเสบ
    • ยกกระชับผิวหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์หรือสูบบุหรี่จัด
    • ยกกระชับผิวหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เคยทำศัลยกรรมใบหน้ามาก่อนและมีแผลเป็นเยอะ
    • ยกกระชับผิวหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีโรคผิวหนังเรื้อรัง เช่น โรคสะเก็ดเงิน โรคผิวหนังอักเสบ
    • ยกกระชับผิวหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน เช่น SLE (โรคพุ่มพวง) หรือโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้
    • ยกกระชับผิวหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการให้ผลลัพธ์อยู่ได้นานหลายปี โดยไม่ต้องทำซ้ำ
    • ยกกระชับผิวหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ใช้ยายาสเตียรอยด์ (Steroid) เป็นประจำ
    • ยกกระชับผิวหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาภูมิแพ้ผิวหนังอย่างรุนแรง
    • ยกกระชับผิวหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาภูมิแพ้ผิวหนังอย่างรุนแรง

     

    รวมข้อดีของการยกกระชับผิวหน้า ด้วยเทคโนโลยีเครื่องยกกระชับ
    รวมข้อดีของการยกกระชับผิวหน้า ด้วยเทคโนโลยีเครื่องยกกระชับ

     

    รวมข้อดีของการยกกระชับผิวหน้า ด้วยเทคโนโลยีเครื่องยกกระชับ

    • ยกกระชับผิวหน้า ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องเจ็บตัว และไม่ต้องพักฟื้น
    • ยกกระชับผิวหน้า ให้ผลลัพธ์ที่เป็นที่น่าพึงพอใจ ไม่แข็งตึงเกินไป
    • ยกกระชับผิวหน้า ได้ลึกถึงชั้นผิวระดับ SMAS โดยไม่ต้องผ่าตัด
    • ยกกระชับผิวหน้าช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ฟื้นฟูผิวจากภายใน
    • ยกกระชับผิวหน้า เห็นผลลัพธ์ระยะยาว อยู่ได้นานถึง 6-12 เดือน
    • ยกกระชับผิวหน้า ช่วยปรับโครงหน้าให้ชัดขึ้น ลดเหนียง
    • ยกกระชับผิวหน้า ช่วยให้ใบหน้าดูเรียวขึ้นโดยไม่ต้องใช้โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์หรือโปรแกรมฉีดโบ
    • ยกกระชับผิวหน้า ช่วยลดริ้วรอย ทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น
    • ยกกระชับผิวหน้า ลดรูขุมขนกว้าง และทำให้ผิวดูเนียนขึ้น
    • ยกกระชับผิวหน้า สามารถทำได้ทุกวัย ตั้งแต่ 25 ปีขึ้นไป
    • ยกกระชับผิวหน้า ไม่มีอันตราย และผ่านการรับรองจากอย.ไทย 
    • ยกกระชับผิวหน้า ไม่ต้องใช้สารเติมเต็ม ไม่ต้องฉีดอะไรเข้าสู่ร่างกาย
    • ยกกระชับผิวหน้า เหมาะกับคนที่ต้องการดูแลผิวระยะยาว
    • ยกกระชับผิวหน้า สามารถทำร่วมกับหัตถการอื่นได้ เพื่อผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น
    • ยกกระชับผิวหน้า ใช้ได้กับทุกสภาพผิว และทำได้หลายบริเวณ
    • ยกกระชับผิวหน้า มีตัวเลือกเทคโนโลยีที่หลากหลาย ตอบโจทย์ทุกปัญหาผิว
    • ยกกระชับผิวหน้า ลดการเกิดริ้วรอยใหม่ ป้องกันความหย่อนคล้อยในอนาคต
    • ยกกระชับผิวหน้า กระตุ้นการไหลเวียนโลหิต เพิ่มออกซิเจนให้กับผิว
    • ยกกระชับผิวหน้า ลดไขมันสะสมบางจุด เช่น แก้มล่าง เหนียง ใต้คาง
    • ยกกระชับผิวหน้า ไม่มีสารแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกาย
    • ยกกระชับผิวหน้า ฟื้นฟูผิวจากภายใน ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์
    • ยกกระชับผิวหน้า สามารถเลือกทำเฉพาะจุดได้
    • ยกกระชับผิวหน้า ช่วยให้มั่นใจในรูปลักษณ์ของตัวเองมากขึ้น

     

    ยกกระชับผิวหน้าแบบไม่ผ่าตัด ช่วยอะไรบ้าง?
    ยกกระชับผิวหน้าแบบไม่ผ่าตัด ช่วยอะไรบ้าง?

     

    ยกกระชับผิวหน้าแบบไม่ผ่าตัด ช่วยอะไรบ้าง?

    • ยกกระชับผิวหน้า ยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อย ให้เต่งตึงขึ้น
    • ยกกระชับผิวหน้า กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในผิว
    • ยกกระชับผิวหน้า ปรับรูปหน้าให้เรียวขึ้น ลดไขมันสะสมบนใบหน้า
    • ยกกระชับผิวหน้า ลดริ้วรอย ทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ขึ้น
    • ยกกระชับผิวหน้า กระชับรูขุมขน และทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น
    • ยกกระชับผิวหน้า ลดปัญหาผิวหย่อนคล้อยที่ลำคอ และใต้ตา
    • ยกกระชับผิวหน้า ฟื้นฟูสภาพผิวจากภายใน ทำให้ผิวแข็งแรงขึ้น
    • ยกกระชับผิวหน้า แก้ปัญหาร่องแก้มลึก และร่องน้ำหมาก
    • ยกกระชับผิวหน้า ปรับโครงสร้างผิวให้กระชับขึ้น
    • ยกกระชับผิวหน้า กระตุ้นการไหลเวียนเลือด และช่วยให้ผิวดูสุขภาพดีขึ้น
    • ยกกระชับผิวหน้า ป้องกันปัญหาผิวหย่อนคล้อยในอนาคต

     

    ยกกระชับผิวหน้าแบบไม่ผ่าตัด ทำบริเวณใดได้บ้าง?

    • ยกกระชับผิวหน้า สามารถทำบริเวณหน้าผากและระหว่างคิ้วได้ – ลดริ้วรอยหน้าผาก แก้ปัญหาคิ้วตก
    • ยกกระชับผิวหน้า สามารถทำบริเวณรอบดวงตาและหนังตาบนได้ – ลดริ้วรอยรอบดวงตา แก้ปัญหาหนังตาตก
    • ยกกระชับผิวหน้า สามารถทำบริเวณแก้มได้ – ลดแก้มที่เริ่มหย่อนคล้อย ลดร่องแก้มที่ลึกขึ้น
    • ยกกระชับผิวหน้า สามารถทำบริเวณร่องแก้ม และร่องน้ำหมากได้ – ลดความลึกของร่องแก้ม แก้ปัญหาร่องน้ำหมากลึก
    • ยกกระชับผิวหน้า สามารถทำบริเวณกรอบหน้าและแนวกรามได้ – ทำให้กรอบหน้าชัดขึ้น ลดเหนียงและไขมันสะสมใต้คาง
    • ยกกระชับผิวหน้า สามารถทำบริเวณคางและเหนียงใต้คางได้ – ลดไขมันสะสมใต้คาง ทำให้คางดูเรียวขึ้น
    • ยกกระชับผิวหน้า สามารถทำบริเวณลำคอได้ – ลดความหย่อนคล้อยของผิวคอ กระชับผิวบริเวณลำคอ
    • ยกกระชับผิวหน้า สามารถทำบริเวณมุมปาก และรอยย่นรอบปาก – แก้ปัญหามุมปากตก ลดริ้วรอยบริเวณรอบปาก
    • ยกกระชับผิวหน้า สามารถทำบริเวณทั่วใบหน้าได้ – ฟื้นฟูผิวที่ดูอ่อนล้า กระตุ้นคอลลาเจนให้ผิวแน่นขึ้น

     

    ยกกระชับผิวหน้าแบบไม่ผ่าตัด ควรเลือกคลินิกอย่างไร?

    • คลินิกต้องได้รับใบอนุญาตจากกระทรวงสาธารณสุข และสามารถเช็กได้จากเว็บไซต์ของกระทรวงสาธารณสุข
    • สถานที่สะอาด และมีมาตรฐานทางการแพทย์
    • มีแพทย์ผู้มีประสบการณ์ด้านผิวหนัง หรือ แพทย์ที่มีประสบการณ์ในการทำหัตถการยกกระชับโดยเฉพาะ
    • เลือกคลินิกที่ใช้เครื่องมือที่ได้รับการรับรองจากอย. ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ
    • มีรีวิวจากลูกค้าจริง และผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัด
    • มีการบริการให้คำปรึกษาก่อนทำ และมีการวิเคราะห์ผิวอย่างละเอียด
    • มีการแจ้งรายละเอียดชัดเจน ไม่มีค่าใช้จ่ายแอบแฝง
    • มีบริการติดตามผลหลังทำ และมีทีมแพทย์คอยให้คำแนะนำและดูแลอย่างใกล้ชิด

     

    ยกกระชับผิวหน้าแบบไม่ผ่าตัดที่รมย์รวินท์คลินิก ดีอย่างไร?
    ยกกระชับผิวหน้าแบบไม่ผ่าตัดที่รมย์รวินท์คลินิก ดีอย่างไร?

     

    ยกกระชับผิวหน้าแบบไม่ผ่าตัดที่รมย์รวินท์คลินิก ดีอย่างไร?

    • ใช้เทคโนโลยียกกระชับที่ผ่านการรับรองมาตรฐานระดับสากล

    รมย์รวินท์คลินิก เลือกใช้เครื่องแท้ที่ได้รับการรับรองจากระดับสากล และ อย. ไทย ทำให้มั่นใจได้ว่า ไม่อันตราย และให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ

    • มีแพทย์ที่มีความรู้ด้านการยกกระชับผิวหน้าประจำคลินิก

    รมย์รวินท์คลินิก ทุกเคสจะได้รับการดูแลโดยแพทย์ผู้มีประสบการณ์ด้านการยกกระชับผิวหน้า คอยให้คำแนะนำ และออกแบบการรักษาให้เหมาะกับปัญหาของแต่ละบุคคล

    • เห็นผลลัพธ์ที่เป็นที่น่าพึงพอใจ ผิวกระชับขึ้นโดยไม่แข็งตึง

    การยกกระชับที่รมย์รวินท์คลินิก จะให้ผลลัพธ์ที่เป็นที่น่าพึงพอใจไม่แข็งตึง ไม่ทำให้หน้าดูแข็ง เพราะแพทย์จะใช้พลังงานในระดับที่เหมาะสมกับโครงสร้างผิวของแต่ละคน

    • บริการระดับพรีเมียม พร้อมการดูแลแบบใกล้ชิด

    รมย์รวินท์คลินิกเน้นให้บริการดูแลลูกค้าแต่ละคนอย่างใกล้ชิด และให้ความรู้สึกสบายใจตลอดการทำหัตถการ

    • ผลลัพธ์ที่ลูกค้าจริงพึงพอใจ มีรีวิวผู้ใช้บริการจริงที่มีประสิทธิภาพ

    รมย์รวินท์คลินิกมีรีวิวจากลูกค้าจริง ที่เห็นผลลัพธ์ชัดเจน ใบหน้ากระชับขึ้น ผลตอบรับดีจากผู้ใช้บริการ การันตีความพึงพอใจ และมีรูป Before & After ให้ดู เพื่อให้มั่นใจว่าการยกกระชับเห็นผลจริง

    • มีเทคโนโลยีใหม่อยู่เสมอ พร้อมอัปเดตเทรนด์ของเทคโนโลยีตลอดเวลา

    รมย์รวินท์คลินิก เป็นหนึ่งในคลินิกที่มีการอัปเดตเทคโนโลยีใหม่อยู่เสมอ นำเข้าเครื่องยกกระชับที่มีประสิทธิภาพสูง และได้รับการรับรองจากทั่วโลก ใช้เทคนิคใหม่ ๆ ที่ช่วยให้การยกกระชับได้ผลลัพธ์ดีขึ้น และเจ็บน้อยลง

     

    ยกกระชับผิวหน้าแบบไม่ผ่าตัด อยู่ได้นานแค่ไหน?

    • ผลลัพธ์ของการยกกระชับผิวหน้าแบบไม่ผ่าตัด สามารถอยู่ได้นานประมาณ 6-12 เดือน ขึ้นอยู่กับประเภทของเทคโนโลยีที่เลือกใช้ สภาพผิวของแต่ละคน และการดูแลผิวหลังทำ หากมีการดูแลผิวที่เหมาะสม ผลลัพธ์จะอยู่ได้นานขึ้น

     

    ยกกระชับผิวหน้าแบบไม่ผ่าตัด เห็นผลทันทีเลยไหม?

    • บางเทคโนโลยียกกระชับผิวหน้า อาจให้ผลลัพธ์บางส่วนทันทีหลังทำ แต่โดยส่วนใหญ่ จะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนขึ้นภายใน 1-3 เดือน เนื่องจากร่างกายต้องใช้เวลาในการสร้างคอลลาเจนและฟื้นฟูโครงสร้างผิว

     

    ยกกระชับผิวหน้าแบบไม่ผ่าตัด เจ็บไหม?

    • ระดับความรู้สึกขณะทำขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีที่ใช้ โดยปกติจะรู้สึกอุ่น ๆ หรือจี๊ด ๆ ในระหว่างทำเท่านั้น ซึ่งในปัจจุบันมีการใช้ยาชาหรือเทคนิคที่ช่วยลดความรู้สึกไม่สบาย ทำให้การทำหัตถการรู้สึกสบายขึ้นกว่าเดิม

     

    ยกกระชับผิวหน้าแบบไม่ผ่าตัด สามารถทำได้บ่อยแค่ไหน?

    • โดยปกติ สามารถทำซ้ำได้ทุก 6-12 เดือน ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีที่ใช้ หากเป็นการดูแลผิวให้กระชับอยู่เสมอ แพทย์อาจแนะนำให้ทำเป็นประจำทุกปีเพื่อคงผลลัพธ์ให้อยู่ได้นานขึ้น

     

    ยกกระชับผิวหน้าแบบไม่ผ่าตัด เหมาะกับอายุเท่าไหร่?

    • สามารถทำได้ตั้งแต่อายุ 25 ปีขึ้นไป สำหรับผู้ที่ต้องการป้องกันผิวหย่อนคล้อย และเหมาะกับผู้ที่มีอายุ 35-50 ปีขึ้นไป ที่เริ่มมีปัญหาผิวหย่อนคล้อย ริ้วรอย หรือกรอบหน้าไม่ชัด การทำตั้งแต่อายุยังน้อยจะช่วยให้ผิวแข็งแรงขึ้น และชะลอการเกิดริ้วรอยในอนาคตได้

     

    ยกกระชับผิวหน้าแบบไม่ผ่าตัด ผิวจะบางลงไหม?

    • การยกกระชับผิวหน้าแบบไม่ผ่าตัด ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวแข็งแรงขึ้น ไม่บางลง ต่างจากเลเซอร์บางประเภทที่อาจทำให้ชั้นผิวบางลง

     

    ยกกระชับผิวหน้าแบบไม่ผ่าตัด ให้ผลลัพธ์ที่เหมือนศัลยกรรมดึงหน้าไหม?

    • การยกกระชับผิวหน้าแบบไม่ผ่าตัด ไม่สามารถให้ผลลัพธ์เทียบเท่ากับการศัลยกรรมดึงหน้า เพราะการยกกระชับแบบไม่ผ่าตัด เป็นการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนเพื่อให้ผิวกระชับขึ้น ในขณะที่ศัลยกรรมดึงหน้าจะเป็นการยกกระชับด้วยการตัดแต่งผิวหนังและเย็บกระชับโครงสร้างใบหน้า อย่างไรก็ตาม การใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมสามารถช่วยให้ใบหน้าดูเต่งตึงขึ้นได้โดยไม่ต้องผ่าตัด

     

    ทำไมต้องยกกระชับผิวหน้าแบบไม่ผ่าตัด แทนการศัลยกรรม?

    • การยกกระชับผิวหน้าแบบไม่ผ่าตัด เป็นตัวเลือกที่ไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีแผล และไม่ต้องพักฟื้น เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการให้ผิวกระชับขึ้น โดยไม่ต้องเสี่ยงกับภาวะแทรกซ้อนจากการศัลยกรรม นอกจากนี้ สามารถทำได้เรื่อย ๆ ทุกปีโดยไม่มีผลกระทบต่อโครงสร้างใบหน้า

     

    การยกกระชับผิวหน้าแบบไม่ผ่าตัด เป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์สำหรับผู้ที่ต้องการให้ผิวหน้าดูกระชับ อ่อนเยาว์มากขึ้น โดยไม่ต้องพักฟื้นและไม่มีความเสี่ยง ด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็น Ulthera Prime, Thermage FLX, Ultraformer MPT, Fix Lift หรือ EMFACE ล้วนช่วยให้ใบหน้าดูยกกระชับขึ้นได้

     

    หากคุณกำลังมองหาวิธีฟื้นฟูผิวให้ดูเด็กลง การเลือกเทคโนโลยีที่เหมาะสม และเข้ารับบริการกับคลินิกที่ได้มาตรฐานเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพราะไม่ใช่แค่การคืนความอ่อนเยาว์ให้กับผิว แต่ยังเป็นการดูแลสุขภาพผิวในระยะยาว ให้ผิวของคุณแข็งแรง กระชับ และเปล่งปลั่งอยู่เสมอ

    5.5 Beyond Beautiful สวยกว่าเดิม คุ้มกว่าเคย

    5.5 Beyond Beautiful สวยกว่าเดิม คุ้มกว่าเคย

    5.5 Beyond Beautiful สวยกว่าเดิม คุ้มกว่าเคย

     

    อย่าพลาดโอกาสที่จะเปลี่ยนตัวเองให้สวยได้มากกว่าเดิม คุ้มค่าได้มากกว่าที่เคย กับ 5.5 Beyond Beautiful พิเศษเพียง 7 วันเท่านั้น!! ที่จะเติมเต็มความสวยแบบเกินต้านน.. กับโปรโมชันสุดคุ้มที่คุณไม่ควรพลาด..

     

    5.5 Beyond Beautiful..DUO แพ็กสิว 
    5.5 Beyond Beautiful..DUO แพ็กสิว

     

    สิวหาย ผิวแข็งแรง หน้าเรียบเนียนขึ้นไปอีกขั้น ด้วย 

     

    • โปรแกรม AC CLEAR กู้ผิวพัง หน้าเยินจากสิว ด้วยการรักษา 4 ขั้นตอน ช่วยรักษาสิว ปลอบประโลมผิวให้แข็งแรง คืนความมั่นใจ สิวแบบไหนก็รักษาได้ 
    • โปรแกรม STOP ACNE ลดการอักเสบของสิวให้ยุบและแห้งได้ไวกว่าที่เคย สะกิดผิวด้วยตัวยาพิเศษลดสิว พร้อมให้หน้าเนียนใส
    • โปรแกรม SKIN WOW เติมวิตามินและสารอาหารลงสู่ผิว ลดการเกิดสิว ปรับโครงสร้างผิวให้แข็งแรง พร้อมเติมความชุ่มชื้นให้แต่งหน้าติดทนไม่มีตกร่อง 

     

    ลดสิว ผิวเด้งมากกว่าที่เคยด้วย 

     

    • PACK 1 โปรแกรม AC CLEAR จำนวน 5 ครั้ง + โปรแกรม STOP ACNE จำนวน 5 ครั้ง ราคาเพียง 8,555.- จากปกติราคา 15,500.- 
    • PACK 2 โปรแกรม AC CLEAR จำนวน 5 ครั้ง + โปรแกรม SKIN WOW จำนวน 2 ครั้ง ราคาเพียง 9,555.- จากปกติราคา 17,500.- 

    5.5 Beyond Beautiful..โค่นขนดกยกแผง 
    5.5 Beyond Beautiful..โค่นขนดกยกแผง

    5.5 Beyond Beautiful..โค่นขนดกยกแผง 

     

    ขนดกต้องจัดการให้เรียบยกแผง ปรับผิวทุกส่วน ให้เนียนใสขึ้นไปอีกขั้น ด้วย 

    โปรแกรม YAG LASER 1064 กำจัดขนให้อยู่หมัด ลงลึกถึงราก ถอนขนได้เกลี้ยงทุกจุด ไม่ทิ้งตอ พร้อมปรับผิวให้ขาวกระจ่างใส โชว์ได้ไม่มีที่ติ 

    • โค่นขนดกยกแผง ด้วย โปรแกรม YAG LASER (เหมา 3 จุด) ราคาเพียง 1,799.-

     

    เลือกได้จาก 6 บริเวณ 

    1. หนวด
    2. รักแร้
    3. แขนบนหรือล่าง 
    4. ขอบบิกินี
    5. ร่องก้น
    6. บิกินีทั้งหมด (ไม่รวมร่องก้น)

     

    5.5 Beyond Beautiful..1 ฟรี 1 หลุมสิวลึกแค่ไหนก็เรียบได้
    5.5 Beyond Beautiful..1 ฟรี 1 หลุมสิวลึกแค่ไหนก็เรียบได้

     

    5.5 Beyond Beautiful..1 ฟรี 1 หลุมสิวลึกแค่ไหนก็เรียบได้

     

    ฟื้นฟูหลุมสิว คืนผิวเรียบเนียนจนคุณต้องหลงรักผิวตัวเองไปอีกขั้น ด้วย 

     

    โปรแกรม NU PICO MLA ยิงเลเซอร์แก้ปัญหาหลุมสิว คืนความเรียบเนียนให้ผิวหน้า แต่ไม่ทำให้ผิวไหม้เบิร์น  

     

    • หลุมสิวเรียบได้ ด้วย โปรแกรม NU PICO MLA เฉพาะจุด จำนวน 2 ครั้ง ราคาเพียง 4,999.- จากปกติ 12,000.-

     

    5.5 Beyond Beautiful..ปลุกผิวพัง รีเฟรชผิวใส
    5.5 Beyond Beautiful..ปลุกผิวพัง รีเฟรชผิวใส

     

    5.5 Beyond Beautiful..ปลุกผิวพัง รีเฟรชผิวใส

     

    ผิวที่พังๆ ใครว่าแก้ไม่ได้ ต้องลองมาปลุกความพัง ฟื้นฟูผิวให้สวยสดใส มีชีวิตชีวาอีกครั้ง ด้วย 

    โปรแกรม REFRESH SKIN ประกอบด้วย

     

    • โปรแกรม TURBO BRIGHT ดีท็อกซ์ผิวด้วยอณูละอองน้ำ ที่ตรงเข้าจัดการสิ่งสกปรกในรูขุมขนได้อย่างล้ำลึก เปลี่ยนผิวที่เคยหมอง คืนผิวสวยใส มีชีวิตชีวาอีกครั้ง 
    • โปรแกรม COLOR ICE พลังจากความเย็น และแสง LED 3 สี ช่วย ปลุกผิวให้สดใส ฟื้นฟูผิวที่พังและหมองคล้ำให้แข็งแรง สวย สุขภาพดี 

     

    ปลุกผิวใส ด้วย โปรแกรม REFRESH SKIN ราคาเพียง 2,555.- จากราคาปกติ 9,000.- 

     

    5.5 Beyond Beautiful..อัปผิวใสให้ดูมีออร่า
    5.5 Beyond Beautiful..อัปผิวใสให้ดูมีออร่า

     

    5.5 Beyond Beautiful..อัปผิวใสให้ดูมีออร่า

     

    อัปผิวให้สว่างใส ผิวเนียน สุขภาพดี เปล่งประกายไปอีกขั้น ด้วย

     

    โปรแกรม GLITTER ประกอบด้วย

    • โปรแกรม COLOR ICE พลังจากความเย็น และแสง LED 3 สี ช่วย ปลุกผิวให้สดใส ฟื้นฟูผิวที่พังและหมองคล้ำให้แข็งแรง สวย สุขภาพดี 
    • โปรแกรม Miracle Mask บำรุงพร้อมเร่งฟื้นฟูให้ผิวสวยกระจ่างใส สุขภาพดีขึ้นได้อีกครั้ง  

     

    ผิวใสมีออร่า ด้วย โปรแกรม GLITTER ราคาเพียง 2,555.- จากราคาปกติ 7,000.-

     

    5.5 Beyond Beautiful..เคลียร์ฝ้า จัดการทุกปัญหาผิว
    5.5 Beyond Beautiful..เคลียร์ฝ้า จัดการทุกปัญหาผิว

     

    5.5 Beyond Beautiful..เคลียร์ฝ้า จัดการทุกปัญหาผิว

     

    เคลียร์ปัญหาผิวที่เป็นฝ้า คืนความกระจ่างใส พร้อมฟื้นฟูผิวให้เรียบเนียนขึ้นไปอีกขั้น ด้วย 

     

    โปรแกรม SYLYOUNG แก้ปัญหาฝ้าที่คอยกวนผิวหน้า พร้อมลดเลือนริ้วรอย ให้ผิวหน้าหมดกังวลทั้งเรื่องฝ้า และเรื่องริ้วรอยไปพร้อมๆ กัน 

     

    • จัดการปัญหาผิว ด้วย โปรแกรม SYLYOUNG ราคาเพียง 9,900.- จากราคาปกติ 25,000.- 

     

    5.5 Beyond Beautiful..เรียวละมุน ยกกรอบชัด
    5.5 Beyond Beautiful..เรียวละมุน ยกกรอบชัด

    5.5 Beyond Beautiful..เรียวละมุน ยกกรอบชัด

     

    ปรับรูปหน้าให้ละมุน กรอบหน้าชัด ดูดีไปอีกขั้น ด้วย 

     

    โปรแกรม SUPER HIFU ล็อกหน้าให้เรียว จัดเก็บความหย่อนคล้อย เหนียง และกรอบหน้าให้คมชัด V-Shape

     

    • หน้าเรียว กรอบชัด ด้วย โปรแกรม SUPER HIFU ราคาเพียง 8,055.- จากราคาปกติ 50,000.- 

     

    5.5 นี้ ต้องสวย Beyond กว่าเดิม คุ้มกว่าเดิม ตั้งแต่วันที่ 3 – 9 พฤษภาคม 2568 แค่ 7 วันเท่านั้น!! ที่รมย์รวินท์คลินิก  

     

    *โปรโมชันตั้งแต่วันที่ 3 – 9 พฤษภาคม 2568 เท่านั้น

     *โปรโมชันเฉพาะแพทย์ที่เข้าร่วมรายการเท่านั้น

     *โปรโมชันเฉพาะสาขาที่ร่วมรายการเท่านั้น 

     *ผลลัพธ์การรักษาอาจแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับเฉพาะบุคคล

     *เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด โปรดตรวจสอบรายละเอียด และเงื่อนไขเพิ่มเติมกับทางเจ้าหน้าที่

     

    ถ้าจะล้ำเส้นกันขนาดนี้ แก้ปัญหาขนแพลมล้ำขอบบิกินีด้วย Yag Laser 1064

    ถ้าจะล้ำเส้นกันขนาดนี้ บอกลาปัญหาขนแพลมขอบบิกินีด้วย Yag Laser 1064

    ถ้าจะล้ำเส้นกันขนาดนี้ บอกลาปัญหาขนแพลมขอบบิกินีด้วย Yag Laser 1064

    Summer นี้บิกินีต้องเข้า แต่ขนดันมากันซีนซะก่อน ปัญหาขนขอบบิกินีรุมเร้า ใส่ชุดไหนก็ไม่มั่นใจ แถมยังมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ตามมา ถ้าจะล้ำเส้นกันขนาดนี้ ปล่อยไว้ไม่ได้แล้ว!!  อยากกำจัดขนบิกินีทั้งที จะโกนก็อันตราย จะแว็กซ์ก็แสบ จะถอนก็เจ็บ อย่าเพิ่งถอดใจ 

    บอกลาปัญหาขนแพลมล้ำเส้น โชว์หุ่นเป๊ะปังในชุดบิกินี รับซัมเมอร์อย่างไร้กังวลด้วย “Yag Laser 1064” เลเซอร์กำจัดขนบิกินี ลงลึกถึงรากขน โชว์ความเรียบเนียน เกลี้ยงแบบไม่มีเล็ดลอด ไม่ทิ้งตอให้สะดุด เก็บได้ทุกรายละเอียด ไม่ว่าจะบิกินี หรือส่วนเว้าโค้งแค่ไหนก็ไร้กลิ่นอับ เพิ่มความมั่นใจ ไม่มีขนแพลมล้ำเส้นแน่นอน

     

     

    Yag Laser 1064 เลเซอร์กำจัดขน จบปัญหาขนแพลมล้ำเส้นขอบบิกินี

     

    ถ้าจะล้ำเส้นกันขนาดนี้ บอกลาปัญหาขนแพลมขอบบิกินีด้วย Yag Laser 1064
    ถ้าจะล้ำเส้นกันขนาดนี้ บอกลาปัญหาขนแพลมขอบบิกินีด้วย Yag Laser 1064

     

    Yag Laser 1064 เลเซอร์กำจัดขนบิกินี คืออะไร?

    Yag Laser 1064 คือ เทคโนโลยีเลเซอร์กำจัดขนที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน โดยการปล่อยพลังงานคลื่นแสงที่มีความยาวคลื่น 1064 นาโนเมตร เพื่อทำลายเซลล์รากขนโดยตรง และลดการงอกใหม่ของเส้นขนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้เซลล์รากขนฝ่อลง และค่อย ๆ หลุดร่วงไปเองตามธรรมชาติ โดยไม่ทำลายผิวหนังชั้นบน ซึ่งต่างจากการโกน หรือการแว็กซ์ขนที่อาจทำให้เส้นขนแข็ง หรือผิวระคายเคืองได้ง่าย

    โดย Yag Laser 1064 เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาเส้นขนในทุกบริเวณ ไม่ว่าจะขนหนา ขนแข็ง หรือขนสีเข้มก็สามารถกำจัดได้ เก็บหมดทุกจุดที่กังวล และลดความเสี่ยงต่อการเกิดผิวเบิร์น ผิวไหม้หลังทำ

     

    Yag Laser 1064 เลเซอร์กำจัดขนบิกินี ช่วยเรื่องอะไร?

    • Yag Laser 1064 เลเซอร์กำจัดขนบิกินี ช่วยกำจัดเส้นขนลงลึกถึงรากขน
    • Yag Laser 1064 เลเซอร์กำจัดขนบิกินี ช่วยลดปัญหาขนคุด ตุ่มหนังไก่
    • Yag Laser 1064 เลเซอร์กำจัดขนบิกินี ช่วยลดความอับชื้น ลดการสะสมของแบคทีเรีย
    • Yag Laser 1064 เลเซอร์กำจัดขนบิกินี ช่วยลดกลิ่นไม่พึงประสงค์
    • Yag Laser 1064 เลเซอร์กำจัดขนบิกินี ช่วยลดการสะสมของเหงื่อ
    • Yag Laser 1064 เลเซอร์กำจัดขนบิกินี ช่วยให้ทำความสะอาดได้ง่ายขึ้น
    • Yag Laser 1064 เลเซอร์กำจัดขนบิกินี ช่วยลดอาการคัน
    • Yag Laser 1064 เลเซอร์กำจัดขนบิกินี ช่วยชะลอการงอกใหม่ของเส้นขนในอนาคต
    • Yag Laser 1064 เลเซอร์กำจัดขนบิกินี ช่วยให้ผิวเรียบเนียน กระจ่างใส
    • Yag Laser 1064 เลเซอร์กำจัดขนบิกินี ช่วยเพิ่มความมั่นใจในการใช้ชีวิต

     

    ข้อดีของ Yag Laser 1064 เลเซอร์กำจัดขนบิกินี

    • Yag Laser 1064 เลเซอร์กำจัดขนบิกินี สามารถกำจัดขนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    • Yag Laser 1064 เลเซอร์กำจัดขนบิกินี เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว และทุกสีผิว 
    • Yag Laser 1064 เลเซอร์กำจัดขนบิกินี สามารถกำจัดขนได้ทุกพื้นที่ แม้ในบริเวณที่ผิวบอบบาง
    • Yag Laser 1064 เลเซอร์กำจัดขนบิกินี สามารถเห็นผลลัพธ์ได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ
    • Yag Laser 1064 เลเซอร์กำจัดขนบิกินี มีระบบ Cryogen Spray ปล่อยไอเย็นขณะทำ
    • Yag Laser 1064 เลเซอร์กำจัดขนบิกินี ไม่เสี่ยงผิวไหม้ ผิวเบิร์น หรืออาการแสบร้อนขณะทำ
    • Yag Laser 1064 เลเซอร์กำจัดขนบิกินี ได้รับการรองรับมาตรฐานจาก อย.
    • Yag Laser 1064 เลเซอร์กำจัดขนบิกินี ให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า เมื่อเทียบกับการกำจัดขนวิธีอื่น

     

    อวดผิวเนียนใส ไม่ล้ำเส้นที่ รมย์รวินท์คลินิก ทุกสาขา

    Yag Laser 1064 ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดีในการกำจัดขน เมื่อเทียบกับการโกน หรือการแว็กซ์ โดยสามารถกำจัดขนได้ลึกถึงเซลล์รากขน และชะลอการเกิดเส้นขนใหม่ พร้อมทั้งลดปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดจากเส้นขนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ลดอาการคัน ลดกลิ่นอับ และลดตุ่มหนังไก่ ส่งผลให้ผิวบริเวณที่ทำมีความเรียบเนียน กระจ่างใส และไร้กลิ่นอับชื้น หมดกังวลเรื่องเส้นขนกวนใจ ไม่ว่าจะใส่บิกินีแซ่บแค่ไหนก็เอาอยู่

    Romrawin Clinic จัดกิจกรรมดูดวง เช็คโหงวเฮ้ง กับอาจารย์ชัญญา ราชินีไพ่จิตสัมผัส 

    Romrawin Clinic จัดกิจกรรมดูดวง เช็คโหงวเฮ้ง กับอาจารย์ชัญญา ราชินีไพ่จิตสัมผัส 

    Romrawin Clinic จัดกิจกรรมดูดวง เช็คโหงวเฮ้ง กับอาจารย์ชัญญา ราชินีไพ่จิตสัมผัส 

     

    รมย์รวินท์คลินิก สถาบันบริการด้านสุขภาพผิวพรรณและความงามครบวงจร จัดงาน ดูดวงเช็คโหวงเฮ้ง เปิดไพ่ใบที่สวยที่สุด” ที่จะมีผู้เชี่ยวชาญด้านโหงวเฮ้ง มาช่วยดูโหงวเฮ้งว่ายกกระชับตรงไหนเหมาะกับใคร ต้องยกคิ้วในองศาไหนถึงจะดี มุมปากต้องได้มุมเท่าไหร่ส่งเสริมด้านไหน ซึ่งงานนี้จะจัดขึ้น เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2568 ณ รมย์รวินท์คลินิก ที่ผ่านมา

     

    โดยภายในงาน ผู้เข้าร่วมจะได้สัมผัสโปรแกรม Ultherapy PRIME ยกกระชับ  ผ่านการให้คำแนะนำแพทย์ร่วมด้วย และความพิเศษสุดกรรมสุดเอ็กซ์คลูซิฟในครั้งนี้ได้มีการเชิญ อาจารย์ชัญญา ราชินีไพ่จิตสัมผัส ผู้มีชื่อเสียงด้านศาสตร์ไพ่จิตสัมผัสและศาสตร์โหงวเฮ้ง

     

    ซึ่งงานในครั้งนี้ ได้รับเกียรติจาก “มาดามจอย –  ขวัญฤทัย ดำรงค์วัฒนโภคิน” และ “พญ.ช่ออัญชัญ ปัญญาเอกะวิทู (ว.49909)” แพทย์จากรมย์รวินท์คลินิก เข้าร่วมเปิดประสบการณ์สุดพิเศษนี้อีกด้วย ซึ่งนับเป็นการผสานแนวทางการดูแลความงามที่ทันสมัย เข้ากับศาสตร์พลังงานเพื่อการเสริมสร้างทั้งความงามภายนอก และพลังชีวิตภายในอย่างสมดุลและยั่งยืน

     
     
    Romrawin Clinic จัดกิจกรรมดูดวง เช็คโหงวเฮ้ง กับอาจารย์ชัญญา ราชินีไพ่จิตสัมผัส 
    Romrawin Clinic จัดกิจกรรมดูดวง เช็คโหงวเฮ้ง กับอาจารย์ชัญญา ราชินีไพ่จิตสัมผัส
     

    เช็คโหงวเฮ้ง กับอาจารย์ชัญญา เพื่อความงามและพลังชีวิตที่สมดุล

     

    ภายในงาน อาจารย์ชัญญา ราชินีไพ่จิตสัมผัส มีการดูดวงวิเคราะห์โหงวเฮ้งโดย เพื่อให้คำแนะนำเกี่ยวกับการปรับโครงสร้างใบหน้าในมุมมองโหงวเฮ้ง โดยศาสตร์โหงวเฮ้งเชื่อว่าลักษณะของโครงหน้า กรอบหน้า ตำแหน่งคิ้ว ตา จมูก และปากมีความเกี่ยวข้องกับโชคลาภ สุขภาพ และพลังชีวิต การปรับรูปหน้าให้เหมาะสมตามศาสตร์โหงวเฮ้ง จึงถือเป็นการเสริมทั้งความงามและเสริมพลังชีวิตไปพร้อมกัน

     

    การจัดงาน ในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับมาตรฐานการดูแลความงามของรมย์รวินท์คลินิก ด้วยการนำโปรแกรม Ultherapy PRIME ซึ่งเป็นเทคโนโลยียกกระชับผิวหน้ารุ่นใหม่ล่าสุด มาผสานกับศาสตร์โหงวเฮ้งแบบองค์รวม ตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการความงามควบคู่ไปกับพลังชีวิตที่ดี

     

    ทำความรู้จักโปรแกรม Ultherapy PRIME ยกกระชับผิวหน้าแบบแม่นยำในระดับชั้น SMAS

    โปรแกรม Ultherapy PRIME คือเทคโนโลยีการยกกระชับผิวหน้าที่นำหลักการทำงานของคลื่นอัลตราซาวนด์ความเข้มข้นสูงแบบโฟกัส มาใช้ เพื่อส่งพลังงานความร้อนลงไปยังชั้น SMAS (Superficial Musculoaponeurotic System) ซึ่งเป็นโครงสร้างผิวเดียวกับที่ศัลยแพทย์ใช้ดึงกระชับผิวในการผ่าตัดดึงหน้า (Facelift Surgery)  ช่วยให้ผิวหดตัวในทันทีหลังทำ และกระตุ้นกระบวนการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ตามธรรมชาติ ส่งผลให้ผิวหน้าดูกระชับ เต่งตึง และมีความยืดหยุ่นดีขึ้นในระยะยาว

     

    Romrawin Clinic จัดกิจกรรมดูดวง เช็คโหงวเฮ้ง กับอาจารย์ชัญญา ราชินีไพ่จิตสัมผัส 
    Romrawin Clinic จัดกิจกรรมดูดวง เช็คโหงวเฮ้ง กับอาจารย์ชัญญา ราชินีไพ่จิตสัมผัส

     

    จุดเด่นของโปรแกรม Ultherapy PRIME

    • หน้าจออัลตราซาวนด์ขนาดใหญ่และคมชัดยิ่งขึ้น

    โปรแกรม Ultherapy PRIME มาพร้อมหน้าจอที่มีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิมถึง 35% พร้อมความละเอียดระดับ Full HD ช่วยให้แพทย์สามารถมองเห็นชั้นผิวและโครงสร้างภายในแบบเรียลไทม์ได้อย่างแม่นยำ รองรับการวางแผนและการยิงพลังงานได้ตรงจุดยิ่งขึ้น เพื่อผลลัพธ์ที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล

     

    • ระบบการประมวลผลเร็วขึ้น ประหยัดเวลาในการรักษา

    ตัวเครื่องได้รับการปรับปรุงระบบประมวลผล ให้มีความรวดเร็วขึ้นประมาณ 20% ช่วยลดระยะเวลาการทำหัตถการโดยไม่ลดประสิทธิภาพในการยกกระชับ ส่งผลให้ผู้รับบริการได้รับความสะดวกสบายมากขึ้นในทุกขั้นตอน

     

    • ดีไซน์ใหม่ ทันสมัย ใช้งานง่าย

    รูปลักษณ์ของโปรแกรม Ultherapy PRIME ได้รับการออกแบบให้ดูทันสมัยมากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งพัฒนาอินเทอร์เฟซการใช้งานให้สะดวกและง่ายต่อการควบคุม เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของแพทย์

     

    Romrawin Clinic จัดกิจกรรมดูดวง เช็คโหงวเฮ้ง กับอาจารย์ชัญญา ราชินีไพ่จิตสัมผัส 
    Romrawin Clinic จัดกิจกรรมดูดวง เช็คโหงวเฮ้ง กับอาจารย์ชัญญา ราชินีไพ่จิตสัมผัส

     

    • ผลลัพธ์ยกกระชับชัดเจนในระยะเวลาไม่นาน

    ผู้รับบริการจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงของผิวที่ยกกระชับขึ้นอย่างต่อเนื่องภายในระยะเวลา 2-3 เดือนหลังทำ และผลลัพธ์สามารถคงอยู่ได้ยาวนานถึง 1-2 ปี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลหลังทำหัตถการ

     

    • เทคโนโลยีแม่นยำสูง ยิงพลังงานลงลึกถึงชั้น SMAS
    ความแม่นยำในการส่งพลังงานของโปรแกรม Ultherapy PRIME ช่วยให้สามารถเล็งเป้าหมายได้ลึกถึงชั้น SMAS ได้อย่างแม่นยำ ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการยกกระชับผิวหน้าแบบที่ใกล้เคียงกับผลลัพธ์ของการผ่าตัด แต่ไม่มีบาดแผล ไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้น และลดความเสี่ยงจากการศัลยกรรม
     
     
    รมย์รวินท์คลินิก ยังคงมุ่งมั่นในการนำเสนอเทคโนโลยีด้านสุขภาพผิวพรรณและความงามที่มีมาตรฐานระดับสากล พร้อมสร้างประสบการณ์การดูแลตัวเองที่ครบถ้วนทั้งด้านวิชาการและพลังจิตวิญญาณ เพื่อมอบผลลัพธ์ที่ดีให้แก่ผู้รับบริการทุกท่านอย่างต่อเนื่อง

    เทคโนโลยียกกระชับไหนเหมาะกับหน้าหย่อนคล้อยมากที่สุด?

    เทคโนโลยียกกระชับไหนเหมาะกับหน้าหย่อนคล้อยมากที่สุด?

    Fix Lift vs Ultherapy Prime vs Thermage FLX เทคโนโลยียกกระชับไหนเหมาะกับหน้าหย่อนคล้อยมากที่สุด?

    เมื่ออายุมากขึ้น หลายคนเริ่มสังเกตเห็นว่าผิวหน้าเริ่มไม่เต่งตึงเหมือนเดิม ซึ่งความหย่อนคล้อยของผิวหน้า เกิดจากการเสื่อมสภาพของคอลลาเจนและอีลาสตินที่เป็นโครงสร้างหลักของผิว อีกทั้งไขมันใต้ผิวหนังและมวลกล้ามเนื้อก็ลดลง ส่งผลให้ใบหน้าดูหย่อนคล้อย ไม่กระชับ และขาดความมีมิติ

     

    ปัญหานี้ไม่เพียงแต่จะทำให้เราดูแก่กว่าวัย แต่ยังส่งผลต่อความมั่นใจของใครหลาย ๆ คน ดังนั้นเทคโนโลยียกกระชับจึงเข้ามามีบทบาทสำคัญในการช่วยฟื้นฟูผิวหน้าให้ดูตึงกระชับ แลดูอ่อนเยาว์มากขึ้น

     

    ในยุคปัจจุบัน เทคโนโลยีด้านความงามได้พัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด โดยเฉพาะในด้านการยกกระชับผิวที่ไม่ต้องผ่าตัด ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงและระยะเวลาพักฟื้น หนึ่งในทางเลือกที่ได้รับความนิยมสูง ได้แก่ Fix Lift, Ultherapy Prime และ Thermage FLX ซึ่งล้วนเป็นเทคโนโลยีที่ได้รับการยอมรับในวงการแพทย์ผิวหนังและความงาม ว่าสามารถช่วยฟื้นฟูความกระชับ ลดเลือนริ้วรอย และปรับรูปหน้าให้ดูอ่อนเยาว์แบบดูเป็นธรรมชาติ

     

    ทำไมผิวหน้าหย่อนคล้อย? สาเหตุที่ควรรู้ก่อนเลือกเทคโนโลยียกกระชับ

    รู้หรือไม่ว่าผิวหน้าหย่อนคล้อยไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพราะอายุที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่ยังมีอีกหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อความกระชับของผิว ซึ่งการเข้าใจสาเหตุที่แท้จริง จะช่วยให้เลือกวิธีการยกกระชับที่เหมาะสมและเห็นผลลัพธ์ที่ดี

    • อายุที่เพิ่มมากขึ้น

    เมื่ออายุเข้าสู่ช่วงอายุ 30 ปีขึ้นไป ร่างกายจะเริ่มผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินลดลง ซึ่งเป็นโครงสร้างสำคัญของผิว ทำให้ผิวสูญเสียความยืดหยุ่น ขาดความแน่นเฟิร์ม และเริ่มเกิดริ้วรอยและความหย่อนคล้อย ซึ่งนอกจากปริมาณของการสร้างคอลลาเจนที่ลดลงแล้ว โครงสร้างของคอลลาเจนยังสามารถถูกทำลายได้จากปัจจัยภายนอก เช่น มลภาวะ แสงแดด และพฤติกรรมการใช้ชีวิต ซึ่งเร่งให้ผิวเสื่อมโทรมเร็วขึ้น

    • การเปลี่ยนแปลงของชั้นไขมันและกล้ามเนื้อใบหน้า

    หลายคนอาจคิดว่าไขมันเป็นสิ่งที่ไม่ดี แต่ความจริงแล้วไขมันใต้ผิวหนังเป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้ผิวดูเต็มอิ่มและกระชับ เมื่ออายุมากขึ้นชั้นไขมันจะลดลงและเคลื่อนตัวไปตามแรงโน้มถ่วงของโลก ส่งผลให้แก้มหย่อนคล้อย กรอบหน้าไม่ชัด และเกิดร่องน้ำหมากลึกขึ้น ในขณะเดียวกันกล้ามเนื้อใบหน้าก็อ่อนแรงลง ทำให้ผิวไม่กระชับเหมือนเดิม ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้บางคนมีปัญหาคางสองชั้น หรือผิวใต้คางหย่อนคล้อย

    • พฤติกรรมที่ทำให้ผิวเสื่อมโทรมเร็วขึ้น

    นอกจากปัจจัยภายในร่างกายแล้ว พฤติกรรมในชีวิตประจำวันก็ส่งผลต่อความหย่อนคล้อยของผิวได้เช่นกัน เช่น

    • แสงแดดและรังสี UV ตัวการหลักที่ทำลายคอลลาเจนและทำให้ผิวบางลง
    • การนอนดึกและการพักผ่อนไม่เพียงพอ ทำให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนซ่อมแซมผิวน้อยลง
    • อาหารที่มีน้ำตาลและไขมันสูง ทำให้คอลลาเจนเสื่อมเร็วขึ้น
    • การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ ทำให้ระบบไหลเวียนเลือดแย่ลง ผิวขาดออกซิเจน
    • การแสดงสีหน้าซ้ำ ๆ เช่น การขมวดคิ้ว การยิ้ม การหรี่ตา อาจทำให้เกิดริ้วรอยและรอยพับบนใบหน้า
    • ท่านอนที่ผิดวิธี อาจทำให้เกิดริ้วรอยและรอยพับบนใบหน้า

     

    เจาะลึกเทคโนโลยียกกระชับ แก้หน้าหย่อนคล้อย
    เจาะลึกเทคโนโลยียกกระชับ แก้หน้าหย่อนคล้อย

     

    เจาะลึกเทคโนโลยียกกระชับ แก้หน้าหย่อนคล้อย

    ในปัจจุบัน การยกกระชับผิวโดยไม่ต้องผ่าตัดได้รับความสนใจอย่างแพร่หลาย เนื่องจากเป็นทางเลือกที่ไม่อันตรายและไม่ต้องพักฟื้น ซึ่งเทคโนโลยีอย่าง Fix Lift, Ulthera Prime และ Thermage FLX ถือเป็นตัวช่วยยอดนิยมที่หลายคนไว้วางใจ โดยแต่ละเทคโนโลยีมีคุณสมบัติเฉพาะตัว ทั้งในด้านกลไกการทำงาน จุดเด่น และความเหมาะสมกับปัญหาผิว ในแต่ละประเภทที่แตกต่างกัน ดังนี้

    เทคโนโลยียกกระชับ Fix Lift 

    Fix Lift ใช้เทคโนโลยี Microneedling ผสานกับพลังงาน Radiofrequency (RF) เพื่อฟื้นฟูและยกกระชับผิวอย่างล้ำลึกโดยไม่ต้องศัลยกรรม พลังงาน RF จะถูกส่งผ่านเข็มขนาดเล็กที่สามารถลงลึกได้ถึง 4 มิลลิเมตรในชั้นผิวหนัง ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวแน่นขึ้น ดูเต่งตึง และลดเลือนริ้วรอย

     

    นอกจากนี้ Fix Lift ยังช่วยปรับโครงสร้างผิวให้เรียบเนียนขึ้น ลดปัญหาผิวเสื่อมสภาพ เช่น หลุมสิว รูขุมขนกว้าง และสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอ จึงเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ที่ต้องการปรับสภาพผิวโดยไม่ต้องพักฟื้นนาน สามารถเริ่มเห็นผลใน 2-4 สัปดาห์ และดีขึ้นต่อเนื่องในช่วง 3-6 เดือน ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 1 ปี

     

    จุดเด่นของ Fix Lift

    • ช่วยยกกระชับผิวอย่างล้ำลึก

    เทคโนโลยี RF ที่ลงลึกถึงชั้นหนังแท้และชั้นไขมันใต้ผิว ทำให้ผิวตึงขึ้น ลดความหย่อนคล้อยได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    • ลดริ้วรอยและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน

    ช่วยฟื้นฟูโครงสร้างผิวจากภายใน ทำให้ริ้วรอยและร่องลึกดูจางลง ผิวดูเรียบเนียนและเต่งตึงขึ้น

    • ปรับสีผิวและลดรอยดำรอยแดง

    ช่วยกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว ลดรอยดำจากสิว ลดฝ้า ลดกระ และช่วยให้สีผิวดูสม่ำเสมอขึ้น

    • ลดเลือนรอยแผลเป็นและรอยหลุมสิว

    สามารถช่วยกระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ ทำให้รอยแผลเป็นจากสิวและอุบัติเหตุค่อย ๆ จางลง

    • ปรับปรุงคุณภาพผิว

    ช่วยให้ผิวเรียบเนียน ลดปัญหารูขุมขนกว้าง ผิวแลดูอ่อนเยาว์ขึ้น

     

    เทคโนโลยียกกระชับ Ulthera Prime

    Ulthera Prime เป็นเทคโนโลยีกระชับผิวรุ่นใหม่ที่ถูกพัฒนามาจาก Ulthera SPT โดย Merz Aesthetics ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยใช้หลักการ Micro-focused Ultrasound with Visualization (MFU-V) หรือคลื่นอัลตราซาวนด์ความเข้มข้นสูง สามารถมองเห็นชั้นผิวได้แบบเรียลไทม์ พลังงานลงลึกได้ถึงชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นเดียวกับที่ศัลยแพทย์ใช้ในการศัลยกรรมดึงหน้า สามารถเริ่มเห็นผลใน 1-3 เดือน และดีขึ้นต่อเนื่องในช่วง 3-6 เดือน ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 1-2 ปี

     

    จุดเด่นของ Ulthera Prime

    • จอแสดงผลขนาดใหญ่ พร้อมความละเอียดระดับ Full HD 

    Ulthera Prime ถูกออกแบบมาให้ตอบโจทย์ด้านการรักษาได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น ด้วยหน้าจอ Full HD ที่มีขนาดใหญ่กว่าเดิมถึง 35% ช่วยให้แพทย์สามารถสแกน และวิเคราะห์ชั้นผิวได้อย่างละเอียดในทุกระดับ การมองเห็นภาพที่คมชัดช่วยให้วางพลังงานลงลึกได้ตรงจุดมากขึ้น และสามารถปรับความลึกหรือความแรงของพลังงานให้สอดคล้องกับสภาพผิวของแต่ละบุคคลได้อย่างเหมาะสม ส่งผลให้การรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น และเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนยิ่งกว่าเดิม

    • ระบบประมวลผลใหม่ เร็วกว่าเดิม ประหยัดเวลาในการทำหัตถการ

    Ulthera Prime ได้รับการพัฒนาให้ทำงานด้วยความเร็วสูงขึ้นกว่าเดิมถึง 20% ช่วยลดระยะเวลาการรักษาในแต่ละจุดลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ผู้เข้ารับบริการรู้สึกสบายขึ้น และสามารถเห็นผลลัพธ์ได้โดยไม่ต้องใช้เวลานานเหมือนในเวอร์ชันก่อนหน้า

    • ดีไซน์กะทัดรัดและทันสมัย

    Ulthera Prime ถูกออกแบบให้มีรูปลักษณ์ที่กะทัดรัดกว่าเดิม ใช้งานง่ายและสะดวกต่อการเคลื่อนย้าย ทำให้สามารถเข้าถึงการรักษาได้สะดวกยิ่งขึ้น

    • ปรับระดับพลังงานได้ตามปัญหาผิว

    สามารถปรับระดับพลังงานได้ตามความต้องการของแต่ละบุคคล ทำให้แพทย์สามารถออกแบบการรักษาให้เหมาะสมกับสภาพผิวของแต่ละคนได้ดีขึ้น

    • ลดความรู้สึกเจ็บในระหว่างทำ

    Ulthera Prime ได้รับการปรับปรุงเพื่อลดความรู้สึกเจ็บและไม่สบายตัวขณะทำ ทำให้ประสบการณ์การรักษาดีกว่าเดิม แต่ยังคงประสิทธิภาพในการยกกระชับได้อย่างเต็มที่

    เทคโนโลยียกกระชับ Thermage FLX

    Thermage FLX คือเทคโนโลยีที่ใช้คลื่นวิทยุความถี่สูงชนิดขั้วเดียว (Monopolar RF) ส่งพลังงานความร้อนไปยังชั้นผิวหนังแท้และชั้นไขมันใต้ผิว เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ ช่วยให้ผิวดูกระชับ เรียบเนียน และลดเลือนริ้วรอยได้อย่างดูเป็นธรรมชาติ หลังทำสามารถเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงภายใน 2–3 เดือน และผลลัพธ์จะดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยสามารถคงอยู่ได้นานประมาณ 1–2 ปี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการดูแลและสภาพผิวของแต่ละบุคคล

     

    จุดเด่นของ Thermage FLX

    • เทคโนโลยีหัวทิปรุ่นใหม่ Total Tip 4.0

    Thermage FLX ได้รับการพัฒนาให้มีหัวทิปที่ปล่อยพลังงานได้เร็วขึ้น 25% และสามารถครอบคลุมพื้นที่มากขึ้นถึง 33 % ทำให้การรักษาเสร็จเร็วขึ้น และได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพกว่าเดิม

    • มีระบบลดความเจ็บขณะทำ

    มาพร้อมกับระบบ Cooling และระบบสั่น Multi-Directional Vibration ที่ช่วยลดอาการไม่สบายตัวระหว่างทำ และช่วยป้องกันการเกิดความร้อนสะสมที่อาจทำให้ผิวไหม้

    • เทคโนโลยี AccuREP เพื่อการรักษาที่แม่นยำและไม่อันตราย

     Thermage FLX ได้รับการพัฒนาให้มีหัวทิปที่ปล่อยพลังงานให้เหมาะสมกับสภาพผิวโดยอัตโนมัติ ทำให้พลังงานถูกปล่อยออกมาอย่างสม่ำเสมอ และให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพกว่าเดิม

    • ไม่ต้องผ่าตัดหรือใช้เข็ม

    Thermage FLX เป็นการรักษาที่ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องฉีดโปรแกรมฟิลเลอร์หรือฉีดโปรแกรมฉีดโบ ไม่มีบาดแผล  ลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อ และสามารถทำได้โดยไม่ต้องพักฟื้น

    • เห็นผลลัพธ์ได้ตั้งแต่ครั้งแรก

    การรักษา 1 ครั้ง สามารถสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงได้ทันทีหลังทำ และผลลัพธ์จะดีขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วง 2-3 เดือนถัดไป

    • ช่วยยกกระชับผิวและลดไขมันใต้ผิว

    พลังงาน RF สามารถช่วยลดไขมันใต้คางและแนวกราม ทำให้กรอบหน้าดูคมชัดขึ้น พร้อมทั้งยังช่วยให้ผิวบริเวณที่หย่อนคล้อยดูกระชับขึ้น

     

    เปรียบเทียบ Fix Lift, Ulthera Prime และ Thermage FLX แบบไหนเหมาะที่สุด?
    เปรียบเทียบ Fix Lift, Ulthera Prime และ Thermage FLX แบบไหนเหมาะที่สุด?

     

    เปรียบเทียบ Fix Lift, Ulthera Prime และ Thermage FLX แบบไหนเหมาะที่สุด?

    แต่ละเทคโนโลยีมีหลักการทำงาน ข้อดี และข้อจำกัดที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับปัญหาผิวและผลลัพธ์ที่ต้องการ ดังนี้

    หลักการทำงานของแต่ละเทคโนโลยียกกระชับ

    • Fix Lift คือเทคโนโลยียกกระชับที่ผสานการทำงานระหว่างเข็มขนาดเล็ก (Microneedling) และพลังงานคลื่นวิทยุ (Radiofrequency: RF) ซึ่งสามารถส่งพลังงานลงลึกถึงระดับชั้นหนังแท้และชั้นไขมันใต้ผิว ทำให้ผิวกระชับแน่น ลดไขมันส่วนเกินบริเวณใต้คาง พร้อมทั้งปรับกรอบหน้าให้ดูเรียวชัดอย่างดูเป็นธรรมชาติ
    • Ultherapy Prime ใช้พลังงาน Micro-focused Ultrasound with Visualization (MFU-V) หรือคลื่นอัลตราซาวนด์ความเข้มข้นสูง ส่งพลังงานลงลึกถึงชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นเดียวกับที่ศัลยแพทย์ใช้ในการผ่าตัดดึงหน้า ช่วยให้ผิวดูตึงขึ้นโดยเน้นการยกกระชับเฉพาะจุด
    • Thermage FLX เป็นเทคโนโลยีที่ใช้พลังงานคลื่นวิทยุแบบขั้วเดียว (Monopolar RF) ช่วยให้คอลลาเจนหดตัวและกระตุ้นการสร้างใหม่ ทำให้ผิวดูเฟิร์มขึ้น พร้อมทั้งช่วยลดไขมันใต้ผิว เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการใบหน้าแน่นขึ้นและปรับรูปหน้าโดยรวม

     

    ผลลัพธ์หลังทำเทคโนโลยียกกระชับ

    • Fix Lift เหมาะสำหรับผู้ที่มีไขมันใต้คางหรือมีปัญหาผิวหย่อนคล้อยในเล็กน้อยถึงปานกลาง ช่วยลดไขมันใต้คาง ปรับกรอบหน้าให้ชัดขึ้น และกระตุ้นคอลลาเจนในผิวชั้นลึก ทำให้ใบหน้าเรียวเล็กลงและเต่งตึงขึ้นในช่วง 3-6 เดือน โดยสามารถคงอยู่ได้นาน 1-2 ปี
    • Ultherapy Prime เป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับกราม ร่องแก้ม หรือผิวที่เริ่มหย่อนคล้อยปานกลางถึงมาก เทคโนโลยีนี้สามารถช่วยให้โครงหน้าดูยกกระชับขึ้นแบบดูเป็นธรรมชาติ โดยไม่ต้องฉีดสารเติมเต็ม ผลลัพธ์จะเริ่มเห็นใน 1-2 เดือน และจะดีขึ้นเรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยสามารถคงอยู่ได้นาน 1-2 ปี
    • Thermage FLX เป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับผู้ที่มีไขมันสะสมใต้คางหรือแนวกราม และต้องการให้ผิวทั่วใบหน้ากระชับขึ้น เทคโนโลยีนี้สามารถช่วยลดไขมันใต้ผิว พร้อมปรับความแน่นของผิว ผลลัพธ์จะเริ่มเห็นได้ชัดใน 2-3 เดือน และสามารถคงอยู่ได้นาน 1-2 ปี

     

    ราคาของเทคโนโลยียกกระชับ

    • Fix Lift มีช่วงราคาอยู่ที่ 30,000 – 80,000 บาท ขึ้นอยู่กับบริเวณที่ทำ
    • Ultherapy Prime มีช่วงราคาอยู่ที่ 50,000 – 100,000 บาท เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีที่สามารถลงลึกถึงชั้น SMAS ได้โดยไม่ต้องผ่าตัด
    • Thermage FLX มีช่วงราคาอยู่ที่ 60,000 – 150,000 บาท โดยสามารถช่วยลดไขมันใต้ผิวและกระชับผิวทั่วหน้าได้ในคราวเดียวกัน

     

    ทำไม Fix Lift, Ultherapy Prime และ Thermage FLX จึงเป็นตัวเลือกยกกระชับยอดนิยม?

    • เทคโนโลยีที่ทันสมัยและได้ผลจริง

    Fix Lift, Ultherapy Prime และ Thermage FLX เป็นนวัตกรรมยกกระชับที่ผ่านการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ตอบโจทย์ทั้งในเรื่องความไม่อันตรายและผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ โดยทั้งสามเทคโนโลยีได้รับการรับรองมาตรฐานจากองค์การอาหารและยา ได้รับความเชื่อมั่นจากแพทย์ผิวหนัง และคลินิกความงามชั้นนำในระดับสากล

    • เห็นผลจริงโดยไม่ต้องผ่าตัด

    จุดเด่นสำคัญที่ทำให้เทคโนโลยีเหล่านี้ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย คือสามารถช่วยยกกระชับผิวหน้าและลดเลือนริ้วรอยได้อย่างเห็นผล โดยไม่ต้องเจ็บตัวจากการผ่าตัดหรือการฉีดสารเติมเต็ม เช่น โปรแกรมฉีดโบหรือโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ เหมาะสำหรับผู้ที่มองหาทางเลือกในการดูแลผิวที่ไม่อันตราย ฟื้นตัวไว และให้ผลลัพธ์เป็นธรรมชาติ

    • ไม่มีแผล ไม่ต้องพักฟื้น ใช้ชีวิตได้ตามปกติ

    หนึ่งในเหตุผลที่หลายคนเลือก Fix Lift, Ultherapy Prime และ Thermage FLX คือความสะดวกสบายหลังเข้ารับบริการ เนื่องจากไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้น ผู้รับการรักษาสามารถกลับไปทำกิจวัตรประจำวันได้ทันที เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีเวลาจำกัด หรือต้องทำงานต่อเนื่องแบบไม่มีวันว่าง เทคโนโลยีเหล่านี้จึงตอบโจทย์ทั้งเรื่องประสิทธิภาพและความคล่องตัวในการดูแลตัวเอง

    • ปรับแต่งพลังงานได้ตามสภาพผิว เหมาะกับทุกวัย

    Fix Lift, Ultherapy Prime และ Thermage FLX สามารถปรับพลังงานให้เหมาะสมกับปัญหาผิวของแต่ละคนได้ ทำให้เหมาะกับคนทุกวัย ไม่ว่าจะเป็นคนที่ต้องการ ป้องกันผิวหย่อนคล้อยในช่วงอายุ 30+ หรือคนที่ต้องการ แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยในช่วงวัย 40-50 ปีขึ้นไป

    • เทคโนโลยีที่ได้รับการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น

    ทั้งสามเทคโนโลยีได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น เจ็บน้อยลง และใช้เวลาทำน้อยลง

     

    ข้อดีของการทำเทคโนโลยียกกระชับ แก้หน้าหย่อนคล้อย
    ข้อดีของการทำเทคโนโลยียกกระชับ แก้หน้าหย่อนคล้อย

     

    ข้อดีของการทำเทคโนโลยียกกระชับ แก้หน้าหย่อนคล้อย

    • เทคโนโลยียกกระชับ ช่วยยกกระชับผิวโดยไม่ต้องผ่าตัด
    • เทคโนโลยียกกระชับ ฟื้นฟูและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
    • เทคโนโลยียกกระชับ ช่วยลดริ้วรอยและร่องลึก
    • เทคโนโลยียกกระชับ ปรับรูปทรงของใบหน้าให้ดูเรียวขึ้น
    • เทคโนโลยียกกระชับ ช่วยลดไขมันใต้ผิวบางส่วน
    • เทคโนโลยียกกระชับ ปรับปรุงคุณภาพผิวให้ดีขึ้น
    • เทคโนโลยียกกระชับ ไม่มีแผล ไม่ต้องพักฟื้น
    • เทคโนโลยียกกระชับ ให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ
    • เทคโนโลยียกกระชับ เห็นผลตั้งแต่ครั้งแรก และอยู่ได้นาน
    • เทคโนโลยียกกระชับ กระตุ้นการไหลเวียนโลหิตใต้ผิว
    • เทคโนโลยียกกระชับ ช่วยชะลอวัย ลดการเกิดริ้วรอยในอนาคต
    • เทคโนโลยียกกระชับ เพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิว
    • เทคโนโลยียกกระชับ ลดความหมองคล้ำและสีผิวไม่สม่ำเสมอ
    • เทคโนโลยียกกระชับ สามารถช่วยลดถุงใต้ตาและความหย่อนคล้อยบริเวณรอบดวงตา
    • เทคโนโลยียกกระชับ ช่วยลดริ้วรอยบริเวณริมฝีปากและมุมปากตก
    • เทคโนโลยียกกระชับ เทคโนโลยีได้รับการรับรองจากองค์กรอาหารและยา
    • เทคโนโลยียกกระชับ เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการฉีดสารเติมเต็ม
    • เทคโนโลยียกกระชับ สามารถทำได้หลายบริเวณ
    • เทคโนโลยียกกระชับ เหมาะกับทุกสภาพผิว
    • เทคโนโลยียกกระชับ ปรับแต่งการรักษาให้เหมาะกับสภาพผิวของแต่ละบุคคลได้
    • เทคโนโลยียกกระชับ สามารถทำร่วมกับหัตถการอื่นได้

     

    การทำเทคโนโลยียกกระชับ แก้หน้าหย่อนคล้อย ช่วยอะไรบ้าง?
    การทำเทคโนโลยียกกระชับ แก้หน้าหย่อนคล้อย ช่วยอะไรบ้าง?

     

    การทำเทคโนโลยียกกระชับ แก้หน้าหย่อนคล้อย ช่วยอะไรบ้าง?

    • เทคโนโลยียกกระชับ ช่วยคืนความแน่นกระชับให้กับผิวที่เริ่มหย่อนคล้อย
    • เทคโนโลยียกกระชับ ปรับโครงสร้างผิวให้ดูเรียบตึงขึ้นโดยไม่ต้องศัลยกรรม
    • เทคโนโลยียกกระชับ ช่วยกระชับแนวกราม ลดความหย่อนคล้อยของผิว
    • เทคโนโลยียกกระชับ ลดไขมันสะสมใต้คาง ทำให้รูปหน้าดู V shape มากขึ้น
    • เทคโนโลยียกกระชับ ช่วยให้ผิวแข็งแรงขึ้น ยืดหยุ่นมากขึ้น
    • เทคโนโลยียกกระชับ ฟื้นฟูเซลล์ผิวจากภายใน ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์
    • เทคโนโลยียกกระชับ ลดเลือนริ้วรอยบริเวณหน้าผาก หางตา ร่องแก้ม และมุมปาก
    • เทคโนโลยียกกระชับ ทำให้ใบหน้าดูสดใสขึ้น ไม่ดูโทรมหรือแก่ก่อนวัย
    • เทคโนโลยียกกระชับ ช่วยให้ใบหน้าดูเรียวเล็กขึ้นโดยไม่ต้องดูดไขมัน
    • เทคโนโลยียกกระชับ ลดปัญหารูขุมขนกว้าง ทำให้ผิวละเอียดขึ้น
    • เทคโนโลยียกกระชับ ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดใต้ผิว ทำให้ผิวดูเปล่งปลั่งขึ้น
    • เทคโนโลยียกกระชับ ปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ ลดจุดด่างดำจากแสงแดดหรือรอยสิว
    • เทคโนโลยียกกระชับ ช่วยลดความหย่อนคล้อยของเปลือกตาบน
    • เทคโนโลยียกกระชับ ลดถุงใต้ตาและรอยคล้ำใต้ตา ทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์
    • เทคโนโลยียกกระชับ ลดร่องน้ำหมาก ทำให้ใบหน้าไม่ดูเศร้าหรือเหนื่อยล้า
    • เทคโนโลยียกกระชับ ยกกระชับบริเวณมุมปากที่ตกลง ทำให้รอยยิ้มดูสดใสมากขึ้น

     

    การทำเทคโนโลยียกกระชับ แก้หน้าหย่อนคล้อย เหมาะกับใครบ้าง?
    การทำเทคโนโลยียกกระชับ แก้หน้าหย่อนคล้อย เหมาะกับใครบ้าง?

     

    การทำเทคโนโลยียกกระชับ แก้หน้าหย่อนคล้อย เหมาะกับใครบ้าง?

    • เทคโนโลยียกกระชับ เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยตามวัย
    • เทคโนโลยียกกระชับ เหมาะสำหรับผู้ที่มีกรอบหน้าไม่ชัด หรือมีเหนียงใต้คาง
    • เทคโนโลยียกกระชับ เหมาะสำหรับผู้ที่มีริ้วรอยและร่องลึกบนใบหน้า
    • เทคโนโลยียกกระชับ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับโดยไม่ต้องผ่าตัด
    • เทคโนโลยียกกระชับ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวให้เต่งตึงขึ้น
    • เทคโนโลยียกกระชับ เหมาะสำหรับผู้ที่มีไขมันสะสมบนใบหน้า
    • เทคโนโลยียกกระชับ เหมาะสำหรับผู้ที่มีรูขุมขนกว้างและผิวไม่เรียบเนียน
    • เทคโนโลยียกกระชับ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการกระชับผิวรอบดวงตาและลำคอ
    • เทคโนโลยียกกระชับ เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อยจากการลดน้ำหนักหรือหลังคลอด
    • เทคโนโลยียกกระชับ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติและอยู่ได้นาน
    • เทคโนโลยียกกระชับ เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวขาดความยืดหยุ่นตั้งแต่อายุยังน้อย
    • เทคโนโลยียกกระชับ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการป้องกันความหย่อนคล้อยก่อนวัย
    • เทคโนโลยียกกระชับ เหมาะสำหรับผู้ที่เคยทำหัตถการอื่น ๆ แต่ต้องการเสริมผลลัพธ์
    • เทคโนโลยียกกระชับ เหมาะสำหรับผู้ที่มีไลฟ์สไตล์ยุ่งและไม่มีเวลาพักฟื้น
    • เทคโนโลยียกกระชับ เหมาะสำหรับคุณแม่หลังคลอดที่ต้องการฟื้นฟูสภาพผิว
    • เทคโนโลยียกกระชับ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเสริมความมั่นใจในการใช้ชีวิตประจำวัน
    • เทคโนโลยียกกระชับ เหมาะสำหรับผู้ที่มีพฤติกรรมที่ทำให้ผิวเสื่อมโทรมเร็ว

     

    หมายเหตุ:

    ผลลัพธ์ที่ได้อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับสภาพผิว อายุ โครงสร้างใบหน้า รวมถึงการดูแลตนเองก่อนและหลังทำหัตถการ ทั้งนี้การเข้ารับการประเมินโดยแพทย์จึงเป็นขั้นตอนสำคัญ เพื่อเลือกวิธีการที่เหมาะสมที่สุด

     

    การทำเทคโนโลยียกกระชับ แก้หน้าหย่อนคล้อย ไม่เหมาะกับใครบ้าง?

    • เทคโนโลยียกกระชับ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัวร้ายแรง เช่น โรคหัวใจรุนแรง หรือโรคแพ้ภูมิตัวเอง (Autoimmune Disease)
    • เทคโนโลยียกกระชับ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีโรคเกี่ยวกับระบบไหลเวียนโลหิต
    • เทคโนโลยียกกระชับ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
    • เทคโนโลยียกกระชับ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีบาดแผลเปิด หรือติดเชื้อบริเวณที่ต้องการทำหัตถการ
    • เทคโนโลยียกกระชับ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ใส่อุปกรณ์โลหะหรือมีอุปกรณ์ฝังในร่างกายบางชนิด เช่น เครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemaker), โลหะฝังใต้ผิวหนัง
    • เทคโนโลยียกกระชับ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคผิวหนังบางประเภท เช่น โรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis), โรคด่างขาว (Vitiligo)
    • เทคโนโลยียกกระชับ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะเลือดออกง่ายหรือใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด
    • เทคโนโลยียกกระชับ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เพิ่งทำหัตถการผิวหน้าหรือศัลยกรรมมาไม่นาน
    • เทคโนโลยียกกระชับ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายมาก หรือมีแนวโน้มเป็นแผลคีลอยด์ง่าย
    • เทคโนโลยียกกระชับ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่คาดหวังผลลัพธ์เทียบเท่าการผ่าตัดศัลยกรรม
    • เทคโนโลยียกกระชับ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีน้ำหนักเกินมากและต้องการลดไขมันจำนวนมาก
    • เทคโนโลยียกกระชับ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการแพ้หรือไวต่อคลื่นพลังงาน
    • เทคโนโลยียกกระชับ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เคยมีประวัติแพ้ยาชาหรือยาแก้ปวดที่ใช้ระหว่างการทำหัตถการ
    • เทคโนโลยียกกระชับ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะเนื้อเยื่อใต้ผิวอ่อนแอมาก เช่น ผู้ที่มีปัญหาผิวบางผิดปกติ
    • เทคโนโลยียกกระชับ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะฮอร์โมนผิดปกติที่ส่งผลต่อสภาพผิว เช่น ผู้ที่มีโรคไทรอยด์
    • เทคโนโลยียกกระชับ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีเนื้องอกหรือมะเร็งผิวหนัง
    • เทคโนโลยียกกระชับ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีโรคเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกันที่ส่งผลต่อการสมานแผล เช่น โรค SLE
    • เทคโนโลยียกกระชับ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่อยู่ระหว่างการทำเคมีบำบัดหรือฉายรังสี
    • เทคโนโลยียกกระชับ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะผิวไวต่อแสง (Photosensitivity)
    • เทคโนโลยียกกระชับ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีการอักเสบของเส้นประสาทใบหน้า (Bell’s Palsy)
    • เทคโนโลยียกกระชับ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเห็นผลลัพธ์แบบทันที

     

    หมายเหตุ:

    ควรเข้ารับการประเมินสภาพผิวและสุขภาพโดยแพทย์ก่อนทำทุกครั้ง เพราะการเลือกวิธีการรักษาให้เหมาะสมกับร่างกายแต่ละบุคคล เพื่อผลลัพธ์ที่ดีและยั่งยืน

     

    การทำเทคโนโลยียกกระชับ แก้หน้าหย่อนคล้อย ทำบริเวณใดได้บ้าง?

    • เทคโนโลยียกกระชับ ทำบริเวณหน้าผากและระหว่างคิ้ว ลดริ้วรอยหน้าผากและช่วยยกคิ้ว
    • เทคโนโลยียกกระชับ ทำบริเวณหางตาและเปลือกตา กระชับผิวรอบดวงตา ลดหนังตาตก
    • เทคโนโลยียกกระชับ ทำบริเวณถุงใต้ตา ลดความหย่อนคล้อยบริเวณใต้ตา
    • เทคโนโลยียกกระชับ ทำบริเวณแก้มและร่องแก้ม ยกกระชับผิวบริเวณแก้ม ลดร่องลึก
    • เทคโนโลยียกกระชับ ทำบริเวณกรอบหน้าและแนวกราม ช่วยให้แนวกรามชัดขึ้น
    • เทคโนโลยียกกระชับ ทำบริเวณคางสองชั้น ช่วยสลายไขมันใต้คาง
    • เทคโนโลยียกกระชับ ทำบริเวณมุมปากและร่องน้ำหมาก ลดมุมปากตก ลดร่องลึก
    • เทคโนโลยียกกระชับ ทำบริเวณลำคอ ลดความหย่อนคล้อยของผิวคอ
    • เทคโนโลยียกกระชับ ทำบริเวณเนินอกและร่องอก ลดริ้วรอยบริเวณเนินอก
    • เทคโนโลยียกกระชับ ทำบริเวณต้นแขน กระชับต้นแขน ลดความหย่อนคล้อย
    • เทคโนโลยียกกระชับ ทำบริเวณหน้าท้องกระชับหน้าท้อง ลดผิวหย่อนคล้อย
    • เทคโนโลยียกกระชับ ทำบริเวณสะโพกและต้นขา ลดเซลลูไลท์ กระชับต้นขาและสะโพก
    • เทคโนโลยียกกระชับ ทำบริเวณหัวเข่า กระชับผิวรอบหัวเข่า ลดผิวเหี่ยวย่น

     

    เตรียมตัวก่อนทำเทคโนโลยียกกระชับ แก้หน้าหย่อนคล้อย

    • ก่อนทำเทคโนโลยียกกระชับ ควรศึกษาว่าเทคโนโลยีไหนเหมาะกับปัญหาผิว
    • ก่อนทำเทคโนโลยียกกระชับ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินสภาพผิว
    • ก่อนทำเทคโนโลยียกกระชับ ควรนอนหลับให้เพียงพออย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง
    • ก่อนทำเทคโนโลยียกกระชับ ควรดื่มน้ำมากขึ้น เพื่อช่วยให้เซลล์ผิวชุ่มชื้นและพร้อมรับจากการรักษา
    • ก่อนทำเทคโนโลยียกกระชับ ควรทำความสะอาดผิวหน้าให้สะอาดก่อนเข้ารับการรักษา
    • ก่อนทำเทคโนโลยียกกระชับ งดการทำ เลเซอร์ ทรีตเมนต์ที่ใช้ความร้อน 2 สัปดาห์
    • ก่อนทำเทคโนโลยียกกระชับ งดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีกรดผลัดเซลล์ผิว ประมาณ 3-5 วัน
    • ก่อนทำเทคโนโลยียกกระชับ หลีกเลี่ยงการขัดผิว หรือใช้ผลิตภัณฑ์สครับผิว
    • ก่อนทำเทคโนโลยียกกระชับ หลีกเลี่ยงการโดนแดดจัด หรือกิจกรรมกลางแจ้ง อย่างน้อย 7 วัน
    • ก่อนทำเทคโนโลยียกกระชับ หลีกเลี่ยงการรับประทานยาและอาหารเสริมที่มีผลต่อการไหลเวียนของเลือด อย่างน้อย 7 วัน
    • ก่อนทำเทคโนโลยียกกระชับ หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ อย่างน้อย 24-48 ชั่วโมง

     

    ดูแลตัวเองหลังทำเทคโนโลยียกกระชับ แก้หน้าหย่อนคล้อย

    • หลังทำเทคโนโลยียกกระชับ หลีกเลี่ยงการสัมผัสผิวหน้าบ่อย ๆ เพื่อลดการระคายเคือง
    • หลังทำเทคโนโลยียกกระชับ หลีกเลี่ยงแสงแดดจัด อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์
    • หลังทำเทคโนโลยียกกระชับ หลีกเลี่ยงการทำหัตถการที่ใช้พลังงานความร้อนเพิ่มเติม
    • หลังทำเทคโนโลยียกกระชับ หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก อย่างน้อย 3-5 วัน
    • หลังทำเทคโนโลยียกกระชับ หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิว อย่างน้อย 1 สัปดาห์
    • หลังทำเทคโนโลยียกกระชับ ควรใช้มอยส์เจอไรเซอร์สูตรอ่อนโยน เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น
    • หลังทำเทคโนโลยียกกระชับ ควรทาครีมกันแดดที่มี SPF 50 PA+++
    • หลังทำเทคโนโลยียกกระชับ ควรดื่มน้ำมากๆ เพื่อช่วยให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนและฟื้นฟูผิว
    • หลังทำเทคโนโลยียกกระชับ ควรพักผ่อนให้เพียงพอวันละ 6-8 ชั่วโมง

     

    เมื่ออายุเพิ่มขึ้น ผิวที่เคยเต่งตึงอาจเริ่มหย่อนคล้อยตามธรรมชาติ ซึ่งเป็นหนึ่งในสัญญาณแห่งวัยที่หลายคนต้องเผชิญ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีเทคโนโลยีด้านความงามที่สามารถช่วยยกกระชับผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่ต้องผ่าตัด เช่น Fix Lift, Ulthera Prime และ Thermage FLX ซึ่งล้วนเป็นทางเลือกที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ฟื้นฟูโครงสร้างผิวจากภายใน ลดเลือนริ้วรอย และปรับรูปหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ได้อย่างดูเป็นธรรมชาติ

     

    การเลือกเทคโนโลยีที่เหมาะสมควรพิจารณาจากปัญหาผิวเฉพาะบุคคล ความลึกของริ้วรอย รวมถึงผลลัพธ์ที่ต้องการ ทั้งนี้ผลลัพธ์ที่ได้อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับอายุ สภาพผิวเดิม รวมถึงการดูแลตนเองภายหลังจากการทำหัตถการ

     

    นอกจากนี้ การเตรียมความพร้อมก่อนเข้ารับบริการ และการดูแลผิวอย่างถูกวิธีหลังการรักษา ยังมีบทบาทสำคัญในการยืดอายุของผลลัพธ์ให้ยาวนานยิ่งขึ้น การเลือกทำหัตถการกับแพทย์ จึงเป็นสิ่งที่ช่วยเสริมความมั่นใจได้อีกระดับ

    Pluryal Densify และ Rejuran ต่างกันอย่างไร ควรทำอะไรดี

    Pluryal Densify และ Rejuran

    Pluryal Densify และ Rejuran ต่างกันอย่างไร? ทางลัดสู่งานผิว ฉ่ำวาว

    เทรนด์งานผิวสวย ชุ่มชื้น ฉ่ำวาวแบบสุขภาพดี ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องในปัจจุบัน หลาย ๆ คนจึงกำลังมองหาตัวช่วยในการฟื้นฟูผิวให้ดูดีอยู่เสมอ ซึ่งมีหลากหลายผลิตภัณฑ์ที่ถูกพัฒนาขึ้นมา เพื่อปรับปรุงคุณภาพผิวโดยเฉพาะ นั่นก็คือ Pluryal Densify และ Rejuran ซึ่งถือเป็นทางเลือกใหม่ในการฟื้นฟูคุณภาพผิว แต่ทั้งสองผลิตภัณฑ์นี้ก็มีคุณสมบัติ และจุดเด่นที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน จนอาจทำให้หลายคนเกิดความสับสนได้ว่า ควรเลือกทำหัตถการไหนถึงจะตอบโจทย์ ในบทความนี้ พาไปไขข้อสงสัยเกี่ยวกับ Pluryal Densify และ Rejuran ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร? ทั้งในด้านส่วนประกอบ หลักการทำงาน รวมถึง ประโยชน์ และความเหมาะสมในการฉีดของแต่ละหัตถการค่ะ

     

    Pluryal Densify และ Rejuran เปรียบเทียบความแตกต่าง ฉีดตัวไหนดีกว่า? 

     

    ทำความรู้จัก Pluryal Densify และ Rejuran

     

    Pluryal Densify คืออะไร?
    Pluryal Densify คืออะไร?

     

    Pluryal Densify คืออะไร?

    Pluryal Densify คือ ผลิตภัณฑ์งานผิวใหม่ล่าสุด จากประเทศลักเซมเบิร์ก (Luxembourg) ที่ผสมผสานไปด้วยส่วนประกอบสำคัญถึง 3 ชนิด ได้แก่ Hyaluronic Acid (HA) ที่สกัดจากธรรมชาติ ช่วยเติมเต็มความชุ่มชื้นให้ผิว ชะลอการเกิดริ้วรอย และ Mannitol ช่วยต้านสารอนุมูลอิสระ เติมน้ำให้ผิว รวมถึง Polynucleotide (PN) ที่สกัดจากปลาแซลมอน ช่วยให้ผิวกระชับ มีความยืดหยุ่น เมื่อนำส่วนประกอบทั้ง 3 ชนิดมารวมกัน ทำให้ Pluryal Densify เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการแก้ปัญหาผิวไม่กระชับ สูญเสียความยืดหยุ่น และขาดความชุ่มชื้นโดยเฉพาะ

     

    โดยการทำงานร่วมกันระหว่าง Hyaluronic Acid (HA) และ Polynucleotide (PN) ใน Pluryal Densify นั้น จะเข้าไปเสริมการทำงานเซลล์ Fibroblast ให้ผลิตคอลลาเจน และอีลาสตินออกมามากขึ้น ผ่านกระบวนการผลิตด้วยเทคโนโลยี HPN TECHNOLOGY (Highly Pure Polynucleotides) ทำให้ได้ Polynucleotide (PN) ที่มีความบริสุทธิ์สูง ส่งผลให้ผิวชุ่มชื้น กระชับ และผิวมีสุขภาพที่ดีขึ้นในระยะยาว

     

    Rejuran คืออะไร?
    Rejuran คืออะไร?

     

    Rejuran คืออะไร?

    Rejuran (รีจูรัน) คือ ผลิตภัณฑ์งานผิวกลุ่ม Skin Booster จากประเทศเกาหลีใต้ ที่มีส่วนประกอบหลักของ Polynucleotides (PN) ซึ่งเป็นสารสกัดจากเซลล์สืบพันธุ์ของปลาแซลมอลที่อยู่ในทะเลตามธรรมชาติ มีโครงสร้างใกล้เคียงกับ DNA ของมนุษย์ ทำให้ไม่เสี่ยงอันตราย สามารถเข้ากันได้ดีกับร่างกาย โดยไม่ก่อให้เกิดการปฏิกิริยาต่อต้านจากภูมิคุ้มกัน

     

    ซึ่ง Polynucleotides (PN) ใน Rejuran นั้น มีคุณสมบัติในการกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ พร้อมซ่อมแซมเซลล์ผิวที่เสื่อมโทรมจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น มลภาวะ แสงแดด และอายุที่มากขึ้น โดยผ่านเทคโนโลยีการผลิตที่จดสิทธิบัตรเฉพาะ มีชื่อเรียกว่า DOT™ ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซึมสารเข้าสู่ผิวได้ดียิ่งขึ้น ทำให้ผิวแข็งแรง มีความชุ่มชื้น และอ่อนเยาว์ขึ้นอย่างดูเป็นธรรมชาติ

     

    Pluryal Densify กับ Rejuran ต่างกันอย่างไร?
    Pluryal Densify และ Rejuran ต่างกันอย่างไร?

     

    Pluryal Densify และ Rejuran ต่างกันอย่างไร?

    ถึงแม้ Pluryal Densify และ Rejuran จะมีส่วนประกอบของ Polynucleotide (PN) ที่เหมือนกัน แต่ทั้งสองหัตถการนั้น ก็มีความแตกต่างกันอยู่ในหลาย ๆ ด้าน โดยสามารถเปรียบเทียบความแตกต่างของ Pluryal Densify และ Rejuran ในแต่ละด้านได้ ดังนี้

     

    ส่วนประกอบหลักของ Pluryal Densify และ Rejuran

    • Pluryal Densify มีส่วนประกอบหลักถึง 3 ชนิด คือ Hyaluronic Acid (HA) แบบ Cross-Linked ปริมาณ 10 มก./มล., Polynucleotide (PN) จากปลาแซลมอน ปริมาณ 10 มก./มล. และ Mannitol ปริมาณ 40 มก./มล. ซึ่ง Pluryal Densify มีลักษณะเป็นเนื้อเจลใส ที่มีความเหลว ยืดหยุ่น และหนืด จึงสามารถเข้ากับผิวได้อย่างเป็นธรรมชาติ และให้ผลลัพธ์ที่ดีในระยะยาว
    • Rejuran มีส่วนประกอบหลัก คือ Polynucleotide (PN) ที่สกัดจากปลาแซลมอน มีความบริสุทธิ์ และเข้มข้นสูงถึง 2% แต่ไม่ได้มีส่วนประกอบของ Hyaluronic Acid (HA) เหมือนกับ Pluryal Densify ซึ่ง Rejuran เป็นสารละลายที่มีลักษณะเป็นเนื้อเจลใส ไร้สี สามารถกลมกลืนเข้ากับผิวได้เป็นอย่างดี และให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ

     

    หลักการทำงานของ Pluryal Densify และ Rejuran

    • Pluryal Densify จะผสานการทำงานของ Hyaluronic Acid (HA) และ Polynucleotide (PN) ในการกระตุ้นเซลล์ Fibroblast ให้เกิดการสร้างคอลลาเจน และอีลาสตินเพิ่มขึ้น พร้อมกักเก็บความชุ่มชื้น และปรับปรุงคุณภาพผิวจากภายใน ทำให้ผิวฉ่ำน้ำ ยืดหยุ่น และกระชับ อีกทั้ง ยังมี Mannitol ที่ช่วยต้านสาระอนุมูลอิสระ เมื่อทำงานร่วมกับ Hyaluronic Acid (HA) จะทำให้ผลลัพธ์ที่ได้สามารถคงอยู่ได้ยาวนานมากขึ้น
    • Rejuran จะทำงานโดยการให้สาร Polynucleotides (PN) เข้าไปฟื้นฟูเซลล์ผิวที่เสียหายจากอายุที่มากขึ้น แสงแดด และมลภาวะ รวมถึง ต้านการอักเสบของผิว และกระตุ้นให้เกิดการสร้างเซลล์ใหม่อย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งกระตุ้นการหลั่ง Growth Factors เพื่อเสริมการทำงานของเซลล์ Fibroblast ให้เกิดกระบวนการสร้างเส้นใยคอลลาเจน และอีลาสติน รวมถึง เสริมเกราะป้องกันผิวจากภายใน ทำให้ผิวมีความแข็งแรง ยืดหยุ่น และดูฉ่ำวาวแบบสุขภาพดี

     

    บริเวณที่ฉีด Pluryal Densify และ Rejuran

    • Pluryal Densify สามารถฉีดได้หลากหลายบริเวณ ได้แก่ ฉีดทั่วใบหน้า เพื่อปรับปรุงคุณภาพผิวให้ดูฉ่ำวาว งานผิวกระจก พร้อมลดเลือนริ้วรอยบริเวณต่าง ๆ เช่น ร่องแก้ม และรอยพับจมูก แต่ไม่เหมาะสำหรับการฉีดบริเวณใต้ตา อีกทั้ง Pluryal Densify ยังสามารถฉีดบริเวณลำคอ เพื่อลดเลือนริ้วรอยเส้นเล็ก ๆ และเติมเต็มชุ่มชื้นให้ผิว รวมถึง นำ Pluryal Densify มาฉีดบริเวณหลังมือ และเนินอก เพื่อปรับสภาพผิวให้ชุ่มชื้น ลดเลือนริ้วรอย รอยเหี่ยวย่นบริเวณนั้นได้
    • Rejuran สามารถฉีดได้หลากหลายบริเวณ ทั้งฉีดทั่วใบหน้า เช่น หน้าผาก หางตา ร่องแก้ม ร่องมุมปาก รวมถึง ฉีดบริเวณลำคอ เพื่อลดเลือนริ้วรอยเส้นเล็ก ๆ และเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวบริเวณลำคอ อีกทั้ง ยังสามารถนำมาฉีดบริเวณหลังมือ เพื่อปรับสภาพผิวให้ชุ่มชื้น แก้ปัญหาผิวหลังมือแห้งกร้าน ลอกเป็นขุย หรือมีริ้วรอยได้

     

    วิธีการฉีด Pluryal Densify และ Rejuran

    • Pluryal Densify จะมาในรูปแบบเจลพร้อมฉีด โดยใน 1 กล่อง จะมี Pluryal Densify 1 ไซริงค์ ปริมาณ 2 CC สามารถนำมาฉีดเข้าสู่ผิวหนังชั้นลึกได้โดยตรง (Deep Dermis / Superficial Hypodermis)
    • Rejuran จะมาในรูปแบบเจลพร้อมฉีด โดยใน 1 กล่อง จะมี Rejuran ทั้งหมด 2 ไซริงค์ ซึ่งใน 1 ไซริงค์ จะมีปริมาณ 2 CC สามารถนำมาฉีดเข้าสู่ผิวชั้นหนังแท้ได้โดยตรง (Dermis) ใช้เทคนิคฉีดเรียงกันเป็นจุดไข่ปลาเล็ก ๆ เพื่อให้ตัวยาสามารถกระจายตัวได้อย่างทั่วถึงในบริเวณที่ฉีด

     

    ระยะเวลาคงอยู่ของ Pluryal Densify และ Rejuran

    • Pluryal Densify สำหรับการฉีดในครั้งแรก แนะนำให้ฉีด Pluryal Densify สัปดาห์ละ 1 กล่อง ต่อเนื่องกันทั้งหมด 3 สัปดาห์ โดยผลลัพธ์จะสามารถอยู่ได้นาน ประมาณ 3 – 6 เดือน จากนั้น ควรกลับมาฉีดซ้ำเมื่อครบกำหนด เพื่อรักษาประสิทธิภาพของผลลัพธ์ให้ยาวนานยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ผลลัพธ์ที่ได้จากการฉีด Pluryal Densify ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และปัญหาของแต่ละบุคคล
    • Rejuran สำหรับการฉีดในครั้งแรก แนะนำให้ฉีด Rejuran อย่างน้อย 4 ครั้ง โดยเว้นห่างกันครั้งละ 2 – 3 สัปดาห์ ซึ่งผลลัพธ์จะสามารถอยู่ได้นาน ประมาณ 3 – 6 เดือน จากนั้น ควรกลับมาฉีดซ้ำเมื่อครบกำหนด เพื่อรักษาประสิทธิภาพของผลลัพธ์ให้ดูดีอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ผลลัพธ์ที่ได้ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และปัญหาของแต่ละบุคคล

     

    Pluryal Densify และ Rejuran ช่วยเรื่องอะไร?

    Pluryal Densify ช่วยเรื่องอะไร?

    • Pluryal Densify ช่วยเติมเต็มความชุ่มชื้น ให้ผิวใส ฉ่ำวาว อิ่มน้ำ 
    • Pluryal Densify ช่วยกระตุ้นคอลลาเจน และอีลาสติน 
    • Pluryal Densify ช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่น และกระชับ
    • Pluryal Densify ช่วยให้รูขุมขนกระชับ ผิวเรียบเนียนมากขึ้น
    • Pluryal Densify ช่วยลดเลือนริ้วรอย ให้ผิวอิ่มฟู ดูอ่อนเยาว์
    • Pluryal Densify ช่วยลดเลือนรอยแผล รอยดำ รอยแดงจากสิว
    • Pluryal Densify ช่วยปรับผิวให้กระจ่างใส สีผิวสม่ำเสมอ
    • Pluryal Densify ช่วยต่อต้านสารอนุมูลอิสระ
    • Pluryal Densify ช่วยให้ผิวแข็งแรง ชะลอการเสื่อมสภาพของผิว
    • Pluryal Densify ช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือด ให้ผิวมีสุขภาพที่ดีขึ้น

     

    Rejuran ช่วยเรื่องอะไร? 

    • Rejuran ช่วยฟื้นฟู และซ่อมแซมเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ 
    • Rejuran ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ปรับผิวอิ่มน้ำ ฉ่ำวาวแบบเร่งด่วน
    • Rejuran ช่วยกระตุ้นคอลลาเจน และอีลาสติน 
    • Rejuran ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น ให้ผิวกระชับ และเต่งตึง
    • Rejuran ช่วยลดเลือนริ้วรอย ให้ผิวเรียบเนียน ดูอ่อนเยาว์
    • Rejuran ช่วยให้รูขุมขนมีความกระชับ หลุมสิวดูตื้นขึ้น
    • Rejuran ช่วยลดเลือนรอยดำ รอยแดง และรอยแผลเป็นจากสิว 
    • Rejuran ช่วยลดการอักเสบของผิวจากปัจจัยต่าง ๆ
    • Rejuran ช่วยลดการสะสมของเม็ดสีเมลานิน ทำให้ผิวสว่าง กระจ่างใส
    • Rejuran ช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรง (Skin Barrier)

     

    Pluryal Densify กับ Rejuran เหมาะกับใคร?
    Pluryal Densify และ Rejuran เหมาะกับใคร?

     

    Pluryal Densify และ Rejuran เหมาะกับใคร?

    Pluryal Densify เหมาะกับใคร?

    • Pluryal Densify เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาผิวแห้งกร้าน ขาดน้ำ ต้องการเติมความชุ่มชื้นให้ผิว
    • Pluryal Densify เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยบริเวณต่าง ๆ ทั้งใบหน้า ลำคอ หลังมือ
    • Pluryal Densify เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูความหมองคล้ำ
    • Pluryal Densify เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการเสริมความแข็งแรงให้ผิว
    • Pluryal Densify เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการปรับสีผิวให้กระจ่างใส 
    • Pluryal Densify เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหารอยแผลเป็น รอยดำ รอยแดงจากสิว
    • Pluryal Densify เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาผิวขาดความยืดหยุ่น ไม่กระชับ
    • Pluryal Densify เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาสีผิวไม่สม่ำเสอ
    • Pluryal Densify เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหารูขุมขนกว้าง ผิวไม่เรียบเนียน
    • Pluryal Densify เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาใบหน้าโทรม เหนื่อยล้า ต้องการบำรุงผิวอย่างล้ำลึก
    • Pluryal Densify เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการเตรียมผิวให้พร้อมก่อนทำหัตถการอื่น ๆ เช่น เลเซอร์ หรือฟิลเลอร์

    ทั้งนี้ ควรปรึกษาแพทย์ และแจ้งประวัติสุขภาพให้แพทย์ทราบอย่างละเอียด ตั้งแต่ประวัติโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา หรือประวัติการรักษาก่อนฉีด Pluryal Densify

     

    Rejuran เหมาะกับใคร?

    • Rejuran เหมาะสำหรับ ผู้ที่กำลังประสบปัญหาผิวหน้าขาดความชุ่มชื้น แห้งลอก
    • Rejuran เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการซ่อมแซมผิวที่เสื่อมโทรมจากแสงแดด หรือมลภาวะ
    • Rejuran เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีผิวอ่อนแอ บอบบาง และแพ้ง่าย
    • Rejuran เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาริ้วรอย ผิวหน้าขาดความยืดหยุ่น
    • Rejuran เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวให้แข็งแรง สุขภาพดีจากภายใน
    • Rejuran เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาผิวหมองคล้ำ ไม่สดใส สีผิวไม่สม่ำเสมอ
    • Rejuran เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาฝ้า กระ จุดด่างดำ รอยดำ รอยแดงจากสิว
    • Rejuran เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหารูขุมขนกว้าง มีหลุมสิว ผิวไม่เรียบเนียน
    • Rejuran เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการให้ผิวดูอ่อนเยาว์ โกลว์ และฉ่ำวาวแบบสาวเกาหลี
    • Rejuran เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาใบหน้าโทรม ต้องการบำรุงผิวเร่งด่วน

    ทั้งนี้ ควรปรึกษาแพทย์ และแจ้งประวัติสุขภาพให้แพทย์ทราบอย่างละเอียด ตั้งแต่ประวัติโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา หรือประวัติการรักษาก่อนฉีด Rejuran

     

    Pluryal Densify และ Rejuran ไม่เหมาะกับใคร?

    Pluryal Densify ไม่เหมาะกับใคร?

    • Pluryal Densify ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีประวัติแพ้สาร Hyaluronic Acid (HA) ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของ Pluryal Densify
    • Pluryal Densify ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีประวัติแพ้อาหารทะเล หรือปลาแซลมอน ซึ่งเป็นสารสกัดของ Polynucleotide (PN) ใน Pluryal Densify
    • Pluryal Densify ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาผิวอักเสบ หรือติดเชื้อในบริเวณที่จะฉีด เช่น เป็นสิว หรือมีแผลสด 
    • Pluryal Densify ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ และผู้ที่กำลังให้นมบุตร ควรหลีกเลี่ยงการฉีด Pluryal Densify ไปก่อน
    • Pluryal Densify ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีโรคเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด หรือกำลังรับประทานยาที่ส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด
    • Pluryal Densify ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือมีโรคประจำตัวที่เกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน

    ทั้งนี้ ควรปรึกษาแพทย์ และแจ้งประวัติสุขภาพให้แพทย์ทราบอย่างละเอียด ตั้งแต่ประวัติโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา หรือประวัติการรักษาก่อนเข้ารับบริการ

     

    Rejuran ไม่เหมาะกับใคร?

    • Rejuran ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีประวัติแพ้อาหารทะเล หรือปลาแซลมอน ซึ่งเป็นสารสกัดของ Polynucleotide (PN) ใน Rejuran
    • Rejuran ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ และผู้ที่กำลังให้นมบุตร ควรหลีกเลี่ยงการฉีด Rejuran ไปก่อน
    • Rejuran ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาผิวอักเสบ หรือติดเชื้อในบริเวณที่จะฉีด เช่น เป็นสิว หรือมีแผลสด 
    • Rejuran ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือมีโรคประจำตัวที่เกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน
    • Rejuran ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีโรคเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด หรือกำลังรับประทานยาที่ส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด

    ทั้งนี้ ควรปรึกษาแพทย์ และแจ้งประวัติสุขภาพให้แพทย์ทราบอย่างละเอียด ตั้งแต่ประวัติโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา หรือประวัติการรักษาก่อนเข้ารับบริการ

     

    Pluryal Densify และ Rejuran แตกต่างจากฟิลเลอร์ทั่วไป อย่างไร?

    • Pluryal Densify

    Pluryal Densify ผสานส่วนประกอบถึง 3 ชนิด ได้แก่ Polynucleotides (PN), Hyaluronic Acid (HA) แบบ Cross-Linked และ Mannitol โดยผ่านเทคโนโลยีการผลิตที่มีชื่อว่า HPN TECHNOLOGY ทำให้ได้ PN ที่มีความบริสุทธิ์สูง เมื่อสารทั้งหมดใน Pluryal Densify ทำงานร่วมกันจะช่วยส่งเสริมเซลล์ Fibroblast ให้ผลิตคอลลาเจน และอีลาสตินเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ผิวมีความยืดหยุ่น กระชับ และปรับปรุงคุณภาพผิวจากภายใน ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้ผิวมีความฉ่ำ ใส เด้งแบบสุขภาพดี โดย Pluryal Densify เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวเร่งด่วน มีปัญหาริ้วรอย ผิวขาดน้ำ และไม่ยืดหยุ่น 

    • Rejuran 

    Rejuran มีส่วนประกอบหลักของ Polynucleotide (PN) ที่สกัดจากปลาแซลมอน โดยผ่านเทคโนโลยีการผลิตที่มีชื่อว่า DOT™ ที่สกัดเอา PN ที่มีความบริสุทธิ์ออกมา ซึ่งมีคุณสมบัติในการฟื้นฟูเซลล์ผิวที่เสื่อมโทรม กระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ รวมถึง ลดการอักเสบผิว และเสริมการทำงานของเซลล์ Fibroblast ให้ผลิตคอลลาเจน และอีลาสตินเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ผิวแข็งแรง ชุ่มชื้น และดูอ่อนเยาว์จากภายใน พร้อมลดเลือนริ้วรอย รอยดำ รอยแดง และรูขุมขนกว้าง ทำให้ผิวหน้ากลับมาเรียบเนียน และดูสุขภาพดีแบบเร่งด่วน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการกู้ผิวแห้งกร้าน ขาดน้ำ มีปัญหาหลุมสิว ผิวขรุขระ ไม่เรียบเนียน

    • ฟิลเลอร์ทั่วไป

    ฟิลเลอร์ทั่วไป เป็นสารเติมเต็มที่มีส่วนประกอบหลักของ Hyaluronic Acid (HA) ซึ่งถูกสังเคราะห์ขึ้นมา เพื่อเลียนแบบสารที่มีอยู่ในร่างกาย มีคุณสมบัติในการเติมเต็ม เพื่อทดแทนบริเวณที่สูญเสียปริมาตรใต้ผิวหนัง และปรับรูปหน้าทันทีที่ฉีด แต่ไม่มีคุณสมบัติในการกระตุ้นคอลลาเจน ซึ่งยสามารถฉีดได้หลายบริเวณ เช่น ร่องแก้ม หน้าผาก ใต้ตา คาง หรือริมฝีปาก และแก้ไขปัญหาได้อย่างครอบคลุม ตั้งแต่ระดับโครงสร้าง โดยหลังฉีดสามารถเห็นผลลัพธ์ได้ทันที ทำให้ผิวอิ่มฟู ดูอ่อนกว่าวัย และใบหน้าได้สัดส่วนมากขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาริ้วรอย ร่องลึก ผิวหย่อนคล้อย และรูปหน้าไม่สมส่วน 

     

    ข้อควรรู้ก่อนฉีด Pluryal Densify และ Rejuran

    • ก่อนฉีด Pluryal Densify และ Rejuran ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อประเมินสภาพผิวก่อนฉีด Pluryal Densify และ Rejuran 
    • ก่อนฉีด Pluryal Densify และ Rejuran งดรับประทานยา หรือวิตามินที่ส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด อย่างน้อย 1 สัปดาห์
    • ก่อนฉีด Pluryal Densify และ Rejuran หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 24 – 48 ชั่วโมง ก่อนฉีด Pluryal Densify และ Rejuran
    • ก่อนฉีด Pluryal Densify และ Rejuran หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ อย่างน้อย 24 – 48 ชั่วโมงก่อนฉีด Pluryal Densify และ Rejuran
    • ก่อนฉีด Pluryal Densify และ Rejuran หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก
    • ก่อนฉีด Pluryal Densify และ Rejuran สามารถฉีดได้หลังจากทำเลเซอร์ หรือฉีดฟิลเลอร์ อย่างน้อย 3 สัปดาห์
    • ก่อนฉีด Pluryal Densify และ Rejuran ควรดื่มน้ำให้มาก ๆ และนอนหลับให้เพียงพอ

     

    ข้อควรปฏิบัติหลังฉีด Pluryal Densify และ Rejuran

    • หลังฉีด Pluryal Densify และ Rejuran งดการแต่งหน้าในบริเวรที่ฉีด ประมาณ 24 ชั่วโมงแรกหลังฉีด Pluryal Densify และ Rejuran
    • หลังฉีด Pluryal Densify และ Rejuran หากมีอาการปวด สามารถประคบเย็นได้ ตามคำแนะนำของแพทย์
    • หลังฉีด Pluryal Densify และ Rejuran สามารถทาสกินแคร์ หรือทำความสะอาดใบหน้าได้ตามปกติ
    • หลังฉีด Pluryal Densify และ Rejuran หลีกเลี่ยงความร้อนจัด แสงแดด หรือกิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีด อย่างน้อย 24 – 48 ชั่วโมงแรกหลังฉีด Pluryal Densify และ Rejuran
    • หลังฉีด Pluryal Densify และ Rejuran งดสัมผัส นวด หรือกดในบริเวณที่ฉีด อย่างน้อย 48 ชั่วโมงแรก
    • หลังฉีด Pluryal Densify และ Rejuran หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 24 – 48 ชั่วโมงแรกหลังฉีด Pluryal Densify และ Rejuran
    • หลังฉีด Pluryal Densify และ Rejuran หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ อย่างน้อย 24 – 48 ชั่วโมงแรกหลังฉีด Pluryal Densify และ Rejuran

     

    รวมคำถามเกี่ยวกับ Pluryal Densify และ Rejuran
    รวมคำถามเกี่ยวกับ Pluryal Densify และ Rejuran

    รวมคำถามเกี่ยวกับ Pluryal Densify และ Rejuran

    Pluryal Densify และ Rejuran ฉีดกี่ครั้งเห็นผล?

    • Pluryal Densify แนะนำให้ฉีดสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ต่อเนื่องกัน 3 สัปดาห์ จากนั้น สามารถกลับมาฉีด Pluryal Densify ซ้ำทุก ๆ 3 – 6 เดือน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ
    • Rejuran แนะนำให้ฉีดอย่างต่อเนื่อง ประมาณ 4 ครั้ง ซึ่งในแต่ละครั้ง ควรเว้นระยะเวลาเพื่อพักหน้า ประมาณ 2 – 4 สัปดาห์ จากนั้น สามารถกลับมาฉีดซ้ำทุก ๆ 3 – 6 เดือน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ

     

    Pluryal Densify และ Rejuran ควรฉีดกี่ CC?

    • การฉีด Pluryal Densify โดยปกติแล้ว จะแนะนำให้เริ่มฉีด 1 กล่อง ซึ่งใน Pluryal Densify 1 กล่อง จะมีปริมาณสารทั้งหมด 2 CC แต่ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับแพทย์ประเมิน และปัญหาผิวของแต่ละบุคคล แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ก่อนตัดสินใจฉีด Pluryal Densify
    • การฉีด Rejuran โดยปกติแล้ว จะแนะนำให้เริ่มฉีด ปริมาณ 2 – 4 CC ขึ้นอยู่กับปัญหาผิว และบริเวณที่ต้องการฉีด หากต้องการฉีดเฉพาะจุด เช่น บริเวณหน้าแก้ม ลำคอ หรือหลังมือ สามารถใช้ปริมาณ Rejuran ประมาณ 2 CC ได้ แต่หากต้องการฉีดทั่วใบหน้า หรือต้องการฉีดลำคอพร้อมกัน อาจต้องใช้ปริมาณ Rejuran ประมาณ 4 CC ถึงจะเพียงพอ ขึ้นอยู่กับแพทย์ประเมิน แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ก่อนตัดสินใจ

     

    Pluryal Densify และ Rejuran เจ็บไหม?

    • การฉีด Pluryal Densify และ Rejuran อาจรู้สึกเจ็บเล็กน้อยในบริเวณที่ฉีด ซึ่งสำหรับผู้ที่มีความกังวลเรื่องความเจ็บ สามารถขอทายาชาก่อนฉีด Pluryal Densify และ Rejuran เพื่อลดความรู้สึกเจ็บลงได้ 

     

    Pluryal Densify และ Rejuran อันตรายไหม?

    • การฉีด Pluryal Densify และ Rejuran ถือว่าไม่เสี่ยงอันตราย และได้รับการรับรองมาตรฐานจาก อย. แต่ควรฉีดกับแพทย์ที่มีความรู้ และความชำนาญ ใช้เทคนิคในการฉีดที่เหมาะสม และฉีดถูกชั้นผิว เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ และไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย

     

    Pluryal Densify และ Rejuran มีผลข้างเคียงอะไรบ้าง?

    • หลังฉีด Pluryal Densify และ Rejuran อาจเกิดอาการบวม แดง ช้ำ หรือปวดในบริเวณที่ฉีด Pluryal Densify และ Rejuran ซึ่งเป็นอาการที่พบได้บ่อย และจะค่อย ๆ ดีขึ้น ภายใน 2 – 3 วัน แต่หากพบว่า มีอาการผิดปกตินอกเหนือจากนี้ ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที

     

    Pluryal และ Rejuran มีทั้งหมดกี่รุ่น?

    • Pluryal จะมีทั้งหมด 4 รุ่น ซึ่งในแต่ละรุ่นถูกออกแบบมา เพื่อตอบโจทย์ปัญหาผิวที่แตกต่างกัน ทั้งในด้านคุณสมบัติ และผลลัพธ์ที่ได้หลังฉีด ได้แก่ Pluryal Biosculpture ช่วยเติมเต็มผิว ปรับรูปหน้า และลดความหย่อนคล้อย, Pluryal Densify ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น คืนความยืดหนุ่น และความกระชับให้ผิว, Pluryal Silk ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น และฟื้นฟูผิวรอบดวงตา, Pluryal Hair Density ช่วยฟื้นฟูหนังศีรษะ และเส้นผม
    • Rejuran จะมีทั้งหมด 4 รุ่นเช่นเดียวกัน ซึ่งในแต่ละรุ่นถูกออกแบบมา เพื่อตอบโจทย์ปัญหาผิวที่แตกต่างกัน ทั้งในด้านคุณสมบัติ และผลลัพธ์ที่ได้หลังฉีด ได้แก่ Rejuran Classic เติมความชุ่มชื้น และฟื้นฟูผิวระดับโครงสร้าง, Rejuran i ลดเลือนริ้วรอยรอบดวงตา และริมฝีปาก, Rejuran S เติมเต็มหลุมสิว กู้ผิวไม่เรียบเนียน, Rejuran HB ฟื้นฟูผิว 2 เท่า ลดเลือนรอยสิว และริ้วรอยตื้น ๆ 

     

    จะเห็นได้ว่า ทั้ง Pluryal Densify และ Rejuran เป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถฟื้นฟูผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขึ้นอยู่กับความต้องการ และปัญหาผิวของแต่ละบุคคล หากมีปัญหาผิวขาดความยืดหยุ่น แห้งกร้าน ไม่กระชับ การฉีด Pluryal Densify ถือว่าตอบโจทย์ แต่หากมีปัญหาริ้วรอย รอยดำ รอยแดง หลุมสิว หรือผิวเสื่อมโทรมจากภายใน การฉีด Rejuran ก็อาจจะตอบโจทย์มากกว่า ทั้งนี้ทั้งนั้น ควรปรึกษาแพทย์ก่อนตัดสินใจฉีด Pluryal Densify และ Rejuran เพื่อให้แพทย์ประเมินผิวหน้า และเลือกผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์กับปัญหาอย่างแท้จริง เพื่อให้ได้ผลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ

     

    *ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับบริการ

    *เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯกำหนด

     

    Promotion MayMory สวยให้โลกจำ

    Promotion MayMory

    Promotion MayMory สวยให้โลกจำ

    พฤษภาคมนี้ มาสร้างทุกโมเมนต์ความสวยให้เป็น MayMory สวยให้สุดไม่หยุดพัก สวยให้โลกจำ ต้องมาตำกับโปรโมชันสุดปังจากรมย์รวินท์คลินิก ที่คัดสรรความสวยจึ้งมาให้คุณโดยเฉพาะ เพราะความเป๊ะ..รอไม่ได้

     

    Promotion MayMory*โปรโมชันตั้งแต่วันที่ 1 – 31 พฤษภาคม 2568 เท่านั้น

     

    Promotion MayMory..ผิวตึง จนลืมไปเลยว่าเคยยับ

    สร้างโมเมนต์ผิวตึงกระชับ ลืมความยับ เซตผิวให้อ่อนวัยให้โลกจำ ด้วย

     

    โปรแกรมฉีดโบ เติมผิวเหี่ยวให้เต่งตึง เก็บกรอบ ลดกราม เสริมหน้า V-Shape  สวยอ่อนกว่าวัย ไม่โป๊ะ

    โปรแกรม RG LIFT ผิวเต่งตึง ริ้วรอยหาย งานผิวเนียนละเอียด หน้าอ่อนกว่าวัยจนใครๆ ก็ต้องทัก

     

    สร้างโมเมนต์ผิวตึง หน้าอ่อนวัย ด้วย 

    • โปรแกรมฉีดโบ E 50U. + โปรแกรม RG LIFT ราคาเพียง 9,900.- จากราคาปกติ 20,000.-
    • โปรแกรมฉีดโบ M 50U. + โปรแกรม RG LIFT ราคาเพียง 10,900.- จากราคาปกติ 28,000.-
    • โปรแกรมฉีดโบ A 50U. + โปรแกรม RG LIFT ราคาเพียง 12,900.- จากราคาปกติ 28,000.-

     

    Promotion MayMory*โปรโมชันตั้งแต่วันที่ 1 – 31 พฤษภาคม 2568 เท่านั้น

     

    Promotion MayMory..ยกกระชับ เปลี่ยนหน้าใหม่จนลืมหน้าเก่า

    สร้างโมเมนต์ หน้าใหม่ที่ยกกระชับ สวย คอลลาเจนแน่นมากกว่าเดิม จนลืมหน้าเก่าที่เคยหย่อนคล้อย ด้วย

     

    โปรแกรม BB HIFU กระตุ้นคอลลาเจนให้ผิวเรียบกริบ รูขุมขนกระชับ เติมความสวยเนียนไม่ต้องพึ่งแอปฯ

    โปรแกรม BLINK IT UP ปลุกความสวยสดใสให้ผิวแบบฉ่ำๆ บำรุงผิวอย่างล้ำลึก กู้คืนผิวให้สุขภาพดีอย่างเร่งด่วน

     

    สร้างโมเมนต์หน้ายก สวยจึ้ง ด้วย

    • โปรแกรม BB HIFU + โปรแกรม BLINK IT UP ราคาเพียง 6,000.- จากราคาปกติ 35,000.-

     

    โปรแกรม SUPER HIFU ล็อกผิวให้ตึงกระชับ จัดเก็บกรอบหน้าให้เรียวขั้นสุด พร้อมเก็บรายละเอียดงานผิวให้เนียนเรียบ หน้าแน่นสุดๆ

    โปรแกรม BAR LIFT ลิฟกรอบหน้า ดึงผิวให้ตึง จัดเก็บทุกความหย่อนคล้อย แต่เจ็บน้อยกว่า แก้ปัญหาอย่างตรงจุดโดยไม่ต้องผ่าตัด

     

    สร้างโมเมนต์หน้ายก สวยจึ้ง ด้วย

    • โปรแกรม SUPER HIFU +โปรแกรม BAR LIFT ราคาเพียง 12,900.- จากราคาปกติ 60,000.-

     

    โปรแกรม Ultherapy จัดการความแก่ ความหย่อนคล้อย และริ้วรอยให้หายไป กระตุ้นคอลลาเจนให้ผิวเด้ง ตบกรอบหน้าให้เรียวชัด มีมิติ สวยทุกองศา

    โปรแกรม Ultra 4D LIFT จะมุมไหนผิวก็ยกกระชับแน่นเฟิร์ม หน้าเรียวชัด ฟื้นฟูผิวให้เรียบเนียน ดูดีครบทุกมิติ

     

    สร้างโมเมนต์หน้ายก สวยจึ้ง ด้วย

    • โปรแกรม Ultherapy + โปรแกรม Ultra 4D Lift ราคาเพียง 24,900.- จากราคาปกติ 63,000.-

     

    โปรแกรม FIXLIFT เลิกทนกับผิวยับ จบทุกปัญหาผิวแก่ ฟิกซ์ผิวให้เฟิร์ม ลิฟหน้าให้ยกกระชับ ผิวแน่น หน้าเรียวทำได้เลย ไม่ต้องรอ

     

    สร้างโมเมนต์หน้ายก สวยจึ้ง ด้วย

    • โปรแกรม FIXLIFT ราคาเพียง 29,900.- จากราคาปกติ 80,000.-

     

    โปรแกรม Thermage for eyes เปลี่ยนตาตกให้เฉี่ยว เปลี่ยนตีนกาให้หายไป เปลี่ยนถุงใต้ตาเรียบเนียน คืนความอ่อนเยาว์ให้ดวงตา มั่นใจ ไม่มีแก่

     

    สร้างโมเมนต์หน้ายก สวยจึ้ง ด้วย

    • โปรแกรม Thermage for eyes ราคาเพียง 35,000.- จากราคาปกติ 90,000.-

     

    Promotion MayMory
    *โปรโมชันตั้งแต่วันที่ 1 – 31 พฤษภาคม 2568 เท่านั้น

     

    Promotion MayMory..ฝ้าที่เคยอยู่บนหน้า ตอนนี้เป็นเพียงแค่ความทรงจำ

     

    สร้างโมเมนต์ผิวเรียบเนียนใส ให้ปัญหาฝ้าที่เคยมีอยู่บนใบหน้ากลายเป็นเรื่องของอดีต ด้วย

     

    โปรแกรม SMART FEM เรื่องฝ้า..ถึงเวลาต้องเคลียร์ ตัดวงจรการสร้างเม็ดสีที่ผิดปกติ ลดโอกาสการเกิดฝ้าใหม่ กระตุ้นคอลลาเจนให้ผิวเรียบเนียน ไม่มีฝ้าคอยกวนใจ

    โปรแกรม MELASMA FADE ปิดจบปัญหาฝ้าให้ตรงจุด ด้วยตัวยาเฉพาะที่ตรงเข้าลดการเกิดฝ้า ฝ้าไหนๆ ก็หายเรียบ บอกลาความหมอง คืนสู่ความใส

    โปรแกรม COLOR ICE เสิร์ฟความเย็นสดชื่น ฟื้นฟูความอ่อนล้า แก้ปัญหาผิวหมองคล้ำให้กลับมากระจ่างใสอีกครั้ง เปลี่ยนผิวพังให้เป็นผิวที่มีแต่คำว่าผิวสุขภาพดี

     

    สร้างโมเมนต์หน้าใส ไร้ฝ้า ด้วย

    • โปรแกรม SMART FEM + โปรแกรม MELASMA FADE + โปรแกรม COLOR ICE ราคาเพียง 7,900.- จากราคาปกติ 14,500.-

     

    โปรแกรม MELASMA FIRM ปิดจ๊อบปัญหาฝ้า ให้หน้ากระจ่างใส จัดการความหย่อนคล้อย ให้เป็นยกกระชับ พร้อมเติมความสดใสให้ผิว สวยครบจบทุกปัญหา

     

    สร้างโมเมนต์หน้าใส ไร้ฝ้า ด้วย

    • โปรแกรม MELASMA FIRM รับฟรี โปรแกรม BLINK IT UP (1 ครั้ง) ราคาเพียง 10,900.- จากราคาปกติ 26,000.-

     

    Promotion MayMory
    *โปรโมชันตั้งแต่วันที่ 1 – 31 พฤษภาคม 2568 เท่านั้น

     

    Promotion MayMory..คอลลาเจนเด้งแรง ผิวดีจนจำอายุไม่ได้ 

     

    สร้างโมเมนต์ผิวก่อนกว่าวัย เสริมคอลลาเจนให้หน้าเด้ง ผิวดี จนเลิกนับอายุ ด้วย

     

    โปรแกรม HACA Dual Effect ผิวสวยด้วยสองดูโอ้ HA และ CaHA ช่วยอัปผิวให้เนียน เด้ง ดูอ่อนกว่าวัยอย่างเป็นธรรมชาติ

     

    สร้างโมเมนต์ผิวดี คอลลาเจนเด้ง ด้วย

    • โปรแกรม HACA Dual Effect 1 Syr. ราคาเพียง 29,900.- จากราคาปกติ 45,000.-

     

    โปรแกรม CHARISMA Rh COLLAGEN เสริมปราการผิวให้แข็งแรง ฟื้นฟูผิวให้เฟิร์มกระชับ เติมผิวให้คอลลาเจนเต่งตึง ลดริ้วรอยร่องลึกและความเหี่ยวย่น ให้ผิวสวยมีคาริสม่า

     

    สร้างโมเมนต์ ให้ผิวดี คอลลาเจนแน่น ด้วย

    • โปรแกรม CHARISMA Rh COLLAGEN 1 Syr. ราคาเพียง 25,000.- จากราคาปกติ 35,000.-

     

    Promotion MayMory
    *โปรโมชันตั้งแต่วันที่ 1 – 31 พฤษภาคม 2568 เท่านั้น

     

    Promotion MayMory..สิวที่อยู่ในภาพจำได้ถูกลบไปแล้ว

     

    สร้างโมเมนต์หน้าใสปิ๊ง ลบภาพจำของสิวที่เคยมีให้เกลี้ยงเมมโมรี ด้วย

     

    โปรแกรม AC CLEAR II ดูแลผิวหน้าที่เป็นสิวให้ถูกวิธีด้วย 4 ขั้นตอน เปลี่ยนหน้าพังจากสิว ให้เป็นผิวใส เนียนเรียบ

     

    สร้างโมเมนต์ผิวใสปิ๊ง หน้าไร้สิว ด้วย 

    • โปรแกรม AC CLEAR II 1 ครั้ง (เฉพาะจุด) ราคาเพียง 1,700.- จากราคาปกติ 3,100.-
    • โปรแกรม AC CLEAR II 10 ครั้ง (เฉพาะจุด) ราคาเพียง 16,000.- จากราคาปกติ 31,000.-

     

    โปรแกรม BACK Clear II หลังเขรอะ หลังลาย โชว์ผิวได้ไม่สุดต้องรีบจัดการด้วย 4 ขั้นตอนรักษาสิวที่หลังได้อย่างถูกวิธี สลัดผิวหลังที่มีแต่สิวให้เป็นผิวเนียนใส โชว์แผ่นหลังใสปิ๊งได้มั่นใจสุด

     

    สร้างโมเมนต์ผิวหลังใสปิ๊ง เนียนไร้สิว ด้วย

    • โปรแกรม BACK Clear II 1 ครั้ง (หลังบนหรือล่าง) ราคาเพียง 3,400.- จากราคาปกติ 8,200.-
    • โปรแกรม BACK Clear II 5 ครั้ง (หลังบนหรือล่าง) ราคาเพียง 16,000.- จากราคาปกติ 41,000.-

     

    Promotion MayMory
    *โปรโมชันตั้งแต่วันที่ 1 – 31 พฤษภาคม 2568 เท่านั้น

     

    Promotion MayMory..หุ่นใหม่ไซซ์เด็ก แซ่บเฟิร์มจนลืมไซซ์เก่า 

     

    สร้างโมเมนต์หุ่นปัง เชพดี ลดหุ่นใหม่ให้ไซซ์เด็ก เปลี่ยน XXL ที่เคยหนักใจ ให้เป็น XXS ด้วย

     

    โปรแกรม Block To Curve III ต่อจากนี้ไปการลดน้ำหนักไม่ใช่เรื่องทรมาน เพียงแค่ปรับพฤติกรรม ควบคุมความหิว อิ่มนานขึ้น และกระชับหุ่นและผิวให้เฟิร์ม เก็บให้หมดทุกส่วน จะใส่ชุดไหนก็ไม่เผละ ไม่ย้อย

     

    สร้างโมเมนต์หุ่นแซ่บเฟิร์มยก PACK ด้วย

    • โปรแกรม Block To Curve III ราคาเพียง 29,900.- จากราคาปกติ 85,500.-

     

    สร้างความสวย สะกดไว้ใน MayMory ให้โลกจำ ได้ตั้งแต่วันที่ 1 – 31 พฤษภาคม 2568 ที่รมย์รวินท์คลินิกเท่านั้นนะ!!

     

     

    *โปรโมชันตั้งแต่วันที่ 1 – 31 พฤษภาคม 2568 เท่านั้น

     *โปรโมชันเฉพาะแพทย์ที่เข้าร่วมรายการเท่านั้น

     *โปรโมชันเฉพาะสาขาที่ร่วมรายการเท่านั้น 

     *ผลลัพธ์การรักษาอาจแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับเฉพาะบุคคล

     *เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด โปรดตรวจสอบรายละเอียด และเงื่อนไขเพิ่มเติมกับทางเจ้าหน้าที่

    สิวหยุดขึ้นไม่ต้องพึ่งยาด้วย Aviclear คุณกัน คณัชบดินทร์

    สิวหยุดขึ้นไม่ต้องพึ่งยาด้วย Aviclear  


    สิวหยุดขึ้นไม่ต้องพึ่งยาด้วย Aviclear คุณกัน คณัชบดินทร์

    ข่าวดีของคนเป็นสิว เพราะรมย์รวินท์คลินิกมีเทคโนโลยีใหม่ที่ช่วยรักษาสิวโดยไม่ต้องพึ่งการรับประทานยา ทำแล้วได้ผลลัพธ์ดี ไม่กลับไปเป็นซ้ำภายใน 2 ปี ถ้าอยากรู้ว่าดีจริงมั้ย มาฟังผลลัพธ์จากผู้เข้ารับบริการจริง คุณกัน คณัชบดินทร์ ศิริวรพิทักษ์กันเลยค่ะ 

     

    สิวหยุดขึ้นไม่ต้องพึ่งยาด้วย Aviclear  
    ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

     

    เรื่องปัญหาสิวเคยเป็นปัญหาสำหรับกันมากๆ เลยครับ รักษาสิวมาหลายวิธีแล้วก็ไม่ค่อยได้ผลซักเท่าไหร่ เคยไปหาที่อื่น เขาก็จะให้ทานยา และตัวเองเป็นคนที่ไม่ค่อยถูกโฉลกกับการทานยาสักเท่าไหร่ รู้สึกว่าเวลากินมันทำให้เกิดผลข้างเคียงกับร่างกายมาก ก็เลยไม่ค่อยได้ทานยาก ทำให้การรักษาไม่ได้ผล สิวไม่หายเลยครับ และปัญหาสิวส่วนใหญ่ของกันก็จะเป็นพวกสิวอุดตัน และสิวอักเสบบริเวณแก้ม และพวกรอยดำรอยแดงจากสิวด้วยครับ มันทรมานมากๆ เลยครับ ต้องทนแสบหน้าทั้งวัน ยิ่งตอนล้างหน้านี่ยิ่งแสบเลยครับ แต่ตอนนี้กันได้รู้จักกับการรักษาสิวที่ไม่ต้องทรมานทั้งผิวหน้า และร่างกายจากการทานยาแล้วครับ เพราะเมื่อกันได้รู้จักกับ Aviclear ที่รมย์รวินท์คลินิก ผิวหน้าของกันก็ดีขึ้นมาก ต้องบอกก่อนเลยครับว่า Aviclear เป็นเทคโนโลยีใหม่ในการรักษาสิวโดยไม่ต้องใช้การทานยา หรือสารเคมี ไม่ว่าจะเป็นสิวประเภทไหน หรือรุนแรงแค่ไหนก็สามารถรักษาให้หายได้ และไม่กลับไปเป็นซ้ำใน 2 ปีอีกด้วยครับ 

     

    สิวหยุดขึ้นไม่ต้องพึ่งยาด้วย Aviclear  
    ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

     

    สิวหยุดขึ้นไม่ต้องพึ่งยาด้วย Aviclear คุณกัน คณัชบดินทร์

    หลังจากที่กันรักษาสิวด้วย Aviclear ที่รมย์รวินท์คลินิกผ่านไปแล้ว 2 อาทิตย์ ตอนนี้กันรู้สึกแฮปปี้กับผิวหน้าตัวเองมากๆ เลยครับ เพราะสามารถเห็นผลลัพธ์ได้ชัดมากขึ้น ทำแล้วหายจริงเห็นผลได้ไวและดีกว่าการกินยาเยอะเลยครับ ทั้งสิวและผดที่เคยเป็นลดลงไปเยอะมาก ตอนนี้ผิวหน้าดีขึ้นกว่าก่อนเหมือนเป็นคนละคนเลย ส่องกระจกแล้วมีความมั่นใจในมากขึ้นไม่ค่อยเห็นพวกรอยแดง รอยดำเยอะแบบเมื่อก่อนแล้วครับ ทำให้กันรู้สึกว่าการรักษาสิวด้วย Aviclear เป็นการรักษาสิวที่ถูกวิธีมากๆ กันไม่ต้องพึ่งการกินยาให้เกิดผลข้างเคียงต่อร่างกายแบบเดิมแล้ว แถมยังไม่กลับไปเป็นสิวซ้ำๆ นานถึง 2 ปีด้วยครับ 

    สำหรับคนที่เป็นสิวซ้ำๆ ไปรักษาที่ไหนก็ไม่หาย หรือไม่อยากรักษาสิวด้วยการกินยาต้องมาลองรักษาด้วย Aviclear ที่รมย์รวินท์คลินิกแบบกันนะครับ 

     

    สิวหยุดขึ้นไม่ต้องพึ่งยาด้วย Aviclear  
    ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

     

    Aviclear คืออะไร

    Aviclear คือเทคโนโลยีใหม่ที่ช่วยรักษาสิวด้วยเลเซอร์ที่มีความยาวคลื่นในระดับ 1,726 นาโนเมตร สามารถรักษาสิวได้ทุกระยะ ไม่ว่าจะเป็น ระยะเริ่มต้น ระยะปานกลาง หรือระยะรุนแรง โดย ซึ่งเลเซอร์ของ Aviclear ตรงเข้าไปยับยั้งการทำงานของต่อมไขมันในรูขุมขนเพื่อลดการผลิตน้ำมันส่วนเกินบนใบหน้าซึ่งเป็นต้นเหตุของการเกิดสิว ทำให้ได้ผลลัพธ์การรักษาสิวที่มีประสิทธิภาพ และช่วยลดโอกาสในการเกิดสิวใหม่ในอนาคต ลดการเกิดสิวในระยะยาว โดยไม่กลับมาเป็นซ้ำใน 2 ปี Aviclear มีระบบ Avicool ที่ช่วยป้องกันผิวหน้าไม่ให้เกิดการไหม้เบิร์นในขณะทำการรักษา Aviclear สามารถรักษาสิวให้หายได้โดยไม่ต้องใช้การทานยาหรือใช้สารเคมีในการรักษา สามารถรักษาได้ทุกสภาพผิว และทุกเพศ ทุกวัย และ Aviclear ยังช่วยรักษารอยดำและรอยแดงจากสิวได้ดีอีกด้วย

     

    Aviclear ดีอย่างไร

    • Aviclear ช่วยรักษาสิวได้ทุกระยะความรุนแรง
    • Aviclear ช่วยลดการเกิดสิวได้ยาวนานถึง 2 ปี
    • Aviclear ช่วยลดความมันบนใบหน้าอันเป็นต้นเหตุของการเกิดสิว
    • Aviclear ช่วยรักษารอยดำ รอยแดง และรอยแผลจากสิว
    • Aviclear สามารถทำได้ทุกสภาพผิว แม้ผิวที่บอบบาง
    • Aviclear สามารถทำได้ทุกเพศ ทุกวัย
    • Aviclear รักษาสิวโดยไม่ทำให้ผิวไหม้เบิร์น
    • Aviclear รักษาสิวให้หายโดยไม้ทำลายชั้นผิว
    • Aviclear รักษาสิวโดยไม่ต้องใช้การทานยา หรือสารเคมีในการรักษา
    • Aviclear รักษาสิวได้ดีกว่าการรักษาแบบอื่นๆ 
    • Aviclear สามารถรักษาสิวให้หายได้ในระยะยาว

     

    สิวหยุดขึ้นไม่ต้องพึ่งยาด้วย Aviclear  
    ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

     

    ทำไมต้องมารักษาสิวด้วย Aviclear ที่รมย์รวินท์คลินิก 

    • เพราะที่รมย์รวินท์คลินิกนำเข้า Aviclear จากบริษัทโดยตรง ซึ่งมั่นใจได้ว่าเป็นเครื่องแท้ที่ได้มาตรฐาน สามารถรักษาสิวให้หายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    • เพราะแพทย์จากรมย์รวินท์คลินิกได้รับการอบรมการใช้ Aviclear และได้รับการประเมินผลลัพธ์ในการรักษาจากบริษัทโดยตรง และทุกเคสที่ได้รับการรักษาได้รับความพึงพอใจหลังทำการรักษาด้วย Aviclear
    • เพราะที่รมย์รวินท์คลินิกคำนึงถึงความสะอาดของเครื่องมือ และสถานที่ในการให้บริการเพื่อมอบประสบการณ์และความประทับใจให้แก่ผู้เข้ารับบริการทุกท่านที่ได้มาใช้บริการที่รมย์รวินท์คลินิก
    • เพราะที่รมย์รวินท์คลินิกมีโปรโมชันมามอบให้กับผู้มาเข้ารับบริการอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ผู้รับบริการได้รับความสวย ดูดี มั่นใจ และบริการที่ดีและสร้างความประทับใจกลับไป 

     

    สิวหยุดขึ้นไม่ต้องพึ่งยาด้วย Aviclear  
    ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

     

    สำหรับใครที่เป็นสิวให้ Aviclear ที่รมย์รวินท์คลินิกเป็นทางเลือกในการรักษาสิวในระยะยาวนะคะ 

    ผิวหย่อนคล้อยและริ้วรอยแต่ละช่วงวัย แก้ไขอย่างไร? รวมวิธีดูแลให้ผิวกระชับ อ่อนเยาว์

    ผิวหย่อนคล้อยและริ้วรอยแต่ละช่วงวัย แก้ไขอย่างไร?

    ผิวหย่อนคล้อยและริ้วรอยแต่ละช่วงวัย แก้ไขอย่างไร? รวมวิธีดูแลให้ผิวกระชับ อ่อนเยาว์เสมอ

    ผิวของเราต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นผลจากอายุที่เพิ่มขึ้น ปัจจัยภายนอกอย่างแสงแดดและมลภาวะ หรือแม้แต่ไลฟ์สไตล์ในแต่ละวัน ล้วนส่งผลให้ผิวหย่อนคล้อย และริ้วรอยเริ่มปรากฏขึ้นตามวัย

    แม้ว่าปัญหาผิวเหล่านี้จะเป็นเรื่องธรรมชาติที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เราสามารถป้องกันและชะลอการเกิดของริ้วรอย รวมถึงฟื้นฟูความกระชับของผิวได้ด้วยการดูแลที่เหมาะสมในแต่ละช่วงวัย 

    บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจว่าปัญหาผิวหย่อนคล้อยและริ้วรอยเกิดขึ้นได้อย่างไรในแต่ละวัย และจะแก้ไขอย่างไรให้ผิวดูเรียบเนียน เต่งตึง และอ่อนเยาว์ได้นาน

     

    สาเหตุหลักของผิวหย่อนคล้อยและริ้วรอย
    สาเหตุหลักของผิวหย่อนคล้อยและริ้วรอย

     

    สาเหตุหลักของผิวหย่อนคล้อยและริ้วรอย

    • อายุที่เพิ่มขึ้น คอลลาเจนและอีลาสตินลดลง

    เมื่ออายุเพิ่มขึ้น ร่างกายจะผลิตคอลลาเจนและอีลาสติน ซึ่งเป็นโปรตีนสำคัญที่ช่วยให้ผิวเต่งตึงและยืดหยุ่นน้อยลง ตั้งแต่อายุ 25 ปีขึ้นไป ปริมาณคอลลาเจนจะลดลงประมาณ 1% ต่อปี ส่งผลให้ผิวเริ่มสูญเสียความกระชับและเกิดริ้วรอย โดยเฉพาะบริเวณหน้าผาก หางตา และร่องแก้ม

    • แสงแดดและรังสียูวี ทำลายเซลล์ผิว 

    รังสียูวีจากแสงแดดเป็นศัตรูตัวร้ายของผิว เพราะสามารถทำลายคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิวได้โดยตรง ทำให้ผิวสูญเสียความยืดหยุ่นและเกิดริ้วรอยก่อนวัย นอกจากนี้ รังสียูวียังเป็นสาเหตุของจุดด่างดำและสีผิวไม่สม่ำเสมอ หากไม่ทาครีมกันแดดเป็นประจำ ผิวอาจเสื่อมโทรมเร็วกว่าปกติ

    • พฤติกรรมการใช้ชีวิต

    เช่น การนอนดึก การขาดน้ำ การดื่มแอลกอฮอล์ และการสูบบุหรี่ พฤติกรรมการใช้ชีวิตเหล่านี้ล้วนส่งผลให้ร่างกายดูโทรม หมองคล้ำ และเกิดริ้วรอยได้ง่าย

    • แรมโน้มถ่วงของโลก ทำให้ผิวหน้าหย่อนคล้อย

    แรงโน้มถ่วงเป็นปัจจัยที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เมื่ออายุมากขึ้น แรงโน้มถ่วงจะส่งผลต่อโครงสร้างใบหน้า ทำให้ผิวเริ่มหย่อนคล้อย โดยเฉพาะบริเวณแนวกราม แก้ม และเปลือกตา

    • การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน

    เมื่อเข้าสู่วัยทอง ฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกายจะลดลง ทำให้ผิวบางลง ขาดความชุ่มชื้น และสูญเสียความยืดหยุ่น นอกจากนี้ยังส่งผลให้กระบวนการผลัดเซลล์ผิวช้าลง ทำให้ผิวดูหมองคล้ำและแห้งกร้าน

     

    พฤติกรรมที่ทำให้ผิวหย่อนคล้อยและริ้วรอยมาเร็วขึ้น

    • การไม่ทาครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ

    แสงแดดเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ผิวเกิด ริ้วรอยก่อนวัย จุดด่างดำ และความหย่อนคล้อย รังสียูวีสามารถทำลายคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ผิว ส่งผลให้ผิวสูญเสียความยืดหยุ่น หากไม่ทาครีมกันแดดหรือเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีค่า SPF ต่ำ อาจทำให้ผิวเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ

    • การล้างหน้าแรง ๆ หรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่รุนแรงกับผิวหน้า

    การล้างหน้าด้วยแรงกดมากเกินไป หรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารทำความสะอาดรุนแรง เช่น สบู่ที่มีค่า pH สูง หรือสครับที่มีเม็ดบีดส์ขนาดใหญ่ อาจทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้น ชั้นปกป้องผิวอ่อนแอลง และเกิดริ้วรอยได้เร็วขึ้น

    • การดื่มน้ำไม่เพียงพอ ทำให้ผิวขาดน้ำและดูเหี่ยวย่น

    น้ำเป็นองค์ประกอบสำคัญของผิว หากร่างกายได้รับน้ำไม่เพียงพอ ผิวจะแห้งขาดความชุ่มชื้น เกิดริ้วรอยได้ง่ายขึ้น และดูไม่สดใส โดยเฉพาะบริเวณใต้ตาและมุมปาก

    • การใช้ชีวิตแบบเร่งรีบ เครียดสะสม และพักผ่อนไม่เพียงพอ

    ความเครียดส่งผลให้ร่างกายผลิตคอร์ติซอล (Cortisol) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ทำให้ คอลลาเจนและอีลาสตินเสื่อมลงเร็วขึ้น ส่งผลให้ผิวสูญเสียความเต่งตึง เกิดริ้วรอย และใบหน้าดูเหนื่อยล้า

    • การรับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์

    อาหารที่มีไขมันทรานส์ น้ำตาลสูง และสารปรุงแต่ง เช่น ของทอด ขนมหวาน น้ำอัดลม และอาหารแปรรูป สามารถกระตุ้นการอักเสบในร่างกาย ทำให้ผิวเสื่อมสภาพเร็วขึ้น ผิวดูหมองคล้ำ และเกิดริ้วรอยก่อนวัย

     

    เข้าใจปัญหาผิวหย่อนคล้อยและริ้วรอยในแต่ละช่วงวัย

    เมื่ออายุเพิ่มขึ้น ร่างกายจะผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินลดลง ส่งผลให้ ผิวสูญเสียความยืดหยุ่นและเกิดริ้วรอย ซึ่งปัญหานี้สามารถเกิดขึ้นในแต่ละช่วงวัยแตกต่างกันไป การดูแลที่เหมาะสมจะช่วย ชะลอความเสื่อมของผิว และคืนความกระชับให้แลดูอ่อนเยาว์ได้นานขึ้น 

    อายุ 20+ ริ้วรอยแรกเริ่ม ป้องกันไว้ก่อนดีสุด

    ผิวของคนวัย 20 ยังคงแข็งแรงและกระชับ แต่การใช้ชีวิตที่เร่งรีบ ความเครียด และพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม อาจทำให้ริ้วรอยแรกเริ่มปรากฏขึ้นเร็วกว่าที่คิด ปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดริ้วรอยก่อนวัย ได้แก่ แสงแดด ความเครียด การพักผ่อนไม่เพียงพอ และพฤติกรรมการดูแลผิวที่ผิดวิธี หากละเลยการดูแลผิวตั้งแต่อายุยังน้อย อาจทำให้ ริ้วรอยร่องตื้นบริเวณหน้าผาก รอบดวงตา และร่องแก้มปรากฏเร็วกว่าปกติ

    วิธีดูแลผิวหน้าของช่วงอายุ 20+

    • เน้นการบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นด้วยมอยส์เจอไรเซอร์ และทาครีมกันแดด SPF50 PA+++ ปกป้องผิวจากแสงแดดซึ่งเป็นตัวการสำคัญของริ้วรอยก่อนวัย
    • ใช้วิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระ เพื่อช่วยป้องกันความเสียหายจากมลภาวะ และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
    • หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำให้คอลลาเจนเสื่อม เช่น การสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ และการนอนดึกเป็นประจำ

    อายุ 30+ คอลลาเจนลดลง ผิวเริ่มหย่อนคล้อย

    เมื่อเข้าสู่วัย 30 คอลลาเจนในผิวจะเริ่มลดลงประมาณ 1% ต่อปี ทำให้ผิวเริ่มสูญเสียความแน่นกระชับ รูปหน้าดูไม่เต่งตึงเหมือนเดิม ผิวเริ่มมีความแห้งมากขึ้น และอาจมีริ้วรอยร่องตื้นที่เห็นชัดขึ้น ผิวเริ่มเสื่อมโทรมจากการทำงานหนัก มลภาวะ และความเครียดสะสม

    วิธีดูแลผิวหน้าของช่วงอายุ 30+

    • ใช้สกินแคร์ที่มีเรตินอล และไฮยาลูรอนิก แอซิด เพื่อช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว
    • นวดหน้ายกกระชับ หรือทำ Face Yoga เป็นประจำ เพื่อช่วยกระตุ้นกล้ามเนื้อใบหน้า ลดการหย่อนคล้อย
    • หากต้องการผลลัพธ์ที่ชัดเจนขึ้น สามารถทำโปรแกรม Super HIFU, โปรแกรม Oligio, โปรแกรม Ultraformer MPT หรือ โปรแกรม Thermage FLX เพื่อช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นลึกของผิว

     

    อายุ 40+ ผิวเริ่มหย่อนคล้อย ริ้วรอยลึกขึ้น

    ในวัย 40 กระบวนการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินลดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ผิวบางลงและสูญเสียความยืดหยุ่น แรงโน้มถ่วงของโลกส่งผลต่อโครงสร้างผิว ทำให้ใบหน้าดูหย่อนคล้อย โดยเฉพาะบริเวณแนวกรามและแก้ม 

    วิธีดูแลผิวหน้าของช่วงอายุ 40+

    • บำรุงผิวด้วยเปปไทด์และเซราไมด์ เพื่อช่วยเติมเต็มความชุ่มชื้นและเสริมสร้างโครงสร้างผิว
    • เลือกทำโปรแกรม Morpheus8, โปรแกรม Ulthera Primeหรือ โปรแกรม Thermage FLX เพื่อช่วยกระชับผิวหน้า และลดเลือนริ้วรอยอย่างล้ำลึก
    • รับประทานอาหารที่ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน เช่น โปรตีน วิตามินซี และกรดไขมันดี เพื่อช่วยฟื้นฟูผิวจากภายใน

    อายุ 50+ ผิวบางลง ริ้วรอยเด่นชัด ต้องการการดูแลพิเศษ

    เมื่อเข้าสู่วัย 50+ ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลง ส่งผลให้ผิวแห้งมากขึ้น สูญเสียความยืดหยุ่น และบางลงอย่างชัดเจน ริ้วรอยที่เกิดขึ้นในวัยนี้มักเป็น ริ้วรอยร่องลึก ที่แก้ไขได้ยากขึ้น และผิวอาจดูไม่กระชับเหมือนเดิม ผิวมีแนวโน้มที่จะสูญเสียความชุ่มชื้นง่ายขึ้น และเกิดปัญหาผิวแห้งหรือแพ้ง่าย

    วิธีดูแลผิวหน้าของช่วงอายุ 50+

    • ใช้สกินแคร์ที่ช่วยกักเก็บน้ำ เช่น ไนอะซินาไมด์ และเซราไมด์ เพื่อช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันผิว และลดการสูญเสียน้ำ
    • ทำเทคโนโลยียกกระชับ เช่น โปรแกรม Morpheus8, โปรแกรม EMFACE และโปรแกรม Ulthera Prime เพื่อช่วยฟื้นฟูโครงสร้างผิว และลดริ้วรอยที่เด่นชัด
    • รับประทานอาหารที่มีกรดไขมันดี เช่น อะโวคาโด แซลมอน และน้ำมันมะกอก เพื่อช่วยบำรุงผิวจากภายใน

     

    เทคโนโลยีช่วยยกกระชับและลดริ้วรอย มีอะไรบ้าง?
    เทคโนโลยีช่วยยกกระชับและลดริ้วรอย มีอะไรบ้าง?

     

    เทคโนโลยีช่วยยกกระชับและลดริ้วรอย มีอะไรบ้าง?

    ปัญหาผิวหย่อนคล้อยและริ้วรอยสามารถแก้ไขได้ด้วยเทคโนโลยียกกระชับผิว ซึ่งในปัจจุบันมีหลากหลายวิธีที่ช่วยฟื้นฟูและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว แต่ละเทคโนโลยีมีจุดเด่นที่แตกต่างกัน จึงควรเลือกให้เหมาะสมกับสภาพผิวและช่วงวัย เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี

    โปรแกรม Super HIFU

    เป็นเทคโนโลยีที่ใช้คลื่นอัลตราซาวนด์ความเข้มข้นสูง ส่งพลังงานลงลึกไปยังชั้น SMAS (Superficial Muscular Aponeurotic System) ซึ่งเป็นชั้นผิวเดียวกับที่ศัลยแพทย์ใช้ในการผ่าตัดดึงหน้า ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้ผิวค่อย ๆ กระชับขึ้นอย่างดูเป็นธรรมชาติ ไม่มีแผล ไม่ต้องพักฟื้น สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติหลังทำ เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป เริ่มมีผิวหย่อนคล้อยเล็กน้อยและต้องการการดูแล เห็นผลลัพธ์ภายใน 1-3 เดือน และอยู่ได้นานประมาณ 6-12 เดือน

     

    โปรแกรม Oligio

    เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ Monopolar RF (คลื่นวิทยุแบบขั้วเดียว) ซึ่งสามารถปล่อยพลังงานลงสู่ชั้นผิวลึก ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและลดความหย่อนคล้อยของผิวหน้า โดยให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติและเหมาะกับผู้ที่เริ่มมีสัญญาณของผิวที่ไม่กระชับ เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุ 30+ หรือผู้ที่เริ่มมีริ้วรอยและความหย่อนคล้อย ผิวดูยกกระชับขึ้นทันทีหลังทำ และดีขึ้นเรื่อย ๆ ใน 1-3 เดือน และอยู่ได้นานประมาณ 6-12 เดือน

     

    โปรแกรม Thermage FLX

    เป็นเทคโนโลยีที่ใช้คลื่นวิทยุแบบขั้วเดียว (Monopolar RF) ในการปล่อยพลังงานความร้อนลงสู่ชั้นหนังแท้และชั้นไขมันใต้ผิว ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่และกระชับผิวจากภายใน เป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อยระดับปานกลางและต้องการผลลัพธ์ที่อยู่ได้นาน เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป และเริ่มมีปัญหาผิวหย่อนคล้อยระดับปานกลาง เห็นผลลัพธ์ชัดเจนภายใน 1-3 เดือน และอยู่ได้นานประมาณ 1-2 ปี

     

    โปรแกรม Morpheus8

    เป็นเทคโนโลยีที่รวม Microneedling และคลื่นวิทยุ (RF – Radio Frequency) เข้าไว้ด้วยกัน โดยใช้เข็มขนาดเล็กส่งพลังงานความร้อนลงไปในชั้นผิวลึก เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและฟื้นฟูโครงสร้างผิวจากภายใน เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุ 40-50 ปีขึ้นไป และมีปัญหาผิวหย่อนคล้อยมากขึ้น เห็นผลลัพธ์ชัดเจนขึ้นใน 1-2 เดือน และอยู่ได้นานประมาณ 1 ปี

     

    โปรแกรม EMFACE

    เป็นเทคโนโลยีที่ใช้พลังงานคลื่นไฟฟ้า (HIFES) และคลื่นวิทยุ (RF) ในการยกกระชับผิวโดยไม่ต้องใช้เข็ม ไม่ต้องเจ็บ และไม่มีแผล ช่วยฟื้นฟูความแข็งแรงของกล้ามเนื้อใบหน้า ลดริ้วรอย และช่วยปรับรูปหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุ 30-50 ปี ให้ผลลัพธ์ที่อยู่ได้นาน 1 ปี

     

    โปรแกรม Ultherapy Prime

    เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ Micro-Focused Ultrasound (MFU-V) ซึ่งสามารถส่งพลังงานลงลึกถึงชั้น SMAS ได้อย่างแม่นยำ ช่วยให้ผิวยกกระชับอย่างดูเป็นธรรมชาติ ลดริ้วรอยลึกและช่วยให้โครงหน้าดูเรียวขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุ 40-55 ปี ให้ผลลัพธ์ที่อยู่ได้นาน 1-2 ปี

     

    โปรแกรม Ultraformer MPT

    เป็นเทคโนโลยี Micro & Macro Focused Ultrasound (MMFU) ที่พัฒนาให้สามารถส่งพลังงานได้อย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพสูงขึ้น เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิว SMAS เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุ 30-50 ปี และต้องการดูแลผิวให้กระชับขึ้นอย่างต่อเนื่อง เห็นผลลัพธ์ชัดเจนภายใน 3 เดือน และผลลัพธ์สามารถอยู่ได้นาน1 ปี

     

    เทคโนโลยียกกระชับผิว แก้ผิวหย่อนคล้อย มีข้อดีอย่างไรบ้าง?

    • เทคโนโลยียกกระชับผิว ลดความหย่อนคล้อยโดยไม่ต้องผ่าตัด
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว ช่วยให้โครงหน้าดูเรียวขึ้น กรอบหน้าชัดเจนขึ้น
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิว
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว ลดริ้วรอยตื้นและริ้วรอยลึก ให้ผิวดูอ่อนเยาว์ขึ้น
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว ช่วยให้ผิวแน่นขึ้น รูขุมขนกระชับ และผิวเรียบเนียนขึ้น
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว ปรับสภาพผิวให้สม่ำเสมอ ลดความหมองคล้ำ
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว ช่วยให้เหนียงลดลง ลดไขมันสะสมใต้ผิวหนัง
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว ไม่มีแผล ไม่ต้องพักฟื้น สามารถแต่งหน้าและใช้ชีวิตได้ตามปกติหลังทำ
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว เห็นผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ ไม่ดูแข็งหรือผิดรูป
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว เป็นการฟื้นฟูผิวจากภายใน ไม่ได้แค่ปกปิดปัญหาผิวชั่วคราว
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว สามารถทำได้ทุกช่วงวัย ตั้งแต่อายุ 30-50 ปีขึ้นไป
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว ลดความหย่อนคล้อยของผิวที่เกิดจากน้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว สามารถทำซ้ำได้ทุกปี เพื่อคงสภาพผิวให้กระชับตลอดเวลา
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว เป็นตัวเลือกที่ดีกว่าศัลยกรรม ไม่มีความเสี่ยงจากการผ่าตัด
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว สามารถทำควบคู่กับการดูแลผิวด้วยสกินแคร์และวิตามินเสริมได้
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว ช่วยให้ผิวบริเวณรอบดวงตาดูกระชับขึ้น ลดริ้วรอยและถุงใต้ตา
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว ช่วยกระชับผิวลำคอ ลดความหย่อนคล้อยของคอและเนินอก
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว สามารถทำได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง เหมาะกับทุกสภาพผิว

     

    เทคโนโลยียกกระชับผิว แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย สามารถทำบริเวณไหนได้บ้าง?
    เทคโนโลยียกกระชับผิว แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย สามารถทำบริเวณไหนได้บ้าง?

     

    เทคโนโลยียกกระชับผิว แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย สามารถทำบริเวณไหนได้บ้าง?

    • เทคโนโลยียกกระชับผิว สามารถทำบริเวณแก้ม ลดความหย่อนคล้อยของแก้ม
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว สามารถทำบริเวณแนวกราม ช่วยให้กรอบหน้าชัดขึ้นและดูเรียวขึ้น
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว สามารถทำบริเวณเหนียงใต้คาง ลดไขมันสะสมบริเวณใต้คาง
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว สามารถทำบริเวณหน้าผากและรอบดวงตา ลดริ้วรอยบริเวณหน้าผาก และช่วยกระชับผิวรอบดวงตา
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว สามารถทำบริเวณมุมปากตก ช่วยยกกระชับมุมปากที่ตกให้ดูสดใสขึ้น
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว สามารถทำบริเวณลำคอหย่อนคล้อย แก้ปัญหาคอเหี่ยว 
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว สามารถทำบริเวณเนินอกและร่องอก ลดความหย่อนคล้อยของผิวหน้าอก
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว สามารถทำบริเวณต้นแขน ลดความหย่อนคล้อยของต้นแขน
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว สามารถทำบริเวณหน้าท้อง กระชับผิวให้ดูเรียบเนียนขึ้น
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว สามารถทำบริเวณต้นขาด้านใน ช่วยให้ต้นขาดูกระชับขึ้น
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว สามารถทำบริเวณสะโพก ลดไขมันสะสม และช่วยให้ผิวดูเรียบเนียน

     

    เทคโนโลยียกกระชับผิว แก้ปัญหาอะไรได้บ้าง?
    เทคโนโลยียกกระชับผิว แก้ปัญหาอะไรได้บ้าง?

     

    เทคโนโลยียกกระชับผิว แก้ปัญหาอะไรได้บ้าง?

    • เทคโนโลยียกกระชับผิว ช่วยแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย ไม่กระชับ
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว ช่วยแก้ปัญหากรอบหน้าไม่ชัด
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว ช่วยแก้ปัญหาริ้วรอย ร่องลึก บนใบหน้า
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว ช่วยแก้ปัญหาคางสองชั้น ทำให้หน้าดูอ้วนและไม่มีมิติ
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว ช่วยแก้ปัญหาแก้มย้อย แก้มห้อย
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว ช่วยแก้ปัญหาผิวไม่เรียบ มีความหยาบกร้าน
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว ช่วยแก้ปัญหารูขุมขนกว้าง ไม่กระชับ
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว ช่วยแก้ปัญหาผิวขาดความยืดหยุ่น ไม่ตึงกระชับ
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว ช่วยแก้ปัญหาผิวบริเวณลำคอและเปลือกตาที่หย่อนคล้อยลง
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว ช่วยแก้ปัญหาริ้วรอยบริเวณลำคอและเนินอก
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว ช่วยแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยหลังคลอด
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว ช่วยแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยหลังลดน้ำหนัก
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว ช่วยแก้ปัญหาผิวบริเวณต้นขา สะโพก ไม่เรียบเนียน
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว ช่วยแก้ปัญหามุมปากตก ส่งผลให้ใบหน้าดูเหนื่อยล้า และไม่สดใส
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว ช่วยแก้ปัญหาผิวบริเวณรอบดวงตาบางและเริ่มหย่อนลง
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว ช่วยแก้ปัญหาผิวอ่อนแอ ขาดความต้านทานต่อมลภาวะ
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว ช่วยแก้ปัญหาโหนกแก้มตกลง ทำให้ใบหน้าดูหย่อนคล้อย
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว ช่วยแก้ปัญหาผิวดูอิดโรย ไม่สดใส และมีความหมองคล้ำ
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว ช่วยแก้ปัญหาร่องใต้ตาลึกและถุงใต้ตา
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว ช่วยแก้ปัญหาผิวไม่เรียบเนียนจากหลุมสิว หรือรอยแผลเป็น

     

    ใครบ้างที่เหมาะกับเทคโนโลยียกกระชับผิว แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย?
    ใครบ้างที่เหมาะกับเทคโนโลยียกกระชับผิว แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย?

     

    ใครบ้างที่เหมาะกับเทคโนโลยียกกระชับผิว แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย?

    • เทคโนโลยียกกระชับผิว เหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มมีสัญญาณของผิวหย่อนคล้อย
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว เหมาะสำหรับผู้ที่มีริ้วรอยหรือร่องลึกที่มองเห็นได้ชัด
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว เหมาะสำหรับผู้ที่มีเหนียง คางสองชั้น กรอบหน้าไม่ชัด
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยหลังคลอด หรือลดน้ำหนัก
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการป้องกันริ้วรอยลึกก่อนจะเกิด
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการศัลยกรรม แต่ต้องการผลลัพธ์ที่ใกล้เคียง
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวบาง ผิวไวต่อการฉีด ไม่ต้องการใช้เข็ม
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการดูแลตัวเองให้ดูดีแบบไม่ต้องแต่งเติม
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาจำกัด ไม่สามารถพักฟื้นได้
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว เหมาะสำหรับผู้ที่รู้สึกว่าใบหน้าดูเหนื่อยล้า แม้พักผ่อนเพียงพอ
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเสริมสร้างความมั่นใจ
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว เหมาะสำหรับผู้ที่เตรียมตัวก่อนวันสำคัญ
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหลังการฉีดสารเติมเต็ม
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว เหมาะสำหรับคุณแม่หลังคลอดที่อยากดูแลตัวเองให้กลับมาสวยอีกครั้ง
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว เหมาะสำหรับผู้ที่แพ้เข็ม ไม่ชอบหัตถการโปรแกรมฉีดหรือผ่าตัด
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว เหมาะสำหรับผู้ที่อยากดูอ่อนกว่าวัยแบบไม่อันตราย
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนกับตัวเองในระยะยาว

     

    ใครที่ไม่ควรทำเทคโนโลยียกกระชับผิว แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย?

    • เทคโนโลยียกกระชับผิว ไม่เหมาะสำหรับหญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัวบางชนิด เช่น โรคลมชัก
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีแผลเปิด ผิวติดเชื้อ หรือมีอาการอักเสบบริเวณที่จะทำ
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เพิ่งทำโปรแกรมเลเซอร์ หรือหัตถการอื่นที่ระคายเคืองผิวแรง ๆ
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เพิ่งฉีดโปรแกรมฟิลเลอร์ในบริเวณเดียวกัน
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ผิวบางมากหรือไวต่อความร้อนเป็นพิเศษ
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่อายุน้อยมาก และยังไม่มีปัญหาผิวชัดเจน
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีประวัติเคยแพ้พลังงานความร้อนหรือคลื่นไฟฟ้า
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่คาดหวังผลลัพธ์เกินจริง
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่อยู่ในช่วงรับเคมีบำบัดหรือมีภูมิคุ้มกันต่ำ
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีแผลเป็นคีลอยด์ (Keloid) ง่าย
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีโลหะฝังในร่างกายบริเวณที่ต้องทำ เช่น รากฟันเทียม
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีการอักเสบเรื้อรัง หรือโรคผิวหนังเฉพาะจุด เช่น ผิวหนังอักเสบเรื้อรัง โรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis)
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เพิ่งทำโปรแกรมร้อยไหม โปรแกรมดึงหน้า หรือศัลยกรรมใบหน้ามาไม่นาน
    • เทคโนโลยียกกระชับผิว ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ใช้ยาบางชนิดที่ทำให้ผิวไวแสงหรือระคายเคืองง่าย

     

    การเตรียมตัวก่อนทำเทคโนโลยียกกระชับผิว แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย

    • ก่อนทำเทคโนโลยียกกระชับผิว ควรนอนพักผ่อนให้เพียงพอ
    • ก่อนทำเทคโนโลยียกกระชับผิว ควรดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อย 6-8 แก้วต่อวันในช่วง 2-3 วัน
    • ก่อนทำเทคโนโลยียกกระชับผิว ควรแจ้งประวัติกับแพทย์อย่างละเอียด
    • ก่อนทำเทคโนโลยียกกระชับผิว งดการทาครีมที่มีส่วนผสมของกรดหรือวิตามินเข้มข้น อย่างน้อย 3-5 วัน
    • ก่อนทำเทคโนโลยียกกระชับผิว งดการสครับผิว, แวกซ์, เลเซอร์ หรือหัตถการอื่น 1-2 สัปดาห์
    • ก่อนทำเทคโนโลยียกกระชับผิว งดการรับประทานอาหารเสริมบางประเภท 5-7 วัน
    • ก่อนทำเทคโนโลยียกกระชับผิว หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์และบุหรี่ 24-48 ชั่วโมง
    • ก่อนทำเทคโนโลยียกกระชับผิว หลีกเลี่ยงการแต่งหน้าหรือทาครีมในวันนัดทำ
    • ก่อนทำเทคโนโลยียกกระชับผิว หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้ผิวร้อน เช่น การอบซาวน่า, ออกกำลังกายหนัก, อาบน้ำร้อนจัด

    ขั้นตอนการทำเทคโนโลยียกกระชับผิว แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย

    1. ปรึกษาและประเมินสภาพผิวกับแพทย์ เพื่อเลือกเทคโนโลยีที่ตรงกับสภาพผิว
    2. ถ่ายภาพก่อนทำ เพื่อใช้เปรียบเทียบผลลัพธ์ก่อน-หลังทำ ช่วยให้เห็นความเปลี่ยนแปลงชัดเจนขึ้น และใช้ในการประเมินผลภายหลัง
    3. ล้างหน้าให้สะอาดหมดจด หากแต่งหน้าหรือทาครีมกันแดดมา จะมีเจ้าหน้าที่ช่วยเช็ดทำความสะอาดให้
    4. อาจทายาชาเฉพาะบางโปรแกรม เช่น Morpheus8 ระยะเวลาทายาชา ประมาณ 30-45 นาที
    5. แพทย์ลงหัวเครื่องและทำการยิงพลังงาน โดยยิงพลังงานลงไปที่ชั้นผิวในระดับลึกที่ต้องการ
    6. หลังทำ แพทย์ตรวจสอบสภาพผิวอีกครั้ง ให้คำแนะนำเบื้องต้นสำหรับการดูแลตัวเองหลังทำ
    7. ผู้เข้ารับบริการ สามารถกลับบ้านได้ทันที ไม่ต้องพักฟื้น

     

    การดูแลตัวเองหลังทำเทคโนโลยียกกระชับผิว แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย

    • หลังทำเทคโนโลยียกกระชับผิว ควรนอนอย่างน้อยวันละ 6-8 ชั่วโมง
    • หลังทำเทคโนโลยียกกระชับผิว ควรดื่มน้ำวันละ 6-8 แก้วขึ้นไป
    • หลังทำเทคโนโลยียกกระชับผิว งดการทำหัตถการอื่น ๆ ชั่วคราว
    • หลังทำเทคโนโลยียกกระชับผิว งดดื่มแอลกอฮอล์ 3-5 วันหลังทำ
    • หลังทำเทคโนโลยียกกระชับผิว หลีกเลี่ยงการสัมผัสผิวแรง ๆ ใน 24-48 ชั่วโมงแรก
    • หลังทำเทคโนโลยียกกระชับผิว หลีกเลี่ยงแสงแดดจัด หรือกิจกรรมกลางแจ้ง
    • หลังทำเทคโนโลยียกกระชับผิว หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีเรตินอล, AHA/BHA หรือวิตามินซีเข้มข้น ประมาณ 5-7 วัน
    • หลังทำเทคโนโลยียกกระชับผิว หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ก่อให้เกิดความร้อนสูง เช่น ซาวน่า อบไอน้ำ ออกกำลังกายหนัก อาบน้ำร้อนจัด 
    • หลังทำเทคโนโลยียกกระชับผิว หลีกเลี่ยงการนอนคว่ำหรือนอนตะแคงข้าง
    • หลังทำเทคโนโลยียกกระชับผิว หลีกเลี่ยงการใช้แผ่นแปะร้อน หรือประคบร้อนใด ๆ บริเวณที่ทำ

     

    อายุเท่าไหร่ควรเริ่มทำเทคโนโลยียกกระชับผิว แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย?

    • การเริ่มดูแลผิวด้วยเทคโนโลยียกกระชับผิวสามารถทำได้ตั้งแต่อายุประมาณ 25 ปีขึ้นไป โดยเฉพาะในผู้ที่เริ่มมีสัญญาณของผิวไม่กระชับ เช่น กรอบหน้าไม่ชัด ร่องแก้มเริ่มลึก หรือมีเหนียงเล็กน้อย ซึ่งการเริ่มดูแลตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยชะลอริ้วรอยลึกและป้องกันผิวหย่อนคล้อยในระยะยาว ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

     

    เทคโนโลยียกกระชับผิว แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย ทำครั้งเดียวเห็นผลเลยไหม?

    • เทคโนโลยียกกระชับผิวสามารถช่วยลดความหย่อนคล้อยได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ผลลัพธ์มักไม่ได้เกิดขึ้นทันทีในวันเดียว โดยปกติแล้ว ผิวจะเริ่มกระชับขึ้นอย่างช้า ๆ ภายในช่วงเวลาประมาณ 2–3 เดือน เนื่องจากกระบวนการทำงานของเทคโนโลยีเหล่านี้เป็นการกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนใหม่จากภายใน ซึ่งต้องใช้เวลาพอสมควรในการฟื้นฟูและแสดงผลลัพธ์อย่างดูเป็นธรรมชาติและยั่งยืน

     

    ถ้าหยุดทำเทคโนโลยียกกระชับผิว แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย ผิวจะเหี่ยวเร็วขึ้นไหม?

    • การหยุดทำเทคโนโลยียกกระชับผิว จะไม่ทำให้ผิวเหี่ยวย่นเร็วกว่าปกติ เพียงแค่ผลลัพธ์ของการยกกระชับจะค่อย ๆ จางลงตามธรรมชาติของการเสื่อมสภาพผิวเมื่ออายุเพิ่มขึ้น หากไม่ทำซ้ำก็จะกลับสู่สภาพผิวเดิมตามช่วงวัย ไม่ได้แย่ลงกว่าเดิม

     

    ทำเทคโนโลยียกกระชับผิว แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยแล้ว หน้าจะเล็กลงจริงไหม?

    • เทคโนโลยียกกระชับผิวสามารถช่วยให้ใบหน้าดูเล็กลงได้จริง เนื่องจากช่วยกระชับผิวและสลายไขมันบางส่วนใต้ผิว โดยเฉพาะบริเวณกรอบหน้าและเหนียง ซึ่งจะทำให้รูปหน้าเรียวขึ้นโดยไม่ต้องฉีดสารใด ๆ

     

    ทำเทคโนโลยียกกระชับผิว แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย ทำหลายจุดพร้อมกันได้ไหม?

    • สามารถทำเทคโนโลยียกกระชับผิวหลายบริเวณพร้อมกันได้ เช่น ใบหน้า + ลำคอ หรือ หน้าท้อง + ต้นแขน โดยแพทย์จะประเมินความเหมาะสมของสภาพผิวในแต่ละบริเวณ และจัดวางแผนการทำให้ได้ผลดีในครั้งเดียว ซึ่งช่วยประหยัดเวลา และให้ผลลัพธ์ที่เห็นชัดทั้งภาพรวม

     

    เทคโนโลยียกกระชับผิว แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยเลียนแบบราคาถูก อันตรายไหม?

    • เทคโนโลยีเลียนแบบราคาถูกอาจมีความเสี่ยงสูง เพราะเครื่องเลียนแบบบางรุ่น ไม่ได้ผ่านการรับรองมาตรฐาน อย. และมีพลังงานที่ไม่สม่ำเสมอ ทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ผิวไหม้ รอยบุ๋ม เจ็บลึกโดยไม่จำเป็น หรือผลลัพธ์ไม่ชัดเจน การเลือกทำกับคลินิกที่มีเครื่องแท้และทีมแพทย์ผู้มีประสบการณ์ จึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อผลลัพธ์ที่คุ้มค่า

     

    ปัญหาผิวหย่อนคล้อยและริ้วรอยอาจดูเป็นเรื่องธรรมชาติของวัย แต่ด้วยเทคโนโลยียกกระชับผิวทางการแพทย์ในปัจจุบัน เราสามารถฟื้นฟูและยกกระชับผิวให้กลับมาดูอ่อนเยาว์ แข็งแรง และมีมิติมากขึ้นได้ โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งการผ่าตัดหรือสารเติมเต็มเสมอไป

     

    การเลือกเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับช่วงวัยและสภาพผิว รวมถึงการดูแลตัวเองอย่างถูกวิธีก่อนและหลังทำ ถือเป็นหัวใจสำคัญของการยกกระชับผิวให้เห็นผลลัพธ์ชัดเจนและยั่งยืน

     

    หากคุณกำลังมองหาทางเลือกในการคืนความกระชับ และความมั่นใจให้กับใบหน้าและผิวพรรณ อย่าลังเลที่จะเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์ที่มีประสบการณ์ เพื่อให้ได้แนวทางการดูแลที่ตรงจุดสำหรับคุณ 

    ฮีทสโตรก โรคลมแดด ภัยร้ายหน้าร้อน อันตรายถึงชีวิต

    ฮีทสโตรก โรคลมแดด ภัยร้ายหน้าร้อน อันตรายถึงชีวิต

    ฮีทสโตรก โรคลมแดด ภัยร้ายหน้าร้อน อันตรายถึงชีวิต

    หน้าร้อนมาเยือนแล้ว! ซัมเมอร์นี้อากาศร้อนไม่เกรงใจใคร แดดแรงแบบนี้ต้องระวัง “ฮีทสโตรก” ให้ดี ภัยร้ายช่วงหน้าร้อนที่พร้อมจะเล่นงานเราตลอดเวลา บอกเลยว่าหากไม่รีบป้องกัน และระวัง อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ วันนี้ รมย์รวินท์คลินิก จะพามาให้ความรู้เกี่ยวกับฮีทสโตรก หรือโรคลมแดดว่า คืออะไร? มีสัญญาณเตือนอย่างไร? และมีวิธีป้องกันอะไรบ้าง? เพื่อเตรียมพร้อมดูแลตนเองให้ห่างไกลจากฮีทสโตรก

     

    ฮีทสโตรก โรคลมแดด
    ฮีทสโตรก โรคลมแดด

     

    ฮีทสโตรก โรคลมแดด หน้าร้อนต้องระวัง มีอาการอะไรบ้าง?

    ฮีทสโตรก โรคลมแดด คืออะไร?

    ฮีทสโตรก (Heat Stroke) หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า โรคลมแดด คือ ภาวะฉุกเฉินที่เกิดขึ้นเมื่อร่างกายได้รับความร้อนสูงเกินไป มากกว่า 40 องศาเซลเซียสขึ้นไป จนระบบควบคุมอุณหภูมิภายในร่างกายล้มเหลว หรือไม่สามารถปรับตัวได้ตามปกติ ทำให้เกิดความร้อนสะสมสูงขึ้นเรื่อย ๆ และส่งผลให้ระบบต่าง ๆ ทำงานผิดปกติ ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะหมดสติ ชัก หายใจเร็ว และอันตรายถึงชีวิตได้ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที 

     

    ปัจจัยเสี่ยงในการเกิดฮีทสโตรก โรคลมแดด 

    • สภาพอากาศร้อนจัด

    การอยู่ในสถานที่ที่มีสภาพอากาศร้อนจัด มีอุณหภูมิ และความชื้นสูงเป็นเวลานาน อาจทำให้ร่างกายมีความร้อนสูงขึ้นอย่างกะทันหัน จนส่งผลให้เกิดฮีทสโตรกได้

    • เด็ก และผู้สูงอายุ

    เด็ก และผู้สูงอายุ มีความเสี่ยงที่จะเกิดฮีทสโตรกง่ายกว่าคนทั่ว ๆ ไป เนื่องจากระบบการควบคุมอุณหภูมิภายในร่างกายไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่

    • มีโรคประจำตัว

    ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคปอด โรคไต โรคเบาหวาน หรือโรคความดันโลหิตสูง ก็มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดฮีทสโตรกมากกว่าคนทั่ว ๆ ไปเช่นกัน

    • ร่างกายขาดน้ำ

    การขาดน้ำ หรือดื่มน้ำไม่เพียงพอ ในช่วงที่ร่างกายต้องเผชิญกับความร้อนจัด อาจทำให้ไม่สามารถระบายความร้อนออกมาได้อย่างเต็มที่ จนเสี่ยงต่อการเกิดฮีทสโตรกได้

    • ออกกำลังกายหนักในอากาศร้อน

    การออกกำลังกาย หรือทำกิจกรรมที่ใช้แรงมากในสภาพอากาศที่ร้อนจัด เช่น เล่นฟุตบอล วิ่งมาราธอน ซึ่งอาจทำให้ร่างกายมีความร้อนมากเกินไป จนไม่สามารถระบายออกได้

    • ดื่มแอลกอฮอล์

    การดื่มแอลกอฮอล์ อาจทำให้ร่างกายขาดน้ำ และเกลือแร่ รวมถึง ยังทำให้หัวใจทำงานหนัก และเลือดสูบฉีดเร็ว จนรบกวนการควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดฮีทสโตรกได้

    • ใส่เสื้อผ้ารัดแน่น

    การสวมใส่เสื้อผ้าหนา และรัดแน่นจนเกินไป อาจทำให้ร่างกายไม่สามารถระบายความร้อนออกมาได้มากพอ ซึ่งมีความเสี่ยงในการเกิดฮีทสโตรกได้

     

    สัญญาณเตือนฮีทสโตรก โรคลมแดด มีอาการอย่างไร?

    สัญญาณเตือนของฮีทสโตรก หรือโรคลมแดด เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม หากปล่อยไว้นาน โดยไม่รีบทำการช่วยเหลือ อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ โดยอาการที่พบบ่อย มีดังนี้

    • ตัวร้อนจัด หรืออุณหภูมิในร่างกายสูงกว่า 40 องศาเซลเซียส
    • วิงเวียนศีรษะ หน้ามืด มึนงง
    • สับสน หงุดหงิด ฉุนเฉียวง่าย
    • พูดช้า พูดไม่รู้เรื่อง จำอะไรไม่ค่อยได้
    • หัวใจเต้นเร็ว หายใจหอบ หายใจถี่
    • คลื่นไส้ อาเจียน
    • ผิวหนังแดง ร้อน และแห้ง
    • อ่อนเพลีย หมดแรง เป็นลม
    • กระหายน้ำมาก
    • ในกรณีรุนแรง อาจเกิดอาการชัด หรือหมดสติ

    หากพบว่ามีอาการเหล่านี้เกิดขึ้น ควรทำการช่วยเหลือเบื้องต้นในทันที โดยการเข้าไปอยู่ในที่ร่ม และมีอากาศถ่ายเท รวมถึง พยายามดื่มน้ำให้มาก ๆ จากนั้น รีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลโดยด่วน

     

    รวมวิธีป้องกันฮีทสโตรก โรคลมแดด

    การเกิดฮีทสโตรก หรือโรคลมแดด สามารถป้องกันได้ โดยเฉพาะในช่วงหน้าร้อนที่มีอุณหภูมิสูง ดังนี้

    • ดื่มน้ำให้มากขึ้น

    ในช่วงหน้าร้อน พยายามดื่มน้ำให้มาก ๆ และจิบน้ำบ่อย ๆ อย่างน้อย 6 – 8 แก้วต่อวัน โดยเฉพาะช่วงที่ออกกำลังกาย และทำกิจกรรมกลางแจ้ง เพื่อป้องกันการขาดน้ำ 

    • หลีกเลี่ยงบริเวณที่มีอากาศร้อนจัด

    ในช่วงหน้าร้อน พยายามหลีกเลี่ยงบริเวณกลางแจ้ง หรืออยู่ในสถานที่ที่มีอากาศร้อนจัดเป็นเวลานาน โดยเฉพาะช่วงเวลา 10.00 – 16.00 น. ซึ่งเป็นเวลาที่มีแดดแรง แนะนำให้อยู่ในที่ร่ม และเปิดแอร์แทน

    • ใส่เสื้อผ้าที่ระบายความร้อนได้ดี

    ในช่วงหน้าร้อน แนะนำให้สวมใส่เสื้อผ้าที่สามารถระบายความได้ดี โดยเลือกผ้าที่บางเบา สีอ่อน ไม่หนา และรัดแน่นจนเกินไป เพื่อให้ร่างกายสามารถระเหยเหงื่อได้อย่างเต็มที่

    • ใช้ครีมกันแดดที่มี SPF 15 ขึ้นไป 

    ในช่วงหน้าร้อน แนะนำให้ปกป้องผิวจากแสงแดด โดยการใช้ครีมกันแดดที่มี SPF 15 ขึ้นไป รวมถึง สวมหมวก และกางร่มเมื่อต้องออกไปกลางแจ้ง

    • พักผ่อนให้เพียงพอ

    ในช่วงหน้าร้อน แนะนำให้นอนหลับ และพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายสามารถฟื้นตัว และระบบต่างๆ สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    • ดูแลกลุ่มเสี่ยงเป็นพิเศษ

    ในช่วงหน้าร้อน ควรดูแลกลุ่มเสี่ยงเป็นพิเศษ ได้แก่ ผู้สูงอายุ เด็ก และผู้ที่มีโรคประจำตัว โดยแนะนำให้อยู่ในสถานที่ที่มีอากาศถ่ายเท และดื่มน้ำให้มาก ๆ

    • ไม่ควรปล่อยสัตว์เลี้ยง และเด็กทิ้งไว้ในรถ

    ในช่วงหน้าร้อน ไม่ควรปล่อยสัตว์เลี้ยง และเด็กเล็กทิ้งไว้ในรถที่จอดในสถานที่ที่ร้อนจัด เนื่องจากอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

    • หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์

    ในช่วงหน้าร้อน พยายามหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง เพื่อป้องกันร่างกายสูญเสียน้ำ

    • หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักในที่ร้อนจัด

    ในช่วงหน้าร้อน พยายามหลีกเลี่ยงการออกกำลังกาย หรือทำกิจกรรมหนัก ๆ ในสภาพอากาศที่ร้อนจัด หากต้องการออกกำลังกาย แนะนำให้เลือกเป็นช่วงเช้า หรือช่วงเย็นแทน รวมถึง ดื่มน้ำให้มาก ๆ ระหว่างทำกิจกรรม

    • หมั่นสังเกตอาการผิดปกติ

    ในช่วงหน้าร้อน แนะนำให้หมั่นสังเกตอาการของตนเอง และผู้อื่น หากพบว่ามีอาการตัวร้อน วิงเวียนศีรษะ หน้ามืด คลื่นไส้ อาเจียน หงุดหงิด หรืออ่อนเพลีย ควรรีบลดอุณหภูมิ และพบแพทย์ทันที

     

    ภาวะฮีทสโตรก หรือโรคลมแดด ถือเป็นภัยร้ายอันตรายในช่วงหน้าร้อนที่ไม่ควรมองข้ามอย่างยิ่ง ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อร่างกายมีอุณหภูมิสูงกว่า 40 องศาเซลเซียสขึ้นไป จนทำให้ระบบต่าง ๆ ทำงานผิดปกติ ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะหมดสติ หรือถึงขั้นเสียชีวิตได้ หากไม่รีบทำการรักษาในทันที ดังนั้น การป้องกันไม่ให้เกิดฮีทสโตรก จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก โดยการหลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีสภาพอากาศร้อนจัด และกิจกรรมกลางแจ้ง รวมถึง พยายามดื่มน้ำให้เพียงพอ และสวมใส่เสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะอันตรายในอนาคต

    วิธียกกระชับหน้าที่เหมาะกับแต่ละช่วงวัย อัปเดตเทคนิคใหม่ล่าสุด

    วิธียกกระชับหน้าที่เหมาะกับแต่ละช่วงวัย

    วิธียกกระชับหน้าที่เหมาะกับแต่ละช่วงวัย อัปเดตเทคนิคใหม่ล่าสุด

    เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น คอลลาเจนและอีลาสตินให้ผิวเริ่มลดลง ส่งผลให้ผิวหย่อนคล้อยขาดความกระชับ และเกิดริ้วรอยอย่างเลี่ยงไม่ได้ การยกกระชับหน้าจึงเป็นทางเลือกสำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการคืนความอ่อนเยาว์ และเสริมสร้างความมั่นใจให้กับตัวเอง

     

    แต่รู้หรือไม่ว่าเทคนิคการยกกระชับที่ได้ผลดีนั้นขึ้นอยู่กับช่วงวัย เพราะแต่ละช่วงวัยมีโครงสร้างผิวและระดับความเสื่อมของคอลลาเจนที่แตกต่างกัน ตั้งแต่อายุ 20 ปีที่เริ่มมีความกังวลเรื่องผิวหย่อนคล้อย ไปจนถึงวัย 50 ปีที่ต้องการฟื้นฟูโครงสร้างผิวให้เต่งตึงและกระชับมากขึ้น

     

    ดังนั้นการเลือกเทคนิคยกกระชับหน้าให้เหมาะสมกับช่วงวัย จะช่วยให้เห็นผลลัพธ์ที่ดี ทั้งในแง่ของการปรับรูปหน้า ลดริ้วรอย และฟื้นฟูสภาพผิวอย่างดูเป็นธรรมชาติ ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปรู้จักกับเทคโนโลยียกกระชับหน้าที่เหมาะสมกับแต่ละช่วงวัย พร้อมอัปเดตเทคโนโลยีที่ช่วยให้คุณมีผิวกระชับ เด้งฟู ดูเด็กลงได้โดยไม่ต้องศัลยกรรม

     

    วิธียกกระชับหน้าที่เหมาะกับช่วงวัย
    วิธียกกระชับหน้าที่เหมาะกับช่วงวัย

    วิธียกกระชับหน้าที่เหมาะกับแต่ละช่วงวัย

    วิธียกกระชับหน้าที่เหมาะกับช่วงวัย

    การยกกระชับหน้า เป็นหนึ่งในวิธีที่ช่วยคืนความเต่งตึงให้กับผิวและป้องกันปัญหาความหย่อนคล้อยที่เกิดขึ้นตามอายุ เมื่ออายุมากขึ้นคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิวจะลดลง ส่งผลให้ผิวสูญเสียความยืดหยุ่นและเริ่มมีริ้วรอย ดังนั้น การเลือกเทคนิคการยกกระชับหน้าให้เหมาะสมกับช่วงวัยจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น ผิวดูอ่อนเยาว์และกระชับขึ้นอย่างดูเป็นธรรมชาติ โดยแต่ละช่วงวัยเหมาะกับวิธียกกระชับที่แตกต่างกันออกไป

     

    วัย 20 ปี ดูแลผิวก่อนริ้วรอยมาเยือน

    แม้ว่าผิวในวัยนี้จะยังมีความยืดหยุ่นดีและคอลลาเจนยังผลิตได้อย่างต่อเนื่อง แต่เมื่ออายุเริ่มเข้าสู่ช่วงวัย 20 ปี กระบวนการสร้างคอลลาเจนจะเริ่มช้าลง หากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม อาจส่งผลให้ผิวหย่อนคล้อยเร็วกว่าปกติ การดูแลผิวตั้งแต่ช่วงวัยนี้จะช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัย ซึ่งเทคนิคที่เหมาะสม มีดังนี้

    • Oligio : ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนแบบอ่อนโยน เหมาะสำหรับการป้องกันริ้วรอยก่อนวัย
    • EMFACE : เทคโนโลยีที่ช่วยกระชับกล้ามเนื้อใบหน้าและยกกระชับผิวโดยไม่ต้องใช้เข็ม

     

    วัย 30 ปี เริ่มยกกระชับ ลดเลือนริ้วรอยแรกเริ่ม

    ในช่วงวัย 30 ปี การผลิตคอลลาเจนเริ่มลดลงอย่างชัดเจน ผิวเริ่มไม่กระชับเหมือนเดิมและริ้วรอยแรกเริ่มปรากฏ โดยเฉพาะบริเวณหน้าผาก รอบดวงตา และร่องแก้ม การเลือกเทคนิคยกกระชับที่เหมาะสมจะช่วยฟื้นฟูผิว ลดเลือนริ้วรอย และทำให้ใบหน้าดูสดใสขึ้น ซึ่งเทคนิคที่เหมาะสม มีดังนี้

    • Thermage FLX : กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและช่วยกระชับผิวได้ลึกถึงชั้นหนังแท้
    • Morpheus8 : ผสานพลังงาน RF และ Microneedling ช่วยฟื้นฟูและกระตุ้นคอลลาเจนในชั้นผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    • Ulthera Prime : ยิงพลังงานลงลึกถึงชั้น SMAS เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว

     

    วัย 40 ปี ฟื้นฟูผิว ลดริ้วรอยลึก

    เมื่ออายุเข้าสู่ช่วงวัย 40 ปี คอลลาเจนจะลดลงอย่างมาก ผิวบางลงและเริ่มสูญเสียความยืดหยุ่น ริ้วรอยลึกขึ้น ผิวหย่อนคล้อยบริเวณแก้มและแนวกรามเริ่มเห็นได้ชัดเจนขึ้น โครงหน้าดูเปลี่ยนแปลงไป การยกกระชับหน้าด้วยเทคโนโลยีที่สามารถฟื้นฟูผิวได้ลึก จะช่วยให้ผิวดูเต่งตึงขึ้นและคืนความอ่อนเยาว์ ซึ่งเทคนิคที่เหมาะสม มีดังนี้

    • Ultherapy Prime : ยิงพลังงานลงลึกถึงชั้น SMAS เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและช่วยยกกระชับผิว
    • Thermage FLX : ช่วยฟื้นฟูโครงสร้างผิว กระชับแก้มและเหนียง
    • Morpheus8 : กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและลดริ้วรอยอย่างมีประสิทธิภาพ
    • EMFACE : ช่วยกระชับกล้ามเนื้อใบหน้า ลดความหย่อนคล้อยบริเวณหน้าผากและร่องแก้ม

     

    วัย 50 ปี ฟื้นฟูโครงสร้างผิว คืนความอ่อนเยาว์

    ในวัย 50 ปี คอลลาเจนและอีลาสตินในผิวลดลงไปมาก ทำให้เกิดปัญหาหนังตาตก แก้มห้อย ใบหน้าดูเหนื่อยล้า และโครงหน้าเริ่มเปลี่ยนแปลง การเลือกเทคนิคที่สามารถฟื้นฟูโครงสร้างผิวได้ลึก จะช่วยยกกระชับและคืนความเต่งตึงให้กับใบหน้า ซึ่งเทคนิคที่เหมาะสม มีดังนี้

    • Ultherapy Prime: ฟื้นฟูโครงสร้างผิวและกระชับผิวที่หย่อนคล้อย
    • Thermage FLX : ช่วยลดความหย่อนคล้อยบริเวณแก้ม คาง และลำคอ

     

    เปรียบเทียบเทคโนโลยียกกระชับหน้ายอดนิยม
    เปรียบเทียบเทคโนโลยียกกระชับหน้ายอดนิยม

     

    เปรียบเทียบเทคโนโลยียกกระชับหน้ายอดนิยม

    • ยกกระชับหน้า Ulthera Prime

    Ulthera Prime ใช้พลังงานอัลตราซาวนด์แบบเฉพาะเจาะจง ลงไปกระตุ้นคอลลาเจนในผิว ยกกระชับและลดความหย่อนคล้อยถึงชั้น SMAS เทคโนโลยีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุ 30-50 ปี ที่เริ่มมีปัญหาผิวหย่อนคล้อย เนื่องจากให้ผลลัพธ์ที่ใกล้เคียงกับการศัลยกรรมดึงหน้า สามารถอยู่ได้นาน 2 ปี

    • ยกกระชับ Thermage FLX

    Thermage FLX ใช้พลังงานคลื่นวิทยุ (RF) ส่งพลังงานความร้อนลงลึกถึงชั้นหนังแท้เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวตึงกระชับขึ้น เทคโนโลยีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุ 30-40 ปี ที่เริ่มมีปัญหาผิวย่อนคล้อย โดยเฉพาะบริเวณกรอบหน้า แก้ม และลำคอ สามารถให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน 1-3 เดือน และอยู่ได้นานถึง 1-2 ปี

    Morpheus8 เป็นการผสานระหว่างพลังงานคลื่นวิทยุ (RF) และ Microneedling โดยใช้เข็มขนาดเล็กเจาะเข้าสู่ชั้นผิวเพื่อปล่อยพลังงาน RF กระตุ้นคอลลาเจนและฟื้นฟูผิว เทคโนโลยีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุ 30-40 ปี ที่ต้องการลดเลือนริ้วรอยและยกกระชับผิวไปพร้อมกับการกระชับรูขุมขน Morpheus8 ช่วยให้ผิวแน่นขึ้น ลดริ้วรอย และช่วยให้ผิวเรียบเนียนมากขึ้น

    • ยกกระชับ Oligio

    Oligio เป็นเทคโนโลยีที่ใช้พลังงานคลื่นวิทยุ (Momopolar RF) เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและช่วยให้ผิวเต่งตึง เทคโนโลยีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุ 20 ปี ที่ต้องการป้องกันการสูญเสียคอลลาเจนและลดโอกาสเกิดริ้วรอยก่อนวัย

    • ยกกระชับ EMFACE

    EMFACE เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ใช้การกระตุ้นกล้ามเนื้อใบหน้าผ่านคลื่นไฟฟ้า HIFES ร่วมกับการใช้พลังงาน RF เพื่อช่วยยกกระชับผิวโดยไม่ต้องใช้เข็ม เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุ 30-40 ปี ที่ต้องการปรับรูปหน้าให้กระชับขึ้นโดยเน้นการกระชับกล้ามเนื้อใบหน้า ผลลัพธ์ของ EMFACE จะค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นภายใน 3-4 สัปดาห์หลังทำ และอยู่ได้นาน 6-12 เดือน

     

    ทำไมต้องเลือกการยกกระชับหน้าให้เหมาะกับช่วงวัย?

    การยกกระชับหน้าไม่ใช่แค่เรื่องของความสวยงาม แต่เป็นกระบวนการฟื้นฟูและดูแลผิวให้เหมาะสมกับอายุที่เพิ่มขึ้น การเลือกเทคนิคที่เหมาะสมกับช่วงวัยช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น คงความอ่อนเยาว์ได้นาน และลดโอกาสเกิดริ้วรอยลึกที่ยากต่อการแก้ไข ทั้งนี้เหตุผลที่ต้องเลือกยกกระชับใบหน้าให้เหมาะสมกับช่วงวัย มีดังนี้

     

    โครงสร้างผิวเปลี่ยนแปลงตามอายุ ต้องดูแลให้เหมาะสม

    เมื่ออายุเพิ่มขึ้น คอลลาเจนและอีลาสตินที่ช่วยให้ผิวเต่งตึงจะลดลง ส่งผลให้ผิวขาดความกระชับและเกิดริ้วรอย

    • ในช่วงวัย 20 ปี – ผิวยังมีความยืดหยุ่นดี แต่เริ่มมีสัญญาณของคอลลาเจนที่ลดลง หากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม อาจส่งผลให้ผิวหย่อนคล้อยเร็วกว่าปกติ
    • เมื่อเข้าสู่วัย 30 ปี – การผลิตคอลลาเจนลดลงอย่างเห็นได้ชัด ผิวเริ่มไม่กระชับเท่าเดิม และเริ่มมีริ้วรอยบริเวณหน้าผาก รอบดวงตา และร่องแก้ม
    • ในวัย 40 ปี – ผิวบางลงและเริ่มขาดความยืดหยุ่น ริ้วรอยลึกขึ้น และแก้มเริ่มตก กรอบหน้าไม่ชัดเจนเหมือนเดิม
    • สำหรับวัย 50 ปี – ปัญหาผิวหย่อนคล้อยจะเห็นได้ชัดขึ้น หนังตาตก แก้มห้อย ใบหน้าดูเหนื่อยล้า และโครงหน้าเริ่มเปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจน

    เลือกเทคนิคที่เหมาะสมช่วยให้เห็นผลลัพธ์ชัดเจนและดูเป็นธรรมชาติ

    เทคนิคยกกระชับหน้าแต่ละประเภทมีหลักการทำงานที่แตกต่างกันออกไป การเลือกใช้เทคนิคที่เหมาะสมกับช่วงวัยจะช่วยให้ผิวได้รับการกระตุ้นคอลลาเจนอย่างมีประสิทธิภาพและตรงจุดอย่างแม่นยำ

    • ในช่วงวัย 20 ปี อาจใช้การดูแลผิวด้วยเทคนิคของ Oligio และ EMFACE เพื่อกระตุ้นคอลลาเจนและรักษาความยืดหยุ่น
    • เมื่ออายุ 30 ปี เริ่มมีปัญหาผิวไม่กระชับ สามารถเลือก Ulthera Prime, Thermage FLX หรือ Morpheus8 เพื่อช่วยยกกระชับและลดเลือนริ้วรอยแรกเริ่ม
    • สำหรับวัย 40 ปี ผิวเริ่มหย่อนคล้อยอย่างเห็นได้ชัด การเลือกใช้ Ulthera Prime, Thermage FLX, Morpheus8 หรือ EMFACE จะช่วยฟื้นฟูผิวให้เต่งตึงและดูอ่อนเยาว์
    • เมื่อเข้าสู่ช่วงวัย 50 ปี ปัญหาผิวหย่อนคล้อยรุนแรงขึ้น ควรใช้เทคนิคที่สามารถฟื้นฟูโครงสร้างผิวได้ลึกขึ้น เช่น Ulthera Prime หรือ Thermage FLX อาจทำร่วมกับหัตถการอื่น เพื่อคืนความกระชับให้กับใบหน้า

    การดูแลผิวตั้งแต่แรก ป้องกันปัญหาผิวหย่อนคล้อยก่อนเกิดขึ้น

    การเริ่มดูแลผิวตั้งแต่วัย 20-30 ปี ด้วยเทคนิคที่เหมาะสม จะช่วยชะลอการเสื่อมของคอลลาเจน และลดความจำเป็นในการใช้เทคนิคที่รุนแรงขึ้นในอนาคต ขณะที่ในวัย 40-50 ปี เทคนิคที่สามารถกระตุ้นคอลลาเจนลึกถึงชั้นโครงสร้างผิวจะช่วยคืนความกระชับ ลดริ้วรอย และช่วยให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ได้อย่างดูเป็นธรรมชาติ

    ลดความเสี่ยงจากการทำหัตถการที่ไม่เหมาะสม

    การใช้เทคนิคที่ไม่เหมาะสมกับในช่วงวัย อาจส่งผลให้ผิวบางลงหรือเกิดการระคายเคืองได้ ดังนั้น การเลือกเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับโครงสร้างผิวและปัญหาผิวแต่ละช่วงวัยจะช่วยให้ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติและไม่อันตรายมากขึ้น

     

    การยกกระชับหน้า ช่วยแก้ปัญหาผิวอะไรบ้าง?

    • การยกกระชับหน้า ช่วยยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อยให้เต่งตึงขึ้น
    • การยกกระชับหน้า ฟื้นฟูโครงสร้างผิวให้แข็งแรง
    • การยกกระชับหน้า ปรับผิวหน้าให้ดูสดใส อ่อนเยาว์
    • การยกกระชับหน้า ลดริ้วรอยบริเวณ หน้าผาก หางตา ร่องแก้ม และรอบปาก
    • การยกกระชับหน้า กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในระยะยาว
    • การยกกระชับหน้า ปรับโครงหน้าให้ดูเรียวขึ้น
    • การยกกระชับหน้า ลดไขมันสะสมที่แก้มและเหนียง
    • การยกกระชับหน้า ลดไขมันใต้คาง และยกกระชับผิวบริเวณเหนียง
    • การยกกระชับหน้า ช่วยให้ลำคอและเนินอกดูตึงขึ้น
    • การยกกระชับหน้า ปรับสมดุลผิวให้เรียบเนียน
    • การยกกระชับหน้า รูขุมขนกระชับขึ้น ทำให้ผิวดูเรียบเนียน
    • การยกกระชับหน้า ลดความมันบนใบหน้า และป้องกันการเกิดสิว
    • การยกกระชับหน้า กระตุ้นการไหลเวียนเลือดใต้ผิว ทำให้ผิวดูสดใสขึ้น
    • การยกกระชับหน้า ฟื้นฟูผิวให้ดูสุขภาพดีขึ้น
    • การยกกระชับหน้า ปรับสมดุลของกล้ามเนื้อใบหน้า

     

    ใครบ้างที่เหมาะกับการยกกระชับหน้า?
    ใครบ้างที่เหมาะกับการยกกระชับหน้า?

    วิธียกกระชับหน้าที่เหมาะกับแต่ละช่วงวัย

    ใครบ้างที่เหมาะกับการยกกระชับหน้า?

    • การยกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย กรอบหน้าไม่ชัด
    • การยกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเหนียงเพิ่มขึ้น ทำให้ใบหน้าดูไม่กระชับ
    • การยกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาหนังตาตก หางตาตก ทำให้ใบหน้าดูอ่อนล้า
    • การยกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยหรือความหย่อนคล้อยบริเวณแก้มและคาง
    • การยกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวบางลงและสูญเสียความยืดหยุ่น
    • การยกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่มีไลฟ์สไตล์ที่ต้องเผชิญแสงแดดหรือมลภาวะบ่อย 
    • การยกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ผิวหน้าเริ่มมีรอยย่นบริเวณหน้าผาก รอบดวงตา หรือร่องแก้ม
    • การยกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหารูขุมขนกว้าง ผิวไม่เรียบเนียน ดูโทรมและไม่สดใส
    • การยกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่มีน้ำหนักลดลงมากและมีผิวย้วย
    • การยกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาความหย่อนคล้อยบริเวณเหนียงและลำคอ
    • การยกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาใบหน้าดูอิดโรย เหนื่อยล้า 
    • การยกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาหนังตาตก มุมปากตก ทำให้ดูเศร้าหรือแก่ขึ้น
    • การยกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหามีปัญหาร่องแก้มลึก ทำให้หน้าดูแก่กว่าวัย
    • การยกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการป้องกันริ้วรอยและความหย่อนคล้อยก่อนวัย
    • การยกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเสริมสร้างคอลลาเจนให้ผิวแข็งแรง
    • การยกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการให้กรอบหน้าชัดขึ้น 
    • การยกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปรับโครงหน้าหรือทำให้หน้าดู V-Shape โดยไม่ต้องศัลยกรรม
    • การยกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับใบหน้าโดยไม่ต้องใช้สารเติมเต็ม
    • การยกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการใบหน้าดูกระชับขึ้นโดยไม่ต้องพักฟื้น
    • การยกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการเจ็บตัวจากการศัลยกรรมดึงหน้า

     

    หมายเหตุ:

    ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเลือกวิธีการยกกระชับ เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพผิวและความต้องการของแต่ละบุคคล

     

    ใครไม่เหมาะกับการยกกระชับหน้าบ้าง?

    • การยกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
    • การยกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปี
    • การยกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคหัวใจ หรือมีเครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemaker)
    • การยกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคลมชัก หรือมีภาวะเกี่ยวกับระบบประสาท
    • การยกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีโรคแพ้ภูมิตัวเอง (Autoimmune Disease) เช่น SLE หรือโรคหนังแข็ง
    • การยกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีสิวอักเสบรุนแรง แผลเป็นที่ยังไม่หาย หรือโรคผิวหนังอักเสบ
    • การยกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีแผลเปิด หรือแผลเป็นที่ยังอยู่ในช่วงฟื้นตัว
    • การยกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวบางจากการใช้ยากลุ่มสเตียรอยด์ หรือมีภาวะผิวบางผิดปกติ
    • การยกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายจนเกิดรอยแดงหรือบวมง่าย
    • การยกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะไขมันบนใบหน้าต่ำเกินไป
    • การยกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่เปลี่ยนแปลงชัดเจนในทันที
    • การยกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่คาดหวังผลลัพธ์เหมือนการศัลยกรรมดึงหน้า
    • การยกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีการฉีดสารเติมเต็มบริเวณใบหน้ามาก่อน
    • การยกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เพิ่งผ่านการทำศัลยกรรมใบหน้า หรือหัตถการที่ต้องพักฟื้น
    • การยกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีประวัติเป็น มะเร็งผิวหนัง หรือมีเนื้องอกที่ใบหน้า
    • การยกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เคยเข้ารับการรักษามะเร็งด้วย เคมีบำบัดหรือรังสีบำบัด
    • การยกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวานและมีภาวะการสมานแผลช้า
    • การยกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคผิวหนังที่เกี่ยวกับการสร้างคอลลาเจนผิดปกติ เช่น โรคหนังแข็ง (Scleroderma)
    • การยกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis) หรือโรคด่างขาว (Vitiligo)
    • การยกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะผิวไวต่อแสง หรือผิวไหม้แดดรุนแรง
    • การยกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีโรคเกี่ยวกับภาวะเลือดออกง่าย หรือการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ

     

    คำแนะนำ:
    เพื่อผลลัพธ์ที่เหมาะสมที่สุด ควรเข้ารับการประเมินจากแพทย์ประจำคลินิกก่อนทำการรักษาทุกครั้ง

     

    รวมข้อดีของการยกกระชับหน้า
    รวมข้อดีของการยกกระชับหน้า

    วิธียกกระชับหน้าที่เหมาะกับแต่ละช่วงวัย

    รวมข้อดีของการยกกระชับหน้า

    • การยกกระชับหน้า ช่วยให้ผิวเต่งตึง กระชับขึ้น
    • การยกกระชับหน้า ลดริ้วรอยและความหย่อนคล้อยของผิว
    • การยกกระชับหน้า ยกกระชับปรับรูปหน้าให้ได้สัดส่วน กรอบหน้าชัดขึ้น
    • การยกกระชับหน้า เห็นผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ ไม่แข็งตึงเกินไป
    • การยกกระชับหน้า ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น
    • การยกกระชับหน้า ช่วยกระตุ้นคอลลาเจนในระยะยาว
    • การยกกระชับหน้า ช่วยให้ผิวเรียบเนียน กระชับรูขุมขน
    • การยกกระชับหน้า ช่วยแก้ปัญหาผิวหน้าโทรม ดูเหนื่อยล้า
    • การยกกระชับหน้า แก้ปัญหามุมปากตก และช่วยให้ใบหน้าดูสดใสขึ้น
    • การยกกระชับหน้า ลดไขมันสะสมบริเวณใบหน้า
    • การยกกระชับหน้า ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับตัวเอง
    • การยกกระชับหน้า ช่วยชะลอวัย และลดความจำเป็นในการทำศัลยกรรมดึงหน้า
    • การยกกระชับหน้า ฟื้นฟูผิวจากภายใน ช่วยให้ผิวแข็งแรงขึ้น
    • การยกกระชับหน้า สามารถทำได้หลายส่วนของร่างกาย
    • การยกกระชับหน้า ไม่อันตรายและได้รับการรับรองระดับสากล
    • การยกกระชับหน้า เหมาะกับทุกช่วงวัย ทุกสภาพผิว
    • การยกกระชับหน้า สามารถทำซ้ำได้โดยไม่มีผลข้างเคียงรุนแรง

     

    ข้อจำกัดของการยกกระชับหน้าที่จำเป็นต้องรู้

    • การยกกระชับหน้า ไม่สามารถให้ผลลัพธ์ที่เทียบเท่ากับการศัลยกรรมดึงหน้า
    • การยกกระชับหน้า ต้องใช้ระยะเวลาในการเห็นผล ไม่ได้เปลี่ยนแปลงทันที
    • การยกกระชับหน้า ผลลัพธ์อยู่ได้ชั่วคราว ไม่ถาวร
    • การยกกระชับหน้า อาจไม่สามารถลดริ้วรอยลึกได้ทั้งหมด
    • การยกกระชับหน้า บางเทคโนโลยีอาจทำให้รู้สึกเจ็บเล็กน้อยขณะทำ
    • การยกกระชับหน้า อาจมีผลข้างเคียงเล็กน้อยหลังทำ
    • การยกกระชับหน้า อาจส่งผลต่อสารเติมเต็ม หรือการร้อยไหมที่เคยทำมาก่อน
    • การยกกระชับหน้า มีข้อจำกัดสำหรับบางกลุ่มที่มีโรคประจำตัว

     

    การเตรียมตัวก่อนทำยกกระชับหน้า
    การเตรียมตัวก่อนทำยกกระชับหน้า

     

    การเตรียมตัวก่อนทำยกกระชับหน้า

    • ก่อนทำยกกระชับหน้า ควรเลือกคลินิกหรือสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐาน และให้แพทย์ประเมินสภาพผิว
    • ก่อนทำยกกระชับหน้า ควรแจ้งแพทย์เกี่ยวกับ ประวัติสุขภาพ โรคประจำตัว หรือยาที่กำลังรับประทาน
    • ก่อนทำยกกระชับหน้า ควรดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อให้ผิวชุ่มชื้น
    • ก่อนทำยกกระชับหน้า ควรใช้มอยส์เจอไรเซอร์บำรุงผิวเป็นประจำ
    • ก่อนทำยกกระชับหน้า ควรพักผ่อนให้เพียงพอ และเตรียมตัวให้พร้อม
    • ก่อนทำยกกระชับหน้า หลีกเลี่ยงยาแอสไพริน, ไอบูโพรเฟน, วิตามินอี อย่างน้อย 1 สัปดาห์
    • ก่อนทำยกกระชับหน้า หลีกเลี่ยงอาหารเสริมบางชนิด อย่างน้อย 1 สัปดาห์
    • ก่อนทำยกกระชับหน้า หลีกเลี่ยงการขัดหน้า สครับผิว หรือใช้สกินแคร์ที่มีส่วนผสมของกรด
    • ก่อนทำยกกระชับหน้า หลีกเลี่ยงการโดนแดดจัด หรือทำให้ผิวไหม้แดด อย่างน้อย 1 สัปดาห์
    • ก่อนทำยกกระชับหน้า งดดื่มแอลกอฮอล์ และงดสูบบุหรี่ อย่างน้อย 24-48 ชั่วโมง
    • ก่อนทำยกกระชับหน้า งดการทำหัตถการอื่น ๆ ที่อาจรบกวนผิว อย่างน้อย 2-4 สัปดาห์
    • ก่อนทำยกกระชับหน้า งดแต่งหน้าในวันเข้ารับการรักษา

     

    การดูแลตัวเองหลังทำยกกระชับหน้า

    • หลังทำยกกระชับหน้า ควรทาครีมกันแดด SPF 50  PA+++ เป็นประจำ
    • หลังทำยกกระชับหน้า ควรใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่ให้ความชุ่มชื้นสูง เช่น Hyaluronic Acid, Ceramide
    • หลังทำยกกระชับหน้า ควรดื่มน้ำอย่างน้อย 8-10 แก้วต่อวัน เพื่อช่วยให้ผิวมีความชุ่มชื้น
    • หลังทำยกกระชับหน้า งดขัดหน้า หรือใช้สครับ ในช่วง 1 สัปดาห์
    • หลังทำยกกระชับหน้า งดกด นวด หรือถูใบหน้าแรง ๆ
    • หลังทำยกกระชับหน้า งดใช้เครื่องสำอางหนัก ๆ ใน 24 ชั่วโมงแรก
    • หลังทำยกกระชับหน้า งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์
    • หลังทำยกกระชับหน้า หลีกเลี่ยงซาวน่า, อบไอน้ำ, อาบน้ำอุ่นจัด และการออกกำลังกายหนัก
    • หลังทำยกกระชับหน้า หลีกเลี่ยงการโดนแดดโดยตรงอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์
    • หลังทำยกกระชับหน้า หลีกเลี่ยงสกินแคร์ที่มีส่วนผสมของ AHA, BHA, Retinol ในช่วง 3-7 วันแรก
    • หลังทำยกกระชับหน้า หลีกเลี่ยงการทำหัตถการอื่น ๆ ที่รบกวนผิวในช่วง 1-2 สัปดาห์

    วิธียกกระชับหน้าที่เหมาะกับแต่ละช่วงวัย

    การยกกระชับหน้าอยู่ได้นานแค่ไหน?

    • ผลลัพธ์ของการยกกระชับหน้าจะขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีที่ใช้ โดย Thermage FLX และ Ulthera อยู่ได้นาน 1-2 ปี, ส่วน Oligio และ EMFACE อยู่ได้นาน 6-12 เดือน อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์จะคงอยู่ได้นานขึ้นหากมีการดูแลผิวอย่างเหมาะสม

     

    ยกกระชับหน้าทำแล้วเจ็บไหม?

    • ระดับความรู้สึกเจ็บของการยกกระชับหน้าขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีที่ใช้ เช่น Ultherapy อาจทำให้รู้สึกจี๊ด ๆ หรืออุ่นใต้ผิว ส่วน Thermage อาจมีความรู้สึกร้อนเล็กน้อย แต่โดยทั่วไปสามารถทนได้ หรือแพทย์อาจใช้ยาชาเฉพาะที่เพื่อลดความไม่สบายขณะทำ

     

    การยกกระชับหน้าช่วยลดริ้วรอยรอบดวงตาได้ไหม?

    • สามารถช่วยลดริ้วรอยรอบดวงตาได้ โดยเฉพาะเทคโนโลยีที่ออกแบบมาเพื่อดูแลผิวบริเวณนี้โดยเฉพาะ เช่น Ultherapy, Thermage FLX และ Morpheus8 ซึ่งช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวรอบดวงตาดูกระชับขึ้น และลดริ้วรอยเล็ก ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

     

    ต้องทำยกกระชับหน้ากี่ครั้งถึงจะเห็นผล?

    • การยกกระชับหน้ามักเห็นผลตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ แต่จะค่อยๆ ดีขึ้นภายใน 1-3 เดือน เนื่องจากเป็นการกระตุ้นคอลลาเจนในชั้นผิว โดยส่วนใหญ่ Ultherapy และ Thermage สามารถทำปีละครั้ง เพื่อคงผลลัพธ์ให้นานขึ้น

     

    การยกกระชับหน้าสามารถทำเองที่บ้านได้ไหม?

    • ปัจจุบันมีเครื่องยกกระชับหน้าแบบพกพาสำหรับใช้ที่บ้าน แต่ประสิทธิภาพต่ำกว่าการทำในคลินิก เพราะพลังงานไม่สามารถลงลึกถึงชั้นผิวได้เท่ากับเครื่องมือทางการแพทย์ ดังนั้นหากต้องการผลลัพธ์ที่ชัดเจนและยาวนาน แนะนำให้ทำกับแพทย์ประจำคลินิกเท่านั้น

     

    ยกกระชับหน้ากับโปรแกรมฉีดโบหรือโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์แตกต่างกันอย่างไร?

    • การยกกระชับหน้าช่วยกระตุ้นคอลลาเจนและยกผิวให้กระชับขึ้น โดยไม่ต้องฉีดสารเติมเต็มเข้าไปในผิว ส่วนโปรแกรมฉีดโบช่วยลดริ้วรอยจากการแสดงสีหน้า โดยทำให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย ขณะที่ฉีดฟิลเลอร์ ใช้เติมเต็มร่องลึกให้ผิวดูอิ่มขึ้น ซึ่งทั้งหมดสามารถใช้ร่วมกันเพื่อให้ผลลัพธ์ที่สมบูรณ์แบบมากขึ้น

     

    ถ้าหยุดทำยกกระชับหน้า ผิวจะแย่ลงกว่าเดิมไหม?

    • การหยุดทำยกกระชับหน้า จะไม่ทำให้ผิวแย่ลงกว่าเดิม แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผิวจะกลับสู่สภาพที่เป็นไปตามวัย เพราะการผลิตคอลลาเจนตามธรรมชาติลดลงตามอายุ อย่างไรก็ตาม หากดูแลผิวดี ผลลัพธ์ของการยกกระชับก็จะอยู่ได้นานขึ้น

     

    การเลือก วิธียกกระชับหน้าให้เหมาะสมกับแต่ละช่วงวัย เป็นกุญแจสำคัญในการคงความอ่อนเยาว์และฟื้นฟูสุขภาพผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในช่วงวัย 20 ปี การดูแลควรเน้นไปที่การป้องกันและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ส่วนวัย 30ปี จะเริ่มมีสัญญาณของริ้วรอยและความหย่อนคล้อยเล็กน้อย ควรเลือกเทคนิคที่ช่วยเสริมสร้างความยืดหยุ่นของผิว ขณะที่วัย 40 ปี ต้องอาศัยการฟื้นฟูในระดับลึกเพื่อคืนความกระชับ และวัย 50 ปี อาจต้องใช้เทคโนโลยีที่ช่วยปรับโครงสร้างผิวเพื่อคืนความอ่อนเยาว์อย่างเต็มที่

     

    เทคโนโลยีความงามที่ก้าวล้ำในปัจจุบัน เช่น Thermage FLX, Ulthera, Morpheus8, Oligio และ EMFACE ได้รับการพัฒนาให้สามารถยกกระชับผิวหน้าได้แบบไม่อันตราย โดยไม่ต้องผ่าตัด ช่วยฟื้นฟูคอลลาเจน ลดริ้วรอย และปรับรูปหน้าให้ดูเรียวกระชับอย่างดูเป็นธรรมชาติ ทั้งนี้ผลลัพธ์หลังทำขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับสภาพผิว โครงสร้างใบหน้า และการดูแลหลังทำหัตถการ

     

    ก่อนเลือกทำหัตถการยกกระชับ ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านผิวพรรณ เพื่อประเมินสภาพผิวและเลือกเทคนิคที่เหมาะสมกับความต้องการของคุณ เพราะการดูแลผิวอย่างเหมาะสม ควบคู่ไปกับการเลือกใช้เทคโนโลยีที่ถูกต้อง จะช่วยให้คุณคงความอ่อนเยาว์ได้อย่างยาวนาน และเผยผิวที่กระชับ เต่งตึง ดูสุขภาพดีได้ในทุกช่วงวัย

    Ultherapy Prime เทคโนโลยียกกระชับที่โดดเด่นที่สุด

    Ultherapy Prime เทคโนโลยียกกระชับ

    10 เหตุผลที่ทำให้ Ultherapy Prime เทคโนโลยียกกระชับที่โดดเด่นที่สุด

    ในปี 2025 คือยุคที่การดูแลผิวพัฒนาไปไกลกว่าการทาครีมบำรุงหรือการทำหัตถการแบบเดิม ๆ ผู้คนเริ่มมองหาวิธีฟื้นฟูผิวหน้าที่ให้ผลลัพธ์ชัดเจน ไม่เสี่ยงอันตราย และไม่รบกวนชีวิตประจำวัน หนึ่งในเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ความต้องการนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบคือเทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime เทคโนโลยียกกระชับผิวที่ถูกยกให้เป็นตัวท็อปแห่งวงการความงามในปีนี้

     

    เทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime ได้รับการพัฒนาให้ก้าวล้ำยิ่งกว่ารุ่นก่อน ๆ ด้วยเทคโนโลยีอัลตราซาวนด์ความแม่นยำสูงที่ลงลึกถึงชั้น SMAS แบบไม่ต้องผ่าตัด เสริมด้วยหน้าจอ Visualization แบบเรียลไทม์ที่ช่วยให้แพทย์เห็นชั้นผิวชัดเจนก่อนยิงพลังงานทุกครั้ง ผลลัพธ์คือผิวที่ยกกระชับขึ้นอย่างดูเป็นธรรมชาติ เห็นผลเร็ว และอยู่ได้นาน โดยไม่ต้องหยุดพักฟื้น

     

    ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปทำความรู้จักกับ 10 เหตุผลสำคัญ ที่ทำให้เทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime กลายเป็นทางเลือกอันดับต้น ๆ สำหรับผู้ที่ต้องการดูแลผิวแบบมืออาชีพ พร้อมคำตอบว่าทำไมเทคโนโลยีนี้จึงควรค่าแก่การลงทุนในปี 2025

     

    รวมจุดเด่นของ Ultherapy Prime เทคโนโลยียกกระชับ
    รวมจุดเด่นของ Ultherapy Prime เทคโนโลยียกกระชับ

     

    รวมจุดเด่นของ Ultherapy Prime เทคโนโลยียกกระชับแห่งปี 2025

    DeepSEE™ Technology การรักษาตรงจุดยิ่งขึ้น

    เทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime มาพร้อมกับเทคโนโลยี DeepSEE™ ที่เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะ ด้วยหน้าจอขนาดใหญ่ถึง 35% ช่วยให้แพทย์สามารถมองเห็นชั้นผิวได้ชัดเจนมากขึ้นในแบบเรียลไทม์ด้วยระบบ Visualization แพทย์จะสามารถประเมินความลึกของชั้นผิว และเห็นโครงสร้างผิวจริงก่อนยิงพลังงานแต่ละครั้ง ทำให้สามารถปรับค่าพลังงานได้อย่างเหมาะสมในแต่ละจุด 

     

    เทคโนโลยี MFU-V ส่งพลังงานได้ลึกและแม่นยำกว่าเดิม

    หัวใจสำคัญของเทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime อยู่ที่เทคโนโลยี Micro-focused Ultrasound with Visualization (MFU-V) ที่สามารถยิงพลังงานเสียงแบบเฉพาะจุดลงสู่ชั้นผิวลึกในระดับ SMAS ซึ่งเป็นชั้นที่แพทย์ศัลยกรรมใช้ในการผ่าตัดดึงหน้า การยิงพลังงานลงสู่ชั้น SMAS จะช่วยกระตุ้นให้เกิดกระบวนการซ่อมแซมผิวตามธรรมชาติ โดยสร้างคอลลาเจนใหม่ขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผิวค่อย ๆ กระชับแน่นขึ้นโดยไม่ต้องผ่าตัดหรือพักฟื้นนาน ซึ่งความแม่นยำในการลงพลังงาน ทำให้มั่นใจได้ว่าการรักษาจะได้ผลดี ไม่เกิดการกระจายพลังงานผิดตำแหน่ง หรือทำร้ายชั้นผิวอื่น

     

    หัวยิงหลากหลาย ปรับความลึกได้ตามชั้นผิว

    หนึ่งในจุดเด่นที่ทำให้เทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime แตกต่างจากเทคโนโลยียกกระชับผิวทั่วไป คือความสามารถในการเลือกใช้หัวยิงได้หลากหลายระดับความลึก โดยออกแบบมาให้สอดคล้องกับโครงสร้างผิวที่แตกต่างกันในแต่ละบริเวณของใบหน้าและลำคอ ช่วยให้แพทย์สามารถวางแผนการรักษาได้อย่างเฉพาะเจาะจงและแม่นยำยิ่งขึ้น

    • 1.5 mm — เหมาะสำหรับผิวชั้นตื่น เช่น บริเวณรอบดวงตา ใต้ตา และหน้าผาก ที่ต้องการความอ่อนโยนและความแม่นยำสูง
    • 3.0 mm — เหมาะสำหรับชั้นผิวระดับกลาง เช่น แก้มและแนวกราม ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและปรับผิวให้กระชับเรียบเนียน
    • 4.5 mm — ยิงพลังงานลึกถึงชั้น SMAS (Superficial Musculoaponeurotic System) ซึ่งเป็นชั้นเป้าหมายเดียวกับที่ศัลยแพทย์ใช้ในการดึงหน้า ให้ผลลัพธ์การยกกระชับที่ลึก และชัดเจน

    การเลือกใช้หัวยิงที่มีระดับความลึกต่างกันนี้ ช่วยให้แพทย์สามารถออกแบบโปรแกรมรักษาแบบรายบุคคลได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ลดความเสี่ยงในการลงพลังงานผิดชั้นผิว และช่วยให้ผลลัพธ์ของการยกกระชับมีความแม่นยำ และดูเป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น

    นอกจากนี้หัวยิงแต่ละหัวของ Ultherapy Prime ยังได้รับการพัฒนาให้ปล่อยพลังงานสม่ำเสมอ ช่วยให้ผู้เข้ารับบริการรู้สึกสบายตัวมากขึ้นในระหว่างหัตถการ และฟื้นตัวได้เร็วโดยไม่ต้องพักฟื้นนาน

     

    ลดความรู้สึกไม่สบายระหว่างทำ และฟื้นตัวได้เร็ว

    ด้วยการประมวลผลที่เร็วขึ้นถึง 20% ทำให้ระยะเวลาการทำหัตถการโดยรวมสั้นลง ซึ่งช่วยลดความรู้สึกอึดอัดหรือเจ็บขณะทำลงได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะในผู้ที่มีผิวบางหรือไวต่อความรู้สึก นอกจากนี้ยังช่วยลดผลข้างเคียงเล็ก ๆ เช่น รอยแดงหรือบวมชั่วคราว ให้เกิดได้น้อยลงหรือหายเร็วขึ้น ผู้รับบริการสามารถแต่งหน้าและใช้ชีวิตประจำวันปกติได้ทันที

     

    เห็นผลลัพธ์หลังทำชัดเจน และอยู่ได้นานขึ้นอย่างดูเป็นธรรมชาติ

    ผู้เข้ารับบริการจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงของผิวได้ตั้งแต่หลังทำทันที โดยเฉพาะในเรื่องของความกระชับ ความเรียบเนียน และผิวที่ดูเฟิร์มขึ้น โดยผลลัพธ์จะชัดเจนที่สุดในช่วง 2–3 เดือน และอยู่ได้นานถึง 12 เดือน หรือมากกว่านั้นหากดูแลอย่างต่อเนื่อง ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ของเทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime จะค่อย ๆ ฟื้นฟูผิวจากภายใน ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้ดูเป็นธรรมชาติ ไม่แข็ง ไม่หลอกตา และไม่ทำให้โครงสร้างของใบหน้าดูเปลี่ยน

     

    ผลลัพธ์สวยดูสวยแบบคืนความอ่อนเยาว์ เป็นเราที่ดูเด็กลง ไม่แข็ง ไม่ปลอม

    เทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime เป็นการยกกระชับที่ไม่ทำให้โครงหน้าดูเปลี่ยนจนผิดสังเกตแต่ช่วยปรับความกระชับให้ดูดีแบบดูเป็นธรรมชาติ และยังคงความเป็นตัวเองได้อย่างมั่นใจ

     

    ไม่อันตราย ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น

    เทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime ผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยาของต่างประเทศ ซึ่งเป็นองค์กรที่เข้มงวดในด้านของประสิทธิภาพ ซึ่งการรักษาด้วยเทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime มั่นใจได้ว่าไม่มีบาดแผล ไม่ต้องผ่าตัด และไม่ต้องพักฟื้นหลังทำ ผู้เข้ารับบริการสามารถแต่งหน้า และใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติหลังทำ

     

    ปรับแผนการรักษาได้เฉพาะบุคคล

    เทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime รองรับการรักษาแบบ Personalized Treatment ที่สามารถปรับค่าพลังงาน ความลึก และพื้นที่รักษาให้เหมาะสมกับโครงสร้างผิวของแต่ละบุคคลได้ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาผิวที่หน้าผาก แก้ม กรอบหน้า ใต้คาง ลำคอ รวมไปถึงเนินอก ซึ่งสามารถวางแผนการยิงพลังงานให้สอดคล้องกับปัญหาเฉพาะได้แบบจุดต่อจุด นอกจากนี้ยังเหมาะสำหรับผู้ที่มีทุกเฉดสีผิว และสามารถทำได้ในทุกฤดูกาลโดยไม่เสี่ยงต่อการเกิดฝ้าหรือจุดด่างดำหลังทำ

     

    เครื่องกะทัดรัด ใช้งานสะดวก

    ด้วยดีไซน์ที่ทันสมัยและขนาดของเครื่องที่กะทัดรัดกว่าเดิมของเทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime ช่วยเพิ่มความคล่องตัวให้กับแพทย์ขณะทำหัตถการ ทำให้การทำงานรวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกัน ผู้เข้ารับบริการก็จะรู้สึกได้รับบริการในบรรยากาศที่ผ่อนคลาย และมีความเป็นมืออาชีพสูง

     

    การยอมรับจากทั่วโลก และความไว้วางใจจากแพทย์

    เทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime ได้รับการยอมรับในวงการแพทย์ผิวหนังและความงามระดับโลก โดยมีรีวิวจากแพทย์ในหลากหลายประเทศ และถูกนำมาใช้ในคลินิกความงามระดับพรีเมียมทั่วทั้งยุโรป อเมริกา และเอเชีย รวมไปถึงประเทศไทย ซึ่ง Ultherapy Prime ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่ต้องการดูดีโดยไม่ต้องศัลยกรรม และต้องการผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ และเชื่อถือได้

     

    เจาะลึก Ultherapy Prime เทคโนโลยียกกระชับตัวท็อปที่แพทย์แนะนำ

    เทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่ถูกพูดถึงมากที่สุด และได้รับการแนะนำโดยแพทย์ผิวหนังและคลินิกความงามระดับพรีเมียมอย่างกว้างขวาง จุดเด่นของเทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime ไม่ได้อยู่แค่ในเรื่องของผลลัพธ์ แต่ยังอยู่ที่ความทันสมัยในการพัฒนาเครื่องมือ ให้สอดคล้องกับความต้องการที่แท้จริงของทั้งแพทย์และผู้รับบริการ 

     

    เทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime ทำงานด้วยเทคโนโลยี MFU-V (Micro-focused Ultrasound with Visualization) ซึ่งเป็นคลื่นอัลตราซาวนด์ความเข้มข้นสูงที่สามารถส่งพลังงานลงลึกถึงชั้น SMAS ชั้นผิวเดียวกับที่ศัลยแพทย์ใช้ในการดึงหน้า จุดเด่นของเทคโนโลยีนี้คือการมาพร้อมระบบ DeepSEE™ ที่ช่วยให้แพทย์สามารถมองเห็นโครงสร้างภายในผิวแบบเรียลไทม์ผ่านหน้าจอ Full HD ระหว่างทำหัตถการ ทำให้การวางพลังงานมีความแม่นยำสูง ซึ่งถือเป็นความแตกต่างที่สำคัญจากเครื่องยกกระชับชนิดอื่นในท้องตลาด

     

    นอกจากนี้ เทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime ยังมาพร้อมหัวยิงหลายระดับความลึก ที่ช่วยให้แพทย์สามารถออกแบบการรักษาได้อย่างเฉพาะเจาะจง ตรงกับชั้นผิวที่ต้องการฟื้นฟูมากที่สุด ผลลัพธ์ที่ได้จึงเป็นการยกกระชับขึ้นอย่างดูเป็นธรรมชาติ ไม่แข็งตึง และไม่เปลี่ยนโครงหน้าดั้งเดิม

     

    ทำไมเทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime ถึงได้รับความสนใจอย่างมาก?

    เทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime ได้รับการพัฒนาต่อยอดจาก Ultherapy SPT ซึ่งเป็นเทคโนโลยี MFU-V ที่แพทย์ทั่วโลกให้ความเชื่อมั่นมาอย่างยาวนาน โดยเวอร์ชันใหม่นี้ถูกออกแบบให้แม่นยำกว่าเดิมด้วยระบบ DeepSEE™ Technology และสามารถส่งพลังงานลงลึกถึงชั้น SMAS ได้อย่างตรงจุด ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนจากภายในโดยไม่ต้องผ่าตัด 

     

    ที่สำคัญเทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime ยังตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ ที่ต้องการดูดีในเวลาอันสั้น เจ็บน้อยกว่า ไม่ต้องพักฟื้น และยังสามารถแต่งหน้า กลับไปทำงาน หรือใช้ชีวิตประจำวันได้ทันทีหลังทำ โดยยังคงผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติและคงอยู่ได้นาน

     

    ในปี 2025 นี้ เทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime จึงได้กลายเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่ถูกจับตามองมากที่สุด ทั้งจากผู้เชี่ยวชาญในแวดวงความงาม และผู้บริโภคที่ใส่ใจในคุณภาพและผลลัพธ์ระยะยาว

     

    ความแตกต่างของเทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime เมื่อเทียบกับเทคโนโลยีอื่น

    • รูปแบบพลังงานที่ใช้

    Ultherapy Prime และ Ultherapy SPT ใช้พลังงานอัลตราซาวนด์แบบจุด หรือ Micro-focused Ultrasound (MFU-V) ซึ่งสามารถส่งพลังงานลงสู่ผิวในระดับลึกเฉพาะจุด เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่อย่างแม่นยำ โดยไม่ทำร้ายผิวชั้นบน ในขณะที่ Thermage FLX ใช้พลังงานคลื่นวิทยุ (Monopolar RF) ที่ปล่อยความร้อนกระจายลงสู่ผิวในลักษณะกว้าง ไม่ได้เจาะจงเป็นจุดเหมือนกับ Ulthera

    • ชั้นผิวที่รักษา

    Ultherapy Prime และ Ultherapy SPT โดดเด่นด้วยการยิงพลังงานได้ลึกถึงชั้น SMAS (Superficial Musculoaponeurotic System) ซึ่งเป็นชั้นผิวเดียวกับที่ศัลยแพทย์ใช้ในการผ่าตัดดึงหน้า อีกทั้งยังสามารถเลือกใช้หัวยิงได้หลายระดับความลึก ทั้ง 1.5, 3.0 และ 4.5 มิลลิเมตร ขณะที่ Thermage FLX นั้น ยิงพลังงานได้ลึกสุดถึงชั้นหนังแท้และชั้นไขมันเท่านั้น

    • ความแม่นยำในการรักษา

    Ultherapy Prime มีระบบ Visualization แบบเรียลไทม์ที่ช่วยให้แพทย์สามารถมองเห็นชั้นผิวจริงบนหน้าจอ Full HD ก่อนทำการยิงพลังงานในแต่ละจุด ซึ่งถือเป็นจุดแข็งสำคัญที่มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม ช่วยให้การรักษามีความแม่นยำ และลดโอกาสการยิงพลังงานผิดจุด

    • ความรู้สึกขณะทำและการฟื้นตัว

    ด้วยการประมวลผลที่เร็วขึ้นของ Ultherapy Prime ผู้รับบริการจึงรู้สึกสบายมากขึ้น เจ็บน้อยลง และใช้เวลาทำหัตถการสั้นกว่ารุ่นเดิม ส่วน Thermage FLX มักให้ความรู้สึกอุ่นหรือร้อนเป็นระยะขณะทำ ขึ้นอยู่กับความไวของผิวแต่ละบุคคล

    • ความเหมาะสมในการใช้งาน

    Ultherapy Prime และ Ultherapy SPT เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับใบหน้าให้เห็นผลลึกถึงโครงสร้างผิว เช่น ผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยบริเวณแก้ม กรอบหน้า คาง หรือหางตา ส่วน Thermage FLX เหมาะกับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวให้เรียบเนียน ลดริ้วรอย และกระตุ้นผิวในระดับผิวชั้นหนังแท้และชั้นไขมัน

     

    เทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime เหมาะกับใคร?
    เทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime เหมาะกับใคร?

     

    เทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime เหมาะกับใคร?

    • Ultherapy Prime เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย หรือเริ่มสูญเสียความกระชับ
    • Ultherapy Prime เหมาะสำหรับผู้ที่แก้มห้อย ร่องแก้มลึก หรือมุมปากตก
    • Ultherapy Prime เหมาะสำหรับผู้ที่คางสองชั้น เหนียง ใต้คางไม่กระชับ
    • Ultherapy Prime เหมาะสำหรับผู้ที่แนวกรอบหน้าไม่ชัด ต้องการปรับให้ได้รูปขึ้น
    • Ultherapy Prime เหมาะสำหรับผู้ที่ผิวบริเวณลำคอหรือเนินอกหย่อนยาน
    • Ultherapy Prime เหมาะสำหรับผู้ที่หนังตาตก หางตาตก ต้องการยกขึ้นโดยไม่ศัลยกรรม
    • Ultherapy Prime เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวหน้าให้ดูอ่อนเยาว์แบบดูเป็นธรรมชาติ
    • Ultherapy Prime เหมาะสำหรับผู้ที่หลีกเลี่ยงการผ่าตัด หรือหัตถการที่ต้องพักฟื้น
    • Ultherapy Prime เหมาะสำหรับผู้ที่กลัวเข็ม กลัวแผล หรือไม่ต้องการมีรอยช้ำหลังทำ
    • Ultherapy Prime เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่มีเวลาหยุดพักงาน ต้องการหัตถการที่ทำแล้วใช้ชีวิตต่อได้ทันที
    • Ultherapy Prime เหมาะสำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัวบางอย่างที่ไม่สามารถผ่าตัดได้
    • Ultherapy Prime เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย แต่ต้องการผลลัพธ์ที่ชัดเจน

     

    หมายเหตุ:

    ประสิทธิภาพของการรักษาอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับสภาพผิว อายุ โครงสร้างใบหน้า และการดูแลหลังทำ เพื่อผลลัพธ์ที่ตรงกับความต้องการของผู้รับบริการ ควรเข้ารับการประเมินจากแพทย์ก่อนทุกครั้ง เพื่อวางแผนการรักษาเฉพาะบุคคลให้เหมาะสมกับโครงสร้างผิว และเป้าหมายความงามของแต่ละคนอย่างแท้จริง

     

    เทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime ไม่เหมาะกับใคร?

    • Ultherapy Prime ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ตั้งครรภ์หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร
    • Ultherapy Prime ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีโรคเรื้อรังควบคุมไม่ได้ เช่น โรคหัวใจขั้นรุนแรง ลมชัก เบาหวานชนิดรุนแรง
    • Ultherapy Prime ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemaker) หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ฝังในร่างกาย
    • Ultherapy Prime ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีประวัติผิวแผลเป็นนูน (Keloid) หรือ แผลหายยาก
    • Ultherapy Prime ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีการติดเชื้อบริเวณใบหน้าหรือลำคอ เช่น เริม แผลอักเสบ สิวอักเสบรุนแรง
    • Ultherapy Prime ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะไวต่อความร้อนหรือคลื่นอัลตราซาวนด์ผิดปกติ
    • Ultherapy Prime ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะเลือดออกง่ายผิดปกติ หรือมีปัญหาเกล็ดเลือดต่ำ
    • Ultherapy Prime ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เพิ่งทำเลเซอร์หรือหัตถการที่ระคายเคืองผิวหนัก ภายใน 1-2 สัปดาห์
    • Ultherapy Prime ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวที่อักเสบ มีแผลถลอก รอยไหม้ หรือถูกแดดเผารุนแรง
    • Ultherapy Prime ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีสิวอักเสบรุนแรงทั่วใบหน้า 
    • Ultherapy Prime ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่หวังผลลัพธ์เหมือนการดึงหน้าด้วยศัลยกรรมในครั้งเดียว
    • Ultherapy Prime ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงใบหน้าแบบชัดเจนในทันที
    • Ultherapy Prime ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีไขมันใบหน้าเยอะมาก หรือกล้ามเนื้อใบหน้าใหญ่
    • Ultherapy Prime ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เพิ่งผ่านหัตถการที่มีผลต่อผิวหรือโครงสร้างผิว
    • Ultherapy Prime ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่อยู่ระหว่างการรักษาด้วยยาบางชนิด เช่น กลุ่มยาสเตียรอยด์ กลุ่มยารักษามะเร็ง หรือยารักษาสิวแรง ๆ

     

    คำแนะนำ:

    สำหรับผู้ที่มีภาวะสุขภาพเฉพาะ หรือกำลังรับการรักษาทางการแพทย์ ควรแจ้งข้อมูลอย่างละเอียดกับแพทย์ก่อนเข้ารับบริการ Ultherapy Prime ทุกครั้ง 

     

    เทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime ช่วยอะไรบ้าง?
    เทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime ช่วยอะไรบ้าง?

     

    เทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime ช่วยอะไรบ้าง?

    • Ultherapy Prime ช่วยยกกระชับผิวหน้าโดยไม่ต้องผ่าตัด
    • Ultherapy Prime ช่วยยกแนวกรอบหน้าให้คมชัด ลดความหย่อนคล้อยที่ทำให้หน้าดูโทรม
    • Ultherapy Primeช่วยยกกระชับแก้ม แก้มล่าง และลดการหย่อนคล้อยของแนวขากรรไกร
    • Ultherapy Prime ช่วยให้ใบหน้าดูเรียวได้รูป โดยไม่ต้องใช้โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์หรือศัลยกรรม
    • Ultherapy Prime ช่วยยกคิ้วและหนังตาที่ตก ให้ดวงตาดูสดใสและโตขึ้น
    • Ultherapy Prime ช่วยยกหางตาที่ตกจากอายุหรือแรงโน้มถ่วง
    • Ultherapy Prime ช่วยลดเหนียงใต้คาง คางสองชั้น และไขมันเล็ก ๆ บริเวณใต้คาง
    • Ultherapy Prime ช่วยกระชับผิวบริเวณลำคอ ลดริ้วรอยและรอยพับแนวคอ
    • Ultherapy Prime ช่วยฟื้นฟูผิวบริเวณเนินอกที่เริ่มมีริ้วรอยและความหย่อนคล้อย
    • Ultherapy Prime ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ในชั้นผิวลึก
    • Ultherapy Prime ทำให้ผิวแน่นขึ้นจากภายใน โดยไม่ต้องพึ่งสารเติมเต็ม
    • Ultherapy Prime ช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยใหม่ และลดเลือนริ้วรอยเดิมอย่างดูเป็นธรรมชาติ
    • Ultherapy Prime ปรับผิวให้ดูเรียบเนียนและอ่อนเยาว์
    • Ultherapy Prime ช่วยสีผิวสม่ำเสมอมากขึ้นจากการกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด
    • Ultherapy Prime ลดความหยาบกร้านที่เกิดจากความหย่อนคล้อย
    • Ultherapy Prime ช่วยให้ผิวหน้าและลำคอไม่หย่อนคล้อยเร็ว
    • Ultherapy Prime ช่วยยืดอายุผิวให้นานขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งศัลยกรรม
    • Ultherapy Prime ไม่ต้องฉีด ไม่ต้องผ่า ไม่มีรอยแผล
    • Ultherapy Prime ไม่ต้องหยุดงานหรือพักฟื้นนาน เหมาะกับคนมีเวลาน้อย
    • Ultherapy Prime สามารถแต่งหน้าและใช้ชีวิตประจำวันได้ทันทีหลังทำ
    • Ultherapy Prime ไม่มีสารแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกาย
    • Ultherapy Prime มีงานวิจัยรองรับ และผ่านการรับรองมาตรฐานระดับสากล

     

    เทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime ทำบริเวณใดได้บ้าง?
    เทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime ทำบริเวณใดได้บ้าง?

     

    เทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime ทำบริเวณใดได้บ้าง?

    • Ultherapy Prime ทำบริเวณกรอบหน้า ยกกระชับแนวขากรรไกร ทำให้กรอบหน้าชัด
    • Ultherapy Prime ทำบริเวณแก้มส่วนล่าง ลดความหย่อนคล้อยของแก้ม ทำให้ใบหน้าดูเรียวขึ้น
    • Ultherapy Prime ทำบริเวณแก้มส่วนบน ยกพยุงผิวจากแนวโหนกแก้ม ช่วยลดร่องแก้มลึก
    • Ultherapy Prime ทำบริเวณใต้ตา ลดถุงใต้ตาเล็ก ๆ ผิวกระชับขึ้น
    • Ultherapy Prime ทำบริเวณรอบตาและหางตา ลดริ้วรอยรอบตา ยกหางตาให้ดูสดใสขึ้น
    • Ultherapy Prime ทำบริเวณหน้าผาก ยกคิ้วและผิวหน้าผาก ช่วยเปิดดวงตาให้ดูกลมโตขึ้น
    • Ultherapy Prime ทำบริเวณคาง ปรับรูปคางให้เรียบแน่น ลดคางสองชั้น
    • Ultherapy Prime ทำบริเวณใต้คาง ลดไขมันสะสมเล็กน้อย และกระชับผิวบริเวณเหนียง
    • Ultherapy Prime ทำบริเวณลำคอ ลดริ้วรอยแนวนอนที่คอ ยกผิวให้แน่น เรียบขึ้น
    • Ultherapy Prime ทำบริเวณมุมปากตก ปรับรอยพับที่ทำให้หน้าดูเศร้า
    • Ultherapy Prime ทำบริเวณแนวกรามด้านข้าง เหมาะสำหรับคนที่กรามตก หย่อนคล้อย
    • Ultherapy Prime ทำบริเวณเนินอก ลดริ้วรอยและรอยย่นจากการนอนตะแคง ผิวบริเวณอกตึงกระชับมากขึ้น

     

    เตรียมตัวก่อนทำเทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime อย่างไร?

    • ก่อนทำเทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime ควรพักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงการนอนดึก
    • ก่อนทำเทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime ควรดื่มน้ำมาก ๆ ในช่วง 1-2 วันก่อนทำ เพื่อให้ผิวมีความชุ่มชื้น
    • ก่อนทำเทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime ควรแจ้งแพทย์หากมีประวัติแพ้ยา 
    • ก่อนทำเทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime ควรแจ้งประวัติโรคประจำตัวกับแพทย์
    • ก่อนทำเทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime หลีกเลี่ยงการใช้ยากลุ่มต้านการแข็งตัวของเลือด  อย่างน้อย 3-5 วัน
    • ก่อนทำเทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์ 24-48 ชั่วโมง
    • ก่อนทำเทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime งดสูบบุหรี่ก่อนทำ 1-2 วัน
    • ก่อนทำเทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime งดการขัดหน้า, สครับ หรือเลเซอร์รุนแรง 5-7 วัน
    • ก่อนทำเทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime งดทาครีมที่มีส่วนผสมของกรดและเรตินอล ประมาณ 3-5 วัน

     

    ดูแลตัวเองหลังทำเทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime อย่างไร?
    ดูแลตัวเองหลังทำเทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime อย่างไร?

     

    ดูแลตัวเองหลังทำเทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime อย่างไร?

    • หลังทำเทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime ควรใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่อ่อนโยน
    • หลังทำเทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime ควรทาครีมบำรุงหรือมอยส์เจอไรเซอร์เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว
    • หลังทำเทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime ควรทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 50 PA+++ เป็นประจำทุกวัน
    • หลังทำเทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime ควรดื่มน้ำ อย่างน้อยวันละ 2 ลิตร เพื่อให้ผิวชุ่มชื้น
    • หลังทำเทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime ควรพักผ่อนให้เพียงพอ 7-8 ชั่วโมงต่อวัน
    • หลังทำเทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime หลีกเลี่ยงการโดนแดดจัดโดยตรงในช่วง 5-7 วันแรก
    • หลังทำเทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก หรือทำกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกมากใน 1-2 วันแรก
    • หลังทำเทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime งดการนวดหน้า ขัดหน้า หรือทำทรีตเมนต์แรง ๆ บนใบหน้าเป็นเวลาอย่างน้อย 1 สัปดาห์
    • หลังทำเทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime หลีกเลี่ยงการทำหัตถการอื่น ในช่วง 2-4 สัปดาห์
    • หลังทำเทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime งดจับใบหน้าหรือกดผิวบริเวณที่ทำในช่วง 24 ชั่วโมงแรก
    • หลังทำเทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ในช่วง 3-7 วัน

     

    ในยุคที่ความงามต้องมาพร้อมกับผลลัพธ์ที่จับต้องได้ เทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime ถือว่าเป็นเทคโนโลยีที่ผสานความแม่นยำทางการแพทย์เข้ากับความสบายของผู้รับบริการ โดยไม่ต้องพึ่งการผ่าตัดหรือฉีดสารใด ๆ เข้าสู่ร่างกาย ด้วยระบบ MFU-V และ Visualization แบบเรียลไทม์ ที่ช่วยให้แพทย์รักษาได้ตรงจุด มีประสิทธิภาพ และลดความเสี่ยง

    ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่เริ่มมีสัญญาณของความหย่อนคล้อย หรือผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวให้กลับมาเฟิร์มและดูอ่อนเยาว์แบบดูเป็นธรรมชาติ เทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime คือทางเลือกที่ตอบโจทย์ทั้งในด้านผลลัพธ์ และความคุ้มค่าระยะยาว

    อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์ที่ได้อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับสภาพผิว อายุ การดูแลหลังทำ และการประเมินของแพทย์ จึงแนะนำให้เข้ารับคำปรึกษากับแพทย์ก่อนตัดสินใจ เพื่อวางแผนการรักษาให้ตรงกับความต้องการ และความเหมาะสมของคุณที่สุด

    หากคุณกำลังมองหาเทคโนโลยีที่ช่วยให้หน้าเรียว ยกกระชับ โดยไม่ต้องผ่าตัด และได้รับการแนะนำจากแพทย์ผิวหนังทั่วโลก เทคโนโลยียกกระชับ Ultherapy Prime อาจเป็นคำตอบที่คุณตามหา

    ยุบและยกหน้าเรียวกระชับ X 2 ต้องลอง คุณมิว ลักษณ์นารา ท้าให้ลอง

    ยกหน้าเรียวกระชับด้วย Oligio และ Ultraformer MPT

    ยุบและยกหน้าเรียวกระชับด้วย Oligio และ Ultraformer MPT 4D Lift คุณมิว ลักษณ์นารา ท้าให้ลอง

     

    ถ้าคิดว่าตัวเองสวย แต่ยังสวยไม่สุดซักที อยากให้มาลองทำ 2 โปรแกรมนี้แบบคุณมิว ลักษณ์นาราที่รมย์รวินท์คลินิก แล้วจะรู้ว่าความสวยขั้นสุดเป็นยังไง คุณมิวทำแล้วมั่นใจ 1000% จึ้งสุดๆ ไปเลยแม๊!!

     

    มิวรู้สึกว่าตัวเองยังสวยไม่สุด ยังสวยได้มากกว่านี้อีก มิวก็เลยขอเข้ามาปรึกษากับคุณหมอโป้ง (นพ.อดิเทพ ทาสม : ว.64810) ที่รมย์รวินท์คลินิกเนี่ยแหละค่ะ ก็แหมม..เป็นผู้หญิงก็ต้องไม่หยุดพัฒนาความสวยสิคะ ต้องสวย ต้องจึ้งให้สุด และที่มิวตัดสินใจเลือกรมย์รวินท์คลินิกก็เพราะมิวมาทำหน้าที่นี่บ่อยๆ อยู่แล้ว และเชื่อมั่นในตัวคุณหมอด้วยรีเควสต์อะไร อยากได้แบบไหนคุณหมอก็จัดการให้ได้หมดค่ะ มิวก็เลยติดใจขอฝากหน้าและความสวยให้รมย์รวินท์คลินิกช่วยดูแลยาวไปเลย ไม่เปลี่ยนใจแล้วค่ะ 

     

    ยกหน้าเรียวกระชับด้วย Oligio และ Ultraformer MPT
    ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

     

    ก่อนทำคุณหมอจะให้มิววิเคราะห์ผิวด้วยโปรแกรม Lifting Select ซึ่งเป็นเทคนิคเฉพาะของรมย์รวินท์คลินิกที่ช่วยวิเคราะห์ผิวเพื่อแก้ไขได้อย่างตรงจุดผ่าน 3 เฟรมเวิร์ก คือ

    • Frame Selection แก้ไขโครงหน้าและชั้นผิวให้กลับมาอ่อนเยาว์
    • Light & Shadow Me เพิ่มมิติให้ใบหน้าเกิดความชัดเจนมากกว่าที่เคย
    • Conceal Selction เผยผิวอย่างมั่นใจโดยไม่ต้องปกปิดปัญหาอีกต่อไป 

     

    ซึ่งคุณหมอเลือกเติมความสวยขั้นสุดในเฟรมเวิร์กที่ 1 นั่นก็คือ Frame Selection ให้กับมิวในวันนี้ค่ะ หลังจากที่ได้ปรึกษาคุณหมอแล้ววันนี้คุณหมอเลือกทำโปรแกรม Oligio และโปรแกรม Ultraformer MPT 4D Lift ให้กับมิวค่ะ โปรแกรมแรก โปรแกรม Oligio ซึ่งเป็นโปรแกรมที่ตอบโจทย์มิวมากค่ะ เพราะนอกจากเรื่องยกความหย่อนคล้อยให้ผิวกระชับแล้ว ใครที่มีพวกแฟตส่วนเกิน แก้มบาน มีเหนียง คางสองชั้น โปรแกรม Oligio ช่วยได้ทำให้หน้าลีน เฟิร์ม และยังช่วยลดพวกริ้วรอยเล็กได้อีกด้วยค่ะ และโปรแกรม Oligio ยังช่วยปรับผิวให้มีความเรียบเนียน คุณภาพดีด้วย ทำเครื่องนี้เครื่องเดียวได้ทั้งความ ลีน ลด ยก เฟิร์มเลยค่ะ และโปรแกรม Ultraformer MPT 4D Lift ตัวนี้เขาเด่นในเรื่องการยกกระชับผิว เก็บกรอบหน้าให้เรียวได้รูป V-Shape สุดๆ ช่วยลดริ้วรอยให้ผิวเรียบเนียน และยังมีหัวปากกาที่ช่วยเก็บรายละเอียดงานผิวให้เนียนยิ่งขึ้นไปอีก เรียกได้ว่าดูดีทุกมิติเลยค่ะ 

     

    ตอนทำคุณหมอจะให้มิวคอยเช็คผลลัพธ์อยู่ตลอดๆ ว่าผลลลัพธ์ที่ได้จะเป็นประมาณไหน หรือถ้ามิวมีความกังวลตรงจุดไหน คุณหมอก็สามารถแก้ให้ได้อย่างตรงส่วนตรงไหนที่เราดีอยู่แล้วคุณหมอก็จะบอกเลยว่าดีแล้วไม่ต้องทำอะไรเยอะเลย ซึ่งมิวประทับใจมากเพราะคุณหมอจริงใจมากอยากทำให้เราสวย ดูดีในแบบตัวเองเลย และหลังจากทำทั้งโปรแกรม Oligio และ โปรแกรม Ultraformer MPT 4D Lift เสร็จ มิวรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงหลังทำเลยว่าหน้าเฟิร์ม กระชับขึ้นทันทีเลยค่ะ และผลลัพธ์ที่ได้หลังทำครบ 1 เดือน เห็นได้ชัดเลยว่ากรอบหน้าของมิวชัดขึ้นมาก จากที่เคยเป็นคนคางสั้นก็คือตอนนี้หน้าดูดี ดูชัดขึ้นมาก ได้ผลลัพธ์ขนาดนี้ก็คือมิวปลื้มสุดๆ ไปเลยค่ะ ต้องยกความดี ความชอบให้กับคุณหมอมากเลยที่ช่วยทำให้หน้าของมิวจึ้งได้ขนาดนี้ ก่อนทำและหลังทำมิวเห็นได้ชัดเลยว่าต่างกันมาก 

     

    ใครที่รู้สึกว่าตัวเองสวยไม่สุดบ้างคะ ต้องลองมาทำ 2 โปรแกรมนี้เลย ทั้งโปรแกรม Oligio และโปรแกรม Ultraformer MPT 4D Lift ที่รมย์รวินท์คลินิก มิวบอกเลยว่ามันเริ่ดมาก ผลลัพธ์ที่ได้รับมันเกินความคาดหมายมากๆ ใครที่กำลังเลอยู่ขอบอกให้มาลองทำเลยไม่มีผิดหวังแน่นอน แล้วคุณจะรู้สึกสวยขึ้นอีก 1000% ค่ะ  

     

    ยกหน้าเรียวกระชับด้วย Oligio และ Ultraformer MPT
    ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

     

    ยุบและยกหน้าเรียวกระชับด้วย Oligio และ Ultraformer MPT 4D Lift คุณมิว ลักษณ์นารา ท้าให้ลอง

    ทำไมต้องทำโปรแกรม Oligio แบบคุณมิว ลักษณ์นารา

    • โปรแกรม Oligio ยกกระชับผิวด้วยพลังงาน Monopolar RF 
    • โปรแกรม Oligio ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้เกิดการเรียงตัวกันให้ผิวแน่นเฟิร์มกว่าเดิม
    • โปรแกรม Oligio ยิงพลังงานลงสู่ชั้นไขมัน ช่วยสลายแฟตส่วนเกินบริเวณแก้ม เหนียง คางสองชั้น ให้หน้าเรียวลีน
    • โปรแกรม Oligio เห็นผลลัพธ์ความยกกระชับหลังทำทันที 20-30% 
    • โปรแกรม Oligio นอกจากเรื่องยกกระชับยังช่วยปรับคุณภาพผิวให้มีคุณภาพดี เรียบเนียนมากขึ้น
    • โปรแกรม Oligio สามารถทำบริเวณลำคอ หรือลำตัวได้เช่นกัน แก้ไขความหย่อนคล้อยให้ผิวกระชับทั่วเรือนร่าง

     

    ทำไมต้องทำโปรแกรม Ultraformer MPT 4D Lift แบบคุณมิว ลักษณ์นารา

    • โปรแกรม Ultraformer MPT 4D Lift ยกกระชับผิวด้วยพลังงาน Micro Pulsed Technology 
    • โปรแกรม Ultraformer MPT 4D Lift ยิงพลังงานลงลึกถึงชั้น SMAS
    • โปรแกรม Ultraformer MPT 4D Lift ปล่อยพลังงาน 417 จุด ใน 1 ช็อต ใช้เวลาน้อยกว่า 1 วินาที ทำให้ผิวบริเวณที่ทำยังไม่ทันได้รับรู้ถึงความเจ็บ
    • โปรแกรม Ultraformer MPT 4D Lift ช่วยยกกระชับผิว ลดเลือนริ้วรอย และเก็บกรอบหน้าให้คมชัดมีมิติ
    • โปรแกรม Ultraformer MPT 4D Lift มีหัว Ultra Booster ช่วยเก็บงานผิวกระชับรูขุมขน
    • โปรแกรม Ultraformer MPT 4D Lift เห็นผลลัพธ์ความยกกระชับหลังทำได้ถึง 20% 

     

    สวยให้สุดต้องมาปรึกษากับคุณหมอที่รมย์รวินท์คลินิกได้ทั้ง 28 สาขาทั่วประเทศ ใกล้ที่ไหนไปที่นั่นนะคะ 

    อันตราย! ฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจนแล้วตาบอด

    อันตราย! ฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจนแล้วตาบอด

    อันตราย! ฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจนแล้วตาบอด

    เกิดเหตุการณ์สุดช็อกในวงการความงาม จนกลายเป็นประเด็นร้อนแรงที่สร้างกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในโลกโซเชียลอย่างหนัก สืบเนื่องมาจากมีผู้เสียหายรายหนึ่ง ได้เข้ารับบริการฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจนกลุ่ม Biostimulator จากต่างประเทศ แล้วเกิดภาวะเส้นเลือดอุดตันในจอประสาทตาอย่างเฉียบพลัน จนส่งผลให้สูญเสียการมองเห็น หรือตาบอดอย่างถาวร ซึ่งแพทย์หลาย ๆ ท่านได้ออกมาเตือนภัยว่า การฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจนนั้น หากฉีดโดยแพทย์ที่ขาดความชำนาญ อาจทำให้เสี่ยงฉีดผิดตำแหน่ง จนเกิดการอุดตันในเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงจอประสาทตาได้ ซึ่งในกรณีนี้ ถือเป็นอุทาหรณ์สำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจน วันนี้ รมย์รวินท์คลินิก จะมาให้ความรู้เกี่ยวกับการฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจนแล้วตาบอดว่า เกิดจากสาเหตุอะไร? มีวิธีแก้ไข? และป้องกันอย่างไร? สามารถหาคำตอบได้ในบทความนี้ค่ะ

     

    ฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจนแล้วตาบอด เกิดจากอะไร? มีวิธีแก้ไขไหม?

     

    ฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจนแล้วตาบอด
    ฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจนแล้วตาบอด

     

    ฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจน คืออะไร?

    การฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจน เป็นการฉีดสารชนิดหนึ่งในกลุ่ม Biostimulator เข้าไปยังผิวหนัง เพื่อกระตุ้นกระบวนการสร้างคอลลาเจนตามธรรมชาติของร่างกาย โดยจะเน้นในการฟื้นฟูโครงสร้างผิว ให้มีความแน่นกระชับ ยืดหยุ่น และแข็งแรงในระยะยาว ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้จะค่อยเป็นค่อยไป ทำให้มีความเป็นธรรมชาติ และไม่ทำให้โครงสร้างใบหน้าเปลี่ยน โดยสารกระตุ้นคอลลาเจนที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน ได้แก่ PLLA (Poly-L-Lactic Acid), CaHA (Calcium Hydroxylapatite), PDO (Polydioxanone) หรือ PDLLA (Poly-D, L-Lactic Acid)

     

    ฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจนแล้วตาบอด เกิดจากอะไร?

    การฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจนแล้วตาบอดนั้น เกิดจากการที่สารเข้าไปอุดตันเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงจอประสาทตา ทำให้สูญเสียการมองเห็นอย่างเฉียบพลัน ซึ่งแม้จะมีโอกาสพบได้น้อยมาก แต่ก็สามารถเกิดขึ้นได้ โดยสาเหตุหลักจากการฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจนแล้วตาบอด มีดังนี้

    • ฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจนผิดตำแหน่ง

    การฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจนผิดตำแหน่ง อาจทำให้เสี่ยงต่อการตาบอดได้ โดยเฉพาะในบริเวณที่มีเส้นเลือดสำคัญจำนวนมาก เช่น ระหว่างคิ้ว จมูก ใต้ตา หรือหน้าผาก เนื่องจากตำแหน่งเหล่านี้ มีเส้นเลือดที่เชื่อมต่อกับดวงตาโดยตรง หากฉีดผิดพลาดเข้าไปในเส้นเลือด อาจทำให้สารเกิดการอุดตันเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงจอประสาทตา จนส่งผลให้เกิดภาวะขาดเลือดเฉียบพลัน และสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรได้

    • ฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจนกับแพทย์ที่ขาดความชำนาญ

    การฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจนกับแพทย์ที่ไม่มีความชำนาญ และขาดประสบการณ์ อาจทำให้เสี่ยงต่อการตาบอดได้ โดยเฉพาะเมื่อฉีดในบริเวณที่มีเส้นเลือดเชื่อมต่อกับดวงตาโดยตรง หากพลาดฉีดผิดตำแหน่ง หรือใช้เทคนิคในการฉีดที่ไม่เหมาะสม อาจทำให้สารเข้าไปอุดตันเส้นเลือด และส่งผลให้จอประสาทตาขาดเลือดเฉียบพลัน จนทำให้สูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรได้

    • ขั้นตอนการเตรียมยาไม่ถูกต้อง 

    การเตรียมยา และผสมยาไม่ถูกต้อง ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการตาบอดได้เช่นกัน โดยเฉพาะหากมีการผสมยาในอัตราส่วนที่ไม่เหมาะสม หรือผสมผิดวิธี เช่น ไม่ใช้เครื่องเขย่า เพื่อให้ตัวยากลายเป็นเนื้อเดียวกัน อาจทำให้ตัวยามีลักษณะเป็นก้อน และไม่กระจายตัวอย่างสม่ำเสมอ เมื่อฉีดเข้าสู่ผิวหนัง จึงเสี่ยงต่อการเข้าสู่เส้นเลือดได้ง่าย และส่งผลให้เกิดการอุดตันเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงจอประสาทตา จนสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรได้

    • ใช้สารกระตุ้นคอลลาเจนปลอม

    การใช้สารกระตุ้นคอลลาเจนปลอมไม่ได้มาตรฐาน อาจทำให้เสี่ยงต่อการตาบอดได้ เนื่องจากสารกระตุ้นคอลลาเจนปลอม มักมีส่วนประกอบที่ไม่มีคุณภาพ อนุภาคไม่สม่ำเสมอ และมีการปนเปื้อนสารอันตราย ซึ่งมีแนวโน้มที่จะจับตัวเป็นก้อนแข็ง และเพิ่มโอกาสในการอุดตันเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงจอประสาทตาได้ง่ายกว่า สารกระตุ้นคอลลาเจนแท้ที่ได้รับการรับรองจาก อย.

     

    ฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจนแล้วตาบอด แก้ไขได้อย่างไร?

    ในกรณีที่ฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจนแล้วเกิดการตาบอด โดยเฉพาะจากการอุดตันเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงจอประสาทตา หากพบว่า มีอาการตาพร่ามัว หรือสูญเสียการมองเห็นกะทันหันหลังฉีด ถือเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ที่ต้องรีบเข้ารับการรักษาอย่างเร่งด่วน ภายใน 90 นาทีแรก เพื่อเพิ่มโอกาสในการฟื้นฟูการมองเห็นได้บางส่วน ทั้งนี้ ผลการรักษาขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ และระยะเวลาที่ได้รับการรักษา 

     

    ฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจนอย่างไรให้ไม่เสี่ยงตาบอด?

    • เลือกฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจนกับแพทย์ที่มีความชำนาญ สามารถฉีดเข้าไปในตำแหน่งที่เหมาะสมได้อย่างแม่นยำ และสามารถผสมตัวยาในอัตราส่วนที่ถูกต้อง
    • เลือกคลินิกที่มีมาตรฐานทางการแพทย์ มีอุปกรณ์ และเครื่องมือที่ทันสมัย รวมถึง มีใบอนุญาตประกอบกิจการสถานพยาบาลอย่างถูกต้อง 
    • แจ้งข้อมูลสุขภาพให้แพทย์ทราบอย่างครบถ้วน เช่น ประวัติการรักษา ประวัติโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา และยาที่ใช้อยู่ เพื่อให้แพทย์ประเมินความเสี่ยงอย่างเหมาะสม
    • ใช้สารกระตุ้นคอลลาเจนแท้ ที่ได้รับการรับรอง และผ่านการขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้องจาก อย. 
    • ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
    • หมั่นสังเกตอาการของตนเองหลังฉีด หากพบว่ามีอาการตาพร่ามัว สีผิวเปลี่ยนสี เห็นภาพซ้อน หรือปวดตารุนแรง ควรรีบพบแพทย์เพื่อทำการรักษา ภายใน 90 นาที

     

    การฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจน แม้จะเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมในการฟื้นฟูความอ่อนเยาว์ให้ผิว แต่หากฉีดโดยแพทย์ที่ขาดความชำนาญ หรือพลาดฉีดผิดตำแหน่ง อาจทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรได้ แม้จะมีโอกาสเกิดขึ้นน้อยมากก็ตาม ดังนั้น ก่อนตัดสินใจฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจน ควรเข้ารับการปรึกษาแพทย์ที่มีความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับกายวิภาคศาสตร์ใบหน้าอย่างละเอียด เพื่อให้แพทย์ประเมิน วิเคราะห์ และวางแผนการรักษาอย่างเหมาะสม พร้อมเลือกคลินิกที่มีมาตรฐาน และใช้สารกระตุ้นคอลลาเจนแท้ที่ผ่านการรับรองจาก อย. เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนอันตรายหลังฉีด

    The Face Lift รวม 6 โปรแกรมยกกระชับหน้าแบบตัวแม่ที่รมย์รวินท์คลินิก

    The Face

    The Face Lift รวม 6 โปรแกรมยกกระชับหน้าแบบตัวแม่ที่รมย์รวินท์คลินิก

    The Face Lift Thailand เตรียมพร้อมเขย่าวงการยกกระชับหน้าจึ้งแบบตัวแม่ เป๊ะทุกมุมมอง เก็บหมดทุกความหย่อนคล้อยต้อง รมย์รวินท์คลินิก เท่านั้น รวมสุดยอดเทคโนโลยียกกระชับไว้ในที่เดียว ไม่ว่าคุณจะมีปัญหาผิวหน้าแบบไหนก็สามารถกลับมาอ่อนเยาว์ได้ โดยไม่ต้องผ่าตัด และไม่ต้องพักฟื้น บทความนี้ จะมาเปิดเคล็ดลับยกกระชับ ปรับหน้าจึ้งฉบับรมย์รวินท์ จะมีโปรแกรมอะไรบ้างนั้น? เรารวบรวมมาให้แล้วค่ะ

     

    รวม 6 โปรแกรมยกกระชับ ปรับหน้าจึ้ง

    • Ultherapy Prime

    Ultherapy Prime คือ เทคโนโลยียกกระชับผิวที่มีการปรับปรุงรูปลักษณ์ และประสิทธิภาพในการรักษาให้สูงขึ้น ซึ่งต่อยอดมาจาก Ulthera รุ่นก่อนหน้า โดยถูกพัฒนาขึ้นมาให้มีความรวดเร็วเพิ่มขึ้นถึง 20% และมีหน้าจอแสดงผลขนาดใหญ่เพิ่มขึ้นถึง 35% ซึ่งมาพร้อมกับความคมชัด และความละเอียดสูง ทำให้แพทย์สามารถยกกระชับได้อย่างแม่นยำ และมีความสะดวกสบายมากขึ้น โดย Ultherapy Prime นั้น ใช้พลังงานคลื่นเสียงอัลตราซาวนด์แบบเฉพาะเจาะจง (Micro-Focused Ultrasound) อุณหภูมิอยู่ที่ 60 – 70 องศา ยิงลงลึกเข้าสู่ชั้นผิวหนังมากถึง 3 ระดับ ตั้งแต่ระดับ 1.5 มม. สำหรับเก็บริ้วรอย และรูขุมขน, ระดับ 3.0 มม. สำหรับเก็บความหย่อนคล้อย และระดับ 4.5 มม. สำหรับยกกระชับในชั้น SMAS ซึ่งสามารถแก้ไขปัญหาในแต่ละชั้นผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ผิวกลับมาเฟิร์มแน่น กระชับ และเต่งตึงอย่างดูเป็นธรรมชาติ โดย Ultherapy Prime สามารถคงผลลัพธ์ได้ยาวนาน ประมาณ 12 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล

    • Oligio

    Oligio คือ เทคโนโลยียกกระชับ พร้อมลดไขมัน ซึ่งใช้คลื่นวิทยุ Monopolar RF ที่มีระดับความถี่ 6.78 MHz เข้าไปยังชั้น Dermis และชั้น Subcutaneous Fat ทำให้เกิดความร้อนอุณหภูมิอยู่ที่ 40 – 60 องศา เพื่อทำให้เกิดกระบวนการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และยกกระชับผิวอย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้ง ยังสามารถลดไขมันส่วนเกินบนใบหน้า และแก้ไขปัญหาคาง 2 ชั้น ทำให้เซลล์ไขมันค่อย ๆ ถูกขับออกจากร่างกายตามธรรมชาติ โดยไม่ทำให้ผิวไหม้ หรือเกิดอาการระคายเคืองใด ๆ ส่งผลให้ผิวเรียบเนียน กระชับ เต่งตึง และใบหน้าดูมีมิติมากขึ้น โดย Oligio สามารถคงผลลัพธ์ได้ยาวนาน ประมาณ 6 – 12 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล

    • Thermage FLX

    Thermage FLX คือ เทคโนโลยียกกระชับผิว พร้อมลดไขมัน ซึ่งใช้คลื่นวิทยุที่มีความถี่สูง Monopolar RF ส่งพลังงานความร้อนอุณหภูมิอยู่ที่ 45 – 70 องศา เข้าไปยังชั้น Dermis และชั้น Subcutaneous Fat เพื่อให้เกิดการยกกระชับผิวอย่างมีประสิทธิภาพ โดยความร้อนนี้ทำให้เกิดอาการสั่น Vibration จากนั้นจะส่งผลให้คอลลาเจนเดิมที่มีอยู่หดตัวลง พร้อมกระตุ้นกระบวนการสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ อีกทั้ง ยังสามารถเข้าไปกำจัดเซลล์ไขมันส่วนเกินบริเวณแก้ม และคางสองชั้น เพื่อเพิ่มความคมชัด และเพิ่มมิติให้กับใบหน้า ส่งผลให้ผิวเฟิร์ม แน่นกระชับ และดูอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ โดย Thermage FLX สามารถคงผลลัพธ์ได้ยาวนาน ประมาณ 12 – 24 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล

    • Ultraformer MPT

    Ultraformer MPT คือ เทคโนโลยียกกระชับผิวหน้า ซึ่งใช้พลังงานคลื่นเสียง Micro & Macro Focused Ultrasound ยิงลงลึกเข้าสู่ชั้นผิวหนัง ทำให้เกิดความร้อนสะสมอุณหภูมิอยู่ที่ 65 – 70 องศา โดยสามารถปล่อยพลังงานได้อย่างหลากหลาย และครอบคลุมทุกระดับความลึกชั้นผิว ลงลึกมากถึงชั้น SMAS เพื่อให้เกิดกระบวนการยกกระชับผิวในบริเวณที่หย่อนคล้อย พร้อมกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวแน่น เต่งตึง กระชับ และเก็บรายละเอียดงานผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ทำลายผิวบริเวณโดยรอบ ซึ่ง Ultraformer MPT สามารถคงผลลัพธ์ได้ยาวนาน ประมาณ 8 – 12 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล

    • Emface 

    Emface คือ เทคโนโลยียกกระชับผิว พร้อมสร้างกล้ามเนื้อ ซึ่งใช้พลังงานคลื่นมากถึง 2 ชนิด ได้แก่ HIFES และ Synchronized RF เพื่อแก้ไขปัญหาผิวในทุกระดับชั้นผิว ลงลึกถึงชั้นกล้ามเนื้อ โดยพลังงานคลื่น HIFES นั้น จะเข้าไปกระตุ้น ฟื้นฟู และเพิ่มความหนาแน่นของกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อมีความแข็งแรง กระชับ และตึงตัวมากขึ้น ส่วนพลังงานคลื่น Synchronized RF จะเข้าไปกระตุ้นให้เกิดกระบวนการสร้างคอลลาเจน และอีลาสติน ทำให้ผิวกระชับ แน่นฟู และเรียบเนียนอย่างดูเป็นธรรมชาติ โดยไม่ต้องเจ็บตัว และไม่ต้องใช้ยาชา ซึ่ง Emface Submentum สามารถคงผลลัพธ์ได้ยาวนาน ประมาณ 12 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล

    • Super HIFU

    SUPER HIFU (High Intensity Focused Ultrasound) เป็นเทคโนโลยีที่ใช้พลังงานคลื่นเสียงความเข้มข้นสูงแบบเฉพาะจุด ส่งพลังงานลงลึกผ่านผิวในรูปแบบของ Dot หรือจุดพลังงานเล็กๆ เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในแต่ละชั้นผิวอย่างแม่นยำ

    ความพิเศษของ SUPER HIFU คือการใช้หัว Applicator ที่สามารถเลือกความลึกของพลังงานได้หลากหลายระดับ ได้แก่:1.5 mm – 2.0 mm: กระตุ้นผิวชั้นตื้น เช่น ชั้นหนังแท้และใต้ผิวระดับบน ช่วยเรื่องความเรียบเนียนและความยืดหยุ่นผิว 3.0 mm: ทำงานในชั้นไขมันใต้ผิว ช่วยยกกระชับและลดไขมันส่วนเกินเล็กน้อย ,4.5 mm: เจาะลึกถึงชั้น SMAS (Superficial Musculoaponeurotic System) ซึ่งเป็นชั้นเดียวกับที่ใช้ในการผ่าตัดดึงหน้า ทำให้ได้ผลลัพธ์การยกกระชับใกล้เคียงการศัลยกรรมแบบไม่ต้องผ่าตัด ,6.0 mm และ 13.0 mm: สำหรับบริเวณลำตัวหรือไขมันสะสมมาก เช่น ใต้คาง หน้าท้อง ต้นแขน สามารถออกแบบผลลัพธ์เฉพาะบุคคล ได้อย่างแม่นยำ ครอบคลุมทั้งการยกกระชับหน้า ลดริ้วรอย ลดเหนียง และแม้กระทั่งสัดส่วนในบางบริเวณ

     

    อย่าพลาดโอกาส! ยกหน้าก่อนใครได้แล้ววันนี้ที่ รมย์รวินท์คลินิก

    สำหรับใครที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย มีริ้วรอย ร่องลึก และไขมันสะสม สามารถเข้ามาปรึกษาแพทย์ได้ที่ รมย์รวินท์คลินิก ทุกสาขา เรารวบรวมสุดยอดเทคโนโลยียกกระชับผิวไว้ให้แล้วในที่นี่ที่เดียว ไม่ว่าจะเป็น Ultherapy Prime, Thermage FLX, Oligio, Ultraformer MPT หรือ Emface Submentum ก็สามารถแก้ไขปัญหาผิวหน้าของคุณได้ แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ก่อนตัดสินใจ เพื่อให้แพทย์วิเคราะห์ปัญหา พร้อมวางแผนการรักษาแบบเฉพาะบุคคล ตอบโจทย์ความต้องการอย่างแท้จริง

     

    *ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับบริการ

    *เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯกำหนด

    ข้างห้องสะเทือนเพราะกรนสนั่น จบปัญหานอนกรนด้วย Snore Laser 

    กรนสนั่น จนข้างห้องสะเทือน จบปัญหานอนกรนด้วย Snore Laser 

    กรนสนั่น จนข้างห้องสะเทือน จบปัญหานอนกรนด้วย Snore Laser 

    เสียงกรนดังสนั่นจนห้องข้าง ๆ สะเทือน กรนดังขนาดนี้จะทนอยู่ทำไม! ถึงเวลาแล้วที่จะบอกลาเสียงกรนกวนใจ ที่ทำลายความสงบสุขในการนอนของคุณ และคนรอบข้างทุกครั้งที่หลับตา ซึ่งปัญหานี้จะหมดไปด้วย Snore Laser ทางเลือกใหม่ในการแก้ปัญหาอาการนอนกรน โดยไม่ต้องผ่าตัด และไม่ต้องพักฟื้น ทำให้คุณ และคนรอบข้างนอนหลับสบายตลอดคืน หมดกังวลเรื่องเสียงกรน แม้จะอยู่ในห้องที่ไม่เก็บเสียงก็ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป บทความนี้ ขอพาไปทำความรู้จักกับ Snore Laser ว่า คืออะไร? ช่วยเรื่องอะไร? และเหมาะกับใคร? เพื่อให้คุณเริ่มต้นเช้าวันใหม่ด้วยความสดชื่น

     

    กรนสนั่น จนข้างห้องสะเทือน จบปัญหานอนกรนด้วย Snore Laser 
    กรนสนั่นจนข้างห้องสะเทือน จบปัญหานอนกรนด้วย Snore Laser

     

    จบปัญหาข้างห้องสะเทือน เจาะลึก Snore Laser คืออะไร?

    Snore Laser คือ เลเซอร์รักษาอาการนอนกรน โดยการใช้เทคโนโลยีเลเซอร์ชนิดเออร์เบี่ยม (Er YAG) มีความยาวคลื่นอยู่ที่ 2940 นาโนเมตร ซึ่งจะส่งพลังงานความร้อนเข้าไปยังช่องปาก บริเวณเพดานอ่อน กระพุ้งแก้ม ลิ้นไก่ และโคนลิ้น เพื่อกระตุ้นให้เกิดกระบวนการสร้างคอลลาเจน ทำให้เนื้อเยื่อที่เคยหย่อนกลับมาตึงกระชับ พร้อมเปิดช่องทางเดินหายใจให้กว้างมากขึ้น ลดการสั่นสะเทือนของเนื้อเยื่อที่เป็นสาเหตุของเสียงกรน โดย จะใช้เวลาในการทำการรักษาเพียง 30 นาทีต่อครั้ง ซึ่งมีความสะดวกสบาย และไม่เสี่ยงอันตราย อีกทั้งยัง ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ ในอนาคต

     

    รวมข้อดีของ Snore Laser มีอะไรบ้าง?

    • Snore Laser ช่วยรักษาอาการนอนกรนอย่างมีประสิทธิภาพ 
    • Snore Laser ช่วยให้คุณภาพการนอนหลับดียิ่งขึ้น ทำให้หลับลึก และหายใจสะดวก
    • Snore Laser ช่วยสร้างบรรยากาศการนอนที่ดีขึ้น ลดปัญหาเสียงกรนที่รบกวนคนรอบข้าง 
    • Snore Laser ช่วยลดความเสี่ยงของโรคแทรกซ้อนที่เกิดจากการนอนกรน
    • Snore Laser ไม่ต้องมีการใส่อุปกรณ์เสริมขณะหลับ ทำให้สามารถนอนหลับได้อย่างสบาย 
    • Snore Laser ไม่เจ็บปวด ไม่ต้องผ่าตัด เนื่องจากใช้พลังงานเลเซอร์ในการรักษาอาการนอนกรน
    • Snore Laser มีความสะดวกรวดเร็ว ใช้เวลาในการรักษาเพียง 30 นาทีต่อครั้ง
    • Snore Laser สามารถเห็นผลการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำการรักษา
    • Snore Laser ไม่ต้องมีการพักฟื้น สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ โดยไม่ต้องหยุดทำกิจกรรมใด ๆ
    • Snore Laser ผ่านการรับรองจาก องค์การอาหารและยา (FDA)

     

    Snore Laser เหมาะกับใคร?

    • Snore Laser เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีอาการนอนกรนเป็นประจำ ตั้งแต่ระดับเล็กน้อยจนถึงระดับปานกลาง
    • Snore Laser เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีเนื้อเยื่อเพดานอ่อนหย่อนคล้อย ทางเดินหายใจแคบ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของอาการนอนกรน
    • Snore Laser เหมาะสำหรับ ผู้ที่อยู่ในภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ตั้งแต่ระดับเล็กน้อยจนถึงระดับปานกลาง
    • Snore Laser เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหานอนหลับไม่สนิท สะดุ้งตื่นบ่อย และรู้สึกอ่อนเพลียในตอนกลางวัน
    • Snore Laser เหมาะสำหรับ ผู้ที่ไม่ต้องการผ่าตัด ไม่ต้องการเจ็บตัว และไม่ต้องการพักฟื้น
    • Snore Laser เหมาะสำหรับ ผู้ที่ไม่ต้องการใส่อุปกรณ์ขณะหลับ รู้สึกอึดอัดขณะสวมใส่อุปกรณ์
    • Snore Laser เหมาะสำหรับ ผู้ที่อยู่อาศัยร่วมกับผู้อื่น เสียงกรนรบกวนคนรอบข้าง 

    ทั้งนี้ ก่อนเข้ารับบริการควรปรึกษาแพทย์ และแจ้งประวัติสุขภาพให้แพทย์ทราบอย่างละเอียด ทั้งประวัติโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ ประวัติการรักษา และยาที่กำลังรับประทาน

     

    ปิดจบปัญหาข้างห้องสะเทือนเพราะนอนกรนได้ที่ รมย์รวินท์คลินิก

    Snore Laser ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีในการรักษาอาการนอนกรน โดยไม่ต้องใส่อุปกรณ์ ไม่ต้องผ่าตัด และไม่ต้องพักฟื้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเนื้อเยื่อเพดานอ่อนหย่อนคล้อย และทางเดินหายใจแคบ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของอาการนอนกรน สำหรับใครที่มีปัญหาอาการนอนกรนอยู่ สามารถเข้ามาปรึกษาแพทย์ได้แล้ววันนี้ที่ รมย์รวินท์ ทุกสาขา เพื่อวิเคราะห์ปัญหา พร้อมวางแผนการรักษาที่เหมาะสม

     

    *ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับบริการ

    *เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯกำหนด

    กีต้าร์ ศิริพิชญ์ ยกกระชับแบบลืมเจ็บด้วย Ultherapy PRIME 

    กีต้าร์ ศิริพิชญ์ ยกกระชับแบบลืมเจ็บ

    กีต้าร์ ศิริพิชญ์ ยกกระชับแบบลืมเจ็บด้วย Ultherapy PRIME 

     

    ถึงงานจะชุกแค่ไหนแต่พอคุณกีต้าร์ ศิริพิชญ์ได้ยินว่าที่รมย์รวินท์คลินิกมีเทคโนโลยียกกระชับที่อัปเกรดใหม่ในรอบ 5 ปี อย่างโปรแกรม Ultherapy PRIME คุณกีต้าร์ก็ไม่รอช้ารีบมาจัดการให้หน้าสวยยกกระชับทันทีเลยค่ะ

     

    แน่นอนค่ะว่าเรื่องความสวยกีต้าร์ยอมไม่ได้อยู่แล้ว ถึงแม้จะงานชุกทั้งเรื่องงานละคร และเรื่องครอบครัว แต่ก็ขอเจียดเวลามาเติมความสวยให้กับตัวเองซักหน่อยค่ะ ช่วงนี้ทำงานหนักมาก ไม่ค่อยมีเวลาให้ตัวเองเลย เลยทำให้รู้สึกแก่ขึ้นกว่าเดิมมาก (หัวเราะ) และด้วยวัยของเราที่อายุเพิ่มมากขึ้น เรื่องความหย่อนคล้อยเราก็หนีไม่ได้อยู่แล้วค่ะ และช่วงนี้รู้สึกว่าเวลาถ่ายรูปดูเห็นชัดมาก ถ้าไม่ผ่านแอปจะรู้สึกว่าไม่รอด ห้ามลงเลย งดลง จนต้องมาเสริมความสวยให้กับตัวเองแล้วบวกกับได้ยินมาว่าที่รมย์รวินท์คลินิกมีเทคโนโลยียกกระชับผิวที่อัปเกรดใหม่ในรอบ 15 ปี สาวกโปรแกรม Ultherapy อย่างกีต้าร์ก็ไม่ยอมพลาดอยู่แล้วต้องขอมาลองยกกระชับผิวหน้ากับเทคโนโลยีตัวใหม่ โปรแกรม Ultherapy PRIME ค่ะ 

     

    กีต้าร์ ศิริพิชญ์ ยกกระชับแบบลืมเจ็บ
    ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

     

    วันนี้กีต้าร์มายกกระชับผิวหน้าด้วยโปรแกรม Ultherapy PRIME กับคุณหมอบาส (นพ.วรวัฒน์ แสงทองสกาว : ว.31152) ก่อนทำคุณหมอใช้โปรแกรม Lifting Select ซึ่งเป็นเทคนิควิเคราะห์ผิวผ่าน 3 เฟรมเวิร์ก เพื่อเลือกหัตถการในการแก้ปัญหาผิวได้อย่างตรงจุด ซึ่งขอบอกเลยค่ะว่าเทคนิคนี้มีเฉพาะที่รมย์รวินท์คลินิกที่เดียวเท่านั้นนะคะทุกคน 

    • Frame Selection เป็นเทคนิคการปรับและแก้ไขโครงหน้าและชั้นผิวให้มีความยกกระชับและอ่อนกว่าวัย
    • Light & Shadow Me เป็นเทคนิคการเพิ่มมิติให้ใบหน้า โดยการลดจุดบกพร่อง และสร้างจุดโดดเด่นให้กับใบหน้า
    • Conceal Selection เป็นเทคนิคการแก้ไขปัญหางานผิวให้มีความเนียนเรียบมากขึ้น จนสามารถโชว์ผิวได้แบบไม่ต้องปกปิดปัญหา 

    คุณกีต้าร์ ศิริพิชญ์ ยกกระชับแบบลืมเจ็บด้วย Ultherapy PRIME 

    ซึ่งปัญหาของกีต้าร์ที่จะมาให้คุณหมอช่วยแก้ไขให้นั้นอยู่ในเฟรมเวิร์กที่ 1 นั่นก็คือ Frame Selection เรื่องปัญหาความหย่อนคล้อย และริ้วรอยค่ะ หลังจากนี้ปัญหาของกีต้าร์จะถูกแก้ไขด้วย โปรแกรม Ultherapy PRIME แล้วค่ะ ตื่นเต้นมากก เพราะโปรแกรม Ultherapy PRIME เป็นเทคโนโลยีที่ได้รับการพัฒนามาจากรุ่นเดิมทั้งเรื่องหน้าจอแสดงผลที่มีขนาดใหญ่ขึ้นถึง 35% และให้ความคมชัดขึ้นระดับ Full HD และมีดีไซน์ที่มีความทันสมัยมากขึ้น ใช้งานได้ง่ายขึ้น โปรแกรม Ultherapy PRIME มีระบบประมวลผลที่ได้รับการพัฒนาให้ความรวดเร็วขึ้นถึง 20% ซึ่งช่วยลดระยะเวลาในการทำหัตถการ และเพิ่มความสบายให้กับผู้รับบริการ โปรแกรม Ultherapy PRIME ยิงพลังงาน Microfocused Ultrasound with Visualization หรือ MFU-V ลงได้ลึกถึงผิวชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นที่ศัลยแพทย์ใช้ในการผ่าตัดดึงหน้า โดยโปรแกรม Ultherapy PRIME จะเข้าไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และอิลาสตินใต้ชั้นผิวให้เรียงตัวกันแน่นขึ้นทำให้หน้ายกกระชับขึ้น โดยไม่ต้องพึ่งการผ่าตัด ทำเสร็จแล้วสามารถออกไปใช้ชีวิตต่อได้เลยไม่ต้องพักฟื้น และหลังทำยังให้ผลลัพธ์ความยกกระชับที่เห็นผลได้ทันทีถึง 30% และจะบอกว่าโปรแกรม Ultherapy PRIME เป็นเทคโนโลยียกกระชับผิวที่ยอดนิยมมาก เพราะมีการทำการรักษาไปแล้วกว่า 3 ล้านทรีตเมนต์ทั่วโลก และกีต้าร์ก็ขอเป็นหนึ่งในนั้นที่ได้สัมผัสประสบการณ์หน้ายกกระชับกับโปรแกรม Ultherapy PRIME ค่ะ 

     

    กีต้าร์ ศิริพิชญ์ ยกกระชับแบบลืมเจ็บ
    ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

     

    กีต้าร์ ศิริพิชญ์ ยกกระชับแบบลืมเจ็บ

    หลังจากที่กีต้าร์ยกกระชับผิวหน้าด้วยโปรแกรม Ultherapy PRIME เห็นได้ชัดจริงๆค่ะว่า หน้ายกขึ้นมาเลยเทียบกับอีกข้างที่ยังไม่ได้ทำ เห็นได้ถึงความแตกต่างของใบหน้าเลยค่ะ และอีกหนึ่งอย่างที่กีต้าร์ชอบมากสำหรับโปรแกรม Ultherapy PRIME คือ ไม่ต้องแปะยาชาเลยค่ะ ใช้เวลาในการรักษาที่เร็วขึ้นกว่าเดิม ไวจนกีต้าร์ลืมเจ็บเลยค่ะ และคุณหมอน่ารักมากคอยดูแลและก็อธิบายตลอดว่าจุดไหนเมื่อทำโปรแกรม Ultherapy PRIME แล้วจะเป็นอย่างไร กีต้าร์รู้สึกประทับใจมากค่ะ และก็คิดไม่ผิดเลยที่เลือกมาทำโปรแกรม Ultherapy PRIME ที่รมย์รวินท์คลินิก เป็นมิติใหม่ของการยกกระชับหน้าที่ทุกคนต้องมาลองค่ะ และหลังจากที่กีต้าร์ได้ทำโปรแกรม Ultherapy PRIME มา 2 สัปดาห์รู้สึกว่ากรอบหน้าชัดขึ้น ผิวกระชับขึ้นหน้าเรียวขึ้นจนมีแต่คนทักว่าไปทำอะไรมา กีต้าร์บอกไปทันทีเลยค่ะว่าโปรแกรม Ultherapy PRIME ถ้าอยากหน้ายกกระชับต้องไปลองทำกันนะ ที่รมย์รวินท์คลินิกเลย

     

    มาสัมผัสประสบการณ์หน้ายกกระชับด้วยเทคโนโลยีใหม่ที่อัปเกรดให้ดีกว่าเดิมกับโปรแกรม Ultherapy PRIME ได้ที่รมย์รวินท์คลินิกนะคะ

    ผมอยากให้คุณมานั่งเก้าอี้ของผม มานั่งเก้าอี้ที่รมย์รวินท์คลินิกมั้ย Emsella เก้าอี้เสริมรัก กระชับช่องคลอด

    คุณชอบนั่งเก้าอี้แบบไหน? ผมอยากให้คุณมานั่งเก้าอี้ของผม

    คุณชอบนั่งเก้าอี้แบบไหน? ผมอยากให้คุณมานั่งเก้าอี้ของผม ลอง Emsella เก้าอี้เสริมรัก กระชับช่องคลอด

    คุณชอบนั่งเก้าอี้แบบไหน? แม้ว่าการนั่งเก้าอี้จะเป็นสิ่งที่เราใช้อยู่ทุกวัน แต่เชื่อไหมว่าเก้าอี้บางตัวก็สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตเราได้อย่างไม่น่าเชื่อ หากจะเลือกนั่งเก้าอี้ทั้งที ต้องไม่ใช่แค่เก้าอี้ธรรมดาอีกต่อไป นาทีนี้คงหนีไม่พ้นเก้าอี้เสริมรัก กระชับช่องคลอดอย่าง “เก้าอี้ Emsella” ทางลัดของสาว ๆ ยุคใหม่ที่สามารถแก้ไขปัญหาช่องคลอดหลวม อุ้งเชิงกรานหย่อน และปัสสาวะเล็ดได้เป็นอย่างดี โดยไม่จำเป็นต้องถอดเสื้อผ้า และไม่ต้องพักฟื้นหลังทำ เพียงแค่นั่งบนเก้าอี้สบาย ๆ ก็สามารถกระชับช่องคลอดได้ จนลืมการนั่งเก้าอี้แบบเดิม ๆ ไปได้เลย บทความนี้ รมย์รวินท์รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเก้าอี้ Emsella มาให้แล้ว

    คุณชอบนั่งเก้าอี้แบบไหน? ลอง Emsella เก้าอี้เสริมรัก กระชับช่องคลอด
    คุณชอบนั่งเก้าอี้แบบไหน? ลอง Emsella เก้าอี้เสริมรัก กระชับช่องคลอด

    ทำความรู้จักเก้าอี้ Emsella

    เก้าอี้ Emsella คือ เทคโนโลยีกระชับช่องคลอดในรูปแบบเก้าอี้ ที่ใช้พลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความเข้มข้นสูง High-Intensity Focused Electromagnetic (HIFEM) โดยจะเข้าไปฟื้นฟูเซลล์ประสาทกล้ามเนื้อ และทำให้กล้ามเนื้อเกิดการหดเกร็งอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อกระชับกล้ามเนื้อบริเวณช่องคลอด พร้อมรักษาปัญหาอุ้งเชิงกรานหย่อนคล้อย ปัสสาวะเล็ด และเสริมสมรรถภาพทางเพศได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพียงแค่นั่งบนเก้าอี้ Emsella เป็นเวลา 28 นาที ก็เทียบเท่ากับการขมิบมากกว่า 11,200 ครั้ง ซึ่งมีความสะดวกสบาย หลังทำเสร็จสามารถทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้ตามปกติ โดยไม่ต้องพักฟื้น ไม่ต้องผ่าตัด หรือไม่ต้องถอดเสื้อผ้าขณะทำ

    เก้าอี้ Emsella ดีอย่างไร?

    • เก้าอี้ Emsella ช่วยกระชับช่องคลอด และลดปัญหาปัสสาวะเล็ดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    • เก้าอี้ Emsella ช่วยเพิ่มความมั่นใจในการใช้ชีวิตประจำวันมากขึ้น
    • เก้าอี้ Emsella สามารถเทียบเท่ากับการขมิบมากกว่า 11,200 ครั้ง โดยไม่ต้องออกแรงใด ๆ 
    • เก้าอี้ Emsella มีความสะดวกรวดเร็ว และประหยัดเวลา โดยใช้ระยะเวลาในการรักษาเพียง 28 นาที 
    • เก้าอี้ Emsella ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยน หรือถอดเสื้อผ้าขณะทำ เพียงแค่นั่งสบาย ๆ ก็สามารถทำการรักษาได้
    • เก้าอี้ Emsella ไม่ต้องมีการสอดใส่อุปกรณ์ใด ๆ เข้าไปในร่างกาย จึงมีความสบายตัวขณะทำ
    • เก้าอี้ Emsella สามารถเห็นผลลัพธ์หลังทำการรักษาตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ
    • เก้าอี้ Emsella ไม่มีบาดแผลหลังทำการรักษา จึงไม่ต้องมีการพักฟื้น และสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ 
    • เก้าอี้ Emsella ไม่เสี่ยงอันตราย เนื่องจากได้รับการรับรองจาก องค์การอาหารและยา (FDA)
    • เก้าอี้ Emsella สามารถทำการรักษาได้ทุกเพศทั้งผู้หญิง และผู้ชาย

    เก้าอี้ Emsella เหมาะกับใคร?

    • เก้าอี้ Emsella เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาช่องคลอดไม่กระชับ ช่องคลอดหลวม
    • เก้าอี้ Emsella เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาปัสสาวะเล็ด ปัสสาวะบ่อย ควบคุมปัสสาวะยาก
    • เก้าอี้ Emsella เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาช่องคลอดแห้ง ต้องการเพิ่มความชุ่มชื้นให้ช่องคลอด
    • เก้าอี้ Emsella เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีภาวะกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแรง
    • เก้าอี้ Emsella เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการเสริมความแข็งแรงบริเวณกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน
    • เก้าอี้ Emsella เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาช่องคลอด หรือปัสสาวะเล็ดจากการคลอดบุตร 
    • เก้าอี้ Emsella เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาสมรรถภาพทางเพศเสื่อมเล็กน้อย
    • เก้าอี้ Emsella เหมาะสำหรับ ผู้ที่ไม่ต้องการผ่าตัด และไม่ต้องการพักฟื้น
    • เก้าอี้ Emsella เหมาะสำหรับ ผู้ที่ไม่สะดวกออกกำลังกายกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน

    ทั้งนี้ ก่อนเข้ารับบริการ ควรปรึกษาแพทย์ และแจ้งประวัติสุขภาพให้แพทย์ทราบอย่างละเอียด ทั้งประวัติโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ ประวัติการรักษา และยาที่กำลังรับประทานเป็นประจำ เพื่อวางแผนการรักษาอย่างเหมาะสม

    สัมผัสประสบการณ์นั่งเก้าอี้กระชับช่องคลอดก่อนใครที่ รมย์รวินท์คลินิก

    ถึงเวลาบอกลาปัญหาอุ้งเชิงกรานหย่อน ช่องคลอดหลวม และปัสสาวะเล็ด พร้อมเปิดประสบการณ์กระชับช่องคลอด ด้วยเทคโนโลยีใหม่ในรูปแบบเก้าอี้ที่จะคืนความกระชับ และความสุขในทุกกิจกรรม ทำให้คุณรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงได้ โดยไม่ต้องออกแรง และไม่ต้องพักฟื้นใด ๆ ต้อง “เก้าอี้ Emsella” ที่รมย์รวินท์คลินิก ทุกสาขา

    *ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับบริการ

    *เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯกำหนด

    คุมฝ้า กระ ได้อยู่หมัดด้วย SMART FEM และ AURA WHITE ที่รมย์รวินท์คลินิก

    คุมฝ้า กระ

    คุมฝ้า กระ ได้อยู่หมัดด้วย SMART FEM และ AURA WHITE ที่รมย์รวินท์คลินิก

     

    ปัญหาผิวฝ้า กระ กวนใจคุณหมิว พิมลพรรณ โพธิ จะโชว์ผิวใสก็ไม่ได้สุด จนต้องมาให้รมย์รวินท์คลินิกช่วยแก้ปัญหาให้ ก็จัดไปสิคะ รับรองผิวหน้ากระจ่างใสกลับออกไปแน่นอนค่ะ 

     

    หมิวมีปัญหาเรื่องฝ้า กระ ซึ่งเป็นปัญหากวนใจสำหรับหมิวมากค่ะ เพราะไม่ว่าจะใช้อะไร บำรุงดีแค่ไหนก็จางหายได้ช้ามากก ต้องคอยใช้เมคอัพเพื่อปกปิดตลอด บางทียิ่งปกปิดปัญหาก็ยิ่งเกิด อยากโชว์หน้าแบบคลีนๆ ใสๆ ไม่ต้องคอยหลบปัญหาฝ้า กระ เหมือนคนอื่นเขาบ้าง และเมื่อวิธีการทายาหรือครีมบำรุงมันไม่ได้ผล หมิวก็เลยขอใช้ตัวช่วยพิเศษก็คือการทำหัตถการเนี่ยแหละค่ะ เพราะเดี๋ยวนี้มีเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ช่วยแก้ปัญหาผิวฝ้า กระ ให้หายได้เร็วขึ้นมากมาย แต่จะเลือกทั้งทีหมิวก็ต้องขอศึกษาหน่อยค่ะ ต้องเลือกที่ได้มาตรฐาน และเชื่อถือได้ อย่างรมย์รวินท์คลินิกนี่เลยค่ะ ที่หมิวได้ยินชื่อเสียงของเขามายาวนานและยังมีสาขาทั่วประเทศ เข้าถึงได้ง่าย แถมยังเชื่อถือได้แบบนี้ หมิวก็ต้องขอฝากปัญหาฝ้า กระ ให้รมย์รวินท์คลินิกช่วยหน่อยแล้วล่ะค่ะ 

     

    ฝ้า กระ คุมได้ด้วย SMART FEM
    ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

     

    วันนี้หมิวมาฝากหน้าไว้กับคุณหมอบีบี (พญ.ช่ออัญชัญ ปัญญาเอกะวิทู : ว.49909) ช่วยแก้ปัญหาฝ้า กระ ให้หมิวค่ะ ขั้นตอนแรกก่อนทำ คุณหมอใช้โปรแกรม Lifting Select ตรวจวิเคราะห์ผิวให้หมิว ซึ่งเป็นเทคนิคที่มีเฉพาะที่รมย์รวินท์คลินิกเท่านั้น โดยจะวิเคราะห์ผ่าน 3 เฟรมเวิร์ก ได้แก่

    • Frame Selection การแก้ปัญหาโครงหน้าและชั้นผิว ให้กลับมายกกระชับและอ่อนกว่าวัยมากขึ้นกว่าเดิม
    • Light & Shadow Me การทำให้หน้าดูมีมิติมากขึ้น โดยการลดจุดบกพร่อง และเพิ่มจุดเด่นให้กับใบหน้า
    • Conceal Selection การแก้ปัญหางานผิวให้มีความเนียนเรียบมากขึ้น จนไม่มีอะไรที่จะต้องปกปิด 

     

    ซึ่งปัญหาของหมิวจัดอยู่ในเฟรมเวิร์กที่ 3 นั่นก็คือเรื่องงานผิวค่ะ ซึ่งคุณหมอได้เลือกโปรแกรมรักษาเรื่องปัญหาฝ้า กระ ให้หมิว 2 โปรแกรม คือ โปรแกรม SMART FEM ค่ะ ซึ่งเป็นเลเซอร์ที่เข้าไปลดการสร้างเม็ดสีใต้ชั้นผิวซึ่งเป็นตัวการของการเกิดฝ้า กระ ให้ผลิตได้น้อยลง และยังลดโอกาสที่จะเกิดฝ้าใหม่และฝ้าซ้ำซ้อนอีกด้วยค่ะ ซึ่งโปรแกรม SMART FEM เป็นเลเซอร์ที่มีความอ่อนโยนต่อผิว โดยขณะทำ โปรแกรม SMART FEM จะยิงพลังงานความร้อนที่เหมาะกับผิวหน้า จึงไม่ทำให้ใต้ชั้นผิวเกิดการสะสมความร้อน และทำให้ผิวไหม้เบิร์น หรือมีเลือดออกใต้ผิวหนังค่ะ โปรแกรม SMART FEM จะเข้าไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน อีกทั้งยังช่วยลดเลือนริ้วรอยทำให้ผิวยิ่งเรียบเนียนกระจ่างใสมากขึ้นกว่าเดิมค่ะ  

     

    และอีกหนึ่งโปรแกรมที่คุณหมอเลือกแก้ปัญหาผิวฝ้า กระ ให้กับหมิวก็คือ โปรแกรม AURA WHITE ค่ะ ซึ่งขอบอกเลยว่าตอนที่หมิวทำโปรแกรม AURA WHITE รู้สึกฟินมากเลยค่ะ เพราะตัวนี้เป็นทรีตเมนต์ที่ช่วยผลักวิตามินสูตรเข้มข้นลงสู่ชั้นผิวลึก ซึ่งช่วยในการลดเลือนฝ้า กระ ความหมองคล้ำ และปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ กระจ่างใส และยังช่วยเติมความชุ่มชื้นให้กับผิวอีกด้วยค่ะ ซึ่งตอนทำโปรแกรม AURA WHITE หมิวนอนทำแบบชิลๆ สบายๆ เหมือนได้ผ่อนคลายผิวหน้ามากๆ จนเกือบหลับเลยค่ะ หลังจากที่หมิวได้ทำทั้ง โปรแกรม SMART FEM และโปรแกรม AURA WHITE หมิวรู้สึกได้เลยว่าหน้ากระจ่างใสขึ้นมาก ส่วนเรื่องฝ้า กระ ก็จางลงมาก หมิวติดใจทั้ง 2 โปรแกรมจนต้องกลับมาทำต่อเนื่อง เอาให้หน้าใสสุดๆ ไปเลยค่ะ ใครที่มีปัญหาเรื่องฝ้า กระ รักษายังไงก็ไม่ดีขึ้น หมิวแนะนำให้มาทำทั้งโปรแกรม SMART FEM และโปรแกรม AURA WHITE ที่รมย์รวินท์คลินิกเลยค่ะ มันดีต่อผิวและดีต่อใจมากกก

     

    ฝ้า กระ คุมได้ด้วย SMART FEM
    ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

     

    โปรแกรม คุมฝ้า กระ SMART FEM คืออะไร 

     

    SMART FEM เป็นเลเซอร์ที่ตรงเข้าไปทำลายฝ้าได้อย่างอ่อนโยน โดย SMART FEM จะยิงเลเซอร์เข้าไปบริเวณที่ต้องการแก้ปัญหา เลเซอร์จะช่วยให้ปริมาณสาร VEGF ที่เป็นตัวกระตุ้นให้การสร้างเม็ดสีเมลานินซึ่งเป็นต้นเหตุของฝ้า กระ จุดด่างดำ ถูกผลิตออกมาได้ลดน้อยลง และ SMART FEM ยังเป็นเลเซอร์ที่มีความอ่อนโยนและนุ่มนวลกับผิวหน้ามากที่สุด ขณะที่ทำ SMART FEM จะรู้สึกอุ่นๆ เท่านั้น แต่จะไม่ส่งผลข้างเคียงต่อผิว ไม่ทำให้ผิวเกิดการไหม้เบิร์น หรือเลือดออกใต้ผิวหนัง และหลังจากทำ SMART FEM ไม่ต้องคอยหลบเลี่ยงแสงแดดอีกด้วย 

     

    โปรแกรม คุมฝ้า กระ SMART FEM คืออะไร 

    • โปรแกรม Smart FEM ช่วยแก้ปัญหาฝ้า กระ จุดด่างดำ 
    • โปรแกรม Smart FEM ช่วยจัดการผิวหมองคล้ำให้ผิวกระจ่างใส
    • โปรแกรม Smart FEM ช่วยลดเส้นเลือดใต้ผิวให้จางลง
    • โปรแกรม Smart FEM ช่วยลดเลือนริ้วรอยให้ผิวดูอ่อนกว่าวัย
    • โปรแกรม Smart FEM ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้ผิว

     

    คุมฝ้า กระ
    ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

     

    โปรแกรมคุมฝ้า กระ AURA WHITE คืออะไร

     

    โปรแกรม AURA WHITE คือ การผลักวิตามินสูตรเข้มข้นลงสู่ชั้นผิวลดเลือนฝ้า กระ จุดด่างดำ ความหมองคล้ำ พื้นฟูและปรับผิวให้ความเรียบเนียน กระจ่างใสมากยิ่งขึ้น ทั้งยังช่วยเติมความชุ่มชื้นให้ผิวมีสุขภาพดีขึ้นอีกด้วย  

     

    โปรแกรมคุมฝ้า กระ SMART FEM ดีอย่างไร

    • โปรแกรม AURA WHITE ช่วยลดเลือนปัญหาฝ้า กระ จุดด่างดำ 
    • โปรแกรม AURA WHITE ช่วยปรับผิวให้มีความสม่ำเสมอ กระจ่างใส
    • โปรแกรม AURA WHITE ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว
    • โปรแกรม AURA WHITE ช่วยฟื้นฟูผิวจากความหมองคล้ำ 
    • โปรแกรม AURA WHITE ข่วยบำรุงให้ผิวเรียบเนียน 

     

    มีปัญหาฝ้า กระ จุดด่างดำ รักษาจนท้อก็ไม่หาย มาให้รมย์รวินท์คลินิกช่วยแก้ปัญหาให้คุณนะคะ

    Glass Glow Skin เผยผิวฉ่ำวาว แบบ Glass Skin 

    Glass Glow Skin เผยผิวฉ่ำวาว

    Glass Glow Skin เผยผิวฉ่ำวาว แบบ Glass Skin 

     

    ผิว Glass Skin หรือ ผิวกระจก เป็นที่ใฝ่ฝันของผู้หญิงทุกคน เพราะเป็นตัวบ่งบอกถึงความโกลว์ ความชุ่มชื้น ความสุขภาพดีของผิว อย่างคุณอัยยา อารียา ศิลปนาวา ก็ไม่พลาดเทรนด์นี้เหมือนกัน ขอมาเติมผิว Glass Skin ที่รมย์รวินท์คลินิกแบบด่วนๆ จะเป็นอย่างไรตามไปดูกันเลยค่ะ

     

    เห็นสาวๆ เดี๋ยวนี้เขามีผิวฉ่ำ ผิวโกลว์กัน แล้วดู Glass Skin สุด เลยอยากมีบ้างค่ะ บวกกับช่วงนี้อากาศประเทศไทยเดี๋ยวร้อน เดี๋ยวเย็น เดี๋ยวฝนตก ทำให้ผิวทั้งแห้ง ทั้งรูขุมขนกว้าง หน้ามันแต่ไม่ได้มันแบบสุขภาพดี ออกไปทางหน้ามันเหงื่อ (หัวเราะ) อัยยาก็อยากหาอะไรที่ช่วยทำให้ผิวหน้าของอัยยาดูสุขภาพดี ดูโกลว์สวยแบบ Glass Skin อัยยาก็เลยมาขอคำปรึกษาจากพญ.ธิรดา จิตตการ : ว.30170ที่ รมย์รวินท์คลินิกเนี่ยแหละค่ะ เพราะเพื่อนๆ อัยยาก็มาเติมความสวยที่นี่ และที่รมย์รวินท์คลินิกเองก็มีชื่อเสียงมาตั้ง 22 ปี และมีถึง 28 สาขาทั่วประเทศไปไหนก็ต้องเจอคลินิกสีเขียวที่เป็นสัญลักษณ์ของที่นี่ วันนี้อัยยาก็เลยมาที่รมย์รวินท์คลินิกมาขอให้คุณหมอช่วยเสิร์ฟความสวยให้ผิวอัยยาดูโกลว์ ฉ่ำ แบบ Glass Skin ซักหน่อย เพราะเราสวยในรูปแล้ว เราก็อยากจะเสิร์ฟตัวจริงให้เห็นๆ ไปเลยว่าตรงปกไม่จกตาจริงๆ ค่ะ 

     

    Glass Glow Skin เผยผิวฉ่ำวาว
    ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

     

    ก่อนทำคุณหมอจะใช้เทคนิค Lifting Select ในการตรวจวิเคราะห์ผิวให้กับอัยยาก่อนค่ะ ซึ่งเป็นการวิเคราะห์ผิวเพื่อให้เห็นถึงปัญหาก่อนการเลือกหัตถการในการแก้ไขได้อย่างตรงจุดผ่าน 3 เฟรมเวิร์ก ได้แก่

    • Frame Selection แก้ไขปัญหาโครงหน้า และชั้นผิวให้กลับมาดูอ่อนกว่าวัย
    • Light & Shadow Me เล่นแสงเงาให้ใบหน้า ลบจุดด้อย และเพิ่มจุดเด่นให้หน้าดูมีมิติ
    • Conceal Selection ปรับรายละเอียดให้ผิวเรียบเนียนมากขึ้น จนไม่มีอะไรต้องปกปิด

     

    Glass Glow Skin เผยผิวฉ่ำวาว
    ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

     

    และวันนี้สิ่งที่อัยยาต้องการแก้ไขก็เรื่องงานผิว นั่นก็คือเฟรมเวิร์กที่ 3 Conceal Selection ค่ะ ซึ่งคุณหมอได้เลือกโปรแกรม Glass Glow Skin บูสต์ผิวสวยให้อัยยาค่ะ ซึ่งโปรแกรม Glass Glow Skin เป็นโปรแกรมที่ช่วยฟื้นฟูผิวให้สวย ชุ่มชื้น โกลว์ ฉ่ำวาว ราวกับผิวกระจก ด้วยสารประกอบ Hyaluronic Acid หรือว่า HA ที่ใครๆ ก็ต้องรู้จักกันดีอยู่แล้วว่ามีคุณสมบัติในการกักเก็บความชุ่มชื้นให้กับผิว ให้ผิวมีความยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น ซึ่งโมเลกุลของ HA ที่ใช้ในโปรแกรม Glass Glow Skin จะมีขนาดเล็กกว่าแบบทั่วไป และมีเนื้อที่เนียนละเอียด และน้ำหนักเบากว่า HA ในโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์แบบทั่วไป ทำให้หลังจากฉีดคงความสวยอย่างเป็นธรรมชาติ ดูไม่โป๊ะ ไม่หลอกตาค่ะ

     

    Glass Glow Skin เผยผิวฉ่ำวาว
    ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

     

    หลังจากที่อัยยาได้ทำโปรแกรม Glass Glow Skin รู้สึกได้เลยว่าผิวหน้าฉ่ำอุ้มน้ำสุดๆ ผิวดีขึ้นเยอะมากเลย ผิวเล่นแสงมาก เป็นงานผิว Glass Skin แบบที่ใฝ่ผันเลยค่ะ อารมณ์แบบผิวโกลว์ ตื่นมาก็ผิวโกลว์ ผิวดีเลย คราวนี้อัยยาไม่ต้องเสิร์ฟความสวยแค่ในรูป เพราะตัวจริงก็สวยกว่ามากค่ะ (หัวเราะ) ใครที่มีผิวหน้าแห้ง ผิวไม่เนียนลองมาบูสต์ผิวด้วยโปรแกรม Glass Glow Skin ที่รมย์รวินท์คลินิกแบบอัยยากันนะคะ รับรองว่าผิวสวย ฉ่ำโกลว์แบบเป็นธรรมชาติ ไม่มีโป๊ะแน่นอนค่ะ อัยยาผิวสวยแล้ว อยากให้ทุกคนผิวสวย Glass Skin แบบหน้าไม่มันกันค่ะ 

     

    จุดเด่นของโปรแกรม Glass Glow Skin เผยผิวฉ่ำวาว

    • โปรแกรม Glass Glow Skin ช่วยเติมความชุ่มชื้นให้กับผิวอย่างล้ำลึก ให้ผิวยืดหยุ่น
    • โปรแกรม Glass Glow Skin ช่วยทำให้ผิวโกลว์ใส สวยอย่างเป็นธรรมชาติ
    • โปรแกรม Glass Glow Skin ช่วยฟื้นฟูผิวให้สุขภาพดีได้ในระยะยาว
    • โปรแกรม Glass Glow Skin สามารถทำได้หลายบริเวณ ทั้งใบหน้า ลำคอ และมือ
    • โปรแกรม Glass Glow Skin สามารถทำได้แม้ผิวที่บอบบาง ไม่ทำให้แพ้หรือเกิดผลข้างเคียง


    ผิวแบบไหนเหมาะกับโปรแกรม Glass Glow Skin เผยผิวฉ่ำวาว

    • โปรแกรม Glass Glow Skin เหมาะกับผู้ที่มีผิวแห้งกร้าน ขาดความชุ่มชื้น ผิวไม่ยืดหยุ่น 
    • โปรแกรม Glass Glow Skin เหมาะกับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูให้สุขภาพดีในระยะยาว
    • โปรแกรม Glass Glow Skin เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาเรื่องริ้วรอยเล็ก ตื้นๆ
    • โปรแกรม Glass Glow Skin เหมาะกับผู้ที่มีผิวบอบบาง แพ้ หรือระคายเคืองได้ง่าย
    • โปรแกรม Glass Glow Skin เหมาะกับผู้ที่มีปัญหารูขุมขนกว้าง ไม่เรียบเนียน
    • โปรแกรม Glass Glow Skin เหมาะกับผู้ที่ต้องการความเติมความโกลว์แบบเป็นธรรมชาติ
    • โปรแกรม Glass Glow Skin เหมาะกับผู้ที่มีผิวทุกสภาพผิว
    • โปรแกรม Glass Glow Skin เหมาะกับผู้ที่ต้องการให้ผิวดูอ่อนกว่าวัย
    • โปรแกรม Glass Glow Skin เหมาะกับผู้ที่ต้องการให้ผิวกระจ่างใส 
    • โปรแกรม Glass Glow Skin เหมาะกับผู้ที่ลดความหมองคล้ำให้ผิว 

     

    ผิวชุ่มชื้น ฉ่ำวาว โกลว์สวย แบบ Glass Skin ใครๆ ก็มีได้ด้วยโปรแกรม Glass Glow Skin ที่รมย์รวินท์คลินิก ทั้ง 28 สาขาทั่วประเทศ ใกล้ที่ไหนไปที่นั่นนะคะ 

    รวมวิธีรักษาฝ้า ที่รมย์รวินท์คลินิก

    รวมวิธีรักษาฝ้า ที่รมย์รวินท์คลินิก

    ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




      วันที่สะดวกในการติดต่อ








      รวมวิธีรักษาฝ้า ที่รมย์รวินท์คลินิก

      ฝ้าปัญหาผิวกวนใจที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ถึงแม้จะไม่ส่งผลอันตรายร้ายแรงต่อผิว แต่ก็สร้างความกังวลใจให้ผู้ที่เป็นไม่น้อยเลยทีเดียว ในปัจจุบันจึงมีการรักษาฝ้าให้เลือกมากมายหลายวิธี ซึ่งแต่ละวิธีก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป วันนี้รมย์รวินท์จึงจะพาทุกคนไปเจาะลึกถึงวิธีการรักษาฝ้าแบบเร่งด่วนทุกรูปแบบ พร้อมบอกเคล็ดลับในการเลือกวิธีการรักษาฝ้าให้เหมาะสมกับตัวเอง รู้ไว้ฝ้าหายไว้ผิวกลับมาเนียนใสแน่นอนค่ะ

       

      ฝ้าคืออะไร ?

      ฝ้า (Melasma) เป็นปัญหาผิวหนังที่เกิดจุดด่างดำหรือรอยคล้ำเป็นปื้น ซึ่งฝ้าเกิดจากการที่เซลล์ใต้ผิวหนังผลิตเม็ดสีเมลานินมากเกินไป เพื่อพยายามปกป้องผิวจากรังสี UV ในแสงแดด และปัจจัยอื่น ๆ เช่น แสงแดด ฮอร์โมน พันธุกรรม รวมถึงพฤติกรรมการดูแลผิวที่ไม่เหมาะสม แต่ถึงอย่างนั้นฝ้าก็ไม่ได้เป็นปัญหาผิวที่มีความอันตรายร้ายแรงต่อสุขภาพใดๆ เพียงแต่ส่วนใหญ่มักส่งผลกระทบทางด้านความสวยงาม และความมั่นใจ

       

      ฝ้าเกิดจากอะไร ?
      ฝ้าเกิดจากอะไร ?

       

      ฝ้าเกิดจากอะไร ?

      ฝ้า (Melasma)  เกิดจากการสะสมของเม็ดสีเมลานินในผิวหนังมากเกินไป ซึ่งสามารถเกิดได้จากหลายปัจจัยทั้งปัจจัยภายในร่างกายและปัจจัยภายนอก ที่กระตุ้นให้เซลล์เมลาโนไซต์ผลิตเม็ดสีมากขึ้น โดยปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดฝ้าได้ มีดังนี้

      • ฝ้าเกิดจากแสงแดด 

      เมื่อผิวสัมผัสกับแสงแดดเป็นเวลานาน ๆ จะไปกระตุ้นการสร้างเม็ดสีเมลานิน ทำให้เกิดฝ้าได้ โดยเฉพาะในผู้ที่ไม่ได้ป้องกันผิวจากแสงแดดอย่างเหมาะสม

      • ฝ้าเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน  

      การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนที่รวดเร็ว อาจกระตุ้นการเกิดฝ้าได้ เนื่องจากในช่วงที่ร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน หรือในช่วงที่รับฮอร์โมนจากยาคุมกำเนิด อาจทำให้ผิวไวต่อแสงแดดและเกิดฝ้าได้ง่ายขึ้น 

      • ฝ้าลึกเกิดจากมลภาวะและพฤติกรรม 

      มลภาวะที่เจอในแต่ละวัน ไม่ว่าจากฝุ่น ความเครียด ทั้งหมดส่งผลต่อการสร้างเม็ดสี โดยเฉพาะสารอนุมูลอิสระที่กระตุ้นให้เซลล์สร้างเม็ดสีทำงานผิดปกติ จนทำให้ผิวอ่อนแอและเกิดฝ้าได้ง่ายขึ้น

      • ฝ้าเกิดจากเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์บำรุงผิวได้ 

      ถ้าหากส่วนผสมของผลิตภัณฑ์นั้นมีสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองกับผิวหรือไวต่อแสง อาจกระตุ้นให้ฝ้าเกิดขึ้นได้

      • ฝ้าเกิดจากพันธุกรรม 

      หากมีคนในครอบครัวเป็นฝ้า โอกาสเกิดฝ้าในบุคคลนั้นก็เพิ่มขึ้นได้เช่นกัน

      • ฝ้าเกิดจากความร้อน 

      การได้รับความร้อนจากแสงแดด ไอความร้อนจากเตาไฟ หรือความร้อนจากสิ่งต่าง ๆ รอบตัว อาจทำให้เกิดการกระตุ้นให้เม็ดสีสะสมในชั้นลึกของผิวหนัง ส่งผลให้เกิดฝ้าได้

      • ฝ้าเกิดจากการอักเสบของผิวหนัง  

      การเกิดสิว การลอกผิว หรือการกระทำต่าง ๆ ที่ส่งผลให้เกิดการอักเสบของผิว อาจส่งผลให้เกิดการกระตุ้นให้เม็ดสีสะสมในชั้นลึกของผิวหนัง ทำให้เกิดเป็นฝ้าได้

       

      การเกิดฝ้าสามารถเกิดได้จากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะทั้งจากปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก ดังนั้นหากต้องการลดโอกาสการเกิดฝ้าใหม่และการเกิดฝ้าซ้ำ ควรหลีกเลี่ยงปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ค่ะ

       

      วิธีรักษาฝ้าแต่ละชนิด
      วิธีรักษาฝ้าแต่ละชนิด

       

      วิธีรักษาฝ้าแต่ละชนิด

      ฝ้าเป็นปัญหาผิวที่พบได้บ่อยในหลายบุคคล ซึ่งฝ้ามักมีลักษณะเป็นรอยดำ หรือสีผิวที่เข้มขึ้นบนใบหน้าและบริเวณต่าง ๆ ตามร่างกายที่สัมผัสกับแสงแดดบ่อย ๆ โดยฝ้ามีหลายชนิด ซึ่งแต่ละชนิดก็มีลักษณะ และต้องการการรักษาที่แตกต่างกันไป ดังนี้

       

      ฝ้าตื้น (Epidermal Melasma)

      เป็นฝ้าที่เกิดขึ้นบริเวณหนังกำพร้าชั้นบนสุด ซึ่งสาเหตุการเกิดฝ้าตื้นสามารถเกิดได้จากหลายปัจจัย ดังนี้

      ลักษณะของฝ้าตื้น 

      ฝ้าตื้นมีลักษณะเฉพาะที่สังเกตุได้ง่าย  ดังนี้

      • ฝ้าตื้นมักมีขอบเขตชัดเจน
      • ฝ้าตื้นมีลักษณะเป็นจุดสีน้ำตาลอ่อน ไปถึงสีน้ำตาลเข้ม เป็นปื้น
      • ฝ้าตื้นสามารถเห็นได้ชัดขึ้นเมื่อสัมผัสกับแสงแดด
      • ฝ้าตื้นพบได้บ่อยในบริเวณโหนกแก้ม หน้าผาก จมูก และเหนือริมฝีปาก

       

      การรักษาที่เหมาะกับฝ้าตื้น

      ฝ้าตื้นเป็นฝ้าที่สามารถรักษาและควบคุมได้ หากมีการดูแลผิวอย่างเหมาะสม โดยการรักษาฝ้าตื้นมุ่งเน้นไปที่การลดการสร้างเม็ดสี ควบคุมการกระจายตัวของเม็ดสีเมลานิน และป้องกันไม่ให้ฝ้ากลับมาเป็นซ้ำ

       

      ฝ้าลึก (Deep Melasma)

      เป็นภาวะที่เกิดจากการสะสมของเม็ดสีเมลานินในชั้นหนังแท้ (Dermis) ที่มากเกินไป ทำให้เกิดรอยคล้ำบนใบหน้า ซึ่งฝ้าลึกมักเป็นลักษณะที่รักษาได้ยากกว่าฝ้าตื้น เนื่องจากเม็ดสีฝังตัวอยู่ลึกกว่า

      ลักษณะของฝ้าลึก

      • ฝ้าลึกมักมีขอบเขตไม่ชัดเจน และกระจายตัวเป็นบริเวณกว้าง
      • ฝ้าลึกมักสีเข้ม เช่น น้ำตาลเทา หรือน้ำตาลอมฟ้า
      • ฝ้าลึกรักษายากกว่าฝ้าตื้น เนื่องจากเม็ดสีอยู่ในชั้นลึกของผิวหนัง
      • ฝ้าลึกมักพบบริเวณโหนกแก้ม หน้าผาก เหนือริมฝีปาก และคาง

       

      การรักษาที่เหมาะกับฝ้าลึก

      การรักษาฝ้าลึกมุ่งเน้นไปที่การลดการสร้างเม็ดสีโดยการยับยั้งกระบวนการผลิตเมลานิน ปรับสมดุลของเซลล์ผิวเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงและการซ่อมแซมผิว และป้องกันการเกิดฝ้าใหม่ แต่การรักษาฝ้าลึกจะต้องใช้เวลาและความต่อเนื่อง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ

       

      ฝ้าผสม (Mixed Melasma)

      เป็นประเภทของฝ้าที่มีลักษณะผสมระหว่างฝ้าตื้นและฝ้าลึก กล่าวคือ เม็ดสีเมลานินสะสมอยู่ทั้งในชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) และชั้นหนังแท้ (Dermis) ทำให้การรักษามีความซับซ้อนมากกว่าฝ้าชนิดเดียว

      ลักษณะของฝ้าผสม

      • ฝ้าผสมมักมีทั้งจุดสีเข้มที่ชัดเจนของฝ้าตื้น และรอยคล้ำกระจายแบบฝ้าลึก
      • ฝ้าผสมมักมีสีตั้งแต่น้ำตาลอ่อนถึงน้ำตาลเข้ม
      • ฝ้าผสมมักรักษายากกว่าฝ้าตื้น เพราะต้องจัดการทั้งสองชั้นของเม็ดสี
      • ฝ้าผสมมักพบได้ทั่วไปบริเวณโหนกแก้ม หน้าผาก เหนือริมฝีปาก และคาง

       

      การรักษาที่เหมาะกับฝ้าผสม

      การรักษาฝ้าผสมจะรักษายากกว่าฝ้าตื้น และต้องรักษาแบบผสมผสานหลายวิธี  เนื่องจากมีเม็ดสีสะสมอยู่ทั้งในหนังกำพร้าและหนังแท้ การรักษาจึงมุ่งเน้นไปที่การการลดการสร้างเม็ดสีโดยการยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนส ควบคุมปัจจัยกระตุ้นเช่นแสงแดดและฮอร์โมน และเสริมสร้างความแข็งแรงของผิว 

       

      ฝ้าประเภทไหนรักษาได้ง่าย ?

      ฝ้าตื้นเป็นประเภทที่รักษาได้ง่าย เนื่องจากเม็ดสีสะสมอยู่แค่ในชั้นหนังกำพร้า ซึ่งสามารถกำจัดออกได้ง่ายโดยการผลัดเซลล์ผิว , การใช้สารยับยั้งเม็ดสี หรือการใช้เลเซอร์ เพื่อช่วยลดเม็ดสีส่วนเกิน ในขณะที่การรักษาฝ้าลึกและฝ้าผสมต้องใช้ระยะเวลานานกว่า และต้องมีการรักษาหลายขั้นตอนร่วมกัน ทั้งนี้การรักษาฝ้าทุกประเภทควรทำควบคู่ไปกับการป้องกันฝ้า ด้วยการใช้ครีมกันแดดที่มี SPF 50+ PA++++ และการหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น จะช่วยลดการเกิดฝ้าใหม่ และเพิ่มประสิทธิภาพของการรักษาฝ้าได้ 

       

      รวมวิธีการรักษาฝ้าที่รมย์รวินท์คลินิก
      รวมวิธีการรักษาฝ้าที่รมย์รวินท์คลินิก

       

      รวมวิธีรักษาฝ้า ที่รมย์รวินท์คลินิก

      การรักษาฝ้าให้จางลงมีหลากหลายวิธี เพื่อให้สามารถจัดการเม็ดสีเมลานินที่สะสมอยู่ในผิวอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งการรักษาฝ้าให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีควรทำคู่กับการดูแลตัวเองทั้งภายในและภายนอก เพื่อป้องกันการเกิดซ้ำ โดยโปรแกรมรักษาฝ้าที่รมย์รวินท์ สามารถทำได้หลากหลายวิธี ดังนี้

       

      1.วิธีรักษาฝ้าด้วยการทำโปรแกรม Sylyoung

      เป็นเทคโนโลยีเลเซอร์ที่ใช้คลื่น Radio Frequency แบบ Dual Wave จึงสามารถช่วยฟื้นฟูผิวอย่างล้ำลึก ทั้งในระดับผิวหนังชั้นบนและชั้นลึก

      ข้อดีของการรักษาฝ้าด้วยโปรแกรม Sylyoung

      • โปรแกรม Sylyoung ลดฝ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อผิวบริเวณรอบข้าง
      • โปรแกรม Sylyoung เหมาะกับทุกสีผิว โดยเฉพาะผิวคนเอเชียที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดรอยดำหลังทำเลเซอร์แบบอื่น
      • โปรแกรม Sylyoung ระยะเวลาพักฟื้นน้อยและไม่จำเป็นต้องหยุดพักการใช้ชีวิตประจำวัน
      • โปรแกรม Sylyoung ช่วยลดเส้นเลือดฝอยผิดปกติซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของฝ้าได้

      การรักษาแบบนี้เหมาะกับฝ้าประเภท

      • โปรแกรม Sylyoung เหมาะกับฝ้าแบบเลือดฝอย ลดการไหลเวียนของเลือดในบริเวณที่มีปัญหา ส่งผลให้ฝ้าจางลงอย่างไม่เป็นอันตราย
      • โปรแกรม Sylyoung เหมาะกับฝ้าแบบผสมที่มีทั้งเม็ดสีและเส้นเลือดร่วมกัน เนื่องจาก Sylyoung ใช้คลื่น RF แบบ Dual Wave ช่วยลดเม็ดสีพร้อมควบคุมความผิดปกติของเส้นเลือดไปพร้อมกันได้
      • โปรแกรม Sylyoung เหมาะกับฝ้าที่รักษาด้วยวิธีอื่นแล้วไม่ได้ผล หรือผู้ที่ฝ้ากลับมาเป็นซ้ำบ่อย เนื่องจาก Sylyoung ช่วยฟื้นฟูผิวและโครงสร้างใต้ผิวที่ลึกกว่าเลเซอร์ทั่วไป

       

      2.วิธีรักษาฝ้าด้วยการทำ  Nu Pico Laser

      การรักษาฝ้าด้วยโปรแกรม  Nu Pico Laser ด้วยการใช้พลังงานแสงที่มีความเร็วสูง ในการทำลายเม็ดสีเมลานินได้อย่างละเอียดและตรงจุด

      ข้อดีของการรักษาฝ้าด้วยโปรแกรม Nu Pico Laser

      • โปรแกรม  Nu Pico Laser ช่วยลดเลือนฝ้าได้
      • โปรแกรม  Nu Pico Laser ลดความเสี่ยงของการเกิดรอยดำหลังการรักษา
      • โปรแกรม  Nu Pico Laser ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวเรียบเนียนและดูอ่อนเยาว์ขึ้นได้
      • โปรแกรม  Nu Pico Laser เหมาะกับทุกสภาพผิว

      การรักษาแบบนี้เหมาะกับฝ้าประเภท

      • โปรแกรม  Nu Pico Laser ลดเลือนฝ้าตื้นได้อย่างชัดเจน
      • โปรแกรม  Nu Pico Laser สามารถรักษาฝ้าลึกได้แต่ต้องใช้ระยะเวลาและทำต่อเนื่อง
      • โปรแกรม  Nu Pico Laser สามารถรักษาฝ้าผสมได้ หากทำต่อเนื่องและมีการดูแลผิวที่เหมาะสม

       

      3.วิธีรักษาฝ้าด้วยการทำ Smart Bright

      การรักษาฝ้าด้วยการทำโปรแกรม Smart Bright เป็นวิธีการรักษาฝ้าด้วยการใช้แสงเลเซอร์แสงสีเหลืองและแสงสีเขียว ในการลดเม็ดสีเมลานิน ลดการอักเสบ และช่วยฟื้นฟูสภาพผิว ช่วยลดเลือนฝ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพและช่วยให้ผิวดูเรียบเนียนมากขึ้น

      ข้อดีของการรักษาฝ้าด้วยโปรแกรม Smart Bright

      • โปรแกรม Smart Bright ช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานิน ทำให้สามารถลดเลือนฝ้าได้
      • โปรแกรม Smart Bright ช่วยลดการอักเสบของผิวและลดรอยแดง ที่เกิดจากฝ้าและสิวได้ด้วย
      • โปรแกรม Smart Bright ไม่เป็นอันตราย ไม่ทำให้เกิดแผลหรือรอยดำหลังการทำ
      • โปรแกรม Smart Bright ช่วยลดเส้นเลือดฝอยและรอยแดงบนหน้าได้อีกด้วย

      การรักษาแบบนี้เหมาะกับฝ้าประเภท

      • โปรแกรม Smart Bright ช่วยลดฝ้าตื้นที่เกิดในชั้นหนังกำพร้าได้อย่างตรงจุด
      • โปรแกรม Smart Bright สามารถฝ้าลึกได้อย่างมีประสิทธิภาพเมื่อทำอย่างต่อเนื่อง
      • โปรแกรม Smart Bright สามารถรักษาฝ้าผสมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

       

      4.วิธีรักษาฝ้าด้วยการทำโปรแกรม Melasma Fade 

      การรักษาฝ้าด้วยการทำโปรแกรม Melasma Fade เป็นวิธีการรักษาฝ้าด้วยการฉีดสารบำรุงผิวที่ออกแบบมาเพื่อช่วยลดเลือนฝ้าและจุดด่างดำ โดยใช้เทคนิคเฉพาะที่รมย์รวินท์คลินิก

      ข้อดีของการรักษาฝ้าด้วยโปรแกรม Melasma Fade

      • โปรแกรม Melasma Fade ลดเลือนฝ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
      • โปรแกรม Melasma Fade ฟื้นฟูได้อย่างล้ำลึกถึงระดับเซลล์ ทำให้ผิวสามารถฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
      • โปรแกรม Melasma Fade ลดโอกาสการเกิดฝ้าซ้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ
      • โปรแกรม Melasma Fade เห็นผลลัพธ์ได้ชัดเจนกว่าการทาครีมลดฝ้าแบบทั่วไป
      • โปรแกรม Melasma Fade ไม่ทำให้ผิวบางหรือไวต่อแสง

      การรักษาแบบนี้เหมาะกับฝ้าประเภท

      • โปรแกรม Melasma Fade สามารถลดเลือนฝ้าตื้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากลดเมลานินที่ชั้นหนังกำพร้าโดยตรง
      • โปรแกรม Melasma Fade สามารถช่วยลดความเข้มของเม็ดสีฝ้าลึก และปรับสีผิวให้สม่ำเสมอขึ้นได้
      • โปรแกรม Melasma Fade ลดเลือนฝ้าผสมได้ และช่วยทำให้สีผิวดูเรียบเนียนขึ้น

       

      5.วิธีรักษาฝ้าด้วยการทำโปรแกรม  Code of White

      เป็นโปรแกรมรักษาฝ้าที่ถูกออกแบบมาเพื่อฟื้นฟูสภาพผิวเพื่อแก้ปัญหาผิวหมองคล้ำ ฝ้า กระ และจุดด่างดำที่เกิดจากแสงแดด มลภาวะ หรืออายุที่มากขึ้น ซึ่งการรักษาฝ้าด้วยโปรแกรม  Code of White ประกอบด้วยหลายเทคนิคทั้งการใช้เลเซอร์ในระดับอ่อน การผลักสารบำรุงเข้าสู่ผิวชั้นลึก และการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารออกฤทธิ์เฉพาะ เพื่อดูแลผิวทั้งในระดับผิวภายนอกและโครงสร้างใต้ผิว

      ข้อดีของการรักษาฝ้าด้วย  Code of White 

      • โปรแกรม  Code of White ใช้เทคโนโลยีที่ไม่เป็นอันตราย ทั้งในด้านเครื่องมือและผลิตภัณฑ์ที่ใช้ร่วมในการรักษาฝ้า
      • โปรแกรม  Code of White สามารถปรับการรักษาให้เหมาะสำหรับทุกสภาพผิวได้โดยไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง
      • โปรแกรม  Code of White ใช้เทคนิคการผลักสารเข้าสู่ผิวอย่างอ่อนโยน ช่วยปลอบประโลมผิว ลดการอักเสบได้อย่างดี
      • โปรแกรม  Code of White ช่วยปรับสมดุลผิวและลดปัจจัยกระตุ้นที่อาจทำให้เกิดฝ้ากระใหม่ในอนาคตได้

      การรักษาแบบนี้เหมาะกับฝ้าประเภท

      โปรแกรม  Code of White เหมาะกับฝ้าสามารถลดเลือนฝ้า กระ ได้ทั้งในระดับผิวตื้นและลึก ครอบคลุมทั้งเม็ดสีที่อยู่ในชั้นหนังกำพร้าและหนังแท้

      • โปรแกรม  Code of White เหมาะกับฝ้าแบบตื้น
      • โปรแกรม  Code of White เหมาะกับฝ้าแบบลึก
      • โปรแกรม  Code of White เหมาะกับฝ้าแบบผสม
      • โปรแกรม  Code of White เหมาะกับฝ้าเรื้อรังหรือเคยรักษาด้วยวิธีอื่นแล้วยังไม่ได้ผล

      การรักษาฝ้าสามารถทำได้หลายวิธี ควรเลือกวิธีการรักษาฝ้าที่เหมาะสมกับประเภทและความรุนแรงของฝ้า เพื่อให้ได้รับการรักษาที่เหมาะสม ควบคู่กับการดูแลผิวอย่างถูกวิธี จะช่วยลดโอกาสการเกิดฝ้าใหม่ในอนาคตได้ค่ะ

       

      เคล็ดลับการเลือกวิธีรักษาฝ้าให้เหมาะกับตัวเอง
      เคล็ดลับการเลือกวิธีรักษาฝ้าให้เหมาะกับตัวเอง

       

      เคล็ดลับการเลือกวิธีรักษาฝ้าให้เหมาะกับตัวเอง

      การเลือกวิธีรักษาฝ้าให้เหมาะสมกับตัวเองเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้การรักษาฝ้ามีประสิทธิภาพและลดโอกาสการเกิดฝ้าซ้ำในอนาคตได้ แล้วเราควรเลือกรักษาฝ้าแบบไหนที่เหมาะกับตัวเอง ? การเลือกวิธีรักษาฝ้าที่เหมาะสม อาจสามารถพิจารณาได้จากปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ค่ะ 

      • ประเมินประเภทของฝ้าที่เป็นก่อนเลือกวิธีการรักษา

      เพื่อการเลือกการรักษาที่เหมาะสมกับตัวเอง ควรบทราบก่อนว่าฝ้าที่เป็น เป็นฝ้าประเภทใด เนื่องจากฝ้าแต่ละประเภทต้องการการรักษาที่แตกต่างกันออกไป หากปรึกษาแพทย์จะช่วยให้สามารถบอกถึงประเภทฝ้าที่คุณเป็นและได้รับคำแนะนำด้านวิธีการรักษาที่เหมาะสมได้ค่ะ

      • เลือกวิธีการรักษาฝ้าที่เหมาะสมกับสภาพผิวของตัวเอง

      สภาพผิวของแต่ละบุคคลตอบสนองต่อการรักษาที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้นการเลือกวิธีการรักษาฝ้า ควรเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับสภาพผิวของตัวเองด้วย เพื่อลดโอกาสเกิดผลข้างเคียงหลังการรักษาฝ้า

      • เลือกวิธีการรักษาที่มีไม่เป็นอันตรายและผ่านการรับรอง

      ในการรักษาฝ้าไม่ว่าจะเป็นวิธีใด ควรเลือกวิธีการรักษาที่มีไม่เป็นอันตราย มีการรับรอง และการทำโดยผู้ชำนาญการ ในสถานพยาบาลที่เชื่อถือได้ เพื่อไม่เป็นอันตรายตลอดการรักษาค่ะ

      • คำนึงถึงงบประมาณและระยะเวลาการรักษาที่เหมาะสมกับตัวเอง

      การรักษาฝ้าทุกวิธีล้วนมีค่าใช้จ่ายและระยะเวลาในการรักษาที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้นควรเลือกวิธีที่เหมาะสมกับงบประมาณและความต้องการของคุณ เพื่อให้สามารถรักษาฝ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

       

      ทำไมฝ้าถึงกลับมาเป็นอีก หลังจากรักษาหายแล้ว ?
      ทำไมฝ้าถึงกลับมาเป็นอีก หลังจากรักษาหายแล้ว ?

       

      ทำไมฝ้าถึงกลับมาเป็นอีก หลังจากรักษาหายแล้ว ?

      แม้ว่าฝ้าจะสามารถรักษาให้จางลงได้ แต่ฝ้าก็สามารถกลับมาเป็นได้อีก เนื่องจากเกิดการกระตุ้นจากหลายปัจจัย เช่น แสงแดด ฮอร์โมน พันธุกรรม และพฤติกรรมการดูแลผิวที่ไม่เหมาะสม ที่ไปกระตุ้นให้เซลล์เมลาโนไซต์ (Melanocyte) ผลิตเม็ดสีเมลานินมากเกินไป ส่งผลให้รอยฝ้าปรากฏขึ้นอีกครั้ง หากต้องการลดโอกาสที่ฝ้าจะกลับมาเกิดในระยะยาว ควรดูแลผิวให้เหมาะสม รวมถึงควรปกป้องผิวจากแสงแดด และหลีกเลี่ยงปัจจัยที่อาจกระตุ้นให้เกิดฝ้าค่ะ

      สิ่งที่คนเป็นฝ้าควรหลีกเลี่ยงเพื่อไม่ให้เกิดฝ้าซ้ำ

      การป้องกันไม่ให้เกิดฝ้าซ้ำสำหรับผู้ที่เคยเป็นฝ้ามาก่อน เป็นสิ่งที่จำเป็นเป็นอย่างมาก เนื่องจากหลังการรักษาแล้ว ฝ้าก็สามารถเกิดได้หลายปัจจัย ซึ่งการหลีกเลี่ยงปัจจัยเหล่านี้จะช่วยลดโอกาสการเกิดฝ้า และทำให้ผิวแข็งแรงขึ้นได้

       

      • ผู้เป็นฝ้าควรหลีกเลี่ยงแสงแดดและรังสี UV

      ในผู้ที่เป็นฝ้าควรหลีกเลี่ยงแสงแดดและรังสี UV เนื่องจากการสัมผัสรังสี UV มีความเข้มข้นสูง อาจทำให้ผิวเกิดการกระตุ้นเม็ดสีเมลานินมากขึ้น ทำให้เกิดการสะสมใต้ชั้นผิวหนังมากเกินไป จนเกิดเป็นฝ้าขึ้นอีกครั้ง

      • ผู้เป็นฝ้าควรหลีกเลี่ยงความร้อน

      ในผู้ที่เป็นฝ้าควรหลีกเลี่ยงความร้อนและไอร้อนจากที่ต่าง ๆ เนื่องจากความร้อน สามารถกระตุ้นการทำงานของเซลล์เมลาโนไซต์ ทำให้ฝ้ากลับมาเข้มขึ้น หรือกลับมาเกิดเป็นฝ้าอีกครั้ง

      • ผู้เป็นฝ้าควรหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารระคายเคือง

      ในผู้ที่เป็นฝ้าควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมที่อาจทำให้เกิดการระคายเคืองได้ เช่น แอลกอฮอล์ น้ำหอม พาราเบน และสารกันเสีย เนื่องจากสารสกัดจากผลิตภัณฑ์เหล่านี้ อาจทำให้ผิวระคายเคือง หรือผิวบางลงและไวต่อแสงแดด จนกระตุ้นการสร้างเม็ดสีมากเกินไป ทำให้เกิดเป็นฝ้าได้อีก

      • ผู้เป็นฝ้าควรหลีกเลี่ยงมลภาวะและอนุมูลอิสระ

      ในผู้ที่เป็นฝ้าควรหลีกเลี่ยงมลภาวะ สารพิษในอากาศ เนื่องจากสิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดอนุมูลอิสระที่กระตุ้นให้เซลล์ผิวผลิตเม็ดสีมากขึ้น ส่งผลให้ฝ้ากลับมาเข้มขึ้น และรักษาได้ยากขึ้นได้ 

      • ผู้เป็นฝ้าควรกินอาหารที่จำเป็นต่อผิว

      ในผู้ที่เป็นฝ้าควรกินอาหารที่จำเป็นต่อผิว เช่น วิตามิน C, วิตามิน E, ซิงค์ และโอเมก้า 3 เนื่องจากการขาดอาหารที่จำเป็นต่อผิวเหล่านี้ทำให้ผิวอ่อนแอและไวต่อแสงแดดมากขึ้น ส่งผลให้เกิดฝ้าได้

       

      การรักษาฝ้าเร่งด่วนเพื่อให้ผิวหน้ากลับมาสวยเรียบเนียนอีกครั้ง สามารถทำได้หลากหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการทำเลเซอร์ การฉีด หรือการผลัดเซลล์ผิว แต่ทั้งนี้ฝ้าก็สามารถเกิดซ้ำได้หากไม่มีการดูแลผิวที่ถูกต้อง ดังนั้นเมื่อรักษาฝ้าจนฝ้าจางลงแล้ว ควรดูแลผิวอย่างถูกต้องและปกป้องผิวอย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดโอกาสการเกิดฝ้าใหม่ในอนาคต อีกทั้งยังควรเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับตัวเอง เพื่อลดผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ค่ะ 

      ฝ้าเป็นปัญหาผิวที่พบได้บ่อยโดยเฉพาะในผู้หญิง ซึ่งฝ้าสามารถแบ่งออกได้หลายประเภท ได้แก่ ฝ้าตื้น ฝ้าลึก และฝ้าผสม ซึ่งฝ้าแต่ละประเภทเกิดจากปัจจัยที่แตกต่างออกไป ทำให้การรักษาฝ้าในแต่ละประเภทต้องการการรักษาที่ต่างกัน โดยวิธีการรักษาฝ้าในปัจจุบันมีหลากหลายวิธี การเลือกวิธีการรักษาฝ้าที่เหมาะสมกับประเภทของฝ้า จะช่วยให้การรักษาฝ้ามีประสิทธิภาพดีมากขึ้น แม้ว่าฝ้าจะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ในบางกรณี แต่การดูแลที่เหมาะสมสามารถช่วยลดเลือนและควบคุมไม่ให้ฝ้ากลับมาเป็นมากขึ้นได้

       

       

      *ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวแต่ละบุคคล *เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

      ข้อควรรู้ก่อน-หลังฉีดฟิลเลอร์ครั้งแรก ควรปฏิบัติ และควรระวังอะไรบ้าง?

      ข้อควรรู้ก่อน-หลังฉีดฟิลเลอร์ครั้งแรก ควรปฏิบัติ และควรระวังอะไรบ้าง?

      ข้อควรรู้ก่อน-หลังฉีดฟิลเลอร์ครั้งแรก ควรปฏิบัติ และควรระวังอะไรบ้าง?

      ก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ หากต้องการให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ และไม่เป็นอันตราย การดูแลตัวเองก่อน และหลังฉีดถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก วันนี้ รมย์รวินท์รวบรวมข้อควรรู้ก่อน-หลังฉีดฟิลเลอร์มาให้แล้วว่า ก่อนฉีดต้องเตรียมตัวอย่างไร? และหลังฉีดควรดูแลตัวเองอย่างไร? เพื่อผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ สามารถคงอยู่ได้ยาวนาน และลดความเสี่ยงของผลข้างเคียง มาหาคำตอบกันในบทความนี้ค่ะ

       

      ข้อควรรู้ก่อน-หลังฉีดฟิลเลอร์ ควรดูแลตัวเองอย่างไร? เพื่อผลลัพธ์ที่ดี และไม่เป็นอันตราย

      รู้จักการฉีดฟิลเลอร์

      การฉีดฟิลเลอร์ (Filler) เป็นสารเติมเต็มประเภทไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid – HA) ที่ใช้ฉีดเข้าสู่ใต้ชั้นผิว เพื่อแก้ปัญหาผิวที่เสื่อมสภาพ เช่น เติมเต็มริ้วรอย ร่องลึก เพิ่มปริมาตรให้ผิวบริเวณที่ยุบตัว หรือฉีดปรับโครงสร้างใบหน้าให้ดูสมดุล นอกจากนี้ การฉีดฟิลเลอร์ยังไม่เสี่ยงอันตราย และสามารถเห็นผลได้หลังฉีด จึงถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ตอบโจทย์ และครอบคลุมเกือบทุกปัญหาผิว

       

      ข้อควรรู้ก่อน-หลังฉีดฟิลเลอร์ มีอะไรบ้าง?
      ข้อควรรู้ก่อน-หลังฉีดฟิลเลอร์ มีอะไรบ้าง?

       

      ข้อควรรู้ก่อน-หลังฉีดฟิลเลอร์ มีอะไรบ้าง?

      ก่อนฉีดฟิลเลอร์ ควรเตรียมตัวอย่างไร?

      • ก่อนฉีดฟิลเลอร์ ควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์

      ก่อนฉีดฟิลเลอร์ ควรศึกษาข้อมูล และทำความเข้าใจเกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์ ทั้งประเภทของฟิลเลอร์ ผลลัพธ์ที่ได้ และข้อควรระวังในการฉีด เพื่อให้สามารถเลือกฟิลเลอร์ได้อย่างเหมาะสม

      • ก่อนฉีดฟิลเลอร์ ควรแจ้งประวัติสุขภาพ

      ก่อนฉีดฟิลเลอร์ ควรแจ้งประวัติสุขภาพ ประวัติโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ ประวัติหัตถการที่เคยทำ รวมถึง ยาที่กำลังรับประทานอยู่ให้แพทย์ทราบอย่างละเอียดก่อนฉีด เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียง

      • ก่อนฉีดฟิลเลอร์ งดรับประทานยาบางชนิด

      ก่อนฉีดฟิลเลอร์ ควรงดรับประทานยา หรืออาหารเสริมบางชนิด เช่น แอสไพริน, ไอบูโพรเฟน, NSAIDs, น้ำมันปลา หรือสารสกัดจากโสม อย่างน้อย 1 – 2 สัปดาห์ เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดรอยฟกช้ำ หรือเลือดออกง่าย

      • ก่อนฉีดฟิลเลอร์ งดดื่มแอลกอฮอล์

      ก่อนฉีดฟิลเลอร์ ควรงดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 1 – 2 วันก่อนฉีด เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดอาการบวม หรือการอักเสบ

      • ก่อนฉีดฟิลเลอร์ งดทำกิจกรรมอย่างหนัก

      ก่อนฉีดฟิลเลอร์ ควรงดการทำกิจกรรมหนัก ๆ  หรือกิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีด รวมถึง งดออกกำลังกายแบบหักโหม อย่างน้อย 1 – 2 วันก่อนฉีด เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดอาการบวมช้ำ

      • ก่อนฉีดฟิลเลอร์ งดนวดหน้า หรือทำทรีตเมนต์

      ก่อนฉีดฟิลเลอร์ ควรงดนวดหน้า ขัดผิว แว็กซ์ผิว โกนขน หรือทำทรีตเมนต์ต่าง ๆ อย่างน้อย 3 – 5 วันก่อนฉีด เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดการติดเชื้อ อักเสบ หรือระคายเคือง

      • ก่อนฉีดฟิลเลอร์ งดใช้ผลิตภัณฑ์ที่ระคายเคือง

      ก่อนฉีดฟิลเลอร์ ควรงดใช้ครีม หรือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมในการผลัดเซลล์ผิว ได้แก่ Retinol, AHA, BHA หรือ Glycolic Acid อย่างน้อย 3 วันก่อนฉีด เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดอาการระคายเคือง หรือการอักเสบ

      • ก่อนฉีดฟิลเลอร์ ควรนอนหลับให้เพียงพอ

      ก่อนฉีดฟิลเลอร์ ควรนอนหลับ หรือพักผ่อนให้เพียงพอในคืนก่อนฉีด เพื่อให้ร่างกายมีความพร้อมสำหรับการฉีดฟิลเลอร์ในวันถัดไป

       

      หลังฉีดฟิลเลอร์ ควรปฏิบัติตัวอย่างไร?

      • หลังฉีดฟิลเลอร์ ควรรับประทานยาตามที่แพทย์สั่ง

      หลังฉีดฟิลเลอร์ ควรรับประทานยาตามที่แพทย์สั่ง เพื่อลดอาการบวม ปวดตึง หรือรอยฟกช้ำในบริเวณที่ฉีด รวมถึง ป้องกันความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียงภายหลัง

      • หลังฉีดฟิลเลอร์ ควรสังเกตอาการของตนเอง

      หลังฉีดฟิลเลอร์ ควรติดตามอาการ หรือสังเกตอาการของตนเองอย่างใกล้ชิด หากมีอาการผิดปกติ เช่น ผิวเปลี่ยนสี บวม แดง คัน หรือปวดมากผิดปกติ ควรรีบปรึกษาแพทย์โดยด่วน

      • หลังฉีดฟิลเลอร์ ควรประคบเย็นหากมีอาการบวม

      หลังฉีดฟิลเลอร์ หากมีอาการบวมช้ำ สามารถประคบเย็นบริเวณที่ฉีดตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อช่วยลดอาการบวมช้ำหลังฉีด โดยใช้เจลเย็น หรือถุงน้ำแข็งประคบเบา ๆ ไม่กดแรงเกินไป

      • หลังฉีดฟิลเลอร์ ควรนอนในท่าทางที่เหมาะสม

      หลังฉีดฟิลเลอร์ ควรนอนในท่าทางที่เหมาะสม โดยนอนหงาย และยกศีรษะสูงกว่าหน้าอก เพื่อช่วยลดอาการบวมช้ำหลังฉีด อย่างน้อย 2 – 3 วันแรก

      • หลังฉีดฟิลเลอร์ ควรดื่มน้ำอย่างสม่ำเสมอ

      หลังฉีดฟิลเลอร์  ควรดื่มน้ำอย่างสม่ำเสมอ ประมาณ 1.5 – 2 ลิตรต่อวัน ซึ่งน้ำเป็นปัจจัยที่สำคัญในการฉีดฟิลเลอร์ เนื่องจากสารในฟิลเลอร์ เป็นสารที่กักเก็บความชุ่มชื้น ดังนั้น การดื่มน้ำให้มาก ๆ จะทำให้ฟิลเลอร์มีความฟูได้ดีมากขึ้น

      • หลังฉีดฟิลเลอร์ ควรพักผ่อนให้เพียงพอ

      หลังฉีดฟิลเลอร์  ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ประมาณ 7 – 8 ชั่วโมงต่อวัน เนื่องจากการนอนหลับจะทำให้ร่างกายสามารถฟื้นฟู และซ่อมแซมตัวเองได้อย่างเต็มที่

       

      หลังฉีดฟิลเลอร์ ควรระวังตัวอย่างไร?
      หลังฉีดฟิลเลอร์ ควรระวังตัวอย่างไร?

       

      หลังฉีดฟิลเลอร์ ควรระวังตัวอย่างไร?

      หลังฉีดฟิลเลอร์ ควรงดแต่งหน้า หรือใช้เครื่องสำอางในบริเวณที่ฉีด อย่างน้อย 12 – 24 ชั่วโมง เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อหลังฉีด 

      • หลังฉีดฟิลเลอร์ หลีกเลี่ยงการสัมผัสหน้า

      หลังฉีดฟิลเลอร์ ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัส จับ กด หรือถูในบริเวณที่ฉีดแรง ๆ อย่างน้อย 1 – 2 สัปดาห์ เพื่อลดความเสี่ยงฟิลเลอร์เคลื่อนที่ หรือเสียรูปทรง รวมถึง ลดความเสี่ยงในการอักเสบหลังฉีด 

      • หลังฉีดฟิลเลอร์ งดโดนความร้อน

      หลังฉีดฟิลเลอร์ ควรงดโดนความร้อน หรืออยู่ในที่ที่อุณหภูมิสูง เช่น เข้าซาวน่า อบไอน้ำ หรือรับประทานอาหารที่ต้องนั่งหน้าเตาร้อน ๆ อย่างน้อย 1 – 2 สัปดาห์ เพื่อลดความเสี่ยงฟิลเลอร์เคลื่อนที่ หรือสลายตัวไว

      • หลังฉีดฟิลเลอร์ งดนอนกดทับใบหน้า

      หลังฉีดฟิลเลอร์ ควรงดนอนกดทับใบหน้า หรือนอนในท่าทางที่ไม่เหมาะสม เช่น นอนคว่ำ นอนตะแคง อย่างน้อย 1 – 2 สัปดาห์ เพื่อลดความเสี่ยงฟิลเลอร์เคลื่อนที่ หรือเสียรูปทรงหลังฉีด

      • หลังฉีดฟิลเลอร์  งดทำกิจกรรมอย่างหนัก

      หลังฉีดฟิลเลอร์ ควรงดการทำกิจกรรมหนัก ๆ  หรือกิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีด รวมถึง งดออกกำลังกายแบบหักโหม อย่างน้อย 1 – 2 วัน เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดอาการบวมช้ำ

      • หลังฉีดฟิลเลอร์ งดดื่มแอลกอฮอล์

      หลังฉีดฟิลเลอร์ ควรงดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 1 – 2 วัน เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดอาการบวม หรืออักเสบหลังฉีด

      • หลังฉีดฟิลเลอร์ งดสูบบุหรี่

      หลังฉีดฟิลเลอร์ ควรงดการสูบบุหรี่ อย่างน้อย 1 – 2 วัน เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ หรืออักเสบหลังฉีด รวมถึง อาจทำให้ฟิลเลอร์เสื่อมสภาพเร็วขึ้นได้

      • หลังฉีดฟิลเลอร์ งดรับประทานอาหารหมักดอง

      หลังฉีดฟิลเลอร์ ควรงดการรับประทานอาหารหมักดอง เช่น ผักดอง ผลไม้ดอง หรือปลาร้า อย่างน้อย 1 – 2 สัปดาห์ อย่างน้อย 1 – 2 สัปดาห์ เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ หรือเกิดแผลอักเสบหลังฉีด 

      • หลังฉีดฟิลเลอร์ งดอาหารรสจัด

      หลังฉีดฟิลเลอร์ ควรงดอาหารรสจัด ไม่ว่าจะเป็นเค็มจัด เผ็ดจัด หวานจัด หรืออาหารที่มีโซเดียมสูง เช่น ส้มตำ ยำ หรือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป อย่างน้อย 1 สัปดาห์ เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดอาการอักเสบ หรือบวมหลังฉีด

      • หลังฉีดฟิลเลอร์ งดทำทรีตเมนต์

      หลังฉีดฟิลเลอร์ ควรงดการทำทรีตเมนต์ในบริเวณที่ฉีด เช่น นวดหน้า สครับผิว หรือผลัดเซลล์ผิว อย่างน้อย 1 สัปดาห์ เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดอาการระคายเคืองหลังฉีด

       

      ขั้นตอนในการฉีดฟิลเลอร์ มีอะไรบ้าง?
      ขั้นตอนในการฉีดฟิลเลอร์ มีอะไรบ้าง?

       

      ขั้นตอนในการฉีดฟิลเลอร์ มีอะไรบ้าง?

      • ปรึกษาแพทย์ก่อนฉีดฟิลเลอร์

      ก่อนฉีดฟิลเลอร์ แพทย์จะเข้ามาพูดคุย และสอบถามเกี่ยวกับความต้องการ หรือปัญหาที่ต้องการแก้ไข เพื่อวางแผนการรักษาอย่างเหมาะสม

      • ประเมินสภาพผิวก่อนฉีดฟิลเลอร์

      แพทย์จะเริ่มวิเคราะห์ และประเมินสภาพผิวหน้า เพื่อคำนวณปริมาณฟิลเลอร์ที่ต้องใช้ รวมถึง แนะนำยี่ห้อ และรุ่นของฟิลเลอร์ที่เหมาะสมกับบริเวณที่ต้องการแก้ไข

      • ทำความสะอาดใบหน้า

      ผู้ช่วยแพทย์จะเริ่มทำความสะอาดใบหน้าในบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ โดยการเช็ดเครื่องสำอางออกให้หมด เพื่อขจัดสิ่งสกปรก และลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ

      • ทายาชาก่อนฉีดฟิลเลอร์

      เมื่อทำความสะอาดใบหน้าเสร็จ ผู้ช่วยแพทย์จะทำการทายาชา หรือฉีดยาชา เพื่อลดความเจ็บปวดขณะฉีด โดยจะทิ้งให้ยาชาค่อย ๆ ออกฤทธิ์ ประมาณ 30 – 40 นาที

      • แพทย์จะเริ่มฉีดฟิลเลอร์

      เมื่อยาชาออกฤทธิ์เรียบร้อยแล้ว แพทย์จะเริ่มฉีดฟิลเลอร์เข้าไปในชั้นผิวบริเวณที่ต้องการแก้ไข ซึ่งจะต้องอาศัยความชำนาญ และประสบการณ์ในการฉีด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ และมีประสิทธิภาพ

      • ปรับรูปทรงให้สวยงาม

      เมื่อฉีดฟิลเลอร์เสร็จ แพทย์จะทำการปรับแต่งรูปทรงให้สวยงามในบริเวณที่ฉีด เพื่อให้ฟิลเลอร์กระจายตัวได้ดี และได้รูปทรงที่สมดุลตามที่ต้องการ

      • ให้คำแนะนำหลังฉีดฟิลเลอร์

      แพทย์จะให้คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการปฏิบัติตัว และข้อควรระวังหลังฉีดฟิลเลอร์ ซึ่งควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียง

       

      การฉีดฟิลเลอร์ มีอาการข้างเคียงอย่างไร?

      หลังฉีดฟิลเลอร์ อาจมีอาการข้างเคียงเกิดขึ้นเล็กน้อย โดยอาการที่พบได้บ่อย มีดังนี้

      • รอยแดงจากเข็ม

      หลังฉีดฟิลเลอร์  อาจมีรอยแดงจากเข็มเล็กน้อยในบริเวณที่ฉีด ซึ่งจะค่อย ๆ จางลง ภายใน 2 – 3 วัน

      • อาการบวม

      หลังฉีดฟิลเลอร์  อาจมีอาการบวมเล็กน้อยในบริเวณที่ฉีด โดยสามารถรับประทานยาลดบวมตามคำแนะนำของแพทย์ หรือประคบเย็นเบา ๆ เพื่อลดอาการบวมลงได้ ซึ่งจะค่อย ๆ ดีขึ้น ภายใน 1 – 2 สัปดาห์

      • ปวดระบม

       หลังฉีดฟิลเลอร์  อาจมีอาการปวดระบม หรือปวดตึงในบริเวณที่ฉีด โดยสามารถรับประทานยาแก้ปวดตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อลดอาการปวดลงได้ ซึ่งจะค่อย ๆ ดีขึ้น ภายใน 1 สัปดาห์

      • รอยเขียวช้ำ

      หลังฉีดฟิลเลอร์  อาจเกิดรอยเขียวช้ำในบริเวณที่ฉีด โดยสามารถทายาลดรอย เพื่อให้รอยช้ำจางลง ซึ่งจะค่อย ๆ ดีขึ้น ภายใน 1 – 2 สัปดาห์

       

      การฉีดฟิลเลอร์ มีข้อดีอย่างไร?

      • เห็นผลรวดเร็ว เนื่องจากการฉีดฟิลเลอร์ สามารถเห็นความเปลี่ยนแปลงได้หลังฉีด โดยไม่ต้องรอผลลัพธ์นานเหมือนกับการทำหัตถการอื่น ๆ
      • ไม่เสียเวลาพักฟื้นนาน เนื่องจากการฉีดฟิลเลอร์ เป็นหัตถการที่ไม่ต้องทำการผ่าตัด จึงลดความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียง และไม่ต้องใช้เวลาในการพักฟื้นนาน
      • สลายได้ตามธรรมชาติ เนื่องจากการฉีดฟิลเลอร์ประเภท Hyaluronic Acid เป็นสารที่มีอยู่ในร่างกาย จึงสามารถสลายได้ตามธรรมชาติ หรือในกรณีที่ไม่พอใจในผลลัพธ์ สามารถฉีดสลายได้ง่าย
      • ใช้แก้ปัญหาได้หลากหลาย โดยฟิลเลอร์สามารถฉีดได้หลายตำแหน่งบนใบหน้า เพื่อแก้ปัญหาได้อย่างหลากหลาย เช่น เติมเต็มริ้วรอย ร่องลึก ลดความหย่อนคล้อย หรือปรับโครงใบหน้าให้ดูมีมิติ
      • ไม่เสี่ยงอันตราย หากใช้ฟิลเลอร์แท้ที่ได้รับการอนุมัติจาก อย. และฉีดโดยแพทย์ จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียงอันตรายได้

       

      การฉีดฟิลเลอร์ มีข้อเสียอย่างไร?

      • ผลลัพธ์ไม่ถาวร เนื่องจากสาร Hyaluronic Acid ในฟิลเลอร์ เป็นสารที่สามารถสลายได้ตามธรรมชาติ จึงต้องมีการฉีดซ้ำเรื่อย ๆ เมื่อครบกำหนด แต่โดยทั่วไป การฉีดฟิลเลอร์จะอยู่ได้นาน 6 – 18 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และการดูแลตัวเอง 
      • ต้องฉีดโดยแพทย์เท่านั้น หากฉีดโดยแพทย์ที่ไม่มีความชำนาญ อาจทำให้ผลลัพธ์ไม่ดูเป็นธรรมชาติ หรือเกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมาได้

       

      ใครที่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์?
      ใครที่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์?

       

      ใครที่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์?

      • การฉีดฟิลเลอร์ เหมาะกับผู้ที่ต้องการเติมเต็มริ้วรอย และร่องลึก

      การฉีดฟิลเลอร์ เหมาะกับผู้ที่ต้องการเติมเต็มริ้วรอย และร่องลึกจากอายุที่เพิ่มมากขึ้น เช่น ริ้วรอยรอบดวงตา ริ้วรอยมุมปาก หรือร่องแก้มลึก

      • การฉีดฟิลเลอร์ เหมาะกับผู้ที่ต้องการยกกระชับปรับรูปหน้า

      การฉีดฟิลเลอร์ เหมาะกับผู้ที่ต้องการยกกระชับปรับรูปหน้า หรือปรับปรุงโครงสร้างใบหน้าให้ดูมีมิติ และมีสัดส่วนที่สมดุลมากขึ้น เช่น การฉีดฟิลเลอร์คาง การฉีดฟิลเลอร์กรอบหน้า หรือการฉีดฟิลเลอร์ขมับ

      • การฉีดฟิลเลอร์ เหมาะกับผู้ที่ต้องการเพิ่มปริมาตรให้ผิว

      การฉีดฟิลเลอร์ เหมาะกับผู้ที่ต้องการเพิ่มปริมาตรให้ผิว ในบริเวณที่ยุบตัวลงตามอายุ เช่น การฉีดฟิลเลอร์ขมับ หรือการฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ

      • การฉีดฟิลเลอร์ เหมาะกับผู้ที่ต้องการเพิ่มความอวบอิ่ม

      การฉีดฟิลเลอร์ เหมาะกับผู้ที่ต้องการเพิ่มความอวบอิ่ม ทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ เช่น การฉีดฟิลเลอร์ปาก การฉีดฟิลเลอร์แก้มส้ม

      • การฉีดฟิลเลอร์ เหมาะกับผู้ต้องการยกกระชับผิว

      การฉีดฟิลเลอร์ เหมาะกับผู้ที่ต้องการยกกระชับผิว ลดความหย่อนคล้อยของใบหน้า หรือผิวสูญเสียความยืดหยุ่น

      • การฉีดฟิลเลอร์ เหมาะกับผู้ต้องการเพิ่มความชุ่มชื้น

      การฉีดฟิลเลอร์ เหมาะกับผู้ที่ต้องการเพิ่มความชุ่มชื้น หรือเติมน้ำให้ผิว ทำให้แต่งหน้าติดทนมากขึ้น โดยส่วนใหญ่จะเน้นการฉีดฟิลเลอร์บริเวณหน้าแก้ม หรือทั่วทั้งใบหน้า

      ทั้งนี้ ควรปรึกษาแพทย์ และแจ้งประวัติสุขภาพให้แพทย์ทราบอย่างละเอียด ตั้งแต่ประวัติโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา หรือประวัติการรักษาก่อนเข้ารับบริการ

       

      ใครที่ไม่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์?

      • การฉีดฟิลเลอร์ ไม่เหมาะกับผู้ที่มีประวัติแพ้สารในฟิลเลอร์ 
      • การฉีดฟิลเลอร์ ไม่เหมาะกับผู้ที่มีเลือดออกง่าย หรือรับประทานยาต้านการแข็งตัวของเลือดเป็นประจำ
      • การฉีดฟิลเลอร์ ไม่เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวติดเชื้อ หรือมีอาการอักเสบ
      • การฉีดฟิลเลอร์ ไม่เหมาะกับผู้ที่ตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร
      • การฉีดฟิลเลอร์ ไม่เหมาะกับผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือมีการรักษาด้วยยากดภูมิคุ้มกัน
      • การฉีดฟิลเลอร์ ไม่เหมาะกับผู้ที่เคยมีประวัติเกิดแผลเป็นนูนผิดปกติ

      ทั้งนี้ ควรปรึกษาแพทย์ และแจ้งประวัติสุขภาพให้แพทย์ทราบอย่างละเอียด ตั้งแต่ประวัติโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา หรือประวัติการรักษาก่อนเข้ารับบริการ

       

      Q&A คำถามเกี่ยวกับารฉีดฟิลเลอร์
      Q&A คำถามเกี่ยวกับารฉีดฟิลเลอร์

       

      Q&A คำถามเกี่ยวกับารฉีดฟิลเลอร์

      การฉีดฟิลเลอร์ ฉีดตำแหน่งไหนได้บ้าง?

      การฉีดฟิลเลอร์ สามารถฉีดได้หลายตำแหน่งบนใบหน้า โดยตำแหน่งที่นิยมฉีดฟิลเลอร์ มีดังนี้

      • ร่องแก้ม ใช้ฟิลเลอร์ ประมาณ 1 – 3 CC เพื่อเติมเต็มร่องแก้มลึกให้ดูตื้นขึ้น ทำให้ใบหน้ามีความอ่อนเยาว์
      • ใต้ตา ใช้ฟิลเลอร์ ประมาณ 1 – 2 CC เพื่อเติมเต็มร่องลึกใต้ตา ลดความหมองคล้ำใต้ตา และลดเลือนริ้วรอยรอบดวงตา
      • ขมับ ใช้ฟิลเลอร์ ประมาณ 2 – 4 CC เพื่อเติมเต็มขมับที่ตอบ หรือขมับที่ยุบตัวให้ดูเต็มอิ่มมากขึ้น 
      • คาง ใช้ฟิลเลอร์ ประมาณ 1 – 2 CC  เพื่อปรับรูปทรงคางให้สวยงาม มีความสมส่วน และรับกับใบหน้ามากขึ้น
      • ริมฝีปาก ใช้ฟิลเลอร์ ประมาณ 1 – 2 CC เพื่อเติมเต็มความอวบอิ่มให้ริมฝีปาก และปรับรูปทรงปากให้สวยงาม
      • หน้าผาก ใช้ฟิลเลอร์ ประมาณ 3 – 5 CC เพื่อเติมเต็มหน้าผากให้นูนสวย ดูละมุน และรับกับใบหน้ามากขึ้น
      • แก้มส้ม ใช้ฟิลเลอร์ ประมาณ 1 – 2 CC เพื่อเติมเต็มหน้าแก้มให้มีความอิ่มฟู ดูเด็กลง และสดใสมากขึ้น

       

      การฉีดฟิลเลอร์ เจ็บไหม?

      • การฉีดฟิลเลอร์ อาจมีความเจ็บเล็กน้อย ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่ฉีด ซึ่งเป็นความเจ็บในระดับที่ทนได้ แต่โดยปกติแล้ว ผู้ช่วยแพทย์จะมีการทายาชา หรือฉีดยาชาให้ก่อนเริ่มฉีดฟิลเลอร์ เพื่อลดความรู้สึกเจ็บขณะฉีด อีกทั้ง ฟิลเลอร์บางยี่ห้อยังมีส่วนผสมของยาชา (Lidocaine) ทำให้รู้สึกสบายตัวมากขึ้น 

       

      การฉีดฟิลเลอร์ ฉีดกี่วันเข้าที่?

      • หลังฉีดฟิลเลอร์ โดยปกติแล้ว การฉีดฟิลเลอร์จะเริ่มเข้าที่ และกลมกลืนเข้ากับผิว ภายใน 2 – 4 สัปดาห์ ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้จะมีความเป็นธรรมชาติ และไม่แข็งทื่อ 

       

      การฉีดฟิลเลอร์ ล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นได้ไหม?

      • โดยปกติแล้ว หลังฉีดฟิลเลอร์ ควรหลีกเลี่ยงการล้างหน้าด้วยน้ำอุ่น อย่างน้อย 24 – 48 ชั่วโมงแรก เนื่องจากความร้อนอาจส่งผลให้ฟิลเลอร์สลายตัวเร็ว และอาจทำให้เกิดอาการบวมมากขึ้นหลังฉีด แนะนำให้ล้างหน้าด้วยน้ำอุณหภูมิปกติใ่นช่วงแรก

       

      การฉีดฟิลเลอร์ นวดหน้าได้ไหม?

      • โดยปกติแล้ว หลังฉีดฟิลเลอร์ควรงดการนวดหน้าในบริเวณที่ฉีด อย่างน้อย 1 – 2 สัปดาห์ เนื่องจากการกดใบหน้าแรง ๆ อาจทำให้โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เกิดการเคลื่อนที่ผิดตำแหน่ง และทำให้ผลลัพธ์ดูผิดรูปได้

       

      การฉีดฟิลเลอร์ อันตรายไหม?

      • การฉีดฟิลเลอร์ ถือเป็นหัตถการที่ไม่เสี่ยงอันตราย เนื่องจากเป็นมีการใช้งานมาอย่างยาวนาน และได้รับการยอมรับทั่วโลก ซึ่งการฉีดฟิลเลอร์ควรฉีดโดยแพทย์ และใช้ฟิลเลอร์แท้ที่ได้รับการอนุมัติจาก อย. เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ได้ไม่เสี่ยงอันตราย และมีประสิทธิภาพมากขึ้น

       

      วิธีการดูฟิลเลอร์แท้ สังเกตได้จากอะไร?

      • กล่องฟิลเลอร์อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ ไม่บุบสลาย และไม่มีการแกะใช้งานมาก่อน
      • มีเลขทะเบียน อย. ระบุไว้อย่างชัดเจนบนกล่อง โดยสามารถตรวจสอบได้จากเว็บไซต์ของ อย.
      • มีเอกสารกำกับภาษาไทยภายในกล่อง โดยจะต้องระบุข้อมูล หรือรายละเอียดฟิลเลอร์อย่างเห็นได้ชัด
      • มีเลข Lot. ตรงกันทุกจุด เช่น บนกล่องฟิลเลอร์ หลอดฟิลเลอร์ ซองฟิลเลอร์ หรือสติกเกอร์
      • ในบางกรณี ฟิลเลอร์บางยี่ห้ออาจมี QR Code ให้สแกน เพื่อตรวจสอบข้อมูลฟิลเลอร์โดยตรง

       

      แม้ว่าการฉีดฟิลเลอร์ หากฉีดโดยแพทย์จะไม่เสี่ยงอันตราย แต่ก็ยังมีโอกาสที่จะเกิดผลข้างเคียงได้ หากปฏิบัติตัวไม่เหมาะสม ทั้งก่อนฉีดฟิลเลอร์ และหลังฉีดฟิลเลอร์ ดังนั้น ก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ควรหาข้อมูลเกี่ยวกับฟิลเลอร์อย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็นข้อควรรู้ หรือข้อควรระวังสำหรับการฉีดฟิลเลอร์ เพื่อจะได้เตรียมตัว และดูแลตนเองอย่างเหมาะสม ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้มีประสิทธิภาพ และมีความคงทนมากขึ้น ลดความเสี่ยงของการเกิดผลข้างเคียงในอนาคต 

       

      *ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับบริการ

      *เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯกำหนด

       

      รู้ก่อนตัดสินใจ! ยกกระชับหน้าวิธีไหนดี?

      ยกกระชับหน้าวิธีไหนดี

      รู้ก่อนตัดสินใจ! ยกกระชับหน้าวิธีไหนดี?

       

      เคยสังเกตไหมว่าเมื่อเวลาผ่านไป ผิวหน้าของเราเริ่มสูญเสียความกระชับและความยืดหยุ่น ร่องแก้มลึกขึ้น หนังตาตก กรอบหน้าไม่ชัด หรือแม้แต่ริ้วรอยเล็ก ๆ ก็ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ปัจจัยเหล่านี้เกิดจากการเสื่อมสภาพของคอลลาเจนและอีลาสตินตามธรรมชาติ ร่วมกับปัจจัยภายนอก เช่น แสงแดด มลภาวะ ความเครียด และพฤติกรรมการใช้ชีวิต ซึ่งล้วนส่งผลให้ผิวดูหย่อนคล้อย ขาดความสดใส และดูมีอายุเกินกว่าความเป็นจริง

       

      แต่ในปัจจุบัน มีเทคนิคยกกระชับหน้าหลากหลายรูปแบบที่สามารถช่วยย้อนวัยให้ผิวเต่งตึง แลดูอ่อนเยาว์ขึ้น โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ว่าจะเป็น Ulthera Prime, Thermage FLX, Ultra 4D Lift, Fix Lift, Oligio และ EMFACE แต่ละเทคนิคมีจุดเด่นที่แตกต่างกัน ทั้งในด้านของหลักการทำงาน ความลึกของพลังงานที่ใช้ ระยะเวลาการเห็นผล และความเหมาะสมกับสภาพผิวแต่ละประเภท

       

      หากคุณกำลังมองหาวิธียกกระชับหน้าที่ไม่อันตราย เห็นผลลัพธ์จริง และเหมาะกับปัญหาผิวของคุณที่สุด บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจตัวเลือกที่ดี พร้อมเปรียบเทียบข้อดีและข้อเสียของแต่ละเทคนิค รวมถึงปัจจัยสำคัญที่ควรพิจารณา เพื่อให้สามารถตัดสินใจเลือกสิ่งที่ตอบโจทย์ ทั้งปัญหาผิวและไลฟ์สไตล์ได้อย่างมั่นใจ

       

      สรุปยกกระชับหน้า วิธีไหนดี?

      การเลือกวิธียกกระชับหน้าที่ดี ขึ้นอยู่กับ ปัญหาผิว อายุ งบประมาณ และผลลัพธ์ที่ต้องการ เนื่องจากแต่ละเทคนิคมีคุณสมบัติและข้อดีที่แตกต่างกัน การเลือกวิธีที่เหมาะสมกับตนเองจึงเป็นสิ่งสำคัญ

       

      ซึ่งไม่มีวิธีใดที่ดีสำหรับทุกคน เพราะแต่ละบุคคลมีสภาพผิวและความต้องการที่แตกต่างกัน การปรึกษาแพทย์เฉพาะทาง จะช่วยให้ทุกคนได้รับคำแนะนำที่เหมาะสม เลือกเทคนิคที่ไม่อันตราย และให้ผลลัพธ์ที่ตรงกับความต้องการของทุกคนมากที่สุด

       

      ยกกระชับหน้าด้วยเทคโนโลยียกกระชับ มีอะไรบ้าง?
      ยกกระชับหน้าด้วยเทคโนโลยียกกระชับ มีอะไรบ้าง?

       

      ยกกระชับหน้าด้วยเทคโนโลยียกกระชับ มีอะไรบ้าง? ยกกระชับหน้าวิธีไหนดี?

      สำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูง การใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ช่วยยกกระชับผิวหน้าเป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยม โดยเทคโนโลยีที่แนะนำ ดังนี้

      เทคโนโลยี Microfocused Ultrasound (MFU-V) ทำงานโดยส่งพลังงานอัลตราซาวนด์แบบโฟกัสสูงลงลึกถึงชั้น SMAS เพื่อกระตุ้นการผลิต คอลลาเจน และ อีลาสติน ตามธรรมชาติ ช่วยให้ผิวกระชับ เต่งตึงขึ้น พร้อมลดเลือนริ้วรอยบริเวณร่องแก้ม หางตา และลำคอ อีกทั้งยังช่วยปรับกรอบหน้าให้ดูเรียวและได้รูปมากขึ้น

      เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับใบหน้าและลำคอโดยไม่ต้องผ่าตัด หรือผู้ที่เริ่มมีปัญหาผิวหย่อนคล้อยในระดับปานกลาง โดยผลลัพธ์จะค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นภายใน 2-3 เดือน และสามารถคงอยู่ได้นาน 1-2 ปี

      • ยกกระชับหน้าด้วย Thermage FLX

      ใช้พลังงาน Monopolar RF (Radio Frequency) ส่งความร้อนลงลึกถึงชั้นไขมันใต้ผิว กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและช่วยให้โครงสร้างผิวแน่นขึ้น ช่วยลดไขมันส่วนเกินใต้ผิวหน้า เช่น บริเวณแก้ม คางสองชั้น และเหนียง ให้กรอบหน้าคมชัดขึ้น ให้ผลลัพธ์ที่ดูไม่แปลก ไม่ทำให้ใบหน้าแข็งตึง และสามารถใช้ได้กับทุกสภาพผิว เหมาะสำหรับผู้ที่มี ผิวหย่อนคล้อย และต้องการกระชับผิวแบบไม่ต้องผ่าตัด ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 1-2 ปี โดยจะเริ่มเห็นผลหลังทำ 2-3 เดือน

      ใช้เทคโนโลยี Micro&Macro focused Ultrasound ส่งพลังงานลงลึกถึงชั้น SMAS ช่วยให้ใบหน้ากระชับและริ้วรอยจางลง ลดเลือนริ้วรอยและเสริมสร้างอีลาสติน ทำให้ผิวหน้าดูเฟิร์มขึ้นและเนียนละเอียดขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูสภาพผิวแบบองค์รวม ทั้งในเรื่องของการยกกระชับหน้าและปรับรูปหน้าให้สมดุล เห็นผลลัพธ์ชัดเจนขึ้นใน 1-3 เดือน และอยู่ได้นาน 1 ปี

      • ยกกระชับหน้าด้วย Fix Lift

      ใช้เทคโนโลยี Microneedle RF (Radio Frequency Microneedling) ซึ่งเป็นการผสานพลังงานคลื่นวิทยุร่วมกับเข็มขนาดเล็ก 24 pin เพื่อส่งพลังงานลงลึกถึงชั้นใต้ผิว ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและเร่งการผลัดเซลล์ผิว ทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น ลดเลือนริ้วรอย และรอยแผลเป็นจากสิว และช่วยยกกระชับหน้า ลดความหย่อนคล้อย ทำให้ใบหน้าดูกระชับขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ เหมาะสำหรับผู้ที่มี ริ้วรอยลึก ผิวหย่อนคล้อย หรือมีปัญหารูขุมขนกว้าง และต้องการฟื้นฟูผิวในระดับลึก เห็นผลลัพธ์ชัดเจนภายใน 1-2 เดือน และสามารถอยู่ได้นาน 1-2 ปี

      • ยกกระชับหน้าด้วย Oligio

      ใช้พลังงาน Monopolar RF ส่งคลื่นวิทยุความถี่สูงเพื่อช่วยยกกระชับหน้า โดยให้ความรู้สึกสบายและเจ็บน้อยกว่า กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ลดเลือนริ้วรอย และทำให้ผิวแน่นขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการ ผลลัพธ์ที่เป็นดูสวยเหมือนไม่ได้ทำอะไรมา ไม่ต้องพักฟื้น และต้องการทำหัตถการที่เจ็บน้อย สามารถทำได้กับหลายบริเวณ เช่น ใบหน้า คอ และรอบดวงตา ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 6-12 เดือน และสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ภายใน 1-2 เดือน 

      • ยกกระชับหน้าด้วย EMFACE

      ใช้พลังงาน HIFES+Radio Frequency ในการกระตุ้นกล้ามเนื้อใบหน้าให้แข็งแรงขึ้น ช่วยยกกระชับหน้า ลดริ้วรอย และฟื้นฟูโครงสร้างผิว โดยไม่ต้องใช้เข็มหรือสารเติมเต็ม ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อใบหน้าให้แข็งแรงขึ้น ทำให้ใบหน้าดูสดใส อ่อนเยาว์ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการ กระชับผิวหน้า ลดความหย่อนคล้อย เห็นผลได้ตั้งแต่ 4-6 สัปดาห์หลังทำ และผลลัพธ์สามารถอยู่ได้นานถึง 6-12 เดือน

      ใช้เส้นไหมละลายที่มีโครงสร้างพิเศษสอดเข้าไปใต้ผิวหนัง เพื่อดึงและยกกระชับหน้าในทันที กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนรอบเส้นไหม ทำให้ผิวแน่นขึ้นและดูเต่งตึงขึ้นในระยะยาว เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการ ยกกระชับหน้า แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย และปรับรูปหน้าให้ดูคมชัดขึ้น เห็นผลลัพธ์ทันทีหลังทำ และผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 6-12 เดือน ขึ้นอยู่กับชนิดของไหม

      การฉีดไฮยาลูรอนิก แอซิด (HA) เป็นเทคนิคที่ช่วยเติมเต็มบริเวณที่มีร่องลึก เช่น ร่องแก้ม ใต้ตา ขมับ คาง และกรอบหน้า เพื่อให้ใบหน้าดูเอิบอิ่มขึ้น พร้อมลดปัญหาความหย่อนคล้อยที่เกิดจากการสูญเสียไขมันใต้ผิว

      เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าให้สมส่วน และลดเลือนริ้วรอยเพื่อให้ดูอ่อนเยาว์ยิ่งขึ้น โดยสามารถเห็นผลลัพธ์ได้ทันทีหลังทำ และคงอยู่ได้นานประมาณ 6-18 เดือน ขึ้นอยู่กับประเภทของโปรแกรมฟิลเลอร์ที่ใช้

      • ยกกระชับหน้าด้วยโปรแกรมฉีดโบ

      เป็นวิธีที่ใช้สำหรับลดริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงสีหน้า เช่น หน้าผาก หางตา รอยย่นระหว่างคิ้ว ช่วยลดขนาดกรามและปรับรูปหน้าให้ดูเรียวขึ้น โดยการคลายตัวของกล้ามเนื้อ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการใบหน้าดูสดใส อ่อนเยาว์ขึ้น เห็นผลภายใน 3-7 วัน และผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 3-6 เดือน

       

      ยกกระชับหน้าด้วยวิธีธรรมชาติ มีแบบไหนบ้าง? ยกกระชับหน้าวิธีไหนดี?

      สำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับหน้าแบบไม่ต้องใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ การดูแลผิวด้วยวิธีธรรมชาติสามารถช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่นมากขึ้น และชะลอการเกิดริ้วรอยได้

      • การนวดหน้าเพื่อกระตุ้นคอลลาเจน

      การนวดหน้าช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ทำให้ผิวหน้าดูสดใสขึ้น ช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและลดอาการบวมของใบหน้า เทคนิคที่นิยม เช่น การนวดกดจุด, การนวดด้วยน้ำมันธรรมชาติ หรือการใช้กัวซา

      • การออกกำลังกายใบหน้า (Face Yoga)

      ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อใบหน้าให้แข็งแรง ทำให้ใบหน้ากระชับขึ้น ลดความหย่อนคล้อยบริเวณกรอบหน้าและแก้ม ท่าที่นิยม ได้แก่ ท่าปากจู๋, ท่ายกหน้าผาก, ท่ายกคาง และการบริหารกล้ามเนื้อรอบดวงตา

      • การเลือกใช้ครีมและเซรัมกระชับผิว

      ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ เปปไทด์, เรตินอล, วิตามินซี และไฮยาลูรอนิก แอซิด ซึ่งครีมกระชับผิวจะช่วยเติมความชุ่มชื้นและเสริมสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ส่วนเซรัมที่มีสารแอนตี้ออกซิแดนท์จะช่วยป้องกันการเสื่อมของเซลล์ผิว

      • อาหารที่ช่วยเพิ่มคอลลาเจนให้ผิว
      • อาหารที่อุดมด้วยวิตามินซี เช่น ส้ม ฝรั่ง และเบอร์รี่ ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
      • อาหารที่มีโอเมก้า 3 เช่น ปลาแซลมอน ถั่วอัลมอนด์ และอะโวคาโด ช่วยให้ผิวยืดหยุ่น
      • โปรตีนจากธรรมชาติ เช่น ไข่ขาว กระดูกอ่อน และเจลาติน ช่วยเสริมสร้างโครงสร้างผิว
      • การนอนและดื่มน้ำให้เพียงพอ

      การนอนหลับที่เพียงพอ ช่วยให้ร่างกายซ่อมแซมผิวและผลิตคอลลาเจน และการดื่มน้ำวันละ 8-10 แก้วช่วยรักษาความชุ่มชื้นของผิวและทำให้ผิวดูอิ่มฟู

       

      ยกกระชับหน้าวิธีไหนดี?  วิธีเลือกวิธียกกระชับหน้าที่เหมาะกับตัวเอง

      การเลือกวิธียกกระชับหน้าที่เหมาะสม ขึ้นอยู่กับปัญหาผิว อายุ งบประมาณ และผลลัพธ์ที่คาดหวัง ซึ่งแต่ละปัจจัยมีผลต่อการเลือกเทคนิคที่ให้ประสิทธิภาพที่ดี โดยพิจารณาจากปัจจัยดังต่อไปนี้

      • ปัญหาผิวหน้า

      สำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับใบหน้า ควรเริ่มต้นจากการพิจารณาว่าผิวของตนเองมีปัญหาอะไร และต้องการแก้ไขในบริเวณไหน เช่น

      • ผู้ที่มีริ้วรอยรอบดวงตา หน้าผาก และร่องแก้ม ควรเลือก Ulthera Prime, Thermage FLX, Oligio, โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ หรือโปรแกรมฉีดโบ ซึ่งช่วยลดริ้วรอยและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
      • หากมีปัญหาหนังตาตกหรือคิ้วตก แนะนำ Ulthera Prime, EMFACE หรือร้อยไหม ซึ่งช่วยยกกระชับบริเวณใบหน้า และปรับโครงสร้างให้ดูสดใส อ่อนเยาว์ยิ่งขึ้น
      • สำหรับผู้ที่มีปัญหาแก้มหย่อนคล้อยหรือกรอบหน้าไม่ชัด สามารถเลือก Thermage FLX, Fix Lift, Ultra 4D Lift หรือการร้อยไหม ที่ช่วยให้ใบหน้าดูกระชับขึ้น พร้อมปรับรูปหน้าให้ดูเรียวได้สัดส่วนมากขึ้น
      • สำหรับผู้ที่มีปัญหาคางสองชั้นและเหนียง ควรเลือก Thermage FLX, Ultra 4D Lift หรือ Fix Lift เพื่อช่วยลดไขมันและกระชับผิวหน้า
      • อายุและสภาพผิว

      อายุเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการเลือกวิธียกกระชับหน้า เนื่องจากสภาพผิวในแต่ละช่วงวัยมีความแตกต่างกัน

      • สำหรับผู้ที่อายุ 30+ มักเริ่มมีริ้วรอยเล็ก ๆ และผิวหย่อนคล้อยเพียงเล็กน้อย ควรเลือก  Oligio, EMFACE, โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ หรือโปรแกรมฉีดโบ ซึ่งช่วยดูแลผิวให้ดูอ่อนเยาว์และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
      • สำหรับผู้ที่อายุ 40+ มักมีความหย่อนคล้อยของใบหน้ามากขึ้น กรอบหน้าเริ่มไม่ชัด และริ้วรอยลึกขึ้น ควรเลือก Ulthera Prime, Thermage FLX, Fix Lift, Ultra 4D Lift หรือ ร้อยไหม ซึ่งช่วยยกกระชับและฟื้นฟูผิวอย่างล้ำลึก
      • สำหรับผู้ที่อายุ 50+ ปัญหาผิวที่พบได้บ่อยคือ ริ้วรอยลึก ผิวบาง และขาดความยืดหยุ่น ควรเลือก Thermage FLX, Fix Lift, Ultra 4D Lift, โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ หรือร้อยไหม ซึ่งสามารถช่วยเติมเต็มและยกกระชับใบหน้าให้ดูสดใสขึ้น

       

      งบประมาณ

      ค่าใช้จ่ายในการยกกระชับหน้าขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีที่เลือก ซึ่งมีราคาตั้งแต่หลักหมื่นไปจนถึงหลักแสน โดยแต่ละเทคนิคมีช่วงราคาที่แตกต่างกัน ดังนี้

      • Oligio มีราคาเริ่มต้นที่ 10,000 – 30,000 บาท และผลลัพธ์อยู่ได้นาน 6-12 เดือน
      • EMFACE มีราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 30,000 – 60,000 บาท สามารถคงผลลัพธ์ได้นานประมาณ 12 เดือน
      • Ulthera Prime ราคาเริ่มต้นที่ 50,000 – 100,000 บาท และให้ผลลัพธ์ที่อยู่ได้นาน 1-2 ปี
      • Thermage FLX มีช่วงราคา 60,000 – 120,000 บาท และผลลัพธ์อยู่ได้นานถึง 1-2 ปี
      • Fix Lift มีค่าใช้จ่ายประมาณ 40,000 – 80,000 บาท และอยู่ได้นาน 1-2 ปี
      • Ultra 4D Lift มีค่าใช้จ่ายเริ่มต้น 40,000 – 90,000 บาท และสามารถอยู่ได้นาน 12-18 เดือน
      • ร้อยไหม มีค่าใช้จ่ายอยู่ระหว่าง 20,000 – 50,000 บาท และอยู่ได้นาน 6-12 เดือน
      • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ มีราคาประมาณ 15,000 – 50,000 บาท และสามารถคงผลลัพธ์ได้นาน 6-18 เดือน
      • โปรแกรมฉีดโบ มีราคาประมาณ 5,000 – 30,000 บาท และผลลัพธ์อยู่ได้นาน 3-6 เดือน

       

      5 สัญญาณของผิวหย่อนคล้อย มีอะไรบ้าง?
      5 สัญญาณของผิวหย่อนคล้อย มีอะไรบ้าง?

       

      5 สัญญาณของผิวหย่อนคล้อย มีอะไรบ้าง?

      เมื่ออายุเพิ่มขึ้น กระบวนการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในร่างกายจะค่อย ๆ ลดลง ส่งผลให้โครงสร้างผิวอ่อนแอลง ขาดความยืดหยุ่น และไม่กระชับเหมือนเดิม ทำให้เกิดความหย่อนคล้อยของผิวในบริเวณต่าง ๆ ซึ่งสามารถสังเกตได้จากสัญญาณเหล่านี้

      • ร่องแก้มลึกขึ้น 

      การสูญเสียไขมันใต้ผิวหนังและความยืดหยุ่น ทำให้ร่องแก้มดูชัดเจนขึ้น ส่งผลให้ใบหน้าดูมีอายุ

      • หนังตาตกและคิ้วต่ำลง 

      กล้ามเนื้อบริเวณรอบดวงตาอ่อนแอลง ทำให้ดวงตาดูเหนื่อยล้า ส่งผลให้ใบหน้าดูเรียวไม่กระชับ

      • กรอบหน้าไม่ชัดและคางสองชั้น 

      เกิดจากการสะสมของไขมันและการหย่อนคล้อยของกล้ามเนื้อ ส่งผลให้ใบหน้าดูเรียวไม่กระชับ

      • ริ้วรอยรอบดวงตาและมุมปาก 

      การเคลื่อนไหมของกล้ามเนื้อซ้ำ ประกอบกับการสูญเสียคอลลาเจน ทำให้ริ้วรอยเริ่มปรากฏและลึกขึ้น

      • ผิวบริเวณลำคอหย่อนคล้อย 

      เมื่อคอลลาเจนลดลง ผิวจะดูแห้งกร้าน ขาดความเปล่งปลั่ง และม่ร่องรอยแห่งวัยเพิ่มขึ้น

       

      รวมปัจจัยที่ทำให้ผิวหน้าหย่อนคล้อยก่อนวัย

      แม้ว่าการเสื่อมสภาพของผิวจะเป็นกระบวนการตามธรรมชาติ แต่มีปัจจัยหลายอย่างที่อาจทำให้เกิดความหย่อนคล้อยของผิวก่อนวัยอันควร ได้แก่

      • อายุที่เพิ่มขึ้น

      เมื่ออายุมากขึ้น เซลล์ผิวสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินลดลง ทำให้ผิวสูญเสียความตึงกระชับ

      • แสงแดดและรังสี UV

      การได้รับรังสี UV เป็เนวลานานจะทำให้เซลล์ผิวถูกทำลาย คอลลาเจนเสื่อมสภาพเร็วขึ้น และเกิดริ้วรอยก่อนวัย

      • มลภาวะและฝุ่นควั

      ส่งผลให้อนุมูลอิสระสะสมในชั้นผิว ทำให้เซลล์ผิวอ่อนแอและเกิดความเสื่อมสภาพเร็วยิ่งขึ้น

      • พฤติกรรมการใช้ชีวิต

      เช่น การพักผ่อนไม่เพียงพอ การรับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ การดื่มแอลกอฮอล์ และการสูบบุหรี่

      • ความเครียดและฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลง

      ความเครียดเรื้อรังส่งผลให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ซึ่งเร่งการเสื่อมของเซลล์ผิว ทำให้ผิวดูแก่กว่าวัย

      • การลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว

      การลดน้ำหนักโดยไม่ค่อยออกกำลังกาย อาจทำให้ผิวสูญเสียความกระชับ เพราะเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังลดลงเร็วเกินไป

       

      ยกกระชับหน้าด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ ช่วยอะไรบ้าง?
      ยกกระชับหน้าด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ ช่วยอะไรบ้าง?

       

      ยกกระชับหน้าด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ ช่วยอะไรบ้าง?

      • ยกกระชับหน้า ทำให้ได้ผลลัพธ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
      • ยกกระชับหน้า ช่วยลดริ้วรอยและร่องลึกบนใบหน้า
      • ยกกระชับหน้า ช่วยกระชับกรอบหน้าและลดคางสองชั้น
      • ยกกระชับหน้า ช่วยฟื้นฟูสภาพผิวให้ดูเรียบเนียนและสุขภาพดี
      • ยกกระชับหน้า ให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและเป็นธรรมชาติ
      • ยกกระชับหน้า มีเทคนิคที่สามารถให้ผลลัพธ์ได้ทันที
      • ยกกระชับหน้า ผลลัพธ์อยู่ได้นาน โดยไม่ต้องทำบ่อย
      • ยกกระชับหน้า สามารถปรับแต่งให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล
      • ยกกระชับหน้า สามารถช่วยลดไขมันสะสมใต้ผิว พร้อมปรับรูปหน้าให้เรียวขึ้น
      • ยกกระชับหน้า ช่วยปรับปรุงคุณภาพผิวโดยรวมให้ดีขึ้น
      • ยกกระชับหน้า สามารถเลือกแก้ไขปัญหาเฉพาะจุดได้
      • ยกกระชับหน้า สามารถผสมผสานหลายเทคนิคเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีอย่างมีประสิทธิภาพ
      • ยกกระชับหน้า มีทั้งวิธีที่เห็นผลทันทีและวิธีที่ช่วยฟื้นฟูผิวในระยะยาว
      • ยกกระชับหน้า มีตัวเลือกหลากหลายตามความต้องการของแต่ละบุคคล
      • ยกกระชับหน้า มีเสี่ยงอันตรายเมื่อทำโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์
      • ยกกระชับหน้า ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้นนาน ด้วยการใช้เทคโนโลยียกกระชับ

       

      ใครบ้างที่ควรยกกระชับหน้า แก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย

      • ยกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป และต้องการชะลอวัย
      • ยกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหน้าหย่อนคล้อย
      • ยกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มมีริ้วรอยและร่องลึกบนใบหน้า
      • ยกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาหนังตาตก คิ้วตก หรือใบหน้าดูเหนื่อยล้า
      • ยกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาคางสองชั้นหรือกรอบหน้าไม่ชัด
      • ยกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวหลังลดน้ำหนัก
      • ยกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดเหนียงและกระชับคางสองชั้น
      • ยกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการป้องกันหรือชะลอความหย่อนคล้อยของผิว
      • ยกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเสริมความมั่นใจและภาพลักษณ์ที่ดีขึ้น
      • ยกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าให้ดูสมส่วนและอ่อนเยาว์ขึ้น
      • ยกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเห็นผลลัพธ์เร็ว โดยไม่ต้องพักฟื้นนาน
      • ยกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูสภาพผิวให้ดูเรียบเนียนและสุขภาพดีขึ้น
      • ยกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับใบหน้าโดยไม่ต้องผ่าตัด
      • ยกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดริ้วรอยแบบไม่ต้องพึ่งศัลยกรรม
      • ยกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวจากแสงแดดและมลภาวะ
      • ยกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปรับผิวให้ดูเรียบเนียนและกระจ่างใสขึ้น
      • ยกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่ยาวนาน และไม่ต้องทำซ้ำบ่อย
      • ยกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่กลัวเข็ม หรือไม่ต้องการฉีดสารเติมเต็มเข้าสู่ร่างกาย
      • ยกกระชับหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการแก้ไขปัญหาผิวที่เกิดจากความเครียด และการใช้ชีวิตประจำวัน

       

      ใครบ้างที่ไม่ควรยกกระชับหน้าเพื่อแก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย

      • ยกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะโรคผิวหนัง หรือมีปัญหาผิวหนังอักเสบ
      • ยกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัวรุนแรง เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน หรือแพ้ภูมิตัวเอง
      • ยกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับหญิงตั้งครรภ์ หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร
      • ยกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีอุปกรณ์ทางการแพทย์ฝังในร่างกาย เช่น เครื่องกระตุ้นหัวใจ
      • ยกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุน้อยเกินไป และยังไม่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยชัดเจน
      • ยกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่แพ้หรือไวต่อพลังงานความร้อนสูง
      • ยกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะผิวแพ้ง่าย หรือมีแนวโน้มเกิดแผลเป็นง่าย
      • ยกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาภาวะเลือดออกง่าย 
      • ยกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีมีโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบไหลเวียนโลหิต
      • ยกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวหน้ามีไขมันน้อย หรือใบหน้าผอมมาก
      • ยกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีประวัติเป็นโรคเริมที่ริมฝีปากหรือใบหน้า
      • ยกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีประวัติแพ้ยาชาหรือไวต่อความเจ็บปวด
      • ยกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียที่ผิวหนัง
      • ยกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีรอยสักบริเวณที่ต้องทำหัตถการยกกระชับหน้า
      • ยกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีโรคที่ส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน
      • ยกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวบางเกินไป
      • ยกกระชับหน้า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีแนวโน้มเกิดภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรง

       

      การเตรียมตัวก่อนทำยกกระชับหน้า

      • ก่อนทำยกกระชับหน้า ควรศึกษาและเลือกเทคนิคที่เหมาะสมกับปัญหาผิว
      • ก่อนทำยกกระชับหน้า ควรเข้ารับคำปรึกษากับแพทย์เฉพาะทาง เพื่อให้แพทย์ประเมินสภาพผิว
      • ก่อนทำยกกระชับหน้า ควรนอนหลับอย่างน้อย 7-8 ชั่วโมง ก่อนวันเข้ารับการรักษา
      • ก่อนทำยกกระชับหน้า หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอาง ครีม หรือโลชั่นใด ๆ บนใบหน้า วันที่เข้ารับการรักษา
      • ก่อนทำยกกระชับหน้า หลีกเลี่ยงยาที่ส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด อย่างน้อย 1 สัปดาห์
      • ก่อนทำยกกระชับหน้า หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก อย่างน้อย 24 ชั่วโมง
      • ก่อนทำยกกระชับหน้า หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้าโดยไม่จำเป็น
      • ก่อนทำยกกระชับหน้า งดเลเซอร์หน้า การทำสครับผิว อย่างน้อย 1 สัปดาห์
      • ก่อนทำยกกระชับหน้า งดดื่มแอลกอฮอล์และงดสูบบุหรี่ อย่างน้อย 24-48 ชั่วโมง
      • ก่อนทำยกกระชับหน้า งดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกรดผลัดเซลล์ผิว เรตินอล หรือวิตามินซีเข้มข้น 2-3 วัน

       

      การดูแลตัวเองหลังทำยกกระชับหน้า

      • หลังทำยกกระชับหน้า หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้าใน 24 ชั่วโมงแรก
      • หลังทำยกกระชับหน้า หลีกเลี่ยงการโดนแดดโดยตรง อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์
      • หลังทำยกกระชับหน้า หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกมาก เช่น ออกกำลังกายหนัก, การซาวน่า, อบไอน้ำ และการแช่น้ำร้อน ในช่วง 48 ชั่วโมงแรก
      • หลังทำยกกระชับหน้า หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ อย่างน้อย 3-7 วัน
      • หลังทำยกกระชับหน้า หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีกรดผลัดเซลล์ผิว, เรตินอล และวิตามินซีเข้มข้น ในช่วง 5-7 วันแรก
      • หลังทำยกกระชับหน้า งดนวดหน้า, ขัดผิวหน้า หรือเลเซอร์ผิวหน้า อย่างน้อย 2 สัปดาห์
      • หลังทำยกกระชับหน้า ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ให้ความชุ่มชื้นสูง เช่น มอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่มีไฮยาลูรอนิค แอซิด (Hyaluronic Acid) หรือเซราไมด์
      • หลังทำยกกระชับหน้า ควรดื่มน้ำอย่างน้อย 8-10 แก้วต่อวัน เพื่อช่วยให้ผิวฟื้นฟูเร็วขึ้น
      • หลังทำยกกระชับหน้า ควรรับประทานอาหารที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน

       

      รวมคำถามที่พบบ่อยของการยกกระชับใบหน้า
      รวมคำถามที่พบบ่อยของการยกกระชับใบหน้า

       

      รวมคำถามที่พบบ่อยของการยกกระชับใบหน้า

      การยกกระชับหน้าต่างจากการศัลยกรรมดึงหน้าอย่างไร?

      • การยกกระชับใบหน้าด้วยเทคโนโลยี เช่น Ulthera Prime, Thermage FLX และการร้อยไหม เป็นทางเลือกที่ไม่ต้องผ่าตัดและไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้น โดยช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนตามธรรมชาติ ทำให้ผิวกระชับและเต่งตึงขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ในทางกลับกัน การศัลยกรรมดึงหน้าเป็นหัตถการที่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยอย่างรุนแรง แม้ว่าจะให้ผลลัพธ์ที่ยาวนานกว่า แต่จำเป็นต้องใช้ระยะเวลาพักฟื้นหลังการผ่าตัด

       

      การยกกระชับหน้าอันตรายไหม?

      • การยกกระชับหน้าไม่เป็นอันตรายเมื่อทำโดยแพทย์เฉพาะทาง และใช้เทคโนโลยีที่ได้รับการรับรอง เช่น Ulthera Prime และ Thermage FLX ซึ่งผ่านการรับรองจาก FDA อย่างไรก็ตาม ควรเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐานเพื่อประสิทธิภาพที่ดีของการยกกระชับหน้า

       

      การยกกระชับหน้ามีผลข้างเคียงไหม?

      • โดยทั่วไป อาจมีผลข้างเคียงเล็กน้อย เช่น ผิวแดง รู้สึกตึง หรือบวมเล็กน้อย ซึ่งมักหายไปภายใน 1-7 วัน ขึ้นอยู่กับเทคนิคที่ใช้ หากมีอาการผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์ทันที

       

      สามารถทำการยกกระชับหน้าได้ตั้งแต่อายุเท่าไหร่?

      • การยกกระชับหน้าเหมาะกับผู้ที่มีอายุ 25 ปีขึ้นไป โดยทั่วไปอาจเริ่มมีริ้วรอยเล็ก ๆ หรือโครงหน้าเริ่มไม่กระชับ ซึ่งสามารถใช้เทคโนโลยี เช่น Oligio หรือ EMFACE เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และป้องกันความหย่อนคล้อยในอนาคต

       

      การยกกระชับหน้าทำให้หน้าเล็กขึ้นจริงไหม?

      • การยกกระชับหน้า เช่น Thermage FLX และ Ultra 4D Lift สามารถช่วยลดไขมันสะสมใต้ผิวหนัง เช่น บริเวณ แก้ม คางสองชั้น และเหนียง ทำให้ใบหน้าดูเล็กขึ้น นอกจากนี้การร้อยไหม หรือโปรแกรมฉีดโบกราม สามารถช่วยปรับรูปทรงของใบหน้าให้ดูเล็ก สมส่วนมากขึ้น

       

      ยกกระชับหน้าสำหรับผู้ชายสามารถทำได้ไหม?

      • ผู้ชายสามารถยกกระชับหน้าได้ ผู้ชายที่ต้องการกระชับใบหน้า ลดเหนียง หรือปรับกรอบหน้าให้ชัดเจนขึ้น สามารถทำโปรแกรมยกกระชับ เช่น Thermage FLX, Ulthera Prime, EMFACE หรือร้อยไหม ได้เหมือนผู้หญิงทั่วไป

       

      การเลือกวิธียกกระชับหน้า แบบไหนดี ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็น ปัญหาผิว อายุ งบประมาณ และผลลัพธ์ที่ต้องการ ปัจจุบันมีเทคโนโลยีที่ช่วยยกกระชับหน้าให้เลือกมากมาย ซึ่งแต่ละวิธีมีข้อดีและระยะเวลาของผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน

      ถึงแม้ว่าไม่มีวิธีไหนดีสำหรับทุกคน แต่มีวิธีที่เหมาะสมที่สุดสำหรับ ปัญหาผิวและความต้องการของแต่ละบุคคล การเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์ป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้คุณได้รับคำแนะนำที่เหมาะสมที่สุดและมั่นใจได้ว่า การยกกระชับหน้าจะให้ผลลัพธ์ที่สวยงาม ไม่เป็นอันตราย

      การดูแลผิวให้เต่งตึง อ่อนเยาว์ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องดูแลสุขภาพผิวจากภายใน ด้วยการพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำให้มากขึ้น และใช้สกินแคร์ที่ช่วยกระตุ้นคอลลาเจน เพียงเท่านี้คุณก็สามารถมีใบหน้าที่กระชับ สดใส และดูอ่อนกว่าวัยได้อย่างมั่นใจ

      ช่องคลอดหลวมเกิดจากอะไร? เปิดสาเหตุ พร้อมบอกวิธีคืนความฟิต

      ช่องคลอดหลวมเกิดจากอะไร? เปิดสาเหตุ พร้อมบอกวิธีคืนความฟิต

      ช่องคลอดหลวมเกิดจากอะไร? เปิดสาเหตุ พร้อมบอกวิธีคืนความฟิต

      ช่องคลอดหลวม เป็นปัญหาที่สาว ๆ หลายคนอาจกำลังกังวลจนทำให้ขาดความมั่นใจ และรู้สึกอายเมื่อพูดถึง ซึ่งปัญหาช่องคลอดหลวม ช่องคลอดไม่กระชับ เป็นปัญหาที่พบได้บ่อย และมีสาเหตุที่หลากหลาย วันนี้เราจะพามารู้จักสาเหตุ ช่องคลอดหลวมเกิดจากอะไร? เปิดสาเหตุ พร้อมบอกวิธีคืนความฟิต ช่วยให้คุณเข้าใจถึงสาเหตุ อาการ และวิธีฟื้นฟูช่องคลอดหลวมให้กลับมากระชับ เพิ่มความมั่นใจได้อีกครั้ง

       

      ช่องคลอดหลวม คืออะไร?

      ช่องคลอดหลวมเกิดจากอะไร ? ช่องคลอดหลวม เป็นภาวะที่กล้ามเนื้อภายในช่องคลอดสูญเสียความกระชับและความยืดหยุ่น ซึ่งสาเหตุอาจเกิดได้จากหลายปัจจัย เช่น อายุที่เพิ่มขึ้น การคลอดบุตร พันธุกรรม หรือพฤติกรรมการใช้ชีวิตบางอย่างที่อาจส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพได้ ถึงแม้ว่าภาวะช่องคลอดหลวมจะไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย แต่อาจจะส่งผลต่อความมั่นใจและสุขภาพทางเพศของผู้หญิงได้ 

       

      ช่องคลอดหลวมเกิดจากอะไร อาการเป็นอย่างไร?
      ช่องคลอดหลวมเกิดจากอะไร อาการเป็นอย่างไร?

       

      ช่องคลอดหลวมเกิดจากอะไร อาการเป็นอย่างไร?

      ช่องคลอดหลวม สามารถเกิดขึ้นได้กับผู้หญิงทุกวัย โดยเฉพาะผู้ที่เริ่มเข้าสู่วัยทอง ฮอร์โมนเพศหญิงเริ่มลดลง หรือเคยผ่านการคลอดบุตรมาแล้ว ซึ่งอาการช่องคลอดหลวมเบื้องต้นสามารถสังเกตได้เอง จากอาการที่เกิดขึ้น รวมถึงความรู้สึกที่อาจเปลี่ยนไป ดังนี้

      • ช่องคลอดหลวมอาจทำให้รู้สึกว่าช่องคลอดไม่มีความกระชับเหมือนเดิม
      • ช่องคลอดหลวมอาจทำให้รู้สึกโหว่ง ๆ หรือรู้สึกว่าช่องคลอดมีความหลวม
      • ช่องคลอดหลวมอาจทำให้เริ่มมีปัญหาในการควบคุมปัสสาวะ อาจเกิดอาการปัสสาวะเล็ด กลั้นปัสสาวะไม่ได้
      • ช่องคลอดหลวมอาจทำให้มีอาการปัสสาวะเล็ด ขณะไอ หรือจาม
      • ช่องคลอดหลวมอาจทำให้รู้สึกปวดหน่วงและหนักบริเวณท้องน้อย
      • ช่องคลอดหลวมอาจทำให้ความรู้สึกทางเพศลดลง หรือความรู้สึกร่วมขณะมีเพศสัมพันธ์ลดลง
      • ช่องคลอดหลวมอาจทำให้รู้สึกเจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์
      • ช่องคลอดหลวมอาจทำให้มีอาการช่องคลอดแห้ง ไม่ชุ่มชื้น

       

      นอกจากอาการที่กล่าวมาแล้วนั้น ช่องคลอดหลวมในบางกรณีอาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ปวดหลังส่วนล่าง ปัสสาวะติดขัดจากกล้ามเนื้อบริเวณช่องคลอดและอุ้งเชิงกรานอ่อนแอ หรือพบก้อนที่บริเวณช่องคลอด ซึ่งเป็นอาการที่ร้ายแรง ทั้งนี้หากพบว่ามีอาการช่องคลอดหลวมแล้วทำให้เกิดปัญหาสุขภาพ หรือกระทบกับการใช้ชีวิตประจำวัน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษา 

       

      ช่องคลอดหลวมเกิดจากอะไร ช่องคลอดไม่กระชับ มีวิธีรักษากี่แบบ?
      ช่องคลอดหลวมเกิดจากอะไร ช่องคลอดไม่กระชับ มีวิธีรักษากี่แบบ?

       

      ช่องคลอดหลวมเกิดจากอะไร ช่องคลอดไม่กระชับ มีวิธีรักษากี่แบบ?

      ปัญหาช่องคลอดหลวม ถือเป็นปัญหาสุขภาพที่สามารถเกิดขึ้นได้กับผู้หญิงส่วนมาก ซึ่งอาการช่องคลอดหลวมนั้นอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกาย สุขภาพทางเพศ การใช้ชีวิตประจำวัน รวมถึงขาดความมั่นใจในตัวเองได้ ซึ่งปัจจุบันก็มีวิธีการรักษาช่องคลอดหลวมหลากหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็น วิธีทางการแพทย์ หรือการออกกำลังกาย การดูแลตัวเอง ดังนี้ 

      • กระชับช่องคลอดด้วย โปรแกรม Emsella

      เก้าอี้กระชับช่องคลอดโปรแกรม Emsella ถือเป็นวิธีการแก้ปัญหาช่องคลอดหลวมที่รวดเร็ว สะดวกสบาย และไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย โปรแกรม Emsella เป็นการกระตุ้นการหดตัวของกล้ามเนื้อ และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ด้วยการปล่อยพลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความเข้มข้นสูงแบบเฉพาะเจาะจง (HIFEM) ไปที่กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน เพียงแค่นั่งบนเก้าอี้เวลาประมาณ 30 นาที ก็เทียบเท่ากับการขมิบอย่างต่อเนื่อง 11,200 ครั้ง โปรแกรม Emsella นั้นช่วยกระชับช่องคลอด แก้ปัญหาช่องคลอดหลวม รักษาอาการปัสสาวะเล็ด และช่วยเพิ่มความพึงพอใจทางเพศได้

      • การกระชับช่องคลอดด้วยการผ่าตัด หรือการผ่าตัดรีแพร์ 

      การผ่าตัดรีแพร์ (Vaginal Repair หรือ Vaginoplasty) เป็นวิธีรักษาภาวะช่องคลอดหลวม ช่องคลอดหย่อนยาน หรือภาวะกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแอ ที่อาจนำไปสู่ภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อนคล้อย  โดยการผ่าตัดรีแพร์จะช่วยกระชับช่องคลอดได้ตั้งแต่โครงสร้างภายในจนถึงการตกแต่งช่องคลอดภายนอก จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะช่องคลอดหลวมระดับรุนแรง

      • โปรแกรมเลเซอร์กระชับช่องคลอด 

      โปรแกรมเลเซอร์กระชับช่องคลอด หรือที่เรียกว่ามินิรีแพร์ (Mini Repair) เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยฟื้นฟูและเพิ่มความกระชับให้กับช่องคลอด โดยจะใช้พลังงานเลเซอร์ที่มีความร้อนต่ำ เข้าไปที่ผนังช่องคลอด เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ในเนื้อเยื่อบริเวณผนังช่องคลอด ช่วยให้กล้ามเนื้อมีความแข็งแรงมากขึ้น โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องใช้ยาชา และไม่มีแผล เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการกระชับช่องคลอด แก้ปัญหาช่องคลอดหลวม ช่วยลดอาการช่องคลอดแห้ง กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด 

      • การบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน 

      การบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน หรือการขมิบช่องคลอด (Kegel Exercise) เป็นวิธีธรรมชาติที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อบริเวณอุ้งเชิงกรานและช่องคลอด ช่วยกระชับช่องคลอด พร้อมช่วยป้องกันภาวะปัสสาวะเล็ดได้ ทั้งยังช่วยเพิ่มความพึงพอใจทางเพศได้ ทั้งนี้วิธีนี้เป็นวิธีกระชับช่องคลอดแบบธรรมชาติ แก้ปัญหาช่องคลอดหลวม โดยไม่ต้องใช้เทคโนโลยีทางแพทย์ ไม่ต้องใช้เครื่องมือ 

      การบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน Kegel Exercise แก้ปัญหาช่องคลอดหลวม สามารถทำได้ง่าย ๆ โดยการขมิบกล้ามเนื้อรอบ ๆ ช่องคลอด ไม่ต้องเกร็งหน้าท้อง ก้น หรือขา ขณะขมิบทำการนับ 1 – 10 ไปด้วย จากนั้นค่อย ๆ คลายออก สามารถทำได้วันละ 3 เวลา ครั้งละ 30 ครั้งขึ้นไป และควรทำควบคู่กับหายใจเข้าและออกลึก ๆ ขณะฝึก เพื่อให้กล้ามเนื้อทำงานอย่างถูกต้อง

      • ทานอาหารที่เพิ่มฮอร์โมนเอสโตรเจน

      ยิ่งอายุมากขึ้นฮอร์โมนเอสโตรเจนก็เริ่มลดลง จึงส่งผลให้ช่องคลอดหลวมได้ ซึ่งการป้องกันช่องคลอดหลวมเมื่ออายุมากขึ้น คือ การรับประทานอาหารที่ช่วยเพิ่มฮอร์โมนเอสโตรเจน เช่น ลูกพรุน งา น้ำมะพร้าว เมล็ดแฟลกซ์ น้ำเต้าหู้ งา ถั่ว ผลไม้ตระกูลเบอร์รี แคร์รอต และข้าวสาลี ที่จะช่วยทำให้ช่องคลอดกระชับแก้ปัญหาช่องคลอดหลวม  และช่วยในเรื่องสุขภาพทางเพศ

       

      ช่องคลอดหลวมเกิดจากอะไร แก้ได้ด้วยโปรแกรม Emsella

      โปรแกรม Emsella ทางเลือกใหม่กระชับช่องคลอด แก้ปัญหาช่องคลอดหลวม ปัสสาวะเล็ด กลั้นปัสสาวะไม่ได้ หรือภาวะกล้ามเนื้อช่องคลอดอ่อนแรง ช่องคลอดแห้ง ซึ่ง โปรแกรม Emsella เป็นเทคโนโลยีกระชับช่องคลอดโดยพลังงาน HIFEM ที่พัฒนามาในรูปแบบเก้าอี้ ที่สามารถทำการรักษาช่องคลอดหลวมได้ด้วยการนั่งบนเก้าอี้ โดยจะทำการกระตุ้นการหดเกร็งตัวของกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน ช่วยฟื้นฟูความแข็งแรง ทั้งยังกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินของเนื้อเยื่อ คือความยืดหยุ่น และความกระชับให้ช่องคลอด โปรแกรม Emsella เป็นเทคโนโลยีที่ได้รับรองมาตรฐานระดับสากล ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ แก้ปัญหาช่องคลอดหลวม โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่เจ็บ ไม่เกิดบาดแผล และไม่ต้องพักฟื้น

      ช่องคลอดหลวมเกิดจากอะไร : โปรแกรม Emsella ทำงานอย่างไร?

      โปรแกรม Emsella ใช้เทคโนโลยีพลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความเข้มข้นสูง HIFEM (High-Intensity Focused Electromagnetic Energy) โดยทำการส่งพลังงานผ่านตัวกลางอย่างเก้าอี้ โปรแกรม Emsella ไปยังกล้ามเนื้อบริเวณอุ้งเชิงกรานโดยตรง ทำให้เกิดการหดเกร็งของกล้ามเนื้ออย่างรุนแรง คล้ายการขมิบช่องคลอดอย่างต่อเนื่อง ช่วยกระตุ้นและเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ คล้ายกับการออกกำลังกายบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน (Kegel Exercise) แต่ โปรแกรม Emsella จะให้ประสิทธิภาพที่สูงกว่า เพียงแค่นั่งบนเก้าอี้ โปรแกรม Emsella 30 นาทีก็เทียบเท่ากับการขมิบช่องคลอดถึง 11,200 ครั้ง แก้ปัญหาช่องคลอดหลวม  โดยไม่ต้องออกแรง

       

      ช่องคลอดหลวมเกิดจากอะไร : ทำไมต้องทำโปรแกรม Emsella ?

      • โปรแกรม Emsella ช่วยกระชับช่องคลอด กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินบริเวณเนื้อเยื่อช่องคลอด แก้ปัญหาช่องคลอดหลวม เพิ่มความยืดหยุ่นให้ช่องคลอด
      • โปรแกรม Emsella ลดปัญหาปัสสาวะเล็ด หรือภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ เสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อลดความเสี่ยงของภาวะกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแรง ที่พบได้บ่อยในผู้หญิงหลังคลอดหรือผู้ที่เริ่มเข้าวัยทอง ที่เป็นสาเหตุของการปัสสาวะเล็ด ช่องคลอดหลวม
      • โปรแกรม Emsella เสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบสืบพันธ์ุให้ดีขึ้น เพิ่มความรู้สึกทางเพศมากขึ้น ช่วยให้ความพึงพอใจทางเพศสูงขึ้น
      • โปรแกรม Emsella ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น เป็นหัตถการที่ใช้ระยะเวลาในการทำที่น้อยประมาณ 20-30 นาทีต่อครั้ง ขึ้นอยู่กับปัญหาของแต่ละบุคคล ทั้งนี้หลังทำ โปรแกรม Emsella แก้แก้ปัญหาช่องคลอดหลวม ก็สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้โดยไม่ต้องพักฟื้นนาน

       

      ช่องคลอดหลวมเกิดจากอะไร : โปรแกรม Emsella เหมาะกับใครบ้าง?

      • โปรแกรม Emsella แก้ปัญหาช่องคลอดหลวม เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาช่องคลอดหลวม ช่องคลอดไม่กระชับ จากการคลอดบุตร หรืออายุที่เพิ่มขึ้น
      • โปรแกรม Emsella แก้ปัญหาช่องคลอดหลวม เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาปัสสาวะเล็ด กลั้นปัสสาวะไม่ได้ ขณะไอ จาม หรือหัวเราะ
      • โปรแกรม Emsella แก้ปัญหาช่องคลอดหลวม เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการกระชับช่องคลอด โดยไม่ต้องทำการผ่าตัด ไม่ต้องเลเซอร์
      • โปรแกรม Emsella แก้ปัญหาช่องคลอดหลวม เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการกระชับช่องคลอด แต่ไม่มีเวลาออกกำลังกายบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน
      • โปรแกรม Emsella แก้ปัญหาช่องคลอดหลวม เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการกระชับช่องคลอด โดยไม่ต้องทำการสอดใส่อุปกรณ์ขณะทำ โปรแกรม Emsella เป็นเก้าอี้กระชับช่องคลอด ไม่ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้า
      • โปรแกรม Emsella แก้ปัญหาช่องคลอดหลวม เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่มีเวลา ต้องการความรวดเร็ว ไม่ต้องการพักฟื้นนาน
      • โปรแกรม Emsella แก้ปัญหาช่องคลอดหลวม เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาความพึงพอใจทางเพศที่ลดลง
      • โปรแกรม Emsella แก้ปัญหาช่องคลอดหลวม เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ

      ทั้งนี้ ผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ แจ้งโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา หรือประวัติการรักษา ก่อนเข้ารับการบริการ

       

      ช่องคลอดหลวมเกิดจากอะไร : โปรแกรม Emsella ช่วยเรื่องอะไรบ้าง?
      ช่องคลอดหลวมเกิดจากอะไร : โปรแกรม Emsella ช่วยเรื่องอะไรบ้าง?

       

      ช่องคลอดหลวมเกิดจากอะไร : โปรแกรม Emsella ช่วยเรื่องอะไรบ้าง?

      • โปรแกรม Emsella ช่วยแก้ปัญหาช่องคลอดหลวม ไม่กระชับ ต้องการเพิ่มความยืดหยุ่นให้ช่องคลอด
      • โปรแกรม Emsella ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนบริเวณเนื้อเยื่อช่องคลอด แก้ปัญหาช่องคลอดแห้ง
      • โปรแกรม Emsella ช่วยแก้ปัญหาปัสสาวะเล็ดขณะไอ จาม หรือออกกำลังกาย หรือกลั้นปัสสาวะไม่อยู่
      • โปรแกรม Emsella ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน ทำให้ควบคุมการปัสสาวะได้ดียิ่งขึ้น
      • โปรแกรม Emsella ช่วยทำให้ความรู้สึกทางเพศดีขึ้น ช่วยเพิ่มความมั่นใจ และความพึงพอใจในชีวิตคู่
      • โปรแกรม Emsella ช่วยลดอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อบริเวณอุ้งเชิงกราน
      • โปรแกรม Emsella ช่วยกระชับกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานให้แข็งแรง ช่วยลดโอกาสภาวะกล้ามเนื้อช่องคลอดอ่อนแรง หรือภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อน
      • โปรแกรม Emsella ช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานหลังคลอดให้แข็งแรง กระชับ และฟื้นตัวได้ไวขึ้น
      • โปรแกรม Emsella ช่วยเพิ่มสมรรถภาพทางเพศได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย โดยช่วยชะลอการหลั่งเร็ว และช่วยกระตุ้นอวัยวะเพศให้แข็งตัวได้ดีขึ้นในผู้ชาย

       

      ข้อดีของ โปรแกรม Emsella มีอะไรบ้าง?

      • โปรแกรม Emsella ช่วยรักษาปัญหาช่องคลอดหลวม หย่อนคล้อย ไม่กระชับ หรือมีอาการปัสสาวะเล็ดได้
      • โปรแกรม Emsella ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน ลดการเกิดภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อน
      • โปรแกรม Emsella เป็นการรักษาด้วยพลังงาน HIFEM ที่ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย 
      • โปรแกรม Emsella มีความสะดวกสบาย สามารถนั่งรักษาช่องคลอดหลวมบนเก้าอี้ได้
      • โปรแกรม Emsella ไม่ต้องเตรียมตัวก่อนทำ สามารถทำได้เลย สะดวก รวดเร็ว 
      • โปรแกรม Emsella ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องใช้ยาชา ไม่มีบาดแผล ไม่ต้องพักฟื้น
      • โปรแกรม Emsella สามารถเห็นผลลัพธ์ได้ตั้งแต่ครั้งแรก และสามารถเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนได้เมื่อรักษา 6 ครั้ง
      • โปรแกรม Emsella ไม่ต้องเปลี่ยนชุด หรือไม่ต้องถอดเสื้อผ้าระหว่างการรักษาช่องคลอดหลวม
      • โปรแกรม Emsella แก้ปัญหาช่องคลอดหลวม ไม่มีการสอดอุปกรณ์ใด ๆ เข้าไปภายในร่างกาย
      • โปรแกรม Emsella สะดวก รวดเร็ว ใช้เวลาไม่นานประมาณ 30นาที 
      • โปรแกรม Emsella สามารถทำได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย
      • โปรแกรม Emsella สามารถให้ผลลัพธ์ที่ยาวนาน และสามารถทำซ้ำได้โดยไม่เป็นอันตราย
      • โปรแกรม Emsella ได้รับการรับรองมาตรฐานจากสากล

       

      ช่องคลอดหลวมเกิดจากอะไร?
       ช่องคลอดหลวมเกิดจากอะไร?

       

      ช่องคลอดหลวมเกิดจากอะไร?

      ช่องคลอดหลวมเกิดจากอะไร? ปัญหาช่องคลอดหลวม ไม่กระชับ หรือมีความหย่อนคล้อย เกิดได้จากหลากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็น โครงสร้างทางร่างกาย หรือพฤติกรรมการใช้ชีวิต ที่อาจส่งผลต่อความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานและช่องคลอด ทั้งโดยตรงและทางอ้อม ดังนี้

      • ช่องคลอดหลวมเกิดจากอายุที่เพิ่มขึ้นและการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน

      เมื่อผู้หญิงเริ่มมีอายุที่เพิ่มขึ้น หรือเริ่มเข้าสู่ช่วงวัยทองนั้น ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกายจะลดลง ซึ่งฮอร์โมนเอสโตรเจน นั้นมีบทบาทสำคัญในการคงความยืดหยุ่น และความชุ่มชื้นของเนื้อเยื่อในช่องคลอด เมื่อฮอร์โมนเอสโตรเจนมีระดับที่ลดลง อาจส่งผลให้ผนังช่องคลอดบางลง ช่องคลอดขาดความยืดหยุ่น และอาจนำไปสู่ภาวะช่องคลอดแห้ง ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของปัญหาช่องคลอดหลวม

      • ช่องคลอดหลวมเกิดจากการคลอดบุตรทางช่องคลอด

      คุณแม่หลังคลอดส่วนมากอาจประสบปัญหาช่องคลอดหลวม จากการคลอดบุตรโดยธรรมชาติ เนื่องจากการคลอดนั้นกล้ามเนื้อบริเวณอุ้งเชิงกรานจะมีการยืดขยายกว่าปกติ เพื่อรองรับการคลอดทารก ส่งผลให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานและผนังช่องคลอดเกิดความหย่อนคล้อย ไม่กระชับ แม้ว่าหลังคลอดร่างกายจะสามารถฟื้นตัวได้ แต่กล้ามเนื้ออาจจะไม่กลับมากระชับแบบเดิม โดยเฉพาะผู้ที่ผ่านการคลอดบุตรหลายครั้ง หรือทารกที่มีน้ำหนักตัวมาก อาจทำให้เกิดปัญหาช่องคลอดหลวมได้

      • ช่องคลอดหลวมเกิดจากพฤติกรรมและไลฟ์สไตล์ที่มีผลต่อความกระชับ

      หลาย ๆ พฤติกรรมการใช้ชีวิต ก็อาจทำให้เกิดปัญหาช่องคลอดหลวมโดยไม่รู้ตัว เช่น การสูบบุหรี่ การยกของหนักมากเกินไป หรือน้ำหนักตัวที่เกินมาตรฐาน พฤติกรรมเหล่านี้อาจเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน และเนื้อเยื่อบริเวณช่องคลอดสูญเสียความยืดหยุ่น หรืออาจทำให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแรง และเสี่ยงต่อการเกิดภาวะช่องคลอดหลวม ช่องคลอดหย่อนคล้อยได้ ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้กับผู้หญิงทุกวัย หรือผู้ที่ไม่เคยผ่านการคลอดบุตรมาก่อน 

      • ช่องคลอดหลวมเกิดจากพันธุกรรมและสภาพร่างกายแต่ละบุคคล

      โครงสร้างร่างกายหรือพันธุกรรมของแต่ละบุคคลนั้น มีผลต่อความแข็งแรงของกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานที่แตกต่างกัน  เช่น ผู้ที่มีพันธุกรรมที่ทำให้เนื้อเยื่อเกี่ยวพันอ่อนแอกว่าปกติ ผู้ที่ร่างกายมีการผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินได้น้อย หรือผู้ที่มีโครงสร้างกระดูกเชิงกรานและกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานที่ไม่แข็งแรงตั้งแต่กำเนิด อาจมีแนวโน้มทำให้ช่องคลอดสูญเสียความยืดหยุ่น เกิดปัญหาช่องคลอดหลวมได้ง่ายกว่าปกติ

      • ช่องคลอดหลวมเกิดจากการออกกำลังกายกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานไม่เพียงพอ

      การนั่งเป็นเวลานาน หรือการออกกำลังกายบริเวณกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานน้อย อาจเกิดปัญหาช่องคลอดหลวมได้ ซึ่งกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานมีหน้าที่รองรับอวัยวะภายในช่องท้องส่วนล่างของร่างกาย การออกกำลังกายร่างกายส่วนนี้จึงมีความสำคัญมาก เพราะสามารถช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน ช่วยลดปัญหาช่องคลอดหลวม ช่องคลอดไม่กระชับ และฟื้นฟูปัญหาสุขภาพทางเพศได้ โดยการออกกำลังกายสามารถทำได้ด้วยตัวเอง เช่น การบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน Kegel Exercis แก้ปัญหาช่องคลอดหลวม

       

      ช่องคลอดหลวมเกิดจากอะไร : ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับช่องคลอดหลวม

      ปัญหาช่องคลอดหลวม เรียกได้ว่าเป็นปัญหาที่สาว ๆ หลายคนต่างมีความกังวล และมีข้อสงสัยมากมาย ในบางคนอาจจะยังมีความเข้าใจผิด หรือมีความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับปัญหาช่องคลอดหลวม วันนี้เราจะพาสาว ๆ มาไขข้อสงสัยที่หลายคนต่างเข้าใจผิด ดังนี้

      • ช่องคลอดหลวมเพราะมีเพศสัมพันธ์บ่อย

      การมีเพศสัมพันธ์บ่อยไม่ได้ทำให้ช่องคลอดหลวม  เพราะช่องคลอดถือว่าเป็นอวัยวะที่มีความยืดหยุ่นสูง และสามารถคืนสภาพเดิมได้หลังจากการมีเพศสัมพันธ์ การที่ช่องคลอดหลวมนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนครั้งของการมีเพศสัมพันธ์ แต่ขึ้นอยู่กับหลาย ๆ ปัจจัยร่วมด้วย ไม่ว่าจะเป็น อายุ ฮอร์โมน และการคลอดบุตร ที่อาจทำให้เกิดปัญหาช่องคลอดหลวมไม่กระชับได้

      • ช่องคลอดหลวมถาวรจากการคลอดลูกแบบธรรมชาติ

      การคลอดบุตรตามธรรมชาติ ไม่ได้ทำให้ช่องคลอดหลวมถาวร ถึงแม้ว่าการคลอดจะทำให้เกิดการขยายตัวของกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานและช่องคลอด แต่เป็นการขยายแบบชั่วคราว จากนั้นร่างกายจะสามารถฟื้นตัวได้ และหากมีการออกกำลังกายบริหารอุ้งเชิงกราน หรือการทำ โปรแกรม Emsella ยิ่งจะช่วยทำให้ร่างกายสามารถฟื้นตัวได้เร็วขึ้น แก้ปัญหาช่องคลอดหลวม ช่องคลอดกระชับได้ไวขึ้น 

      • ช่องคลอดหลวมเป็นเรื่องของผู้หญิงสูงวัยเท่านั้น

      ช่องคลอดหลวมไม่ได้เกิดกับผู้หญิงสูงวัยเท่านั้น แต่ผู้หญิงอายุน้อยก็สามารถเกิดปัญหาช่องคลอดหลวมได้ ทั้งนี้เกิดจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็น ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ต่ำลง พันธุกรรม การตั้งครรภ์ รวมถึงพฤติกรรมการใช้ชีวิต ที่เสี่ยงต่อการทำให้ช่องคลอดสูญเสียความยืดหยุ่น และช่องคลอดหลวม

      • ช่องคลอดหลวมเพราะใช้ผ้าอนามัยแบบสอดหรือถ้วยอนามัย

      การใช้ผ้าอนามัยแบบสอดหรือถ้วยอนามัย ไม่มีผลต่อความกระชับของช่องคลอด ไม่ได้ทำให้ช่องคลอดหลวม เนื่องจากอุปกรณ์เหล่านี้ถูกออกแบบมาให้พอดีกับร่างกาย และช่องคลอดมีความยืดหยุ่นสูงสามารถคืนสภาพเดิมได้หลังนำอุปกรณ์เหล่านี้ออก

      • ช่องคลอดหลวมสามารถรักษาได้ด้วยสบู่หรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด

      ปัญหาช่องคลอดหลวมสามารถรักษาได้ด้วยสบู่ หรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด นั้นถือเป็นความเชื่อที่หลายคนเข้าใจผิด เพราะสบู่หรือผลิตภัณฑ์ล้างจุดซ่อนเร้น ไม่มีผลต่อความกระชับของช่องคลอด เนื่องจากเป็นการดูแลจากภายนอก หากต้องการให้ช่องคลอดมีความกระชับขึ้นต้องดูแลสุขภาพจากภายใน เช่น การบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน หรือใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ เช่น โปรแกรม Emsella หรือเลเซอร์ แก้ปัญหาช่องคลอดหลวม

      • ผู้หญิงที่มีช่องคลอดหลวมจะมีความสุขทางเพศน้อยลง

      แม้ปัญหาช่องคลอดหลวมจะทำให้ความรู้สึกทางเพศ หรือความพึงพอใจทางเพศของฝ่ายหญิงลดลง แต่ความสุขทางเพศไม่ได้ขึ้นอยู่กับความกระชับของช่องคลอดเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีหลาย ๆ ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสุขหรือความพึงพอใจทางเพศ เช่น ความสัมพันธ์ทางอารมณ์ ความไวต่อการกระตุ้น และสุขภาพโดยรวมของร่างกายอีกด้วย

      • ช่องคลอดหลวมทำให้มีเสียงระหว่างมีเพศสัมพันธ์

      การมีเสียงระหว่างมีเพศสัมพันธ์ ไม่ได้หมายความว่าช่องคลอดหลวม เพราะเสียงที่เกิดขึ้นระหว่างการมีเพศสัมพันธ์นั้น มักเกิดจากอากาศที่แทรกเข้าไปในช่องคลอดระหว่างการทำกิจกรรมทางเพศ ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่สามารถเกิดได้

       

      ช่องคลอดหลวมเกิดจากอะไร ส่งผลกระทบต่อชีวิตอย่างไร?

      ภาวะช่องคลอดหลวม อาจส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันทั้งทางด้านร่างกาย และทางด้านจิตใจ เช่น ความพึงพอใจทางเพศลดลง ความไม่มั่นใจในรูปร่างของตนเอง หรืออายในการมีเพศสัมพันธ์ ทำให้กระทบต่อความสัมพันธ์ของคู่รักได้ รวมถึงปัญหาสุขภาพที่อาจเกิดขึ้น เช่น อาการปัสสาวะเล็ด กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ หรืออาจเกิดภาวะกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแรงได้

      ทั้งนี้ ปัญหาช่องคลอดหลวมสามารถรักษาได้หลายวิธี เช่น การออกกำลังกายบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน หรือการใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ช่วยฟื้นฟูความกระชับของช่องคลอด เช่น โปรแกรม Emsella การเลเซอร์ หรือการผ่าตัดรีแพร์ช่องคลอดหลวม

       

      คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโปรแกรม Emsella
      คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโปรแกรม Emsella

       

      คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโปรแกรม Emsella

      ผลข้างเคียงที่อาจพบหลังทำ โปรแกรม Emsella

      โปรแกรม Emsella เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยแก้ปัญหาช่องคลอดหลวม ช่องคลอดไม่กระชับ และแก้ปัญหาอาการปัสสาวะเล็ด ที่ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย สามารถทำได้ทุกเพศ หลากหลายวัย แต่อย่างไรก็ตาม ผู้เข้ารับบริการอาจมีผลข้างเคียงหลังจากทำ โปรแกรม Emsella แก้ปัญหาช่องคลอดหลวมได้ ดังนี้

      • ระหว่างทำและหลังทำ โปรแกรม Emsella อาจมีความรู้สึกตึง ๆ หรือรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนบริเวณอุ้งเชิงกรานเพราะแรงกระตุ้นของพลังงานได้
      • หลังทำ โปรแกรม Emsella อาจมีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อบริเวณอุ้งเชิงกรานได้ เนื่องจากเกิดการหดเกร็งกล้ามเนื้ออย่างต่อเนื่อง แต่อาการปวดเมื่อยจะค่อย ๆ หายไปเอง
      • หลังทำ โปรแกรม Emsella ในบางคนอาจมีอาการเวียนหัว รู้สึกคลื่นไส้ หรืออาเจียน จากการกระตุ้นของแม่เหล็กไฟฟ้าระหว่างการรักษาได้
      • หลังทำ โปรแกรม Emsella อาจมีอาการปวดปัสสาวะบ่อยครั้ง เนื่องจากร่างกายกำลังทำการปรับตัว

      โดยปกติแล้วผลข้างเคียงหลังทำของ โปรแกรม Emsella นั้นจะไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย และสามารถหายไปได้เองภายใน 3-7 วัน ทั้งนี้หากพบอาการที่มีความผิดปกติอื่น ๆ ร่วมด้วย สามารถเข้าพบแพทย์ได้เลยทันที

      ระหว่างรักษา โปรแกรม Emsella เจ็บไหม?

      การกระชับช่องคลอดด้วยเก้าอี้ โปรแกรม Emsella แก้ปัญหาช่องคลอดหลวม เป็นเทคโนโลยีที่ไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีการใช้ยาชา และไม่ก่อให้เกิดความเจ็บระหว่างทำ โปรแกรม Emsella แต่ผู้เข้ารับบริการอาจจะรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือน ตึง ๆ หรือชาบริเวณอุ้งเชิงกรานขณะทำได้ ซึ่งเกิดการแรงกระตุ้นของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ส่งผ่านมายังกล้ามเนื้อ

      ช่องคลอดหลวมแก้ด้วย โปรแกรม Emsella ราคาเท่าไร?

      การรักษาช่องคลอดหลวมด้วยโปรแกรม Emsella ในแต่ละคลินิกนั้นก็จะมีราคาที่แตกต่างกันไป ซึ่งจะขึ้นอยู่กับปัญหาทางสุขภาพ จำนวนครั้งในการรักษา และช่วงเวลาโปรโมชั่นของคลินิกนั้น ๆ ทั้งนี้ หากต้องการแก้ปัญหาช่องคลอดหลวมควรเลือกคลินิกที่พร้อมให้บริการ โปรแกรม Emsella ที่มีคุณภาพ ราคาสมเหตุสมผล และดูแลโดยแพทย์เท่านั้น

      ผู้ชายใช้เก้าอี้ โปรแกรม Emsella ได้หรือไม่?

      โปรแกรม Emsella สามารถใช้รักษาได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง แม้ว่า โปรแกรม Emsella จะมีความโดดเด่นในการช่องแก้ปัญหาช่องคลอดหลวม แก้ปัสสาวะเล็ด กระชับช่องคลอด ทำให้ได้รับความนิยมอย่างมากในผู้หญิง แต่โปรแกรม Emsella ก็ยังช่วยเสริมสมรรถภาพทางเพศ ช่วยชะลอการหลั่งเร็ว การแข็งตัวของอวัยวะเพศ และช่วยแก้ปัญหากลั้นปัสสาวะไม่อยู่สำหรับผู้ชายได้อีกด้วย

       

      หลังทำ โปรแกรม Emsella ผลลัพธ์อยู่ได้นานแค่ไหน?

      หลังจากทำ โปรแกรม Emsella แก้ปัญหาช่องคลอดหลวม โดยทั่วไปผลลัพธ์ของการกระชับกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานด้วย โปรแกรม Emsella จะอยู่ได้นานประมาณ 3 – 6 เดือน อย่างไรก็ตาม ระยะเวลาของผลลัพธ์ของแต่ละบุคคลจะมีความแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับปัญหาของสุขภาพอุ้งเชิงกราน จำนวนครั้งที่รักษา ตลอดจนถึงการดูแลตัวเองหลังทำ

       

      แนะนำการดูแลหลังทำ โปรแกรม Emsella เพื่อให้ผลลัพธ์อยู่ได้นานขึ้น

      หลังจากเข้ารับการรักษาช่องคลอดหลวมด้วย โปรแกรม Emsella แล้วนั้น หากต้องการผลลัพธ์ที่คงอยู่ได้นาน ควรดูแลตัวเองหลังทำอย่างเหมาะสม เพื่อช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และช่วยให้ประสิทธิภาพในการรักษาของ โปรแกรม Emsella ดีขึ้น เช่น

      • หลังทำ โปรแกรม Emsella ควรออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานให้แข็งแรงอย่างสม่ำเสมอ
      • หลังทำ โปรแกรม Emsella ควรควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ไม่เสี่ยงโรคอ้วน
      • หลังทำ โปรแกรม Emsella ควรหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงได้ไว เช่น การยกของหนัก
      • หลังทำ โปรแกรม Emsella ควรดื่มน้ำให้เพียงพอและรับประทานอาหารที่ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรง
      • หลังทำ โปรแกรม Emsella ควรงดสูบบุหรี่และลดการดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวได้ดีขึ้น
      • หลังทำ โปรแกรม Emsella ควรทำการติดตามผล และควรเข้ารับการรักษาด้วย  โปรแกรม Emsella อย่างสม่ำเสมอ

      สรุป

      ช่องคลอดหลวมเกิดจากอะไร ? ปัญหาช่องคลอดหลวมเกิดได้จากหลายสาเหตุ และหลายปัจจัยรวมกัน เช่น อายุที่เพิ่มขึ้น ฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลง พฤติกรรมการใช้ชีวิต หรือการคลอดบุตร ต่างก็เป็นสาเหตุที่อาจส่งผลให้ช่องคลอดหลวม ไม่กระชับ ปัสสาวะเล็ด กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ได้ ซึ่งวิธีแก้ไขหรือรักษาช่องคลอดหลวมสามารถทำได้หลายวิธีทั้งแบบธรรมชาติ และทางการแพทย์อย่าง โปรแกรม Emsella ทางเลือกใหม่กระชับช่องคลอด โดยไม่ต้องผ่าตัด ที่สามารถเข้ารับบริการได้แล้วที่ รมย์รวินท์คลินิก

       

      *ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับการบริการ

      *เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

      Rh Collagen คืออะไร? อีกขั้นของการกระตุ้นคอลลาเจน

      Rh Collagen

      Rh Collagen คืออะไร? อีกขั้นของการกระตุ้นคอลลาเจน

      ในปัจจุบันวงการแพทย์ความงามได้มีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด โดยการวิจัย และคิดค้นผลิตภัณฑ์กระตุ้นคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ เพื่อตอบโจทย์ปัญหาผิวที่เสื่อมสภาพลงตามวัย ซึ่งหนึ่งในสารกระตุ้นคอลลาเจนที่ได้รับความสนใจในขณะนี้คือ “Rh Collagen” คอลลาเจนสังเคราะห์ที่มีโครงสร้างใกล้เคียงกับคอลลาเจนในร่างกายของมนุษย์ ถูกออกแบบมาเพื่อฟื้นฟูผิว และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่อย่างเป็นธรรมชาติ โดยมีคุณสมบัติ และจุดเด่นที่แตกต่างจากสารกระตุ้นคอลลาเจนตัวอื่น ๆ อย่างชัดเจน

      ในบทความนี้ จะพาทุกคนไปเรียนรู้ และทำความรู้จักเกี่ยวกับ Rh Collagen อย่างละเอียดว่า Rh Collagen คืออะไร? Rh Collagen ดีอย่างไร? และ Rh Collagen แตกต่างจากสารกระตุ้นคอลลาเจนตัวอื่น ๆ อย่างไร? รมย์รวินท์รวบรวมข้อมูลทั้งหมดที่ต้องรู้มาให้แล้ว

      Rh Collagen คืออะไร? ดีอย่างไร? สารกระตุ้นคอลลาเจนใหม่ล่าสุดในโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen

       

      ทำความรู้จักกับ Rh Collagen
      ทำความรู้จักกับ Rh Collagen

       

      ทำความรู้จักกับ Rh Collagen

      Rh Collagen (Recombinant Human Collagen) คือ สารกระตุ้นคอลลาเจนที่ถูกใช้ในผลิตภัณฑ์ความงามอย่างโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen ซึ่งเป็นคอลลาเจนที่ถูกสังเคราะห์ขึ้นจากหนอนไหม ผ่านกระบวนการดัดแปลงทางพันธุกรรม โดยมีโครงสร้างใกล้เคียงกับคอลลาเจนชนิดที่ 1 (Collagen Type 1) ในผิวของมนุษย์ จึงมีความบริสุทธิ์สูง และเข้ากันได้ดีกับร่างกาย สามารถนำไปใช้ในการซ่อมแซม และฟื้นฟูเนื้อเยื่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดโอกาสเสี่ยงในการเกิดการแพ้ หรือปฏิกิริยาต่อต้านจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย

       

      Rh Collagen มีคุณสมบัติเด่นอย่างไร?

      • Rh Collagen เป็นสารกระตุ้นคอลลาเจนที่มีโครงสร้างใกล้เคียงกับ คอลลาเจนชนิดที่ 1 ในร่างกายมนุษย์
      • Rh Collagen ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ตามธรรมชาติ โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการอักเสบในร่างกาย
      • Rh Collagen ช่วยฟื้นฟู และซ่อมแซมเซลล์ผิวอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นผิวหย่อนคล้อย แห้งกร้าน มีริ้วรอย ร่องลึก หรือแม้แต่ผิวหมองคล้ำ ไม่สดใส
      • Rh Collagen เหมาะสำหรับผิวบอบบาง หรือแพ้ง่าย เนื่องจากเป็นสารที่มีโครงสร้างใกล้เคียงกับคอลลาเจนในร่างกายมนุษย์ จึงช่วยลดโอกาสเสี่ยงในการเกิดปฏิกิริยาต่อต้าน หรืออาการแพ้

       

      เปรียบเทียบความต่างระหว่าง Rh Collagen และสารกระตุ้นคอลลาเจนตัวอื่น ๆ

      Rh Collagen เป็นสารกระตุ้นคอลลาเจนที่มีความแตกต่างจาก CaHA และ PLLA อย่างชัดเจน ซึ่งถือเป็นสารที่นิยมใช้ในวงการแพทย์ความงามอย่างมาก โดย Rh Collagen, CaHA และ PLLA มีความแตกต่างกัน ดังนี้

      • Rh Collagen 

      Rh Collagen (Recombinant Human Collagen) คือ สารกระตุ้นคอลลาเจนที่มีการสังเคราะห์ให้ใกล้เคียงกับคอลลาเจนชนิดที่ 1 ในร่างกายของมนุษย์ ซึ่งถือเป็นคอลลาเจนที่พบได้บ่อยในผิวหนัง โดย Rh Collagen มีคุณสมบัติในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และฟื้นฟูผิวที่เสื่อมสภาพ พร้อมเพิ่มความยืดหยุ่น และบำรุงผิวอย่างล้ำลึกจากภายใน ทำให้ผิวมีความชุ่มชื้น อิ่มฟู และเรียบเนียนอย่างเป็นธรรมชาติ อีกทั้ง Rh Collagen ยังเป็นสารที่มีความบริสุทธิ์สูง จึงช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดอาการแพ้ หรือปฏิกิริยาต่อต้านทางร่างกาย เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย ใบหน้าเริ่มหย่อนคล้อย หรือมีริ้วรอยเส้นเล็กๆ ต้องการฟื้นฟู และปรับปรุงคุณภาพผิวโดยรวม

      • CaHA

      CaHA (Calcium Hydroxylapatite) คือ สารกระตุ้นคอลลาเจน (Biostimulator) ที่มีการใช้งานในวงการแพทย์ความงามมาอย่างยาวนาน โดยสามารถพบได้บ่อยบริเวณเนื้อเยื่อกระดูก และฟันของร่างกาย มีลักษณะเป็นทรงกลมขนาดเล็กสม่ำเสมอ (Microsphere) ประมาณ 25 – 45 ไมครอน ซึ่ง CaHA มีคุณสมบัติในการกระตุ้นการสร้างเส้นใยตาข่ายผิวใหม่ถึง 5 ประการ ได้แก่ คอลลาเจนชนิดที่ 1, คอลลาเจนชนิดที่ 3,  Angiogenesis และ Proteoglycan ซึ่งเป็นสารที่มีความสำคัญต่อผิวหนัง ส่งผลให้ผิวแน่นกระชับ แข็งแรง และดูสุขภาพดีจากภายใน เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อย มีริ้วรอยร่องลึกอย่างเห็นได้ชัด ต้องการยกกระชับ และเพิ่มวอลลุ่มให้กับผิว

      • PLLA

      PLLA (Poly-L-lactic acid) คือ สารกระตุ้นคอลลาเจน (Biostimulator) ที่ถูกใช้กันอย่างแพร่หลายในวงการแพทย์ความงามตั้งแต่ปี 1999 ซึ่งเป็นสารสังเคราะห์จากพืชที่ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย และย่อยสลายตามธรรมชาติ โดย PLLA มีคุณสมบัติในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนชนิดที่ 1 ผ่านกระบวนการอักเสบในร่างกาย พร้อมฟื้นฟูโครงสร้างผิวชั้นลึกที่เสื่อมสภาพ และแก้ไขปัญหาผิวที่หย่อนคล้อยในระยะยาว ส่งผลให้ผิวเต่งตึง เฟิร์มกระชับ และดูอ่อนเยาว์จากภายใน เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวหลวม มีริ้วรอย หรือใบหน้าหย่อนคล้อยอย่างชัดเจน ต้องการฟื้นฟูคอลลาเจนตามธรรมชาติอย่างยั่งยืน

       

      โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen คืออะไร?
      โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen คืออะไร?

       

      โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen คืออะไร?

      โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen เป็นเทคโนโลยี Bio-Restorative Soft Filler ใหม่ล่าสุดจากประเทศอิตาลี ที่มีการใช้ Recombinant Human Collagen (Rh Collagen) สำหรับฉีดชนิดแรกของโลก ซึ่งมีการพัฒนา และวิจัยมาอย่างยาวนาน ทำให้ได้คอลลาเจนสังเคราะห์ที่มีความใกล้เคียงกับคอลลาเจนในร่างกายมนุษย์ โดยมีคุณสมบัติในการฟื้นฟู และซ่อมแซมเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ พร้อมกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่โดยตรง ทำให้ผิวแข็งแรง เต่งตึง และกระชับจากภายใน

       

      ส่วนประกอบของโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen

      โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen เป็นผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาเพื่อฟื้นฟู และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนอย่างเป็นธรรมชาติ โดยมี 3 ส่วนประกอบหลักที่ทำงานร่วมกัน ดังนี้

      • Collagen Polypeptidic a1 Chain R (Rh Collagen)

      Collagen Polypeptidic a1 Chain R (Rh Collagen) เป็นส่วนประกอบหลักของโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen ซึ่งสกัดมาจากหนอนไหม ผ่านการใช้เทคโนโลยีใหม่ที่ได้รับการจดสิทธิบัตรเฉพาะ โดยมีหน้าที่หลักในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ผ่านเซลล์ไฟโบรบลาสต์ในผิวหนัง ทำให้ผิวอิ่มฟู เต่งตึง และลดเลือนริ้วรอยเล็ก ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

      • High Molecular Weight Hyaluronic Acid (HMW – HA)

      High Molecular Weight Hyaluronic Acid (HMW – HA) เป็นส่วนประกอบหลักของโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen ซึ่งถูกสังเคราะห์ขึ้นมาเพื่อเลียนแบบสารที่มีอยู่ในร่างกาย และผิวหนัง โดยมีหน้าที่ในการอุ้มน้ำ พยุงโครงสร้างผิว และต้านสารอนุมูลอิสระทำให้ผิวมีความยืดหยุ่น เรียบเนียน และดูอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ

      • Carboxymethylcellulose (CMC)

      Carboxymethylcellulose (CMC) เป็นส่วนประกอบหลักของโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen ซึ่งถูกสังเคราะห์ขึ้นมาเพื่อเสริมประสิทธิภาพของ HA ให้สามารถคงรูป และยืดอายุให้คงอยู่ได้นานมากขึ้น อีกทั้ง ยังมีฤทธิ์ในการชะลอความเสื่อมสภาพของผิว และลดการทำงานของ MMPs (Matrix metalloproteinases) ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่จะทำลายคอลลาเจนในผิวหนัง

       

      จุดเด่นของโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen

      • โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen มี Rh Collagen แบบฉีดตัวแรกของโลก

      โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen เป็นผลิตภัณฑ์กระตุ้นคอลลาเจนตัวแรกของโลกที่ใช้ Rh Collagen (Recombinant Human Collagen) แบบฉีด ซึ่งสกัดมาจากหนอนไหมธรรมชาติ ผ่านการดัดแปลงทางพันธุกรรม

      • โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen ผสานส่วนประกอบถึง 3 ชนิด

      โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen เป็นสารกระตุ้นคอลลาเจนที่ผสมผสานส่วนประกอบระหว่าง Collagen Polypeptidic a1 Chain R (Rh Collagen), High Molecular Weight Hyaluronic Acid (HMW – HA) และ Carboxymethylcellulose (CMC) เข้าด้วยกันอย่างลงตัว เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพสูง

      • โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen เห็นผลลัพธ์ได้หลังทำ และระยะยาว

      หลังทำโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen สามารถเห็นผลลัพธ์ได้หลังทำ เนื่องจากการทำงานของสาร HA และ CMC ที่เข้าไปเติมเต็มริ้วรอย ร่องลึก หรือช่องว่างใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวอิ่มฟู เรียบเนียน และเต่งตึงขึ้น จากนั้น Rh Collagen จะค่อย ๆ ทำงาน โดยการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนชนิดที่ 2 และ 3 เพิ่มเติม ทำให้ผิวแน่นกระชับ แข็งแรง และดูสุขภาพดีในระยะยาว

      • โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen สามารถเข้ากับร่างกายได้ดี

      โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen เป็นสารกระตุ้นคอลลาเจนที่สามารถเข้ากับร่างกายได้ดี เนื่องจากใช้สารสกัดจากธรรมชาติ ที่ถูกสังเคราะห์ให้คล้ายกับคอลลาเจนชนิดที่ 1 ในร่างกายมนุษย์ ทำให้ลดโอกาสเสี่ยงในการเกิดอาการแพ้ หรือปฏิกิริยาต่อต้านทางร่างกาย

      • โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen ให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ

      โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen ให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ เน้นฟื้นฟูผิวที่เสื่อมสภาพ และปรับปรุงคุณภาพผิวโดยรวม โดยไม่ทำให้โครงสร้างใบหน้าเปลี่ยน หรือแข็งทื่อจนเกินไป

      • โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen ได้รับมาตรฐาน TH FDA

      โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen เป็นผลิตภัณฑ์กระตุ้นคอลลาเจนใหม่ล่าสุด ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานจาก องค์การอาหารและยา และ CE Mark เนื่องจากมีการวิจัย และพัฒนามาอย่างยาวนาน ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ และไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย

       

      โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen แก้ปัญหาอะไรได้บ้าง?
      โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen แก้ปัญหาอะไรได้บ้าง?

       

      โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen แก้ปัญหาอะไรได้บ้าง?

      เนื่องจากโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen เป็นผลิตภัณฑ์กระตุ้นคอลลาเจนที่ผสมผสานส่วนประกอบสำคัญถึง 3 ชนิดเข้าด้วยกัน ทำให้สามารถแก้ปัญหาได้อย่างหลากหลาย ดังนี้

      • โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen เหมาะสำหรับ การแก้ไขปัญหาริ้วรอย และร่องลึกบนใบหน้า
      • โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen เหมาะสำหรับ การแก้ไขปัญหาผิวหย่อนคล้อย แก้มห้อย ขาดความกระชับ
      • โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen เหมาะสำหรับ การแก้ไขปัญหาผิวหลวมจากการสูญเสียคอลลาเจน
      • โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen เหมาะสำหรับ การแก้ไขปัญหาใบหน้าตอบ หรือกระดูกที่ทรุดตัวลง
      • โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen เหมาะสำหรับ การแก้ไขปัญหาผิวไม่แข็งแรง หรือขาดความยืดหยุ่นตามวัย
      • โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen เหมาะสำหรับ การแก้ไขปัญหาผิวที่เสื่อมสภาพ ใบหน้าดูโทรม ไม่สดใส
      • โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen เหมาะสำหรับ การแก้ไขปัญหารูขุมขนกว้าง หรือรูขุมขนไม่กระชับ
      • โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen เหมาะสำหรับ การแก้ไขปัญหาผิวแห้ง หรือขาดความชุ่มชื้น
      • โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen เหมาะสำหรับ การแก้ไขปัญหาหลุมสิว รอยแผลเป็น หรือผิวไม่เรียบเนียนต่าง ๆ

      ทั้งนี้ ควรปรึกษาแพทย์ และแจ้งประวัติสุขภาพให้แพทย์ทราบอย่างละเอียด ตั้งแต่ประวัติโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา หรือประวัติการรักษาก่อนเข้ารับบริการ

       

      โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen ใช้ฉีดจุดไหนได้บ้าง?

      โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen สามารถใช้ฉีดได้หลากหลายจุดบนใบหน้า และส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย แต่โดยส่วนใหญ่ บริเวณที่นิยมทำโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen มีดังนี้

      • โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen สามารถใช้ฉีดบริเวณ หน้าผาก 
      • โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen สามารถใช้ฉีดบริเวณ ระหว่างคิ้ว
      • โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen สามารถใช้ฉีดบริเวณ ใต้ตา
      • โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen สามารถใช้ฉีดบริเวณ หางตา
      • โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen สามารถใช้ฉีดบริเวณ รอบดวงตา
      • โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen สามารถใช้ฉีดบริเวณ หน้าแก้ม
      • โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen สามารถใช้ฉีดบริเวณ ร่องแก้ม
      • โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen สามารถใช้ฉีดบริเวณ ลำคอ
      • โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen สามารถใช้ฉีดบริเวณ เนินอก
      • โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen สามารถใช้ฉีดบริเวณ หลังมือ

       

      ผลลัพธ์ที่ได้จากโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen
      ผลลัพธ์ที่ได้จากโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen

       

      ผลลัพธ์ที่ได้จากโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen

      เนื่องจากโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen เป็นผลิตภัณฑ์กระตุ้นคอลลาเจนที่ผสมผสานส่วนประกอบสำคัญถึง 3 ชนิดเข้าด้วยกัน ทำให้ได้ผลลัพธ์หลายประการ ดังนี้

      • โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen ช่วยให้ผิวมีความหนาแน่นจากการกระตุ้นคอลลาเจน
      • โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen ช่วยให้ผิวเต่งตึง กระชับ และลดความหย่อนคล้อย
      • โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen ช่วยให้ผิวแข็งแรง และชะลอความเสื่อมสภาพของผิว
      • โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen ช่วยลดเลือนริ้วรอย และร่องลึกให้ดูตื้นขึ้น
      • โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen ช่วยให้ผิวอิ่มฟู และมีความยืดหยุ่น
      • โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen ช่วยลดเลือนหลุมสิว และรอยแผลเป็นต่าง ๆ
      • โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen ช่วยให้รูขุมขนกระชับ และผิวมีความเรียบเนียน
      • โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น ฉ่ำวาว และดูสุขภาพดี
      • โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen ช่วยให้ผิวกระจ่างใส และสีผิวดูสม่ำเสมอ

       

      โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen มีข้อจำกัดอย่างไร?

      • โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีประวัติแพ้สารประกอบในโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen
      • โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่รับประทานยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด
      • โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีแผลติดเชื้อ และผิวบริเวณที่ฉีดเกิดการอักเสบ
      • โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง
      • โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่ตั้งครรภ์ หรือกำลังให้นมบุตร
      • โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์แบบถาวร
      • โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างใบหน้าแบบชัดเจน

      ทั้งนี้ ควรปรึกษาแพทย์ และแจ้งประวัติสุขภาพให้แพทย์ทราบอย่างละเอียด ตั้งแต่ประวัติโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา หรือประวัติการรักษาก่อนเข้ารับบริการ

       

      ก่อนทำโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen ควรเตรียมตัวอย่างไร?

      • ก่อนทำโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อประเมินสภาพผิวก่อนฉีด
      • ก่อนทำโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen ควรแจ้งประวัติโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา หรือประวัติหัตถการที่เคยทำ ให้แพทย์ทราบก่อนฉีด
      • ก่อนทำโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen งดรับประทานยากลุ่มต้านการอักเสบ หรือยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด
      • ก่อนทำโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen งดการทำทรีตเมนต์ หรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่ระคายเคืองผิว
      • ก่อนทำโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และงดการสูบบุหรี่
      • ก่อนทำโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen ควรพักผ่อนให้มาก ๆ และดื่มน้ำให้เพียงพอ

       

      ขั้นตอนการทำโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen

      • ก่อนทำโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen ปรึกษาแพทย์ เพื่อวิเคราะห์ และประเมินปัญหา พร้อมวางแผนการรักษาก่อนฉีด
      • เริ่มทำความสะอาดผิวหน้าก่อนทำโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen โดยการเช็ดเครื่องสำอาง หรือสิ่งสกปรกในบริเวณที่ฉีดออกให้หมด
      • ทายาชา หรือฉีดยาชาก่อนเริ่มทำโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen เพื่อลดความรู้สึกเจ็บแสบขณะฉีด
      • แพทย์จะทำการฉีดโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen เข้าไปยังบริเวณที่มีปัญหา โดยใช้เทคนิคในการฉีดที่เหมาะสม
      • เมื่อทำโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen เสร็จ แพทย์จะให้คำแนะนำเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวที่ถูกต้องหลังฉีดที่

       

      หลังทำโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen ควรดูแลตัวเองอย่างไร?

      • หลังทำโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen หลีกเลี่ยงการนวดคลึง กด และจับในบริเวณที่ฉีด
      • หลังทำโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen งดโดนแสงแดดจัดในบริเวณที่ฉีด
      • หลังทำโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen งดแต่งหน้าในช่วงแรกที่ฉีด
      • หลังทำโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen ควรประคบเย็นเบา ๆ เพื่อลดอาการบวม
      • หลังทำโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen งดทำกิจกรรมที่ทำให้เกิดความร้อนสูง
      • หลังทำโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และงดการสูบบุหรี่
      • หลังทำโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen งดการทำทรีตเมนต์ หรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่ระคายเคืองผิว
      • หลังทำโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen งดรับประทานอาหารหมักดอง อาหารดิบ หรืออาหารรสจัด
      • หลังทำโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen สามารถล้างหน้า ทาครีม หรือสกินแคร์ให้ตามปกติ เพื่อให้ผิวชุ่มชื้น
      • หลังทำโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen ควรพักผ่อนให้มาก ๆ และดื่มน้ำให้เพียงพอ
      • หลังทำโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen ควรสังเกตอาการของตนเอง หากมีความผิดปกติ ควรรีบพบแพทย์

       

      โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen ฉีดกี่ครั้งเห็นผล?
      โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen ฉีดกี่ครั้งเห็นผล?

       

      โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen ฉีดกี่ครั้งเห็นผล?

      โดยทั่วไป การทำโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen จะแนะนำให้ฉีดประมาณ 3 ครั้ง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งขึ้นอยู่กับสภาพผิว และปัญหาของแต่ละบุคคล แนะนำให้แพทย์ประเมินก่อนตัดสินใจ โดยการทำโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen ในแต่ละครั้งควรมีระยะห่างกัน ดังนี้

      • ทำโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen ครั้งที่ 1 แนะนำให้เริ่มฉีด 1 ไซริงค์
      • ทำโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen ครั้งที่ 2 แนะนำให้ฉีดเพิ่ม 1 ไซริงค์ โดยเว้นระยะห่างจากครั้งแรก ประมาณ 1 เดือน เพื่อเสริมประสิทธิภาพของผลลัพธ์ให้ดีมากขึ้น
      • ทำโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen ครั้งที่ 3 แนะนำให้ฉีดเพิ่มอีก 1 ไซริงค์ โดยเว้นระยะห่างจากครั้งที่ 2 ประมาณ 4 – 8 เดือน เพื่อให้ผลลัพธ์คงอยู่ได้ยาวนานมากขึ้น

       

      โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen สามารถอยู่ได้นานแค่ไหน?

      โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen สามารถให้ผลลัพธ์ทั้งในระยะสั้น และระยะยาว ซึ่งช่วยในการกระตุ้นคอลลาเจน และฟื้นฟูผิวแบบองค์รวม แต่โดยทั่วไปแล้ว ผลลัพธ์จากการทำโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen จะดีขึ้นเรื่อย ๆ หลังฉีด อย่างน้อย 3 สัปดาห์ขึ้นไป และสามารถคงอยู่ได้ยาวนาน ประมาณ 6 – 12 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล และการปฏิบัติตัวหลังฉีด ทั้งนี้ การทำโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen ซ้ำจะช่วยให้ผลลัพธ์มีความคงทน และมีประสิทธิภาพมากขึ้นในระยะยาว

       

      โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen มีผลข้างเคียงไหม?

      โดยทั่วไป การทำโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen ถือว่าไม่เป็นอันตราย และหลังทำสามารถใช้ชีวิตประจำวันในตามปกติ เนื่องจากใช้ Recombinant Human Collagen (Rh Collagen) ซึ่งมีความใกล้เคียงกับคอลลาเจนชนิดที่ 1 ของมนุษย์ ทำให้เข้ากับร่างกายได้ดี และเสี่ยงต่อการเกิดการแพ้ต่ำมาก แต่อย่างไรก็ตาม หลังฉีดอาจพบผลข้างเคียงเกิดขึ้นเล็กน้อย ซึ่งเป็นอาการปกติที่สามารถหายได้เองตามธรรมชาติ ดังนี้

      • หลังทำโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen อาจมีรอยแดงจากเข็มเกิดขึ้นในบริเวณที่ฉีด 
      • หลังทำโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen อาจมีอาการบวมช้ำในบริเวณที่ฉีด
      • หลังทำโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen อาจรู้สึกปวดตึงเล็กน้อยในบริเวณที่ฉีด

       

      จะเห็นได้ว่า โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen ถือเป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์กระตุ้นคอลลาเจนที่น่าจับตามองอย่างมากในขณะนี้ เนื่องจากมีการใช้ Recombinant Human Collagen (Rh Collagen) สำหรับฉีดตัวแรกของโลก ซึ่งมีโครงสร้างใกล้เคียงกับคอลลาเจนในร่างกายมนุษย์ จึงสามารถเข้ากันได้ดีกับร่างกาย และลดโอกาสเสี่ยงในการเกิดอาการแพ้ อีกทั้ง โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen ไม่เพียงแต่ช่วยกระตุ้นคอลลาเจนเท่านั้น แต่ยังช่วยเติมเต็ม และปรับปรุงคุณภาพผิวจากภายใน ทำให้ผิวอิ่มฟู เรียบเนียน และดูอ่อนเยาว์ขึ้น ทั้งในระยะสั้น และระยะยาว ที่สำคัญคือ โปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen สามารถใช้ได้กับหลากหลายบริเวณ ไม่ว่าจะเป็นบริเวณใบหน้า ลำคอ หรือส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย ทำให้สามารถแก้ไขปัญหาผิวได้อย่างครอบคลุม และหลากหลาย เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟู และบำรุงผิวแบบองค์รวม โดยไม่ทำให้โครงสร้างใบหน้าเปลี่ยนแปลงแบบชัดเจน

      สำหรับใครที่กำลังมองหาผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในการกระตุ้นคอลลาเจน และฟื้นฟูผิว สามารถเข้ามาปรึกษาแพทย์ได้แล้ววันนี้ที่ รมย์รวินท์คลินิก ทุกสาขา เรามีทีมแพทย์ที่มีความรู้ และได้รับการฝึกอบรมจากบริษัทผู้จัดจำหน่ายโปรแกรมฉีด Karisma Rh Collagen โดยตรง ทำให้สามารถวิเคราะห์ปัญหา และเลือกใช้เทคนิคในการฉีดที่เหมาะสมกับสภาพผิวของแต่ละบุคคล เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ และน่าพึงพอใจหลังทำ

       

      *ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับบริการ

      *เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯกำหนด

      Ultra Lift ยกกระชับผิวหน้า ปรับหน้าเรียว

      Ultra Lift ยกกระชับผิวหน้า ปรับหน้าเรียว

      ทำความรู้จักเทคโนโลยี Ultra Lift ยกกระชับผิวหน้า ปรับหน้าเรียว

      ในยุคที่เทคโนโลยีความงามก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว การดูแลผิวให้แลดูอ่อนเยาว์และสุขภาพดีไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป หนึ่งในนวัตกรรมที่ได้รับความสนใจอย่างมากในปัจจุบันคือ Ultra Lift ซึ่งเป็นเทคโนโลยีช่วยยกกระชับผิวหน้าด้วยพลังงานอัลตราซาวนด์ที่สามารถเข้าลึกถึงโครงสร้างผิวชั้นใน โดยไม่ต้องพึ่งการผ่าตัด และไม่มีช่วงพักฟื้นเหมือนหัตถการแบบเดิม ๆ

       

      ด้วยจุดเด่นที่เห็นผลได้อย่างรวดเร็ว และไม่รุกรานผิว Ultra Lift จึงกลายเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์ผู้ที่ใส่ใจรูปลักษณ์ และต้องการดูแลตัวเองแบบมีประสิทธิภาพในเวลาจำกัด

       

      นอกจากผลลัพธ์ด้านการยกกระชับแล้ว Ultra Lift ยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวลึก ลดเลือนริ้วรอยที่เกิดขึ้นตามวัย และเสริมสร้างความยืดหยุ่นให้กับผิวอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติและคงอยู่ได้นานขึ้น ที่สำคัญคือสามารถใช้ได้กับทุกเพศทุกวัย

       

      และหากคุณกำลังตั้งคำถามว่า Ultra Lift ทำงานอย่างไร? ให้ผลลัพธ์นานแค่ไหน? และทำไมถึงได้รับความนิยมในกลุ่มคนรุ่นใหม่? บทความนี้จะพาคุณไปค้นหาคำตอบอย่างละเอียด พร้อมแนะนำแนวทางการดูแลผิวหลังทำ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีอย่างมีประสิทธิภาพ

       

      ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift ปรับหน้าเรียว คืออะไร?
      ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift ปรับหน้าเรียว คืออะไร?

       

      ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift ปรับหน้าเรียว คืออะไร? 

      Ultra Lift เป็นเทคโนโลยีด้านความงามที่ใช้พลังงานคลื่นเสียงความถี่สูง (High-Intensity Focused Ultrasound – HIFU) ส่งผ่านพลังงานลงลึกไปถึง ชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นผิวเดียวกับที่ศัลยแพทย์ใช้ในการยกกระชับใบหน้าแบบผ่าตัด โดยไม่ต้องเจ็บตัวหรือเสียเวลาพักฟื้น

       

      หนึ่งในจุดเด่นของ Ultra Lift คือ หัวทิปเฉพาะที่ออกแบบมาให้ยิงพลังงานแบบจุด (Dot Pattern) และสามารถเข้าถึงความลึกสูงสุดประมาณ 4.5 มิลลิเมตร ซึ่งช่วยให้สามารถรักษาได้อย่างแม่นยำ ตรงจุด และสอดคล้องกับลักษณะของปัญหาผิวในแต่ละพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นบริเวณกรอบหน้า แก้ม หรือใต้คาง

       

      Ultra Lift ไม่ได้เพียงแค่ช่วยยกกระชับผิวให้เต่งตึง แต่ยังมีบทบาทในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และอีลาสตินตามธรรมชาติในชั้นผิว ทำให้ผิวดูแน่น เรียบเนียน อ่อนเยาว์อย่างต่อเนื่องเมื่อเวลาผ่านไป

       

      นอกจากนี้ เทคโนโลยีนี้ยังเหมาะกับการยกกระชับปรับรูปหน้าให้ดูเรียวได้รูปอย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่ต้องพึ่งการผ่าตัดหรือหัตถการที่ต้องมีการฟื้นตัวนาน จึงเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์สำหรับคนยุคใหม่ที่ต้องการดูแลผิวโดยไม่อันตรายและเห็นผลชัดเจน

       

      ถอดรหัสยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift ทำงานอย่างไรให้หน้าเรียว?

      กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิว

      เทคโนโลยี Ultrasound ถูกนำมาใช้ในการส่งพลังงานความร้อนอย่างแม่นยำลงสู่ชั้นผิวลึก โดยเฉพาะในบริเวณ SMAS (Superficial Muscular Aponeurotic System) ซึ่งเป็นชั้นเดียวกับที่ใช้ในการผ่าตัดดึงหน้าแบบศัลยกรรม ความร้อนที่ส่งลงไปมีอุณหภูมิประมาณ 60-70°C ซึ่งถือเป็นระดับที่เหมาะสมในการกระตุ้นการฟื้นฟูผิวโดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อรอบข้าง

       

      เมื่อเซลล์ผิวได้รับพลังงานความร้อนในระดับที่เหมาะสม ร่างกายจะเริ่มกระบวนการ สร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ตามธรรมชาติ ทำให้โครงสร้างผิวที่เคยหย่อนคล้อยกลับมากระชับแน่นและมีความยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น ผิวหน้าจึงดูเรียบเนียน เต่งตึง และอ่อนเยาว์ขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ

       

      ยกกระชับผิวหน้าชั้นลึก 

      เทคโนโลยีพลังงาน HIFU ถูกออกแบบมาให้ทำงานในระดับชั้นผิวที่แตกต่างกันออกไป ดังนี้

      • ชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) ช่วยปรับให้ผิวมีความเรียนเนียนมากขึ้น
      • ชั้นหนังแท้ (Dermis) ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและลดเลือนริ้วรอย
      • ชั้น SMAS ปรับโครงสร้างของผิวและยกกระชับผิวหน้าให้เต่งตึง

       

      ผลลัพธ์ที่แม่นยำแบบเฉพาะเจาะจง

      หนึ่งในจุดเด่นของ Ultra Lift คือ สามารถในการควบคุมความลึกและรดับพลังงานให้เหมาะสมกับแต่ละจุดบนใบหน้าและร่างกาย เช่น

      • ยกกระชับผิวหน้าบริเวณกรอบหน้า เพื่อยกกระชับและลดความหย่อนคล้อย
      • ยกกระชับผิวบริเวณรอบดวงตา เพื่อลดริ้วรอย ลดผิวหมองคล้ำให้กระจ่างใสขึ้น
      • ยกกระชับผิวบริเวณลำคอ เพื่อปรับรูปทรงลำคอให้ดูเรียวมากขึ้น

       

      ข้อดีสุดปัง ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift ที่ควรรู้
      ข้อดีสุดปัง ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift ที่ควรรู้

       

      ข้อดีสุดปัง ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift ที่ควรรู้

      ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift เป็นเทคโนโลยีที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน ด้วยคุณสมบัติและจุดเด่นที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการของคนอยากหน้าเรียวสวย มีดังนี้

      • ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องเสี่ยงจากการศัลยกรรม
      • ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift ไม่ต้องใช้ยาชา ไม่ต้องใช้เข็ม
      • ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift หลังทำสามารถใช้ชีวิตประจำวันปกติได้ทันที
      • ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift ได้รับการรับรองประสิทธิภาพจากองค์การอาหารและยา
      • ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift ทำงานแม่นยำโดยไม่ทำลายผิวด้านบน
      • ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift ผิวกระชับและเต่งตึงขึ้นทันทีประมาณ 20%
      • ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift ผลลัพธ์จะอยู่ได้นานถึง 12-18 เดือน
      • ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift เหมาะสำหรับทุกเพศ ทุกวัย และทุกสภาพผิว
      • ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift ไม่มีข้อจำกัดเรื่องสีผิวหรือระดับของความหย่อนคล้อย
      • ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift ใช้ระยะเวลาในการทำเพียง 30-60 นาที
      • ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift เป็นเทคโนโลยีที่คุ้มค่าในระยะยาว คุ้มค่าต่อการลงทุน
      • ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift ใบหน้าอ่อนเยาว์ ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ 

       

      ใครบ้างที่เหมาะกับยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift ที่สุด
      ใครบ้างที่เหมาะกับยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift ที่สุด

       

      ใครบ้างที่เหมาะกับยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift ที่สุด

      • ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift เหมาะกับผู้ที่เริ่มเห็นสัญญาณของการหย่อนคล้อยของใบหน้า
      • ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift เหมาะกับผู้ที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไปที่เริ่มมีริ้วรอยและผิวเริ่มสูญเสียความกระชับ
      • ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาหนังตาตก หางตาตก และคิ้วตก
      • ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาเหนียงหรือไขมันสะสมใต้คาง
      • ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift เหมาะกับผู้ที่ไม่ต้องการผ่าตัดศัลยกรรม
      • ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift เหมาะกับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ
      • ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift เหมาะกับผู้ที่ต้องการเห็นผลลัพธ์ที่รวดเร็ว
      • ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift เหมาะกับผู้ที่มีเวลาพักฟื้นน้อย
      • ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift เหมาะกับผู้ที่มีผิวมัน ผิวแห้ง หรือผิวแพ้ง่าย
      • ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift เหมาะกับผู้ที่สูญเสียความกระชับที่ใบหน้า
      • ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift เหมาะกับผู้ที่ลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วจนผิวหย่อนคล้อย
      • ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift เหมาะกับผู้ที่ต้องการยกกระชับผิวหน้าแบบเฉพาะจุด

       

      หมายเหตุ:
      ทั้งนี้ ผลลัพธ์ที่ได้อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล และควรปรึกษาแพทย์ประจำคลินิกก่อนเข้ารับบริการ เพื่อประเมินสภาพผิวอย่างเหมาะสม

       

      ใครบ้างที่ไม่เหมาะกับยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift ที่สุด

      • ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift ไม่เหมาะกับผู้ที่กำลังตั้งครรภ์หรือกำลังให้นมบุตร
      • ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift ไม่เหมาะกับผู้ที่มีโรคเกี่ยวกับผิวหนัง เช่น โรคผิวหนังอักเสบ
      • ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift ไม่เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย เช่น โรค SLE หรือภาวะภูมิคุ้มกันทำร้ายตนเอง
      • ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift ไม่เหมาะกับผู้ที่มีโรคเกี่ยวกับหลอดเลือด เช่น โรคหัวใจ
      • ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift ไม่เหมาะกับผู้ที่มีภาวะเลือดออกง่าย หรือใช้ยาสลายลิ่มเลือด
      • ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift ไม่เหมาะกับผู้ที่มีรอยแผลเป็นชนิดคีลอยด์
      • ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift ไม่เหมาะกับผู้ที่มีอุปกรณ์ทางการแพทย์ในร่างกาย เช่น เครื่องกระตุ้นหัวใจ
      • ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift ไม่เหมาะกับผู้ที่มีผิวหนังบอบบางเกินไป
      • ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift ไม่เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยอย่างรุนแรง
      • ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift ไม่เหมาะกับผู้ที่แพ้ง่ายต่อการสัมผัสความร้อน
      • ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift ไม่เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับเส้นประสาทหรือกล้ามเนื้อบนใบหน้า

       

      คำแนะนำ:

      ก่อนเข้ารับบริการ Ultra Lift ควรปรึกษาแพทย์ด้านผิวพรรณโดยตรง เพื่อประเมินสภาพผิวและสุขภาพโดยรวมอย่างละเอียด โดยเฉพาะหากมีโรคประจำตัวหรือข้อกังวลเกี่ยวกับสุขภาพผิว การวินิจฉัยเบื้องต้นอย่างถูกต้อง จะช่วยให้ได้รับผลลัพธ์ที่ไม่อันตรายและมีประสิทธิภาพสูงสุด

       

      ยกกระชับใบหน้า Ultra Lift ในแต่ละช่วงวัย ช่วยอะไรบ้าง?

      ช่วงวัย 20-30 ปี กับการปกป้องและดูแลผิวก่อนหย่อนคล้อย

      ผิวในช่วงวัยนี้มักจะยังมีผิวที่กระชับและเรียบเนียน แต่ในบางคนอาจเริ่มมีปัญหาเล็กน้อย เช่น ผิวหมองคล้ำ รูขุมขนกว้าง ซึ่ง Ultra Lift จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว เพื่อรักษาความกระชับและปกป้องริ้วรอยก่อนวัย รวมไปถึงช่วยปรับโครงสร้างของใบหน้าให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ในช่วงวัยนี้ควรทำยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift ปีละ 1 ครั้งหรือมากกว่านั้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล

       

      ช่วงวัย 30-40 ปี กับการเริ่มแก้ไขปัญหาผิวหย่อนคล้อย

      คอลลาเจนในผิวเริ่มลดลงตามธรรมชาติ ส่งผลให้ผิวเริ่มหย่อนคล้อยในบางจุด เช่น ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก และแนวกรอบหน้า ไม่ชัดเจนเหมือนเดิม ซึ่งการทำยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift จะช่วยยกกระชับผิวที่เริ่มหย่อนคล้อย ลดเลือนริ้วรอยที่เริ่มเห็นชัด และช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ในช่วงวัยนี้ควรทำยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift ทุก 6-12 เดือน เพื่อคงผลลัพธ์ให้ยาวนานที่สุด

       

      ช่วงวัย 40-50 ปี กับการฟื้นฟูผิวที่เสื่อมสภาพ

      ผิวสูญเสียความยืดหยุ่นอย่างชัดเจน มีริ้วรอยลึก ผิวหย่อนคล้อยในระดับที่มากขึ้น โดยเฉพาะบริเวณกรอบหน้า คางสองชั้น และลำคอ ซึ่งการทำยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift จะช่วยยกกระชับผิวชั้นลึกระดับ SMAS เพื่อแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย ช่วยลดความหย่อนคล้อยบริเวณกรามและลำคอ เติมเต็มผิวที่ดูแห้งกร้าน ให้กลับมาดูอิ่มฟูและมีชีวิตชีวา ในช่วงวัยนี้ควรทำยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift ทุก 6 เดือน หรืออาจพิจารณาทำเพิ่มเติมในกรณีที่ปัญหาผิวชัดเจนมาก

       

      เทียบจุดเด่นยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift กับเครื่องยกกระชับผิวหน้าอื่น

      Ultra Lift vs Ultherapy

      • Ultra Lift ใช้เทคโนโลยีพลังงาน Ultrasound เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ปรับโครงสร้างผิวชั้นลึกของ SMAS ทำให้ได้ผลลัพธ์ในเรื่องของการยกกระชับ
      • Ultherapy ใช้เทคโนโลยีพลังงาน Ultrasound เช่นกัน แต่มีจุดเด่นที่ระบบภาพ ซึ่งช่วยให้แพทย์มองเห็นชั้นผิวได้ชัดเจนขึ้นขณะทำการรักษา ทำให้สามารถกำหนดพลังงานได้อย่างแม่นยำในระดับลึก 

       

      Ultra Lift vs Thermage

      • Ultra Lift ถูกออกแบบมาเพื่อฟื้นฟูความกระชับของผิวอย่างล้ำลึก โดยเน้นการทำงานในระดับ ชั้น SMAS ซึ่งเป็นโครงสร้างผิวเดียวกับที่ใช้ในกระบวนการดึงหน้าทางศัลยกรรม ส่งผลให้การยกกระชับเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเห็นผลชัดเจน 
      • Thermage ใช้เทคโนโลยีพลังงานคลื่นวิทยุ EF ที่เหมาะกับการยกกระชับชั้นไขมันใต้ผิวหนัง ช่วยลดไขมันใต้ผิวบริเวณใบหน้าและร่างกายได้ เน้นลดความหย่อนคล้อยและปรับสภาพผิวให้เรียบเนียนขึ้น

       

      Ultra Lift vs HIFU

      • Ultra Lift ใช้พลังงานคลื่นเสียงความถี่สูง (Ultrasound) ที่ถูกออกแบบมาให้ลงลึกได้อย่างแม่นยำในแต่ละระดับของชั้นผิว พร้อมทั้งควบคุมการปล่อยพลังงานให้กระจายอย่างสม่ำเสมอในทุกจุดที่ทำการรักษา ช่วยลดโอกาสเกิดผลข้างเคียง เช่น อาการแสบร้อนหรือผิวแดงหลังทำ
      • HIFU เป็นเทคโนโลยีที่ปล่อยพลังงาน Ultrasound ที่คล้ายคลึงกัน แต่บางรุ่นอาจไม่มีระบบความคุมความลึกของพลังงาน ทำให้ต้องใช้ความรู้ของแพทย์เพื่อผลลัพธ์ที่สมบูรณ์ที่สุด โดยผลลัพธ์ที่ได้จะโดดเด่นในด้านการยกกระชับใบหน้าเช่นกัน

       

      การเตรียมตัวก่อนทำยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift
      การเตรียมตัวก่อนทำยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift

       

      การเตรียมตัวก่อนทำยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift

      • ก่อนยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift ควรพบแพทย์เพื่อวิเคราะห์ปัญหาผิวก่อนรักษา
      • ก่อนยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift ควรแจ้งแพทย์เกี่ยวกับโรคประจำตัว ยาที่กำลังใช้ หรืออาการแพ้ต่าง ๆ 
      • ก่อนยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift ควรใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 50 PA+++ เพื่อปกป้องผิว
      • ก่อนยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift ควรดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว
      • ก่อนยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift งดรับประทานยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด อย่างน้อย 7 วัน
      • ก่อนยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift งดรับประทานยาต้านการอักเสบ อย่างน้อย 7 วัน
      • ก่อนยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ อย่างน้อย 1-2 วัน
      • ก่อนยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีคุณสมบัติผลัดเซลล์ผิว
      • ก่อนยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift หลีกเลี่ยงการทำทรีตเมนต์หรือการสครับผิวหน้า อย่างน้อย 3-5 วัน
      • ก่อนยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift หลีกเลี่ยงแสงแดดจัด อย่างน้อย 7 วัน
      • ก่อนยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางหรือครีมบำรุงผิวที่มีส่วนผสมของน้ำมัน

       

      ขั้นตอนการยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift

      1. แพทย์จะตรวจเช็กปัญหาผิวและโครงสร้างใบหน้า เพื่อระบุบริเวณที่ต้องการยกกระชับผิวหน้า
      2. แพทย์วางแผนการรักษาโดยกำหนดระดับความลึกของคลื่น Ultrasound ที่เหมาะสมในแต่ละบริเวณ เพื่อให้พลังงานส่งไปถึงชั้น SMAS อย่างแม่นยำ
      3. เริ่มเตรียมผิวก่อนการรักษาด้วยการทำความสะอาดเครื่องสำอาง สิ่งสกปรก และน้ำมันส่วนเกินบนใบหน้า
      4. ในบางกรณี โดยเฉพาะบริเวณที่ผิวบาง เช่น รอบดวงตา หรือกรอบหน้า แพทย์อาจทายาชาก่อนเริ่มทำ เพื่อลดความรู้สึกไม่สบายขณะรักษา
      5. แพทย์ทาเจลนำคลื่น ช่วยให้คลื่น Ultrasound สามารถส่งผ่านเข้าสู่ชั้นผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยลดแรงเสียดทานระหว่างหัวเครื่องมือกับผิวหน้า
      6. แพทย์เริ่มใช้หัวเครื่อง Ultra Lift วางหัวเครื่องมือลงบนผิวหน้า และปล่อยพลังงานคลื่น Ultrasound ลงไปยังชั้นผิวในระดับที่กำหนด
      7. พลังงานจะลงไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นโครงสร้างสำคัญในการยกกระชับผิวหน้า
      8. ระหว่างยกกระชับผิวหน้าจะรู้สึกอุ่น ๆ หรือรู้สึกตึงเล็กน้อย เป็นสัญญาณว่าพลังงานกำลังทำงานในชั้นผิว ซึ่งใช้เวลาประมาณ 30-60 นาที ขึ้นอยู่กับขนาดของบริเวณที่รักษา
      9. หลังการรักษา แพทย์จะตรวจสอบความสมบูรณ์ของผิวอีกครั้ง พร้อมปรับพลังงานในบริเวณที่ต้องการเพิ่มเติม เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมามีประสิทธิภาพที่สุด
      10. เมื่อทำยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift เสร็จ แพทย์จะทำการให้คำแนะนำในการดูแลผิวหน้า

       

      ข้อปฏิบัติหลังทำยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift
      ข้อปฏิบัติหลังทำยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift

       

      ข้อปฏิบัติหลังทำยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift

      • หลังทำยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift หลีกเลี่ยงการถู แกะ หรือกดใบหน้าแรง ๆ 
      • หลังทำยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift หลีกเลี่ยงแต่งหน้าในวันแรกหลังการรักษา
      • หลังทำยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนประกอบของกรด
      • หลังทำยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift  หลีกเลี่ยงสกินแคร์ที่มีส่วนผสมน้ำหอม หรือแอลกอฮอล์
      • หลังทำยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift หลีกเลี่ยงการอบซาวน่า การออกกำลังกายหนัก ในช่วง 2-3 วันแรก
      • หลังทำยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift หลีกเลี่ยงการทำหัตถการที่อาจส่งผลกระทบต่อผิวเพิ่มเติม อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์
      • หลังทำยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift ควรล้างหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวที่อ่อนโยน
      • หลังทำยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift ควรใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 50 PA+++ อย่างน้อย 1 สัปดาห์
      • หลังทำยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift ควรดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว
      • หลังทำยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift  ควรใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่มีส่วนผสมช่วยปลอบประโลมผิว

       

      ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift vs การผ่าตัดดึงหน้า ความแตกต่างที่ควรรู้

      เทคโนโลยีที่ใช้

      • Ultra Lift ใช้คลื่นพลังงาน Ultrasound ที่สามารถเจาะลึกไปยังชั้นผิว SMAS ซึ่งเป็นชั้นโครงสร้างหลักที่ช่วยพยุงความยืดหยุ่นของผิว การส่งพลังงานไปที่ชั้นนี้ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้ผิวดูยกกระชับและเต่งตึงขึ้นโดยไม่ต้องผ่าตัด
      • การผ่าตัดดึงหน้า เป็นการผ่าตัดทางศัลยกรรม ที่ใช้วิธีการผ่าตัดผิวหนังและดึงเนื้อเยื่อชั้นลึก เพื่อยกกระชับผิว ลดริ้วรอย และแก้ไขปัญหาหย่อนคล้อยที่รุนแรง

       

      ระยะเวลาในการฟื้นตัว

      • Ultra Lift ไม่ต้องพักฟื้น สามารถทำกิจกรรมตามปกติได้ทันทีหลังการรักษา อาจมีรอยแดงเล็กน้อยหรือรู้สึกตึงผิว ซึ่งจะหายไปภายในไม่กี่ชั่วโมง
      • การผ่าตัดดึงหน้า ใช้เวลาพักฟื้นประมาณ 2-4 สัปดาห์ โดยช่วงแรกอาจมีอาการบวม เขียวช้ำ และต้องพักผ่อนอย่างเคร่งครัด อาจต้องหลีกเลี่ยงกิจกรรมหนัก เป็นเวลา 6-8 สัปดาห์

       

      ระยะเวลาของผลลัพธ์

      • Ultra Lift ผิวจะรู้สึกกระชับทันทีหลังทำ และเห็นผลลัพธ์ชัดเจนในช่วง 1-3 เดือน เนื่องจากคอลลาเจนถูกสร้างขึ้นใหม่ ซึ่งผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 6-12 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลหลังทำ
      • การผ่าตัดดึงหน้า หลังฟื้นตัวจากการผ่าตัด ผิวหน้าจะยกกระชับผิวหน้าอย่างเห็นได้ชัด ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 5-10 ปี หรือมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับอายุและสภาพผิว

       

      สรุปความแตกต่าง Ultra Lift vs การผ่าตัดดึงหน้า

      แม้ทั้ง Ultra Lift และการผ่าตัดดึงหน้า จะมีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือการฟื้นฟูความกระชับของผิวหน้า แต่ทั้งสองวิธีมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกันในแง่ของกระบวนการ ผลลัพธ์ และการดูแลหลังทำ

      สำหรับผู้ที่ต้องการทางเลือกที่ไม่ต้องผ่าตัด ไม่เจ็บตัว และไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้น Ultra Lift อาจเป็นทางออกที่เหมาะสมกว่า ด้วยเทคโนโลยีที่ช่วยกระตุ้นผิวให้ยกกระชับได้แบบดูเป็นธรรมชาติ โดยไม่รบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน

      ในทางกลับกัน การผ่าตัดดึงหน้าให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและยาวนานกว่า ในกรณีที่มีผิวหย่อนคล้อยอย่างรุนแรง แต่ก็มาพร้อมกับค่าใช้จ่ายที่สูงกว่า ความเสี่ยงจากการผ่าตัด และระยะเวลาฟื้นตัวที่นานขึ้น

       

      **ดังนั้น การเลือกวิธีใดจึงควรพิจารณาจาก ความรุนแรงของปัญหาผิว อายุ ผลลัพธ์ที่คาดหวัง และงบประมาณที่มี เพื่อให้ได้แนวทางที่ตอบโจทย์สำหรับแต่ละบุคคล

       

      คำถามพบบ่อยเกี่ยวกับยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift

       

      ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift เจ็บไหม?

      • ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift เป็นหัตถการที่มีความอ่อนโยนต่อผิวหน้า แต่ความรู้สึกระหว่างการทำอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล โดยทั่วไปจะรู้สึกเหมือนมีความร้อนหรือแรงกดเบา ๆ บริเวณผิวที่มีการรักษา เนื่องจากคลื่น Ultrasound ถูกส่งเข้าไปในผิวชั้น SMAS เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่

       

      ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift ต้องทำกี่ครั้งถึงจะเห็นผล?

      • ผลลัพธ์ของยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift สามารถเห็นได้ทันทีหลังการทำ โดยผิวจะรู้สึกกระชับขึ้นและมีความยืดหยุ่นมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์ที่ชัดเจนที่สุดจะเห็นผลภายใน 1-3 เดือน 

       

      ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift สามารถทำร่วมกับหัตถการอื่น ๆ ได้ไหม?

      • ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift สามารถทำร่วมกับหัตถการความงามอื่น ๆ ได้ ในบางกรณีการทำร่วมกับหัตถการอื่นอาจช่วยเพิ่มผลลัพธ์ที่ดีขึ้น โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาผิวในหลายมิติ

       

      หลังทำยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift มีผลข้างเคียงอะไรไหม?

      • โดยทั่วไปยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift ไม่เสี่ยงอันตราย แต่อาจเกิดผลข้างเคียงเล็กน้อย เช่น ผิวแดงหรือระคายเคืองเล็กน้อย รู้สึกตึงบริเวณผิวหน้า ซึ่งอาการเหล่านี้จะหายไปภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังจากทำการรักษา

       

      หลังทำยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift เห็นผลนานแค่ไหน?

      • หลังจากทำ Ultra Lift ผู้รับบริการจะเริ่มเห็นผลลัพธ์ด้านความกระชับ และความยืดหยุ่นของผิวภายในไม่กี่สัปดาห์ และผลลัพธ์เหล่านี้สามารถคงอยู่ได้ในช่วงเวลาประมาณ 6 ถึง 12 เดือน ทั้งนี้ระยะเวลาที่ผลลัพธ์อยู่ได้นาน จะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น อายุ สภาพผิว พฤติกรรมการใช้ชีวิต และการดูแลผิวหลังทำ

       

      ทำยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift สามารถแต่งหน้าได้เลยไหม?

      • หลังเข้ารับการยกกระชับผิวหน้าด้วย Ultra Lift ผู้เข้ารับบริการสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวัน รวมถึงแต่งหน้าได้ทันทีโดยไม่จำเป็นต้องพักฟื้น อย่างไรก็ตาม ในช่วง 1-2 วันแรกหลังทำ ควรให้ความระมัดระวังเป็นพิเศษในการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและเครื่องสำอาง

      เมื่ออาการบรรเทาลงแล้ว จึงสามารถแต่งหน้าและใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวตามปกติได้ตามความเหมาะสม

       

      ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift มีผลลัพธ์ถาวรไหม?

      • ผลลัพธ์ยกกระชับผิวหน้า Ultra Lift ไม่ได้ให้ผลลัพธ์แบบถาวร แต่ผลลัพธ์ที่ได้จากการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ในผิวสามารถคงอยู่ได้ในระยะเวลาหนึ่ง โดยเฉลี่ยประมาณ 6-12 เดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลตัวเองของแต่ละคน

       

      Ultra Lift เป็นหัตถการยกกระชับผิวหน้าที่ใช้เทคโนโลยีคลื่น Ultrasound ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวลึก เพื่อผลลัพธ์ที่ยกกระชับและฟื้นฟูผิวให้ดูอ่อนเยาว์โดยไม่ต้องผ่าตัด ซึ่งเหมาะสำหรับคนที่ต้องการผลลัพธ์ที่เห็นผลชัดเจน แต่ไม่ต้องการการฟื้นตัวที่ยาวนานเหมือนการผ่าตัดดึงหน้า

       

      ผลลัพธ์จากการทำ Ultra Lift อาจไม่เหมือนกันในทุกคน เนื่องจากปัจจัยอย่าง สภาพผิว อายุ การดูแลสุขภาพผิวในชีวิตประจำวัน รวมถึงการตอบสนองของแต่ละบุคคลต่อพลังงานที่ใช้ในการรักษา ล้วนมีผลต่อประสิทธิภาพและความคงทนของผลลัพธ์ เพื่อให้มั่นใจว่าเป็นวิธีที่เหมาะสมกับสภาพผิวและความต้องการของคุณ ควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์ก่อนเข้ารับบริการทุกครั้ง

       

      หากใครกำลังมองหาวิธีการยกกระชับผิวที่ไม่อันตรายและไม่ต้องผ่าตัด Ultra Lift คือทางเลือกที่ดี เหมาะสำหรับการพิจารณาเพื่อฟื้นฟูผิวและเพิ่มความมั่นใจให้กับตัวเองได้อย่างแน่นอน

      รวมเครื่องยกกระชับรมย์รวินท์ เปิดเผยจุดเด่นของแต่ละรุ่น

      เครื่องยกกระชับรมย์รวินท์

      รวมเครื่องยกกระชับรมย์รวินท์ เปิดเผยจุดเด่นของแต่ละรุ่น

      ในยุคที่ความสวยงามและสุขภาพผิวเป็นเรื่องสำคัญ การเลือกใช้เทคโนโลยีที่ช่วยดูแลผิวอย่างมีประสิทธิภาพจึงเป็นสิ่งที่หลายคนให้ความสนใจ เครื่องยกกระชับรมย์รวินท์ เป็นหนึ่งในตัวช่วยที่ตอบโจทย์สำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับผิวหน้า ปรับโครงหน้าให้เรียวขึ้น และฟื้นฟูคอลลาเจนโดยไม่ต้องผ่าตัด

       

      บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับ แต่ละรุ่นของเครื่องยกกระชับรมย์รวินท์ พร้อมเจาะลึกจุดเด่น เทคโนโลยี และประสิทธิภาพของแต่ละรุ่น เพื่อช่วยให้คุณเลือกใช้เครื่องที่เหมาะสมกับปัญหาผิวของคุณมากที่สุด ไม่ว่าคุณจะต้องการ ยกกระชับใบหน้า ลดริ้วรอย หรือเสริมความเรียบเนียนของผิว เราจะพาคุณไปสำรวจทุกมิติของเครื่องยกกระชับที่ช่วยให้คุณดูดีขึ้นได้แบบดูเป็นธรรมชาติ

       

      คุณสมบัติเด่นของแต่ละรุ่นของเครื่องยกกระชับรมย์รวินท์
      คุณสมบัติเด่นของแต่ละรุ่นของเครื่องยกกระชับรมย์รวินท์

       

      คุณสมบัติเด่นของแต่ละรุ่นของเครื่องยกกระชับรมย์รวินท์

      ในการเลือกเครื่องยกกระชับรมย์รวินท์แต่ละรุ่น สิ่งที่ทำให้แต่ละเครื่องแตกต่างกัน อยู่ที่เทคโนโลยีที่ใช้และจุดเน้นในการรักษาที่ตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของผู้ใช้งาน ซึ่งคุณสมบัติเด่นของแต่ละรุ่น มีดังนี้

       

      • เครื่องยกกระชับโปรแกรม Oligio

      เครื่องยกกระชับโปรแกรม Oligio เป็นอุปกรณ์ยกกระชับที่ใช้เทคโนโลยี RF (Radio Frequency) ส่งพลังงาน ลงลึกสู่ชั้นผิวหนังแท้ เพื่อ กระตุ้นคอลลาเจนและอีลาสติน โดยให้พลังงานที่สม่ำเสมอ ทำให้ ลดเลือนริ้วรอย ผิวกระชับขึ้น และดูเรียบเนียนขึ้น จุดเด่นของ Oligio คือ ให้ความรู้สึกอุ่นเบา ๆ โดยไม่รู้สึกเจ็บ เหมาะสำหรับทุกสภาพผิวและทุกช่วงวัย

       

      • เครื่องยกกระชับโปรแกรม Ultherapy Prime

      เครื่องยกกระชับโปรแกรม Ultherapy เป็นเครื่องยกกระชับผิวด้วยเทคโนโลยี MFU-V ที่ได้รับการพัฒนาต่อยอดจากโปรแกรม Ultherapy SPT โดยมีระบบประมวลผลที่ รวดเร็วขึ้น 20% ช่วยลดระยะเวลาในการรักษาและลดความรู้สึกไม่สบายขณะทำ นอกจากนี้ หน้าจอที่มีขนาด เพิ่มขึ้นถึง 35% ทำให้แพทย์สามารถควบคุมและตรวจสอบผลการรักษาได้อย่างแม่นยำ ดีไซน์ทันสมัย กะทัดรัด และใช้งานง่าย ให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ ช่วยให้ผิว ตึงกระชับ ยกขึ้น และดูอ่อนเยาว์ขึ้นแบบดูเป็นธรรมชาติ

      • เครื่องยกกระชับโปรแกรม Ultherapy SPT

      เครื่องยกกระชับโปรแกรม Ultherapy SPT ใช้เทคโนโลยีคลื่นอัลตราซาวด์ความเข้มสูง ส่งพลังงานลึกลงไปถึง ชั้น SMAS เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและยกกระชับผิว มาพร้อมกับระบบ See-Plan-Treat ที่ช่วย วิเคราะห์ชั้นผิวแบบเรียลไทม์ และวางแผนการรักษาอย่างแม่นยำ ช่วยให้ แพทย์สามารถส่งพลังงานได้ตรงจุด และเห็นผลลัพธ์ชัดเจนตั้งแต่ครั้งแรก เหมาะสำหรับการปรับกระชับบริเวณใบหน้า กรอบหน้า และลำคอ

      • เครื่องยกกระชับโปรแกรม Ultra 4D Lift

      เครื่องยกกระชับโปรแกรม Ultra 4D Lift  เป็นเทคโนโลยี Micro & Macro Focused Ultrasound ที่สามารถปรับระดับพลังงานให้ครอบคลุมทุกชั้นของผิว ตั้งแต่ ชั้นบนสุด (Epidermis), ผิวหนังแท้ (Dermis), ไปจนถึงชั้นลึก (SMAS) ที่เป็นชั้นเดียวกับที่ใช้ในการผ่าตัดดึงหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการ ยกกระชับผิว ลดริ้วรอย ปรับรูปหน้าให้เรียวขึ้น และฟื้นฟูคอลลาเจนในทุกระดับ

      • เครื่องยกกระชับโปรแกรม Super HIFU

      เครื่องยกกระชับโปรแกรม Super HIFU (High-Intensity Focused Ultrasound) เป็นเทคโนโลยี HIFU ความเข้มสูง ที่สามารถเจาะลึกเข้าสู่เนื้อผิวได้มากขึ้น โดยไม่ต้องใช้การผ่าตัดหรือการฉีดเข็ม เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าให้เรียว กระชับ และดูอ่อนเยาว์แบบดูเป็นธรรมชาติ ด้วยพลังงานที่ส่งลงไปอย่างแม่นยำ ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้ผิวดูเฟิร์มขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ

      • เครื่องยกกระชับโปรแกรม Fix Lift

      เครื่องยกกระชับโปรแกรม Fix Lift เป็นนวัตกรรมที่ผสมผสานพลังงานคลื่นวิทยุ (RF – Radio Frequency) ร่วมกับ เทคนิค Microneedling โดยใช้ เข็มขนาดเล็กส่งพลังงานลึกเข้าสู่ชั้นใต้ผิวหนัง เพื่อกระตุ้นการสร้าง คอลลาเจนและอีลาสติน อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้ผิว เรียบเนียนขึ้น ลดเลือนริ้วรอย และฟื้นฟูผิวจากภายใน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับเฉพาะจุด 

      • เครื่องยกกระชับโปรแกรม EMFACE

      เครื่องยกกระชับโปรแกรม EMFACE เป็นการรวมเทคโนโลยี RF (Radio Frequency) และ HIFES (High-Intensity Facial Electrical Stimulation) ซึ่งช่วย กระตุ้นกล้ามเนื้อใบหน้าโดยตรง และ เพิ่มความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อ ไปพร้อมกับการยกกระชับผิว ช่วยลดความหย่อนคล้อยในชั้นกล้ามเนื้อใบหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการให้กรอบหน้าคมชัดขึ้น โดยไม่ต้องใช้เข็มหรือผ่าตัด

      • เครื่องยกกระชับโปรแกรม Thermage FLX

      เครื่องยกกระชับโปรแกรม Thermage FLX ใช้เทคโนโลยี Monopolar RF (Radio Frequency) ส่งพลังงานความร้อนลงไปยัง ชั้นผิวหนังแท้ (Dermis) เพื่อ กระตุ้นคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิว แน่นขึ้น กระชับขึ้น และลดเลือนริ้วรอย ผลลัพธ์จะเห็นได้ทันทีหลังทำและอยู่ได้นาน 12-18 เดือน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดความหย่อนคล้อยในบริเวณใบหน้า ลำคอ แขน ขา และหน้าท้อง

       

      เปรียบเทียบราคาและความคุ้มค่าที่ได้รับจาก เครื่องยกกระชับรมย์รวินท์ ในแต่ละรุ่น

      เครื่องยกกระชับโปรแกรม Ulthera Prime

      • ราคา: ราคาเริ่มต้นประมาณ 30,000-60,000 บาท ต่อครั้ง
      • ความคุ้มค่า: เป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าที่สามารถกระชับผิวได้อย่างแม่นยำและดูเป็นธรรมชาติ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการกระชับผิวบริเวณใบหน้าและลำคอ โดยใช้เวลารักษาน้อยลง และลดความรู้สึกไม่สบายขณะทำ

      เครื่องยกกระชับ Ulthera SPT

      • ราคา: ราคาเฉลี่ยเริ่มต้นประมาณ 30,000 – 60,000 บาท ต่อครั้ง
      • ความคุ้มค่า: ระบบ See-Plan-Treat ช่วย วิเคราะห์และวางแผนการรักษาได้อย่างแม่นยำ ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้มีประสิทธิภาพสูงและเป็นธรรมชาติ การลงทุนในรุ่นนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการ การรักษาที่ตรงจุดและเห็นผลลัพธ์ตั้งแต่ครั้งแรก

      เครื่องยกกระชับโปรแกรม Ultra 4D Lift

      • ราคา: ราคาเฉลี่ยเริ่มต้นประมาณ 15,000 – 40,000 บาท ต่อครั้ง
      • ความคุ้มค่า: ด้วยการผสมผสาน RF และ Microneedling ทำให้สามารถเจาะลึกเข้าสู่ชั้นใต้ผิวเพื่อกระตุ้นคอลลาเจนและอีลาสติน เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการแก้ไขปัญหาผิวเฉพาะจุด หรือฟื้นฟูผิวที่ต้องการความละเอียดและแม่นยำ

      เครื่องยกกระชับโปรแกรม Fix Lift

      • ราคา: ราคาเริ่มต้นประมาณ 30,000 – 100,000 บาท ต่อครั้ง
      • ความคุ้มค่า: ด้วยการผสมผสานระหว่าง RF และ Microneedling ที่เน้นการแก้ไขปัญหาผิวในจุดเฉพาะ ทำให้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการแก้ไขปัญหาที่มีความเฉพาะเจาะจง ผลการรักษาเน้นความละเอียดและแม่นยำ ทำให้คุ้มค่าในกลุ่มลูกค้าที่ต้องการการปรับปรุงเฉพาะจุด

      เครื่องยกกระชับโปรแกรม EMFACE

      • ราคา: ราคาเฉลี่ยเริ่มต้นประมาณ 40,000 – 80,000 บาท ต่อครั้ง
      • ความคุ้มค่า: เป็นการรวมเทคโนโลยี RF และ HIFES เพื่อ กระตุ้นกล้ามเนื้อใบหน้าโดยตรง ทำให้ไม่เพียงแต่ยกกระชับผิว แต่ยังช่วย เสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการ กระชับกรอบหน้าอย่างดูเป็นธรรมชาติ

      เครื่องยกกระชับโปรแกรม Thermage FLX

      • ราคา: ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 50,000 – 100,000 บาท ต่อครั้ง
      • ความคุ้มค่า: ใช้พลังงาน Monopolar RF ในการส่งความร้อนลงสู่ ชั้น Dermis เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ช่วยให้ผิว ยกกระชับและลดริ้วรอยอย่างเห็นได้ชัด ผลลัพธ์สามารถอยู่ได้นานถึง 12-18 เดือน เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่รวดเร็วและยาวนาน

      เครื่องยกกระชับโปรแกรม Oligio

      • ราคา: ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 20,000 – 40,000 บาท ต่อครั้ง
      • ความคุ้มค่า: ใช้เทคโนโลยี Monopolar RF ที่ให้พลังงานอย่างต่อเนื่องโดย ไม่รู้สึกเจ็บ เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว ให้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ ภายใน 1-3 เดือน เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการดูแลผิวอย่างอ่อนโยน

      เครื่องยกกระชับโปรแกรม Super HIFU

      • ราคา: ราคาเริ่มต้นประมาณ 30,000-60,000 บาท ต่อครั้ง
      • ความคุ้มค่า: ใช้เทคโนโลยี HIFU ความเข้มสูง ซึ่งสามารถให้ ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและรวดเร็ว เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการยกกระชับใบหน้า ลดริ้วรอย และเห็นการเปลี่ยนแปลงในระยะเวลาอันสั้น

       

      วิวัฒนาการของเทคโนโลยีเครื่องยกกระชับรมย์รวินท์

      เทคโนโลยีเครื่องยกกระชับของ รมย์รวินท์คลินิก ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น และตอบโจทย์ความต้องการของผู้รับบริการในยุคปัจจุบัน โดยวิวัฒนาการของเทคโนโลยีเครื่องยกกระชับมีแนวทางสำคัญ ดังนี้

      • จากการผ่าตัดสู่เทคโนโลยียกกระชับแบบไม่ต้องผ่าตัด

      วิธีการยกกระชับผิว มักใช้การผ่าตัดศัลยกรรมดึงหน้า ซึ่งแม้จะให้ผลลัพธ์ที่ดี แต่ก็มีความเสี่ยงและต้องใช้เวลาพักฟื้นนาน ปัจจุบัน เทคโนโลยีเครื่องยกกระชับได้พัฒนาขึ้นมาเพื่อให้สามารถกระชับผิวได้โดยไม่ต้องผ่าตัด ลดระยะเวลาพักฟื้น และยังคงให้ผลลัพธ์ที่ใกล้เคียงกับการศัลยกรรม

      • การพัฒนาเทคโนโลยีให้มีความแม่นยำและลึกขึ้น

      เทคโนโลยีในยุคแรก ๆ อาจส่งพลังงานได้ไม่แม่นยำพอ หรือเข้าถึงชั้นผิวได้จำกัด แต่ในปัจจุบัน เครื่องยกกระชับของรมย์รวินท์ได้พัฒนาให้สามารถส่งพลังงานลงลึกถึง ชั้น SMAS (Superficial Musculoaponeurotic System) ซึ่งเป็นชั้นเดียวกับที่ศัลยแพทย์ใช้ในการผ่าตัดดึงหน้า ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

      • การใช้เทคโนโลยีผสมผสานเพื่อให้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น

      เครื่องยกกระชับในปัจจุบันไม่ได้อาศัยเพียงเทคโนโลยีเดียว แต่มีการผสมผสานเทคโนโลยีหลากหลายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ เช่น Microneedling+RF, HIFES+RF

      • เทคโนโลยีที่ช่วยลดความรู้สึกเจ็บ แต่ให้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น

      เครื่องยกกระชับยุคแรกมักมีข้อเสียคือ ทำให้รู้สึกเจ็บหรือไม่สบายในระหว่างการรักษา แต่เครื่องรุ่นใหม่ของรมย์รวินท์ ได้พัฒนาให้พลังงานถูกส่งไปยังผิวอย่างนุ่มนวลขึ้น ลดความรู้สึกเจ็บ แต่ยังคงให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ

      • การรักษาที่สามารถทำได้หลายบริเวณของร่างกาย

      เทคโนโลยียกกระชับมักใช้เฉพาะบนใบหน้า แต่ปัจจุบันเครื่องยกกระชับของรมย์รวินท์สามารถใช้ได้กับหลายบริเวณของร่างกาย เช่น ลำคอ แขน หน้าท้อง สะโพก และต้นขา ช่วยแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยได้ครอบคลุมยิ่งขึ้น

       

      จุดเด่นที่ทำให้ เครื่องยกกระชับรมย์รวินท์ แตกต่าง

      เครื่องยกกระชับของรมย์รวินท์คลินิก มีความโดดเด่นและแตกต่างจากที่อื่นด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยและแนวทางการรักษาที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของแต่ละบุคคล โดยมีจุดเด่นหลัก ดังต่อไปนี้

      • เทคโนโลยีเฉพาะที่แม่นยำ และตรงจุดกว่า

      เครื่องยกกระชับที่ใช้ในรมย์รวินท์คลินิกมาพร้อมกับเทคโนโลยีที่สามารถส่งพลังงานลงสู่ชั้นผิวได้อย่างแม่นยำ ที่สามารถเจาะลึกถึงชั้น SMAS เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้สามารถรักษาปัญหาผิวได้อย่างตรงจุด

      • การพัฒนาเทคโนโลยีให้มีความแม่นยำและลึกขึ้น

      เครื่องยกกระชับของรมย์รวินท์คลินิกได้รับการพัฒนาให้สามารถปล่อยพลังงานอย่างมีเสถียรภาพและควบคุมความร้อนให้เหมาะสมกับสภาพผิวของแต่ละบุคคล ช่วยลดความรู้สึกเจ็บขณะทำ แต่ยังคงให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและเต็มประสิทธิภาพ

      • การใช้เทคโนโลยีผสมผสานเพื่อให้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น

      เทคโนโลยีที่ใช้สามารถให้ผลลัพธ์ที่เห็นได้ตั้งแต่ครั้งแรกหลังทำ และผลการรักษาจะดีขึ้นเรื่อย ๆ ภายใน 1-3 เดือนหลังการรักษา นอกจากนี้ ผลลัพธ์ยังสามารถอยู่ได้นานถึง 12-18 เดือน ขึ้นอยู่กับการดูแลผิวของแต่ละบุคคล

      • เทคโนโลยีที่ช่วยลดความรู้สึกเจ็บ แต่ให้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น

      เครื่องยกกระชับที่รมย์รวินท์คลินิกเลือกใช้เป็นเทคโนโลยีที่ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับสากล เช่น US FDA และ CE ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก จึงมั่นใจได้ถึงประสิทธิภาพ

      • ออกแบบการรักษาเฉพาะบุคคล (Personalized Treatment)

      ที่รมย์รวินท์คลินิก การรักษาแต่ละครั้งจะถูกออกแบบให้เหมาะสมกับปัญหาและสภาพผิวของแต่ละบุคคล โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะทำการวิเคราะห์และวางแผนการรักษาเฉพาะบุคคล เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าแต่ละบุคคล

      • ผลลัพธ์ที่อยู่ได้นานขึ้น

      เทคโนโลยีในปัจจุบันสามารถให้ผลลัพธ์ที่คงอยู่ได้นานกว่าเดิม โดยเครื่องยกกระชับของรมย์รวินท์สามารถให้ผลลัพธ์อยู่ได้ตั้งแต่ 12 เดือน ถึง 24 เดือน ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีที่ใช้และสภาพผิวของแต่ละบุคคล

      • การรักษาที่สามารถทำได้หลายบริเวณของร่างกาย

      ในอดีตเทคโนโลยียกกระชับมักใช้เฉพาะบนใบหน้า แต่ปัจจุบันเครื่องยกกระชับของรมย์รวินท์สามารถใช้ได้กับหลายบริเวณของร่างกาย เช่น ลำคอ แขน หน้าท้อง สะโพก และต้นขา ช่วยแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยได้ครอบคลุมยิ่งขึ้น

       

      การเลือกเครื่องยกกระชับรมย์รวินท์ให้เหมาะกับสภาพผิว

      การเลือกเครื่องยกกระชับให้เหมาะกับสภาพผิวเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากแต่ละเทคโนโลยีและรุ่นเครื่องมีคุณสมบัติที่ตอบโจทย์ปัญหาผิวที่แตกต่างกันไป โดยมีข้อพิจารณาหลัก ๆ ดังนี้

      • ประเมินสภาพผิวและปัญหาที่ต้องการแก้ไข

      หากผิวมีความหย่อนคล้อยเล็กน้อยและต้องการการกระชับพื้นฐาน เช่น ผิวหน้าและลำคอ เครื่องยกกระชับรมย์รวินท์ที่เหมาะสมคือ Oligio, Fix Lift และ Thermage FLX สำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวลึกหรือความหย่อนคล้อยปานกลางถึงมาก เครื่องยกกระชับรมย์รวินท์ที่เหมาะสมคือ Ulthera SPT, Ulthera Prime, Ultra 4D Lift, Super HIFU และ EMFACE

      • เป้าหมายของการรักษา

      หากต้องการผลลัพธ์ระยะยาวและฟื้นฟูผิวในระดับลึก การเลือกเครื่องยกกระชับรมย์รวินท์ เช่น Ulthera SPT, Ulthera Prime และ Thermage FLX ที่สามารถคงผลลัพธ์ได้นานถึง 12-18 เดือน นับเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจอย่างมาก ส่วนในกรณีที่มีปัญหาผิวไม่กระชับ มีปัญหาหย่อนคล้อยเล็กน้อย สามารถเลือกเครื่องยกกระชับรมย์รวินท์อย่าง Oligio ได้ โดยสามารถเห็นผลลัพธ์หลังทำทันที และคงผลลัพธ์ได้นาน 6-12 เดือน

      • การปรับโปรแกรมและความแม่นยำของการรักษา

      เครื่องที่มาพร้อมระบบวิเคราะห์ผิวและวางแผนการรักษาอย่างโปรแกรม Ulthera Prime และโปรแกรม Ulthera SPT จะช่วยให้การรักษามีความแม่นยำและลดความรู้สึกไม่สบายในระหว่างการทำงาน ซึ่งเหมาะกับผู้ที่ต้องการความแ่นยำในการรักษาสูง

      • ความสะดวกในการใช้งาน

      เลือกเครื่องที่ออกแบบมาให้ใช้งานง่ายต่อผู้ใช้ในทุกสภาพผิว เช่น เครื่องที่มีระบบควบคุมพลังงานอัจฉริยะและดีไซน์ที่ทันสมัย จะช่วยให้การรักษาเป็นไปอย่างราบรื่นและมีความพึงพอใจสูง

       

      เครื่องยกกระชับรมย์รวินท์ มีข้อดีอะไรบ้าง?

      เครื่องยกกระชับรมย์รวินท์ มีข้อดีอะไรบ้าง?

       

      เครื่องยกกระชับรมย์รวินท์ มีข้อดีอะไรบ้าง?

      • เครื่องยกกระชับรมย์รวินท์ มีเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย และหลากหลายให้เลือก
      • เครื่องยกกระชับรมย์รวินท์ ให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ
      • เครื่องยกกระชับรมย์รวินท์ มีความเหมาะสมกับทุกสภาพผิว
      • เครื่องยกกระชับรมย์รวินท์ ใช้งานง่ายและไม่อันตราย
      • เครื่องยกกระชับรมย์รวินท์ ให้ผลลัพธ์ที่คงทนได้อย่างยาวนาน
      • เครื่องยกกระชับรมย์รวินท์ ไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีแผลเป็น และไม่ต้องพักฟื้น
      • เครื่องยกกระชับรมย์รวินท์ เทคโนโลยีมีความแม่นยำอย่างมีประสิทธิภาพ
      • เครื่องยกกระชับรมย์รวินท์ สามารถปรับโปรแกรมเฉพาะบุคคลได้
      • เครื่องยกกระชับรมย์รวินท์ ใช้ได้กับทุกสภาพผิว และหลายบริเวณของร่างกาย
      • เครื่องยกกระชับรมย์รวินท์ ได้ผลลัพธ์ที่รวดเร็วและยาวนาน
      • เครื่องยกกระชับรมย์รวินท์ ไม่มีผลข้างเคียงที่อันตราย

       

      เครื่องยกกระชับรมย์รวินท์ ช่วยแก้ปัญหาผิวอะไรบ้าง?
      เครื่องยกกระชับรมย์รวินท์ ช่วยแก้ปัญหาผิวอะไรบ้าง?

       

      เครื่องยกกระชับรมย์รวินท์ ช่วยแก้ปัญหาผิวอะไรบ้าง?

      • เครื่องยกกระชับ แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย และใบหน้าที่เริ่มขาดความกระชับ
      • เครื่องยกกระชับ แก้ปัญหาริ้วรอย และร่องลึกที่เริ่มปรากฏตามใบหน้า
      • เครื่องยกกระชับ แก้ปัญหากรอบหน้าไม่ชัด มีไขมันสะสม และคางสองชั้น
      • เครื่องยกกระชับ แก้ปัญหาผิวไม่เรียบเนียน รูขุมขนกว้าง
      • เครื่องยกกระชับ แก้ปัญหาผิวแห้ง ขาดน้ำ และขาดความยืดหยุ่น
      • เครื่องยกกระชับ แก้ปัญหาผิวเสื่อมสภาพจากแสงแดด และมลภาวะ
      • เครื่องยกกระชับ แก้ปัญหาผิวบริเวณลำคอ และส่วนอื่น ๆ ของร่างกายเริ่มหย่อนคล้อย
      • เครื่องยกกระชับ แก้ปัญหารอยแตกลายหลังคลอด หรือหลังลดน้ำหนัก
      • เครื่องยกกระชับ แก้ปัญหาผิวรอบดวงตาหย่อนคล้อย และมีริ้วรอย

       

      ใครบ้างที่ควรทำ เครื่องยกกระชับรมย์รวินท์?
      ใครบ้างที่ควรทำ เครื่องยกกระชับรมย์รวินท์?

       

      ใครบ้างที่ควรทำ เครื่องยกกระชับรมย์รวินท์?

      • เครื่องยกกระชับ เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีอายุ 25-30 ปีขึ้นไป
      • เครื่องยกกระชับ เหมาะสำหรับ ผู้เริ่มมีริ้วรอยและมีปัญหาผิวหย่อนคล้อย
      • เครื่องยกกระชับ เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวจากปัจจัยภายนอก
      • เครื่องยกกระชับ เหมาะสำหรับผู้ที่ปัญหาผิวเฉพาะจุด เช่น รอบดวงตา หรือมุมปาก
      • เครื่องยกกระชับ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับปรับรูปหน้าและกระชับกรอบหน้า
      • เครื่องยกกระชับ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์แบบดูเป็นธรรมชาติ
      • เครื่องยกกระชับ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการดูแลผิวแบบไม่ต้องผ่าตัด
      • เครื่องยกกระชับ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการป้องกันริ้วรอยในระยะยาว
      • เครื่องยกกระชับ เหมาะสำหรับผู้ที่กังวลเกี่ยวกับการผ่าตัดหรือวิธีการที่มีความเสี่ยงสูง
      • เครื่องยกกระชับ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาจำกัดแต่ต้องการผลลัพธ์ที่รวดเร็ว
      • เครื่องยกกระชับ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปรับปรุงรูปลักษณ์เพื่อความมั่นใจ
      • เครื่องยกกระชับ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่ไม่อันตรายและไม่มีแผล
      • เครื่องยกกระชับ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเฉพาะด้านการฟื้นฟูผิว
      • เครื่องยกกระชับ เหมาะสำหรับผู้ที่มีสภาพผิวหลากหลาย
      • เครื่องยกกระชับ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการป้องกันการเสื่อมสภาพของผิว

      หมายเหตุ:

      ผลลัพธ์ของการยกกระชับใบหน้าด้วยเครื่องมือที่ให้บริการโดยรมย์รวินท์คลินิก อาจแตกต่างกันในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายด้าน เช่น สภาพผิว อายุ ปัญหาผิวเฉพาะจุด รวมถึงการดูแลผิวหลังการรักษา เพื่อผลลัพธ์ที่ตรงตามความต้องการ แนะนำให้รับการตรวจประเมินจากแพทย์ก่อนเข้ารับบริการทุกครั้ง

       

      ใครที่ไม่เหมาะกับเครื่องยกกระชับรมย์รวินท์บ้าง?

      • เครื่องยกกระชับ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
      • เครื่องยกกระชับ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีโรคหัวใจ หรือ ใช้เครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemaker)
      • เครื่องยกกระชับ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีโรคเกี่ยวกับระบบไหลเวียนโลหิตผิดปกติ หรือมีปัญหาหลอดเลือด
      • เครื่องยกกระชับ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะลิ่มเลือดอุดตัน หรือใช้ยาละลายลิ่มเลือดเป็นประจำ
      • เครื่องยกกระชับ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวติดเชื้ออักเสบ หรือเป็นโรคผิวหนังรุนแรง เช่น งูสวัด, โรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis)
      • เครื่องยกกระชับ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีแผลเปิด แผลสด บริเวณที่จะทำการรักษา
      • เครื่องยกกระชับ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีโลหะฝังในร่างกาย เช่น รากฟันเทียม, ข้อต่อเทียม, แผ่นไทเทเนียมในกะโหลกศีรษะ
      • เครื่องยกกระชับ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เคยฉีดฟิลเลอร์ในจุดที่ต้องการทำเครื่องยกกระชับ
      • เครื่องยกกระชับ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวานชนิดรุนแรง และมีภาวะแทรกซ้อน
      • เครื่องยกกระชับ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีโรคเกี่ยวกับระบบประสาท เช่น โรคลมชัก หรือภาวะระบบประสาทไวเกิน
      • เครื่องยกกระชับ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีสิวอักเสบ บวมแดง หรือมีตุ่มหนอง บริเวณที่จะทำการรักษา
      • เครื่องยกกระชับ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวไวต่อความร้อน หรือมีอาการระคายเคืองจากการทำเลเซอร์มาก่อน
      • เครื่องยกกระชับ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เพิ่งฉีดโปรแกรมฟิลเลอร์ หรือโบลดริ้วรอยในบริเวณที่ต้องการทำเครื่องยกกระชับ

      คำแนะนำ:

      ก่อนเข้ารับบริการยกกระชับใบหน้าด้วยเครื่องยกกระชับที่รมย์รวินท์คลินิก แนะนำให้เข้ารับการประเมินกับแพทย์ประจำคลินิกก่อนทุกครั้ง เพื่อพิจารณาสภาพผิว สุขภาพโดยรวม และปัจจัยเฉพาะตัวที่อาจมีผลต่อแนวทางการรักษา โดยเฉพาะในผู้ที่มีภาวะสุขภาพที่ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ การวางแผนร่วมกับแพทย์จะช่วยให้การรักษาเป็นไปอย่างเหมาะสม

       

      การเตรียมตัวก่อนทำ และการดูแลหลังทำ เครื่องยกกระชับรมย์รวินท์
      การเตรียมตัวก่อนทำ และการดูแลหลังทำ เครื่องยกกระชับรมย์รวินท์

       

      การเตรียมตัวก่อนทำและการดูแลหลังทำเครื่องยกกระชับรมย์รวินท์

      การเตรียมตัวก่อนทำเครื่องยกกระชับรมย์รวินท์

      • ก่อนทำยกกระชับ ควรเข้าพบแพทย์เพื่อตรวจสภาพผิว และเลือกเครื่องยกกระชับที่เหมาะสม
      • ก่อนทำยกกระชับ ควรแจ้งแพทย์เกี่ยวกับ ประวัติสุขภาพ ยาที่ใช้อยู่ และการทำหัตถการอื่น ๆ ก่อนหน้านี้
      • ก่อนทำยกกระชับ ควรใช้ครีมกันแดดที่มี SPF 50 PA+++ เป็นประจำ
      • ก่อนทำยกกระชับ ควรนอนหลับให้เพียงพอ อย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง
      • ก่อนทำยกกระชับ ควรดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อให้ผิวชุ่มชื้น และพร้อมรับการรักษา
      • ก่อนทำยกกระชับ งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่ อย่างน้อย 24-48 ชั่วโมง
      • ก่อนทำยกกระชับ งดทานยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด 1 สัปดาห์

       

      การดูแลตัวเองหลังทำเครื่องยกกระชับรมย์รวินท์

      • หลังทำยกกระชับ ควรใช้ครีมกันแดดที่มี SPF 50 PA+++ เพื่อป้องกันผิวที่ไวต่อแสง
      • หลังทำยกกระชับ ควรดื่มน้ำมาก ๆ วันละ 2-3 ลิตร เพื่อช่วยให้ผิวฟื้นตัวเร็วขึ้น
      • หลังทำยกกระชับ หลีกเลี่ยงการตากแดดจัด อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์
      • หลังทำยกกระชับ หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีกรดผลัดเซลล์ผิว เช่น AHA, BHA, Retinol, Vitamin C เข้มข้น ประมาณ 1 สัปดาห์
      • หลังทำยกกระชับ หลีกเลี่ยงความร้อน เช่น ซาวน่า อบไอน้ำ หรือออกกำลังกายหนัก ๆ อย่างน้อย 48 ชั่วโมง
      • หลังทำยกกระชับ งดการขัดผิว หรือใช้สครับหน้า 1-2 สัปดาห์
      • หลังทำยกกระชับ งดแอลกอฮอล์และบุหรี่ อย่างน้อย 1 สัปดาห์

       

      เครื่องยกกระชับทำได้บ่อยแค่ไหน?

      • ความถี่ในการทำเครื่องยกกระชับขึ้นอยู่กับประเภทของเทคโนโลยีที่ใช้ โดยทั่วไป โปรแกรม Ulthera Prime, โปรแกรม Super HIFU, โปรแกรม Ultra 4D Lift สามารถทำปีละครั้ง และ โปรแกรม Thermage FLX, โปรแกรม Oligio สามารถทำทุก 6-12 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและความต้องการ ส่วนโปรแกรม Fix Lift และ โปรแกรม EMFACE สามารถทำถี่ขึ้น โดยแนะนำให้ทำทุก 3-6 เดือน เพื่อรักษาผลลัพธ์ให้ยาวนาน

       

      หลังทำเครื่องยกกระชับเห็นผลทันทีไหม?

      • ผลลัพธ์ของเครื่องยกกระชับสามารถเห็นความเปลี่ยนแปลงบางส่วนได้ทันทีหลังทำ อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์ที่ชัดเจนจะค่อย ๆ ปรากฏภายใน 1-3 เดือน เนื่องจากต้องใช้เวลาให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนและฟื้นฟูผิว

       

      เครื่องยกกระชับทำแล้วเจ็บไหม?

      • ระดับความรู้สึกขณะทำขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีของเครื่องที่ใช้ โดยปัจจุบันเครื่องรุ่นใหม่ เช่น โปรแกรม Ulthera Prime และ โปรแกรม Thermage FLX มีระบบช่วยลดความเจ็บ โดยบางคนอาจรู้สึกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หากกังวลเรื่องความเจ็บ สามารถใช้ ยาชาก่อนทำ เพื่อเพิ่มความสบายระหว่างทำหัตถการ

       

       เครื่องยกกระชับมีผลข้างเคียงไหม?

      • เครื่องยกกระชับเป็นเทคโนโลยีที่ไม่อันตรายและมีผลข้างเคียงน้อย อย่างไรก็ตาม อาจมีอาการ รอยแดง บวมเล็กน้อย หรือรู้สึกอุ่น ๆ ใต้ผิวหนัง ซึ่งเป็นอาการปกติที่มักหายไปภายใน 24-48 ชั่วโมง ในบางกรณีอาจพบรอยช้ำเล็ก ๆ หรือรู้สึกผิวตึง ๆ เป็นเวลาสั้น ๆ หากมีอาการผิดปกติที่ไม่หายไปภายใน 1 สัปดาห์ ควรปรึกษาแพทย์

       

       เครื่องยกกระชับสามารถทำร่วมกับหัตถการอื่นได้ไหม?

      • สามารถทำเครื่องยกกระชับร่วมกับหัตถการอื่นได้ เช่น โปรแกรมโบลดริ้วรอย โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ โปรแกรมเลเซอร์ และโปรแกรมทรีตเมนต์บำรุงผิว แต่ต้องเว้นระยะเวลาที่เหมาะสม เพื่อป้องกันผลกระทบต่อสารที่ฉีดเข้าไป นอกจากนี้ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำเพื่อให้การรักษาเหมาะสมและได้ผลลัพธ์ที่ดี

       

      • นอกจากใบหน้าแล้ว เครื่องยกกระชับยังสามารถใช้ได้กับ ลำคอ ต้นแขน หน้าท้อง ต้นขา และสะโพก เพื่อช่วยลดความหย่อนคล้อยของผิว เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการกระชับผิวทั่วร่างกาย เช่น ลดไขมันหน้าท้อง ยกกระชับต้นแขน หรือลดรอยแตกลายบริเวณขาและสะโพก

       

      การดูแลผิวให้กระชับ เต่งตึง และอ่อนเยาว์ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป ด้วยเทคโนโลยีเครื่องยกกระชับที่ช่วยให้คุณสามารถฟื้นฟูโครงสร้างผิวจากภายในโดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ว่าจะเป็นการลดริ้วรอย ปรับกรอบหน้าให้ชัดขึ้น หรือกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เครื่องแต่ละรุ่นถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ที่แตกต่างกัน และสามารถเลือกให้เหมาะกับสภาพผิวของแต่ละบุคคลได้

       

      หากคุณกำลังมองหาวิธีดูแลผิวที่ให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ การเลือกใช้เครื่องยกกระชับที่เหมาะสมกับสภาพผิวจะช่วยให้คุณเห็นผลลัพธ์ที่ดีขึ้น และอยู่ได้นานขึ้น เพียงแค่เลือกใช้เทคโนโลยีที่ถูกต้อง และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์

       

      ทั้งนี้ ผลลัพธ์ที่ได้อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับสภาพผิว อายุ และการดูแลหลังการรักษา

      หน้าหย่อนคล้อยแก้ไขอย่างไร? รวมวิธีคืนความกระชับ

      ใบหน้าหย่อนคล้อยแก้ไขอย่างไร

      หน้าหย่อนคล้อยแก้ไขอย่างไร? รวมวิธีคืนความกระชับให้ผิวหน้าแบบได้ผลระยะยาว

      ปัญหาผิวหน้าหย่อนคล้อยเป็นสัญญาณแห่งวัยที่หลายคนต้องเผชิญ โดยเฉพาะเมื่ออายุมากขึ้น คอลลาเจนและอีลาสตินในผิวลดลง ทำให้ผิวขาดความกระชับและเกิดริ้วรอยได้ง่าย นอกจากนี้ ปัจจัยภายนอก เช่น พฤติกรรมการใช้ชีวิต แสงแดด มลภาวะ และความเครียด ก็ส่งผลให้ผิวหน้าเสื่อมสภาพเร็วขึ้น หากไม่ได้รับการดูแลที่ถูกต้อง

       

      หากคุณกำลังมองหาวิธี แก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อยให้กลับมายกกระชับขึ้น บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักทั้งวิธีธรรมชาติที่สามารถทำได้เองที่บ้าน และเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ช่วยฟื้นฟูผิวอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้คุณสามารถเลือกวิธีที่เหมาะสมและตอบโจทย์สภาพผิวของตัวเองได้ดี

       

      หน้าหย่อนคล้อยแก้ไขอย่างไร? วิธีไหนเหมาะกับเรา?
      หน้าหย่อนคล้อยแก้ไขอย่างไร? วิธีไหนเหมาะกับเรา?

       

      หน้าหย่อนคล้อยแก้ไขอย่างไร? วิธีไหนเหมาะกับเรา?

      เทคโนโลยีช่วยยกกระชับ แก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย

      เทคโนโลยีทางการแพทย์เป็นทางเลือกที่ให้ผลลัพธ์ที่รวดเร็วและชัดเจน โดยแต่ละเทคโนโลยีมีจุดเด่นและข้อดีที่แตกต่างกันออกไป ดังนี้

       

      • เทคโนโลยีโปรแกรม Ultherapy Prime

      โปรแกรม Ultherapy Prime เป็นเทคโนโลยีอัลตราซาวนด์เพื่อการยกกระชับผิว ที่พัฒนาขึ้นจาก Ulthera SPT  ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น แม่นยำมากขึ้น และปลอดภัยยิ่งขึ้น เทคโนโลยีนี้ใช้พลังงาน Micro-Focused Ultrasound with Visualization (MFU-V) ที่สามารถส่งพลังงานลงลึกถึง ชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นที่แพทย์ศัลยกรรมใช้ในการดึงหน้า ส่งผลให้ผิวหดตัวและกระชับขึ้นทันที พร้อมทั้งกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่เพื่อฟื้นฟูผิวในระยะยาว

      จุดเด่นของเทคโนโลยีโปรแกรม Ultherapy Prime

      • ยกกระชับได้ลึกถึงชั้น SMAS โดยไม่ต้องผ่าตัด เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ใกล้เคียงกับการศัลยกรรมดึงหน้าแต่ไม่ต้องการพักฟื้น
      • กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนอย่างต่อเนื่อง ช่วยให้ผิวเต่งตึง ดูอ่อนเยาว์ และมีความยืดหยุ่นมากขึ้น
      • ระบบประมวลผลเร็วขึ้น 20% ด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีให้มีการทำงานที่รวดเร็วขึ้น ช่วยลดระยะเวลาการทำหัตถการ ส่งผลให้ผู้รับบริการรู้สึกสบายขึ้น และลดความรู้สึกเจ็บขณะทำ
      • หน้าจอ Full HD ขนาดใหญ่ขึ้น 35% พร้อมความละเอียดสูง ทำให้แพทย์สามารถมองเห็นชั้นผิวได้อย่างคมชัดและแม่นยำมากขึ้น ช่วยให้พลังงานถูกส่งไปยังตำแหน่งที่ต้องการได้อย่างถูกต้อง
      • ดีไซน์ล้ำสมัยและใช้งานสะดวกขึ้น ตัวเครื่องถูกออกแบบใหม่ให้มีขนาดกะทัดรัดและทันสมัยขึ้น ช่วยให้แพทย์ใช้งานสะดวกมากขึ้นในทุกขั้นตอนของการรักษา
      • ไม่มีรอยแผล ไม่ต้องพักฟื้น หลังทำสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติทันที

       

      • เทคโนโลยีโปรแกรม Thermage FLX

      โปรแกรม Thermage FLX เป็นเทคโนโลยียกกระชับผิวที่ใช้ พลังงานคลื่นวิทยุความถี่สูงแบบ Monopolar RF เพื่อช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและฟื้นฟูความกระชับของผิว โดยพลังงานความร้อนจะถูกส่งลงลึกถึงชั้นหนังแท้และชั้นไขมันใต้ผิว เพื่อกระตุ้นให้คอลลาเจนหดตัวทันทีและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้ผิวดูตึงขึ้น เรียบเนียนขึ้น และมีความยืดหยุ่นมากขึ้น

      จุดเด่นของเทคโนโลยีโปรแกรม Thermage FLX

      • โปรแกรม Thermage FLX ได้รับการพัฒนาให้ทำงานรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยหัวทิปรุ่นใหม่สามารถปล่อยพลังงานได้เร็วขึ้นถึง 25% และครอบคลุมพื้นที่การรักษากว้างขึ้นถึง 33% ทำให้สามารถทำหัตถการได้อย่างมีประสิทธิภาพและใช้เวลาน้อยลง
      • ความแม่นยำสูงด้วยเทคโนโลยี AccuREP™ ระบบอัจฉริยะที่สามารถตรวจวัดความต้านทานของผิวได้แบบ Real Time และปรับระดับพลังงานให้เหมาะสมกับโครงสร้างผิวของแต่ละบุคคล ช่วยให้ผลลัพธ์แม่นยำและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
      • โปรแกรม Thermage FLX มาพร้อม ระบบสั่น (Vibration Technology) และ Cooling System ที่ช่วยลดอาการเจ็บระหว่างทำหัตถการ ทำให้ผู้เข้ารับบริการรู้สึกผ่อนคลายและสบายตัวมากขึ้น

       

      • เทคโนโลยีโปรแกรม Ultraformer MPT

      โปรแกรม Ultraformer MPT (Ultraformer Micro-Pulse Technology) เป็นเทคโนโลยียกกระชับผิวที่ใช้พลังงาน คลื่นเสียงอัลตราซาวนด์แบบเฉพาะจุด (Focused Ultrasound) โดยมี 2 รูปแบบหลัก ได้แก่ Micro Focused Ultrasound ที่ช่วยยกกระชับและฟื้นฟูผิว และ Macro Focused Ultrasound ที่สามารถช่วยลดไขมันใต้ผิว เทคโนโลยีนี้ออกแบบมาให้สามารถดูแลปัญหาผิวได้อย่างครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็นการยกกระชับ ลดเลือนริ้วรอย หรือช่วยปรับรูปหน้าให้เรียวขึ้น ทั้งหมดนี้สามารถทำได้โดยไม่ต้องฉีดสารเติมเต็ม ไม่ต้องผ่าตัด และไม่ต้องพักฟื้น

      จุดเด่นของเทคโนโลยีโปรแกรม Ultraformer MPT

      • โปรแกรม Ultraformer MPT มาพร้อมกับ 4 โหมดการปล่อยพลังงานที่ออกแบบมาให้เหมาะกับการรักษาผิวในแต่ละพื้นที่ ได้แก่ Normal Mode, Mp Mode, Circular Dot และ Micro circular
      • เโปรแกรม Ultraformer MPT มีหัวปล่อยพลังงานที่สามารถปรับความลึกได้ถึง 7 ระดับ (1.5 mm, 2 mm, 3 mm, 4.5 mm, 6 mm, 9 mm และ 13 mm) ทำให้สามารถเลือกใช้ได้อย่างเหมาะสมกับปัญหาผิวของแต่ละบุคคล และสามารถรักษาได้ทั้งชั้นผิวตื้นและลึก
      • ระบบการยิงพลังงานได้รับการพัฒนาให้เร็วขึ้นถึง 2.5 เท่า เมื่อเทียบกับรุ่นก่อน ทำให้ระยะเวลาในการทำหัตถการสั้นลง โดยเฉลี่ยใช้เวลาเพียง 15-30 นาที เท่านั้น
      • เทคโนโลยีนี้ทำงานโดยไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อเนื้อเยื่อโดยรอบ ไม่มีรอยแผล ไม่ต้องผ่าตัด และสามารถกลับไปใช้ชีวิตตามปกติได้ทันทีหลังทำ
      • ลดความรู้สึกไม่สบายขณะทำ ด้วยเทคโนโลยี Micro Pulse Mode ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยลดความรู้สึกเจ็บระหว่างการรักษา ทำให้ผู้รับบริการรู้สึกสบายขึ้น

       

      • เทคโนโลยีโปรแกรม Oligio

      โปรแกรม Oligio เป็นเทคโนโลยียกกระชับผิวและช่วยลดไขมันใต้ชั้นผิว โดยใช้พลังงาน คลื่นวิทยุแบบ Monopolar RF ที่มีความถี่ 6.78 MHz พลังงานที่ปล่อยออกมาจะช่วยกระตุ้นกระบวนการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว ลดเลือนริ้วรอย พร้อมทั้งช่วยกระชับรูขุมขน และสลายไขมันส่วนเกินใต้ผิว ส่งผลให้ใบหน้าดูเรียวและกระชับขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ

      จุดเด่นของเทคโนโลยีโปรแกรม Oligio

      • โปรแกรม Oligio มาพร้อมระบบ Vibration Technology ที่ช่วยลดความรู้สึกไม่สบายระหว่างทำหัตถการ 
      • ระบบ Cooling System ที่ช่วยปกป้องผิวชั้นนอกจากพลังงานความร้อนของ Monopolar RF ทำให้พลังงานถูกส่งลงไปยังชั้นผิวลึกได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่ทำลายผิวชั้นบน
      • ระบบ Auto Mode ซึ่งช่วยให้การทำงานมีความแม่นยำและปลอดภัยมากขึ้น นอกจากนี้ หัวทิปสำหรับใบหน้ามีขนาดกว้างถึง 4 ซม. ทำให้สามารถครอบคลุมพื้นที่การรักษาได้มากขึ้น ช่วยลดเวลาในการทำโดยยังคงให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ
      • โปรแกรม Oligio มาพร้อม Real-Time Temperature Monitoring ที่สามารถตรวจสอบอุณหภูมิของผิวหนังแบบเรียลไทม์ หากอุณหภูมิสูงเกิน 43°C เครื่องจะหยุดทำงานอัตโนมัติเพื่อลดความเสี่ยงต่อการไหม้ของผิว
      • ระบบ Pressure Sensing System ที่ช่วยตรวจสอบแรงกดของหัวทิปกับผิวหนัง หากหัวทิปไม่แนบสนิทกับผิว เครื่องจะปรับการทำงานเพื่อลดโอกาสเกิดการเผาไหม้ของผิว
      • ใช้งานสะดวก ปรับโหมดได้หลากหลาย ได้แก่ Single Mode, Double Mode และ Auto Mode

       

      • เทคโนโลยีโปรแกรม Morpheus8

      โปรแกรม Morpheus8 เป็นเทคโนโลยีความงามที่ใช้หลักการ Fractional RF Microneedling ซึ่งเป็นการผสานระหว่าง การใช้เข็มขนาดเล็ก (Microneedling) และ พลังงานคลื่นวิทยุ (RF) เพื่อฟื้นฟูและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิวลึกได้ถึง 8 มม. ทำให้ผิวมีความตึงกระชับและยืดหยุ่นมากขึ้น

      จุดเด่นของเทคโนโลยีโปรแกรม Morpheus8

      • เทคโนโลยี Fractional Microneedle RF กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิว โดยสามารถลงลึกได้ถึง 4 มม. ช่วยฟื้นฟูผิวจากภายในอย่างมีประสิทธิภาพ
      • สามารถปรับระดับความลึกได้ตามต้องการ ตั้งแต่ 1-4 มม. ทำให้สามารถเข้าถึงทั้ง ชั้นหนังแท้และชั้นไขมันใต้ผิว เพื่อแก้ปัญหาผิวได้อย่างตรงจุด
      • ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องใช้เวลาในการพักฟื้น หลังทำสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ทันที
      • โปรแกรม Morpheus8 ช่วยปรับสภาพผิวให้เรียบเนียนขึ้น ลดเลือนริ้วรอย รอยแผลเป็น และกระชับรูขุมขน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
      • ส่งเสริมให้ผิวผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินมากขึ้น ทำให้ผิวดู เฟิร์ม กระชับ และยืดหยุ่นขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
      • สามารถทำได้ในหลายส่วนของร่างกาย เช่น หน้าผาก ใต้ตา คิ้ว ขมับ ร่องแก้ม ใต้คาง และลำคอ รวมไปถึงบริเวณร่างกาย ช่วยให้ผิวดูอ่อนเยาว์ขึ้นอย่างทั่วถึง

       

      • เทคโนโลยีโปรแกรม EMFACE

      โปรแกรม EMFACE เป็นเทคโนโลยียกกระชับใบหน้าที่ไม่ต้องใช้เข็มและไม่ต้องผ่าตัด โดยอาศัยการทำงานร่วมกันของ Synchronized RF (Radiofrequency) และ HIFES™ (High-Intensity Focused Electrical Stimulation) เพื่อช่วยฟื้นฟูทั้งผิวและกล้ามเนื้อบนใบหน้าไปพร้อมกัน พลังงานคลื่นวิทยุ (RF) ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่นและดูเรียบเนียนขึ้น ในขณะที่ HIFES™ ทำหน้าที่กระตุ้นกล้ามเนื้อบนใบหน้าให้แข็งแรงขึ้น ยกกระชับขึ้น และช่วยลดริ้วรอยอย่างเป็นธรรมชาติ

      จุดเด่นของเทคโนโลยีโปรแกรม EMFACE

      • เทคโนโลยี HIFES™ และ Synchronized RF ช่วยกระตุ้นกล้ามเนื้อใบหน้าและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ส่งผลให้ผิวตึงกระชับและมีความยืดหยุ่นมากขึ้น
      • นี้สามารถเข้าลึกได้ถึงชั้นกล้ามเนื้อ ทำให้ใบหน้าดูได้รูปและกระชับขึ้นโดยไม่ต้องผ่าตัด
      • กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ช่วยฟื้นฟูโครงสร้างผิว เพิ่มความแข็งแรงและความยืดหยุ่น ให้ผิวดูอ่อนเยาว์ เปล่งปลั่งขึ้น
      • ช่วยให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้น ลดเลือนริ้วรอยบริเวณหน้าผาก รอบดวงตา และร่องแก้ม ให้ใบหน้าดูสดใสและอ่อนเยาว์ขึ้น
      • ไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีแผล ไม่ต้องพักฟื้น และช่วยยกกระชับใบหน้าอย่างเป็นธรรมชาติ

       

      หน้าหย่อนคล้อยแก้ไขอย่างไร? รวมวิธีคืนความกระชับ

      หัตถการช่วยยกกระชับผิว แก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย

      • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์

      โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เป็นวิธีที่ช่วยเติมเต็มส่วนที่สูญเสียไขมันใต้ผิว ซึ่งมักเกิดขึ้นตามวัย ส่งผลให้ใบหน้าดูตอบและมีริ้วรอยมากขึ้น โดยโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์สามารถช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้ในบริเวณต่าง ๆ เช่น ใต้ตา ร่องแก้ม ขมับ และคาง เพื่อให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์และเต่งตึงขึ้น โดยใช้สารเติมเต็ม Hyaluronic Acid (HA) เป็นสารที่สามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ จึงมีความปลอดภัยสูงและให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ

      • โปรแกรมฉีดโบ

      โปรแกรมฉีดโบเป็นหัตถการที่ช่วยลดริ้วรอย ซึ่งเกิดมาจากการแสดงออกทางสีหน้า เช่น รอยย่นบริเวณหน้าผาก หางตา และรอยขมวดคิ้ว โดยช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายและลดการเกิดรอยพับบนผิวหนัง นอกจากนี้ยังสามารถใช้เทคนิค Nefertiti Lift เพื่อยกกระชับกรอบหน้า โดยการฉีดสารออกฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อลงที่แนวกรามและลำคอ ทำให้ใบหน้าดูเรียวและกระชับขึ้นโดยไม่ต้องศัลยกรรม

      • โปรแกรมร้อยไหม

      โปรแกรมร้อยไหมเป็นเทคนิคการยกกระชับใบหน้าที่ใช้ไหมละลายชนิดพิเศษ โดยแพทย์จะสอดไหมเข้าไปใต้ผิวเพื่อช่วยยกกระชับ และกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนเพิ่มขึ้น ไหมที่ใช้สามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ และช่วยให้ผิวกระชับขึ้นในระยะยาว ผลลัพธ์ของการร้อยไหม สามารถอยู่ได้นาน 6-18 เดือน ขึ้นอยู่กับประเภทไหมและสภาพผิวของแต่ละบุคคล

      • โปรแกรมฉีดไขมัน

      เป็นหัตถการที่ใช้ไขมันของตัวเองมาฉีดเติมเต็มบริเวณที่มีปัญหาผิวตอบ เช่น แก้ม ขมับ หรือใต้ตา โดยแพทย์จะทำดูดไขมันจากส่วนอื่นของร่างกาย เช่น หน้าท้อง หรือต้นขา แล้วนำมาผ่านกระบวนการคัดแยกเพื่อให้ได้ไขมันที่มีคุณภาพสูง จากนั้นจึงฉีดกลับเข้าไปยังใบหน้า วิธีนี้ช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ ช่วยลดความเสี่ยงจากอาการแพ้หรือผลข้างเคียงต่าง ๆ

       

      วิธีไหนเหมาะสมในการแก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย

      • ระดับหน้าหย่อนคล้อยเล็กน้อย

      ผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยเพียงเล็กน้อย มักพบในกลุ่มคนที่อายุ 20-35 ปี หรือเริ่มมีสัญญาณของความหย่อนคล้อยที่ยังไม่ชัดเจนมาก การดูแลตัวเองด้วยวิธีธรรมชาติและเทคโนโลยีที่ช่วยป้องกันปัญหาผิวได้ มีดังนี้

      • การใช้เทคโนโลยียกกระชับ เช่น โปรแกรม Oligio ที่ช่วยกระตุ้นคอลลาเจนให้ผิวเต่งตึงขึ้น หรือ โปรแกรม Ultraformer MPT ที่ช่วยยกกระชับผิวชั้นลึกโดยไม่ต้องใช้เข็ม
      • ระดับหน้าหย่อนคล้อยปานกลาง

      ผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยระดับปานกลาง มักอยู่ในช่วงอายุ 35-50 ปี โดยเริ่มมีริ้วรอยและผิวที่หย่อนคล้อยมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด การดูแลด้วยเทคโนโลยีที่สามารถเข้าถึงชั้นลึกของผิวและหัตถการเสริมความงามที่เหมาะสม มีดังนี้

      • การทำโปรแกรม Ulthera Prime ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่สามารถส่งพลังงานลงไปยกกระชับชั้น SMAS ให้ผลลัพธ์ใกล้เคียงการดึงหน้าแบบไม่ต้องผ่าตัด
      • การทำโปรแกรม Thermage FLX ซึ่งช่วยลดไขมันสะสมและกระชับผิวได้ดี
      • การทำโปรแกรม Morpheus8 ซึ่งผสานเทคโนโลยี Microneedling+RF เพื่อช่วยกระตุ้นคอลลาเจนและปรับสภาพผิว
      • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เพื่อเติมเต็มบริเวณที่มีการสูญเสียไขมัน เช่น ขมับ ใต้ตา และร่องแก้ม
      • โปรแกรมฉีดโบเพื่อช่วยลดริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงสีหน้า เช่น หน้าผาก ตีนกา และร่องลึกระหว่างคิ้ว
      • โปรแกรมร้อยไหมเพื่อช่วยยกกระชับใบหน้าในทันที
      • ระดับหน้าหย่อนคล้อยมาก

      สำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยรุนแรง ซึ่งมักเกิดในกลุ่มอายุ 50 ปีขึ้นไป หรือมีปัญหาผิวที่หย่อนคล้อยอย่างชัดเจน อาจต้องใช้วิธีที่ให้ผลลัพธ์ระยะยาวและเข้มข้นมากขึ้น โดยวิธีที่แนะนำมีดังนี้

      • การทำโปรแกรม EMFACE ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยกระชับกล้ามเนื้อใบหน้าและฟื้นฟูโครงสร้างผิวโดยไม่ต้องใช้เข็มหรือผ่าตัด
      • การทำโปรแกรม Ulthera Prime ร่วมกับ Thermage FLX เพื่อเสริมประสิทธิภาพทั้งการยกกระชับผิวและลดไขมันสะสม
      • การทำโปรแกรมฉีดไขมันเพื่อเติมเต็มใบหน้าที่มีการสูญเสียไขมันตามธรรมชาติ
      • การทำโปรแกรมร้อยไหม สามารถช่วยให้ผิวกระชับได้ยาวนานขึ้น
      • การทำโปรแกรม Face Lift เป็นทางเลือกที่ให้ผลลัพธ์ชัดเจนและคงอยู่ได้นาน
      • การทำโปรแกรม Mini Face Lift ซึ่งเป็นการดึงหน้าแบบแผลเล็ก เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการกระชับผิว โดยไม่ต้องพักฟื้นนาน

       

      การแก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย เหมาะกับใครบ้าง?
      การแก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย เหมาะกับใครบ้าง?

       

      หน้าหย่อนคล้อยแก้ไขอย่างไร? รวมวิธีคืนความกระชับ

      การแก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย เหมาะกับใครบ้าง?

      • แก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 25-50 ปี
      • แก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับปรับรูปหน้า ให้กระชับขึ้นโดยไม่ต้องผ่าตัด
      • แก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาริ้วรอย ร่องลึก และเนื้อแก้มหายไป
      • แก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย เหมาะสำหรับผู้ที่มีคางสองชั้นหรือแนวกรามหย่อนคล้อย
      • แก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุเพิ่มขึ้นและคอลลาเจนลดลงตามธรรมชาติ
      • แก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย เหมาะสำหรับผู้ที่น้ำหนักลดลงมากเกินไป
      • แก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย เหมาะสำหรับผู้ที่ใบหน้าดูเหนื่อยล้า มีริ้วรอย
      • แก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหากรอบหน้าไม่ชัด หรือไขมันสะสมบนใบหน้า
      • แก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย เหมาะสำหรับผู้ที่มีพันธุกรรมทำให้ผิวหย่อนคล้อยเร็ว
      • แก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย เหมาะสำหรับผู้ที่เคยฉีดฟิลเลอร์มากเกินไปจนใบหน้าดูหย่อนคล้อยผิดธรรมชาติ
      • แก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย เหมาะสำหรับผู้ที่เคยดึงหน้าหรือร้อยไหมมาก่อนแล้วต้องการรักษาผลลัพธ์ให้คงอยู่ได้นานขึ้น
      • แก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย เหมาะสำหรับผู้ที่ผิวเสื่อมสภาพจากแสงแดด
      • แก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะผิวหย่อนคล้อยจากฮอร์โมน
      • แก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการแก้ปัญหาเหนียงและลำคอหย่อนคล้อย

       

      หมายเหตุ:

      ผลลัพธ์จากการแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น สภาพผิว อายุ ปัญหาผิวเฉพาะบริเวณ รวมถึงการดูแลตัวเองหลังรับบริการ

      เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เหมาะสมและตรงกับความต้องการ แนะนำให้เข้ารับการตรวจประเมินกับแพทย์ก่อนเข้ารับบริการทุกครั้ง เพื่อวางแผนการรักษาอย่างเหมาะสม

       

      การแก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย ไม่เหมาะกับใครบ้าง?

      • แก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
      • แก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวบางและแพ้ง่ายมาก
      • แก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีความคาดหวังสูงเกินไป
      • แก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีโรคหัวใจและโรคหลอดเลือด เช่น ผู้ที่มี เครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemaker)
      • แก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีโรคเบาหวานที่ควบคุมไม่ได้
      • แก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีโรคแพ้ภูมิตัวเอง (Autoimmune Diseases) เช่น SLE หรือโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
      • แก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีสิวอักเสบ หรือโรคผิวหนังเรื้อรัง เช่น โรคสะเก็ดเงิน หรือโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง
      • แก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีบาดแผลเปิด รอยถลอก หรือแผลติดเชื้อ
      • แก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาการแข็งตัวของเลือด หรือรับประทานยาต้านเกล็ดเลือด
      • แก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการแพ้หรือไวต่อสารบางชนิด
      • แก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการติดเชื้อแบคทีเรียหรือไวรัสบนผิวหนัง
      • แก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุยังน้อยเกินไปและไม่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยจริง ๆ
      • แก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีแผลเป็นคีลอยด์ หรือมีแนวโน้มเกิดแผลเป็นง่าย
      • แก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาภาวะฮอร์โมนไม่สมดุล หรือมีโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบต่อมไร้ท่อ
      • แก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือใช้ยากดภูมิคุ้มกัน
      • แก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีเนื้องอกหรือมีก้อนผิดปกติบริเวณใบหน้า
      • แก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่โรคกี่ยวกับระบบไหลเวียนเลือด

       

      คำแนะนำ:
      ก่อนเข้ารับบริการแก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย แนะนำให้เข้ารับการประเมินโดยแพทย์ประจำคลินิกทุกครั้ง เพื่อให้สามารถตรวจสอบสภาพผิว สุขภาพร่างกายโดยรวม และพิจารณาปัจจัยเฉพาะบุคคลที่อาจมีผลต่อแนวทางการรักษา

       

      โดยเฉพาะในกรณีที่มีโรคประจำตัว หรือข้อจำกัดด้านสุขภาพบางประการ การปรึกษาแพทย์จะช่วยให้สามารถวางแผนการรักษาได้อย่างตรงจุด และเหมาะสมกับแต่ละบุคคลมากที่สุด

      ข้อดีของการแก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย
      ข้อดีของการแก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย

       

      หน้าหย่อนคล้อยแก้ไขอย่างไร? รวมวิธีคืนความกระชับ

      ข้อดีของการแก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย

      • แก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย ช่วยลดความหย่อนคล้อย และทำให้โครงหน้าดูยกขึ้น
      • แก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย ช่วยเติมเต็มร่องลึกและคืนความเฟิร์มให้กับผิว
      • แก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย ช่วยลดเลือนริ้วรอยร่องลึก เช่น ร่องแก้ม หนังตาตก และคางสองชั้น
      • แก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย ทำให้ผิวดูสดใสและเรียบเนียนกว่าเดิม
      • แก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย ช่วยลดไขมันสะสมบริเวณคางสองชั้น และแนวกรามที่หย่อนคล้อย
      • แก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย ช่วยยกกระชับแนวกราม ทำให้หน้าดูเรียวและสมส่วนขึ้น
      • แก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย ช่วยให้ริ้วรอยลดลงโดยเฉพาะบริเวณ หน้าผาก รอบดวงตา และมุมปาก
      • แก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย ช่วยให้ดูสดใสและดูอ่อนกว่าวัย ใบหน้าดูกระชับขึ้น
      • แก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย ช่วยให้ผิวมีความชุ่มชื้น กระจ่างใส และดูมีชีวิตชีวาขึ้น
      • แก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย ช่วยชะลอความเสื่อมของผิว ให้ผิวดูอ่อนเยาว์ได้นานขึ้น
      • แก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย แก้ปัญหาเฉพาะจุดได้ เช่น หนังตาตก คิ้วตก หรือคางสองชั้น
      • แก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย สามารถใช้ร่วมกับหัตถการอื่น ๆ เพื่อให้ผลลัพธ์ดียิ่งขึ้น
      • แก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย ไม่ต้องผ่าตัด และไม่ต้องพักฟื้น
      • แก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย ทำให้รู้สึกมั่นใจมากขึ้นในใช้ชีวิตประจำวัน
      • แก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย ผลลัพธ์อยู่ได้นาน และสามารถทำซ้ำได้เมื่อจำเป็น

       

      ข้อจำกัดของการแก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย

      • แก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย ผลลัพธ์ไม่ได้ถาวร ต้องทำซ้ำเป็นระยะ
      • แก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย ต้องใช้เวลารอดูผล ไม่เห็นผลทันที
      • แก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย อาจมีอาการเจ็บเล็กน้อยหรือไม่สบายตัวในบางหัตถการ
      • แก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย ไม่สามารถแก้ไขปัญหาผิวหย่อนคล้อยขั้นรุนแรงได้โดยไม่ผ่าตัด
      • แก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย อาจต้องใช้หลายวิธีร่วมกันเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี
      • แก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย ไม่สามารถหยุดกระบวนการเสื่อมของผิวได้ 100%
      • แก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย ไม่สามารถแก้ปัญหาความหย่อนคล้อยที่เกิดจากโครงกระดูกได้
      • แก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย ไม่สามารถแก้ไขปัญหาผิวบาง หรือผิวที่สูญเสียไขมันมากเกินไป
      • แก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย การตอบสนองต่อการรักษาแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล

       

      การเตรียมตัวก่อนแก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย
      การเตรียมตัวก่อนแก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย

       

      การเตรียมตัวก่อนแก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย

      • ก่อนแก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย ควรปรึกษาแพทย์เพื่อช่วยเลือกวิธีที่เหมาะกับสภาพผิวและปัญหาของคุณ
      • ก่อนแก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย ควรเลือกสถานพยาบาลหรือคลินิกที่ได้มาตรฐาน
      • ก่อนแก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย ควรแจ้งแพทย์เกี่ยวกับ โรคประจำตัว ยาที่รับประทานอยู่ และประวัติแพ้ยา
      • ก่อนแก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย ควรนอนพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง
      • ก่อนแก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย ควรดื่มน้ำมากขึ้นเพื่อให้ผิวชุ่มชื้น
      • ก่อนแก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย งดยาและอาหารเสริมบางชนิด อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์
      • ก่อนแก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย งดการใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิว เป็นเวลา 5-7 วัน
      • ก่อนแก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่ อย่างน้อย 24 ชั่วโมง
      • ก่อนแก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย  งดการออกกำลังกายหนัก อย่างน้อย 24 ชั่วโมง
      • ก่อนแก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย หลีกเลี่ยงการทำหัตถการหรือเลเซอร์
      • ก่อนแก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย  หลีกเลี่ยงการสครับหน้า หรือขัดผิวแรง ๆ อย่างน้อย 1 สัปดาห์
      • ก่อนแก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย หลีกเลี่ยงการอบซาวน่า หรือการอบไอน้ำ

       

      การดูแลตัวเองหลังแก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย

      • หลังแก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย งดนวดหน้า หรือขยับใบหน้ามากเกินไป ในช่วง 1-2 สัปดาห์
      • หลังแก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย งดการกด นวด หรือใช้มือลูบใบหน้าแรง ๆ เป็นเวลา 1-2 สัปดาห์
      • หลังแก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และงดสูบบุหรี่
      • หลังแก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย งดออกกำลังกายหนัก หรือทำกิจกรรมที่ต้องออกแรงมาก อย่างน้อย 1 สัปดาห์
      • หลังแก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย หลีกเลี่ยงความร้อน เช่น ซาวน่า หรือแช่น้ำร้อน อย่างน้อย 1 สัปดาห์
      • หลังแก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารผลัดเซลล์ผิว อย่างน้อย 1 สัปดาห์
      • หลังแก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย หลีกเลี่ยงการโดนแดดกลางแจ้ง หรือสถานที่ที่อุณหภูมิร้อนจัด 1 สัปดาห์
      • หลังแก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ส่งผลต่อการฟื้นตัวของผิว เช่น เท้าคาง นอนคว่ำ
      • หลังแก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย ควรใช้ครีมกันแดดที่มี SPF 50 PA+++ เป็นประจำทุกวัน
      • หลังแก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย ควรใช้ยาตามแพทย์แนะนำ และติดตามผลกับแพทย์

       

      ผลข้างเคียงทั่วไปจากการยกกระชับผิว แก้หน้าหย่อนคล้อย

      • แก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย อาจมีอาการบวม แดง หรือรู้สึกอุ่น ๆ ที่ผิว ส่วนใหญ่จะดีขึ้นภายใน 24-48 ชั่วโมง
      • แก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย อาจมีอาการบวมช้ำ หรือมีจุดแดงบนผิว สามารถลดอาการบวมได้ด้วย การประคบเย็นใน 24 ชั่วโมงแรก
      • แก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย อาจมีอาการตึง หรือรู้สึกผิวชาเล็กน้อย และจะค่อย ๆ ดีขึ้นภายใน 2-4 สัปดาห์
      • แก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย อาจรู้สึกตึงผิวหรือมีจุดกดเจ็บ อาการจะค่อย ๆ ดีขึ้นใน 1-2 สัปดาห์

       

      รวมคำถามที่เกี่ยวกับการแก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย

       

      แก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย ยกกระชับด้วยเครื่องมือ กับศัลยกรรมดึงหน้า อะไรดีกว่ากัน?

      • การยกกระชับ แก้หน้าหย่อนคล้อย ด้วยเครื่องมือยกกระชับ เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยเล็กน้อยถึงปานกลาง และไม่ต้องการพักฟื้น ผลลัพธ์จะอยู่ได้นาน 1-2 ปี ขึ้นอยู่กับเครื่องมือที่เลือกใช้ ในขณะที่ โปรแกรมศัลยกรรมดึงหน้า (Face Lift) เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาความหย่อนคล้อยระดับมาก และต้องการผลลัพธ์ที่ชัดเจนและอยู่ได้นานหลายปี ซึ่งการดึงหน้าจะต้องมีระยะเวลาพักฟื้น 2-4 สัปดาห์ และมีความเสี่ยงจากการผ่าตัด ดังนั้นการเลือกวิธีที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับสภาพผิวและความต้องการของแต่ละบุคคล

       

      โปรแกรมร้อยไหมช่วยแก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อยได้แค่ไหน?

      • โปรแกรมร้อยไหม สามารถช่วยให้ใบหน้าดูกระชับขึ้นได้ทันทีหลังทำ โดยไหมละลายจะช่วยพยุงผิวให้ตึงขึ้นและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในระยะยาว ผลลัพธ์ของการร้อยไหมจะอยู่ได้นานประมาณ 6-18 เดือน ขึ้นอยู่กับชนิดของไหมที่ใช้ และการดูแลผิวของแต่ละคน ซึ่งการร้อยไหมไม่สามารถยกกระชับผิวได้ลึกเท่ากับเทคโนโลยียกกระชับ หรือโปรแกรมศัลยกรรมดึงหน้า

       

      โปรแกรมการฉีดฟิลเลอร์ช่วยให้หน้าหย่อนคล้อยดูดีขึ้นได้จริงไหม?

      • โปรแกรมการฉีดฟิลเลอร์สามารถช่วยให้ใบหน้าที่ดูตอบหรือมีร่องลึกกลับมาเต่งตึงขึ้นได้ โดยเฉพาะบริเวณ ร่องแก้ม ใต้ตา ขมับ และคาง ซึ่งฟิลเลอร์ไม่ได้ช่วยยกกระชับผิวโดยตรง แต่ช่วยเติมเต็มโครงสร้างใบหน้าให้ดูอิ่มฟูขึ้น หากต้องการยกกระชับจริง ๆ อาจต้องใช้เทคโนโลยียกกระชับร่วมด้วย

       

      โปรแกรมการฉีดโบสามารถช่วยแก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อยได้ไหม?

      • โปรแกรมการฉีดโบช่วยลดริ้วรอยและปรับกล้ามเนื้อให้ใบหน้าดูยกกระชับขึ้น ด้วยเทคนิค Nefertiti Lift ช่วยยกกระชับกรอบหน้าและลำคอ แต่อาจไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อยได้โดยตรง ควรใช้ร่วมกับเทคโนโลยีอื่นเพื่อให้ผลลัพธ์ที่ดี

       

      ควรเลือกแก้หน้าหย่อนคล้อยด้วยโปรแกรม Thermage FLX หรือ โปรแกรม Ulthera Prime ดีกว่ากัน?

      • โปรแกรม Thermage FLX และ โปรแกรม Ulthera Prime มีหลักการทำงานที่แตกต่างกัน โดยโปรแกรม Thermage FLX ใช้คลื่นวิทยุ (RF) เพื่อกระตุ้นคอลลาเจนและช่วยลดไขมันใต้ผิว ลงลึกถึงชั้นหนังแท้ (Dermis) และชั้นไขมัน ส่วนโปรแกรม Ulthera Prime ใช้คลื่นเสียงอัลตราซาวนด์ เพื่อยกกระชับผิวระดับลึกถึงชั้น SMAS การเลือกทำขึ้นอยู่กับปัญหาผิวที่ต้องการแก้ไข

       

      แก้หน้าหย่อนคล้อยด้วยโปรแกรม Ultraformer MPT กับ โปรแกรม Thermage FLX แตกต่างกันอย่างไร?

      • โปรแกรม Ultraformer MPT และ โปรแกรม Thermage FLX เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยยกกระชับผิว แต่มีหลักการทำงานแตกต่างกัน โปรแกรม Ultraformer MPT ใช้พลังงาน Micro&Macro Focused Ultrasound ที่ช่วยยกกระชับใบหน้าโดยส่งพลังงานลงลึกถึงชั้น SMAS ขณะที่ โปรแกรม Thermage FLX ใช้พลังงานคลื่นวิทยุ (RF) เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและลดไขมันใต้ผิว เหมาะสำหรับผู้ที่มีไขมันสะสมบริเวณคางหรือแก้ม หากต้องการยกกระชับใบหน้าและลดไขมัน โปรแกรม Thermage FLX จะเหมาะกว่า แต่หากต้องการกระชับผิวชั้นลึก แก้หน้าหย่อนคล้อย โปรแกรม Ultraformer MPT จะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า

       

      โปรแกรม EMFACE ช่วยแก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อยได้อย่างไร?

      • โปรแกรม EMFACE เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ HIFES™ (High-Intensity Focused Electrical Stimulation) ร่วมกับ RF (Radiofrequency) เพื่อกระตุ้นกล้ามเนื้อและสร้างคอลลาเจนโดยไม่ต้องใช้เข็มหรือพลังงานที่ก่อให้เกิดความเจ็บปวด สามารถช่วยยกกระชับใบหน้า แก้หน้าหย่อนคล้อย ลดริ้วรอย และปรับโครงหน้าด้วยการกระตุ้นกล้ามเนื้อที่รองรับผิว

       

      ผลลัพธ์ของการแก้หน้าหย่อนคล้อย แต่ละหัตถการอยู่ได้นานแค่ไหน?

      • โปรแกรม Thermage FLX, โปรแกรม Ulthera Prime, โปรแกรม Ultraformer MPT ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 12-24 เดือน
      • โปรแกรม Morpheus8 ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 12-18 เดือน
      • โปรแกรมร้อยไหม ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 12-18 เดือน ขึ้นอยู่กับชนิดของไหมที่ใช้
      • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 12-18 เดือน ขึ้นอยู่กับชนิดของโปรแกรมฟิลเลอร์
      • โปรแกรมฉีดโบ ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 3-8 เดือน
      • โปรแกรมศัลยกรรมดึงหน้า (Face Lift) สามารถอยู่ได้นาน 5-10 ปี

       

      ทำหัตถการยกกระชับแล้วปัญหาหน้าหย่อนคล้อยจะกลับมาอีกไหม?

      • ปัญหาหน้าหย่อนคล้อยสามารถกลับมาหย่อนคล้อยอีกตามธรรมชาติ เนื่องจากอายุที่เพิ่มขึ้นทำให้คอลลาเจนลดลง แม้ว่าการทำหัตถการจะช่วยยกกระชับผิว แต่กระบวนการชราของผิวก็ยังคงดำเนินต่อไป หากต้องการรักษาผลลัพธ์ให้อยู่ได้นาน ควรเข้ารับการดูแลซ้ำตามระยะเวลาที่แพทย์แนะนำ

       

      หากไม่พอใจกับผลลัพธ์การแก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย สามารถแก้ไขได้ไหม?

      • สามารถแก้ไขได้หากไม่พอใจกับผลลัพธ์ของการแก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อย ขึ้นอยู่กับประเภทของหัตถการ เช่น การฉีดสลายฟิลเลอร์ การปรับแก้ร้อยไหม หรือรอให้โปรแกรมโบสลายไปเอง สำหรับการศัลยกรรมดึงหน้า อาจจะต้องรอ 6-12 เดือนก่อนทำการแก้ไข

       

      สรุปเรื่องของปัญหาหน้าหย่อนคล้อย เป็นสิ่งที่หลายคนต้องเผชิญเมื่ออายุเพิ่มขึ้น หรือเกิดจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น การเสื่อมของคอลลาเจน พฤติกรรมทำร้ายผิว และไลฟ์สไตล์ที่ไม่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีหลายวิธีที่สามารถช่วยแก้ไขและคืนความกระชับให้กับผิวหน้าได้ ไม่ว่าจะเป็น การดูแลผิวด้วยตนเอง การใช้เทคโนโลยียกกระชับ หัตถการทางการแพทย์ ไปจนถึงศัลยกรรมดึงหน้า ซึ่งแต่ละวิธีมีข้อดีและระยะเวลาการเห็นผลที่แตกต่างกัน

       

      สำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับโดยไม่ต้องผ่าตัด โปรแกรมยกกระชับด้วยเทคโนโลยี เป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยม เนื่องจากช่วยกระตุ้นคอลลาเจนและทำให้ผิวกระชับขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ นอกจากนี้ โปรแกรมการร้อยไหม โปรแกรมการฉีดฟิลเลอร์ หรือโปรแกรมการฉีดโบ ยังสามารถช่วยเสริมสร้างความเต่งตึงและปรับรูปหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ขึ้นได้ ส่วนโปรแกรมศัลยกรรมดึงหน้า เป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ระยะยาว และมีปัญหาผิวหย่อนคล้อยมาก

       

      สุดท้ายนี้ การเลือกวิธีแก้ไขปัญหาหน้าหย่อนคล้อย ควรพิจารณาให้เหมาะสมกับสภาพผิว อายุ และความต้องการของแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับการรักษา เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี และคุ้มค่า เพราะผิวหน้าที่กระชับเต่งตึง ไม่เพียงช่วยให้ดูอ่อนเยาว์ขึ้น แต่ยังช่วยเสริมสร้างความมั่นใจ และทำให้คุณดูดีในแบบที่เป็นตัวเอง

      ใบหน้าหย่อนคล้อย ยกกระชับด้วยวิธีไหนดี? รวมวิธียกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อยที่ได้ผล!

      รวมวิธียกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อยที่ได้ผล

      ใบหน้าหย่อนคล้อย ยกกระชับด้วยวิธีไหนดี? รวมวิธียกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อยที่ได้ผล!

      เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น ผิวหน้าของเราย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา หนึ่งในปัญหาที่หลายคนกังวลคือ ใบหน้าหย่อนคล้อย ซึ่งเกิดจากการเสื่อมสภาพของคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิว ส่งผลให้ผิวขาดความยืดหยุ่นและความกระชับ นอกจากนี้ ยังสามารถเกิดได้จากปัจจัยอื่น ๆ เช่น แรงโน้มถ่วง พฤติกรรมการใช้ชีวิต การลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว และการสัมผัสแสงแดดเป็นเวลานาน ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ล้วนเร่งให้เกิดริ้วรอยและความหย่อนคล้อยได้เร็วขึ้น ผลลัพธ์ที่ตามมาคือ กรอบหน้าไม่ชัด ผิวหย่อนคล้อย ขาดความเต่งตึง และอาจทำให้ดูแก่กว่าวัย

       

      ซึ่งในปัจจุบันมีวิธียกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อยที่ได้ผลจริงหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น การดูแลผิวด้วยตัวเอง การเลือกใช้สกินแคร์ที่ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน การออกกำลังกายใบหน้า รวมถึงเทคโนโลยีความงามที่ทันสมัย เช่น Thermage, Ulthera, Oligio, Ultra 4D Lift, EMFACE และ Fix Lift ซึ่งช่วยฟื้นฟูโครงสร้างผิวให้ตึงกระชับ ดูอ่อนเยาว์ขึ้น

       

      หากคุณกำลังมองหาวิธียกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อยที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ บทความนี้จะช่วยแนะนำ เทคนิคและตัวเลือกที่ดีให้คุณเลือกตามความต้องการ เพื่อให้ใบหน้าของคุณกลับมาเรียบเนียน กระชับ และดูอ่อนเยาว์อีกครั้ง

       

      ใบหน้าหย่อนคล้อยคืออะไร?
      ใบหน้าหย่อนคล้อยคืออะไร?

       

      ใบหน้าหย่อนคล้อยคืออะไร? 

      ใบหน้าหย่อนคล้อย คือ ภาวะที่ผิวสูญเสียความยืดหยุ่นและความกระชับ ทำให้โครงหน้าดูเปลี่ยนแปลง กรอบหน้าไม่คมชัด ผิวบริเวณแก้ม มุมปาก และลำคอเริ่มหย่อนลง ซึ่งเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงการเสื่อมสภาพของโครงสร้างผิว หากปล่อยทิ้งไว้อาจทำให้ใบหน้าดูแก่กว่าวัย และยากต่อการฟื้นฟูในอนาคต ซึ่งการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยให้ผิวกลับมากระชับ ดูอ่อนเยาว์ และรักษาความสมดุลของใบหน้าได้ดีขึ้น

       

      ใบหน้าหย่อนคล้อยเกิดจากอะไร?

      • อายุที่เพิ่มขึ้นทำให้คอลลาเจนและอีลาสตินลดลง

      เมื่ออายุมากขึ้น ร่างกายจะผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินน้อยลง ซึ่งเป็นโปรตีนสำคัญที่ช่วยทำให้ผิวมีความกระชับและยืดหยุ่น การลดลงของสารเหล่านี้จะทำให้ผิวเริ่มบางลง สูญเสียความเต่งตึง และเกิดความหย่อนคล้อยตามมา

      • แรงโน้มถ่วงส่งผลให้ผิวหย่อนคล้อย

      แรงโน้มถ่วงมีผลต่อผิวหน้าโดยตรง ยิ่งอายุเพิ่มขึ้นผิวที่เคยยืดหยุ่นจะเริ่มอ่อนแรงลงและไม่สามารถต้านทานแรงโน้มถ่วงได้ ส่งผลให้บริเวณแก้ม มุมปาก และลำคอเริ่มหย่อนคล้อยลง โครงหน้าที่เคยคมชัดจึงดูหย่อนคล้อยและเปลี่ยนแปลงไป

      • การใช้ชีวิตและพฤติกรรมที่ทำให้หน้าแก่ก่อนวัย

      การพักผ่อนไม่เพียงพอ ความเครียด การสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ และการสัมผัสแสงแดดเป็นเวลานาน ปัจจัยภายนอกเหล่านี้ สามารถเร่งให้คอลลาเจนเสื่อมสภาพเร็วขึ้น ทำให้ผิวบางลง ขาดความยืดหยุ่น และเกิดริ้วรอยก่อนวัย

      • การลดน้ำหนักเร็วเกินไป ทำให้ผิวหน้าไม่กระชับ

       การลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่มีการดูแลผิวที่เหมาะสม อาจทำให้ไขมันใต้ผิวลดลงในเวลาอันสั้น ส่งผลให้ผิวหน้าที่เคยเต่งตึงและกระชับเกิดความหย่อยคล้อย อีกทั้งยังเกิดริ้วรอยได้ง่ายขึ้นอีกด้วย

       

      อาการของใบหน้าหย่อนคล้อยที่สังเกตได้

      • กรอบหน้าไม่คมชัด

      เมื่อโครงสร้างผิวเริ่มอ่อนแอลง กรอบหน้าที่เคยคมชัดจะดูเลือนลางลง อาจมีไขมันสะสมบริเวณแก้มล่าง ทำให้เกิดลักษณะคล้าย “ถุงใต้คาง” หรือใบหน้าเริ่มไม่กระชับ

      • แก้มหย่อนคล้อย มุมปากตก

      ผิวบริเวณแก้มที่เคยกระชับจะค่อย ๆ หย่อนลง และมุมปากที่เคยยกขึ้นอาจเริ่มตก ทำให้ใบหน้าดูเศร้าหรือเหนื่อยล้าอยู่ตลอดเวลา

      • ร่องแก้มลึก ใต้ตาดูหย่อนคล้อย

      ร่องแก้มที่ลึกขึ้น เป็นผลมาจากการที่ผิวสูญเสียคอลลาเจนและไขมันใต้ผิว ทำให้เกิดรอยพับที่เด่นชัดขึ้น ส่วนใต้ตาที่เคยตึงกระชับอาจดูหย่อนลง ส่งผลให้ดูมีอายุและเหนื่อยล้า

      • คางสองชั้น

      เมื่อผิวหน้าเริ่มหย่อนคล้อย ไขมันบริเวณใต้คางอาจสะสมมากขึ้น ทำให้เกิดคางสองชั้นได้ง่าย แม้ว่าจะไม่ได้มีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นก็ตาม

       

      ใบหน้าหย่อนคล้อย ยกกระชับด้วยวิธีไหนดี
      ใบหน้าหย่อนคล้อย ยกกระชับด้วยวิธีไหนดี

       

      ใบหน้าหย่อนคล้อย ยกกระชับด้วยวิธีไหนดี

      การยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย เป็นวิธีที่ช่วยให้ใบหน้ากลับมาตึงกระชับและดูอ่อนเยาว์ขึ้น ซึ่งสามารถทำได้ทั้ง วิธีธรรมชาติ และ วิธีทางการแพทย์ โดยแต่ละวิธีมีข้อดีและผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับความต้องการและสภาพผิวของแต่ละคน

      วิธีธรรมชาติที่ช่วยให้ผิวกระชับขึ้น

      • การออกกำลังกายยกกระชับใบหน้า (Face Yoga)

      การบริหารกล้ามเนื้อใบหน้าหรือ Face Yoga เป็นวิธีที่ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือด เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และช่วยให้ใบหน้ากระชับขึ้น เช่น ท่าฝึกยกกระชับแก้ม ท่าลดริ้วรอยหน้าผาก และท่าลดคางสองชั้น

      • การเลือกอาหารที่ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน

      การรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินซี โปรตีน และกรดไขมันดี เช่น ปลาแซลมอน, อะโวคาโด, ถั่ว และผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ สามารถช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ลดเลือนริ้วรอย และทำให้ผิวเต่งตึงขั้นตามธรรมชาติ

      • การนวดกระตุ้นการไหลเวียนของผิวหน้า

      การนวดหน้าช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือด กระตุ้นระบบน้ำเหลือง และช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย ซึ่งวิธีนี้สามารถทำได้เองที่บ้านโดยใช้ปลายนิ้วนวดเป็นวงกลมเบา ๆ หรือใช้เครื่องนวดหน้าที่ช่วยให้ผิวกระชับและเรียบเนียนขึ้น

      • การเลือกใช้ครีมบำรุงผิวที่ช่วยกระชับผิว

      การใช้ครีมที่มีส่วนผสมของ เรตินอล, เปปไทด์, ไฮยาลูรอนิค แอซิด และไนอาซินาไมด์ สามารถช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน เพิ่มความชุ่มชื้น และทำให้ผิวแข็งแรงขึ้น เมื่อใช้เป็นประจำจะช่วยให้ผิวดูกระชับและเรียบเนียนขึ้น

       

      วิธีทางการแพทย์ในการยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย

      สำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่รวดเร็วและเห็นผลชัดเจนขึ้น เทคโนโลยีทางการแพทย์เป็นตัวเลือกที่มีประสิทธิภาพสูง โดยแต่ละเทคโนโลยีมีจุดเด่นและเหมาะกับสภาพผิวที่แตกต่างกัน ดังนี้

       

      ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อยด้วย Thermage FLX

      • ทำงานอย่างไร?

      Thermage FLX ใช้พลังงานคลื่นวิทยุ (Radiofrequency – RF) กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ในชั้นผิว ช่วยให้ผิวกระชับขึ้นโดยไม่ต้องผ่าตัด

      • เหมาะกับใคร?

      เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อยเล็กน้อยถึงปานกลาง ต้องการฟื้นฟูความกระชับของใบหน้าโดยไม่ต้องพักฟื้น

      • ผลลัพธ์ที่ได้?

      ผิวจะกระชับขึ้นทันทีหลังทำ และจะเห็นผลชัดเจนขึ้นภายใน 2-3 เดือน โดยผลลัพธ์สามารถอยู่ได้นาน 1-2 ปี

       

      ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อยด้วย Ultherapy

      • ทำงานอย่างไร?

      Ultherapy ใช้คลื่นเสียงอัลตราซาวนด์ความเข้มข้นสูง (High-Intensity Focused Ultrasound – HIFU) ยิงลงไปในชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นเดียวกับที่ศัลยแพทย์ใช้ดึงหน้า

      • เหมาะกับใคร?

      เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับผิวหน้าและลำคอ ลดริ้วรอย โดยไม่ต้องศัลยกรรม

      • ผลลัพธ์ที่ได้?

      ผลลัพธ์จะเริ่มเห็นภายใน 1-2 เดือน และอยู่ได้นาน 1-2 ปี

       

      ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อยด้วย Ultra 4D Lift

      • ทำงานอย่างไร?

      Ultra 4D Lift ใช้เทคโนโลยี Micro & Macro Focused Ultrasound (MMFU)พลังงานแม่นยำขึ้น ช่วยกระชับผิวได้ลึกหลายระดับของชั้นผิว ทำให้ใบหน้าดูยกกระชับแบบเป็นธรรมชาติ

      • เหมาะกับใคร?

      เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยเล็กน้อยถึงปานกลาง และต้องการเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนขึ้น

      • ผลลัพธ์ที่ได้

      ผิวจะดูกระชับขึ้นหลังทำ และเห็นผลชัดเจนภายใน 1-2 เดือน อยู่ได้นาน 12-18 เดือน

       

      ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อยด้วย Oligio

      • ทำงานอย่างไร?

      Oligio เป็นเทคโนโลยีคลื่นวิทยุ (RF) คล้าย Thermage แต่ให้ความรู้สึกสบายกว่าและช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ในชั้นผิว

      • เหมาะกับใคร?

      เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผิวกระชับและเรียบเนียนขึ้นโดยไม่ต้องทนความร้อนมาก

      • ผลลัพธ์ที่ได้

      ผิวจะดูกระชับและเรียบเนียนขึ้นภายใน 2-3 เดือน โดยผลลัพธ์อยู่ได้นาน 6-12 เดือน

       

      ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อยด้วย EMFACE

      • ทำงานอย่างไร?

      ใช้เทคโนโลยีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (HIFES) ร่วมกับคลื่นวิทยุ (RF) เพื่อกระตุ้นกล้ามเนื้อใบหน้าและเสริมสร้างคอลลาเจน

      • เหมาะกับใครบ้าง?

      เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับใบหน้า โดยเน้นการกระตุ้นกล้ามเนื้อร่วมกับการสร้างคอลลาเจน

      • ผลลัพธ์ที่ได้

      เห็นผลภายใน 4-6 สัปดาห์ และอยู่ได้นาน 1 ปี

       

      ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อยด้วย Fix Lift

      • ทำงานอย่างไร?

      เป็นเทคโนโลยีที่ใช้คลื่นวิทยุ (RF) ร่วมกับ Microneedling ส่งพลังงานลงไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวลึก

      • เหมาะกับใครบ้าง?

      เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย ต้องการยกกระชับและปรับผิวให้เรียบเนียนขึ้น

      • ผลลัพธ์ที่ได้

      เห็นผลลัพธ์ชัดเจนใน 1-3 เดือน และอยู่ได้นาน 1 ปี

       

      ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย วิธีไหนดีสุด?

      ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย Ultherapy

      • เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ คลื่นอัลตราซาวนด์ (MFU) ในการยกกระชับผิวชั้น SMAS ช่วยให้ใบหน้าดูกระชับขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ เหมาะสำหรับผู้ที่มีความหย่อนคล้อยระดับปานกลางถึงมาก 

      ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย Thermage FLX

      • Thermage ใช้พลังงานคลื่นวิทยุ (RF) ส่งความร้อนลงไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการ กระตุ้นคอลลาเจน ลดริ้วรอย และเพิ่มความกระชับของผิว โดยใช้คลื่นวิทยุ (RF) ที่สามารถทำได้ทั้งใบหน้าและลำคอ ผลลัพธ์อยู่ได้นานถึง 12-24 เดือน

      ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย Fix Lift

      • Fix Lift ใช้คลื่นวิทยุ (RF) ร่วมกับ Microneedling ซึ่งสามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ลดริ้วรอย และฟื้นฟูผิวในระดับลึก เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่ชัดเจนและอยู่ได้นาน

      ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย Ultra 4D Lift

      • เป็นเทคโนโลยีพลังงาน MMFU (Micro-Macro Focused Ultrasound) ที่สามารถส่งพลังงานได้ลึกและแม่นยำกว่า HIFU ทั่วไป ช่วย ยกกระชับใบหน้า ลดเหนียง และปรับรูปหน้าให้ดูเรียวขึ้น โดยเห็นผลลัพธ์อย่างเป็นธรรมชาติ

      ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย Oligio

      • ใช้พลังงาน คลื่นวิทยุ (RF) คล้าย Thermage แต่เจ็บน้อยกว่า ช่วยกระตุ้นคอลลาเจน ลดริ้วรอย และเพิ่มความยืดหยุ่นของผิว เหมาะสำหรับคนที่ต้องการ ลดริ้วรอยเล็ก ๆ และเพิ่มความเฟิร์มของผิว

      ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย EMFACE

      • ใช้เทคโนโลยี HIFES™ (High-Intensity Facial Electrical Stimulation) และ RF ช่วยยกกระชับและเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อใบหน้า โดยไม่ต้องใช้พลังงานคลื่นเสียงหรือความร้อน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูกล้ามเนื้อและกระชับผิวในเวลาเดียวกัน

       

      ใบหน้าหย่อนคล้อยมีกี่ระดับ? ควรเลือกใช้วิธีไหน?
      ใบหน้าหย่อนคล้อยมีกี่ระดับ? ควรเลือกใช้วิธีไหน?

       

      ใบหน้าหย่อนคล้อยมีกี่ระดับ? ควรเลือกใช้วิธีไหน?

      • ใบหน้าหย่อนคล้อยเล็กน้อย

      หากผิวเพิ่งเริ่มมีความหย่อนคล้อยเล็กน้อย อาจจะยังไม่ถึงขั้นต้องใช้เครื่องยกกระชับที่ลงลึกมาก เช่น Thermage หรือ Oligio จะช่วยกระชับผิวและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้ดี ปรับรูปหน้าให้ดูเฟิร์มขึ้น

      • ใบหน้าหย่อนคล้อยปานกลาง

      หากใบหน้าเริ่มหย่อนคล้อยบริเวณแก้ม ร่องแก้ม และกรอบหน้า เหมาะกับ Ulthera, Fix Lift  หรือ Ultra 4D Lift จะช่วยกระชับผิวและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน พร้อมฟื้นฟูผิวให้เนียนละเอียดขึ้น

      • ใบหน้าหย่อนคล้อยมาก

      หากมีปัญหาความหย่อนคล้อยมาก ควรใช้เทคโนโลยีที่สามารถส่งพลังงานลงไปลึกเพื่อยกกระชับได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น Fix Lift หรือ Ulthera ร่วมกับ Thermage สามารถใช้ควบคู่กันเพื่อเพิ่มความเฟิร์มของผิว และช่วยให้ใบหน้าดูกระชับขึ้นในทุกมิติ

       

      สรุปการเลือกวิธียกกระชับใบหน้าขึ้นอยู่กับระดับความหย่อนคล้อย และความต้องการของแต่ละคน หากเป็นระดับเล็กน้อย ควรเลือก Thermage, Oligio หรือ Ultra 4D Lift แต่หากเป็นระดับปานกลาง ควรเลือก Ulthera หรือ Fix Lift และหากเป็นระดับมาก การใช้ Fix Lift หรือการทำ Ulthera ร่วมกับ Thermage จะช่วยให้ผลลัพธ์ที่ดี

       

      ข้อดีของการยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย

      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย ทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ขึ้น
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย กระชับกรอบหน้าและปรับรูปหน้าให้ V-Shape
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย ลดปัญหาหนังตาตก และกระชับผิวรอบดวงตา
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย กระตุ้นคอลลาเจน ทำให้ผิวแข็งแรงขึ้น
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย ลดริ้วรอย และทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย ลดความหย่อนคล้อยที่ลำคอและเนินอก
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย ไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีแผล และไม่ต้องพักฟื้น
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย ใช้เวลาไม่นาน เห็นผลเร็ว
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย ผลลัพธ์อยู่ได้นาน
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย เหมาะกับทุกสภาพผิว และทำได้ทุกช่วงอายุ

       

      ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย ช่วยอะไรบ้าง?

      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย ช่วยแก้ปัญหาผิวที่เริ่มหย่อนคล้อยจากอายุที่เพิ่มขึ้น
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย ช่วยยกกระชับใบหน้าที่เริ่มมีแก้มห้อย กรอบหน้าไม่ชัด
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย ลดไขมันสะสมบริเวณใบหน้า เช่น เหนียง คางสองชั้น และแก้ม
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย ปรับรูปหน้าให้ดูเรียวขึ้นโดยไม่ต้องศัลยกรรม
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และอีลาสตินในชั้นผิว
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย ช่วยลดริ้วรอยเล็ก ๆ และริ้วรอยลึกบนใบหน้า
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย ลดปัญหาผิวที่ดูโทรม หมองคล้ำ และขาดความมีชีวิตชีวา
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย แก้ปัญหาร่องลึก เช่น ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย ช่วยให้ร่องน้ำหมากและมุมปากที่ตกดูยกขึ้น ทำให้ใบหน้าดูสดใส ไม่โทรม
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย แก้ไขปัญหาหนังตาหย่อน และถุงใต้ตา
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย ลดรอยเหี่ยวย่นรอบดวงตา ทำให้ดวงตาดูสดใสขึ้น
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย ลดปัญหาผิวหย่อนคล้อยที่ลำคอ และเนินอก
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย ลดโอกาสเกิดผิวหย่อนคล้อยในอนาคต

       

      ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย เหมาะกับใครบ้าง?
      ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย เหมาะกับใครบ้าง?

       

      ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย เหมาะกับใครบ้าง?

      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย เหมาะสำหรับผู้ที่อายุประมาณ 25-50 ปี ที่เริ่มสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของผิว
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย เหมาะสำหรับผู้ที่คอลลาเจนและอีลาสตินในผิวลดลง ทำให้ใบหน้าดูไม่กระชับเหมือนเดิม
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาแก้มหย่อน ร่องแก้มลึก กรอบหน้าไม่ชัด
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการพักฟื้นนาน แต่ยังต้องการผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัด
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาคางสองชั้นและเหนียงหย่อนคล้อย
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวบริเวณลำคอเริ่มหย่อนคล้อย ดูแก่กว่าวัย
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาแก้มเยอะ แก้มป่อง ทำให้หน้าดูกลม
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาร่องน้ำหมากชัดเจน ทำให้หน้าดูเศร้าหรือมีอายุ
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหามุมปากตก ทำให้ใบหน้าดูเหนื่อยและโทรม
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวบริเวณคอและเนินอกเริ่มเหี่ยวย่น ดูแก่กว่าวัย
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย เหมาะสำหรับผู้ที่มีริ้วรอยเล็ก ๆ บริเวณหน้าผาก ร่องแก้ม หางตา
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย เหมาะสำหรับผู้ที่ลดน้ำหนักรวดเร็ว ส่งผลให้ผิวหน้าหย่อนคล้อย
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย เหมาะสำหรับผู้ที่ผิวเสียจากรังสี UV และมลภาวะ ทำให้คอลลาเจนในชั้นผิวเสื่อมเร็วขึ้น
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย เหมาะสำหรับผู้ที่ผิวขาดความชุ่มชื้น ดูแห้งกร้านและไม่กระชับ
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย เหมาะสำหรับผู้ที่มีไลฟ์สไตล์ทำงานหนัก นอนดึก ผิวดูโทรม
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับใบหน้าแบบ ไม่ต้องศัลยกรรม ไม่มีแผล ไม่มีรอยเย็บ
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการให้ใบหน้าดูกระชับมากขึ้นหลังจากลดน้ำหนัก
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการให้ใบหน้าดู V-Shape กรอบหน้าคมชัดขึ้น
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการให้ผิวดูอิ่มฟู และอ่อนเยาว์ขึ้น
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการให้ผิวดูเรียบตึงและกระชับขึ้น
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการให้ลำคอดูเรียบเนียนและกระชับขึ้น
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการให้ใบหน้าดูกระชับขึ้นแบบเป็นธรรมชาติ
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการดูแลผิวให้กระชับก่อนอายุเยอะขึ้น

       

      ใครบ้างที่ไม่เหมาะกับการยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย?

      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย ไม่เหมาะสำหรับหญิงตั้งครรภ์หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีแผลสด แผลเปิด หรืออาการติดเชื้อที่ผิวหนัง
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีโรคผิวหนังบางประเภท เช่น โรคสะเก็ดเงิน โรคด่างขาว หรือโรคภูมิแพ้ผิวหนัง
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะเลือดออกง่าย หรือรับประทานยาละลายลิ่มเลือด
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemaker) หรืออุปกรณ์ฝังในร่างกาย
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยระดับรุนแรงมาก
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีประวัติโรคเนื้อเยื่อเกี่ยวพันผิดปกติ เช่น โรค SLE หรือโรคหนังแข็ง
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่คาดหวังผลลัพธ์เกินจริง
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาสุขภาพร้ายแรง หรือมีโรคประจำตัวที่ควบคุมไม่ได้
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวบาง แพ้ง่าย และเกิดรอยช้ำง่าย
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ไวต่อความร้อน หรือแพ้ยาชา
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีโลหะฝังในร่างกาย หรือใส่อุปกรณ์ทางการแพทย์
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังรักษามะเร็ง หรือเป็นโรคเรื้อรังรุนแรง
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติ
      • ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีประวัติเป็นแผลเป็นนูน หรือคีลอยด์ง่าย

       

      การเตรียมตัวก่อนยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย

      • ก่อนทำยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย ควรปรึกษาแพทย์เพื่อเลือกวิธีที่เหมาะกับปัญหาผิว
      • ก่อนทำยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย ควรใช้ครีมกันแดด SPF 50 PA+++ ทุกวัน
      • ก่อนทำยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย ควรนอนหลับให้เพียงพอ อย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง
      • ก่อนทำยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย ควรดื่มน้ำสะอาด วันละ 1.5-2 ลิตร เพื่อให้ผิวชุ่มชื้น
      • ก่อนทำยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย หากมีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ, เบาหวาน, ความดันโลหิตสูง, ภูมิแพ้ หรือแพ้ยา ควรแจ้งแพทย์ล่วงหน้า
      • ก่อนทำยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย ควรรับประทานอาหารที่ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน
      • ก่อนทำยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย หลีกเลี่ยงการโดนแสงแดดจัด อย่างน้อย 1 สัปดาห์
      • ก่อนทำยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย หลีกเลี่ยง AHA, BHA, Retinol, Vitamin C เข้มข้น หรือกรดผลัดเซลล์ผิว อย่างน้อย 3-7 วัน
      • ก่อนทำยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย งดการทำเลเซอร์ หรือทรีทเมนต์ผลัดเซลล์ผิว อย่างน้อย 2-4 สัปดาห์
      • ก่อนทำยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย งดยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน, ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) อย่างน้อย 3-5 วัน
      • ก่อนทำยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และสูบบุหรี่ อย่างน้อย 24-48 ชั่วโมง

       

      การดูแลตัวเองหลังยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย

      • หลังทำยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย หลีกเลี่ยงการถู ขัด หรือกดผิวแรง ๆ ในช่วง 24-48 ชั่วโมงแรก
      • หลังทำยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มี AHA, BHA, Retinol, Vitamin C เข้มข้น หรือกรดผลัดเซลล์ผิว ประมาณ 1 สัปดาห์
      • หลังทำยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย หลีกเลี่ยงแสงแดด อย่างน้อย 7-14 วัน
      • หลังทำยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย หลีกเลี่ยงการแต่งหน้าหรือใช้เครื่องสำอางหนัก ๆ
      • หลังทำยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย หลีกเลี่ยงการใช้ห้องอบไอน้ำ ซาวน่า หรืออาบน้ำร้อนจัด
      • หลังทำยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย หลีกเลี่ยงการนอนคว่ำหรือกดใบหน้าไปกับหมอน
      • หลังทำยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย งดออกกำลังกายหนัก อย่างน้อย 48 ชั่วโมง
      • หลังทำยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย งดการทำเลเซอร์ ทรีทเมนต์ หรือหัตถการอื่น ๆ ที่ใช้พลังงานสูง อย่างน้อย 2-4 สัปดาห์
      • หลังทำยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย ควรนอนหนุนหมอนสูง กว่าปกติ 1-2 คืนแรก เพื่อช่วยลดอาการบวม
      • หลังทำยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย ควรดื่มน้ำให้ได้วันละ 1.5-2 ลิตร เพื่อช่วยให้ผิวฟื้นตัวเร็วขึ้น
      • หลังทำยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย ควรรับประทานอาหารที่มี คอลลาเจน วิตามิน C วิตามิน A และโปรตีนสูง
      • หลังทำยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย ควรใช้ครีมกันแดด SPF50 PA+++ และทาซ้ำทุก 2-3 ชั่วโมง

       

      ยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย สามารถทำเฉพาะจุดได้ไหม?

      • การยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย สามารถทำเฉพาะจุดได้ โดยเทคโนโลยีที่มีความแม่นยำ เช่น Thermage, Ulthera, Ultra 4D Lift, Oligio, EMFACE และ Fix Lift (Morpheus8) สามารถเลือกปรับระดับพลังงานเพื่อแก้ปัญหาบริเวณที่ต้องการ เช่น ร่องแก้ม, กรอบหน้า, คางสองชั้น, ใต้ตา หรือบริเวณมุมปาก ได้อย่างตรงจุด

       

      บริเวณลำคอสามารถยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อยด้วย HIFU หรือ Thermage FLX ได้ไหม?

      • สามารถยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อยบริเวณลำคอได้ ทั้ง HIFU และ Thermage สามารถช่วยกระชับผิวที่ลำคอ ลดความหย่อนคล้อย และลดรอยพับบริเวณคอได้ Thermage จะเหมาะสำหรับคนที่ต้องการฟื้นฟูคอลลาเจนในชั้นลึก ส่วน HIFU จะช่วยดึงกระชับผิวที่เริ่มหย่อนคล้อย

       

      สามารถยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อยรอบดวงตาได้ไหม?

      • สามารถยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อยรอบดวงตาได้ โดยใช้เทคโนโลยีที่สามารถใช้กับรอบดวงตาได้อย่างปลอดภัย ได้แก่ Thermage Eyes, Ulthera, Oligio และ Fix Lift (Morpheus8) ซึ่งช่วยกระชับผิวรอบดวงตา ลดริ้วรอย และแก้ปัญหาหนังตาตก

       

      การยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย สามารถใช้กับร่างกายได้ไหม?

      • เทคโนโลยี Thermage Body, Ultra 4D Lift, และ Fix Lift (Morpheus8) ถูกออกแบบมาเพื่อใช้กับบริเวณร่างกาย เช่น ท้องแขน หน้าท้อง ต้นขา และสะโพก เพื่อช่วยกระชับผิวและลดความหย่อนคล้อย

       

      การทำยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย ส่งผลต่อความไวของผิวไหม?

      • เทคโนโลยียกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อยโดยใช้พลังงานความร้อน เช่น Thermage, Ulthera หรือ Fix Lift (Morpheus8) อาจทำให้ผิวมีความไวต่อสัมผัสชั่วคราว แต่ไม่ทำให้เกิดอาการแพ้ถาวร หลังทำหัตถการ ผิวอาจรู้สึกอุ่น ๆ หรือไวต่อการสัมผัสประมาณ 3-7 วัน แต่จะค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้น

       

      การยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย ช่วยลดไขมันบนใบหน้าได้จริงไหม?

      • เทคโนโลยีบางประเภทสามารถช่วยลดไขมันใบหน้าได้ เช่น Ultherapy, Ultra 4D Lift และ Fix Lift (Morpheus8) เนื่องจากคลื่นอัลตราซาวนด์ของ Ulthera และ Ultra 4D Lift สามารถช่วยลดไขมันสะสมบริเวณแก้มและเหนียงได้

       

      สามารถทำยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อยได้บ่อยแค่ไหน?

      • ความถี่ในการทำ ยกกระชับใบหน้า ขึ้นอยู่กับ เทคโนโลยีที่เลือกใช้ และ สภาพผิวของแต่ละบุคคล โดยทั่วไปมีแนวทางดังนี้
        • Thermage FLX หรือ Oligio ควรทำ ปีละ 1 ครั้ง เนื่องจากพลังงาน RF (Radio Frequency) สามารถกระตุ้นคอลลาเจนได้ลึกและให้ผลลัพธ์ที่อยู่ได้นานถึง 1-2 ปี
        • Ultherapy หรือ Ultra 4D Lift สามารถทำทุก 6-12 เดือน ขึ้นอยู่กับระดับความหย่อนคล้อยของผิว
        • Fix Lift (Morpheus8) สามารถทำ 2-3 ครั้ง ในช่วง 3 เดือนแรก (ทุก 4-6 สัปดาห์) จากนั้นทำ ปีละ 1-2 ครั้ง เพื่อรักษาผลลัพธ์

       

      อาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นหลังทำยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อยมีอะไรบ้าง?

      • อาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นหลังทำยกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อย จะแตกต่างกันไปตามเทคโนโลยีที่ใช้และการตอบสนองของผิวแต่ละบุคคล โดยทั่วไป อาการที่พบได้บ่อย ได้แก่ ผิวแดง ซึ่งมักเกิดขึ้นภายใน 1-2 ชั่วโมงหลังทำ และจะค่อย ๆ ดีขึ้นเอง ส่วนอาการผิวบวมเล็กน้อย อาการบวมจะลดลงภายใน 3-5 วัน บางรายอาจรู้สึกผิวตึงหรือชาชั่วคราว จากพลังงานที่กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ซึ่งอาการนี้มักดีขึ้นใน 1-2 สัปดาห์

       

      ปัญหาใบหน้าหย่อนคล้อย เป็นเรื่องที่สามารถแก้ไขได้ด้วยหลากหลายวิธี ตั้งแต่การดูแลผิวเบื้องต้น การออกกำลังกายใบหน้า ไปจนถึงการใช้เทคโนโลยียกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อยที่มีประสิทธิภาพ เช่น HIFU, Ultherapy, Thermage FLX, Oligio, EMFACE และ Fix Lift  ซึ่งแต่ละวิธีมีจุดเด่นและเหมาะกับสภาพผิวที่แตกต่างกัน

      การเลือกวิธียกกระชับใบหน้าหย่อนคล้อยที่เหมาะสม ควรพิจารณาจากระดับความหย่อนคล้อยของผิว อายุ ไลฟ์สไตล์ และผลลัพธ์ที่ต้องการ หากต้องการปรับรูปหน้าให้ดูเรียวขึ้น ลดเหนียง และกระชับผิว HIFU หรือ Ultra 4D Lift อาจเป็นตัวเลือกที่ดี หากต้องการลดริ้วรอยและเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิว Thermage FLX หรือ Oligio จะช่วยกระตุ้นคอลลาเจนอย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวระดับลึกและให้ผลลัพธ์ที่อยู่ได้นาน Fix Lift หรือ Ulthera อาจเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์

      สุดท้ายนี้ หากคุณไม่แน่ใจว่าวิธีไหนเหมาะกับสภาพผิวของคุณที่สุด ควรเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์ด้านผิวพรรณ เพื่อเลือกแนวทางที่เหมาะสมและได้ผลลัพธ์ที่ดี

      รับโล่เกียรติคุณจากสมาคมแม่บ้านกองบัญชาการกองทัพไทย เนื่องในโอกาสสนับสนุนงานกาชาดประจำปี 2567 

      รับโล่เกียรติคุณจากสมาคมแม่บ้านกองบัญชาการกองทัพไทย พร้อมร่วมสนับสนุนงานกาชาดประจำปี 2567 

      รับโล่เกียรติคุณจากสมาคมแม่บ้านกองบัญชาการกองทัพไทย เนื่องในโอกาสสนับสนุนงานกาชาดประจำปี 2567 

       

      เมื่อวันที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2568 ที่ผ่านมา รมย์รวินท์คลินิก นำโดย มาดามจอย  ขวัญฤทัย ดำรงค์วัฒนโภคิน ผู้บริหารระดับสูง ได้เข้าร่วมพิธีมอบโล่เกียรติคุณจากสมาคมแม่บ้านกองบัญชาการกองทัพ ณ อาคารศูนย์ประชุมกองบัญชาการกองทัพไทย กรุงเทพมหานคร เพื่อแสดงความขอบคุณในฐานะองค์กรภาคเอกชนที่ให้การสนับสนุนการออกร้านภายในงานกาชาด ประจำปี 2567 ซึ่งจัดขึ้น ณ สวนลุมพินี ระหว่างวันที่ 15 – 24 ธันวาคม พ.ศ. 2567 ที่ผ่านมา

       

      รับโล่เกียรติคุณจากสมาคมแม่บ้านกองบัญชาการกองทัพไทย พร้อมร่วมสนับสนุนงานกาชาดประจำปี 2567 
      รับโล่เกียรติคุณจากสมาคมแม่บ้านกองบัญชาการกองทัพไทย พร้อมร่วมสนับสนุนงานกาชาดประจำปี 2567

       

      มาดามจอยเข้ารับโล่เกียรติคุณจากสมาคมแม่บ้านกองบัญชาการกองทัพไทย

      ในโอกาสพิเศษนี้ มาดามจอย – ขวัญฤทัย ดำรงค์วัฒนโภคิน ในนามของ รมย์รวินท์คลินิก ได้ร่วมแบ่งปันความงามผ่านการมอบโปรแกรมดูแลผิวพรรณและรูปร่างระดับพรีเมียม มูลค่ารวมกว่า 200,000 บาท ให้แก่สมาคมแม่บ้านกองบัญชาการกองทัพไทย ทางสมาคมแม่บ้านกองบัญชาการกองทัพไทยจึงได้มีพิธีการมอบโล่เกียรติคุณตอบ แทนคำขอบคุณที่ให้เกียรติมาสนับสนุนงานกาชาด

      โดยงานกาชาดได้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “ทศมราชา 72 พรรษา ถวายพระพร” เพื่อเฉลิมพระเกียรติในโอกาสที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ องค์พระบรมราชูปถัมภ์ของสภากาชาดไทย ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 6 รอบ 72 พรรษา ในวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2567 เพื่อเผยแพร่ภารกิจของสภากาชาดไทยในด้านการช่วยเหลือและบรรเทาทุกข์แก่ประชาชนอย่างทั่วถึง

       

      รับโล่เกียรติคุณจากสมาคมแม่บ้านกองบัญชาการกองทัพไทย พร้อมร่วมสนับสนุนงานกาชาดประจำปี 2567 
      รับโล่เกียรติคุณจากสมาคมแม่บ้านกองบัญชาการกองทัพไทย พร้อมร่วมสนับสนุนงานกาชาดประจำปี 2567

       

      รมย์รวินท์คลินิกเคียงข้างความงาม และเคียงข้างสังคมในทุกช่วงเวลา

      การเข้าร่วมสนับสนุนงานกาชาดในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ รมย์รวินท์คลินิก ในการดูแลสุขภาพผิวและความงามอย่างมีมาตรฐาน ควบคู่กับการดำเนินธุรกิจด้วยจิตสำนึกรับผิดชอบต่อสังคม องค์กรให้ความสำคัญทั้งในเรื่องคุณภาพการบริการ และบทบาทในการส่งเสริมกิจกรรมเพื่อส่วนรวมอย่างต่อเนื่อง

       

      การมีส่วนร่วมในงานกาชาดจึงไม่ใช่เพียงแค่การสนับสนุนรางวัลหรือทรัพยากรเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงความตั้งใจในการเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนสังคมไทยให้เข้มแข็ง ผ่านกิจกรรมที่มีคุณค่าและเปี่ยมด้วยความหมาย

       

      รับโล่เกียรติคุณจากสมาคมแม่บ้านกองบัญชาการกองทัพไทย พร้อมร่วมสนับสนุนงานกาชาดประจำปี 2567 
      รับโล่เกียรติคุณจากสมาคมแม่บ้านกองบัญชาการกองทัพไทย พร้อมร่วมสนับสนุนงานกาชาดประจำปี 2567

       

      รมย์รวินท์คลินิกขอขอบคุณสมาคมแม่บ้านกองบัญชาการกองทัพไทยและสภากาชาดไทย ที่เปิดโอกาสให้เราได้ร่วมแบ่งปันและสร้างสรรค์สิ่งดี ๆ สู่สังคม พร้อมขอแสดงความยินดีกับความสำเร็จของงานกาชาดประจำปี 2567 ที่ได้สร้างรอยยิ้ม ความสุข และแรงบันดาลใจให้กับประชาชนทั่วประเทศอย่างแท้จริง

       

      รมย์รวินท์คลินิกยังคงมุ่งมั่นที่จะดำเนินธุรกิจ ควบคู่ไปกับการมีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคม โดยเชื่อมั่นว่าความงามที่แท้จริงเริ่มต้นจากการใส่ใจ และการแบ่งปันสิ่งดี ๆ ให้กับผู้คนรอบตัว ผ่านกิจกรรมที่มีคุณค่า เช่น งานกาชาด ซึ่งไม่เพียงแต่เปิดโอกาสให้ภาคเอกชนได้ร่วมสร้างประโยชน์แก่ส่วนรวม แต่ยังเป็นเวทีแห่งการรวมพลังน้ำใจจากทุกภาคส่วนของสังคมไทย

       

      รับโล่เกียรติคุณจากสมาคมแม่บ้านกองบัญชาการกองทัพไทย พร้อมร่วมสนับสนุนงานกาชาดประจำปี 2567 
      รับโล่เกียรติคุณจากสมาคมแม่บ้านกองบัญชาการกองทัพไทย พร้อมร่วมสนับสนุนงานกาชาดประจำปี 2567

       

      งานกาชาดประจำปี 2567 สะท้อนพลังแห่งการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน

      งานกาชาดประจำปี 2567 ถือเป็นหนึ่งในกิจกรรมเพื่อสังคมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศไทย จัดขึ้นโดยความร่วมมือระหว่างสภากาชาดไทยและกรุงเทพมหานคร ภายในพื้นที่ภายในสวนลุมพินีซึ่งถูกเนรมิตให้เป็นฟื้นที่กิจกรรมอันหลากหลาย มีการออกร้านโดยหน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ องค์กรภาคเอกชน สถาบันการศึกษา มูลนิธิ สมาคม และสโมสรต่าง ๆ ทั่วประเทศ

       

      ภายในงานมีทั้งโซนจำหน่ายสินค้าเพื่อการกุศล กิจกรรมเวทีการแสดงวัฒนธรรมไทย การแจกของรางวัล รวมถึงบูธนิทรรศการจากสภากาชาดไทย ที่ถ่ายทอดเรื่องราวของภารกิจมนุษยธรรมในการช่วยเหลือผู้ประสบภัย ผู้ป่วย และผู้ยากไร้ทั่วประเทศ โดยมีประชาชนให้ความสนใจเข้าร่วมงานจำนวนมาก ทั้งเพื่อร่วมทำบุญ สนับสนุนกิจกรรมของสภากาชาดไทย และเพลิดเพลินไปกับบรรยากาศงานเทศกาลที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นและรอยยิ้ม

       

      ในอนาคต รมย์รวินท์คลินิกตั้งใจที่จะสานต่อภารกิจแห่งการให้ ผ่านการสนับสนุนกิจกรรมเพื่อสังคมในรูปแบบต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อร่วมขับเคลื่อนคุณภาพชีวิตของคนไทยให้ดีขึ้น ทั้งด้านสุขภาพ ความงาม และความเป็นอยู่ที่ยั่งยืน

      Romrawin Summer Festival 2025 มอบดีลสุดพิเศษต้อนรับซัมเมอร์

      Romrawin Summer Festival 2025

      Romrawin มอบดีลสุดพิเศษต้อนรับซัมเมอร์ กับแคมเปญ “Romrawin Summer Festival 2025”

      เสิร์ฟความสวยอย่างจุใจ พร้อมสิทธิประโยชน์มากมายสำหรับสมาชิก Rawin Club

       

      รมย์รวินท์คลินิกเดินหน้าส่งมอบประสบการณ์ความงามในช่วงฤดูร้อนอย่างเต็มที่ ด้วยการเปิดตัวแคมเปญ “Romrawin Summer Festival 2025” ภายใต้แนวคิด “ดีลดีดีลมันส์…สาดความสวยให้เย็นฉ่ำ” เพื่อมอบความคุ้มค่าและสิทธิพิเศษให้แก่ลูกค้าผู้ใช้บริการทุกท่านตลอดช่วงฤดูกาลซัมเมอร์

      ในครั้งนี้ Romrawin Clinic ได้ยกระดับประสบการณ์สมาชิก Rawin Club ด้วยสิทธิประโยชน์ที่มากกว่าเดิม ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่ใส่ใจในเรื่องความงามและสุขภาพผิวพรรณ โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อนที่แสงแดดอาจก่อให้เกิดปัญหาผิวพรรณต่างๆ อาทิ ผิวหมองคล้ำ จุดด่างดำ หรือปัญหาผิวแห้งกร้าน

       

      Romrawin Summer Festival 2025
      Romrawin Summer Festival 2025

       

      Romrawin Summer Festival 2025 สิทธิพิเศษสำหรับสมาชิก Rawin Club

      สำหรับลูกค้าที่สมัครสมาชิก Rawin Club ครั้งแรก จะได้รับคะแนนทันที 30 คะแนน และทุกการใช้จ่าย 50 บาท จะได้รับคะแนนสะสม 1 คะแนน เพื่อนำไปแลกของรางวัลหรือสิทธิพิเศษภายในคลินิกและจากพันธมิตรชั้นนำ

       

      ไฮไลต์สำคัญของแคมเปญในปีนี้ ได้แก่ สิทธิในการแลกรับโปรแกรมดูแลผิวหน้า 

      • โปรแกรม P-White เติมอาหารผิว  ฟื้นฟูและช่วยบำรุงผิวขั้นสุด ปรับผิวให้มีความชุ่มชื้น ทั้งยังชะลอการเกิดริ้วรอย 1 ครั้ง ฟรี!

      (จากราคาปกติ 500 บาท) เมื่อสะสมคะแนนครบ 15 คะแนน 

       

      นอกจากนี้ ลูกค้ายังสามารถใช้คะแนนสะสมเพื่อลดหย่อนค่าใช้จ่ายกับพันธมิตรทางธุรกิจที่ร่วมรายการ โดยเมื่อสะสมครบ 400 คะแนน สามารถแลกรับ ส่วนลดมูลค่า 100 บาท สำหรับบัตรกำนัล Central E-Voucher และ Starbucks E-Coupon ซึ่งช่วยสร้างความคุ้มค่าให้กับทุกการใช้จ่ายอย่างแท้จริง

       

      Romrawin Summer Festival 2025
      Romrawin Summer Festival 2025

       

      ระยะเวลาโปรโมชั่นและการเข้าร่วมกิจกรรม Romrawin Summer Festival 2025

      • แคมเปญ Romrawin Summer Festival 2025 มีผลตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ตลอดช่วงฤดูร้อน ลูกค้าสามารถเข้าร่วมกิจกรรมได้ที่ Romrawin Clinic ทุกสาขาทั่วประเทศ โดยสามารถสมัครสมาชิก Rawin Club และตรวจสอบคะแนนสะสมได้ผ่านช่องทางออนไลน์ หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่เจ้าหน้าที่ประจำสาขาใกล้บ้านท่าน

      รมย์รวินท์ คลินิก ยังคงมุ่งมั่นในการพัฒนาบริการด้านความงามและสุขภาพผิวพรรณให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคใหม่ พร้อมยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าอย่างต่อเนื่องผ่านโปรแกรมส่งเสริมความงามที่มีคุณภาพและไม่เสี่ยงต่ออันตราย ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด

      อวดผิวสวยรับสงกรานต์ เตรียมความพร้อมให้เฉิดฉายสุดๆ

      อวดผิวสวยรับสงกรานต์

      สงกรานต์นี้ อยากมีผิวสวยใส หน้าใส ควรทำอย่างไรดี? ให้พร้อมอวดผิวสวยรับสงกรานต์

      สงกรานต์ปีนี้ หน้าสดต้องรอด ถึงแม้อากาศจะร้อนแค่ไหน ก็ทำอะไรความสวยของเราไม่ได้ เตรียมอวดผิวสวยใส มั่นใจไร้ขน เก็บหมดทุกจุดสำคัญ จนลืมไปเลยว่าเคยมีขนกวนใจ พร้อมสาดความชุ่มฉ่ำ ออร่าเปล่งปลั่ง เติมความสวยที่ร้อนแรงกว่าใคร รับเทศกาลสงกรานต์ปี 2025 ต้องรมย์รวินท์คลินิกเท่านั้น บทความนี้ คัดมาให้แล้วกับ 5 โปรแกรมที่จะช่วยยกระดับความสวย ผิวเนียนใส ไม่มีอ่อม เตรียมให้คุณเฉิดฉายทันวันสงกรานต์แน่นอนค่ะ

       

      สงกรานต์นี้ เตรียมสาดความมั่นใจ ผิวสวยใส ไร้ขน

       

      อวดผิวสวยรับสงกรานต์
      อวดผิวสวยรับสงกรานต์

       

      รวม 5 โปรแกรม อวดผิวสวย เนียนใส พร้อมโดนสาด

       Radiesse

      •  Radiesse เป็นผลิตภัณฑ์กระตุ้นคอลลาเจน Biostimulator ที่มีส่วนประกอบของ Calcium Hydroxylapatite (CaHA) ซึ่งเป็นสารสังเคราะห์ที่พบได้ในร่างกาย โดยเฉพาะเนื้อเยื่อกระดูก และฟัน มีขนาดเล็กสม่ำเสมอเท่ากัน ประมาณ 24 – 45 ไมครอน จึงสามารถเข้ากันได้ดีกับร่างกายมนุษย์ และไม่กระตุ้นให้เกิดการแพ้ ซึ่ง Radiesse จะทำงานโดยการเข้าไปเติมเต็ม และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิวชั้นลึก ทำให้เกิดการเพิ่มสารที่มีความสำคัญต่อผิวถึง 5 ประการ ได้แก่  Collagen Type 1, Collagen Type 3, Elastin,  Angiogenesis และ Proteoglycan ส่งผลให้ผิวมีสุขภาพที่ดี และดูอ่อนเยาว์ในระยะยาว โดยสามารถคงสภาพของผลลัพธ์ได้ยาวนานถึง 24 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และการดูแลตนเองหลังฉีด 
      •  Radiesse เหมาะสำหรับ ผู้ที่สูญเสียคอลลาเจนในผิวชั้นลึกจากอายุที่มากขึ้น รวมถึง ผู้ที่มีผิวไม่แข็งแรง หย่อนคล้อย และมีริ้วรอย ร่องลึกอย่างเห็นได้ชัด ทั้งนี้ ก่อนเข้ารับบริการควรปรึกษาแพทย์ และแจ้งประวัติสุขภาพให้แพทย์ทราบอย่างละเอียด
      • ผลลัพธ์ที่ได้หลังทำ Radiesse คือ โครงสร้างผิวมีความแข็งแรง ผิวยืดหยุ่น แน่นกระชับ เต่งตึง และอิ่มฟูขึ้นอย่างดูเป็นธรรมชาติ

       

      Profhilo

      •  Profhilo เป็นผลิตภัณฑ์ฟื้นฟูผิว Bio-Remodeling ที่มีส่วนประกอบของ Hyaluronic Acid (HA) แบบไม่มีการเชื่อมพันธะ (Non-crosslinked) ซึ่งถูกสังเคราะห์ขึ้นมาให้มีความเข้มข้น และบริสุทธิ์สูง โดยปราศจากสารเติมแต่ง จึงสามารถเข้ากันได้ดีกับร่างกายมนุษย์ และไม่กระตุ้นให้เกิดการต่อต้านทางภูมิคุ้มกัน ซึ่ง Profhilo จะทำงานโดยการเข้าไปฟื้นฟูโครงสร้างผิว ตั้งแต่ผิวชั้นตื้น ไปจนถึงผิวชั้นลึก รวมถึง กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนถึง 4 ชนิด ได้แก่  Collagen Type 1, Collagen Type 3, Collagen Type 4 และ Collagen Type 7 ส่งผลให้ชุ่มชื้น กระชับ และสุขภาพดีอย่างดูเป็นธรรมชาติ โดยสามารถคงสภาพของผลลัพธ์ได้ยาวนานถึง 6 – 9 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และการดูแลตนเองหลังฉีด
      •  Profhilo เหมาะสำหรับ ผู้ที่สูญเสียคอลลาเจน ผิวเริ่มหย่อนคล้อย มีริ้วรอยเส้นเล็ก ๆ บนใบหน้า และผู้ที่มีหลุมสิว ผิวขาดน้ำ รูขุมขนกว้าง  ทั้งนี้ ก่อนเข้ารับบริการควรปรึกษาแพทย์ และแจ้งประวัติสุขภาพให้แพทย์ทราบอย่างละเอียด
      • ผลลัพธ์ที่ได้หลังทำ Profhilo คือ ผิวมีความชุ่มชื้น ฉ่ำน้ำ ดูอิ่มฟู แน่นกระชับ และเรียบเนียนจากภายใน

       

       Rejuran

      •  Rejuran เป็นผลิตภัณฑ์ปรับปรุงคุณภาพผิว Skin Booster ที่มีส่วนประกอบของ Polynucleotide (PN) ซึ่งสกัดจาก DNA ของปลาแซลมอนที่อยู่ในทะเลธรรมชาติ จึงสามารถเข้ากันได้ดีกับร่างกายมนุษย์ และไม่กระตุ้นให้เกิดการแพ้ โดย Rejuran จะทำงานโดยการเข้าไปเร่งกระบวนการซ่อมแซม และฟื้นฟูเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ พร้อมทั้งกระตุ้นการหลั่ง Growth Factor และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ส่งผลให้ผิวชุ่มชื้น กระจ่างใส และดูสุขภาพดีจากภายใน
      •  Rejuran เหมาะสำหรับ ผู้ที่ผิวสูญเสียความชุ่มชื้น ผิวขาดน้ำ แต่งหน้าไม่ติด และผู้ที่มีรูขุมขนกว้าง ผิวโทรม หมองคล้ำ ไม่สดใส  ทั้งนี้ ก่อนเข้ารับบริการควรปรึกษาแพทย์ และแจ้งประวัติสุขภาพให้แพทย์ทราบอย่างละเอียด
      • ผลลัพธ์ที่ได้หลังทำ Rejuran คือ ผิวมีความฉ่ำวาว อิ่มน้ำ เต่งตึง เรียบเนียน และสีผิวสม่ำเสมออย่างดูเป็นธรรมชาติ

       

       Nu Pico Bright

      •  Nu Pico Bright เป็นเทคโนโลยีกำจัดเม็ดสี แก้ไขปัญหาฝ้า กระ จุดด่างดำ และความหมองคล้ำบนใบหน้าด้วย Picosecond Laser ซึ่งใช้พลังงานคลื่นแสงแบบเฉพาะเจาะจง โดยมีความยาวคลื่น 532 และ 1,064 นาโนเมตร มีความถี่ระยะเวลา 750 พิโควินาที ซึ่งจะทำงานโดยการปล่อยพลังงานเลเซอร์ไปยังเม็ดสีเมลานินที่มีความผิดปกติ ให้แตกตัวกระจายเป็นเม็ดเล็ก ๆ อย่างละเอียด และจางหายไปตามกระบวนการของร่างกาย โดยไม่ก่อให้เกิดการสะสมความร้อนใต้ชั้นผิว และไม่มีเลือดออกหลังทำ
      •  Nu Pico Bright เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีฝ้า กระ จุดด่างดำ รอยดำ รอยแดงจากสิว และผู้ที่มีผิวหมองคล้ำ ไม่สดใส สีผิวไม่สม่ำเสมอ  ทั้งนี้ ก่อนเข้ารับบริการควรปรึกษาแพทย์ และแจ้งประวัติสุขภาพให้แพทย์ทราบอย่างละเอียด
      • ผลลัพธ์ที่ได้หลังทำ Nu Pico Bright คือ ฝ้า กระ จุดด่างดำต่าง ๆ ดูจางลง รูขุมขนกระชับ ผิวกระจ่างใส และสีผิวสม่ำเสมออย่างดูเป็นธรรมชาติ

       

       Yag Laser 1064

      •  Yag Laser 1064 เป็นเทคโนโลยีกำจัดขนที่ใช้พลังงานคลื่นแสง ที่มีความยาวคลื่นอยู่ที่ 1,064 นาโนเมตร ซึ่งจะทำงานโดยการปล่อยพลังงานเลเซอร์ลงลึกถึงรากขน ทำให้รากขนบริเวณนั้นฝ่อตัวลง และหยุดการเจริญเติบโต จากนั้นเส้นขนจะค่อย ๆ หลุดร่วงไปตามกระบวนการของร่างกาย โดยไม่ทำลายผิวบริเวณรอบข้าง โดยสามารถกำจัดขนได้ถึง 20 – 30% ในครั้งแรก และจะค่อย ๆ ลดน้อยลง เมื่อทำอย่างต่อเนื่อง
      • Yag Laser 1064 เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการกำจัดขนในบริเวณต่าง ๆ มีปัญหาเส้นขนหนา และเส้นขนสีเข้ม รวมถึง ผู้ที่มีเหงื่อออกมาก มีปัญหาเรื่องกลิ่นตัว  ทั้งนี้ ก่อนเข้ารับบริการควรปรึกษาแพทย์ และแจ้งประวัติสุขภาพให้แพทย์ทราบอย่างละเอียด
      • ผลลัพธ์ที่ได้หลังทำ Yag Laser 1064 คือ เส้นขนบางลงเรื่อย ๆ ลดปัญหาตุ่มหนังไก่ ผิวดูเรียบเนียน และกระจ่างใสมากขึ้น รวมถึง ลดการสะสมของเหงื่อ และแบคทีเรีย ชะลอการเกิดเส้นขนใหม่ในอนาคต

       

      ไม่ว่าจะเทศกาลไหน ผิวเนียนใสได้ทุกวันที่ รมย์รวินท์คลินิก

      อยากมีผิวสวยใส ไร้ขนกวนใจ ออร่าเปล่งปลั่งกว่าใครในวันสงกรานต์ ต้องมาพิสูจน์ผลลัพธ์ที่ รมย์รวินท์คลินิก ไม่ว่าคุณมีปัญหาแบบไหน  Radiesse,  Profhilo, Rejuran,  Nu Pico Bright และ  Yag Laser 1064 ก็สามารถตอบโจทย์ปัญหาของคุณได้ ตั้งแต่การเพิ่มความชุ่มชื้น กระตุ้นคอลลาเจน ฟื้นฟูเซลล์ผิว แก้ปัญหาฝ้า กระ จุดด่างดำ ไปจนถึงการกำจัดขนทั่วเรือนร่าง เพื่อให้คุณสวยฉ่ำ พร้อมสาดความมั่นใจรับเทศกาลสงกรานต์ค่ะ

       

      *ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับบริการ

      *เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯกำหนด

      Oligio ลีนเหนียง ยุบแก้ม ให้หน้าคุณเดียร์ ยก แน่น เฟิร์ม

      Oligio ลีนเหนียง ยุบแก้ม คุณเดียร์

      Oligio ลีนเหนียง ยุบแก้ม คุณเดียร์ ให้ยก แน่น เฟิร์ม

       

      คุณเดียร์ ญาดา สาวเจ้ากิจกรรม สู้แดด สู้ลม แฟนชวนกินดึก ชอบออกกำลังกายกลางแจ้งจนหน้าโทรม ย้วย ไม่เฟิร์มกระชับเลย วันนี้ขอเปิด sos ให้รมย์รวินท์คลินิกช่วยจัดการอัปหน้าให้ลีน เฟิร์ม ยกความหย่อนคล้อยให้กระชับที รมย์รวินท์คลินิกก็จัดให้คุณเดียร์ตามคำขอไปเลยสิคะ!   

       

      เดียร์ชอบทำกิจกรรมกลางแจ้ง อย่างตีกอล์ฟเดียร์ชอบมากค่ะ ไลฟ์สไตล์ของเดียร์เป็นคนลุยๆ ไม่ห่วงเลยเรื่องแดด ลมค่ะ และอีกอย่างก็คือเดียร์เป็นคนชอบกินค่ะ พี่ฟาน (คุณสเตฟาน แฟนของคุณเดียร์) ชอบทำอาหารมากๆ ชอบทำดึกๆ มีสูตรอะไรเขาก็ชอบมาทำให้เราชิม กินดึกก็มีหน้าบวม เหนียงออกบ้าง ไหนจะกีฬากลางแจ้งอีก ทำหน้าเดียร์โทรมลงไปเหมือนกันค่ะ พอเจอคนรู้จัก เจอเพื่อนๆ เขาก็จะชอบทักเรา ว่าเราได้นอนบ้างมั้ย ทำงานเหนื่อยเกินไปหรือเปล่า เราก็จะตอบเขาไปว่าไม่นะ ฉันก็นอนปกตินะ (หัวเราะ) ตอนกระจกก็เห็นความหย่อนคล้อย ความย้อย ไม่เฟิร์มกระชับของใบหน้า แล้วยังพวกริ้วรอย ร่องลึกด้วย จนเดียร์คิดว่าไม่ได้ละ จะปล่อยให้ใครๆ มองฉันโทรมไม่ได้ ต้องยกกระชับ ผิวเฟิร์ม หน้าลีน ดูอ่อนเยาว์กว่านี้แล้วนะ เดียร์เลยมาจัดเลยค่ะที่รมย์รวินท์คลินิก ด้วยชื่อเสียงของรมย์รวินท์คลินิก ว่าคุณหมอเก่งอยู่แล้ว แล้วก็มีหลายสาขา เดียร์ก็ไว้ใจอยู่แล้วที่จะฝากหน้านี้ของเดียร์ไว้กับคุณหมอที่รมย์รวินท์คลินิกค่ะ

      วันนี้เดียร์มาดูแลผิวหน้ากับคุณหมอบีบี (พญ.ช่ออัญชัญ ปัญญาเอกะวิทู : ว.49909) คุณหมอน่ารักและใจดีมากค่ะ รับฟังปัญหาผิวของเดียร์และช่วยจัดการให้อย่างดีเลยค่ะ ก่อนทำหัตถการคุณหมอบีบีใช้เทคนิค Lifting Select ช่วยตรวจวิเคราะห์ผิวให้กับเดียร์ ผ่าน 3 เฟรมเวิร์ก ได้แก่ 

       

      Oligio ลีนเหนียง ยุบแก้ม คุณเดียร์
      ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล
      • Frame Selection ปรับปรุงและแก้ไขโครงหน้า ยกผิวที่หย่อนคล้อยให้ยกกระชับ ผิวอ่อนเยาว์
      • Light & Shadow Me ลดจุดบกพร่องและเพิ่มจุดเด่นให้ใบหน้าเล่นแสงเงา มีมิติมากยิ่งขึ้น
      • Conceal Selection ปรับผิวให้เนียนละเอียด จะซูมใกล้แค่ไหนก็ไม่มีจุดบกพร่องให้กวนใจ ไม่มีอะไรต้องปกปิด

       

      และคุณหมอบีบีบอกกับเดียร์ด้วยนะคะว่า เทคนิคนี้คิดค้นจากประสบการณ์กว่า 22 ปี ของทีมแพทย์ และมีเฉพาะที่รมย์รวินท์คลินิกเท่านั้นนะคะ

       

      หลังจากคุณหมอบีบีตรวจวิเคราะห์ผิวให้กับเดียร์แล้ว ก็เข้าสู่ขั้นตอนการแก้ปัญหาผิวกันเลยค่ะ โดยวันนี้คุณหมอเลือกแก้ปัญหาผิวให้เดียร์ด้วย Oligio ค่ะ คุณหมอบีบีบอกว่า Oligio เป็นเทคโนโลยียกกระชับ ช่วยแก้ไขเรื่องความหย่อนคล้อยของใบหน้า พวกริ้วรอย ร่องลึก และช่วยเรื่องงานผิวด้วยค่ะ Oligio รักษาด้วยเทคนิค Fast Moving Technique ที่มีความเสถียรและได้มาตรฐาน โดย Oligio จะปล่อยพลังงาน Monopolar RF เป็นพลังงานความร้อนที่ยิงลงสู่ผิวเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินให้กับผิว ทำให้ผิวที่หย่อนคล้อยยกกระชับมากขึ้นกว่าเดิม และ Oligio ยังช่วยฟื้นฟูโครงสร้างผิวให้มีความแข็งแรง เรียบเนียน ช่วยจัดเก็บริ้วรอย ร่องลึกให้ตื้นขึ้น ตึงขึ้น พร้อมกับปรับกรอบหน้าให้เรียว คมชัด มีมิติอีกด้วยค่ะ และ Oligio ยังปล่อยพลังงานความร้อนลงลึกถึงชั้นไขมัน ช่วยสลายแฟตส่วนเกินที่ห้อย ย้อย หย่อนคล้อย บริเวณแก้ม เหนียง คางสองชั้น ให้เฟิร์มขึ้น หน้าดูลีนขึ้นค่ะ ยังไม่พอค่ะ เพราะ Oligio นอกจากจะยกกระชับหน้า สลายแฟตส่วนเกินแล้ว ยังช่วยในเรื่องงานผิวด้วยนะคะ Oligio ช่วยปรับปรุงให้ผิวของเรามีคุณภาพดีขึ้น เนียนละเอียดขึ้น และ Oligio เป็นเทคโนโลยียกกระชับที่มีความปลอดภัยมาก เพราะ Oligio ผ่านการรับรองมาตรฐานจาก FDA อเมริการ ไทย ยูโรป ไทย และยังได้รับรางวัลการันตีคุณภาพจากประเทศเกาหลีด้วยค่ะ

       

      Oligio ลีนเหนียง ยุบแก้ม คุณเดียร์
      ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

       

      หลังจากที่เดียร์ได้ทำ Oligio เดียร์รสัมผัสได้ถึงความแตกต่างระหว่างก่อนและหลังทำ Oligio เลยค่ะ ก่อนหน้าที่จะทำ เดียร์เป็นคนผิวแห้ง มีสิว พอทำ Oligio รู้สึกว่ามันปรับสมดุลให้ผิวได้ดีขึ้น ทำให้หน้าเดียร์ดูดีขึ้น ดูสดชื่นเหมือนคนได้นอนอย่างเพียงพอ (หัวเราะ) เห็นได้ชัดเลยค่ะ โดยเฉพาะช่วงกรอบหน้า โครงหน้า มันชัดขึ้นมาก และผิวก็เด้ง อิ่มฟู ผิวเฟิร์ม หน้าลีนหน้าดูเด็กขึ้น แบบที่เดียร์ต้องการเลยค่ะ และคุณหมอบีบียังบอกว่า Oligio สามารถทำที่ตัวได้ด้วยนะคะ บางทีเราอาจจะหุ่นดีแล้ว เป๊ะแล้ว แต่ผิวยังไม่สวย ขาดความเฟิร์มกระชับก็ให้ Oligio จัดการได้เช่นกันค่ะ มาเปลี่ยนผิวโทรม แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย ให้สดใส เฟิร์ม กระชับ แบบเดียร์ได้ที่รมย์รวินท์คลินิกนะคะใกล้ที่ไหนไปที่นั่นค่ะ 

      Radiesse Plus ซีดี กันต์ธีร์ มุมไหนหน้าก็คมได้ดั่งใจ

      Radiesse Plus ซีดี กันต์ธีร์


      Radiesse Plus ซีดี กันต์ธีร์ มุมไหนหน้าก็คมได้ดั่งใจ

       

      คุณซีดี กันต์ธีร์ ศิลปินหนุ่มสุดหล่อเจ้าของเพลงฮิตที่มีเสน่ห์และคาแรกเตอร์เป็นของตัวเอง วันนี้ขอมาเพิ่มความหล่อ รีเซตผิว เสริมกรอบหน้าให้ดูดี คมชัดทุกมุมมอง ที่รมย์รวินท์คลินิกก่อนปล่อยซิงเกิลใหม่ซักหน่อย 

       

      Radiesse Plus ซีดี กันต์ธีร์
      ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

       

      เคล็ดลับความหล่อ เท่ ดูดีมีสไตล์เป็นของตัวเองน่ะหรือครับ ผมยกให้รมย์รวินท์คลินิกเป็นผู้ช่วยดูแลเลยครับ ทำไมต้องรมย์รวินท์คลินิกน่ะหรือ เพราะเขามีชื่อเสียงมาอย่างยาวนานถึง 22 ปี และมีสาขา 28 สาขาทั่วประเทศ ใครๆ ก็รู้จัก เพื่อน คนรู้จัก คนใกล้ตัวผมก็ไปเสริมความมั่นใจที่รมย์รวินท์คลินิกกันทั้งนั้นเลยครับ อย่างวันนี้ก็เช่นกัน ผมขอมาเพิ่มความดูดีให้ตัวเองก่อนปล่อยซิงเกิลใหม่ซักหน่อย โดยให้คุณหมอออย (พญ.อรุณี ทองอัครนิโรจน์ : ว.40692) ช่วยดูแลให้ครับ

       

      Radiesse Plus ซีดี กันต์ธีร์
      ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

       

      ก่อนเริ่มลงมือจัดการเสริมความหล่อ ดูดี คุณหมอจะใช้โปรแกรม Lifting Select ซึ่งเป็นเทคนิคเฉพาะของรมย์รวินท์คลินิกที่ช่วยตรวจวิเคราะห์ใบหน้าก่อนการเลือกหัตถการในการแก้ปัญหาผ่าน 3 เฟรมเวิร์กหลัก ก็คือ 

      • Frame Selection เทคนิคการปรับโครงหน้าและยกกระชับผิวให้กลับมาดูอ่อนกว่าวัย
      • Light & Shadow Me เทคนิคการเพิ่มิติให้กับใบหน้า โดยการลดจุดด้อย และเพิ่มจุดเด่นให้กับใบหน้า ดูดี สวยทุกองศา
      • Conceal Selection เทคนิคการตกแต่งรายละเอียดงานผิวให้มีความเรียบเนียนมากยิ่งขึ้น จนไม่มีอะไรต้องปกปิด 

       

      ซึ่งวันนี้ผมจะมาให้คุณหมอช่วยเพิ่มความดูดีในทั้ง 3 เฟรมเวิร์กด้วย Radiesse Plus ครับ ซึ่งขอบอกเลยว่าโปรแกรมนี้จะช่วยทั้งเรื่องความยกกระชับ กรอบหน้า และงานผิว ด้วยสารประกอบจากธรรมชาติอย่าง Calcium Hydroxylapatite หรือ CaHA ซึ่งเป็นสารประกอบที่ร่างกายมีอยู่แล้ว จึงไม่ทำให้เกิดการอักเสบ บวม หรือผลข้างเคียงต่อร่างกาย และยังมี Lidocaine ซึ่งทำหน้าที่เป็นยาชาช่วยบรรเทาความเจ็บปวดในขณะทำ Radiesse Plus

       

      Radiesse Plus ซีดี กันต์ธีร์
      ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

       

      ตอนนี้มันดูลิฟต์ขึ้นมาเลย จากตอนแรกที่รู้สึกว่าหน้าด้านขวาของผมจะดูใหญ่กว่าด้านซ้าย แต่ตอนนี้คุณหมอช่วยยกกระชับให้ดูดีทั้งสองข้างแล้ว และบริเวณกระเปาะแก้มก็ลดลง อีกทั้งความไม่แน่นเฟิร์มของผิวก็ลดลง จากตอนแรกที่ดึงแก้มแล้วยืดได้มาก หลังจากที่ทำRadiesse Plus ตอนนี้จะหันด้านซ้ายหรือด้านขวาก็มั่นใจมากขึ้นทุกมุมมอง หน้าของผมเข้ารูปมากขึ้น ผิวก็แน่นเฟิร์ม ดูดี คมชัดได้ทุกมุม ทุกองศา จะหน้ากล้องหรือตัวจริงก็มั่นใจมากขึ้นแล้วครับ สำหรับใครที่อยากหน้าเดฟ ยกกระชับ ผิวแน่นเฟิร์ม สุขภาพดีก็มาจัดกับ Radiesse Plus ที่รมย์รวินท์คลินิกนะครับ 

      Radiesse Plus คืออะไร 

      Radiesse Plus คือเทคโนโลยีที่ช่วยยกกระชับผิว พร้อมปรับโครงหน้าให้มีความคมชัด และมีมิติมากยิ่งขึ้น ด้วยสารประกอบจากธรรมชาติอย่าง Calcium Hydroxylapatite หรือ CaHA ซึ่งเป็นสารประกอบที่ร่างกายมีอยู่แล้ว จึงไม่ทำให้เกิดการอักเสบ บวม หรือผลข้างเคียงต่อร่างกาย แต่ช่วยสร้างตาข่ายผิวใหม่ที่ให้ผลลัพธ์ทั้ง 5 ประการ 

      • กระตุ้น Collagen Type 1 ได้ถึง 150% ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น และความยืดหยุ่นให้กับผิว ทำให้ผิวมีความเรียบเนียน ไร้ริ้วรอย
      • กระตุ้น Collagen Type 3 ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิวมีความเรียบเนียน
      • กระตุ้น Elastin ทำให้ผิวที่มีความหย่อนคล้อยยกกระชับยิ่งขึ้น
      • กระตุ้น Angiogenesis ช่วยทำให้ผิวมีความสมบูรณ์แข็งแรงมากยิ่งขึ้น
      • กระตุ้น Proteoglycan ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นอิ่มน้ำ เพิ่มความฉ่ำโกลว์ให้ผิว

       

      Radiesse Plus ซีดี กันต์ธีร์
      ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

       

      และ Radiesse Plus ยังช่วยฟื้นฟูโครงสร้างผิว และกรอบหน้าให้มีความยกกระชับด้วย 3 จุดเด่น ได้แก่

      • Lifting ช่วยเรื่องการยกกระชับ ปรับโครงหน้า และสร้างกรอบหน้าให้คม ชัดเจน ทำให้ใบหน้าดูมีมิติมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะบริเวณกราม คาง โหนกแก้ม
      • Contour ช่วยสร้างกรอบหน้าให้พุ่ง คม มีมิติ ด้วยการสร้างเส้น Z line Lift & Contour ลากตัดขอบที่ Cheek bone และ Jawline ด้วยสารเติมเต็มจากธรรมชาติ ช่วยทำให้ใบหน้าเรียวเล็ก และช่วยปรับโครงสร้างของใบหน้าให้มีความคมชัด 
      • Sustain Result ช่วยกระตุ้นการสร้างโครงหน้า และยกความหย่อนคล้อยของผิวให้ทีความกระชับมากขึ้นด้วยกระบวนการจากธรรมชาติ ทำให้ผิวมีความแข็งแรง อิ่มฟู ช่วยเติมร่องลึกให้ผิวดูอ่อนกว่าวัย ให้ผลลัพธ์ที่ยาวนานถึง 2 ปี 

      *ผลลัพธ์การรักษาอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับเฉพาะบุคคล 

      ทำไมต้องทำ Radiesse Plus

      • Radiesse Plus ช่วยปรับกรอบหน้า และโครงหน้าให้ชัดขึ้น
      • Radiesse Plus ช่วยยกความหย่อนคล้อยของผิวให้กระชับ แน่นเฟิร์ม
      • Radiesse Plus ช่วยเพิ่มมิติให้ใบหน้า พุ่ง คม ชัด
      • Radiesse Plus ช่วยให้ผิวแข็งแรง สุขภาพดี
      • Radiesse Plus ช่วยลดเลือนริ้วรอยให้ผิวดูอ่อนกว่าวัย
      • Radiesse Plus ช่วยให้ผิวยกกระชับ มีมิติ และอ่อนกว่าวัยได้นานถึง 2 ปี

      Radiesse Plus ฉีดบริเวณใดบ้าง

      • Radiesse Plus ฉีดบริเวณกรอบหน้า ช่วยยกกระชับผิว ปรับหน้าให้เรียว
      • Radiesse Plus ฉีดบริเวณโหนกแก้ม ยกผิวหย่อนคล้อยให้กระชับRadiesse Plus ฉีดบริเวณร่องแก้ม  เติมร่องริ้วรอยดูอ่อนกว่าวัย
      • Radiesse Plus ฉีดบริเวณสันกราม ช่วยเพิ่มความมีมิติให้ใบหน้า 
      • Radiesse Plus ฉีดบริเวณคาง เพิ่มมิติ แก้ปัญหาคางสั้น คางตัด

       

      อยากหน้ายกกระชับ พุ่ง คมชัด ดูมีมิติ ต้องRadiesse Plus ที่รมย์รวินท์คลินิกนะคะ 

      โปรสงกรานต์ Glow Never Goes เปียกแค่ไหน ก็สวยฉ่ำตลอดสงกรานต์นี้ที่รมย์รวินท์คลินิก

      โปรสงกรานต์ Glow Never Goes

      โปรสงกรานต์ Glow Never Goes เปียกแค่ไหน ก็สวยฉ่ำ

      สงกรานต์ปีนี้คนอื่นๆ เปียกน้ำ แต่!! รมย์รวินท์คลินิกจะทำให้คุณเปียกไปด้วยความสวยเปล่งประกาย เพราะ SONGKRAN Glow Never Goes เปียกแค่ไหน ผิวก็ไม่หมอง โกลว์แน่นตลอดสงกรานต์ กับโปรโมชันพิเศษ ที่สาดให้คุณแบบฉ่ำๆ เฉพาะสงกรานต์นี้เท่านั้น!! 

      โปรสงกรานต์ Glow Never Goes..สกัดทุกรอยสิว เผยผิวกระจ่างใส
      โปรสงกรานต์ Glow Never Goes..สกัดทุกรอยสิว เผยผิวกระจ่างใส

       

      โปรสงกรานต์ Glow Never Goes..สกัดทุกรอยสิว เผยผิวกระจ่างใส

      สงกรานต์นี้ หน้ามีแต่รอยสิว ผิวไม่สวยใส จนไม่กล้าออกไปสนุก ต้องลองจัดกับไอเท็มตัวเด็ดตัวนี้

      • โปรแกรม SMART LASER ร่องรอย ความหมองคล้ำไหนๆ ที่ว่าแน่ ถ้าได้เจอกับเลเซอร์ 2 พลังงานแสง เข้าไปรับรองว่าหน้าใสแน่ ทั้งช่วยลดรอยแดง รอยดำจากสิว และลดอาการอักเสบ เปลี่ยนความหมองคล้ำให้เป็นความกระจ่างใส ฟื้นฟูผิวให้ไบรท์ได้อย่างเร่งด่วน 
      • โปรแกรม BLINK IT UP ฟื้นฟูผิวด้วยวิตามิน ขจัดผิวหมองคล้ำให้ผิวเผยสู่ความกระจ่างใส ไร้ร่องรอย 

       

      เปียกแค่ไหน..ก็เผยกระจ่างใส ไร้รอยสิว ด้วย โปรแกรม SMART LASER  (เฉพาะจุด)

      ราคาเพียง 1,900.- (จากราคาปกติ 4,500.-) รับฟรี โปรแกรม BLINK IT UP

       

      • หรือ โปรแกรม SMART LASER  (ทั่วหน้า)

       

      ราคาเพียง 3,590.- (จากราคาปกติ 8,500.-) รับฟรี โปรแกรม BLINK IT UP

       

      โปรสงกรานต์ Glow Never Goes..รีเฟรชผิวหมอง ให้บริ้งค์ไบรท์ทั่วเรือนร่าง
      โปรสงกรานต์ Glow Never Goes..รีเฟรชผิวหมอง ให้บริ้งค์ไบรท์ทั่วเรือนร่าง

       

      โปรสงกรานต์ Glow Never Goes..รีเฟรชผิวหมอง ให้บริ้งค์ไบรท์ทั่วเรือนร่าง

      ทั้งเจอแดด ทั้งยมน้ำ จนผิวทั้งหมอง ทั้งโทรม ต้องมาดริปเติมความสดใสให้ผิว เปล่งประกายท้าแดด เล่นน้ำแค่ไหนก็ยังใส ด้วย

      • โปรแกรม  White skin & Detox เจอฝุ่น มลภาวะ ทำร่างกายโทรม ต้องดีท็อกซ์ ปรับสมดุลให้ร่างกายแข็งแรงจากภายใน สู่ผิวเปล่งประกายสุขภาพดีสู่ภายนอก ดริปตัวเดียวก็สวย สุขภาพดีได้  
      • โปรแกรมดริปวิตามิน C (BLINK) ผิวแห้ง ไม่สดใส ต้องบูสต์ผิวแบบเร่งด่วน ช่วยเติมน้ำให้ผิวชุ่มชื้น ปรับผิวให้กระจ่างใส ไบรท์ทั่วเรือนร่าง 

       

      เปียกแค่ไหน ก็บริ๊งค์ไบรท์ทั่วเรือนร่าง ด้วย โปรแกรม  White skin & Detox

      ราคาเพียง 3,299.- (จากราคาปกติ 4,400.-) รับฟรี โปรแกรม BLINK 

       

      โปรสงกรานต์ Glow Never Goes..3 สเตป ปังตั้งแต่ผิวยันปาก!
      โปรสงกรานต์ Glow Never Goes..3 สเตป ปังตั้งแต่ผิวยันปาก!

       

      โปรสงกรานต์ Glow Never Goes..3 สเตป ปังตั้งแต่ผิวยันปาก!

      ผิวหน้าสวยใส ไร้ร่องรอย ฝ้า กระ จุดด่างดำแล้ว ปากก็ต้องสวยอมชมพูน่าจุ๊บ สวยดูดีทั้งหน้าด้วย 

      • โปรแกรมดริปวิตามิน C (BLINK) ผิวแห้ง ไม่สดใส ต้องบูสต์ผิวแบบเร่งด่วน ช่วยเติมน้ำให้ผิวชุ่มชื้น ปรับผิวให้กระจ่างใส ไบรท์ทั่วเรือนร่าง 
      • โปรแกรม COLOR ICE หน้าร้อน ผิวร้อน ต้องทรีตเมนต์ที่ช่วยดับร้อนให้ผิวด้วยเทคโนโลยีความเย็นช่วยฟื้นฟูผิวแห้งเสีย ให้กลับมาสวย กระจ่างใส หน้าร้อนก็ไม่กลัว เพราะตอนนี้หน้ากระจ่างใสมาก 
      • โปรแกรม BABIES LIPS ปากคล้ำ ปากหมองต้องหลบไป เมื่อเจอกับตัวนี้ เลเซอร์ที่ช่วยเผยลดความหมองคล้ำให้ริมฝีปากอมชมพูดูสุขภาพดีอย่างเป็นธรรมชาติ 

       

      เปียกแค่ไหน ก็ปังตั้งแต่ผิวยันปาก 

      ราคาเพียง 3,999.- (จากราคาปกติ 8,400) 

       

      โปรสงกรานต์ Glow Never Goes..สวยปังแบบสุญญากาศ
      โปรสงกรานต์ Glow Never Goes..สวยปังแบบสุญญากาศ

       

      โปรสงกรานต์ Glow Never Goes..สวยปังแบบสุญญากาศ

      ผิวสวย เรียบเนียนแบบไม่มีอะไรมากั้น ไม่ว่าจะสงกรานต์หรือเทศกาลไหน หน้าก็ต้องสวยเป๊ะ ด้วย 

      • โปรแกรมฉีดโบท็อกซ์ B เปิดความสวยเรียบเนียนให้กับผิว ด้วยกระบวนการ Vacuum-drying ที่ผลิตด้วยระบบสุญญากาศ ที่ทำให้ตัวยามีความบริสุทธิ์ เสถียร และคงตัวดี ลดการเกิดผลข้างเคียง ให้ผลลัพธ์ความสวยแบบจัดเต็ม 

       

      เปียกแค่ไหน ก็สวยปังแบบสุญญากาศ ด้วย โปรแกรมฉีดโบท็อกซ์ B 50U

      ราคาเพียง 4,999.- (จากราคาปกติ 12,000.-)

      หรือ  100U ราคาเพียง 7,999.- (จากราคาปกติ 20,000.-)

       

      โปรสงกรานต์ Glow Never Goes..หน้าแน่น ชัดทุกมิติ
      โปรสงกรานต์ Glow Never Goes..หน้าแน่น ชัดทุกมิติ

       

      โปรสงกรานต์ Glow Never Goes..หน้าแน่น ชัดทุกมิติ

      วันหยุดยาวทั้งทีจะอยู่แต่บ้านได้ไง ต้องออกไปโชว์หน้าแน่น สวย ชัดทุกมิติ เพราะจัดมาแล้ว ด้วย 

      • โปรแกรม SUPER HIFU ยกกระชับขั้นสุด ปรับรูปหน้าให้คมชัด เรียวสวย พร้อมเก็บงานผิวให้เนียนละเอียด ล็อกความแน่นเฟิร์ม หน้า V-Shape ผิวดีไว้ที่หน้าคุณ 
      • โปรแกรม Oligio ที่สุดของความลีน ลด ยก เฟิร์ม ช่วยยกกระชับใบหน้าพร้อมแฟตส่วนเกิน แก้ม เหนียง คาง ให้หน้าเฟิร์ม และปรับงานผิวให้เนียนละเอียดมีคุณภาพดี จบในเครื่องเดียว 

       

      เปียกแค่ไหน ก็ยังหน้าแน่น กระชับ ชัดทุกมิติ ด้วย โปรแกรม SUPER HIFU 300 Lines + โปรแกรม Oligio 100 Lines

      ราคาเพียง 8,900.- (จากราคาปกติ 40,000.-) 

       

      ดับเบิลยก & เฟิร์ม ฟื้นฟูผิวหย่อนคล้อย 

      • โปรแกรม ULTRA LIFT เก็บทุกความหย่อนคล้อย ให้เป็นความยกกระชับ ลดเลือนทุกริ้วรอย ให้เป็นผิวอ่อนกว่าวัย เรื่องงานผิวก็ช่วยจัดเก็บความไม่เรียบเนียน ให้ผิวละเอียด สวยดูดีทุกมิติ 

       

      เปียกแค่ไหน หน้าก็ดับเบิลยก & เฟิร์ม ด้วย โปรแกรม ULTRA LIFT 200 Lines + โปรแกรม ULTRA LIFT 200 Lines

      ราคาเพียง 9,900.- (จากราคาปกติ 40,000.-)

       

      โปรสงกรานต์ Glow Never Goes..ขนเกลี้ยงไม่เลี้ยงตอ
      โปรสงกรานต์ Glow Never Goes..ขนเกลี้ยงไม่เลี้ยงตอ

       

      โปรสงกรานต์ Glow Never Goes..ขนเกลี้ยงไม่เลี้ยงตอ

      ออกไปเล่นน้ำ โชว์ผิวได้สนุก ไม่มีสะดุด เพราะผิวเนียนใส ไร้ขน ด้วย 

      • โปรแกรม YAG LASER 1064 เลเซอร์กำจัดขน ที่ยิงลงลึกได้ถึงตอ กำจัดขนได้ยกราก ไม่ทำให้ผิวระคายเคือง แต่ให้ความเนียน กระจ่างใสกับผิว ขนไหนๆ ก็ต้องพ่ายแพ้ 

       

      เปียกแค่ไหน ก็ขนเกลี้ยงไม่เลี้ยงตอ ด้วย โปรแกรม YAG LASER 1064 (รักแร้/แขน/ขา/ร่องก้น/บิกินี) มินิบุฟเฟต์ เพียง 10,000.- เหมาได้ทั้งตัว เลือกได้ทุกจุด

      ราคาเพียง 10,000.-

      สงกรานต์นี้ต้องอัปความสวยให้ฉ่ำ ตั้งแต่วันที่ 10 – 20 เมษายน 2568 ที่รมย์รวินท์คลินิกทุกสาขานะคะ 

       

      *โปรโมชันตั้งแต่วันที่ 10 – 20 เม.ย 68 เท่านั้น

      *โปรโมชันเฉพาะแพทย์ที่เข้าร่วมรายการเท่านั้น

      *โปรโมชันเฉพาะสาขาที่ร่วมรายการเท่านั้น  

      *ผลลัพธ์การรักษาอาจแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับเฉพาะบุคคล 

      *เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด โปรดตรวจสอบรายละเอียดเพิ่มเติมกับทางเจ้าหน้าที่

      ข้อดี-ข้อเสียของการฉีดฟิลเลอร์มีอะไรบ้าง? รวมสิ่งที่ต้องรู้ก่อนฉีด

      ข้อดี-ข้อเสียของโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์มีอะไรบ้าง? รวมสิ่งที่ต้องรู้ก่อนฉีด

      ข้อดี-ข้อเสียของการฉีดฟิลเลอร์มีอะไรบ้าง? รวมสิ่งที่ต้องรู้ก่อนฉีด

      เมื่อพูดถึงหัตถการเติมเต็มผิว พร้อมยกกระชับปรับรูปหน้า คงหนีไม่พ้น “การฉีดฟิลเลอร์” ซึ่งเป็นหัตถการความงามที่ได้ความนิยมสูงมากในปัจจุบัน เนื่องจากการฉีดฟิลเลอร์ มีคุณสมบัติในการเติมเต็มริ้วรอย ร่องลึก ยกกระชับปรับรูปหน้า และเพิ่มความอิ่มฟูให้กับผิว โดยไม่ต้องผ่าตัด และไม่ต้องพักฟื้นนาน โดยสามารถนำมาฉีดได้หลายบริเวณบนใบหน้า เช่น ร่องแก้ม ขมับ คาง ใต้ตา และริมฝีปาก แต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการฉีดฟิลเลอร์จะให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ และดูเป็นธรรมชาติ รวมถึง ยังมีข้อดีอื่น ๆ อีกมากมาย แต่การฉีดฟิลเลอร์นั้น ก็มีข้อเสียที่ควรพิจารณาก่อนตัดสินใจฉีดเช่นกัน

       

      บทความนี้ รมย์รวินท์คลินิกจะพาไปเจาะลึกทุกแง่มุมของการฉีดฟิลเลอร์ ตั้งแต่ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์ ไปจนถึงข้อเสียของการฉีดฟิลเลอร์ที่ควรระวัง เพื่อให้ได้รับข้อมูลอย่างครบถ้วนก่อนตัดสินใจทำการฉีดฟิลเลอร์ค่ะ

       

      การฉีดฟิลเลอร์ มีข้อดีอะไร?
      การฉีดฟิลเลอร์ มีข้อดีอะไร?

       

      เจาะลึกข้อดี-ข้อเสียของการฉีดฟิลเลอร์ อันตรายไหม? อัปเดต 2025

      การฉีดฟิลเลอร์ มีข้อดีอะไร?

      การฉีดฟิลเลอร์ นอกจากจะช่วยในการเติมเต็มริ้วรอย ร่องลึก และยกกระชับปรับรูปหน้าแล้ว ยังมีข้อดีอื่น ๆ อีกมากมายที่ทำให้การฉีดการฉีดฟิลเลอร์ ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางทั่วโลก โดยข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์ มีดังนี้

      • ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์ สามารถเห็นผลลัพธ์หลังฉีด

      หนึ่งในข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์ที่มีความโดดเด่น คือ สามารถเห็นผลการเปลี่ยนแปลงได้หลังฉีด โดยสาร Hyaluronic Acid (HA) จะเข้าไปเติมเต็ม เพิ่มปริมาตรให้ผิว และยกกระชับปรับรูปหน้าหลังฉีดเสร็จ ซึ่งจะเห็นได้เลยว่า ผิวหน้ามีความอิ่มฟู ริ้วรอย ร่องลึกดูตื้นขึ้น รวมถึง ใบหน้าดูเข้ารูป มีสัดส่วนที่สมดุล

      • ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์ ใช้เวลาในการฉีดไม่นาน

      การฉีดฟิลเลอร์ โดยปกติแล้ว จะใช้เวลาในการฉีดไม่นาน ประมาณ 15 – 30 นาทีเท่านั้น ซึ่งขึ้นอยู่กับบริเวณที่ฉีด และปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้ เนื่องจากการฉีดฟิลเลอร์ มีขั้นตอนในการฉีดที่ไม่ซับซ้อน และไม่ต้องผสมตัวยาก่อนฉีด จึงมีความสะดวกสบายในการใช้งาน ทำให้ใช้ระยะเวลาในการฉีดไม่นาน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเติมเต็ม หรือยกกระชับปรับรูปหน้า แต่มีเวลาจำกัด

      • ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์ สามารถย่อยสลายได้เอง 

      เนื่องจากการฉีดฟิลเลอร์ประเภท Hyaluronic Acid (HA) ไม่เสี่ยงอันตราย เมื่อฉีดไปแล้ว สามารถย่อยสลายได้เองตามกระบวนการของร่างกาย โดยส่วนใหญ่ จะคงอยู่ได้นาน ประมาณ 6 – 18 เดือนหลังฉีด ขึ้นอยู่กับยี่ห้อที่ใช้ บริเวณที่ฉีด และการดูแลตัวเองหลังฉีด ซึ่งจะไม่ทิ้งสารตกค้างไว้ในชั้นผิว จึงช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียง หรือปัญหาผิวอื่น ๆ ในอนาคต

      • ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์ ไม่ต้องพักฟื้นนานหลังฉีด

      การฉีดฟิลเลอร์ ไม่ต้องใช้เวลาในการพักฟื้นนาน หลังฉีดเสร็จสามารถกลับไปทำกิจกรรมต่าง ๆ หรือใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ ซึ่งแตกต่างจากการผ่าตัดศัลยกรรมที่ต้องใช้เวลาในการพักฟื้นหลายวัน ดังนั้น การฉีดฟิลเลอร์ จึงเป็นทางเลือกที่สะดวกสบาย เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการพักฟื้นนานหลังฉีด

      • ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์ สามารถแก้ไขง่ายหากไม่พอใจผลลัพธ์

      การฉีดฟิลเลอร์ที่มีส่วนประกอบของ Hyaluronic Acid (HA) สามารถแก้ไขได้ง่าย หากยังไม่พอใจในผลลัพธ์ที่ได้ เช่น ต้องการฉีดเพิ่มเมื่อผลลัพธ์เริ่มลดลง หรือต้องการฉีดสลายออกก็สามารถทำได้ โดยไม่เป็นอันตรายใด ๆ ซึ่งการฉีดสลายการฉีดฟิลเลอร์นั้น จะใช้เอนไซม์ Hyaluronidase ในการเข้าไปทำปฏิกิริยากับสาร HA ในฟิลเลอร์ โดยจะทำลายการยึดเกาะ และลดการอุ้มน้ำ จึงทำให้ฟิลเลอร์ค่อย ๆ สลายตัวไป จนผิวกลับมาเรียบเนียนเหมือนเดิม

      • ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์ สามารถปรับแต่งได้หลายบริเวณบนใบหน้า

      การฉีดฟิลเลอร์ สามารถปรับแต่ง หรือฉีดได้หลายบริเวณบนใบหน้า ไม่ว่าจะเป็นหน้าผาก ขมับ หน้าแก้ม ร่องแก้ม ใต้ตา คาง หรือริมฝีปาก ซึ่งการฉีดในแต่ละบริเวณจะใช้ปริมาณการฉีดฟิลเลอร์ และเทคนิคในการฉีดที่แตกต่างกันออกไป จึงสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งการเติมเต็มริ้วรอย ร่องลึก ยกกระชับปรับรูปหน้า หรือเพิ่มปริมาตรให้ผิวเฉพาะจุด

       

      การฉีดฟิลเลอร์ มีข้อเสียอะไร?
      การฉีดฟิลเลอร์ มีข้อเสียอะไร?

       

      การฉีดฟิลเลอร์ มีข้อเสียอะไร?

      การฉีดฟิลเลอร์ แม้จะมีข้อดีให้เห็นมากมาย แต่ก็มีข้อเสียที่ควรพิจารณาก่อนฉีดเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากทำการฉีดฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐาน แพทย์ที่ไม่มีความรู้ในการฉีด อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ โดยข้อเสียของการฉีดฟิลเลอร์ส่วนใหญ่ มีดังนี้

      • ข้อเสียของการฉีดฟิลเลอร์ จะให้ผลลัพธ์ไม่ถาวร

      การฉีดฟิลเลอร์ประเภท Hyaluronic Acid (HA) จะให้ผลลัพธ์ที่ไม่ถาวร โดยส่วนใหญ่ จะสามารถคงผลลัพธ์ได้ ประมาณ 6 – 18 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อที่ใช้ บริเวณที่ฉีด และการดูแลตัวเอง ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไป สาร HA ในการฉีดฟิลเลอร์จะค่อย ๆ สลายตัวไปเอง ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้ค่อย ๆ ยุบตัวลง จึงต้องมีการฉีดฟิลเลอร์ซ้ำเป็นประจำ เพื่อคงสภาพผลลัพธ์ให้สวยงามในระยะยาว

       

      • ข้อเสียของการฉีดฟิลเลอร์ มีความเสี่ยงหากฉีดโดยแพทย์ที่ไม่ชำนาญ

      การฉีดฟิลเลอร์มีความเสี่ยง หากฉีดโดยแพทย์ที่ไม่มีความชำนาญ การฉีดฟิลเลอร์ผิดตำแหน่ง หรือเลือกเนื้อของฟิลเลอร์ที่ไม่เหมาะสมกับบริเวณที่ฉีด อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงอันตรายต่อใบหน้าได้ เช่น ฟิลเลอร์จับตัวเป็นก้อน ใบหน้าผิดรูป หรือเสี่ยงต่อการอุดตันในเส้นเลือด จนถึงขั้นตาบอดได้เลยทีเดียว

      • ข้อเสียของการฉีดฟิลเลอร์ มีความเสี่ยงหากใช้การฉีดฟิลเลอร์ปลอม

      การฉีดฟิลเลอร์มีความเสี่ยง หากใช้ฟิลเลอร์ปลอมประเภทซิลิโคนเหลว หรือพาราฟินในการนำมาฉีดเข้าสู่ผิวหน้า ซึ่งการฉีดฟิลเลอร์ปลอมนั้น ใช้สารที่ไม่ได้มาตรฐาน ไม่ได้ผ่านการรับรองจาก อย. และไม่สามารถย่อยสลายได้เอง จึงเกิดการตกค้างอยู่ในชั้นผิวแบบถาวร ต้องแก้ไขด้วยการผ่าตัด เพื่อนำฟิลเลอร์ออกเท่านั้น ไม่สามารถฉีดสลายได้เหมือนการฉีดฟิลเลอร์ประเภท Hyaluronic Acid (HA)

       

      การฉีดฟิลเลอร์ มีข้อจำกัดอะไร?

      การฉีดฟิลเลอร์ มีข้อจำกัดสำหรับบุคคลในบางกลุ่ม ซึ่งหากฉีดการฉีดฟิลเลอร์เข้าไป อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ โดยผู้ที่ไม่เหมาะสำหรับการฉีดการฉีดฟิลเลอร์ มีดังนี้

      • การฉีดฟิลเลอร์ ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่เคยมีประวัติแพ้สารประกอบ Hyaluronic Acid (HA) ในการฉีดฟิลเลอร์ 
      • การฉีดฟิลเลอร์ ไม่เหมาะสำหรับ ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ และให้นมบุตร ควรหลีกเลี่ยงการฉีดฟิลเลอร์ เพื่อป้องกันผลกระทบต่อลูกน้อยในครรภ์
      • การฉีดฟิลเลอร์ ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาผิวหนังอักเสบ เป็นผื่นแพ้ หรือลมพิษ ควรรอให้อาการหายดีก่อน
      • การฉีดฟิลเลอร์ ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาเลือดออกง่าย หรือรับประทานยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด
      • การฉีดฟิลเลอร์ ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่เคยมีประวัติแพ้ขั้นรุนแรง ควรหลีกเลี่ยงการฉีดการฉีดฟิลเลอร์ไปก่อน
      • การฉีดฟิลเลอร์ ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือมีโรคที่เกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน 

      ทั้งนี้ ควรเข้ารับการปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับบริการ และแจ้งประวัติสุขภาพให้แพทย์ทราบอย่างละเอียด ตั้งแต่ประวัติโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา หรือประวัติการรักษาก่อนเข้ารับบริการ

       

      รู้จัก การฉีดฟิลเลอร์ คืออะไร?

      การฉีดฟิลเลอร์ (Filler) คือ สารเติมเต็มกลุ่ม Hyaluronic Acid (HA) ซึ่งเป็นสารสังเคราะห์ที่ผลิตขึ้นมา เพื่อเลียนแบบสารที่มีอยู่ในร่างกายมนุษย์ มีคุณสมบัติเด่นในการกักเก็บความชุ่มชื้น และอุ้มน้ำไว้ในชั้นผิว โดยการฉีดฟิลเลอร์นั้น ถูกนำมาใช้ในวงการแพทย์ความงามมาอย่างยาวนาน เนื่องจากการฉีดฟิลเลอร์ สามารถแก้ไขปัญหาผิวได้หลายรูปแบบ เช่น เติมเต็มริ้วรอย ร่องลึก ยกกระชับปรับรูปหน้า รวมถึง เพิ่มปริมาตรให้ผิวในบริเวณที่ผิวหนังเสื่อมสภาพ หรือเกิดการยุบตัวลงตามวัย เมื่อฉีดฟิลเลอร์เข้าไปยังผิวหนังแล้ว สาร HA จะเข้าไปเติมเต็มผิวหน้า ทำให้ผิวเรียบเนียน อิ่มฟู และอ่อนเยาว์อย่างดูเป็นธรรมชาติ

       

      ฉีดฟิลเลอร์ ฉีดบริเวณไหนได้บ้าง?
      ฉีดฟิลเลอร์ ฉีดบริเวณไหนได้บ้าง?

       

      ฉีดฟิลเลอร์ ฉีดบริเวณไหนได้บ้าง?

      การฉีดฟิลเลอร์ สามารถฉีดได้หลายบริเวณของใบหน้า เพื่อช่วยในการเติมเต็มริ้วรอย ร่องลึก และยกกระชับปรับรูปหน้าให้มีสัดส่วนที่สมดุล โดยบริเวณที่นิยมฉีดฟิลเลอร์ มีดังนี้

      • การฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก จะใช้ปริมาณการฉีดฟิลเลอร์ ประมาณ 3 – 5 CC ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และปัญหาของแต่ละบุคคล
      • การฉีดฟิลเลอร์ขมับ จะใช้ปริมาณการฉีดฟิลเลอร์ ประมาณ 2 – 4 CC ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และปัญหาของแต่ละบุคคล
      • การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา จะใช้ปริมาณการฉีดฟิลเลอร์ ประมาณ 2 – 4 CC ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และปัญหาของแแต่ละบุคคล
      • การฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ จะใช้ปริมาณการฉีดฟิลเลอร์ ประมาณ 2 – 4 CC ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และปัญหาของแต่ละบุคคล
      • การฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม จะใช้ปริมาณการฉีดฟิลเลอร์ ประมาณ 1 – 3 CC ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และปัญหาของแต่ละบุคคล
      • การฉีดฟิลเลอร์แก้มส้ม จะใช้ปริมาณการฉีดฟิลเลอร์ ประมาณ 1 – 2 CC ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และปัญหาของแต่ละบุคคล
      • การฉีดฟิลเลอร์ปาก จะใช้ปริมาณการฉีดฟิลเลอร์ ประมาณ 1 – 2 CC ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และปัญหาของแต่ละบุคคล
      • การฉีดฟิลเลอร์คาง จะใช้ปริมาณการฉีดฟิลเลอร์ ประมาณ 1 – 2 CC ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และปัญหาของแต่ละบุคคล

       

      การฉีดฟิลเลอร์แต่ละยี่ห้อ มีข้อดีอะไรบ้าง?

       

      การฉีดฟิลเลอร์แต่ละยี่ห้อ มีข้อดีที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งแต่ละยี่ห้อก็ถูกพัฒนาขึ้นมา เพื่อตอบโจทย์ปัญหาผิวที่แตกต่างกันไป โดยข้อดี หรือจุดเด่นของการฉีดฟิลเลอร์แต่ละยี่ห้อ ที่ได้รับการรับรองจาก อย. มีดังนี้

      • การฉีดฟิลเลอร์ยี่ห้อ Restylane เป็นฟิลเลอร์ที่ถูกพัฒนาโดยบริษัท Galderma ซึ่งมีการพัฒนามาอย่างยาวนานกว่า 25 ปี และถูกใช้งานในวงการแพทย์ความงามมามากกว่า 70 ประเทศทั่วโลก จึงไม่เสี่ยงอันตราย ได้รับการรับรองมาตรฐานจาก อย. ซึ่ง ฟิลเลอร์ Restylane จะใช้ 2 เทคโนโลยีในการผลิต ได้แก่ NASHA Technology และ OBT Technology ทำให้เนื้อเจลมีความเรียบเนียน ทนต่อแรงขยับได้ดี และมีความเป็นธรรมชาติสูง ไม่ไหลไม่เป็นก้อนได้ง่าย ซึ่งมีหลากหลายรุ่นให้เลือกใช้ ตามความเหมาะสมกับปัญหาของแต่ละบุคคล
      • การฉีดฟิลเลอร์ยี่ห้อ Juvederm เป็นฟิลเลอร์ที่ถูกพัฒนาโดยบริษัท Allergan ซึ่งมีประสบการณ์ด้านการผลิตฟิลเลอร์มายาวนานกว่า 36 ปี และถูกใช้งานในวงการแพทย์ความงามมามากกว่า 100 ประเทศทั่วโลก จึงไม่เสี่ยงอันตราย ได้รับการรับรองมาตรฐานจาก อย. ซึ่งฟิลเลอร์ Juvederm มีการใช้ 2 เทคโนโลยีในการผลิต ได้แก่ Hylacross Technology และ Vycross Technology สามารถนำมาฉีดเพื่อยกกระชับผิวได้ดี และมีความคงทนสูงมาก สามารถคงอยู่ได้ยาวนาน อีกทั้ง ยังมีส่วนผสมของยาชา (Lidocaine) จึงช่วยลดความรู้สึกเจ็บขณะฉีดได้ โดยฟิลเลอร์ Juvederm มีหลากหลายรุ่นให้เลือกใช้ ตามความเหมาะสมกับปัญหาของแต่ละบุคคล
      • การฉีดฟิลเลอร์ยี่ห้อ Belotero เป็นฟิลเลอร์ที่ถูกพัฒนาโดย Merz Aesthetics ได้รับการรับรองมาตรฐานจาก อย. จึงไม่เสี่ยงอันตราย ไม่ทิ้งสารตกค้างในร่างกาย ซึ่งฟิลเลอร์ Belotero มีการใช้ CPM Technology ในการผลิต มาพร้อมกับ 3 จุดเด่น ได้แก่ Cohesivity ทำให้ฟิลเลอร์สามารถยึดเกาะได้ดี, Elasticity ทำให้ฟิลเลอร์มีความยืดหยุ่นสูง และ Plasticity ทำให้กฟิลเลอร์สามารถปั้นทรงง่าย เมื่อฉีดฟิลเลอร์ Belotero เข้าไปแล้ว เนื้อเจลจะเรียบเนียนไปกับผิวอย่างกลมกลืน ไม่เป็นก้อนง่าย โดยฟิลเลอร์ Belotero มีหลากหลายรุ่นให้เลือกใช้ ตามความเหมาะสมกับปัญหาของแต่ละบุคคล

       

      ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์

      • ก่อนเริ่มทำการฉีดฟิลเลอร์ แพทย์จะทำการประเมินใบหน้า และสอบถามถึงปัญหาที่ต้องการแก้ไข เพื่อวางแผนการรักษาอย่างเหมาะสม
      • แพทย์จะแนะนำยี่ห้อ และเนื้อของฟิลเลอร์ที่เหมาะสม กับบริเวณที่ต้องการแก้ไข
      • เริ่มทำความสะอาดใบหน้า เพื่อป้องกันการติดเชื้อหลังฉีด
      • ทายาชา หรือฉีดยาชาเข้าไปยังบริเวณที่จะฉีดฟิลเลอร์ เพื่อลดความเจ็บขณะฉีด
      • เข้าสู่ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์ แพทย์จะทำการฉีดฟิลเลอร์ในบริเวณที่ต้องการปรับปรุง โดยใช้เทคนิคในการฉีดที่เหมาะสม เพื่อให้สาร HA ในฟิลเลอร์กระจายตัวอย่างทั่วถึง
      • เมื่อฉีดเสร็จ แพทย์จะแนะนำวิธีการปฏิบัติตัวหลังฉีด เพื่อให้สาร HA ในการฉีดฟิลเลอร์อยู่ได้นาน และหลีกเลี่ยงการเกิดผลข้างเคียง

       

      ข้อควรระวังหลังทำการฉีดฟิลเลอร์
      ข้อควรระวังหลังทำการฉีดฟิลเลอร์

       

      ข้อควรระวังหลังทำการฉีดฟิลเลอร์

      • หลังทำการฉีดฟิลเลอร์ หลีกเลี่ยงการสัมผัส หรือกดทับในบริเวณที่ทำการฉีดฟิลเลอร์ เพื่อป้องกันการเคลื่อนตัว
      • หลังทำการฉีดฟิลเลอร์ งดการออกกำลังกายอย่างหนัก เพื่อป้องกันอาการบวมช้ำ
      • หลังทำการฉีดฟิลเลอร์ งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และสูบบุหรี่ เพื่อป้องกันรอยช้ำหลังฉีด
      • หลังทำการฉีดฟิลเลอร์ งดการสัมผัสความร้อน เช่น ซาวน่า อบไอน้ำ หรือตากแดด เพื่อป้องกันอาการบวมแดงหลังฉีด 
      • หลังทำการฉีดฟิลเลอร์ งดการผลัดเซลล์ผิว เพื่อป้องกันการระคายเคืองหลังฉีด
      • หลังทำการฉีดฟิลเลอร์ งดการใช้เครื่องสำอาง หรือแต่งงานในบริเวณที่ฉีด ประมาณ 24 ชั่วโมงแรก เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
      • หลังทำการฉีดฟิลเลอร์ งดการเลเซอร์ความร้อนทุกชนิด ประมาณ 1 เดือนหลังฉีด เพื่อป้องกันการสลายตัวเร็ว

       

      ผลข้างเคียงจากการฉีดฟิลเลอร์

      ผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยหลังจากทำการฉีดฟิลเลอร์ไปแล้ว ส่วนใหญ่จะเป็นผลข้างเคียงทั่วไปที่ไม่เป็นอันตราย และสามารถหายได้เอง โดยหลังทำการฉีดฟิลเลอร์มีผลข้างเคียงเกิดขึ้น ดังนี้

      • อาการบวมแดงหลังฉีด ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยในบริเวณที่ฉีด โดยจะค่อย ๆ ดีขึ้น ภายใน 1 – 3 วันหลังฉีด
      • รอยฟกช้ำหลังฉีด ซึ่งอาจเกิดขึ้นในบางกรณี โดยเฉพาะผู้ที่ช้ำง่าย หรือมีเส้นเลือดฝอยเยอะ ซึ่งรอยเขียวช้ำจะค่อย ๆ ดีขึ้น ภายใน 1 – 2 สัปดาห์หลังฉีด
      • อาการปวดตึงหลังฉีด ซึ่งในบริเวณที่ฉีดอาจรู้สึกตึง ๆ หรือปวดระบมในบริเวณที่ฉีดได้ โดยจะค่อย ๆ ดีขึ้น ภายใน 1 สัปดาห์หลังฉีด

       

      Q&A รวมคำถามเกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์
      Q&A รวมคำถามเกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์

      Q&A รวมคำถามเกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์

      หลังทำการฉีดฟิลเลอร์ กี่วันเข้าที่?

      • การฉีดฟิลเลอร์ สามารถเห็นผลลัพธ์ที่ได้หลังฉีด แต่จะเห็นผลอย่างเต็มที่ เมื่ออาการบวมค่อย ๆ ลดลง และเนื้อฟิลเลอร์ค่อย ๆ กลืนเข้ากับผิวอย่างดูเป็นธรรมชาติ ประมาณ 2 – 4 สัปดาห์หลังฉีด แนะนำให้ดูแลตัวเอง และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด

       

      หลังทำการฉีดฟิลเลอร์ ไม่ควรรับประทานอะไร?

      หลังทำการฉีดฟิลเลอร์ ควรงด หรือหลีกเลี่ยงอาหารในบางประเภท เพื่อป้องกันการอักเสบ ติดเชื้อ หรือบวมช้ำหลังฉีด โดยอาหารที่ควรหลีกเลี่ยง มีดังนี้

      • หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด เผ็ดจัด หรือเค็มจัด อย่างน้อย 1 สัปดาห์หลังฉีด เพื่อป้องกันการอักเสบ หรือการระคายเคืองในบริเวณที่ฉีด
      • หลีกเลี่ยงอาหารดิบ หรือหมักดอง อย่างน้อย 1 – 2 สัปดาห์หลังฉีด เพื่อป้องกันการอักเสบ หรือติดเชื้อในบริเวณที่ฉีด
      • หลีกเลี่ยงอาหารปิ้งย่าง หรือชาบูที่ต้องนั่งหน้าเตาร้อน ๆ อย่างน้อย 1 – 2 สัปดาห์หลังฉีด เพื่อป้องกันไม่ให้สารสลายตัวเร็ว
      • หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกประเภท อย่างน้อย 2 – 3 วันหลังฉีด เพื่อป้องกันรอยช้ำ หรืออาการบวมในบริเวณที่ฉีด 

       

      การฉีดฟิลเลอร์ อันตรายไหม?

      • โดยทั่วไป ฟิลเลอร์ ถือเป็นสารเติมเต็มไม่เสี่ยงอันตราย หากใช้ฟิลเลอร์แท้ผ่านการรับรองจาก อย. และฉีดโดยแพทย์ ซึ่งอันตรายจากการฉีดฟิลเลอร์ ส่วนใหญ่มาจากการฉีดฟิลเลอร์ปลอม การฉีดฟิลเลอร์ที่ไม่มีคุณภาพ ฉีดโดยหมอเถื่อน แพทย์ที่ไม่มีความชำนาญ ภายในคลินิกที่ไม่ได้มาตรฐาน ทำให้เกิดอันตรายต่อใบหน้าได้ เช่น เกิดการอุดตันเส้นเลือด เกิดเนื้อตาย หรือถึงขั้นตาบอดได้

       

      หลังทำการฉีดฟิลเลอร์แล้วเป็นก้อน เกิดจากอะไร?

      หลังทำการฉีดฟิลเลอร์แล้วเป็นก้อน สามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งจากการฉีดฟิลเลอร์แท้ และการฉีดฟิลเลอร์ปลอม รวมถึง เทคนิคในการฉีดของแพทย์ที่ไม่ถูกต้อง โดยสาเหตุที่พบได้บ่อย มีดังนี้

      • ฉีดผิดชั้นผิว การฉีดฟิลเลอร์ควรฉีดให้ถูกชั้นผิวในตำแหน่งที่เหมาะสม หากฉีดตื้นเกินไป อาจทำให้เกิดก้อนแข็งใต้ผิวหนังได้
      • เลือกเนื้อไม่เหมาะกับบริเวณที่ฉีด ซึ่งเนื้อของฟิลเลอร์แต่ละประเภท จะมีลักษณะที่แตกต่างกันออกไป หากเลือกการฉีดฟิลเลอร์เนื้อแข็งไปฉีดบริเวณผิวชั้นตื้น ก็อาจทำให้เกิดการจับตัวเป็นก้อนได้ง่าย
      • ใช้ปริมาณมากเกินไป หากใช้การฉีดฟิลเลอร์ในปริมาณมากเกินไป อาจทำให้สารกระจายตัวไม่ดี และกองรวมกันเป็นก้อนได้

       

      หลังทำการฉีดฟิลเลอร์แล้วเป็นก้อน แก้ไขได้อย่างไร?

      • หลังทำการฉีดฟิลเลอร์แล้วเป็นก้อน สามารถแก้ไขได้ด้วยการฉีดสลาย โดยการใช้เอนไซม์ Hyaluronidase ในการสลายสารเติมเต็มประเภท Hyaluronic Acid (HA) เพื่อแก้ไขปัญหาฉีดฟิลเลอร์แล้วเป็นก้อน รฉีดฟิลเลอร์แล้วผิดรูป หรือฉีดฟิลเลอร์แล้วไม่พอใจในผลลัพธ์ ซึ่งการฉีดสลายฟิลเลอร์ จะทำให้ผิวหน้ากลับมาเรียบเนียนเป็นปกติเหมือนเดิม

       

      การฉีดฟิลเลอร์ เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่หลาย ๆ คนต่างให้ความสนใจ ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเติมเต็มริ้วรอย ร่องลึก และยกกระชับปรับรูปหน้า โดยที่ไม่ต้องพักฟื้น และไม่ต้องผ่าตัดหลังฉีด โดยข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์นอกจากจะเห็นผลลัพธ์หลังทำแล้ว ยังไม่เสี่ยงอันตราย ฉีดได้เกือบทุกบริเวณ และสามารถย่อยสลายได้ตามกระบวนการของร่างกาย รวมถึง แก้ไขได้ง่ายหากไม่พอใจ ดังนั้น สำหรับใครที่สนใจเติมเต็มริ้วรอย ร่องลึก และยกกระชับปรับรูปหน้าด้วยการฉีดฟิลเลอร์ แนะนำให้ศึกษาหาข้อมูลก่อนตัดสินใจ หรือสามารถเข้ามาปรึกษาแพทย์ได้ที่รมย์รวินท์คลินิก

       

      *ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับบริการ

      *เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

      วิธีสร้างกล้ามเนื้อช่องคลอดด้วย Emsella เก้าอี้กระชับช่องคลอดดีจริงไหม?

      วิธีสร้างกล้ามเนื้อช่องคลอดด้วย Emsella เก้าอี้กระชับช่องคลอดดีจริงไหม?

      วิธีสร้างกล้ามเนื้อช่องคลอดด้วย Emsella เก้าอี้กระชับช่องคลอดดีจริงไหม?

       

      ปัญหาใหญ่สำหรับสาว ๆ ที่อายุเริ่มมากขึ้น หรือคุณแม่หลังคลอด คือ ช่องคลอดไม่กระชับ รู้สึกช่องคลอดหลวม อาจเกิดจากภาวะกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแอ การสร้างกล้ามเนื้อจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่จะช่วยแก้ไขปัญหานี้ วิธีสร้างกล้ามเนื้อช่องคลอด ด้วย Emsella เก้าอี้กระชับช่องคลอดดีจริงไหม? ทางเลือกใหม่ กระชับช่องคลอด ลดปัสสาวะเล็ด โดยไม่ต้องผ่าตัด

       

      วิธีสร้างกล้ามเนื้อช่องคลอด : การสร้างกล้ามเนื้อช่องคลอด คืออะไร?

      กล้ามเนื้อช่องคลอด ก็ถือเป็นอีกหนึ่งกล้ามเนื้อในร่างกายที่ควรดูแล และให้ความสำคัญไม่แพ้ส่วนอื่น ๆ ในร่างกาย  โดยกล้ามเนื้อช่องคลอด ถือเป็นกล้ามเนื้อที่ช่วยรองรับอวัยวะภายในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็น กระเพาะปัสสาวะ มดลูก และลำไส้ หากกล้ามเนื้อช่องคลอดเกิดความอ่อนแอ อาจทำให้เกิดปัญหาช่องคลอดไม่กระชับ ปัสสาวะเล็ด หรือภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อนคล้อยได้ การสร้างกล้ามเนื้อช่องคลอดจะช่วยแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ 

      ซึ่งการสร้างกล้ามเนื้อช่องคลอด  คือ การกระตุ้นกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานให้แข็งแรงมากขึ้น โดยการออกกำลังกายบริการกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน หรือการใช้ตัวช่วย รวมถึงการดูแลสุขภาพโดยรวม 

       

      วิธีสร้างกล้ามเนื้อช่องคลอด : การสร้างกล้ามเนื้อช่องคลอด ช่วยเรื่องอะไรบ้าง?
      วิธีสร้างกล้ามเนื้อช่องคลอด : การสร้างกล้ามเนื้อช่องคลอด ช่วยเรื่องอะไรบ้าง?

       

      วิธีสร้างกล้ามเนื้อช่องคลอด : การสร้างกล้ามเนื้อช่องคลอด ช่วยเรื่องอะไรบ้าง?

      1. วิธีสร้างกล้ามเนื้อช่องคลอด ช่วยกระชับช่องคลอดให้ดีขึ้น ผู้ที่รู้สึกว่าช่องคลอดไม่กระชับ ไม่มีความมั่นใจในการใช้ชีวิตประจำวัน การออกกำลังกายบริการกล้ามเนื้อช่องคลอด จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรง และความยืดหยุ่น ให้ช่องคลอดดูกระชับขึ้น
      2. วิธีสร้างกล้ามเนื้อช่องคลอด ช่วยลดปัญหาปัสสาวะเล็ด เนื่องจากเมื่อกล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้น จะทำให้ควบคุมปัสสาวะได้ดีขึ้น ทำให้ลดปัญหากลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ปัสสาวะเล็ดเมื่อไอ จาม หรือออกกำลังกาย
      3. วิธีสร้างกล้ามเนื้อช่องคลอด ช่วยลดโอกาสเกิดภาวะอวัยวะอุ้งเชิงกรานหย่อนคล้อย เนื่องจากอุ้งเชิงกรานนั้นช่วยพยุงอวัยวะภายใน เช่น มดลูก และกระเพาะปัสสาวะ การสร้างกล้ามเนื้อช่องคลอด กระชับช่องคลอด จะช่วยลดความเสี่ยงของภาวะนี้
      4. วิธีสร้างกล้ามเนื้อช่องคลอด ช่วยฟื้นฟูสุขภาพอุ้งเชิงกรานในวัยทอง เมื่ออายุเพิ่มขึ้นกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอาจเสื่อมสภาพ การสร้างกล้ามเนื้อจะช่วยกระชับช่องคลอด และทำให้ระบบต่าง ๆ ในร่างกายทำงานได้ดีขึ้น
      5. วิธีสร้างกล้ามเนื้อช่องคลอด ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของร่างกาย การมีกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานที่แข็งแรง จะช่วยทำให้ร่างกายมีความสมดุล เคลื่อนไหวได้ดีขึ้น กระชับช่องคลอด  และยังช่วยลดอาการปวดหลังล่างได้
      6. วิธีสร้างกล้ามเนื้อช่องคลอด ช่วยเพิ่มความสุขทางเพศ เมื่อมัดกล้ามเนื้อบริเวณอุ้งเชิงกราน หรือช่องคลอดมีความแข็งแรงและยืดหยุ่นขึ้น จะช่วยทำให้ควบคุมการหดเกร็งของช่องคลอดได้ดีขึ้น กระชับช่องคลอด ช่วยทำให้ความพึงพอใจทางเพศมีมากขึ้น
      7. วิธีสร้างกล้ามเนื้อช่องคลอด ช่วยให้การฟื้นตัวหลังคลอดเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับคุณแม่หลังคลอดที่มีปัญหาช่องคลอดไม่กระชับ หรือฟื้นตัวได้ช้า ต้องการกระชับช่องคลอด การออกกำลังกายกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน จะช่วยให้ฟื้นตัวได้ดีมากขึ้น

       

      วิธีสร้างกล้ามเนื้อช่องคลอด : กล้ามเนื้อช่องคลอด คืออะไร? สำคัญอย่างไร?

      หลาย ๆ คนอาจจะมีความสงสัยว่า กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน มีความสำคัญอย่างไรกับร่างกาย ? โดย กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน คือ กลุ่มกล้ามเนื้อที่ช่วยรองรับอวัยวะสำคัญในช่องท้องส่วนล่าง เช่น มดลูก กระเพาะปัสสาวะ และลำไส้ ซึ่งกล้ามเนื้อเหล่านี้จะทำการเชื่อมต่อกันเป็นชั้น ๆ เพื่อช่วยพยุงอวัยวะภายใน และมีบทบาทสำคัญในหลากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น การควบคุมการขับถ่าย ช่วยป้องกันภาวะปัสสาวะเล็ด รวมถึงส่งเสริมสุขภาพทางเพศให้ดีมากขึ้น การสร้างกล้ามเนื้อจะช่วยกระชับช่องคลอด ช่วยลดปัญหาสุขภาพต่าง ๆ ได้

       

      วิธีสร้างกล้ามเนื้อช่องคลอด กระชับช่องคลอด ให้แข็งแรง
      วิธีสร้างกล้ามเนื้อช่องคลอด กระชับช่องคลอด ให้แข็งแรง

       

      วิธีสร้างกล้ามเนื้อช่องคลอด กระชับช่องคลอด ให้แข็งแรง

      สำหรับผู้หญิงแล้วนั้นเมื่อยิ่งอายุมากขึ้น หรือเคยผ่านการคลอดลูกมาแล้วนั้น การที่ช่องคลอดจะเกิดความไม่กระชับสามารถเกิดขึ้นได้ ทั้งนี้ การดูแลตัวเองให้สุขภาพแข็งแรงจึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมาก วิธีสร้างกล้ามเนื้อช่องคลอดให้มีความแข็งแรง การกระชับช่องคลอด สามารถทำได้หลายวิธี ดังนี้

      • กระชับช่องคลอดด้วยการบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน

      การกระชับช่องคลอด ด้วยการบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน (Kegel Exercise) เรียกได้ว่าเป็นวิธีสร้างกล้ามเนื้อช่องคลอดที่ได้รับความนิยม โดยการทำ Kegel Exercise กระชับช่องคลอด คือ การฝึกขมิบกล้ามเนื้อช่องคลอดอย่างสม่ำเสมอ  สามารถทำได้ง่าย ๆ ที่บ้าน โดยการขมิบกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานค้างไว้ 5-10 วินาที แล้วคลายออก ทำซ้ำ 10-15 ครั้งต่อเซต วันละ 3-4 เซต เพื่อเป็นการบริการกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานให้มีความแข็งแรง ยืดหยุ่น และยังช่วยกระชับช่องคลอดได้ดี

      • กระชับช่องคลอดด้วยการออกกำลังกายโยคะ หรือพิลาทิส

      การกระชับช่องคลอด ด้วยการออกกำลังกายแบบโยคะ หรือพิลาทิส เป็นการออกกำลังกายที่ได้รับความนิยมมาก นอกจากจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น ความแข็งแรงให้กับร่างกายแล้วนั้น  ในบางท่านั้นยังช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน ช่วยกระชับช่องคลอดได้ เช่น ท่าสะพาน (Bridge Pose) ท่าแมวและวัว (Cat-Cow Stretch) ท่าเด็ก (Child’s Pose)  หรือพิลาทิสท่าสควอท (Deep Squat)

      • กระชับช่องคลอดด้วยการดูแลสุขภาพร่างกายให้ดี

      การกระชับช่องคลอด ด้วยการดูแลสุขภาพร่างกายโดยรวม จะช่วยเสริมสร้างร่างกายทุกส่วนให้แข็งแรง สำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับช่องคลอดไม่กระชับ หรืออยากหาวิธีสร้างกล้ามเนื้อช่องคลอด กระชับช่องคลอด สามารถดูแลสุขภาพได้ด้วย การควบคุมน้ำหนัก การดื่มน้ำให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ หมั่นออกกำลังกายอย่างเสม่ำเสมอ และหลีกเลี่ยงการกลั้นปัสสาวะนานเกินไป เพื่อช่วยให้ร่างกายสามารถฟื้นฟูกล้ามเนื้อต่าง ๆ ได้อย่างเต็มที่

      • กระชับช่องคลอดด้วย Emsella กระชับช่องคลอด

      การกระชับช่องคลอด ด้วย Emsella กระชับช่องคลอด เก้าอี้กระชับช่องคลอด เป็นการรักษาช่องคลอดไม่กระชับที่ใช้พลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแรงสูง (HIFEM) ที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ฟื้นฟูความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และกระตุ้นกล้ามเนื้อบริเวณอุ้งเชิงกรานให้เกิดการหดตัวคล้ายการขมิบอย่างต่อเนื่อง ได้มากถึง 11,200 ครั้งใน 28 นาที ทำให้มีส่วนช่วยกระชับช่องคลอดได้ โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่เจ็บ และไม่ต้องพักฟื้น 

       

      วิธีสร้างกล้ามเนื้อช่องคลอด : Emsella กระชับช่องคลอด คืออะไร? กระชับช่องคลอด โดยไม่ต้องผ่าตัด
      วิธีสร้างกล้ามเนื้อช่องคลอด : Emsella กระชับช่องคลอด คืออะไร? กระชับช่องคลอด โดยไม่ต้องผ่าตัด

       

      วิธีสร้างกล้ามเนื้อช่องคลอด :  Emsella กระชับช่องคลอด คืออะไร? กระชับช่องคลอด โดยไม่ต้องผ่าตัด

      ทางเลือกใหม่สำหรับผู้ที่มีปัญหาช่องคลอดไม่กระชับ ต้องการวิธีสร้างกล้ามเนื้อช่องคลอด  Emsella กระชับช่องคลอด เป็นเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ออกแบบมาเพื่อเสริมสร้างและฟื้นฟูกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานโดยใช้พลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความเข้มข้นสูง (HIFEM) ที่ช่วยกระตุ้นการหดตัวของกล้ามเนื้อ สร้างความแข็งแรง กระชับช่องคลอด เพิ่มความยืดหยุ่นให้กับกล้ามเนื้อช่องคลอด ทำให้ลดปัญหาช่องคลอดหลวม ช่องคลอดไม่กระชับ ปัสสาวะเล็ด หรือความรู้สึกทางเพศลดลง

       Emsella กระชับช่องคลอด ถือเป็นตัวช่วยสำหรับผู้ที่มีปัญหาปัสสาวะเล็ด กล้ามเนื้อช่องคลอดหย่อนคล้อย หรือผู้ที่ต้องการเสริมสร้างความแข็งแรงของอุ้งเชิงกราน กระชับช่องคลอด โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น สามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ

       

      วิธีสร้างกล้ามเนื้อช่องคลอด :  Emsella กระชับช่องคลอด ช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้อช่องคลอดได้อย่างไร?

       Emsella กระชับช่องคลอด ช่วยแก้ปัญหาช่องคลอดไม่กระชับ ปัสสาวะเล็ด หรือกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานไม่แข็งแรง โดยใช้พลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความเข้มข้นสูง HIFEM ช่วยกระตุ้นการหดตัวของกล้ามเนื้อมากกว่า 11,200 ครั้งใน 28 นาที คล้ายการขมิบอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสามารถทำได้ง่าย ๆ เพียงการนั่งบนเก้าอี้  Emsella กระชับช่องคลอด 28 นาที  ไม่ต้องเปลี่ยนชุด สะดวก ประหยัดเวลา

      ข้อดีของ Emsella กระชับช่องคลอด

      • ไม่ต้องออกแรงเอง เพียงแค่นั่งบนเก้าอี้ 20-30 นาที แต่ให้ผลลัพธ์เทียบเท่ากับการขมิบอย่างต่อเนื่อง
      • ไม่เป็นอันตราย ไม่มีการสอดอุปกรณ์ ไม่ต้องผ่าตัด และไม่ต้องพักฟื้น
      • เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาปัสสาวะเล็ด หรือกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแอ ช่องคลอดไม่กระชับ ต้องการเพิ่มความรู้สึกทางเพศ

       

      วิธีสร้างกล้ามเนื้อช่องคลอด : เทคโนโลยีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (HIFEM) ทำงานอย่างไร?

      คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า HIFEM (High-Intensity Focused Electromagnetic) เป็นพลังงานที่ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย นิยมใช้ในการรักษาปัญหาความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้ออ่อนแอ หรือผู้ที่ต้องการสร้างกล้ามเนื้อ โดยเทคโนโลยี HIFEM นำมาใช้ร่วมกับ Emsella กระชับช่องคลอด ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยกระตุ้นการหดตัวของกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยระหว่างทำ Emsella กระชับช่องคลอด ผู้เข้ารับบริการจะต้องนั่งบนเก้าอี้ที่ปล่อยพลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า จากนั้นพลังงานจะลงไปที่บริเวณอุ้งเชิงกราน

      โดยคลื่นพลังงานจะกระตุ้นให้กล้ามเนื้อหดตัวมากถึง 11,200 ครั้งใน 28 นาที เทียบเท่ากับการออกกำลังกายแบบ Kegel หรือการขมิบโดยไม่ต้องออกแรง ซึ่งการกระตุ้นจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยที่ผู้รับบริการไม่ต้องออกแรงเอง

       

      วิธีสร้างกล้ามเนื้อช่องคลอด : ข้อดีของการทำ Emsella กระชับช่องคลอด บริหารกล้ามเนื้อช่องคลอด

      กระชับช่องคลอดด้วย Emsella กระชับช่องคลอด ดีอย่างไร?  Emsella กระชับช่องคลอด ถือเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมสูง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน และต้องการกระชับช่องคลอดโดยไม่ต้องผ่าตัด นอกจากนี้ Emsella กระชับช่องคลอด ยังมีความโดดเด่นอีกมากมาย ได้แก่

      •  Emsella กระชับช่องคลอด ช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานและลดอาการปัสสาวะเล็ด

      ปัญหาหลักที่ผู้หญิงหลายคนต่างพบเจอเมื่ออยู่ในช่วงหลังคลอด หรือภาวะวัยทอง คือ กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแอ ที่อาจส่งผลให้เกิดอาการปัสสาวะเล็ด หรือกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ 

      ซึ่งการทำ Emsella กระชับช่องคลอด จะใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า HIFEM กระตุ้นกล้ามเนื้อให้หดตัวกว่า 11,200 ครั้งต่อการรักษาเพียง 28 นาที เพื่อช่วยฟื้นฟูความแข็งแรงของอุ้งเชิงกรานที่ช่วยควบคุมการปัสสาวะให้ดีขึ้น กระชับช่องคลอด จึงเหมาะสำหรับคุณแม่หลังคลอด ผู้ที่มีภาวะปัสสาวะเล็ด หรือผู้ที่มีอาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่

      •  Emsella กระชับช่องคลอด เสริมความมั่นใจในชีวิตคู่

      เมื่ออายุมากขึ้นอาจส่งผลให้กล้ามเนื้อช่องคลอดเกิดความหย่อนคล้อย และส่งผลต่อความมั่นใจในชีวิตคู่รวมถึงสุขภาพทางเพศ ซึ่งการทำ Emsella กระชับช่องคลอด จะสามารถช่วยกระชับกล้ามเนื้อช่องคลอด ช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดทำงานได้ดีขึ้น ทั้งยังช่วยเพิ่มความรู้สึกระหว่างการทำกิจกรรมทางเพศได้มากขึ้น ช่วยเพิ่มความมั่นใจในการใช้ชีวิตคู่ และส่งผลดีต่อสุขภาพโดยรวมได้

      •  Emsella กระชับช่องคลอด ไม่เป็นอันตราย ไม่เจ็บ ไม่ต้องพักฟื้น

      ถือเป็นหนึ่งในข้อดีที่ทำให้ Emsella กระชับช่องคลอด ได้รับความนิยมสูงเลยก็ คือ การทำหัตถการโดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีแผล ไม่ต้องใช้ยา และไม่มีผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย โดยการทำ Emsella กระชับช่องคลอด นั้นผู้รับบริการสามารถนั่งบนเก้าอี้ โดยไม่ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้า เมื่อครบเวลาการรักษาก็สามารถกลับบ้านได้ ทำให้หลังจากทำกระชับช่องคลอดสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ โดยไม่ต้องพักฟื้น เหมาะสำหรับคนที่ต้องการความสะดวกสบาย ไม่อยากผ่าตัด ไม่มีเวลาในการพักฟื้น

      •  Emsella กระชับช่องคลอด ใช้เวลาสั้น แต่ให้ผลลัพธ์ที่ยาวนาน

      การกระชับช่องคลอดด้วย Emsella กระชับช่องคลอด จะใช้เวลาเพียง 20-30 นาทีต่อครั้ง ซึ่งทำให้มีความสะดวกสบาย ประหยัดเวลา  ผู้เข้ารับบริการไม่ต้องออกแรง ก็สามารถเห็นผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ โดยการทำ Emsella กระชับช่องคลอด ผลลัพธ์จะค่อย ๆ ดีขึ้น เมื่อทำประมาณ 3-6 ครั้งขึ้นไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล ซึ่งผลลัพธ์นั้นสามารถอยู่ได้นาน และยังสามารถเข้ารับการรักษาซ้ำเพื่อคงผลลัพธ์ได้ โดยไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย

       

      วิธีสร้างกล้ามเนื้อช่องคลอด : ทำไมต้องเลือก Emsella กระชับช่องคลอด
      วิธีสร้างกล้ามเนื้อช่องคลอด : ทำไมต้องเลือก Emsella กระชับช่องคลอด

       

      วิธีสร้างกล้ามเนื้อช่องคลอด : ทำไมต้องเลือก Emsella กระชับช่องคลอด

      •  Emsella กระชับช่องคลอด ไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีแผล ไม่มีความเจ็บปวด
      •  Emsella กระชับช่องคลอด สะดวก ใช้ระยะเวลาสั้นเพียง 30 นาทีต่อครั้ง
      •  Emsella กระชับช่องคลอด สามารถเห็นผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงได้หลังทำต่อเนื่อง 3-6 ครั้ง
      •  Emsella กระชับช่องคลอด ได้รับการรับรองมาตรฐานจากสากล ว่าไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายและสามารถให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ
      •  Emsella กระชับช่องคลอด สะดวกสบายเพียงนั่งบนเก้าอี้ ไม่มีการใช้เครื่องมือสอดเข้าไปในร่างกาย
      •  Emsella กระชับช่องคลอด ช่วยกระชับช่องคลอด ลดปัสสาวะเล็ด และเพิ่มความมั่นใจในชีวิตคู่

       

       Emsella กระชับช่องคลอด เหมาะกับใครบ้าง?

      การกระชับช่องคลอดด้วย  Emsella กระชับช่องคลอด เป็นวิธีทางการแพทย์ที่ได้รับการยอมรับว่าไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย สามารถแก้ปัญหาปัสสาวะเล็ด กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ช่องคลอดไม่กระชับ รวมถึงปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพทางเพศได้เป็นอย่างดี จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหา ดังนี้ 

      •  Emsella กระชับช่องคลอด เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาช่องคลอดหลวม ช่องคลอดไม่กระชับจากการคลอดบุตร
      •  Emsella กระชับช่องคลอด เหมาะกับผู้ที่มีภาวะปัสสาวะเล็ด หรือกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ขณะไอ จาม หรือหัวเราะ
      •  Emsella กระชับช่องคลอด เหมาะกับผู้ที่เข้าสู่วัยทองที่มีฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง และต้องการฟื้นฟูกล้ามเนื้อบริเวณอุ้งเชิงกราน
      •  Emsella กระชับช่องคลอด เหมาะกับผู้ที่ไม่มีเวลาออกกำลังกายบริการกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน
      •  Emsella กระชับช่องคลอด เหมาะกับผู้หญิงที่มีปัญหาช่องคลอดแห้ง เกิดการระคายเคือง
      •  Emsella กระชับช่องคลอด เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาเสื่อมสมรรถภาพทางเพศเล็กน้อย

      ทั้งนี้ ผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ แจ้งโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา หรือประวัติการรักษา ก่อนเข้ารับการบริการ

       

      ใครบ้างที่ไม่ควรทำ Emsella กระชับช่องคลอด

      การรักษาด้วย Emsella กระชับช่องคลอด เป็นการรักษาด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความเข้มข้นสูง (HIFEM) ที่สามารถทำได้กับทุกเพศ ก็มีข้อจำกัดบางอย่างสำหรับในบางกลุ่มที่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับการรักษา เพราะอาจจะเกิดความเสี่ยง และเกิดอันตรายขณะรักษาได้ ดังนี้ 

      •  Emsella กระชับช่องคลอด ไม่เหมาะกับผู้ที่แพ้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
      •  Emsella กระชับช่องคลอด ไม่เหมาะกับผู้ที่มีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทางการแพทย์ฝังในร่างกาย เช่น เครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemaker) เครื่องช่วยฟังแบบฝังถาวร (Cochlear Implant) อุปกรณ์ประสาทเทียม หรืออุปกรณ์ควบคุมระบบประสาท รวมถึงอุปกรณ์โลหะฝังในร่างกาย เช่น ข้อเข่าเทียม หรือโลหะดามกระดูก
      •  Emsella กระชับช่องคลอด ไม่เหมาะกับผู้ที่กำลังตั้งครรภ์หรืออยู่ระหว่างการให้นมบุตร
      •  Emsella กระชับช่องคลอด ไม่เหมาะกับผู้ที่มีโรคประจำตัวรุนแรงบางชนิด เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวานเรื้อรัง โรคความดันโลหิตสูง โรคมะเร็ง และโรคทางระบบประสาท 
      •  Emsella กระชับช่องคลอด ไม่เหมาะกับผู้ที่กำลังใช้ยารักษาโรคบางชนิดยาบางประเภท 
      •  Emsella กระชับช่องคลอด ไม่เหมาะกับผู้ที่กำลังมีประจำเดือน
      •  Emsella กระชับช่องคลอด ไม่เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาด้านระบบไหลเวียนโลหิต

      ทั้งนี้ ผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ แจ้งโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา หรือประวัติการรักษา ก่อนเข้ารับการบริการ

       

      ข้อควรระวังและข้อจำกัดของ Emsella กระชับช่องคลอด

      แม้ว่า Emsella กระชับช่องคลอด จะเป็นเทคโนโลยีที่ได้รับการยอมรับในการฟื้นฟูและกระชับกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานให้มีความแข็งแรง โดยไม่ต้องผ่าตัด และใช้ระยะเวลาในการทำกระชับช่องคลอดไม่นาน แต่เนื่องด้วยเป็นการรักษาโดยใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความเข้มข้นสูง (HIFEM) ก็อาจจะมีข้อจำกัดบางประการ ที่ควรพิจารณาก่อนเข้ารับการรักษา

      • การเข้ารับการรักษากระชับช่องคลอดด้วย Emsella กระชับช่องคลอด ห้ามสวมใส่เครื่องประดับที่เป็นโลหะ เช่น สร้อยคอ แหวน ต่างหู เพราะอาจรบกวนพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้า ควรถอดออกก่อนเข้ารับการรักษา
      • หลังทำการรักษากระชับช่องคลอดด้วย Emsella กระชับช่องคลอด สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้
      • การทำ Emsella กระชับช่องคลอด อาจต้องเข้ารับการรักษาหลายครั้ง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ แพทย์จะทำการประเมินปัญหาและวางแผนการรักษา โดยปกติจะทำการรักษาประมาณ 6 ครั้ง ทั้งนี้ ผลลัพธ์ในการรักษาอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล 
      • ค่าใช้จ่ายของการรักษากระชับช่องคลอดด้วย Emsella กระชับช่องคลอด อาจมีราคาที่ค่อนข้างสูง ซึ่งแต่ละคลินิกก็จะมีราคาที่แตกต่างกันไป 
      •  Emsella กระชับช่องคลอด ต้องได้รับการรักษาภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น ควรเลือกรับบริการกระชับช่องคลอดจากสถานพยาบาลที่มีแพทย์เป็นผู้ประเมินปัญหา และให้คำแนะนำที่เหมาะสม

      ทั้งนี้ ผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ แจ้งโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา หรือประวัติการรักษา ก่อนเข้ารับการบริการ

       

      ภาวะกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแรง คืออะไร?

      ภาวะกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแรง เป็นภาวะที่เมื่อผู้หญิงเริ่มมีอายุที่มากขึ้น หรือผ่านการคลอดบุตรมากนั้นสามารถเกิดได้ ซึ่ง ภาวะกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแรง หมายถึง ภาวะที่กล้ามเนื้อบริเวณอุ้งเชิงกรานและช่องคลอดสูญเสียความแข็งแรงและความยืดหยุ่น ส่งผลให้ช่องคลอดไม่กระชับ มีปัญหากับการควบคุมปัสสาวะ ทำให้ปัสสาวะเล็ด กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ตลอดจนปัญหาเกี่ยวกับความพึงพอใจทางเพศ  และสุขภาพภายในกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานที่อาจมีปัญหาได้

       

      สาเหตุของภาวะกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแรง

      กล้ามเนื้อช่องคลอดอ่อนแอ สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ซึ่งปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานและช่องคลอดนั้น อาจจะเกิดได้จากทั้งโครงสร้างภายในร่างกาย หรือพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่อาจจะทำให้เกิดกล้ามเนื้อช่องคลอดอ่อนแอได้ 

      1. การตั้งครรภ์และการคลอดบุตร 

      การตั้งครรภ์และการคลอดบุตรตามธรรมชาตินั้น จะทำให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานขยายตัวมากกว่าปกติ ส่งผลให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงลงหลังคลอด ซึ่งหากไม่มีการฟื้นฟูหรือบริหารกล้ามเนื้อ อาจทำให้เกิดปัญหาปัสสาวะเล็ด หรือช่องคลอดไม่กระชับตามมาได้

      1. อายุที่เพิ่มขึ้น

      เมื่ออายุมากขึ้นและเริ่มเข้าสู่วัยทอง กล้ามเนื้อบริเวณต่าง ๆ ก็อาจจะเริ่มหย่อนคล้อย โดยเฉพาะเมื่ออายุมากขึ้น กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอาจเสื่อมสภาพและสูญเสียความยืดหยุ่น ส่งผลให้เกิดอาการหย่อนคล้อยของอวัยวะอุ้งเชิงกราน รวมถึงส่งผลต่อการควบคุมกระเพาะปัสสาวะ

      1. วัยหมดประจำเดือน 

      ระดับฮอร์โมนที่ลดลงอาจส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในร่างกายได้ อย่าง ฮอร์โมนเอสโตรเจน ที่หากลดลงอาจจะทำให้เกิดเนื้อเยื่อช่องคลอดบางลง ทำให้สูญเสียความกระชับ และส่งผลให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแอ และเกิดปัญหาปัสสาวะเล็ด ช่องคลอดแห้งตามมาได้ ซึ่งระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ลดลงมักเกิดในช่วงวัยทองของผู้หญิง

      1. การขาดการออกกำลังกายอุ้งเชิงกราน 

      การออกกำลังกายบริหารอุ้งเชิงกราน เป็นอีกวิธีสร้างกล้ามเนื้อช่องคลอดแบบธรรมชาติ ที่จะช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรง กระชับช่องคลอด ลดปัญหาอุ้งเชิงกรานอ่อนแรง ซึ่งการออกกำลังกายอุ้งเชิงกราน สามารถทำได้หลายวิธี เช่น การออกกำลังกาย Kegel Exercise กระชับช่องคลอด  หรือการฝึกขมิบอย่างสม่ำเสมอ

      1. น้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน 

      น้ำหนัก ถือเป็นสาเหตุที่ทำให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแอ ซึ่งการที่มีน้ำหนักที่มากเกินไปจะทำให้เพิ่มแรงกดทับไปที่อุ้งเชิงกราน ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแอลงได้ง่ายขึ้น ซึ่งเสี่ยงต่อภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อนคล้อย นอกจากนี้ ภาวะน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วนยังเพิ่มความเสี่ยงของอาการปัสสาวะเล็ดได้

      1. ภาวะท้องผูกเรื้อรัง 

      ภาวะท้องผูกเรื้อรัง เรียกได้ว่าเป็นสาเหตุของกล้ามเนื้อช่องคลอดอ่อนแอที่หลาย ๆ คนอาจจะคาดไม่ถึง เนื่องจากการเบ่งอุจจาระบ่อย ๆ จากอาการท้องผูกเรื้อรัง อาจทำให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานเกิดการรับแรงดันซ้ำ ๆ จนทำให้กล้ามเนื้อมีความอ่อนแอลง ทั้งยังส่งผลต่อการควบคุมปัสสาวะ และเพิ่มความเสี่ยงของภาวะอวัยวะอุ้งเชิงกรานหย่อนได้

       

      ภาวะกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแรง มีอาการอย่างไร?
      ภาวะกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแรง มีอาการอย่างไร?

       

      ภาวะกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแรง มีอาการอย่างไร?

      เมื่อกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานและช่องคลอดอ่อนแอลง อาจส่งผลให้เกิดอาการที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตของผู้หญิง ซึ่งอาการอาจแสดงออกได้หลาย  ๆ รูปแบบ เช่น

      • ปัสสาวะเล็ดเมื่อไอ จาม หรือหัวเราะ

      อาการปัสสาวะเล็ด มักเกิดจากกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแรงทำให้ไม่สามารถควบคุมแรงดันที่เกิดขึ้นเมื่อเกิดอาการไอ จาม หัวเราะ หรือเคลื่อนไหวร่างกายอย่างรวดเร็วได้ จนทำให้เกิดอาการปัสสาวะเล็ดโดยไม่รู้ตัว

      • กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ หรือรู้สึกปัสสาวะบ่อยกว่าปกติ 

      หากกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานไม่แข็งแรง จะยิ่งส่งผลต่อการควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะได้ยากมากขึ้น ทำให้กลั่นปัสสาวะไม่อยู่ หรือมีการปัสสาวะบ่อยกว่าปกติ ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน รวมถึงทำให้ความมั่นใจลดลง

      • รู้สึกว่าช่องคลอดหลวมกว่าปกติ ส่งผลต่อความรู้สึกทางเพศ

      กล้ามเนื้อช่องคลอดที่ไม่แข็งแรง อาจส่งผลให้ช่องคลอดไม่กระชับ ทำให้ความรู้สึกขณะทำกิจกรรมทางเพศลดลง และอาจกระทบต่อความพึงพอใจทางเพศที่ลดลง ความมั่นใจในตัวเองลดลงได้ ทำให้ความสัมพันธ์ในชีวิตคู่มีปัญหาในระยะยาวได้

      • มีแรงกดหรือรู้สึกเหมือนมีบางอย่างเคลื่อนตัวลงมาจากช่องคลอด

      หากรู้สึกว่าภายในช่องคลอดนั้นมีแรงกดหรือรู้สึกเหมือนมีบางอย่างเคลื่อนตัวลงมาจากช่องคลอด  อาจเป็นสัญญาณของ ภาวะอวัยวะอุ้งเชิงกรานหย่อน ซึ่งเกิดจากอวัยวะภายในอุ้งเชิงกราน เช่น มดลูก กระเพาะปัสสาวะ หรือทวารหนัก เกิดการเคลื่อนตัวลงมากดที่ผนังช่องคลอด ซึ่งอาจเกิดจากกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานที่อ่อนแอจนไม่สามารถพยุงอวัยวะต่าง ๆ ภายในไว้ได้เช่นเดิม

      • ปวดหลังส่วนล่างหรือรู้สึกหนัก ๆ บริเวณอุ้งเชิงกราน

      หากกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแอ อาจจะส่งผลให้เกิดอาการปวดหลังบริเวณส่วนล่าง ทำให้รู้สึกอึดอัด หรือมีความรู้สึกหนัก ๆ ในบริเวณอุ้งเชิงกราน โดยเฉพาะเมื่อต้องยืนนาน ๆ หรือมีการออกแรงมาก 

       

      คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Emsella กระชับช่องคลอด

      การทำ Emsella กระชับช่องคลอด ถือเป็นนวัตกรรมที่ช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน และยังช่วยกระชับช่องคลอดได้โดยไม่ต้องผ่าตัด แต่หลาย ๆ คนอาจจะมีข้อสงสัยเกี่ยวกับ Emsella กระชับช่องคลอด มากมาย วันนี้เราจะมาตอบข้อสงสัยยอดฮิตก่อนทำ Emsella กระชับช่องคลอด

       Emsella กระชับช่องคลอด ต้องทำกี่ครั้งถึงจะเห็นผล?

      โดยทั่วไปแพทย์จะแนะนำให้ทำ Emsella กระชับช่องคลอด ประมาณ 6 ครั้ง เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ตามต้องการ โดยระยะเวลาการรักษาจะใช้เวลาประมาณ 28 นาทีต่อการทำ 1 ครั้ง โดยผลลัพธ์หลังทำ Emsella กระชับช่องคลอด จะเริ่มรู้สึกว่าช่องคลอดกระชับขึ้น กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานมีความแข็งแรงขึ้น ตั้งแต่ครั้งที่ 2-3 โดยผลลัพธ์จะสามารถอยู่ได้นานขึ้นหลายเดือน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล และยังสามารถทำการรักษาซ้ำได้

       

       Emsella กระชับช่องคลอด มีข้อห้ามหรือข้อควรระวังอะไรบ้าง?

       Emsella กระชับช่องคลอด เก้าอี้กระชับช่องคลอดที่ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น และไม่มีผลข้างเคียงรุนแรง อย่างไรก็ตาม อาจมีในบางกรณีที่ควรหลีกเลี่ยงหรือปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับการรักษา เช่น ผู้ที่มีอุปกรณ์โลหะฝังในร่างกาย ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ หรือมีการติดเชื้อที่อุ้งเชิงกราน ไม่ควรทำ Emsella กระชับช่องคลอด และก่อนเข้ารับการรักษาด้วย Emsella กระชับช่องคลอด ไม่ควรใส่เครื่องประดับโลหะ หรือผู้ที่กำลังเป็นประจำเดือนควรหลีกเลี่ยงการทำ Emsella กระชับช่องคลอด ไปก่อน

       

       Emsella กระชับช่องคลอด สามารถทำร่วมกับหัตถการอื่น ๆ ได้หรือไม่?

      Emsella กระชับช่องคลอด สามารถทำร่วมกับหัตถการอื่น ๆ ได้ โดยเฉพาะหัตถการที่ช่วยกระชับช่องคลอด เสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อช่องคลอด หรือดูแลเรื่องสุขภาพทางเพศ เช่น เลเซอร์กระชับช่องคลอด ThermiVA หรือการรีแพร์ช่องคลอด อย่างไรก็ตาม หากต้องการทำหัตถการกระชับช่องคลอดหลายอย่างร่วมกัน ควรเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์ เพื่อวางแผนการรักษาให้เหมาะสมกับสุขภาพ และความต้องการของแต่ละบุคคล

      วิธีสร้างกล้ามเนื้อช่องคลอด เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อช่องคลอด และกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน ผู้ที่มีปัญหากล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแอ เกิดอาการช่องคลอดไม่กระชับ ปัสสาวะเล็ด กลั้นปัสสาวะไม่ได้ ซึ่ง วิธีสร้างกล้ามเนื้อช่องคลอด ก็สามารถทำได้หลายวิธีอย่าง Emsella กระชับช่องคลอด เก้าอี้กระชับช่องคลอด ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีสร้างกล้ามเนื้อช่องคลอด ช่วยกระชับช่องคลอด ลดปัสสาวะเล็ด พร้อมช่วยดูแลสุขภาพทางเพศให้ดีมากยิ่งขึ้น 

       

      *ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับการบริการ

      *เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

      ช่องคลอดไม่กระชับ เกิดจากอะไร? เปิดสาเหตุและวิธีดูแลให้กระชับขึ้น

      ช่องคลอดไม่กระชับ เกิดจากอะไร

      ช่องคลอดไม่กระชับ เกิดจากอะไร? เปิดสาเหตุและวิธีดูแลให้กระชับขึ้น

      สาว ๆ ที่เริ่มมีอายุมากขึ้น เคยรู้สึกไหมว่าช่องคลอดไม่กระชับเหมือนเดิม? แต่ไม่ต้องกังวลไป เพราะนี่เป็นเรื่องปกติที่สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็น การคลอดลูก อายุที่เพิ่มขึ้น หรือแม้แต่พฤติกรรมในชีวิตประจำวันบางอย่าง ก็อาจทำให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแอลง ส่งผลให้ช่องคลอดไม่กระชับเหมือนเมื่อก่อน วันนี้เราจะพาไปทำความรู้จักกับ ช่องคลอดไม่กระชับ เกิดจากอะไร? เปิดสาเหตุและวิธีดูแลให้กระชับขึ้น ที่ควรรู้

       

      ช่องคลอดไม่กระชับ คืออะไร?
      ช่องคลอดไม่กระชับ คืออะไร?

       

      ช่องคลอดไม่กระชับ คืออะไร?

      ช่องคลอดไม่กระชับ หรือภาวะช่องคลอดหย่อนคล้อย (Vaginal Laxity) เป็นภาวะที่กล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อภายในช่องคลอดสูญเสียความยืดหยุ่น ซึ่งอาจเกิดจากหลายปัจจัย เช่น การคลอดบุตร อายุที่เพิ่มขึ้น การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน หรือพฤติกรรมในชีวิตประจำวันที่ส่งผลต่อกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน ผู้ที่มีภาวะช่องคลอดไม่กระชับอาจรู้สึกไม่สบายตัว สูญเสียความมั่นใจ และอาจมีผลต่อความสัมพันธ์ทางเพศและสุขภาพโดยรวมได้

       

      ช่องคลอดไม่กระชับ มีระดับความรุนแรงอย่างไร?

      ภาวะช่องคลอดไม่กระชับ นั้นมีความรุนแรงหลายระดับ ซึ่งแต่ละระดับก็จะส่งผลต่อสุขภาพที่แตกต่างกัน โดยสามารถแบ่งได้เป็น 3 ระดับ ได้แก่

      1. ช่องคลอดไม่กระชับระดับเล็กน้อย (Mild Vaginal Laxity) ถือเป็นระดับเริ่มต้น โดยจะเริ่มสังเกตได้ว่าช่องคลอดมีความเปลี่ยนแปลง ช่องคลอดไม่กระชับเหมือนเดิม ซึ่งระดับนี้จะไม่มีผลกระทบต่อสุขภาพมากนัก
      2. ช่องคลอดไม่กระชับระดับปานกลาง (Moderate Vaginal Laxity) โดยช่องคลอดจะเริ่มมีการขยายตัวมากขึ้น อาจทำให้มีอาการปัสสาวะเล็ด หรือรู้สึกช่องคลอดไม่กระชับขณะมีเพศสัมพันธ์ ทำให้ส่งผลต่อความสัมพันธ์ทางเพศได้
      3. ช่องคลอดไม่กระชับระดับรุนแรง (Severe Vaginal Laxity) ช่องคลอดจะมีการขยายตัวมากจนส่งผลต่อคุณภาพชีวิต โดยอาจจะมีปัญหาปัสสาวะเล็ดรุนแรงร่วมด้วย เนื่องจากอวัยวะภายในเช่น กระเพาะปัสสาวะ หรือมดลูกอาจหย่อนตัวลงมา หากอยู่ในระดับรุนแรงจำเป็นต้องได้รับการรักษาทางการแพทย์ เช่น การทำรีแพร์ หรือใช้เทคโนโลยีแก้ปัญหาช่องคลอดไม่กระชับ Emsella เพื่อช่วยกระชับช่องคลอด

       

      ช่องคลอดไม่กระชับ เกิดจากสาเหตุใดได้บ้าง?
      ช่องคลอดไม่กระชับ เกิดจากสาเหตุใดได้บ้าง?

       

      ช่องคลอดไม่กระชับ เกิดจากสาเหตุใดได้บ้าง?

      • ช่องคลอดไม่กระชับจากการคลอดบุตร

      การคลอดบุตรทางช่องคลอด ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยหลัก ๆ ที่ทำให้เกิดภาวะช่องคลอดไม่กระชับ กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานและผนังช่องคลอดขาดความยืดหยุ่น เนื่องจากระหว่างการคลอดกล้ามเนื้อในบริเวณนี้จะต้องขยายตัวมากขึ้น จึงส่งผลให้โครงสร้างของกล้ามเนื้อ และเนื้อเยื่ออ่อนเกิดการยืดขยาย หากร่างกายฟื้นฟูได้ไม่เต็มที่ ก็อาจจะทำให้ช่องคลอดไม่กระชับได้

      • ช่องคลอดไม่กระชับจากอายุที่เพิ่มขึ้นและการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน

      สำหรับผู้ที่เริ่มก้าวเข้าสู่วัยทองนั้น อายุที่เพิ่มขึ้นอาจจะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกาย โดยระดับฮอร์โมนจะมีการลดลงเรื่อย ๆ จึงส่งผลให้เนื้อเยื่อในช่องคลอดนั้นมีความบางลง ขาดความยืดหยุ่น และยังเกิดความแห้งกร้าน ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะส่งผลให้ช่องคลอดไม่กระชับ นอกจากนี้การลดลงของฮอร์โมนเอสโตรเจนยังทำให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแอลง เพิ่มความเสี่ยงในการหย่อนคล้อยของอวัยวะภายใน และอาจส่งผลให้เกิดอาการปัสสาวะเล็ดได้

      • ช่องคลอดไม่กระชับจากน้ำหนักตัวเกินและโรคอ้วน

      น้ำหนักตัวที่เพิ่มมากขึ้น หรือผู้ที่มีน้ำหนักตัวเกินเกณฑ์ และมีโรคอ้วนนั้น อาจจะเกิดภาวะช่องคลอดหย่อนคล้อยได้ง่าย เนื่องจากน้ำหนักตัวที่มากนั้นอาจจะไปกดทับที่บริเวณอุ้งเชิงกรานได้ โดยจะส่งผลให้กล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อบริเวณดังกล่าวมีความอ่อนแอลง และยังเสี่ยงต่อการขยายตัวของช่องคลอด ช่องคลอดไม่กระชับ และทำให้เกิดปัสสาวะเล็ด เนื่องจากกระเพาะปัสสาวะเกิดการหย่อนคล้อย

      • ช่องคลอดไม่กระชับจากพันธุกรรม

      ปัจจัยทางพันธุกรรม ก็ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดภาวะช่องคลอดไม่กระชับ เช่น ผู้ที่มีโครงสร้างของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน และผู้ที่มีกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานที่อ่อนแอแต่กำเนิด นั้นมีแนวโน้มที่จะเกิดภาวะช่องคลอดไม่กระชับได้เร็วกว่าคนทั่วไป แม้จะไม่เคยคลอดลูกมาก่อน

      • ช่องคลอดไม่กระชับจากการออกกำลังกายหนักเกินไป

      ช่องคลอดไม่กระชับเกิดจากการออกกำลังกายที่มากเกินไป หรือการออกกำลังกายแบบผิดวิธี อาจส่งผลให้เกิดภาวะช่องคลอดไม่กระชับได้ เช่น การยกน้ำหนักมากเกินไป การเล่น CrossFit การยกเวทหนัก หรือการออกกำลังกายที่ต้องใช้แรงดันช่องท้องสูง มีโอกาสที่จะทำให้เกิดแรงกดที่กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานมากกว่าการออกกำลังกายประเภทอื่น หากไม่มีการบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานที่เหมาะสม อาจส่งผลให้กล้ามเนื้อในบริเวณนี้อ่อนแอลง และเกิดช่องคลอดไม่กระชับได้

      • ช่องคลอดไม่กระชับจากพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน

      พฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุหลักของการเกิดภาวะช่องคลอดไม่กระชับได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็น การอยู่ในท่าเดิมนาน ๆ อาจทำให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานไม่ได้รับการกระตุ้นเต็มที่ การเบ่งปัสสาวะหรืออุจจาระเป็นประจำ อาจไปเพิ่มแรงดันที่ส่งผลต่อกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน และ การสูบบุหรี่ ซึ่งบุหรี่นั้นมีผลต่อการไหลเวียนของเลือด และยังลดความยืดหยุ่นของเนื้อเยื่ออุ้งเชิงกรานได้

       

      ช่องคลอดไม่กระชับ มีผลกระทบอะไรบ้าง ?

      • ช่องคลอดไม่กระชับ ทำให้มีปัญหาด้านความมั่นใจและสุขภาพจิต

      ภาวะช่องคลอดไม่กระชับ อาจส่งผลต่อความมั่นใจและสุขภาพจิตได้ เนื่องจากหลายคนรู้สึกกังวลเกี่ยวกับร่างกายของจัวเอง และนำไปสู่ความเครียดและวิตกกังวลในชีวิตประจำวันได้ นอกจากนี้ หากเกิดความไม่มั่นใจอาจทำให้หลีกเลี่ยงความสัมพันธ์ทางเพศ ทำให้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตและคุณภาพชีวิตคู่ได้

      • ช่องคลอดไม่กระชับ ทำให้มีปัญหาปัสสาวะเล็ด

      ปัสสาวะเล็ด เป็นอีกหนึ่งอาการที่เกิดขึ้นได้หากช่องคลอดไม่กระชับ โดยการเกิดปัสสาวะเล็ดมักเกิดจากกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานที่อ่อนแอ ทำให้เมื่อไอ จาม หรือหัวเราะนั้น จะทำให้เกิดปัสสาวะเล็ดออกมา และส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันได้ เช่น เรื่องกลิ่น หรือการใส่แผ่นซับปัสสาวะเสมอ ทำให้เกิดความไม่สะดวกได้

      • ช่องคลอดไม่กระชับ ทำให้มีความสัมพันธ์และปัญหาชีวิตคู่มีปัญหา

      ช่องคลอดไม่กระชับ เมื่อช่องคลอดสูญเสียความกระชับ อาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์และปัญหาชีวิตคู่ได้ อาจจะส่งผลให้ความพึงพอใจลดลง หรือเกิดความไม่สบายใจในการมีเพศสัมพันธ์ได้ ทำให้ความถี่ในการร่วมรักลดลงและส่งผลต่อปัญหาชีวิตคู่ได้

       

      ช่องคลอดไม่กระชับแก้ด้วย Emsella คืออะไร?
      ช่องคลอดไม่กระชับแก้ด้วย Emsella คืออะไร?

       

      ช่องคลอดไม่กระชับแก้ด้วย Emsella คืออะไร?

      Emsella คือ เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยฟื้นฟูและเสริมสร้างความแข็งแรงให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน โดยการใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความเข้มข้นสูง (High-Intensity Focused Electromagnetic หรือ HIFEM) ช่วยกระชับอุ้งเชิงกราน ลดอาการปัสสาวะเล็ด แก้ปัญหาช่องคลอดไม่กระชับ และช่วยเสริมสมรรถภาพทางเพศได้โดยไม่ต้องผ่าตัด

      Emsella มีลักษณะเป็นเก้าอี้พิเศษที่สามารถปล่อยพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าเข้าสู่กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานได้ เพียงแค่นั่งบนเก้าอี้โดยไม่ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้า หรือใช้เครื่องมือสอดเข้าไปในร่างกาย โดยใช้ระยะเวลาในการรักษาไม่นาน ไม่ต้องผ่าตัด ไม่เจ็บ และยังไม่ต้องพักฟื้น การกระชับช่องคลอดด้วย Emsella จึงเป็นทางเลือกที่สะดวกสบาย รวดเร็ว ไม่เสี่ยงอันตราย และได้รับการยอมรับในระดับสากล

       

      ช่องคลอดไม่กระชับแก้ด้วย Emsella ทำงานอย่างไร?

      Emsella ใช้เทคโนโลยี High-Intensity Focused Electromagnetic (HIFEM) หรือ พลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความเข้มข้นสูง เข้าไปกระตุ้นบริเวณกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานให้เกิดการหดตัวอย่างสม่ำเสมอคล้ายการขมิบ ซึ่ง Emsella จะช่วยฟื้นฟูความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ช่วยแก้ปัญหาช่องคลอดไม่กระชับ ลดปัญหาปัสสาวะเล็ด สมรรถภาพทางเพศได้โดยไม่ต้องผ่าตัด

       

      หลักการทำงานของ Emsella แก้ช่องคลอดไม่กระชับ

      • ส่งพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าความเข้มข้นสูงลึกถึง 10 ซม.

      ช่องคลอดไม่กระชับรักษาด้วย Emsella มีการใช้พลังงานแบบ HIFEM สามารถลงไปถึงชั้นกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานได้ลึกถึง 10 เซนติเมตร ที่จะช่วยกระตุ้นการทำงานของเส้นใยกล้ามเนื้อที่อยู่ลึกลงไป ซึ่งเป็นระดับที่ลึกกว่าการออกกำลังกายทั่วไป ช่วยแก้ปัญหาช่องคลอดไม่กระชับ

      • กระตุ้นกล้ามเนื้อให้เกิดการหดตัวมากถึง 11,200 ครั้งใน 28 นาที

      Emsella ช่วยกระตุ้นการหดตัวของกล้ามเนื้อแบบ Supramaximal Contractions ซึ่งเป็นการหดตัว เทียบเท่ากับการขมิบอย่างต่อเนื่อง เพียงทำการรักษาประมาณ 30 นาทีต่อครั้ง แก้ปัญหาช่องคลอดไม่กระชับ

      • ช่วยกระชับช่องคลอด และลดอาการปัสสาวะเล็ด

      ช่องคลอดไม่กระชับรักษาด้วย Emsella ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานที่แข็งแรงขึ้น โดยจะช่วยทำให้ช่องคลอดกระชับ และช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของเนื้อเยื่อ ช่วยลดปัญหาปัสสาวะเล็ด ลดความปวดเมื่อย ฟื้นฟูหลังคลอด และเพิ่มสมรรถภาพทางเพศได้

      • เป็นวิธีที่ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น

      ช่องคลอดไม่กระชับรักษาด้วย Emsella เป็นเก้าอี้ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ เพื่อให้สามารถปล่อยพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าเข้าสู่กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานได้ แก้ปัญหาช่องคลอดไม่กระชับ เพียงแค่ทำการนั่งบนเก้าอี้ประมาณ 28 นาที โดยไม่ต้องถอดเสื้อผ้า หรือใช้เครื่องมือสอดเข้าไปในร่างกาย ทำให้สะดวกสบาย และมีความรวดเร็ว เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการกระชับช่องคลอด แก้ปัญหาปัสสาวะเล็ด ที่ไม่ต้องการผ่าตัด ไม่อยากมีแผล และไม่มีเวลาพักฟื้น

       

      ช่องคลอดไม่กระชับแก้ด้วย Emsella เหมาะกับใคร?

      Emsella เป็นเทคโนโลยีช่วยกระชับกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน และฟื้นฟูความแข็งแรงของช่องคลอด แก้ปัญหาช่องคลอดไม่กระชับ ลดปัญหาปัสสาวะเล็ด และช่วยดูแลเรื่องสมรรถภาพทางเพศ จึงสามารถใช้ได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย และผู้ที่มีปัญหา ดังนี้

      1. Emsella เหมาะกับผู้ที่มีภาวะช่องคลอดหย่อนคล้อยจากการคลอดบุตร เนื่องจากการคลอดบุตรทางช่องคลอด ทำให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานและเนื้อเยื่อช่องคลอดขยายตัว ส่งผลให้เกิดภาวะช่องคลอดหย่อนคล้อย
      2. Emsella เหมาะกับผู้ที่มีภาวะช่องคลอดหย่อนคล้อยจากอายุที่เพิ่มขึ้น เพราะอายุที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้คอลลาเจนและอีลาสตินในผนังช่องคลอดลดลง ทำให้ช่องคลอดสูญเสียความยืดหยุ่น และเกิดความหย่อนคล้อย ไม่กระชับได้
      3. Emsella เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาปัสสาวะเล็ดเมื่อไอ จาม หรือออกกำลังกาย Emsella สามารถกระตุ้นกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานให้แข็งแรงขึ้น และช่วยให้ควบคุมปัสสาวะได้ดีขึ้น
      4. Emsella เหมาะกับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานแต่ไม่ต้องการผ่าตัด สามารถนั่งบนเก้าอี้ Emsella ได้เลยโดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ไม่มีการสอดเครื่องมือ ไม่มีแผลหลังทำ
      5. Emsella เหมาะกับผู้ที่มีระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลง จึงให้ช่องคลอดไม่กระชับพบได้บ่อยในวัยทอง
      6. Emsella เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับสมรรถภาพทางเพศ Emsella ช่วยเพิ่มความรู้สึกทางเพศได้ ช่วยรักษาความสัมพันธ์ชีวิตคู่ได้

      ทั้งนี้ ผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ แจ้งโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา หรือประวัติการรักษา ก่อนเข้ารับการบริการ

      ช่องคลอดไม่กระชับแก้ด้วย Emsella มีข้อดีอะไรบ้าง ?

      • Emsella ลดปัญหาช่องคลอดไม่กระชับ ไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีแผล และไม่ต้องพักฟื้น

      Emsella เป็นเทคโนโลยีที่ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องใช้ยาชา และไม่มีแผลหลังทำ ทำให้หลังทำการรักษาช่องคลอดไม่กระชับสามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ ไม่ต้องพักฟื้นนานเหมือนการทำรีแพร์ หรือการผ่าตัดกระชับช่องคลอด จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ไม่มีเวลาพักฟื้น ต้องการความสะดวก

      • Emsella ลดปัญหาช่องคลอดไม่กระชับ ใช้เวลาทำเพียง 28 นาทีต่อครั้ง ไม่ต้องพักฟื้น

      ในการทำการรักษาช่องคลอดไม่กระชับด้วย Emsella แต่ละครั้งจะใช้เวลาประมาณ 28 นาที ซึ่งเทียบเท่ากับการขมิบอย่างต่อเนื่องมากกว่า 11,200 ครั้ง โดยไม่มีผลข้างเคียงที่รุนแรง และสามารถกลับไปทำงาน หรือใช้ชีวิตประจำวันได้ทันที ไม่ต้องพักฟื้น

      • Emsella สามารถนั่งทำการรักษาช่องคลอดไม่กระชับได้

      Emsella เป็นการรักษาช่องคลอดไม่กระชับที่แตกต่างจากการทำหัตถการกระชับช่องคลอดอื่น ๆ เนื่องจากไม่ต้องใช้เครื่องมือสอดเข้าไปในร่างกาย ผู้เข้ารับการรักษาเพียงแค่นั่งบนเก้าอี้ Emsella โดยไม่ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ทำให้ลดความไม่สบายใจ และสามารถรักษาได้ภายในเวลาไม่นาน

      • Emsella ลดปัญหาช่องคลอดไม่กระชับ ให้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นได้

      Emsella สามารถเห็นผลลัพธ์การรักษาได้ตั้งแต่ครั้งแรก แต่เพื่อผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ และยาวนาน แนะนำให้ทำอย่างต่อเนื่องประมาณ 6 ครั้ง เพื่อให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานแข็งแรงขึ้น โดย Emsella ลดปัญหาช่องคลอดไม่กระชับ สามารถกลับมาทำซ้ำได้ตามความต้องการ ไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่อันตราย

      • Emsella ลดปัญหาช่องคลอดไม่กระชับ ไม่เสี่ยงอันตรายและได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา

      Emsella ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา ไม่เสี่ยงอันตรายและมีประสิทธิภาพในการรักษา ใช้พลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าที่ไม่ทำลายเนื้อเยื่อ และสามารถใช้ได้กับทุกเพศ ทุกวัย ทำให้ได้รับความนิยมทั่วโลก

       

      ช่องคลอดไม่กระชับแก้ด้วย Emsella ให้ผลลัพธ์อย่างไร ?
      ช่องคลอดไม่กระชับแก้ด้วย Emsella ให้ผลลัพธ์อย่างไร ?

       

      ช่องคลอดไม่กระชับแก้ด้วย Emsella ให้ผลลัพธ์อย่างไร ?

      1. ช่องคลอดกระชับขึ้นอย่างเห็นได้ชัดหลังจากทำครบคอร์ส

      การรักษาช่องคลอดไม่กระชับด้วย Emsella สามารถช่วยกระตุ้นกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน ทำให้ช่องคลอดกระชับขึ้นและฟื้นฟูความยืดหยุ่นของเนื้อเยื่อ ทั้งยังช่วยลดภาวะช่องคลอดหย่อนคล้อย ที่เกิดจากการคลอดบุตร การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน หรืออายุที่เพิ่มขึ้น ให้ช่องคลอดกระชับ และมีความยืดหยุ่นมากขึ้น

      1. อาการปัสสาวะเล็ดดีขึ้น และสามารถควบคุมปัสสาวะได้ดีขึ้น

      ช่องคลอดไม่กระชับแก้ด้วย Emsella ช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานให้แข็งแรงขึ้น ทำให้สามารถควบคุมกระเพาะปัสสาวะได้ดีขึ้น ลดปัญหาปัสสาวะเล็ดเมื่อ ไอ จาม หรือออกกำลังกาย และช่วยลดอาการปัสสาวะบ่อย ช่วยเพิ่มความมั่นใจในการใช้ชีวิตประจำวันได้มากขึ้น

      1. Emsella ลดปัญหาช่องคลอดไม่กระชับ ช่วยเพิ่มความมั่นใจและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

      ผู้ที่มีปัญหาช่องคลอดไม่กระชับ หรือมีปัญหาปัสสาวะเล็ด มักมีความกังวลเกี่ยวกับชีวิตประจำวันและความสัมพันธ์ชีวิตคู่ การรักษาช่องคลอดไม่กระชับด้วย Emsella นอกจากจะช่วยฟื้นฟูสุขภาพให้แข็งแรงแล้ว ยังช่วยเพิ่มความมั่นใจในการใช้ชีวิตประจำวัน และยังช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในชีวิตคู่ ทำให้คุณภาพชีวิตดียิ่งขึ้น

      1. Emsella ลดปัญหาช่องคลอดไม่กระชับ สามารถอยู่ได้นานหลายเดือน

      การรักษาช่องคลอดไม่กระชับด้วย Emsella นั้น แพทย์จะทำการประเมินปัญหาและวางแผนจำนวนครั้งในการรักษา โดยผลลัพธ์หลังการรักษาช่องคลอดไม่กระชับจะสามารถอยู่ได้นานถึง 6-12 เดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองของแต่ละบุคคล หากต้องการผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพและยาวนาน ควรดูแลตัวเองควบคู่กับการรักษาไปด้วย

       

      ช่องคลอดไม่กระชับ มีวิธีป้องกันอย่างไร?

      วิธีป้องกันไม่ใช้เกิดภาวะช่องคลอดไม่กระชับ สามารถทำได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็น การปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน การสร้างความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อบริเวณอุ้งเชิงกราน การเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย การหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง และการออกกำลังกาย เช่น

      • ช่องคลอดไม่กระชับ ป้องกันได้ด้วยการหลีกเลี่ยงการยกของหนัก เพราะอาจเพิ่มแรงกดดันต่ออุ้งเชิงกราน
      • ช่องคลอดไม่กระชับ ป้องกันได้ด้วยการควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม
      • ช่องคลอดไม่กระชับ ป้องกันได้ด้วยการเลือกสวมใส่ชุดชั้นในที่พอดี และรองรับร่างกายได้ดี เพื่อช่วยลดแรงกดบริเวณอุ้งเชิงกราน
      • ช่องคลอดไม่กระชับ ป้องกันได้ด้วยการดูแลสุขอนามัยบริเวณจุดซ่อนเร้น หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีรุนแรง
      • ช่องคลอดไม่กระชับ ป้องกันได้ด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย จำพวกโปรตีน คอลลาเจน ผักผลไม้ และสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น ถั่วเหลือง อกไก่ ปลา บลูเบอร์รี ทับทิม และผักใบเขียว
      • ช่องคลอดไม่กระชับ ป้องกันได้ด้วยการดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย เพื่อรักษาความชุ่มชื้นและความยืดหยุ่นของเนื้อเยื่อช่องคลอด
      • ช่องคลอดไม่กระชับ ป้องกันได้ด้วยหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์
      • ช่องคลอดไม่กระชับ ป้องกันได้ด้วยหลีกเลี่ยงการนั่งหรือนอนท่าเดิมเป็นเวลานาน เช่น การนั่งไขว่ห้าง
      • ช่องคลอดไม่กระชับ ป้องกันได้ด้วยหลีกเลี่ยงการเบ่งแรงขณะปัสสาวะหรืออุจจาระ เพราะอาจทำให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแอลง
      • ช่องคลอดไม่กระชับ ป้องกันได้ด้วยหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่ใช้แรงดันช่องท้องมากเกินไป เช่น การยกน้ำหนัก
      • ช่องคลอดไม่กระชับ ป้องกันได้ด้วยการบริหารอุ้งเชิงกราน ฝึกการเกร็ง และคลายกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอย่างสม่ำเสมอ
      • ช่องคลอดไม่กระชับ ป้องกันได้ด้วยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้อุ้งเชิงกรานได้ เช่น โยคะและพิลาทิส ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน หรือการเดินเร็ว

       

      ช่องคลอดไม่กระชับรักษาด้วยเทคโนโลยีอะไรบ้าง ?

      Emsella กระชับช่องคลอด

      ช่องคลอดไม่กระชับรักษาด้วย Emsella เป็นเทคโนโลยีที่ใช้พลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแรงสูง (High-Intensity Focused Electromagnetic – HIFEM) ทำการกระตุ้นกล้ามเนื้อบริเวณอุ้งเชิงกราน ทำให้กล้ามเนื้อหดตัวมากถึง 11,200 ครั้งใน 28 นาที ซึ่งเทียบเท่ากับการขมิบอย่างต่อเนื่อง โดยวิธีนี้จะช่วยฟื้นฟูความแข็งแรงของกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน ช่วยกระชับช่องคลอดที่หย่อนคล้อย และลดปัญหาปัสสาวะเล็ดได้โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่เจ็บ และไม่ต้องพักฟื้น

      ข้อดีของการทำกระชับช่องคลอดด้วย Emsella

      • แก้ปัญหาช่องคลอดไม่กระชับ โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีแผล ไม่ต้องพักฟื้น
      • ไม่มีการสอดใส่อุปกรณ์ ทำให้สะดวกต่อการรักษา
      • ไม่ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้า สามารถนั่งทำได้เลย
      • ใช้เวลาน้อย แต่ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ

       

      คลื่นพลังงาน RF (Radiofrequency)

      ช่องคลอดไม่กระชับรักษาด้วย คลื่นพลังงาน RF (Radiofrequency) เป็นเทคโนโลยีที่ใช้พลังงานคลื่นความถี่วิทยุ เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในช่องคลอด โดยทำให้เนื้อเยื่อบริเวณช่องคลอดกระชับขึ้น เพิ่มความชุ่มชื้น ลดอาการช่องคลอดแห้ง แก้ปัญหาปัสสาวะเล็ด และอาการปวดบริเวณอุ้งเชิงกรานได้

      ข้อดีของการทำกระชับช่องคลอดด้วย RF

      • แก้ปัญหาช่องคลอดไม่กระชับ โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีแผล ไม่ต้องพักฟื้น
      • ช่วยให้ช่องคลอดมีความยืดหยุ่นและกระชับขึ้น
      • ลดปัญหาผิวช่องคลอดแห้ง ช่องคลอดไม่กระชับ ช่วยให้ผิวมีความชุ่มชื้น

       

      การศัลยกรรมรีแพร์ช่องคลอด (Vaginal Tightening Surgery)

      ช่องคลอดไม่กระชับรักษาด้วย การศัลยกรรมรีแพร์ช่องคลอด (Vaginal Tightening Surgery) เป็นการศัลยกรรมที่ช่วยกระชับช่องคลอดโดยตรง โดยแพทย์จะทำการตัดแต่งและเย็บกล้ามเนื้อช่องคลอดให้กระชับขึ้น ซึ่งวิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะช่องคลอดหย่อนคล้อยระดับรุนแรง หรือผู้ที่มีอาการปัสสาวะเล็ดร่วมด้วย หลังทำสามารถเห็นผลลัพธ์ได้อย่างชัดเจน จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการแก้ปัญหาภาวะช่องคลอดไม่กระชับอย่างถาวร

      ข้อดีของการทำกระชับช่องคลอดด้วยการศัลยกรรมรีแพร์

      • แก้ปัญหาช่องคลอดได้อย่างถาวร และเห็นผลได้ชัดเจน
      • เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการแก้ไขปัญหาช่องคลอดไม่กระชับอย่างถาวร

      ข้อเสียของการทำกระชับช่องคลอดด้วยการศัลยกรรมรีแพร์

      • เป็นการผ่าตัดแก้ปัญหาช่องคลอดไม่กระชับ ทำให้มีระยะเวลาพักฟื้นประมาณ 4-6 สัปดาห์
      • มีวิธีการดูแลตัวเองหลังทำที่เคร่งครัด เช่น งดการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างพักฟื้น
      • อาจมีความเสี่ยงจากการผ่าตัด เช่น การติดเชื้อ หรือแผลเป็น

       

      เลเซอร์กระชับช่องคลอด

      ช่องคลอดไม่กระชับรักษาด้วย การเลเซอร์กระชับช่องคลอด เป็นอีกเทคโนโลยีการรักษาปัญหาช่องคลอดไม่กระชับ ช่องคลอดแห้ง โดยการใช้เลเซอร์กระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนและช่วยฟื้นฟูเนื้อเยื่อภายในช่องคลอด ช่วยยกระชับผนังช่องคลอด ลดอาการช่องคลอดไม่กระชับ และเพิ่มความชุ่มชื้นภายในช่องคลอด โดยจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนหลังการทำประมาณ 1-2 เดือน และอาจจะต้องทำหลายครั้งขึ้นอยู่กับปัญหา

      ข้อดีของการทำกระชับช่องคลอดด้วยเลเซอร์

      • แก้ปัญหาช่องคลอดไม่กระชับ โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีแผล ไม่ต้องพักฟื้น
      • ใช้ระยะเวลาในการทำประมาณ 15-30 นาที
      • ไม่ต้องพักฟื้นนาน ฟื้นตัวเร็ว

       

      ทั้งนี้ ผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ แจ้งโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา หรือประวัติการรักษา ก่อนเข้ารับการบริการ

       

      คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับปัญหาช่องคลอดไม่กระชับ
      คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับปัญหาช่องคลอดไม่กระชับ

       

      คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับปัญหาช่องคลอดไม่กระชับ

      ช่องคลอดไม่กระชับ สามารถกลับมาเหมือนเดิมได้หรือไม่?

      ช่องคลอดไม่กระชับ เนื่องจากสูญเสียความยืดหยุ่น และความกระชับไปแล้วนั้น จะไม่สามารถกลับมากระชับได้เหมือนเดิม แต่สามารถฟื้นฟูให้กลับมาได้ในระดับหนึ่ง ทั้งนี้จะขึ้นอยู่กับวิธีการดูแลรักษา รวมถึงสาเหตุของการเกิดช่องคลอดไม่กระชับ เช่น Emsella ลดปัญหาช่องคลอดไม่กระชับ หรือเลเซอร์กระชับช่องคลอด หรือหากเกิดภาวะช่องคลอดไม่กระชับระดับรุนแรง อาจต้องใช้การศัลยกรรมรีแพร์เพื่อเป็นการแก้ไข

       

      ทำไมบางคนคลอดลูกแล้วช่องคลอดยังคงกระชับ?

      โดยทั่วไปแล้วการคลอดลูกอาจจะทำให้ช่องคลอดไม่กระชับได้ แต่ในบางคนที่คลอดลูกแล้วยังมีช่องคลอดที่กระชับ อาจเกิดได้จากหลายปัจจัย เช่น กรรมพันธุ์และโครงสร้างร่างกายของแต่ละบุคคล การดูแลตัวเองก่อนและหลังคลอด การออกกำลังกายบริหารอุ้งเชิงกรานอย่างต่อเนื่อง จะช่วยให้กล้ามเนื้อฟื้นตัวได้เร็วขึ้น และจำนวนครั้งและลักษณะของการคลอด โดยส่วนมากแล้วการคลอดในครั้งแรกหากทารกมีน้ำหนักตัวไม่มาก อาจจะไม่ทำช่องคลอดเกิดการหย่อนคล้อยมาก

       

      ช่องคลอดไม่กระชับ เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์บ่อยจริงหรือไม่?

      ถือเป็นคำถามที่หลายคนสงสัย และเข้าใจผิดกันได้ง่าย ซึ่งต้องบอกว่าการมีเพศสัมพันธ์บ่อยไม่ทำให้ช่องคลอดไม่กระชับได้ เนื่องจากช่องคลอดเป็นอวัยวะที่มีความยืดหยุ่นสูง สามารถขยายตัวและกลับคืนสู่สภาพเดิมได้เอง

      อย่างไรก็ตาม หากกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแอลงจากสาเหตุอื่น เช่น อายุที่เพิ่มขึ้น การคลอดบุตร หรือการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน อาจทำให้รู้สึกว่าช่องคลอดไม่กระชับ ซึ่งสามารถแก้ไขได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็น การออกกำลังบริหารอุ้งเชิงกราน หรือการใช้เทคโนโลยีอย่าง Emsella กระชับช่องคลอดได้

       

      ต้องดูแลตัวเองอย่างไรหลังทำ Emsella กระชับช่องคลอด?

      หลังจากเข้ารับการรักษาช่องคลอดไม่กระชับด้วย Emsella กระชับช่องคลอด ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่พึงพอใจ ได้แก่

      • หลังทำการรักษาช่องคลอดไม่กระชับด้วย Emsella สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ ไม่ต้องพักฟื้น
      • หลังทำการรักษาช่องคลอดไม่กระชับด้วย Emsella ควรดื่มน้ำมาก ๆ และรับประทานอาหารที่ช่วยฟื้นฟูเนื้อเยื่อ เช่น อาหารที่มีโปรตีนและคอลลาเจนสูง
      • หลังทำการรักษาช่องคลอดไม่กระชับด้วย Emsella ควรงดออกกำลังกายหนัก ๆ เช่น การยกเวทหรือการวิ่ง
      • หลังทำการรักษาช่องคลอดไม่กระชับด้วย Emsella ควรดูแลความสะอาดบริเวณจุดซ่อนเร้น และหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีรุนแรง เพื่อป้องกันการระคายเคืองผิว
      • หลังทำการรักษาช่องคลอดไม่กระชับด้วย Emsella ควรติดตามผล สังเกตอาการหลังทำ หากมีอาการผิดปกติ เช่น ปวดมาก มีเลือดออก หรือเกิดการติดเชื้อ ควรรีบเข้าพบแพทย์

       

      ช่องคลอดแห้ง กับช่องคลอดไม่กระชับ เกี่ยวข้องกันหรือไม่?

      ช่องคลอดแห้ง และช่องคลอดไม่กระชับ ในบางครั้งอาจเกิดจากสาเหตุเดียวกัน เนื่องจากช่องคลอดแห้งมักเกิดจากระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลง ส่งผลให้เนื้อเยื่อช่องคลอดขาดความชุ่มชื้นและขาดความยืดหยุ่น ในระยะยาวอาจส่งผลทำให้ช่องคลอดมีความอ่อนแอและสูญเสียความกระชับได้ ทั้งนี้สามารถใช้เทคโนโลยีรักษาช่องคลอดไม่กระชับด้วย Emsella ช่วยรักษาได้

       

      ภาวะปัสสาวะเล็ดที่เกิดจากอุ้งเชิงกรานอ่อนแอ รักษาได้หรือไม่?

      ช่องคลอดไม่กระชับอาจทำให้เกิดภาวะปัสสาวะเล็ดได้ เนื่องจากอุ้งเชิงกรานอ่อนแอ สามารถรักษาและฟื้นฟูกล้ามเนื้อได้ หากอยู่ในระดับที่ยังไม่รุนแรง สามารถออกกำลังกายบริหารอุ้งเชิงกรานได้ แต่หากมีอาการที่รุนแรง เช่น ปัสสาวะเล็ดขณะหัวเราะ ไอ จาม อาจจะต้องพิจารณาการรักษาช่องคลอดไม่กระชับด้วยเทคโนโลยีการแพทย์แทน

      ปัญหาช่องคลอดไม่กระชับ สามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็น พันธุกรรม อายุ ฮอร์โมน การคลอดบุตร รวมถึงภาวะวัยทอง ทั้งนี้ปัญหานี้อาจเกิดได้จากทั้งผู้ที่เคยคลอดบุตร หรือผู้ที่มีกล้ามเนื้อเชิงกรานอ่อนแอได้ ปัจจุบันก็มีเทคโนโลยีที่ทันสมัย ไม่เสี่ยงอันตราย และสะดวก ในการรักษาช่องคลอดไม่กระชับ อย่าง Emsella เก้าอี้กระชับช่องคลอด ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อ ที่ใช้เวลาในการรักษาเพียง 28 นาที สำหรับผู้ที่สนใจสามารถเข้ามารับคำปรึกษาได้ที่ รมย์รวินท์คลินิก ทุกสาขา

       

      *ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับการบริการ

      *เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

      ฉีดโบ Bienox (เบียนอกซ์) คืออะไร? โบท็อกซ์สุญญากาศ

      ฉีดโบ Bienox โบสุญญากาศ

      ฉีดโบ  Bienox (เบียนอกซ์) คืออะไร? โบท็อกซ์สุญญากาศ ใหม่ที่ให้ผลลัพธ์เร็วขึ้น

       

      การดูแลตัวเองให้ดูอ่อนเยาว์ สดใส และมีใบหน้าที่สมส่วนไม่จำเป็นต้องพึ่งการผ่าตัดเสมอไป ฉีดโบ ในปัจจุบัน จึงกลายเป็นหนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมอย่างสูง จนเรียกได้ว่า เดินไปที่ไหนจะต้องเจอคนที่เคยฉีดโบ มาแล้วเนื่องจาก ฉีดโบ มีความบริสุทธิ์มากขึ้นเรื่อยๆ จึงทำให้ไม่เกิดผลข้างเคียงในการฉีด

      ในตอนนี้ฉีดโบ รุ่นใหม่ที่ถูกพัฒนาให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นั่นคือ “ฉีดโบ  Bienox (เบียนอกซ์)” เป็นโปรแกรมฉีดโบที่ใช้เทคโนโลยีในการผลิตอันล้ำสมัยอย่าง Vacuum-drying process หรือกระบวนการทำให้แห้งด้วยระบบสุญญากาศ จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อว่าเป็นฉีดโบ สุญญากาศ  นับเป็นการผลิตฉีดโบ ที่ช่วยยกระดับมาตรฐานของฉีดโบ ให้ดียิ่งขึ้น ผลิตโดยบริษัท BNC Korea, Inc.

      ไม่อันตรายและได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

       ฉีดโบ  Bienox ได้รับการพัฒนาทั้งในด้านความคงตัวของตัวยา ด้านความบริสุทธิ์ของยา รวมทั้งผลลัพธ์หลังการฉีดโบ  จะให้ความเปลี่ยนแปลงกับใบหน้า รวมทั้งบริเวณอื่นๆที่ฉีดได้อย่างชัดเจนและรวดเร็วทั้งการลดริ้วรอย ปรับรูปหน้า

       

      ฉีดโบ Bienox (เบียนอกซ์) โบสุญญากาศ คืออะไร?
      ฉีดโบ Bienox (เบียนอกซ์) โบสุญญากาศ คืออะไร?

       

      ฉีดโบ  Bienox (เบียนอกซ์) โบสุญญากาศ คืออะไร?

      ฉีดโบ  Bienox คือ เป็นฉีดโบ ที่ผลิตด้วย กระบวนการสุญญากาศ Vacuum drying process   เพื่อคงคุณภาพของตัวยาฉีดโบ  Bienox ให้มีประสิทธิภาพสูง อีกทั้ง ฉีดโบ  Bienox ยังช่วยลดโอกาสการเกิดอาการแพ้รวมทั้งผลข้างเคียงต่างๆหลังฉีดได้เป็นอย่างดี ไม่เพียงเท่านั้น ฉีดโบ  Bienox ยังสามารถให้ผลลัพธ์ได้อย่างชัดเจนหลังฉีด

       

      จุดเด่นของฉีดโบ  Bienox  โบสุญญากาศ

      • ฉีดโบ  Bienox ใช้ความร้อนในการผลิตน้อย ลดการทำลายโครงสร้างสำคัญของตัวยา
      • ฉีดโบ  Bienox ใช้ระยะเวลาในการผลิตสั้น จึงสามารถรักษาความเข้มข้นและประโยชน์ของตัวยาได้เป็นอย่างดี
      • ฉีดโบ  Bienox  มีผลข้างเคียงต่ำ อีกทั้งยังช่วยลดโอกาสเกิดอาการแพ้ตัวยา เนื่องจากตัวยามีความบริสุทธิ์สูง ทั้งยังให้ผลลัพธ์หลังฉีดอย่างรวดเร็ จึงทำให้หลังฉีดโบ  Bienox สามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงของใบหน้าอย่างเห็นได้ชัด
      • ฉีดโบ  Bienox  สามารถช่วยลดปัญหาผิวพรรณได้อย่างมีประสิทธิภาพ

       

      จุดเด่นของฉีดโบ Bienox โบสุญญากาศ
      จุดเด่นของฉีดโบ Bienox โบสุญญากาศ

       

      ทำไมต้องเลือกฉีดโบ  Bienox  โบสุญญากาศ

      • ฉีดโบ  Bienox เป็นฉีดโบ ที่มีความเสถียรในตัวเองสูง จึงทำให้ตัวยาคงคุณภาพดีแม้หลังการเปิดใช้
      • ฉีดโบ  Bienox ให้ผลลัพธ์ที่ดูไม่แข็งไม่หลอก  
      • ฉีดโบ  Bienox สามารถคงสภาพผลลัพธ์อยู่ได้นาน 4-6 เดือน ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายและไม่ต้องฉีดซ้ำบ่อย
      • ฉีดโบ  Bienox ทำให้เกิดโอกาสดื้อยาน้อย  *เนื่องจากตัวยามีความบริสุทธิ์สูง
      • ฉีดโบ  Bienox ให้ผลลัพธ์ที่รวดเร็วภายใน 1-2 วัน
      • ฉีดโบ  Bienox ตอบโจทย์สำหรับผู้เข้ารับบริการที่ต้องการความรวดเร็วและทันใจ
      • ฉีดโบ  Bienox ได้ผลลัพธ์ชัดเจนและแม่นยำ
      • ฉีดโบ  Bienox เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการดื้อฉีดโบ 

       

      ฉีดโบ Bienox โบสุญญากาศ และ ฉีดโบ ทั่วไป แตกต่างกันอย่างไร? เลือกแบบไหนให้ไม่อันตรายและเห็นผลจริง
      ฉีดโบ Bienox โบสุญญากาศ และ ฉีดโบ ทั่วไป แตกต่างกันอย่างไร? เลือกแบบไหนให้ไม่อันตรายและเห็นผลจริง

       

      เปรียบเทียบฉีดโบ  Bienox โบท็อกซ์สุญญากาศ กับฉีดโบ ทั่วไป ต่างกันอย่างไร?

      ฉีดโบ  Bienox โบสุญญากาศ (Vacuum Drying)

      ฉีดโบ  Bienox เป็นฉีดโบ ที่ผลิตด้วยเทคโนโลยี Vacuum Drying process อันเป็นกรรมวิธีการดูดความชื้นออกจากตัวยาฉีดโบ  Bienox ด้วยแรงดันสุญญากาศ
      จึงทำให้สามารถ  ช่วยคงความบริสุทธิ์และเสถียรภาพของตัวยา ทั้งยังช่วยลดความร้อนและแรงดันระหว่างการผลิต ทำให้โครงสร้างโมเลกุลของฉีดโบ  Bienox ไม่เกิดการเสียหาย  อีกทั้งยังเป็นการลดความเสี่ยงในการกระจายตัวยา จึงทำให้ฉีดโบ  Bienox ได้ผลลัพธ์ในการรักษาที่แม่นยำ  เห็นผลเร็ว และมีประสิทธิภาพสูงขึ้น

       

      ฉีดโบ ทั่วไป (Freeze Drying)

      ฉีดโบ โดยทั่วไปจะใช้วิธีการการแช่แข็งฉีดโบ  (Freeze Drying) เพื่อทำให้แห้งลง
      จึงส่งผลให้  อาจมีการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างตัวยาของฉีดโบ  ส่งผลให้ความคงตัวของยาน้อยกว่าฉีดโบ แบบสุญญากาศ และอาจทำให้การกระจายตัวของยามีความไม่สม่ำเสมอ ส่งผลให้อาจมีผลข้างเคียงหรือประสิทธิภาพของฉีดโบ ที่ลดลง

       

       

      ฉีดโบ  Bienox โบสุญญากาศ ช่วยแก้ปัญหาเรื่องอะไรบ้าง? 

      • ฉีดโบ  Bienox ลดริ้วรอย และรอยย่นบริเวณใบหน้า

      ฉีดโบ  Bienox สามารถใช้แก้ปัญหา ริ้วรอย และรอยเหี่ยวย่นได้ ไม่ว่าจะเป็นรอยย่นหน้าผาก รอยตีนกา หรือรอยย่นระหว่างคิ้ว โดยฉีดโบ  Bienox จะเข้าไปช่วยคลายกล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีด ทำให้ผิวดูเรียบตึง ทั้งยังอ่อนเยาว์ขึ้นได้

      •  ฉีดโบ  Bienox ลดขนาดกราม ให้หน้าเรียวเล็กลง

      ฉีดโบ  Bienox สามารถลดขนาดกล้ามเนื้อกราม ที่เป็นกรามที่ใหญ่จากการบดเคี้ยว โดยการทำการฉีดโบ  Bienox บริเวณนี้จะช่วยให้หน้าเรียวสวย โดยไม่ต้องผ่าตัด

      • ฉีดโบ  Bienox  ยกกระชับกรอบหน้า

      ฉีดโบ  Bienox สามารถฉีดเพื่อยกกระชับใบหน้าที่มีความหย่อนคล้อย และช่วยให้ผิวกระชับ ปรับกรอบหน้าให้ดูคมชัด หน้าเด็กลงได้

      • ฉีดโบ  Bienox ลดเหงื่อ ลดกลิ่นตัว

      ฉีดโบ  Bienox สามารถฉีดบริเวณรักแร้หรือฝ่ามือ เพื่อช่วยลดการทำงานของต่อมเหงื่อทำให้รูขุมขนเล็กลง ทั้งยังช่วยลดปริมาณเหงื่ออีกด้วย เหมาะสำหรับคนที่มีเหงื่อออกมากเกินไปหรือมีกลิ่นกาย

      • ฉีดโบ  Bienox ลดขนาดกล้ามเนื้อคอ ให้ลำคอดูเรียวระหง

      ฉีดโบ  Bienox สามารถทำให้กล้ามเนื้อที่เกร็งบริเวณลำคอได้ ทำให้ลำคอดูที่ไม่เรียว ให้ดูยาวเรียวสวยได้ ทั้งยังช่วยลดความหย่อนคล้อยบริเวณคอและกรอบหน้าได้ในคราวเดียว

       

      ฉีดโบ Bienox เหมาะกับใครบ้าง?
      ฉีดโบ Bienox เหมาะกับใครบ้าง?

       

      ฉีดโบ  Bienox  เหมาะกับใครบ้าง?

      • ฉีดโบ  Bienox  เหมาะกับผู้ที่มีริ้วรอยบนใบหน้า
      • ฉีดโบ  Bienox  เหมาะกับผู้ที่มีรอยขมวดคิ้ว
      • ฉีดโบ  Bienox  เหมาะกับผู้ที่มีรอยย่นบริเวณหน้าผาก 
      • ฉีดโบ  Bienox  เหมาะกับผู้ที่มีรอยตีนกา
      • ฉีดโบ  Bienox  เหมาะกับผู้ที่มีรอยย่นระหว่างคิ้ว 
      • ฉีดโบ  Bienox  เหมาะกับผู้ที่มีกล้ามเนื้อกรามใหญ่ 
      • ฉีดโบ  Bienox  เหมาะกับผู้ที่ต้องการลดขนาดกล้ามเนื้อแขนให้ดูเรียวขึ้น
      • ฉีดโบ  Bienox  เหมาะกับผู้ที่ต้องการมีขาที่เรียว
      • ฉีดโบ  Bienox  เหมาะกับผู้ที่ต้องการลดขนาดกราม
      • ฉีดโบ  Bienox  เหมาะกับผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าให้เรียวขึ้น 
      • ฉีดโบ  Bienox  เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาเหงื่อออกมาก
      • ฉีดโบ  Bienox  เหมาะกับผู้ที่มีกลิ่นตัว

       

      การเตรียมตัวก่อนฉีดโบ Bienox ควรปฏิบัติตัวดังนี้
      การเตรียมตัวก่อนฉีดโบ Bienox ควรปฏิบัติตัวดังนี้

       

      การเตรียมตัวก่อนฉีดโบ  Bienox ควรปฏิบัติตัวดังนี้

      ก่อนฉีดโบ  Bienox งดวิตามินและยาบางชนิดก่อนฉีดอย่างน้อย 1 สัปดาห์ อาทิ

      • วิตามินอี
      • น้ำมันปลา
      • คอลลาเจน
      • ยาแอสไพริน หรือยาแก้ปวดบางชนิด
      • ยาละลายลิ่มเลือด

      เพื่อลดอาการช้ำ และเลือดออกมากระหว่างทำ

      • ควรแจ้งแพทย์หากมีโรคประจำตัว หรือแพ้สารประเภทโบฯ

       

      การดูแลตัวเองหลังฉีดโบ  Bienox  ควรปฏิบัติตัวดังนี้

      เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดของการฉีดโบ  Bienox  ควรดูแลตัวเองดังนี้

      • หลังฉีดโบ  Bienox ในช่วง 2–3 ชั่วโมงแรก ควรขยับกล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดบ่อย ๆ เพื่อกระตุ้นตัวยาให้ทำงานเร็วขึ้น
      • หลังฉีดโบ  Bienox ห้ามจับ บีบ หรือนวดบริเวณที่ฉีด เพื่อป้องกันการเคลื่อนที่ของตัวยา
      • หลังฉีดโบ  Bienox งดดื่มแอลกอฮอล์ 24 ชั่วโมง หลังทำ เพื่อหลีกเลี่ยงอาการบวมช้ำ
      • หลังฉีดโบ  Bienox สามารถแต่งหน้าและทาครีมได้หลังจาก 1 วัน
      • หลังฉีดโบ  Bienox งดทำทรีตเมนต์ หรือการนวดหน้าเป็นเวลา 2 สัปดาห์
      • หลังฉีดโบ  Bienox  ควรงดทำเลเซอร์ต่างๆเป็นเวลา 2 สัปดาห์

       

      ฉีดโบ  Bienox โบสุญญากาศ และ ฉีดโบ ทั่วไป แตกต่างกันอย่างไร? เลือกแบบไหนให้ไม่อันตรายและเห็นผลจริง

       

      ฉีดโบ  Bienox และ ฉีดโบ ทั่วไปต่างกันด้านกระบวนการผลิต

      • ฉีดโบ  Bienox

       ใช้เทคโนโลยี Vacuum Drying ซึ่งเป็นการทำให้แห้งด้วยแรงดันสุญญากาศ ไม่ใช้ความร้อนสูง จึงช่วยคงความบริสุทธิ์และโครงสร้างของตัวยาไว้ได้ดี ส่งผลให้ตัวยามีความคงตัวสูงและมีประสิทธิภาพในการออกฤทธิ์มากขึ้น

       

      • ฉีดโบ โดยทั่วไป

      ใช้เทคโนโลยี Freeze Drying หรือการแช่แข็งเพื่อทำให้แห้ง ซึ่งมีโอกาสทำให้โครงสร้างของโปรตีนในตัวยาเสียหายมากกว่า ทั้งยังอาจลดทอนประสิทธิภาพและความเสถียรของตัวยาลง

       

      ฉีดโบ  Bienox และ ฉีดโบ ทั่วไปต่างกันด้านระยะเวลาที่เห็นผลและระยะเวลาการคงอยู่

      • ฉีดโบ  Bienox

      ฉีดโบ  Bienox จะสามารถเริ่มเห็นผล ในการรักษาภายใน 1–2 วัน และอยู่ได้นาน 4–6 เดือน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ไว และไม่ต้องฉีดบ่อย

       

      • ฉีดโบ โดยทั่วไป

      ฉีดโบ ทั่วไปจะเริ่มเห็นผล โดยใช้เวลา 5–7 วัน และระยะเวลาการคงอยู่ประมาณ 3–6 เดือน

       

      ฉีดโบ  Bienox และ ฉีดโบ ทั่วไปต่างกันด้านผลลัพธ์ที่ได้และความนิยม

      • ฉีดโบ  Bienox

      ฉีดโบ ที่ได้รับความนิยมในวงการแพทย์ความงาม โดยเฉพาะในผู้ที่ต้องการ ผลลัพธ์ชัดเจน ไม่อันตราย และแม่นยำ ใช้ได้กับหลายปัญหา เช่น ริ้วรอย หน้าหย่อนคล้อย รูปหน้าใหญ่ กล้ามเนื้อกราม และเหงื่อออกมาก

       

      • ฉีดโบ โดยทั่วไป

       มีบางยี่ห้อที่ได้ผลดี แต่อาจเจอปัญหาเช่นผลลัพธ์ไม่ชัดเจน ตัวยากระจายไม่สม่ำเสมอ หรือมีผลข้างเคียงจากความบริสุทธิ์ของตัวยาที่ไม่คงที่

       

      คำแนะนำเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจเลือกใช้ฉีดโบ 

      • ตรวจสอบยี่ห้อและแหล่งที่มาของฉีดโบ ให้ชัดเจน
      • ปรึกษาแพทย์เจ้าของเคสอย่างละเอียดก่อนลงมือทำ
      • อย่าตัดสินใจเลือกทำโปรแกรมฉีดจากราคาที่ถูก

       

      ข้อควรระวังก่อนฉีดโบ  

      • ศึกษาข้อมูลให้รอบด้าน

       ก่อนตัดสินใจฉีดโบ   ควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับประเภทและยี่ห้อของโปรแกรมฉีด รวมถึงเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน มีใบอนุญาตถูกต้อง และแพทย์ผู้ให้บริการต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับฉีดโบ  และผิวหนัง พร้อมดูรีวิวจากผู้ที่เคยใช้บริการจริงเพื่อประกอบการตัดสินใจ

       

      • แจ้งประวัติสุขภาพให้แพทย์ทราบ

       หากมีโรคประจำตัว หรือกำลังใช้ยาบางชนิดอยู่ ควรแจ้งแพทย์ล่วงหน้าก่อนฉีดโบ  เพื่อให้สามารถประเมินความเหมาะสมและความไม่อันตรายในการฉีดได้อย่างถูกต้อง

       

      • ตรวจสอบตัวยาก่อนฉีดทุกครั้ง

      เพื่อความมั่นใจ ควรขอดูตัวฉีดโบ ก่อนทำการฉีดทุกครั้ง ว่าเป็นของแท้ มีฉลากชัดเจน และนำเข้าถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อป้องกันการใช้ผลิตภัณฑ์ปลอมที่อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพ

       

      Q&A ฉีดโบ  Bienox  คืออะไร

       

      Q: ฉีดโบ  Bienox  ช่วยเรื่องอะไรได้บ้าง?


      A: ฉีดโบ  Bienox  ช่วยลดการทำงานของกล้ามเนื้อที่ทำให้เกิดริ้วรอย เช่น บริเวณหน้าผาก ร่องแก้ม และรอบดวงตา ช่วยให้ผิวเรียบเนียน กระชับ และดูอ่อนเยาว์ขึ้น อีกทั้งยังสามารถนำมาใช้ในทางการแพทย์ เช่น ลดอาการปวดไมเกรน หรือรักษาอาการกล้ามเนื้อกระตุกที่ควบคุมไม่ได้

       

      Q: ฉีดโบ มีอันตรายหรือไม่?


      A: ฉีดโบ  Bienox ถือได้ว่ามีผลข้างเคียงไม่มาก หากฉีดโดยแพทย์ ที่มีความรู้และมีความแม่นยำ อีกทั้งยังต้องใช้ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา (FDA) อย่างไรก็ตาม ควรปรึกษาแพทย์ก่อนฉีดทุกครั้ง เพื่อประเมินความเหมาะสมกับสภาพผิวและสุขภาพก่อนเข้ารับบริการ

       

      Q: ใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะเห็นผลหลังฉีดโบ  Bienox


      A: โดยปกติฉีดโบ  Bienox จะเริ่มเห็นผลอย่างรวดเร็วภายใน 1-2 วัน หลังฉีด และผลลัพธ์จะอยู่ได้นานประมาณ 4 – 6 เดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปริมาณที่ใช้ พื้นที่ ที่ฉีด และปฏิกิริยาของร่างกายของผู้เข้ารับบริการแต่ละคน

       

      Q: ฉีดโบ  Bienox มีผลข้างเคียงไหม?


      A: อาจมีผลข้างเคียงเล็กน้อย เช่น อาการบวม แดง หรือช้ำเล็กน้อยบริเวณที่ฉีด (จากรอยเข็ม)  ซึ่งเป็นผลข้างเคียงที่เป็นปกติ สามารถหายไปภายในไม่กี่วัน แต่หากมีอาการผิดปกติหรือรุนแรง ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที

       

      อยากฉีดโบ  Bienox  ควรเลือกที่ไหนดี?

      ปัจจุบันการทำโปรแกรมฉีดเป็นหัตถการที่ได้รับความนิยมและเข้าถึงได้ง่าย แต่ไม่ใช่คลินิกเสริมความงามทุกแห่งจะให้บริการด้วยมาตรฐานและความไม่อันตรายที่เท่ากัน ก่อนตัดสินใจเข้ารับการรักษา ควรพิจารณาและศึกษาข้อมูลให้ครบถ้วน โดยมีแนวทางในการเลือกคลินิกดังนี้

       

      •  คลินิกเสริมความงามนั้นจะต้องได้มาตรฐาน

      เลือกคลินิกที่ได้รับการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุข และมีใบอนุญาตประกอบกิจการอย่างถูกต้องตามกฎหมาย

       

      • แพทย์จะต้องมีความรู้และมีความแม่นยำในการรักษา

       แพทย์ผู้ทำการรักษาจะต้องมีความรู้และทักษะด้านการฉีดโบ โดยเฉพาะ สามารถประเมินโครงสร้างใบหน้า ให้คำปรึกษา และวางแผนการรักษาได้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล

       

      • สามารถเปิดกล่องผลิตภัณฑ์ให้ตรวจสอบได้โดยตรง หากผู้รับบริการต้องการ

      เพื่อความมั่นใจ ควรมีการเปิดขวดฉีดโบ ให้ดูต่อหน้าหากต้องการและร้องขอ พร้อมทั้งสามารถตรวจสอบยี่ห้อและเลขล็อตผลิตภัณฑ์ได้

       

      • อุปกรณ์ต้องสะอาด ปลอดเชื้อ

       คลินิกควรใช้เครื่องมือที่ผ่านการฆ่าเชื้อและมีมาตรฐานความสะอาด เพื่อความไม่อันตรายของผู้เข้ารับบริการ

       

      • มีรีวิวจากผู้ใช้จริง

       ตรวจสอบรีวิวจากผู้ใช้บริการจริง เพื่อดูผลลัพธ์และประสบการณ์ที่ได้รับจากคลินิกนั้น ๆ

       

      • มีบริการติดตามผลหลังฉีด

       คลินิกที่ดีควรมีระบบติดตามผลหลังการรักษา เพื่อประเมินผลลัพธ์และให้คำแนะนำเพิ่มเติมหากจำเป็น

       

      อยากฉีดโบ  Bienox ต้องที่ รมย์รวินท์คลินิก

      หากกำลังมองหาคลินิกเสริมความงามในการโบ  Bienox ที่ได้มาตรฐาน ไม่อันตราย  และให้ผลลัพธ์ที่ไม่แข็ง ไม่หลอก รมย์รวินท์คลินิก พร้อมดูแลคุณด้วยทีมแพทย์ผู้มีความแม่นยำในการฉีดโบ และมีประสบการณ์สูง โดยแพทย์จะประเมินปริมาณฉีดโบ  Bienox  และปัญหาบนใบหน้าอย่างละเอียดรวมทั้งให้คำแนะนำตามโครงสร้างใบหน้าของแต่ละบุคคล เพื่อผลลัพธ์ที่สวยงามและดูสวย ละมุนไม่ดูหลอก

      ผลลัพธ์ที่ได้คือใบหน้าที่เรียวกระชับ ลดเลือนริ้วรอย โดยไม่แข็งตึงจนดูปลอมหรือหลอก ไม่เพียงแค่การรักษา รมย์รวินท์คลินิกยังใส่ใจในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การให้คำปรึกษาก่อนฉีด ไปจนถึงการติดตามผลหลังการรักษา เพื่อให้แน่ใจว่าคุณได้รับผลลัพธ์ที่ดี

       

      ลดไขมันด้วยความเย็น CoolSculpting กระชับสัดส่วน ดีจริงไหม?

      ลดไขมันด้วยความเย็น CoolSculpting กระชับสัดส่วน ดีจริงไหม?

      ลดไขมันด้วยความเย็น CoolSculpting กระชับสัดส่วน ดีจริงไหม?

      อยากหุ่นดี แบบไม่ต้องลงมีด ไม่ต้องผ่าตัด ทำได้ไหม? หนึ่งในวิธีการที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบันที่จะช่วยสร้างหุ่นสวยได้แบบตรงใจ คือ การลดไขมันด้วยความเย็น (Cryolipolysis) หรือที่รู้จักในชื่อ CoolSculpting ที่ไม่เพียงแต่จะช่วยกำจัดไขมันเฉพาะจุดที่ยากต่อการลด แต่ยังไม่เสี่ยงอันตรายและไม่ต้องพักฟื้นอีกด้วย มาทำความเข้าใจว่า ความเย็นลดไขมันได้อย่างไร ? CoolSculpting ลดไขมันด้วยความเย็น กระชับสัดส่วน ดีจริงไหม? ที่ควรรู้ก่อนทำ

       

      ลดไขมันด้วยความเย็น คืออะไร?
      ลดไขมันด้วยความเย็น คืออะไร?

       

      ลดไขมันด้วยความเย็น คืออะไร?

      ปัจจุบันมีเทคโนโลยีมากมาย ที่ช่วยในเรื่องการลดไขมัน ลดไขมันเฉพาะส่วน อย่าง การลดไขมันด้วยความเย็น ก็เป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่กำลังได้รับความสนใจอย่างมากในตอนนี้ ซึ่งการลดไขมันด้วยความเย็น (Cryolipolysis) เป็นกระบวนการที่ใช้ความเย็นในการควบคุมเซลล์ไขมันใต้ผิวหนัง โดยการแช่แข็งเซลล์ไขมัน เนื่องจากเซลล์ไขมันนั้นมีความไว และตอบสนองต่อความเย็นมากกว่าเซลล์เนื้อเยื่อชนิดอื่นในร่างกาย เมื่อเซลล์ไขมันนั้นถูกทำให้เย็นจนถึงอุณหภูมิที่เหมาะสม เซลล์ไขมันก็จะถูกทำลายและถูกกำจัดออกจากร่างกาย ผ่านกระบวนการธรรมชาติของร่างกาย ทำให้มีความไม่เสี่ยงอันตราย และยังไม่ต้องผ่าตัด

       

      ความเย็นลดไขมันได้อย่างไร ด้วย CoolSculpting ?

      การลดไขมันด้วยความเย็นเฉพาะส่วนด้วยเทคโนโลยี สามารถทำได้ผ่านเครื่องลดไขมันด้วยความเย็น CoolSculpting โดยมีหลักการทำงานแบบ Cryolipolysis คือ การส่งความเย็นในระดับจุดเยือกแข็งลงไปใต้ชั้นผิวหนัง เพื่อเข้าไปแช่แข็งเซลล์ไขมันทำให้เซลล์ไขมันค่อย ๆ ตายไปด้วยความเย็นจากนั้นจะถูกขับออกจากร่างกายตามธรรมชาติ ส่งผลให้หลังทำลดไขมันด้วยความเย็นเสร็จสัดส่วนจะดูกระชับขึ้น โดยคลื่นความเย็นนั้นจะเกาะเฉพาะที่เซลล์ไขมันเท่านั้น ไม่ไปทำลายเนื้อเยื่อบริเวณอื่น ๆ

       

      เครื่องลดไขมันด้วยความเย็น CoolSculpting จะส่งความเย็นผ่านหัวดูดผิว (Vacuum) ที่จะประกบกับผิวหนังบริเวณที่จะทำ จากนั้นจะส่งความเย็นเข้าไปที่เซลล์ไขมันใต้ชั้นผิว ให้เซลล์ไขมันแข็งตัว จากนั้นจะทำการกำจัดเซลล์ไขมัน โดยไขมันที่ถูก CoolSculpting กำจัดจะถูกขับออกทางระบบขับถ่ายของเสียของร่างกาย และจากนั้นเซลล์ไขมันที่เหลือจะค่อย ๆ เรียงตัวใหม่ ชั้นไขมันจะดูบางลง และทำให้รูปร่างดูกระชับมากขึ้น

       

      โดยกระบวนการลดไขมันด้วยความเย็น CoolSculpting นั้นจะทำให้เจ็บน้อย ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องใช้เข็ม จึงไม่ทำให้เกิดรอยแผล ไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้นภายหลังทำ ทำให้สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ

       

      ลดไขมันด้วยความเย็น CoolSculpting มีข้อดีมีอะไรบ้าง

      การลดไขมันด้วยความเย็น CoolSculpting มีข้อดีเด่น ๆ อยู่ดังนี้

      • CoolSculpting ลดไขมันด้วยความเย็น เป็นเทคโนโลยีที่คิดค้นและพัฒนาโดยนายแพทย์ Dieter Manstein และนายแพทย์ R. Rox Anderson จาก มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ประเทศสหรัฐอเมริกา และได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา
      • CoolSculpting ใช้เทคโนโลยีลดไขมันด้วยความเย็น Cryolipolysis เพื่อกำจัดเซลล์ไขมันด้วยความเย็น โดยมีระบบควบคุมอุณหภูมิที่แม่นยำ และยังมีหัวดูดที่หลากหลายสำหรับบริเวณต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น หน้าท้อง แขน ต้นขา และคาง
      • CoolSculpting ลดไขมันด้วยความเย็น มีระบบป้องกันผิวหนังจากความเย็นเพื่อป้องกันความเสียหาย
      • CoolSculpting ลดไขมันด้วยความเย็น โดยเซลล์ไขมันจะถูกทำลาย
      • CoolSculpting ลดไขมันด้วยความเย็น ใช้เวลาในการทำประมาณ 35-75 นาที (ขึ้นกับ Applicator)
      • CoolSculpting ลดไขมันด้วยความเย็น มีความไม่เสี่ยงอันตราย เจ็บน้อย
      • CoolSculpting หลังทำลดไขมันด้วยความเย็น สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ โดยไม่ต้องพักฟื้น
      • CoolSculpting ลดไขมันด้วยความเย็น ไม่มีการดูดไขมันหรือผ่าตัด (Non-Invasive Lipolysis)
      • CoolSculpting ลดไขมันด้วยความเย็น ทำให้เกิดผลข้างเคียงน้อยมาก
      • CoolSculpting ลดไขมันด้วยความเย็น ช่วยกำจัดไขมันแบบถาวร
      • CoolSculpting ลดไขมันด้วยความเย็น ช่วยให้สัดส่วนลดลงอย่างเห็นได้ชัด
      • CoolSculpting ลดไขมันด้วยความเย็น จะไม่ทำลายเซลล์และเนื้อเยื่อส่วนอื่นบริเวณข้างเคียง
      • CoolSculpting ลดไขมันด้วยความเย็น ไม่เกิดพังผืดใต้ผิวหนัง
      • CoolSculpting ลดไขมันด้วยความเย็น ไม่ต้องฉีดยา หรือใช้ยาชาเฉพาะจุด
      • CoolSculpting ลดไขมันด้วยความเย็น สามารถกลับไปทำซ้ำที่จุดเดิมได้ เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ชัดเจนขึ้น

       

      ความเย็นลดไขมันได้อย่างไร ทำส่วนไหนได้บ้าง?
      ความเย็นลดไขมันได้อย่างไร ทำส่วนไหนได้บ้าง?

       

      ความเย็นลดไขมันได้อย่างไร ทำส่วนไหนได้บ้าง?

      การลดไขมันด้วยความเย็น จะช่วยลดจำนวนเซลล์ไขมันลงอย่างถาวร เป็นการกำจัดไขมันแบบเฉพาะจุด สามารถทำได้ทุกจุดบนร่างกาย เช่น

      • ลดไขมันด้วยความเย็นบริเวณ เหนียงใต้คาง
      • ลดไขมันด้วยความเย็นบริเวณ ต้นแขนด้านใน
      • ลดไขมันด้วยความเย็นบริเวณ เนื้อส่วนเกินบริเวณรักแร้
      • ลดไขมันด้วยความเย็นบริเวณ หน้าอก
      • ลดไขมันด้วยความเย็นบริเวณ ปีกด้านหลัง
      • ลดไขมันด้วยความเย็นบริเวณ หน้าท้องบน-ล่าง
      • ลดไขมันด้วยความเย็นบริเวณ รอบเอว
      • ลดไขมันด้วยความเย็นบริเวณ ไขมันส่วนเกินข้างสะโพก บั้นท้าย
      • ลดไขมันด้วยความเย็นบริเวณ ต้นขาด้านใน-นอก

      ทั้งนี้ ผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล

       

      ลดไขมันด้วยความเย็น CoolSculpting มีขั้นตอนการรักษาอย่างไร ?

      1. ก่อนเริ่มการรักษาลดไขมันด้วยความเย็น CoolSculpting ผู้เชี่ยวชาญจะทำการประเมินบริเวณที่ต้องการกำจัดไขมัน เช่น หน้าท้อง สะโพก ต้นขา หรือต้นแขน
      2. หลังจากการประเมิน จะวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล
      3. เริ่มทำการรักษาลดไขมันด้วยความเย็น CoolSculpting จะทำการติดตั้งเครื่องมือในลักษณะแผ่นปล่อยความเย็นในบริเวณที่ต้องการ โดยอุปกรณ์ Cryolipolysis จะถูกวางลงบนบริเวณที่ต้องการกำจัดไขมัน
      4. จากนั้นจะทำการเช็กอุณหภูมิให้อยู่ในระดับเหมาะสม ก่อนจะปล่อยคลื่นลดไขมันด้วยความเย็นเข้าไปใต้ชั้นผิวหนัง
      5. เครื่องมือลดไขมันด้วยความเย็น CoolSculpting จะดูดบริเวณผิวหนังและชั้นไขมันขึ้นมาภายในหัวของเครื่อง จากนั้นจะปล่อยความเย็นที่ควบคุม เพื่อทำให้เซลล์ไขมันแข็งตัว
      6. จะทำการใช้คลื่นความเย็นต่อเนื่องกันครั้งละ 35-75 นาที ขึ้นอยู่กับ Applicator และขึ้นอยู่กับจุดที่ทำ จากนั้นจะใช้เครื่องมือนวดบริเวณที่ทำประมาณ 2-5 นาที ถือเป็นการเสร็จสิ้นกระบวนการลดไขมัน
      7. ขณะทำลดไขมันด้วยความเย็น CoolSculpting ในช่วงแรก อาจเกิดความรู้สึกเย็น ตึง หรือชา บริเวณที่ทำการรักษา
      8. หลังทำลดไขมันด้วยความเย็น CoolSculpting จะแนะนำวิธีดูแลตัวเองหลังทำ รวมถึงการวางแผนการรักษาในอนาคต เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ

       

      ลดไขมันด้วยความเย็น CoolSculpting เหมาะกับใคร?

      การลดไขมันด้วยความเย็น CoolSculpting สามารถทำได้เกือบทุกคน หากมีความต้องการกำจัดเซลล์ไขมันในจุดที่กำจัดได้ยากออก และไม่ต้องการให้มีเซลล์ไขมันกลับมาอีก โดยผู้ที่เหมาะกับการลดไขมันด้วยความเย็น ได้แก่

       

      • ลดไขมันด้วยความเย็นเหมาะกับ ผู้ที่ต้องการลดสัดส่วนเฉพาะจุด
      • ลดไขมันด้วยความเย็นเหมาะกับ ผู้ที่มีค่าดัชนีมวลกาย (BMI) อยู่ในเกณฑ์ปกติหรือเกินเล็กน้อย
      • ลดไขมันด้วยความเย็นเหมาะกับ ผู้ที่ออกกำลังกาย แต่ไม่สามารถลดไขมันในบางจุดได้
      • ลดไขมันด้วยความเย็นเหมาะกับ ผู้ที่ต้องการปรับรูปร่าง และต้องการเจ็บน้อย
      • ลดไขมันด้วยความเย็นเหมาะกับ ผู้ที่มีปัญหาไขมันส่วนเกินสะสมเฉพาะจุดบริเวณร่างกาย

      ทั้งนี้ ผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ แจ้งโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา หรือประวัติการรักษา ก่อนเข้ารับการบริการ

      ลดไขมันด้วยความเย็น CoolSculpting ไม่เหมาะกับใคร ?

      • ลดไขมันด้วยความเย็นไม่เหมาะกับ ผู้ที่ตั้งครรภ์ หรืออยู่ในระหว่างให้นมบุตร
      • ลดไขมันด้วยความเย็นไม่เหมาะกับ ผู้ที่รับการผ่าตัดคลอดบุตรน้อยกว่า 6 เดือน
      • ลดไขมันด้วยความเย็นไม่เหมาะกับ ผู้ที่อยู่ระหว่างการมีประจำเดือน
      • ลดไขมันด้วยความเย็นไม่เหมาะกับ ผู้ที่แพ้ความเย็น เช่น ลมพิษจากความเย็น โรคกลัวความเย็น
      • ลดไขมันด้วยความเย็นไม่เหมาะกับ ผู้ที่มีการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ หรือผู้ที่เป็นโรคเลือดที่มีการแข็งตัวผิดปกติ เมื่อสัมผัสกับความเย็น
      • ลดไขมันด้วยความเย็นไม่เหมาะกับ ผู้ที่รับประทานยาละลายลิ่มเลือด หรือยาที่ทำให้เลือดไม่แข็งตัวตามปกติ
      • ลดไขมันด้วยความเย็นไม่เหมาะกับ ผู้ที่เป็นโรคไส้เลื่อน
      • ลดไขมันด้วยความเย็นไม่เหมาะกับ ผู้ที่ติดอุปกรณ์ในร่างกาย เช่น เครื่องกระตุ้นหัวใจ หรืออุปกรณ์ควบคุมการเต้นของหัวใจ
      • ลดไขมันด้วยความเย็นไม่เหมาะกับ ผู้ที่เพิ่งผ่าตัด หรือมีแผลผ่าตัด ในบริเวณที่จะทำการลดไขมันน้อยกว่า 6 เดือน
      • ลดไขมันด้วยความเย็นไม่เหมาะกับ ผู้ที่มีแผลเปิด ผิวหนังอักเสบ หรือติดเชื้อ ในบริเวณที่จะทำการลดไขมัน

      ทั้งนี้ ผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ แจ้งโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา หรือประวัติการรักษา ก่อนเข้ารับการบริการ

      ลดไขมันด้วยความเย็น CoolSculpting ต้องเตรียมตัวอย่างไร ?

      การลดไขมันด้วยความเย็น CoolSculpting ไม่จำเป็นต้องเตรียมตัวเป็นพิเศษ เนื่องจากไม่ใช่วิธีการดูดหรือการผ่าตัดไขมัน แต่จะคล้ายกับการทำทรีตเมนต์ทั่วไป ทำให้หลังทำ CoolSculpting สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ สามารถเตรียมตัวได้ ดังนี้

      • ก่อนลดไขมันด้วยความเย็น ควรรับประทานอาหาร และดื่มน้ำ ตามปกติ
      • ก่อนลดไขมันด้วยความเย็น ควรพักผ่อนให้เพียงพอ
      • ก่อนลดไขมันด้วยความเย็น ควรงดอาหารอย่างน้อย 1 ชม. หากทำการลดไขมันด้วยความเย็นบริเวณช่วงท้อง
      • ก่อนลดไขมันด้วยความเย็น ควรหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ และสูบบุหรี่

       

      ผลลัพธ์ของ CoolSculpting ลดไขมันด้วยความเย็น
      ผลลัพธ์ของ CoolSculpting ลดไขมันด้วยความเย็น

       

      ผลลัพธ์ของ CoolSculpting ลดไขมันด้วยความเย็น

      การลดไขมันด้วยความเย็น จะทำให้เซลล์ไขมันที่ถูกคลื่นความเย็นค่อย ๆ ถูกขับออกทางระบบขับถ่ายของเสียตามธรรมชาติ โดยจะเริ่มเห็นผลได้ใน 3 สัปดาห์ และผลลัพธ์จะค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นหลัง 3 เดือน เพราะร่างกายขจัดเซลล์ไขมันที่ตายออกจากชั้นไขมันใต้ผิวหนังจนหมด จึงทำให้สัดส่วนกระชับและผิวเรียบเนียนขึ้น ทั้งนี้ในการลดไขมันด้วยความเย็นแต่ละครั้งจะกำจัดเซลล์ไขมันออกได้ จะต้องขึ้นอยู่กับจุดที่ทำและคุณภาพของเครื่องมือที่ใช้ด้วย

       

      ความเย็นลดไขมันได้อย่างไร เจ็บไหม ?

      ในระหว่างทำ CoolSculpting ลดไขมันด้วยความเย็น ผู้รับบริการจะรู้สึกเจ็บเล็กน้อย พร้อมกับรู้สึกแสบ และชา บริเวณผิวที่ทำ โดยในช่วง 5-10 นาทีแรก จะรู้สึกไม่สบายผิว ตึง รั้ง เนื่องจากความแน่นของหัวเครื่องมือลดไขมันด้วยความเย็น ที่ค่อย ๆ ดูดบริเวณผิว จากนั้นจะรู้สึกเย็นก่อนจะรู้สึกชา และปวดเล็กน้อย

      ซึ่งอาการเหล่านี้จะค่อย ๆ ทุเลาลงเมื่อได้รับลมเย็นต่อเนื่องจนครบ 35-75 นาที ขึ้นอยู่กับ Applicator หลังจากการลดไขมันด้วยความเย็นในช่วง 1-2 สัปดาห์ จะยังรู้สึกเมื่อย และคันบริเวณผิว และในช่วงหลังทำลดไขมันด้วยความเย็นระยะ 3-4 สัปดาห์ บางคนอาจยังมีอาการชาอยู่บ้าง แต่อาการเหล่านี้จะค่อย ๆ หายไปเอง พร้อมกับผลลัพธ์ที่ชัดเจนขึ้นภายใน 1-3 เดือน

       

      ลดไขมันด้วยความเย็น CoolSculpting มีข้อควรระวังไหม ?

      การลดไขมันด้วยความเย็นนั้นยังมีข้อจำกัด หรือข้อควรระวังอยู่บางประการ ดังนั้นก่อนจะเข้าไปทำลดไขมันด้วยความเย็น CoolSculpting อาจต้องทราบข้อจำกัดของ CoolSculpting ดังนี้

       

      • การลดไขมันด้วยความเย็น CoolSculpting จะค่อย ๆ เริ่มเห็นผลที่ชัดเจนเมื่อเวลาผ่านไปประมาณ 1-3 เดือน โดยครั้งแรก CoolSculpting จะสามารถลดไขมันได้ แต่อาจจะไม่ได้เห็นผลลัพธ์แบบทันที เพราะลดไขมันด้วยความเย็น CoolSculpting เป็นการใช้คลื่นความเย็นในการทำลายเซลล์ไขมันใต้ผิวหนัง และต้องรอให้เซลล์ไขมันนั้นถูกขับออกจากร่างกาย
      • การลดไขมันด้วยความเย็น จาก CoolSculpting ไม่เหมาะกับผู้ที่มีชั้นไขมันมากเกินไป หรือมีค่า BMI>35 เพราะอาจจะทำให้ผลลัพธ์ที่ได้นั้นอาจจะไม่เห็นผลที่ชัดเจนมาก
      • CoolSculpting เป็นเครื่องมือที่ใช้ลดไขมันด้วยความเย็น มุ่งเน้นไปที่การกำจัดไขมันใต้ชั้นผิวหนัง และกระชับสัดส่วนร่างกาย แต่ไม่สามารถกำจัดไขมันที่แทรกอยู่ในอัวยวะได้
      • ลดไขมันด้วยความเย็น CoolSculpting อาจจะไม่เหมาะกับผู้ที่มีโรคประจำตัวบางโรค หรือมีความผิดปกติในร่างกายบางประการ เช่น โรคแพ้ความเย็น ผู้ที่มีภาวะเลือดแข็งตัวผิดปกติ ผู้ที่เพิ่งเข้ารับการผ่าตัด ผู้ที่ใส่เครื่องกระตุ้นการทำงานของหัวใจ รวมไปถึงผู้ที่อยู่ระหว่างมีประจำเดือน และผู้ที่ตั้งครรภ์และกำลังให้นมบุตร

       

      ลดไขมันด้วยความเย็น ช่วยลดไขมันในช่องท้องได้หรือไม่?

      การลดไขมันด้วยความเย็น ( CoolSculpting หรือ Cryolipolysis) สามารถช่วยลดไขมันในชั้นไขมันใต้ผิวหนัง ที่มองเห็นและสัมผัสได้ เช่น บริเวณหน้าท้อง ต้นแขน ต้นขา ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่การลดไขมันด้วยความเย็น CoolSculpting ไม่สามารถลดไขมันใน ช่องท้อง (Visceral Fat) ซึ่งเป็นไขมันที่สะสมอยู่ลึกภายในรอบอวัยวะภายในช่องท้อง เช่น ตับ ลำไส้ และหัวใจ ได้

       

      ระหว่างทำ ความเย็นลดไขมันได้อย่างไร ต้องอยู่ท่าไหนจึงจะเหมาะสม?

      การลดไขมันด้วยความเย็น CoolSculpting จะขึ้นอยู่กับบริเวณที่ทำการรักษาและประเภทของเครื่องมือที่ใช้ ในระหว่างการทำหัตถการ ผู้เข้ารับบริการสามารถเลือกอิริยาบถที่สะดวกและเหมาะสมกับตัวเองได้ โดยส่วนใหญ่ระหว่างทำลดไขมันด้วยความเย็น ผู้เข้ารับบริการจะนั่งหรือเอนตัวในท่าที่สบาย และคงที่ระหว่างการรักษาลดไขมันด้วยความเย็นจะเหมาะสม

       

      ระหว่างการลดไขมันด้วยความเย็น ควรหลีกเลี่ยงการขยับร่างกายหรือเปลี่ยนอิริยาบถอย่างรวดเร็วในระหว่างการรักษา เพื่อป้องกันหัวดูดหลุด หรืออาจทำให้เครื่องลดไขมันด้วยความเย็น ทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ และหากรู้สึกไม่สบายในอิริยาบถใด สามารถแจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อปรับเปลี่ยนตำแหน่งได้

       

      ทำไมต้องลดไขมันด้วยความเย็น ?
      ทำไมต้องลดไขมันด้วยความเย็น ?

       

      ต้องลดไขมันด้วยความเย็น ?

      1. การลดไขมันด้วยความเย็นมีความไม่เสี่ยงอันตราย เนื่องจากการลดไขมันด้วยความเย็น ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (FDA)
      2. การลดไขมันด้วยความเย็น ไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีการใช้เข็ม ทำให้ลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อ หรือผลข้างเคียงที่รุนแรง
      3. การลดไขมันด้วยความเย็น ไม่ต้องพักฟื้น หลังการใช้ความเย็นลดไขมัน สามารถกลับไปทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันได้ทันที โดยไม่ต้องพักฟื้น
      4. การลดไขมันด้วยความเย็นช่วยกำจัดไขมันเฉพาะจุด วิธีลดไขมันด้วยความเย็นเหมาะสำหรับผู้ที่มีไขมันสะสมเฉพาะจุด เช่น หน้าท้อง ต้นขา สะโพก หรือบริเวณใต้คาง ที่ลดได้ยากแม้จะออกกำลังกายหรือควบคุมอาหาร
      5. การลดไขมันด้วยความเย็นช่วยให้เห็นผลลัพธ์ในระยะยาว เนื่องจากเมื่อเซลล์ไขมันถูกกำจัดออกไปแล้ว จะไม่กลับมาใหม่อีกหากมีการรักษาน้ำหนักตัวให้คงที่

      เซลล์ไขมัน คืออะไร ?

      ทำความรู้จักกับ เซลล์ไขมัน (Fat Cell) หรือ Adipocyte ซึ่งเป็นเซลล์ที่ช่วยทำหน้าที่กักเก็บพลังงานภายในร่างกาย โดยจะอยู่ในรูปแบบของไตรกลีเซอไรด์ โดยร่างกายจะปล่อยพลังงานออกมาใช้ ในช่วงที่ร่างกายขาดพลังงานจากอาหาร ทำให้เซลล์ไขมันมีความสำคัญในกระบวนการรักษาสมดุลพลังงานในร่างกาย แต่หากมีมากเกินไปอาจจะส่งผลต่อสุขภาพ และเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่าง ๆ ได้

       

      หากมีเซลล์ไขมันในร่างกายมากเกินไป จะเกิดอะไรขึ้น ?

      • เมื่อร่างกายของเราสะสมไขมันมากเกินไป จะทำให้เซลล์ไขมันขยายขนาดมากขึ้น หรือเกิดความหนาแน่นสูง อาจจะทำให้เกิดปัญหาผิวหนัง อย่าง เซลลูไลท์ (Cellulite) ที่ทำให้ผิวเป็นคลื่น ไม่เรียบเนียน
      • บริเวณที่มีเซลล์ไขมันสะสมมาก ในบางจุดอาจทำให้เกิดเป็นลักษณะผิวเปลือกส้ม โดยมักเป็นบริเวณที่ไขมันใต้ผิวหนังเยอะ เช่น หน้าท้อง ต้นขา สะโพก และก้น

       

      เซลล์ไขมัน มีหน้าที่อะไร?

      เซลล์ไขมันไม่ได้ทำหน้าที่เพียงเก็บพลังงาน แต่ยังมีส่วนสำคัญในการหลั่งฮอร์โมนและสารชีวเคมีที่มีอิทธิพลต่อระบบเผาผลาญและการอักเสบในร่างกาย เช่น ฮอร์โมนเลปติน (Leptin) ฮอร์โมนที่ช่วยควบคุมความอยากอาหาร และอะดิโพเนคติน (Adiponectin) ที่ช่วยเพิ่มความไวของอินซูลินและช่วยในการเผาผลาญไขมัน หากมีเซลล์ไขมันที่มากเกินไปอาจจะทำให้ส่งผลอันตรายต่อสุขภาพได้

      ซึ่งการจัดการไขมันส่วนเกินสามารถทำได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็น การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ หรือจะเป็นการใช้เทคโนโลยีช่วยลดไขมัน เช่น การลดไขมันด้วยความเย็น ที่สามารถช่วยลดและลดไขมันสะสมส่วนเกินได้เป็นอย่างดี

       

      ลดน้ำหนัก กับ ลดไขมัน ต่างกันไหม?
      ลดน้ำหนัก กับ ลดไขมัน ต่างกันไหม?

       

      ลดน้ำหนัก กับ ลดไขมัน ต่างกันไหม?

      การลดน้ำหนักและกำจัดเซลล์ไขมันมีความแตกต่างกันตรงที่การลดน้ำหนัก ดังนี้

      • การลดน้ำหนัก

      การลดน้ำหนักนั้น สามารถทำได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็น การออกกำลังกาย การควบคุมอาหาร หรือการทำหัตถการ ซึ่งเมื่อน้ำหนักลดลง เซลล์ไขมันก็จะมีขนาดเล็กลงแต่ยังมีอยู่จำนวนเท่าเดิม และในอนาคตก็สามารถกลับมาขยายได้ และเมื่อไม่สามารถกักเก็บต่อไปได้จะแบ่งตัวออกเป็นเซลล์ไขมันใหม่ ทำให้เกิดเป็นความอ้วนได้

      • การลดไขมัน

      การลดไขมัน หรือการการกำจัดเซลล์ไขมันส่วนเกินให้ได้แบบถาวร การเอาเซลล์ไขมันออกจากร่างกาย หรือการทำให้เซลล์ไขมันนั้นตาย ในปัจจุบันจะใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์มาช่วยกำจัดไขมัน เช่น การลดไขมันด้วยความเย็น CoolSculpting โดยไม่จำเป็นต้องทำการผ่าตัด

      ทั้งนี้ ผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ แจ้งโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา หรือประวัติการรักษา ก่อนเข้ารับการบริการ

       

      อยากลดไขมัน เลือกวิธีไหนดี?

      ปัจจุบันมีวิธีที่จะช่วยลดไขมันเฉพาะจุดได้หลายวิธี โดยแต่ละวิธีก็มีความโดดเด่น ข้อดี หรือข้อจำกัดที่แตกต่างกันออกไป การเลือกใช้วิธีลดไขมันที่เหมาะกับเราจะช่วยให้แก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด โดยข้อแตกต่างของ วิธีลดไขมันแต่ละวิธี มีดังนี้

      • Cryolipolysis (การลดไขมันด้วยความเย็น)

      การลดไขมันด้วยความเย็น เป็นการใช้ความเย็นที่ควบคุมอย่างแม่นยำในการทำให้เซลล์ไขมันแข็งตัว และตายตามธรรมชาติ (Apoptosis) โดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อรอบข้าง หลังทำไม่ต้องพักฟื้น ผู้เข้ารับการรักษาสามารถกลับไปทำกิจวัตรประจำวันได้ทันที

      ทั้งการลดไขมันด้วยความเย็นยังมีความเสี่ยงต่ำ อาจมีผลข้างเคียงหลังทำเล็กน้อย ได้แก่ แดง บวม หรือชาในบริเวณที่ทำ ซึ่งมักจะค่อย ๆ หายไปเอง การลดไขมันด้วยความเย็นสามารถเห็นผลชัดเจนใน 2-3 เดือน เนื่องจากร่างกายต้องใช้เวลาในการกำจัดเซลล์ไขมันที่ตายออกไปตามกระบวนการขับของเสีย *ทั้งนี้ ผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

      • Liposuction (การดูดไขมัน)

      การดูดไขมัน เป็นการผ่าตัดเพื่อดูดไขมันออกจากร่างกายโดยตรง โดยใช้ท่อดูดขนาดเล็กเข้าไปในชั้นไขมันผ่านแผลขนาดเล็ก หลังทำต้องพักฟื้นประมาณ 1-2 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับปริมาณไขมันที่ดูดและพื้นที่ที่ทำ

      ทั้งนี้การดูดไขมันอาจความเสี่ยงปานกลางถึงสูง เช่น การติดเชื้อ เลือดออก รอยแผลเป็น หรือผลข้างเคียงจากการดมยาสลบ เนื่องจากเป็นการผ่าตัดใหญ่ การดูดไขมันสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ แต่ต้องรอให้รอยบวมและช้ำหายไปเพื่อเห็นรูปร่างที่ชัดเจน *ทั้งนี้ ผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

      • การลดไขมันด้วยเลเซอร์ (Laser Lipolysis)

      การลดไขมันด้วยเลเซอร์ เป็นการใช้พลังงานแสงเลเซอร์ทำให้เซลล์ไขมันแตกตัวและถูกกำจัดออกจากร่างกายผ่านกระบวนการเผาผลาญตามธรรมชาติ หลังทำไม่ต้องพักฟื้น ผู้เข้ารับการรักษาสามารถกลับไปทำงานหรือทำกิจวัตรได้ทันที

      ทั้งนี้การลดไขมันด้วยเลเซอร์อาจมีความเสี่ยงต่ำ เช่น ผิวแดง หรือระคายเคืองเล็กน้อยบริเวณที่ทำ และสามารถถเห็นผลลัพธ์ได้ภายใน 1-2 เดือน เนื่องจากต้องรอให้ร่างกายขจัดไขมันออกไป *ทั้งนี้ ผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

       

      เปรียบเทียบการลดไขมัน แต่ละวิธี

      • Cryolipolysis: การลดไขมันด้วยความเย็น เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการผ่าตัด มีไขมันส่วนเกินเฉพาะจุด ต้องการลดไขมันด้วยความเย็น กระชับสัดส่วน และมีเวลาพักฟื้นน้อย มีกิจวัตรประจำวันเยอะ
      • Liposuction: เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดไขมันจำนวนมากในคราวเดียว และสามารถพักฟื้นได้
      • Laser Lipolysis: เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดไขมันเฉพาะจุดเล็ก ๆ และต้องการกระชับผิวร่วมด้ว

       

      หากต้องการที่จะลดไขมัน ควรศึกษาวิธีหรือเทคนิคการลดไขมันที่ตรงโจทย์ และปรึกษาแพทย์ เพื่อวางแผนการรักษาต่อไป ซึ่งการลดไขมันด้วยความเย็นก็ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่มาแรงมากในตอนนี้ เนื่องจากไม่ต้องผ่าตัด เจ็บน้อย ทั้งยังไม่ต้องพักฟื้นนานเหมือนวิธีอื่น ๆ ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับการบริการ

       

      ลดไขมันด้วยความเย็น ต้องดูแลตัวเองหลังทำอย่างไร ?

      แม้ว่าการลดไขมันด้วยความเย็น จะเป็นการลดไขมันที่ไม่ต้องผ่าตัด ทำให้ใช้เวลาพักฟื้นน้อยแล้ว อย่างไรก็ตาม หากต้องการผลลัพธ์ที่ชัดเจน มีประสิทธิภาพ และอยู่ได้นานขึ้น ควรดูแลตัวเองหลังทำ ดังนี้

      1. หลังทำลดไขมันด้วยความเย็น ดื่มน้ำมาก ๆ จะช่วยให้ระบบต่าง ๆ ในร่างกายทำงานได้ดีขึ้น และช่วยทำให้กระบวนการกำจัดเซลล์ไขมันที่ถูกทำลายในร่างกาย ทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
      2. หลังทำลดไขมันด้วยความเย็น รักษาน้ำหนักตัวให้คงที่ การควบคุมอาหาร และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดไขมันสะสมใหม่
      3. หลังทำลดไขมันด้วยความเย็น หลีกเลี่ยงการสัมผัสบริเวณที่ทำมากเกินไป เช่น การนวดหรือกดแรง ๆ ในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก เนื่องจากอาจทำให้ผิวบริเวณนั้นเกิดการระคายเคืองได้
      4. หลังทำลดไขมันด้วยความเย็น หลีกเลี่ยงการใช้ความร้อนในบริเวณที่ทำการรักษา เช่น การอาบน้ำร้อนหรือการทำซาวน่าในช่วงแรก เพื่อป้องกันการระคายเคือง
      5. หลังทำลดไขมันด้วยความเย็น รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เลือกรับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูง ไขมันดี และหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันทรานส์หรือน้ำตาลสูง เพื่อป้องกันการสะสมไขมันใหม่
      6. หลังทำลดไขมันด้วยความเย็น หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ เพื่อไม่ให้สารต่าง ๆ เข้าไปรบกวนกระบวนการเผาผลาญและกำจัดเซลล์ไขมัน

       

      CoolSculpting ลดไขมันด้วยความเย็น เป็นนวัตกรรมที่ช่วยกำจัดไขมันเฉพาะจุดได้อย่างไม่เสี่ยงอันตราย และมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องผ่านการผ่าตัดหรือพักฟื้น แม้ผลลัพธ์จะไม่ได้เห็นผลทันที แต่การลดไขมันอย่างถาวรด้วยการลดไขมันด้วยความเย็น ก็เป็นวิธีที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปรับรูปร่างอย่างเป็นธรรมชาติและไม่เสี่ยงต่อสุขภาพ หากใครกำลังมองหา การลดไขมันด้วยความเย็น (Cryolipolysis) หรือการใช้เครื่องการลดไขมันด้วยความเย็น CoolSculpting สามารถเข้ามาปรึกษาสอบถามเบื้องต้นได้ที่ รมย์รวินท์คลินิกทุกสาขา

       

       

      *ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับการบริการ

      *เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

      Duo Slim Max คืออะไร? ลดไขมัน ยกกระชับผิวได้ในเครื่องเดียว

      Duo Slim Max

      ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




        วันที่สะดวกในการติดต่อ








        Duo Slim Max คืออะไร? ลดไขมัน ยกกระชับผิวได้ในเครื่องเดียว

        ออกกำลังกายหนักแค่ไหนไขมันก็ไม่ลด ผิวก็ไม่กระชับ ทางเลือกสำหรับคนไม่มีเวลา ที่อยากจะลดไขมัน ยกกระชับ ได้พร้อมกันในครั้งเดียว แบบไม่ต้องพักฟื้น Duo Slim Max อาจจะเป็นคำตอบที่ใช่ มาทำความรู้จักกับ Duo Slim Max คืออะไร? ลดไขมัน ยกกระชับผิวได้ในเครื่องเดียว เหมาะกับใครบ้าง? ต้องทำกี่ครั้งถึงจะเห็นผล? บทความนี้เรามีคำตอบ

         Duo Slim Max คืออะไร?
        Duo Slim Max คืออะไร?

        Duo Slim Max คืออะไร?

        Duo Slim Max ลดไขมัน พร้อมยกกระชับร่างกาย ที่ใช้เทคโนโลยีคลื่นวิทยุความถี่สูงแบบขั้วเดียว  (Monopolar RF) ที่ทำงานร่วมกับคลื่นเสียง Ultrasound โดยส่งผ่านพลังงานแบบเฉพาะเจาะจง ที่จะส่งพลังงานความร้อนเข้าสู่ชั้นผิวหนังแท้ และชั้นไขมันใต้ผิวหนัง เพื่อช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ใต้ผิว ทั้งยังช่วยปรับโครงสร้างการจัดเรียงของคอลลาเจนให้เรียงตัวได้ดีขึ้น จึงส่งผลให้ผิวเรียบเนียน แก้ปัญหาผิวริ้วรอย เซลลูไลท์ รอยแตกลาย ลดไขมันส่วนเกินใต้ชั้นผิว และช่วยยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อยให้กลับมาเต่งตึง ซึ่งสามารถทำได้ทั้งบริเวณใบหน้าและลำตัว โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น สามารถเห็นผลลัพธ์ได้ทันทีหลังทำ Duo Slim Max จึงเป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่ใคร ๆ ก็ต่างไว้ใจ

         

        Duo Slim Max ทำงานอย่างไร ?

        หลักการทำงานของ Duo Slim Max นั้นจะใช้เทคโนโลยีที่มีความโดดเด่น ซึ่งประกอบด้วยการใช้คลื่นวิทยุความถี่สูง Monopolar Radio Frequency (RF) ร่วมกับคลื่นเสียง Ultrasound โดยจะทำการส่งพลังงานความร้อนที่อุณหภูมิประมาณ 40 – 42 °C ลงไปที่ชั้นผิวหนังแท้ (Dermis) และชั้นไขมันใต้ผิวหนัง (Subcutaneous) สามารถลงไปได้ลึกถึง 2.5 cm. ซึ่งจะมีความลึกมากกว่าการใช้พลังงานแบบ Monopolar RF อย่างเดียว จากนั้นพลังงานความร้อนจะเข้าไปทำให้เซลล์ไขมันตายอย่างธรรมชาติ (Apoptosis) และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ๆ พร้อมทั้งจัดเรียงโมเลกุลของคอลลาเจนให้เรียงตัวได้ดียิ่งขึ้น ส่งผลให้ผิวบริเวณที่ทำเกิดความเรียบเนียน เต่งตึง และไขมันลดลง และยังสามารถทำได้หลายบริเวณทั่วร่างกายนอกจากนี้ Duo Slim Max ยังมีเทคโนโลยีที่ช่วยตรวจจับอุณหภูมิ และช่วยปรับความร้อนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมกับผิวแต่ละบริเวณ จึงทำให้มั่นใจได้ว่าไม่เกิดความเจ็บ หรือผิวเกิดการเบิร์น โดย Duo Slim Max จะใช้เวลาในการรักษาประมาณ 20-30 นาที ต่อบริเวณ ทั้งนี้จะขึ้นอยู่กับปัญหาของแต่ละบุคคลด้วย

         Duo Slim Max ช่วยเรื่องอะไรบ้าง
        Duo Slim Max ช่วยเรื่องอะไรบ้าง

        Duo Slim Max ช่วยเรื่องอะไรบ้าง

        Duo Slim Max เป็นการใช้พลังงาน Radio Frequency (RF) และ Ultrasound ในการกระตุ้นเซลล์ผิว ออกแบบมาเพื่อช่วยยกกระชับผิวและลดไขมันโดยไม่ต้องผ่าตัด จึงทำให้มีข้อดีหลายด้านที่จะช่วยแก้ปัญหาผิว และปัญหารูปร่างได้ ดังนี้

        • Duo Slim Max ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ผิว ทำให้ผิวดูเต่งตึงและอ่อนเยาว์ขึ้น
        • Duo Slim Max ช่วยยกกระชับผิว ลดเลือนริ้วรอย ลดความหย่อนคล้อยของผิว เช่น ใบหน้า รอบดวงตา ลำคอ และเนินอก 
        • Duo Slim Max ช่วยลดไขมันส่วนเกิน กำจัดไขมันเฉพาะจุดบริเวณใต้วงแขน แขน หลังมือ หน้าท้อง สะโพก และต้นขา 
        • Duo Slim Max ช่วยปรับรูปร่างให้กระชับขึ้น โดยไม่ต้องผ่าตัด หรือดูดไขมัน
        • Duo Slim Max ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และการทำงานของระบบน้ำเหลือง
        • Duo Slim Max ช่วยกระตุ้นการเผาผลาญไขมันได้ดีขึ้น และยังช่วยยกกระชับสัดส่วนให้ได้รูปร่างที่สวยงาม
        • Duo Slim Max ช่วยขจัดเซลลูไลท์ ลดปัญหาผิวเปลือกส้ม ทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น
        • Duo Slim Max สามารถเห็นผลลัพธ์ได้ชัดเจน และเห็นความเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ครั้งแรก 
        • Duo Slim Max ไม่ต้องใช้เข็ม ไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีบาดแผล และมีความเจ็บน้อย ทำให้ไม่ต้องพักฟื้น

         

        Duo Slim Max เหมาะกับใคร?

        • Duo Slim Max เหมาะกับผู้ที่มีริ้วรอยเล็ก ๆ และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
        • Duo Slim Max เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย ผิวขาดความกระชับ 
        • Duo Slim Max เหมาะกับผู้ที่มีไขมันส่วนเกินเฉพาะจุด เช่น แขน หน้าท้อง หลัง สะโพก ต้นขา น่อง
        • Duo Slim Max เหมาะกับผู้ที่ออกกำลังกาย และต้องการให้เห็นมัดกล้ามเนื้อเชัดขึ้น
        • Duo Slim Max เหมาะกับคุณแม่หลังคลอด ที่มีผิวหน้าท้องที่หย่อนคล้อย
        • Duo Slim Max เหมาะกับผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อยจากการลดน้ำหนัก หรือดูดไขมัน
        • Duo Slim Max เหมาะกับผู้ที่ไม่ต้องการผ่าตัด Duo Slim Max ใช้เทคโนโลยีที่ไม่เสี่ยงอันตราย ไม่ต้องผ่าตัด
        • Duo Slim Max เหมาะกับผู้ที่มีเซลลูไลท์ หรือผิวเปลือกส้ม ต้องการลดเซลลูไลท์บริเวณต้นขาและสะโพก
        • Duo Slim Max เหมาะกับผู้ที่ต้องการเสริมการรักษาด้วยวิธีอื่น ๆ  เช่น ทำร่วมกับการดูดไขมัน หรือฉีดแฟต เพื่อผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น

        ทั้งนี้ ผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ แจ้งโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา หรือประวัติการรักษา ก่อนเข้ารับการบริการ

         

        Duo Slim Max ไม่เหมาะกับใคร

        แม้ว่า Duo Slim Max จะเป็นเทคโนโลยีที่ไม่เสี่ยงอันตรายต่อร่างกาย แต่อาจจะมีบางกลุ่มเสี่ยงที่อาจจะไม่เหมาะกับการใช้Duo Slim Max หรือควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำ ได้แก่

        • Duo Slim Max ไม่เหมาะกับผู้ที่มีอุปกรณ์ฝังในร่างกาย เช่น เครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemaker) หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในร่างกาย
        • Duo Slim Max ไม่เหมาะกับผู้ที่มีอุปกรณ์โลหะฝังอยู่ในร่างกาย หรือมีเหล็กดาม
        • Duo Slim Max ไม่เหมาะกับผู้ป่วยเบาหวานเรื้อรัง หรือผู้ที่มีแผลเรื้อรัง หรือระบบไหลเวียนเลือดไม่ดี
        • Duo Slim Max ไม่เหมาะกับผู้ที่มีความผิดปกติในการรับความรู้สึก อาจทำให้ไม่สามารถรับรู้ระดับความร้อนที่เกิดจากเครื่องได้
        • Duo Slim Max ไม่เหมาะกับผู้ที่มีโรคเกี่ยวกับมะเร็งเม็ดเลือด หรือเกล็ดเลือด
        • Duo Slim Max ไม่เหมาะกับผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ หรือกำลังอยู่ในช่วงให้นมบุตร
        • Duo Slim Max ไม่เหมาะกับผู้ที่อยู่ในช่วงมีประจำเดือน 
        • Duo Slim Max ไม่เหมาะกับผู้ที่ฉีดโบ ควรเว้นอย่างน้อย 3 เดือนหลังฉีดโบ
        • Duo Slim Max ไม่เหมาะกับผู้ที่ร้อยไหม ควรเว้นอย่างน้อย 6 เดือนหลังร้อนไหม
        • Duo Slim Max ไม่เหมาะกับผู้ที่มีภาวะผิวบางผิดปกติ หรือผิวไวต่อความร้อน ควรปรึกษาแพทย์ก่อน
        • Duo Slim Max ไม่เหมาะกับผู้ที่มีผิวอักเสบ หรือมีแผลเปิดในบริเวณที่ต้องการทำ Duo Slim Max ควรรอให้แผลหายก่อน

        ทั้งนี้ ผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ แจ้งโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา หรือประวัติการรักษา ก่อนเข้ารับการบริการ

         Duo Slim Max ช่วยเรื่องอะไรบ้าง
        Duo Slim Max ช่วยเรื่องอะไรบ้าง

        Duo Slim Max ช่วยลดไขมันส่วนไหนได้บ้าง?

        • ใบหน้าและลำคอ ช่วยลดไขมันบริเวณเหนียง กรอบหน้า และช่วยยกกระชับผิวบริเวณ แก้ม ร่องแก้ม เหนียง และลำคอ
        • หน้าท้องและเอว ช่วยลดไขมันหน้าท้องส่วนบนและล่าง รวมถึงไขมันบริเวณรอบเอว (Love Handles) 
        • ต้นแขน ช่วยลดไขมันทำให้แขนดูเรียวเล็กขึ้น ลดอาการแขนล้า และผิวหนังหย่อนคล้อย 
        • ต้นขาและสะโพก ช่วยลดไขมันให้ขาดูเรียวขึ้น ลดเซลลูไลท์ ปรับรูปทรงสะโพกให้ดูกระชับขึ้น
        • หลังมือ ช่วยลดความเหี่ยวย่นของหลังมือ กระตุ้นคอลลาเจนให้ผิวดูสดใส และเรียบเนียนขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการดูแลมือให้ดูอ่อนกว่าวัย
        • แผ่นหลังส่วนบนและล่าง ลดไขมันด้านหลังเสื้อชั้นใน (Bra Bulge) ทำให้แผ่นหลังดูกระชับและเรียบเนียนมากขึ้น

         

        Duo Slim Max ต้องเตรียมตัวก่อนทำอย่างไร

        Duo Slim Max ถือเป็นเครื่องที่ไม่เสี่ยงอันตราย จึงสามารถเข้ารับบริการได้เลยทันที แต่สำหรับใครที่อยากจะเตรียมตัวก่อนเข้ารับบริการ Duo Slim Max ลดไขมัน ยกกระชับ สามารถเตรียมตัวให้พร้อมได้ ดังนี้

        • ก่อนทำ Duo Slim Max ลดไขมัน ควรดื่มน้ำให้เพียงพออย่างน้อย 2-3 ลิตร ต่อวัน เพื่อช่วยให้ร่างกายสามารถขับของเสียและเผาผลาญไขมันได้ดีขึ้น
        • ก่อนทำ Duo Slim Max ควรหลีกเลี่ยงคาเฟอีนและแอลกอฮอล์ อาจส่งผลต่อการทำงานของ Duo Slim Max
        • ก่อนทำ Duo Slim Max ควรงดใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีสารออกฤทธิ์แรง เช่น ครีมที่มีกรดผลไม้ (AHA, BHA) หรือเรตินอลบริเวณที่ต้องการทำ Duo Slim Max อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนทำ
        • ก่อนทำ Duo Slim Max ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักก่อนทำ เพราะอาจทำให้ร่างกายเหนื่อยล้า และส่งผลต่อกระบวนการเผาผลาญไขมันในระหว่างการทำ Duo Slim Max
        • ก่อนทำ Duo Slim Max ควรแจ้งข้อมูลสุขภาพกับแพทย์อย่างละเอียด หากมีโรคประจำตัว หรือใช้เครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemaker) ควรแจ้งแพทย์หรือผู้ให้บริการก่อนเข้ารับการรักษา

         

        ขั้นตอนการทำ Duo Slim Max

        Duo Slim Max เป็นการลดไขมัน ยกกระชับ โดยใช้เทคโนโลยีที่ไม่เสี่ยงอันตรายอย่าง คลื่นวิทยุความถี่สูง (RF) และคลื่นเสียง Ultrasound ที่จะช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญ พร้อมช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนังได้โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้

        •  แพทย์จะทำการวิเคราะห์ปัญหา ประเมินสภาพผิวและไขมันเพื่อวางแผนการรักษาได้อย่างตรงจุด
        • การเตรียมผิวก่อนทำ เจ้าหน้าที่จะทำความสะอาดผิวบริเวณที่จะทำการรักษา และอาจมีการทาเจลนำคลื่นเพื่อให้พลังงาน RF กระจายได้อย่างทั่วถึง
        • เริ่มต้นกระบวนการรักษา แพทย์จะทำการใช้ Duo Slim Max ลดไขมัน โดยใช้หัวเครื่อง นำไปนวดวนบริเวณที่ต้องการรักษา และทำการปล่อยคลื่น RF และ Ultrasound ลงไปในชั้นผิว พร้อมปรับความร้อนให้เข้ากับผู้ใช้บริการ
        • โดยระยะเวลาที่ใช้ในการรักษาลดไขมันจะอยู่ที่ 30-60 นาทีต่อบริเวณ ทั้งนี้ระยะเวลาขึ้นอยู่กับขนาดของบริเวณที่ทำ เช่น ใบหน้าใช้เวลาประมาณ 30 นาที ส่วน หน้าท้องหรือต้นขาใช้เวลาประมาณ 45-60 นาที หรือปัญหาของแต่ละบุคคล 
        • เมื่อทำ Duo Slim Max เสร็จแล้วแพทย์จะทำการให้คำแนะนำ และวิธีดูแลตัวเองหลังทำ ซึ่งหลังจากทำเสร็จอาจจะรู้สึกอุ่นหรือแดงเล็กน้อยที่บริเวณผิว ซึ่งเป็นอาการปกติ และสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ทันที 

         

        Duo Slim Max ลดไขมัน ระหว่างทำเจ็บไหม?

        Duo Slim Max เป็นการใช้คลื่น RF และคลื่น Ultrasound ทำให้ขณะทำไม่มีความเจ็บ แต่จะมีความรู้สึกอุ่น ๆ หรือร้อนเล็กน้อยในบริเวณที่ทำ ในบางเคสอาจจะรู้สึกถึงความสบาย ซึ่งเกิดจากคลื่นความร้อนที่ปล่อยออกมาจาก Duo Slim Max ลดไขมัน หากระหว่างทำรู้สึกร้อนเกินไป สามารถแจ้งแพทย์เพื่อปรับระดับพลังงานให้เหมาะสมได้ หลังทำหากไม่มีอาการที่ผิดปกติ สามารถทำกิจกรรมหรือใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติได้ ไม่ต้องพักฟื้น

         

        Duo Slim Max หลังทำต้องดูแลตัวเองอย่างไร ?

        หลังจากทำ Duo Slim Max ลดไขมัน ควรปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้เพื่อช่วยให้ผลลัพธ์หลังทำออกมามีประสิทธิภาพ

        • หลังจากทำ Duo Slim Max ควรดื่มน้ำเยอะ ๆ เพื่อช่วยให้ร่างกายสามารถขับไขมันที่ถูกลดออกไปทางระบบขับถ่ายได้มากขึ้น
        • หลังจากทำ Duo Slim Max ควรหลีกเลี่ยงการทานอาหารที่มีไขมันสูง ควรเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผัก ผลไม้ และโปรตีน เพื่อช่วยให้ร่างกายสามารถเผาผลาญไขมันได้ดีขึ้น
        • หลังจากทำ Duo Slim Max ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักภายใน 24 ชั่วโมงแรก เนื่องจากหลังทำ Duo Slim Max อาจจะทำให้ร่างกายเกิดความเหนื่อยล้ามากเกินไป
        • หลังจากทำ Duo Slim Max ควรหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ผลัดเซลล์ผิว เช่น สารสกัด AHA, BHA, เรตินอล อย่างน้อย 24 ชั่วโมง เนื่องจากอาจจะทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองได้
        • หลังจากทำ Duo Slim Max ควรหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และการสูบบุหรี่ เนื่องจากอาจทำให้ Duo Slim Max ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ทั้งยังมีโอกาสที่จะทำให้ไขมันกลับมา
        • ควรทำ Duo Slim Max อย่างน้อย 4-6 ครั้ง โดยเว้นระยะห่าง 7-10 วันต่อการทำ 1 ครั้ง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและพึงพอใจมาก
         Duo Slim Max ต้องทำบ่อยแค่ไหน
        Duo Slim Max ต้องทำบ่อยแค่ไหน

        Duo Slim Max ต้องทำบ่อยแค่ไหน 

        การทำ Duo Slim Max สามารถลดไขมัน ยกกระชับ ได้ทั้งบริเวณใบหน้า และลำตัว ซึ่งในแต่ละบริเวณนั้นก็จะมีจำนวนครั้งในการทำที่แตกต่างกันไป 

        • Duo Slim Max ลดไขมัน สำหรับบริเวณใบหน้าและลำคอ ควรทำประมาณ 4 ครั้ง โดยแต่ละครั้งห่างกัน 7 – 10 วัน จะเริ่มเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนประมาณ 3 เดือน
        • Duo Slim Max ลดไขมัน สำหรับบริเวณลำตัว เช่น แขน หน้าท้อง เอว ลำตัว สะโพก และขา ควรทำอย่างน้อยประมาณ 4 ครั้ง โดยแต่ละห่างกันครั้งละ 7 – 10 วัน จะเริ่มเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนประมาณ 3 เดือน 

         

        Duo Slim Max ใช้เวลานานไหม

        การทำ Duo Slim Max ลดไขมัน ยกกระชับ ใช้เวลานานไหม ? ระยะเวลาในการทำ Duo Slim Max จะอยู่ประมาณ 30 นาที ต่อ 1 บริเวณ ซึ่งระยะเวลาจะขึ้นอยู่กับปัญหาผิว และปริมาณไขมันของแต่ละบุคคล โดยหลังทำการรักษา Duo Slim Max บริเวณผิวที่ทำจะมีอาการแดงเล็กน้อย ซึ่งสามารถหายได้เองภายใน 1-2 ชั่วโมง หลังจากนั้นผิวหนังอาจจะเกิดการแห้งได้ แนะนำให้บำรุงผิวด้วยครีมบำรุงที่มีความชุ่มชื้นสูงทั้งนี้ เพื่อผลลัพธ์การรักษา Duo Slim Max มีประสิทธิภาพ ควรเข้ามารักษาตามระยะเวลาที่แพทย์แนะนำอย่างต่อเนื่อง

         

        Duo Slim Max ลดไขมัน ต้องทำกี่ครั้งถึงจะเห็นผล ?

        ต้องทำการรักษาด้วย Duo Slim Max กี่ครั้งถึงเห็นผลลัพธ์ ? การทำ Duo Slim Max สามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงได้เลยทันทีหลังทำ และหากต้องการผลลัพธ์ที่ชัดเจนควรทำ Duo Slim Max ประมาณ 4 ครั้ง โดยแต่ละครั้งนั้นควรมีระยะห่างประมาณ 7-10 วัน และจะเห็นผลเต็มที่ภายใน 3 เดือน ทั้งนี้จำนวนครั้งจะขึ้นอยู่กับปัญหาผิวและปริมาณไขมันของแต่ละบุคคลทั้งนี้ เพื่อผลลัพธ์การรักษา Duo Slim Max ลดไขมัน  มีประสิทธิภาพ ควรเข้ามารักษาตามระยะเวลาที่แพทย์แนะนำอย่างต่อเนื่อง

         

        Duo Slim Max ผลลัพธ์อยู่ได้นานแค่ไหน?

        หลังทำ Duo Slim Max ลดไขมัน ยกกระชับ ผลลัพธ์นั้นจะอยู่ได้นานถึง 6 เดือนถึง 1 ปี โดยจะขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการใช้ชีวิต และการดูแลตัวเองหลังทำ Duo Slim Max ซึ่งแม้ว่าไขมันที่ถูกทำลายจะไม่สามารถกลับมาได้อีกนั้น แต่หากยังมีพฤติกรรมการใช้ชีวิตแบบเดิม การรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง และการพักผ่อนที่ไม่ดีนั้น อาจจะทำให้ไขมันใหม่นั้นเพิ่มขึ้นแทนได้

         

        Duo Slim Max เหมาะกับทุกสภาพผิวหรือไม่?

        Duo Slim Max เป็นการลดไขมัน ยกกระชับ ลดเลือนริ้วรอย และลดเซลลูไลท์ที่ไม่เสี่ยงอันตราย เนื่องจากใช้พลังงาน RF และ Ultrasound ทำให้มีข้อจำกัดการทำที่น้อยมาก Duo Slim Max สามารถทำได้กับทุกสภาพผิว และทุกสีผิว

         

        Duo Slim Max ลดไขมัน ทำที่ไหนดี?

        การเลือกคลินิกสำหรับทำ Duo Slim Max ลดไขมัน เป็นสิ่งสำคัญ เพราะแม้จะเป็นเทคโนโลยีที่ไม่เสี่ยงอันตราย แต่ Duo Slim Max เป็นหัตถการที่ควรทำโดยแพทย์เท่านั้นและอยู่ในสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐาน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี และลดความเสี่ยงจากผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งวิธีพิจารณาเลือกคลินิกทำ Duo Slim Max ลดไขมัน มีดังนี้

        • ตรวจสอบว่าคลินิกได้รับใบอนุญาตจากกระทรวงสาธารณสุข และดำเนินการโดยแพทย์ประจำคลินิก ซึ่งสามารถเช็กเลขที่ใบอนุญาตของคลินิกได้จากเว็บไซต์ของกระทรวงสาธารณสุข
        • Duo Slim Max ลดไขมัน ต้องมาจากบริษัท BTL Aesthetics และต้องได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)  ควรสอบถามกับคลินิกและขอดูเครื่องจริงก่อนทำ
        • แพทย์และผู้เจ้าหน้า แพทย์หรือเจ้าหน้าที่ที่ให้บริการควรมีประสบการณ์ในการใช้เครื่อง Duo Slim Max สามารถประเมินสภาพผิวได้อย่างแม่นยำ และสามารถตอบคำถามเกี่ยวกับตัวเครื่องได้อย่างชัดเจน
        • มีรีวิว Duo Slim Max ลดไขมัน จากผู้ใช้จริง และมีภาพผลลัพธ์ก่อน-หลังทำ โดยสามารถดูรีวิวได้จากเว็บไซต์ของคลินิก หรือโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook, Instagram หรือ Pantip เพื่อดูว่าคลินิกมีความน่าเชื่อถือ และมีประสบการณ์ในการใช้ Duo Slim Max มากแค่ไหน 
        • ต้องมีราคาที่เหมาะสม ควรเปรียบเทียบราคา Duo Slim Max ลดไขมัน กับคลินิกอื่น ๆ ซึ่งราคาควรอยู่ในช่วง มาตรฐานของตลาด ระวังคลินิกที่ราคาถูกเกินไป เพราะอาจใช้เครื่องปลอม หรือไม่ได้มาตรฐาน
        เหตุผลที่ควรเลือกทำ Duo Slim Max ลดไขมัน
        เหตุผลที่ควรเลือกทำ Duo Slim Max ลดไขมัน

        เหตุผลที่ควรเลือกทำ Duo Slim Max ลดไขมัน

        Duo Slim Max เป็นเทคโนโลยีลดไขมัน ยกกระชับผิว ที่ได้รับความนิยมสูง เนื่องจากไม่เสี่ยงอันตราย ทั้งยังมีจุดเด่นและมีข้อดีที่หลากหลาย ดังนี้

        1. Duo Slim Max ลดไขมันได้ โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่เจ็บ และไม่มีแผล ต่างจากการดูดไขมันหรือศัลยกรรม ทำให้หลังทำ Duo Slim Max ไม่ต้องพักฟื้น และไม่มีรอยแผลหลังทำ สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ
        2. Duo Slim Max ลดไขมัน สามารถใช้ได้ทั่วร่างกาย ทั้งบริเวณใบหน้าและร่างกาย โดยสามารถทำเพื่อยกกระชับผิวหน้า ลดเซลลูไลท์ และลดริ้วรอย หรือใช้สำหรับการลดไขมันเฉพาะจุด  ลดเหนียง เช่น หน้าท้อง เอว ต้นแขน ต้นขา ได้
        3. Duo Slim Max ลดไขมัน ไม่เสี่ยงอันตราย เนื่องจาก Duo Slim Max นั้นได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)  ทำให้มั่นใจได้เลยว่าไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย
        4. Duo Slim Max ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และกระตุ้นการเผาผลาญไขมันได้พร้อมกัน โดยการใช้พลังงาน Radio Frequency (RF) และ Ultrasound ทำให้ช่วยลดไขมันและกระชับผิวในเวลาเดียวกัน เพิ่มความสะดวกสบาย และประหยัดเวลาได้เป็นอย่างดี
        5. Duo Slim Max ลดไขมัน สามารถเห็นผลเร็ว โดยจะเริ่มเห็นผลลัพธ์ตั้งแต่ครั้งแรก และจะเริ่มเห็นชัดขึ้นเรื่อย ๆ หลังทำครบคอร์ส ผลลัพธ์อยู่ได้นานถึง 6 เดือน – 1 ปี

         

        Duo Slim Max กับเทคโนโลยีลดไขมันและยกกระชับผิวอื่น ๆ เลือกตัวไหนดี ?

        ปัจจุบันมีเทคโนโลยีหลากหลายที่ใช้ในการลดไขมันและยกกระชับผิว ซึ่งแต่ละเทคโนโลยีก็มีข้อดีและเหมาะกับความต้องการที่แตกต่างกันไป เรามาดูการเปรียบเทียบ Duo Slim Max กับเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่ได้รับความนิยม 

        • Duo Slim Max

        Duo Slim Max เป็นเทคโนโลยีลดไขมัน กระชับผิว ที่รวมมีความพิเศษ เนื่องจากได้รวมคลื่นวิทยุความถี่สูง (RF) และ Ultrasound ไว้ด้วยกัน เพื่อช่วยลดไขมันและยกกระชับผิวในคราวเดียวกัน โดย RF จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวดูกระชับเต่งตึงขึ้น ในขณะที่ Ultrasound จะช่วยลดไขมันใต้ผิวหนังได้ Duo Slim Max จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดไขมันเฉพาะจุด พร้อมกับยกกระชับผิวให้ดูเรียบเนียนขึ้น โดยไม่ต้องพักฟื้น โดยแนะนำให้ทำ Duo Slim Max ลดไขมัน ประมาณ 4-6 ครั้ง เพื่อผลลัพธ์ที่ชัดเจน และได้ประสิทธิภาพมาก

        HIFU (High-Intensity Focused Ultrasound) ใช้เทคโนโลยีคลื่นอัลตราซาวด์ความเข้มข้นสูง ที่สามารถลงไปถึงผิวชั้น SMAS เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ช่วยยกกระชับผิวให้มีความเต่งตึงขึ้น จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับใบหน้าและลำตัว แต่ไม่เน้นลดไขมัน โดยแนะนำให้ทำ HIFU ปีละ 1-2 ครั้ง

        CoolSculpting เป็นการลดไขมันโดยใช้เทคโนโลยี Cryolipolysis หรือ การแช่แข็งเซลล์ไขมันจนทำให้เซลล์ไขมันตายอย่างถาวร โดยไม่ต้องผ่าตัด ซึ่งเซลล์ไขมันที่ตายแล้วจะถูกขับออกจากร่างกายตามระบบขับของเสีย CoolSculpting สามารถลดไขมันได้แบบถาวร แต่ไม่ได้ช่วยเรื่องความยกกระชับของผิว เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการกำจัดไขมันเฉพาะจุด เช่น หน้าท้อง ต้นขา หรือสะโพก โดยแนะนำให้ทำ CoolSculpting 1-2 ครั้งต่อบริเวณ 

        • Thermage 

        Thermage เป็นการยกกระชับผิว โดยใช้เทคโนโลยีคลื่นวิทยุความถี่สูงแบบขั้วเดียว (Monopolar RF) ที่ส่งพลังงานไปถึงผิวหนังชั้นลึก ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และทำให้ผิวยกกระชับขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ทั้งยังช่วยลดเลือนริ้วรอย ยกกระชับผิวที่มีความหย่อนคล้อยได้เป็นอย่างดี Thermage เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการกระชับผิวหน้าและลำตัว โดยไม่ต้องลดไขมัน โดยแนะนำให้ทำ Thermage มักทำปีละ 1 ครั้งทั้งนี้ ผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ แจ้งโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา หรือประวัติการรักษา ก่อนเข้ารับการบริการ

        Duo Slim Max ลดไขมัน เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้อยากมีรูปร่างที่สวยงาม และมีหุ่นที่เฟิร์ม เนื่องจากเป็นการใช้เทคโนโลยี คลื่นวิทยุความถี่สูง (RF) และ Ultrasound ทำให้สามารถลดไขมันและยกกระชับผิวพร้อมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ต้องผ่าตัด และไม่ต้องพักฟื้น จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการดูแลรูปร่าง แต่ไม่มีเวลา สำหรับใครที่อยากจะมีหุ่นในฝันสามารถเข้ามารับคำปรึกษาได้ที่ รมย์รวินท์คลินิก ทุกสาขา

        *ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับการบริการ*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

         

        Body Firm ตัวช่วยสร้างกล้ามเนื้อ ลดไขมัน ปั้นหุ่นสวย

        Body Firm

        ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




          วันที่สะดวกในการติดต่อ








           

          Body Firm ตัวช่วยสร้างกล้ามเนื้อ ลดไขมัน ปั้นหุ่นสวย

          อยากปั้นหุ่นให้สวย แต่ไม่มีเวลาออกกำลังกาย ต้องมาทางนี้! สำหรับสาว ๆ ที่อยากจะปั้นหุ่นให้เป๊ะ อยากมีหน้าท้องแบบร่อง 11 ก้นเด้ง สะโพกกระชับ หรือหนุ่ม ๆ ที่อยากจะฟิตหุ่น ให้มีซิกแพค สร้างกล้ามเนื้อ พร้อมลดไขมันส่วนเกิน แต่ไม่มีเวลาออกกำลังกาย หรือออกกำลังกายหนักไม่ได้นั้น มาทำความรู้จักกับ Body Firm ตัวช่วยสร้างกล้ามเนื้อ ลดไขมัน ปั้นหุ่นสวย แค่ 30 นาทีก็เทียบเท่าการซิทอัพถึง 20,000 ครั้ง

           

           Body Firm คืออะไร?
          Body Firm คืออะไร?

           

          Body Firm คืออะไร?

          Body Firm หรือ Emsculpt เป็นเครื่องสร้างกล้ามเนื้อ และช่วยลดไขมันสะสมส่วนเกินใต้ชั้นผิวหนัง ซึ่ง Body Firm by Emsculpt® ก็มาพร้อมกับเทคโนโลยีเฉพาะอย่าง HIFEM (High-Intensity Focused Electromagnetic) หรือ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแบบจำเพาะเจาะจงที่มีความเสถียรสูง มีส่วนช่วยในการกระตุ้นเสริมสร้างกล้ามเนื้อ โดยพลังงานจะถูกส่งผ่านเข้าไปที่ชั้นกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อนั้นเกิดการหดและเกร็ง (Supramaximal Contraction) เช่นเดียวกับการออกกำลังกาย และส่งผลให้กล้ามเนื้อบริเวณที่ทำมีความแข็งแรง สัดส่วนดูกระชับขึ้น อีกทั้งยังช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญไขมันส่วนเกินในร่างกาย ทำให้สัดส่วนดูเล็กลง

           

          การทำ Body Firm by Emsculpt จะช่วยสร้างกล้ามเนื้อ สร้างซิกแพค กระชับสัดส่วน พร้อมลดไขมันได้ เพราะการทำ Body Firm เพียง 1 ครั้ง ก็เทียบเท่ากับการซิทอัพถึง 20,000 ครั้ง ทำให้เพิ่มกล้ามเนื้อได้ และยังสามารถลดไขมันได้อีกด้วย โดยจะค่อย ๆ เห็นผลลัพธ์ประมาณ 2-4 สัปดาห์ และร่างกายจะมีมวลกล้ามเนื้อมากขึ้นภายใน 1-2 เดือน ไขมันจะเริ่มลดไปประมาณ 4 สัปดาห์หลังทำ ทั้งนี้ควรเข้ารับบริการ Body Firm อย่างต่อเนื่องประมาณ 4-6 ครั้ง หรือตามที่แพทย์ได้วางแผนการรักษาไว้  โดยการทำ Body Firm 1 ครั้ง จะใช้เวลาประมาณ 30 นาที จึงเหมาะสำหรับคนที่ต้องการต้องการดูแลรูปร่าง แต่มีเวลาจำกัด 

           

          Body Firm เป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่สามารถช่วยทั้งสร้างกล้ามเนื้อ และลดไขมันพร้อมกันได้ นอกจากนี้ Body Firm ยังไม่เสี่ยงอันตราย เนื่องจากผ่านการรับรองจาก FDA ทั้งในประเทศไทย และประเทศสหรัฐอเมริกา เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสร้างกล้ามเนื้อ ลดไขมัน กระชับสัดส่วนแบบทันใจ ไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีแผล ให้ผลลัพธ์ที่พึงพอใจ

           

          Body Firm มีหลักการทำงานอย่างไร

          การทำงานของเครื่อง Body Firm จะปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแบบจำเพาะเจาะจง หรือ HIFEM (High-Intensity Focused Electromagnetic) เข้าสู่กล้ามเนื้อโดยตรง โดยพลังงานจะทำให้กล้ามเนื้อเกิดการหดและเกร็งอย่างรุนแรงมากกว่าการออกกำลังกายปกติ ซึ่งการหดเกร็งแบบนี้จะเรียกว่า Supramaximal Contractions คือ การเกร็งที่มีความเข้มข้นสูงเกินขีดจำกัดที่มนุษย์สามารถทำได้เอง เทียบเท่ากับการออกกำลังกายหนัก หรือการซิทอัพถึง 20,000 ครั้ง จากนั้นร่างกายจะเกิดการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ และกระตุ้นการสร้างมวลกล้ามเนื้อบริเวณนั้น ๆ เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้กล้ามเนื้อในระดับลึกถูกกระตุ้นให้ทำงาน และเร่งอัตราการเผาผลาญไขมันส่วนเกินไปพร้อมกัน ทำให้กล้ามเนื้อมีความแข็งแรง และมีขนาดที่ใหญ่มากขึ้น

          ขณะทำ Body Firm สร้างกล้ามเนื้อ จะรู้สึกว่ากล้ามเนื้อมีการบีบตัว เพราะคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า HIFEM จะไม่ทำให้เกิดความร้อนขึ้นบริเวณผิว ไม่ทำลายเนื้อเยื่อ หรือผิวหนัง เนื่องจากตัวคลื่นทำงานกับเฉพาะชั้นกล้ามเนื้อเท่านั้น โดยหลังทำอาจจะมีความรู้สึกตึง ๆ เหมือนกับการออกกำลังกายเสร็จใหม่ ๆ โดยจะใช้เวลาทำ Body Firm ประมาณ 30 นาที ต่อการทำ 1 ครั้ง จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาจำกัด หรือมีข้อจำกัดทางด้านการออกกำลังกาย

           

          Body Firm ช่วยอะไรบ้าง?

          • Body Firm ช่วยเสริมสร้างมวลกล้ามเนื้อในบริเวณที่ต้องการ เช่น หน้าท้อง ก้น ต้นแขน ต้นขา
          • Body Firm ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวมีขนาดที่ใหญ่ขึ้น 
          • Body Firm ช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญไขมันสะสมภายในร่างกาย
          • Body Firm ช่วยลดการสะสมไขมันส่วนเกินตามบริเวณต่าง ๆ 
          • Body Firm ช่วยลดไขมันสะสมหน้าท้อง (Visceral Fat) 
          • Body Firm ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการออกกำลังกายมากยิ่งขึ้น
          • Body Firm ช่วยลดอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย เนื่องจากกล้ามเนื้อมีความแข็งแรงขึ้น
          • Body Firm ช่วยลดอาการปวดหลัง เนื่องจากกล้ามเนื้อแกนกลาง (Core Muscle) แข็งแรงขึ้น
          • Body Firm ช่วยกระชับรูปร่าง และกระชับสัดส่วนให้เล็กลง เช่น ก้น สะโพก หน้าท้อง ต้นแขน ต้นขา
          • Body Firm ช่วยลดความหย่อนคล้อยของผิวหนังในบริเวณที่ไขมันสะสม

           

          ทั้งนี้ ผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ แจ้งโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา หรือประวัติการรักษา ก่อนเข้ารับการบริการ

           

          Body Firm เหมาะกับใครบ้าง?

          • Body Firm เหมาะกับผู้ที่ต้องการเพิ่มกล้ามเนื้อเฉพาะจุด เช่น กล้ามท้อง ต้นแขน ต้นขา ก้น หรือบริเวณอก
          • Body Firm เหมาะกับผู้ที่ต้องการเพิ่มความแข็งแรงและมวลกล้ามเนื้อ
          • Body Firm เหมาะกับผู้ที่ไม่อยากออกกำลังกายหนัก ๆ แต่ต้องการสร้างกล้ามเนื้อ
          • Body Firm เหมาะกับผู้ที่มีข้อจำกัดด้านสุขภาพ ไม่สามารถออกกำลังกายหนักได้
          • Body Firm เหมาะกับผู้ที่ต้องการลดไขมันสะสมในบริเวณหน้าท้อง, ต้นแขน, ต้นขา
          • Body Firm เหมาะกับผู้ที่ต้องการปั้นรูปร่างให้เฟิร์ม กระชับ และได้สัดส่วน
          • Body Firm เหมาะกับผู้ที่ออกกำลังกายเพื่อลดไขมัน หรือสร้างกล้ามเนื้อ แต่ยังไม่ได้ผล
          • Body Firm เหมาะกับผู้ที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพการออกกำลังกาย
          • Body Firm เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย ไม่กระชับเฉพาะจุด
          • Body Firm เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาการปวดหลัง โดยเฉพาะหลังส่วนล่าง ซึ่งอาจเกิดจากกล้ามเนื้อแกนกลางที่อ่อนแอ
          • Body Firm เหมาะกับผู้ที่ไม่มีเวลามากพอสำหรับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
          • Body Firm เหมาะกับผู้ที่ต้องการรูปร่างที่กระชับ และสมส่วน 
          • Body Firm เหมาะกับผู้ที่ต้องการมีกล้ามท้องแบบ Six Pack, 11 Line หรือ V Line
          • Body Firm เหมาะกับคุณแม่หลังคลอดที่พ้นช่วงให้นมบุตร ที่มีปัญหาหน้าท้องหย่อนคล้อยหลังคลอด
          • Body Firm เหมาะกับผู้ที่ต้องการยกกระชับก้น สะโพก ให้ได้รูปทรงที่สวยงามได้รูป
          • Body Firm เหมาะกับผู้ที่ต้องการลดไขมันแบบไม่เสี่ยงอันตราย โดยไม่ต้องผ่าตัด

          ทั้งนี้ ผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ แจ้งโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา หรือประวัติการรักษา ก่อนเข้ารับการบริการ

           

          Body Firm ไม่เหมาะกับใคร

          Body Firm เป็นการสร้างกล้ามเนื้อ และลดไขมัน ด้วยพลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า HIFEM ที่ถูกส่งผ่านเข้าไปกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อ ซึ่งอาจจะกระทบต่อบุคคลบางประเภท หรือผู้ที่มีโรคประจำตัวบางโรค ที่ควรเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์ และควรระวังก่อนตัดสินใจทำ Body Firm ดังนี้

          • Body Firm ไม่เหมาะกับผู้ที่ฝังเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ (Pacemaker Implantation)
          • Body Firm ไม่เหมาะกับผู้ที่ฝังอุปกรณ์กระตุ้นประสาท (Neurostimulator) ไว้ในร่างกาย
          • Body Firm ไม่เหมาะกับผู้ที่มีโลหะฝังตามร่างกาย (Metal Plate) หรือวัสดุฝังยึดกระดูก เช่น สกรู หรือหมุดโลหะในร่างกาย
          • Body Firm ไม่เหมาะกับผู้ที่มีโรคประจำตัวบางอย่าง เช่น โรคหัวใจ, โรคลมชัก
          • Body Firm ไม่เหมาะกับผู้ที่มีโรคประจำตัวเกี่ยวกับระบบไหลเวียนเลือด และผู้ที่ใช้ยาละลายลิ่มเลือด
          • Body Firm ไม่เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบประสาทหรือการรับความรู้สึกผิดปกติ
          • Body Firm ไม่เหมาะกับผู้ที่มีภาวะปอดผิดปกติ หรือมีปัญหาเกี่ยวกับการหายใจ
          • Body Firm ไม่เหมาะกับผู้ที่กำลังตั้งครรภ์หรือกำลังให้นมบุตร
          • Body Firm ไม่เหมาะกับผู้ที่มีอาการป่วยชั่วคราว เช่น ไข้หวัด ควรรักษาให้หายก่อนค่อยเข้ารับการบริการ

          สำหรับผู้ที่สนใจต้องการทำ Body Firm สร้างกล้ามเนื้อ ทั้งนี้ ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ประจำคลินิก เพื่อให้แพทย์ทำการประเมินปัญหา และวางแผนการรักษาได้อย่างไม่เสี่ยงอันตราย และลดโอกาสการเกิดผลข้างเคียง อย่างไรก็ตามหากมีปัญหาสุขภาพควรแจ้งแพทย์ให้ทราบก่อนเข้ารับการบริการ Body Firm สร้างกล้ามเนื้อ ก่อนทุกครั้ง  

           

           Body Firm ทำบริเวณไหนได้บ้าง?
          Body Firm ทำบริเวณไหนได้บ้าง?

           

          Body Firm ทำบริเวณไหนได้บ้าง?

          การสร้างกล้ามเนื้อ และสลดไขมันด้วย Body Firm สร้างกล้ามเนื้อ สามารถทำได้หลายบริเวณในร่างกายไม่ว่าจะเป็น บริเวณลำตัว หรือกล้ามเนื้อเฉพาะจุด เช่น 

          บริเวณหน้าท้อง

          • Body Firm จะช่วยสร้างกล้ามเนื้อหน้าท้อง เช่น ซิกแพค (Six Pack) หรือ 11 Line ได้
          • Body Firm จะช่วยลดไขมันหน้าท้อง (Visceral Fat) และไขมันใต้ผิวหนัง ให้รูปร่างกระชับขึ้น
          • Body Firm จะช่วยกระชับกล้ามเนื้อหน้าท้องที่หย่อนคล้อย เช่น ผู้ที่คลอดบุตร ผู้ที่มีไขมันสะสมเฉพาะจุด

          บริเวณก้น และสะโพก

          • Body Firm จะช่วยยกกระชับบริเวณก้นให้มีความแน่นขึ้น
          • Body Firm จะช่วยปั้นรูปร่างของสะโพกให้ได้รูปที่สวยงาม 
          • Body Firm จะช่วยลดความหย่อนคล้อยของกล้ามเนื้อบริเวณก้น สะโพก

          บริเวณต้นแขน

          • Body Firm จะช่วยเพิ่มมวลกล้ามเนื้อแขนด้านหน้า (Biceps) ให้มีความแข็งแรง
          • Body Firm จะช่วยลดความหย่อนคล้อยของต้นแขนด้านหลัง (Triceps) ให้กระชับขึ้น

          บริเวณต้นขา และน่อง

          • Body Firm จะช่วยยกกระชับกล้ามเนื้อต้นขาให้ได้สัดส่วนที่สวยงาม
          • Body Firm จะช่วยลดไขมันส่วนเกินบริเวณต้นขา แก้ปัญหาต้นขาใหญ่
          • Body Firm จะช่วยเพิ่มความกระชับและสร้างกล้ามเนื้อบริเวณน่อง ให้น่องมีสัดส่วนที่พอดี

          บริเวณแกนกลางลำตัว

          • Body Firm จะช่วยเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว เช่น หน้าท้อง และหลังส่วนล่าง
          • Body Firm จะช่วยแก้ปัญหาอาการปวดเมื่อย ปวดหลัง และช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กล้ามเนื้อ

           

          ทำไมต้องทำ Body Firm

          • Body Firm เป็นเทคโนโลยีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแบบจำเพาะเจาะจง HIFEM ที่จะช่วยกระตุ้นการสร้างกล้ามเนื้อ และช่วยลดไขมันไปในเวลาเดียวกัน ผลลัพธ์ที่ได้จะเทียบเท่ากับการออกกำลังกายอย่างหนัก
          • การทำ Body Firm 1 ครั้ง เสมือนกับการออกกำลังกายซิทอัพถึง 20,000 ครั้ง ในเวลาเพียง 30 นาที 
          • Body Firm เครื่องแท้ ตรวจสอบได้ ไม่เสี่ยงอันตราย มีงานวิจัยรองรับ และผ่านการรับรองมาตรฐานจากทั้งในและต่างประเทศ
          • Body Firm เป็นเครื่องที่เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่มีเวลาออกกำลังกาย ที่ต้องการสร้างมวลกล้ามเนื้อ และลดไขมันส่วนเกิน
          • Body Firm ช่วยดูแลรูปร่าง ปั้นหุ่นสวยได้โดยไม่ต้องผ่าตัด สามารถทำได้หลายบริเวณทั่วร่างกาย
          • Body Firm สามารถช่วยยกกระชับสะโพก และปั้นก้นให้ได้รูปที่สวยงาม
          • ขณะทำ Body Firm จะไม่มีความร้อนบริเวณผิว ทำให้ไม่รู้สึกร้อน หรือรู้สึกแสบหลังทำ

           

          Body Firm ต่างจากการดูดไขมันหรือไม่ ?

          เทคโนโลยีลดไขมันแบบ Body Firm สร้างกล้ามเนื้อ อาจจะทำให้หลาย ๆ คนมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการทำ Body Firm ว่ามีความแตกต่างจากการดูดไขมันหรือไม่? และให้ผลลัพธ์ที่เหมือนกันไหม ? Body Firm สร้างกล้ามเนื้อ เป็นเครื่องที่ใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า HIFEM  ในการช่วยกระตุ้นการสร้างมวลกล้ามเนื้อ และเพิ่มอัตราการเผาผลาญไขมันตามธรรมชาติให้ทำงานได้ดีมากขึ้น ไม่ต้องใช้การผ่าตัด 

          ซึ่งจะแตกต่างจาก การดูดไขมัน ที่เป็นการนำไขมันใต้ชั้นผิวออกจากร่างกายโดยการผ่าตัด ใช้เข็มเจาะไขมัน และนำไขมันออกมาด้วยเครื่องดูดไขมัน ซึ่งจะต้องทำหัตถการโดยแพทย์เท่านั้น และมีการพักฟื้นที่นานกว่า

           

           Body Firm VS Coolsculpting แตกต่างกันอย่างไร?
          Body Firm VS Coolsculpting แตกต่างกันอย่างไร?

           

          Body Firm VS Coolsculpting แตกต่างกันอย่างไร?

          ปัจจุบันมีเทคโนโลยีที่ช่วยลดไขมันได้อย่างหลากหลาย จึงอาจจะเกิดข้อสงสัยว่าแต่ละเครื่องนั้นมีความแตกต่างกันหรือไม่? อย่างเครื่อง Body Firm สร้างกล้ามเนื้อ และเครื่อง Coolsculpting

           โดย Body Firm จะเป็นเครื่องที่ใช้เทคโนโลยีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแบบจำเพาะเจาะจง HIFEM ที่จะเข้าไปกระตุ้นการสร้างกล้ามเนื้อ และเพิ่มอัตราการเผาผลาญไขมันสะสมในร่างกาย ช่วยลดไขมันเฉพาะจุดได้พร้อมกัน 

          สำหรับ Coolsculpting จะเป็นการลดไขมันด้วยความเย็น โดยใช้เทคโนโลยี Cryolipolysis เป็นการกำจัดเซลล์ไขมันได้ตั้งแต่ต้นกำเนิด วิธีนี้จะทำให้จำนวนของเซลล์ไขมันลดลง และไม่กลับมาเพิ่มอีก แต่ไม่สามารถสร้างกล้ามเนื้อได้แบบ Body Firm  

          ซึ่งทั้ง 2 เทคโนโลยีนี้ เป็นเทคโนโลยีที่ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย และไม่ต้องผ่าตัด พักฟื้นไม่นาน สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ และยังให้ผลลัพธ์ที่ตรงใจอีกด้วย

          ทั้งนี้ ผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ แจ้งโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา หรือประวัติการรักษา ก่อนเข้ารับการบริการ

           

          การเตรียมตัวก่อนทำ Body Firm สร้างกล้ามเนื้อ

          • ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินปัญหา และวางแผนการรักษาให้เหมาะสมสำหรับการทำ Body Firm
          • ควรแจ้งประวัติสุขภาพ รวมถึงโรคประจำตัว และการมีอุปกรณ์ทางการแพทย์ในร่างกาย เช่น เครื่องกระตุ้นหัวใจ หรือวัสดุโลหะฝังในร่างกาย อย่างตรงไปตรงมา
          • หลีกเลี่ยงการทำ Body Firm ในช่วงที่ป่วย เช่น เป็นไข้หวัด หรือมีอาการเจ็บป่วยอื่น ๆ
          • หญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร ควรรอจนกว่าจะพ้นช่วงให้นมบุตร
          • หลีกเลี่ยงการใส่เครื่องประดับโลหะ

           

          ขั้นตอนการทำ Body Firm สร้างกล้ามเนื้อ

          • ผู้เข้ารับบริการจะต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าที่สวมใส่สบาย เพื่อเหมาะสำหรับการทำการรักษา และถอดเครื่องประดับที่มีโลหะออกทั้งหมด เพื่อป้องกันการรบกวนคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
          • ก่อนเริ่มผู้เข้ารับบริการจะต้องนอนในท่าที่เหมาะสมสำหรับบริเวณที่ต้องการทำ เช่น หากทำบริเวณหน้าท้องควรนอนราบ หรือหากทำบริเวณก้นควรนอนคว่ำ
          • แพทย์จะวางแอปพลิเคเตอร์ (Applicator) หรือหัวยิงคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในตำแหน่งที่ต้องการกระตุ้นกล้ามเนื้อให้แนบสนิทกับร่างกาย จากนั้นจะใช้สายรัดเพื่อยึดอุปกรณ์ไว้ในตำแหน่งที่เหมาะสม ไม่ให้ขยับระหว่างการทำ
          • จากนั้นแพทย์จะทำการเปิดเครื่อง Body Firm และค่อย ๆ เพิ่มค่าพลังงานให้ถึงค่าที่เหมาะสมกับผู้เข้ารับบริการ ซึ่งเป็นค่าที่ให้ผลลัพธ์ได้ โดยไม่ทำให้รู้สึกเจ็บปวดเกินไป
          • เมื่อได้ระดับพลังงานที่เหมาะสมแล้ว เครื่องจะทำงานโดยกระตุ้นการหดเกร็งของกล้ามเนื้ออย่างต่อเนื่อง
          • การทำ Body Firm สร้างกล้ามเนื้อ  ใช้เวลาประมาณ 30 นาที ต่อบริเวณ ซึ่งระหว่างทำอาจจะรู้สึกถึงการกระตุกหรือการเกร็งของกล้ามเนื้อ ซึ่งเป็นเรื่องปกติ
          • ระหว่างทำแพทย์จะคอยสอบถามความรู้สึกของผู้เข้ารับบริการ หากต้องการเพิ่มหรือลดค่าพลังงานสามารถแจ้งได้ทันที
          • เมื่อครบเวลาที่กำหนด แพทย์จะทำการถอดแอปพลิเคเตอร์และสายรัดออก ถือเป็นการเสร็จขั้นตอน
          • เมื่อเสร็จสิ้นขั้นตอนการรักษาแพทย์จะแนะนำวิธีการดูแลตัวเองหลังทำ และให้คำแนะนำในการดูแลตัวเอง โดยหลังทำสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ ไม่ต้องพักฟื้น

           

           Body Firm อยู่ได้นานไหม?
          Body Firm อยู่ได้นานไหม?

           

          Body Firm อยู่ได้นานไหม?

          หลังทำ Body Firm สร้างกล้ามเนื้อ ผลลัพธ์จะอยู่ได้นานไหม? หลังทำสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ตั้งแต่ครั้งแรก หากเข้ารับบริการอย่างต่อเนื่อง 4 ครั้ง จะช่วยเพิ่มมวลกล้ามเนื้อได้ โดยกล้ามเนื้อจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้น ภายใน 1 เดือนหลังทำ เพื่อคงความแข็งแรงของกล้ามเนื้อสามารถทำ Body Firm สร้างกล้ามเนื้อ ซ้ำได้ทุก ๆ 2-3 เดือน ผลลัพธ์จะคงอยู่ได้นาน 6-12 เดือน 

          ทั้งนี้ ผลลัพธ์นั้นจะขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองหลังทำ รวมถึงปัญหาของแต่ละบุคคล หากต้องการผลลัพธ์ระยะยาว ควรทำควบคู่กับการออกกำลังกาย การปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต และดูแลตัวเองตามคำแนะนำของแพทย์

           

          Body Firm อันตรายไหม?

          Body Firm สร้างกล้ามเนื้อ ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย เนื่องจากได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)  ซึ่งยืนยันถึงความไม่เสี่ยงอันตราย และคุณภาพของเครื่อง Body Firm สร้างกล้ามเนื้อ นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยทางการแพทย์รองรับว่าเทคโนโลยี HIFEM (High-Intensity Focused Electromagnetic) ส่งผลเฉพาะกับกล้ามเนื้อและไขมันเท่านั้น โดยไม่กระทบต่อเนื้อเยื่อส่วนอื่น

          เทคโนโลยี Body Firm สร้างกล้ามเนื้อ เป็นการใช้พลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความเข้มข้นสูง (HIFEM) เข้าไปกระตุ้นให้กล้ามเนื้อให้หดและเกร็งตัว (Supramaximal Contraction) ซึ่งเหมือนการออกกำลังกายอย่างหนัก โดย Body Firm จะไม่มีการทำลายเนื้อเยื่อผิวหนัง เส้นประสาท หรือระบบอวัยวะอื่น ๆ โดยไม่ใช้เข็ม หรือผ่าตัด และไม่มีสารเคมีใด ๆ เข้าไปในร่างกาย

           

          Body Firm ราคาเท่าไร?

          Emsculpt หรือ Body Firm สร้างกล้ามเนื้อ ราคาเท่าไหร่? แพงไหม? ต้องบอกเลยว่า Body Firm นั้นเป็นเครื่องที่ช่วยสร้างกล้ามเนื้อและลดไขมัน ในระยะเวลา 30 นาที โดยจะมีราคาเริ่มต้นที่ 5,500-9,000 บาทต่อครั้ง หรือในบางคลินิกอาจจะมีการจ่ายแบบคอร์ส ทั้งนี้ราคาของการทำ Body Firm สร้างกล้ามเนื้อ นั้นจะขึ้นอยู่กับแต่ละคลินิก

           

          เลือกทำ Body Firm ที่ไหนดี

          เลือกทำ Body Firm สร้างกล้ามเนื้อ ที่ไหนดี ? การเลือกคลินิกที่ดี และมีมาตรฐาน จะช่วยให้คำแนะนำเกี่ยวกับการรักษาให้คุณได้อย่างเหมาะสม และยังทำให้มั่นใจว่าคุณจะได้รับการบริการที่ดี ไม่เสี่ยงอันตราย และได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ ซึ่งการเลือกทำ Body Firm สร้างกล้ามเนื้อ ที่ไหนดี สามารถพิจารณาได้ ดังนี้

          • ควรเลือกคลินิกที่มีความน่าเชื่อถือ สามารถตรวจสอบได้ และมีชื่อเสียง 
          • ควรเลือกคลินิกที่มีใบประกอบฯ อย่างถูกต้องตามกฎหมาย 
          • ควรเลือกคลินิกที่ตรวจสอบได้ว่าใช้เครื่อง Body Firm ที่เครื่องแท้ที่ผ่านการรับรองจาก สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)
          • ควรเลือกคลินิกที่มีแพทย์ในการดูแลใช้ Body Firm สร้างกล้ามเนื้อ และสามารถให้คำปรึกษาได้อย่างถูกต้อง
          • ควรเลือกคลินิกที่มีความสะอาด ได้รับมาตรฐานด้านสุขอนามัยที่ดี
          • ควรเลือกคลินิกที่มีเจ้าหน้าที่ที่ให้บริการอย่างสุภาพ มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่อง Body Firm และให้ข้อมูลที่ตรงไปตรงมา สามารถอธิบายและตอบข้อสงสัยได้

          นอกจากนี้คุณสามารถเลือกคลินิกที่น่าเชื่อถือได้จากการดูรีวิวของผู้ใช้บริการในด้านอื่น ๆ รวมถึงเลือกคลินิกที่แสดงราคาที่ชัดเจน ราคาไม่แพงหรือถูกจนเกินไป เพื่อไม่เสี่ยงอันตรายในการใช้บริการ

           

          ปรแกรม Body Firm ระหว่างทำ เจ็บไหม?

          ขณะทำ Body Firm สร้างกล้ามเนื้อ จะรู้สึกว่ากล้ามเนื้อมีการบีบตัว เนื่องจากคลื่นพลังงาน HIFEM จะเข้าไปกระตุ้นกล้ามเนื้อให้เกิดการหดตัวแบบ Supramaxiamal Contraction ทำให้เส้นใยของกล้ามเนื้อบริเวณนั้นเพิ่มมากขึ้น และยังช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญมากขึ้น ทำให้ไขมันถูกลด โดยเซลล์ไขมันที่ถูกกำจัดจะถูกขับออกมาตามกระบวนการขับของเสียของร่างกาย โดยคลื่นจะไม่ทำลายเนื้อเยื่อบริเวณรอบ ๆ หลังจากทำเสร็จแล้วนั้นจะไม่รู้สึกเจ็บ หรือไม่มีอาการฟกช้ำ ผิวหนังไหม้ แต่จะมีความรู้สึกปวดตามร่างกายเล็กน้อย เหมือนกับหลังออกกำลังกายเสร็จ เพราะร่างกายกำลังเผาผลาญไขมัน

           

           Body Firm ต้องทำบ่อยแค่ไหน ?
          Body Firm ต้องทำบ่อยแค่ไหน ?


          Body Firm ต้องทำบ่อยแค่ไหน ?

          หลังทำ Body Firm สร้างกล้ามเนื้อ ต้องทำบ่อยแค่ไหนถึงเห็นผล? การสร้างกล้ามเนื้อด้วย Body Firm จะสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ทันทีหลังทำ และจะค่อย ๆ เห็นผลลัพธ์ประมาณ 2-4 สัปดาห์หลังทำ และเพื่อผลลัพธ์ที่พึงพอใจและต่อเนื่องนั้น ควรเข้ารับบริการ Body Firm สร้างกล้ามเนื้อ อย่างน้อย 4-6 ครั้ง หรือทำ Body Firm 4 วันต่อครั้ง โดยสามารถทำซ้ำได้หลังจากทำครั้งล่าสุด 2-3 เดือน ซึ่งผลลัพธ์ของการสร้างกล้ามเนื้อ ลดไขมันด้วย Body Firm นั้นจะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

           

          Body Firm สร้างกล้ามเนื้อ สามารถทำร่วมกับวิธีอื่น ๆ ได้หรือไม่?

          Body Firm สามารถทำร่วมกับการสร้างกล้ามเนื้อวิธีอื่น ๆ ได้ ซึ่งการทำควบคู่กับวิธีอื่นนั้นจะช่วยให้ประสิทธิภาพในการทำงานของเครื่อง Body Firm นั้นทำงานได้ดีมากขึ้น ปั้นหุ่นได้รูปร่างที่ต้องการมากขึ้น ซึ่ง Body Firm สามารถทำร่วมกับวิธีอื่น ๆ ได้ ดังนี้

           

          • การออกกำลังกาย หลังทำ Body Firm สร้างกล้ามเนื้อ หากออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญไขมันมากขึ้น และยังช่วยสร้างกล้ามเนื้อทุกส่วนในร่างกายได้ สามารถออกกำลังกายที่จะช่วยสร้างกล้ามเนื้อได้ เช่น การยกเวท คาร์ดิโอ การทำโยคะ หรือพิลาทิส
          • การออกกำลังกายเฉพาะจุด จะช่วยเพิ่มความแข็งแรงในบริเวณที่ต้องการสร้างกล้ามเนื้อโดยเฉพาะ เช่น การซิทอัพ หรือสควอช จะช่วยให้เห็นผลได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
          • การควบคุมน้ำหนัก หรือการควบคุมปริมาณแคลอรีที่บริโภคในแต่ละวัน จะช่วยให้การลดไขมันจาก Body Firm ได้ผลดียิ่งขึ้น ควรเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และเหมาะสมกับร่างกาย หลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารที่มีไขมันสูงหรือหวานจัด เพื่อป้องกันการสะสมไขมันใหม่
          • การเลือกรับประทานอาหารที่ช่วยเพิ่มกล้ามเนื้อ เช่น อาหารที่มีโปรตีนสูง ไม่ว่าจะเป็น เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ไข่ นม ปลา และถั่ว เพื่อช่วยฟื้นฟูและสร้างมวลกล้ามเนื้อ
          • การพักผ่อนให้เพียงพอ จะช่วยให้กล้ามเนื้อที่ถูกกระตุ้นจาก Body Firm ได้รับการฟื้นฟูและสร้างมวลกล้ามเนื้อได้อย่างเต็มที่

           

          การทำ Body Firm เป็นการสร้างกล้ามเนื้อ และลดไขมัน ด้วยวิธีการกระตุ้นการหดและเกร็งกล้ามเนื้อ ประมาณ 30 นาที  ซึ่งเทียบกับการออกกำลังกายอย่างหนัก หรือการซิทอัพ หรือสควอช ถึง 20,000 ครั้ง ซึ่ง Body Firm จะช่วยเพิ่มมวลกล้ามเนื้อให้ขนาดใหญ่ขึ้น เสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และเพิ่มการเผาผลาญไขมันส่วนเกิน สำหรับใครที่อยากจะปั้นหุ่น ดูแลรูปร่าง ด้วย Body Firm สามารถเข้ามาปรึกษาได้ที่ รมย์รวินท์คลินิก ทุกสาขา

           

           

          *ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับการบริการ

          *เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

          Cosmoprof CBE ASEAN SEMINAR 2025

          Cosmoprof CBE ASEAN SEMINAR 2025

          รมย์รวินท์คลินิก ร่วมเวที Cosmoprof CBE ASEAN SEMINAR 2025 แบ่งปันประสบการณ์ธุรกิจความงามกว่า 22 ปี

           

          รมย์รวินท์คลินิก ได้รับเกียรติร่วมเป็นส่วนหนึ่งในงานสัมมนาระดับนานาชาติ Cosmoprof CBE ASEAN SEMINAR 2025 โดยงานนี้จัดขึ้นเพื่อเป็นเวทีให้กับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมความงามทั้งในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน ได้แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ เทคโนโลยี และแนวทางในการพัฒนาแบรนด์ให้เติบโตอย่างยั่งยืน เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2568 ณ โรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ สุรวงศ์

           

          รมย์รวินท์คลินิก ร่วมเวที Cosmoprof CBE ASEAN SEMINAR 2025
          รมย์รวินท์คลินิก ร่วมเวที Cosmoprof CBE ASEAN SEMINAR 2025

           

          ในงานนี้ ‘มาดามจอย – ขวัญฤทัย ดำรงค์วัฒนโภคิน’ ผู้บริหารแห่งรมย์รวินท์คลินิก ได้รับเชิญในฐานะ Speaker บนเวทีเสวนาหัวข้อ “Building Iconic Beauty Brand: Strategy, Story, Success” ร่วมกับผู้บริหารจากองค์กรชั้นนำ ร่วมบรรยายเจาะลึกเทรนด์บิวตี้แห่งอนาคต จากเทคโนโลยีสุดล้ำ สู่พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปกำหนดทิศทางอุตสาหกรรมอย่างไร

           

          การเข้าร่วมในครั้งนี้ ไม่เพียงเป็นการถ่ายทอดวิสัยทัศน์ของผู้นำธุรกิจความงามที่มีประสบการณ์ยาวนานเท่านั้น แต่ยังเป็นการแสดงถึงจุดยืนของแบรนด์ไทยที่สามารถแข่งขัน และเติบโตได้อย่างมั่นคงในเวทีระดับสากล

           

          รมย์รวินท์คลินิก ร่วมเวที Cosmoprof CBE ASEAN SEMINAR 2025
          รมย์รวินท์คลินิก ร่วมเวที Cosmoprof CBE ASEAN SEMINAR 2025

           

          ยืนหยัดด้วยความจริงใจและใส่ใจ หัวใจของรมย์รวินท์คลินิก

          ภายในงาน มาดามจอยได้ถ่ายทอดประสบการณ์ ในฐานะผู้นำแบรนด์ความงามมายาวนานกว่า 22 ปี พร้อมเผยแนวคิดที่ทำให้รมย์รวินท์คลินิก สามารถสร้างความเชื่อมั่นในกลุ่มลูกค้าได้อย่างมั่นคง แม้ในตลาดที่มีการแข่งขันสูง

           

          “ตลาดความงามมีการแข่งขันสูงมาก แต่พี่จอยไม่เคยมองใครเป็นคู่แข่ง เพราะเชื่อว่าแต่ละคลินิกมีจุดแข็งและแนวทางของตัวเอง สิ่งที่เรายึดถือมาตลอดคือ ‘ความจริงใจและความใส่ใจต่อลูกค้า”

           

          รมย์รวินท์คลินิกให้ความสำคัญกับการเลือกใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยและไม่อันตราย พร้อมการวิเคราะห์สภาพผิวแบบรายบุคคล เพื่อมอบผลลัพธ์ที่ชัดเจนและตรงจุด นอกจากนี้เรายังใส่ใจกับการเก็บข้อมูลของลูกค้าแต่ละคน โดยการระบบเก็บข้อมูลลูกค้าอย่างละเอียด ตามปัญหาของแต่ละบุคคล และให้คำปรึกษาอย่างโปร่งใส ซึ่งเป็นหัวใจของการสร้างความเชื่อมั่นและ Brand Loyalty ในระยะยาว

           

          รมย์รวินท์คลินิก ร่วมเวที Cosmoprof CBE ASEAN SEMINAR 2025
          รมย์รวินท์คลินิก ร่วมเวที Cosmoprof CBE ASEAN SEMINAR 2025

           

          ขยายธุรกิจสู่ตลาดผลิตภัณฑ์ความงามอย่างครบวงจร

          นอกจากธุรกิจคลินิกแล้ว รมย์รวินท์ยังได้ต่อยอดสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ดูแลผิว (Skincare) กว่า 60 รายการ โดยใช้สารสกัดคุณภาพดี และออกแบบสูตรเฉพาะที่เหมาะกับผิวของคนไทย พร้อมควบคุมคุณภาพในทุกขั้นตอนการผลิต

           

          โดยมาดามจอยกล่าวเสริมว่า “เรามองว่าการดูแลผิวไม่ควรจบแค่ในคลินิก การมีผลิตภัณฑ์ที่ลูกค้าใช้ต่อเนื่องที่บ้านได้ จะช่วยเสริมผลลัพธ์ได้ดียิ่งขึ้น และสร้างความมั่นใจในระยะยาว”

          ทั้งนี้ผลิตภัณฑ์ของรมย์รวินท์ได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้าฐานเดิม และยังสามารถขยายสู่กลุ่มผู้ใช้ใหม่ผ่านการบอกต่อจากประสบการณ์จริง ซึ่งช่วยสร้างความน่าเชื่อถือในแบรนด์อย่างต่อเนื่อง

           

          รมย์รวินท์คลินิกขอขอบคุณผู้จัดงาน Cosmoprof CBE ASEAN ที่เปิดโอกาสให้เราได้ร่วมแบ่งปันแนวคิด และประสบการณ์เพื่อเป็นแรงบันดาลใจแก่ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ในอุตสาหกรรมความงาม และขอเป็นกำลังใจให้ทุกแบรนด์ก้าวเดินบนเส้นทางแห่งคุณค่าและความยั่งยืนไปพร้อมกัน

          Promotion SUMMER BURN DEAL โปรร้อนสุด HOT BURN ยิ่งกว่า SUMMER เมืองไทย

          Promotion SUMMER BURN DEAL

          ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




            วันที่สะดวกในการติดต่อ








            Promotion SUMMER BURN DEAL โปรร้อนสุด HOT BURN ยิ่งกว่า SUMMER เมืองไทย

            เมษาทั้งทีจะให้อ่อมได้ไง ต้องหน้าเป๊ะ ผิวเด้ง หุ่นแซ่บ สวยว้าวววทุกองศา จะกี่ฟาเรนไฮต์ก็ไม่ยอม Summer นี้มันต้องร้อนแรง แต่กระเป๋าไม่ร้อนตาม! Romrawin จัดมาให้แล้ว กับโปรเด็ดรับซัมเมอร์ที่คุณต้องซี้ดดดปากก..กับโปร S U M M E R   B U R N   DEAL ไม่ BURN WALLET จัดหนัก จัดเต็มให้กับความสวย แต่ลดสูงสุดถึง 50% ลดขนาดนี้ไม่ซี้ดดดดได้ไง!! 

             

            Promotion SUMMER BURN DEAL
            Promotion SUMMER BURN DEAL ตั้งแต่วันที่ 1 – 30 เมษายน 2568 เท่านั้น

             

            Promotion SUMMER BURN DEAL .. ผิวตึง หน้าเฟิร์ม แม้แดดจะเดือด

            ถ้าแดดจะเดือดขนาดนั้น ผิวหน้าต้องเฟิร์มกระชับเหมือนกันนะ! ใครจะให้แดดมาทำร้ายผิวได้ล่ะ! ต้องมา ยกกระชับเฟิร์มผิวด้วย 

             

            • โปรแกรม BB HIFU เสกผิวให้สวยเรียบเนียนเหมือนทา BB Cream ด้วยการส่งพลังงานคลื่นอัลตราซาวนด์ลงสู่ผิวชั้นตื้น เข้าไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ให้ผิวมีความเรียบเนียน รูขุมขนกระชับ ปรับผิวให้กระจ่างใส ผิวสวยแต่งหน้าติดทน ทำได้แม้จุดที่อ่อนโยน บอบบาง 

             

            • โปรแกรม BLINK IT UP ปลุกผิวให้ฉ่ำ Up ความชุ่มชื้นให้กับผิวได้มากกว่าการทาครีมทั่วไป ด้วยการผลักวิตามินลงสู่ผิวได้อย่างล้ำลึก กู้ผิวเสียเป็นผิวสวยได้แบบเร่งด่วน 

             

            ซัมเมอร์นี้ผิวต้องตึง กระชับ ด้วย โปรแกรม BB HIFU X โปรแกรม BLINK IT UP

            ราคาเพียง 6,000.- (จาก ราคาปกติ 35,500.-) 

             

            • โปรแกรม SUPER HIFU จะสวยทั้งทีก็ต้องเก็บให้ครบ 3 ชั้นผิว ยกสุด ตึงสุด กระชับสุด กับตัวแม่ที่เป็นมากกว่าการยกกระชับ แต่ช่วยปรับรูปหน้าให้คมชัด เรียวสวย พร้อมเก็บงานผิวให้เรียบเนียน ล็อกผิวให้สวยกริบได้ดั่งใจ

             

            • โปรแกรม BAR LIFT ลิฟต์หน้าให้ยก เก็บกรอบหน้าให้ V-shape เรียว สะดุดตา พร้อมปรับผิวให้เนียนสวยด้วยพลังงานคลื่นอัลตราซาวนด์ ลงลึกสู่ชั้นผิวได้อย่างครอบคลุมและแม่นยำ แต่ไม่ทำให้เจ็บ

             

            ซัมเมอร์นี้ผิวต้องตึง กระชับ ด้วย โปรแกรม SUPER HIFU 300 Lines + โปรแกรม BAR LIFT 300 Lines

            ราคาเพียง 12,900.- (จากราคาปกติ 60,000.-)

             

            • โปรแกรม ULTHERAPY ยกก่อน อ่อนกว่า ยกกระชับผิวหน้าโดยไม่ต้องผ่าตัด ด้วยคลื่นอัลตราซาวนด์ ลงลึกสู่ผิวชั้น SMAS กระตุ้นคอลลาเจนใหม่ ให้ผิวอิ่มฟู กระชับ เรียบเนียน 

             

            • โปรแกรม ULTRA 4D LIFT ยิงพลังงานเร็ว และลงได้ลึกทุกชั้นผิว ยกกระชับส่วนที่หย่อนคล้อย เก็บกรอบหน้าให้เรียวแบบ V-Shape ปรับผิวพังให้เป็นผิวเนียนละเอียด ให้หน้าสวยได้ถึง 4 มิติ 

             

            ซัมเมอร์นี้ผิวต้องตึง กระชับ ด้วย โปรแกรม ULTHERAPY 200 Lines + โปรแกรม ULTRA 4D LIFT 200 Lines

            ราคาเพียง 24,900.- (จากราคาปกติ 63,000.-)

             

            • โปรแกรม FIXLIFT ฟิกซ์ผิวให้เฟิร์ม รีดผิวยับให้เรียบตึง ลิฟต์ผิวให้ยกกระชับได้ในเครื่องเดียว ด้วยพลังงานลงได้ลึกทุกระดับชั้นผิวกระตุ้นคอลลาเจน หดไขมันใต้ชั้นผิวหนัง ลดเลือนริ้วรอยและแผลเป็น ให้ผิวสวยเด้งไม่ต้องพึ่งผ่าตัด 

             

            ซัมเมอร์นี้ผิวต้องตึง กระชับ ด้วย โปรแกรม FIXLIFT (หน้า)

            ราคาเพียง 29,900.-  (จากราคาปกติ 80,000.-)

             

            • โปรแกรม THERMAGE FOR EYES ลดริ้วรอย ถุงใต้ตา แก้ปัญหาตาตกให้กลับมาตาเฉี่ยว ด้วยพลังงานที่ยิงลงลึกถึงชั้นไขมันช่วยยกกระชับ ปรับผิวบริเวณรอบดวงตาให้แน่นเฟิร์ม สดใส ลดอายุให้ใบหน้า ต้องไม่ปล่อยให้ตาเหี่ยวเป็นตัวบอกอายุ 

             

            ซัมเมอร์นี้ผิวต้องตึง กระชับ ด้วย โปรแกรม THERMAGE FOR EYES 450 Lines

            ราคาเพียง 35,000.- (จากราคาปกติ 90,000.-) 

             

            Promotion SUMMER BURN DEAL
            Promotion SUMMER BURN DEAL ตั้งแต่วันที่ 1 – 30 เมษายน 2568 เท่านั้น

             

            Promotion SUMMER BURN DEAL .. เบรกสิวในฤดูที่ร้อนแรงที่สุด

            ช่วง Summer เนี่ยแหละที่สิวเกิดได้ง่ายมาก เพราะทั้งร้อน ทั้งเหงื่อ ทำหน้าเยิน แต่ไม่ต้องห่วงค่ะ เพราะรมย์รวินท์คลินิกมีวิธีเบรกสิว ซัมเมอร์นี้ได้โชว์หน้าสวย หลังใส ด้วย

             

            • โปรแกรม AC CLEAR II ไม่ว่าบนใบหน้าจะเป็นสิวแบบไหนก็กู้คืนกลับมาให้สวยใสได้ด้วย 4 step รักษาสิว เนี่ยแหละเคล็ดลับความใส เพราะดูแลผิวหน้าครบจบเรื่องปัญหาสิว 

             

            ซัมเมอร์นี้ผิวต้องสวย หน้าต้องใส ด้วย โปรแกรม AC CLEAR II (เฉพาะจุด) จำนวน 1 ครั้ง

            ราคาเพียง 1,700.-  (จากราคาปกติ 3,100.-)

             

            ซัมเมอร์นี้ผิวต้องสวย หน้าต้องใส ด้วย โปรแกรม AC CLEAR II (เฉพาะจุด) จำนวน 10 ครั้ง

            ราคาเพียง 16,000.- (จากราคาปกติ 31,000.-)

             

            • โปรแกรม BACK CLEAR II ปิดจบหลังเป็นสิวไม่เว้น จนไม่กล้าโชว์ ด้วย 4 Step ดูแลผิวที่เป็นสิว เผยผิวหลังให้สวยใส อยากโชว์ก็โชว์เลย ไม่ต้องปิดอีกต่อไปแล้ว

             

            ซัมเมอร์นี้ผิวต้องสวย อวดหลังแซ่บ ด้วย โปรแกรม BACK CLEAR II (หลังบน หรือล่าง) จำนวน 1 ครั้ง

            ราคาเพียง 3,400.-  (จากราคาปกติ  8,200.-) 

             

            ซัมเมอร์นี้ผิวต้องสวย อวดหลังแซ่บ ด้วย โปรแกรม BACK CLEAR II (หลังบน หรือล่าง) จำนวน 5 ครั้ง

            ราคาเพียง 16,000.- (จากราคาปกติ 41,000.-)

             

            Promotion SUMMER BURN DEAL .. บอกลาฝ้า ท้าซัมเมอร์ 

             

            ท้าซัมเมอร์แบบมั่นใจ ผิวต้องใสไร้ฝ้า! แม้แดดจะร้อนแรงขนาดไหน ก็หายห่วง เพราะรมย์รวินท์คลินิกมีตัวช่วยดูแล ด้วย

             

            • โปรแกรม SMART FEM พอกันซักทีกับเรื่องฝ้าที่เป็นมาตลอด ตัดวงจรฝ้าตั้งแต่ต้นตอ ด้วยเลเซอร์ที่ช่วยจัดการกับเม็ดสีที่ผิดปกติ กระตุ้นคอลลาเจนให้ผิวเนียนใส ลดโอกาสการเกิดฝ้าซ้ำซ้อน 

             

            • โปรแกรม MELASMA FADE น็อกเอาต์ฝ้าด้วยตัวยาของรมย์รวินท์คลินิกที่ช่วยลดเลือนฝ้า กระ จุดด่างดำให้จางลงได้อย่างตรงจุด แต่ไม่ทำให้หน้าบาง ไม่ว่าจุดดำไหนๆ ผิวก็สวยชนะแบบใสๆ 

             

            • โปรแกรม COLOR ICE ฟื้นฟูผิวด้วยพลังความเย็นสุดคูล คืนความสดชื่นให้ผิวกลับมามีชีวิตชีวา พร้อมปรับผิวให้กระจ่างใส ชุ่มชื้น แลดูสุขภาพดี

             

            ซัมเมอร์นี้ผิวต้องสวย สดใสท้าแดด ด้วย โปรแกรม SMART FEM + โปรแกรม MELASMA FADE + โปรแกรม COLOR ICE

            ราคาเพียง 7,900.- (จากราคาปกติ 14,500.-)

             

            • โปรแกรม MELASMA FIRM รวม 3 พลังสุดปัง ทั้งช่วยเคลียร์ฝ้า กระ จุดด่างดำ ยกผิวที่หย่อนคล้อยให้กระชับ แล้วฟื้นฟูผิวให้กระจ่างใส พร้อมเติมความชุ่มชื้นให้ผิว ให้หน้าสวยเฟิร์มใน 1 เดียว

             

            ซัมเมอร์นี้ผิวต้องสวย สดใสท้าแดด ด้วย โปรแกรม MELASMA FIRM

            ราคาเพียง 10,900.- (จากราคาปกติ 26,000.-) รับฟรี โปรแกรม BLINK IT UP 1 ครั้ง

             

            Promotion SUMMER BURN DEAL ..หุ่นแซ่บรับลมร้อน พร้อมลุยแดด 

             

            ถ้าจะให้ Summer นี้มันแซ่บสุดๆ ต้องฟิตหุ่นให้พร้อมรับลมร้อนกันไปเลย! กับตัวช่วยที่รมย์รวินท์คลินิกเตรียมไว้ให้คุณดูดีในทุกองศา ด้วย 

             

            • PACK BLOCK TO CURVE III ลดน้ำหนักได้อย่างมั่นใจไม่ต้องอด ไม่ต้องทรมาน แต่ช่วยปรับพฤติกรรมการกิน ควบคุมความหิว ทำให้อิ่มนาน พร้อมยกจุดที่หย่อนคล้อย หุ่นที่ไม่เฟิร์ม ให้กระชับ มีเชพดี ใส่รัดรูปแค่ไหนก็ไม่มีเผละ เพราะเก็บได้หมดทุกส่วน 

             

            ซัมเมอร์นี้หุ่นต้องแซ่บ เซพต้องดี ด้วย PACK BLOCK TO CURVE III

            ราคาเพียง 29,900.- (จากราคาปกติ 85,500.-)

             

            Promotion SUMMER BURN DEAL
            Promotion SUMMER BURN DEAL ตั้งแต่วันที่ 1 – 30 เมษายน 2568 เท่านั้น

             

            Promotion SUMMER BURN DEAL ..คอลลาเจนแน่น เด้งสู้แดด 

            ซัมเมอร์นี้อย่าปล่อยให้ความร้อนทำลายคอลลาเจนในชั้นผิว เสริมคอลลาเจนให้ผิวปัง เด้งสู้แดด กับตัวช่วยที่รมย์รวินท์คลินิกจัดมาให้ ด้วย

             

            • โปรแกรมฉีด CHARISMA – Rh Collagen เติมคาริสม่าให้ผิวของคุณสวยเป๊ะด้วยคอลลาเจนในรูปแบบฉีดตัวแรกของโลกที่ช่วยเติมความยืดหยุ่นให้กับผิว ลดเลือนริ้วรอย เติมเต็มหลุมสิว ปรับผิวให้เนียนละเอียด และให้ผลลัพธ์ยาวนานถึง 12 เดือน 

             

            ซัมเมอร์นี้ผิวต้องดี คอลลาเจนต้องแน่น ด้วย โปรแกรมฉีด CHARISMA – Rh Collagen 1 Syr.

            ราคาเพียง 25,000.- (จากราคาปกติ 35,000.-)

             

            • โปรแกรมฉีด HACA – Dual Effect ผิวสวยสร้างเองได้ไม่ต้องพึ่งฟิลเตอร์ ด้วย Hybrid Dermal Filler ที่ผสาน 2 พลังของ HA ที่ช่วยเติมเต็มร่องลึกให้ผิวชุ่มชื้น และ CaHA ที่เป็น biostimulator ให้ผิวเรียบเนียน ดูอ่อนกว่าวัย เหมือนได้คืนชีวิตใหม่ให้ผิว 

             

            ซัมเมอร์นี้ผิวต้องดี คอลลาเจนต้องแน่น ด้วย โปรแกรมฉีด HaCa – Dual Effect 1 Syr.

            ราคาเพียง 29,900.- (จากราคาปกกติ 45,000.-)

             

            Promotion SUMMER BURN DEAL .. คอลลาเจนแน่นสู้แดด

            อย่าปล่อยผิวหน้าไม่กระชับมาแย่งความสวยในช่วงซัมเมอร์นี้! รมย์รวินท์คลินิกจัดผู้ช่วยตัวเด็ดที่ช่วยเติมเต็มผิว และทำให้ผิวเด้งสู้แดด ด้วย 

             

            • โปรแกรมฉีด CHARISMARH COLLAGEN เติมความแน่น ฟู กระชับผิวหน้าให้กลับมาเนียนเด้งจากการสูญเสียคอลลาเจนอีกครั้ง

             

            ซัมเมอร์นี้ผิวเด้ง เติมเต็มอีกครั้งด้วย โปรแกรมฉีCHARISMARH COLLAGEN  1 Syr.

            ราคาเพียง 25,000.- (จากราคาปกติ 35,000.-)

             

            • โปรแกรมฉีด HACA Dual Effect ทั้งเติมเต็มริ้วรอย และทั้งสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิวได้เป็นอย่างดี

             

            ซัมเมอร์นี้หน้ายก ผิวแน่น พร้อมสร้างคอลลาเจนด้วยโปรแกรมฉีด HACA Dual Effect 1 Syr.

            ราคาเพียง 29,000.- (จากราคาปกติ 45,000.-)

             

            Promotion SUMMER BURN DEAL ..ริ้วรอยละลายเหมือนน้ำแข็งในซัมเมอร์

            สู้กับริ้วรอยให้หมดไปแบบไม่มีทางกลับ! แม้แดดจะร้อนแค่ไหน แต่รมย์รวินท์คลินิกมีตัวช่วยให้ริ้วรอยละลายหายไปเหมือนกับน้ำแข็งในแสงแดด ด้วย 

             

            • โปรแกรมฉีดโบท็อกซ์ ผิวหย่อนคล้อย ริ้วรอยขอให้แพ้ไป จบทุกความแก่ใกล้คุณ ยกผิวตึง จัดเก็บกรอบหน้าให้คมชัด ลดเลือนริ้วรอยแห่งวัย ให้ผลลัพธ์ความอ่อนเยาว์แบบไม่โป๊ะ

             

            • โปรแกรม RG Lift เลเซอร์ที่ช่วยจัดการผิวที่มีริ้วรอยที่คอยกวนใจ ให้กลับมาฟูเด้ง ดูอ่อนกว่าวัย เสริมความมั่นใจให้ใบหน้า

             

            ซัมเมอร์นี้ผิวริ้วรอยต้องละลาย ด้วย โปรแกรมฉีดโบท็อกซ์E 50U. + โปรแกรม RG Lift

            ราคาเพียง 9,900.- (จากปกติราคา 20,000.-)

             

            ซัมเมอร์นี้ผิวริ้วรอยต้องละลาย ด้วย โปรแกรมฉีดโบท็อกซ์ M 50U. + โปรแกรม RG Lift

            ราคาเพียง 10,900.-  (จากปกติราคา 28,000.-) 

             

            ซัมเมอร์นี้ผิวริ้วรอยต้องละลาย ด้วย โปรแกรมฉีดโบท็อกซ์ A 50U. + โปรแกรม RG Lift

            ราคาเพียง 12,900.- (จากปกติราคา 28,000.-) 

             

            ซัมเมอร์นี้รีบมาเติมความสวยท้าทุกความร้อนแรงของไอแดดกันได้แล้วตั้งแต่วันที่ 1 – 30 เมษายน 2568 ที่รมย์รวินท์คลินิกทุกสาขา 

             

             

            *โปรโมชันตั้งแต่วันที่ 1 – 30 เมษายน 2568 เท่านั้น

            *โปรโมชันเฉพาะแพทย์ที่เข้าร่วมรายการเท่านั้น

            *โปรโมชันเฉพาะสาขาที่ร่วมรายการเท่านั้น  

            *ผลลัพธ์การรักษาอาจแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับเฉพาะบุคคล 

            *เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด โปรดตรวจสอบรายละเอียด และเงื่อนไขเพิ่มเติมกับทางเจ้าหน้าที่

            โปรแกรม Ultherapy เปลี่ยนหน้าย้อยของคุณจุ๊ ให้กลายเป็นหน้ายก

            Ultherapy Prime เปลี่ยนหน้าย้อยให้กลายเป็นหน้ายก

            โปรแกรม Ultherapy เปลี่ยนหน้าย้อยของคุณจุ๊ ให้กลายเป็นหน้ายก

             

            ดาราหน้ายกกระชับได้ เราก็ต้องทำได้ คุณจุ๊ จุรีลักษณ์เลยขอมายกหน้าที่รมย์รวินท์คลินิกซักหน่อย เอาให้หน้าสวยเด้งแบบดาราไปเลยยย!!

            อยากสวยบ้าง อยากหน้ายกกระชับบ้าง และก็คิดแล้วว่าคงถึงวัยแล้ว ริ้วรอย ความหย่อนคล้อย ก็เป็นของคู่กับอายุที่มากขึ้นแหละค่ะ แต่เพราะเรามีอาชีพอยู่ในวงการ ทั้งดูแลศิลปิน-ดาราด้วย เมื่อดาราในสังกัดดูดี เราก็ต้องดูดีเช่นกันค่ะ และสิ่งที่จุ๊เลือกก็จะต้องเป็นสิ่งที่ดีค่ะ จุ๊ก็เลือกรมย์รวินท์คลินิกนี่แหละค่ะ เป็นผู้ช่วยเรื่องผิว เพราะที่นี่มีชื่อเสียงมาอย่างยาวนานถึง 22 ปีแล้ว และคลินิกก็ได้มาตรฐาน มีการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ และคุณหมอทุกท่านก็มีประสบการณ์เฉพาะด้าน และตอนนี้รมย์รวินท์คลินิกมีสาขาทั่วประเทศถึง 28 สาขาแล้ว เท่านี้ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่ไว้วางใจให้รมย์รวินท์คลินิกช่วยดูแลเลยค่ะ

             

            Ultherapy Prime เปลี่ยนหน้าย้อยให้กลายเป็นหน้ายก
            ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

             

            จุ๊มีปัญหาเรื่องความหย่อนคล้อย และริ้วรอย ด้วยอายุที่มากขึ้นก็เลยขอเข้ามาปรึกษากับคุณหมอแพร พญ.นภัสนันท์ เทพพรพิทักษ์ : ว.43281 ช่วยจัดการเรื่องความหย่อนคล้อย และริ้วรอย ให้เป็นความยกกระชับ ดูอ่อนเยาว์ค่ะ ก่อนทำคุณหมอแพรใช้โปรแกรม Lifting Select มาช่วยวิเคราะห์ปัญหาผิว เพื่อช่วยให้เลือกหัตถการที่ตอบโจทย์ปัญหา และแก้ได้อย่างตรงจุด เพื่อให้ได้รับผลลัพธ์ที่ดีผ่าน 3 เฟรมเวิร์ก ไม่ว่าจะเป็น  1. Frame Selection – ปรับและแก้ไขโครงหน้า ความหย่อนคล้อย ให้ผิวกลับมาดูอ่อนเยาว์ 2.  Light & Shadow Me – เพิ่มจุดเด่น ลดจุดบกพร่องให้ใบหน้ามีมิติ คมชัด 3. Conceal Selection – ปรับผิวให้เนียนเรียบ สวยโดยไม่ต้องปกปิดหรือกังวลเรื่องปัญหาผิว ซึ่งเทคนิคนี้คิดค้นจากประสบการณ์ของทีมแพทย์ และมีเฉพาะที่รมย์รวินท์คลินิกที่เดียวเท่านั้นนะคะ 

             

            หลังจากวิเคราะห์ผิวเรียบร้อยแล้ว คุณหมอแพรเลือก โปรแกรม Ultherapy ซึ่งเป็นเทคโนโลยียกกระชับผิวที่เป็นที่ยอดนิยมมาก มาช่วยเปลี่ยนหน้าย้อยของจุ๊ให้กลายเป็นหน้ายกกระชับ โปรแกรม Ultherapy ยิงด้วยพลังงานอัลตราซาวนด์ยิงลงได้ลึกถึงผิวชั้น SMAS  โดย โปรแกรม Ultherapy จะเข้าไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินใต้ชั้นผิวลึก ให้เกิดการจัดเรียงตัวกันใหม่ ซึ่งทำให้ผิวมีความแน่นเฟิร์มมากขึ้นกว่าเดิม พอทำ โปรแกรม Ultherapy แล้วจึงช่วยทำให้ผิวที่หย่อนคล้อยยกกระชับได้อย่างมีประสิทธิภาพ และนอกจากเรื่องยกกระชับผิวหย่อนคล้อยแล้ว  โปรแกรม Ultherapy ยังช่วยเรื่องริ้วรอย ร่องลึก ให้ผิวหน้าอ่อนเยาว์ และช่วยปรับกรอบหน้าให้เรียว คมชัด มีมิติมากยิ่งขึ้น โปรแกรม Ultherapy ช่วยให้ผิวยกกระชับ อ่อนเยาว์ได้แบบไม่ต้องผ่าตัด หรือเจ็บตัวเลยค่ะ และไม่ต้องห่วงเรื่องความปลอดภัยเลยค่ะ เพราะ โปรแกรม Ultherapy เป็นเทคโนโลยียกกระชับผิวที่ได้รับการรับรองมาตรฐานแล้ว

             

            Ultherapy Prime เปลี่ยนหน้าย้อยให้กลายเป็นหน้ายก
            ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

             

            หลังจากที่จุ๊ทำ โปรแกรม Ultherapy ขอบอกเลยค่ะว่า โปรแกรม Ultherapy ตอบโจทย์ปัญหาผิวของจุ๊ได้มาก จุ๊รู้สึกว่าหน้าของจุ๊ยกกระชับมากขึ้นความหย่อนคล้อยที่เคยมีมันหายไปมากเลยค่ะ กรอบหน้าดูยกขึ้น มีมิติขึ้น และพวกริ้วรอย ร่องลึกที่ทำให้ผิวหน้าแก่ก็ตื้นขึ้นมากเลย จุ๊ขอคอนเฟิร์มเลยค่ะว่า โปรแกรม Ultherapy ดีและควรค่าแก่การมายกกระชับผิวหน้ามากค่ะ และคุณหมอแพรยังบอกว่า หลังจากทำ โปรแกรม Ultherapy ผิวของเราก็จะค่อยๆ ยกกระชับ และดูอ่อนเยาว์ขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ โดยสามารถเห็นผลลัพธ์ได้อย่างชัดเจนภายใน 2-3 เดือน และจะคงผลลัพธ์ความยกกระชับ อ่อนเยาว์ได้นาน 1-2 ปี แต่ทั้งนี้ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับเฉพาะบุคคลด้วยนะคะ ใครที่มีปัญหาผิวหน้าหย่อนคล้อย มีริ้วรอย ร่องลึก อยากกลับมายกกระชับ ดูอ่อนเยาว์ ต้อง โปรแกรม Ultherapy ที่รมย์รวินท์คลินิกเท่านั้นค่ะ

             

            **จากคำบอกเล่าของคุณจุ๊ จุรีลักษณ์ ผู้ใช้บริการจริง

            โปรแกรม Ultherapy ลดหน้าย้อยคืออะไร คุณจุ๊ถึงคอนเฟิร์มว่าดี

            โปรแกรม Ultherapy คือเทคโนโลยียกกระชับผิว ที่ปล่อยพลังงาน Focused Ultrasound ซึ่งสามารถลงได้ลึกถึงชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นผิวที่ศัลยแพทย์นิยมใช้ในการผ่าตัดดึงหน้ายกกระชับผิว โปรแกรม Ultherapy ปล่อยพลังงานเข้าไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินใต้ชั้นผิวใหม่ให้ผิวเฟิร์มยกกระชับ และมีความยืดหยุ่น และช่วยลดความหย่อนคล้อยและริ้วรอยในระยะยาว ทำให้ผิวหน้าดูอ่อนเยาว์ นอกจากนี้ โปรแกรม Ultherapy ยังช่วยสร้างกรอบหน้าให้เรียว คมชัด โดยหลังจากที่ทำ โปรแกรม Ultherapy จะค่อยๆ เห็นผลลัพธ์ความยกกระชับและความอ่อนเยาว์ที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้นภายใน 2-3 เดือน และจะคงผลลัพธ์อยู่ได้นาน 1-2 ปี ซึ่งผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับเฉพาะแต่ละบุคคล โปรแกรม Ultherapy สามารถทำให้หน้ายกกระชับ และอ่อนเยาว์ได้โดยไม่ต้องพึ่งการผ่าตัดศัลยกรรม ไม่ต้องพักฟื้น และไม่ทิ้งบาดแผล 

             

            ทำไมต้องทำ โปรแกรม Ultherapy ลดหน้าย้อย

            • โปรแกรม Ultherapy ช่วยกระตุ้นคอลลาเจนและอิลาสตินใต้ชั้นผิว
            • โปรแกรม Ultherapy ช่วยยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อย
            • โปรแกรม Ultherapy ช่วยลดเลือนริ้วรอย ร่องลึก
            • โปรแกรม Ultherapy ช่วยให้ผิวหน้าอ่อนเยาว์
            • โปรแกรม Ultherapy ช่วยเก็บกรอบหน้าให้เรียว คมชัด มีมิติ
            • โปรแกรม Ultherapy ช่วยยกกระชับผิวโดยไม่ต้องผ่าตัด พักฟื้น
            • โปรแกรม Ultherapy คงผลลัพธ์อยู่ได้นาน 1-2 ปี

            มีปัญหาผิวเชิญมาปรึกษาคุณหมอที่รมย์รวินท์คลินิกได้เลยนะคะ เรามีทั้ง 28 สาขาทั่วประเทศ ใกล้ที่ไหนไปที่นั่นนะคะ 

            เติ้ล ตะวัน ยกกระชับในรอบ 10 ปี กับ Ultherapy PRIME

            เติ้ล ตะวัน Ultherapy Prime

            ขอเปิดใจอีกครั้ง เติ้ล ตะวัน ยกกระชับในรอบ 10 ปี กับ “โปรแกรม Ultherapy PRIME”

             

            คุณเติ้ล ตะวัน จารุจินดา ขอเปิดใจลองสัมผัสประสบการณ์การยกกระชับอีกครั้งในรอบ 10 ปี ด้วย โปรแกรม Ultherapy PRIME เทคโนโลยียกกระชับที่อัปเกรดใหม่ในรอบ 15 ปี!! 

             

            ผมต้องขอยอมรับแบบแมนๆ เลยครับ ว่าผมกลัวการยกกระชับหน้ามาก เพราะกลัวเจ็บครับ (หัวเราะ) ผมเคยมาลองทำโปรแกรมยกกระชับหน้าตามคุณภรรยา เพราะภรรยาบอกว่าหน้าแบบเราต้องทำได้แล้วนะ อายุมากแล้ว และหน้าก็หย่อนคล้อยมากเลย ด้วยความที่เป็นคนรักภรรยาครับก็เลยเชื่อภรรยา พอได้มาลองทำครั้งแรกเท่านั้นแหละพอเลย! เพราะมันรู้สึกเจ็บมาก มันทรมานมาก กว่าจะทำเสร็จ ก็คือไม่อยากหน้ายกกระชับแล้ว ขอไปวิธีอื่นที่เจ็บน้อยกว่านี้มีมั้ย (หัวเราะ) แต่พอได้ยินว่ารมย์รวินท์คลินิกมีเทคโนโลยียกกระชับผิวตัวใหม่โปรแกรม Ultherapy PRIME ที่ได้รับการอัปเกรดมาจากรุ่นเดิม ในรอบ 15 ปี จะเจ็บน้อยลงอีก ตอนแรกก็ไม่เชื่อครับ จะไม่ยอมทำอย่างเดียวเลย แต่พอเพื่อนๆ และคนรอบข้างได้ไปลองทำโปรแกรม Ultherapy PRIME แล้วเขามาบอกให้ฟังว่า มันดีจริง มันเจ็บน้อยลงมากจริงๆ ผมก็เริ่มเปิดใจเลยครับ ขอมาลองดูอีกสักรอบ ครั้งนี้เป็นการยกกระชับผิวหน้าของผมในรอบ 10 ปีเลยนะครับ มาดูกันครับว่าโปรแกรม Ultherapy PRIME จะทำให้ผมลืมประสบการณ์การยกหน้าที่เคยเจ็บไปได้หรือเปล่า

             

            เติ้ล ตะวัน Ultherapy Prime
            ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

             

            ก่อนทำคุณหมอแพร (พญ.ธิรดา จิตตการ : ว.30170) ใช้โปรแกรม Lifting Select วิเคราะห์ผิวหน้าให้ผมผ่าน 3 เฟรมเวิร์ก ซึ่งได้แก่ 

            • Frame Selection – เป็นการปรับโครงหน้า และทำให้ผิวของเราดูอ่อนเยาว์ลงอย่างเป็นธรรมชาติ 
            • Light & Shadow Me – เป็นเทคนิคการเพิ่มจุดเด่น และลดจุดบกพร่องบนใบหน้า ให้หน้าของเราดูดีแบบมีมิติมากยิ่งขึ้น และ 
            • Conceal Selection – เป็นเทคนิคปรับผิวให้มีความเนียนละเอียด จนไม่ต้องมีอะไรให้ปกปิด 

             

            ซึ่งเทคนิค Lifting Select นี้คิดค้นมาจากประสบการณ์กว่า 22 ปี ของทีมแพทย์และมีเฉพาะที่รมย์รวินท์คลินิก เท่านั้นนะครับ

             

            หลังจากคุณหมอแพรวิเคราะห์ผิวให้ผมเรียบร้อยแล้ว ถึงเวลาแล้วกับครั้งแรกในรอบ 10 ปีที่จะได้ลองยกกระชับผิวหน้าด้วยเทคโนโลยียกกระชับผิวตัวใหม่ที่ถูกอัปเกรดใหม่ในรอบ 15 ปี อย่างโปรแกรม Ultherapy PRIME ครับ คุณหมอแพรบอกว่า โปรแกรมUltherapy PRIME อัปเกรดให้ดีกว่ารุ่นเดิมคือ

            • โปรแกรม Ultherapy PRIME มีหน้าจอใหญ่ขึ้นถึง 35% และแสดงผลแบบ Full HD ทำให้คุณหมอสามารถเห็นภาพของแต่ละชั้นผิวได้ละเอียดมากขึ้น 
            • โปรแกรม Ultherapy PRIME ระบบมีความเสถียรมากยิ่งขึ้น ทำให้การรักษามีความแม่นยำมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้ได้รับผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
            • โปรแกรม Ultherapy PRIME มีระบบการประมวลผลที่เร็วขึ้นถึง 20% และใช้เวลาในการรักษาไวขึ้น ทำให้เกิดความเจ็บน้อยลง

             

            เทคโนโลยียกกระชับผิวโปรแกรม Ultherapy PRIME ยิงด้วยพลังงาน Micro-Focused Ultrasound ซึ่งสามารถยิงพลังงานลงได้ลึกถึงผิวชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นผิวที่ศัลยแพทย์นิยมใช้ในการผ่าตัดดึงหน้า โดยพลังงานจากโปรแกรม Ultherapy PRIME จะตรงเข้าไปกระตุ้นคอลลาเจนและอิลาสตินใต้ชั้นผิวลึกให้เกิดการจัดเรียงตัวกันใหม่ ซึ่งมีความแน่นมากขึ้นจึงส่งผลให้ผิวยกกระชับ แน่นเฟิร์ม ไม่หย่อนคล้อย โปรแกรมUltherapy PRIME ไม่อันตรายเพราะได้รับการรับรองมาตรฐานโปรแกรม Ultherapy PRIME ทำการรักษาไปแล้วมากกว่า 3 ล้านทรีตเมนต์ทั่วโลกเลยครับ

             

            ** จากคำบอกเล่าของคุณเติ้ล ตะวัน ผู้ใช้บริการจริง

            เติ้ล ตะวัน Ultherapy Prime
            ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

             

            เติ้ล ตะวัน ยกกระชับในรอบ 10 ปี กับ “โปรแกรม Ultherapy PRIME”

            หลังจากที่ผมได้ทำโปรแกรม Ultherapy PRIME ต้องเปลี่ยนความคิดไปเลยครับ เพราะหน้าของผมยกกระชับได้โดยไม่ต้องเจ็บ และทรมานอีกแล้วครับ และเห็นผลลัพธ์ได้ทันทีเลยว่า หน้ายกขึ้น ส่วนที่หย่อนคล้อย ก็กระชับมากขึ้น กรอบหน้าของผมเรียว คมชัดมากขึ้นตามไปด้วยครับ ซึ่งคุณหมอแพรก็บอกไว้ตั้งแต่ก่อนทำว่าโปรแกรม Ultherapy PRIME จะเห็นผลลัพธ์ดีหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล และการดูแล ถ้าผมดูแลดีก็ไม่ต้องเป็นห่วงครับ  ส่วนพวกร่องลึก และริ้วรอยตามวัยยิ่งไม่ต้องห่วงเลยครับ โปรแกรม Ultherapy PRIME เก็บได้หมด ผิวเนียนเรียบขึ้นมากๆ ครับโปรแกรม Ultherapy PRIME สามารถเห็นผลลัพธ์ความยกกระชับได้ชัดเจนที่สุดภายใน 2-3 เดือน และคงผลลัพธ์ได้ยาวนาน 1- 2 ปี แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการดูแลของแต่ละบุคคลด้วยนะครับ ใครที่อยากยกกระชับผิวหน้ากำจัดความหย่อนคล้อย ริ้วรอย ร่องลึก ขอแนะนำ โปรแกรม Ultherapy PRIME เลยครับพิสูจน์ด้วยตัวของผมเองที่เป็นคนกลัวเจ็บ และเข็ดกับการยกกระชับผิวมาก่อน แต่พอได้ลองโปรแกรม Ultherapy PRIME ที่รมย์รวินท์คลินิก ขอบอกเลยครับว่า ยกชัด ลงลึก ลืมเจ็บ อยู่นานจริงๆ ไม่เชื่อมาดูหน้าผมใกล้ๆ สิครับ 

            • ยกชัด ยกผิวหย่อนคล้อยให้กระชับได้ทั้งใบหน้าและลำคอ เห็นผลลัพธ์ได้ชัดเจนหลังทำทันที 15-20%
            • ลงลึก ยิงด้วยพลังงาน Micro-Focused Ultrasound ลงลึกถึงผิวชั้น SMAS กระตุ้นคอลลาเจนและอิลาสตินใต้ชั้นผิว
            • ลืมเจ็บ ระบบเสถียร ประมวลผลได้เร็วขึ้นถึง 20% รักษาได้ไวจนลืมความเจ็บ
            • อยู่นาน ให้ผลลัพธ์ความยกกระชับ อ่อนเยาว์ได้นาน 1-2 ปี 

            สัมผัสประสบการณ์ยกกระชับผิวหน้าได้ชัดเจนขึ้น แต่เจ็บน้อยลงกับ โปรแกรม Ultherapy PRIME แบบคุณเติ้ล ตะวัน ได้ที่รมย์รวินท์คลินิกนะคะ 

            โปรแกรม Radiesse Plus+ Lift & Contour คุณบอส จักรพันธ์

            Radiesse Plus+ Lift & Contour

            ปรับ Jawline กรอบหน้าคมชัด ดูมิมิติ ด้วย โปรแกรม Radiesse Plus+ Lift & Contour คุณบอส จักรพันธ์

             

            คุณผู้หญิงคิดว่า เสน่ห์ของคุณผู้ชายคืออะไรกันคะ? ถ้าจะบอกว่าเป็นสันกรามเข้ม มี Jawline ชัดเจนคุณผู้หญิงจะชอบมั้ยคะ คุณบอส จักพันธ์ วงศ์คณิต ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ขอมาโครงหน้าให้ชัดมีมิติ ด้วย Biostimulator ที่ช่วยให้คมเข้มแบบเป็นธรรมชาติค่ะ

             

            ผมคิดว่าเสน่ห์ของผู้ชายก็คือสันกรามที่คม มี Jawline ที่ชัดเนี่ยแหละครับ ที่ทำให้ผู้ชายแบบเราดูดี ซึ่งผมเองก็อยากดูดี ดูมั่นใจเช่นกัน แต่จะให้ไปผ่าตัดก็คงเสี่ยงเกินไป และไม่รู้ผลลัพธ์จะออกมาตามที่เราต้องการหรือเปล่า ผมเลยมองหาวิธีอื่นที่ทำให้ใบหน้าของผมดูคมชัดขึ้นแบบไม่เสี่ยง และด้วยเทคโนโลยีทางความงามที่ทันสมัย มีให้เลือกหลากหลายมากขึ้นจนเลือกไม่ถูก ผมก็เลยต้องมีผู้ช่วยดูแลเรื่องผิว ซึ่งรมย์รวินท์คลินิกเนี่ยแหละครับคือคำตอบของการดูแลผิวของผมครับ เพราะผมได้ยินชื่อเสียงของรมย์รวินท์คลินิกมานาน เพราะที่นี่เขามีชื่อเสียงมากกว่า 22 ปีแล้วนะคับ และยังมีสาขาทั่วประเทศถึง 28 สาขา ไปที่ไหนก็เจอ เข้าถึงได้ง่ายเลย และคุณหมอที่นี่ก็ให้การดูแลที่ดี และเป็นผู้มีประสบการณ์เฉพาะด้านด้วย ยิ่งทำให้ผมเชื่อสนิทใจที่จะฝากผิวหน้าไว้กับรมย์รวินท์คลินิกนี่เลยครับ 

             

            Radiesse Plus+ Lift & Contour
            ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

             

            ตอนนี้ผมมีปัญหาเรื่องความหย่อนคล้อยของผิว กรอบหน้าไม่คม มี Jawline ไม่ชัดเจน และด้วยตอนนี้อายุที่เข้าเลข 3 ม้ันฟื้นฟูไม่ได้เองตามธรรมชาติ วันนี้ผมจึงเข้าปรึกษากับคุณหมอออย พญ.อรุณี ทองอัครนิโรจน์ : ว.40692 ช่วยจัดการเรื่องความหย่อนคล้อย และอยากเติมความคมชัด ปรับกรอบหน้าให้มี Jawline ที่ชัดเจน คมเข้มมากกว่านี้ แต่ต้องดูเป็นธรรมชาติด้วยครับ ก่อนเริ่มลงมือทำ คุณหมอออยจะใช้ Lifting Select ซึ่งเป็นเทคนิคเฉพาะของรมย์รวินท์คลินิกในการวิเคราะห์ใบหน้าของผมผ่าน 3 เฟรมเวิร์ก ซึ่งได้แก่

             

            Radiesse Plus+ Lift & Contour
            ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

             

            • Frame Selection เทคนิคการแก้ไขและปรับโครงหน้าและชั้นผิวให้กลับมาดูดี ดูอ่อนเยาว์
            • Light & Shadow Me เทคนิคการสร้างแสงเงาให้กับใบหน้า โดยการเพิ่มจุดเด่นและลดจุดด้อย ให้ใบหน้ามีมิติ
            • Conceal Selection เทคนิคการปรับรายละเอียดผิวให้มีความเนียนเรียบ เผยผิวได้อย่างมั่นใจ ไม่ต้องปกปิด

             

            หลังจากวิเคราะห์ผิวเรียบร้อยแล้ว คุณหมอออยเลือก โปรแกรม Radiesse Plus+ Lift & Contour ที่มีสารประกอบหลักคือ Calcium Hydroxylapatite หรือ CaHA ซึ่งเป็นสารประกอบที่มีอยู่ในร่างกายของเราอยู่แล้ว จึงทำให้ไม่อันตราย ไม่ส่งผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ไม่ก่อให้เกิดปฏิกิริยาต่อต้านจากระบบภูมิคุ้มกัน ไม่ทำให้ผิวเกิดอาการบวมหรืออักเสบ แต่จะช่วยการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ไทป์ 1, 3 และกระตุ้นอิลาสตินใต้ชั้นผิว ทำให้ผิวมีความเนียนเรียบ อ่อนเยาว์ และช่วยฟื้นฟูโครงสร้างของใบหน้า ปรับกรอบหน้าให้ยกกระชับ เสริม Jawline ให้คมพุ่ง ดูมีมิติมากขึ้น 

             

            โปรแกรม Radiesse Plus+ Lift & Contour คุณบอส จักรพันธ์

             

            • Lifting ยกกระชับ ปรับโครงหน้า สร้างกรอบหน้าให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ให้ใบหน้าดูมีมิติ โดยเฉพาะบริเวณกราม คาง โหนกแก้มให้ดูคมชัดมากขึ้น และยังกระตุ้นคอลลาเจนให้ผิวเรียบเนียน แน่นเฟิร์ม ยกกระชับมากขึ้น
            • Contour สร้างกรอบหน้าให้พุ่ง คม มีมิติ ด้วยการสร้างเส้น Z line Lft & Contour ลากตัดขอบที่ Cheek bone  Jawline ด้วยสารเติมเต็มที่มาจากธรรมชาติ ช่วยเสริมให้ใบหน้าดูเรียวเล็ก ปรับโครงสร้างหน้าให้คมชัดมากยิ่งขึ้น
            • Sustain Result กระตุ้นการสร้างโครงหน้า และยกกระชับผิวให้ตึงกระชับด้วยกระบวนการธรรมชาติจาก CaHA ทำให้ผิวมีความแข็งแรงมากยิ่งขึ้น มอบความอิ่มฟูให้ผิว เติมร่องลึกตื้นขึ้น ดูอ่อนเยาว์ขึ้น ให้ผลลัพธ์ยาวนานถึง 2 ปี 

             

            Radiesse Plus+ Lift & Contour
            ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

             

            โปรแกรม Radiesse Plus+ Lift & Contour ยังมีสารประกอบของ Lidocaine ซึ่งทำหน้าที่เป็นยาชาช่วยลดความเจ็บปวดขณะทำการฉีด โปรแกรม Radiesse Plus+ Lift & Contour ยังได้รับการรับรองมาตรฐานจาก FDA อเมริกา ยุโรป และไทย ทำให้ได้ผลลัพธ์ความดูดี สร้างกรอบหน้าให้คมชัด ผิวดูอ่อนเยาว์ได้และไม่อันตราย

            หลังจากที่ผมทำ โปรแกรม Radiesse Plus+ Lift & Contour หน้าของผมตอนนี้มี Jawline ชัดมาก กรอบหน้าดูคม พุ่งมากๆ เลยครับ ส่วนที่หย่อนคล้อยก็ยกกระชับ หน้าเรียว ได้สัดส่วน จะมองมุมไหนก็ดูมีมิติมากครับ ตอนนี้ผมพอใจกับผลลัพธ์ที่ได้มากครับ เพราะมันสัมผัสได้จากใบหน้าของผมเองเลย และคุณหมอออยก็ให้คำแนะนำ และช่วยแก้ไขได้ตรงจุดมาก แค่เรารีเควสต์ว่าอยากเพิ่มตรงจุดไหน คุณหมอออยก็ทำให้ผมได้ตรงจุดเลยครับ ขอบอกเลยว่ามาทำ โปรแกรม Radiesse Plus+ Lift & Contour ที่รมย์รวินท์คลินิกไม่มีผิดหวังเลยครับ สำหรับใครที่หน้าไม่คมชัด ต้องการปรับกรอบหน้าให้มีมิติ สร้าง Jawline ให้กับใบหน้าต้องมาทำ โปรแกรม Radiesse Plus+ Lift & Contour ที่รมย์รวินท์คลินิกครับ 

             

            Radiesse Plus+ Lift & Contour
            ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

             

            โปรแกรม Radiesse Plus+ Lift & Contour ดีอย่างไร

            • โปรแกรม Radiesse Plus+ Lift & Contour ช่วยปรับกรอบหน้า โครงหน้าให้ดูมีมิติ
            • โปรแกรม Radiesse Plus+ Lift & Contour ช่วยปรับ Jawline ให้คม ชัด พุ่ง มากขึ้น
            • โปรแกรม Radiesse Plus+ Lift & Contour ช่วยยกผิวที่หย่อนคล้อยให้เฟิร์ม กระชับ
            • โปรแกรม Radiesse Plus+ Lift & Contour ลดเลือนริ้วรอยร่องลึกได้อย่างเป็นธรรมชาติ 
            • โปรแกรม Radiesse Plus+ Lift & Contour ให้ผลลัพธ์ยาวนานถึง 24 เดือน  

             

            มีปัญหาผิวหน้าหย่อยคล้อย ต้องการฟื้นฟูโครงหน้า ปรับกรอบหน้า เสริม Jawline ให้คม ชัด พุ่ง มีมิติ เชิญมาปรึกษากับคุณหมอที่รมย์รวินท์คลินิกได้ทั้ง 28 สาขาทั่วประเทศ ใกล้ที่ไหนไปที่นั่นนะคะ 

            โปรแกรม Shining Bright บูสต์ผิวใส ออร่าจับทุกมุมมอง

            Shining Bright บูสต์ผิวใส

            โปรแกรม Shining Bright บูสต์ผิวใส ออร่าจับทุกมุมมอง

             

            ผิวสวยหน้าใสใครๆ ก็อยากมีวันนี้คุณเคโระ ขอมาปรับผิวให้สว่างใส ไบรท์ยิ่งขึ้นไปอีกแบบเด็ก Gen Z ด้วยเลเซอร์หน้าใสที่รมย์รวินท์คลินิกซักหน่อยค่า 

             

            วันนี้ขอมาฟื้นฟูผิวให้ใสแบบเด็ก GEN Z หน่อยค่ะ เพราะช่วงนี้พักผ่อนค่อนข้างน้อยขาดการดูแลอย่างหนักจนผิวหน้าแห้งกร้าน มีแต่ร่องรอย และเริ่มมีริ้วรอยเล็กๆ แล้วด้วยเลยขอมาให้คุณหมอที่รมย์รวินท์คลินิกช่วยดูแลค่ะ และที่เคโระไว้ใจให้รมย์รวินท์คลินิกช่วยดูแลเพราะเพื่อนๆ และคนรอบข้างเลยค่ะแนะนำมา แต่ก่อนเคโระก็ไม่สนใจในการดูแลผิว แต่พอเห็นเพื่อนๆ ไปทำแล้วหน้าใสขึ้นมากก็เลยมาลองทำดูบ้าง ผลลัพธ์คือจึ้งมาก และบวกกับคุณหมอให้คำปรึกษาดีมากๆ เลยเคโระก็เลยไม่เปลี่ยนใจไปทำที่ไหนแล้ว นอกจากรมย์รวินท์คลินิกค่ะ 

             

            Shining Bright บูสต์ผิวใส
            ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

             

            วันนี้เคโระมาดูแลผิวให้หน้าใสปิ๊งกับคุณหมอบีบี พญ.ช่ออัญชัญ ปัญญาเอกะวิทู : ว.49909 ค่ะ คุณหมอประเมินปัญหาผิวของเคโระและแนะนำโปรแกรม SHINING BRIGHT ให้ค่ะ คุณหมอบอกเลเซอร์ตัวนี้จะช่วยฟื้นฟูผิวหน้าได้อย่างเร่งด่วน มีปัญหาเรื่องรอยดำ รอยแดงจากสิว ผิวไม่เรียบเนียน หรือมีปัญหาฝ้า กระจุดด่างดำ ความหมองคล้ำของใบหน้าโปรแกรม SHINING BRIGHT จัดการได้หมดค่ะ ทำเสร็จแล้วหน้าใสแน่นอน เพราะ โปรแกรม SHINING BRIGHT ดูแลผิวได้อย่างครบวงจรด้วย 3 พลัง

             

            • Bright Boost ช่วยปรับสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอให้มีความกระจ่างใสมากขึ้น เพิ่มออร่าให้ผิว บอกลาความหมองคล้ำ ให้หน้าใสปิ๊ง
            • Dark Spot Reduce จัดการกับเม็ดสีที่มีความผิดปกติใต้ชั้นผิวหน้า ซึ่งเป็นต้นเหตุของการเกิดฝ้า กระ จุดด่างดำ ให้จางลง ผิวเรียบเนียนยิ่งขึ้น
            • Skin Rejuvenation ฟื้นฟูผิวให้มีความแข็งแรงมากขึ้น กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ให้ผิวมีความเรียบเนียน ดูอ่อนเยาว์

             

            Shining Bright บูสต์ผิวใส
            ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

             

            หลังจากที่เคโระทำโปรแกรม SHINING BRIGHT แล้ว รู้สึกสบายผิวหน้ามากเลยค่ะ นอนทำแบบชิลๆมาก เพราะเลเซอร์มีความอุ่นๆ ไม่ทำให้รู้สึกแสบร้อนที่ผิวเลย นอนทำไปทำมาจนเผลอหลับไปเลยค่ะ (หัวเราะ) พอทำเสร็จก็เห็นได้ถึงความเปลี่ยนแปลงเลยว่าหน้าใสไบรท์มากกว่าก่อนทำ แถมรูขุมขนก็กระชับขึ้น ผิวเรียบเนียนขึ้นมากค่ะ จุดด่างดำที่เคยมีบนหน้าก็จางลงไปด้วย หน้าใสแบบเด็ก GEN Z ไม่ต้องคอยปกปิดแล้วค่ะ เพราะเคโระมีโปรแกรม SHINING BRIGHT ที่รมย์รวินท์คลินิกช่วยกู้ผิวให้หน้าใสค่ะ ใครที่มีปัญหาผิวแบบเคโระแนะนำให้มาลองทำเลยค่ะ ใช้เวลาแค่ 30 นาที แต่ผลลัพธ์ที่ได้คือให้เต็ม 10 เลยค่ะ 

             

            โปรแกรม Shining Bright บูสต์ผิวใส คืออะไร? 

             

            โปรแกรม SHINING BRIGHT เป็นเทคโนโลยีเลเซอร์ที่มีการพัฒนามาอีกระดับของ FEM Technology ที่ช่วยเพิ่มและกระจายพลังงานลงสู่ชั้นผิวได้มากกว่า FEM แบบเดิมถึง 5 เท่า ซึ่งโปรแกรม SHINING BRIGHT ใช้เทคโนโลยีคลื่นแสงที่ช่วยลดปริมาณสาร VEGF ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นที่ทำให้เกิดเม็ดสีส่วนเกิน ซึ่งโปรแกรม SHINING BRIGHT จะไปตัดวงจรการสร้างเม็ดสี ลดเลือนรอยดำ รอยแดง เส้นเลือดฝอย และความไม่สม่ำเสมอของสีผิว และโปรแกรม SHINING BRIGHT ยังช่วยเรื่องการกระตุ้นกระบวนการสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ให้ผิวเรียบเนียน รูขุมขนกระชับ เพิ่มความกระจ่างใสให้แก่ผิว หน้าใสได้อย่างเป็นธรรมชาติและมีประสิทธิภาพ 

             

            Shining Bright บูสต์ผิวใส
            ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

             

            โปรแกรม Shining Bright บูสต์ผิวใส ช่วยเรื่องอะไรบ้าง

            • โปรแกรม SHINING BRIGHT ช่วยฟื้นฟูผิวให้มีความแข็งแรงมากขึ้น
            • โปรแกรม SHINING BRIGHT ช่วยกระตุ้นกระบวนการสร้างคอลลาเจนใหม่ 
            • โปรแกรม SHINING BRIGHT ช่วยผลัดเซลล์ผิวใหม่ให้ผิวสดใส เรียบเนียน
            • โปรแกรม SHINING BRIGHT ช่วยกำจัดเม็ดสีที่มีความผิดปกติ
            • โปรแกรม SHINING BRIGHT ช่วยลดเลือนรอยดำ รอยแดงจากสิว และเส้นเลือดฝอยบนใบหน้า
            • โปรแกรม SHINING BRIGHT ช่วยปรับสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอให้กระจ่างใส
            • โปรแกรม SHINING BRIGHT ช่วยลดเลือนและลดโอกาสการเกิดฝ้า กระ จุดด่างดำ
            • โปรแกรม SHINING BRIGHT ช่วยกระชับรูขุมขน ให้ผิวเรียบเนียน 
            • โปรแกรม SHINING BRIGHT ช่วยลดเลือนความหมองคล้ำบนใบหน้า ให้หน้าใสไบรท์

             

            ทำไมต้องทำโปรแกรม Shining Bright บูสต์ผิวใส

            • โปรแกรม SHINING BRIGHT ช่วยฟื้นฟูผิวให้แข็งแรงได้อย่างรวดเร็ว และเห็นผลลัพธ์ได้ชัดเจน
            • โปรแกรม SHINING BRIGHT ไม่อันตราย มีผลข้างเคียงน้อย ไม่ทำให้ผิวไหม้เบิร์น
            • โปรแกรม SHINING BRIGHT ช่วยฟื้นฟูผิวได้ทุกสภาพผิว ไม่ว่าจะผิวแห้ง ผิวมัน หรือผิวผสม
            • โปรแกรม SHINING BRIGHT เป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัยได้รับการรับรองจากองค์กรการแพทย์
            • โปรแกรม SHINING BRIGHT ทำแล้วสามารถใช้หน้าต่อได้ทันที ไม่ต้องพักฟื้น ไม่ทิ้งบาดแผล
            • โปรแกรม SHINING BRIGHT ทำแล้วไม่ต้องคอยหลบเลี่ยงแสงแดด

             

            ใครเหมาะกับโปรแกรม Shining Bright บูสต์ผิวใส

            • โปรแกรม SHINING BRIGHT เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวไม่เนียนเรียบ รูขุมขนกว้าง
            • โปรแกรม SHINING BRIGHT เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาฝ้า กระ จุดด่างดำ
            • โปรแกรม SHINING BRIGHT เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหารอยสิว เส้นเลือดฝอยบนใบหน้า
            • โปรแกรม SHINING BRIGHT เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหมองคล้ำ สีผิวไม่สม่ำเสมอ
            • โปรแกรม SHINING BRIGHT เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวอย่างเร่งด่วน 
            • โปรแกรม SHINING BRIGHT เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการให้หน้าใส ไบรท์ 

             

            ผิวสวย หน้าใส สุขภาพดี ไม่ใช่แค่ความฝัน สัมผัสประสบการณ์ผิวกระจ่างใส ไร้ที่ติ ด้วยโปรแกรม SHINING BRIGHT เลเซอร์สุดอ่อนโยน ที่ช่วยให้ผิวหน้าใส เรียบเนียน กระชับรูขุมขน ได้ที่รมย์รวินท์คลินิกทั้ง 28 สาขาทั่วประเทศ ใกล้ที่ไหนไปที่นั่นนะคะ

            โปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิวยอดนิยมที่จัดการหลุมสิวได้ทุกประเภท

            Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิวยอดนิยมที่จัดการหลุมสิวได้ทุกประเภท

            ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




              วันที่สะดวกในการติดต่อ








              โปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิวยอดนิยมที่จัดการหลุมสิวได้ทุกประเภท

              หากคุณกำลังเผชิญกับปัญหารอยหลุมสิว ผิวไม่เรียบเนียนโปรแกรม Nu Pico MLA อาจเป็นตัวช่วยที่คุณกำลังมองหา .. ด้วยเทคโนโลยีเลเซอร์ระดับสูงที่ช่วยให้หลุมสิวดูตื้นขึ้นและสามารถแก้ไขปัญหาผิวได้หลากหลาย วันนี้รมย์รวินท์จะพาทุกคนไปรู้จักกับโปรแกรม Nu Pico MLA  ว่าทำงานอย่างไร ? ช่วยแก้ปัญหาผิวแบบไหนได้บ้าง ? ทำไมถึงเป็นตัวเลือกยอดนิยมในการลดหลุมสิว

               

              Nu MLA  Pico เลเซอร์หลุมสิว คืออะไร ?

              โปรแกรม Nu Pico MLA เป็นเทคโนโลยีเลเซอร์หลุมสิว ที่ใช้การทำงานร่วมกันระหว่างสองเทคดนโลยี ได้แก่  PicoSecond Laser และ MLA (Micro Lens Array) ในการแก้ไขปัญหาผิวที่หลากหลายด้วยความแม่นยำสูง ไม่กระทบกับผิวหนังโดยรอบ ทำให้โปรแกรม Nu Pico MLA สามารถแก้ไขปัญหาผิวได้อย่างล้ำลึก ไม่ต้องการพักฟื้นเป็นเวลานานเท่าเลเซอร์แบบอื่น และยังสามารถช่วยให้ผิวกระจ่างใส เรียบเนียนได้อย่างเป็นธรรมชาติอีกด้วย

               

              หลักการทำงานของโปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิว
              หลักการทำงานของโปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิว

              หลักการทำงานของโปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิว

              หลักการทำงานของ Pico Laser ในโปรแกรม Nu Pico MLA ในการแก้ไขปัญหาหลุมสิวและปัญหาผิว สามารถอธิบายได้ ดังนี้

               

              เทคโนโลยี Pico Laserในโปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิว 

              โปรแกรม Nu Pico MLA เป็นเทคโนโลยีเลเซอร์หลุมสิวที่ใช้ Pico Laser ที่สามารถปล่อยพลังงานระดับพิโควินาที Picosecond (1 ในล้านล้านวินาที) ซึ่งแตกต่างจากเลเซอร์ทั่วไป เพื่อรักษาหลุมสิวและปัญหาผิวต่าง ๆ ซึ่งคุณสมบัติของ Pico Laser ได้แก่

              • โปรแกรม Nu Pico MLA ปล่อยพลังงานเลเซอร์ในระยะสั้น
              • โปรแกรม Nu Pico MLA ลดการสะสมความร้อนบนผิวหนัง
              • โปรแกรม Nu Pico MLA กระตุ้นกระบวนการฟื้นฟูผิว ช่วยให้ร่างกายผลิตคอลลาเจนใหม่

              ทำให้โปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิวสามารถส่งพลังงานเลเซอร์ที่มีความแม่นยำสูง เข้าไปกระตุ้นเซลล์ผิวในชั้นหนังแท้ได้โดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อรอบข้าง ทำให้เกิดการสร้างคอลลาเจนใหม่ที่ช่วยเติมเต็มร่องลึกของหลุมสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

               

              Micro Lens Array (MLA) ในโปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิว

              เทคโนโลยี Micro Lens Array (MLA)  ในโปรแกรม Nu Pico MLA เป็นระบบเลนส์ขนาดเล็กที่ช่วยกระจายพลังงานเลเซอร์ให้มีความหนาแน่นสูงขึ้น ซึ่งเทคโนโลยี Micro Lens Array (MLA) มีคุณสมบัติ ดังนี้

              • Micro Lens Array (MLA)  ในโปรแกรม Nu Pico MLA กระจายพลังงานได้ลึกขึ้นและสม่ำเสมอ
              • Micro Lens Array (MLA)  ในโปรแกรม Nu Pico MLA กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินอย่างรวดเร็ว
              • Micro Lens Array (MLA)  ในโปรแกรม Nu Pico MLA ลดระยะเวลาพักฟื้น เนื่องจากไม่ทำลายชั้นผิว

              ทำให้เทคโนโลยี Micro Lens Array (MLA)  ในโปรแกรม Nu Pico MLA สามารถช่วยกระตุ้นกระบวนการฟื้นฟูผิวโดยไม่ทำลายผิวชั้นบน ลดระยะเวลาการพักฟื้น และช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ใต้ชั้นผิว ทำให้ผิวเรียบเนียนและหลุมสิวตื้นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

               

              โปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิว ช่วยแก้ปัญหาผิวอะไรได้บ้าง ?
              โปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิว ช่วยแก้ปัญหาผิวอะไรได้บ้าง ?

               

              โปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิว ช่วยแก้ปัญหาผิวอะไรได้บ้าง 

              โปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิวเป็นเทคโนโลยีเลเซอร์ที่ใช้พลังงานเลเซอร์ที่มีความแม่นยำสูง ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และฟื้นฟูสภาพผิวอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้โปรแกรม Nu Pico MLA เป็นเลเซอร์หลุมสิวที่ถูกพัฒนาขึ้นให้สามารถแก้ไขปัญหาหลุมสิวได้อย่างล้ำลึกและยังสามารถแก้ไขปัญหาผิวได้อย่างหลากหลาย ดังนี้

              • โปรแกรม Nu Pico MLA ช่วยฟื้นฟูและรักษาหลุมสิวได้ทุกประเภท ทั้งแบบลึกและแบบตื้น
              • โปรแกรม Nu Pico MLA ช่วยลดรอยดำรอยแดงจากสิวให้จางลงได้ จากการอักเสบของสิว ทำให้ผิวดูสม่ำเสมอขึ้น
              • โปรแกรม Nu Pico MLA ช่วยลดฝ้า กระ จุดด่างดำ
              • โปรแกรม Nu Pico MLA ช่วยให้ผิวเรียบเนียนและกระชับรูขุมขน ลดปัญหารูขุมขนกว้าง ทำให้ผิวเรียบเนียนมากยิ่งขึ้น
              • โปรแกรม Nu Pico MLA ช่วยลดริ้วรอยตื้น ๆ และฟื้นฟูความยืดหยุ่นของผิว
              • โปรแกรม Nu Pico MLA ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสติน ช่วยให้ผิวแข็งแรงขึ้นและมีความยืดหยุ่นมากขึ้น
              • โปรแกรม Nu Pico MLA ช่วยปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ ทำให้ผิวดูสว่างกระจ่างใสขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ

               

              โปรแกรม Nu Pico MLA เป็นเทคโนโลยีเลเซอร์หลุมสิวที่มีประสิทธิภาพสูง สามารถช่วยฟื้นฟูและแก้ไขปัญหาผิวได้อย่างหลากหลาย โดยไม่ต้องพักฟื้นเป็นเวลานาน ควรทำโปรแกรม Nu Pico MLA กับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี

               

              โปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิวรักษาหลุมสิวได้อย่างไร ?

              โปรแกรม Nu Pico MLA เป็นเทคโนโลยีที่ใช้พลังงานคลื่นแสงความถี่สูงที่มีความแม่นยำสูง สามารถลงลึกไปถึงชั้นผิวแท้ เพื่อกระตุ้นการฟื้นฟูจากภายใน โดยทำงานผ่านกระบวนการสร้างคอลลาเจนและปรับโครงสร้างผิวให้แข็งแรงขึ้น ทำให้สามารถลดความลึกของหลุมสิวได้ทุกประเภท Rolling Scar, Boxcar Scar และ Ice Pick Scar

               

              โดยหลักการทำงานของโปรแกรม Nu Pico MLA ในการรักษาหลุมสิว คือโปรแกรม Nu Pico MLA ช่วยทำให้หลุมสิวตื้นขึ้นจากการส่งพลังงานระดับ Picosecond เข้าสู่ผิวหนังไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินให้ผลิตเพิ่มมากขึ้น ทำให้เนื้อเยื่อใต้ผิวหนังถูกซ่อมแซมและสร้างใหม่ ส่งผลให้หลังการทำโปรแกรม Nu Pico MLA หลุมสิวจะตื้นขึ้น อีกทั้งพลังงานเลเซอร์ของโปรแกรม Nu Pico MLA ยังสามารถช่วยฟื้นฟูโครงสร้างผิว ทำให้ผิวกระชับและเรียบเนียนมากยิ่งขึ้นได้อีกด้วย

               

              จุดเด่นของโปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิว
              จุดเด่นของโปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิว

               

              จุดเด่นของโปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิว

              โปรแกรม Nu Pico MLA เป็นเลเซอร์สิวที่ถูกออกแบบมาให้แก้ปัญหาหลุมสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังถูกออกแบบมาให้ฟื้นฟูสภาพผิวโดยรอบให้เรียบเนียน ด้วยเทคโนโลยี Micro Lens Array (MLA) มีจุดเด่นที่สำคัญ ดังต่อไปนี้

               

              1.โปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิวมีเทคโนโลยี Micro Lens Array (MLA)

              โปรแกรม Nu Pico MLA เป็นเทคโนโลยีที่มี Micro Lens Array (MLA) ช่วยให้พลังงานเลเซอร์ถูกกระจายไปยังจุดที่ต้องการอย่างเฉพาะเจาะจง สม่ำเสมอ สามารถเข้าถึงบริเวณที่มีปัญหาได้ลึกขึ้น ทำให้สามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินและฟื้นฟูโครงสร้างผิวได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น อีกทั้งการมี Micro Lens Array (MLA) ในโปรแกรม Nu Pico MLA ยังช่วยลดความเสี่ยงของรอยดำหรือแผลเป็นจากเลเซอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

              2.โปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิวมีพลังงานสูง จึงช่วยลดระยะเวลาในการรักษาได้

              โปรแกรม Nu Pico MLA ใช้พลังงานเลเซอร์ที่มีความเร็วระดับ Picosecond ทำให้สามารถส่งพลังงานเข้าสู่ผิวและกระตุ้นกระบวนการฟื้นฟูได้รวดเร็ว และช่วยลดรอยดำหลังเลเซอร์ได้ดีกว่าเลเซอร์ทั่วไป

              3.โปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิวเหมาะกับทุกสภาพผิว

              โปรแกรม Nu Pico MLA สามารถใช้รักษาหลุมสิวได้ทุกประเภท เหมาะกับทุกสภาพผิว แม้สำหรับผิวบอบบางและแพ้ง่าย ลดความเสี่ยงจากผลข้างเคียงได้ เนื่องจากมีเทคโนโลยีที่ช่วยควบคุมพลังงานให้เหมาะสมกับสภาพผิว

              4.โปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิวแก้ไขปัญหาผิวได้หลากหลาย

              โปรแกรม Nu Pico MLA เป็นเลเซอร์หลุมสิวที่สามารถแก้ไขปัญหาผิวได้อย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นช่วยกระชับรูขุมขน, ลดริ้วรอยเล็ก ๆ และรอยแผลเป็นจากสิว ปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ

               

              โปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิว เหมาะกับใคร 

              โปรแกรม Nu Pico MLA เป็นเลเซอร์หลุมสิวที่สามารถแก้ไขปัญหาผิวได้อย่างหลากหลาย และถูกออกแบบมาให้มีความแม่นยำสูง ทำให้โปรแกรม Nu Pico MLA เหมาะกับผู้ที่ต้องการแก้ไขปัญหาผิวในหลาย ๆ ด้าน โดยโปรแกรม Nu Pico MLA เหมาะสำหรับผู้มีปัญหาผิวดังต่อไปนี้

              • โปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิวเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาหลุมสิวทุกประเภท
              • โปรแกรม Nu Pico MLAเลเซอร์หลุมสิวเหมาะสำหรับผู้ที่มีรอยดำและรอยแดงจากสิว
              • โปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิวเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหารูขุมขนกว้าง และต้องการให้ผิวเรียบเนียนขึ้น
              • โปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิวเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวและลดริ้วรอยเล็ก ๆ
              • โปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิวเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาสีผิวไม่สม่ำเสมอ เช่น ฝ้า กระ หรือจุดด่างดำจากแสงแดด
              • โปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิวเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวโดยไม่ต้องพักฟื้นนาน

              โปรแกรม Nu Pico MLA เป็นเทคโนโลยีเลเซอร์หลุมสิว ที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวให้เรียบเนียน ลดหลุมสิว และแก้ไขปัญหาผิวอื่น ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก่อนการทำ Nu Pico MLA ควรเข้ารับการปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อประเมินสภาพผิวและเลือกแนวทางการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล

               

              โปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิว ไม่เหมาะกับใคร

              แม้ว่าโปรแกรม Nu Pico MLA จะเป็นเลเซอร์ที่มีประสิทธิภาพสูงในการรักษาหลุมสิวและฟื้นฟูผิว แต่ก็มีบางผู้คนที่อาจไม่เหมาะสมกับการทำโปรแกรม Nu Pico MLA หรือควรปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับการรักษา โดยผู้ที่ไม่เหมาะกับการทำโปรแกรม Nu Pico MLA ได้แก่

              • โปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิวไม่เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวหนังอักเสบหรือเป็นแผลเปิด
              • โปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิวไม่เหมาะกับผู้ที่เป็นสิวอักเสบขั้นรุนแรง
              • โปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิวไม่เหมาะกับผู้ที่หญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
              • โปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิวไม่เหมาะกับผู้ที่ผิวแพ้ง่ายหรือไวต่อแสง
              • โปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิวไม่เหมาะกับผู้ที่มีประวัติโรคผิวหนังที่เกิดจากเม็ดสีผิดปกติ
              • โปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิวไม่เหมาะกับผู้ที่ใช้ยาบางชนิดที่มีผลต่อผิวหนัง 

               

              แม้ว่าโปรแกรม Nu Pico MLA จะเป็นเลเซอร์ที่มีประสิทธิภาพ แต่อาจจะไม่เหมาะกับบางบุคคล ดังนั้นก่อนตัดสินใจทำโปรแกรม Nu Pico MLA ควรได้รับคำปรึกษาจากแพทย์ก่อนเสมอ เพื่อให้มั่นใจว่าการทำโปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิวจะให้ผลลัพธ์ที่ดี

               

              การเตรียมตัวก่อนทำโปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิว

              การเตรียมตัวก่อนการทำโปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิวเป็นสิ่งสำคัญ ที่จะช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพและช่วยลดความเสี่ยงของผลข้างเคียงที่อาจเกิดหลังการทำได้ ซึ่งการเตรียมตัวก่อนการทำโปรแกรม Nu Pico MLA มีดังนี้

              • ก่อนการทำโปรแกรม Nu Pico MLA ควรงดใช้สกินแคร์ที่มีสารผลัดเซลล์ผิวอย่างน้อย 3-5 วัน ก่อนทำเลเซอร์
              • ก่อนการทำโปรแกรม Nu Pico MLA ควรหลีกเลี่ยงการโดนแดดจัด อย่างน้อย 1 สัปดาห์ก่อนทำโปรแกรม Nu Pico MLA
              • ก่อนการทำโปรแกรม Nu Pico MLA ควรงดทำหัตถการที่ระคายเคืองผิว ในช่วงหนึ่งสัปดาห์ก่อนทำโปรแกรม Nu Pico MLA
              • ก่อนการทำโปรแกรม Nu Pico MLA ควรแจ้งแพทย์หากมีโรคประจำตัวหรือแพ้ยา เพื่อให้แพทย์ทราบและวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคลได้
              • ก่อนการทำโปรแกรม Nu Pico MLA ควรงดแอลกอฮอล์และบุหรี่ ซึ่งการงดก่อนทำโปรแกรมควรทำอย่างน้อย 24-48 ชั่วโมง

               

              การเตรียมตัวก่อนทำโปรแกรม Nu Pico MLA อย่างถูกต้อง จะช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงของผลข้างเคียง และช่วยให้ผิวฟื้นตัวเร็วขึ้น

              ระยะเวลาและผลลัพธ์ หลังการทำโปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิว

              โปรแกรม Nu Pico MLA ในการรักษาหลุมสิว จะมีระยะเวลาของผลลัพธ์อาจแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคลและการดูแลตัวเองหลังทำโปรแกรม Nu Pico MLA ซึ่งการทำโปรแกรม Nu Pico MLA จะให้ผลลัพธ์ ดังนี้

              • ช่วง 1-3 วันแรกหลังการทำโปรแกรม Nu Pico MLA

              หลังการทำโปรแกรม Nu Pico MLA 1-3 วันแรก อาจมีรอยแดงหรืออาการบวมเล็กน้อย จะลดลงภายใน 24-48 ชั่วโมง ซึ่งเป็นหนึ่งในกระบวนการของการเริ่มกระบวนการฟื้นฟูตัวเอง

              • สัปดาห์ที่ 1-2 หลังการทำโปรแกรม Nu Pico MLA

              หลังจากการเลเซอร์หลุมสิวด้วยโปรแกรม Nu Pico MLA ได้ประมาณ 7 วัน ผิวอาจเริ่มมีการผลัดเซลล์ออก ทำให้เกิดสะเก็ดเล็ก ๆ ที่หลุดออกได้ หากเกิดอาการเหล่านี้ไม่ต้องตกใจไป  เนื่องจากเป็นกระบวนการผลัดเซลล์ผิวเก่าในร่างกาย และเริ่มการสร้างเซลล์ผิวใหม่มาแทนที่

              • สัปดาห์ที่ 3-4 หลังการทำโปรแกรม Nu Pico MLA

              หลังการทำโปรแกรม Nu Pico MLA 3-4 สัปดาห์ ผิวจะเริ่มเรียบเนียนมากยิ่งขึ้น หลุมสิวจะเริ่มตื้นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งรอยดำและรอยแดงจากสิวจะลดลง ผิวโดยรวมดูเรียบเนียน กระจ่างใสมากยิ่งขึ้น

              • หลัง 1-3 เดือนหลังการทำโปรแกรม Nu Pico MLA

              หลังการทำโปรแกรม Nu Pico MLA 4-12 สัปดาห์จะเริ่มเห็นผลลัพธ์ในการฟื้นฟูผิวที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งจะเห็นได้ว่าหลุมสิวมีความตื้นขึ้น ผิวจะเริ่มสม่ำเสมอมากยิ่งขึ้น และหลังจากนี้คอลลาเจนใต้ผิวก็จะถูกกระตุ้นต่อไปเรื่อย ๆ ทำปัญหาผิวลดลงและให้สุขภาพผิวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง

               

              การปฎิบัติตัวหลังการทำโปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิว
              การปฎิบัติตัวหลังการทำโปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิว

               

              การปฎิบัติตัวหลังการทำโปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิว

              หลังจากเข้ารับการทำ Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิว ผิวจะต้องการการดูแลเป็นพิเศษเพื่อให้การฟื้นตัวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และลดโอกาสเกิดผลข้างเคียง 

              โดยการปฎิบัติตัวหลังการทำโปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิว มีดังนี้

              1. หลังการทำโปรแกรม Nu Pico MLA ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดโดยตรง อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ หากจำเป็นต้องออกแดด ควรใช้ครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอและทาซ้ำทุก 2-3 ชั่วโมง 
              2. หลังการทำโปรแกรม Nu Pico MLA ควรหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารระคายเคือง อย่างน้อย 5-7 วันก่อนการทำโปรแกรม Nu Pico MLA
              3. หลังการทำโปรแกรม Nu Pico MLA ควรให้ความชุ่มชื้นกับผิวให้เพียงพอ ซึ่งสามารถทำได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการดื่มน้ำให้มากขึ้นและการทามอยส์เจอไรเซอร์
              4. หลังการทำโปรแกรม Nu Pico MLA ควรหลีกเลี่ยงการขัดผิวและการสัมผัสผิวบ่อย ๆ เป็นเวลาอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์
              5. หลังการทำโปรแกรม Nu Pico MLA ควรงดแต่งหน้าและใช้ผลิตภัณฑ์อุดตันรูขุมขน หลังการทำโปรแกรมอย่างน้อย 24 ชั่วโมง ควรงดแต่งหน้าที่อาจทำให้อุดตันรูขุมขน
              6. หลังการทำโปรแกรม Nu Pico MLA ควรสังเกตอาการผิดปกติและปรึกษาแพทย์หากจำเป็น หากมีอาการบวมแดงผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อให้ได้รับคำแนะนำที่เหมาะสม

              การดูแลผิวหลังทำโปรแกรม Nu Pico MLA เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ผลลัพธ์ของการรักษาดีขึ้น และลดความเสี่ยงของผลข้างเคียงที่อาจเกิดในอนาคตได้ 

               

              ผิวบอบบาง แพ้ง่ายสามารถทำโปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิว ได้หรือไม่ ?

              แม้โปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิวเป็นเทคโนโลยีที่มีความแม่นยำสูงและอ่อนโยนต่อผิว แต่สำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย การทำโปรแกรม Nu Pico MLA อาจต้องพิจารณาปัจจัยหลายอย่างก่อนเข้ารับการรักษา เนื่องจากผู้ที่มีสภาพผิวบอบบาง อาจมีความเสี่ยงต่อการระคายเคือง หรือมีโอกาสเกิดผลข้างเคียงมากกว่าผิวประเภทอื่น ๆ การทำโปรแกรม Nu Pico MLA ในผู้ที่มีผิวบอบบาง แพ้ง่าย จึงจำเป็นต้องอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ เพื่อให้มีการปรับค่าพลังงานและการวางแผนการรักษาให้เหมาะกับสภาพผิวของแต่ละบุคคล 

              หลุมสิว คืออะไร ? 

              หลุมสิวเป็นปัญหาผิวที่เกิดจากกระบวนการอักเสบของสิว ส่งผลให้เนื้อเยื่อผิวหนังถูกทำลาย และเกิดการฟื้นฟูที่ผิดปกติ ทำให้เกิดรอยแผลเป็นลึกและผิวไม่เรียบเนียนได้ ซึ่งปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดหลุมสิว มีดังนี้

              • สิวอักเสบรุนแรง
              • พฤติกรรมการกดหรือบีบสิว
              • การติดเชื้อของแบคทีเรีย
              • ร่างกายสร้างคอลลาเจนไม่เพียงพอในระหว่างการรักษาสิว ทำให้เกิดรอยหลุม
              • พันธุกรรมและสภาพผิว
              • การละเลยการดูแลผิวที่ไม่เหมาะสม อาจทำให้สิวลุกลามจนเกิดเป็นหลุมสิวได้

               

              ทำไมควรรักษาหลุมสิว

              หลุมสิวเป็นปัญหาผิวที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะผู้ที่เคยมีสิวอักเสบหรือสิวอุดตันรุนแรง หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม อาจทำให้ผิวหน้าดูไม่เรียบเนียนได้ ซึ่งเหตุผลที่ควรรักษาหลุมสิว มีดังนี้ 

              • การรักษาหลุมสิวช่วยให้ผิวเรียบเนียน สม่ำเสมอ
              • การรักษาหลุมสิวช่วยลดเลือนรอยแผลเป็น
              • การรักษาหลุมสิวช่วยให้เครื่องสำอางเกาะติด แต่งหน้าง่ายขึ้น
              • การรักษาหลุมสิวช่วยป้องกันปัญหาผิวในอนาคต
              • การรักษาหลุมสิวช่วยเพิ่มความมั่นใจในการใช้ชีวิตประจำวัน

              การเลือกวิธีรักษาหลุมสิวควรได้รับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เหมาะสมและเหมาะสมต่อสภาพผิวของแต่ละบุคคล

               

              โปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิวไม่อันตรายแบบที่คิด
              โปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิวไม่อันตรายแบบที่คิด

               

              โปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิวไม่อันตรายแบบที่คิด

               

              โปรแกรม Nu Pico MLA เป็นเทคโนโลยีเลเซอร์หลุมสิวที่ได้รับการรับรองมาตรฐานจากองค์การอาหารและยา ซึ่งสามารถช่วยยืนยันถึงความไม่อันตรายและประสิทธิภาพในการรักษาหลุมสิวและปัญหาผิวต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้โปรแกรม Nu Pico MLA ยังไม่อันตรายอีกหลายด้าน ดังนี้

              • โปรแกรม Nu Pico MLA สามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวลึก โดยไม่ทำลายชั้นผิวหนังชั้นบน
              • โปรแกรม Nu Pico MLA มีความเสี่ยงต่อการเกิดแผลน้อย
              • โปรแกรม Nu Pico MLA เหมาะกับทุกสภาพผิว เพราะสามารถปรับค่าพลังงานให้เหมาะสมกับสภาพผิวของแต่ละบุคคลได้
              • โปรแกรม Nu Pico MLA มีความเสี่ยงของการเกิดผลข้างเคียงน้อย
              • โปรแกรม Nu Pico MLA มีโอกาสในการเกิดแผลน้อย
              • โปรแกรม Nu Pico MLA ได้รับการรับรองมาตรฐาน

               

              โปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิว เจ็บไหม 

               

              โดยปกติแล้วการทำโปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิวจะไม่ทำให้เกิดความเจ็บมาก เนื่องจากมีความอ่อนโยนและสามารถปรับระดับพลังงานได้ ซึ่งส่วนมากผู้ที่เข้าทำโปรแกรม Nu Pico MLA  จะมีความรู้สึกอุ่น ๆหรือรู้สึกจี๊ด ๆ เบา ๆ คล้ายกับการดีดหนังยางบนผิว แต่จะไม่ได้เจ็บมากจนทนไม่ไหว หรือในผู้ที่มีผิวบอบบางไวต่อการเจ็บ อาจมีความรู้สึกแสบร้อนเล็กน้อยระหว่างการทำโปรแกรม Nu Pico MLAได้ แต่ความรู้สึกเหล่านี้สามารถบรรเทาได้ด้วยการทายาชาก่อนทำเลเซอร์

               

              โปรแกรม Nu Pico MLA เลเซอร์หลุมสิว มีผลข้างเคียงอะไรบ้าง ?

               

              แม้ว่าโปรแกรม Nu Pico MLA จะเป็นเลเซอร์หลุมสิวที่ไม่เป็นอันตรายและมีประสิทธิภาพสูง แต่หลังทำโปรแกรม Nu Pico MLA อาจมีผลข้างเคียงบางอย่างที่เกิดขึ้นชั่วคราว ซึ่งเป็นปฏิกิริยาปกติของผิวในการฟื้นฟูตัวเองที่สามารถเกิดขึ้นได้ โดยผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยหลังทำโปรแกรม Nu Pico MLA มีดังนี้

               

              • หลังทำโปรแกรม Nu Pico MLA ผิวอาจมีอาการแดงหรือบวมเล็กน้อย จากการที่เลเซอร์ไปกระตุ้นการฟื้นฟูของเซลล์ผิวได้ ซึ่งอาการนี้มักจะหายไปเองภายใน 24-48 ชั่วโมง
              • หลังทำโปรแกรม Nu Pico MLA อาจรู้สึกอุ่น ๆ หรือแสบร้อนบริเวณที่ทำเลเซอร์หลุมสิวได้ ซึ่งอาการนี้มักเกิดขึ้นในช่วง 1-2 ชั่วโมงแรกหลังการทำโปรแกรม Nu Pico MLA สามารถบรรเทาได้ด้วยการประคบเย็นและใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่อ่อนโยน
              • ในบางกรณีหลังทำโปรแกรม Nu Pico MLA อาจเกิดผิวแห้งหรือลอกเป็นขุยได้ ซึ่งเกิดจากกระบวนการผลัดเซลล์ผิวเก่าออก สามารถใช้มอยส์เจอไรเซอร์ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นเพื่อบรรเทาผลข้างเคียงนี้ได้ 
              • หลังทำโปรแกรม Nu Pico MLA อาจมีสะเก็ดเล็ก ๆ บนผิวได้ เนื่องจากเป็นกระบวนการของการสร้างผิวใหม่ หากมีผลข้างเคียงนี้ไม่ควรแกะหรือเกา โดยปกติแล้วสะเก็ดจะหลุดออกเองภายใน 5-7 วัน
              • หลังทำโปรแกรม Nu Pico MLA อาจเกิดอาการคันหรือรู้สึกระคายเคืองเล็กน้อย ในช่วง 1-2 วันแรกหลังทำเลเซอร์ หากมีผลข้างเคียงนี้ ควรหลีกเลี่ยงการเกาผิว

               

              การลดรอยตื้นของหลุมสิวด้วยโปรแกรม Nu Pico MLA สามารถทำได้กับหลุมสิวได้ทุกประเภท ด้วยการใช้สองเทคโนโลยี PicoSecond Laser และ Micro Lens Array ในการใช้พลังงานเลเซอร์ที่มีความแม่นยำสูงในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ และฟื้นฟูผิวอย่างล้ำลึก ทำให้สามารถลดความลึกความหลุมสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมกับฟื้นฟูผิวให้เรียบเนียน กระจ่างใสมากขึ้น นอกจากนี้โปรแกรม Nu Pico MLA ยังสามารถแก้ไขปัญหาผิวได้อีกมากมาย เช่น ปัญหารอยดำรอยแดงจากสิว ปัญหารูขุมขนกว้าง ผิวไม่เรียบเนียน หรือปัญหาผิวหมองคล้ำ แม้การทำโปรแกรม Nu Pico MLAจะเป็นการทำเลเซฮร์ที่มีการฟื้นฟูล้ำลึก แต่มีโอกาสในการเกิดผลข้างเคียงน้อยและไม่จำเป็นต้องพักฟื้นเป็นเวลานานหลังการทำ ทำให้โปรแกรม Nu Pico MLA จึงเป็นเลเซอร์หลุมสิวที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน และการเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่องและดูแลผิวอย่างเหมาะสมหลังการทำ จะช่วยให้ผลลัพธ์ชัดเจนและยาวนานมากยิ่งขึ้นค่ะ

              โปรแกรม Fix Lift ทางลัดสู่ผิวกระชับ อ่อนเยาว์ในแบบที่คุณต้องการ

              Fix Lift ทางลัดสู่ผิวกระชับ อ่อนเยาว์ในแบบที่คุณต้องการ

              ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




                วันที่สะดวกในการติดต่อ








                โปรแกรม Fix Lift ทางลัดสู่ผิวกระชับ อ่อนเยาว์ในแบบที่คุณต้องการ

                เคยรู้สึกไหมว่าผิวของเรากำลังส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ ไม่ว่าจะเป็นริ้วรอยที่เริ่มปรากฏบนใบหน้า ความหย่อนคล้อยที่ปกปิดเท่าไหร่ก็ไม่มิด หรือ ผิวที่ดูเหนื่อยล้าขาดชีวิตชีวา หากใครกำลังมองหาวิธีที่ช่วยฟื้นฟูผิวได้ลึกถึงต้นตอปัญหา พร้อมมอบผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดในระยะเวลาอันสั้น โปรแกรม Fix Lift กู้ผิวยับ อาจเป็นคำตอบที่ทุกคนกำลังตามหา

                 

                ด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยที่รวมพลังของคลื่นวิทยุ (Radio Requency) และเข็มขนาดเล็ก (Microneedling) เข้าไปด้วยกัน โปรแกรม Fix Lift ไม่เพียงแต่ช่วยยกกระชับผิวหน้า แต่ยังช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนใหม่ ฟื้นฟูผิวให้เรียบเนียน ลดเลือนริ้วรอย และทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์กว่าที่เคย ซึ่งความพิเศษอยู่ที่การทำงานที่ลึกถึงใต้ชั้นผิวหนัง ทำให้ผิวได้ฟื้นฟูได้อย่างตรงจุดที่สุด

                 

                แล้วโปรแกรม Fix Lift ทำงานอย่างไร? ใครเหมาะกับโปรแกรมนี้? บทความนี้จะพาทุกคนเจาะลึกทุกคำตอบ พร้อมเคล็ดลับที่จะช่วยให้มีผิวสวยได้อย่างมั่นใจอีกครั้ง

                 

                โปรแกรม Fix Lift กู้ผิวยับ ยกผิวหย่อน คืออะไร?
                โปรแกรม Fix Lift กู้ผิวยับ ยกผิวหย่อน คืออะไร?

                 

                โปรแกรม Fix Lift กู้ผิวยับ ยกผิวหย่อน คืออะไร?

                โปรแกรม Fix Lift คือ โปรแกรมยกกระชับผิวที่ใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยในการฟื้นฟูผิวหน้าและผิวกายให้เรียบเนียน ยกกระชับ และอ่อนเยาว์โดยไม่ต้องผ่าตัด โปรแกรม Fix Lift ใช้พลังงานคลื่นวิทยุ (Radio Requency) ร่วมกับ เข็มขนาดเล็ก (Microneedling) ที่สามารถส่งพลังงานลงลึกถึงชั้นใต้ผิวหนัง เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมช่วยฟื้นฟูผิวให้กลับมาดูสดใสเปล่งปลั่งอีกครั้ง

                 

                หลักการทำงานของโปรแกรม Fix Lift กู้ผิวยับ ยกผิวหย่อน
                หลักการทำงานของโปรแกรม Fix Lift กู้ผิวยับ ยกผิวหย่อน

                 

                หลักการทำงานของโปรแกรม Fix Lift กู้ผิวยับ ยกผิวหย่อน

                โปรแกรม Fix Lift กู้ผิวยับ ยกผิวหย่อน ทำงานโดยใช้เทคโนโลยีคลื่นวิทยุ (Radio Requency) ร่วมกับ เข็มขนาดเล็ก (Microneedling) สามารถส่งพลังงานลงลึกถึงชั้นใต้ผิวหนังได้อย่างแม่นยำ หลักการทำงานของเทคโนโลยีนี้ สามารถออกเป็น 3 ขั้นตอนสำคัญ ดังนี้

                • Microneedling กระตุ้นผิวด้วยเข็มขนาดเล็ก 24 pin

                โปรแกรม Fix Lift กู้ผิวยับ ยกผิวหย่อน ใช้หัวเข็มขนาดเล็ก 24 pin ที่ออกแบบมาให้เจาะจงไปยังชั้นผิวที่ต้องการได้อย่างแม่นยำ โดยเข็มเหล่านี้จะสร้างแผลเล็ก ๆ บนผิว ซึ่งเป็นการกระตุ้นกระบวนการฟื้นฟูตัวเองของผิวอย่างเป็นธรรมชาติ ช่วยในการผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ในชั้นผิว

                • Radio Frequency (RF) ส่งพลังงานความร้อนลึกถึงชั้นผิว

                ในขณะที่เข็มลงลึกสู่ชั้นใต้ผิว คลื่นวิทยุจะถูกส่งผ่านเข็มเหล่านี้เข้าสู่ชั้นผิวในรูปแบบของพลังงานความร้อน ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้ชั้นลึกของผิวหนังแท้ (Dermis) ทำให้ผิวกระชับขึ้น ลดเลือนริ้วรอย และเพิ่มความยืดหยุ่นของผิว

                • กระบวนการฟื้นฟูผิวจากภายใน

                เมื่อคลื่นวิทยุและเข็มทำงานร่วมกัน จะเกิดกระบวนการฟื้นฟูในทุกระดับของผิว ไม่ว่าจะเป็น กระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวเก่าของชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) กระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและอีลาสติน ลดเลือนริ้วรอยของชั้นหนังแท้ (Dermis) และช่วยยกกระชับ ปรับโครงสร้างผิวให้ดูเต่งตึงและอ่อนเยาว์

                 

                รวมข้อดีของโปรแกรม Fix Lift กู้ผิวยับ ยกผิวหย่อน

                • โปรแกรม Fix Lift ยกกระชับผิวแบบล้ำลึกแบบไม่ต้องผ่าตัด
                • โปรแกรม Fix Lift ลดเลือนริ้วรอยทั้งตื้นและลึก เช่น ริ้วรอยหน้าผาก รอบดวงตา ร่องแก้ม
                • โปรแกรม Fix Lift ลดปัญหารูขุมขนกว้างและหลุมสิว ปรับผิวให้ละเอียดขึ้น
                • โปรแกรม Fix Lift ฟื้นฟูผิวจากภายใน เพิ่มความแข็งแรงให้ผิว
                • โปรแกรม Fix Lift แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยทุกจุดบนร่างกาย
                • โปรแกรม Fix Lift เหมาะกับทุกสภาพผิว แม้ผิวแพ้ง่าย
                • โปรแกรม Fix Lift กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนอย่างต่อเนื่อง เห็นผลลัพธ์ยาวนาน
                • โปรแกรม Fix Lift สามารถทำได้กับทุกช่วงวัย ตั้งแต่อายุ 25 ปีขึ้นไป
                • โปรแกรม Fix Lift ลดเหนียง และปรับกรอบหน้าให้ชัดขึ้น

                 

                โปรแกรม Fix Lift กู้ผิวยับ ยกผิวหย่อน ช่วยแก้ปัญหาอะไรบ้าง?
                โปรแกรม Fix Lift กู้ผิวยับ ยกผิวหย่อน ช่วยแก้ปัญหาอะไรบ้าง?

                 

                โปรแกรม Fix Lift กู้ผิวยับ ยกผิวหย่อน ช่วยแก้ปัญหาอะไรบ้าง?

                • โปรแกรม Fix Lift แก้ปัญหาผิวหน้าและลำคอที่เริ่มหย่อนคล้อย
                • โปรแกรม Fix Lift กระชับผิวใต้คาง ลดเหนียง ทำให้กรอบหน้าชัดขึ้น
                • โปรแกรม Fix Lift ปรับโครงสร้างผิวให้แน่นขึ้น ดูเต่งตึงขึ้น
                • โปรแกรม Fix Lift ลดริ้วรอยเล็ก ๆ บริเวณหน้าผาก หางตา และร่องแก้ม
                • โปรแกรม Fix Lift กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวแน่นขึ้น ยืดหยุ่นขึ้น
                • โปรแกรม Fix Lift ป้องกันริ้วรอยก่อนวัย เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการชะลอวัย
                • โปรแกรม Fix Lift กระชับรูขุมขน ทำให้ผิวหน้าเรียบเนียนขึ้น
                • โปรแกรม Fix Lift ลดความมันส่วนเกิน ปรับสมดุลการสร้างน้ำมันใต้ผิว
                • โปรแกรม Fix Lift กระตุ้นการซ่อมแซมเซลล์ผิว ลดเลือนรอยแผลเป็นจากสิว
                • โปรแกรม Fix Lift เติมเต็มร่องลึกของหลุมสิว ทำให้ผิวเนียนขึ้น
                • โปรแกรม Fix Lift ปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ ลดรอยดำรอยแดงจากสิว
                • โปรแกรม Fix Lift เสริมสร้างเกราะป้องกันผิว ลดอาการแพ้ง่าย
                • โปรแกรม Fix Lift กระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวใหม่ ทำให้ผิวดูสดใส เปล่งปลั่ง
                • โปรแกรม Fix Lift กระชับผิวบริเวณหน้าท้อง ต้นแขน ต้นขา และสะโพก
                • โปรแกรม Fix Lift ลดไขมันใต้คาง ทำให้ใบหน้าเรียวขึ้น

                 

                โปรแกรม Fix Lift กู้ผิวยับ ยกผิวหย่อน สามารถทำที่บริเวณไหนได้บ้าง?
                โปรแกรม Fix Lift กู้ผิวยับ ยกผิวหย่อน สามารถทำที่บริเวณไหนได้บ้าง?

                 

                โปรแกรม Fix Lift กู้ผิวยับ ยกผิวหย่อน สามารถทำที่บริเวณไหนได้บ้าง?

                • โปรแกรม Fix Lift ทำบริเวณแก้มและแนวกรอบหน้า – ยกกระชับผิว ลดไขมันสะสม ช่วยให้กรอบหน้าคมชัดขึ้น
                • โปรแกรม Fix Lift ทำบริเวณหน้าผากและระหว่างคิ้ว – ลดริ้วรอย ปรับผิวให้เรียบเนียนขึ้น
                • โปรแกรม Fix Lift ทำบริเวณรอบดวงตา –  ลดริ้วรอยและความหย่อนคล้อยบริเวณหางตาและใต้ตา
                • โปรแกรม Fix Lift ทำบริเวณร่องแก้มและมุมปาก – ลดความลึกของร่องแก้มและริ้วรอยรอบปาก
                • โปรแกรม Fix Lift ทำบริเวณใต้คาง – ลดไขมันและกระชับผิวใต้คาง ทำให้แนวคางดูชัดขึ้น
                • โปรแกรม Fix Lift ทำบริเวณลำคอ – ลดริ้วรอยและกระชับผิวที่หย่อนคล้อยบริเวณลำคอ
                • โปรแกรม Fix Lift ทำบริเวณต้นแขน – แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย กระชับต้นแขน
                • โปรแกรม Fix Lift ทำบริเวณต้นขาและเข่า – ลดความหย่อนคล้อย ปรับสภาพผิวให้เรียบเนียน
                • โปรแกรม Fix Lift ทำบริเวณหน้าท้อง – กระชับผิว ลดริ้วรอย และช่วยให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้น
                • โปรแกรม Fix Lift ทำบริเวณหลังและสะโพก – ช่วยกระชับผิวและลดรอยแตกลาย

                 

                ใครที่เหมาะกับโปรแกรม Fix Lift กู้ผิวยับ ยกผิวหย่อน บ้าง?
                ใครที่เหมาะกับโปรแกรม Fix Lift กู้ผิวยับ ยกผิวหย่อน บ้าง?

                 

                ใครที่เหมาะกับโปรแกรม Fix Lift กู้ผิวยับ ยกผิวหย่อน บ้าง?

                • โปรแกรม Fix Lift เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย ทั้งบริเวณใบหน้า ลำคอ
                • โปรแกรม Fix Lift เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาโครงหน้าไม่กระชับ ไม่เรียว 
                • โปรแกรม Fix Lift เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยร่องแก้ม ริ้วรอยหน้าผาก หรือริ้วรอยรอบดวงตา
                • โปรแกรม Fix Lift เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหารูขุมขนกว้าง ผิวหน้าไม่เรียบเนียน
                • โปรแกรม Fix Lift เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาหลุมสิว และรอยแผลเป็นจากสิว
                • โปรแกรม Fix Lift เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหารอยดำ รอยแดงจากสิว
                • โปรแกรม Fix Lift เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวบาง ผิวแพ้ง่าย หรือระคายเคืองง่าย
                • โปรแกรม Fix Lift เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเหนียงเยอะ กรอบหน้าไม่คมชัด
                • โปรแกรม Fix Lift เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผิวเด็กอย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่ต้องใช้สารเติมเต็ม
                • โปรแกรม Fix Lift เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการกระชับรูขุมขน ให้ผิวดูเนียนละเอียดขึ้น
                • โปรแกรม Fix Lift เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
                • โปรแกรม Fix Lift เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการป้องกันการเกิดริ้วรอยก่อนวัย
                • โปรแกรม Fix Lift เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูคอลลาเจนใต้ผิวอย่างมีประสิทธิภาพ
                • โปรแกรม Fix Lift เหมาะสำหรับผู้ที่อยากมีใบหน้าที่เต่งตึงขึ้นโดยไม่ต้องผ่าตัด
                • โปรแกรม Fix Lift เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการให้ผิวกลับมาแข็งแรงขึ้น 
                • โปรแกรม Fix Lift เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการให้ใบหน้าเรียวขึ้น โดยไม่ต้องดูดไขมัน
                • โปรแกรม Fix Lift เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลด ไขมันสะสมใต้คาง หรือผิวที่เริ่มหย่อนบริเวณคอ
                • โปรแกรม Fix Lift เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการกระชับผิวในบริเวณอื่น นอกจากใบหน้า

                 

                ใครที่ไม่เหมาะกับโปรแกรม Fix Lift กู้ผิวยับ ยกผิวหย่อน บ้าง?

                • โปรแกรม Fix Lift ไม่เหมาะสำหรับสตรีที่กำลังตั้งครรภ์และอยู่ในช่วงให้นมบุตร
                • โปรแกรม Fix Lift ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีโรคผิวหนังเรื้อรัง หรือการติดเชื้อบริเวณใบหน้า
                • โปรแกรม Fix Lift ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวานที่ควบคุมไม่ได้
                • โปรแกรม Fix Lift ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด หรือใช้ยาละลายลิ่มเลือด
                • โปรแกรม Fix Lift ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemaker) หรืออุปกรณ์ฝังในร่างกาย
                • โปรแกรม Fix Lift ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เคยมีประวัติเป็นคีลอยด์หรือแผลเป็นนูนง่าย
                • โปรแกรม Fix Lift ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวบอบบางแพ้ง่ายหรือเป็นโรคผิวหนังภูมิแพ้
                • โปรแกรม Fix Lift ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เพิ่งทำหัตถการอื่น ๆ บนใบหน้าในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน
                • โปรแกรม Fix Lift ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรืออยู่ระหว่างการรักษาด้วยยากดภูมิ
                • โปรแกรม Fix Lift ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เคยรับการฉายรังสี หรือรักษามะเร็งบริเวณใบหน้ามาก่อน

                 

                การเตรียมตัวก่อนทำโปรแกรม Fix Lift กู้ผิวยับ ยกผิวหย่อน

                • ก่อนทำโปรแกรม Fix Lift งดการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำให้ผิวบาง อย่างน้อย 3-5 วัน
                • ก่อนทำโปรแกรม Fix Lift งดกิจกรรมกลางแจ้งที่ต้องเผชิญแสงแดดจัด อย่างน้อย 1 สัปดาห์
                • ก่อนทำโปรแกรม Fix Lift งดยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน (Aspirin), วิตามินอี, โสม, น้ำมันปลา หรือ NSAIDs3-5 วัน
                • ก่อนทำโปรแกรม Fix Lift งดแอลกอฮอล์และบุหรี่อย่างน้อย 24-48 ชั่วโมง
                • ก่อนทำโปรแกรม Fix Lift งดแต่งหน้าในวันทำหัตถการ
                • ก่อนทำโปรแกรม Fix Lift หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักหรือกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกมาก อย่างน้อย 24 ชั่วโมง
                • ก่อนทำโปรแกรม Fix Lift ควรใช้ ครีมกันแดด SPF 50 PA+++ และสวมหมวกหรือใช้ร่มเพื่อป้องกัน
                • ก่อนทำโปรแกรม Fix Lift ควรนอนหลับให้เพียงพอและดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อให้ผิวชุ่มชื้น
                • ก่อนทำโปรแกรม Fix Lift ควรแจ้งแพทย์หากมีโรคประจำตัวหรือใช้ยาบางชนิด

                 

                ขั้นตอนการทำโปรแกรม Fix Lift กู้ผิวยับ ยกผิวหย่อน

                1. แพทย์จะเริ่มตรวจประเมินสภาพผิวและปัญหาผิวของแต่ละบุคคล พร้อมแนะนำระดับความลึกของการทำ Fix Lift ที่เหมาะสม
                2. ผู้ช่วยแพทย์จะทำความสะอาดผิวหน้า เพื่อขจัดสิ่งสกปรก เครื่องสำอาง และความมันส่วนเกิน
                3. ผู้ช่วยแพทย์จะทายาชาเฉพาะที่บริเวณใบหน้าหรือจุดที่ต้องการรักษา เพื่อช่วยลดความรู้สึกเจ็บขณะทำ
                4. แพทย์จะเริ่มทำ Fix Lift ด้วยเครื่อง Morpheus8 โดยใช้ระยะเวลาในการทำ ประมาณ 30-60 นาที ขึ้นอยู่กับขนาดของพื้นที่ที่ทำ
                5. หลังจากทำหัตถการเสร็จ ผู้ช่วยแพทย์จะทำความสะอาดใบหน้าอีกครั้ง และลงผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเพื่อช่วยปลอบประโลมผิว

                 

                การดูแลตัวเองหลังทำโปรแกรม Fix Lift กู้ผิวยับ ยกผิวหย่อน

                • หลังทำโปรแกรม Fix Lift งดล้างหน้าหรือโดนน้ำเป็นเวลา 24 ชั่วโมงแรก
                • หลังทำโปรแกรม Fix Lift งดแต่งหน้าในช่วง 24-48 ชั่วโมงแรก
                • หลังทำโปรแกรม Fix Lift งดโดนแดดจัดเป็นเวลาอย่างน้อย 1 สัปดาห์
                • หลังทำโปรแกรม Fix Lift งดใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิวหรือสารที่ระคายเคือง อย่างน้อย 1 สัปดาห์
                • หลังทำโปรแกรม Fix Lift หลีกเลี่ยงการแกะ เกา หรือถูผิวหน้าแรง ๆ
                • หลังทำโปรแกรม Fix Lift หลีกเลี่ยงการอบซาวน่า อบไอน้ำ ออกกำลังกายหนัก หรืออาบน้ำอุ่นจัด เป็นเวลา 3-7 วัน
                • หลังทำโปรแกรม Fix Lift หลีกเลี่ยงการทำหัตถการอื่น ๆ บนใบหน้า อย่างน้อย 2-4 สัปดาห์
                • หลังทำโปรแกรม Fix Lift หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ อย่างน้อย 48 ชั่วโมง
                • หลังทำโปรแกรม Fix Lift ควรเลือกมอยส์เจอไรเซอร์ที่ช่วยลดการอักเสบและให้ความชุ่มชื้นสูง
                • หลังทำโปรแกรม Fix Lift ควรใช้ครีมกันแดดที่มี SPF 50 PA+++ เพื่อปกป้องผิวจากรังสี UV
                • หลังทำโปรแกรม Fix Lift ควรดื่มน้ำเยอะ ๆ และพักผ่อนให้เพียงพอ
                • หลังทำโปรแกรม Fix Lift ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดอาการระคายเคืองและฟื้นฟูผิว

                 

                เปรียบเทียบโปรแกรม Fix Lift กับเทคโนโลยียกกระชับอื่น ๆ

                การยกกระชับผิวมีหลายเทคนิคที่ให้ผลลัพธ์แตกต่างกัน ซึ่งโปรแกรม Fix Lift เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ได้รับความนิยม โดยมีการเปรียบเทียบกับหัตถการอื่น ๆ ดังนี้

                 

                โปรแกรม Fix Lift

                • โปรแกรม Fix Lift ใช้เข็มขนาดเล็กส่งพลังงานคลื่นวิทยุ (RF) ลงลึกถึงชั้นใต้ผิว เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ช่วยให้ผิวยกกระชับขึ้น พร้อมทั้งสามารถช่วยลดไขมันส่วนเกินใต้ผิวหนัง ปรับสภาพผิวให้เรียบเนียน ลดริ้วรอย กระชับรูขุมขน และลดรอยแผลเป็นจากสิว เริ่มเห็นผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงภายใน 2-4 สัปดาห์ และผลลัพธ์อยู่ได้นาน 6-12 เดือน

                โปรแกรม HIFU (High-Intensity Focused Ultrasound)

                • โปรแกรม HIFU ใช้พลังงานอัลตราซาวนด์ที่สามารถลงลึกถึงชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นผิวเดียวกับที่ศัลยแพทย์ใช้ดึงหน้า เพื่อกระตุ้นการหดตัวของคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวยกกระชับขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่ต้องมีการผ่าตัด และไม่มีบาดแผล เริ่มเห็นผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงภายใน 1-3 เดือนหลังทำ และผลลัพธ์อยู่ได้นาน 6-12 เดือน

                โปรแกรม Thermage FLX

                • โปรแกรม Thermage FLX ใช้พลังงานคลื่นวิทยุความถี่สูง (RF) ส่งลงสู่ผิวในระดับลึก เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้ผิวยกกระชับขึ้น ช่วยลดริ้วรอยและกระชับไขมันใต้ผิวบางส่วน โดยไม่มีการใช้เข็มหรือมีแผลใด ๆ เห็นผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงทันที 20% และดีขึ้นภายใน 3-6 เดือน และผลลัพธ์อยู่ได้นาน 12-18 เดือน

                โปรแกรมร้อยไหม (Thread Lift)

                • เป็นการใช้เส้นไหมละลายสอดเข้าไปใต้ชั้นผิว เพื่อช่วยพยุงและยกกระชับใบหน้าทันที พร้อมทั้งกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในระยะยาว ทำให้ผิวมีความแน่นกระชับมากขึ้น เห็นผลทันทีหลังทำ และดีขึ้นเรื่อย ๆ ใน 1-3 เดือน ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 6-12 เดือน

                การผ่าตัดดึงหน้า (Facelift Surgery)

                • ศัลยแพทย์จะทำการผ่าตัดแก้ไขปัญหาผิวหย่อนคล้อย โดยการดึงชั้น SMAS ชั้นเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง พร้อมตัดผิวหนังส่วนเกินออก ซึ่งเป็นการยกกระชับใบหน้าอย่างถาวร และเห็นผลชัดเจนที่สุด เห็นผลทันทีหลังผ่าตัด ใช้ระยะเวลาพักฟื้นนาน 2-4 สัปดาห์ และผลลัพธ์คงอยู่ได้นาน 5-10 ปี

                 

                โปรแกรม Fix Lift  เจ็บมากไหม?

                • โปรแกรม Fix Lift มีระดับความเจ็บอยู่ในระดับปานกลาง เนื่องจากเป็นหัตถการที่ใช้พลังงาน RF ร่วมกับเข็มขนาดเล็ก อย่างไรก็ตาม ก่อนทำหัตถการจะมีการทายาชาเพื่อลดความเจ็บ ทำให้ขณะทำรู้สึกสบายขึ้น ขณะทำอาจรู้สึกอุ่น ๆ หรือจี๊ด ๆ เพียงเล็กน้อย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับบริเวณที่ทำ

                 

                โปรแกรม Fix Lift อันตรายไหม? มีผลข้างเคียงอะไรบ้าง?

                • โปรแกรม Fix Lift เป็นหัตถการที่ไม่อันตรายเมื่อดำเนินการโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและใช้เครื่องที่ผ่านมาตรฐาน FDA Approved ทั้งในประเทศไทยและสหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ตาม อาจมีผลข้างเคียงเล็กน้อย เช่น รอยแดง บวม หรือสะเก็ดเล็กน้อยภายใน 3-7 วันแรก ซึ่งอาการเหล่านี้จะหายได้เองในภายหลัง

                 

                โปรแกรม Fix Lift ใช้เวลากี่ครั้งถึงเห็นผล? ผลลัพธ์อยู่ได้นานแค่ไหน?

                • หลังทำโปรแกรม Fix Lift จะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงของผิวภายใน 2-4 สัปดาห์ และผลลัพธ์จะค่อย ๆ ดีขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วง 3-6 เดือน แนะนำให้ทำ 1-3 ครั้ง โดยเว้นระยะห่าง 1-2 เดือนต่อครั้ง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล ซึ่งผลลัพธ์จากโปรแกรม Fix Lift สามารถอยู่ได้นานประมาณ 6-12 เดือน หากได้รับการดูแลผิวอย่างเหมาะสม

                 

                โปรแกรม Fix Lift สามารถทำร่วมกับหัตถการอื่นได้ไหม?

                • โปรแกรม Fix Lift สามารถทำร่วมกับหัตถการอื่นได้ เช่น โปรแกรม HIFU, โปรแกรม Thermage FLX, โปรแกรมฉีดโบ, โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ หรือโปรแกรมเลเซอร์ โดยขึ้นอยู่กับปัญหาผิวและแผนการรักษาที่เหมาะสม แพทย์มักจะแนะนำให้เว้นระยะห่างระหว่างหัตถการแต่ละประเภท นอกจากนี้โปรแกรม Fix Lift สามารถทำร่วมกับโปรแกรมฉีดโบหรือโปรแกรมฟิลเลอร์ได้ แต่ควรให้แพทย์เป็นผู้ประเมินเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี หากต้องการทำเลเซอร์ลดเม็ดสี ควรเว้นระยะ 2-4 สัปดาห์ เพื่อป้องกันการระคายเคืองของผิว

                 

                โปรแกรม Fix Lift ทำบ่อยแค่ไหนถึงจะดี?

                • โดยทั่วไปแนะนำให้ทำโปรแกรม Fix Lift 1-3 ครั้งต่อปี ขึ้นอยู่กับปัญหาผิวและอายุของแต่ละบุคคล หากต้องการคงผลลัพธ์ให้นานขึ้น ควรทำ ทุก 6-12 เดือน เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและรักษาความกระชับของผิวให้อยู่ในสภาพที่ดี

                 

                อายุเท่าไหร่ถึงเริ่มทำโปรแกรม Fix Lift ได้?

                • โปรแกรม Fix Lift สามารถเริ่มทำได้ตั้งแต่อายุ 20 ปีขึ้นไป โดยขึ้นอยู่กับสภาพผิวและความต้องการของแต่ละคน สำหรับวัย 30-50 ปี ถือว่าเป็นช่วงที่เหมาะสมที่สุด เพราะเป็นวัยที่เริ่มมีปัญหาผิวหย่อนคล้อยและริ้วรอย ส่วนผู้ที่อายุ 50 ปีขึ้นไป ก็สามารถทำได้เช่นกัน แต่ควรพิจารณาทำร่วมกับหัตถการอื่น เช่น โปรแกรม Thermage FLX หรือการเติมโปรแกรมฟิลเลอร์ในบางจุด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี

                 

                Fix Lift คือโปรแกรมเพื่อการยกกระชับผิวที่ล้ำสมัย ซึ่งช่วยฟื้นฟูโครงสร้างผิวให้ดูอ่อนเยาว์และเรียบเนียนอย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่ต้องผ่าตัดหรือพักฟื้นเป็นเวลานาน ด้วยการใช้พลังงาน Fractional RF+Microneedling ที่สามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ลึกถึงชั้นใต้ผิว ช่วยให้ผิวกระชับ เต่งตึง และมีความยืดหยุ่นมากขึ้น พร้อมลดเลือนริ้วรอยและปัญหาผิวไม่เรียบเนียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

                 

                หากคุณกำลังมองหาวิธี ฟื้นฟูและยกกระชับผิว ที่ให้ผลลัพธ์ชัดเจน โปรแกรม Fix Lift คือคำตอบที่สมบูรณ์แบบ ไม่ว่าคุณจะต้องการ ลดเลือนริ้วรอยร่องลึก ฟื้นฟู ผิวหย่อนคล้อยให้กลับมาตึงกระชับ หรือคืนความสดใสให้กับผิวหน้า ซึ่งโปรแกรม Fix Lift สามารถตอบโจทย์ทุกปัญหาผิวได้อย่างครอบคลุม พร้อมช่วยให้คุณดูแลผิวให้แลดูอ่อนเยาว์ได้อย่างเป็นธรรมชาติและยาวนาน

                กระจกวิเศษบอกข้าเถิด ใครยกหน้าเลิศในปฐพี แล้วสโนว์ไวท์ ไปทำอะไรมาถึงเริศขนาดนี้

                Ultherapy Prime สโนว์ไวท์

                กระจกวิเศษบอกข้าเถิด ใครยกหน้าเลิศในปฐพี แล้วสโนว์ไวท์ ไปทำอะไรมาถึงเริศขนาดนี้

                กระจกวิเศษบอกข้าเถิด … ใครยกหน้าเลิศในปฐพี ก็คงหนีไม่พ้น “โปรแกรม Ultherapy Prime” ที่ รมย์รวินท์คลินิก อย่างแน่นอน อยากหน้าเล็ก หน้าเรียวแบบ Snow White ต้องลองตัวช่วยยกกระชับผิวหน้าแห่งปี 2025 ที่ไม่ได้มีดีแค่การยกกระชับเพียงอย่างเดียว แต่ยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้ผิวดูอ่อนกว่าวัย และลดความหย่อนคล้อยอย่างเห็นได้ชัด ที่สำคัญคือ ทำหัตถการโดยแพทย์ที่มีความรู้ ความชำนาญ และได้รับการฝึกอบรมมาเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะบริเวณกรอบหน้า แก้ม หรือเหนียง ก็สามารถยกกระชับให้เป๊ะปังทุกมิติได้ บทความนี้ รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับโปรแกรม Ultherapy Prime มาให้แล้วค่ะ

                 

                โปรแกรม Ultherapy Prime ยกหน้าเลิศในปฐพีแห่งปี 2025

                 

                Ultherapy Prime สโนว์ไวท์
                Ultherapy Prime

                 

                ทำความรู้จัก โปรแกรม Ultherapy Prime

                โปรแกรม Ultherapy Prime เป็นเทคโนโลยียกกระชับผิวหน้าที่ถูกพัฒนาต่อยอดมาจากโปรแกรม Ultherapy รุ่นก่อน ๆ ซึ่งผลิตโดยบริษัท Merz Aesthetics บริษัทชั้นนำผู้ผลิตเทคโนโลยีความงามระดับโลก โดยโปรแกรม Ultherapy Prime นั้น มีการปรับปรุงระบบการใช้งานที่ทันสมัย และมีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งมีความเร็วในการรักษาเพิ่มขึ้นถึง 20% รวมถึงมีหน้าจอแสดงผลที่ใหญ่ และคมชัดขึ้นถึง 35% ทำให้เพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา และประหยัดเวลามากขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย

                โปรแกรม Ultherapy Prime ใช้พลังงานคลื่นเสียงอัลตราซาวนด์แบบเฉพาะเจาะจง (Micro-Focused Ultrasound) ที่มีความเข้มข้นสูง และสามารถส่งพลังงานความร้อนลงสู่ชั้นผิวหนังในระดับความลึกต่าง ๆ ได้อย่างแม่นยำ ตั้งแต่ 1.5 mm, 3.0 mm ไปจนถึง 4.5 mm หรือชั้น SMAS เพื่อแก้ไขปัญหาผิวที่แตกต่างกันได้อย่างตรงจุด จึงทำให้โปรแกรม Ultherapy Prime เป็นเทคโนโลยียกกระชับที่ให้ผลลัพธ์อย่างครอบคลุม โดยไม่ต้องผ่าตัด และไม่ต้องเสียเวลาพักฟื้น

                 

                หลักการทำงานของโปรแกรม Ultherapy Prime

                หลักการทำงานของโปรแกรม Ultherapy Prime คือ ส่งพลังงานคลื่นอัลตราซาวนด์ลงไปยังชั้นผิวหนัง ซึ่งมีลักษณะเป็นจุดเล็ก ๆ (Dot) จำนวนมาก ขนาดประมาณ 1 mm. เรียงกันเป็นเส้นตรงคล้ายจุดไข่ปลา ทำให้เกิดความร้อน ประมาณ 60 – 70°C ใต้ชั้นผิว จากนั้นผิวจะเกิดการหดตัว และยกกระชับขึ้น พร้อมกระตุ้นการทำงานของเซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast) ให้สร้างเส้นใยคอลลาเจน และอีลาสตินขึ้นมาใหม่ ทดแทนคอลลาเจนที่เสื่อมสภาพไปตามอายุ ส่งผลให้ผิวแน่นกระชับ เต่งตึง และเรียบเนียนอย่างเป็นธรรมชาติ

                 

                โปรแกรม Ultherapy Prime ช่วยเรื่องอะไร?

                • โปรแกรม Ultherapy Prime ช่วยให้ผิวแน่น กระชับ เต่งตึง
                • โปรแกรม Ultherapy Prime ช่วยลดความหย่อนคล้อยบนใบหน้า
                • โปรแกรม Ultherapy Prime ช่วยลดเหนียง เก็บคางสองชั้น
                • โปรแกรม Ultherapy Prime ช่วยลดเลือนริ้วรอยบนใบหน้า
                • โปรแกรม Ultherapy Prime ช่วยให้กรอบหน้าชัด ใบหน้ามีมิติ
                • โปรแกรม Ultherapy Prime ช่วยฟื้นฟูผิวหน้าให้ดูอ่อนเยาว์
                • โปรแกรม Ultherapy Prime ช่วยกระตุ้นคอลลาเจน และอีลาสติน
                • โปรแกรม Ultherapy Prime ช่วยให้ผิวแข็งแรงในระยะยาว

                 

                ใครที่เหมาะกับโปรแกรม Ultherapy Prime?

                • โปรแกรม Ultherapy Prime เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป
                • โปรแกรม Ultherapy Prime เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อย ต้องการยกกระชับ
                • โปรแกรม Ultherapy Prime เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีริ้วรอยบนใบหน้าตามวัย
                • โปรแกรม Ultherapy Prime เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีกรอบหน้าไม่ชัด ใบหน้าไม่มีมิติ
                • โปรแกรม Ultherapy Prime เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีคิ้วตก หางตาตก หรือถุงใต้ตาหย่อน
                • โปรแกรม Ultherapy Prime เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีไขมันสะสมบริเวณเหนียง และแก้ม
                • โปรแกรม Ultherapy Prime เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีผิวขาดความยืดหยุ่น ไม่เต่งตึง
                • โปรแกรม Ultherapy Prime เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีผิวขาดคอลลาเจน และอีลาสติน
                • โปรแกรม Ultherapy Prime เหมาะสำหรับ ผู้ที่ไม่ต้องการผ่าตัด แต่ต้องการให้ผิวดูอ่อนเยาว์

                 

                Ultherapy Prime สโนว์ไวท์
                Ultherapy Prime

                 

                รวมข้อดีของโปรแกรม Ultherapy Prime 

                • โปรแกรม Ultherapy Prime มีหน้าจอแสดงผลขนาดใหญ่ขึ้น 35% ทำให้มีความละเอียด และคมชัดขึ้นกว่าเดิม
                • โปรแกรม Ultherapy Prime มีการประมวลผลที่รวดเร็วขึ้น 20% ทำให้ใช้เวลาในการรักษาน้อยลง และมีความสะดวกสบายมากขึ้น
                • โปรแกรม Ultherapy Prime มีดีไซน์ของเครื่องที่มีความทันสมัย ขนาดเล็กลง จึงสะดวกต่อการใช้งาน
                • โปรแกรม Ultherapy Prime สามารถยกกระชับผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ และแม่นยำ
                • โปรแกรม Ultherapy Prime มีการทำการรักษามาแล้วมากกว่า 3 ล้านเคสทั่วโลก
                • โปรแกรม Ultherapy Prime ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับสากล จากประเทศอเมริกา และประเทศไทย
                • โปรแกรม Ultherapy Prime สามารถเห็นผลการเปลี่ยนแปลงในทันที 20% และผลลัพธ์จะค่อย ๆ ดีขึ้นเรื่อย ๆ
                • โปรแกรม Ultherapy Prime สามารถคงประสิทธิภาพของผลลัพธ์ได้ยาวนานถึง 1 ปี 
                • โปรแกรม Ultherapy Prime เหมาะกับทุกสภาพผิว สามารถทำได้ทั้งผิวหน้า และผิวกาย
                • โปรแกรม Ultherapy Prime ไม่ต้องผ่าตัด และไม่ต้องเสียเวลาพักฟื้น หลังทำสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ

                 

                รีบจองตั๋วยกหน้าพร้อมกันได้แล้ววันนี้ที่ รมย์รวินท์คลินิก

                สำหรับใครที่กำลังประสบปัญหาผิวหย่อนคล้อย ขาดความกระชับอยู่ กระจกวิเศษบอกแล้ว คำตอบมีเพียงหนึ่งเดียว คือ “โปรแกรม Ultherapy Prime” เท่านั้น ตัวช่วยยกกระชับผิวหน้าที่มีความทันสมัย และแม่นยำสูง สามารถยกกระชับได้อย่างครอบคลุมในทุกระดับชั้นผิว ไม่ว่าจะเป็นผิวหน้า หรือผิวกายก็สามารถทำได้ โดยไม่ต้องผ่าตัด และพักฟื้น เตรียมทวงบัลลังก์หน้าเรียว หน้าเล็กสุดในปฐพีที่ รมย์รวินท์คลินิก ได้ทุกสาขา

                โปรแกรม EMFACE vs โปรแกรม EMFACE Submentum ต่างกันอย่างไร

                เทียบชัด! โปรแกรม EMFACE vs โปรแกรม EMFACE Submentum

                เทียบชัด! โปรแกรม EMFACE vs โปรแกรม EMFACE Submentum คำตอบของผิวกระชับทุกจุด

                เมื่อพูดถึงเทคโนโลยียกกระชับผิวหน้าและลำคอที่ทันสมัย โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum ได้กลายมาเป็นคำตอบยอดนิยมสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูความอ่อนเยาว์โดยไม่ต้องเจ็บตัว เทคโนโลยีทั้งสองนี้มอบผลลัพธ์ที่แตกต่างและตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของผู้ใช้งาน 

                 

                แต่จะเลือกแบบไหนดีระหว่าง โปรแกรม EMFACE ที่เน้นยกกระชับผิวหน้าอย่างทั่วถึง เสริมสร้างความมั่นใจให้ใบหน้าดูเรียวกระชับ กับ โปรแกรม EMFACE Submentum ที่ออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาบริเวณใต้คางและกรอบหน้าโดยเฉพาะ ช่วยลดปัญหาเหนียงและความหย่อนคล้อยได้อย่างมีประสิทธิภาพ

                 

                ในบทความนี้ เราจะมาช่วยคุณไขข้อสงสัย พร้อมเปรียบเทียบความโดดเด่นของทั้งสองเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นคุณสมบัติเด่น วิธีการทำงาน หรือผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน เพื่อให้คุณได้เลือกสรรการดูแลผิวที่เหมาะสมที่สุดสำหรับเป้าหมายความงามของคุณ

                 

                ทำความรู้จัก โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum 

                 

                โปรแกรม EMFACE คืออะไร?
                โปรแกรม EMFACE คืออะไร?

                 

                โปรแกรม EMFACE คืออะไร?

                เทคโนโลยีความงามที่ได้รับการพัฒนาเพื่อช่วยยกกระชับผิวหน้าโดยไม่ต้องผ่าตัด ผสานการใช้พลังงานคลื่นวิทยุ RF และเทคโนโลยี HIFES™ (High-Intensity Facial Electrical Stimulation) ซึ่งช่วยในการกระตุ้นกล้ามเนื้อใบหน้าให้แข็งแรง เสริมสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิว ผลลัพธ์ที่ได้คือให้ใบหน้าดูกระชับ เต่งตึง และอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติแบบไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องเจ็บ ไม่ต้องพักฟื้นนาน

                 

                โปรแกรม EMFACE Submentum คืออะไร?
                โปรแกรม EMFACE Submentum คืออะไร?

                 

                โปรแกรม EMFACE Submentum คืออะไร?

                เป็นการพัฒนาต่อยอดมาจากเทคโนโลยีโปรแกรม EMFACE โดยเน้นพัฒนาที่เจาะจงเพื่อการแก้ปัญหาบริเวณส่วนล่างของใบหน้าโดยเฉพาะ เช่น คางและลำคอ เป็นบริเวณที่หลายคนมักเผชิญกับปัญหาเหนียง ความหย่อนคล้อย และขาดความกระชับ ซึ่งโปรแกรม EMFACE Submentum ใช้เทคโนโลยีเดียวกันกับโปรแกรม EMFACE ในการกระตุ้นกล้ามเนื้อและเสริมสร้างโครงสร้างผิว เพียงแต่โปรแกรม EMFACE Submentum จะปรับแต่งการทำงานให้เหมาะสมกับผิวและกล้ามเนื้อในบริเวณคางและลำคอ เพื่อช่วยยกกระชับปรับรูปหน้าให้ชัดเจนยิ่งขึ้น และลดปัญหาเหนียงกวนใจ

                 

                ทำไมโปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum ถึงได้รับความนิยม?

                • ผลลัพธ์ที่เห็นได้อย่างชัดเจน

                ทั้งโปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum สามารถเห็นความเปลี่ยนแปลงได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ และยิ่งเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนขึ้นเมื่อทำต่อเนื่อง ผิวหน้าดูกระชับขึ้น ริ้วรอยลดลง กรอบหน้าชัดเจนขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ

                • ไม่ต้องพักฟื้น

                การยกกระชับผิวหน้าด้วยโปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum ไม่มีการใช้เข็ม ไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีรอยแผล ทำให้ไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้นหลังทำ สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันปกติหลังทำได้เลยทันที

                • ทคโนโลยีที่เหมาะสำหรับทุกช่วงวัยและทุกปัญหาผิว

                การทำงานที่ออกแบบมาให้เหมาะสมกับทุกสภาพผิวและทุกปัญหาผิว โดยทั้งสองเทคโนโลยีสามารถปรับใช้ได้ตามความต้องการเฉพาะบุคคล ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ต้องการยกกระชับเพื่อป้องกันความหย่อนคล้อยในวัยเริ่มต้น หรือผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยและเหนียงที่ต้องการแก้ไขเฉพาะจุด

                • ตอบโจทย์ความต้องการแบบเฉพาะเจาะจง

                หากังวลเรื่องผิวหย่อนคล้อยทั่วใบหน้า โปรแกรม EMFACE จะช่วยดูแลในภาพรวมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะที่โปรแกรม EMFACE Submentum เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาใต้คางและลำคอ ทำให้สามารถเลือกเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ปัญหาเฉพาะจุดได้อย่างแม่นยำ

                • เพิ่มความมั่นใจในทุกมุมมอง

                ไม่ว่าจะต้องการปรับผิวหน้าให้ดูเรียบเนียน กระชับขึ้น หรือเพิ่มความคมชัดของกรอบหน้าและลำคอ ซึ่งเทคโนโลยีนี้ช่วยคืนความมั่นใจให้คุณได้ทุกมุมมองอย่างไร้ที่ติ

                 

                หลักการทำงานของโปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum
                หลักการทำงานของโปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum

                 

                หลักการทำงานของโปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum

                ทั้งโปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum ใช้เทคโนโลยีที่ล้ำสมัยและทำงานร่วมกันเพื่อช่วยยกกระชับผิวหน้าและลำคอโดยไม่ต้องผ่าตัด โดยมีหลักการทำงาน ดังนี้

                การผสานเทคโนโลยี HIFES™ และ RF

                • HIFES™ (High-Intensity Facial Electrical Stimulation)

                เป็นเทคโนโลยีส่งพลังงานไฟฟ้าความถี่สูงไปยังกล้ามเนื้อบริเวณที่ทำการรักษา เพื่อกระตุ้นให้กล้ามเนื้อทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงและยกกระชับกล้ามเนื้อใบหน้าและลำคอ

                • คลื่นวิทยุ RF

                เทคโนโลยีพลังงานคลื่นวิทยุความถี่สูง ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิวหนัง ลดเลือนริ้วรอยและความหย่อนคล้อย เพิ่มความเต่งตึงยกกระชับให้ผิว นอกจากนี้ยังช่วยลดไขมันส่วนเกินบริเวณใต้คาง และปรับสภาพผิวลำคอให้เรียบเนียนอีกด้วย

                 

                การทำงานเฉพาะจุดของโปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum

                • โปรแกรม EMFACE เน้นการยกกระชับใบหน้าทั้งหมด ปรับโครงสร้างใบหน้าให้ดูสมดุลมากขึ้น กระตุ้นกล้ามเนื้อใบหน้าให้ทำงานดีขึ้น เสริมสร้างผิวให้ดูอ่อนเยาว์ที่สุด  รวมไปถึงช่วยลดเลือนริ้วรอยบริเวณหน้าผากและยกคิ้ว แก้ปัญหาคิ้วตก หนังตาตกได้อีกด้วย
                • โปรแกรม EMFACE Submentum ออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาบริเวณคางและลำคอโดยเฉพาะ ช่วยลดไขมันส่วนเกิน และแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยบริเวณกรอบหน้า ยกกระชับปรับรูปหน้าให้ได้สัดส่วนมากขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยยกกระชับลำคอให้เรียบเนียนขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ

                 

                รวมข้อดีของการยกกระชับผิวหน้าด้วยโปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum

                • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน
                • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum ช่วยให้ผิวแข็งแรงขึ้น ลดริ้วรอยและความหย่อนคล้อยของใบหน้า
                • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum ใบหน้าดูกระชับขึ้น กรอบหน้าชัดเจน และลำคอเรียบเนียน
                • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum ลดปัญหากวนใจ เช่น เหนียง ผิวหย่อนคล้อย หรือกรอบหน้าไม่ชัด
                • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum ไม่มีแผล และไม่ต้องเสี่ยงกับการติดเชื้อ หรือผลข้างเคียงจากการผ่าตัด
                • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum หลังการทำสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ทันที
                • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum ไม่มีอาการบวมแดง รอยช้ำ หรืออาการเจ็บปวด
                • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum ใบหน้าและลำคอถูกยกกระชับอย่างเป็นธรรมชาติ
                • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum ไม่ทำให้ใบหน้าดูแข็งหรือตึงจนเกินไป 
                • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum สามารถเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ
                • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum ผลลัพธ์ชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อทำต่อเนื่อง 3-4 ครั้ง
                • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาจำกัดและต้องการดูแลตัวเองอย่างรวดเร็ว.
                • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum ปรับใช้ได้กับทุกปัญหาผิว และทุกสภาพผิว
                • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองหรืออาการแพ้

                 

                โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum ช่วยอะไรบ้าง?
                โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum ช่วยอะไรบ้าง?

                 

                โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum ช่วยอะไรบ้าง?

                • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum กระตุ้นกล้ามเนื้อใบหน้าให้แข็งแรงและยกกระชับขึ้น
                • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum ลดความหย่อนคล้อยในบริเวณหน้าผาก แก้ม และร่องแก้ม
                • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum ช่วยลดริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงอารมณ์ เช่น รอยย่นบริเวณหน้าผาก ร่องแก้ม และรอบดวงตา
                • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum เพิ่มความเรียบเนียนและความสดใสให้กับผิว
                • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิว
                • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum ช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่นและดูสุขภาพดี
                • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum ช่วยปรับโครงหน้าส่วนบนและกลางให้ได้สัดส่วน ดูสมดุล และเป็นธรรมชาติ
                • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum ลดไขมันส่วนเกินบริเวณใต้คาง ยกกระชับปรับรูปหน้าให้เรียวและคมชัดมากขึ้น
                • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum กระตุ้นกล้ามเนื้อบริเวณกรอบหน้าให้กระชับขึ้น
                • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum ลดความหย่อนคล้อยและรอยเหี่ยวย่นบริเวณลำคอ
                • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum ช่วยให้ลำคอดูเรียบเนียนและอ่อนเยาว์
                • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum ช่วยยกกระชับใบหน้าส่วนล่างให้สมดุลกับใบหน้าส่วนบน

                 

                ใครบ้างที่เหมาะสำหรับยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum
                ใครบ้างที่เหมาะสำหรับยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum

                ใครบ้างที่เหมาะสำหรับยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum

                • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาผิวหน้าเริ่มหย่อนคล้อย เช่น ผิวบริเวณแก้ม ร่องแก้ม หางตาตก
                • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum เหมาะสำหรับ วัย 30-40 ปีขึ้นไป ที่เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างผิวตามธรรมชาติ
                • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการลดริ้วรอยโดยไม่ต้องใช้เข็ม
                • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวหน้าให้ดูสดใส
                • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการปรับกรอบหน้าให้คมชัด
                • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาโครงสร้างใบหน้าไม่สมดุล
                • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาเหนียงหรือไขมันใต้คางสะสม
                • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาความหย่อนคล้อยบริเวณลำคอ
                • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการปรับกรอบหน้าให้คมชัด
                • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการลดไขมันส่วนเกินและกระชับลำคอ
                • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูความอ่อนเยาว์บริเวณลำคอและส่วนล่างของใบหน้า
                • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum เหมาะสำหรับ ผู้ที่ไม่มีเวลาว่าง ใช้ชีวิตเร่งรีบ
                • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum เหมาะสำหรับ ผู้ที่ไม่ต้องการผ่าตัด ไม่ต้องการฉีด และไม่ต้องการดูดไขมันใต้คาง

                 

                ใครบ้างที่ไม่เหมาะสำหรับการยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum

                • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum ไม่เหมาะสำหรับ สตรีที่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
                • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีอุปกรณ์โลหะในร่างกาย เช่น เครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemaker) หรือเครื่องกระตุ้นประสาท
                • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีการฝังโลหะในบริเวณที่ต้องทำการรักษา เช่น รากฟันเทียม หรือโลหะในบริเวณใบหน้า
                • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีโรคผิวหนัง เช่น โรคสะเก็ดเงิน ผิวหนังอักเสบ
                • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีการติดเชื้อบริเวณผิวที่ต้องการรักษา
                • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีภาวะสุขภาพร้ายแรง เช่น โรคหัวใจขั้นรุนแรง โรคลมชัก
                • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีแผลเปิดหรือการติดเชื้อ เช่น แผลสด บาดแผลติดเชื้อ
                • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีโรคผิวหนังเรื้อรังหรือมะเร็งผิวหนัง เช่น มะเร็งผิวหนังในบริเวณใบหน้าหรือลำคอ
                • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีไขมันส่วนเกินหรือผิวหย่อนคล้อยมากเกินไป
                • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่เพิ่งทำศัลยกรรมมา ควรหลีกเลี่ยงจนกว่าผิวจะฟื้นตัวเต็มที่
                • โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่เพิ่งฉีดโปรแกรมฟิลเลอร์หรือฉีดโบ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อกำหนดระยะเวลาที่เหมาะสมก่อนทำ

                 

                การเตรียมตัวก่อนทำโปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum

                 

                • ควรนัดหมายเพื่อปรึกษาแพทย์ ประเมินปัญหาผิวและสภาพผิว ก่อนเลือกเทคโนโลยีที่เหมาะสม
                • ควรแจ้งข้อมูลสุขภาพของอย่างละเอียด เช่น การใช้ยาประจำ โรคประจำตัว หรือประวัติการทำศัลยกรรม ให้แพทย์ทราบอย่างละเอียด
                • ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อย 7-8 ชั่วโมง
                • ควรดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อให้ผิวชุ่มชื้นและลดความแห้งกร้าน
                • งดการใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิวบริเวณใบหน้าและลำคอ เช่น AHA, BHA หรือ Retinol ก่อนทำ 3-5 วัน
                • งดใช้ผลิตภัณฑ์ครีมหรือเซรัมที่มีส่วนผสมของวิตามินซีหรือไวท์เทนนิ่ง
                • หลีกเลี่ยงการตากแดดอย่างน้อย 1 สัปดาห์ก่อนทำ เพื่อปกป้องผิวไหม้หรือผิวระคายเคือง
                • งดการทำทรีตเมนต์อื่น ๆ เช่น การเลเซอร์, การฉีดโปรแกรมฟิลเลอร์ หรือการฉีดโปรแกรมโบ ในช่วง 2-4 สัปดาห์ก่อนทำ
                • หลีกเลี่ยงแต่งหน้าในวันทำหัตถการ เพื่อให้ผิวหน้าปราศจากสิ่งสกปรกหรือสารเคมี

                 

                ขั้นตอนการทำโปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum

                ขั้นตอนการทำโปรแกรม EMFACE

                1. เริ่มทำความสะอาดผิวหน้าและลำคอให้สะอาด เพื่อขจัดสิ่งสกปรกและความมันบนผิว
                2. แพทย์จะตรวจสอบผิวในบริเวณที่ต้องการรักษา เพื่อเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการทำ
                3. ติดตั้งแผ่นทรีตเมนต์ในตำแหน่งที่เหมาะสม เช่น บริเวณหน้าผาก แก้ม และขมับ
                4. เปิดเครื่องและเริ่มการรักษา เครื่องจะเริ่มปล่อยพลังงานในระดับที่ไม่เป็นอันตราย
                5. แพทย์จะปรับระดับความเข้มข้นของพลังงานให้เหมาะสมกับผิวของคุณ โดยใช้เวลาในการรักษาประมาณ 20-30 ครั้ง

                 

                ขั้นตอนการทำโปรแกรม EMFACE Submentum

                1. เริ่มทำความสะอาดผิวหน้าและลำคอให้สะอาด เพื่อขจัดสิ่งสกปรกและความมันบนผิว
                2. แพทย์จะตรวจสอบผิวในบริเวณที่ต้องการรักษา เพื่อเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการทำ
                3. ติดตั้งแผ่นทรีตเมนต์บริเวณใต้คางและลำคอ เพื่อเน้นการกระตุ้นกล้ามเนื้อในจุดนี้
                4. แพทย์จะปรับระดับให้เหมาะสมกับผิว เพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพสูงสุด โดยใช้เวลาในการรักษาประมาณ 20-30 ครั้ง

                 

                การดูแลตัวเองหลังทำโปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum

                • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และแอลกอฮอล์ หลังทำโปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum
                • หลังทำควรหลีกเลี่ยงการถูหรือกดใบหน้าและลำคอแรง ๆ ในช่วง 24-48 ชั่วโมง
                • งดการนวดหรือทำทรีตเมนต์เพิ่มเติม ในบริเวณที่ทำการรักษา 
                • งดการตากแดดจัดอย่างน้อย 1 สัปดาห์ ควรทาครีมกันแดดปกป้องผิว
                • หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิว เช่น กรด AHA, BHA, หรือ Retinol เป็นเวลา 3-5 วันหลังการทำ
                • หลีกเลี่ยงการเข้าซาวน่า อบไอน้ำ หรือการออกกำลังกายหนัก ที่อาจทำให้ร่างกายร้อนเกินไปภายใน 24-48 ชั่วโมง
                • ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนต่อผิว เช่น ครีมบำรุงหรือเซรัมสำหรับฟื้นฟูผิว
                • ควรดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อช่วยให้ผิวชุ่มชื้น และเสริมกระบวนการสร้างคอลลาเจนหลังการรักษา

                 

                สรุปความแตกต่างของโปรแกรม EMFACE vs โปรแกรม EMFACE Submentum

                 

                บริเวณที่ต้องการเน้นการรักษา

                • โปรแกรม EMFACE เน้นยกกระชับผิวหน้าส่วนบนและส่วนล่าง เช่น หน้าผาก ขมับ แก้ม และร่องแก้ม ลดริ้วรอยและเพิ่มผิวกระชับ เต่งตึง ในบริเวณใบหน้าโดยรวม
                • โปรแกรม EMFACE Submentum เน้นการยกกระชับใบหน้าส่วนล่าง เช่น บริเวณใต้คาง เหนียง และลำคอ ช่วยลดเหนียง กระชับกรอบหน้าและยกกระชับปรับรูปหน้าให้ชัดเจนยิ่งขึ้น

                 

                ปัญหาผิวที่แก้ไขได้

                • โปรแกรม EMFACE แก้ปัญหาริ้วรอย เช่น ริ้วรอยบนหน้าผาก ร่องแก้ม และรอบดวงตา แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยบริเวณแก้มและหน้าผาก เพิ่มความเรียบเนียนและกระชับผิวทั่วใบหน้า
                • โปรแกรม EMFACE Submentum แก้ปัญหาไขมันส่วนเกินบริเวณใต้คาง ลดความหย่อนคล้อยและรอยเหี่ยวย่นบริเวณลำคอ ช่วยกระชับกรอบหน้าให้ได้รูปและสมดุลมากขึ้น

                 

                ผลลัพธ์ที่ได้

                • โปรแกรม EMFACE ช่วยให้ผิวหน้าเรียบเนียน เต่งตึง และดูอ่อนเยาว์ ลดริ้วรอยและเพิ่มความกระชับให้ใบหน้าโดยรวม
                • โปรแกรม EMFACE Submentum ช่วยให้กรอบหน้าคมชัดยิ่งขึ้น ลดไขมันใต้คาง ลำคอเรียบเนียนและกระชับ

                 

                เหมาะกับใคร

                • โปรแกรม EMFACE เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาริ้วรอย มีความหย่อนคล้อยในบริเวณใบหน้าส่วนบนและกลาง และเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูความอ่อนเยาว์และยกกระชับปรับรูปหน้าให้สมดุล
                • โปรแกรม EMFACE Submentum เหมาะสำหรับผู้ที่มีไขมันสะสมใต้คาง หรือกรอบหน้าไม่คมชัด และเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดความหย่อนคล้อยและริ้วรอยบริเวณลำคอ

                 

                การใช้ร่วมกัน

                • การใช้โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum ร่วมกันช่วยแก้ไขปัญหาได้ทั้งใบหน้าและลำคออย่างครบถ้วน ช่วยให้ผลลัพธ์ดูสมดุลและครอบคลุมในทุกจุด อีกทั้งยังเพิ่มความกระชับและฟื้นฟูความอ่อนเยาว์ทั้งใบหน้าและลำคอ

                รวมทุกคำถามที่ควรรู้เกี่ยวกับโปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum

                การทำโปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum เจ็บไหม?

                • การรักษาทั้งสองแบบเป็นการใช้เทคโนโลยีที่ไม่ทำลายผิว อาจมีความรู้สึกเพียงการกระตุกเบา ๆ ของกล้ามเนื้อจากเทคโนโลยี HIFES™ และความอุ่นเล็กน้อยจากคลื่น RF ซึ่งไม่ทำให้รู้สึกเจ็บในระหว่างทำการรักษา

                 

                การทำโปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum ต้องทำกี่ครั้งถึงจะเห็นผล?

                • เริ่มเห็นผลตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ ผิวจะรู้สึกกระชับขึ้นทันทีหลังการรักษา และผลลัพธ์จะชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อทำต่อเนื่อง โดยทั่วไป แนะนำให้ทำ 4-6 ครั้ง ต่อคอร์ส เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีอย่างมีประสิทธิภาพ

                 

                การทำโปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum ผลลัพธ์อยู่ได้นานแค่ไหน?

                • ผลลัพธ์สามารถอยู่ได้นาน 6-12 เดือน ขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองหลังการรักษา ซึ่งการทำซ้ำปีละ 1-2 ครั้ง จะช่วยรักษาผลลัพธ์ให้อยู่ได้นานยิ่งขึ้น

                 

                โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum มีผลข้างเคียงไหม?

                • โดยทั่วไป ไม่มีผลข้างเคียงที่ร้ายแรง ในบางคนอาจมีอาการแดงเล็กน้อย หรือรู้สึกอุ่นบริเวณที่รักษา ซึ่งจะหายไปในไม่กี่ชั่วโมง

                 

                สามารถทำโปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum พร้อมกันได้ไหม?

                • สามารถทำร่วมกันได้ เนื่องจากการทำทั้งสองแบบพร้อมกันจะช่วยแก้ปัญหาได้ทั้งใบหน้าและลำคอ ช่วยให้ผลลัพธ์ดูสมดุล ฟื้นฟูทั้งผิวหน้าและกรอบหน้าพร้อมกัน

                 

                โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum อันตรายไหม?

                • เทคโนโลยีทั้งสองไม่อันตราย เนื่องจากเทคโนโลยีนี้ผ่านการรับรองจากองค์กรที่เกี่ยวข้องและถูกออกแบบมาเพื่อให้เหมาะสมกับทุกสภาพผิว

                 

                โปรแกรม EMFACE Submentum ช่วยลดไขมันใต้คางได้จริงไหม?

                • โปรแกรม EMFACE Submentum ถูกออกแบบมาเพื่อลดไขมันสะสมใต้คางอย่างเฉพาะเจาะจง โดยใช้คลื่น RF เพื่อกระตุ้นการเผาผลาญไขมันและช่วยกระชับผิวในบริเวณดังกล่าว ผลลัพธ์จะเห็นได้ชัดเจนขึ้นเมื่อทำอย่างต่อเนื่องตามคอร์สที่แนะนำ

                 

                โปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum เป็นเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการในการฟื้นฟูและยกกระชับผิว โดยไม่ต้องเจ็บตัวหรือพักฟื้น ด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยที่ผสานพลังงานคลื่นวิทยุ (RF) และ HIFES™ ทั้งสองโปรแกรมช่วยแก้ปัญหาผิวในแต่ละส่วนอย่างตรงจุด ไม่ว่าจะเป็นการลดริ้วรอยและฟื้นฟูใบหน้าส่วนบนด้วยโปรแกรม EMFACE หรือการลดเหนียงและยกกระชับกรอบหน้ากับลำคอด้วยโปรแกรม EMFACE Submentum

                 

                หากใครกำลังมองหาวิธีคืนความอ่อนเยาว์และเพิ่มความมั่นใจให้กับตัวเองอย่างมีประสิทธิภาพ การเลือกทำโปรแกรม EMFACE และ โปรแกรม EMFACE Submentum เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมอย่างยิ่ง พร้อมช่วยให้คุณเผยผิวที่ดูอ่อนเยาว์ กระชับ และมีชีวิตชีวาอีกครั้ง ทั้งนี้ การปรึกษาแพทย์ที่มีความรู้เฉพาะด้าน จะช่วยให้คุณได้ผลลัพธ์ที่เหมาะสมกับความต้องการเฉพาะบุคคลเท่านั้น

                โปรแกรมฉีด HACa คืออะไร? ยกกระชับผิว กระตุ้นคอลลาเจน ดีจริงไหม?

                โปรแกรมฉีด HACa

                ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




                  วันที่สะดวกในการติดต่อ








                  โปรแกรมฉีด HACa คืออะไร? ยกกระชับผิว กระตุ้นคอลลาเจน ดีจริงไหม?

                  การดูแลผิวหน้าให้สดใส เต่งตึง และดูอ่อนกว่าวัย เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยเสริมความมั่นใจ ซึ่งในปัจจุบันด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า และทันสมัย ทำให้วงการแพทย์ความงามมีการพัฒนาเทคโนโลยี Hybrid Filler ขึ้นมาใหม่ ซึ่งเหนือกว่าโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์แบบปกติ โดยมีชื่อเรียกว่า “โปรแกรมฉีด HACa” ซึ่งมีการผสานคุณสมบัติแบบ Dual Effect ทั้งยกกระชับผิว และกระตุ้นคอลลาเจนไว้ในหลอดเดียว ทำให้สามารถแก้ปัญหาได้อย่างครอบคลุมมากขึ้น บทความนี้ ขอพาไปทำความรู้จักเกี่ยวกับโปรแกรมฉีด HACa ว่า โปรแกรมฉีด HACa คืออะไร? โปรแกรมฉีด HACa ดีอย่างไร? และโปรแกรมฉีด HACa เหมาะกับใคร? เพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการแก้ไขปัญหาผิว

                  โปรแกรมฉีด HACa คืออะไร? ตัวช่วยอัปผิวแน่น หน้ายก พร้อมกระตุ้นคอลลาเจน

                  รู้จัก 2 ส่วนประกอบเด่นของโปรแกรมฉีด HACa
                  รู้จัก 2 ส่วนประกอบเด่นของโปรแกรมฉีด HACa

                  โปรแกรมฉีด HACa คืออะไร?

                  โปรแกรมฉีด HACa เป็นชื่อย่อของโปรแกรมฉีด HArmonyCa เป็นโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ชนิดไฮบริด (Hybrid Filler) รุ่นใหม่จากบริษัท Allergan Aesthetics ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในวงการความงาม ซึ่งมีคุณสมบัติเด่นในการยกกระชับผิว และกระตุ้นคอลลาเจน เนื่องจากโปรแกรมฉีด HACa มีการรวมส่วนประกอบสำคัญระหว่าง Hyaluronic Acid (HA) และ Calcium Hydroxyapatite (CaHA) เข้าด้วยกันอย่างลงตัว ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ ทั้งในระยะสั้น และระยะยาว จึงถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจในการแก้ไขปัญหาผิว ไม่ว่าจะเป็นผิวหย่อนคล้อย มีริ้วรอย หรือผิวขาดความยืดหยุ่น

                  รู้จัก 2 ส่วนประกอบเด่นของโปรแกรมฉีด HACa

                  โปรแกรมฉีด HACa ประกอบไปด้วยส่วนประกอบเด่นถึง 2 ชนิด ดังนี้

                  • โปรแกรมฉีด HACa มีส่วนประกอบของ Hyaluronic Acid (HA)  

                  โปรแกรมฉีด HACa (HArmonyCa) มีส่วนประกอบของ Hyaluronic Acid (HA) ปริมาณ 70% ในรูปแบบ Crosslinked ซึ่ง HA เป็นสารที่สามารถพบได้ในร่างกายมนุษย์ โดยเฉพาะในผิวหนัง ทำหน้าที่หลักในการกักเก็บน้ำ ทำให้ผิวมีความชุ่มชื้น ยืดหยุ่น และดูอ่อนเยาว์มากขึ้น แต่เมื่ออายุมากขึ้น ร่างกายจะค่อย ๆ ผลิต HA ออกมาน้อยลง ทำให้ผิวหย่อนคล้อย และขาดความกระชับดังนั้น การฉีด HA สามารถเข้าไปยกกระชับผิว และเติมเต็มผิวในบริเวณที่ฉีด ทำให้ผิวกลับมาอิ่มฟู กระชับ และเรียบเนียนขึ้นในทันที

                  • โปรแกรมฉีด HACa มีส่วนประกอบของ Calcium Hydroxyapatite (CaHA) 

                  โปรแกรมฉีด HACa (HArmonyCa) มีส่วนประกอบของ Calcium Hydroxyapatite (CaHA) ปริมาณ 30% ซึ่งเป็นสารที่พบได้ในกระดูก และฟัน โดยจะอยู่ในรูปแบบของ Microspheres หรืออนุภาคขนาดเล็ก ที่มีลักษณะเป็นทรงกลม ทำหน้าที่หลักในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิว และฟื้นฟูโครงสร้างผิวให้แข็งแรง ทำให้ผิวมีความแน่นกระชับ ยืดหยุ่น และดูอ่อนเยาว์มากขึ้น

                  หลักการทำงานของโปรแกรมฉีด HACa

                  โปรแกรมฉีด HACa จะมีหลักการทำงาน และกลไกการออกฤทธิ์แบบ Dual Effect ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันระหว่าง Hyaluronic Acid (HA) และ Calcium Hydroxyapatite (CaHA) ทำให้มีประสิทธิภาพ ทั้งการยกกระชับผิว และกระตุ้นคอลลาเจนไปพร้อม ๆ กัน เมื่อฉีดโปรแกรมฉีด HACa เข้าสู่ผิว สาร HA จะเข้าไปเติมเต็มช่องว่างใต้ผิว และพยุงโครงสร้างผิวที่หย่อนคล้อย ให้ผิวเกิดการยกกระชับขึ้นในทันทีที่ฉีด หลังจากนั้น สาร CaHA ที่มีอนุภาคขนาดเล็ก จะเริ่มทำงานโดยการกระตุ้นการสร้างเส้นใยคอลลาเจน ผ่านเซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblasts) โดยตรง จึงทำให้คอลลาเจนชนิดที่ 1 และคอลลาเจนชนิดที่ 3 เพิ่มมากขึ้น ซึ่งคอลลาเจนที่ถูกสร้างขึ้นใหม่นั้น จะเข้าไปเสริมสร้างโครงสร้างผิว จนเกิดเป็นโครงสร้างคอลลาเจนที่แน่นหนา และแข็งแรงมากขึ้น ทำให้ผิวมีความกระชับ ยืดหยุ่น และลดเลือนริ้วรอยในระยะยาว

                  ทำไมถึงควรฉีดโปรแกรมฉีด HACa?
                  ทำไมถึงควรฉีดโปรแกรมฉีด HACa?

                  ทำไมถึงควรฉีดโปรแกรมฉีด HACa?

                  โดยปกติแล้ว ร่างกายของเราสามารถผลิตคอลลาเจน และอีลาสตินได้เอง ตามกระบวนการธรรมชาติ ผ่านการทำงานของเซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblasts) ซึ่งเป็นเซลล์สำคัญที่อยู่ในชั้นหนังแท้ (Dermis) ทำหน้าที่ในการสร้างคอลลาเจน และอีลาสติน เพื่อพยุงโครงสร้างผิวให้มีความแข็งแรง กระชับ และยืดหยุ่น

                  แต่เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น กลไกการทำงานของเซลล์ไฟโบรบลาสต์ในร่างกายก็เริ่มทำงานช้าลง ส่งผลให้การผลิตคอลลาเจนในร่างกายเริ่มเสื่อมสภาพลงตามไปด้วย ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้ว คอลลาเจนจะลดลงประมาณ 1 – 1.5% ต่อปี เมื่อร่างกายผลิตคอลลาเจนได้น้อยลง ผิวก็จะเริ่มสูญเสียความหนาแน่น ความชุ่มชื้น และความยืดหยุ่น จนเกิดเป็นริ้วรอย ร่องลึก และใบหน้าหย่อนคล้อยอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์แบบปกติ สามารถเติมเต็มริ้วรอย ร่องลึก และเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวได้ แต่จะไม่มีคุณสมบัติในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ดังนั้น โปรแกรมฉีด HACa จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่สามารถตอบโจทย์ ทั้งการยกกระชับผิว และกระตุ้นคอลลาเจนแบบยั่งยืนในขั้นตอนเดียว

                  โปรแกรมฉีด HACa มีความโดดเด่นอย่างไร?

                  เนื่องจากโปรแกรมฉีด HACa เป็นเทคโนโลยีไฮบริดฟิลเลอร์ (Hybrid Filler) ที่ให้ผลลัพธ์แบบ Dual Effect ซึ่งเป็นผลมาจากการผสมผสานคุณสมบัติของสาร 2 ชนิดเข้าด้วยกัน ได้แก่ Hyaluronic Acid (HA) และ Calcium Hydroxyapatite (CaHA) ทำให้โปรแกรมฉีด HACa มีความโดดเด่น ดังนี้

                  • โปรแกรมฉีด HACa ช่วยเสริมความแข็งแรงให้ผิว 

                  เนื่องจากโปรแกรมฉีด HACa มีส่วนประกอบสำคัญอย่าง Calcium Hydroxyapatite (CaHA) ซึ่งทำหน้าที่เป็นเหมือนโครงสร้างที่ช่วยพยุงผิว และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้โครงสร้างผิวแข็งแรงขึ้นในระยะยาว และผิวมีความหนาแน่นมากขึ้น ลดปัญหาผิวหย่อนคล้อย ไม่กระชับ ทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ

                  • โปรแกรมฉีด HACa ช่วยเสริมความยืดหยุ่นให้ผิว

                  เนื่องจากโปรแกรมฉีด HACa มีส่วนประกอบสำคัญอย่าง Hyaluronic Acid (HA) ซึ่งมีคุณสมบัติในการเพิ่มความยืดหยุ่น และความชุ่มชื้นให้ผิว ทำให้ผิวดูสุขภาพดี อิ่มฟู และผลลัพธ์ที่ได้มีความเป็นธรรมชาติ แก้ปัญหาริ้วรอยบนใบหน้าได้เป็นอย่างดี

                  • โปรแกรมฉีด HACa สามารถกระจายตัวได้ดี

                  เนื่องจากโปรแกรมฉีด HACa มีส่วนประกอบสำคัญอย่าง Hyaluronic Acid (HA) และ Calcium Hydroxyapatite (CaHA) ซึ่งถูกออกแบบมาให้สามารถกระจายตัวได้ดี และสม่ำเสมอในบริเวณที่ฉีด ไม่เกิดการจับตัวเป็นก้อนง่าย และกลมกลืนเข้ากับผิวได้อย่างเรียบเนียน มีความเป็นธรรมชาติสูง

                  • โปรแกรมฉีด HACa สามารถอุ้มน้ำได้ดี

                  เนื่องจากโปรแกรมฉีด HACa มีส่วนประกอบสำคัญอย่าง Hyaluronic Acid (HA) ทำให้สามารถอุ้มน้ำได้ดี และกักเก็บความชุ่มชื้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ผิวชุ่มชื้น อิ่มน้ำ และดูสุขภาพดี พร้อมทั้งลดเลือนริ้วรอยที่เกิดจากผิวขาดน้ำได้

                  โปรแกรมฉีด HACa เหมาะกับใคร?
                  โปรแกรมฉีด HACa เหมาะกับใคร?

                  โปรแกรมฉีด HACa เหมาะกับใคร?

                  • โปรแกรมฉีด HACa เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย

                  โปรแกรมฉีด HACa เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อย ผิวห้อยย้อย และขาดความกระชับ เนื่องจากโปรแกรมฉีด HACa มีส่วนประกอบของ Hyaluronic Acid (HA) และ Calcium Hydroxyapatite (CaHA) ซึ่งมีคุณสมบัติในการกระตุ้นคอลลาเจน และยกกระชับผิวในทันทีที่ฉีด แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยได้ในระยะยาว

                  • โปรแกรมฉีด HACa เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาริ้วรอย และร่องลึก

                  โปรแกรมฉีด HACa เหมาะสำหรับผู้ที่มีริ้วรอย ร่องลึก และร่องน้ำหมาก เนื่องจากโปรแกรมฉีด HACa มีส่วนประกอบของ Hyaluronic Acid (HA) และ Calcium Hydroxyapatite (CaHA) ซึ่งจะช่วยในการเติมเต็มริ้วรอย ร่องลึกอย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้ผิวหน้าดูอ่อนกว่าวัยอย่างเห็นได้ชัด

                  • โปรแกรมฉีด HACa เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหากรอบหน้าไม่คมชัด

                  โปรแกรมฉีด HACa เหมาะสำหรับผู้ที่มีกรอบหน้าไม่ชัด ใบหน้าขาดมิติ เนื่องจากโปรแกรมฉีด HACa มีส่วนประกอบของ Hyaluronic Acid (HA) และ Calcium Hydroxyapatite (CaHA) ซึ่งจะช่วยปรับรูปหน้า และยกกระชับผิวบริเวณกรอบหน้าให้มีความคมชัดมากขึ้น 

                  • โปรแกรมฉีด HACa เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหน้าขาดความยืดหยุ่น

                  โปรแกรมฉีด HACa เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวหน้าไม่ยืดหยุ่น ขาดคอลลาเจน เนื่องจากโปรแกรมฉีด HACa มีส่วนประกอบของ Calcium Hydroxyapatite (CaHA) ซึ่งจะช่วยในการกระตุ้นคอลลาเจน และอีลาสตินโดยตรง ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่น อิ่มฟู และเต่งตึงจากภายใน

                  • โปรแกรมฉีด HACa เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหน้าไม่แข็งแรง

                  โปรแกรมฉีด HACa เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวหน้าไม่แข็งแรง เนื่องจากโปรแกรมฉีด HACa มีส่วนประกอบของ Calcium Hydroxyapatite (CaHA) ซึ่งจะช่วยในการกระตุ้นคอลลาเจน และฟื้นฟูโครงสร้างผิวที่เสื่อมสภาพ ให้กลับมาแข็งแรง ทำให้ผิวมีความหนาแน่น เฟิร์มกระชับ และดูอ่อนเยาว์มากขึ้น

                  • โปรแกรมฉีด HACa เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหน้าขาดความชุ่มชื้น

                  โปรแกรมฉีด HACa เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวหน้าไม่ชุ่มชื้น ต้องการปรับสภาพผิวให้ดูสดใส เนื่องจากโปรแกรมฉีด HACa มีส่วนประกอบของ Hyaluronic Acid (HA) และ Calcium Hydroxyapatite (CaHA) ซึ่งมีคุณสมบัติในการกักเก็บความชุ่มชื้น และกระตุ้นคอลลาเจน จึงทำให้ผิวมีความอิ่มฟู สดใส และอิ่มน้ำมากขึ้น

                  โปรแกรมฉีด HACa ไม่เหมาะกับใคร?

                  • โปรแกรมฉีด HACa ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร เนื่องจากอาจส่งผลกระทบต่อลูกในครรภ์ได้ จึงควรหลีกเลี่ยงโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ทุกชนิด
                  • โปรแกรมฉีด HACa ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีโรคที่เกี่ยวข้องกับภูมิคุ้มกัน เช่น โรคแพ้ภูมิตัวเอง หรือโรคภูมิคุ้มกันผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนตัดสินใจฉีดโปรแกรมฉีด HACa
                  • โปรแกรมฉีด HACa ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีประวัติการแพ้ เช่น แพ้สาร Hyaluronic Acid (HA) หรือแพ้สาร Calcium Hydroxyapatite (CaHA) ควรหลีกเลี่ยงการฉีดโปรแกรมฉีด HACa
                  • โปรแกรมฉีด HACa ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีแผลเป็นนูน หรือมีประวัติเคยเป็นคีลอยด์ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนตัดสินใจฉีดโปรแกรมฉีด HACa
                  • โปรแกรมฉีด HACa ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหนังอักเสบ หรือติดเชื้อ เช่น สิวอักเสบ ลมพิษ ควรปรึกษาแพทย์ หรือรักษาอาการให้หายดีก่อน
                  • โปรแกรมฉีด HACa ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีโรคเลือดออกง่าย หรือโรคที่เกี่ยวข้องกับการแข็งตัวของเลือด  ควรปรึกษาแพทย์ก่อนตัดสินใจฉีดโปรแกรมฉีด HACa

                  โปรแกรมฉีด HACa ฉีดตำแหน่งไหนได้บ้าง?

                  โปรแกรมฉีด HACa สามารถฉีดได้หลายตำแหน่ง แต่โดยส่วนใหญ่ ตำแหน่งที่ฉีดโปรแกรมฉีด  HACa จะเน้นในการยกกระชับผิว และกระตุ้นคอลลาเจน โดยตำแหน่งที่นิยมฉีดโปรแกรมฉีด HACa มีดังนี้

                  • โปรแกรมฉีด HACa สามารถนำมาฉีดบริเวณโหนกแก้ม
                  • โปรแกรมฉีด HACa สามารถนำมาฉีดบริเวณขากรรไกรล่าง
                  • โปรแกรมฉีด HACa สามารถนำมาฉีดบริเวณกราม
                  โปรแกรมฉีด HACa มีข้อดีอย่างไร?
                  โปรแกรมฉีด HACa มีข้อดีอย่างไร?

                  โปรแกรมฉีด HACa มีข้อดีอย่างไร?

                  • โปรแกรมฉีด HACa สามารถให้ผลลัพธ์แบบ Dual Effect ด้วยส่วนประกอบของ Hyaluronic Acid (HA) ที่ช่วยเติมเต็ม และยกกระชับผิวในทันทีที่ฉีด และ Calcium Hydroxyapatite (CaHA) ที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และอีลาสตินในระยะยาว จึงทำให้ได้ 2 ผลลัพธ์ในขั้นตอนเดียว
                  • โปรแกรมฉีด HACa สามารถให้ผลลัพธ์ที่ยาวนาน เนื่องจากโปรแกรมฉีด HACa จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และอีลาสตินอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผลลัพธ์อยู่ได้ยาวนาน โดยเฉลี่ยประมาณ 12 – 18 เดือน จึงไม่ต้องมีการฉีดซ้ำบ่อย ถึงแม้สารในโปรแกรมฉีด HACa จะสลายไป แต่คอลลาเจนที่สร้างขึ้นใหม่ยังคงอยู่
                  • โปรแกรมฉีด HACa สามารถให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ เมื่อฉีดเข้าสู่ผิวแล้ว สารในโปรแกรมฉีด HACa จะกระจายตัวได้ดีในบริเวณที่ฉีด โดยไม่จับตัวเป็นก้อน และไม่ไหลย้อยง่าย ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้มีความเรียบเนียน และเป็นธรรมชาติ ใบหน้าดูไม่แข็งทื่อ
                  • โปรแกรมฉีด HACa ไม่ต้องพักฟื้นหลังฉีด โดยหลังฉีดโปรแกรมฉีด HACa สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ มีผลข้างเคียงเกิดขึ้นน้อยมาก เช่น มีอาการบวมแดง หรือปวดตึง ซึ่งถือเป็นอาการปกติ และไม่เป็นอันตราย จึงไม่ต้องใช้เวลาในการพักฟื้นหลังฉีด
                  • โปรแกรมฉีด HACa ไม่เป็นอันตราย เนื่องจากโปรแกรมฉีด HACa สามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ และไม่ทิ้งสารตกค้าง จึงไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ที่สำคัญโปรแกรมฉีด HACa ยังได้รับการรับรองจาก องค์การอาหารและยา (อย.) ของประเทศไทยอีกด้วย
                  • โปรแกรมฉีด HACa ให้ความรู้สึกเจ็บน้อยขณะฉีด เนื่องจากโปรแกรมฉีด HACa มีส่วนผสมของยาชา (Lidocaine) ร่วมด้วย ทำให้ขณะฉีดรู้สึกผ่อนคลาย และสบายผิวมากขึ้น จึงช่วยลดความรู้สึกเจ็บปวดขณะฉีดได้

                  วิธีการเตรียมตัวก่อนฉีดโปรแกรมฉีด HACa

                  • ก่อนฉีดโปรแกรมฉีด HACa ควรปรึกษาแพทย์ก่อนฉีด โดยแพทย์จะประเมินสภาพผิว และโครงสร้างใบหน้า เพื่อวางแผนการฉีดโปรแกรมฉีด HACa อย่างเหมาะสม
                  • ก่อนฉีดโปรแกรมฉีด HACa งดการรับประทานยา หรืออาหารเสริมที่ทำให้เลือดออกง่าย อย่างน้อย 1 สัปดาห์ เนื่องจากเป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอาการบวมช้ำหลังฉีด
                  • ก่อนฉีดโปรแกรมฉีด HACa งดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และสูบบุหรี่ทุกประเภท อย่างน้อย 1 – 2 วัน เนื่องจากเป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอาการบวมช้ำหลังฉีด
                  • ก่อนฉีดโปรแกรมฉีด HACa งดการทำเลเซอร์ ทรีตเมนต์ หรือสครับผิวหน้า อย่างน้อย 1 สัปดาห์ เนื่องจากเป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอาการอักเสบ หรือระคายเคืองหลังฉีด
                  • ก่อนฉีดโปรแกรมฉีด HACa ควรดื่มน้ำ และพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายมีความพร้อมสำหรับการฉีดโปรแกรมฉีด HACa 

                  ขั้นตอนการฉีดโปรแกรมฉีด HACa

                  • แพทย์จะประเมินใบหน้าก่อนฉีด โดยจะวิเคราะห์ปัญหาผิว และสอบถามประวัติสุขภาพ เช่น ประวัติโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ หรือยาที่กำลังรับประทานอยู่ เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียง
                  • ทำความสะอาดผิวหน้า โดยการเช็ดเครื่องสำอางให้สะอาด และฆ่าเชื้อในบริเวณที่ฉีด เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดการติดเชื้อ
                  • ถึงแม้ว่าโปรแกรมฉีด HACa จะมีส่วนผสมของยาชา (Lidocaine) ที่ช่วยลดความรู้สึกเจ็บขณะอยู่แล้ว แต่สำหรับผู้ที่มีความกังวลเรื่องความเจ็บ สามารถขอทายาชา หรือฉีดยาชาเพิ่มเติมได้ เพื่อเพิ่มความผ่อนคลายขณะฉีด
                  • แพทย์จะทำการฉีดโปรแกรมฉีด HACa เข้าไปยังผิวหน้าในตำแหน่งที่เหมาะสม โดยแพทย์จะใช้เทคนิคเฉพาะในการฉีด เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ได้ดูเป็นธรรมชาติ
                  • หลังฉีดโปรแกรมฉีด HACa เสร็จ แพทย์จะแนะนำให้ขั้นตอนการดูแลตัวเองหลังฉีด เพื่อป้องกันการเกิดผลข้างเคียง

                  วิธีการดูแลตัวเองหลังฉีดโปรแกรมฉีด HACa

                  • หลังฉีดโปรแกรมฉีด HACa สามารถประคบเย็นในบริเวณฉีดเบา ๆ เพื่อลดอาการบวม รอยแดง หรือรอยช้ำหลังฉีด
                  • หลังฉีดโปรแกรมฉีด HACa หลีกเลี่ยงการนวด กด หรือสัมผัสใบหน้าแรง ๆ ในบริเวณที่ฉีด อย่างน้อย 1 – 2 สัปดาห์
                  • หลังฉีดโปรแกรมฉีด HACa หลีกเลี่ยงการนอนตะแคง หรือนอนในท่าทางที่กดทับใบหน้า อย่างน้อย 1 – 2 สัปดาห์
                  • หลังฉีดโปรแกรมฉีด HACa งดการแต่งหน้า หรือใช้เครื่องสำอางในบริเวณที่ฉีด อย่างน้อย 12 – 24 ชั่วโมงแรกหลังฉีด
                  • หลังฉีดโปรแกรมฉีด HACa งดการออกกำลังกายหนัก เช่น คาร์ดิโอหนัก ๆ หรือยกเวท อย่างน้อย 1 – 2 วันหลังฉีด
                  • หลังฉีดโปรแกรมฉีด HACa งดความร้อน หรือแสงแดดจัด เช่น เข้าซาวน่า อบไอน้ำ หรือล้างหน้าด้วยความร้อน อย่างน้อย 1 – 2 สัปดาห์
                  • หลังฉีดโปรแกรมฉีด HACa งดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และสูบบุหรี่ทุกประเภท อย่างน้อย 1 – 2 วันหลังฉีด
                  • หลังฉีดโปรแกรมฉีด HACa งดการใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิว อย่างน้อย 1 – 2 สัปดาห์ เพื่อป้องกันการระคายเคืองหลังฉีด
                  • หลังฉีดโปรแกรมฉีด HACa งดการทำเลเซอร์ร้อน ทรีตเมนต์ หรือเครื่องยกกระชับ อย่างน้อย 2 – 4 สัปดาห์หลังฉีด
                  • หลังฉีดโปรแกรมฉีด HACa งดรับประทานยา หรืออาหารเสริม เช่น แอสไพริน หรือยาต้านการอักเสบ ที่ส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด อย่างน้อย 1 สัปดาห์หลังฉีด
                  ผลลัพธ์ที่ได้จากโปรแกรมฉีด HACa
                  ผลลัพธ์ที่ได้จากโปรแกรมฉีด HACa

                  ผลลัพธ์ที่ได้จากโปรแกรมฉีด HACa 

                  ผลลัพธ์ที่ได้หลังฉีดโปรแกรมฉีด HACa สามารถแบ่งได้เป็น 2 ระยะ ซึ่งมีทั้งผลลัพธ์ที่เห็นได้ในทันที และผลลัพธ์ในระยะยาว ดังนี้

                  • โปรแกรมฉีด HACa สามารถให้ผลลัพธ์ทันที ด้วยส่วนประกอบของ Hyaluronic Acid (HA) ที่ช่วยในการเติมเต็ม และยกกระชับผิวในทันทีที่ฉีด ทำให้ผิวชุ่มชื้น อิ่มฟู ใบหน้าดูมิติ รวมถึง ผิวกระชับขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
                  • โปรแกรมฉีด HACa สามารถให้ผลลัพธ์ระยะยาว ด้วยส่วนประกอบของ Calcium Hydroxyapatite (CaHA) ที่ช่วยในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผิวมีความแน่นกระชับ และยืดหยุ่น รวมถึง โครงสร้างผิวมีความแข็งแรงจากภายใน โดยผลลัพธ์จะเริ่มเห็นได้ชัดเจน ประมาณ 1 – 2 เดือนหลังฉีด

                  โปรแกรมฉีด HACa มีความอันตรายไหม?

                  โปรแกรมฉีด HACa เป็นเทคโนโลยีไฮบริดฟิลเลอร์ (Hybrid Filler) ที่ได้รับการรับรองจาก องค์การอาหารและยา (อย.)  นอกจากนี้ ส่วนประกอบสำคัญที่ใช้ในโปรแกรมฉีด HACa ได้แก่ Hyaluronic Acid (HA) และ Calcium Hydroxyapatite (CaHA) ยังเป็นสารที่สามารถพบได้ตามธรรมชาติในร่างกาย จึงสามารถเข้ากับร่างกายได้ดี และไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงในระยะยาว ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย ควรทำโปรแกรมฉีด HACa โดยแพทย์ที่มีความชำนาญ ภายในคลินิกที่ได้มาตรฐานเท่านั้น รวมถึง ใช้โปรแกรมฉีด HACa ของแท้ ที่สามารถตรวจสอบได้ เพื่อให้มั่นใจในผลลัพธ์ที่ดี และมีประสิทธิภาพหลังฉีด

                  โปรแกรมฉีด HACa สามารถอยู่ได้นานแค่ไหน?

                  โปรแกรมฉีด HACa สามารถคงผลลัพธ์อยู่ได้ยาวนาน ประมาณ 12 – 18 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล และการดูแลตัวเองหลังฉีด เนื่องจากโปรแกรมฉีด HACa มีส่วนประกอบของ Hyaluronic Acid (HA) ที่ช่วยยกกระชับผิว และ Calcium Hydroxyapatite (CaHA) ที่ช่วยกระตุ้นคอลลาเจน ทำให้สามารถคงผลลัพธ์ได้นานกว่าโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ปกติ ซึ่งแพทย์จะแนะนำให้กลับมาฉีดโปรแกรมฉีด HACa ซ้ำเมื่อครบกำหนด เพื่อคงประสิทธิภาพในการกระตุ้นคอลลาเจนอย่างต่อเนื่อง

                  ถาม – ตอบทุกเรื่องเกี่ยวกับโปรแกรมฉีด HACa

                  โปรแกรมฉีด HACa ฉีดพร้อมโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ได้ไหม?

                  • โปรแกรมฉีด HACa สามารถฉีดร่วมกับโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ได้ แต่ต้องขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแพทย์ และตำแหน่งที่ต้องการฉีด โดยจะต้องมีการประเมินสภาพผิว และวางแผนการรักษาอย่างเหมาะสม เพื่อให้ได้ผลลัพธ์น่าพึงพอใจ

                  โปรแกรมฉีด HACa ฉีดพร้อมโปรแกรมฉีด Radiesse ได้ไหม?

                  • โปรแกรมฉีด HACa และโปรแกรมฉีด Radiesse จะไม่แนะนำให้ฉีดร่วมกันในตำแหน่งเดียวกัน เนื่องจากสารของทั้งสองตัวนี้ อาจเข้าไปรบกวนการทำงานของกันและกัน รวมถึง อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้ แต่ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแพทย์ แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ก่อนตัดสินใจฉีด เพื่อวางแผนการรักษาอย่างเหมาะสม

                  โปรแกรมฉีด HACa ฉีดกี่วันถึงเห็นผล?

                  • โปรแกรมฉีด HACa สามารถเห็นผลลัพธ์ในด้านการยกกระชับผิว และเติมเต็มได้ในทันทีที่ฉีด จากนั้นเมื่อผ่านไป 1 เดือน จะค่อย ๆ เห็นผลลัพธ์ในด้านการกระตุ้นคอลลาเจน เนื่องจากโปรแกรมฉีด HACa มีกลไกการออกฤทธิ์แบบ Dual Effect คือ การยกกระชับผิวจาก Hyaluronic Acid (HA) และกระตุ้นคอลลาเจนจาก Calcium Hydroxyapatite (CaHA) ทำให้ได้ผลลัพธ์ทั้งในระยะสั้น และระยะยาว

                  โปรแกรมฉีด HACa ต้องฉีดบ่อยแค่ไหน?

                  • โปรแกรมฉีด HACa สามารถคงผลลัพธ์ได้นาน ประมาณ 12 – 18 เดือน แต่โดยทั่วไป จะแนะนำให้ฉีดโปรแกรมฉีด HACa ซ้ำทุก 1 ปี ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และการดูแลตัวเองของแต่ละบุคคล เพื่อคงประสิทธิภาพของผลลัพธ์ให้ดูอ่อนเยาว์อย่างต่อเนื่อง

                  โปรแกรมฉีด HACa ต้องพักฟื้นหลังฉีดไหม?

                  • หลังฉีดโปรแกรมฉีด HACa ไม่จำเป็นต้องพักฟื้นหลังฉีด สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติทันที แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น แนะนำให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เช่น หลีกเลี่ยงการสัมผัสบริเวณที่ฉีด งดโดนความร้อน หรืองดออกกำลังกายหนัก เพื่อป้องกันการเกิดผลข้างเคียงในอนาคต

                  โปรแกรมฉีด HACa ขณะฉีดเจ็บไหม?

                  • โปรแกรมฉีด HACa จะให้ความรู้สึกเจ็บน้อยมากขณะฉีด เนื่องจากโปรแกรมฉีด HACa มีส่วนผสมของยาชา (Lidocaine) จึงช่วยลดความรู้สึกเจ็บปวดขณะฉีดลงได้ แต่ทั้งนี้ สามารถขอทายาชา หรือฉีดยาชาเพิ่มเติมได้ เพื่อให้รู้สึกผ่อนคลาย สบายตัวมากขึ้น

                  โปรแกรมฉีด HACa ถือเป็นเทคโนโลยีไฮบริดฟิลเลอร์ ที่ตอบโจทย์สำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย ผิวไม่กระชับ และต้องการเติมเต็มคอลลาเจนให้ผิว ซึ่งการฉีดโปรแกรมฉีด HACa เพียงครั้งเดียว สามารถคงผลลัพธ์ได้นานถึง 12 – 18 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และการดูแลตัวเองหลังฉีด โดยจะให้ผลลัพธ์แบบ Dual Effect ทั้งยกกระชับผิวจาก Hyaluronic Acid (HA) ในทันที แต่กระตุ้นคอลลาเจนจาก Calcium Hydroxyapatite (CaHA) ระยะยาว ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้มีประสิทธิภาพ และมีความยั่งยืนมากกว่าโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์แบบปกติ โดยไม่ต้องผ่าตัด และไม่ต้องพักฟื้น สำหรับใครที่สนใจฉีดโปรแกรมฉีด HACa สามารถเข้ามาสอบถามเพิ่มเติม หรือปรึกษากับทีมแพทย์ของ รมย์รวินท์คลินิก ได้ทุกสาขา เพื่อให้แพทย์วิเคราะห์ และประเมินสภาพผิวหน้า พร้อมออกแบบการรักษาอย่างเหมาะสม ตอบโจทย์ความต้องการอย่างแท้จริง

                  รมย์รวินท์คลินิกจัด CPR LEARNING เสริมทักษะมาตรฐานในการรักษา

                  CPR LEARNING

                  รมย์รวินท์คลินิกจัด CPR LEARNING เสริมทักษะมาตรฐานในการรักษา

                   

                  รมย์รวินท์คลินิก จัดโครงการ CPR LEARNING เพื่อทักษะการให้บริการและการปฐมพยาบาลเบื้องต้นแก่บุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ นำทีมโดย มาดามจอย ขวัญฤทัย ดำรงค์วัฒนโภคิณ พญ.ฐานิสร ธรรมลิขิตกุล (ว.10656), พญ.ธิรดา จิตตการ (ว.30170), พญ.ช่ออัญชัญ ปัญญาเอกะวิทู (ว.49909) พญ.วรรณวิมล วรรณรักษณ์ (ว.27827) และ นพ.กันตพงศ์ พลอยดนัย (ว.36397) โดยมีเป้าหมายยกระดับมาตรฐานในการดูแลลูกค้า พร้อมเสริมสร้างความมั่นใจในการรับมือกับเหตุฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้น เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2568 ณ โรงแรม Eastin Grand Sathorn ที่ผ่านมา

                   

                  ภายในงานมีการบรรยายทางวิชาการเกี่ยวกับ เทคนิคการดูแลสุขภาพและโรคอ้วน พร้อมแนะนำโปรแกรม Super Slim ซึ่งเป็นโปรแกรมที่ช่วยลดสัดส่วนที่พัฒนาขึ้นจากเทคโนโลยีล่าสุด โดยได้รับการถ่ายทอดความรู้จากทีมแพทย์เฉพาะทาง นอกจากนี้ยังเปิดโอกาสให้แชร์ประสบการณ์เกี่ยวกับเทคนิคการให้คำแนะนำแก่ลูกค้า

                   

                  CPR LEARNING
                  CPR LEARNING

                   

                  การเสริมสร้างความรู้เกี่ยวกับเทคนิคการปรับรูปร่าง (Body Contouring) เป็นอีกหนึ่งหัวข้อที่ได้รับความสนใจจากกิจกรรม CPR LEARNING เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องในอุตสาหกรรมความงาม การให้คำแนะนำที่ถูกต้องแก่ลูกค้า ถือเป็นหัวใจสำคัญของรมย์รวินท์คลินิก

                   

                  มุ่งเน้นการ CPR LEARNING และปฐมพยาบาลฉุกเฉิน

                  หนึ่งในหัวข้อสำคัญของ CPR LEARNING ครั้งนี้ คือการให้ความรู้และฝึกทักษะเกี่ยวกับ การช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน (Cardiopulmonary Resuscitation – CPR) ซึ่งเป็นกระบวนการช่วยเหลือผู้ที่หัวใจหยุดเต้นหรือหายใจล้มเหลวอย่างกะทันหัน โดยได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้เชี่ยวชาญจาก บริษัทเซนต์เมด มาให้คำแนะนำและฝึกปฏิบัติการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐานอย่างถูกต้อง

                   

                  CPR LEARNING
                  CPR LEARNING

                   

                  นอกจากการฝึก CPR LEARNING แล้วยังครอบคลุมถึงการปฐมพยาบาลในกรณีฉุกเฉิน เช่น อาการสำลัก อาการหมดสติ และการบาดเจ็บที่อาจเกิดขึ้นในสถานพยาบาล เพื่อให้บุคลากรของรมย์รวินท์คลินิกสามารถรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

                   

                  ทักษะการปฐมพยาบาลที่ถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากการช่วยเหลือผู้ป่วยในช่วงนาทีทองสามารถเพิ่มโอกาสรอดชีวิตและลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นต่อร่างกายได้ รมย์รวินท์คลินิกตระหนักถึงความสำคัญของลูกค้าและบุคลากร จึงมุ่งมั่นพัฒนาทักษะของพนักงานให้พร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์

                   

                  CPR LEARNING
                  CPR LEARNING

                   

                  เสริมสร้างประสบการณ์ผ่านกิจกรรมเชิงปฏิบัติการ

                  เพื่อให้ CPR LEARNING เป็นไปอย่างเข้มข้นและมีประสิทธิภาพ รมย์รวินท์คลินิกได้จัดกิจกรรมฝึกปฏิบัติจริงเกี่ยวกับ การให้บริการลูกค้า และการนำเสนอผลิตภัณฑ์ โดยให้ผู้เข้าร่วมอบรมได้ทดลองฝึกใช้เทคนิคที่ได้รับจากการเรียนรู้รวมถึงการแชร์ประสบการณ์จากผู้มีประสบการณ์ตรงในด้านเทคนิคการขาย

                   

                  นอกจากนี้ ผู้เข้าร่วม CPR LEARNING ยังได้มีโอกาสฝึกฝนการใช้เครื่องมือทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับการทำทรีตเมนต์เสริมความงาม เพื่อเพิ่มความมั่นใจและความเชี่ยวชาญในการให้บริการลูกค้าในอนาคต

                   

                  Lucky Draw และกิจกรรมพิเศษเพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ในองค์กร

                  นอกเหนือจาก CPR LEARNING และการฝึกปฏิบัติแล้ว ภายในงานยังมี กิจกรรม Lucky Draw และอาหารกลางวันร่วมกัน เพื่อเป็นการขอบคุณผู้เข้าร่วม CPR LEARNING และเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างทีมงาน

                   

                  บรรยากาศภายในงานเป็นไปอย่างอบอุ่นและเป็นกันเอง ผู้เข้าร่วม CPR LEARNING ทุกคนให้ความสนใจและมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะในช่วงของการฝึกปฏิบัติ CPR และการปฐมพยาบาลเบื้องต้นที่ได้รับความสนใจเป็นพิเศษ

                   

                  CPR LEARNING
                  CPR LEARNING

                  รมย์รวินท์คลินิก มุ่งมั่นพัฒนาการบริการที่เป็นเลิศ

                   

                  การจัด CPR LEARNING ในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของรมย์รวินท์คลินิก ในการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรให้มีความพร้อมในการให้บริการที่เป็นมาตรฐานระดับสากล ในด้านคุณภาพของการให้คำปรึกษาทางการแพทย์

                   

                  รมย์รวินท์คลินิกยังคงเดินหน้าจัดกิจกรรม เพื่อพัฒนาทักษะของบุคลากรอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มั่นใจว่า ลูกค้าจะได้รับการดูแลที่ดี ภายใต้แนวคิด “For the better you” ที่รมย์รวินท์คลินิกยึดมั่นเสมอมา

                   

                  ในอนาคตรมย์รวินท์คลินิก ยังคงมุ่งมั่นจัดกิจกรรมฝึก CPR LEARNING อย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มศักยภาพของบุคลากรให้สามารถให้บริการได้อย่างมีคุณภาพสูงสุด พร้อมรองรับทุกความต้องการของลูกค้าในทุกสถานการณ์

                  โปรแกรม Ultherapy ราคาเท่าไหร่? เจาะลึกการยกกระชับผิวที่ตอบโจทย์ทุกวัย พร้อมราคาอัปเดต 2025

                  โปรแกรม Ultherapy

                  โปรแกรม Ultherapy ราคาเท่าไหร่? เจาะลึกการยกกระชับผิวที่ตอบโจทย์ทุกวัย พร้อมราคาอัปเดต 2025

                   

                  เมื่อพูดถึงเทคโนโลยีการยกกระชับผิวที่ให้ผลลัพธ์ชัดเจนและยาวนาน โปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) เป็นชื่อที่ถูกพูดถึงเป็นอันดับต้น ๆ ในวงการความงาม ด้วยเทคโนโลยีที่ใช้พลังงานคลื่นอัลตราซาวนด์เจาะลึกเข้าสู่ชั้นผิว ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและยกกระชับผิวได้อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาผิวหย่อนคล้อย ริ้วรอย หรือโครงหน้าที่ขาดความชัดเจน โปรแกรม  Ultherapy (อัลเทอร่า) สามารถตอบโจทย์ได้ทุกช่วงวัย ทั้งในเรื่องผลลัพธ์ที่น่าประทับใจและกระบวนการที่ไม่อันตราย

                   

                  นอกจากนี้โปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) ยังได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในกลุ่มคนที่ต้องการดูแลตัวเองแบบไม่ต้องพึ่งการผ่าตัดหรือศัลยกรรมใหญ่ เพราะใช้เวลาไม่นาน เห็นผลลัพธ์หลังทำเพียงไม่นาน และไม่ต้องพักฟื้นผิว จึงเหมาะสำหรับคนยุคใหม่ที่ต้องการความสะดวกสบายและมีไลฟ์สไตล์เร่งรีบ

                   

                  ในบทความนี้ เราจะพาคุณเจาะลึกทุกเรื่องที่ควรรู้เกี่ยวกับโปรแกรม Ulthera (อัลเทอร่า) ตั้งแต่เทคโนโลยีที่ใช้ ข้อดีของการทำโปรแกรม Ulthera (อัลเทอร่า) ผลลัพธ์ที่ได้ ไปจนถึงราคาค่าบริการ และสิ่งที่ควรพิจารณาก่อนเลือกทำ เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่าการยกกระชับผิวด้วยโปรแกรม  Ulthera (อัลเทอร่า) เหมาะกับคุณหรือไม่

                   

                  โปรแกรม Ultherapy ราคาเท่าไหร่? ราคาอัปเดตใหม่ล่าสุด 2025

                  ราคาของโปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น พื้นที่ที่ทำการรักษา ปัญหาผิวที่ต้องการแก้ไข และจำนวนช็อต (Shots) ที่ใช้ในแต่ละครั้ง โดยทั่วไป ราคาการทำโปรแกรม  Ultherapy (อัลเทอร่า) มีดังนี้

                  • โปรแกรม Ultherapy ราคายกกระชับเฉพาะจุด เช่น รอบดวงตา ยกคิ้ว เริ่มต้นประมาณ 10,000 – 20,000 บาท
                  • โปรแกรม Ultherapy ราคายกกระชับกรอบหน้า ราคาอยู่ในช่วงประมาณ 30,000 – 50,000 บาท
                  • โปรแกรม Ultherapy ราคายกกระชับทั้งใบหน้าและลำคอ ราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 60,000 – 100,000 บาทขึ้นไป

                  อย่างไรก็ตาม ราคาดังกล่าวอาจแตกต่างกันไปตามโปรโมชั่นของคลินิกที่ให้บริการ คุณภาพของเครื่องโปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) ที่ใช้ และความรู้ของแพทย์ผู้ทำการรักษา

                   

                  โปรแกรม Ultherapy ราคาถูกกับราคาแพง แตกต่างกันอย่างไร?

                  การทำโปรแกรม Ultherapy ราคาถูกและราคาแพงมีความแตกต่างในหลายด้าน ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพการบริการและผลลัพธ์ที่ได้รับ ดังนี้

                   

                  • คุณภาพของเครื่องโปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า)

                  การใช้เครื่องแท้ที่ได้รับการรับรองจาก FDA ของประเทศสหรัฐอเมริกา ส่วนมากจะพบได้ในคลินิกที่มีราคาสูง เนื่องจากสามารถให้พลังงานคลื่นอัลตราซาวนด์ที่แม่นยำ เจาะลึกถึงชั้น SMAS เพื่อยกกระชับผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ในทางกลับกัน คลินิกราคาถูกอาจใช้เครื่องที่ไม่ได้รับการรับรอง หรือเครื่องเลียนแบบ ซึ่งมีคุณภาพต่ำกว่า ผลลัพธ์อาจไม่ชัดเจน และเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียงตามมาภายหลัง เช่น ผิวไหม้ 

                   

                  • จำนวนช็อต (Shots) ที่ใช้

                  จำนวนช็อตที่ใช้ส่งผลโดยตรงต่อราคาและผลลัพธ์ของการทำโปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) คลินิกราคาถูกมักจะเลือกใช้จำนวนช็อตน้อย หรือไม่ได้ระบุจำนวนช็อตที่ชัดเจน ซึ่งอาจทำให้ผลลัพธ์ไม่สมบูรณ์ ในขณะที่คลินิกราคาแพง จะมีการกำหนดจำนวนช็อตอย่างเหมาะสมกับปัญหาผิวของแต่ละบุคคล และแจ้งรายละเอียดให้ทราบอย่างชัดเจน

                   

                  • ความรู้และประสบการณ์ของแพทย์

                  การทำโปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) โดยแพทย์ที่มีความรู้ มีผลต่อผลลัพธ์ที่ได้ คลินิกราคาถูกบางแห่งอาจใช้บุคลากรที่ไม่มีประสบการณ์ หรือไม่ได้รับการฝึกอบรมเฉพาะทาง ซึ่งอาจทำให้ผลลัพธ์ออกมาไม่ดี หรือเกิดปัญหาต่อผิว ในขณะที่คลินิกราคาแพงมักมีแพทย์ผู้มีความรู้และประสบการณ์สูงที่สามารถวางแผนการรักษาและปรับการยิงคลื่นพลังงานได้อย่างแม่นยำ

                   

                  • บริการเสริมและการดูแลหลังทำ

                  คลินิกราคาถูกอาจไม่มีการติดตามผลหลังทำ หรือให้บริการดูแลเพิ่มเติม เช่น การตรวจสภาพผิวหรือคำแนะนำการดูแลผิวหลังทำ อีกทั้งยังอาจใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้มาตรฐาน ในขณะที่คลินิกราคาแพงจะมีบริการติดตามผลและดูแลอย่างใกล้ชิด รวมถึงใช้ผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงเพื่อนดูแลผิวหลังการรักษา

                   

                  • โปรโมชั่น

                  คลินิกราคาถูกอาจมีโปรโมชั่นดึงดูดใจ แต่รายละเอียดเกี่ยวกับเครื่องมือ จำนวนช็อต หรือแพทย์ผู้ให้บริการอาจไม่ชัดเจน ในบางกรณีอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมที่ไม่ได้แจ้งไว้ล่วงหน้า ส่วนคลินิกราคาแพงมักโปร่งใสในเรื่องข้อมูล เช่น จำนวนช็อตที่ใช้ คุณภาพของเครื่อง และชื่อแพทย์ผู้ทำการรักษา พร้อมให้คำปรึกษาอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจ

                   

                  การเลือกทำโปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) ไม่ควรพิจารณาเพียงแค่ราคาถูกหรือแพงเท่านั้น แต่ควรให้ความสำคัญกับคุณภาพของเครื่อง ความเชี่ยวชาญของแพทย์ และการบริการหลังทำ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่า แม้ว่าราคาสูงจะมีค่าใช้จ่ายที่มากกว่า แต่ก็อาจสะท้อนถึงความมั่นใจในคุณภาพและผลลัพธ์ที่ดีกว่าในระยะยาว

                   

                  โปรแกรม Ultherapy ราคาในแต่ละพื้นที่ของร่างกาย

                  การทำโปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) เป็นวิธีการยกกระชับผิวที่สามารถปรับแต่งให้เหมาะสมกับปัญหาในแต่ละจุดของใบหน้าและลำคอได้ ราคาจะแตกต่างกันไปตามพื้นที่ที่ทำการรักษาและจำนวนช็อต (Shots) ที่ใช้ในแต่ละบริเวณ ดังนี้

                   

                  ราคาการทำโปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) เฉพาะจุด

                  • รอบดวงตา – การทำโปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) รอบดวงตาเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยเล็ก ๆ หรือผิวหย่อนคล้อยบริเวณรอบดวงตา ซึ่งเป็นพื้นที่เล็กที่ใช้จำนวนช็อตไม่มาก ราคาประมาณ 10,000 – 15,000 บาท
                  • ยกคิ้ว – เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปรับคิ้วให้ยกขึ้นและทำให้ดวงตาดูสดใสยิ่งขึ้น การทำโปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) ยกคิ้วเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม โดยมีราคาประมาณ 10,000 – 20,000 บาท
                  • กรอบหน้า – การทำโปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) บริเวณกรอบหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับ ลดความหย่อนคล้อย และสร้างกรอบหน้าที่ชัดเจน ราคาอยู่ที่ประมาณ 30,000 – 50,000 บาท
                  • ลำคอ – เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาความหย่อนคล้อยบริเวณลำคอ การทำโปรแกรม  Ultherapy (อัลเทอร่า) จะช่วยยกกระชับผิวและลดริ้วรอยได้ดี ราคาอยู่ที่ประมาณ 20,000 – 40,000 บาท
                  • ใบหน้าและลำคอ – หากต้องการยกกระชับทั้งใบหน้าและลำคอแบบครบวงจร การทำโปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) จะให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและครอบคลุม ราคาจะอยู่ที่ 60,000 – 100,000 บาทขึ้นไป ขึ้นอยู่กับจำนวนช็อตที่ใช้

                   

                  โปรแกรม Ultherapy ราคาสูงกว่า คุ้มค่าอย่างไร?
                  โปรแกรม Ultherapy ราคาสูงกว่า คุ้มค่าอย่างไร?

                   

                  โปรแกรม Ultherapy ราคาสูงกว่า คุ้มค่าอย่างไร?

                  • ใช้เครื่องโปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) แท้ที่ได้รับการรับรอง FDA

                  คลินิกราคาแพงใช้เครื่องโปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) ที่ได้รับการรับรองจาก FDA สหรัฐอเมริกา มีมาตรฐานสูง เครื่องแท้สามารถปล่อยคลื่นอัลตราซาวนด์ได้อย่างแม่นยำ เจาะลึกถึงชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นที่ช่วยยกกระชับผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะที่คลินิกราคาถูกอาจใช้เครื่องเลียนแบบที่ผลลัพธ์ไม่ดีเท่า และอาจเสียงต่อผลข้างเคียงได้

                  • แพทย์ที่มีความรู้และประสบการณ์สูง

                  คลินิกราคาแพงจะมีทีมแพทย์ที่ผ่านการอบรมการทำโปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) อย่างลึกซึ้ง สามารถวิเคราะห์ปัญหาผิวและออกแบบการรักษาได้อย่างแม่นยำ ในขณะที่คลินิกราคาถูกอาจใช้แพทย์ที่มีประสบการณ์น้อย หรืออาจใช้บุคลากรที่ไม่ใช้แพทย์ทำการรักษา ซึ่งอาจเสียงต่อความผิดพลาดและผลลัพธ์ที่ไม่ตรงตามต้องการ

                  • จำนวนช็อต (Shots) ที่ได้มาตรฐาน

                  คลินิกราคาแพงจะใช้จำนวนช็อตตามมาตรฐานที่เหมาะสมกับปัญหาผิวแต่ละบุคคลและบริเวณที่ทำการรักษา ทำให้เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนและอยู่ได้นานขึ้น ในขณะที่คลินิกราคาถูกบางแห่งอาจลดจำนวนช็อตเพื่อประหยัดต้นทุน ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้ไม่เต็มที่

                  • ผลลัพธ์ที่คุ้มค่าและอยู่ได้นาน

                  การทำโปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) กับคลินิกที่มีคุณภาพสูงให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและอยู่ได้นานถึง 12-24 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล ในขณะที่การทำกับคลินิกราคาถูกที่ใช้เครื่องคุณภาพต่ำ หรือยิงช็อตไม่ถูกต้อง อาจให้ผลลัพธ์ที่อยู่ได้เพียงไม่กี่เดือน

                  • ลดความเสี่ยงของผลข้างเคียง

                  คลินิกราคาแพงให้ความสำคัญกับผลลัพธ์ที่ไม่อันตราย มีมาตรฐานด้านสุขอนามัยที่เข้มงวด และใช้เทคนิคที่ช่วยลดความเจ็บปวดและลดความเสี่ยงของผลข้างเคียง เช่น อาการบวม หรือผิวไหม้จากพลังงานที่ไม่เสถียร ขณะที่คลินิกราคาถูกอาจไม่มีมาตรการป้องกันที่ดีพอ ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์

                  • บริการดูแลหลังทำที่ครบวงจร

                  คลินิกราคาแพงมักมีบริการติดตามผลหลังทำโปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) เช่น การตรวจเช็กสภาพผิวและให้คำแนะนำเพิ่มเติมเพื่อให้ผลลัพธ์อยู่ได้นานที่สุด ในขณะที่คลินิกราคาถูกอาจไม่มีการติดตามผลหลังทำ ทำให้ผู้รับบริการต้องดูแลตัวเองโดยไม่มีคำแนะนำที่ถูกต้อง

                  • สถานที่และบรรยากาศของคลินิกที่ได้มาตรฐาน

                  คลินิกราคาแพงมักมีสภาพแวดล้อมที่สะอาด และได้รับการออกแบบให้ลูกค้ารู้สึกสบายใจระหว่างทำการรักษา ในขณะที่บางคลินิกราคาถูกอาจมีสถานที่ที่ไม่ได้มาตรฐาน หรืออุปกรณ์ที่ไม่สะอาดพอ

                   

                  การทำโปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) กับคลินิกที่มีราคาสูงกว่าอาจดูเหมือนเป็นการลงทุนที่แพงกว่าในระยะสั้น แต่เมื่อพิจารณาถึงคุณภาพของเครื่องมือ ความเชี่ยวชาญของแพทย์ จำนวนช็อตที่ได้มาตรฐาน และการบริการหลังทำแล้ว จะเห็นได้ว่าคุ้มค่ากว่าในระยะยาว เพราะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า อยู่ได้นานขึ้น มากกว่าเดิม

                   

                  สรุปข้อดีของการทำโปรแกรม Ultherapy ราคาสูงกว่า ดีอย่างไร?

                  • โปรแกรม Ultherapy ราคาสูง ใช้เครื่องแท้ที่ได้รับการรับรองจาก FDA ของสหรัฐอเมริกาและของไทย
                  • โปรแกรม Ultherapy ราคาสูง ทำโดยแพทย์เฉพาะทางที่มีประสบการณ์สูง
                  • โปรแกรม Ultherapy ราคาสูง มีจำนวนช็อตที่เหมาะสม ช่วยให้ผลลัพธ์อยู่ได้นาน
                  • โปรแกรม Ultherapy ราคาสูง ช่วยลดความเสี่ยงของผลข้างเคียง เช่น ผิวไหม้ อาการบวม
                  • โปรแกรม Ultherapy ราคาสูง มีบริการดูแลหลังทำ ช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี
                  • โปรแกรม Ultherapy ราคาสูง ให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ ไม่แข็งหรือดูผิดปกติ
                  • โปรแกรม Ultherapy ราคาสูง ทำเพียงครั้งเดียว เห็นผลในระยะยาว
                  • โปรแกรม Ultherapy ราคาสูง มีสถานที่สะอาด ได้มาตรฐาน
                  • โปรแกรม Ultherapy ราคาสูง มีรีวิวจากผู้ใช้จริงและดารา-เซเลบริตี้เลือกใช้
                  • โปรแกรม Ultherapy ราคาสูง การันตีผลลัพธ์ที่ดีกว่าในระยะยาว

                   

                  ทำความรู้จัก โปรแกรมUltherapy (อัลเทอร่า) คืออะไร ทำไมได้รับความนิยมอย่างมาก
                  ทำความรู้จัก โปรแกรมUltherapy (อัลเทอร่า) คืออะไร ทำไมได้รับความนิยมอย่างมาก

                   

                  ทำความรู้จัก โปรแกรมUltherapy (อัลเทอร่า) คืออะไร ทำไมได้รับความนิยมอย่างมาก

                  โปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) เป็นเทคโนโลยียกกระชับผิวที่ใช้คลื่นอัลตราซาวนด์ความถี่สูง ซึ่งสามารถเจาะลึกไปถึงชั้นผิว SMAS (Superficial Musculoaponeurotic System) ซึ่งเป็นชั้นเดียวกับที่ศัลยแพทย์ใช้ในการผ่าตัดดึงหน้า เทคโนโลยีนี้ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ส่งผลให้ผิวมีความกระชับ ยืดหยุ่น และเรียบเนียนขึ้น

                   

                  โปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) สามารถยกกระชับผิวโดยไม่ต้องผ่าตัด และให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย ริ้วรอยก่อนวัย หรือขาดความกระชับบริเวณใบหน้า กรอบหน้า ลำคอ และเนินอก โดยไม่ต้องพักฟื้นและสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติทันทีหลังทำ

                   

                  เทคโนโลยีนี้ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาประเทศสหรัฐอเมริกา (US FDA) และองค์การอาหารและยาประเทศไทย (อย.ไทย) ให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ ทำให้โปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) เป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับและฟื้นฟูสภาพผิวโดยไม่ต้องผ่าตัดศัลยกรรม

                   

                  ใครบ้างที่เหมาะกับการทำโปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) ?
                  ใครบ้างที่เหมาะกับการทำโปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) ?

                   

                  ใครบ้างที่เหมาะกับการทำโปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) ?

                  • โปรแกรม Ultherapy เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหากรอบหน้าไม่ชัด มีเหนียง หรือแก้มหย่อนคล้อย
                  • โปรแกรม Ultherapy เหมาะสำหรับผู้ที่มีริ้วรอยรอบดวงตา หรือหนังตาตก
                  • โปรแกรม Ultherapy เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยบริเวณใบหน้า ลำคอ และเนินอก
                  • โปรแกรม Ultherapy เหมาะสำหรับผู้ที่มีคิ้วตก หนังตาหย่อนคล้อย หรือดวงตาดูเหนื่อยล้า
                  • โปรแกรม Ultherapy เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับใบหน้าโดยไม่ต้องศัลยกรรม
                  • โปรแกรม Ultherapy เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเห็นผลลัพธ์แบบค่อยเป็นค่อยไปอย่างเป็นธรรมชาติ
                  • โปรแกรม Ultherapy เหมาะสำหรับผู้ที่มีไลฟ์สไตล์เร่งรีบ ไม่สามารถพักฟื้นได้
                  • โปรแกรม Ultherapy เหมาะสำหรับผู้ที่ลดน้ำหนักแล้วมีปัญหาผิวหย่อนคล้อย
                  • โปรแกรม Ultherapy เหมาะสำหรับคุณแม่หลังคลอดที่มีปัญหาผิวหน้าและลำคอหย่อนคล้อย
                  • โปรแกรม Ultherapy เหมาะสำหรับผู้ที่แพ้โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ หรือไม่ต้องการฉีดสารเติมเต็ม
                  • โปรแกรม Ultherapy เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูสภาพผิวจากแสงแดดและมลภาวะ
                  • โปรแกรม Ultherapy เหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มมีริ้วรอยแห่งวัย หรือผิวดูหย่อนคล้อยไม่กระชับ
                  • โปรแกรม Ultherapy เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวบาง ผิวไม่กระชับ หรือขาดความยืดหยุ่น
                  • โปรแกรม Ultherapy เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการให้ลำคอดูกระชับ และไม่มีรอยพับของผิวหนัง
                  • โปรแกรม Ultherapy เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการให้ ผิวเนินอกเรียบเนียนขึ้น
                  • โปรแกรม Ultherapy เหมาะสำหรับผู้ที่รู้สึกว่าโครงหน้าดูตก หรือใบหน้าดูโทรมจากอายุที่เพิ่มขึ้น
                  • โปรแกรม Ultherapy เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการให้ใบหน้าและลำคอดูเรียบเนียนไปพร้อมกัน

                   

                  ใครบ้างที่ไม่เหมาะกับการทำโปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า)?

                  • โปรแกรม Ultherapy ไม่เหมาะสำหรับสตรีมีครรภ์และให้นมบุตร
                  • โปรแกรม Ultherapy ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการบาดเจ็บหรือแผลเปิดบนใบหน้า
                  • โปรแกรม Ultherapy ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีการติดเชื้อที่ผิวหนังบริเวณที่ต้องการทำ  เช่น สิวอักเสบรุนแรง โรคเริม
                  • โปรแกรม Ultherapy ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน โรคภูมิแพ้ตัวเอง หรือผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง
                  • โปรแกรม Ultherapy ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับเส้นประสาทหรือโรคทางสมอง
                  • โปรแกรม Ultherapy ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายหรือมีภาวะผิวหนังบางผิดปกติ
                  • โปรแกรม Ultherapy ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีรากฟันเทียมหรือโลหะฝังในใบหน้า
                  • โปรแกรม Ultherapy ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับหลอดเลือด หรือโรคหัวใจ
                  • โปรแกรม Ultherapy ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีประวัติแพ้ความร้อนหรือไวต่อพลังงานอัลตราซาวนด์
                  • โปรแกรม Ultherapy ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวหนาหรือไขมันสะสมใต้ผิวมากเกินไป
                  • โปรแกรม Ultherapy ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีประวัติแพ้ยาชา หรือมีความไวต่อยาชา
                  • โปรแกรม Ultherapy ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เพิ่งทำหัตถการหรือศัลยกรรมใบหน้ามาไม่นาน

                   

                  โปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) ช่วยอะไรบ้าง?
                  โปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) ช่วยอะไรบ้าง?

                   

                  โปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) ช่วยอะไรบ้าง? 

                  • โปรแกรม Ultherapy ช่วยยกกระชับใบหน้าโดยไม่ต้องศัลยกรรม
                  • โปรแกรม Ultherapy ช่วยกระชับกรอบหน้า และแก้มที่เริ่มหย่อนคล้อย
                  • โปรแกรม Ultherapy ทำให้ใบหน้าดูเรียวขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
                  • โปรแกรม Ultherapy ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ใต้ชั้นผิว
                  • โปรแกรม Ultherapy ช่วยลดริ้วรอยตื้นและร่องลึก บริเวณหน้าผาก รอบดวงตา และมุมปาก
                  • โปรแกรม Ultherapy สามารถยกกระชับบริเวณรอบดวงตาและหน้าผาก 
                  • โปรแกรม Ultherapy สามารถช่วยลดเหนียงใต้คาง และความหย่อนคล้อยบริเวณลำคอ
                  • โปรแกรม Ultherapy สามารถยกกระชับผิวบริเวณเนินอก และหน้าอกส่วนบน
                  • โปรแกรม Ultherapy ช่วยปรับสมดุลของโครงหน้า ให้ดูสดใสและอ่อนเยาว์ขึ้น
                  • โปรแกรม Ultherapy ช่วยลดร่องแก้มและร่องน้ำหมาก ให้ใบหน้าดูสดใสขึ้น
                  • โปรแกรม Ultherapy ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ใต้ชั้นผิว
                  • โปรแกรม Ultherapy ช่วยลดถุงใต้ตา และกระชับผิวรอบดวงตา
                  • โปรแกรม Ultherapy ช่วยกระชับรูขุมขน ทำให้ผิวดูละเอียดขึ้น
                  • โปรแกรม Ultherapy ลดริ้วรอยบริเวณคอ และช่วยให้ลำคอเรียบเนียนขึ้น

                   

                  การเตรียมตัวก่อนทำโปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) ต้องทำอย่างไรบ้าง?
                  การเตรียมตัวก่อนทำโปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) ต้องทำอย่างไรบ้าง?

                   

                  การเตรียมตัวก่อนทำโปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) ต้องทำอย่างไรบ้าง?

                  • ก่อนทำโปรแกรม Ultherapy ควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับ Ultherapy และเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน
                  • ก่อนทำโปรแกรม Ultherapy ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินสภาพผิวและวางแผนการรักษา
                  • ก่อนทำโปรแกรม Ultherapy ควรทาครีมกันแดด SPF 50  PA+++ และใส่หมวกป้องกันแสงแดด
                  • ก่อนทำโปรแกรม Ultherapy ควรดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อให้ผิวชุ่มชื้นและพร้อมสำหรับการรักษา
                  • ก่อนทำโปรแกรม Ultherapy งดใช้ยาที่ทำให้เลือดแข็งตัวช้าลง อย่างน้อย 1 สัปดาห์
                  • ก่อนทำโปรแกรม Ultherapy หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ Retinol AHA หรือ BHA ที่อาจทำให้ผิวบางลง
                  • ก่อนทำโปรแกรม Ultherapy หลีกเลี่ยงการทำเลเซอร์ หรือหัตถการที่ระคายเคืองผิว อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์
                  • ก่อนทำโปรแกรม Ultherapy หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ หรืออาหารที่มีโซเดียมสูง อย่างน้อย 24 ชั่วโมง
                  • ก่อนทำโปรแกรม Ultherapy หลีกเลี่ยงการออกแดดจัด หรือการทำกิจกรรมกลางแจ้ง อย่างน้อย 1 สัปดาห์

                   

                  การดูแลตัวเองหลังทำโปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) ต้องทำอย่างไรบ้าง?

                  • หลังทำโปรแกรม Ultherapy หลีกเลี่ยงการสัมผัสผิวหน้าบ่อย ๆ หลังทำทันที
                  • หลังทำโปรแกรม Ultherapy หลีกเลี่ยงความร้อน และกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกมาก
                  • หลังทำโปรแกรม Ultherapy หลีกเลี่ยงการออกแดดจัดเป็นเวลา 1-2 สัปดาห์
                  • หลังทำโปรแกรม Ultherapy หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มี Retinol, AHA,  BHA, วิตามินซีเข้มข้น หรือสารผลัดเซลล์ผิว อย่างน้อย 5-7 วัน
                  • หลังทำโปรแกรม Ultherapy หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่ อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์
                  • หลังทำโปรแกรม Ultherapy ควรใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 50 PA++++ เพื่อปกป้องผิวจากรังสี UV
                  • หลังทำโปรแกรม Ultherapy ควรใช้สกินแคร์ที่ให้ความชุ่มชื้นและอ่อนโยน เช่น มอยส์เจอร์ไรเซอร์ และเซรัมที่มีไฮยาลูรอนิกแอซิด
                  • หลังทำโปรแกรม Ultherapy  ควรดื่มน้ำวันละ 8-10 แก้ว เพื่อให้ผิวมีความชุ่มชื้นและฟื้นตัวเร็วขึ้น

                   

                  ทำโปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) ราคาพิเศษที่รมย์รวินท์คลินิก ดีอย่างไร?

                  • ใช้เครื่องโปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) แท้ ได้รับการรับรองจาก US FDA และ อย.ไทย
                  • แพทย์ผู้มีความรู้ ผ่านการอบรมด้านโปรแกรม Ultherapy โดยเฉพาะ
                  • ลดความเสี่ยงของผลข้างเคียง ด้วยเทคนิคการทำที่แม่นยำ
                  • โปรโมชั่นราคาพิเศษ ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีในราคาที่คุ้มค่า
                  • มีบริการดูแลหลังทำ และติดตามผลเพื่อให้ผลลัพธ์ที่ดี
                  • คลินิกสะอาด ไม่อันตราย และมีบรรยากาศระดับพรีเมียม
                  • ได้รับความไว้วางใจจากดารา เซเลบริตี้ และมีรีวิวจากผู้ใช้จริง

                   

                  โปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) ทำกี่ช็อตถึงจะเห็นผล?

                  • จำนวนช็อตที่ใช้ในการทำโปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) ขึ้นอยู่กับปัญหาผิวและบริเวณที่ทำ โดยแพทย์จะเป็นผู้ประเมินว่าควรใช้จำนวนช็อตเท่าใดเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี โดยทั่วไป หากทำรอบดวงตาอาจใช้ประมาณ 100-200 ช็อต การยกคิ้วอาจใช้ 200-300 ช็อต ส่วนบริเวณกรอบหน้าจะใช้ประมาณ 400-600 ช็อต และหากทำทั้งใบหน้าและลำคอ อาจใช้มากกว่า 800 ช็อต เพื่อให้ผลลัพธ์ชัดเจนและอยู่ได้นาน

                   

                  ทำโปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) แล้วหน้าจะตึงเกินไปไหม?

                  • โปรแกรม Ulthera (อัลเทอร่า)  ไม่ทำให้หน้าตึงจนดูแข็งหรือผิดธรรมชาติ เพราะเป็นการกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินขึ้นเอง ทำให้ผิวดูยกกระชับขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ผลลัพธ์ของ Ulthera จะทำให้ผิวดูเรียบเนียน กระชับ และอ่อนเยาว์ขึ้นโดยไม่ทำให้ใบหน้าดูแข็งหรือตึงจนเกินไป

                   

                  โปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) ทำแล้วเห็นผลจริงไหม?

                  • โปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) เป็นเทคโนโลยียกกระชับที่ได้รับการรับรองจาก องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (US FDA) และองค์การอาหารและยาแห่งประเทศไทย ว่าสามารถช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและยกกระชับผิวได้จริง หลังทำจะเห็นผลบางส่วนทันที แต่ผลลัพธ์ที่ดีจะค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นภายใน 3-6 เดือน ผลลัพธ์สามารถอยู่ได้นานประมาณ 12-18 เดือน ทำให้เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่เห็นผลจริงและได้รับความนิยมในวงการความงาม

                   

                  ทำโปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) แล้วทำโปรแกรม HIFU ซ้ำได้ไหม?

                  • หลังจากทำโปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) สามารถทำโปรแกรม HIFU เพิ่มเติมได้ แต่โดยทั่วไปมักไม่จำเป็น เพราะโปรแกรม Ultherapy สามารถลงลึกถึงชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นผิวเดียวกับที่ใช้ในการผ่าตัดดึงหน้า และให้ผลลัพธ์ที่อยู่ได้นานกว่าโปรแกรม HIFU หากต้องการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนเพิ่มเติม อาจทำโปรแกรม HIFU ได้หลังจากทำโปรแกรม Ultherapy 6 เดือนขึ้นไป

                   

                  ทำโปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) แล้วสามารถโปรแกรม ฉีดโบหรือโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ได้ไหม?

                  • หลังจากทำโปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) สามารถทโปรแกรมฉีดโบ หรือโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ได้ แต่ควรเว้นระยะห่างให้เหมาะสม โดยแพทย์แนะนำให้ทำโปรแกรมฉีดโบหลังทำโปรแกรม Ultherapy อย่างน้อย 2 สัปดาห์ และโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์หลังทำโปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) อย่างน้อย 4 สัปดาห์ เนื่องจากโปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) ใช้พลังงานความร้อน ซึ่งอาจส่งผลต่อโปรแกรมฉีดโบหรือโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ หากฉีดเร็วเกินไป อาจทำให้ผลลัพธ์ของสารเติมเต็มเปลี่ยนไป ดังนั้นควรปรึกษาแพทย์ก่อนวางแผนทำหัตถการร่วมกัน

                   

                  หลังทำโปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) สามารถทำเลเซอร์หรือทรีตเมนต์อื่นได้ไหม?

                  • หลังจากทำโปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) สามารถทำเลเซอร์หรือทรีตเมนต์อื่นได้ แต่ควรเว้นระยะเวลาตามคำแนะนำของแพทย์เพื่อให้ผิวฟื้นตัวก่อน โดยการทำเลเซอร์ เช่น IPL, โปรแกรม Thermage หรือ RF ควรเว้นอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ เพื่อป้องกันการระคายเคืองต่อผิว ส่วนการทำทรีตเมนต์บำรุงผิว เช่น Skin Booster หรือ Facial Treatment สามารถทำได้หลังจาก โปรแกรม Thermage 3-5 วัน ทั้งนี้เพื่อให้ผิวได้รับการฟื้นฟูและลดความเสี่ยงของผลข้างเคียง

                   

                  สรุปโปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) เป็นเทคโนโลยียกกระชับผิวที่ช่วยให้ใบหน้าดูกระชับ อ่อนเยาว์ และมีโครงหน้าชัดขึ้น โดยไม่ต้องศัลยกรรม ผลลัพธ์สามารถอยู่ได้นาน 12-18 เดือน จึงเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าสำหรับผู้ที่ต้องการ ฟื้นฟูผิว ลดริ้วรอย และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ให้ผิวแน่นขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ

                   

                  สำหรับ ราคาโปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) ในปี 2025 นั้น อาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับ บริเวณที่ทำ จำนวนช็อต คุณภาพของเครื่องโปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) และความเชี่ยวชาญของแพทย์ โดยทั่วไป ราคาจะอยู่ที่ หลักหมื่นไปจนถึงหลักแสนบาท ดังนั้น การเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐานและมีแพทย์ผู้มีประสบการณ์เป็นสิ่งสำคัญ

                   

                  หากคุณกำลังมองหาคลินิกที่ให้บริการโปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) เครื่องแท้ และมีแพทย์ผู้มีความรู้ที่ออกแบบการรักษาเฉพาะบุคคล เพื่อให้ผลลัพธ์ที่แม่นยำ รมย์รวินท์คลินิกเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์ ด้วยมาตรฐานระดับพรีเมียม เครื่องมือทันสมัย และเทคนิคเฉพาะที่ช่วยลดความเจ็บขณะทำ พร้อมบริการดูแลหลังทำอย่างใกล้ชิด

                   

                  นอกจากนี้ รมย์รวินท์คลินิกยังมีโปรโมชั่นราคาพิเศษ ทำให้คุณสามารถทำโปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) ในราคาที่คุ้มค่า โดยไม่ลดคุณภาพหรือจำนวนช็อต หากต้องการ ปรึกษาแพทย์ผู้มีความรู้ และรับคำแนะนำเกี่ยวกับการทำโปรแกรม Ultherapy (อัลเทอร่า) ให้เหมาะกับปัญหาผิวของคุณ สามารถติดต่อ รมย์รวินท์คลินิก เพื่อขอรับคำแนะนำฟรี และจองโปรโมชั่นพิเศษได้เลยทุกสาขาใกล้บ้านคุณ

                  ข้อดีของ HArmonyCa มีอะไรบ้าง? เหมาะกับใคร? 

                  Focus Keyword ข้อดีของ HArmonyCa

                  ข้อดีของ HArmonyCa มีอะไรบ้าง? เหมาะกับใคร? 

                  ในชีวิตประจำวันที่เต็มไปด้วยมลภาวะ ฝุ่น ควัน และการใช้ชีวิตที่เร่งรีบ การดูแลผิวจึงกลายเป็นสิ่งสำคัญที่มองข้ามไม่ได้ โดยเฉพาะเมื่อเวลาผ่านไป ผิวหน้าก็เริ่มส่งสัญญาณเตือนถึงความเสื่อมสภาพ เช่น ผิวหย่อนคล้อย หรือเริ่มมีริ้วรอย ร่องลึก จนทำให้เทรนด์การทำหัตถการความงามกลายเป็นเรื่องที่หลายคนให้ความสนใจ เพื่อชะลอความเสื่อมสภาพของผิว และแก้ปัญหาความหย่อนคล้อยต่าง ๆ ซึ่งหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่กำลังได้รับความนิยม นั่นก็คือ “โปรแกรมฉีด HArmonyCa” 

                  โปรแกรมฉีด HArmonyCa ถือเป็นสารเติมเต็มใหม่ใหม่ล่าสุดในวงการแพทย์ความงาม ซึ่งมาพร้อมกับคุณสมบัติพิเศษที่สามารถยกกระชับผิว และกระตุ้นคอลลาเจนได้ในขั้นตอนเดียว จึงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ สำหรับผู้ที่ต้องการคืนความอ่อนเยาว์ให้ผิว และสามารถคงอยู่ได้นานกว่าการทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ทั่วไป วันนี้ รมย์รวินท์คลินิก จะพาไปเจาะลึกข้อดี และข้อควรระวังของ โปรแกรมฉีด HArmonyCa ว่ามีอะไรบ้าง? แล้วใครที่เหมาะกับการโปรแกรมฉีด HArmonyCa? บทความนี้ มัดรวมข้อมูลทั้งหมดที่ต้องรู้มาให้แล้ว พร้อมไขข้อสงสัยว่าทำไม โปรแกรมฉีด HArmonyCa ถึงเป็นตัวเลือกที่น่าจับตามองในขณะนี้ค่ะ

                   

                  รวมข้อดีของ HArmonyCa เจาะลึกทุกเรื่องก่อนฉีด 

                   

                  ข้อดีของโปรแกรมฉีด HArmonyCa
                  ข้อดีของโปรแกรมฉีด HArmonyCa

                   

                  ข้อดีของโปรแกรมฉีด HArmonyCa 

                  • ยกกระชับผิวหน้า

                  เนื่องจากโปรแกรมฉีด HArmonyCa มีส่วนประกอบของ Hyaluronic Acid (HA) ซึ่งเป็นสารที่ช่วยในการอุ้มน้ำ และกักเก็บความชุ่มชื้นให้กับผิว เมื่อฉีดเข้าสู่ผิวหน้า สาร HA จะเข้าไปทำหน้าที่ในการเติมเต็ม และยกกระชับผิวได้ในทันทีที่ฉีด ส่งผลให้ใบหน้ามีความอิ่มฟู และลดความหย่อนคล้อยของผิวได้

                  • กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน

                  เนื่องจากโปรแกรมฉีด HArmonyCa มีส่วนประกอบของ Calcium Hydroxyapatite (CaHA) ซึ่งเป็นสารที่ช่วยในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และอีลาสตินใต้ชั้นผิว เมื่อฉีดเข้าสู่ผิวหน้า สาร CaHA จะเข้าไปกระตุ้นเซลล์ไฟโบรบลาสต์ ให้เกิดการสร้างเส้นใยคอลลาเจน และอีลาสตินขึ้นมาใหม่ ส่งผลให้ผิวหนาแน่น เฟิร์มกระชับ และแข็งแรงมากจึ้น

                  • ให้ผลลัพธ์ทันที และระยะยาว

                  เนื่องจากโปรแกรมฉีด HArmonyCa ผสมผสานส่วนประกอบ 2 ชนิดเข้าด้วยกัน ทั้ง Hyaluronic Acid (HA) และ Calcium Hydroxyapatite (CaHA) เมื่อฉีดโปรแกรมฉีด HArmonyCa เข้าสู่ผิวหน้า สาร HA จะเข้าไปยกกระชับผิวในบริเวณที่หย่อนคล้อย ทำให้ผิวดูเต่งตึง และกระชับขึ้นทันทีหลังฉีด จากนั้น CaHA จะเข้าไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวแบบค่อยเป็นค่อยไป ทำให้ผิวมีความหนาแน่น และยืดหยุ่นในระยะยาว แม้ HA จะย่อยสลายไปแล้วก็ตาม

                  • ได้รับมาตรฐานระดับสากล

                  เนื่องจากโปรแกรมฉีด HArmonyCa ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับสากล จากองค์การอาหารและยา (อย.) ของประเทศสหรัฐอเมริกา (US FDA) และประเทศไทย (TH FDA) อีกทั้ง สารที่ใช้ในโปรแกรมฉีด HArmonyCa ยังเป็นสารที่สามารถเข้ากันได้ดีกับร่างกาย จึงลดโอกาสเสี่ยงในการเกิดอาการแพ้ หรือผลข้างเคียงอันตราย

                  • คงผลลัพธ์ยาวนาน

                  เนื่องจากโปรแกรมฉีด HArmonyCa ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และอีลาสตินอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้คงอยู่ยาวนานกว่าการฉีดฟิลเลอร์ Hyaluronic Acid (HA) ทั่วไป จึงลดความถี่ในการฉีดซ้ำบ่อย ๆ ซึ่งโดยส่วนใหญ่โปรแกรมฉีด HArmonyCa สามารถคงอยู่ได้ยาวนานถึง 12 – 18 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และการดูแลตัวเองหลังฉีด

                  • ไม่ต้องมีการพักฟื้น

                  เนื่องจากโปรแกรมฉีด HArmonyCa มีความสะดวกสบาย หลังฉีดเสร็จจึงไม่จำเป็นต้องมีการพักฟื้น สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวัน หรือทำกิจกรรมได้ตามปกติทันที แต่แนะนำให้หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหักโหม ประมาณ 2 – 3 วันหลังฉีด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอาการบวมช้ำ

                  • ลดความเจ็บปวดขณะฉีด

                  เนื่องจากโปรแกรมฉีด HArmonyCa มีส่วนประกอบของยาชา (Lidocaine) ผสมอยู่ จึงช่วยลดความรู้สึกเจ็บปวดขณะฉีดได้ เมื่อฉีดโปรแกรมฉีด HArmonyCa เข้าสู่ผิวหน้าแล้ว ผู้รับบริการจะรู้สึกผ่อนคลาย และสบายตัวมากขึ้น ทำให้การทำโปรแกรมฉีด HArmonyCa เป็นไปอย่างราบรื่น และหมดกังวลเรื่องความเจ็บ

                   

                  ข้อควรระวังก่อนทำโปรแกรมฉีด HArmonyCa

                  • ควรฉีดโดยแพทย์ที่มีความรู้เท่านั้น

                  โปรแกรมฉีด HArmonyCa ควรฉีดโดยแพทย์ที่มีความรู้ ความสามารถ และมีประสบการณ์เท่านั้น หากฉีดโดยแพทย์ที่ไม่มีความชำนาญ หรือฉีดในตำแหน่งที่ไม่เหมาะสม อาจส่งผลให้เกิดผลข้างเคียงอันตรายได้ เช่น เกิดก้อนนูน หรือสารกระจายตัวไม่สม่ำเสมอในบริเวณที่ฉีดได้

                  • ไม่เหมาะกับบางบริเวณ

                  โปรแกรมฉีด HArmonyCa อาจไม่เหมาะกับบางบริเวณ เช่น ใต้ตา ริมฝีปาก หรือหน้าผาก เนื่องจากบริเวณเหล่านี้ เป็นบริเวณที่มีการเคลื่อนไหว และขยับบ่อย หากทำการฉีดโปรแกรมฉีด HArmonyCa เข้าไป อาจทำให้เกิดเป็นก้อนแข็งใต้ผิวหนังได้

                  • อาจบวมช้ำนานกว่าโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ทั่วไป

                  แม้ว่าโปรแกรมฉีด HArmonyCa จะไม่ต้องมีการพักฟื้นหลังฉีด แต่ในบางกรณีอาจเกิดอาการบวมแดง ตึง หรือฟกช้ำนานกว่าโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ทั่วไปเล็กน้อย เนื่องจากมีส่วนประกอบของ CaHA ผสมอยู่ ซึ่งถือเป็นอาการปกติ และไม่ร้ายแรง สามารถหายได้เอง ภายใน 2 – 3 วัน

                   

                  โปรแกรมฉีด HArmonyCa คืออะไร?
                  โปรแกรมฉีด HArmonyCa คืออะไร?

                   

                  โปรแกรมฉีด HArmonyCa คืออะไร?

                  โปรแกรมฉีด HArmonyCa เป็นเทคโนโลยี Hybrid Filler ที่ถูกพัฒนาขึ้นโดยบริษัท Allergan จากประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำที่พัฒนาผลิตภัณฑ์ในวงการแพทย์ความงามระดับโลก โดยโปรแกรมฉีด HArmonyCa จะออกฤทธิ์ในการทำงานแบบสองกลไก (Dual Effect) ได้แก่ ยกกระชับผิว และกระตุ้นคอลลาเจนในขั้นตอนเดียว ซึ่งมีการผสานส่วนประกอบหลักของ Hyaluronic Acid (HA) และ Calcium Hydroxyapatite (CaHA) เข้าด้วยกันอย่างลงตัว เมื่อทั้งสองส่วนประกอบนี้ทำงานร่วมกัน ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้มีความยั่งยืน และสามารถคงอยู่ได้ยาวนาน ทั้งยกกระชับผิวในทันที และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในระยะยาว นอกจากนี้ โปรแกรมฉีด HArmonyCa ยังมีส่วนประกอบของยาชา (Lidocaine) ทำให้ขณะฉีดรู้สึกสบาย และลดความรู้สึกเจ็บปวดลงได้

                   

                  โปรแกรมฉีด HArmonyCa มีจุดเด่นเรื่องอะไร?

                  โปรแกรมฉีด HArmonyCa เป็น Hybrid Filler ที่มีคุณสมบัติพิเศษในการยกกระชับผิว และกระตุ้นคอลลาเจนในระยะยาว ซึ่งประกอบไปด้วยสารสำคัญถึงสองชนิด ทั้ง Hyaluronic Acid (HA) และ Calcium Hydroxyapatite (CaHA) จึงทำให้โปรแกรมฉีด HArmonyCa มีความโดดเด่นถึง 4 ประการ ดังนี้

                  • เพิ่มความแข็งแรง

                  โปรแกรมฉีด HArmonyCa สามารถเพิ่มความแข็งแรงให้กับผิว ด้วยคุณสมบัติของ Calcium Hydroxyapatite (CaHA) ที่ช่วยเสริมโครงสร้างผิวให้แข็งแรง แน่นกระชับ และลดความหย่อนคล้อยของผิวอย่างมีประสิทธิภาพ 

                  • เพิ่มความยืดหยุ่น

                  โปรแกรมฉีด HArmonyCa สามารถเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวได้ดี ด้วยคุณสมบัติของ Hyaluronic Acid (HA) ที่ช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่น ดูอิ่มฟู และดูมีวอลลุ่มอย่างเป็นธรรมชาติ 

                  • กระจายตัวได้ดี

                  โปรแกรมฉีด HArmonyCa สามารถกระจายตัวได้อย่างสม่ำเสมอทั่วบริเวณที่ฉีด จึงลดความเสี่ยงในการจับตัวเป็นก้อนใต้ชั้นผิว ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้มีความเรียบเนียน และกลมกลืนเข้ากับผิวอย่างเป็นธรรมชาติ

                  • อุ้มน้ำสูง

                  โปรแกรมฉีด HArmonyCa สามารถอุ้มน้ำได้ดี ด้วยคุณสมบัติของ Hyaluronic Acid (HA) ที่สามารถกักเก็บความชุ่มชื้นได้ดี มีความอุ้มน้ำสูง ทำให้ผิวอิ่มน้ำ ชุ่มชื้น ดูสุขภาพดี และชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัยได้

                   

                  โปรแกรมฉีด HArmonyCa ฉีดบริเวณไหนได้บ้าง?

                  โปรแกรมฉีด HArmonyCa ส่วนใหญ่จะเน้นยกกระชับผิว และกระตุ้นคอลลาเจนเป็นหลัก ดังนั้น บริเวณที่ตอบโจทย์ และนิยมทำโปรแกรมฉีด HArmonyCa จึงมีทั้งหมด 3 บริเวณ ดังนี้

                  • บริเวณโหนกแก้ม (Zygomatic arch)
                  • บริเวณขากรรไกรล่าง (Jaw ramus)
                  • บริเวณกราม (Jaw angle)

                   

                  โปรแกรมฉีด HArmonyCa เหมาะกับใคร?
                  โปรแกรมฉีด HArmonyCa เหมาะกับใคร?

                   

                  โปรแกรมฉีด HArmonyCa เหมาะกับใคร?

                  • โปรแกรมฉีด HArmonyCa เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยจากการสูญเสียปริมาตรผิว และคอลลาเจนในผิวชั้นลึก
                  • โปรแกรมฉีด HArmonyCa เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาริ้วรอย และร่องลึก ต้องการให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์
                  • โปรแกรมฉีด HArmonyCa เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าให้คมชัด ใบหน้าดูมีมิติมากขึ้น
                  • โปรแกรมฉีด HArmonyCa เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการกระตุ้นคอลลาเจนอย่างเป็นธรรมชาติ
                  • โปรแกรมฉีด HArmonyCa เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาผิวหน้าขาดวอลลุ่ม ไม่อิ่มฟู ดูแก่กว่าวัย
                  • โปรแกรมฉีด HArmonyCa เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาผิวหน้าแห้งกร้าน ไม่ชุ่มชื้น ขาดการบำรุง
                  • โปรแกรมฉีด HArmonyCa เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการยกกระชับผิว และกระตุ้นคอลลาเจนในขั้นตอนเดียว
                  • โปรแกรมฉีด HArmonyCa เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการเห็นผลลัพธ์ที่คงทน ไม่ต้องการฉีดซ้ำบ่อย

                   

                  โปรแกรมฉีด HArmonyCa ไม่เหมาะกับใคร?

                  • โปรแกรมฉีด HArmonyCa ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่แพ้ส่วนประกอบในโปรแกรมฉีด HArmonyCa ได้แก่ Hyaluronic Acid (HA) และ Calcium Hydroxyapatite (CaHA)
                  • โปรแกรมฉีด HArmonyCa ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่แพ้ยาชา (Lidocaine) เนื่องจากโปรแกรมฉีด HArmonyCa มียาชาผสมอยู่
                  • โปรแกรมฉีด HArmonyCa ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่เคยมีแผลเป็นนูน หรือคีลอยด์
                  • โปรแกรมฉีด HArmonyCa ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีโรคประจำตัวที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน เช่น โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง
                  • โปรแกรมฉีด HArmonyCa ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีโรคเลือดออกง่าย หรือกำลังรับประทานยาที่ส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด
                  • โปรแกรมฉีด HArmonyCa ไม่เหมาะสำหรับ คุณแม่ตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร
                  • โปรแกรมฉีด HArmonyCa ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีผิวหนังติดเชื้อ เป็นสิว มีผื่นแพ้ หรืออักเสบในบริเวณที่ฉีด

                   

                  โปรแกรมฉีด HArmonyCa ช่วยเรื่องอะไรบ้าง?
                  โปรแกรมฉีด HArmonyCa ช่วยเรื่องอะไรบ้าง?

                   

                  โปรแกรมฉีด HArmonyCa ช่วยเรื่องอะไรบ้าง?

                  • โปรแกรมฉีด HArmonyCa ช่วยยกกระชับผิวให้เต่งตึง ลดความหย่อนคล้อยบนใบหน้า
                  • โปรแกรมฉีด HArmonyCa ช่วยกระตุ้นคอลลาเจนตามธรรมชาติของร่างกาย
                  • โปรแกรมฉีด HArmonyCa ช่วยให้ผิวมีโครงสร้างที่แข็งแรง ดูสุขภาพดีมากขึ้น
                  • โปรแกรมฉีด HArmonyCa ช่วยลดเลือนริ้วรอย ร่องลึก ทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์
                  • โปรแกรมฉีด HArmonyCa ช่วยให้ผิวหนาแน่น มีความยืดหยุ่นมากขึ้น
                  • โปรแกรมฉีด HArmonyCa ช่วยเติมเต็มใบหน้า และเพิ่มวอลลุ่มให้ผิว
                  • โปรแกรมฉีด HArmonyCa ช่วยให้ใบหน้าดูอิ่มฟู ลดความตอบของใบหน้าได้
                  • โปรแกรมฉีด HArmonyCa ช่วยปรับกรอบหน้าให้มีความคมชัด ดูมีมิติ
                  • โปรแกรมฉีด HArmonyCa ช่วยปรับสภาพผิว ทำให้ผิวชุ่มชื้น ดูกระจ่างใสมากขึ้น

                   

                  โปรแกรมฉีด HArmonyCa ต่างจากโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ทั่วไปอย่างไร?

                  โปรแกรมฉีด HArmonyCa แตกต่างจากโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ทั่วไปอย่างชัดเจน ในเรื่องของส่วนประกอบ กลไกการทำงาน และผลลัพธ์ที่ได้ โดยโปรแกรมฉีด HArmonyCa ไม่ได้มีส่วนประกอบหลักของ Hyaluronic Acid (HA) เพียงอย่างเดียวเหมือนโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ทั่วไป แต่เป็นการผสมผสาน Hyaluronic Acid (HA) เข้ากับ Calcium Hydroxyapatite (CaHA) ซึ่งเป็นสารที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในระยะยาว ทำให้ โปรแกรมฉีด HArmonyCa ไม่เพียงแต่เติมเต็ม ยกกระชับผิว และปรับรูปหน้าเหมือนโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ทั่วไป แต่ยังช่วยให้โครงสร้างผิวแข็งแรง และมีความยืดหยุ่นจากการกระตุ้นคอลลาเจนอีกด้วย นอกจากนี้ โปรแกรมฉีด HArmonyCa ยังให้ผลลัพธ์ที่ยาวนานกว่าโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ทั่วไป โดยเฉลี่ยแล้ว ผลลัพธ์ของโปรแกรมฉีด HArmonyCa สามารถคงอยู่ได้นานถึง 12 – 18 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล ในขณะที่โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ทั่วไป จะอยู่ได้เพียง 6 – 18 เดือน ขึ้นอยู่ยี่ห้อที่ใช้ และสภาพผิวของแต่ละบุคคล

                  ดังนั้น โปรแกรมฉีด HArmonyCa จะเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่ครอบคลุม ทั้งการยกกระชับผิว และกระตุ้นคอลลาเจน แต่หากต้องการผลลัพธ์ในด้านการเติมเต็ม หรือปรับรูปหน้าที่สามารถปรับแต่งได้เฉพาะจุด โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ทั่วไปอาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมกว่า แนะนำให้พิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจค่ะ

                   

                  โปรแกรมฉีด HArmonyCa ต่างจากโปรแกรมฉีด Radiesse อย่างไร?

                  โปรแกรมฉีด HArmonyCa มีความแตกต่างจากโปรแกรมฉีด Radiesse อย่างชัดเจน ในเรื่องของส่วนประกอบ และผลลัพธ์ที่ได้หลังฉีด โดยโปรแกรมฉีด HArmonyCa ไม่ได้มีส่วนประกอบหลักของ Calcium Hydroxyapatite (CaHA) เพียงอย่างเดียว เหมือนกับโปรแกรมฉีด Radiesse แต่โปรแกรมฉีด HArmonyCa เป็น Hybrid Filler ที่มีการผสมผสานส่วนประกอบระหว่าง Hyaluronic Acid (HA) และ Calcium Hydroxyapatite (CaHA) ซึ่งช่วยให้เห็นผลลัพธ์ในทันทีจากการเติมเต็ม ยกกระชับผิว และปรับรูปหน้า ขณะเดียวกันก็กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในระยะยาวร่วมด้วย ทำให้ผิวมีความแข็งแรง และมีความหนาแน่นมากขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ 

                  ในส่วนของโปรแกรมฉีด Radiesse จะมีส่วนประกอบหลักเป็น CaHA เพียงอย่างเดียว ซึ่งจะเน้นกระตุ้นคอลลาเจนอย่างชัดเจน โดยที่ไม่มี HA ผสมอยู่ อีกทั้ง เนื้อเจลของโปรแกรมฉีด Radiesse นั้น มีความหนาแน่น และแข็งมากกว่าโปรแกรมฉีด HArmonyCa ซึ่งเหมาะสำหรับการปรับโครงสร้างผิวชั้นลึก และเพิ่มความหนาแน่นให้ผิวจากการกระตุ้นคอลลาเจน 

                  นอกจากนี้ โปรแกรมฉีด Radiesse ยังให้ผลลัพธ์ที่ยาวนานกว่าโปรแกรมฉีด HArmonyCa โดยเฉลี่ยแล้ว ผลลัพธ์ของโปรแกรมฉีด HArmonyCa สามารถคงอยู่ได้นานถึง 12 – 18 เดือน ในขณะที่โปรแกรมฉีด Radiesse จะอยู่ได้นานถึง 24 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล ทั้งนี้ ก่อนเลือกทำโปรแกรมฉีด HArmonyCa หรือโปรแกรมฉีด Radiesse แนะนำให้พิจารณาจากปัญหาผิวเป็นหลัก ซึ่งควรปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนตัดสินใจ

                   

                  ข้อควรปฏิบัติก่อน - หลังทำโปรแกรมฉีด HArmonyCa
                  ข้อควรปฏิบัติก่อน – หลังทำโปรแกรมฉีด HArmonyCa

                   

                  ข้อควรปฏิบัติก่อน – หลังทำโปรแกรมฉีด HArmonyCa

                  ก่อนทำโปรแกรมฉีด HArmonyCa ควรปฏิบัติตัวอย่างไร?

                  • ก่อนทำโปรแกรมฉีด HArmonyCa ควรแจ้งประวัติสุขภาพให้แพทย์ทราบก่อนฉีด เช่น ประวัติโรคประจำตัว ยาที่ใช้เป็นประจำ หรือประวัติการแพ้ต่าง ๆ
                  • ก่อนทำโปรแกรมฉีด HArmonyCa หลีกเลี่ยงยา หรืออาหารเสริมที่ส่งผลให้เลือดไหลออกง่าย เช่น แอสไพริน ไอบูโพรเฟน หรือวิตามินอี อย่างน้อย 7 วันก่อนฉีด
                  • ก่อนทำโปรแกรมฉีด HArmonyCa หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ หรือดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด อย่างน้อย 1 – 2 วันก่อนฉีด
                  • ก่อนทำโปรแกรมฉีด HArmonyCa งดการนวดหน้า ทำเลเซอร์ หรือหัตถการอื่น ๆ อย่างน้อย 7 วันก่อนฉีด
                  • ก่อนทำโปรแกรมฉีด HArmonyCa งดการออกกำลังกายอย่างหนัก อย่างน้อย 1 – 2 วันก่อนฉีด
                  • ก่อนทำโปรแกรมฉีด HArmonyCa หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิว หรือโกนขน อย่างน้อย 7 วันก่อนฉีด
                  • ก่อนทำโปรแกรมฉีด HArmonyCa ควรดูแลสุขภาพ โดยการดื่มน้ำให้มาก ๆ และพักผ่อนให้เพียงพอ

                   

                  หลังทำโปรแกรมฉีด HArmonyCa ควรปฏิบัติตัวอย่างไร?

                  • หลังทำโปรแกรมฉีด HArmonyCa งดแต่งหน้าหลังฉีด ประมาณ 24 ชั่วโมงแรก เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
                  • หลังทำโปรแกรมฉีด HArmonyCa หากมีอาการบวม สามารถประคบเย็นในบริเวณที่ฉีด เพื่อลดอาการบวมได้
                  • หลังทำโปรแกรมฉีด HArmonyCa งดการสัมผัส กด หรือจับในบริเวณที่ฉีดแรง ๆ ประมาณ 1 – 2 สัปดาห์แรก
                  • หลังทำโปรแกรมฉีด HArmonyCa งดการทำเลเซอร์ เครื่องยกกระชับ หรือทรีตเมนต์อื่น ๆ ในบริเวณใบหน้า ประมาณ 1 – 2 สัปดาห์แรก
                  • หลังทำโปรแกรมฉีด HArmonyCa หลีกเลี่ยงความร้อน เช่น ซาวน่า อบไอน้ำ หรือแสงแดดจัด ประมาณ 1 สัปดาห์แรกหลังฉีด
                  • หลังทำโปรแกรมฉีด HArmonyCa หลีกเลี่ยงการออกกำลังกาย หรือกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออก ประมาณ 2 – 3 วันแรกหลังฉีด
                  • หลังทำโปรแกรมฉีด HArmonyCa หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ หรือดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด ประมาณ 1 – 2 วันหลังฉีด
                  • หลังทำโปรแกรมฉีด HArmonyCa ควรติดตามอาการหลังฉีดอย่างใกล้ชิด หากพบอาการผิดปกติ หรือมีข้อสงสัย เพิ่มเติม ควรปรึกษาแพทย์ทันที

                   

                  รวมคำถามเกี่ยวกับโปรแกรมฉีด HArmonyCa

                  โปรแกรมฉีด HArmonyCa 1 กล่องมีกี่ CC?

                  • โปรแกรมฉีด HArmonyCa ถูกออกแบบในรูปแบบของ Prefilled syringe ผสมยาชาพร้อมใช้งาน โดยใน 1 กล่อง จะมีทั้งหมด 2 ไซริงค์ ซึ่งในแต่ละไซริงค์จะมีปริมาณ 1.25 CC ดังนั้น รวมกัน 1 กล่องจะมีปริมาณทั้งหมด 2.5 CC ซึ่งเป็นปริมาณที่เหมาะสม และเพียงพอสำหรับการนำมาฉีด เพื่อยกกระชับผิวหน้า และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในระยะยาว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับการประเมินของแพทย์ และปัญหาผิวของแต่ละบุคคลค่ะ

                   

                  โปรแกรมฉีด HArmonyCa ฉีดกี่ครั้งเห็นผล?

                  • โปรแกรมฉีด HArmonyCa สามารถเห็นผลลัพธ์ได้ทันทีตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉีด เนื่องจากโปรแกรมฉีด HArmonyCa มีส่วนประกอบของ Hyaluronic Acid (HA) ที่จะเข้าไปยกกระชับผิว และปรับรูปหน้าได้ทันทีหลังฉีด ส่วนผลลัพธ์จากการกระตุ้นคอลลาเจน สามารถเห็นผลลัพธ์ได้อย่างชัดเจน ภายใน 1 – 3 เดือนหลังฉีด เนื่องจากสาร Calcium Hydroxyapatite (CaHA) จะค่อย ๆ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และอีลาสตินตามธรรมชาติอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผิวแข็งแรง และยืดหยุ่นมากขึ้น

                   

                  โปรแกรมฉีด HArmonyCa อยู่ได้นานไหม?

                  • โปรแกรมฉีด HArmonyCa สามารถคงประสิทธิภาพของผลลัพธ์ได้นานถึง 12 – 18 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล และการปฏิบัติตัวหลังฉีด เนื่องจากโปรแกรมฉีด HArmonyCa มีส่วนประกอบของ Calcium Hydroxyapatite (CaHA) ซึ่งช่วยในการกระตุ้นคอลลาเจนอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้ผลลัพธ์อยู่ได้นานกว่า การทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ที่มี Hyaluronic Acid (HA) เพียงอย่างเดียว แม้ว่าสาร CaHA ในโปรแกรมฉีด HArmonyCa จะค่อย ๆ สลายไป แต่คอลลาเจนที่สร้างขึ้นใหม่จะยังคงอยู่ ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์ และแข็งแรงอย่างเป็นธรรมชาติ

                   

                  โปรแกรมฉีด HArmonyCa อันตรายไหม?

                  • โปรแกรมฉีด HArmonyCa เป็นเทคโนโลยี Hybrid Filler ที่ไม่เป็นอัตราย เนื่องจากได้รับการรับรองจาก อย. อเมริกา (US FDA) รวมถึง อย. ไทย (TH FDA) ซึ่งมีการใช้งานในวงการแพทย์ความงามกว่าทั่วโลก ด้วยส่วนประกอบหลักอย่าง Hyaluronic Acid (HA) และ Calcium Hydroxyapatite (CaHA) ซึ่งเป็นสารที่สามารถพบได้ตามธรรมชาติ จึงเข้ากันได้ดีกับร่างกาย ลดความเสี่ยงในการเกิดปฏิกิริยาต่อต้านจากระบบภูมิคุ้มกัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ควรทำโปรแกรมฉีด HArmonyCa กับแพทย์ที่มีความรู้ และประสบการณ์ ภายในคลินิกที่ได้มาตรฐาน เพื่อป้องกันการเกิดผลข้างเคียงอันตราย และเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพค่ะ

                   

                  โปรแกรมฉีด HArmonyCa เจ็บไหม?

                  • โปรแกรมฉีด HArmonyCa เป็นเทคโนโลยี Hybrid Filler ที่มีส่วนผสมของยาชา (Lidocaine) จึงช่วยลดความเจ็บ และแสบขณะฉีดได้ โดยส่วนใหญ่แล้ว การฉีดโปรแกรมฉีด HArmonyCa จะมีระดับความเจ็บใกล้เคียงกับโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ทั่วไป ซึ่งขณะฉีดอาจมีความรู้สึกตึงเล็กน้อย เนื่องจากตัวยากำลังกระจายเข้าสู่ผิว โดยระดับความเจ็บปวดนั้น อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล แต่สำหรับผู้ที่กลัวเจ็บมาก สามารถขอทายาชา หรือฉีดยาชาเพิ่มเติมได้ เพื่อลดความรู้สึกเจ็บปวดขณะฉีด และเพิ่มความสบายใจในการรับบริการมากขึ้น

                   

                  โปรแกรมฉีด HArmonyCa หลังฉีดมีอาการข้างเคียงอะไรบ้าง?

                  • โปรแกรมฉีด HArmonyCa อาจมีอาการข้างเคียงเกิดขึ้นได้เล็กน้อย ได้แก่ รอยแดง บวม ปวด กดเจ็บ และคันในบริเวณที่ฉีด ซึ่งอาการเหล่านี้ เป็นอาการปกติที่สามารถพบได้ทั่วไป โดยจะค่อย ๆ หายไปหลังจากฉีด ภายใน 1 – 2 วัน ส่วนอาการบวมจะค่อย ๆ หายไป ภายใน 1 สัปดาห์ สามารถประคบเย็นเบา ๆ เพื่อลดอาการบวมลงได้

                   

                  ข้อควรพิจารณาก่อนทำโปรแกรมฉีด HArmonyCa เลือกฉีดที่ไหนดี?

                  • คลินิกที่ขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้อง ก่อนทำโปรแกรมฉีด HArmonyCa ควรเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน มีการขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้อง ซึ่งต้องมีใบอนุญาตประกอบกิจการสถานพยาบาล 11 หลัก จากกระทรวงสาธารณสุขอย่างชัดเจน
                  • แพทย์ที่มีประสบการณ์ ซึ่งโปรแกรมฉีด HArmonyCa ควรฉีดโดยแพทย์ที่มีความรู้ ความสามารถเท่านั้น ซึ่งแพทย์ที่ทำการฉีดจะต้องได้รับการฝึกอบรม เกี่ยวกับเทคนิคการฉีดโปรแกรมฉีด HArmonyCa โดยตรง รวมถึง มีประสบการณ์ในการทำโปรแกรมฉีด HArmonyCa มาก่อน เพื่อป้องกันความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียง
                  • ใช้โปรแกรมฉีด HArmonyCa แท้ ก่อนทำโปรแกรมฉีด HArmonyCa ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่า คลินิกที่ให้บริการใช้โปรแกรมฉีด HArmonyCa แท้ที่นำเข้าจากบริษัท Allergan หรือไม่ โดยสามารถตรวจสอบได้จาก เลขทะเบียน อย. รวมถึง เลข Lot. บนกล่องผลิตภัณฑ์
                  • มีรีวิวการทำโปรแกรมฉีด HArmonyCa ซึ่งก่อนทำโปรแกรมฉีด HArmonyCa ควรตรวจสอบรีวิวจากผู้ที่เคยใช้บริการจริง ทั้งแบบภาพถ่าย วิดีโอ และการแสดงความคิดเห็นผ่านสื่อออนไลน์ต่าง ๆ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความชำนาญของแพทย์ และแสดงให้เห็นถึงผลลัพธ์ที่ได้หลังฉีด 

                   

                  โปรแกรมฉีด HArmonyCa ถือเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่ตอบโจทย์ในการยกกระชับผิว พร้อมกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ด้วยคุณสมบัติพิเศษที่โดดเด่น และข้อดีที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทั้งในด้านผลลัพธ์ที่ได้แบบ 2 in 1 ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับสากล ผลลัพธ์คงอยู่ยาวนาน และไม่ต้องมีการพักฟื้นหลังฉีด ทำให้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวให้ดูอ่อนเยาว์ และลดความหย่อนคล้อยของใบหน้าอย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่ต้องมีการฉีดซ้ำบ่อย ๆ แต่ทั้งนี้ แนะนำให้ศึกษาหาข้อมูล และปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนตัดสินใจ เพื่อวางแผนการทำโปรแกรมฉีด HArmonyCa อย่างเหมาะสม และให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ สำหรับใครที่มีข้อสงสัย หรือสนใจทำโปรแกรมฉีด HArmonyCa สามารถเข้ามาปรึกษา หรือสอบถามเบื้องต้นได้ที่ รมย์รวินท์ ทุกสาขา

                   

                  โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์แก้ไขริ้วรอยได้จริงไหม? ก่อนฉีดควรรู้อะไรบ้าง?

                  โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์แก้ไขริ้วรอยได้จริงไหม? ก่อนฉีดควรรู้อะไรบ้าง?

                  โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์แก้ไขริ้วรอยได้จริงไหม? ก่อนฉีดควรรู้อะไรบ้าง?

                  ริ้วรอย เป็นหนึ่งในสัญญาณเตือนของความเสื่อมสภาพบนผิวหนัง ซึ่งมักเกิดขึ้นตามวัยเมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น แต่ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทางการแพทย์ความงาม ทำให้โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์กลายเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ตอบโจทย์ และได้รับความนิยม สำหรับการลดเลือนริ้วรอย ร่องลึกต่าง ๆ บนใบหน้า วันนี้ รมย์รวินท์คลินิก จะพาไปเรียนรู้ และทำความเข้าใจเกี่ยวกับโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์แก้ไขริ้วรอยว่า โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์สามารถเติมเต็มริ้วรอยได้จริงไหม? แล้วมีจุดไหนที่ฉีดได้บ้าง? บทความนี้ รวบรวมข้อมูลมาให้แล้วค่ะ

                  โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์แก้ไขริ้วรอยได้จริงไหม? สามารถฉีดจุดไหนได้บ้าง?

                   

                  โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์แก้ไขริ้วรอย ได้จริงไหม?

                  โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการลดเลือนริ้วรอย ร่องลึกอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะริ้วรอยตื้น ๆ ไปจนถึงร่องลึกเกิดจากการยุบตัวของชั้นผิว และชั้นกระดูก เนื่องจากโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ประเภท Hyaluronic Acid (HA) เป็นสารเติมเต็มที่ทำหน้าที่เติมเต็มริ้วรอย และร่องลึกบริเวณใบหน้า ทำให้ริ้วรอย และร่องลึกต่าง ๆ ดูตื้นขึ้นทันทีที่ฉีด ส่งผลให้ผิวหน้ากลับมาเรียบเนียน เต่งตึง และดูอ่อนเยาว์อีกครั้ง โดยโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์สามารถนำมาฉีดได้หลายบริเวณ เช่น ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก ใต้ตา หรือมุมปาก นอกจากนี้ โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ไม่เพียงแต่ช่วยเติมเต็มริ้วรอย ร่องลึก แต่ยังช่วยในการเติมเต็มความชุ่มชื้น ยกกระชับผิว รวมถึง ปรับรูปหน้าได้อีกด้วย

                   

                  ทำความรู้จัก โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย
                  ทำความรู้จัก โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย

                   

                  ทำความรู้จัก โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย

                  โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย คือ การฉีดสารเติมเต็มประเภท Hyaluronic Acid (HA) เข้าไปในบริเวณที่มีริ้วรอย หรือร่องลึกบนใบหน้า เพื่อเติมเต็มริ้วรอย และร่องลึกต่าง ๆ ให้ดูตื้นขึ้น ซึ่ง HA ที่ใช้ เป็นสารสังเคราะห์ที่ผลิตขึ้นมา เพื่อเลียนแบบสารที่มีอยู่ในร่างกาย มีคุณสมบัติหลักในการอุ้มน้ำ และเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว แต่เมื่ออายุมากขึ้น HA ในร่างกายจะค่อย ๆ ลดน้อยลง ทำให้ผิวเริ่มสูญเสียความชุ่มชื้น และความยืดหยุ่น จนเกิดริ้วรอย ร่องลึก หรือผิวหย่อนคล้อยได้ง่าย ซึ่งโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ประเภท HA จะช่วยเติมเต็มริ้วรอย และร่องลึกต่าง ๆ อย่างเป็นธรรมชาติ เพื่อทดแทนบริเวณที่เสื่อมสภาพไปตามอายุ โดยโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอยนั้น สามารถเห็นผลลัพธ์ได้ในทันทีที่ฉีด 

                   

                  ริ้วรอย คืออะไร?

                  ริ้วรอย คือ เส้น หรือรอยพับบนผิวหนัง ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติเมื่ออายุมากขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการเสื่อมสภาพของผิวหนังที่ประกอบด้วยคอลลาเจน อีลาสติน และ Hyaluronic Acid (HA) ที่ทำหน้าที่สำคัญในการเพิ่มความชุ่มชื้น และพยุงโครงสร้างผิวให้มีความแข็งแรง แต่พออายุเพิ่มขึ้น ปริมาณของสารเหล่านี้จะค่อย ๆ ลดลง ประมาณ 1 – 1.5% ต่อปี ส่งผลให้ผิวหนังเริ่มสูญเสียความยืดหยุ่น และเกิดเป็นริ้วรอย ร่องลึกต่าง ๆ บนใบหน้า โดยจะสามารถสังเกตเห็นได้ชัด เมื่ออายุ 25 ปีขึ้นไป แต่ในบางคนอาจมีริ้วรอยก่อนวัยเกิดขึ้นได้เช่นกัน ซึ่งอาจเป็นผลมาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น การโดนแสงแดด ความเครียด หรือพักผ่อนไม่เพียงพอ 

                   

                  ริ้วรอย มีกี่ประเภท?

                  • ริ้วรอยตื้น (Fine Lines)

                  ริ้วรอยตื้น มีลักษณะเป็นริ้วรอยเส้นเล็กบาง ๆ บนผิวหนัง ซึ่งเป็นริ้วรอยที่เกิดขึ้นในระยะแรก ส่วนใหญ่มักเกิดจากผิวหนังชั้นบนแห้งกร้าน หรือขาดความชุ่มชื้น เช่น บริเวณรอบดวงตา หรือมุมปาก แต่หากปล่อยไว้นาน ๆ อาจสามารถพัฒนาไปเป็นริ้วรอยลึกได้

                  • ริ้วรอยลึก (Deep Wrinkles)

                  ริ้วรอยลึก มีลักษณะเป็นริ้วรอย ร่องลึกที่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน แม้ไม่มีการขยับใบหน้า ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากความเสื่อมสภาพของคอลลาเจน และอีลาสตินใต้ชั้นผิว รวมถึง พฤติกรรมการแสดงสีหน้าบ่อย ๆ ทำให้ผิวไม่สามารถเต่งตึงได้ตามปกติ โดยสามารถเห็นได้บ่อยในบริเวณร่องแก้ม หรือหน้าผาก

                   

                  ริ้วรอย เกิดจากอะไร?
                  ริ้วรอย เกิดจากอะไร?

                   

                  ริ้วรอย เกิดจากอะไร?

                  • อายุ เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของการเกิดริ้วรอยตามธรรมชาติ เนื่องจากพออายุมากขึ้น ฮอร์โมนในร่างกายก็จะค่อย ๆ ลดลง ซึ่งส่งผลกระทบต่อการผลิตคอลลาเจน และอีลาสตินใต้ชั้นผิว ทำให้ผิวขาดน้ำ สูญเสียความยืดหยุ่น จนเกิดเป็นริ้วรอย ร่องลึกได้
                  • แสงแดด โดย รังสี UVA และ UVB ในแสงแดด ถือเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้คอลลาเจน และอีลาสตินใต้ชั้นผิวถูกทำลาย ส่งผลโครงสร้างผิวอ่อนแอ จนผิวขาดความยืดหยุ่น และมีริ้วรอยก่อนวัยเกิดขึ้นได้ง่ายมากขึ้น
                  • การแสดงสีหน้า เป็นอีกหนึ่งสาเหตุของการเกิดริ้วรอย เช่น การยิ้ม หัวเราะ ขมวดคิ้ว หรือตกใจ ซึ่งทำให้กล้ามเนื้อใต้ผิวหนังเกิดการหดตัวซ้ำ ๆ จนเกิดเป็นเส้น หรือรอยพับบนใบหน้า
                  • ความเครียด เมื่อมีความเครียด ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลออกมา ซึ่งจะเข้าไปทำลายคอลลาเจน และอีลาสตินใต้ชั้นผิว ทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้น และขาดความยืดหยุ่น จนเกิดเป็นริ้วรอย ร่องลึกบนใบหน้า
                  • สูบบุหรี่ สารนิโคติน และสารพิษในบุหรี่ ถือเป็นตัวการสำคัญในการเร่งให้ผิวแก่ก่อนวัย ซึ่งส่งผลกระทบต่อการผลิตคอลลาเจน และอีลาสตินใต้ชั้นผิว ทำให้ผิวเสื่อมสภาพ จนมีริ้วรอยเกิดขึ้นได้ง่าย
                  • พักผ่อนไม่เพียงพอ การนอนหลับ หรือพักผ่อนไม่เพียงพอ ทำให้ร่างกายไม่สามารถซ่อมแซมตัวเองได้ตามปกติ จนส่งผลกระทบให้ผิวอ่อนแอ ขาดความยืดหยุ่น และเกิดริ้วรอยก่อนวัยได้
                  • ขาดความชุ่มชื้น เนื่องจาก Hyaluronic Acid (HA) ในผิวลดน้อยลง ทำให้ผิวขาดน้ำ ไม่สดใส จนเกิดริ้วรอยได้ง่ายกว่าผิวที่ชุ่มชื้น

                   

                  รวมจุดฉีดโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย

                  โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย และร่องลึก สามารถฉีดได้หลายจุดบริเวณใบหน้า โดยส่วนใหญ่ จุดที่นิยมฉีดโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย ร่องลึก มีดังนี้

                  • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ บริเวณใต้ตา เพื่อเติมเต็มริ้วรอยเส้นเล็ก ๆ บริเวณรอบดวงตา รวมถึงเติมเต็มร่องลึกใต้ตาให้ดูตื้นขึ้น ทำให้ใบหน้าดูสดใส ไม่โทรม
                  • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ บริเวณหน้าผาก เพื่อเติมเต็มริ้วรอย หรือรอยย่นบริเวณหน้าผาก รวมถึง ปรับรูปทรงหน้าผากให้ดูมีมิติมากขึ้น
                  • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ บริเวณร่องแก้ม เพื่อเติมเต็มริ้วรอย หรือร่องลึกบริเวณร่องแก้มให้มีความอิ่มฟู คืนความอ่อนเยาว์ให้กับใบหน้า
                  • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ บริเวณร่องน้ำหมาก เพื่อเติมเต็มริ้วรอย หรือร่องลึกบริเวณร่องน้ำหมากให้ดูตื้นขึ้น ทำให้ใบหน้าดูเด็กลง
                  • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ บริเวณมุมปาก เพื่อเติมเต็มริ้วรอยเส้นเล็ก ๆ หรือร่องบริเวณมุมปาก รวมถึง ช่วยยกมุมปากขึ้น ทำให้ใบหน้าสดใส ดูเป็นมิตร

                   

                  โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย เหมาะกับใคร?
                  โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย เหมาะกับใคร?

                   

                  โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย เหมาะกับใคร? 

                  • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุ 25 ปีขึ้นไป
                  • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย เหมาะสำหรับผู้ที่มีริ้วรอย และร่องลึกบนใบหน้า เช่น บริเวณร่องแก้ม หรือรอบดวงตา
                  • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแห้งกร้าน ต้องการเติมน้ำให้ผิว
                  • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อย ห้อยย้อย ขาดความกระชับ
                  • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย เหมาะสำหรับผู้ที่ผิวสูญเสียความยืดหยุ่น และความอิ่มฟู
                  • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวเสื่อมสภาพจากอายุที่มากขึ้น
                  • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการชะลอริ้วรอยก่อนวัย
                  • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเห็นผลลัพธ์ในทันที
                  • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการผ่าตัด และไม่ต้องการพักฟื้นนาน

                   

                  โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย ไม่เหมาะกับใคร? 

                  • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่อยู่ในระหว่างการตั้งครรภ์
                  • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่อยู่ในระหว่างการให้นมบุตร
                  • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่แพ้ Hyaluronic Acid (HA) ในโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ 
                  • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเลือดออกไม่หยุด
                  • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวอักเสบ หรือติดเชื้อ
                  • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่แพ้ยาชา เนื่องจากโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์บางยี่ห้อมียาชาผสมอยู่

                   

                  โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย ดีอย่างไร?

                  • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย สามารถแก้ไขปัญหาริ้วรอยตื้น ๆ และริ้วรอยร่องลึกได้อย่างตรงจุด 
                  • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย สามารถเห็นผลลัพธ์ได้อย่างรวดเร็ว โดยจะเห็นได้ชัดว่า ริ้วรอย และร่องลึกดูตื้นขึ้นทันทีที่ฉีด
                  • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย ไม่ต้องพักฟื้น เนื่องจากเป็นหัตถการที่ไม่มีรอยแผล หลังทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เสร็จ สามารถทำกิจกรรมได้ตามปกติ
                  • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย ไม่เป็นอันตราย เนื่องจากโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์มีส่วนประกอบของสาร Hyaluronic Acid (HA) ที่สามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ และไม่ตกค้างในชั้นผิว
                  • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย มีความสะดวกรวดเร็ว เนื่องจากโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ใช้ระยะเวลาในการฉีดไม่นาน ประมาณ 15 – 30 นาที จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาจำกัด

                   

                  โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย กับ ฉีดโบลดริ้วรอย ต่างกันอย่างไร?

                  โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย กับการฉีดโบลดริ้วรอย เป็นตัวช่วยในการแก้ไขปัญหาริ้วรอยทั้งคู่ แต่ทั้งสองหัตถการก็มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ในด้านของคุณสมบัติ หลักทำงาน บริเวณที่ฉีด และผลลัพธ์ที่ได้ ดังนี้

                  • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย จะใช้สาร Hyaluronic Acid (HA) เป็นส่วนประกอบหลัก ซึ่งเป็นสารที่เลียนแบบสารในร่างกาย มีลักษณะเป็นเนื้อเจลที่มีโมเลกุลหลากหลาย สามารถเลือกฉีดได้ตามความเหมาะสมในแต่ละปัญหา เช่น เนื้อแข็ง เนื้อนิ่ม หรือเนื้อละเอียด โดยโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์แต่ละประเภทก็จะใช้ฉีดในชั้นผิวที่แตกต่างกัน ทั้งผิวหนังชั้นลึก ผิวหนังชั้นตื้น หรือแม้แต่ชั้นกระดูก เพื่อเข้าไปเติมเต็มริ้วรอย และร่องลึกต่าง ๆ บนใบหน้า เช่น ร่องแก้ม ใต้ตา หรือร่องน้ำหมาก ซึ่งสามารถเติมเต็มได้ทั้งริ้วรอยตื้น ๆ และริ้วรอยร่องลึก รวมถึง นำมาฉีดเพื่อเสริมปริมาตรให้ผิวในบริเวณที่ยุบตัว จากการสูญเสียคอลลาเจน อีลาสติน และกระดูกที่ทรุดตัวตามวัย ทำให้ริ้วรอยบริเวณที่ฉีดดูตื้นขึ้น ผิวมีความอิ่มฟู เต่งตึง และเรียบเนียนขึ้นทันทีที่ฉีด ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้ว โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์สามารถคงผลลัพธ์ได้นาน ประมาณ 6 – 18 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ที่ใช้
                  • โปรแกรมฉีดโบลดริ้วรอย จะใช้สารที่สกัดจากแบคทีเรียชนิดหนึ่งเป็นส่วนประกอบหลัก ซึ่งมีคุณสมบัติในการคลายกล้ามเนื้อ และมีลักษณะเป็นผลึกสีขาว ต้องนำมาผสมน้ำเกลือก่อนฉีด โดยโบลดริ้วรอยจะใช้ฉีดในชั้นกล้ามเนื้อ เพื่อออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท ในการยับยั้งการหดเกร็งของกล้ามเนื้อโดยตรง ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดคลายตัวลง ส่งผลให้ริ้วรอย หรือรอยพับต่าง ๆ กลับมาเรียบตึงเหมือนเดิม ซึ่งถือเป็นการลดริ้วรอยจากการแสดงสีหน้าได้อย่างตรงจุด เช่น ริ้วรอยหน้าผาก ริ้วรอยระหว่างคิ้ว หรือริ้วรอยหางตา โดยสามารถเห็นผลลัพธ์ได้ใน 3 – 4 วันหลังฉีด และสามารถคงอยู่ได้นาน ประมาณ 4 – 6 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อฉีดโบที่ใช้

                  ดังนั้น จะเห็นได้ว่าโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ และโปรแกรมฉีดโบ มีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด โดยโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์จะเน้นในการเติมเต็มริ้วรอย และร่องลึกในทันทีที่ฉีด ส่วนการฉีดโบจะเน้นยับยั้งการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ ทำให้ลดเลือนริ้วรอยจากการแสดงสีหน้าได้เป็นอย่างดี ซึ่งโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ และโปรแกรมฉีดโบนั้น สามารถฉีดร่วมกันได้ หากต้องการผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งนี้ แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ก่อนตัดสินใจฉีด

                   

                  โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย ยี่ห้อไหนดี?

                  โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอยมีให้เลือกหลายยี่ห้อ ซึ่งแต่ละยี่ห้อนั้น ก็มีเทคโนโลยี และจุดเด่นที่แตกต่างกัน โดยยี่ห้อโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ส่วนใหญ่ที่นิยมใช้ และได้รับการรับรองจาก อย. มีดังนี้

                  โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ยี่ห้อ Juvederm 

                  • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ Juvederm เป็นสารเติมเต็มสัญชาติสหรัฐอเมริกาที่นิยมใช้กันทั่วโลก และได้รับความไว้วางใจ ในวงการแพทย์ความงามมาอย่างยาวนาน ซึ่งถูกผลิตขึ้นโดยบริษัท Allergan บริษัทชั้นนำด้านการผลิตเทคโนโลยีความงามระดับโลก อีกทั้ง โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ Juvederm ยังได้รับการรับรองจาก องค์การอาหารและยาของ ประเทศสหรัฐอเมริกา (US FDA) และประเทศไทย (TH FDA) อีกด้วย
                  • จุดเด่นของโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ Juvederm คือ ใช้ 2 เทคโนโลยีในกระบวนการผลิตโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ ได้แก่ Hylacross Technology และ Vycross Technology โดย Hylacross เป็นเทคโนโลยีที่เด่นเรื่องความอุ้มน้ำ เมื่อฉีดเข้าสู่ผิวแล้ว เนื้อของโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์จะฟูได้ดี และมีความยืดหยุ่นสูง ส่วน Vycross เป็นเทคโนโลยีที่เด่นเรื่องการยกกระชับผิว สามารถยึดเกาะได้อย่างแน่นหนา และทนต่อแรงขยับได้ดี
                  • ปัจจุบันโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ Juvederm ได้ถูกออกแบบขึ้นมาหลากหลายรุ่น ให้เลือกตามความเหมาะสม ซึ่งในแต่ละรุ่นก็เหมาะสำหรับการฉีดในบริเวณที่แตกต่างกัน แต่โดยเฉลี่ยแล้ว โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ Juvederm สามารถคงผลลัพธ์ได้ยาวนาน ถึง 12 – 24 เดือน ขึ้นอยู่กับรุ่นโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ที่ใช้ และบริเวณที่ต้องการทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์

                  โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ยี่ห้อ Restylane

                  • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ Restylane เป็นสารเติมเต็มสัญชาติสวีเดนที่นิยมใช้ทั่วโลกเช่นเดียวกับ โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ Juvederm และมีการผลิตมาอย่างยาวนาน
                  • ซึ่งถูกผลิตขึ้นโดยบริษัท Galderma บริษัทชั้นนำด้านการผลิตเทคโนโลยีความงามระดับโลกอย่าง Sculptra อีกทั้ง โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ Restylane ยังได้รับการรับรองจาก องค์การอาหารและยาของ ประเทศสหรัฐอเมริกา (US FDA) และประเทศไทย (TH FDA) อีกด้วย
                  • จุดเด่นของโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ Restylane คือ ใช้ 2 เทคโนโลยีในกระบวนการผลิตโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ ได้แก่ OBT Technology และ NASHA Technology โดย OBT เป็นเทคโนโลยีที่เด่นเรื่องความยืดหยุ่น เมื่อฉีดเข้าสู่ผิวแล้ว สามารถปรับรูปทรงได้อย่างหลากหลาย ส่วน NASHA เป็นเทคโนโลยีที่เด่นเรื่องความคงตัว และความชุ่มชื้น สามารถอุ้มน้ำได้ดี โดยที่ไม่ไหล ไม่เป็นก้อนง่าย
                  • ปัจจุบันโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ Restylane ได้ถูกออกแบบขึ้นมาหลากหลายรุ่น ให้เลือกตามความเหมาะสม ซึ่งในแต่ละรุ่นก็เหมาะสำหรับการฉีดในบริเวณที่แตกต่างกัน แต่โดยเฉลี่ยแล้ว โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ Restylane สามารถคงผลลัพธ์ได้ยาวนาน ถึง 6 – 18 เดือน ขึ้นอยู่กับรุ่นโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ที่ใช้ และบริเวณที่ต้องการทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์

                  โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ยี่ห้อ Belotero

                  • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ Belotero เป็นสารเติมเต็มสัญชาติสวิตเซอร์แลนด์ที่มีคุณภาพสูง และนิยมนำมาใช้มากขึ้นเรื่อย ๆ ในปัจจุบัน ซึ่งถูกผลิตขึ้นโดยบริษัท Merz Aesthetics บริษัทชั้นนำด้านการผลิตเทคโนโลยีความงามระดับโลกอย่าง โปรแกรม Ulthera และโปรแกรมฉีด Radiesse อีกทั้ง โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ Belotero ยังได้รับการรับรองจาก องค์การอาหารและยาของ ประเทศสหรัฐอเมริกา (US FDA) และประเทศไทย (TH FDA) อีกด้วย
                  • จุดเด่นของโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ Belotero คือ ใช้เทคโนโลยีการผลิตที่จดสิทธิบัตรเฉพาะของโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ Belotero เท่านั้น มีเรียกชื่อว่า CPM Technology ซึ่งมาพร้อมกับ 3 คุณสมบัติเด่น ได้แก่ Cohesivity ทำให้คงรูปได้ดี ยึดเกาะกันเป็นเนื้อเดียว, Elasticity ทำให้มีความยืดหยุ่นสูง และ Plasticity ทำให้สามารถปั้นทรงได้ง่าย
                  • ปัจจุบันโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ Belotero ได้ถูกออกแบบขึ้นมาหลากหลายรุ่น ให้เลือกตามความเหมาะสม ซึ่งในแต่ละรุ่นก็เหมาะสำหรับการฉีดในบริเวณที่แตกต่างกัน แต่โดยเฉลี่ยแล้ว โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ Belotero สามารถคงผลลัพธ์ได้ยาวนาน ถึง 6 – 18 เดือน ขึ้นอยู่กับรุ่นโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ที่ใช้ และบริเวณที่ต้องการทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ 

                   

                  ก่อนทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย ควรปฏิบัติตัวอย่างไร?
                  ก่อนทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย ควรปฏิบัติตัวอย่างไร?

                   

                  ก่อนทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย ควรปฏิบัติตัวอย่างไร?

                  • ก่อนทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย งดใช้ยากลุ่มต้านการอักเสบ และยาที่ส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด อย่างน้อย 1 – 2 สัปดาห์
                  • ก่อนทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย งดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 1 วัน
                  • ก่อนทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย งดการสูบบุหรี่ทุกประเภท อย่างน้อย 1 วัน
                  • ก่อนทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย งดออกกำลังกายหักโหม อย่างน้อย 1 วัน
                  • ก่อนทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย งดทำทรีตเมนต์บนใบหน้า เช่น การเลเซอร์ ขัดผิว หรือผลัดเซลล์ผิว อย่างน้อย 1 สัปดาห์

                   

                  หลังทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย มีข้อควรระวังอย่างไร?

                  • หลังทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย หลีกเลี่ยงการแต่งหน้า อย่างน้อย 12 – 24 ชั่วโมง
                  • หลังฉีดโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย หลีกเลี่ยงการจับ นวด หรือกดทับบริเวณใบหน้า อย่างน้อย 1 – 2 สัปดาห์
                  • หลังทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย งดนอนคว่ำ หรือนอนตะแคง อย่างน้อย 1 – 2 สัปดาห์
                  • หลังทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย งดออกกำลังกายแบบหักโหม อย่างน้อย 2 – 3 วัน
                  • หลังทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย งดโดนแสงแดด หรือทำกิจกรรมที่โดนความร้อนโดยตรง อย่างน้อย 1 – 2 สัปดาห์
                  • หลังทำหลังโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย งดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 1 – 2 วัน
                  • หลังทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย งดการสูบบุหรี่ทุกประเภท อย่างน้อย 1 – 2 วัน

                   

                  โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย ใช้ปริมาณกี่ CC?

                  • ปริมาณ CC ที่ใช้สำหรับโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอย และร่องลึกนั้น จะขึ้นอยู่กับปัญหา และสภาพผิวของแต่ละบุคคล ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้ประเมิน และกำหนดปริมาณโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ที่เหมาะสมในบริเวณที่ต้องการแก้ไข แต่โดยทั่วไป จะใช้ปริมาณโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ ประมาณ 2 – 4 CC ต่อ 1 บริเวณค่ะ

                   

                  โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ ช่วยเรื่องอะไรได้บ้าง?

                  นอกจากการเติมเต็มริ้วรอย และร่องลึกแล้ว โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ยังช่วยแก้ไขปัญหาผิวได้หลายรูปแบบ ดังนี้

                  • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ ช่วยในการยกกระชับผิว ลดความหย่อนคล้อยบนใบหน้า
                  • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ ช่วยในการปรับโครงสร้างใบหน้า ทำให้ใบหน้ามีสัดส่วนที่สวยงาม
                  • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ ช่วยในการเติมเต็มบริเวณที่เกิดการยุบตัว ทำให้ผิวอิ่มฟู ดูมีวอลลุ่มมากขึ้น
                  • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ ช่วยในการเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ทำให้ผิวฉ่ำวาว แต่งหน้าติดทนมากขึ้น
                  • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ ช่วยในการแก้ปัญหารูขุมขนกว้าง ผิวขรุขระ ไม่เรียบเนียน

                   

                  โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ มีผลข้างเคียงอย่างไร?

                  • หลังฉีดโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ อาจมีอาการบวมแดง ปวดตึง หรือฟกช้ำในบริเวณที่ฉีด ซึ่งเป็นอาการปกติที่พบได้บ่อย และไม่เป็นอันตรายใด ๆ โดยจะค่อย ๆ ดีขึ้น และสามารถหายไปได้เอง ภายใน 1 – 2 สัปดาห์ แต่แนะนำให้ฉีดโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์กับแพทย์ที่มีความรู้ และมีประสบการณ์ เพื่อป้องกันความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียง

                   

                  โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ สามารถแก้ไขริ้วรอย และร่องลึกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งถือเป็นทางเลือกที่ดีที่ให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น สำหรับใครที่สนใจ หรือกำลังมองหาตัวช่วยในการลดเลือนริ้วรอยอยู่ โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ถือว่าตอบโจทย์ เพราะนอกจากการเติมเต็มริ้วรอย และร่องลึกแล้ว ยังสามารถปรับโครงสร้างใบหน้า และยกกระชับผิวได้อีกด้วย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ควรเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน และแพทย์ที่มีความชำนาญก่อนฉีด เพื่อผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ และไม่ก่อให้เกิดอันตรายหลังฉีด

                  โปรแกรมฉีดโบลดริ้วรอย หยุดปัญหาแห่งวัยให้คุณเก๋ พรทิพย์ภา 

                  โปรแกรมฉีดโบลดริ้วรอย คุณเก๋ พรทิพย์ภา สอนจันทร์

                  โปรแกรมฉีดโบลดริ้วรอย หยุดปัญหาแห่งวัยให้คุณเก๋ พรทิพย์ภา 

                   

                  ดูแลผิวของดารามาแล้วก็ถึงคิวตัวเองขอมาดูแลผิว อัปความอ่อนเยาว์ให้ใบหน้าหน่อยค่ะ จะเป็นที่ไหนไปไม่ได้ ต้องรมย์รวินท์คลินิกเท่านั้น! 

                   

                  ยอมรับเลยค่ะว่าทนไม่ไหวจริงๆ (หัวเราะ) ทนไม่ไหวแล้วกับริ้วรอย และความหย่อนคล้อยที่มี พาคนอื่นมาดูแลผิวแล้ว ครั้งนี้ขอพาตัวเองดูแลผิวบ้างค่ะ จะทำทั้งทีก็ต้องทำคลินิกที่เชื่อถือได้ใช่มั้ยล่ะคะ เก๋มั่นใจรมย์รวินท์คลินิกนี่เลยค่ะ เพราะที่นี่เขาขึ้นชื่อว่ามีทีมแพทย์ที่เก่งและมีประสบการณ์เฉพาะด้าน มีชื่อเสียงมายาวนานกว่า 22 ปี และมีสาขาถึง 28 สาขา ทั่วประเทศ ถ้าไม่ดีจริงก็อยู่ไม่ได้นานขนาดนี้ และถ้าไม่ดีจริงใครล่ะ! จะยอมแลกกับหน้าของตัวเองจริงมั้ยคะ

                   

                  โปรแกรมฉีดโบลดริ้วรอย คุณเก๋ พรทิพย์ภา สอนจันทร์
                  ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

                   

                  เก๋มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย ผิวเหี่ยว ผิวแก่ ริ้วรอย ร่องลึก มาครบเลยค่ะ ด้วยอายุที่มากขึ้นแล้วยังไงก็หนีไม่พ้นอยู่แล้วกับปัญหาเหล่านี้ เก๋เลยอยากจะแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย ให้เป็นผิวยกกระชับ อ่อนเยาว์ขึ้นแบบเร่งด่วน เห็นผลลัพธ์ได้ทันที ก็เลยมาให้คุณหมอริว (นพ.อัครวินท์ ดำรงค์วัฒนโภคิน : ว.52239) ช่วยค่ะ คุณหมอริวน่ารักมากให้คำปรึกษาอย่างดีเลยค่ะ ก่อนทำหัตถการคุณหมอริวจะใช้โปรแกรม Lifting Select ช่วยตรวจวิเคราะห์ผิวผ่าน 3 เฟรมเวิร์ก เพื่อวิเคราะห์ปัญหาผิวและเลือกใช้หัตถการที่ช่วยรักษาได้อย่างตรงจุดและเห็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุด เทคนิคนี้คิดค้นจากประสบการณ์ของทีมแพทย์กว่า 22 ปี และมีเฉพาะที่รมย์รวินท์คลินิกเท่านั้นนะคะ ใครที่ได้มาดูแลผิวที่นี่ต้องผ่านเทคนิคนี้กันทุกคนแน่นอน เพื่อผลลัพธ์ของความสวยที่ได้รับกลับไปค่ะ

                   

                  โปรแกรมฉีดโบลดริ้วรอย หยุดปัญหาแห่งวัยให้คุณเก๋ พรทิพย์ภา

                  คุณเก๋ พรทิพย์ภา สอนจันทร์ ผู้ใช้บริการจริง
                  ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

                   

                  หลังจากทำการตรวจวิเคราะห์ผิวด้วยโปรแกรม Lifting Select แล้ว คุณหมอริวเลือกโปรแกรมฉีดโบเพื่อแก้ไขปัญหาผิวหย่อนคล้อยให้กับเก๋ค่ะ ซึ่งการโปรแกรมฉีดโบเป็นหัตถการที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก โปรแกรมฉีดโบทำงานด้วยการออกฤทธิ์ตรงเข้าไปยับยั้งการทำงานของมัดกล้ามเนื้อให้เกิดการคลายตัว เวลาที่เราแสดงสีหน้า ไม่ว่าจะเป็นขมวดคิ้ว ย่นหน้าผาก มัดกล้ามเนื้อบริเวณที่โปรแกรมฉีดโบก็จะไม่ขยับตาม ทำให้บริเวณนั้นไม่เกิดรอยพับ หรือยับย่น ทำให้ผิวหน้าดูตึง ดูอ่อนเยาว์ขึ้นนั่นเองค่ะ และโปรแกรมฉีดโบยังช่วยในเรื่องของการเติมเต็มริ้วรอย ร่องลึกให้ตื้นขึ้น และสำหรับใครที่มีความหย่อนคล้อย ความย้วยมีส่วนเกิน หรือมีขนาดกรามที่ใหญ่ โปรแกรมฉีดโบยังช่วยจัดเก็บให้กรอบหน้าให้เรียว ยก คมชัดขึ้นค่ะ 

                   

                  โปรแกรมฉีดโบลดริ้วรอย คุณเก๋ พรทิพย์ภา สอนจันทร์
                  ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

                   

                  หลังจากที่เก๋ได้โปรแกรมฉีดโบกับคุณหมอริว เก๋รู้สึกเด็กลงมากค่ะ (หัวเราะ) เพราะรอยยับย่นตรงบริเวณหน้าผาก ระหว่างคิ้ว ตีนกา ร่องน้ำหมากหายไปเลยค่ะ ดูตื้นขึ้นมาก และความกังวลของเก๋เรื่องความหย่อนคล้อยของใบหน้า หน้าห้อย มีเหนียง มีกระเปาะแก้มคุณหมอริวจัดการเก็บให้หมดเลยค่ะ ตอนนี้หน้าเข้ารูปมากกว่าเดิม กระชับมากกว่าเดิม หน้าของเก๋ดูเรียว ดูคมชัด มีมิติมากขึ้น และตอนทำคือไม่เจ็บเลยค่ะ คุณหมอริวมือเบามาก คุณหมอริวบอกมีเทคนิคการโปรแกรมฉีดโบเฉพาะของรมย์รวินท์คลินิก ทำให้ไม่รู้สึกเจ็บ ทรมาน แต่ให้ผลลัพธ์ที่ดี เก๋ก็เชื่อแบบนั้นค่ะ เพราะตอนนี้หน้าเก๋สวยมากขึ้นเลยค่ะ ใครที่อายุเยอะ ใช้สีหน้าเยอะ หน้าหย่อนคล้อย ไม่ได้รูป มาโปรแกรมฉีดโบแบบเก๋ที่รมย์รวินท์คลินิกรับรองสวยกลับไปอย่างแน่นอนค่ะ ไม่เชื่อเจอกันครั้งไหนมามองหน้าเก๋ใกล้ๆ ได้เลยนะคะ (หัวเราะ) 

                   

                  คุณเก๋ พรทิพย์ภา สอนจันทร์ ผู้ใช้บริการจริง
                  ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

                   

                  โปรแกรมฉีดโบช่วยเรื่องอะไรบ้าง

                  • โปรแกรมฉีดโบช่วยยกความหย่อนคล้อย ให้หน้ากระชับ
                  • โปรแกรมฉีดโบช่วยปรับกรอบหน้าให้เรียวชัด มีมิติ
                  • โปรแกรมฉีดโบช่วยลดกระเปาะแก้ม
                  • โปรแกรมฉีดโบช่วยให้ริ้วรอยจางลง
                  • โปรแกรมฉีดโบช่วยลดขนาดกรามให้เล็กลง
                  • โปรแกรมฉีดโบช่วยเติมเต็มร่องลึกบนใบหน้า
                  • โปรแกรมฉีดโบช่วยให้ผิวหน้าเรียบเนียนมากขึ้น
                  • โปรแกรมฉีดโบช่วยให้ผิวหน้าดูอ่อนเยาว์มากขึ้น
                  • โปรแกรมฉีดโบให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ ไม่ตึงหรือแข็งจนเกินไป

                   

                  โปรแกรมฉีดโบตรงไหนได้บ้าง

                  • โปรแกรมฉีดโบหน้าผาก ระหว่างคิ้ว ลดรอยพับ รอยยับจากการแสดงสีหน้า
                  • โปรแกรมฉีดโบรอบดวงตา ลดถุงใต้ตา ตีนกา ให้หน้าสดใส ไม่โทรม
                  • โปรแกรมฉีดโบร่องแก้ม ช่วยเติมเต็มให้ตื้นขึ้น ดูอ่อนเยาว์
                  • โปรแกรมฉีดโบกราม ลดขนาดกรามให้เล็กลง  ใบหน้าเรียว
                  • โปรแกรมฉีดโบกรอบหน้า ให้หน้าเรียวคมชัด ลดเหนียง มีมิติ

                   

                  ใครที่มีปัญหาผิวหน้าแก่ ผิวยับ หย่อนคล้อยแบบคุณเก๋ หรืออยากปรึกษาเพื่อแก้ไขได้อย่างตรงจุด แนะนำให้มาปรึกษาแพทย์ผู้มีประสบการณ์เฉพาะด้านที่รมย์รวินท์คลินิกได้ทั้ง 28 สาขาทั่วประเทศ ใกล้ที่ไหนไปที่นั่นค่ะ 

                  สาเหตุของการนอนกรนที่หลายคนมองข้าม รักษานอนกรนวิธีไหนได้ผล

                  สาเหตุของการนอนกรน

                  สาเหตุของการนอนกรนที่หลายคนมองข้าม รักษานอนกรนวิธีไหนได้ผล

                  การนอนกรน อาจดูเหมือนเรื่องธรรมดาที่พบได้บ่อย แต่ความจริงแล้วอาการนอนกรนอาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตได้มากกว่าที่คิด หากเข้าใจสาเหตุของการนอนกรนก็จะช่วยให้หาวิธีรักษาและป้องกันได้อย่างถูกต้อง เราจะพาคุณไปดูกันว่าอะไรเป็น สาเหตุของการนอนกรนที่หลายคนมองข้าม รักษานอนกรนวิธีไหนได้ผล เพื่อเพิ่มคุณภาพของการนอน และช่วยให้สุขภาพดีมากขึ้น

                   

                  สาเหตุของการนอนกรนที่พบบ่อย
                  สาเหตุของการนอนกรนที่พบบ่อย

                   

                  สาเหตุของการนอนกรนที่พบบ่อย

                  อาการนอนกรน ถือเป็นอีกหนึ่งปัญหาสุขภาพที่ใครหลาย ๆ คนต่างอาจมองข้าม ซึ่งสาเหตุของการนอนกรนนั้น เกิดจากการที่ทางเดินหายใจแคบลง หรือมีการสั่นสะเทือนของเนื้อเยื่อในลำคอขณะหลับ ซึ่งอาการนี้เกิดได้จากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็น โครงสร้างร่างกาย พฤติกรรมการใช้ชีวิต หรือโรคบางชนิด ดังนี้

                  1. ภาวะอุดกั้นทางเดินหายใจขณะหลับ

                  ภาวะอุดกั้นทางเดินหายใจขณะหลับ (Obstructive Sleep Apnea – OSA) เป็นภาวะที่ทำให้ทางเดินหายใจถูกปิดกั้นชั่วคราวระหว่างการนอนหลับ จึงทำให้เกิดอาการหยุดหายใจเป็นช่วง ๆ และทำให้ร่างกายต้องพยายามหายใจแรงขึ้น ซึ่งก่อให้เกิดเสียงกรนขณะหลับ โดยภาวะอุดกั้นทางเดินหายใจขณะหลับนั้น มักพบในผู้ที่มีน้ำหนักตัวเกินเกณฑ์ เพดานอ่อนเกิดการหย่อนคล้อยลงขณะหลับ หรือมีโครงสร้างทางเดินหายใจที่ตีบแคบตั้งแต่กำเนิด ทำให้หายใจได้ลำบาก

                  โดยอาการที่พบได้บ่อย คือ อาการนอนกรนเสียงดัง ตื่นขึ้นกลางดึกเพราะรู้สึกสำลักหรือขาดอากาศ และมีอาการง่วงนอนมากผิดปกติในเวลากลางวัน ปวดหัวหลังตื่นนอน สมาธิสั้น และมีอารมณ์ที่แปรปรวน ซึ่งหากปล่อยไว้ อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคอันตรายหลาย ๆ โรค เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และโรคหลอดเลือดสมอง ที่อาจก่อให้เกิดอันตรายได้ในอนาคต

                  1. โครงสร้างทางเดินหายใจและพันธุกรรม

                  การมีโครงสร้างทางเดินหายใจตีบ หรือมีความผิดปกติ ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุของอาการนอนกรนได้ เนื่องจากโครงสร้างของจมูก ลำคอ และเพดานอ่อน มีผลต่อการไหลเวียนของอากาศขณะหายใจ โดยคนที่มีลิ้นไก่ยาว เพดานอ่อนหนา คางเล็ก หรือทางเดินหายใจแคบโดยกำเนิด อาจมีแนวโน้มที่จะเกิดการนอนกรนมากกว่าคนปกติ เพราะพันธุกรรมนั้นถือว่ามีบทบาทสำคัญอย่างมาก หากมีสมาชิกในครอบครัวที่มีปัญหานอนกรนหรือภาวะ OSA ก็อาจมีโอกาสสูงที่ลูกหลานจะมีอาการนี้ได้

                  1. น้ำหนักตัวเกินและโรคอ้วน

                  สาเหตุของการนอนกรน สามารถเกิดได้จากน้ำหนักตัวที่เกินเกณฑ์ หรือผู้ที่มีโรคอ้วน เนื่องจากไขมันที่สะสมบริเวณรอบลำคอและบริเวณทางเดินหายใจ อาจทำให้ช่องลมหายใจตีบลงจากแรงกดทับได้ และอาจทำให้กล้ามเนื้อบริเวณทางเดินหายใจอุดกั้นได้ง่ายขึ้น ซึ่งการลดน้ำหนักสามารถช่วยลดอาการนอนกรน และลดการเกิดภาวะหยุดหายใจขณะหลับได้อย่างมีประสิทธิภาพ

                  1. อายุ และความหย่อนคล้อยของกล้ามเนื้อ

                  เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น กล้ามเนื้อในบริเวณลำคอและเพดานอ่อนจะสูญเสียความยืดหยุ่น ทำให้เนื้อเยื่อในลำคอเกิดความหย่อนคล้อย และเมื่อกล้ามเกิดความเนื้อหย่อนคล้อยมากขึ้น เนื้อเยื่อจะสามารถสั่นสะเทือนได้ง่ายขึ้นระหว่างการหายใจ ส่งผลให้เกิดเสียงกรนขณะหลับ ซึ่งสามารถช่วยบรรเทาอาการนอนกรนได้ด้วยการออกกำลังกายบริเวณลำคอ และการปรับพฤติกรรมการนอน

                  1. พฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน
                  • การดื่มแอลกอฮอล์

                  เนื่องจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีฤทธิ์ที่กดประสาท และทำให้กล้ามเนื้อคลายตัวมากเกินไป รวมถึงกล้ามเนื้อในทางเดินหายใจ หากกล้ามเนื้อคลายตัวเพิ่มมากขึ้น จะทำให้ทางเดินหายเกิดการอุดกั้นได้ง่ายขึ้น ส่งผลให้เกิดอาการนอนกรนมากขึ้นกว่าปกติ การงดดื่มแอลกอฮอล์ก่อนนอน สามารถช่วยลดอาการนอนกรนได้

                  • การสูบบุหรี่

                  บุหรี่ ทำให้เกิดการอักเสบและบวมของเยื่อบุทางเดินหายใจ ซึ่งทำให้ช่องทางเดินหายใจแคบลง ทั้งนี้สารพิษในบุหรี่ยังทำให้บริเวณลำคอเกิดการระคายเคืองและมีเสมหะสะสมมากขึ้น ส่งผลให้หายใจได้ลำบากและเกิดเสียงกรนได้ ลดการสูบบุหรี่สามารถช่วยลดอาการนอนกรนได้ และยังช่วยลดความเสี่ยงของโรคระบบทางเดินหายใจ เช่น มะเร็งปอด ได้อีกด้วย

                  • การใช้ยาบางชนิด

                  การเลือกใช้ยาบางชนิด อาจจะทำให้เป็นสาเหตุของการนอนกรนได้ โดยยาที่มีผลต่อระบบประสาท เช่น ยานอนหลับ ยากล่อมประสาท หรือยาแก้แพ้บางชนิด อาจทำให้กล้ามเนื้อบริเวณทางเดินหายใจเกิดการคลายตัวมากเกินไป ซึ่งส่งผลให้เกิดอาการนอนกรนได้ ทั้งนี้หากจำเป็นต้องใช้ยาเหล่านี้ ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับทางเลือกอื่นๆ  เพื่อช่วยลดอาการนอนกรน

                  • ท่านอนที่ส่งผลต่อการกรน

                  ท่านอน ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่เป็นสาเหตุของการนอนกรน โดยการนอนหงาย จะทำให้ลิ้นและเพดานอ่อนตกลงไปปิดกั้นทางเดินหายใจได้ง่ายกว่าการนอนตะแคง ซึ่งจะทำให้เกิดเสียงกรนได้ขณะหลับ การนอนตะแคงจะช่วยทำให้อากาศไหลเวียนได้ดีมากขึ้น และช่วยลดเสียงกรนขณะหลับได้ อีกหนึ่งตัวช่วยลดการนอนกรน คือ การใช้หมอนกันกรน หรือการหนุนศีรษะให้สูงขึ้นเล็กน้อย เพื่อช่วยลดแรงกดทับที่บริเวณทางเดินหายใจได้

                   

                  สาเหตุของการนอนกรน : โปรแกรม Snore Laser รักษาอาการนอนกรน คืออะไร?

                  โปรแกรม Snore Laser เป็นวิธีการรักษาอาการนอนกรนโดยใช้เลเซอร์ชนิดเออร์เบียม (Er: YAG Laser) ยิงเข้าไปบริเวณเพดานอ่อน กระพุ้งแก้ม ลิ้นไก่ และโคนลิ้น โดยพลังงานความร้อนจากเลเซอร์จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้เนื้อเยื่อที่หย่อนคล้อยเกิดการหดตัวและกระชับขึ้น ซึ่งส่งผลให้ช่องทางเดินหายใจเปิดกว้างขึ้น ช่วยลดการสั่นสะเทือนของเนื้อเยื่อที่เป็นสาเหตุของเสียงกรน และช่วยทำให้อากาศสามารถไหลเวียนได้ดีขึ้น ทำให้หายใจได้สะดวกในขณะนอนหลับ

                  ซึ่งหลักการทำงานของโปรแกรม Snore Laser คือ การช่วยให้เนื้อเยื่อในช่องคอและเพดานอ่อนไม่หย่อนตัวลงมาปิดกั้นทางเดินหายใจ ทั้งยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินบริเวณเนื้อเยื่อทำให้เนื้อเยื่อมีความกระชับมากขึ้น ส่งผลใช้ช่วยลดอาการนอนกรน และช่วยลดความเสี่ยงของภาวะหยุดหายใจขณะหลับที่เกิดจากการอุดกั้น (Obstructive Sleep Apnea – OSA) ทั้งนี้ โปรแกรม Snore Laser เป็นการรักษาอาการนอนกรนโดยไม่ต้องผ่าตัด ใช้ยาชาเฉพาะจุด เจ็บน้อย ทั้งยังใช้เวลาในการรักษาไม่นาน หลังทำสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ โดยไม่ต้องพักฟื้น

                   

                  สาเหตุของการนอนกรน : ทำไมต้องรักษานอนกรนด้วยโปรแกรม Snore Laser
                  สาเหตุของการนอนกรน : ทำไมต้องรักษานอนกรนด้วยโปรแกรม Snore Laser

                   

                  สาเหตุของการนอนกรน :  ทำไมต้องรักษานอนกรนด้วยโปรแกรม Snore Laser

                  ลดอาการนอนกรนด้วยโปรแกรม Snore Laser ทางเลือกใหม่สำหรับผู้ที่มีอาการนอนกรนจากภาวะหย่อนคล้อยของเนื้อเยื่อบริเวณทางเดินหายใจในระดับเริ่มต้นถึงปานกลาง ที่จะช่วยลดปัญหาการนอนกรนถี่ นอนกรนเสียงดัง และช่วยเพิ่มคุณภาพของการนอนให้หลับ ช่วยกระชับความสัมพันธ์กับคนรอบข้างให้ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์ของการรักษาโปรแกรม Snore Laser นั้นจะขึ้นอยู่กับโครงสร้างทางเดินหายใจของแต่ละบุคคล และขึ้นอยู่กับปัญหาของแต่ละบุคคล โดยอาจจะเข้ารับการรักษาประมาณ 3-5 ครั้ง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งผลลัพธ์ของการรักษาอาการลดนอนกรนด้วยโปรแกรม Snore Laser สามารถอยู่ได้นานถึง 6-12 เดือน และอาจจะต้องทำซ้ำเพื่อคงผลลัพธ์ให้ได้อย่างต่อเนื่อง

                   

                  สาเหตุของการนอนกรน :  ทำไมต้องรักษาอาการนอนกรนด้วยโปรแกรม Snore Laser

                   

                  • โปรแกรม Snore Laser ใช้พลังงานความร้อนจากเลเซอร์ชนิดเออร์เบียม

                  โปรแกรม Snore Laser เป็นการใช้เลเซอร์ชนิดเออร์เบียม (Er: YAG Laser) พลังงานต่ำส่งคลื่นพลังงานไปยังบริเวณเพดานอ่อน (Soft Palate) ลิ้นไก่ (Uvula) และผนังคอหอย (Pharyngeal Wall) โดยพลังงานความร้อนของเลเซอร์จะเข้าไปกระตุ้นเนื้อเยื่อที่มีปัญหา โดยไม่ก่อให้เกิดแผลในช่องปาก

                  • โปรแกรม Snore Laser ช่วยกระตุ้นการหดตัวของคอลลาเจนในเนื้อเยื่อ

                  พลังงานจากเลเซอร์จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และช่วยเสริมความแข็งแรงของเนื้อเยื่อบริเวณทางเดินหายใจ เนื้อเยื่อที่หย่อนคล้อยจะเริ่มกระชับขึ้น ทำให้ลดการสั่นสะเทือนที่เป็นสาเหตุของการนอนกรน

                  • โปรแกรม Snore Laser ช่วยลดความหย่อนคล้อยของเนื้อเยื่อ

                  โปรแกรม Snore Laser จะช่วยลดความหย่อนคล้อยของเนื้อเยื่อ โดยเนื้อเยื่อบริเวณเพดานอ่อนและลิ้นไก่จะมีความกระชับขึ้น ช่วยให้ทางเดินหายใจกว้างขึ้น ทั้งยังช่วยลดโอกาสที่เนื้อเยื่อจะอุดกั้นทางเดินหายใจขณะหลับ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการนอนกรน

                  • การทำโปรแกรม Snore Laser ไม่มีแผล ไม่ต้องผ่าตัด และไม่ต้องพักฟื้นนาน

                  การรักษาด้วยโปรแกรม Snore Laser เป็นทางเลือกที่จะช่วยลดอาการนอนกรนได้แบบไม่ต้องเจาะผ่าตัด ไม่ต้องใช้ยาสลบ ทำให้ผู้เข้ารับการรักษาสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้โดยไม่ต้องพักฟื้น และไม่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ (CPAP) ขณะหลับ

                   

                  สาเหตุของการนอนกรน : ข้อดีของการรักษาด้วยโปรแกรม Snore Laser

                  • ไม่เป็นอันตราย ไม่ต้องผ่าตัด เนื่องจากโปรแกรม Snore Laser เป็นการรักษาด้วยเลเซอร์ ทำให้ไม่ต้องผ่าตัด และไม่ต้องวางยาสลบ ช่วยลดความเสี่ยงจากการผ่าตัด หรือลดความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อนจากการใช้ยาสลบ
                  • ไม่มีอาการเจ็บปวด เนื่องจากเป็นการรักษาด้วยเลเซอร์ ทำให้ระหว่างทำการรักษาอาการนอนกรนด้วยโปรแกรม Snore Laser ผู้เข้ารับการรักษารู้สึกถึงความอุ่น ๆ บริเวณที่ทำการรักษา แต่จะไม่มีอาการเจ็บปวด แสบ ร้อน ระหว่างทำ
                  • ระยะเวลาทำสั้น เป็นการรักษาที่ใช้เวลาเพียง 30-45 นาทีต่อครั้ง สามารถเข้ารับการรักษาได้ง่าย สะดวก รวดเร็ว เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย 
                  • ฟื้นตัวไว ไม่ต้องพักฟื้น หลังทำการรักษาอาการนอนกรนด้วยโปรแกรม Snore Laser ผู้เข้ารับบริการสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ โดยไม่ต้องพักฟื้น เพียงแค่ต้องดูแลตัวเองหลังทำตามข้อปฏิบัติ
                  • ช่วยลดเสียงกรนและอาการหยุดหายใจขณะหลับ หลังทำโปรแกรม Snore Laser จะช่วยทำให้ทางเดินหายใจกว้างขึ้น ทั้งยังช่วยลดการสั่นสะเทือนของเนื้อเยื่อที่ทำให้เกิดเสียงกรน ช่วยเพิ่มคุณภาพการนอนหลับ ทำให้หายใจสะดวกขึ้น และยังช่วยลดความเสี่ยงของภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (OSA) ระยะเริ่มได้

                   

                  สาเหตุของการนอนกรน : ใครเหมาะกับการรักษาด้วยโปรแกรม Snore Laser?
                  สาเหตุของการนอนกรน : ใครเหมาะกับการรักษาด้วยโปรแกรม Snore Laser?

                   

                  สาเหตุของการนอนกรน :  ใครเหมาะกับการรักษาด้วยโปรแกรม Snore Laser?

                  • ผู้ที่มีอาการนอนกรนจากภาวะหย่อนคล้อยของเพดานอ่อน

                  การนอนกรน มักเกิดจากการที่เพดานอ่อนและเนื้อเยื่อบริเวณลำคอหย่อนตัวลง ทำให้เกิดการสั่นสะเทือนเมื่อหายใจ การทำโปรแกรม Snore Laser ช่วยกระชับเนื้อเยื่อเหล่านี้เพื่อลดอาการนอนกรน

                  • ผู้ที่มีภาวะอุดกั้นทางเดินหายใจขณะหลับในระดับเริ่มต้นถึงปานกลาง

                  หากมีอาการหยุดหายใจขณะหลับเล็กน้อยถึงปานกลาง และไม่ได้ต้องการใช้เครื่องรักษาอาการนอนกรน CPAP ขณะหลับ การรักษาอาการนอนกรนด้วยโปรแกรม Snore Laser สามารถช่วยลดการอุดกั้นทางเดินหายใจ และทำให้หายใจสะดวกขึ้น

                  • ผู้ที่ไม่ต้องการเข้ารับการผ่าตัด

                  โปรแกรม Snore Laser เป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการรักษาอาการนอนกรนโดยไม่ต้องผ่าตัด เนื่องจากเป็นการใช้เลเซอร์ชนิดเออร์เบียมในการรักษา ทำให้ไม่มีบาดแผล และไม่ต้องพักฟื้นนาน

                  • ผู้ที่ไม่ต้องการใช้เครื่องช่วยหายใจ CPAP

                  สำหรับผู้ที่มีปัญหาการนอนกรนและไม่ต้องการใช้เครื่อง CPAP หรืออาจรู้สึกไม่สะดวกหรือใช้งานได้ยาก การรักษาอาการนอนกรนด้วยโปรแกรม Snore Laser เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยให้หายใจสะดวกขึ้น

                  • ผู้ที่มีน้ำหนักตัวอยู่ในเกณฑ์ปกติ

                  ผู้ที่มีน้ำหนักตัวที่อยู่ในเกณฑ์ปกติ สามารถรักษาการนอนกรนด้วยโปรแกรม Snore Laser ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าผู้ที่มีปัญหาน้ำหนักตัวเกิน เนื่องจากอาการนอนกรนอาจเกิดจากไขมันรอบคอกดทับทางเดินหายใจ

                  • ผู้ที่ไม่มีโรคร้ายแรงเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ

                  ผู้ที่เป็นโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ เช่น หอบหืดขั้นรุนแรง หรือโรคเกี่ยวกับกล้ามเนื้อที่มีผลต่อการหายใจ สามารถรักษาการนอนกรนด้วยโปรแกรม Snore Laser ได้ แต่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับการรักษาอาการนอนกรนด้วยโปรแกรม Snore Laser เพื่อช่วยวางแผนการรักษาที่เหมาะสม

                  • ผู้ที่ต้องการเพิ่มคุณภาพการนอนหลับ

                  การรักษาอาการนอนกรนด้วยโปรแกรม Snore Laser สามารถช่วยลดเสียงกรน ความถี่ของการกรนได้ และช่วยทำให้การนอนหลับมีคุณภาพดีขึ้นไม่ว่าจะเป็นของตัวเอง หรือคนรอบข้าง ช่วยทำให้ความสัมพันธ์กับคนในครอบครัว และคนรอบข้างดีขึ้น

                   

                  สาเหตุของการนอนกรน :  ใครไม่เหมาะกับการรักษาด้วยโปรแกรม Snore Laser?

                  • ผู้ที่มีภาวะนอนกรนรุนแรงจากโรคหยุดหายใจขณะหลับระดับรุนแรง (Severe OSA)

                  การรักษาอาการนอนกรนด้วยโปรแกรม Snore Laser เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะอุดกั้นทางเดินหายใจขณะหลับในระดับเบาถึงปานกลาง หากมีอาการหยุดหายใจขณะหลับระดับรุนแรง โดยมีอาการหยุดหายใจบ่อยครั้งและเป็นเวลานาน อาจจะต้องใช้การรักษาอื่น เพื่อแก้ปัญหาแทน

                  • ผู้ที่มีโครงสร้างทางเดินหายใจผิดปกติอย่างรุนแรง

                  ผู้ที่มีโครงสร้างทางเดินหายใจที่ผิดปกติในบริเวณเพดานอ่อน ลิ้นไก่ หรือทางเดินหายใจส่วนบน ที่อาจจะทำให้เกิดการตีบแคบของทางเดินหายใจ การรักษาอาการนอนกรนด้วยโปรแกรม Snore Laser อาจจะให้ผลลัพธ์ได้ไม่เต็มที่ อาจพิจารณาวิธีการรักษาอื่น ๆ เช่น การผ่าตัด 

                  • ผู้ที่เป็นโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจเรื้อรัง

                  สำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับทางเดินหายใจ หรือมีภาวะเกี่ยวกับโรคทางเดินหายใจเรื้อรัง เช่น โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) หรือโรคหอบหืดที่ควบคุมได้ยาก การรักษาอาการนอนกรนด้วยโปรแกรม Snore Laser อาจจะไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด เนื่องจากอาการนอนกรน อาจเป็นหนึ่งอาการของโรคดังกล่าว

                  • ผู้ที่มีน้ำหนักตัวมากเกินไปหรือเป็นโรคอ้วน (Obesity BMI สูงมาก)

                  น้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน ถือเป็นสาเหตุของการนอนกรนที่สำคัญที่อาจก่อให้เกิดภาวะหยุดหายใจขณะหลับได้ เนื่องจากไขมันที่สะสมบริเวณรอบคออาจจะกดทับทางเดินหายใจ ส่งผลให้เกิดการอุดกั้นที่ไม่สามารถรักษาอาการนอนกรนด้วยโปรแกรม Snore Laser เพียงอย่างเดียว ในกรณีนี้ควรดูแลสุขภาพโดยการลดน้ำหนัก และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตก่อน จากนั้นจึงค่อยรักษาอาการนอนกรน

                  • ผู้ที่สูบบุหรี่จัดหรือดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ

                  การสูบบุหรี่ทำให้เกิดการอักเสบและบวมของเนื้อเยื่อบริเวณทางเดินหายใจ และแอลกอฮอล์นั้นทำให้กล้ามเนื้อทางเดินหายใจคลายตัวมากขึ้น ส่งผลให้เกิดการอุดกั้นของทางเดินหายใจที่มากขึ้น ซึ่งอาจทำให้การรักษาอาการนอนกรนด้วยโปรแกรม Snore Laser มีประสิทธิภาพที่ลดลง

                  • ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด

                  แม้ว่าการรักษาอาการนอนกรนด้วยโปรแกรม Snore Laser จะเป็นการรักษาที่ไม่ได้ผ่าตัด หรือไม่มีแผลเปิด แต่ในบางกรณีหากเป็นผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือดหรือเนื้อเยื่อที่เกิดการบาดเจ็บฟื้นตัวช้า อาจต้องปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับการรักษา

                  • สตรีมีครรภ์หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร

                  สตรีมีครรภ์หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตรนั้น ควรหลีกเลี่ยงการทำโปรแกรม Snore Laser เนื่องจากระดับฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงระหว่างตั้งครรภ์ อาจส่งผลต่อเนื้อเยื่อในทางเดินหายใจ 

                  • ผู้ที่คาดหวังผลลัพธ์แบบถาวร

                  การรักษาด้วยโปรแกรม Snore Laser สามารถช่วยลดอาการนอนกรนได้ แต่ไม่สามารถให้ผลลัพธ์แบบถาวรได้ ซึ่งผู้เข้ารับบริการจะต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมควบคู่ไปด้วย เพราะหากไม่ดูแลตัวเองอาการนอนกรนอาจกลับมาได้

                   

                  สาเหตุของการนอนกรน :  ผลลัพธ์ของการรักษาด้วยโปรแกรม Snore Laser

                  1. อาการนอนกรนเริ่มลดลงหลังการรักษาอาการนอนกรนด้วยโปรแกรม Snore Laser 1-2 ครั้ง

                  หลังจากเข้ารับการรักษานอนกรนด้วยโปรแกรม Snore Laser ครั้งแรก เสียงกรนจะค่อย ๆ ลดลง หรือมีความถี่ของการกรนน้อยลง โดยผลลัพธ์นั้นจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับปัญหาความหย่อนคล้อยของเนื้อเยื่อ 

                  1. การรักษาอาการนอนกรนด้วยโปรแกรม Snore Laser อาจต้องเข้ารับการรักษาต่อเนื่อง 3-5 ครั้ง

                  โดยทั่วไปการรักษาอาการนอนกรนโปรแกรม Snore Laser จะแนะนำให้ทำการรักษาอย่างต่อเนื่องประมาณ 3-5 ครั้ง โดยแต่ละครั้งควรเว้นระยะห่างกันประมาณ 2-4 สัปดาห์  เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด เนื่องจากโปรแกรม Snore Laser จะค่อย ๆ กระตุ้นการทำงานของเนื้อเยื่อให้เกิดการหดตัวของคอลลาเจนอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้จำนวนครั้งจะขึ้นอยู่กับปัญหาความรุนแรงของการหย่อนคล้อย

                  • ผลลัพธ์ของการรักษาอาการนอนกรนด้วยโปรแกรม Snore Laser สามารถอยู่ได้นาน 6-12 เดือน

                  หลังจากการรักษาอาการนอนกรนด้วยโปรแกรม Snore Laser ครบตามที่แพทย์ได้ทำการแนะนำแล้วนั้น ผลลัพธ์จะสามารถอยู่ได้นานถึงประมาณ 6-12 เดือน ทั้งนี้จะขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองหลังทำของแต่ละบุคคล โดยสามารถทำซ้ำได้ปีละ 1-2 ครั้ง เพื่อคงผลลัพธ์ของการรักษาให้ยาวนานขึ้น 

                  1. ประสิทธิภาพของการรักษาอาการนอนกรนด้วยโปรแกรม Snore Laser ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

                  การรักษาอาการนอนกรนด้วยโปรแกรม Snore Laser นั้นผลลัพธ์และประสิทธิภาพหลังทำการรักษาจะขึ้นอยู่กับปัญหาของความหย่อนคล้อยของเนื้อเยื่อในทางเดินหายใจของแต่ละบุคคล โดยผู้ที่มีโครงสร้างทางเดินหายใจแคบ หรือมีภาวะหย่อนคล้อยของเนื้อเยื่อมาก อาจต้องใช้ระยะเวลาในการรักษานานขึ้น เพื่อให้เนื้อเยื่อเกิดการกระชับตัวอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ยังขึ้นอยู่กับหลาย ๆ ปัจจัยร่วมกัน เช่น อายุ พฤติกรรมการใช้ชีวิต และภาวะน้ำหนักเกิน ที่อาจจะมีผลต่อการรักษา

                   

                  สาเหตุของการนอนกรน : นอนกรน คืออะไร ?
                  สาเหตุของการนอนกรน : นอนกรน คืออะไร ?

                   

                  สาเหตุของการนอนกรน :  นอนกรน คืออะไร ?

                  นอนกรน เป็นอาการที่มักเกิดขึ้นเมื่อทางเดินหายใจถูกปิดกั้นบางส่วนหรือทั้งหมด ส่งผลให้ลมหายใจไหลผ่านได้อย่างลำบาก จึงทำให้เกิดการสั่นสะเทือนของเนื้อเยื่อในทางเดินหายใจส่วนบนระหว่างการนอนหลับ ทำให้เกิดเสียงกรนขึ้น โดยอาการนอนกรนเกิดได้ในทุกเพศ ทุกวัย และเกิดได้จากหลาย ๆ ปัจจัย เช่น 

                  • อาการนอนกรนเกิดจากการหย่อนคล้อยของกล้ามเนื้อในลำคอขณะนอนหลับ
                  • อาการนอนกรนเกิดจากการสะสมของไขมันรอบคอและทางเดินหายใจ จนไปกดทับทางเดินหายใจ
                  • อาการนอนกรนเกิดจากโครงสร้างภายในจมูกและช่องปากมีผลต่อการไหลของอากาศ
                  • อาการนอนกรนเกิดจากภาวะอุดกั้นทางเดินหายใจขณะหลับ (Obstructive Sleep Apnea – OSA)

                   

                  สาเหตุของการนอนกรน บ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพหรือไม่?

                  การนอนกรนอาจจะดูเป็นเรื่องปกติสำหรับบางคน แต่การนอนกรนในบางกรณีอาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพหลาย ๆ อย่าง เช่น ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (OSA) ซึ่งเป็นภาวะที่อาจทำให้ระดับออกซิเจนในร่างกายลดลง ส่งผลให้มีอาการง่วงนอนตอนกลางวัน หงุดหงิดง่าย และเสี่ยงต่อโรคอันตรายต่าง ๆ ได้ เช่น

                  • ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Obstructive Sleep Apnea – OSA) คือ ภาวะที่ร่างกายขาดอากาศออกซิเจนไหลเวียนชั่วขณะระหว่างนอนหลับ 
                  • โรคความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจ
                  • ความเหนื่อยล้าและง่วงนอนในเวลากลางวัน
                  • ภาวะซึมเศร้าและความผิดปกติทางอารมณ์
                  • ภาวะสมองขาดออกซิเจนและโรคหลอดเลือดสมอง ผู้ที่มีอาการนอนกรนร่วมกับภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ทำให้มีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคหลอดเลือดสมองสูงขึ้น

                   

                  สัญญาณที่บ่งบอกถึงอาการนอนกรนที่เป็นอันตราย

                  • นอนกรนเสียงดังและต่อเนื่อง
                  • หายใจสะดุดหรือหยุดหายใจเป็นช่วง ๆ ขณะหลับ
                  • ตื่นขึ้นมารู้สึกไม่สดชื่นแม้นอนเต็มอิ่ม
                  • มีอาการง่วงนอนมากผิดปกติในช่วงกลางวัน
                  • มีอาการอ่อนเพลีย ไม่มีสมาธิในช่วงกลางวัน

                   

                  วิธีรักษาและป้องกันการนอนกรน ทำได้กี่วิธี?
                  วิธีรักษาและป้องกันการนอนกรน ทำได้กี่วิธี?

                   

                  วิธีรักษาและป้องกันการนอนกรน ทำได้กี่วิธี?

                  1. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อลดการนอนกรน และช่วยป้องกันการนอน เช่น
                  • การเปลี่ยนท่านอน ท่านอนตะแคงจะช่วยลดอาการนอนกรนได้
                  • การลดน้ำหนัก จะช่วยลดการเกิดไขมันสะสมรอบลำคอ ลดอาการนอนกรนได้
                  • หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์และยากล่อมประสาทก่อนนอน
                  • รักษาอาการคัดจมูกจากภูมิแพ้หรือหวัด 
                  • นอนหลับให้เพียงพอ ไม่นอนดึก
                  1. อุปกรณ์ช่วยลดการนอนกรน ปัจจุบันมีอุปกรณ์หลายประเภทที่สามารถช่วยลดอาการนอนกรนได้ เช่น
                  • ลดการนอนกรนด้วย เครื่องช่วยหายใจแรงดันบวกต่อเนื่อง (CPAP) คือ อุปกรณ์ที่ใช้สำหรับผู้ที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (OSA) โดยจะช่วยเปิดทางเดินหายใจขณะนอนหลับได้
                  • ลดการนอนกรนด้วย อุปกรณ์ครอบปาก (Oral Appliance) คือ อุปกรณ์ช่วยเลื่อนตำแหน่งของลิ้นและขากรรไกรล่าง เพื่อให้ทางเดินหายใจกว้างขึ้น
                  • ลดการนอนกรนด้วย หมอนกันกรน คือ หมอนที่ออกแบบมาพิเศษเพื่อช่วยปรับท่านอนให้เหมาะสม ช่วยลดโอกาสการปิดกั้นทางเดินหายใจ
                  • ลดการนอนกรนด้วย แถบติดจมูก (Nasal Strips) ช่วยขยายรูจมูกให้หายใจสะดวกขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการนอนกรนจากการคัดจมูก
                  1. การรักษาทางการแพทย์สำหรับผู้ที่นอนกรน สำหรับผู้ที่มีอาการนอนกรนในระดับเริ่มต้นถึงรุนแรง หรือมีภาวะหยุดหายใจขณะหลับร่วม อาจต้องเข้ารับการรักษาทางการแพทย์ เช่น
                  • รักษาอาการนอนกรนด้วยโปรแกรม Snore Laser คือ เทคโนโลยีเลเซอร์ที่ช่วยกระชับเนื้อเยื่อในลำคอและเพดานอ่อน ลดการสั่นสะเทือนที่ทำให้เกิดเสียงกรน โดยไม่ต้องผ่าตัด
                  • รักษาอาการนอนกรนด้วย การผ่าตัดเพื่อลดอาการนอนกรน คือ การผ่าตัดเพื่อปรับโครงสร้างทางเดินหายใจที่มีความผิดปกติ หรือมีทางเดินหายใจที่ตีบแคบ เช่น การผ่าตัดตกแต่งเพดานอ่อน การผ่าตัดขากรรไกร หรือการผ่าตัดโคนลิ้น 
                  • รักษาอาการนอนกรนด้วย การรักษาด้วยการใช้คลื่นความถี่วิทยุจี้เพดานอ่อน หรือ RF palate

                   

                  สาเหตุของการนอนกรน เกิดได้จากหลากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็น พันธุกรรม โครงสร้างของร่างกาย พฤติกรรมการใช้ชีวิต ท่านอน รวมถึงโรคประจำตัว โดยการนอนกรนอาจจะก่อให้เกิดโรคภัยเงียบต่าง ๆ ได้ ซึ่งการนอนกรนนั้นนอกจากจะทำให้คุณภาพการนอนของผู้ป่วยแย่แล้ว ยังทำให้คุณภาพการนอนของผู้ที่นอนร่วมแย่เช่นกัน ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อความสัมพันธ์ในครอบครัว อาการนอนกรนสามารถรักษาได้ ด้วยโปรแกรม Snore Laser เลเซอร์รักษาอาการนอนกรน ที่สะดวก รวดเร็ว ไม่ต้องผ่าตัด

                  UltraV 10th Anniversary Thank You Party Concert พร้อมตอกย้ำความร่วมมือด้านความงาม

                  UltraV 10th Anniversary Thank You Party Concert

                  รมย์รวินท์คลินิก ร่วมเฉลิมฉลอง UltraV 10th Anniversary Thank You Party Concert พร้อมตอกย้ำความร่วมมือด้านเทคโนโลยีความงาม

                   

                  ทีมแพทย์ผู้มีประสบการณ์จาก รมย์รวินท์คลินิก ได้รับเกียรติเข้าร่วมงาน UltraV 10th Anniversary Thank You Party Concert เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2568 ณ Bangkok Convention Centara Grand @CentralWorld ชั้น 22 เพื่อร่วมเฉลิมฉลองความสำเร็จของ UltraV และแสดงความยินดีในโอกาสสำคัญนี้ 

                   

                  UltraV 10th Anniversary Thank You Party Concert
                  UltraV 10th Anniversary Thank You Party Concert

                   

                  ซึ่งงานนี้นำทีมโดย “มาดามจอย – ขวัญฤทัย ดำรงค์วัฒนโภคิน” ผู้บริหารรมย์รวินท์คลินิก และ “พญ.ฐานิสร ธรรมลิขิตกุล” (ว.10656) รวมไปถึงทีมแพทย์ประจำรมย์รวินท์คลินิก พญ.ธิรดา จิตตการ (ว.30170), พญ.อรุณี ทองอัครนิโรจน์ (ว.40692) และ นพ.กันตพงศ์ พลอยดนัย (ว.36397) ได้เข้าร่วมงานเฉลิมฉลองในครั้งนี้ด้วย

                   

                  ทีมแพทย์ของรมย์รวนิท์คลินิกให้ความสำคัญกับการติดตามเทรนด์ของเทคโนโลยีใหม่ ๆ ในวงการความงามอย่างต่อเนื่อง และพร้อมส่งมอบบริการที่มีคุณภาพให้แก่ลูกค้าทุกท่าน

                   

                  UltraV 10th Anniversary Thank You Party Concert
                  UltraV 10th Anniversary Thank You Party Concert

                   

                  PLATINUM 2024 Program UltraV โล่เกียรติยศสุดเอกซ์คลูซิฟสำหรับรมย์รวินท์คลินิก

                   

                  ในโอกาสพิเศษนี้ UltraV ได้มอบ PLATINUM 2024 Program UltraV ให้กับ มาดามจอย – ขวัญฤทัย ดำรงค์วัฒนโภคิน ผู้บริหารรมย์รวินท์คลินิก เพื่อเป็นเครื่องหมายแห่งความร่วมมือระหว่างทั้งสององค์กร ซึ่งมุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีด้านความงามให้ก้าวล้ำและทันสมัย

                   

                  รมย์รวินท์คลินิกขอขอบคุณ UltraV สำหรับความเชื่อมั่นและความร่วมมือที่มีมาอย่างยาวนาน และพร้อมเดินหน้าร่วมกันพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อมอบผลลัพธ์ที่ดีให้แก่ลูกค้าทุกท่าน

                   

                  บรรยากาศสุดเอกซ์คลูซิฟ กับคอนเสิร์ตจากศิลปินชั้นนำ

                  นอกเหนือจากพิธีเฉลิมฉลองและการมอบโล่เกียรติยศสุดพิเศษ บรรยากาศภายในงานยังเต็มไปด้วยความสนุกสนานและความอบอุ่น โดยแขกผู้ร่วมงานได้เพลิดเพลินกับคอนเสิร์ตจากศิลปินชื่อดัง จาก นนท์ – ธนนท์, โอ๊ต ปราโมทย์, ป๊อบ ปองกูล และ วง B5 ซึ่งเสียงเพลงอันไพเราะจากศิลปินชั้นนำ ช่วยสร้างบรรยากาศสุดประทับใจให้กับผู้เข้าร่วมงาน ซึ่งต่างได้รับประสบการณ์ความบันเทิงแบบใกล้ชิด

                   

                  UltraV 10th Anniversary Thank You Party Concert
                  UltraV 10th Anniversary Thank You Party Concert

                   

                  โปรแกรม UltraCol เทคโนโลยีกระตุ้นคอลลาเจนเพื่อผิวอ่อนเยาว์

                  โปรแกรม Ultracol เป็นสารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนที่พัฒนาโดย Ultra V Medical Aesthetic ประเทศเกาหลีใต้ ถือเป็นผลิตภัณฑ์รายแรกและรายเดียวที่ใช้ PDO (Polydioxanone) เป็นส่วนประกอบหลักในการฟื้นฟูคอลลาเจนใต้ชั้นผิว โดย PDO ถูกใช้ในทางการแพทย์มายาวนาน เช่น ในการเย็บแผล อีกทั้งยังมีคุณสมบัติที่ช่วยเสริมสร้างโครงสร้างผิวโดยไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้

                   

                  UltraV 10th Anniversary Thank You Party Concert
                  UltraV 10th Anniversary Thank You Party Concert

                   

                  คุณสมบัติและจุดเด่นของโปรแกรม Ultracol

                  • PDO Microspheres – เทคโนโลยีที่ปรับอนุภาคของ PDO ให้มีขนาดระดับนาโน เพื่อให้สามารถฉีดเข้าสู่ชั้นผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
                  • กระตุ้นคอลลาเจนตามธรรมชาติ – ช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน Type I และ Type III ซึ่งเป็นคอลลาเจนที่สำคัญต่อความยืดหยุ่นและความแข็งแรงของผิว
                  • ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัด – หลังฉีดโปรแกรม Ultracol สามารถเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงของผิวได้ภายใน 4 สัปดาห์ และให้ผลลัพธ์ที่ยาวนานต่อเนื่อง 6-8 เดือน
                  • มาตรฐานความระดับสากล – ผ่านการรับรองคุณภาพจากองค์กรระดับโลก ได้แก่ KFDA (Korea Food & Drug Administration), CE มาตรฐานยุโรป และ FDA องค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกา

                   

                  รมย์รวินท์คลินิก ให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยีทางการแพทย์ มาใช้เพื่อดูแลสุขภาพผิวของลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด พร้อมเดินหน้าสานต่อความร่วมมือกับ UltraV เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีด้านความงามอย่างต่อเนื่อง

                   

                  ทั้งนี้ รมย์รวินท์คลินิก ขอขอบคุณ UltraV สำหรับความไว้วางใจ และความร่วมมืออันแน่นแฟ้นในครั้งนี้ เราพร้อมเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีความงามอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำเสนอเทคโนโลยีทันสมัย และมีประสิทธิภาพสูงสุดให้แก่ลูกค้าทุกท่าน

                  โปรแกรม Smart Laser จัดการเอาหน้าหมองไปลอยทะเลของซีดี กันต์ธีร์

                  ซีดี กันต์ธีร์ Smart Laser

                  โปรแกรม Smart Laser จัดการเอาหน้าหมองไปลอยทะเลของซีดี กันต์ธีร์

                   

                  เห่..จะเอาความหมองคล้ำไปลอยทะเล.. ไม่ใช่ซิงเกิลใหม่ แต่คุณซีดี กันต์ธีร์ ขอเอาความหมองคล้ำมาให้รมย์รวินท์คลินิกช่วยเอาออกไปเหลือไว้แต่หน้าใส ไบรท์ เทรนด์ใหม่ของคนทุก GEN ที่ต้องมีติดหน้าไว้

                   

                  ช่วงนี้หน้าหมองคล้ำไม่น่ามองเลยก็เลยอยากจะมาบูสต์อัปความไบรท์ให้กับผิวซักหน่อยครับ ได้ข่าวมาว่ารมย์รวินท์คลินิกมีเลเซอร์หน้าใสตัวเด็ดที่อ่อนโยนต่อผิว แต่ทำให้หน้าใสก็เลยอยากมาลองซักหน่อย เพราะเทรนด์หน้าใส ไบรท์ทำได้ทุก GEN อยู่แล้ว ผมเลยพลาดไม่ได้ขอมาจัดเลยครับ

                   

                  ซีดี กันต์ธีร์ Smart Laser
                  ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

                   

                  โปรแกรม Smart Laser ซีดี กันต์ธีร์

                  บูสต์หน้าใสวันนี้คุณหมอแวว (พญ.วรรณวิมล วรรณรักษ์ : ว.27827) เลยจัดให้กับ โปรแกรม Smart Laser ซึ่งคุณหมอแววบอกว่าเลเซอร์ ตัวนี้เป็นเลเซอร์ยอดฮิตของรมย์รวินท์คลินิกที่ใครหน้าหมองคล้ำ ไม่สดใส มีจุดด่างดำ ฝ้า กระ ก็ต้องมาทำ เพราะ โปรแกรม Smart Laser  บูสต์ให้หน้าใสมาก และทำได้ทุก GEN เลย โปรแกรม Smart Laser เป็นเทคโนโลยีเลเซอร์ที่ใช้พลังงานแสงสองสี ที่มีคุณสมบัติแตกต่างกันออกไป อย่าง แสงสีเหลืองของ โปรแกรม Smart Laser  ช่วยในการลดรอยแดงที่เกิดจากสิว หรือรอยแผลเป็นสีแดง ปานแดง และยังช่วยในเรื่องลดอาการอักเสบของผิว ช่วยฟื้นฟูผิวให้แข็งแรงมีสุขภาพดีขึ้นได้อย่างอ่อนโยน และแสงสีเขียวของ โปรแกรม Smart Laser  มีช่วยในเรื่องกำจัดเม็ดสีที่ผิดปกติ อย่างเช่น รอยดำ ฝ้า กระ จุดด่างดำโดยเฉพาะ ปรับสีผิวให้มีความสม่ำเสมอ และช่วยในการกระตุ้นให้เกิดกระบวนการฟื้นฟูผิวที่มีความหมองคล้ำ จุดด่างดำ ให้กลับมากระจ่างใส เนียนเรียบมากยิ่งขึ้น โดยสรุปให้ฟังแบบรวมๆ ไปเลยก็คือ โปรแกรม Smart Laser เป็นเลเซอร์หน้าใสของคนทุก GEN ไม่ว่าใครจะมีปัญหาความหมองคล้ำ รอยแดง หรือรอยดำ หรือจะฝ้า กระ จุดด่างดำ โปรแกรม Smart Laser ก็ช่วยฟื้นฟูผิวให้กลับมาสดใสได้แบบเร่งด่วน ช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่า ต้อนรับเซลล์ผิวใหม่ที่มีความเรียบเนียนมากขึ้น เพราะ โปรแกรม Smart Laser ยังช่วยในการกระตุ้นคอลลาเจนใต้ชั้นผิวให้ผิวมีความเรียบ กระชับ กระจ่างใส และ โปรแกรม Smart Laser ยังเป็นเลเซอร์หน้าใสที่ไม่อันตรายกับผิว ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง หรือทำร้ายผิวรอบข้างเลยครับ  

                   

                  หลังจากที่ซีดีได้ทำ โปรแกรม Smart Laser ขอบอกเลยว่าลอยความหมองคล้ำให้ไปไกลๆ เลย เพราะหน้าใหม่ใส ไบรท์มาก สมกับเป็นเลเซอร์ตัวฮิตเลยครับ ใครที่มีปัญหาเรื่องความหมองคล้ำ ฝ้า กระ จุดด่างดำ อยากลอยความหมองคล้ำให้ไปไกลๆ ต้อง โปรแกรม Smart Laser ที่รมย์รวินท์คลินิกเลยครับ ซีดี กันต์ธีร์ รับประกันทำได้ทุก GEN เลยครับ 

                   

                  ** จากคำบอกเล่าของคุณ ซีดี กันต์ธีร์

                  มาทำความรู้จัก โปรแกรม Smart Laser เลเซอร์หน้าใสของคนทุก GEN

                   

                  โปรแกรม Smart Laser เลเซอร์ที่ช่วยฟื้นฟูแบบเร่งด่วน ด้วยพลังงานแสง 2 สี 

                  • แสงสีเหลืองของ โปรแกรม Smart Laser  มีความยาวคลื่น 578 นาโนเมตร ซึ่งถูกดูดซับได้ดีด้วย Oxyhemoglobin ช่วยในการลดรอยแดงที่เกิดจากสิว หรือรอยแผลเป็นสีแดง ปานแดง และยังช่วยในเรื่องลดอาการอักเสบของผิว ฟื้นฟูผิวให้แข็งแรงอย่างอ่อนโยน โดยปล่อยพลังงานอย่างตรงจุดโดยไม่ทำลายผิวบริเวณรอบข้าง  

                   

                  • แสงสีเขียวของ โปรแกรม Smart Laser  มีความยาวคลื่น 511 นาโนเมตร โดยเลเซอร์สีเขียวนี้ถูกดูดซับได้ดีโดย Melanin ซึ่งจะช่วยในเรื่องกำจัดเม็ดสีที่ผิดปกติ อย่างเช่น รอยดำ ฝ้า กระ จุดด่างดำโดยเฉพาะ ปรับสีผิวให้มีความสม่ำเสมอ และช่วยในการกระตุ้นให้เกิดกระบวนการฟื้นฟูผิวที่มีความหมองคล้ำ จุดด่างดำ ให้กลับมากระจ่างใส เนียนเรียบมากยิ่งขึ้น โดยทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่มีผลต่อผิวบริเวณรอบข้าง 

                   

                  สรุปก็คือ โปรแกรม Smart Laser เป็นเลเซอร์ที่มีความอ่อนโยน ยิงตรงเป้าหมายเพื่อฟื้นฟูผิวและช่วยเรื่องลดรอยแดง รอยดำจากสิว ความหมองคล้ำ ฝ้า กระ จุดด่างดำ และยังช่วยผลัดเซลล์ผิวใหม่ กระตุ้นคอลลาเจนใต้ชั้นผิวทำให้ผิวมีความเนียนเรียบ กระจ่างใสมากขึ้น โดย โปรแกรม Smart Laser สามารถฟื้นฟูผิวได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ อีกทั้งไม่อันตรายกับผิว ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง หรือทำร้ายผิวรอบข้าง 

                   

                  โปรแกรม Smart Laser ดีอย่างไรถึงมัดใจคนทุก GEN

                  • โปรแกรม Smart Laser ช่วยฟื้นฟูผิวให้ดีขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
                  • โปรแกรม Smart Laser ช่วยฟื้นฟูผิวให้แข็งแรง ดูมีสุขภาพดี
                  • โปรแกรม Smart Laser ช่วยกระตุ้นคอลลาเจนให้ผิวเรียบเนียน
                  • โปรแกรม Smart Laser ช่วยผลัดเซลล์ผิวได้อย่างอ่อนโยน ไม่ทำร้ายผิว
                  • โปรแกรม Smart Laser ช่วยให้ผิวเรียบเนียนละเอียด กระชับรูขุมขน 
                  • โปรแกรม Smart Laser ช่วยจัดการรอยแดงจากสิว รอยแผลเป็น และปานแดง
                  • โปรแกรม Smart Laser ช่วยจัดการรอยดำจากสิว ฝ้า กระ จุดด่างดำ
                  • โปรแกรม Smart Laser ช่วยปรับสีผิวให้มีความสม่ำเสมอ กระจ่างใส
                  • โปรแกรม Smart Laser ไม่ทำให้ผิวเกิดการระคายเคือง 

                   

                  ใครต้องมาลองทำ โปรแกรม Smart Laser

                  • โปรแกรม Smart Laser เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวเร่งด่วน
                  • โปรแกรม Smart Laser เหมาะสำหรับผู้ที่มีสีผิวไม่สม่ำเสมอ
                  • โปรแกรม Smart Laser เหมาะสำหรับผู้ที่มีรอยแดง รอยดำจากสิว
                  • โปรแกรม Smart Laser เหมาะสำหรับผู้ที่มีฝ้า กระ จุดด่างดำ
                  • โปรแกรม Smart Laser เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวหน้าไม่เรียบเนียน 
                  • โปรแกรม Smart Laser เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวให้แข็งแรง เรียบเนียน

                   

                  ไม่ว่าคน GEN ไหนก็มีผิวสวยหน้าใสได้ มาบูสต์อัปผิวด้วย โปรแกรม Smart Laser ที่รมย์รวินท์คลินิกกันนะคะ เทรนด์ผิวหน้าใสมีได้ทุก GEN ค่ะ

                  ยกชัด ลงลึก ลืม “เจ็บ” อยู่นาน มิ้นท์ ณัฐวรา คอนเฟิร์ม

                  มิ้นท์ ณัฐวรา โปรแกรม Ultherapy Prime

                  ยกชัด ลงลึก ลืม “เจ็บ” อยู่นาน มิ้นท์ ณัฐวรา คอนเฟิร์ม

                   

                  “คุณมิ้นท์ ณัฐวรา” ประกาศชัด! ขอลองเปิดใจอีกครั้ง ไม่ใช่เปิดใจในเรื่องความรัก แต่ขอเปิดใจเรื่องการยกกระชับใบหน้า ครั้งนี้เลยมาให้คุณหมอจัดเลยกับโปรแกรม Ultherapy PRIME

                   

                  มิ้นท์ขอบอกเลยค่ะว่ามิ้นท์เป็นคนที่กลัวการทำหัตถการยกกระชับหน้ามาก เพราะมิ้นท์เคยทำแล้วมันรู้สึกเจ็บ และทรมาน ถึงจะรู้อยู่ว่าผลลัพธ์มันจะออกมาดี แต่มิ้นท์ก็ไม่ชินเลยค่ะ ถ้าให้เลือกได้มิ้นท์ก็อยากจะสวยแบบไม่ต้องทรมานเลยค่ะ แต่วันนี้มิ้นท์มาที่รมย์รวินท์คลินิก เพราะว่าคุณหมอออย (พญ.อรุณี ทองอัครนิโรจน์ : ว.40692) บอกมิ้นท์มาค่ะว่ามีเทคโนโลยียกกระชับหน้าตัวใหม่ที่อัปเกรดในรอบ 15 ปี ดีกว่าเดิมยกกระชับได้มากกว่าเดิม แต่เจ็บน้อยกว่าเดิม มิ้นท์เลยอยากลองมาเปิดใจอีกครั้งค่ะว่าการยกกระชับผิวหน้าของมิ้นท์ในครั้งนี้มิ้นท์จะรอดมั้ย (หัวเราะ) 

                   

                  มิ้นท์ ณัฐวรา โปรแกรม Ultherapy Prime
                  ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

                   

                  ก่อนทำคุณหมอออยจะใช้โปรแกรม Lifting Select ซึ่งเป็นเทคนิคในการตรวจวิเคราะห์ปัญหาผิวในทุกระดับชั้นว่าเรามีปัญหาตรงจุดไหนบ้าง เพื่อเลือกหัตถการในการแก้ปัญหาให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี ซึ่งเทคนิคนี้คุณหมอออยบอกว่าเป็นเทคนิคที่คิดค้นจากประสบการณ์กว่า 22 ปีของทีมแพทย์รมย์รวินท์คลินิก และเทคนิคนี้จะมีเฉพาะที่รมย์รวินท์คลินิกเท่านั้นนะคะ ซึ่งเทคนิคนี้จะตรวจวิเคราะห์ผิวผ่าน 3 เฟรมเวิร์ก ได้แก่

                   

                  • Frame Selection ปรับโครงหน้าโดยรวมให้เกิดความสมดุล เสริมเสน่ห์เฉพาะบุคคล ซึ่งได้แก่ การยกกระชับผิว สร้างกรอบหน้า แก้ปัญหาความหย่อนคล้อย
                  • Light & Shadow Me เพิ่มแสงเงาให้กับใบหน้า หาจุดเด่น และลดจุดด้อย ให้หน้าดูโดดเด่น ทำให้หน้าดูมีมิติมากยิ่งขึ้น
                  • Conceal Selection เก็บรายละเอียดงานผิว แก้ไขจุดบกพร่องให้เรียบเนียน โดยไม่ต้องปกปิด

                   

                  มิ้นท์ ณัฐวรา โปรแกรม Ultherapy Prime
                  ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

                   

                  และเทคโนโลยียกกระชับตัวใหม่ที่ทำให้มิ้นท์อยากเปิดใจลองอีกครั้งก็คือโปรแกรม Ultherapy PRIME ค่ะ ซึ่งคุณหมอออยบอกว่าโปรแกรม Ultherapy PRIME เป็นเทคโนโลยียกกระชับผิวแบบ New Generation ที่พัฒนามาจากรุ่นเดิม ให้มีการรักษาที่แม่นยำกว่าเดิม ยกกระชับผิวได้มากกว่าที่เคยด้วยพลังงาน Micro-Focused Ultrasound ซึ่งสามารถยิงลงได้ลึกถึงผิวชั้น SMAS เพื่อเข้าไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิวให้เกิดการเรียงตัวกันใหม่ที่กระชับ แน่น เฟิร์มมากขึ้น โดยการปล่อยพลังงานของโปรแกรม Ultherapy PRIME จะทำให้เกิดพลังงานความร้อนเฉพาะจุดซึ่งทำให้ผิวเกิดการยกกระชับขึ้นนั้นเองค่ะ ซึ่งไม่ต้องพึ่งการผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น และไม่ทิ้งบาดแผลโปรแกรม Ultherapy PRIME ยังสามารถทำได้กับทุกสภาพและทุกสีผิวอีกด้วยนะคะ สามารถเห็นผลลัพธ์หลังทำโปรแกรม Ultherapy PRIME ได้ชัดเจนที่สุด 2-3 เดือน และคงผลลัพธ์ความยกกระชับอ่อนเยาว์ได้นานถึง 1 ปีเลยค่ะ สำหรับจุดเด่นของโปรแกรม Ultherapy PRIME ตัวใหม่นี้ก็คือ 

                  • โปรแกรม Ultherapy PRIME มีหน้าจอแสดงผลระดับ Full HD ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นถึง 35% และสามารถมองเห็นชั้นผิวได้แบบ real time 
                  • โปรแกรม Ultherapy PRIME มีระบบการประมวลผลที่เร็วขึ้นถึง 20% ทำให้ใช้เวลาในการรักษาได้ไวขึ้น ทำให้เกิดความเจ็บน้อยลง
                  • โปรแกรม Ultherapy PRIME ให้การรักษาที่มีความแม่นยำมากขึ้น เสถียรมากขึ้น ทำให้ได้ผลลัพธ์ความยกกระชับที่มากขึ้นกว่าเดิม 

                   

                  มิ้นท์ ณัฐวรา โปรแกรม Ultherapy Prime

                   

                  มิ้นท์ ณัฐวรา โปรแกรม Ultherapy Prime
                  ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

                   

                  หลังจากที่มิ้นท์ได้ลองเปิดใจทำโปรแกรม Ultherapy PRIME บอกเลยว่ามิ้นท์คิดไม่ผิดเลยค่ะ เพราะหลังจากที่ทำโปรแกรม Ultherapy PRIME หน้าของมิ้นท์เฟิร์มขึ้นเห็นผลได้ทันทีเลย ร่องแก้มตื้นขึ้น หน้าแก้มที่เคยมีเยอะมันยกกระชับ เรียวมากขึ้นกว่าเดิมเลยค่ะ จากที่ไม่เคยชอบหน้าตัวเองในฝั่งขวา ตอนนี้กลับมาชอบหน้าตัวเองมากขึ้น จะถ่ายฝั่งไหนมิ้นท์ได้หมดไม่ต้องคอยหามุมสวยให้ตัวเองแล้วค่ะ เพราะสวยหมด (หัวเราะ) ตอนทำมิ้นท์ก็ยังรู้สึกจี๊ดๆ นะ แต่เป็นระดับที่มิ้นท์โอเคมาก มันไม่ได้รู้สึกเจ็บ รู้สึกทรมานแบบที่เคยทำ คือสามารถใช้คำว่าชิลๆ ได้เลย บวกกับคุณหมอออยน่ารักมาก รู้ว่ามิ้นท์กลัวเจ็บก็จะชวนคุยตลอดเลยค่ะ ทำให้ตอนที่ทำโปรแกรม Ultherapy PRIME มิ้นท์รู้สึกสบายมาก มันเพลินๆ เลย รู้สึกตัวอีกทีคือเสร็จแล้วหรอ และยิ่งเจอผลลัพธ์ที่ดีมากๆ ด้วยแล้ว มิ้นท์รักเลยอ่ะ ถ้ามิ้นท์ชอบ มิ้นท์ก็คิดว่าทุกคนต้องชอบ ตอนนี้มิ้นท์ยกให้โปรแกรม Ultherapy PRIMEเป็นอันดับหนึ่งแล้วค่ะ อยากให้ทุกคนมาลองโปรแกรม Ultherapy PRIME กันนะคะ

                   

                  คุณมิ้นท์คอนเฟิร์มแล้วว่าโปรแกรม Ultherapy PRIME ยกชัด ลงลึก ลืมเจ็บ แน่นอน ใครอยากหน้ายก เฟิร์ม มาลองทำโปรแกรม Ultherapy PRIME ที่รมย์รวินท์คลินิกกันนะคะ 

                  Fix Lift Body ลดเซลลูไลท์ ลดไขมัน ยกกระชับผิวเป๊ะ

                  Fix Lift Body

                  ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




                    วันที่สะดวกในการติดต่อ








                    โปรแกรม Fix Lift Body ลดเซลลูไลท์ ลดไขมัน ยกกระชับผิวเป๊ะ

                    ลดเซลลูไลท์ ผิวเปลือกส้ม กระชับสัดส่วนได้ง่าย ๆ ใช้วิธีไหนดี ? สาว ๆ หลายคนอาจจะมีปัญหาเรื่องผิวกวนใจที่ไม่ว่าจะแก้ยังไง ก็แก้ไม่ได้ เช่น เซลลูไลท์ หรือผิวเปลือกส้ม หรือปัญหาผิวหย่อนคล้อย ไม่กระชับ ซึ่งในปัจจุบันก็มีเทคโนโลยีมากมายที่จะช่วยยกกระชับผิว ลดไขมัน พร้อมช่วยลดเซลลูไลท์ได้แบบไม่ต้องผ่าตัด อย่าง โปรแกรม Fix Lift Body ลดเซลลูไลท์ ลดไขมัน ยกกระชับผิวเป๊ะ ได้แบบไม่อันตราย

                     

                    โปรแกรม Fix Lift Body คืออะไร?
                    โปรแกรม Fix Lift Body คืออะไร?

                     

                    โปรแกรม Fix Lift Body คืออะไร?

                    โปรแกรม Fix Lift Body หรือ Morpheus pro คือ เทคโนโลยีกระชับสัดส่วน ลดไขมัน ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้นใหม่ล่าสุด จากสหรัฐอเมริกา ที่ใช้พลังงานคลื่นวิทยุ (Radio Frequency: RF) ความเสถียรสูง โดยพลังงานสามารถผ่านชั้นผิวได้หลายระดับ ตั้งแต่  1-7 mm. (Muti-layer technology) โดย โปรแกรม Fix Lift Body จะมีหัว Body Tip ที่ออกแบบมาเพื่อใช้กับผิวกายโดยเฉพาะ โดยเป็นหัวเข็มสีทองขนาดเล็กระดับไมไครจำนวน 40 เข็ม (Golden Micro Pins) เพื่อเข้าไปกระตุ้นการทำงานของคอลลาเจนใต้ชั้นผิวให้มีการจัดเรียงตัวใหม่ ยกกระชับผิวให้เต่งตึง เรียบเนียน ลดการเกิดเซลลูไลท์ พร้อมลดชั้นไขมันใต้ผิวให้มีการหดตัวลง โปรแกรม Fix Lift Body ยกกระชับผิว สามารถทำได้หลายบริเวณโดยไม่ทำร้ายผิว ไม่ว่าจะเป็น ต้นแขน ต้นขา หน้าท้อง สะโพก หรือช่วงบริเวณลำตัวที่มีปัญหาผิวไม่กระชับ ผิวหย่อนคล้อย มีริ้วรอย ผิวแตกลาย ซึ่งการยกกระชับ ลดไขมันด้วย โปรแกรม Fix Lift Body ผ่านการรับรองมาตรฐานจาก US FDA และได้รับมาตรฐาน Gold Standard ทั้งยังได้รับรางวัลอีกมากมาย ทำให้มั่นใจได้ว่าไม่อันตรายต่อร่างกาย

                     

                    โปรแกรม Fix Lift Body ยกกระชับผิวได้ทุกจุด

                    โปรแกรม Fix Lift Body ยกกระชับผิว เป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่ช่วยดูแลทั้งปัญหาผิว และปัญหารูปร่าง ไม่ว่าจะเป็นทั้งใบหน้า และลำตัว ซึ่ง โปรแกรม Fix Lift Body สามารถยกกระชับผิวและดูแลปัญหาผิวได้ ดังนี้

                     

                    ฟื้นฟูผิวหน้าและลำคอ

                    • โปรแกรม Fix Lift Body ช่วยรักษาหลุมสิว ช่วยฟื้นฟูผิวบริเวณหลุมสิวให้ตื้นขึ้น พร้อมปรับผิวให้เรียบเนียนขึ้น
                    • โปรแกรม Fix Lift Body ช่วยยกกระชับผิวใบหน้าและลำคอ กระชับผิวที่มีความหย่อนคล้อยให้เต่งตึง
                    • โปรแกรม Fix Lift Body ช่วยลดเลือนร่องริ้วรอย ทั้งร่องตื้นและร่องลึก ให้ผิวดูเต็มอิ่มมากขึ้น
                    • โปรแกรม Fix Lift Body ช่วยกระชับรูขุมขนให้ดูเล็กลง ให้ผิวหน้าดูเรียบเนียนละเอียดขึ้น
                    • โปรแกรม Fix Lift Body ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินใต้ชั้นผิวหนัง เพิ่มความยืดหยุ่นและความกระชับให้ผิวดูอ่อนเยาว์

                     

                    ยกกระชับสัดส่วนต่าง ๆ ในร่างกาย

                    • โปรแกรม Fix Lift Body  ช่วยยกกระชับบริเวณผิวที่หย่อนคล้อย เช่น เหนียง ลำคอ ต้นแขน ต้นขา หรือหน้าท้อง
                    • โปรแกรม Fix Lift Body ช่วยลดไขมันส่วนเกินตามจุดต่าง ๆ ของร่างกาย ให้สัดส่วนดูเล็กลง ผิวกระชับขึ้น
                    • โปรแกรม Fix Lift Body ช่วยกระชับหน้าท้องที่หย่อนคล้อย แก้ปัญหาผิวแตกลาย ของคุณแม่หลังคลอด
                    • โปรแกรม Fix Lift Body ช่วยลดเซลลูไลท์ และผิวเปลือกส้มกระชับให้ผิวเรียบเนียนสม่ำเสมอ
                    • โปรแกรม Fix Lift Body ช่วยแก้ปัญหาต้นแขนหย่อนคล้อย ยกกระชับให้ต้นแขนเฟิร์มขึ้น
                    • โปรแกรม Fix Lift Body ช่วยลดไขมันส่วนเกินและกระชับเนื้อบริเวณรักแร้ให้ดูเล็กลง
                    • โปรแกรม Fix Lift Body ช่วยยกกระชับหน้าอกที่หย่อนคล้อยให้ได้รูปมากขึ้น

                     

                    โปรแกรม Fix Lift Body ช่วยเรื่องอะไร
                    โปรแกรม Fix Lift Body ช่วยเรื่องอะไร

                     

                    โปรแกรม Fix Lift Body ช่วยเรื่องอะไร

                    • โปรแกรม Fix Lift Body ช่วยยกกระชับผิวกายให้มีความเต่งตึง คืนความอ่อนเยาว์ให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้น
                    • โปรแกรม Fix Lift Body ช่วยลดไขมันสะสมส่วนเกินใต้ชั้นผิว พร้อมกระชับสัดส่วนที่หย่อนคล้อยให้ได้รูปมากขึ้น
                    • โปรแกรม Fix Lift Body ช่วยลดปัญหาผิวไม่เรียบเนียน ผิวเปลือกส้ม เซลลูไลท์ และรอยแตกลายทั่วร่างกาย ให้ผิวเรียบเนียนอย่างสม่ำเสมอ
                    • โปรแกรม Fix Lift Body ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ใต้ชั้นผิว และกระตุ้นการจัดเรียงของคอลลาเจนให้ผิวมีความกระจ่างใส ผิวยืดหยุ่นมากขึ้น และช่วยกระชับรูขุมขนให้เล็กลง
                    • โปรแกรม Fix Lift Body ช่วยลดเลือนรอยบนผิว ไม่ว่าจะเป็น รอยแผลเป็น รอยแผลเป็นจากหลุมสิว รวมถึงรอยแผลผ่าตัด ให้ดูจางลง
                    • โปรแกรม Fix Lift Body ช่วยยกกระชับผิวที่มีความหย่อนคล้อยเฉพาะจุด แก้ปัญหารอยเหี่ยวย่นที่บริเวณลำคอ และริ้วรอยรอบดวงตา

                     

                    หลักการทำงานของ โปรแกรม Fix Lift Body 

                    โปรแกรม Fix Lift Body หรือ Morpheus pro จะทำงานโดยการใช้พลังงานคลื่นความถี่วิทยุ RF (adio Frequency) ผ่านหัวทิป Gold Coated Micropins ซึ่งเป็นเข็มเคลือบทองคำขนาดเล็ก จำนวน 40 Pin โดยหัวทิปนี้ออกแบบมาเพื่อใช้กับบริเวณร่างกายโดยเฉพาะ ทำให้มีความใหญ่ขึ้น และยังมีความพิเศษสามารถปรับระดับความลึกได้สูงสุดถึง 1-7 mm. ทำให้พลังงานสามารถผ่านชั้นผิวได้หลายระดับ ซึ่งการใช้พลังงานคลื่นความถี่วิทยุนั้น จะส่งผลให้เกิดกระบวนการดังนี้ คือ

                    • โปรแกรม Fix Lift Body ยกกระชับผิว มีกระบวนการ Dermal Remodeling เป็นการกระตุ้นการสร้างและจัดเรียงคอลลาเจนใต้ชั้นผิวหนังแท้ใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ผิวเกิดความยืดหยุ่น และเต่งตึงขึ้น
                    • โปรแกรม Fix Lift Body ยกกระชับผิว มีกระบวนการ Subdermal Adipose Remodeling (SAR) เป็นการลดไขมัน โดยพลังงานจะเข้าไปช่วยหดชั้นไขมันใต้ผิว ให้ผิวที่มีความหย่อนคล้อยดูกระชับมากยิ่งขึ้น
                    • โปรแกรม Fix Lift Body ยกกระชับผิว มีกระบวนการ Extracellular Matriz (ECM) เป็นการกระตุ้นการสร้าง Hyaluronic Acid (HA) ใต้ชั้นผิว ที่มีส่วนช่วยฟื้นฟูสภาพผิวที่เสื่อมให้กลับมาเต่งตึง และช่วยลดเลือนลดริ้วรอย และความเหี่ยวย่นได้

                     

                    โปรแกรม Fix Lift Body ใข้เทคโนโลยีอะไร กระชับผิว

                    โปรแกรม Fix Lift Body จะใช้เทคโนโลยีกระชับสัดส่วน ลดไขมันด้วยพลังงานคลื่นวิทยุความถี่สูง (RF) โดยจะปล่อยพลังงานลงไปในชั้นผิวที่มีความลึกหลายระดับตั้งแต่ 1 – 7 มม. (Muti-layer technology) เพื่อให้พลังงานสามารถเข้าถึงได้ทุกชั้นผิว ไม่ว่าจะเป็น ชั้นผิวหนังแท้ (Dermis) และชั้นไขมันใต้ผิว (Subcutaneous Fat) โดย Multi-Layer Technology จะสามารถปรับระดับความลึกของพลังงานให้เหมาะสมกับชั้นผิวในแต่ละบริเวณ เช่น

                    • โปรแกรม Fix Lift Body ยกกระชับผิว ใช้บริเวณใบหน้าและลำคอ จะใช้ความลึก 2–4 มม. เพื่อฟื้นฟูริ้วรอย และกระชับผิว
                    • โปรแกรม Fix Lift Body ยกกระชับผิว ใช้บริเวณร่างกาย เช่น หน้าท้อง ต้นขา ท้องแขน จะใช้ความลึกสูงสุด 7 มม. เพื่อแก้ปัญหาไขมันส่วนเกิน และเซลลูไลต์

                    ซึ่งพลังงานคลื่นวิทยุนั้นจะถูกส่งผ่านทาง หัวทิปขนาดใหญ่สำหรับใช้บริเวณร่างกายโดยเฉพาะ ภายในหัวทิปจะมีหัวเข็มขนาดเล็ก (Microneedles) ที่เคลือบด้วยทองคำ (Golden Micro Pins) ซึ่งช่วยป้องกันการระคายเคืองและเหมาะสำหรับทุกสภาพผิว โดยพลังงานจะเข้าไปกระตุ้นให้เซลล์ผิวสร้างและจัดเรียงคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ โปรแกรม Fix Lift Body ยกกระชับผิว ทำให้ผิวแน่นขึ้น ยืดหยุ่น และดูอ่อนเยาว์ขึ้น พร้อมช่วยลดไขมันส่วนเกิน และยกกระชับสัดส่วน ลดการเกิดเซลลูไลท์ ผิวเปลือกส้ม ให้ผิวเรียบเนียนมากขึ้น โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น และไม่มีรอยแผล ซึ่งผลลัพธ์สามารถอยู่ได้นานถึง 1 ปี

                     

                    โปรแกรม Fix Lift Body มีจุดเด่นอะไร ?

                    • โปรแกรม Fix Lift Body เป็นเทคโนโลยีน้องใหม่ที่ได้รับการรับรองจาก US FDA ว่าเป็นเทคโนโลยีที่ไม่อันตรายต่อผิว ทั้งยังสามารถใช้ได้กับทุกสีผิว และทุกสภาพผิว
                    • โปรแกรม Fix Lift Body ช่วยแก้ไขปัญหาได้อย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น การลดไขมันส่วนเกิน การลดเซลลูไลต์และผิวเปลือกส้ม ช่วยแก้ปัญหารอยแตกลาย ริ้วรอย และรอยแผลเป็นบนผิวให้ดูจางลง
                    • โปรแกรม Fix Lift Body ช่วยฟื้นฟูผิว และช่วยยกกระชับ และปรับผิวให้มีความเรียบเนียนได้ ให้ผลลัพธ์ที่ยาวนานนานถึง 1 ปี
                    • โปรแกรม Fix Lift Body เป็นการทำหัตถการลดไขมัน กระชับสัดส่วน ผ่านพลังงานคลื่นวิทยุ เป็นการรักษาที่ไม่ต้องผ่าตัด ทำให้ไม่ต้องพักฟื้น ไม่มีแผลเป็น และไม่มีความเสี่ยงจากการดมยาสลบ

                     

                    ทำไมต้องทำ โปรแกรม Fix Lift Body ?

                    โปรแกรม Fix Lift Body ยกกระชับผิว มีเทคโนโลยี Burst ที่ช่วยกระตุ้นการซ่อมสร้าง Fibro Septal Network (FSN) bracing ซึ่ง FSN คือ เส้นใยที่ช่วยยึดระหว่างผิวชั้นหนังแท้และชั้นไขมัน ที่ช่วยในเรื่องคงความกระชับ และคงความยืดหยุ่นของผิว ให้โครงสร้างผิวแข็งแรงและแน่นมากขึ้น

                    นอกจากนี้ โปรแกรม Fix Lift Body ยกกระชับผิว ยังมีการใช้เทคโนโลยีคลื่นความถี่วิทยุ (Radio Frequency: RF) ที่มีการปล่อยพลังงานแบบ Multi-Level Penetration ที่สามารถปรับพลังงานให้เหมาะสมกับความลึกของชั้นผิวในระดับที่แตกต่างกันได้ ตั้งแต่ผิวชั้นตื้นและผิวชั้นลึก ได้แก่

                       – โปรแกรม Fix Lift Body ยกกระชับผิว มีการปล่อยพลังงานแบบ Cycle จะใช้ความลึกได้หลายระดับ 5mm, 3mm ,4mm, 2mm

                       – โปรแกรม Fix Lift Body ยกกระชับผิว มีการปล่อยพลังงานแบบ Multi-level penetration จะใช้ความลึกได้หลายระดับ 7mm, 5mm,3mm,6mm, 4mm, 2mm 

                     

                    โปรแกรม Fix Lift Body ยกกระชับผิว นั้นมีหัวทิปที่ไม่อันตรายต่อร่างกาย บรรจุอยู่ภายในซองที่ผ่านกระบวนการ GAMMA Sterilized ซึ่งเป็นมาตรฐานการฆ่าเชื้อระดับสูง โดยใช้ครั้งเดียวทิ้ง ไม่นำกลับมาใช้ซ้ำ หรือใช้เฉพาะบุคคลเท่านั้น ทำให้มั่นใจในความสะอาดได้  

                     

                    โปรแกรม Fix Lift Body ควรทำบริเวณไหน
                    โปรแกรม Fix Lift Body ควรทำบริเวณไหน

                     

                    โปรแกรม Fix Lift Body ควรทำบริเวณไหน

                    การทำ โปรแกรม Fix Lift Body เป็นการยกกระชับผิว พร้อมลดไขมัน ที่ช่วยดูแลปัญหารูปร่างได้อย่างครอบคลุม สามารถทำได้หลายบริเวณทั่วร่างกาย ไม่ว่าจะเป็น

                     

                    • โปรแกรม Fix Lift Body ทำบริเวณปีกหลังที่เอว (Love Handles) ช่วยลดไขมันส่วนเกินบริเวณปีกหลังที่ทำให้รูปร่างดูไม่กระชับ
                    • โปรแกรม Fix Lift Body ทำบริเวณสะโพก ช่วยแก้ปัญหาเซลลูไลท์ปรับผิวให้เรียบเนียน
                    • โปรแกรม Fix Lift Body ทำบริเวณเหนือเข่า ช่วยยกกระชับผิวบริเวณเหนือเข่า ที่มักมีลักษณะเป็นผิวเปลือกส้ม
                    • โปรแกรม Fix Lift Body ทำบริเวณหน้าท้องและลำตัว ช่วยลดไขมันส่วนเกินและลดเลือนผิวที่แตกลาย 
                    • โปรแกรม Fix Lift Body ทำบริเวณบั้นท้าย ช่วยยกกระชับและลดรอยแตกลาย ให้ผิวดูเรียบเนียนและเฟิร์มขึ้น
                    • โปรแกรม Fix Lift Body ทำบริเวณต้นแขนด้านใน ช่วยยกกระชับต้นแขนด้านในที่หย่อนคล้อย 

                     

                    โปรแกรม Fix Lift Body เหมาะกับใครบ้าง

                    โปรแกรม Fix Lift Body ช่วยยกกระชับสัดส่วน พร้อมลดไขมัน และช่วยแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยทั่วร่างกาย ซึ่งการทำ โปรแกรม Fix Lift Body ยกกระชับผิว เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาดังนี้

                     

                    • โปรแกรม Fix Lift Body เหมาะกับผู้ที่ต้องการกระชับผิวชั้นลึก (Deep Skin Tightening)
                    • โปรแกรม Fix Lift Body เหมาะกับผู้ที่มีอายุ 20–25 ปีขึ้นไป ที่ต้องการฟื้นฟูผิวหย่อนคล้อยและลดเลือนริ้วรอย
                    • โปรแกรม Fix Lift Body เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย ไม่กระชับจากน้ำหนัก เช่น บริเวณต้นแขน ต้นขา หน้าท้อง หรือบั้นท้าย
                    • โปรแกรม Fix Lift Body เหมาะกับผู้ที่มีริ้วรอยเหี่ยวย่นที่เกิดขึ้นตามวัย เช่น ริ้วรอยรอบลำคอ หรือจุดอื่นๆ บนร่างกาย
                    • โปรแกรม Fix Lift Body เหมาะกับผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อยเนื่องจากการสูญเสียคอลลาเจนและอีลาสตินตามวัย
                    • โปรแกรม Fix Lift Body เหมาะกับผู้ที่ต้องการลดเซลลูไลท์ ผิวเปลือกส้ม ผิวเป็นคลื่น ให้ผิวมีความเรียบเนียนอย่างสม่ำเสมอ
                    • โปรแกรม Fix Lift Body เหมาะกับผู้ที่มีไขมันสะสมตามจุดต่าง ๆ ตามบริเวณร่างกาย ต้องการลดไขมันส่วนเกิน เช่น ต้นแขน ต้นขา หน้าท้อง สะโพก เอว และบั้นท้าย
                    • โปรแกรม Fix Lift Body เหมาะกับผู้ที่ต้องการปรับรูปร่างให้ดูกระชับ และสมส่วน
                    • โปรแกรม Fix Lift Body เหมาะกับผู้ที่มีปัญหารอยแตกลาย ผิวไม่เรียบเนียน หลังคลอดบุตร
                    • โปรแกรม Fix Lift Body เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวแตกลายจากการเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักตัว ผิวเกิดความย้วย หย่อนคล้อย
                    • โปรแกรม Fix Lift Body เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวแห้ง หยาบกร้าน หรือขาดความชุ่มชื้น ต้องการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว
                    • โปรแกรม Fix Lift Body เหมาะกับผู้ที่มีผิวไม่เรียบเนียน มีรอยแผลเป็น
                    • โปรแกรม Fix Lift Bodyเหมาะกับผู้ที่ต้องการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและจัดเรียงตัวใหม่ของคอลลาเจนใต้ชั้นผิว
                    • โปรแกรม Fix Lift Body เหมาะกับผู้ที่ต้องการผิวที่ดูเต่งตึง อ่อนเยาว์ และกระจ่างใสมากขึ้น
                    • โปรแกรม Fix Lift Body เหมาะกับผู้ที่ต้องการยกกระชับผิวและลดไขมัน โดยไม่ต้องผ่าตัด
                    • โปรแกรม Fix Lift Body เหมาะกับผู้ที่ไม่มีเวลาออกกำลังกาย ไม่มีเวลาพักฟื้นนาน เพราะสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ

                     

                    โปรแกรม Fix Lift Body ไม่เหมาะกับใคร

                    • โปรแกรม Fix Lift Body ไม่เหมาะกับผู้ที่มีเครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemaker)
                    • โปรแกรม Fix Lift Body ไม่เหมาะกับผู้ที่มีอุปกรณ์โลหะฝังอยู่ในร่างกาย
                    • โปรแกรม Fix Lift Body ไม่เหมาะกับผู้ที่มีโรคประจำตัวบางประเภท
                    • โปรแกรม Fix Lift Body ไม่เหมาะกับผู้ที่กำลังตั้งครรภ์หรืออยู่ในช่วงในนมบุตร
                    • โปรแกรม Fix Lift Body ไม่เหมาะกับผู้ที่มีแผลเปิด หรือมีแผลติดเชื้อ
                    • โปรแกรม Fix Lift Body ไม่เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับโรคผิวหนัง หากต้องการทำ โปรแกรม Fix Lift Body  ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำ

                    สำหรับใครที่อยากจะลองทำ โปรแกรม Fix Lift Body ลดไขมัน ยกกระชับผิวนั้น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินปัญหา และวางแผนการรักษา โปรแกรม Fix Lift Body ที่ไม่อันตราย และได้ผลลัพธ์ที่ต้องการมากที่สุด

                     

                    โปรแกรม Fix Lift Body มีขั้นตอนการทำอย่างไร

                    การเตรียมตัวก่อนทำโปรแกรม Fix Lift Body ยกกระชับผิว ไม่จำเป็นที่จะต้องลดอาหาร หรือน้ำ สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ และแนะนำให้หยุดใช้ตัวยากลุ่ม NSAIDs เช่น แอสไพริน, ไอบูโพรเฟน 1 สัปดาห์ก่อนทำ  โดยขั้นตอนการทำโปรแกรม Fix Lift Body จะมีดังนี้

                    • อันดับแรกแพทย์จะทำการซักประวัติ และสอบถามเกี่ยวกับปัญหารูปร่าง และปัญหาผิว เพื่อวางแผนการรักษาด้วยโปรแกรม Fix Lift Body ยกกระชับผิว ให้ตรงกับปัญหา 
                    • จากนั้นเจ้าหน้าที่จะทำการความสะอาดผิวในบริเวณที่ต้องการทำโปรแกรม Fix Lift Body ยกกระชับผิว เพื่อเตรียมความพร้อม หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่จะทำการทายาชาบริเวณนั้น ๆ เพื่อช่วยบรรเทาอาการเจ็บขณะทำ 
                    • หลังจากยาชาเริ่มออกฤทธิ์แล้ว แพทย์จะทำการรักษาโดยเลือกใช้โปรแกรม Fix Lift Body เลือกพลังงานที่เหมาะกับผิวแต่ละจุด ด้วยการปรับระดับความลึกของชั้นผิวที่ต้องการด้วย Multi-layer Technology
                    • จากนั้นโปรแกรม Fix Lift Body ยกกระชับผิว จะทำการส่งพลังงานผ่านอุปกรณ์ Coated pins ในบริเวณที่ทำการรักษา
                    • แพทย์จะทำการวาง Hand Piece ให้แนบไปกับผิวแบบตั้งฉาก พร้อมกดน้ำหนักลงเล็กน้อยเพื่อส่งพลังงานคลื่นวิทยุ (RF) ลงสู่ชั้นใต้ผิว
                    • โดยขณะทำโปรแกรม Fix Lift Body ยกกระชับผิว จะมีความรู้สึกอุ่น ๆ บริเวณผิว และแพทย์จะทำการใช้พัดลมเป่าความเย็นเพื่อช่วยเพิ่มความสบายให้กับผิว  ซึ่งระยะเวลาการรักษานั้นจะอยู่ที่ประมาณ 45 นาที ถึง 1 ชั่วโมง แล้วแต่บริเวณการรักษา
                    • หลังการรักษาด้วยโปรแกรม Fix Lift Body ยกกระชับผิว เสร็จเรียบร้อย เจ้าหน้าที่จะทำความสะอาดผิว และทาครีมบำรุงผิว เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นและลดการระคายเคือง และแพทย์จะทำการให้คำแนะนำวิธีดูแลตัวเองหลังการทำโปรแกรม Fix Lift Body ยกกระชับผิว
                    • หลังทำ โปรแกรม Fix Lift Body ยกกระชับผิว เสร็จแล้วควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับแสงแดดโดยตรงในช่วง 1-2 วันแรก หมั่นทาครีมกันแดดเพื่อปกป้องผิวจากแสงแดด และป้องกันผิวจากการระคายเคือง

                     

                    หลังทำโปรแกรม Fix Lift Body ต้องดูแลตัวเองยังไง

                    • หลังทำโปรแกรม Fix Lift Body ควรหลีกเลี่ยงการโดนน้ำบริเวณผิวที่ทำ 24 ชั่วโมง
                    • หลังทำโปรแกรม Fix Lift Body ควรบำรุงผิวด้วยครีมที่มีความชุ่มชื้นสูง เช่น ปิโตรเลียมเจล (Healing Ointment) หรือขี้ผึ้งปฏิชีวนะ เพื่อช่วยเคลือบผิวคงความชุ่มชื้นหลังทำประมาณ 1-3 วัน 
                    • หลังทำโปรแกรม Fix Lift Body หากผิวมีการปิดสะเก็ดบาง ๆ แล้วนั้น สามารถทาครีมบำรุงผิวที่มีมอยเจอร์ไรเซอร์ เพื่อช่วยเติมความชุ่มชื้นให้ผิว และลดการระคายเคือง
                    • หลังทำโปรแกรม Fix Lift Body ประมาณ 1-3 สัปดาห์ ผิวบริเวณที่ทำจะมีสะเก็ดที่หลุดออกมา ไม่ควรแคะ แกะ หรือเกา บริเวณผิว และควรปล่อยให้สะเก็ดนั้นหลุดไปเองตามธรรมชาติ
                    • หลังทำโปรแกรม Fix Lift Body ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดดจัด และหมั่นทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 PA+++ ขึ้นไปอย่างสม่ำเสมอก่อนออกแดด

                    โปรแกรม Fix Lift Body อยู่ได้นานเท่าไหร่

                    หลังทำโปรแกรม Fix Lift Body จะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงได้การทำการรักษาครั้งแรก โดยผลลัพธ์หลังทำโปรแกรม Fix Lift Body จะอยู่ได้นานถึง 6 เดือน – 1 ปี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองของแต่ละบุคคล หากต้องการผลลัพธ์ที่ต่อเนื่อง ควรดูแลตัวเองตามคำแนะนำของแพทย์ 

                     

                    เซลลูไลท์ หรือ ผิวเปลือกส้ม คืออะไร ?

                    เซลลูไลท์ (Cellulite) หรือ ผิวเปลือกส้ม คือ ไขมันสะสมที่อยู่ใต้ผิวหนังชั้นตื้น โดยจะมีลักษณะขรุขระ ผิวเป็นคลื่น หรือมีรอยบุ๋มที่ผิว ทำให้ผิวของเรานั้นไม่ดูไม่เรียบเนียน ซึ่งเซลลูไลท์นั้นมักจะเกิดขึ้นในบริเวณได้หลายบริเวณ เช่น ต้นแขน ต้นขา หน้าท้อง ก้น หรือสะโพก และมักจะเกิดในผู้หญิงมากกว่ามากผู้ชาย ซึ่งเซลลูไลท์สามารถมองเห็นได้ง่าย ๆ เมื่อเกิดการจับ บีบ หรือการนั่ง

                     

                    เซลลูไลท์ เกิดจากอะไร ?
                    เซลลูไลท์ เกิดจากอะไร ?

                     

                    เซลลูไลท์ เกิดจากอะไร ?

                    หลาย ๆ คนอาจจะสงสัยว่าเซลลูไลท์เกิดขึ้นได้อย่างไร ? การเกิดเซลลูไลท์ หรือ ผิวเปลือกส้ม เป็นการสะสมของไขมันใต้ชั้นผิวหนังชั้นตื้นที่จับตัวกันเป็นก้อนในปริมาณที่มากเกินไป โดยส่วนมากจะอยู่ในบริเวณที่มีการไหลเวียนเลือดหรือน้ำเหลืองไม่ดี ทำให้เกิดผิวที่ขรุขระ มีคลื่น ผิวดูไม่เรียบ 

                    นอกจากนี้ยังมีหลายสาเหตุที่ทำให้เกิดเซลลูไลท์ เช่น 

                    • กรรมพันธุ์
                    • ฮอร์โมนที่ผิดปกติในร่างกาย
                    • ระบบเผาผลาญที่ทำงานไม่ดี
                    • การรับประทานอาหารที่มีไขมัน และมีน้ำตาลสูง
                    • การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และการสูบบุหรี่
                    • การลดน้ำหนักผิดวิธี
                    • การดื่มน้ำน้อย
                    • ความเครียด
                    • การไม่ออกกำลังกาย
                    • โรคอ้วน หรือมีปริมาณไขมันในร่างกายสูง
                    • การตั้งครรภ์ หรือเมื่อถึงวัยหมดประจำเดือน

                     

                    เซลลูไลท์ นั้นเป็นการสะสมไขมันส่วนเกินที่ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย แต่อาจจะสร้างความไม่มั่นใจให้กับหลาย ๆ คนได้ เนื่องจากผิวหนังจะไม่เรียบเนียน มีลักษณะเป็นคลื่น ผิวขรุขระ ซึ่งเซลลูไลท์สามารถกำจัดได้ด้วยหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็น การปรับพฤติกรรมการกิน ออกกำลังกาย ดูแลตัวเอง การดูดไขมัน หรือการใช้โปรแกรม Fix Lift Body ทางเลือกช่วยลดไขมัน ลดการเกิดเซลลูไลท์ กระชับสัดส่วน

                     

                    โปรแกรม Fix Lift Body ทำแล้วเจ็บไหม

                    ทำโปรแกรม Fix Lift Body แล้วเจ็บไหม? แพทย์จะทำการปรับค่าพลังงานให้เหมาะสำหรับผิวของแต่ละบุคคล โดยจะมีความรู้สึกอุ่น ๆ ระหว่างทำ และก่อนเริ่มทำจะมีการทายาชาเฉพาะที่ที่จะช่วยลดความเจ็บปวด ขณะทำโปรแกรม Fix Lift Body ยกกระชับผิว โดยจะรอให้ยาชาออกฤทธิ์ประมาณ 1.5 – 2 ชั่วโมง ก่อนเริ่มทำ เพื่อให้ผู้เข้ารับบริการรู้สึกสบายผิวขณะทำหัตถการ

                     

                    โปรแกรม Fix Lift Body ควรทำกี่ครั้งดี
                    โปรแกรม Fix Lift Body ควรทำกี่ครั้งดี

                     

                    โปรแกรม Fix Lift Body  ควรทำกี่ครั้งดี

                    โปรแกรม Fix Lift Body ควรทำกี่ครั้ง? ทำบ่อยไหม? คำถามที่หลาย ๆ คนต่างสงสัย ซึ่งการยกกระชับผิวด้วยโปรแกรม Fix Lift Body เป็นเทคโนโลยีที่ไม่อันตรายต่อร่างกาย จึงสามารถทำซ้ำได้ การยกกระชับด้วยโปรแกรม Fix Lift Body สามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ตั้งแต่ครั้งแรก และอยู่ได้นานถึง 6 เดือน – 1 ปี แต่เพื่อผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพนั้น สามารถทำซ้ำได้ แนะนำให้ทำโปรแกรม Fix Lift Body ประมาณ 3 ครั้ง โดยควรเว้นระยะห่างประมาณ 4-6 สัปดาห์ โดยจะขึ้นอยู่กับคำแนะนำของแพทย์ และปัญหาของแต่ละบุคคล 

                     

                    โปรแกรม Fix Lift Body ได้ผลจริงไหม 

                    โปรแกรม Fix Lift Body เป็นการยกกระชับผิวให้แน่นเฟิร์ม ช่วยลดเซลลูไลท์ ลดเลือนริ้วรอย และลดไขมัน ซึ่งเป็นการใช้คลื่นความถี่วิทยุ หรือ RF ที่สามารถปล่อยพลังงานเข้าถึงชั้นผิวได้ลึกหลายชั้น และมีความไม่อันตรายต่อผิว และโปรแกรม Fix Lift Body ยกกระชับผิว ผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยาของประเทศสหรัฐอเมริกา (FDA) และยังมีงานวิจัยรองรับหลายฉบับ

                     

                    โปรแกรม Fix Lift Body ถือเป็นทางลัดที่หลาย ๆ คนต่างไว้ใจ เพราะสามารถช่วยลดไขมัน กระชับสัดส่วนร่างกาย และช่วยลดเซลลูไลท์ ผิวเปลือกส้มได้ และ โปรแกรม Fix Lift Body ยกกระชับผิว ยังช่วยแก้ปัญหาผิว ดูแลรูปร่างได้แบบไม่อันตรายต่อผิว เนื่องจากใช้คลื่นความถี่วิทยุที่มีความเสถียรสูง ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น สำหรับใครที่สนใจสามารถเข้ามาสอบถามเกี่ยวกับ โปรแกรม Fix Lift Body ได้ที่รมย์รวินท์คลินิกทุกสาขา 

                    NU Pico mla และ Fractional Laser ต่างกันยังไง เลเซอร์หลุมสิวแบบไหน เหมาะกับเรา ?

                    รักษาหลุมสิว

                    NU Pico mla และ Fractional Laser ต่างกันยังไง เลเซอร์หลุมสิวแบบไหน เหมาะกับเรา ?

                    ปัญหา “หลุมสิว” เป็นปัญหาที่สร้างความกังวลใจให้หลายคน การรักษาหลุมสิวจึงเป็นที่ต้องการอย่างมากในปัจจุบัน ทำให้มีตัวเลือกในการรักษาหลุมสิวมากมาย ซึ่งวิธีที่ได้รับความนิยมมาก คือการรักษาหลุมสิวด้วยการทำเลเซอร์ ที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะเทคโนโลยี NU Pico MLA และ Fractional Laser

                     

                    วันนี้รมย์รวินท์จะพาไปเจาะลึกถึงความแตกต่างระหว่าง NU Pico MLA และ Fractional Laser สองเทคโนโลยีรักษาหลุมสิวยอดฮิต ว่าทั้งสองเทคโนโลยีนี้ มีความแตกต่างกันอย่างไร ทั้งการทำงาน ผลลัพธ์ ระยะเวลาในการรักษาและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น เพื่อประกอบการตัดสินใจ ว่าเราเหมาะกับการทำโปรแกรมรักษาหลุมสิวแบบไหนกันนะ ? 

                     

                    หลุมสิวเกิดจากอะไร ? 

                    หลุมสิว (Acne Scars) เกิดจากการที่ผิวหนังไม่สามารถฟื้นฟูให้กลับมาสมบรูณ์หลังจากเกิดปัญหาผิวได้ ทำให้เกิดเป็นรอยบุ๋มหรือหลุมบนผิวหน้า ซึ่งปัจจัยที่ทำให้เกิดปัญหาหลุมสิวได้ ดังนี้

                      • การที่ผิวไม่สมานแผลได้สมบรูณ์ 
                      • การอักเสบรุนแรงของสิว ทำให้เนื้อเยื่อคอลลาเจน และอิลาสตินในผิวถูกทำลาย
                      • การบีบ หรือกดสิวที่ไม่เหมาะสม
                      • พันธุกรรมที่ส่งต่อจากโครงสร้างผิว และความสามารถในการฟื้นฟูได้
                    • การล้างหน้าแรงเกินไป หรือการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ระคายเคือง

                     

                    ทำไมต้องรักษาหลุมสิว ?

                    การรักษาหลุมสิวมีความสำคัญมากในหลายด้านทั้งด้านความงามและสุขภาพ  ซึ่งการรักษาหลุมสิวจะช่วยป้องกันไม่ให้หลุมสิวลุกลาม และกลายเป็นปัญหาผิวที่ซับซ้อนมากขึ้น อีกทั้งการรักษาหลุมสิวยังมีความสำคัญอีกหลายประการ ดังนี้ 

                     

                    • การรักษาหลุมสิวช่วยในการป้องกันการเกิดปัญหาผิวเพิ่ม 
                    • การรักษาหลุมสิวช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดสิวในอนาคต
                    • การรักษาหลุมสิวทำให้ผิวเรียบเนียน
                    • การรักษาหลุมสิวช่วยส่งเสริมการผลัดเซลล์ผิวใหม่ ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์
                    • การปล่อยให้เป็นหลุมสิวนาน ๆ อาจทำให้โครงสร้างผิวเสียหายถาวร ซึ่งจะทำให้การรักษาภายหลังจะทำได้ยาก และมีค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น
                    • การรักษาหลุมสิวช่วยเพิ่มความมั่นใจ ลดความกังวลเกี่ยวกับปัญหาผิวได้
                    • เพื่อสุขภาพผิวในระยะยาว การรักษาหลุมสิวจะช่วยในการฟื้นฟุโครงสร้างผิว ทำให้ผิวแข็งแรงขึ้น

                     

                    การรักษาหลุมสิวมีประโยชน์ในหลายด้าน ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องความงาม แต่เป็นการทำเพื่อสุขภาพผิวด้วย โดยการเลือกวิธีการรักษาหลุมสิวที่เหมาะสมตั้งแต่เป็นหลุมสิวระยะเริ่มต้น จะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น

                     

                    วิธีรักษาหลุมสิว

                    วิธีรักษาหลุมสิวเป็นขั้นตอนที่ควรให้ความใส่ใจ และควรเลือกวิธีการรักษาหลุมสิวให้เหมาะสมของประเภทหลุมสิวและสภาพผิวของแต่ละคน โดยการรักษาหลุมสิวสามารถทำได้ด้วยวิธีทางการแพทย์ และการรักษาหลุมสิวด้วยตัวเองเบื้องต้น ดังนี้

                    • การรักษาหลุมสิวเบื้องต้นด้วยตัวเอง 

                    วิธีการนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีหลุมสิวตื้น และเหมาะสำหรับผู้ที่ทำควบคู่กับการรักษาหลุมสิวทางการแพทย์ โดยสามารถทำได้ด้วยวิธี ดังต่อไปนี้

                    • การรักษาหลุมสิวด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยฟื้นฟูผิว
                    • การรักษาหลุมสิวด้วยการสครับและมาส์กหน้า
                    • การรักษาหลุมสิวด้วยการปกป้องผิวจากแสงแดด
                    • การรักษาหลุมสิวด้วย การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์

                     

                    • การรักษาหลุมสิวด้วยวิธีการทางแพทย์

                    วิธีการรักษาหลุมสิวด้วยวิธีการทางการแพทย์ เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นหลุมสิวทุกประเภท และเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์การรักษาหลุมสิวที่ชัดเจน รวดเร็ว โดยการรักษาหลุมสิวด้วยวิธีการทางการแพทย์สามารถทำได้หลายวิธี ดังนี้

                    • การรักษาหลุมสิวด้วยการทำเลเซอร์
                    • การรักษาหลุมสิวด้วยการฉีดสารเติมเต็ม
                    • การรักษาหลุมสิวด้วยการทำ HIFU
                    • การรักษาหลุมสิวด้วยการทำ Microneedling

                     

                    การรักษาหลุมสิวสามารถทำได้หลายวิธี แต่หนึ่งในวิธีที่เป็นที่นิยมมากในปัจจุบันคือการรักษาหลุมสิวด้วยการทำเลเซอร์รักษาหลุมสิว เพราะเป็นวิธีการรักษาหลุมสิวที่เห็นผลลัพธ์หลังการรักษาที่ชัดเจน และรวดเร็ว โดยเลเซอร์รักษาหลุมสิวที่ได้รับความนิยมมากในการรักษาหลุมสิวคือ NU Pico MLA และ Fractional Laser 

                     

                    NU Pico MLA  

                    NU Pico MLA เป็นเลเซอร์รักษาหลุมสิวที่ทำงานด้วยเครื่อง Pico Laser  ผ่านเลนส์พิเศษที่มีชื่อว่า Microlens Array หรือเรียกสั้น ๆ ว่า เลนส์ MLA ซึ่งเครื่องเลเซอร์รักษาหลุมสิว NU Pico MLA นี้ จะยิงเลเซอร์ที่มีประสิทธิภาพสูงด้วยระยะเวลาสั้น ๆ ระดับ Picosecond เข้าสู่ผิวหนังอย่างแม่นยำ และไม่ทำลายเนื้อเยื่อโดยรอบ 

                     

                    โดยการทำงานหลักของเครื่องเลเซอร์รักษาหลุมสิว NU Pico MLA จะทำงานด้วยการไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ ทำให้สามารถรักษาหลุมสิวได้ถึงราก และยังสามารถรักษาปัญหาผิวได้อีกหลายอย่าง

                     

                    จุดเด่นของ NU Pico MLA 

                    เลเซอร์รักษาหลุมสิว NU Pico MLA มีจุดเด่นหลายประการที่ทำให้เครื่องเลเซอร์นี้โดดเด่นมากกว่าการรักษาหลุมสิวด้วยเลเซอร์อื่น ๆ โดยจุดเด่นของเลเซอร์ NU Pico MLA  มีดังนี้

                    • เลเซอร์รักษาหลุมสิว NU Pico MLA สามารถรักษาหลุมสิวได้ทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นหลุมสิวแบบลึกหรือหลุมสิวแบบตื้น 
                    • เลเซอร์รักษาหลุมสิว NU Pico MLA ใช้พลังงานเลเซอร์แบบ PicoSecond ที่มีความแม่นยำสูง ในการช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และอีลาสตินใหม่
                    • เลเซอร์รักษาหลุมสิว NU Pico MLA ฟื้นฟูผิวได้หลายระดับชั้น ทั้งชั้นหนังกำพร้าและชั้นหนังแท้
                    • เลเซอร์รักษาหลุมสิว NU Pico MLA สามารถแก้ปัญหาผิวได้หลากหลาย
                    • เลเซอร์รักษาหลุมสิว NU Pico MLA ช่วยฟื้นฟูโครงสร้างผิวและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในระยะยาว
                    • เลเซอร์รักษาหลุมสิว NU Pico MLA สามารถทำกับการรักษาหลุมสิววิธีอื่น ๆ ด้วยได้

                     

                    Fractional Laser คืออะไร ?

                    เลเซอร์รักษาหลุมสิว Fractional Laser เป็นเลเซอร์ที่มีจุดเด่นในการรักษาหลุมสิว และสามารถแก้ปัญหาผิวได้อย่างหลากหลายในระดับที่ลงลึก ด้วยการปล่อยพลังงานเลเซอร์เป็นจุดเล็ก ๆ เพื่อสร้างความร้อนบนชั้นผิวหนัง ทำให้เกิดการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ในผิวหนัง ช่วยในการซ่อมแซมเซลล์ผิวที่เสียหายและการรักษาหลุมสิว ทำให้หลุมสิวตื้นขึ้นได้แม้กระทั่งหลุมสิวที่มีความลึกและกว้าง

                     

                    จุดเด่นของ Fractional Laser

                    เลเซอร์รักษาหลุมสิว Fractional Laser มีจุดเด่นที่ทำให้ Fractional Laser ต่างจากเลเซอร์รักษาหลุมสิวอื่น ๆ หลายอย่าง โดยเฉพาะในด้านการรักษาหลุมสิวที่มีประสิทธิภาพ และการใช้เทคโนโลยีที่สามารถช่วยแก้ปัญหาผิวแบบเจาะจงได้ นอกจากการการรักษาหลุมสิวแล้ว  Fractional Laser ยังมีจุดเด่นอื่น ๆ อีกมากมาย ดังนี้

                    • เลเซอร์รักษาหลุมสิว Fractional Laser มีจุดเด่นในการฟื้นฟูผิวลึกถึงชั้นใต้ผิว 
                    • เลเซอร์รักษาหลุมสิว Fractional Laser มีจุดเด่นในการแก้ไขปัญหาผิวได้อย่างหลากหลายหลังจากการทำครั้งเดียว โดยสามารถแก้ไขปัญหาผิวได้อย่างครอบคลุม 
                    • เลเซอร์รักษาหลุมสิว Fractional Laser มีจุดเด่นในการปรับระดับความเข้มของพลังงานให้เหมาะกับปัญหาที่ต้องการแก้ไขและสภาพผิวของแต่ละบุคคลได้
                    • เลเซอร์รักษาหลุมสิว Fractional Laser มีเทคโนโลยีในการปล่อยพลังงาน
                    • เลเซอร์รักษาหลุมสิว Fractional Laser มีจุดเด่นในการเป็นจุดเล็ก ๆ เฉพาะบริเวณที่มีปัญหา โดยไม่ทำลายผิวที่ดีโดยรอบ

                     

                    NU Pico MLA กับ Fractional Laser ต่างกันยังไงในด้านการทำงาน
                    NU Pico MLA กับ Fractional Laser ต่างกันยังไงในด้านการทำงาน

                     

                    NU Pico MLA กับ Fractional Laser ต่างกันยังไงในด้านการทำงาน

                    แม้ทั้งสองเทคโนโลยีเลเซอร์รักษาหลุมสิวนี้จะช่วยในการรักษาหลุมสิวได้เป็นอย่างดี แต่ทั้ง NU Pico MLA และ Fractional Laser มีการทำงานที่แตกต่างกันออกไป โดย NU Pico MLA และ Fractional Laser  มีหลักการทำงานหลัก ๆ ที่แตกต่างกัน ดังนี้ 

                     

                    • เลเซอร์รักษาหลุมสิว NU Pico MLA ทำงานโดยการปล่อยพลังงานเลเซอร์ในระดับ Picosecond ผ่านเลนส์ Microlens Array MLA ที่จะกระจายแสงออกเป็นจุดเล็กๆ จำนวนมากลงใต้ผิวหนัง ทำให้เกิดการสั่นสะเทือนของโมเลกุลในผิวหนัง โดยพลังงานที่ปล่อยออกมานั้นจะไม่กระทบเนื้อเยื่อรอบข้าง ทำให้คอลลาเจนและอีลาสติน ถูกกระตุ้นและเกิดการสร้างใหม่ 

                     

                    • เลเซอร์รักษาหลุมสิว Fractional Laser ทำงานโดยการใช้พลังงานเลเซอร์ในระดับ Microsecond ในการยิงลำแสงเลเซอร์ลงบนผิวหนังเป็นจุดเล็กๆ หลายจุดทั่วบริเวณผิว ทำให้เกิดความร้อนในบริเวณที่ถูกเลเซอร์ยิง ซึ่งจะกระตุ้นให้ร่างกายเร่งซ่อมแซมตัวเอง โดยการสร้างคอลลาเจนและเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาทดแทนส่วนที่ถูกทำลาย อีกทั้ง Fractional Laser ยังสามารถปล่อยพลังงานเจาะลึกได้ถึงชั้นโครงสร้างผิว จึงช่วยซ่อมแซม และกระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ในระยะยาว

                     

                    NU Pico MLA กับ Fractional Laser แต่ละโปรแกรมเหมาะกับหลุมสิวแบบใดบ้าง ?
                    NU Pico MLA กับ Fractional Laser แต่ละโปรแกรมเหมาะกับหลุมสิวแบบใดบ้าง ?

                     

                    NU Pico MLA  กับ Fractional Laser แต่ละโปรแกรมเหมาะกับหลุมสิวแบบใดบ้าง ?

                    NU Pico MLA และ Fractional Laser เป็นเลเซอร์ที่สามารถรักษาหลุมสิวได้เป็นอย่างดี แต่ทั้งสองเลเซอร์นี้ก็มีความแตกต่างกันอยู่ ในด้านของการทำงานและการแก้ไขปัญหาผิวอื่น ๆ ทำให้ NU Pico MLA และ Fractional Laser เหมาะสมกับบุคคลที่แตกต่างกันออกไป ดังนี้ 

                     

                    • เลเซอร์รักษาหลุมสิว NU Pico MLA เหมาะสำหรับผู้ที่มีหลุมสิวตื้นถึงปานกลาง มีปัญหาผิวที่ไม่ลึกมาก และเหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวบอบบาง รวมถึงเหมาะกับผู้ที่ต้องการการรักษาหลุมสิวแบบแม่นยำ เห็นผลลัพธ์การทำตั้งแต่ครั้งแรก และต้องการผลลัพธ์หลังทำที่รวดเร็ว เจ็บน้อย ไม่ต้องพัก


                    • เลเซอร์รักษาหลุมสิว  Fractional Laser เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาหลุมสิวลึก หรือผู้ที่ต้องการกระตุ้นคอลลาเจนและการฟื้นฟูผิวในระดับลึกกว่า  เพราะเป็นเทคโนโลยีที่สามารถกระตุ้นคอลลาเจนในผิวได้ลึกกว่า และสามารถแก้ปัญหาผิวได้ยาวนานกว่า โดยมักต้องทำหลายครั้งในผู้ที่ต้องการรักษาหลุมสิวระดับลึก เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี รวมถึงการทำ Fractional Laser ต้องใช้เวลาพักฟื้นหลังการทำเลเซอร์

                     

                    NU Pico MLA กับ Fractional Laser ต่างกันยังไงในการให้ผลลัพธ์
                    NU Pico MLA กับ Fractional Laser ต่างกันยังไงในการให้ผลลัพธ์

                     

                    NU Pico MLA  กับ Fractional Laser ต่างกันยังไงในการให้ผลลัพธ์ 

                    แม้ผลลัพธ์ของ NU Pico MLA และ Fractional Laser จะมีความเหมือนกันในด้านของการรักษาหลุมสิวที่มีประสิทธิภาพ แต่ NU Pico MLA และ Fractional Laser ก็มีความแตกต่างกันในด้านผลลัพธ์การแก้ไขปัญหาผิว ตามการทำงานของเลเซอร์ โดย NU Pico MLA และ Fractional Laser มีความแตกต่างกันด้านผลลัพธ์ ดังนี้

                     

                    1. เลเซอร์รักษาหลุมสิว NU Pico MLA เป็นเลเซอร์รักษาหลุมสิวที่ให้ผลลัพธ์ในการรักษาที่มีความแม่นยำ และสามารถแก้ไขปัญหาผิวเฉพาะจุดได้ดี โดยหลังการทำ NU Pico MLA หลุมสิวจะตื้นขึ้น รอยดำ รอยแดงจะจางลง และจะผิวเรียบเนียนขึ้น ซึ่งในหลายบุคคลสามารถเห็นผลลัพธ์ที่ดีขึ้นได้หลังการทำ 1-2 ตั้งแต่ครั้งแรก ซึ่ง NU Pico MLA ให้ผลลัพธ์ได้ดีกับรักษาหลุมสิวที่ตื้น แผลเป็นที่ไม่ลึกมาก และผู้ที่ผิวมีรอยดำ รอยแดง

                     

                    1. เลเซอร์รักษาหลุมสิว  Fractional Laser เป็นเลเซอร์รักษาหลุมสิวที่ให้ผลลัพธ์ได้ดีกับผู้ที่เป็นหลุมสิวลึก รอยแผลเป็นขนาดใหญ่ หรือผิวที่มีปัญหาสะสม เช่น รูขุมขนกว้างและผิวไม่เรียบเนียน เนื่องจากมีการทำงานที่ส่งพลังงานไปยังผิวชั้นลึก ทำให้เกิดการกระตุ้นคอลลาเจนได้ในระดับลึกกว่า NU Pico MLA แม้การรักษาหลุมสิวด้วย Fractional Laser จะต้องการเวลาพักฟื้นและต้องทำหลายครั้ง แต่จะให้ผลลัพธ์ในระยะยาว และเห็นความเปลี่ยนแปลงของผิวอย่างชัดเจน

                     

                    NU Pico MLA กับ Fractional Laser เหมาะสำหรับการรักษาปัญหาผิวแบบใด ?
                    NU Pico MLA กับ Fractional Laser เหมาะสำหรับการรักษาปัญหาผิวแบบใด ?

                     

                    NU Pico MLA  กับ Fractional Laser เหมาะสำหรับการรักษาปัญหาผิวแบบใด ?

                    เลเซอร์รักษาหลุมสิว NU Pico MLA และ Fractional Laser เป็นเลเซอร์ที่มีประสิทธิภาพในด้านของการรักษาหลุมสิว และแก้ไขปัญหาผิวต่าง ๆ ที่แตกต่างกันออกไป โดยเลเซอร์รักษาหลุมสิว NU Pico MLA และ Fractional Laser มีประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาผิวที่แตกต่างกัน ดังนี้ 

                     

                    1.เลเซอร์รักษาหลุมสิว NU Pico MLA สามารถช่วยแก้ไขปัญหาผิวได้หลากหลายด้วยความแม่นยำสูงของพลังงานเลเซอร์ โดย NU Pico MLA สามารถแก้ไขปัญหาผิวทั้งหมดได้ ดังนี้ 

                    • เลเซอร์รักษาหลุมสิว NU Pico MLA  เหมาะสำหรับการเติมเต็มหลุมสิวและลดความลึกของหลุมสิวแบบตื้น 
                    • เลเซอร์รักษาหลุมสิว NU Pico MLA เหมาะสำหรับการลดรอยดำ รอยแดงจากสิว
                    • เลเซอร์รักษาหลุมสิว NU Pico MLA เหมาะสำหรับการลดฝ้า กระ จุดด่างดำ
                    • เลเซอร์รักษาหลุมสิว NU Pico MLA เหมาะสำหรับการกระชับรูขุมขนให้เล็กลง
                    • เลเซอร์รักษาหลุมสิว NU Pico MLA เหมาะสำหรับการปรับสีผิวให้กระจ่างใส 
                    • เลเซอร์รักษาหลุมสิว NU Pico MLA เหมาะสำหรับการลดริ้วรอยเล็ก ๆ 

                     

                    2.เลเซอร์รักษาหลุมสิว Fractional Laser เป็นเลเซอร์ที่สามารถฟื้นฟูและปรับสภาพผิวได้อย่างล้ำลึก โดย Fractional Laser สามารถรักษาปัญหาผิวต่าง ๆ ได้ ดังนี้

                    • เลเซอร์รักษาหลุมสิว Fractional Laser เหมาะสำหรับการเติมเต็มหลุมสิวลึกได้เป็นอย่างดี
                    • เลเซอร์รักษาหลุมสิว Fractional Laser เหมาะสำหรับการรักษารอยแผลเป็น
                    • เลเซอร์รักษาหลุมสิว Fractional Laser เหมาะสำหรับการแก้ปัญหาริ้วรอยและร่องลึกได้ดี
                    • เลเซอร์รักษาหลุมสิว Fractional Laser เหมาะสำหรับการกระชับรูขุมขนและการปรับผิวให้เรียบเนียน
                    • เลเซอร์รักษาหลุมสิว Fractional Laser เหมาะสำหรับการฟื้นฟูผิวที่ทำลายจากแสงแดด

                     

                    สรุปแล้วทั้งเลเซอร์รักษาหลุมสิว NU Pico MLA และ Fractional Laser สามารถแก้ปัญหาผิวได้อย่างหลากหลายทั้งคู่ เพียงแต่เลเซอร์รักษาหลุมสิว Fractional Laser จะสามารถรักษาหลุมสิวและแก้ปัญหาผิวในระดับลึกได้ดี ในขณะที่เลเซอร์รักษาหลุมสิว NU Pico MLA จะเด่นในเรื่องของการแก้ปัญหาผิวแบบเจาะจงที่จุดปัญหาได้ดี 

                     

                    ความรู้สึกระหว่างการทำ NU Pico MLA  กับ Fractional Laser   

                    ความแตกต่างระหว่าง NU Pico MLA และ Fractional Laser ในด้านความรู้สึกระหว่างการทำนั้น แตกต่างกันได้อย่างชัดเจน จากการปล่อยพลังงานเลเซอร์รักษาหลุมสิวที่แตกต่างกัน โดยความแตกต่างระหว่าง NU Pico MLA และ Fractional Laser มีดังนี้

                    • เลเซอร์รักษาหลุมสิว NU Pico MLA จะให้ความรู้สึกเหมือนโดนดีดผิวเบา ๆ ระหว่างการทำ โดยระหว่างการทำจะมีอาการเจ็บเพียงเล็กน้อย หรือแทบไม่เจ็บเลยในบางคน ซึ่งความรู้สึกจะแตกต่างกันได้ขึ้นอยู่กับระดับพลังงานและความหนาของชั้นผิว โดยส่วนมากระหว่างการทำจะเจ็บน้อยกว่า เนื่องจาก NU Pico MLA ใช้พลังงานที่แม่นยำ และใช้ช่วงเวลาปล่อยพลังงานที่สั้นมาก


                    • เลเซอร์รักษาหลุมสิว  Fractional Laser จะให้ความรู้สึกระหว่างทำเหมือนโดนเข็มเล็ก ๆ จิ้มทั่วบริเวณที่ทำการรักษา หรือในบางคนอาจจะรู้สึกเหมือนผิวโดนความร้อน ซึ่งระดับความเจ็บขึ้นอยู่กับพลังงานที่ใช้และปัญหาผิวที่ต้องการการรักษา โดยในการทำ Fractional Laser เพื่อรักษาหลุมสิว อาจต้องใช้พลังงานที่สูงขึ้น ทำให้อาจจะมีความรู้สึกเจ็บมากขึ้นได้ในบางบุคคล แต่ทั้งนี้ก่อนการทำการรักษาแพทย์มักจะทายาบนผิวบริเวณที่ทำ ก่อนการทำ Fractional Laser  เพื่อลดความเจ็บระหว่างการทำ

                     

                    ระยะเวลาในการรักษาระหว่าง NU Pico MLA กับ Fractional Laser
                    ระยะเวลาในการรักษาระหว่าง NU Pico MLA กับ Fractional Laser

                     

                    ระยะเวลาในการรักษาระหว่าง NU Pico MLA กับ Fractional Laser

                    • เลเซอร์รักษาหลุมสิว NU Pico MLA ใช้ระยะเวลาในการทำต่อครั้งอยู่ประมาณ 10-30 นาทีต่อครั้ง รวมทายาชาแล้วไม่เกิน 90 นาทีต่อครั้ง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาดพื้นที่ที่รักษา และเพื่อผลลัพธ์ที่ดี อาจต้องทำซ้ำ 2-4 ครั้ง โดยเว้นระยะห่างประมาณ 2-4 สัปดาห์ต่อครั้ง


                    • เลเซอร์รักษาหลุมสิว  Fractional Laser ใช้เวลาในการทำต่อครั้ง 30-60 นาที ขึ้นอยู่กับความลึกและขนาดพื้นที่การรักษา และก่อนทำมักต้องทายาชาก่อนทำประมาณ 30-45 นาที สำหรับผู้ที่มีปัญหาหลุมสิวลึก หรือปัญหาผิวที่รุนแรง อาจต้องทำซ้ำ 2-5 ครั้ง โดยเว้นระยะห่างระหว่างการทำ 4-6 สัปดาห์ ต่อครั้ง เพื่อมีเวลาให้ผิวฟื้นฟู และสร้างเซลล์ใหม่

                     

                    NU Pico MLA กับ Fractional Laser ต้องใช้เวลาพักฟื้นนานแค่ไหน ?

                    • เลเซอร์รักษาหลุมสิว NU Pico MLA หลังการทำแทบไม่ต้องพักฟื้นเลย เนื่องจากโอกาสเกิดผลข้างเคียงน้อยมาก โดนในบางบุคคลอาจมีรอยแดงเล็กน้อยหรือความอุ่นบนผิว ซึ่งจะหายไปภายในไม่นาน ซึ่งหลังการรักษาหลุมสิวด้วย NU Pico MLA จะไม่มีแผล ไม่มีสะเก็ด หรือการลอกของผิวเลย แต่อาจเกิดผิวแห้งได้เล็กน้อยในบางบุคคล แต่เป็นเพียงระยะเวลาสั้นก็จะหายเอง


                    • เลเซอร์รักษาหลุมสิว  Fractional Laser อาจต้องใช้ระยะเวลาพักฟื้นหลังการทำ เนื่องจากมีกระบวนการในการผลัดเซลล์ผิว โดยเฉลี่ยแล้วอาจต้องใช้ระยะเวลาการพักฟื้นประมาณ 5-7 วัน ขึ้นอยู่กับระดับพลังงานที่ใช้และสภาพผิวของแต่ละบุคคล  ซึ่งในช่วง 1-3 วันแรกหลังการทำ Fractional Laser ผิวจะมีรอยแดงหรือบวม หลังจากนั้นจะเกิดสะเก็ดเล็ก ๆ  และผิวที่เกิดสะเก็ดจะเริ่มลอกในช่วง 3-7 วันหลัง Fractional Laser จึงเหมาะกับผู้ที่มีเวลาในการพักฟื้นได้ และต้องการผลลัพธ์การฟื้นฟูผิวระดับลึก

                     

                    NU Pico MLA  กับ Fractional Laser มีโอกาสในการเกิดผลข้างเคียงใดได้บ้าง ?

                    ผลข้างเคียงระหว่างการทำ NU Pico MLA กับ Fractional Laser มีความแตกต่างกันจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นการทำงานของเลเซอร์และระดับพลังงาน โดยผลข้างเคียงหลังการทำของ NU Pico MLA กับ Fractional Laser มีความแตกต่างกัน ดังนี้

                     

                    1.เลเซอร์รักษาหลุมสิว NU Pico MLA  มีผลข้างเคียงหลังการทำที่น้อยมาก ซึ่งหลังการทำ NU Pico MLA อาจมีผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ ดังนี้

                    • ผลข้างเคียงหลังการทำ NU Pico MLA อาจเกิดรอยแดงหรือรู้สึกอุ่น ๆ บริเวณที่ทำเลเซอร์ได้ แต่อาการนี้จะหายได้เองภายใน 1-3 ชั่วโมง
                    • ผลข้างเคียงหลังการทำ NU Pico MLA ในบางบุคคลผิวอาจแห้งขึ้นเล็กน้อยหลังทำเลเซอร์เลเซอร์รักษาสิว แต่อาการนี้สามารถฟื้นฟูได้ด้วยการทามอยส์เจอไรเซอร์
                    • ผลข้างเคียงหลังการทำ NU Pico MLA ที่พบได้น้อยมาก ๆ  คือ การเป็นรอยแผลหรือการติดเชื้อ

                     

                    2.เลเซอร์รักษาหลุมสิว  Fractional Laser มีโอกาสในการเกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงมากกว่าการทำ แต่การรักษาหลุมสิวด้วย Fractional Laser เหมาะสำหรับปัญหาผิวและหลุมสิวที่ลึกกว่า แต่ต้องมีการดูแลหลังการทำที่ใกล้ชิด โดยผลข้างเคียงหลังการทำ Fractional Laser ที่อาจเกิดขึ้นได้ มีดังนี้

                    • ผลข้างเคียงหลังการทำ Fractional Laser ผิวอาจจะมีอาการแดงหรือบวมได้ในบริเวณที่รักษา แต่อาการทั้งหมดนี้จะค่อย ๆ ลดน้อยลงใน 1 – 3 วัน
                    • ผลข้างเคียงหลังการทำ Fractional Laser จะมีการผลัดเซลล์ผิว โดยผิวจะเริ่มมีสะเก็ดหรือรู้สึกแห้งตึงในช่วง 2 – 7 วันหลังทำ
                    • ผลข้างเคียงหลังการทำ Fractional Laser  อาจเกิดรอยดำชั่วคราวได้จากการอักเสบของผิว ซึ่งมักจะเกิดกับผู้ที่ผิวแพ้ง่ายหรือผู้ที่มีผิวเข้ม โดยรอยดำนี้จะจางหายได้เอง
                    • ผลข้างเคียงหลังการทำ Fractional Laser อาจเกิดการอักเสบได้ หากไม่ดูแลรักษาความสะอาดอย่างถูกต้องและเหมาะสม

                    สรุปได้ว่าทั้งสองเทคโนโลยีเลเซอร์รักษาหลุมสิว NU Pico MLA และ Fractional Laser เหมาะกับการรักษาหลุมสิวที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับระดับความลึกของหลุมสิวและสภาพผิวของแต่ละบุคคล รักษาหลุมสิว

                    โดย NU Pico MLA เหมาะกับการรักษาหลุมสิวขนาดเล็กและหลุมสิวตื้น ๆ สามารถทำได้ในผู้ที่มีผิวบอบบางและสามารถเห็นผลลัพธ์ได้รวดเร็วกว่า  ในขณะที่ Fractional Laser เหมาะกับผู้ที่มีหลุมสิวลึกและกว้าง ต้องการแก้ปัญหาผิวที่เจาะลึกถึงชั้นผิวแท้ อีกทั้งหลังการทำ Fractional Laser อาจมีการดูแลหลังการทำที่ซับซ้อนกว่า 

                    ดังนั้นสำหรับใครที่สนใจในการรักษาหลุมสิว ด้วยโปรแกรมเลเซอร์ NU Pico MLA หรือ Fractional Laser แนะนำว่าควรเข้าไปปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญอีกครั้งก่อนทำการรักษาหลุมสิว เพื่อประเมินสภาพผิวและหลุมสิวอย่างละเอียด และเพื่อให้ได้โปรแกรมที่เหมาะสมกับปัญหาผิว และการวางการรักษาที่เหมาะสม

                    รมย์รวินท์คลินิก x ULTRACOL เสริมศักยภาพทีมแพทย์ ยกระดับมาตรฐานความงาม

                    ULTRACOL แชร์ความรู้

                    รมย์รวินท์คลินิก x ULTRACOL เสริมศักยภาพทีมแพทย์ ยกระดับมาตรฐานความงาม

                     

                    รมย์รวินท์คลินิก ร่วมมือกับ UltraV Co., Ltd จัดงานอบรม “Romrawin X ULTRACOL แชร์ความรู้อัพเดทความงาม เพื่อเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับ เทคนิคไหมน้ำ ULTRACOL ซึ่งเป็นเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ฟื้นฟูโครงสร้างผิว และเสริมสร้างความกระชับอย่างเป็นธรรมชาติ เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2568 เวลา 09.00 – 13.00 น. ณ รมย์รวินท์คลินิก สาขาชิดลม 

                     

                    ULTRACOL แชร์ความรู้อัพเดทเทรนความงาม
                    ULTRACOL แชร์ความรู้อัพเดทเทรนความงาม

                     

                    โดยได้รับเกียรติจาก พญ.ฐานิสร ธรรมลิขิตกุล (ว.10656) ผู้อำนวยการรมย์รวินท์คลินิก และ พญ.ช่ออัญชัญ ปัญญาเอกะวิทู (ว.49909) แพทย์ประจำรมย์รวินท์คลินิก เข้าร่วมอบรมและอัปเดตเทคนิคการใช้ไหมน้ำเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

                     

                    งานนี้ รมย์รวินท์คลินิก ได้รับเกียรติจาก Dr. Kwon Han Jin Ceo ของ UltraV บินตรงมาจากประเทศเกาหลีใต้ เพื่อร่วมอัปเดตเทรนด์ล่าสุด และแนะนำแนวทางการประยุกต์ใช้เทคนิคไหมน้ำ ในเวชศาสตร์ความงามอย่างมีประสิทธิภาพ

                     

                    ULTRACOL แชร์ความรู้อัพเดทเทรนความงาม
                    ULTRACOL แชร์ความรู้อัพเดทเทรนความงาม

                     

                    โปรแกรม ULTRACOL® เทคโนโลยีไหมน้ำแห่งอนาคตเพื่อการฟื้นฟูและกระตุ้นคอลลาเจน

                    ULTRACOL แชร์ความรู้อัพเดทเทรนความงาม

                    โปรแกรม ULTRACOL® เป็นเทคโนโลยีไหมน้ำที่ถูกพัฒนาโดย UltraV Co., Ltd ซึ่งมีจุดเด่นอยู่ที่ PDO microsphere ที่สามารถซึมเข้าสู่ชั้นผิวหนังได้อย่างล้ำลึก ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้อย่างเป็นธรรมชาติอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งเสริมความยืดหยุ่นและความกระชับของผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอหจากนี้โปรแกรม ULTRACOL® ยังมีคุณสมบัติที่ช่วยลดเลือนริ้วรอย เพิ่มความแข็งแรงให้กับชั้นผิว และให้ผลลัพธ์ที่ยาวนานกว่าการใช้ไหมละลายแบบเดิม

                     

                    ประโยชน์ของโปรแกรมไหมน้ำ ULTRACOL

                    • ช่วยกระตุ้นการผลิต Collagen Type I และ III ซึ่งเป็นคอลลาเจนหลักที่ช่วยเสริมความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของผิว ทำให้ผิวดูเรียบเนียนและอ่อนเยาว์ขึ้น
                    • มีคุณสมบัติในการช่วยกระตุ้นกระบวนการสร้างเซลล์ผิวใหม่ ทำให้ใบหน้าดูกระชับ ผิวเต่งตึง แลดูอิ่มน้ำขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
                    • ช่วยเติมเต็มร่องลึก ปรับสภาพผิวให้สม่ำเสมอ และเสริมความหนาแน่นของชั้นผิวเพื่อให้ใบหน้าดูมีมิติและสุขภาพดี
                    • ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่นมากขึ้น ลดความหย่อนคล้อย พร้อมช่วยเพิ่มความกระจ่างใสให้แก่ผิวหน้า
                    • ช่วยลดเลือนริ้วรอยแห่งวัย ทั้งริ้วรอยตื้นและริ้วรอยลึก พร้อมช่วยให้ผิวมีความเนียนละเอียดมากขึ้น

                     

                    ULTRACOL แชร์ความรู้อัพเดทเทรนความงาม
                    ULTRACOL แชร์ความรู้อัพเดทเทรนความงาม

                     

                    รมย์รวินท์คลินิก เสริมศักยภาพวงการความงามไทย กับงาน ULTRACOL แชร์ความรู้อัพเดทเทรนความงาม

                    การจัดงาน Romrawin X ULTRACOL แชร์ความรู้อัพเดทเทรนความงามในครั้งนี้ ตอกย้ำการพัฒนาอย่างต่อเนื่องของ รมย์รวินท์คลินิก ในการนำเทคโนโลยีด้านความงามมาเพื่อใช้ โดยมุ่งเน้นในบุคลากรทางการแพทย์มีความรู้และความเชี่ยวชาญที่ทันสมัย พร้อมให้บริการลูกค้าด้วยมาตรฐานที่ดีอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้การพัฒนาเทคนิคโปรแกรม ULTRACOL เข้ากับแนวทางการรักษาที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล จะช่วยเสริมสร้างศักยภาพของวงการความงามในประเทศไทย และเพิ่มโอกาสในการพัฒนาเทคโนโลยีการรักษาผิวพรรณที่มีประสิทธิภาพและเห็นผลลัพธ์ที่ยั่งยืน

                    Density Grand Lunch Symposium 2025 อัปเดตเทคโนโลยีใหม่

                    Density Grand Lunch Symposium 2025

                    รมย์รวินท์คลินิก ร่วมงาน Density Grand Lunch Symposium 2025 อัปเดตเทคโนโลยีใหม่ ยกระดับการดูแลผิวอย่างมีประสิทธิภาพ

                     

                    รมย์รวินท์คลินิก ตอกย้ำความเป็นผูนำด้านความงามระดับสากล ภายใต้แนวคิด “Timeless Beauty: A New Era Begins” ผ่านการเข้าร่วมงาน DENSITY GRAND LAUNCH DINNER SYMPOSIUM 2025 งานสัมมนาทางการแพทย์ด้านความงาม ที่มุ่งเน้นการอัปเดตเทรนด์และเทคโนโลยีล่าสุดที่เกี่ยวกับการดูแลผิวพรรณ และเทคนิคการยกกระชับใบหน้า เพื่อมอบผลลัพธ์ความงามที่ยั่งยืนและเป็นธรรมชาติให้กับผู้เข้ารับบริการ ซึ่งงานจัดขึ้นเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2568 ณ Grand Ballroom, Park Hyatt Bangkok ที่ผ่านมา โดยงานนี้เป็นเวทีสำคัญที่รวบรวมผู้เชี่ยวชาญและผู้นำด้านเทคโนโลยีความงาม มาเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับเทรนด์และเทคโนโลยีล้ำหน้า พร้อมยกระดับมาตรฐานการดูแลผิวพรรณไปอีกขั้น

                     

                    รมย์รวินท์คลินิก พร้อมอัปเดตเทรนด์ความงาม ด้วยทีมแพทย์เฉพาะทาง

                    งานนี้รมย์รวินท์คลินิกไม่พลาด เข้าร่วมอัปเดตเทรนด์ความงามก่อนใคร นำทีมโดย พญ.ฐานิสร ธรรมลิขิตกุล (ว.10656), นพ.อธิวัชร อัศวภิวัฒน์ (ว.22163) และ นพ.ศรันยู บุญชัย (ว.49259)  เพื่อศึกษาเชิงลึกเกี่ยวกับเทคโนโลยี Bimodal รวมถึงแลกเปลี่ยนองค์ความรู้กับผู้เชี่ยวชาญ โดยเน้นการนำเทคนิคที่ทันสมัยมาผสานกับศาสตร์ความงาม เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่แม่นยำ และเหมาะสมกับสภาพผิวของผู้รับบริการแต่ละบุคคล

                     

                    นอกจากนี้ ทีมแพทย์จากรมย์รวินท์คลินิกยังได้เข้าร่วม การพูดคุยกับพาร์ทเนอร์ผู้นำเข้าเทคโนโลยี เพื่อหารือเกี่ยวกับความต้องการของผู้ใช้บริการในปัจจุบัน พร้อมให้ความสำคัญกับแนวทางการเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม และให้ผลลัพธ์ที่ยั่งยืน ตอบโจทย์ยุคใหม่แห่งความงามที่ไร้กาลเวลา

                     

                    Density Grand Lunch Symposium 2025
                    Density Grand Lunch Symposium 2025

                     

                    เปิดตัวเทคโนโลยี Bimodal ยกระดับการยกกระชับและฟื้นฟูผิว

                    หนึ่งในไฮไลต์สำคัญของงานนี้คือการแนะนำเทคโนโลยี Nimodal ที่ออกแบบมาเพื่อยกกระชับใบหน้า สร้างกรอบหน้าที่ชัดเจน พร้อมฟื้นฟูผิวหน้าให้ดูมีสุขภาพดี และเปล่งปลั่งอย่างเป็นธรรมชาติ ด้วยระบบพลังงานของ Bimodal ทำงานอย่างในทุกระดับชั้นผิว กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ผิวเต่งตึง มีความยืดหยุ่น และผิวแลดูอ่อนเยาว์จากภายในสู่ภายนอก

                     

                    Density Grand Lunch Symposium 2025
                    Density Grand Lunch Symposium 2025

                    Timeless Beauty ความงามที่ยืนยาวและเป็นธรรมชาติ

                    แนวคิด “Timeless Beauty” ไม่ได้เป็นเพียงการรักษาความสวยงามในช่วงเวลาสั้น ๆ แต่เป็นหารสร้างเสน่ห์ที่ยาวนานด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย ควบคู่ไปกับศาสตร์แห่งการชะลอวัย เพื่อช่วยให้ผิวแข็งแรงจากภายในสู่ภายนอก โดยไม่ต้องใช้วิธีการที่ให้ผลเพียงชั่วคราว

                     

                    Bimodal เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่โดดเด่นในด้านของการดูแลผิว ด้วยคุณสมบัติในการเสริมสร้างโครงสร้างผิว กระตุ้นการผลิตคอลลาเจน และปรับสมดุลของผิวให้กลับมาแลดูมีชีวิตชีวาอีกครั้ง ซึ่งทั้งหมดนี้สอดคล้องกับแนวทางของ รมย์รวินท์คลินิก ที่ให้ความสำคัญกับการคัดสรรเทคโนโลยีที่ล้ำหน้า และได้มาตรฐานระดับโลก เพื่อให้ผู้เข้ารับบริการมั่นใจในผลลัพธ์ที่ควความงามเหนือกาลเวลา

                     

                    Density Grand Lunch Symposium 2025
                    Density Grand Lunch Symposium 2025

                     

                    รมย์รวินท์คลินิก ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านความงามระดับสากล

                    การเข้าร่วมงาน DENSITY GRAND LAUNCH DINNER SYMPOSIUM 2025 ในครั้งนี้ เป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของ รมย์รวินท์คลินิก ในการยกระดับมาตรฐานความงามให้ทัดเทียมระดับนานาชาติ ผ่านการคัดสรรเทคโนโลยีที่ทันสมัย ผสานกับเทคนิคเฉพาะทางที่ถูกออกแบบมาเพื่อให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล

                     

                    รมย์รวินท์คลินิก ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาองค์ความรู้ของทีมแพทย์อย่างต่อเนื่อง โดยการเข้าร่วมงานสัมมนาและแลกเปลี่ยนความรู้กับผู้เชี่ยวชาญ เพื่อนำแนวคิดใหม่ ๆ และเทคโนโลยีล้ำสมัย มาปรับใช้ในการดูแลผู้รับบริการอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

                    ถึงเวลากู้ชีพผิวสวย คุณแนน ชลิตา ลด ฝ้า กระ จุดด่างดำ ต้องลอง

                    คุณแนน ชลิตา


                    ถึงเวลากู้ชีพผิวสวย คุณแนน ชลิตา ลด ฝ้า กระ จุดด่างดำ 

                     

                    คุณแนน ชลิตา เจ้าแม่ activity หนึ่งในผู้ประสบภัยจากฝ้า กระ จุดด่างดำ ขอตรงเข้ารมย์รวินท์คลินิกให้มาคุณหมอช่วยกู้ชีพผิวให้สวย กระจ่างใสหน่อยค่า

                    ตอนนี้แนนรับหน้าที่เป็นคุณแม่ลูกหนึ่ง พร้อมเปิดโปรดักชันเฮาส์เป็นของตัวเองแล้ว บทบาทหน้าที่ก็เปลี่ยนไปเยอะ จากที่เคยเป็นแค่นักแสดง ออกหน้ากล้อง ใช้หน้าตา ตอนนี้ไปอยู่เบื้องหลังแทนแล้วค่ะ ยอมรับเลยค่ะว่าแนนเป็นคนลุยสุดในทุกเรื่อง เต็มที่กับทุกเรื่อง ทั้งเรื่องงานที่ค่อนข้างจะลงมือทำเอง และหน้าที่ของแม่ที่ให้เวลากับลูกและสามีอย่างเต็มที่ ความลับอีกอย่างคือแนนเป็นสายถ่ายรูป คาเฟ่ด้วยค่ะ (หัวเราะ) ใครติดตามอินสตาแกรมอยู่ก็คงได้เห็นแนนลงรูปไปนู่น ไปนี่บ่อยๆ แต่ละวันแนนต้องเจอทั้งแดด ทั้งลม ไหนจะฝุ่นมลภาวะ ยิ่งช่วงนี้เข้าสู่หน้าร้อนแล้วด้วย อย่างที่รู้ๆ กันว่าแดดประเทศไทยแรงแค่ไหน หน้าของแนนก็หนีไม่พ้นเรื่องฝ้า กระ จุดด่างดำอยู่แล้วค่ะ พอเป็นทีก็ใช้เวลานานมากกว่าจะหาย แต่พอแนนได้รู้จักกับรมย์รวินท์คลินิก แนนก็เบาใจเรื่องฝ้า กระ จุดด่างดำไปได้เยอะเลยค่ะ เพราะที่นี่เขามีหัตถการช่วยรักษาเรื่องนี้โดยเฉพาะเลย

                     

                    คุณแนน ชลิตา
                    คุณแนน ชลิตา

                     

                    แนนเข้าไปปรึกษาปัญหาเรื่องฝ้า กระ จุดด่างดำกับคุณหมอแพร (ธิรดา จิตตการ : ว.30170) คุณหมอ สวยและใจดีมาก ให้คำปรึกษาที่ดีกับแนนมากค่ะ ก่อนเริ่มทำหัตถการคุณหมอแพรจะตรวจวิเคราะห์หน้าของแนนด้วยเทคนิคที่มีชื่อว่า Lifting Select ซึ่งเป็นเทคนิคที่สามารถวิเคราะห์ปัญหาของผิวเรา เพื่อการเลือกหัตถการที่ช่วยตอบโจทย์ปัญหาและให้ผลลัพธ์ที่ดีซึ่งเทคนิคนี้คิดค้นโดยประสบการณ์กว่า 22 ปี ของทีมแพทย์ และมีเฉพาะที่รมย์รวินท์คลินิกเท่านั้นนะคะ เพราะคุณหมอที่รมย์รวินท์คลินิกใส่ใจในการดูแลผิวของผู้เข้ารับบริการทุกท่านเป็นอย่างดีเลยค่ะ

                     

                    คุณหมอแพรเลือกโปรแกรมการรักษาให้แนนด้วย 3 โปรแกรมเด็ดจากรมย์รวินท์คลินิกค่ะ ตัวแรกจะเป็น SMART FEM เทคโนโลยีคลื่นแสงที่มีประสิทธิภาพในการตัดวงจรการสร้างเม็ดสีส่วนเกิน และยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ช่วยลดเลือนฝ้า ลดโอกาสการเกิดฝ้าใหม่แล้วฝ้าซ้ำซ้อน ลด กระ จุดด่างดำ และเลเซอร์ SMART FEM ยังช่วยในเรื่องลดเลือนริ้วรอยได้อีกด้วย  SMART FEM ให้ผลลัพธ์ทั้งความเรียบเนียนและความกระจ่างใสให้ใบหน้าเลยค่ะ และขาดไม่ได้กับ NU PICO BRIGHT ค่ะ ซึ่งเป็นโปรแกรมตัวฮิตในการรักษาฝ้า กระ จุดด่างดำเลยค่ะ NU PICO BRIGHT ยิงด้วยพลังงานเลเซอร์ที่มีความเฉพาะเจาะจงไปที่เม็ดสีที่ผิดปกติใต้ชั้นผิว เพื่อให้เม็ดสีนั้นแตกกระจายออกเป็นเม็ดเล็กละเอียด หลังจากนั้นเม็ดสีเหล่านี้ก็จะถูกร่างกายกำจัดออกไปเองโดยอัตโนมัติค่ะ ทำให้หน้าเรากระจ่างใสมากขึ้นหลังทำค่ะ เห็น NU PICO BRIGHT สามารถทำลายเม็ดสีได้ถึงขนาดนี้ แต่ NU PICO BRIGHT เป็นเลเซอร์ที่มีความอ่อนโยนต่อผิวของเรามาก เพราะไม่ทำให้เกิดเลือดออกใต้ผิว ทำเสร็จแล้วใช้หน้าต่อได้เลย ไม่ต้องพักฟื้นค่ะ และตัวสุดท้ายที่คุณหมอแพรจัดให้กับแนนก็คือ MELASMA FADE ซึ่งเป็นตัวยาเฉพาะของทางรมย์รวินท์คลินิก ช่วยแก้ปัญหาฝ้าได้อย่างตรงจุด ให้ฝ้า กระ จุดด่างดำ จางลง และที่สำคัญคือไม่ทำให้หน้าบางลงทำแล้วไม่ต้องคอยหลบแดดเลยค่ะ 

                     

                    หลังจากแนนได้ลองจัดทั้ง 3 ตัว ไม่ว่าจะเป็น SMART FEM, NU PICO BRIGHT หรือ MELASMA FADE บอกได้เลยว่าฝ้า กระ จุดด่างดำ ของแนนจางลงมาก ตอนนี้หน้าแนนกระจ่างใสมากขึ้น ไม่ต้องคอยปกปิดเลยค่ะ เปลี่ยนจากผู้ประสบภัยจากฝ้า กระ จุดด่างดำ มาเป็นผู้ประสบความสวยแล้วค่ะ (หัวเราะ) ใครเจอปัญหาแบบแนนขอแนะนำ 3 โปรแกรมนี้ จากรมย์รวินท์คลินิกเลยค่ะ 

                     

                    คุณแนน ชลิตา ลด ฝ้า กระ จุดด่างดำ 

                    smart Fem
                    ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

                     

                     SMART FEM คืออะไร

                      

                    SMART FEM ใช้เทคโนโลยีคลื่นแสง FEM หรือ Fast Micro Pulse ที่ควบคุมการปล่อยพลังงานเลเซอร์ 2 ชนิด ส่งผ่านลงสู่ผิวชั้นลึกอย่างรวดเร็ว และลด VEGE หรือ Vascular Endothelial Growth Factor ที่เป็นปัจจัยหลักในการกระตุ้นให้เกิดการสร้างเม็ดสีที่ผิดปกติ ช่วยลดโอกาสในการเกิดฝ้าใหม่ และฝ้าซ้ำซ้อน ทำให้ผิวหน้าเรียบเนียนกระจ่างใสมากขึ้น และ SMART FEM ยังช่วยในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ที่ช่วยลดเลือนริ้วรอยให้ผิวอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติอีกด้วย

                     

                    SMART FEM ดีอย่างไร

                    • SMART FEM ช่วยลดเลือนฝ้า กระ จุดด่างดำ
                    • SMART FEM ช่วยลดโอกาสการเกิดฝ้าใหม่ 
                    • SMART FEM ช่วยลดโอกาสการเกิดฝ้าซ้ำซ้อน
                    • SMART FEM ช่วยกระตุ้นคอลลาเจน
                    • SMART FEM ช่วยลดเลือนริ้วรอย
                    • SMART FEM ช่วยให้ผิวหน้ากระจ่างใส 

                     

                    Nu pico
                    ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

                     

                    NU PICO BRIGHT คืออะไร 

                    NU PICO BRIGHT เป็นพลังงานเลเซอร์คลื่นแสงที่มีความยาวคลื่นที่ 532 นาโนเมตร และ 1,064 นาโนเมตร ตรงเข้าไปจัดการกับเม็ดสีเมลานิน ให้เม็ดสีเกิดการแตกตัวออกเป็นเม็ดเล็กละเอียด เพื่อให้ร่างกายกำจัดออกไปโดยอัตโนมัติ ซึ่ง NU PICO BRIGHT เป็นเลเซอร์ที่มีความอ่อนโยนต่อผิว เพราะไม่ทำให้เกิดเลือดออกใต้ผิวหนัง หลังทำ NU PICO BRIGHT อาจทำให้หน้าแดงอมชมพู และจะหายไปเอง ทำแล้วสามารถใช้หน้าต่อได้ทันที ไม่ต้องพักฟื้น ไม่ทิ้งบาดแผลเอาไว้

                     

                    NU PICO BRIGHT ดีอย่างไร

                    • NU PICO BRIGHT ช่วยลดเลือนฝ้า กระ จุดด่างดำ
                    • NU PICO BRIGHT ช่วยให้ผิวเรียบเนียน กระชับรูขุมขน
                    • NU PICO BRIGHT ช่วยปรับผิวให้มีความกระจ่างใสมากขึ้น
                    • NU PICO BRIGHT เป็นเลเซอร์ที่อ่อนโยน ไม่ทำร้ายผิว ไม่ทำให้เลือกออก
                    • NU PICO BRIGHT ทำแล้วสามารถใช้หน้าต่อได้เลย ไม่ต้องพักฟื้น

                     

                    Malasma fade
                    ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

                     

                    MELASMA FADE คืออะไร

                    MELASMA FADE คือ ตัวยาฉีดสูตรเฉพาะของรมย์รวินท์คลินิก ที่ช่วยยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนส ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นการผลิตเม็ดสีเมลานิน ทำให้เซลล์ผิวของเราผลิตเม็ดสีเมลานินได้น้อยลง ส่งผลให้ปัญหาฝ้า กระ จุดด่างดำจางลง และลดโอกาสในการเกิดฝ้าซ้ำซ้อน ให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพและรวดเร็วมากกว่าการทาครีมลดฝ้าแบบทั่วไป 

                     

                    MELASMA FADE ดีอย่างไร

                    • MELASMA FADE ช่วยให้ฝ้า กระ จุดด่างดำจางลง
                    • MELASMA FADE ช่วยลดโอกาสการเกิดฝ้าซ้ำซ้อน
                    • MELASMA FADE ลดและควบคุมการสร้างเม็ดสีเมลานินให้น้อยลง
                    • MELASMA FADE ให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ และรวดเร็ว 
                    • MELASMA FADE ไม่ทำร้ายผิว ไม่ทิ้งบาดแผล

                     

                    ใครเป็นฝ้า กระ จุดด่าดำ เข้ามาปรึกษากับคุณหมอได้ที่รมย์รวินท์คลินิกทั้ง 28 สาขาทั่วประเทศได้เลยนะคะ ใกล้ที่ไหนไปที่นั่นค่ะ

                    ร่วมงานเปิดตัวเทคโนโลยีใหม่  Grand Launch Definisse Hydrobooster

                    Grand Launch Definisse Hydrobooster

                    รมย์รวินท์คลินิก ร่วมงานเปิดตัวเทคโนโลยีใหม่  Grand Launch Definisse Hydrobooster

                    รมย์รวินท์คลินิก คลินิกเสริมความงามชั้นนำของประเทศไทย นำทีมโดย พญ.ฐานิสร ธรรมลิขิตกุล (ว.10656), พญ.ช่ออัญชัญ ปัญญาเอกะวิทู (ว.49909) และ พญ.มุกตาภา สนธิอัชชรา (ว.68054) เข้าร่วมงาน Grand Launch Definisse งานเปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ Hydrobooster โดย Menarini Thailand ภายใต้แนวคิด “Redefining Skin Hydration & Skin Quality” เพื่อนำเสนอเทคโนโลยีอันล้ำสมัยที่ช่วยพัฒนาคุณภาพผิวและเติมเต็มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวอย่างลึกซึ้ง เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2568 ณ โรงแรม Four Seasons Bangkok at Chao Phraya River ที่ผ่านมา

                     

                    Grand Launch Definisse Hydrobooster
                    Grand Launch Definisse Hydrobooster

                     

                    ถ่ายทอดองค์ความรู้โดยผู้เชี่ยวชาญระดับโลก Grand Launch Definisse Hydrobooster

                    ภายในงาน The Master of Faculty, Menarini APAC & RELIFE Global Faculty และ ดร.โรนัลด์ สเตฟาน ออนซียง Menarini Faculty, Malaysia ที่มาร่วมแบ่งปันองค์ความรู้และประสบการณ์ด้านความงาม พร้อมเผยแนวทางการสร้างสรรค์ผิวพรรณให้ดูอ่อนเยาว์และสุขภาพดี นอกจากนี้ ทั้งสองท่านยังร่วมแลกเปลี่ยนมุมมอง เกี่ยวกับแนวโน้มด้านความงามที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปในยุคปัจจุบัน ซึ่งช่วยให้ผู้เข้าร่วมงานได้เข้าใจถึงการพัฒนาเทคโนโลยีความงามที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ และความต้องการของผู้บริโภคในปัจจุบัน

                     

                    Grand Launch Definisse Hydrobooster
                    Grand Launch Definisse Hydrobooster

                     

                    ไฮไลต์สำคัญของงาน Grand Launch Hydrobooster

                    ภายในงาน Grand Launch Definisse มีไฮไลต์สำคัญมากมายที่ช่วยให้ผู้เข้าร่วมได้รับข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ Hydrobooster และแนวโน้มล่าสุดในวงการความงาม

                    • การนำเสนอคุณสมบัติและเทคโนโลยีของผลิตภัณฑ์ Hydrobooster โดยผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งอธิบายถึงประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ในการเติมความชุ่มชื้น และปรับคุณภาพผิวให้เรียบเนียน กระจ่างใส และมีสุขภาพดีอย่างล้ำลึก
                    • การแบ่งปันประสบการณ์และข้อมูลเชิงลึก จากวิทยากรระดับโลก The Master of Faculty, Menarini APAC และ RELIFE Global KOL ซึ่งให้ข้อมูลเกี่ยวกับการใช้ผลิตภัณฑ์ Hydrobooster ในมิติทางการแพทย์ พร้อมเผยแพร่องค์ความรู้ด้าน Aesthetic Medicine ระดับสากล
                    • การปรากฏตัวของแขกรับเชิญพิเศษ “คุณเต – ตะวัน วิหครัตน์” และ “คุณนิว – ฐิติภูมิ เตชะอภัยคุณ” นักแสดงชื่อดังที่มาร่วมแบ่งปันประสบการณ์เกี่ยวกับการดูแลผิวพรรณ พร้อมร่วมสร้างสีสันและบรรยากาศที่อบอุ่นและเป็นกันเองภายในงาน

                     

                    Grand Launch Definisse Hydrobooster
                    Grand Launch Definisse Hydrobooster

                     

                    Hydrobooster เทคโนโลยีใหม่เพื่อผิวชุ่มชื้น แข็งแรง และแลดูอ่อนเยาว์

                    Hydrobooster เป็นผลิตภัณฑ์ที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อฟื้นฟู และเติมเต็มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วย Hyaluronic Acid (HA) โมเลกุลใหญ่ ซึ่งช่วยกักเก็บน้ำและให้ความชุ่มชื้นในระดับลึก พร้อมเสริมด้วย Glycerol (กลีเซอรอล) สารสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันผิว ทำให้ผิวแข็งแรงขึ้น ลดการสูญเสียน้ำจากผิว และคงความชุ่มชื้นยาวนาน

                     

                    เทคโนโลยีนี้ช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่น ดูเต่งตึง และแลดูอ่อนเยาว์ขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้ผิวแลดูกระจ่างใส เนียนนุ่มขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ นอกจากนี้ Glycerol ยังมีคุณสมบัติในการเสริมสร้างสมดุลของผิว ลดปัญหาผิวแห้งและขาดน้ำ ทำให้ผิวดูสดใส เปล่งปลั่ง พร้อมเผยความงามที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละบุคคล

                     

                    รมย์รวินท์คลินิก ยกระดับเทคโนโลยีความงามเพื่อตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์

                    การเข้าร่วมงานครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ รมย์รวินท์คลินิก ในการนำเสนอเทคโนโลยีความงามที่ล้ำสมัย เพื่อส่งมอบผลลัพธ์ที่ดีที่สุดแก่ลูกค้า เราให้ความสำคัญกับการคัดสรรผลิตภัณฑ์ และเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพสูงสุด พร้อมยกระดับมาตรฐานการดูแลผิวให้ทันสมัย และตอบโจทย์ทุกความต้องการด้านความงามของผู้บริโภค

                    งาน Grand Launch Definisse ถือเป็นงานสำคัญสำหรับวงการความงามและเวชศาสตร์ชะลอวัย โดยเปิดโอกาสให้แพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนัง และผู้ประกอบวิชาชีพด้านความงาม ได้เข้าถึงข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุดก่อนใคร พร้อมเรียนรู้เทคโนโลยีล้ำสมัยจากผู้เชี่ยวชาญระดับโลก รมย์รวินท์คลินิก ยังคงมุ่งมั่นนำเสนอเทคโนโลยีความงามที่ทันสมัย เพื่อมอบบริการที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้าทุกท่าน

                    เทคนิค Fast Moving ของ Oligio เพื่อผิวกระชับ

                    เทคนิค Fast Moving ของ Oligio ช่วยอะไร

                    ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




                      วันที่สะดวกในการติดต่อ








                      เทคนิค Fast Moving ของ Oligio เทคโนโลยีใหม่เพื่อผิวกระชับ

                      ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวล้ำไปข้างหน้า การดูแลและยกกระชับผิวหน้าก็ไม่ได้มีแค่การทำทรีตเมนต์แบบเดิม ๆ อีกต่อไป เทคโนโลยี Fast Moving ของ Oligio ได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงวงการความงาม ด้วยเทคโนโลยีที่ช่วยให้ผิวกระชับ ลดเลือนริ้วรอย และฟื้นฟูสภาพผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ แถมยังเห็นผลหลังทำเป็นอย่างดี

                      หากใครกำลังมองหาวิธีที่ไม่ต้องผ่าตัด แต่ได้ผลลัพธ์ที่น่าทึ่ง เทคโนโลยี Fast Moving ของโปรแกรม Oligio อาจเป็นคำตอบที่หลายคนกำลังตามหา ในบทความนี้ จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับเทคนิคที่กำลังได้รับความนิยมและผลลัพธ์ที่สามารถพิสูจน์ได้ พร้อมทั้งข้อดีและความน่าสนใจของเทคโนโลยีที่ไม่ควรพลาด

                      ทำความรู้จักโปรแกรม Oligio และเทคนิค Fast Moving ที่ทุกคนพูดถึง

                      ทำความรู้จักโปรแกรม Oligio และเทคนิค Fast Moving ที่ทุกคนพูดถึง
                      ทำความรู้จักโปรแกรม Oligio และเทคนิค Fast Moving ที่ทุกคนพูดถึง

                      โปรแกรม Oligio คืออะไร?

                      โปรแกรม Oligio เป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดในการยกกระชับผิวหน้าและฟื้นฟูผิวให้แลดูอ่อนเยาว์ โดยไม่ต้องผ่าตัดหรือฉีดสารเติมเต็มใด ๆ ถือเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายในวงการความงามปัจจุบัน

                      เทคโนโลยีนี้ทำงานผ่านพลังงานคลื่นวิทยุความถี่สูงแบบ Monopolar RF ซึ่งสามารถส่งผ่านพลังงานลงลึกสู่ชั้นผิวหนังแท้ (Dermis) ได้อย่างแม่นยำ พลังงานนี้จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ ซึ่งเป็นโครงสร้างสำคัญที่ช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่นและเต่งตึง

                      ผลลัพธ์จากการทำโปรแกรม Oligio คือ ผิวที่ดูกระชับขึ้น ริ้วรอยลดลง ผิวดูเรียบเนียน และมีความยืดหยุ่นมากขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่ต้องพักฟื้นและไม่ก่อให้เกิดบาดแผล อีกทั้งยังเหมาะกับทุกสภาพผิวและทุกช่วงวัย จึงเป็นตัวเลือกที่สมบูรณ์แบบสำหรับคนที่ต้องการยกกระชับผิวหน้าอย่างเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน

                      เทคนิค Fast Moving ของ Oligio คืออะไร?

                      เทคนิค Fast Moving เป็นเทคนิคใหม่ที่ใช้ร่วมกับโปรแกรม Oligio เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการยกกระชับผิวหน้า เทคนิคนี้มีจุดเด่นในการกระตุ้นการไหลเวียนของพลังงานในผิวหนังอย่างรวดเร็วและสม่ำเสมอ ทำให้ผิวได้รับการกระตุ้นจากคลื่นวิทยุอย่างมีประสิทธิภาพ โดยที่ไม่ทำเกิดอันตรายต่อผิวหน้า

                      หลักการของ Fasting Moving คือ การใช้โปรแกรม Oligio ส่งพลังงานคลื่นวิทยุไปยังชั้นผิวหนัง ในรูปแบบการกระจายพลังงานได้รวดเร็วและแม่นยำ การเคลื่อนไหวนี้ช่วยกระจายพลังงานอย่างสม่ำเสมอไปยังบริเวณที่ต้องการดูแล ส่งผลให้ผิวได้รับการกระตุ้นอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ผลลัพธ์ที่ได้คือผิวหน้าที่ดูยกกระชับ เต่งตึง ลดเลือนริ้วรอย พร้อมทั้งปรับโครงหน้าให้เรียวสวยโดยไม่ต้องใช้เวลาในการพักฟื้นนาน ถือเป็นเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์คนยุคใหม่ที่ต้องการผลลัพธ์รวดเร็ว

                      จุดเด่นของเทคนิค Fast Moving เทคโนโลยีเฉพาะตัวของโปรแกรม Oligio
                      จุดเด่นของเทคนิค Fast Moving เทคโนโลยีเฉพาะตัวของโปรแกรม Oligio

                      จุดเด่นของเทคนิค Fast Moving เทคโนโลยีเฉพาะตัวของโปรแกรม Oligio

                      เทคนิค Fast Moving เป็นเทคนิคพิเศษที่พัฒนาขึ้นมาเฉพาะสำหรับโปรแกรม Oligio ซึ่งออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดในการยกกระชับผิวหน้า เทคโนโลยีนี้ช่วยให้พลังงานคลื่นวิทยุถูกส่งเข้าสู่ชั้นผิวได้อย่างแม่นยำ โดยกระจายพลังงานได้รวดเร็วและสม่ำเสมอตลดการรักษา ลดความเสี่ยงจากความร้อนสะสส่งผลให้ได้ผลลัพธ์ที่เหนือกว่าวิธีการทั่วไป

                      • ลดความเจ็บปวดขณะรักษา (Minimize Pain)

                      โปรแกรม Oligio มาพร้อมระบบสั่นสะเทือนที่ช่วยลดความรู้สึกเจ็บในระหว่างการทำทรีตเมนต์ นอกจากนี้ยังมีระบบปล่อยพลังงานความเย็นที่ช่วยปกป้องผิวชั้นนอกจากพลังงานความร้อน พร้อมส่งพลังงานคลื่นวิทยุความถี่สูงลงไปยังผิวชั้นลึกได้อย่างไม่มีอันตราย

                      • การรักษาที่รวดเร็ว (Faster Treatment)

                      ด้วยฟังก์ชัน Auto และหัวทิปขนาด 4×2 ของโปรแกรม Oligio  ทำให้ช่วยประหยัดเวลาในการรักษา โดยโปรแกรม Oligio จำนวน 600 shots ซึ่งใช้ระยะเวลาเพียง 20-30 นาที และ โปรแกรม Oligio จำนวน 300 shots ใช้ระยะเวลาเพียง 10-15 นาทีเท่านั้น ทำให้การรักษารวดเร็วและเหมาะสำหรับคนที่มีเวลาจำกัด

                      •  การรักษาที่ไม่อันตราย (Safe Treatment)

                      โปรแกรม Oligio มีระบบตรวจวัดอุณหภูมิของผิวแบบเรียลไทม์ ซึ่งช่วยป้องกันไม่ให้ผิวไหม้ (Burn) หากอุณหภูมิสูงเกิน 43 องศาเซลเซียส เครื่องจะหยุดทำงานโดยอัตโนมัติ นอกจากนี้ยังมีระบบตรวจจับแรงกดของหัวทิปกับผิวหนัง เพื่อให้มั่นใจว่าพลังงานถูกส่งอย่างเหมาะสม 

                      • ความยืดหยุ่นและความสะดวกสบาย (Convenience)

                      โปรแกรม Oligio มีระบบการทำงานที่หลากหลายถึง 3 โหมด ได้แก่ Single Mode, Double Mode และ Auto Mode แพทย์สามารถเลือกโหมดที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้เข้ารับการรักษา ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพใการดูแลผิวและความสะดวกสบายในการใช้งาน

                      • ผลลัพธ์ที่ยาวนาน (Long-Lasting Effect)

                      โปรแกรม Oligio ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ชั้นผิว ทำให้สามารถช่วยคงผลลัพธ์ยกกระชับผิวหน้าได้นานถึง 6-12 เดือน

                      ทำไมเทคนิค Fast Moving ช่วยให้ผิวกระชับและสวยขึ้น?

                      • กระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและอีลาสติน

                      เมื่อใช้เทคโนโลยี Fast Moving ของโปรแกรม Oligio ผ่านการส่งคลื่นพลังงานเข้าสู่ชั้นผิวหนัง ทำให้เกิดพลังงานความร้อนที่ช่วยกระตุ้นให้เซลล์ที่ผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินในผิวหนัง ผลลัพธ์คือการสร้างคอลลาเจนใหม่ที่ช่วยให้ผิวกระชับขึ้น ช่วยลดริ้วรอยและทำให้ผิวเรียบเนียน

                      • เพิ่มการไหลเวียนของเลือด

                      คลื่นพลังงานที่ปล่อยออกมาจากโปรแกรม Oligio จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือดใต้ผิวหนัง ส่งผลให้ผิวมีสุขภาพดีและสดใสขึ้น รวมไปถึงเมื่อเลือดไหลเวียนดี ก็จะช่วยขจัดสารพิษและของเสียที่ค้างอยู่ใต้ผิวหนังได้อีกด้วย

                      • ยกกระชับผิวหน้าและลดความหย่อนคล้อย

                      เทคโนโลยี Fast Moving ของโปรแกรม Oligio ช่วยกระตุ้นการหดตัวของผิวหนังบริเวณที่ทำการรักษา ซึ่งการหดตัวของเซลล์ผิวนี้ ทำให้ผิวกระชับขึ้นและลดปัญหาผิวที่เริ่มหย่อนคล้อย เช่น รอบดวงตาและบริเวณกรอบหน้า ซึ่งจะช่วยให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ขึ้น

                      • ปรับสภาพผิวให้เรียบเนียน

                      คลื่นพลังงานวิทยุที่ใช้ในเทคโนโลยี Fast Moving ของโปรแกรม Oligio ยังช่วยในการกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวใหม่ ส่งผลให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้นและลดจุดด่างดำได้ด้วย

                      • ฟื้นฟูและซ่อมแซมผิว

                      เทคโนโลยี Fast Moving ของโปรแกรม Oligio มีการกระตุ้นให้ผิวหนังซ่อมแซมตัวเอง โดยกระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ ส่งผลให้ผิวดูมีความอ่อนเยาว์ ดูสุขภาพดี และมีความยืดหยุ่นมากขึ้น

                      • ลดเลือนริ้วรอย

                      การกระตุ้นผิวด้วยเทคโนโลยี Fast Moving ของโปรแกรม Oligio จะช่วยให้ริ้วรอยต่าง ๆ ที่เริ่มปรากฏลดเลือนลง เนื่องจากการกระตุ้นคอลลาเจนใหม่ทำให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้น

                      เทคนิค Fast Moving กับเทคนิคอื่น ๆ แบบไหนดีกว่ากัน? 

                      เมื่อเปรียบเทียบ Fast Moving จากโปรแกรม Oligio กับเทคนิคอื่น ๆ ที่ใช้ในการยกกระชับผิว เช่น Ultherapy, Thermage, Morpheus8, และ Ultraformer จะเห็นได้ว่าแต่ละเทคนิค มีลักษณะการทำงานที่แตกต่างกัน และเหมาะสมกับปัญหาผิวที่แตกต่างกันออกไป ดังนี้

                      • Fast Moving ของโปรแกรม Oligio ใช้พลังงานคลื่นวิทยุ Monopolar RF กระตุ้นการไหลเวียนเลือดและการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวลึก ช่วยยกกระชับผิวหน้า ลดเลือนริ้วรอย และทำให้ผิวดูสดใส แลดูสุขภาพดี ซึ่งการทำงานของเทคนิค Fast Moving ยังช่วยซ่อมแซมเซลล์ผิวและกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวใหม่ได้อีกด้วย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการยกกระชับผิวหน้า ฟื้นฟูผิวให้เรียบเนียนขึ้น
                      • Ultherapy ใช้คลื่นอัลตราซาวนด์กระตุ้นชั้นผิว SMAS ซึ่งเป็นเทคนิคที่เหมาะสำหรับการยกกระชับผิวหน้าและลดความหย่อนคล้อยของใบหน้า ผลลัพธ์ที่ได้จะเห็นได้อย่างชัดเจน และยังคงมีผลต่อเนื่องในระยะยาว
                      • Thermage ใช้พลังงานคลื่นวิทยุ (RF) เช่นเดียวกันกับโปรแกรม Oligio ที่มีความสามารถในการกระตุ้นผิวในชั้นลึก ซึ่งช่วยยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อยและลดริ้วรอยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผลลัพธ์จะเห็นได้
                      • Morpheus8 ใช้เทคโนโลยี Fractional Radiofrequency Microneedling โดยการใช้เข็มไมโครร่วมกับพลังงาน RF เพื่อกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนในหลายระดับของผิว ซึ่งเหมาะสำหรับการยกกระชับผิวและฟื้นฟูผิวที่มีความหย่อนคล้อยหรือมีริ้วรอย ผลลัพธ์ที่ได้คือช่วยให้ผิวมีความเรียบเนียนขึ้น 
                      • Ultraformer ใช้พลังงานคลื่นเสียงอัลตราซาวนด์ กระตุ้นผิวลึกถึงชั้น SMAS เหมาะสำหรับการยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อยในระดับลึก สามารถเห็นผลลัพธ์อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะบริเวณที่มีความหย่อนคล้อยสูง เช่น กรอบหน้าและลำคอ 

                      การเลือกเทคโนโลยีที่เหมาะสม

                      หากต้องการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Oligio เทคนิค Fast Moving เป็นตัวเลือกที่ดี โดยเฉพาะสำหรับผิวที่ไม่หย่อนคล้อยมาก และต้องการผลลัพธ์ที่ค่อยเป็นค่อยไป แต่หากต้องการยกกระชับผิวหน้าที่หย่อนคล้อยในระดับลึก เช่น บริเวณใบหน้าหรือลำคอ เทคโนโลยี Ultherapy, Thermage, หรือ Ultraformer จึงเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับคนที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยมาก

                      ทั้งนี้การเลือกใช้เทคนิคใด ขึ้นอยู่กับปัญหาผิวและผลลัพธ์ที่ต้องการ ดังนั้นการปรึกษาแพทย์ที่มีความรู้เฉพาะด้านยกกระชับผิวหน้า ก่อนตัดสินใจจะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

                      เทคนิค Fast Moving ของโปรแกรม Oligio เหมาะและไม่เหมาะกับใคร?
                      เทคนิค Fast Moving ของโปรแกรม Oligio เหมาะและไม่เหมาะกับใคร?

                      เทคนิค Fast Moving ของโปรแกรม Oligio เหมาะและไม่เหมาะกับใคร?

                      เทคนิค Fast Moving ของโปรแกรม Oligio เหมาะกับใคร?

                      • Fast Moving ของโปรแกรม Oligio เหมาะกับ คนที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยเล็กน้อยถึงปานกลาง
                      • Fast Moving ของโปรแกรม Oligio เหมาะกับ คนที่มีเริ่มมีปัญหาริ้วรอยเล็ก ๆ บนใบหน้า
                      • Fast Moving ของโปรแกรม Oligio เหมาะกับ คนที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยบริเวณลำคอและหน้าอก
                      • Fast Moving ของโปรแกรม Oligio เหมาะกับ คนที่มีปัญหาผิวมันหรือรูขุมขนกว้าง
                      • Fast Moving ของโปรแกรม Oligio เหมาะกับ คนที่มีปัญหาผิวแห้งและผิวขาดความชุ่มชื้น
                      • Fast Moving ของโปรแกรม Oligio เหมาะกับ คนที่มีผิวบอบบางหรือแพ้ง่าย
                      • Fast Moving ของโปรแกรม Oligio เหมาะกับ คนที่ไม่ต้องการผ่าตัดหรือการรักษาที่ซับซ้อน
                      • Fast Moving ของโปรแกรม Oligio เหมาะกับ คนที่ต้องการฟื้นฟูผิวให้สดใส อ่อนเยาว์ สุขภาพดี
                      • Fast Moving ของโปรแกรม Oligio เหมาะกับ คนที่ต้องการกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนในชั้นผิว
                      • Fast Moving ของโปรแกรม Oligio เหมาะกับ คนที่ต้องการยกกระชับผิวหน้าแบบไม่เจ็บตัว
                      • Fast Moving ของโปรแกรม Oligio เหมาะกับ คนที่ต้องการผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ
                      • Fast Moving ของโปรแกรม Oligio เหมาะกับ คนที่ไม่อยากใช้เวลาในการพักฟื้นนาน
                      • Fast Moving ของโปรแกรม Oligio เหมาะกับ คนที่ต้องการรักษาผิวในหลายบริเวณ

                      เทคนิค Fast Moving ของโปรแกรม Oligio ไม่เหมาะกับใคร?

                      • Fast Moving ของโปรแกรม Oligio ไม่เหมาะกับ สตรีที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
                      • Fast Moving ของโปรแกรม Oligio ไม่เหมาะกับ คนที่ใส่อุปกรณ์โลหะหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในร่างกาย
                      • Fast Moving ของโปรแกรม Oligio ไม่เหมาะกับ คนที่มีแผลเปิดบริเวณผิวที่ต้องการรักษา
                      • Fast Moving ของโปรแกรม Oligio ไม่เหมาะกับ คนที่มีการติดเชื้อบริเวณที่ต้องการรักษา
                      • Fast Moving ของโปรแกรม Oligio ไม่เหมาะกับ คนที่เป็นโรคผิวหนังอักเสบบริเวณที่ต้องการรักษา
                      • Fast Moving ของโปรแกรม Oligio ไม่เหมาะกับ คนที่มีโรคผิวหนังบางชนิด เช่น โรคสะเก็ดเงิน โรคผิวหนังภูมิแพ้
                      • Fast Moving ของโปรแกรม Oligio ไม่เหมาะกับ คนที่เป็นโรคเรื้อรังบางชนิด เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจรุนแรง
                      • Fast Moving ของโปรแกรม Oligio ไม่เหมาะกับ คนที่มีปัญหาเกี่ยวกับภูมิคุ้มกันบกพร่อง
                      • Fast Moving ของโปรแกรม Oligio ไม่เหมาะกับ คนที่เพิ่งผ่าตัดหรือศัลยกรรมบนใบหน้ามาไม่นาน
                      • Fast Moving ของโปรแกรม Oligio ไม่เหมาะกับ คนที่เพิ่งทำหัตถการอื่น ๆ มาไม่นาน เช่น เลเซอร์ ฟิลเลอร์ ฉีดโบ
                      • Fast Moving ของโปรแกรม Oligio ไม่เหมาะกับ คนที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบเลือด
                      ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Oligio เทคนิค Fast Moving ช่วยอะไรบ้าง?
                      ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Oligio เทคนิค Fast Moving ช่วยอะไรบ้าง?

                      ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Oligio เทคนิค Fast Moving ช่วยอะไรบ้าง?

                      • Fast Moving ของโปรแกรม Oligio ช่วยยกกระชับผิวหน้าที่หย่อนคล้อยให้กลับมาตึงกระชับ
                      • Fast Moving ของโปรแกรม Oligio ปรับรูปหน้าให้ดูเรียวสวยอย่างเป็นธรรมชาติ
                      • Fast Moving ของโปรแกรม Oligio ลดเลือนริ้วรอยตื้นและริ้วรอยลึกบนใบหน้า
                      • Fast Moving ของโปรแกรม Oligio เติมเต็มผิวให้เรียบเนียน อ่อนเยาว์ขึ้น
                      • Fast Moving ของโปรแกรม Oligio กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ใต้ชั้นผิว
                      • Fast Moving ของโปรแกรม Oligio ฟื้นฟูโครงสร้างผิวให้แข็งแรงขึ้นจากภายใน
                      • Fast Moving ของโปรแกรม Oligio ลดปัญหาผิวไม่เรียบเนียนและรูขุมขนกว้าง
                      • Fast Moving ของโปรแกรม Oligio ลดความหย่อนคล้อยบริเวณเหนียงและคางสองชั้น
                      • Fast Moving ของโปรแกรม Oligio ทำให้กรอบหน้าชัดเจนขึ้นและใบหน้าดูเรียวสวย
                      • Fast Moving ของโปรแกรม Oligio เพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวหน้ามากขึ้น
                      • Fast Moving ของโปรแกรม Oligio ป้องกันปัญหาผิวหย่อนคล้อยในอนาคต

                      ข้อควรระวังก่อนและหลังยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Oligio เทคนิค Fast Moving ที่ควรรู้

                      ข้อควรรู้ก่อนยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Oligio เทคนิค Fast Moving

                      • ก่อนทำ Fast Moving ของโปรแกรม Oligio ควรปรึกษาแพทย์ที่มีความรู้เพื่อประเมินสภาพผิวและความเหมาะสมในการรักษา
                      • ก่อนทำ Fast Moving ของโปรแกรม Oligio ควรแจ้งโรคประจำตัว ปัญหาสุขภาพ หรือยาที่รับประทานเป็นประจำ ให้แพทย์ทราบ
                      • ก่อนทำ Fast Moving ของโปรแกรม Oligio ควรทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF50PA+++ เพื่อปกป้องผิวหน้า
                      • ก่อนทำ Fast Moving ของโปรแกรม Oligio ควรดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อรักษาความชุ่มชื้นของผิว
                      • ก่อนทำ Fast Moving ของโปรแกรม Oligio งดดื่มแอลกอฮอล์ 24 ชั่วโมง
                      • ก่อนทำ Fast Moving ของโปรแกรม Oligio งดใช้ผลิตภัณฑ์ที่รุนแรงต่อผิวหน้า เช่น AHA, BHA และ Retinoids อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์
                      • ก่อนทำ Fast Moving ของโปรแกรม Oligio งดยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน
                      • ก่อนทำ Fast Moving ของโปรแกรม Oligio หลีกเลี่ยงการขัดผิวหน้าในช่วง 1-2 วันแรก
                      • ก่อนทำ Fast Moving ของโปรแกรม Oligio หลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดดโดยตรง หรือกิจกรรมที่ต้องใช้เวลากลางแจ้ง 2-3 วัน
                      • ก่อนทำ Fast Moving ของโปรแกรม Oligio หลีกเลี่ยงการทำหัตถการอื่น ๆ เช่น ฉีดฟิลเลอร์ ฉีดโบ 2 สัปดาห์

                      ขั้นตอนการยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Oligio เทคนิค Fast Moving

                      1. แพทย์จะประเมินสภาพผิวเพื่อดูความเหมาะสมก่อนทำโปรแกรม Oligio อธิบายวิธีการรักษาและตอบคำถามที่คนไข้สงสัย และกำหนดบริเวณที่ต้องการรักษา
                      2. แพทย์หรือผู้ช่วยแพทย์จะทำความสะอาดผิวบริเวณที่ต้องการรักษาอย่างละเอียด เพื่อขจัดคราบสกปรก น้ำมัน หรือเครื่องสำอาง
                      3. ทาเจลนำไฟฟ้าทาลงบริเวณผิวที่ต้องการยกกระชับ เพื่อช่วยนำพลังงาน Monopolar RF แทรกซึมเข้าสู่ชั้นผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
                      4. แพทย์จะเริ่มต้นใช้อุปกรณ์ของโปรแกรม Oligio ซึ่งเป็นเครื่องส่งพลังงาน Monopolar RF หัวเครื่องจะปล่อยคลื่นพลังงานลงไปกระตุ้นเซลล์ผิวในชั้นหนังแท้ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ กระชับผิวหน้า
                      5. แพทย์จะปรับพลังงานตามความเหมาะสมกับสภาพผิว คนไข้จะรู้สึกอุ่นเล็กน้อยใต้ผิวระหว่างทำการรักษา
                      6. หัวเครื่องจะถูกเคลื่อนที่ไปในแต่ละจุดอย่างเป็นระบบ เพื่อให้พลังงานกระจายตัวอย่างสม่ำเสมอทั่วบริเวณที่รักษา
                      7. หลังจากยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Oligio เสร็จ แพทย์จะทำความสะอาดใบหน้าอีกครั้ง
                      8. แพทย์อาจทาครีมหรือเซรัมบำรุงผิวที่เหมาะสม เช่น  ครีมบำรุงผิว

                       

                      ข้อควรระวังหลังยกกระชับผิวหน้า Oiligo เทคนิค Fast Moving 

                      • หลังทำ Fast Moving ของโปรแกรม Oligio ควรทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF50 PA+++ เพื่อปกป้องผิวหน้า
                      • หลังทำ Fast Moving ของโปรแกรม Oligio ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนบำรุงผิว เช่น สูตรที่ไม่มีน้ำหอมและไม่มีสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง
                      • หลังทำ Fast Moving ของโปรแกรม Oligio ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวจากภายใน
                      • หลังทำ Fast Moving ของโปรแกรม Oligio หลีกเลี่ยงการออกแดดโดยตรง ในช่วง 1-2 วันแรก
                      • หลังทำ Fast Moving ของโปรแกรม Oligio หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกรด 3-5 วันแรก
                      • หลังทำ Fast Moving ของโปรแกรม Oligio หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกมาก เช่น การออกกำลังกายหนัก การซาวน่า หรือการแช่น้ำร้อน ในช่วง 1-2 วันแรก
                      • หลังทำ Fast Moving ของโปรแกรม Oligio งดใช้น้ำร้อนล้างหน้า ควรล้างหน้าด้วยน้ำอุณหภูมิห้องหรืออุ่นเล็กน้อย
                      • หลังทำ Fast Moving ของโปรแกรม Oligio หลีกเลี่ยงการใช้ไดร์เป่าผมที่มีลมร้อนเป่าใกล้ผิว
                      ทำไม Oligio ถึงเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมในการยกกระชับผิวหน้า?
                      ทำไม Oligio ถึงเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมในการยกกระชับผิวหน้า?

                      ทำไม Oligio ถึงเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมในการยกกระชับผิวหน้า?

                      • เทคโนโลยี Monopolar RF 

                      Oligio ใช้พลังงานคลื่นวิทยุ Monopolar RF เป็นคลื่นวิทยุความถี่สูงที่สามารถส่งพลังงานลงลึกถึงชั้นผิวหนังแท้ (Dermis) และชั้นไขมัน (Subcutaneous Fat) ได้อย่างแม่นยำ โดยไม่ทำลายผิวชั้นบน พลังงานความร้อนที่ปล่อยออกมาจะกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ กระบวนการนี้จะช่วยยกกระชับผิวหน้า  เพิ่มความยืดหยุ่น ดูอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ

                      • เห็นผลลัพธ์ชัดเจนและรวดเร็ว

                      หลังทำยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Oligio จะสังเกตได้ว่าผิวมีความตึงกระชับขึ้น ผิวเฟิร์มและยืดหยุ่นมากกว่าเดิม โดยผลลัพธ์จะพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วง 1-3 เดือน หลังทำการรักษา และสามารถคงผลลัพธ์ไว้ได้นานถึง 6-12 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลหลังทำ

                      • สบายผิว ไม่รู้สึกเจ็บ

                      เทคโนโลยี Fast Moving ของโปรแกรม Oligio มาพร้อมกับระบบ Cooling System ที่ช่วยควบคุมอุณหภูมิของผิวให้คงที่ ทำให้ผู้รับการรักษารู้สึกสบายตลอดการรักษา โดยไม่ต้องใช้ยาชา

                      • ไม่อันตรายและได้มาตรฐานระดับสากล

                      โปรแกรม Oligio เป็นเทคโนโลยีที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานมาตรฐานระดับโลกอย่าง US FDA องค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกา และ CE Mark มาตรฐานของยุโรป ซึ่งยืนยันได้ว่าไม่มีอันตรายและมีประสิทธิภาพ

                      • เหมาะกับทุกสภาพผิวและทุกช่วงวัย

                      โปรแกรม Oligio สามารถทำได้กับทุกสภาพผิว ไม่ว่าจะเป็นผิวแห้ง ผิวมัน หรือผิวแพ้ง่าย อีกทั้งยังเหมาะสำหรับทุกช่วงวัย ในด้านของการป้องกันปัญหาผิวหย่อนคล้อยในช่วงวัย 20-30 ปี หรือการแก้ไขปัญหาผิวหย่อนคล้อยและมีริ้วรอยในวัย 40 ปีขึ้นไป

                      • ผลลัพธ์เป็นธรรมชาติอย่างยาวนาน

                      ผลลัพธ์ของการยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Oligio จะดูเป็นธรรมชาติมากกว่าการผ่าตัดศัลยกรรม นอกจากนี้ยังช่วยปรับรูปหน้าให้เรียวสวย ลดเลือนริ้วรอย และฟื้นฟูผิวให้อ่อนเยาว์ขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

                      ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Oligio ต้องเลือกรมย์รวินท์คลินิกเท่านั้น

                      การยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Oligio ที่รมย์รวินท์คลินิก มาพร้อมกับมาตรฐานให้บริการที่ครบครันและใส่ใจในทุกขั้นตอน โดยที่นี่มีทีมแพทย์ที่มีความรู้และประสบการณ์ ที่ผ่านการอบรมเฉพาะทางในการใช้โปรแกรม Oligio ทำให้สามารถออกแบบการรักษาได้อย่างเหมาะสมกับสภาพผิวและปัญหาของแต่ละบุคคล นอกจากนี้ ยังใช้โปรแกรม Oligio ของแท้ ที่ได้รับมาตรฐานจาก US FDA และ CE Mark ซึ่งไม่อันตราย ไม่ส่งผลเสียทั้งยังให้ประสิทธิภาพสูงสุด

                      ก่อนเริ่มการรักษา แพทย์จะทำการประเมินสภาพผิวอย่างละเอียด พร้อมวางแผนการรักษาที่เหมาะสม ทำให้มั่นใจได้ว่าได้ผลลัพธ์ที่ตรงกับความต้องการ อีกทั้งผลลัพธ์ที่ได้ยังดูเป็นธรรมชาติ 

                      หลังการรักษา รมย์รวินท์คลินิกจะมีการติดตามผลอย่างใกล้ชิด เพื่อให้มั่นใจว่าลูกค้าจะได้ผลลัพธ์ที่ยั่งยืนและคงอยู่ได้นาน นอกจากนี้รมย์รวินท์คลินิกยังมีรีวิวจากผู้ใช้บริการจริงมากมาย ที่เป็นเครื่องยืนยันถึงคุณภาพและความไว้วางใจที่คลินิกได้รับมาตลอด

                      คำถามยอดฮิตเกี่ยวกับยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Oligio เทคนิค Fast Moving

                      ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Oligio เจ็บไหม?

                      • ยกกระชับผิวหน้าด้วยโปรแกรม Oligio ไม่ทำให้รู้สึกเจ็บขณะทำการรักษา อาจมีเพียงแค่ความรู้สึกอุ่นบริเวณผิวเท่านั้น โดยระบบ Cooling System จะช่วยควบคุมอุณหภูมิผิวให้เย็นสบายตลอดขั้นตอน ทำให้ไม่จำเป็นต้องใช้ยาชาและไม่ต้องพักฟื้นหลังทำ

                      หลังทำยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Oligio จะเห็นผลลัพธ์เมื่อไหร่?

                      • หลังทำยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Oligio จะเห็นผลลัพธ์หลังทำโดยผิวจะรู้สึกตึงกระชับขึ้น และผลลัพธ์จะชัดเจนมากขึ้นในช่วง 1-3 เดือนหลังทำ โดยผลลัพธ์หลังทำจะอยู่ได้นาน 6-12 เดือน ขึ้นอยู่กับการดูแลผิวในแต่ละบุคคล

                      ต้องทำยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Oligio กี่ครั้งถึงจะเห็นผล?

                      • โดยปกติทั่วไป จะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ และแนะนำให้ทำโปรแกรม Oligio ซ้ำปีละ 1-2 ครั้ง เพื่อรักษาผลลัพธ์และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนอย่างต่อเนื่อง

                      ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Oligio อันตรายไหม?

                      • การทำยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Oligio ไม่ส่งผลเสียหรืออันตราย ผ่านการรับรองมาตรฐานจาก US FDA และ CE Mark โดยไม่ก่อให้เกิดบาดแผลหรือความเสี่ยงใด ๆ เหมาะกับทุกสภาพผิวและไม่มีผลข้างเคียงที่อันตราย

                      ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Oligio สามารถทำบริเวณใดได้บ้าง?

                      • โปรแกรม Oligio สามารถยกกระชับผิวได้หลากหลายบริเวณ เช่น ใบหน้า ลำคอ รอบดวงตา หน้าผาก และบริเวณเหนียงหรือใต้คาง โดยช่วยแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยและริ้วรอยได้อย่างแม่นยำและตรงจุด

                      สามารถยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Oligio ร่วมกับหัตถการอื่นได้ไหม?

                      • สามารถทำยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Oligio ควบคู่กับหัตถการอื่น ๆ เช่น ฉีดโบ ฉีดฟิลเลอร์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการยกกระชับและแก้ไขปัญหาผิวอย่างครอบคลุม โดยควรปรึกษาแพทย์ก่อนวางแผนการรักษา

                      หลังทำยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Oligio สามารถแต่งหน้าได้ทันทีไหม?

                      • หลังทำยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Oligio สามารถแต่งหน้าได้ทันที แต่แนะนำว่าให้ใช้เครื่องสำอางที่อ่อนโยนต่อผิวและหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีรุนแรงในช่วง 1-2 วันแรกหลังการรักษา

                      อายุเท่าไหร่ถึงจะเริ่มทำยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Oligio ได้?

                      • สามารถเริ่มทำยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Oligio ได้ตั้งแต่อายุ 25 ปีขึ้นไป เหมาะสำหรับคนที่ต้องการป้องกันปัญหาผิวหย่อนคล้อยก่อนวัย ส่วนในช่วงอายุ 35 ปีขึ้นไปจะเหมาะสำหรับการแก้ไขปัญหาผิวที่เริ่มหย่อนคล้อยอย่างตรงจุด

                      ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Oligio เหมาะกับผู้ชายไหม?

                      • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Oligio เหมาะสำหรับผู้ชายและผู้หญิง โดยเฉพาะผู้ชายที่ต้องการยกกระชับผิวหน้า ลดเหนียงใต้คาง และปรับกรอบหน้าให้ชัดเจนขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดเลือนริ้วรอยและทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ

                      ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Oligo มีผลข้างเคียงไหม?

                      • การยกกระชับผิวโปรแกรม Oligio โดยทั่วไปแล้ว ไม่มีผลข้างเคียงรุนแรง เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีที่ไม่อันตรายและผ่านการรับรองจาก US FDA และ CE Mark ซึ่งหลังทำอาจมีรอยแดงเล็กน้อย หรือ รู้สึกอุ่น ๆ บริเวณผิวหนัง ซึ่งอาการเหล่านี้มักจะหายไปเองภายในไม่กี่ชั่วโมงแบบไม่ต้องพักฟื้น

                      โปรแกรม Oligio คือเทคโนโลยียกกระชับผิวหน้าที่ล้ำสมัย ด้วยการใช้คลื่นวิทยุความถี่สูง (Monopolar RF) ที่สามารถส่งพลังงานลงลึกถึงชั้นผิวหนังแท้และชั้นไขมันใต้ผิวอย่างแม่นยำ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ ทำให้ผิวดูกระชับ เต่งตึง และเรียบเนียนขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งผลลัพธ์สามารถเห็นได้ผลหลังทำได้เป็นอย่างดี และผลลัพธ์ชัดเจนขึ้นในช่วง 1-3 เดือน 

                      โปรแกรม Oligio เหมาะสำหรับคนที่ต้องการยกกระชับผิวหน้าและลำคอ ลดเลือนริ้วรอย และฟื้นฟูความยืดหยุ่นของผิวแบบไม่ต้องผ่าตัด นอกจากนี้ เทคโนโลยีนี้ยังผ่านการรับรองจาก US FDA และ CE Mark ซึ่งมีประสิทธิภาพในการรักษาอีกด้วย

                      หากใครกำลังมองหาวิธีการดูแลผิวที่ได้ผลรวดเร็ว ไม่อันตราย และให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ โปรแกรม Oligio คือตัวเลือกที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการอย่างแน่นอน มาร่วมสัมผัสเทคโนโลยีการยกกระชับผิวที่เหนือระดับกับ รมย์รวินท์คลินิก เพื่อผิวสวยกระชับอย่างมั่นใจในแบบที่เป็นคุณ

                      CHARISMA Rh Collagen Exclusive Training

                      KARISMA Rh Collagen Exclusive Training

                      รมย์รวินท์คลินิก จัดงาน Romrawin KARISMA Rh Collagen Exclusive Training

                      รมย์รวินท์คลินิก ศูนย์ความงามชั้นนำของประเทศไทย จัดงาน Romrawin KARISMA Rh Collagen Exclusive Training ซึ่งเป็นการอบรมเชิงลึกสำหรับทีมแพทย์ของคลินิกโดยเฉพาะ โดยเน้นการฝึกฝนภาคปฏิบัติ (Hands-on Training) เพื่อเสริมความรู้ในการใช้โปรแกรมฉีด KARISMA Rh Collagen เทคโนโลยีฟื้นฟูผิวระดับโลก ที่ช่วยเติมเต็มและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนของผิวในระดับเซลล์ งานนี้จัดเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2568 เวลา 09.00 – 12.00 น. ณ เซ็นทรัล ชิดลม ที่ผ่านมา

                       

                      โดยมีแพทย์เฉพาะทางจากรมย์รวินท์คลินิก เข้าร่วมการฝึกอบรมในครั้งนี้ ซึ่งการฝึกอบรมครั้งนี้ มุ่งเน้นการพัฒนาองค์ความรู้เชิงลึก การประเมินผิว และเทคนิคการฉีดโปรแกรมฉีด KARISMA Rh Collagen เพื่อให้แพทย์สามารถมอบบริการที่มีประสิทธิภาพสูงสุดแก่ผู้รับบริการ

                       

                      KARISMA Rh Collagen Exclusive Training
                      KARISMA Rh Collagen Exclusive Training

                       

                      Doctor to Doctor Training ถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคนิคเฉพาะทาง

                      การอบรมเชิงปฏิบัติการครั้งนี้เป็นรูปแบบ Doctor to Doctor Training ซึ่งเปิดโอกาสให้แพทย์ประจำรมย์รวินท์คลินิกได้เรียนรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์โดยตรง ผ่านการลงมือปฏิบัติจริง ภายใต้การดูแลของวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ 

                       

                      โปรแกรมฉีด KARISMA Rh Collagen เทคโนโลยี Bio-Restorative เพื่อการฟื้นฟูผิวครบวงจร

                      โปรแกรมฉีด KARISMA Rh Collagen เป็นผลิตภัณฑ์ประเภท Bio-Restorative ที่ใช้ Recombinant Human Collagen (Rh Collagen) ซึ่งถือเป็นคอลลาเจนสังเคราะห์ที่พัฒนาให้มีความใกล้เคียงกับคอลลาเจนธรรมชาติของมนุษย์และเป็นผลิตภัณฑ์โปรแกรมฉีดชนิดแรกของโลกที่รวมคุณสมบัติ เติมเต็มผิว และ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในเซลล์ไฟโบรบลาสต์ เข้าไว้ด้วยกัน

                       

                      ด้วยคุณสมบัติพิเศษของโปรแกรมฉีด KARISMA Rh Collagen ผิวจะได้รับการฟื้นฟูอย่างล้ำลึก ช่วยให้ผิวเต่งตึง กระชับ แลดูอ่อนเยาว์ พร้อมทั้งคืนความเรียบเนียนให้กับผิวในระยะยาว โดยผลิตภัณฑ์นี้ถูกออกแบบมาให้เป็นทางเลือกที่ครอบคลุมทั้งในด้าน การเติมเต็มโครงสร้างผิว และ การบำรุงเพื่อฟื้นฟูสภาพผิวจากภายใน เพียงแค่การฉีดครั้งเดียว ก็สามารถมอบผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติและยาวนาน นับเป็นการผสานข้อดีของโปรแกรมฟิลเลอร์และผลิตภัณฑ์ฟื้นฟูผิวไว้ในหนึ่งเดียว

                       

                      คุณสมบัติเด่นและประโยชน์ของโปรแกรมฉีด KARISMA Rh Collagen

                      • กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่

                      ช่วยส่งเสริมการทำงานของไฟโบรบลาสต์ให้ผลิตคอลลาเจนชนิดที่ 1 ซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักของผิว ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงและคืนความกระชับให้กับเนื้อเยื่อผิว

                      • เพิ่มความชุ่มชื้นและความยืดหยุ่นให้ผิว

                      ด้วยส่วนประกอบของ Hyaluronic Acid (HA) ช่วยเติมความชุ่มชื้นล้ำลึก ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่นและดูอิ่มน้ำมากขึ้น

                      • เสริมสร้างโครงสร้างผิว

                      Carboxymethylcellulose (CMC) ช่วยเสริมความแข็งแรงของชั้นผิว และช่วยให้ผลลัพธ์ของการรักษาคงอยู่ได้นานยิ่งขึ้น

                      • ฟื้นฟูผิวให้ดูอ่อนเยาว์

                      ช่วยแก้ไขปัญหาผิวต่าง ๆ เช่น ริ้วรอยลึก ร่องแก้มลึก ผิวหย่อนคล้อย และรอยหลุมสิว ทำให้ผิวดูเรียบเนียนและเต่งตึงขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ

                       

                      KARISMA Rh Collagen Exclusive Training
                      KARISMA Rh Collagen Exclusive Training

                       

                      บริเวณที่สามารถฉีดโปรแกรมฉีด KARISMA Rh Collagen เพื่อฟื้นฟูและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน

                      โปรแกรมฉีด KARISMA Rh Collagen สามารถนำมาใช้ในการฟื้นฟูผิวและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้ในหลายส่วนของร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณที่มีปัญหาด้านความยืดหยุ่นและความชุ่มชื้นของผิว ซึ่งบริเวณที่นิยมฉีด มีดังนี้

                      • ใบหน้า – ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น เสริมความยืดหยุ่นให้กับแก้มและร่องแก้ม พร้อมทั้งลดเลือนริ้วรอยรอบดวงตา หางตา และใต้ตา
                      • ริมฝีปากและรอบปาก – ฟื้นฟูความยืดหยุ่นของผิว ลดรอยพับบริเวณร่องมุมปาก และริ้วรอยที่เกิดขึ้นบนริมฝีปาก
                      • ลำคอ – ช่วยลดริ้วรอยบริเวณลำคอ และปรับให้ผิวแลดูเนียนละเอียดมากขึ้น
                      • หลังมือ – เติมความชุ่มชื้น คืนความยืดหยุ่นให้กับผิวบริเวณหลังมือ ช่วยให้ดูอ่อนเยาว์ขึ้น
                      • เนินอก – ช่วยให้ผิวเนียนเรียบ ลดความหย่อนคล้อย และเพิ่มความกระชับ
                      • รอยแผลเป็น – ช่วยลดความเด่นชัดของรอยแผลเป็นและรอยหลุม ทำให้ผิวดูเรียบเนียนสม่ำเสมอมากขึ้น

                       

                      KARISMA Rh Collagen Exclusive Training
                      KARISMA Rh Collagen Exclusive Training

                       

                      ยกระดับมาตรฐานความงาม เพื่อผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพของลูกค้า

                      รมย์รวินท์คลินิก ให้ความสำคัญกับมาตรฐานความงามระดับมืออาชีพ เพื่อให้ลูกค้าได้รับบริการที่มีคุณภาพสูงสุดจากแพทย์ที่มีความรู้เฉพาะทาง โดยการจัดอบรม Romrawin Kharisma Rh Collagen Exclusive Training เป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการพัฒนาศักยภาพของทีมแพทย์ ให้สามารถนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาประยุกต์ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

                       

                      ด้วยแนวทางนี้ รมย์รวินท์คลินิก มุ่งมั่นที่จะเป็นศูนย์ความงามที่นำเสนอเทคโนโลยีล้ำสมัย ควบคู่ไปกับการดูแลโดยแพทย์เฉพาะทาง เพื่อให้ลูกค้าทุกท่านมั่นใจได้ว่า “ทุกความงาม เริ่มต้นที่รมย์รวินท์เท่านั้น”

                      577nm Yellow Laser อัปเดตเทคนิครักษารอยแดง-ฝ้า

                      577nm Yellow Laser

                      Romrawin Clinic อัปเดตเทคนิคเลเซอร์รักษารอยแดง-ฝ้า 577nm Yellow Laser

                       

                      รมย์รวินท์คลินิก เข้าร่วมงานบรรยายเชิงวิชาการพิเศษ ที่จัดขึ้นโดย AESLA องค์กรชั้นนำด้านเทคโนโลยีทางการแพทย์ระดับโลก งานนี้มุ่งเน้นการนำเสนอ แนวทางการรักษาปัญหาผิวด้วยเลเซอร์แสงสีเหลือง 577 นาโนเมตร ซึ่งได้รับการยอมรับในระดับสากลว่ามีประสิทธิภาพสูงในการรักษาปัญหาที่เกี่ยวข้องกับเส้นเลือด อาทิ รอยแดงบนใบหน้า เส้นเลือดฝอย และปัญหาสีผิวไม่สม่ำเสมอ เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2568 ณ Astor Ballroom 2-3, The St. Regis Bangkok ที่ผ่านมา

                       

                      นอกจากนี้ ยังมีการศึกษา เทคนิคการใช้ Dual Diode Laser ซึ่งเป็นนวัตกรรมทางการแพทย์ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพสูงในการรักษาฝ้า ลดการกระจายตัวของเม็ดสี และช่วยฟื้นฟูผิวให้กลับมาเรียบเนียนสม่ำเสมอมากขึ้น

                       

                      577nm Yellow Laser
                      577nm Yellow Laser

                      โดยงานนี้ ได้รับเกียรติจากแพทย์ผู้มีความรู้เฉพาะทาง จากรมย์รวินท์คลินิก ได้แก่ พญ.ฐานิสร ธรรมลิขิตกุล (ว.10656) และ น.พ.อธิวัชร อัศวภิวัฒน์ (ว.22163) ที่เข้าร่วมแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ พร้อมแบ่งปันประสบการณ์ตรงจากการใช้เลเซอร์รักษาคนไข้จริง รวมถึงเผยเทคนิคสำคัญที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพของเทคโนโลยีเลเซอร์ให้ดียิ่งขึ้น

                       

                      การบรรยายสุดพิเศษ โดยผู้เชี่ยวชาญระดับแนวหน้า

                      ภายในงานนี้ได้รับเกียรติจาก นายแพทย์วิชัย หงส์จารุ แพทย์ผู้เฉพาะทางด้านเลเซอร์และผิวหนัง มาเป็นวิทยากรหลักถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับ 577nm Yellow Laser ซึ่งกำลังเป็นที่สนใจอีกครั้งในแวดวงการแพทย์ เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีที่สามารถรักษารอยโรคที่เกี่ยวข้องกับเส้นเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

                       

                      นอกจากนี้ยังมีการบรรยายเกี่ยวกับ Dual Diode Laser เทคโนโลยีเลเซอร์สองความยาวคลื่นที่ได้รับการพัฒนาเพื่อการรักษาฝ้าโดยเฉพาะ ซึ่งช่วยลดผลข้างเคียงและเพิ่มโอกาสในการรักษาผ้าให้ได้ผลลัพธ์ที่ยั่งยืน

                       

                      577nm Yellow Laser
                      577nm Yellow Laser

                       

                      หัวข้อสำคัญในงานบรรยาย

                      ภายในงานจะมีการบรรยายเกี่ยวกับ เทคโนโลยีเลเซอร์ที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพสูง ในการรักษาปัญหาผิว โดยมีหัวข้อหลักที่น่าสนใจ ดังนี้

                      • Efficacy of 577nm Yellow Laser

                      เจาะลึกคุณสมบัติของเลเซอร์แสงสีเหลือง 577 นาโนเมตร ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อการรักษาปัญหาที่เกี่ยวข้องกับเส้นเลือด เช่น รอยแดงบนใบหน้า เส้นเลือดฝอย และภาวะผิวแดงเรื้อรัง พร้อมทั้งอธิบายผลลัพธ์ที่ได้รับจากการใช้งานจริง

                      • Expert’s Experiences: Dual Diode Treatments for Melasma

                      แบ่งปันเทคนิคการใช้ Dual Diode Laser ในการรักษาฝ้าและเม็ดสีผิวผิดปกติ พร้อมแนวทางลดผลข้างเคียงและเพิ่มประสิทธิภาพของการรักษา เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและยั่งยืน

                      • Q&A Session

                      เปิดโอกาสให้แพทย์และผู้เข้าร่วมสอบถามข้อสงสัย พร้อมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นโดยตรงกับวิทยากรและผู้เชี่ยวชาญ

                      นอกจากการบรรยายเชิงวิชาการแล้ว ภายในงานยังมีการแชร์กรณีศึกษาจริง กิจกรรมเสริมความรู้ และการแลกเปลี่ยนมุมมองเชิงลึก ซึ่งจะช่วยให้แพทย์สามารถนำความรู้ที่ได้รับไปประยุกต์ใช้กับการรักษาคนไข้ในคลินิกของตนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

                       

                      577nm Yellow Laser
                      577nm Yellow Laser

                       

                      เลเซอร์แสงสีเหลือง 577 นาโนเมตร เทคโนโลยีเพื่อการรักษาผิวระดับสูง

                      เลเซอร์แสงสีเหลือง 577 นาโนเมตร เป็นเทคโนโลยีเลเซอร์ที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในวงการแพทย์ผิวหนัง ด้วยคุณสมบัติที่โดดเด่นในการรักษาปัญหาผิวหลากหลายประเภท โดยเฉพาะ การลดรอยแดง รอยสิว และเส้นเลือดฝอย ซึ่งเกิดจากความผิดปกติของเส้นเลือดใต้ผิวหนัง

                       

                      ด้วยความสามารถพิเศษในการถูกดูดซับโดย ฮีโมโกลบิน (Hemoglobin) ในเม็ดเลือดแดง เลเซอร์แสงสีเหลือง 577 นาโนเมตร สามารถช่วยลดเลือนรอยแดงและรอยเส้นเลือดฝอยได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งมีคุณสมบัติในการ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และช่วยฟื้นฟูโครงสร้างผิวให้แข็งแรงและเรียบเนียนขึ้น

                       

                      ข้อดีของเลเซอร์แสงสีเหลือง 577 นาโนเมตร ในการรักษาผิว

                      • ลดรอยแดงและเส้นเลือดฝอย ทำให้รอยแดงลดลงอย่างมีประสิทธิภาพและช่วยให้ผิวหน้าดูเรียบเนียนขึ้น
                      • กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ส่งผลให้ผิวมีความกระชับ เรียบเนียน และลดเลือนริ้วรอยได้อย่างเห็นได้ชัด
                      • ไม่อันตรายไม่ทำให้เกิดบาดแผลหรือการระคายเคืองรุนแรงต่อผิว ผู้ที่เข้ารับการรักษาจะรู้สึกเพียงเล็กน้อยหรือแทบไม่รู้สึกเจ็บเลย
                      • มีคุณสมบัติในการลดการอักเสบของสิว ทำให้สิวแห้งและยุบตัวเร็วขึ้น อีกทั้งยังช่วยควบคุมการทำงานของ ต่อมไขมันใต้ผิวหนัง ซึ่งช่วยลดโอกาสในการเกิดสิวใหม่

                       

                      รมย์รวินท์คลินิก มุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีการรักษาผิว

                      การเข้าร่วมงานสัมมนาในครั้งนี้ เป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของ รมย์รวินท์คลินิก ในการพัฒนาและต่อยอดองค์ความรู้ทางการแพทย์ด้านเลเซอร์ เพื่อนำเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยที่สุด มาใช้ในการรักษาคนไข้ได้อย่างแม่นยำและไม่อันตราย นอกจากนี้ การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้กับผู้เชี่ยวชาญระดับสากล ยังช่วยให้ทีมแพทย์ของรมย์รวินท์คลินิกสามารถนำเทคนิคใหม่ ๆ มาปรับใช้กับแนวทางการรักษาเพื่อให้คนไข้ได้รับผลลัพธ์ที่ดี

                      รมย์รวินท์คลินิก เข้าร่วมงาน Ultherapy PRIME Grand Launch Symposium

                      ltherapy PRIME Grand Launch Symposium

                      รมย์รวินท์คลินิก เข้าร่วมงาน Ultherapy PRIME Grand Launch Symposium

                      รมย์รวินท์คลินิก คลินิกความงามที่ให้บริการด้านการดูแลผิวพรรณและการยกกระชับปรับรูปหน้า เข้าร่วมงาน “Ultherapy PRIME Grand Launch Symposium” งานสัมมนาทางการแพทย์ พร้อมอัปเดตความรู้ เทคโนโลยีโปรแกรม Ultherapy PRIME ยกกระชับผิวหน้าแบบไม่ต้องผ่าตัด ซึ่งงานนี้จัดขึ้นเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2568 ณ Magnolia Ballroom, Level 10, Waldorf Astoria Bangkok ที่ผ่านมา

                       

                      การเข้าร่วมงานครั้งนี้ นำทีมโดย พญ.ฐานิสร ธรรมลิขิตกุล (ว.10656), พญ.อรุณี ทองอัครนิโรจน์ (ว.40692), นพ.อัครวินท์ ดำรงค์วัฒนโภคิน (ว.52239), พญ.วรรณวิมล วรรณรักษ์ (ว.27827), พญ.ธิรดา จิตตการ (ว.30170), พญ.ช่ออัญชัญ ปัญญาเอกะวิทู (ว.49909) และ นพ.อธิวัชร อัศวภิวัฒน์ (ว.22163) ทีมแพทย์เฉพาะทางด้านการยกกระชับจากรมย์รวินท์คลินิก เข้าร่วมรับฟังข้อมูลเชิงลึก อัปเดตความรู้ และเทคนิคใหม่เกี่ยวกับโปรแกรม Ultherapy PRIME ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ได้รับการพัฒนาให้แม่นยำขึ้น ปลอดภัยขึ้น และให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติยิ่งขึ้น 

                       

                      Ultherapy PRIME Grand Launch Symposium
                      Ultherapy PRIME Grand Launch Symposium

                       

                      ไฮไลต์สำคัญของงาน Ultherapy PRIME Grand Launch Symposium

                      งานสัมมนาครั้งนี้เป็นการนำเสนอข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับเทคโนโลยีโปรแกรม Ultherapy PRIME โดยเน้นถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและประสิทธิภาพในการรักษา การบรรยายครอบคลุมถึงหลักการทำงาน และการแชร์ประสบการณ์จากแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ

                      หัวข้อสำคัญสุดเอกซ์คูลซิฟ ที่ได้รับการนำเสนอภายในงาน ได้แก่

                      • หัวข้อ “Science of PRIME: Advanced, Vivid & Proven” ซึ่งให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับหลักวิทยาศาสตร์ของโปรแกรม Ultherapy PRIME และผลลัพธ์ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วจากการวิจัย
                      • หัวข้อ “Safety through Visualization with Ultherapy PRIME” ซึ่งนำเสนอแนวทางในการเพิ่มความปลอดภัยของการรักษา เพื่อช่วยให้แพทย์สามารถประเมินชั้นผิวแบบเรียลไทม์และส่งพลังงานได้อย่างแม่นยำมากขึ้น
                      • หัวข้อ “The Lift You Can See: PRIME SPT Technique – Sharing Cases and Experiences” ซึ่งเป็นการแชร์ประสบการณ์จริงจากการใช้เทคนิค PRIME SPT เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่แม่นยำและเป็นธรรมชาติ
                      • ช่วงถาม-ตอบ ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมได้ซักถามและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้เข้าใจแนวทางการรักษาด้วยโปรแกรม Ultherapy PRIME อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น

                       

                      Ultherapy PRIME Grand Launch Symposium
                      Ultherapy PRIME Grand Launch Symposium

                       

                      รมย์รวินท์คลินิก พร้อมให้บริการ Ultherapy PRIME เพื่อผลลัพธ์ที่ดี

                      การเข้าร่วมงานสัมมนาครั้งนี้ ช่วยให้ทีมแพทย์ของรมย์รวินท์คลินิกได้รับข้อมูล และเทคนิคใหม่ล่าสุดของ Ultherapy PRIME ซึ่งสามารถนำมาปรับใช้ในการรักษาผู้รับบริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้มั่นใจว่าทุกเคสได้รับการดูแลอย่างพิถีพิถัน ได้ผลลัพธ์ที่ดี และไม่อันตราย ไม่ส่งผลเสีย

                       

                      รมย์รวินท์คลินิกพร้อมให้บริการ Ultherapy PRIME สำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับผิวหน้าและลำคออย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่ต้องผ่าตัดและไม่ต้องพักฟื้น ด้วยเทคโนโลยีที่ได้รับการพัฒนาให้ล้ำสมัยกว่าเดิม ผู้รับบริการจะได้รับการดูแลจากทีมแพทย์ที่มีประสบการณ์สูง และผ่านการฝึกอบรมการใช้เทคโนโลยีนี้โดยเฉพาะ

                       

                      สัมผัสประสบการณ์การยกกระชับเหนือระดับ ที่รมย์รวินท์คลินิก

                      โปรแกรม Ultherapy PRIME ถือเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้การยกกระชับผิวหน้าและลำคอที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าและความแม่นยำที่เพิ่มขึ้น ทำให้ผู้รับบริการสามารถเห็นผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติและยาวนาน โดยไม่ต้องพักฟื้น

                       

                      รมย์รวินท์คลินิกมุ่งมั่นในการนำเสนอเทคโนโลยีความงามที่ดี พร้อมทีมแพทย์ผู้เฉพาะทางที่ผ่านการฝึกอบรมโปรแกรม Ultherapy PRIME โดยตรง เพื่อให้มั่นใจว่าผู้รับบริการจะได้รับการดูแลอย่างมืออาชีพ ปลอดภัย และเห็นผลลัพธ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการ

                       

                      หากคุณกำลังมองหาวิธีการยกกระชับผิวที่ทันสมัย ไม่ต้องผ่าตัด และได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน โปรแกรม Ultherapy PRIME คือคำตอบ สัมผัสประสบการณ์การดูแลผิวระดับพรีเมียมได้แล้ววันนี้ที่ รมย์รวินท์คลินิกทุกสาขา

                      World Obesity Day 2025 รมย์รวินท์คลินิกเข้าร่วมสัมนา “วันอ้วนโลก“

                      World Obesity Day 2025

                      รมย์รวินท์คลินิกร่วมงานสัมมนา World Obesity Day 2025

                       

                      รมย์รวินท์คลินิก ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านสุขภาพและความงามแบบองค์รวม ด้วยการเข้าร่วมงานสัมมนาวิชาการ World Obesity Day 2025 โดยมีเป้าหมายในการให้ความรู้ แลกเปลี่ยนมุมมอง และนำเสนอแนวทางใหม่ในการจัดการโรคอ้วนแบบยั่งยืน ซึ่งจัดขึ้น เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2568  ณ True Digital Park ที่ผ่านมา

                       

                      ในโอกาสนี้ พญ.ฐานิสร ธรรมลิขิตกุล (ว.10656) แพทย์เฉพาะทางด้านผิวพรรณและสุขภาพของรมย์รวินท์คลินิก ได้เข้าร่วมฟังการบรรยายและอภิปรายในหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับโรคอ้วน ซึ่งเป็นปัญหาสุขภาพระดับโลกที่ส่งผลกระทบต่อร่างกายและจิตใจ

                       

                      World Obesity Day 2025
                      World Obesity Day 2025

                       

                      World Obesity Day 2025 แนวทางทางการแพทย์ วิทยาศาสตร์ และพฤติกรรมสุขภาพ

                      งานสัมมนาครั้งนี้ได้รวบรวมผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายสาขา อาทิ แพทย์เฉพาะทาง นักวิทยาศาสตร์ นักโภชนาการ และนักวิจัย เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ล่าสุดเกี่ยวกับโรคอ้วน ทั้งในด้านชีววิทยา พฤติกรรม และสังคม โดยมีหัวข้อสำคัญ ดังนี้

                      • การเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับโรคอ้วน — วิเคราะห์แนวคิดใหม่เกี่ยวกับโรคอ้วนที่มุ่งเน้นสุขภาพ มากกว่ารูปลักษณ์ภายนอก และผลกระทบต่อร่างกาย
                      • การเปลี่ยนแปลงขององค์ประกอบร่างกาย — ศึกษาผลกระทบของโรคอ้วนที่มีต่อระบบเผาผลาญ กล้ามเนื้อ และโครงสร้างร่างกาย
                      • การเปลี่ยนแปลงด้านพฤติกรรมในการจัดการโรคอ้วน — แนวทางการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อควบคุมน้ำหนักอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน
                      • การเปลี่ยนแปลงด้านการใช้ยาในการรักษาโรคอ้วน — นำเสนอการพัฒนาทางการแพทย์และแนวทางการรักษาโรคอ้วนด้วยยาและเทคโนโลยีใหม่
                      • การรับมือกับภาวะน้ำหนักตัวกลับมาเพิ่มขึ้น — ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้เกิดภาวะน้ำหนักตัวกลับมาเพิ่มขึ้น และแนวทางป้องกันที่มีประสิทธิภาพ
                      • การติดตามผลการลดน้ำหนัก — วิธีการประเมินและติดตามความก้าวหน้าของผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ยั่งยืน
                      • สุขภาพที่ดี ไม่ใช่แค่ความสวยงาม — เปลี่ยนมุมมองการลดน้ำหนักจากการมุ่งเน้นความสวยงามสู่การมีสุขภาพดีอย่างแท้จริง
                      • การคาดการณ์ผลลัพธ์ของการลดน้ำหนัก — วิธีวิเคราะห์และประเมินผลลัพธ์ของกระบวนการลดน้ำหนักอย่างแม่นยำ
                      • บทสนทนาใหม่ ๆ เกี่ยวกับโรคอ้วน — แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับแทนวทางการจัดการโรคอ้วนในบริบทของสังคมปัจจุบัน
                      • แขกรับเชิญสุดพิเศษ — พบกับ “ต้าห์อู๋ พิทยา” ที่มาร่วมสร้างแรงบันดาลใจ และแชร์ประสบการณ์ลดน้ำหนัก

                       

                      World Obesity Day 2025
                      World Obesity Day 2025

                       

                      “ต้าห์อู๋ พิทยา” กับเรื่องราวแรงบันดาลใจในการลดน้ำหนักอย่างยั่งยืน

                      อีกหนึ่งไฮไลต์สำคัญของงาน World Obesity Day 2025 คือการได้พบกับ “ต้าห์อู๋ – พิทยา” นักร้อง, นักแสดง, นายแบบ และพิธีกร หนุ่มหล่อมากความสามารถที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับหลาย ๆ คน ในการดูแลสุขภาพและลดน้ำหนักอย่างถูกต้อง โดยเขาจะมาร่วมแบ่งปันประสบการณ์การเปลี่ยนแปลงตัวเอง ทั้งในแง่ของร่างกาย จิตใจ และพฤติกรรมการใช้ชีวิต 

                        

                      World Obesity Day 2025
                      World Obesity Day 2025

                       

                      รมย์รวินท์คลินิก มุ่งมั่นสู่แนวทางสุขภาพที่ยั่งยืน

                      งานสัมมนา World Obesity Day 2025 จัดขึ้นเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับโรคอ้วนและแนวทางการจัดการสุขภาพที่เหมาะสม โดยมีวัตถุประสงค์หลักดังนี้

                      • สร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับโรคอ้วน

                      โรคอ้วนไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของรูปลักษณ์เท่านั้น แต่เป็นปัญหาด้านสุขภาพที่ส่งผลต่อระบบร่างกายและจิตใจ งานสัมมนานี้มีเป้าหมายในการขจัดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับโรคอ้วน พร้อมเน้นย้ำถึงแนวทางการดูแลสุขภาพที่ถูกต้อง

                      • แบ่งปันแนวทางการรักษาและการป้องกันที่ทันสมัย

                      การจัดการโรคอ้วนต้องอาศัยความรู้ทางการแพทย์ที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง ภายในงานมีการนำเสนอแนวทางการรักษาและป้องกันโรคอ้วนที่ทันสมัย ซึ่งสามารถช่วยให้ผู้มีภาวะน้ำหนักเกินสามารถดูแลสุขภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ

                      • ส่งเสริมแนวคิดสุขภาพที่ดีอย่างยั่งยืน

                      สุขภาพที่ดีต้องอาศัยการดูแลอย่างต่อเนื่องและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในระยะยาว งานสัมมนานี้มุ่งเน้นการปลูกฝังแนวคิดด้านโภชนาการที่เหมาะสม การออกกำลังกายที่เหมาะกับแต่ละบุคคล และการปรับพฤติกรรมที่ส่งเสริมสุขภาพอย่างยั่งยืน

                       

                      การเข้าร่วมงาน World Obesity Day 2025 ในครั้งนี้ ตอกย้ำถึงวิสัยทัศน์ของ รมย์รวินท์คลินิก ในการเป็นศูนย์กลางด้านสุขภาพและความงามที่ไม่เพียงมุ่งเน้นการดูแลรูปลักษณ์ภายนอก แต่ยังให้ความสำคัญกับสุขภาพภายในควบคู่กันไป ด้วยองค์ความรู้ทางการแพทย์ที่ล้ำสมัย และแนวทางการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม

                       

                      รมย์รวินท์คลินิก ยังคงเดินหน้าสนับสนุนการพัฒนาทางการแพทย์ และส่งเสริมความรู้เกี่ยวกับสุขภาพเพื่อให้ประชาชนสามารถดูแลตนเองได้อย่างถูกต้องและยั่งยืน โดยมุ่งหวังให้ทุกคนมีสุขภาพที่ดีอย่างแท้จริง พร้อมใช้ชีวิตได้อย่างมั่นใจและมีคุณภาพมากขึ้น

                       

                      สำหรับผู้ที่สนใจข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพและนวัตกรรมด้านความงาม สามารถติดตามรายละเอียด หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ รมย์รวินท์คลินิกสาขา ที่ให้บริการใกล้บ้านคุณ

                      โปรแกรม Ultherapy Prime vs โปรแกรม EMFACE เทคโนโลยียกกระชับผิวหน้าแบบไหนที่เหมาะกับคุณ?

                      เทคโนโลยียกกระชับผิวหน้าแบบไหนที่เหมาะกับคุณ

                      โปรแกรม Ultherapy Prime vs โปรแกรม EMFACE เทคโนโลยียกกระชับผิวหน้าแบบไหนที่เหมาะกับคุณ?

                      ในยุคปัจจุบัน ความงามและความอ่อนเยาว์ไม่ใช่เรื่องของวัยอีกต่อไป แต่กลายเป็นการดูแลตัวเองเพื่อเสริมสร้างความมั่นใจ เทคโนโลยีความงามได้พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเทคโนโลยียกกระชับผิวหน้าโดยไม่ต้องผ่าตัด ซึ่งกลายเป็นทางเลือกยอดนิยมสำหรับคนที่ต้องการดูแลผิวพรรณอย่างมีประสิทธิภาพ เห็นผลจริง และไม่ต้องพักฟื้นนาน

                       

                      ในบรรดาเทคโนโลยีที่ได้รับความนิยมสูงสุด โปรแกรม Ultherapy Prime และ โปรแกรม EMFACE เป็นทองเทคโนโลยีที่โดดเด่นและถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง ทั้งสองเทคโนโลยีต่างมีจุดเด่นเฉพาะตัวในการแก้ปัญหาผิวที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นการกระตุ้นกล้ามเนื้อใบหน้า การสร้างคอลลาเจน หรือการยกกระชับผิวชั้นลึก

                       

                      การเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะไม่ใช่ทุกวิธีจะเหมาะสมกับทุกคน ในบทความนี้ จะพาทุกคนไปเจาะลึกความแตกต่างระหว่างโปรแกรม Ultherapy Prime และ โปรแกรม EMFACE เพื่อให้ทุกคนได้เข้าใจถึงหลักการทำงาน ผลลัพธ์ ข้อดีและข้อจำกัดของแต่ละวิธี เพื่อให้สามารถตัดสินใจได้อย่างมั่นใจและตอบโจทย์ความต้องการของตัวเองได้อย่างแท้จริง

                       

                       

                       

                      ทำความรู้จักกับยกกระชับผิวหน้า โปรแกรม Ulthera Prime และ EMFACE

                      ยกกระชับผิวหน้า โปรแกรม Ulthera Prime คืออะไร?

                      โปรแกรม Ulthera Prime เป็นเทคโนโลยียกกระชับผิวหน้าที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง ในวงการความงามและการแพทย์ผิวหนังทั่วโลก โดยใช้พลังงาน Ultrasound แบบเฉพาะเจาะจง ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่สามารถส่งผ่านคลื่นเสียงความถี่สูงลงสู่ชั้นผิวที่ลึกได้อย่างแม่นยำ โดยเฉพาะชั้น SMAS (Superficial Muscular Aponeurotic System) เป็นชั้นเนื้อเยื่อที่อยู่ลึกใต้ผิวหนังและเป็นชั้นเดียวกับที่ศัลยแพทย์ใช้ในการผ่าตัดดึงหน้า

                       

                      เทคโนโลยี โปรแกรม Ulthera Prime ทำให้เกิดการหดตัวของชั้น SMAS โดยไม่ต้องผ่าตัด ส่งผลให้ผิวยกกระชับขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ในผิว ซึ่งจะค่อย ๆ แสดงผลลัพธ์อย่างเป็นธรรมชาติและยาวนาน

                       

                      จุดเด่นของยกกระชับผิวหน้า โปรแกรม Ulthera SPT Prime

                      • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime มีระบบประมวลผลได้รับการพัฒนาให้รวดเร็วขึ้นถึง 20% ลดระยะเวลาในการทำหัตถการ พร้อมเพิ่มความสบายให้กับผู้รับบริการ
                      • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime หน้าจอใหญ่ขึ้น 35% พร้อมความคมชัดระดับ Full HD ทำให้แพทย์สามารถมองเห็นรายละเอียดของชั้นผิวได้อย่างชัดเจน
                      • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime รูปลักษณ์ของเครื่องถูกออกแบบให้ทันสมัยและ กะทัดรัดขึ้น เพิ่มความสะดวกในการใช้งานและเคลื่อนย้าย
                      • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime เข้าลึกถึงชั้นผิว SMAS สามารถยกกระชับผิวชั้นลึกได้อย่างแม่นยำ ซึ่งเป็นชั้นเนื้อเยื่อที่ช่วยให้เกิดการยกกระชับผิวหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ
                      • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime สามารถเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน 30% หลังทำทันที และผลลัพธ์จะชัดเจนยิ่งขึ้นภายใน 2-3 เดือนหลังการรักษา
                      • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime ผลลัพธ์สามารถอยู่ได้นานถึง 1-2 ปี ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลรักษาของแต่ละบุคคล
                      • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime เป็นเทคโนโลยีที่ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา ในด้านความประสิทธิภาพในการยกกระชับผิว
                      • หลังทำยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime ผู้เข้ารับบริการสามารถกลับไปทำกิจกรรมประจำวันได้ทันที โดยไม่ต้องพักฟื้น

                       

                      ผลลัพธ์ที่ได้จากยกกระชับโปรแกรม Ultherapy Prime

                      • ผิวหน้าดูยกกระชับขึ้น แก้ไขปัญหาผิวหย่อนคล้อย
                      • ใบหน้าเรียวได้สัดส่วนมากขึ้น โดยเฉพาะบริเวณแนวกรามและคาง
                      • ริ้วรอยเล็ก ๆ และริ้วรอยร่องลึกดูจางลง
                      • ผิวมีความเรียบเนียนและดูสุขภาพดีขึ้น

                       

                      ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE คืออะไร?

                      โปรแกรม EMFACE คือเทคโนโลยียกกระชับผิวหน้าที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการดูแลผิวหน้าโดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องใช้เข็ม ไม่ต้องเจ็บปวดระหว่างการรักษา ซึ่งเทคโนโลยีนี้มีการผสานการทำงานของสองพลังงานด้วยกัน ได้แก่ HIFES (High-Intensity Facial Electrical Stimulation) และ Radio Frequency (RF) เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ในการยกกระชับผิวหน้าที่ครอบคลุมในระดับกล้ามเนื้อและผิวหนัง

                      • HIFES (High-Intensity Facial Electrical Stimulation) ช่วยกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อบนใบหน้าอย่างล้ำลึก ทำให้กล้ามเนื้อมีความแข็งแรงมากขึ้น และช่วยยกกระชับกล้ามเนื้อใบหน้าที่หย่อนคล้อย
                      • Radio Frequency (RF) ส่งพลังงานความร้อนลงไปยังชั้นผิวหนังแท้ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวมีความเต่งตึงและยืดหยุ่นมากขึ้น

                       

                      จุดเด่นของยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE

                      • การทำยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE ไม่ทำให้เกิดความรู้สึกเจ็บในระหว่างการรักษา แตกต่างจากเทคโนโลยีบางประเภทที่อาจทำให้เจ็บหรือรู้สึกระคายเคืองได้
                      • หลังทำยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE ผู้เข้ารับบริการสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติทันที โดยที่ไม่ต้องพักฟื้นนาน
                      • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE สามารถฟื้นฟูกล้ามเนื้อใบหน้าให้แข็งแรง พร้อมทั้งกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว ทำให้ใบหน้าดูกระชับและผิวอิ่มฟูขึ้น
                      • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE สามารถใช้ได้กับทุกสภาพผิว ไม่ว่าจะเป็น ผิวแห้ง ผิวมัน ผิวแพ้ง่าย
                      • หลังทำยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE ใบหน้าจะดูยกกระชับขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ

                       

                      ผลลัพธ์ที่ได้จากยกกระชับโปรแกรม EMFACE

                      • หลังทำโปรแกรม EMFACE  ใบหน้าจะดูยกกระชับขึ้น ร่องลึกต่าง ๆ บนใบหน้าดูลดเลือนลง
                      • ช่วยฟื้นฟูผิวชั้นลึก ทำให้ผิวเรียบเนียน ดูอ่อนเยาว์ และสุขภาพดีขึ้น
                      • การกระตุ้นคอลลาเจนและอีลาสติน ช่วยลดเลือนริ้วรอยเล็ก ๆ และริ้วรอยรอบดวงตา
                      • กล้ามเนื้อบนใบหน้าที่อ่อนแอหรือหย่อนคล้อย จะกลับมาแข็งแรงและกระชับขึ้น

                       

                      หลักการทำงานของยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ulthera Prime และ โปรแกรม EMFACE
                      หลักการทำงานของยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime และ โปรแกรม EMFACE

                       

                      หลักการทำงานของยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ulthera Prime และ โปรแกรม EMFACE

                      การทำงานของยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ulthera Prime คืออะไร?

                      1. ส่งคลื่นพลังงาน Ultrasound จะถูกส่งไปยังชั้นผิว SMAS โดยไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อผิวชั้นบน
                      2. คลื่นพลังงาน Ultrasound จะสร้างพลังงานความร้อนที่อุณหภูมิประมาณ 60-70 องศาเซลเซียส ในชั้น SMAS เพื่อกระตุ้นการหดตัวของเนื้อเยื่อและการสร้างคอลลาเจนใหม่
                      3. หลังจากการรักษา ร่างกายจะค่อย ๆ สร้างคอลลาเจนใหม่ขึ้นมา ทำให้ผิวค่อย ๆ ยกกระชับและดูอ่อนเยาว์ขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
                      4. เห็นการเปลี่ยนแปลงหลังทำทันที แต่จะให้ผลลัพธ์ที่เห็นชัดเจนในช่วง 2-3 เดือนหลังการรักษา

                       

                      การทำงานของยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE คืออะไร?

                      • HIFES (High-Intensity Facial Electrical Stimulation)

                      ส่งคลื่นพลังงานเพื่อกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อใบหน้าในระดับลึก ทำให้กล้ามเนื้อใบหน้ามีความแข็งแรง กระชับ และช่วยยกกระชับส่วนที่หย่อนคล้อย

                      • RF (Radio Frequency)

                      ปล่อยพลังงานคลื่นความถี่วิทยุลงไปยังชั้นผิวลึก กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิว ส่งผลให้ผิวมีความยืดหยุ่น กระชับ และลดเลือนริ้วรอย

                      • การทำงานร่วมกันระหว่าง HIFES และ RF

                      HIFES : กระตุ้นกล้ามเนื้อบนใบหน้า ให้แข็งแรงและยกกระชับขึ้น

                      RF : ส่งผ่านความร้อนลงสู่ชั้นผิว กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน

                       

                      ความแตกต่างของยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ulthera Prime และ โปรแกรม EMFACE
                      ความแตกต่างของยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ulthera Prime และ โปรแกรม EMFACE

                       

                      ความแตกต่างของยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime และ โปรแกรม EMFACE

                      โปรแกรม Ultherapy Prime และโปรแกรม EMFACE เป็นเทคโนโลยีที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์การยกกระชับผิวหน้าโดยไม่ต้องผ่าตัด แต่ทั้งสองมีหลักการทำงาน จุดเด่น และผลลัพธ์ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ซึ่งเหมาะกับความต้องการและปัญหาผิวที่แตกต่างกันไป ดังนี้

                       

                      หลักการทำงาน

                      • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime – ใช้พลังงาน Micro-Focused Ultrasound (MFU-V)  หรือ คลื่นเสียงความถี่สูงแบบเฉพาะเจาะจง โดยพลังงานจะลงลึกถึงชั้น SMAS (Superficial Musculo-Aponeurotic System) ซึ่งเป็นชั้นผิวเดียวกับการผ่าตัดดึงหน้า เน้นยกกระชับที่ผิวชั้นลึกและชั้น SMAS เพื่อยกกระชับโครงสร้างผิวอย่างมีประสิทธิภาพ
                      • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE –  ใช้เทคโนโลยี HIFES และ RF เพื่อกระตุ้นกล้ามเนื้อบนใบหน้าให้แข็งแรงและยกกระชับขึ้น เน้นยกกระชับที่กล้ามเนื้อและผิวชั้นบน

                       

                      บริเวณที่ต้องการรักษา

                      • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime – สามารถยกกระชับผิวหน้าบริเวณใบหน้า ใต้คาง ลำคอ และเนินอก เหมาะสำหรับการยกกระชับบริเวณที่ผิวหย่อนคล้อยอย่างชัดเจน
                      • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE – ยกกระชับบริเวณใบหน้า เช่น หน้าผาก โหนกแก้ม กรอบหน้า เหมาะสำหรับการฟื้นฟูกล้ามเนื้อใบหน้าให้แข็งแรงและยกกระชับผิวหน้าขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ

                       

                      ระยะเวลาการรักษาและฟื้นตัว

                      • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime – ใช้เวลาในการรักษาประมาณ 30-40 นาที ต่อครั้ง ขึ้นอยู่กับบริเวณที่ทำ อาจมีรอยแดงหรือบวมเล็กน้อยหลังการรักษา แต่สามารถกลับไปใช้ชีวิตปกติได้
                      • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE – ใช้เวลาในการรักษาประมาณ 20-30 นาที ต่อครั้ง ไม่ต้องพักฟื้นหลังทำ สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติทันที

                       

                      ระยะเวลาเห็นผลและความยาวนานของผลลัพธ์

                      • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime – เริ่มเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนหลังการรักษา ประมาณ 1-3 เดือน และผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 1-2 ปี
                      • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE – เริ่มเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนหลังการรักษา ประมาณ 4-6 สัปดาห์ และผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 6-12 เดือน

                       

                      ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ulthera Prime และโปรแกรม EMFACE เหมาะกับใคร?
                      ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime และโปรแกรม EMFACE เหมาะกับใคร?

                       

                      ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime และโปรแกรม EMFACE เหมาะกับใคร?

                      โปรแกรม Ulthera SPT และโปรแกรม EMFACE เป็นเทคโนโลยียกกระชับผิวหน้าที่มีจุดเด่นต่างกัน เหมาะกับกลุ่มคนดังนี้

                      ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime เหมาะกับใคร?

                      • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime เหมาะกับ ผู้มีอายุตั้งแต่ 30-60 ปี หรือ ผู้ที่เริ่มสังเกตเห็นปัญหาผิวหย่อนคล้อย
                      • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime เหมาะกับ ผู้ที่ต้องการยกกระชับผิวชั้นลึก บริเวณแก้ม แนวกราม ลำคอ และเนินอก
                      • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime เหมาะกับ ผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย ขาดความกระชับอย่างเห็นได้ชัด
                      • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime เหมาะกับ ผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยร่องลึกบริเวณใบหน้าและลำคอ
                      • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime เหมาะกับ ผู้ที่ต้องการยกกระชับกรอบหน้าให้ชัดเจนขึ้น
                      • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime เหมาะกับ ผู้ที่มีปัญหาเปลือกตาตก หนังตาหย่อนคล้อย
                      • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime เหมาะกับ ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ยกกระชับผิวหน้าแบบไม่ต้องผ่าตัด
                      • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime เหมาะกับ ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ยาวนานอย่างเป็นธรรมชาติ

                       

                      ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE เหมาะกับใคร?

                      • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE เหมาะกับ ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 25-50 ปี หรือ ผู้ที่เริ่มมีปัญหาผิวหย่อนคล้อยจากอายุที่เพิ่มขึ้น
                      • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE เหมาะกับ ผู้ที่มีปัญหากล้ามเนื้อใบหน้าอ่อนแรง
                      • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE เหมาะกับ ผู้ที่มีปัญหาใบหน้าหย่อนคล้อยเล็กน้อยถึงปานกลาง
                      • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE เหมาะกับ ผู้ที่มีปัญหามวลกล้ามเนื้อใบหน้าลดลง ทำให้ใบหน้าดูไม่กระชับ
                      • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE เหมาะกับ ผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าให้ได้สัดส่วนและกรอบหน้าชัดเจนขึ้น
                      • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE เหมาะกับ ผู้ที่ต้องการยกกระชับผิวหน้าโดยไม่ต้องเจ็บปวด
                      • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE เหมาะกับ ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูคอลลาเจนและความยืดหยุ่นของผิว
                      • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE เหมาะกับ ผู้ที่มีเวลาน้อย เพราะไม่ต้องพักฟื้น

                       

                      ข้อดีของการทำยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ulthera Prime และโปรแกรม EMFACE
                      ข้อดีของการทำยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime และโปรแกรม EMFACE

                       

                      ข้อดีของการทำยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime และโปรแกรม EMFACE

                      โปรแกรม Ulthera และโปรแกรม EMFACE เป็นเทคโนโลยียกกระชับผิวหน้าที่ให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน โดยมีข้อดีที่โดดเด่น ดังนี้

                      ข้อดีของ Ultherapy Prime

                      • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime สามารถยกกระชับผิวลึกถึงชั้น SMAS โดยไม่ต้องผ่าตัด
                      • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime แก้ไขปัญหาผิวหย่อนคล้อยได้อย่างชัดเจน
                      • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน
                      • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime ช่วยฟื้นฟูโครงสร้างผิวจากภายใน ทำให้ผิวแน่นและยืดหยุ่นขึ้น
                      • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime ผลลัพธ์อยู่ได้นานถึง 12-24 เดือน หลังทำเพียงครั้งเดียว
                      • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น สามารถใช้ชีวิตประจำวันหลังทำ
                      • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime สามารถยกกระชับได้หลายบริเวณ เช่น ใบหน้า ลำคอ และ เนินอก
                      • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime ช่วยทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์และกระชับขึ้น
                      • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime เทคโนโลยีผ่านการรับรองจาก FDA ไม่เป็นอันตราย และมีประสิทธิภาพที่เชื่อถือได้

                       

                      ข้อดีของโปรแกรม EMFACE

                      • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE ช่วยยกกระชับผิวหน้าและกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อพร้อมกันอย่างมีประสิทธิภาพ
                      • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE ฟื้นฟูคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวกระชับ เต่งตึงมากขึ้น
                      • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE ไม่เจ็บปวด ไม่ต้องใช้ยาชา รู้สึกผ่อนคลายระหว่างทำ
                      • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE เห็นผลลัพธ์ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ
                      • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE ไม่ต้องพักฟื้น สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ทันทีหลังทำ
                      • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE ใช้เวลาทำเพียง 20-30 นาทีต่อครั้ง
                      • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE ลดเลือนริ้วรอยเล็ก ๆ บนใบหน้า โดยเฉพาะบริเวณหน้าผาก หางตา และรอบปาก
                      • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE เหมาะกับทุกสภาพผิว และทุกโทนสีผิว

                       

                      ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ulthera Prime และโปรแกรม EMFACE ช่วยอะไรบ้าง?
                      ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime และโปรแกรม EMFACE ช่วยอะไรบ้าง?

                       

                      ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime และโปรแกรม EMFACE ช่วยอะไรบ้าง?

                      ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime และโปรแกรม EMFACE เป็นเทคโนโลยียกกระชับผิวที่ล้ำสมัย แต่มีจุดเด่นและการทำงานที่แตกต่างกัน ซึ่งช่วยแก้ปัญหาผิวในหลายมิติ ดังนี้

                      ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime ช่วยอะไรบ้าง?

                      • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime ช่วยส่งพลังงานลงลึกถึงชั้น SMAS 
                      • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime ช่วยยกกระชับกรอบหน้าคมชัด ดูเรียวได้รูป
                      • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime ช่วยยกกระชับผิวหย่อนคล้อยบริเวณลำคอและใต้คาง
                      • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime ช่วยยกหางตาและคิ้ว ทำให้ดวงตากลมโตและอ่อนเยาว์ขึ้น
                      • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime ช่วยลดปัญหาหนังตาตก ยกเปลือกตาที่หย่อนคล้อยให้ดูสดใส
                      • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้ผิวแน่นและกระชับขึ้น
                      • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime ช่วยลดเลือนริ้วรอยลึก โดยเฉพาะบริเวณหน้าผาก รอบดวงตา และร่องแก้ม
                      • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime ช่วยฟื้นฟูความยืดหยุ่นของผิว ให้กลับมาอ่อนเยาว์อีกครั้ง

                       

                      โปรแกรม EMFACE ช่วยอะไรบ้าง?

                      • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE ช่วยให้ใบหน้ายกกระชับขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
                      • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE ช่วยกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อเพื่อให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์
                      • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE ช่วยสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ใต้ผิว
                      • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE ช่วยลดริ้วรอยตื้น โดยเฉพาะบริเวณหน้าผาก รอบดวงตา และร่องแก้ม
                      • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE ช่วยยกผิวหนังชั้นบนที่หย่อนคล้อยให้กระชับขึ้น
                      • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE ช่วยทำให้กรอบหน้าดูเรียวได้รูปมากขึ้น
                      • ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE ช่วยลดความหย่อนคล้อยบริเวณแก้ม ให้กระชับและเต่งตึงขึ้น

                       

                      ยกกระชับผิวหน้า Ultherapy Prime และโปรแกรม EMFACE เลือกเทคโนโลยีไหนให้เหมาะกับคุณ?

                      การเลือกเทคโนโลยีระหว่างโปรแกรม Ultherapy Prime และโปรแกรม EMFACE ขึ้นอยู่กับปัญหาผิว สภาพผิว และผลลัพธ์ที่ต้องการ โดยแต่ละเทคโนโลยีมีจุดเด่นและการทำงานที่แตกต่างกัน โดยหลักการเลือกเทคโนโลยียกกระชับผิวหน้า มีดังนี้

                      • หากมีปัญหาผิวหย่อนคล้อยอย่างชัดเจน และต้องการยกกระชับในชั้นลึกถึง SMAS การเลือกยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime จะตอบโจทย์ได้ดี
                      • หากคุณต้องการยกกระชับใบหน้าในระดับกล้ามเนื้อ พร้อมฟื้นฟูผิวโดยไม่เจ็บปวด การเลือกยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE เป็นตัวเลือกที่เหมาะสม

                      ปัจจัยที่ควรพิจารณาก่อนเลือกการยกกระชับผิวหน้าโปรแกรมUltherapy Prime และโปรแกรม EMFACE

                      • ปัญหาผิว

                      หากมีปัญหาผิวหย่อนคล้อยลึกและต้องการยกกระชับผิวชั้น SMAS จะเหมาะสำหรับยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime แต่ถ้าหากปัญหาหลักคือกล้ามเนื้อใบหน้าอ่อนแรงร่วมกับผิวหย่อนคล้อยเล็กน้อย จะเหมาะสำหรับยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE มากกว่า

                      • ระดับความหย่อนคล้อย

                      กรณีผิวมีความหย่อนคล้อยในระดับปานกลางถึงมาก ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime จะให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน ส่วนผิวมีความหย่อนคล้อยในระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE จะเหมาะสมและเห็นผลได้ดี

                      • ช่วงอายุ

                      ผู้ที่มีอายุระหว่าง 30-60 ปี เป็นช่วงวัยที่เผชิญกับปัญหาผิวหย่อนคล้อยอย่างชัดเจน เหมาะสำหรับการยกกระชับผิวหน้าด้วยโปรแกรม Ultherapy Prime สำหรับผู้ที่มีอายุระหว่าง 25-50 ปี ที่ต้องการดูแลผิว ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE เป็นทางเลือกที่เหมาะสม

                      • ระยะเวลาพักฟื้น

                      ทั้งยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ulthera SPT และโปรแกรม EMFACE ต่างเหมาะสำหรับผู้ที่ไม่มีเวลาพักฟื้น เพราะทั้ง 2 เทคโนโลยีสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันปกติหลังทำได้ทันที

                      • ผลลัพธ์ยกกระชับ

                      หากต้องการผลลัพธ์ที่ยาวนานต่อเนื่องโปรแกรม Ultherapy Prime จะตอบโจทย์มากกว่า แต่ถ้าหากต้องการเห็นผลลัพธ์อย่างรวดเร็วหลังทำครั้งแรก ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE สามารถมอบผลลัพธ์ที่ดีได้ทันที

                       

                      การเตรียมตัวก่อนยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime และโปรแกรม EMFACE

                      • ก่อนทำโปรแกรม Ultherapy Prime และโปรแกรม EMFACE ควรเข้ารับคำปรึกษากับแพทย์เพื่อประเมินสภาพผิวและวางแผนการรักษา
                      • ก่อนทำโปรแกรม Ultherapy Prime และโปรแกรม EMFACE งดยาในกลุ่มยาต้านการแข็งตัวของเลือด อย่างน้อย 1 สัปดาห์
                      • ก่อนทำโปรแกรม Ultherapy Prime และโปรแกรม EMFACE งดอาหารเสริมบางชนิด เช่น วิตามินอี น้ำมันปลา โสม
                      • ก่อนทำโปรแกรม Ultherapy Prime และโปรแกรม EMFACE งดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ AHA BHA และ Retinol อย่างน้อย 1 สัปดาห์
                      • ก่อนทำโปรแกรม Ultherapy Prime และโปรแกรม EMFACE งดการทำทรีตเมนต์ผิวหน้า ประมาณ 2 สัปดาห์ 
                      • ก่อนทำโปรแกรม Ultherapy Prime และโปรแกรม EMFACE หลีกเลี่ยงเลเซอร์ผิว ประมาณ 2 สัปดาห์ 
                      • ก่อนทำโปรแกรม Ultherapy Prime และโปรแกรม EMFACE หลีกเลี่ยงแสงแดดจัด หรือ ตากแดดเป็นเวลานาน
                      • ก่อนทำโปรแกรม Ultherapy Prime และโปรแกรม EMFACE หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก
                      • ก่อนทำโปรแกรม Ultherapy Prime และโปรแกรม EMFACE งดแต่งหน้าหรือบำรุงผิวด้วยสกินแคร์ในวันทำหัตถการ
                      • ก่อนทำโปรแกรม Ultherapy Prime และโปรแกรม EMFACE ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ

                       

                      การดูแลตัวเองหลังยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime และโปรแกรม EMFACE

                      • หลังทำโปรแกรม Ultherapy Prime และโปรแกรม EMFACE หลีกเลี่ยงการขัดผิว สครับผิว อย่างน้อย 1 สัปดาห์
                      • หลังทำโปรแกรม Ultherapy Prime และโปรแกรม EMFACE หลีกเลี่ยงการถูหรือกดใบหน้า ในช่วง 3-5 วันแรก
                      • หลังทำโปรแกรม Ultherapy Prime และโปรแกรม EMFACE งดอบซาวน่า อบไอน้ำ อย่างน้อย 1 สัปดาห์
                      • หลังทำโปรแกรม Ultherapy Prime และโปรแกรม EMFACE งดออกกำลังกายหนักที่ทำให้เหงื่อออกมากใน 48 ชั่วโมงแรก
                      • หลังทำโปรแกรม Ultherapy Prime และโปรแกรม EMFACE งดใช้สกินแคร์ที่มีกรดผลัดเซลล์ผิว เช่น AHA, BHA และ Retinol ประมาณ 1 สัปดาห์
                      • หลังทำโปรแกรม Ultherapy Prime และโปรแกรม EMFACE ควรทาครีมบำรุงผิวที่อ่อนโยน เพื่อช่วยให้ผิวชุ่มชื้นขึ้น
                      • หลังทำโปรแกรม Ultherapy Prime และโปรแกรม EMFACE ควรดื่มน้ำให้เพียงพอ ช่วยให้ผิวฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
                      • หลังทำโปรแกรม Ultherapy Prime และโปรแกรม EMFACE ควรทาครีมกันแดด SPF 50 PA+++ ทุกวัน

                       

                      รวมคำถามต้องรู้ก่อนทำยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime และโปรแกรม EMFACE

                       

                      ระหว่างยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime และโปรแกรม EMFACE ควรเลือกเทคโนโลยีไหน?

                      • หากมีปัญหาผิวหย่อนคล้อยในระดับลึก เช่น กรอบหน้าไม่ชัด หนังตาตก หรือผิวหย่อนคล้อย ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime จะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม เพราะสามารถยกกระชับได้ถึงชั้นผิวที่ลึก แบบไม่ต้องผ่าตัด แต่ถ้าหากมีปัญหาผิวหย่อนคล้อยระดับตื้น กล้ามเนื้อใบหน้าอ่อนแรง และต้องการเห็นผลลัพธ์รวดเร็วโดยไม่เจ็บปวด ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE จะเหมาะสมกว่า เพราะสามารถฟื้นฟูกล้ามเนื้อและผิวชั้นบนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

                       

                      ทำยกกระชับผิวหน้าโปรแกรมUltherapy Prime และโปรแกรม EMFACE ควบคู่กันได้หรือไม่?

                      • สามารถทำยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime และโปรแกรม EMFACE ควบคู่กันได้ เพราะทั้งสองเทคโนโลยีทำงานในชั้นผิวที่แตกต่างกัน โดยยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime จะเน้นยกกระชับชั้น SMAS ในระดับลึก ขณะที่ยกกระชับผิวหน้า EMFACE จะเน้นฟื้นฟูกล้ามเนื้อและผิวชั้นบน การทำทั้งสองหัตถการร่วมกัน จะช่วยให้ผลลัพธ์ที่ได้มีประสิทธิภาพสูงสุด ครอบคลุมทั้งชั้นลึกและชั้นตื้น

                       

                      ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime และโปรแกรม EMFACE มีผลข้างเคียงอะไรบ้าง?

                      • ทั้งยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime และโปรแกรม EMFACE มีผลข้างเคียงที่น้อยมาก โดยยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime อาจทำให้มีอาการบวม แดง หรือรู้สึกตึงผิวเล็กน้อยหลังทำ ซึ่งอาการเหล่านี้จะหายไป ภายใน 1-2 วัน ส่วนยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE อาจทำให้รู้สึกตึงหรือระคายเคืองเล็กน้อยที่บริเวณกล้ามเนื้อใบหน้า ซึ่งอาการดังกล่าวมักหายไปภายในไม่กี่ชั่วโมง

                       

                      อายุเท่าไหร่ควรเริ่มทำยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime หรือโปรแกรม EMFACE?

                      • การทำยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุประมาณ 30-60 ปี ซึ่งมักเริ่มมีปัญหาผิวหย่อนคล้อยอย่างชัดเจน ขณะที่โปรแกรม EMFACE เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุระหว่าง 25-50 ปี ซึ่งเริ่มสังเกตเห็นปัญหาผิวหย่อนคล้อยเล็กน้อยและต้องการฟื้นฟูกล้ามเนื้อใบหน้า

                       

                      ต้องทำยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime หรือโปรแกรม EMFACE บ่อยแค่ไหนถึงจะได้ผลดี?

                      • สำหรับยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime การทำ 1 ครั้งต่อปี ก็เพียงพอที่จะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนและยาวนาน แต่สำหรับยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม EMFACE ควรทำตามโปรแกรมแนะนำ คือ 4 ครั้งต่อเนื่อง เพื่อกระตุ้นกล้ามเนื้อและผิวอย่างเต็มที่ หลังจากนั้นควรทำซ้ำปีละ 1-2 ครั้งเพื่อคงสภาพผิวที่ยกกระชับ

                       

                      ยกกระชับผิวหน้าโปรแกรมUltherapy Prime และโปรแกรม EMFACE มีความอันตรายไหม?

                      • ทั้งยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime และโปรแกรม EMFACE เป็นเทคโนโลยีที่ผ่านการรับรองจาก US FDA (องค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกา) ว่าไม่เป็นอันตรายและมีประสิทธิภาพในการยกกระชับผิวหน้า โดยผลข้างเคียงที่พบได้น้อยมากและมักเป็นเพียงอาการชั่วคราว ทั้งสองเทคโนโลยีสามารถทำได้โดยไม่ต้องกังวลถึงผลกระทบระยะยาว

                       

                      การทำยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime หรือโปรแกรม EMFACE สามารถใช้ร่วมกับการรักษาอื่นได้ไหม?

                      • การทำยกกระชับผิวหน้าโปรแกรม Ultherapy Prime หรือโปรแกรม EMFACE สามารถใช้ร่วมกับการรักษาอื่น ๆ ได้ เช่น โปรแกรมฉีดโบ, โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ หรือโปรแกรมเลเซอร์ อย่างไรก็ตาม ควรปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนการรักษาอย่างเหมาะสม เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากผลข้างเคียง และเพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาดี

                       

                      โปรแกรม Ultherapy Prime และ EMFACE ต่างก็เป็นเทคโนโลยียกกระชับผิวหน้า ที่ตอบโจทย์ปัญหาผิวหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ด้วยระบบการทำงานและจุดเด่นที่แตกต่างกัน การเลือกเทคโนโลยีที่เหมาะสมจึงขึ้นอยู่กับสภาพผิว ปัญหาที่ต้องการแก้ไข และผลลัพธ์ที่คาดหวัง

                       

                      ซึ่งหากใครกำลังมองหาการยกกระชับที่ลงลึกถึงชั้น SMAS เพื่อจัดการกับปัญหาผิวหย่อนคล้อยอย่างชัดเจน พร้อมทั้งต้องการผลลัพธ์ที่ยาวนาน โปรแกรม Ultherapy Prime คือคำตอบที่เหมาะสม ในทางกลับกัน หากต้องการยกกระชับผิวพร้อมกับฟื้นฟูกล้ามเนื้อใบหน้า เพิ่มความกระชับในชั้นตื้น และต้องการเห็นผลลัพธ์ที่รวดเร็วโดยไม่ต้องพักฟื้น EMFACE จะเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ได้เป็นอย่างดี

                       

                      อย่างไรก็ตาม การผสมผสานพลังของทั้งสองเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะจะช่วยเสริมประสิทธิภาพ ในการยกกระชับผิวหน้าได้อย่างครอบคลุมทุกชั้นผิว ตั้งแต่ชั้นลึกจนถึงชั้นตื้น พร้อมฟื้นฟูกล้ามเนื้อและคอลลาเจนอย่างเต็มประสิทธิภาพ

                      คว้าโล่อันทรงเกียรติ SAPPHIRE AWARD ในงาน AA Award Recognition Night by Allergan Aesthetics

                      AA Award Recognition Night by Allergan Aesthetics

                      รมย์รวินท์คลินิก คว้าโล่อันทรงเกียรติ SAPPHIRE AWARD ในงาน AA Award Recognition Night by Allergan Aesthetics

                       

                      รมย์รวินท์คลินิก สถาบันดูแลความงามและผิวพรรณชั้นนำของประเทศไทย ได้รับโล่เกียรติยศ SAPPHIRE AWARD จากงาน AA Award Recognition Night by Allergan Aesthetics ซึ่งจัดขึ้น เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2568 ณ UOB LIVE EMSPHERE บนชั้น 6 ของศูนย์การค้าเอ็มสเฟียร์ ท่ามกลางบรรยากาศอันหรูหรา ภายใต้ธีม “The Whole City Will Stop and Stare”

                       

                      โล่เกียรติยศนี้สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นเลิศของรมย์รวินท์คลินิก ในการให้บริการด้านการปรับรูปหน้าและลดเลือนริ้วรอยแห่งวัย ด้วยเทคโนโลยีและเทคนิคที่ได้รับการรับรองในระดับสากล โดยภายในงาน พญ.ฐานิสร ธรรมลิขิตกุล (ว.10656) พร้อมด้วยทีมแพทย์ ได้แก่ นพ.วรวัฒน์ แสงทองสกาว (ว.31152), พญ.ธิรดา จิตตการ (ว.30170) และ พญ.วรรณวิมล มรรณรักษ์ (ว.27827) นพ.วรวัฒน์ แสงทองสกาว (ว.31152) ได้เข้าร่วมงานในครั้งนี้

                       

                      AA Award Recognition Night by Allergan Aesthetics
                      AA Award Recognition Night by Allergan Aesthetics

                       

                      รมย์รวินท์คลินิก ผู้นำแห่งเทคโนโลยีการปรับรูปหน้าและดูแลผิวพรรณ

                      โล่เกียรติยศ SAPPHIRE AWARD เป็นสิ่งที่ยืนยันถึงมาตรฐานอันเป็นเลิศของ รมย์รวินท์คลินิก ที่ได้รับความไว้วางใจจาก Allergan Aesthetics แบรนด์เวชภัณฑ์ด้านความงามระดับโลก ในฐานะผู้ให้บริการที่มีความเชี่ยวชาญด้านโปรแกรมฉีดโบ และ โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยคืนความอ่อนเยาว์ให้กับผิวพรรณ ปรับรูปหน้า และเสริมสร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้บริการ

                       

                      รมย์รวินท์คลินิก เพื่อผลลัพธ์ที่เหนือระดับ

                      รมย์รวินท์คลินิก ได้นำเทคนิคเฉพาะมาผสมผสานกับผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียม เพื่อให้การดูแลผิวพรรณและการปรับรูปหน้าเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

                      เทคนิคของรมย์รวินท์ คลินิก ที่ช่วยให้แพทย์สามารถ วิเคราะห์และเลือกโปรแกรมที่เหมาะสมกับสภาพผิว ปัญหาผิว และโครงหน้าของแต่ละบุคคล โดยใช้หลักการยกกระชับและฟื้นฟูโครงสร้างผิวแบบองค์รวม เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ ไม่แข็งตึง และสามารถ คงความอ่อนเยาว์ของผิวได้อย่างยั่งยืน นอกจากนี้ ยังช่วย ลดเลือนริ้วรอย ปรับสมดุลของใบหน้า และคืนความกระชับให้กับผิว ได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ

                      • การออกแบบเฉพาะบุคคล 

                      การวิเคราะห์โครงหน้าและออกแบบแผนการรักษาเฉพาะบุคคล โดยทีมแพทย์เฉพาะทางของรมย์รวินท์ คลินิก ที่มีความเชี่ยวชาญในการออกแบบการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติและสอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้บริการมากที่สุด การรักษานี้อาศัยความแม่นยำทางการแพทย์ผสานกับเทคนิคเฉพาะของรมย์รวินท์ ทำให้สามารถเลือกใช้เทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับโครงสร้างใบหน้าและสภาพผิวของแต่ละคนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อมอบความงามที่ดูดีและมั่นใจในแบบที่เป็นคุณ

                      • ให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติและยั่งยืน

                      เทคนิค Lifting Select ช่วยให้ผลลัพธ์ของการยกกระชับ ดูเป็นธรรมชาติ ไม่แข็งตึง ไม่ทำให้ใบหน้าดูแข็งหรือไร้อารมณ์ แต่ยังคงความอ่อนเยาว์อย่างสมดุล พร้อมทั้งช่วยฟื้นฟูโครงสร้างผิวจากภายใน กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวแน่นกระชับ แลดูสุขภาพดีขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ และสามารถ คงผลลัพธ์ของการยกกระชับได้อย่างยาวนาน โดยไม่ต้องศัลยกรรม

                       

                      AA Award Recognition Night by Allergan Aesthetics
                      AA Award Recognition Night by Allergan Aesthetics

                       

                      โปรแกรมฉีดโบ และ โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ กับคุณสมบัติที่ช่วยดูแลผิวให้สวยสมบูรณ์แบบ

                      ผลิตภัณฑ์ของ Allergan Aesthetics เป็นที่ยอมรับในระดับโลก โดยเฉพาะ สารออกฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อ (โปรแกรมฉีดโบ) และ สารเติมเต็ม (โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์) ซึ่งช่วยฟื้นฟูและปรับแต่งโครงหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยรมย์รวินท์คลินิก ได้นำเทคนิคเฉพาะมาใช้ร่วมกับผลิตภัณฑ์เหล่านี้ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติและเหมาะสมกับแต่ละบุคคล

                      คุณสมบัติของโปรแกรมฉีดโบ — เทคโนโลยีช่วยลดเลือนริ้วรอย ปรับรูปหน้าให้ดูอ่อนเยาว์

                      • ลดริ้วรอยบริเวณหน้าผาก ระหว่างคิ้ว และรอบดวงตา
                      • ปรับกรอบหน้าให้เรียวกระชับ ลดขนาดกราม
                      • ลดเหงื่อบริเวณรักแร้และฝ่ามือ
                      • ให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติและไม่ทำให้ใบหน้าแข็งตึง

                      คุณสมบัติของโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ — เติมเต็มและปรับแต่งรูปหน้าเพื่อความสมบูรณ์แบบ

                      • ช่วยเติมเต็มร่องลึก เช่น ร่องแก้ม ร่องใต้ตา ให้ดูสดใสขึ้น
                      • ปรับรูปปาก คาง และสันกราม ให้ได้สัดส่วนที่เหมาะสม
                      • เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ทำให้ใบหน้าดูสดใสและอิ่มน้ำ
                      • ใช้สารเติมเต็มที่ปลอดภัยและสลายได้เองตามธรรมชาติ

                       

                      AA Award Recognition Night by Allergan Aesthetics
                      AA Award Recognition Night by Allergan Aesthetics

                       

                      รมย์รวินท์คลินิก มาตรฐานระดับสากลที่คุณวางใจได้

                      รมย์รวินท์คลินิก ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีด้านความงามอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับมาตรฐานการดูแลผิวพรรณและความงามให้เทียบเท่าระดับสากลโล่เกียรติยศที่ได้รับในวันนี้ SAPPHIRE AWARD เป็นเครื่องหมายการันตีถึงความเชี่ยวชาญและความไว้วางใจที่ลูกค้ามอบให้มาโดยตลอด เพราะเราเชื่อว่า “ความมั่นใจที่แท้จริงเริ่มต้นจากการดูแลตัวเองอย่างถูกวิธี” และเราพร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการดูแลและส่งมอบความมั่นใจให้กับทุกคน

                      ROMRAWIN X ULTRACOL เตรียมฮ้อบกับคู่จิ้น NET JJ 

                      Meet & Greet NETJJ

                      ROMRAWIN X ULTRACOL เตรียมฮ้อบกับคู่จิ้น NET JJ 

                       

                      มาเหยินกันให้สุด เตรียมมาฮ้อบกันให้หนัก ฟินจนต้องหาหมอฟันใกล้คุณ เพราะต่อจากนี้ไปทุกพื้นที่ของสีลม คอมเพล็กซ์จะต้องมีแต่เสียงกรี๊ดที่เต็มไปด้วยความฟิน ความจิ้นที่หนักมากกกจนคนในพื้นที่อาจลืมหายใจ

                      เพราะรมย์รวินท์คลินิกเปิดฉลอง Grand Opening สาขาสีลมคอมเพล็กซ์ นอกจากจะมอบให้คุณในเรื่องความสวยแบบครบวงจรแล้ว แค่นี้มันยังน้อยไป ถ้าไม่ได้เสิร์ฟความฟินก็คงจะไม่ใช่รมย์รวินท์คลินิก

                      ครั้งนี้ Romrawin ชีเสิร์ฟ ชีป้อนความฟินให้ถึงมือด้วยคู่จิ้นสุดฮอต ที่เคมีเข้ากันม๊ากมากก มากจนทำให้คุณอาจเกิดอาการฮ้อบ อาการเหยิน จนต้องเตรียมจองคิวคลินิกจัดฟันใกล้คุณเอาไว้เลย เหล่าแฟนคลับพร้อมหรือยัง

                       

                      Meet & Greet NETJJ
                      ROMRAWIN X ULTRACOL เตรียมฮ้อบกับคู่จิ้น NET JJ

                      พร้อมไปดูกติกาการร่วมกิจกรรมกันเลย

                       

                      เพียงแค่ซื้อบริการสินค้าโปรแกรม Ultra PDO Booster หรือโปรแกรม Secret Glow Skin ในช่วงเวลาที่กำหนดก็รับไปเลยสิทธิ์ Meet & Greet กับสองหนุ่มคู่จิ้น เน็ต สิรภพ และ เจเจ รัชพล ไปเล๊ยยย

                       

                      Meet & Greet NETJJ

                      ผู้โชคดี 24 ท่านแรกที่มียอดซื้อโปรแกรม Ultra PDO Booster หรือโปรแกรม Secret Glow Skin และมียอดซื้อโปรแกรม Ultra PDO Booster หรือโปรแกรม Secret Glow Skin 15,900 บาทขึ้นไปผ่านช่องทางออนไลน์เท่านั้น ในวันที่ 10 มีนาคม – 25 มีนาคม 2568

                      โดยจะยึดจากลำดับการลงทะเบียน พร้อมทั้งอัปโหลดหลักฐานในการชำระเงิน และตรวจสอบจาก

                       

                      • ลำดับในการลงทะเบียนที่อัปโหลดหลักฐานในการชำระเงิน
                      • วันและเวลาในการชำระเงินผ่านบัตร หรือโอนเงินที่ปรากฎในสลิปทางออนไลน์เท่านั้น
                      • ผู้ที่ทำครบถ้วนตามกติกาที่ทางรมย์รวินท์คลินิกกำหนดและมีการตรวสจสอบแล้วว่าหลักฐานถูกต้อง 

                       

                      ** สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่แอดมินออนไลน์ทุกช่องทาง

                       

                      งานนี้แฟนคลับของทั้งสองหนุ่มไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง ไม่งั้นจะคุยกับแก๊งค์ไม่รู้เรื่องนะ 

                      อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ >> https://www.facebook.com/RomrawinClinic

                       

                      งานนี้ใครไวกว่าได้ฮ้อบก่อน เพราะผู้โชคดีที่รมย์รวินท์คลินิกจะให้ฮ้อบใกล้ๆ หนุ่มคู่จิ้นเน็ต-เจเจ มีเพียง 24 ท่านแรกเท่านั้นนะ!!

                       

                      ” ประกาศรายชื่อผู้โชคดีทั้ง 24 ท่านที่ได้เข้าร่วม Meet & Greet with NET JJ ในวันที่ 25 มีนาคม 2568 ผ่านทาง Facebook Fanpage : Romrawin Clinic 

                       

                      อ๊ะ อ๊ะ!! รมย์รวินท์คลินิกขอเตือนแฟนคลับกันไว้ก่อนเลยนะ งานนี้ไม่มีการจำหน่ายบัตรเข้างาน โปรดระวังมิจจี้ด้วยนะจ๊ะ 

                       

                      ใครร่วมกิจกรรมและทำถูกกติกาแล้วก็ปักหมุดรอวันงานไว้เลย 

                       

                      แล้วอย่าลืม!!เตรียมตัว เตรียมหน้า เตรียมเสียงให้พร้อม แล้วมาพบกับ เน็ต-เจเจ ที่รมย์รวินท์คลินิก สาขาสีลม คอมเพล็กซ์ ในวันที่ 28 มีนาคม 2568 นะ

                       

                      หมายเหตุ

                      • ผู้โชคดี 1 ท่าน / สิทธิ์เท่านั้น
                      • ไม่สามารถเปลี่ยนเป็นของรางวัลหรือเงินสดได้
                      • ไม่สามารถโอนสิทธิ์รางวัลที่ได้รับให้ผู้อื่นได้
                      • ไม่สามารถเปลี่ยนของรางวัลเป็นโปรแกรม หัตถการในคลินิกได้
                      • คำตัดสินของคณะกรรมการถือเป็นที่สิ้นสุด
                      • กิจกรรม Meet & Greet จัดวันที่ 28 มีนาคม 2568 ที่รมย์รวินท์คลินิก สาขาสีลม คอมเพล็กซ์
                      • เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด โปรดตรวจสอบรายละเอียดและเงื่อนไขเพิ่มเติมกับทางเจ้าหน้าที่หน้างานอีกครั้ง

                      1 Decade of Merz Aesthetics Gala Thank you very Merz

                      1 Decade of Merz Aesthetics Gala Thank you very

                      รมย์รวินท์คลินิก คว้า 4 ความสำเร็จ จาก เมิร์ซ เอสเธติกส์ ในงาน 1 Decade of Merz Aesthetics Gala: Thank you very Merz

                      รมย์รวินท์คลินิก สร้างปรากฏการณ์ครั้งสำคัญในวงการความงาม คว้า 4 ความสำเร็จ ในงาน “1 Decade of Merz Aesthetics Gala: Thank you very Merz” ณ Royal Paragon Hall, Siam Paragon ท่ามกลางบรรยากาศแห่งความหรูหราและคนจากแวดวงความงาม

                       

                      1 Decade of Merz Aesthetics Gala Thank you very
                      1 Decade of Merz Aesthetics Gala Thank you very

                       

                      งานนี้รมย์รวินท์คลินิก นำทีมโดย มาดามจอย – ขวัญฤทัย ดำรงค์วัฒนโภคิน พร้อมแพทย์ของรมย์รวินท์คลินิก ได้เข้าร่วมเฉลิมฉลองวาระสำคัญนี้ ซึ่งงานนี้ มาดามจอย ได้เป็นตัวแทนขึ้นรับรางวัลอันทรงเกียรติจาก เภสัชกรหญิง กิตติวรรณ รัตนจันทร์ ผู้บริหารสูงสุดของริษัท เมิร์ซ เอสเธติกส์ ประเทศไทย ได้มอบ 4 โล่อันทรงเกียรติ แสดงถึงความสำเร็จ แห่งวงการความงาม ให้กับรมย์รวินท์คลินิก ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาให้บริการที่ครอบคลุมทุกมิติของการดูแลผิวพรรณ

                       

                      1 Decade of Merz Aesthetics Gala Thank you very
                      1 Decade of Merz Aesthetics Gala Thank you very

                      4 ความสำเร็จของรมย์รวินท์คลินิก 1 Decade of Merz Aesthetics Gala Thank you very Merz

                      รมย์รวินท์คลินิกมุ่งมั่นคัดสรรเทคโนโลยีความงามจากทั่วโลก พร้อมยกระดับมาตรฐานการให้บริการที่เหนือระดับ เพื่อให้ลูกค้าได้รับการดูแลที่มีประสิทธิภาพ โดยในปีนี้ได้รับ ถึง 4 ความสำเร็จ ได้แก่

                      The Thailand Top 50 Aesthetics Award for Xeomin

                      รางวัลนี้สะท้อนถึงการให้บริการโปรแกรมฉีดโบ น้ำเงิน ซึ่งเป็นโปรแกรมโบลดริ้วรอย ที่ปราศจากโปรตีนที่ไม่จำเป็น ทำให้ช่วยลดเลือนริ้วรอย ป้องกันการดื้อยา และให้ผลลัพธ์ที่เรียบเนียนไม่แข็ง ไม่ดูหลอก

                       

                      1 Decade of Merz Aesthetics Gala Thank you very
                      1 Decade of Merz Aesthetics Gala Thank you very

                      Chain Clinic, The Thailand Top Achiever for Ultherapy Transducer

                      รมย์รวินท์คลินิก ได้รับรางวัลนี้จากการนำเข้าโปรแกรม Ultherapy เทคโนโลยียกกระชับผิวด้วยคลื่นเสียงอัลตราซาวนด์ที่สามารถลงลึกถึงชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นเดียวกับที่ศัลยแพทย์ใช้ในการผ่าตัดดึงหน้า โดยไม่ต้องผ่าตัด เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าให้ดูอ่อนเยาว์

                      The Thailand Top 10 Aesthetics Award for Belotero

                      รางวัลนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงมาตรฐานของรมย์รวินท์คลินิก ในการให้บริการโปรแกรมฉีด Belotero สูงเป็นอันดับ 10 ในประเทศไทย โปรแกรมฉีด Belotero เป็นโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เนื้อละเอียดจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ที่สามารถเติมเต็มริ้วรอยร่องลึก และปรับโครงหน้าได้ ช่วยให้ผิวเรียบเนียน สม่ำเสมอ และดูอ่อนเยาว์ โดยเฉพาะบริเวณใต้ตา ร่องแก้ม และริมฝีปาก

                       

                      1 Decade of Merz Aesthetics Gala Thank you very Merz"
                      1 Decade of Merz Aesthetics Gala Thank you very

                      The Thailand Top 10 Aesthetics Award for Radiesse

                      รมย์รวินท์คลินิก ได้รับรางวัลนี้จากการเป็นหนึ่งในคลินิกที่มีการใช้โปรแกรมฉีด Radiesse ซึ่งเป็นสาร Biostimulator โดดเด่นด้วยคุณสมบัติที่ช่วยกระตุ้นการสร้าง Collagen Type I และ III,Elastin (อีลาสติน) รวมถึง Proteoglycan และกระบวนการสร้างเส้นเลือดใหม่ (Angiogenesis) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการฟื้นฟูโครงสร้างผิวจากภายใน เสริมความแข็งแรงให้กับชั้นผิว เพิ่มความยืดหยุ่น และช่วยให้ผิวดูแน่นกระชับ เปล่งปลั่ง และแข็งแรง

                       

                      1 Decade of Merz Aesthetics Gala Thank you very
                      1 Decade of Merz Aesthetics Gala Thank you very

                      รมย์รวินท์คลินิก 22 ปี แห่งความมุ่งมั่น เพื่อความงามที่สมบูรณ์แบบในทุกมิติ

                      จากวันแรกจนถึงวันนี้ รมย์รวินท์คลินิก ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยี และการบริการเพื่อให้ตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมเป็นผู้นำในการอัปเดตเทรนด์ความงาม

                       

                      1 Decade of Merz Aesthetics Gala Thank you very
                      1 Decade of Merz Aesthetics Gala Thank you very

                       

                      เราให้ความสำคัญกับการเลือกใช้เทคโนโลยีที่ไม่เป็นอันตราย ปราศจากผลข้างเคียง ได้มาตรฐาน เพื่อให้ลูกค้าทุกท่านมั่นใจได้ว่าทุกการเข้ารับบริการที่รมย์รวินท์คลินิก จะได้รับการดูแลจากแพทย์ผู้มีความรู้เฉพาะด้านและใช้ผลิตภัณฑ์ที่ดีสำหรับแต่ละบุคคล

                       

                      1 Decade of Merz Aesthetics Gala Thank you very
                      1 Decade of Merz Aesthetics Gala Thank you very
                      1 Decade of Merz Aesthetics Gala Thank you very
                      1 Decade of Merz Aesthetics Gala Thank you very

                      และการที่บริษัท เมิร์ซ เอสเธติกส์ ประเทศไทย มอบ 4 รางวัลใหญ่ให้กับรมย์รวินท์คลินิกนั้น ก็มาจากความไว้วางใจของลูกค้าทุกท่านที่มอบให้กับเรา รมย์รวินท์คลินิกจะยังคงเดินหน้าคัดสรรสิ่งที่ดีที่สุด พร้อมให้บริการดูแลผิวพรรณและความงาม เพื่อให้ทุกท่านมั่นใจว่า “รมย์รวินท์คลินิก” คือคำตอบที่สมบูรณ์แบบที่สุดสำหรับการดูแลผิวพรรณ

                      ฉีดโบออฟฟิศซินโดรม ทางเลือกใหม่ แก้ปัญหาปวดคอ บ่า ไหล่

                      office syndrome

                      ฉีดโบออฟฟิศซินโดรม ทางเลือกใหม่ แก้ปัญหาปวดคอ บ่า ไหล่

                       

                      ปัญหาออฟฟิศซินโดรม เป็นปัญหาสุขภาพที่หลายคนกำลังเผชิญอยู่ และพบได้บ่อยมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะผู้ที่ต้องนั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน โดยไม่ได้มีการเปลี่ยนท่าทางที่เหมาะสม ส่งผลให้กล้ามเนื้อเกิดความตึงเครียด โดยเฉพาะบริเวณคอ บ่า ไหล่ และหลัง ซึ่งอาจนำไปสู่อาการปวดเมื่อยเรื้อรัง จนส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต และประสิทธิภาพในการทำงานได้

                      ปัจจุบัน มีทางเลือกในการรักษาอาการปวดเมื่อยจากออฟฟิศซินโดรมมากมาย ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ “โปรแกรมฉีดโบ” ซึ่งเป็นหัตถการที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน สามารถช่วยลดอาการปวดเมื่อยบริเวณคอ บ่า ไหล่ และหลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ บทความนี้ จะพาไปไขข้อสงสัยเกี่ยวกับโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรมอย่างละเอียดว่า โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรมคืออะไร? โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรมมีหลักการทำงานอย่างไร? และโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรมช่วยแก้ไขปัญหาอะไรได้บ้าง? เพื่อเป็นแนวทางในการตัดสินใจสำหรับผู้ที่กำลังมองหาวิธีรักษาออฟฟิศซินโดรมค่ะ

                       

                      โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม คืออะไร? เหมาะกับใคร?
                      โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม คืออะไร?

                       

                      โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม คืออะไร? เหมาะกับใคร? อัปเดต 2025

                      โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม คืออะไร?

                      โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม เป็นการรักษาที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน โดยการนำสารที่สกัดจากแบคทีเรียชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นโปรตีนบริสุทธิ์ที่ฉีดเข้าไปยังบริเวณกล้ามเนื้อที่เกิดการหดเกร็ง เพื่อให้กล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดคลายตัว และลดอาการปวดเมื่อยจากออฟฟิศซินโดรมได้เป็นอย่างดี ซึ่งปัญหาออฟฟิศซินโดรม มักเกิดจากการนั่งทำงานเป็นเวลานานในท่าที่ไม่ถูกต้อง ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณคอ บ่า ไหล่ และหลัง เกิดอาการตึงเครียด จนส่งผลเสียต่อสุขภาพโดยรวมได้

                       

                      โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม มีหลักการทำงานอย่างไร?

                      โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรมนั้น สามารถออกฤทธิ์ได้กับกล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดโดยตรง เมื่อฉีดโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม สารโปรตีนบริสุทธิ์จะเข้าไปยังบริเวณที่หดเกร็ง หรือถูกใช้งานอย่างหนักเป็นเวลานาน เช่น คอ บ่า ไหล่ และหลัง โดยจะ ยับยั้งสัญญาณประสาทที่ส่งไปยังกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อที่หดเกร็งซ้ำ ๆ เกิดการคลายตัว และลดความตึงเครียดลงชั่วคราว อีกทั้ง ยังลดการหลั่งสารที่ทำให้เกิดการหดตัวของกล้ามเนื้อ มีชื่อเรียกว่า “Trigger Point” ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อเรื้อรัง

                      โดย Trigger Point คือ จุดที่กล้ามเนื้อเกิดการหดเกร็งตัวอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน จนกลายเป็นก้อนแข็ง ๆ ขนาดเล็ก ซึ่งมักจะมีขนาดประมาณ 0.5 – 1 เซนติเมตร เมื่อกดลงไปที่จุดนี้จะรู้สึกเจ็บปวด และอาจปวดลามไปยังบริเวณอื่น ๆ ของร่างกายได้ ซึ่งส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นกับกล้ามเนื้อส่วนบน เช่น คอ บ่า ไหล่ และหลัง เนื่องจากการใช้งานกล้ามเนื้อที่ไม่เหมาะสม หรือการนั่งทำงานในท่าทางที่ไม่ถูกต้อง หากปล่อยไว้อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพโดยรวมได้ ดังนั้น โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรมจึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่สามารถลดอาการปวดเมื่อย แก้ปัญหาออฟฟิศซินโดรมบริเวณคอ บ่า ไหล่ และหลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

                       

                      ทำความรู้จักออฟฟิศซินโดรม คืออะไร?

                      ออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome) คือ อาการที่เกิดจากการนั่งทำงาน ในลักษณะที่ใช้กล้ามเนื้อมัดเดิมซ้ำ ๆ อย่างต่อเนื่องในท่าทางที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้บ่อยในกลุ่มพนักงานออฟฟิศ ที่ต้องนั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน ทำให้กล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ เกร็งตัวมากกว่าปกติ โดยเฉพาะบริเวณคอ บ่า ไหล่ และหลัง ส่งผลให้เกิดอาการปวดเมื่อยเรื้อรัง หรือเกิดการอักเสบ ซึ่งในบางกรณีอาจมีอาการปวดกระบอกตา หรือปวดศีรษะร่วมด้วย

                       

                      พฤติกรรมเสี่ยงออฟฟิศซินโดรม มีอะไรบ้าง?
                      พฤติกรรมเสี่ยงออฟฟิศซินโดรม มีอะไรบ้าง?

                       

                      พฤติกรรมเสี่ยงออฟฟิศซินโดรม มีอะไรบ้าง?

                      ปัญหาออฟฟิศซินโดรม ส่วนใหญ่มักเกิดจากพฤติกรรมในการใช้ชีวิตประจำวัน ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้ ล้วนเป็นปัจจัยที่นำไปสู่อาการปวดเมื่อยตามร่างกาย พบได้บ่อยในบริเวณคอ บ่า ไหล่ และหลัง หากปล่อยทิ้งไว้เป็นเวลานาน อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพ และคุณภาพชีวิตในระยะยาวได้ โดยพฤติกรรมเสี่ยง มีดังนี้

                      นั่งทำงานท่าเดิมนาน ๆ 

                      • การนั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน โดยไม่ได้มีการปรับเปลี่ยนท่าทาง หรือหยุดพัก เพื่อยืดเส้นยืดสาย อาจทำให้กล้ามเนื้อ และกระดูกต้องรองรับแรงกดดันอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้กล้ามเนื้อตึงเครียด และเกิดอาการปวดเมื่อยได้

                      ท่าทางการนั่งไม่เหมาะสม

                      • การนั่งทำงานในท่าทางที่ไม่เหมาะสม เช่น นั่งหลังค่อม นั่งคอไม่ตรง นั่งไขว่ห้าง หรือการนั่งท่าเดิม ๆ ซ้ำ ๆ อย่างต่อเนื่อง อาจส่งผลต่อกระดูกสันหลัง และกล้ามเนื้อ ทำให้เกิดอาการปวดเมื่อยได้

                      ยกของหนักผิดวิธี

                      • การยกของหนัก โดยไม่ได้ใช้ท่าทางที่ถูกต้อง หรือยกของหนักมากเกินไป อาจทำให้กล้ามเนื้อ และข้อต่อได้รับบาดเจ็บ จนเกิดอาการปวดเมื่อยได้

                      ความเครียด

                      • เมื่อรู้สึกเครียด ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนความเครียดออกมา ทำให้กล้ามเนื้อเกิดอาการเกร็ง และตึงเครียด โดยเฉพาะบริเวณคอ บ่า ไหล่ และหลัง ส่งผลให้เกิดอาการปวดเมื่อยต่าง ๆ ตามมา

                      การพักผ่อนไม่เพียงพอ 

                      • การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ ทำให้ร่างกายไม่สามารถฟื้นฟู และซ่อมแซมกล้ามเนื้อได้อย่างเต็มที่ ส่งผลให้กล้ามเนื้อเกิดอาการตึงเครียด และเมื่อยล้า โดยเฉพาะบริเวณคอ บ่า ไหล่ และหลัง

                      สภาพแวดล้อมในการทำงานไม่เหมาะสม 

                      • สภาพแวดล้อมในการทำงานไม่เหมาะสม เช่น โต๊ะทำงานสูงเกินไปหรือต่ำเกินไป นั่งเก้าอี้ที่ไม่รองรับสรีระ หรือแสงสว่างไม่เพียงพอ อาจทำให้กล้ามเนื้อหดตัว และเกิดอาการปวดเมื่อยตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ เช่น คอ บ่า ไหล่ และหลัง

                      ขาดการออกกำลังกาย

                      • การขาดการออกกำลังกาย ส่งผลให้เกิดออฟฟิศซินโดรมได้ เนื่องจากกล้ามเนื้ออ่อนแรง และขาดความยืดหยุ่น จนไม่สามารถรองรับการทำงานของร่างกายได้อย่างเต็มที่ เมื่อต้องนั่งทำงานท่าเดิมซ้ำ ๆ  เป็นเวลานาน ทำให้กล้ามเนื้อเกิดอาการตึงเครียด และปวดเมื่อยได้ง่าย

                       

                      อาการแบบไหนเข้าข่าย ออฟฟิศซินโดรม?
                      อาการแบบไหนเข้าข่าย ออฟฟิศซินโดรม?

                       

                      อาการแบบไหนเข้าข่าย ออฟฟิศซินโดรม?

                      ออฟฟิศซินโดรม มีลักษณะอาการที่หลากหลาย และแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล แต่โดยทั่วไปแล้ว อาการที่เข้าข่ายออฟฟิศซินโดรม มีดังนี้

                      • ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ มักเกิดขึ้นบริเวณคอ บ่า ไหล่ สะบัก และหลัง ซึ่งเป็นอาการที่พบได้บ่อยในผู้ที่เป็นออฟฟิศซินโดรม ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการนั่ง หรือยืนในท่าทางที่ไม่เหมาะสมเป็นเวลานาน 
                      • ปวดศีรษะ ในบางกรณี อาจมีอาการปวดศีรษะไมเกรนร่วมด้วย ซึ่งมักเกิดจากความเครียด หรือการใช้สายตาจดจ่อกับหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน
                      • ปวดกระบอกตา ตาล้าพร่ามัว เกิดจากการจ้องมองหน้าจอนาน หรือใช้สายตามากจนเกินไป ส่งผลให้เกิดอาการตาแห้ง ปวดกระบอกตา และตาล้าได้
                      • มือชาและนิ้วล็อก มักเกิดจากการที่ใช้งานมือ และข้อมือซ้ำ ๆ ในท่าเดิม ๆ เป็นเวลานาน ทำให้กล้ามเนื้อ และเส้นประสาทบริเวณนั้นถูกกดทับ รวมถึงเกิดการอักเสบได้
                      • ปวดตึง เหน็บชา ซึ่งส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นบริเวณแขน และขา เกิดจากการนั่งในท่าเดิมเป็นเวลานาน ทำให้การไหลเวียนของเลือดผิดปกติ

                       

                      โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม ช่วยแก้ปัญหาอะไรบ้าง?
                      โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม ช่วยแก้ปัญหาอะไรบ้าง?

                       

                      โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม ช่วยแก้ปัญหาอะไรบ้าง?

                      • โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม ช่วยลดอาการปวดเมื่อยเรื้อรังบริเวณคอ บ่า ไหล่ และหลัง ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดผ่อนคลายลง
                      • โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม ช่วยลดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ (Trigger Point) 
                      • โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม ช่วยให้ลำคอระหง ดูเรียวยาว และมีสัดส่วนที่สวยงาม
                      • โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม ช่วยให้ช่วงบ่า และไหล่มีความเรียวเล็ก มีสัดส่วน และรูปทรงที่เหมาะสม
                      • โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม ช่วยให้ร่างกายเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องตัวมากขึ้น สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
                      • โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม  ช่วยป้องกันไม่ให้อาการปวดเมื่อยลุกลามไปมากกว่าเดิม

                       

                      ใครที่เหมาะกับการทำโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม ?
                      ใครที่เหมาะกับการทำโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม ?

                       

                      ใครที่เหมาะกับการทำโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม ?

                      • โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม เหมาะสำหรับผู้ที่นั่งทำงานเป็นเวลานานโดยไม่เปลี่ยนท่าทาง
                      • โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการปวดคอ บ่า ไหล่ และหลังแบบเรื้อรัง
                      • โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาการยกไหล่ ไหล่ติด ไม่สามารถยกไหล่ได้อย่างเต็มที่
                      • โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการรับประทานยาแก้ปวด หรือเสี่ยงเป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบ
                      • โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม เหมาะสำหรับผู้ที่เคยลองรักษาออฟฟิศซินโดรมด้วยวิธีอื่นแต่ไม่ได้ผล
                      • โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม เหมาะสำหรับผู้ที่ออกกำลังกายหนัก ใช้งานกล้ามเนื้อมัดเดิมซ้ำ ๆ จนไหล่แข็ง
                      • โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาบ่าและไหล่ หัวไหล่มีความกว้าง ต้องการลดขนาดกล้ามเนื้อให้ดูเรียวเล็กมากขึ้น
                      • โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเห็นผลลัพธ์ที่รวดเร็ว

                       

                      ใครที่ไม่เหมาะกับการทำโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม?

                      • โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหากล้ามเนื้ออ่อนแรงขั้นรุนแรง
                      • โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม  ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีประวัติแพ้สารประกอบ ในโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม
                      • โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ ควรหลีกเลี่ยงไปก่อน
                      • โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังให้นมบุตร ควรหลีกเลี่ยงไปก่อน
                      • โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะเลือดหยุดไหลยาก
                      • โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีแผลติดเชื้อ ในบริเวณที่จะทำโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม 
                      • โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีความผิดปกติทางกล้ามเนื้อ และระบบประสาท

                       

                      ข้อดีของทำโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม

                      • โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม สามารถลดอาการปวดเมื่อยคอ บ่า ไหล่ได้อย่างตรงจุด
                      • โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม ไม่ต้องพักฟื้น หลังทำสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ
                      • โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม มีความสะดวก รวดเร็ว ใช้เวลาในการรักษาไม่นาน
                      • โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม สามารถเห็นผลลัพธ์ที่รวดเร็ว และจะเห็นผลลัพธ์ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ภายใน 7 – 14 วันหลังฉีด
                      • โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม สามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ได้รับการยอมรับในวงการแพทย์
                      • โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม ทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น โดยไม่ต้องรับประทานยาแก้ปวดอีกต่อไป

                       

                      ข้อเสียของการทำโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม

                      • โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม จะให้ผลลัพธ์เพียงชั่วคราว ไม่คงอยู่ถาวร โดยส่วนใหญ่แล้ว การทำโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม จะอยู่ได้นาน ประมาณ 3 – 6 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อโปรแกรมฉีดโบที่เลือกใช้ หลังจากนั้นอาการปวดเมื่อยอาจกลับมาเป็นอีก จึงต้องมีการฉีดซ้ำเป็นระยะเมื่อครบกำหนด
                      • โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม ไม่ใช่การแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ ดังนั้น จึงควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต และดูแลสุขภาพร่างกายควบคู่ไปด้วย
                      • โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม ต้องฉีดโดยแพทย์ที่มีความรู้ และมีประสบการณ์เท่านั้น เนื่องจากแพทย์จะเป็นผู้ประเมินปัญหาของแต่ละบุคคล เพื่อวางแผนการรักษา กำหนดตำแหน่งที่ต้องฉีดอย่างแม่นยำ และเลือกปริมาณยาที่เหมาะสม ลดโอกาสเสี่ยงให้การเกิดผลข้างเคียงอันตราย

                       

                      โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม แตกต่างจากการรักษาด้วยวิธีอื่นอย่างไร?

                      โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม มีความแตกต่างจากวิธีการรักษาอื่น ๆ อย่างชัดเจน ซึ่งแต่ละวิธีมีหลักการทำงานและข้อดีที่แตกต่างกันออกไป ดังนี้

                      โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม

                      • โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม เป็นการฉีดสารสกัดจากแบคทีเรียชนิดหนึ่ง ที่มีฤทธิ์ในการยับยั้งการทำงานของกล้ามเนื้อโดยตรง โดยจะเข้าไปบล็อกสัญญาณประสาทที่ส่งไปยังกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อที่หดเกร็ง เกิดการคลายตัวชั่วคราว จึงสามารถลดอาการปวดเมื่อย บริเวณคอ บ่า ไหล่ หลังได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ ถือเป็นวิธีการแก้ไขปัญหาออฟฟิศซินโดรมที่ไม่ต้องพักฟื้น

                      กายภาพบำบัด 

                      • การกายภาพบำบัด เป็นการยืดเหยียดกล้ามเนื้อ และใช้เครื่องมือทางการแพทย์ร่วมด้วย เพื่อเพิ่มความแข็งแรง และเพิ่มความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อที่ตึงเครียดให้คลายตัว พร้อมปรับปรุงท่าทางการนั่ง และการยืนที่ถูกต้อง เพื่อลดอาการปวดเมื่อยบริเวณคอ บ่า ไหล่ และหลังได้อย่างตรงจุด ลดความเสี่ยงในการเกิดอาการปวดเมื่อยซ้ำ ๆ

                      นวดแผนไทย

                      • การนวดแผนไทย เป็นการนวดที่ใช้เทคนิคในการกดจุด หรือนวดเฉพาะจุด เพื่อยืดกล้ามเนื้อที่ตึงเครียด ให้ผ่อนคลายลงชั่วคราว ซึ่งเป็นวิธีการแก้ไขปัญหาอาการปวดเมื่อยที่มีมาอย่างยาวนาน ถือเป็นวิธีการทางธรรมชาติ ที่ช่วยลดอาการปวดเมื่อยออฟฟิศซินโดรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

                      ฝังเข็ม 

                      • การฝังเข็มออฟฟิศซินโดรม เป็นการปรับสมดุลของร่างกายให้กลับมาเป็นปกติ  โดยใช้เข็มเล็ก ๆ ปักลงไปยังบริเวณที่มีอาการปวดเมื่อย เช่น คอ บ่า ไหล่ หลัง เพื่อกระตุ้นให้เกิดการหลั่งสารสื่อประสาท ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณนั้นเกิดการคลายตัว พร้อมกระตุ้นการไหลเวียนเลือดให้ไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย จึงถือเป็นอีกทางเลือกในการรักษาออฟฟิศซินโดรมแบบแพทย์แผนจีน

                      รับประทานยา 

                      • รับประทานยาแก้ปัญหาออฟฟิศซินโดรม เป็นการใช้ยาแก้ปวด ยาคลายกล้ามเนื้อ หรือยาต้านการอักเสบ เพื่อลดอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และลดการอักเสบลงชั่วคราว ทั้งนี้ การรับประทานยาบางชนิดเป็นเวลานาน อาจเกิดผลข้างเคียงต่อกระเพาะอาหาร ไต และตับได้ ดังนั้น ควรปรึกษาแพทย์อย่างละเอียด ก่อนตัดสินใจรับประทานยา โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัว หรือผู้ที่แพ้ยา

                       

                      วิธีการเตรียมตัวก่อนทำโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม

                      • ก่อนทำโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม ควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการรักษาออฟฟิศซินโดรมอย่างรอบคอบ 
                      • ก่อนทำโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม ควรแจ้งประวัติสุขภาพ ประวัติโรคประจำตัว ยาที่กำลังรับประทาน รวมถึง อาการแพ้ต่าง ๆ ให้แพทย์ทราบ
                      • ก่อนทำโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม งดรับประทานยา หรืออาหารเสริมที่ส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด อย่างน้อย 2 สัปดาห์
                      • ก่อนทำโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด อย่างน้อย 24 ชั่วโมง
                      • ก่อนทำโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม งดสูบบุหรี่ อย่างน้อย 24 ชั่วโมง
                      • ก่อนทำโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม งดผลัดเซลล์ผิว หรือสครับผิวในบริเวณที่จะทำการฉีด อย่างน้อย 2 – 3 วัน
                      • ก่อนทำโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม แนะนำให้นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายพร้อมสำหรับการฉีดโบ

                       

                      วิธีการดูแลตัวเองหลังทำโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม

                      • หลังทำโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม แนะนำให้ขยับกล้ามเนื้อในบริเวณที่ฉีดบ่อย ๆ ในช่วง 30 นาทีแรก เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม 
                      • หลังทำโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม งดนอนราบ หรือนอนคว่ำ อย่างน้อย 3 ชั่วโมงแรก 
                      • หลังทำโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม งดนวด บีบ หรือกดบริเวณที่ฉีด อย่างน้อย 24 ชั่วโมงแรก
                      • หลังทำโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม งดสัมผัสความร้อน เช่น เข้าซาวน่า อบไอน้ำ หรืออยู่ท่ามกลางแสงแดดเป็นเวลานาน 
                      • หลังทำโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม งดออกกำลังกายหนัก ๆ หรือกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออก
                      • หลังทำโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม งดการดื่มแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 2 สัปดาห์
                      • หลังทำโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม หลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสจัด หรือของหมักดอง อย่างน้อย 2 สัปดาห์
                      • หลังทำโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม แนะนำให้ปรับปรุงท่านั่ง และท่ายืนอย่างถูกต้อง เพื่อผลลัพธ์ที่ยั่งยืน
                      • หลังทำโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม หลีกเลี่ยงการนั่งท่าเดิมนาน ๆ ควรเปลี่ยนอิริยาบถบ่อย ๆ เพื่อป้องกันอาการปวดเมื่อยกลับมา

                       

                      Q&A คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ การทำโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม

                      โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม ควรใช้กี่ยูนิต?

                      • โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม มักจะใช้ปริมาณยูนิตที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของอาการ และบริเวณที่ต้องการรักษา โดยทั่วไปแล้ว ปริมาณยูนิตที่แนะนำสำหรับการทำโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม ประมาณ 50 – 100 ยูนิต ทั้งนี้ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการตัดสินใจ ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้ประเมินจุดที่ต้องฉีด และกำหนดปริมาณยูนิตที่เหมาะสมกับปัญหาที่ต้องแก้ไข เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ

                       

                      โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม กี่วันเห็นผล?

                      • หลังจากการทำโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรมแล้ว สามารถเห็นผลการเปลี่ยนแปลงได้ทันทีหลังฉีด โดยจะรู้สึกถึงการคลายตัวของกล้ามเนื้อที่ตึงเครียด และอาการปวดเมื่อยลดลง ซึ่งจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน เมื่อสารเริ่มทำงานอย่างเต็มที่ ภายใน 7 – 14 วันหลังฉีด 

                       

                      โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม อยู่ได้นานแค่ไหน?

                      • โดยทั่วไปแล้ว ผลลัพธ์หลังจากการทำโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรมจะอยู่ได้นาน ประมาณ 3 – 6 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อโปรแกรมฉีดโบที่เลือกใช้ ระดับความรุนแรงของอาการ และพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น การออกกำลังกาย การปรับท่าทางในการทำงาน ซึ่งจะช่วยเสริมประสิทธิภาพการทำโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม และช่วยยืดระยะเวลาของผลลัพธ์ได้ยาวนานยิ่งขึ้น

                       

                      โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม เจ็บไหม?

                      • โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม  อาจมีความรู้สึกเจ็บ หรือมีอาการตึงเพียงเล็กน้อยในระหว่างการฉีด ส่วนใหญ่ จะรู้สึกเหมือนถูกเข็มจิ้มเบา ๆ หรือแทบไม่รู้สึกเจ็บเลย ซึ่งเป็นระดับความเจ็บที่สามารถทนได้ เนื่องจากแพทย์จะใช้เข็มขนาดเล็กในการฉีด และอาจมีการใช้ยาชาร่วมด้วย เพื่อช่วยลดความรู้สึกเจ็บลงได้

                       

                      โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม อันตรายไหม?

                      • โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม  ถือว่ามีความเสี่ยงน้อย เมื่อฉีดโดยแพทย์ที่มีความรู้ ความชำนาญในคลินิกที่ได้มาตรฐาน และเลือกใช้ยี่ห้อโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม ที่ได้รับการรับรององค์การอาหารและยา (อย.) เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียงอันตรายได้

                      โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม มีผลข้างเคียงอะไรบ้าง?

                      โปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรมมีความเสี่ยงน้อยแต่ก็มีโอกาสเกิดผลข้างเคียงได้ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผลข้างเคียงที่ไม่อันตราย ได้แก่

                      • อาการปวด และบวม ผู้ที่ทำโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรมอาจรู้สึกปวด หรือบวมในบริเวณที่ฉีดได้ ซึ่งเป็นอาการที่ปกติ และพบได้บ่อย สามารถหายได้เอง ภายใน 2 – 3 วัน
                      • มีรอยช้ำ ผู้ที่ทำโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม อาจมีรอยช้ำในบริเวณที่ฉีดได้ เนื่องจากการใช้เข็มฉีดยา ซึ่งเป็นอาการปกติ และสามารถหายได้เอง ภายใน 1 – 2 สัปดาห์

                      หากพบว่า มีผลข้างเคียงอันตรายจากโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซิโดรม เช่น กล้ามเนื้ออ่อนแรง ควรรีบพบแพทย์ทันที ซึ่งผลข้างเคียงอันตรายนี้ ถือเป็นอาการที่เกิดขึ้นได้น้อยมาก ส่วนใหญ่เกิดจากการที่แพทย์ฉีดผิดตำแหน่ง หรือใช้ปริมาณสารมากเกินความจำเป็น ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนตามมา

                       

                      หยุดทำโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม แล้วจะกลับมาเป็นซ้ำไหม?

                      • การหยุดทำโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรมนั้น อาจมีโอกาสที่ทำให้อาการปวดเมื่อย จะกลับมาเป็นซ้ำได้อีก เนื่องจากโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม จะทำหน้าที่คลายกล้ามเนื้อที่ตึงเครียดให้กลับมาเป็นปกติ เมื่อสารโปรตีนบริสุทธิ์ในโปรแกรมฉีดออฟฟิศซินโดรมหมดฤทธิ์ ภายในระยะเวลา 3 – 6 เดือน กล้ามเนื้อก็จะค่อย ๆ กลับมาหดเกร็งได้เหมือนเดิม หากไม่มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวืต และดูแลสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ

                       

                      จะเห็นได้ว่า การทำโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรมถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดี ในการแก้ไขปัญหาออฟฟิศซินโดรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเทียบกับวิธีการรักษาออฟฟิศซินโดรมอื่น ๆ เช่น การรับประทานยา การนวด หรือการกายภาพบำบัด เนื่องจากการทำโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม สามารถเห็นผลผลลัพธ์ได้อย่างรวดเร็ว ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดคลายตัวลง และลดอาการปวดเมื่อยได้อย่างตรงจุด โดยไม่ต้องมีการพักฟื้น 

                      ทั้งนี้ ก่อนตัดสินใจทำโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม ควรปรึกษาแพทย์อย่างละเอียด เพื่อประเมินสภาพร่างกาย และเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสม โดยแพทย์จะเป็นผู้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับข้อดี ข้อเสีย และผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการทำโปรแกรมฉีดโบออฟฟิศซินโดรม เพื่อผลลัพธ์ที่ดี

                      จากดาหลาสู่ ฝ้าหนา ลูปฝ้า รักษายาก ร่วมไขปริศนาที่รมย์รวินท์

                      ดาหลา

                      จากดาหลาสู่ ฝ้าหนา ลูปฝ้า รักษายาก ร่วมไขปริศนาที่รมย์รวินท์

                      เปิดโปงเบาะแสลึกลับของดาหลา! ภายใต้ใบหน้าที่สวยงาม แต่กลับซ่อนปัญหาฝ้าไว้เบื้องหลัง ทั้งฝ้าหนา ลูปฝ้า แก้เท่าไหร่ก็ไม่หาย ซึ่งฝ้าเหล่านี้ อาจซ่อนอยู่ในพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่คาดไม่ถึง จนกลายเป็นตัวการกระตุ้นให้ฝ้ากลับมาใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม้จะผ่านการรักษามากี่ครั้ง ร่องรอยของฝ้าก็ยังคงอยู่ กลายเป็นปริศนาสำคัญที่นำไปสู่การสืบสวน จากฝ้าจุดเล็ก ๆ เริ่มลุกลามขยายวงกว้าง และมีสีเข้มขึ้นอย่างรวดเร็ว

                      รมย์รวินท์คลินิก ขอชวนคุณมาร่วมไขปริศนาความจริงที่ซ่อนอยู่ กับต้นตอของฝ้าที่ยากจะจางหาย พร้อมหยุดยั้งวงจรฝ้าหนา และคลี่คลายทุกปัญหาฝ้าว่า ฝ้าเกิดจากอะไร? ฝ้ามีกี่ประเภท? และฝ้ารักษาอย่างไรได้บ้าง? ก่อนที่ฝ้าจะแพร่กระจายไปทั่วใบหน้ามากกว่านี้ค่ะ

                       

                      ฝ้าหนา ลูปฝ้า รักษายาก ปิดตำนานปัญหาฝ้าด้วย โปรแกรม NU PICO BRIGHT

                      ฝ้ามีกี่แบบ?

                      • ฝ้าตื้น มีลักษณะเป็นสีน้ำตาลอ่อนถึงน้ำตาลเข้ม สามารถเห็นขอบของฝ้าได้อย่างชัดเจน และตอบสนองต่อการรักษาได้ดี โดยจะเกิดขึ้นในผิวชั้นนอก หรือชั้นหนังกำพร้า (Epidermis)
                      • ฝ้าลึก มีลักษณะเป็นสีน้ำตาลเทา หรือเทาเข้ม กลมกลืนไปกับผิว ไม่มีขอบเขตที่ชัดเจน และสามารถรักษาได้ยากกว่าฝ้าตื้น โดยจะเกิดขึ้นในชั้นหนังแท้ (Dermis) ซึ่งลึกกว่าฝ้าตื้น
                      • ฝ้าผสม มีลักษณะเป็นสีน้ำตาลอ่อน และเข้มผสมกัน ซึ่งเป็นการผสมกันระหว่างฝ้าตื้น และฝ้าลึก สามารถพบได้บ่อยที่สุด และต้องใช้การรักษาหลายวิธีควบคู่กัน 
                      • ฝ้าฮอร์โมน พบในผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ หรือรับประทานยาคุมกำเนิด เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนในร่างกาย สามารถเป็นได้ทั้งฝ้าตื้น ฝ้าลึก หรือฝ้าผสม และมักจะจางลงเมื่อฮอร์โมนกลับสู่ภาวะปกติ แต่ในบางกรณีอาจต้องใช้การรักษาอื่น ๆ ควบคู่กันไปด้วย
                      • ฝ้าเลือด มีลักษณะเป็นปื้นสีแดงอมม่วง หรือสีคล้ำ เกิดจากความผิดปกติของเส้นเลือดฝอยใต้ผิวหนัง ซึ่งอาจทำการรักษาได้ยากกว่าฝ้าทั่ว ๆ ไป

                       

                      สาเหตุของการเกิดฝ้า มีอะไรบ้าง?

                      • รังสี UV เป็นสาเหตุหลักของการเกิดฝ้า เนื่องจากรังสี UVA และ UVB ในแสงแดด อาจเข้าไปกระตุ้นเซลล์เมลาโนไซต์ (Melanocyte) ให้ผลิตเม็ดสีเมลานินมากขึ้น อีกทั้ง ยังเข้าไปทำลายโครงผิว ทำให้ผิวอ่อนแอ บางลง และเกิดฝ้าได้ง่าย
                      • อายุเพิ่มขึ้น เป็นอีกหนึ่งสาเหตุของการเกิดฝ้า เนื่องจากกระบวนการผลัดเซลล์ผิวทำงานช้าลง ทำให้เม็ดสีที่ผิดปกติสะสมอยู่ในชั้นผิวนานขึ้น จนส่งผลให้ฝ้าที่เป็นอยู่มีสีเข้ม และจางลงยากกว่าเดิม
                      • ฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง เนื่องจากระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน และโปรเจสเตอโรนในร่างกายสูงเกินไป ซึ่งมีผลโดยตรงต่อการกระตุ้นเม็ดสีเมลานินใต้ผิวหนัง สามารถพบได้บ่อยในผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ หรือผู้ที่ใช้ยาคุมอยู่
                      • ความเครียดเรื้อรัง เนื่องจากร่างกายหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลออกมามากเกินไป ซึ่งจะเข้าไปกระตุ้นการสร้างเม็ดสีเมลานินมากขึ้น ส่งผลให้เกิดฝ้าได้ง่าย
                      • ใช้สารระคายเคือง การใช้เครื่องสำอาง หรือสกินแคร์ที่มีส่วนผสมของสารระคายเคือง เช่น แอลกอฮอล์ ไฮโดรควิโนน สเตอรอยด์ หรือสารปรอท อาจเป็นการกระตุ้นให้ผิวบางลง และส่งผลให้ฝ้าที่เป็นอยู่มีสีเข้มขึ้นได้

                       

                      ดาหลา

                      โปรแกรม NU PICO BRIGHT ตัวช่วยปิดจบลูปฝ้าตั้งแต่ต้นตอ

                      ทำความรู้จักโปรแกรม NU PICO BRIGHT

                      โปรแกรม NU PICO BRIGHT เทคโนโลยีรักษาปัญหาฝ้าด้วย Picosecond Laser โดยการยิงพลังงานคลื่นแสงแบบเฉพาะเจาะจงไปยังเม็ดสีเมลานินที่มีความผิดปกติโดยตรง ทำให้เม็ดสีแตกตัวเป็นเม็ดเล็ก ๆ และค่อย ๆ จางหายไปตามธรรมชาติ ซึ่งใช้ความยาวคลื่นอยู่ที่ 532 นาโนเมตร และ 1,064 นาโนเมตร สามารถทำได้โดยไม่ต้องมีการแปะยาชา เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีเลเซอร์ที่มีความอ่อนโยนต่อผิวหน้า หลังทำจึงไม่มีเลือดออกใต้ผิวหนัง และไม่ต้องใช้เวลาในการพักฟื้น สามารถใช้ชีวิตตามปกติได้ทันที

                       

                      โปรแกรม NU PICO BRIGHT เหมาะกับใคร?

                      • โปรแกรม NU PICO BRIGHT เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาฝ้า ทั้งฝ้าตื้น ฝ้าลึก หรือฝ้าผสม
                      • โปรแกรม NU PICO BRIGHT เหมาะกับผู้ที่มีปัญหากระ ทั้งกระตื้น กระลึก หรือกระแดด
                      • โปรแกรม NU PICO BRIGHT เหมาะกับผู้ที่มีปัญหารอยดำ รอยแดงจากสิว
                      • โปรแกรม NU PICO BRIGHT เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาจุดด่างดำบนใบหน้า
                      • โปรแกรม NU PICO BRIGHT เหมาะกับผู้ที่มีปัญหารูขุมขนกว้าง
                      • โปรแกรม NU PICO BRIGHT เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวหมองคล้ำ
                      • โปรแกรม NU PICO BRIGHT เหมาะกับผู้ที่ไม่ต้องการพักฟื้นหน้าหลังทำ

                       

                      จัดการทุกปัญหาฝ้ากวนใจได้แล้ววันนี้ที่ รมย์รวินท์คลินิก

                      หมดกังวลกับปัญหาฝ้าหนา ลูปฝ้า ฝ้าฝังลึกที่รักษายากที่ รมย์รวินท์คลินิก เรามีโปรแกรม NU PICO BRIGHT ที่ช่วยจัดการปัญหาฝ้าตั้งแต่ต้นตอ พร้อมทีมแพทย์ที่มีความชำนาญ และประสบการณ์ สามารถวิเคราะห์ปัญหา และทำการรักษาได้อย่างเหมาะสม พร้อมคืนผิวสวยกระจ่างใสอย่างเป็นธรรมชาติ มั่นใจทุกสถานการณ์ค่ะ

                      FIT SHAPE BODY ตัวช่วยหุ่นเพรียวฉบับนางงาม

                      FIT SHAPE BODY ตัวช่วยหุ่นเพรียวฉบับนางงาม

                      FIT SHAPE BODY ตัวช่วยหุ่นเพรียวฉบับนางงาม

                       

                      หน้าสวย หุ่นแซ่บ สมมงมิสแกรนด์มากกก เจอคุณปอย เฌอลินณ์ ไกรอารยะพัทธ์ กี่ครั้งก็เห็นแต่ความ Grand ทั้งหน้าทั้งหุ่น ก้าวต่อไปสู่มิสแกรนด์ ไทยแลนด์ 2025 คุณปอยเลยขอมาอัปเกรดหุ่นให้แซ่บขึ้นที่รมย์รวินท์คลินิกซักหน่อยยย..

                       

                      ถึงแม้ว่าการประกวดมิสแกรนด์นครพนมจะผ่านพ้นไปแล้ว แต่ปอยไม่ยอมปล่อยตัวเองหรอกค่ะ เพราะเป้าหมายของปอยคือมิสแกรนด์ ไทยแลนด์ 2025 เท่านั้นค่ะ เพราะปอยมีความเชื่อว่าดูแลตัวเองให้ดูดีทั้งเรื่องผิว และเรื่องหุ่นไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ เตรียมความพร้อมให้ตัวเองก่อน ได้เปรียบกว่าค่ะ วันนี้ปอยก็เลยอยากจะมาปรึกษาคุณหมอเรื่องการดูแลหุ่น และเช่นเคยค่ะว่าที่รมย์รวินท์คลินิกเนี่ยแหละปอยไว้ใจสุดๆ คุณหมอให้ทำอะไรปอยจะทำหมดค่ะ เพราะปอยเชื่อว่าคุณหมอต้องทำให้ปอยออกมาดูดีอยู่แล้วค่ะ 

                       

                      เห็นปอยหุ่นเพรียวแบบนี้แต่ปอยเองก็มีปัญหาเหมือนกันนะคะ อย่างบางทีที่กินเยอะก็จะมีพุงหมาน้อย มีส่วนที่เผละ หรือมีเซลลูไลต์เฉพาะจุด แต่ตั้งแต่ที่ปอยมาที่รมย์รวินท์คลินิก ปอยก็หมดปัญหาเหล่านั้นไปเลยค่ะ เพราะที่รมย์รวินท์คลินิกมีคุณหมอผู้มีประสบการณ์เฉพาะด้านที่คอยให้คำปรึกษาและแนะนำ และคุณหมอจะตรวจประเมินร่างกายก่อนการรักษาทุกครั้ง เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ดี และในวันนี้ปอยได้ FIT SHAPE BODY ช่วยดูแลหุ่นให้ค่ะ โดย FIT SHAPE BODY จะปล่อยพลังงานเข้าไปกำจัดไขมันสะสมในร่างกายให้เกิดการหดตัว และแตกออก หลังจากนั้นร่างกายก็จะกำจัดไขมันที่แตกตัวนั้นออกไปโดยวิธีทางธรรมชาติ โดยจะไม่ทำลาย หรือทำให้เซลล์อื่นๆ เกิดความเสียหาย และความร้อนที่ส่งผ่านไปยังชั้นผิวหนังยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ทำให้ผิวบริเวณนั้นที่เหี่ยวย่นจากไขมันที่ลดไป เกิดความกระชับมากยิ่งขึ้น และ FIT SHAPE BODY ยังสามารถลดไขมันที่สะสมอยู่ในร่างกายได้ถึง 11% เลยนะคะ และเป็นโปรแกรมกำจัดไขมันส่วนเกินเลยค่ะ เพราะ FIT SHAPE BODY ลดหุ่นได้โดยไม่ต้องใช้การผ่าตัด ไม่ต้องเจ็บตัว ไม่ต้องพักฟื้น ไม่ทิ้งบาดแผลด้วย และเทคโนโลยีนี้ยังถูกนำมาใช้ทางการแพทย์มานานกว่า 35 ปี และมีสิทธิบัตรรับรองถึง 12 สิทธิบัตรเลยนะคะ 

                       

                      หลังทำแล้วหุ่นของปอยแซ่บขึ้นเลยค่ะ (หัวเราะ) จากที่หุ่นเพรียวอยู่แล้ว ยิ่งเพรียวกระชับมากขึ้น พุงหมาน้อย เซลลูไลต์ ส่วนห้อย ส่วนย้อยหายหมดเหลือแค่ความกระชับเท่านั้น โดยที่ไม่ต้องอดอาหาร ไม่ต้องเหนื่อยออกกำลังกาย ไม่ต้องทรมานตัวเอง แค่นอนชิลๆ บนเตียงให้ FIT SHAPE BODY ทำงาน ใช้เวลาเพียงแค่ 30 นาทีเท่านั้น ก็กลับมากระชับแล้ว เหมาะมากสำหรับคนที่ไม่มีเวลาออกกำลังกายมากๆ ค่ะ ตอนนี้ปอยขอยกให้ FIT SHAPE BODY เป็นโปรแกรมดูแลหุ่นอันดับหนึ่งของปอยเลย มีหลายๆ คนก็มาถามเคล็ดลับหุ่นเพรียวดูดีของปอยอยู่ตลอดๆ เลยค่ะ ปอยก็จะแนะนำไปเลยว่า เคล็ดลับหุ่นเพียวแบบฉบับนางงานของปอยก็มากจากรมย์รวินท์คลินิกเนี่ยแหละค่ะ

                       

                       

                      FIT SHAPE BODY ตัวช่วยหุ่นเพรียว คืออะไร 

                       

                      FIT SHAPE BODY เป็นโปรแกรมดูแลรูปร่างและกระชับสัดส่วน โดยจะยิงพลังงานคลื่นวิทยุความถี่เฉพาะ 488 kHz เข้าไปเพื่อลดไขมันในร่างกายให้เกิดการแตกตัวออกเพื่อให้ร่างกายขับออกเองโดยอัตโนมัติ และยังช่วยกำจัดเซลลูไลต์ที่สะสมตามร่างกายได้ทุกระดับชั้นผิว ต่อต้านการสร้างใหม่ของเซลล์ไขมัน FIT SHAPE BODY โดยไม่ให้เซลล์บริเวณอื่นๆ เกิดความเสียหาย และ FIT SHAPE BODY ยังสามารถทำได้ทุกส่วนของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็น หน้าทอง ต้นแขน สะโพก แผ่นหลัง น่อง หรือต้นขา และพลังงานความร้อนจาก FIT SHAPE BODY ยังส่งผ่านไปยังชั้นผิวหนังช่วยในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินให้ผิวบริเวณที่หย่อนคล้อยเกิดความกระชับขึ้นอีกด้วย FIT SHAPE BODY เป็นโปรแกรมลดหุ่นกำจัดไขมันส่วนเกิน ไม่ต้องพึ่งพาวิธีการผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้นหลังทำ และไม่ทิ้งบาดแผลไว้ และยังได้รับการรับรองมาตรฐานจาก FDA ทั้งในอเมริกา และไทย 

                       

                      อยากดูแลหุ่นต้อง FIT SHAPE BODY เพราะ

                      • FIT SHAPE BODY ช่วยกระชับสัดส่วนส่วนเกิน
                      • FIT SHAPE BODY ลดไขมันได้ถึงระดับเซลล์
                      • FIT SHAPE BODY ลดการเกิดไขมันสะสมได้ถึง 11%
                      • FIT SHAPE BODY ช่วยกำจัดไขมันสะสมในชั้นผิวหนังและช่องท้อง 
                      • FIT SHAPE BODY ช่วยกำจัดและลดการเกิดเซลลูไลต์ในทุกชั้นผิว
                      • FIT SHAPE BODY ช่วยลดผิวเปลือกส้ม และผิวขรุขระ 
                      • FIT SHAPE BODY ช่วยเร่งการเผาผลาญไขมันให้ดีขึ้น
                      • FIT SHAPE BODY ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสติน
                      • FIT SHAPE BODY ช่วยฟื้นฟู และซ่อมแซมเซลล์ในร่างกายให้กลับมาแข็งแรง
                      • FIT SHAPE BODY ช่วยกระชับผิวบริเวณที่มีความหย่อนคล้อย
                      • FIT SHAPE BODY ช่วยให้การทำงานของเซลล์มีประสิทธิภาพมากขึ้น
                      • FIT SHAPE BODY ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น ไม่ทิ้งบาดแผล

                       

                      มีความกังวลเรื่องหุ่นสามารถเข้ามาปรึกษากับแพทย์ด้านการดูแลหุ่นได้ที่รมย์รวินท์คลินิกทั้ง 28 สาขาทั่วประเทศ ใกล้ที่ไหนไปที่นั่นนะคะ 

                      เคลียร์สิว รักษาผิวอักเสบด้วย AC CLEAR III คุณแองจี้ แองเจลีน่า

                      AC CLEAR III

                      เคลียร์สิว รักษาผิวอักเสบด้วย AC CLEAR III

                       

                      ก่อนหน้าจะประกวดมิสแกรนด์ สุราษฎร์ธานี แองจี้ต้องเจอกับปัญหาเรื่องผิวหน้า ทั้งสิวอุดตัน สิวอักเสบ สิวอะไรมาหมด จนแองจี้ต้องคอยกลบด้วยเมคอัพ นั่นก็ทำให้ปัญหาสิวของแองจี้ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ จนแองจี้ทนไม่ไหวต้องทำอะไรซักอย่างแล้ว จนได้มาปรึกษาเรื่องปัญหาผิวกับทางรมย์รวินท์คลินิกค่ะ ที่แองจี้เลือกให้รมย์รวินท์คลินิกดูแลผิวพรรณของแองจี้ เพราะแองจี้มั่นใจในชื่อเสียงของรมย์รวินท์คลินิกที่มีมานานถึง 22 ปี และความมีมาตรฐานของที่นี่ เพราะเขาดูแลโดยแพทย์ผู้มีประสบการณ์เฉพาะด้าน เครื่องมือทันสมัย สะอาด มีคุณภาพค่ะ ที่สำคัญคุณหมอแวว (พญ.วรรณวิมล วรรณรักษ์ : ว.27827) ให้คำปรึกษากับแองจี้ดีมาก คุณหมอ แววใจดีมากๆ เลยค่ะ ให้คำปรึกษากับแองจี้ว่าสิวเป็นเรื่องธรรมชาติที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกวัยเพียงแค่มีปัจจัย หรือตัวกระตุ้นก็ทำให้เกิดได้แล้ว ซึ่งสิวมีทั้งสิวอักเสบ สิวอุดตัน ที่มีวิธีการรักษาที่แตกต่างกันไปตามแต่ละชนิด หากใครเป็นสิวหลากหลายรูปแบบก็สามารถรักษาได้เช่นกัน เพราะเดี๋ยวนี้มีหัตถการหน้าใสที่รักษาสิวได้หลายรูปแบบ และทำให้หน้าใสเหมาะกับคนทุกเจน ทุกวัยค่ะ

                       

                      AC CLEAR III
                      ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

                      อย่างวันนี้แองจี้เข้ามาที่รมย์รวินท์คลินิกให้คุณหมอแววช่วยอัปหน้าใสให้ คุณหมอเลือก AC CLEAR III ให้กับแองจี้ ซึ่ง AC CLEAR III เป็นการรักษาสิวโดยใช้ 4 ขั้นตอนเพื่อกำจัดสิว ให้หน้ากระจ่างใสค่ะ โดยขั้นตอนที่หนึ่งของ AC CLEAR III คือการกดสิว โดยคุณหมอจะกดพวกสิวอุดตัน ทั้งหัวดำและหัวขาวออก ก่อนที่สิวพวกนี้จะพัฒนากลายเป็นสิวอักเสบค่ะ และคุณหมอบอกว่าขั้นตอนนี้จะต้องทำโดยผู้มีประสบการณ์เท่านั้นนะคะ ไม่เช่นนั้นแทนที่จะหายเป็นสิว อาจกลายเป็นหนักกว่าเดิม หรือมีแผลเป็นได้ค่ะ ขั้นตอนที่สองของ AC CLEAR III คือการฉีดสิว โดยคุณหมอจะฉีดพวกสิวอักเสบ สิวที่ยังไม่มีหัว ซึ่งสิวแบบนี้หากปล่อยไว้นาน หรือรอให้หายไปเอง จะทำให้เกิดแผลเป็นหรือหลุมสิวบนใบหน้าทีนี้จะแก้ยากกว่าเดิม ต้องเสียเงินไปเลเซอร์รักษาหลุมสิวอีกค่ะ ซึ่งการฉีดสิวจะหยุดการอักเสบ บวมแดงของสิวและช่วยทำให้สิวมีขนาดเล็กลงและหายไปในที่สุดค่ะ ขั้นตอนที่สามของ AC CLEAR III คือการเลเซอร์ค่ะ ซึ่งการเลเซอร์นี่จะเป็นการฆ่าเชื้อสิวบนใบหน้าที่ยังตกค้างอยู่และยังช่วยในเรื่องการรักษารอยดำ รอยแดง หรือรอยแผลจากสิว ปรับสีผิวให้มีความสม่ำเสมอมากขึ้น ผิวสวยกระจ่างใสขึ้น และยังปรับสมดุลให้กับผิวหน้า ลดความมันที่เป็นต้นเหตุของการเกิดสิวอีกด้วยค่ะ ซึ่งขั้นตอนนี้คุณหมอจะปรับพลังงานความร้อนให้เข้ากับผิวหน้าทำให้ตอนทำรู้สึกอุ่นๆ ไม่ร้อนเกินไปจนทำให้ผิวหน้าไหม้เบิร์นค่ะ และขั้นตอนสุดท้ายของ AC CLEAR III คือการทรีตเมนต์ผิวค่ะ ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่แองจี้ชอบมากๆ เลยค่ะ เพราะรู้สึกว่าได้ผ่อนคลายผิว ฟื้นฟูผิวให้สดใสมากขึ้น โดยการทำทรีตเมนต์จะเป็นการผลักตัวยาลงสู่ผิวเพื่อลดอาการอักเสบ และเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหลังการทำเลเซอร์ และยังช่วยทำให้ผิวมีความกระจ่างใสมากขึ้นค่ะ 

                       

                      AC CLEAR III
                      ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

                       

                      หลังจากทำทั้ง 4 ขั้นตอนของ AC CLEAR III เสร็จแล้ว แองจี้รู้สึกได้เลยค่ะว่าหน้าของแองจี้ดูใสมากขึ้นตั้งแต่ที่ทำเลยค่ะ พวกสิวอักเสบ สิวอุดตันที่เคยมีก่อนหน้านี้ก็ลดลงมากๆ เลยค่ะ ตอนทำก็เพลินมาก นอนชิลๆ ให้คุณหมอทำ คุณหมอแววมือเบามาก แองจี้ไม่รู้สึกไม่เจ็บหรือทรมานเลยค่ะ เพราะทำโดยผู้มีประสบการณ์ ไม่ทำให้หน้าของเราอักเสบ หรือเห่อมากกว่าเดิมค่ะ และ AC CLEAR III เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของคนที่เป็นสิว แต่ไม่รู้จะรักษาแบบไหนดี แต่ AC CLEAR III ไม่ว่าจะปัญหาสิวอักเสบ สิวอุดตัน ปัญหาสิวแบบไหนก็จัดการได้แองจี้ขอแนะนำให้มารักษาด้วย AC CLEAR III ที่รมย์รวินท์คลินิกนะคะ คุณจะพบกับคำว่าหน้าใส ไร้สิว เป็นไปได้จริงๆ ค่ะ

                       

                      AC CLEAR III
                      ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

                      อยากหน้าใสต้องมาทำ AC CLEAR III

                      • AC CLEAR III รักษาสิว อุดตัน สิวหัวดำ สิวหัวขาว สิวอักเสบ
                      • AC CLEAR III รักษาสิวได้ตั้งแต่ต้นตอการเกิดสิว 
                      • AC CLEAR III รักษาสิวโดยไม่ทำร้ายผิว
                      • AC CLEAR III ลดการอักเสบ บวม และลดโอกาสการเกิดสิวใหม่
                      • AC CLEAR III ลดการเกิดแผลเป็น และหลุมสิว
                      • AC CLEAR III ฟื้นฟูให้ผิวแข็งแรง กระจ่างใส
                      • AC CLEAR III นอกจากจะช่วยรักษาสิวแล้วยังช่วยจัดการรอยสิว 

                       

                      อยากมีผิวใส หน้ายกกระชับ อ่อนเยาว์ มาปรึกษากับทางรมย์รวินท์คลินิกได้ทั้ง 28 สาขาทั่วประเทศ ใกล้ที่ไหนไปที่นั่นนะคะ 

                      ลดรอยแดงสิว เคลียร์รอยดำ ด้วย Smart Laser 2 พลังงานแสงให้หน้าใส

                      ลดรอยแดงสิว

                      ลดรอยแดงสิว เคลียร์รอยดำ ด้วย Smart Laser 2 พลังงานแสงให้หน้าใส

                      ผิวหน้าใส ใครก็อยากมี แต่ถ้ามีร่องรอยจากสิว ต้องให้รมย์รวินท์คลินิกจัดการฟื้นฟูผิวแบบเร่งด่วนเหมือนคุณกัน คณัชบดินทร์ ศิริวรพิทักษ์ ทำแล้วบอกเลยหน้าใสขึ้นม๊ากกกก 

                       

                      ลดรอยแดงสิว
                      ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

                       

                      ช่วงที่กันต้องถ่ายงานเยอะ ออกอีเวนต์เยอะ ต้องแต่งหน้าบ่อย พักผ่อนก็น้อย และสิ่งที่ตามมาก็คือความหมองคล้ำ ความโทรมครับ ซึ่งกันมีรอยสิวแดง และรอยดำจากสิวอยู่แล้วด้วย และจะเป็นซ้ำซากมาก ทั้งรอยเก่าและรอยใหม่วนไปครับ ครีมบำรุง ครีมลบรอยอันไหนที่ดีมีประสิทธิภาพลองมาหมดแล้ว แต่เรื่องรอยต่างๆ บนใบหน้ามันก็ต้องใช้เวลานานกว่าจะหาย จนสุดท้ายก็ต้องใช้เมคอัพในการกลบ ยิ่งทำให้ปัญหาวนลูปเดิม กันเลยมองหาวิธีช่วยฟื้นฟูผิวจากร่องรอยแบบเร่งด่วน จนได้มาเจอรมย์รวินท์คลินิกนี่เลยครับที่ช่วยแก้ปัญหาให้กัน ตอนนี้กันเลยวางใจฝากผิวหน้าของกันให้รมย์รวินท์คลินิกช่วยดูแลแล้วครับ 

                       

                      ลดรอยแดงสิว เคลียร์รอยดำ ด้วย Smart Laser

                       

                      ลดรอยแดงสิว
                      ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

                       

                      กันเข้ามาปรึกษาเรื่องผิวกับคุณหมอแพร (พญ.ธิรดา จิตตการ : ว.30170) คุณหมอแพรใจดีมากเลยครับ ให้คำปรึกษากับกันดีมากๆ เข้าใจทุกเรื่องผิวเลย คุณหมอแพรบอกว่าเรื่องรอยดำ รอยแดงจากสิวเป็นเรื่องที่แก้ยาก แต่แก้ได้ ถ้าได้รับการรักษาอย่างถูกวิธีรับรองว่าจะกลับไปหน้าใสได้อย่างแน่นอน คุณหมอแพรแนะนำ Smart Laser ให้กับกันครับ คุณหมอแพรบอกว่า Smart Laser เป็นเลเซอร์ที่มีความอ่อนโยนต่อผิวมาก ช่วยบูสต์และฟื้นฟูผิวจากรอยดำ รอยแดงจากสิว และยังช่วยปรับผิวให้เนียนละเอียดมากยิ่งขึ้นด้วยพลังงานเลเซอร์ 2 สี ที่มีคุณสมบัติในการรักษาผิวที่แตกต่างกันไปครับ อย่างแสงสีเหลืองของ Smart Laser จะเน้นในเรื่องของการรักษารอยแดง และอาการอักเสบของผิวหนัง ช่วยฟื้นฟูผิวหนังให้มีความแข็งแรงมากขึ้น ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้ผิวเนียนละเอียดมากขึ้น และยังทำให้ผิวของเรามีการไหลเวียนเลือดที่ดีขึ้นด้วยครับ ส่วนแสงสีเขียวของ Smart Laser เน้นในเรื่องของการรักษารอยดำจากสิว ความหมองคล้ำ ช่วยปรับสีผิวให้มีความสม่ำเสมอ ให้ผิวเรียบเนียน กระจ่างใส และยังช่วยในเรื่องของฝ้า กระ ได้อีกด้วย สรุปก็คือ Smart Laser ช่วยลดรอยแดง และรอยดำจากสิวและยังช่วยกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ ฟื้นฟูเซลล์ผิวใหม่ให้แข็งแรงได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ และ Smart Laser ยังดีต่อผิวมาก เพราะไม่ทำให้ผิวบริเวณรอบข้างเกิดการระคายเคือง หรือส่งผลข้างเคียงครับ

                       

                      หลังจากที่กันได้ทำ Smart Laser บอกได้เลยครับว่าหน้าของกันใสขึ้นมาก จากที่เคยกังวลเรื่องรอยแดง รอยดำ จนต้องใช้เมคอัพกลบ ตอนนี้กันไม่กังวลแล้วครับ เพราะ Smart Laser ช่วย รักษารอยสิว ฟื้นฟูผิวของกันให้กระจ่างใสอย่างเร่งด่วน ผิวหน้ากันพร้อมใช้ได้เลยหลังทำ เพราะSmart Laser เป็นเลเซอร์ที่มีความอ่อนโยน ไม่ทำให้เกิดการระคายเคือง ไม่ทำให้เลือดออก ไม่ต้องพักหน้าเลยครับ สำหรับใครที่มีปัญหาเรื่องความหมองคล้ำ ไม่กระจ่างใส รอยดำ รอยแดงจากสิวที่ทิ้งให้ดูต่างหน้า หรือแม้แต่เรื่องฝ้า กระ ต้อง Smart Laser ที่รมย์รวินท์คลินิก พร้อมให้หน้าใสจบได้ในตัวนี้ตัวเดียวเลยครับ 

                       

                      ลดรอยแดงสิว
                      ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

                       

                      Smart Laser คืออะไร 

                       

                      Smart Laser คือเลเซอร์ที่ช่วยฟื้นฟูผิวโดยการผลัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ พร้อมกระตุ้นคอลลาเจนให้เกิดการสร้างผิวใหม่ที่แข็งแรงมากยิ่งขึ้น โดยมีหลักการทำงานด้วยพลังงานเลเซอร์ 2 สี ได้แก่

                      • แสงสีเหลืองของ Smart Laser โดยเลเซอร์สีนี้จะมีความยาวคลื่น 578 nm ซึ่งดูดซับ Oxyhemoglobin ช่วยในเรื่องของการลดรอยแดง และลดอาการอักเสบของผิว ฟื้นฟูผิวให้มีความแข็งแรงมากขึ้น
                      • แสงสีเขียวของ Smart Laser โดยเลเซอรฃ์สีนี้มีความยาวคลื่น 511 nm ซึ่งดูดซับ Melanin ช่วยในเรื่องของการลดเลือนรอยดำจากสิว ปรับสีผิวให้มีความสม่ำเสมอ ทำให้ผิวกระจ่างใสมากยิ่งขึ้น และแก้ปัญหาฝ้า กระ ได้อีกด้วย

                       

                      Smart Laser ไม่ทำให้เกิดอาการระคายเคือง หรือมีเลือดออก หลังทำเสร็จสามารถใช้หน้าต่อได้ทันทีโดยไม่ต้องพัก Smart Laser จึงเหมาะกับคนที่ต้องการฟื้นฟูผิวหน้าให้ใสแบบเร่งด่วน 

                       

                      Smart Laser ที่รมย์รวินท์คลินิกดียังไง 

                      • Smart Laser ช่วยกระตุ้นคอลลาเจนให้ผิว
                      • Smart Laser ช่วยลดรอยแดง รอยดำจากสิว
                      • Smart Laser ช่วยลดฝ้า กระ จุดด่างดำ
                      • Smart Laser ช่วยลดเลือนความหมองคล้ำ
                      • Smart Laser ช่วยปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ กระจ่างใส
                      • Smart Laser ช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าที่เสื่อมสภาพ ให้ผิวใหม่แข็งแรง
                      • Smart Laser ช่วยฟื้นฟูผิวอย่างเร่งด่วน เห็นผลลัพธ์ได้ชัดเจน
                      • Smart Laser ช่วยกระชับรูขุมขน
                      • Smart Laser ช่วยให้ผิวเนียนละเอียดมากยิ่งขึ้น

                       

                      อยากหน้าใส ยกกระชับ อ่อนเยาว์ ให้รมย์รวินท์คลินิกช่วยดูแลให้นะคะ พร้อมให้บริการทุกท่านทั้ง 28 สาขา ทั้งในกรุงเทพ ปริมณฑล และต่างจังหวัด ใกล้ที่ไหนไปที่นั่นนะคะ 

                       

                      รมย์รวินท์คลินิก ยกระดับมาตรฐานความงามระดับสากล ร่วมงาน XEOMIN Symposium 2025

                      XEOMIN Symposium 2025

                      รมย์รวินท์คลินิก ยกระดับมาตรฐานความงามระดับสากล ร่วมงาน XEOMIN Symposium 2025

                      รมย์รวินท์คลินิก ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีความงามระดับพรีเมียม ด้วยการเข้าร่วมงาน XEOMIN Symposium 2025 ซึ่งจัดโดย Merz Aesthetics เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2025 ณ Grand Ballroom โรงแรม Carlton Hotel Bangkok Sukhumvit งานประชุมสุดยอดระดับนานาชาตินี้ ถือเป็นเวทีสำคัญที่รวบรวมแพทย์เฉพาะทางด้านความงามจากทั่วโลก เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้เกี่ยวกับโปรแกรมฉีดโบ รวมถึงอัปเดตแนวโน้มล่าสุดเกี่ยวกับมาตรฐานความบริสุทธิ์ ผลกระทบและ ประสิทธิภาพในการรักษา

                       

                      XEOMIN® Symposium 2025
                      XEOMIN Symposium 2025

                       

                      รมย์รวินท์คลินิก ร่วมแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ระดับนานาชาติ กับผู้เชี่ยวชาญระดับโลก

                      การประชุมในครั้งนี้ ได้รับเกียรติจาก Prof. Martina Kerscher, M.D. แพทย์ผิวหนังชั้นนำจากประเทศเยอรมนี  ซึ่งเป็นวิทยากรหลักที่มาแบ่งปันองค์ความรู้ และเจาะลึกข้อมูลเชิงวิชาการเกี่ยวกับโปรแกรมฉีดโบรวมถึงแนวทางการรักษาที่ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

                       

                      เพื่อเป็นการตอกย้ำมาตรฐานการรักษาระดับสากล รมย์รวินท์คลินิกได้นำทีมแพทย์เข้าร่วมงานประชุม ซึ่งนำทีมโดย  พญ.ฐานิสร ธรรมลิขิตกุล (ว.10656), พญ.อรุนี ทองอัครนิโรจน์ (ว.40692), พญ.วรรณวิมล วรรณรักษ์ (ว.27827), พญ.มุกตาภา สนธิอัชชรา (ว.68054) และ นพ.อธิวัชร อัศวภิวัฒน์ (ว.22163)

                       

                      การเข้าร่วมประชุมเชิงวิชาการในครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสสำคัญที่ช่วยให้ทีมแพทย์ของรมย์รวินท์คลินิก ได้รับข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับโปรแกรมฉีดโบบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาแนวทางการรักษา ที่มีประสิทธิภาพ และลดโอกาสการเกิดภาวะดื้อยา เพื่อให้ผู้รับบริการได้รับผลลัพธ์ที่ดี

                      XEOMIN® Symposium 2025
                      XEOMIN Symposium 2025

                       

                      เจาะลึกความรู้ทางการแพทย์ระดับโลก ในงาน XEOMIN Symposium 2025

                      งานประชุมครั้งนี้ได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาองค์ความรู้ด้านโปรแกรมฉีดโบซึ่งเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง โดยมีการบรรยายและการอภิปรายใน 3 หัวข้อสำคัญ ได้แก่

                      • Purity Matters: BoNTA Purity Differences

                      ความสำคัญของความบริสุทธิ์ของโปรแกรมฉีดโบและผลกระทบต่อประสิทธิภาพในการรักษา

                      • Real-world Implications from Emerging Trends in BoNTA Resistance

                      เทรนด์ใหม่และการดื้อโปรแกรมฉีดโบในเวชปฏิบัติจริง

                      • Update on BoNTA Immunogenicity – Local Data from Siriraj Study

                      การนำเสนอข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับโปรแกรมฉีดโบจากงานวิจัยในประเทศไทย

                       

                      XEOMIN® Symposium 2025
                      XEOMIN Symposium 2025

                       

                      โปรแกรมฉีดโบ บริสุทธิ์ทางเลือกใหม่เพื่อผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ

                      โปรแกรมฉีดโบที่ขึ้นชื่อในเรื่องของ ความบริสุทธิ์สูง ผลิตโดยบริษัท MERZ PHARMA GMBH & CO. KGaA ซึ่งได้รับการรับรองจาก องค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกา (FDA) ตั้งแต่ปี 2011 และต่อมาได้รับการอนุมัติจาก สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ของประเทศไทย ในปี 2016

                      ทำไมต้องเลือกโปรแกรมฉีดโบ บริสุทธิ์จุดเด่นที่แตกต่าง

                      • โปรแกรมฉีดโบบริสุทธิ์ 100%

                      ปราศจากโปรตีนส่วนเกิน ทำให้ลดโอกาสการเกิดอาการแพ้ และช่วยป้องกันภาวะดื้อยาในระยะยาว

                      • ให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ

                      ช่วยลดเลือนริ้วรอยโดยไม่ทำให้กล้ามเนื้อแข็งตึงจนเกินไป ทำให้สามารถแสดงสีหน้าได้อย่างเป็นธรรมชาติ

                      • การกระจายตัวดีและเห็นผลไว

                      ด้วยขนาดโมเลกุลที่เล็กและการกระจายตัวที่สม่ำเสมอ ส่งผลให้สามารถออกฤทธิ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเห็นผลได้อย่างรวดเร็ว

                       

                      รมย์รวินท์คลินิก มุ่งมั่นยกระดับเทคโนโลยีความงามอย่างต่อเนื่อง

                      การเข้าร่วม XEOMIN Symposium 2025 ไม่เพียงแต่เป็นการอัปเดตองค์ความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับโปรแกรมฉีดโบแต่ยังสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของรมย์รวินท์คลินิกในการยกระดับมาตรฐานการรักษา และนำเสนอโซลูชันความงามให้กับลูกค้าทุกท่าน

                      รมย์รวนิท์คลินิกให้ความสำคัญกับใช้โปรแกรมฉีดโบบริสุทธิ์ ซึ่งผ่านการวิจัยและพัฒนา เพื่อช่วยให้ผู้รับบริการมั่นใจได้ว่าทุกการรักษาจะให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ อยู่ได้นาน และลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะดื้อยา

                      รมย์รวินท์คลินิกยังคงมุ่งมั่นในการพัฒนาเทคโนโลยีความงามที่ทันสมัย และตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้า เพื่อให้ลูกค้าสามารถเผยความงามในแบบที่เป็นตัวเองได้อย่างมั่นใจ

                      Aviclear เทคโนโลยีรักษาสิวระดับโลก

                      Aviclear เทคโนโลยีรักษาสิวระดับโลก

                      รมย์รวินท์คลินิกจับมือ Aviclear เทคโนโลยีรักษาสิวระดับโลก ยกระดับมาตรฐานการรักษาสิวในไทย

                       

                      รมย์รวินท์คลินิก ผนึกกำลังกับ Aviclear เทคโนโลยีเลเซอร์รักษาสิวระดับโลก เปิดตัวทางเลือกใหม่สำหรับผู้ที่ต้องการรักษาสิวอย่างมีประสิทธิภาพแบบไม่ต้องใช้ยารักษา ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับมาตรฐานการรักษาสิวในประเทศไทยให้ทัดเทียมนานาชาติ เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2025 ที่ผ่านมา

                       

                      รมย์รวินท์คลินิก ได้ให้การต้อนรับทีมผู้บริหารจาก Aviclear นำโดย Mr. Martin Collins, Director of Sales, APAC & LATAM, Cutera Inc. และ คุณสารฑูร กฤตติกากุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท แอสตราโก เมดิเคิล เน็ตเวิร์คส จำกัด ได้เข้ามาพูดคุยเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ และอัปเดตเทคโนโลยีล่าสุดด้านการรักษาสิวกับทีมแพทย์ประจำของรมย์รวินท์คลินิก

                       

                      Romrawin x Aviclear
                      Romrawin x Aviclear

                       

                      การพบปะในครั้งนี้เป็น ก้าวสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีการรักษาสิวในประเทศไทย ผ่านการแลกเปลี่ยนความรู้ด้านนวัตกรรมล่าสุด และการแบ่งปันประสบการณ์จริงในการดูแลผู้ป่วยสิว โดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญของรมย์รวินท์คลินิก ได้แก่ คุณหมอฐา พญ.ฐานิสร ธรรมลิขิตกุล (ว.10656), คุณหมอปิ่น พญ.ปิ่นธิศา นิสากรเสน (ว.60740), คุณหมอริว นพ.อัครวินท์ ดำรงค์วัฒนโภคิน (ว.52239) และ คุณหมอแพร พญ.นภัสนันท์ เทพพรพิทักษ์ (ว.43281) ซึ่งได้ร่วมกันหารือถึงแนวทางการรักษาที่ทันสมัย และให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพในการรักษาอย่างตรงจุด

                       

                      รมย์รวินท์คลินิกให้ความสำคัญกับ การพัฒนาแนวทางการรักษาสิวอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นไปที่ การรักษาสิวที่ต้นเหตุ เพื่อลดภาระการใช้ยาและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น พร้อมนำเสนอทางเลือกใหม่ที่ช่วยให้ผู้เข้ารับบริการได้รับผลลัพธ์อย่างยั่งยืน

                       

                      Romrawin x Aviclear – ก้าวสู่อนาคตของการรักษาสิว

                      จากความร่วมมือครั้งนี้ รมย์รวินท์คลินิกและ Aviclear พร้อมเปิดตัว Aviclear นวัตกรรมเลเซอร์รักษาสิวระดับโลก ที่ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (FDA-Approved) และ Health Canada โดยเทคโนโลยีนี้สามารถช่วยให้การรักษาสิวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องใช้ยา ทำให้เป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการรักษาสิวแบบตรงจุด

                       

                      การใช้ยาในการรักษาสิวนั้น แม้จะให้ผลลัพธ์ที่ดีในบางราย แต่ก็มาพร้อมกับผลข้างเคียง เช่น อาการผิวแห้ง ระคายเคือง และความเสี่ยงต่อสุขภาพในระยะยาว ดังนั้น Aviclear จึงเป็น ตัวเลือกใหม่ที่ช่วยลดภาระของผู้ที่ไม่สามารถใช้ยาได้ ให้ผลลัพธ์ได้อย่างยั่งยืน

                       

                      Aviclear เทคโนโลยีรักษาสิวระดับโลก
                      Romrawin x Aviclear

                       

                      Aviclear เทคโนโลยีรักษาสิวระดับโลกทางเลือกใหม่ของการรักษาสิว

                      Aviclear เป็นเทคโนโลยีเลเซอร์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อรักษาสิวอย่างตรงจุด โดยใช้ความยาวคลื่น 1,726 นาโนเมตร ซึ่งมีคุณสมบัติในการดูดซับไขมันใต้ผิว (sebum) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งมุ่งเป้าไปยัง ต่อมไขมัน (Sebaceous glands) โดยตรง เพื่อลดการผลิตน้ำมันส่วนเกินบนผิวหน้า ช่วยควบคุมต้นเหตุของการเกิดสิว และลดโอกาสในการเกิดสิวใหม่ในอนาคต

                       

                      Romrawin x Aviclear
                      Romrawin x Aviclear

                       

                      จุดเด่นของ Aviclear

                      • จัดการต้นตอของสิว – AviClear ออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาสิวจากต้นเหตุ โดยตรงเข้าไปควบคุมการทำงานของต่อมไขมัน และลดการเจริญเติบโตของเชื้อ C.acnes ซึ่งเป็นปัจจัยหลักของการเกิดสิว
                      • ไร้กังวลเรื่องยา – การรักษาด้วย AviClear ไม่จำเป็นต้องใช้ยา จึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่สามารถใช้ยารักษาสิวได้ หรือผู้ที่ต้องการหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงจากยา
                      • รวดเร็ว ไม่ต้องพักฟื้น – การรักษาใช้เวลาเพียง 30 นาทีต่อครั้ง โดยไม่ต้องใช้ยาชา และให้ความรู้สึกสบาย ไม่เจ็บมากขณะทำ
                      • เห็นผลในระยะเวลาอันสั้น – สามารถรักษาสิวได้ใน 3 ครั้ง โดยมีระยะห่าง 4 สัปดาห์ต่อครั้ง ซึ่งเป็นจำนวนครั้งที่เหมาะสมสำหรับการให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ
                      • เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว – เทคโนโลยีนี้สามารถใช้ได้กับทุกประเภทผิว รวมถึงผู้ที่มีผิวบอบบางหรือไวต่อการระคายเคือง
                      • ลดสิวและรอยดำ – AviClear ไม่เพียงแต่ช่วยลดสิวอุดตันและสิวอักเสบ แต่ยังช่วยให้รอยแดงและรอยแผลเป็นจากสิวจางลง
                      • ลดความมันและปรับสภาพผิว – ควบคุมความมันส่วนเกินบนใบหน้า พร้อมช่วยกระชับรูขุมขน ให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้น
                      • ระบบทำความเย็นในตัว – ช่วยลดความรู้สึกไม่สบายขณะทำ ให้ผู้เข้ารับบริการรู้สึกผ่อนคลายตลอดขั้นตอนการรักษา
                      • ผลลัพธ์ที่คงอยู่ยาวนาน – การรักษาด้วย AviClear สามารถช่วยลดการเกิดสิวซ้ำได้ยาวนานถึง 2 ปี

                       

                      Aviclear เทคโนโลยีรักษาสิวระดับโลก
                      Romrawin x Aviclear

                      รมย์รวินท์คลินิก มุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อผลลัพธ์อย่างยั่งยืนสำหรับทุกคน

                      การร่วมมือกับ Aviclear ในครั้งนี้เป็น อีกหนึ่งก้าวสำคัญของรมย์รวินท์คลินิก ในการนำเทคโนโลยีการรักษาสิวที่ทันสมัยที่สุด มาให้บริการเพื่อช่วยให้ผู้มีปัญหาสิวได้รับการรักษาที่มีประสิทธิภาพ และไม่ต้องพึ่งพาการใช้ยา

                      รมย์รวินท์คลินิกยังคงเดินหน้าพัฒนามาตรฐานการรักษาสิว เพื่อมอบโซลูชันใหม่ที่มีประสิทธิภาพ และช่วยให้ผู้ที่มีปัญหาสิวได้รับผลลัพธ์อย่างยั่งยืน

                      BELOTERO Train the Trainer Workshop ยกระดับมาตรฐานการฉีดโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์สู่ระดับสากล

                      BELOTERO Train the Trainer Workshop

                      BELOTERO Train the Trainer Workshop ยกระดับมาตรฐานการฉีดโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์สู่ระดับสากล

                       

                      รมย์รวินท์คลินิก ยืนหยัดในฐานะผู้นำด้านความงามทางการแพทย์ ด้วยความมุ่งมั่นในการพัฒนาองค์ความรู้และทักษะของทีมแพทย์ให้ก้าวทันเทคโนโลยีความงามระดับโลก ล่าสุดทีมแพทย์ของรมย์รวินท์คลินิกได้เข้าร่วม BELOTERO  Train the Trainer Workshop ซึ่งเป็นเวิร์กช็อปเฉพาะทางที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มพูนความรู้เฉพาะทางด้านการฉีดโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ BELOTERO โดยเฉพาะ เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2568 ณ โรงพยาบาลปิยะเวท ชั้น 16 เวลา 14.00-17.00 น. ที่ผ่านมา

                       

                      เวิร์กช็อปครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อ In-clinic Key Trainers ซึ่งเป็นบุคลากรทางการแพทย์ระดับหัวกะทิที่จะนำความรู้ไปถ่ายทอดต่อให้กับทีมแพทย์ภายในคลินิก เพื่อให้มาตรฐานการให้บริการด้านโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ของรมย์รวินท์คลินิก ยังคงรักษาความเป็นเลิศและตอบโจทย์ความต้องการของผู้รับบริการได้อย่างแม่นยำ

                       

                      BELOTERO Train the Trainer Workshop
                      BELOTERO Train the Trainer Workshop

                       

                      แพทย์ผู้แทนจากรมย์รวินท์คลินิก สู่มาตรฐานการรักษาที่เหนือระดับ

                      การอบรมในครั้งนี้ รมย์รวินท์คลินิกได้รับส่งทีมแพทย์ผู้มีความรู้เฉพาะทางด้านการฉีดโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เข้าร่วมฝึกอบรม เพื่อนำองค์ความรู้ไปพัฒนาการให้บริการภายในคลินิก นำทีมโดย พญ.ฐานิสร ธรรมลิขิตกุล (ว.10656), นพ.อัครวินท์ ดำรงค์วัฒนโภคิน (ว.52239), พญ.ธิรดา จิตตการ (ว.30170) และ พญ.วรรณวิมล วรรณรักษ์ (ว.27827)

                       

                      แพทย์ทั้ง 4 ท่านได้รับการฝึกอบรมอย่างเข้มข้นเกี่ยวกับการฉีดโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ BELOTERO ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ฟิลเลอร์ที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล ทั้งด้านความปลอดภัย ประสิทธิภาพ และความเป็นธรรมชาติของผลลัพธ์ พร้อมนำองค์ความรู้ที่ได้รับไปถ่ายทอดให้ทีมแพทย์ภายในคลินิก เพื่อให้สามารถให้บริการที่ได้มาตรฐานสูงสุดแก่ผู้รับบริการ

                       

                      BELOTERO Train the Trainer Workshop
                      BELOTERO Train the Trainer Workshop

                       

                      BELOTERO Train-the-Trainer Workshop เวทีแห่งการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ระดับโลก

                      เวิร์กช็อปครั้งนี้ได้รับเกียรติจากวิทยากรระดับแนวหน้าของโลก ซึ่งมาร่วมแบ่งปันประสบการณ์และองค์ความรู้ที่ทันสมัย เพื่อให้แพทย์ผู้เข้าร่วมอบรมสามารถนำเทคนิคใหม่ล่าสุดไปปรับใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นำโดย  Prof. Martina Kerscher, M.D. จากประเทศเยอรมนี  และ Asst. Prof. Pamela Chayavichitsilp, M.D. จากประเทศไทย ผู้ดำเนินรายการถ่ายทอดความรู้ด้านโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์และการปรับรูปหน้า

                       

                      อัปเดตเทคนิคใหม่ล่าสุด เพื่อผลลัพธ์ที่สมบูรณ์แบบ

                      เวิร์กช็อปครั้งนี้มุ่งเน้นการฝึกฝนทักษะการฉีดโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ให้มีความแม่นยำ ประณีต และเป็นธรรมชาติ พร้อมทั้งเสริมสร้างความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ เพื่อให้แพทย์สามารถเลือกใช้โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ให้เหมาะสมกับลักษณะผิวและโครงหน้าของแต่ละบุคคลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

                      • เทคนิคการฉีดโปรแกรมฉีด BELOTERO เพื่อลดเลือนริ้วรอยและปรับรูปหน้า

                      อัปเดตแนวทางใหม่ในการใช้โปรแกรมฉีด BELOTERO เพื่อแก้ไขปัญหาริ้วรอย ร่องลึก และฟื้นฟู โครงสร้างผิวให้เรียบเนียน แลดูอ่อนเยาว์

                      • ฝึกฝนการฉีดฟิลเลอร์อย่างแม่นยำและกลมกลืนเป็นธรรมชาติ

                      เรียนรู้การควบคุมปริมาณและตำแหน่งการฉีดโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์อย่างละเอียด เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาเป็นธรรมชาติ

                      • การเลือกใช้โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ให้เหมาะสมกับโครงสร้างผิวของแต่ละบุคคล

                      ทำความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับโปรแกรมฉีด BELOTERO แต่ละประเภท และการเลือกใช้ให้เหมาะสมกับบริเวณที่ต้องการแก้ไข

                       

                      BELOTERO Train the Trainer Workshop
                      BELOTERO Train the Trainer Workshop

                       

                      รมย์รวินท์คลินิก มุ่งมั่นสู่ความเป็นเลิศด้านความงามทางการแพทย์

                      การเข้าร่วม BELOTERO Train-the-Trainer Workshop สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของรมย์รวินท์คลินิก ในการพัฒนาและยกระดับมาตรฐานด้านความงามทางการแพทย์อย่างต่อเนื่อง ด้วยการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัย ผสานกับความเชี่ยวชาญของทีมแพทย์ที่ผ่านการฝึกอบรมในระดับโลก รมย์รวินท์คลินิกพร้อมที่จะมอบการดูแลด้านโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ที่ได้มาตรฐานสูงสุด ปลอดภัย และให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ ตรงตามความต้องการของผู้รับบริการ

                      เราพร้อมเดินหน้าสู่การเป็นคลินิกความงามที่ได้รับความไว้วางใจสูงสุด เพื่อให้ทุกท่านได้รับประสบการณ์แห่งความงามที่สมบูรณ์แบบ

                      เตือนภัย! หน้าล้นเพราะฟิลเลอร์งานผิว ฉีดมากไปเสี่ยงอันตราย

                      หน้าล้นเพราะฟิลเลอร์งานผิว

                      เตือนภัย! หน้าล้นเพราะฟิลเลอร์งานผิว ฉีดมากไปเสี่ยงอันตราย

                      เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในโลกออนไลน์ สะเทือนวงการแพทย์ความงามอีกครั้ง! เมื่อมีหญิงสาวรายหนึ่งออกมาแชร์ประสบการณ์ หลังตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์งานผิวหลากหลายยี่ห้อสะสมกัน เพื่อหวังผลลัพธ์ผิวสวยใส ฉ่ำวาว แต่กลับต้องเผชิญกับปัญหา “หน้าล้น” หรือ Overfilled Syndrome ใบหน้าบวมแน่นจนมีขนาดใหญ่ขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งสร้างความกังวลใจ และส่งผลกระทบต่อความมั่นใจอย่างมาก โดยประเด็นนี้  ได้กลายเป็นข้อถกเถียงกันในด้านของความปลอดภัย และความเหมาะสมของการฉีดฟิลเลอร์งานผิว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการฉีดฟิลเลอร์หลายยี่ห้อพร้อมกัน ซึ่งอาจทำให้ใบหน้าดูผิดรูปได้

                      เหตุการณ์ในครั้งนี้ ถือเป็นอุทาหรณ์สำคัญสำหรับผู้ที่สนใจการฉีดฟิลเลอร์ ควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจฉีด รวมถึง ปรึกษาแพทย์ที่มีประสบการณ์ เพื่อให้แพทย์ประเมินโครงสร้างใบหน้า และกำหนดปริมาณฟิลเลอร์ที่เหมาะสม หากฉีดฟิลเลอร์ปริมาณมากเกินไป หรือใช้ฟิลเลอร์ที่ไม่เหมาะสมกับสภาพผิว อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงอันตราย เช่น ใบหน้าบวม ช้ำ หรืออย่างในกรณีนี้อาจทำให้เกิดภาวะ “หน้าล้น” ได้ ซึ่งการเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน และมีแพทย์ที่มีความรู้ด้านการทำโปรแกรมฉีด Fillerจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพื่อความปลอดภัย และผลลัพธ์ที่สวยงาม

                      หน้าล้นเพราะโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์งานผิว มีวิธีป้องกันอย่างไร?

                       

                      ภาวะหน้าล้น (Overfilled Syndrome) คืออะไร?

                      ภาวะหน้าล้น หรือที่เรียกว่า Overfilled Syndrome คือ ภาวะที่เกิดขึ้นจากการฉีดโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์มากเกินไปในครั้งเดียว หรือฉีดหลากหลายยี่ห้อพร้อมกัน ทำให้ใบหน้าดูบวมหนา ผิดรูป และไม่เป็นธรรมชาติ เช่น หน้าแก้มบวม ริมฝีปากหนา หรือคางแหลม ซึ่งการแก้ไขภาวะหน้าล้นนั้น อาจต้องใช้การฉีดสลายโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ หรือในกรณีที่รุนแรง อาจต้องใช้ผ่าตัด เพื่อให้ใบหน้ากลับมาสมส่วน และดูเป็นธรรมชาติอีกครั้ง

                       

                      ภาวะหน้าล้น เกิดจากอะไร?
                      ภาวะหน้าล้น เกิดจากอะไร?

                       

                      ภาวะหน้าล้น เกิดจากอะไร?

                      ภาวะหน้าล้นจากโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ สามารถเกิดได้จากหลายปัจจัย ดังนี้

                      • ฉีดโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์มากเกินไปในครั้งเดียว การฉีดโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ในปริมาณมากเกินความจำเป็น อาจทำให้ใบหน้าดูบวม ใหญ่ และผิดรูปได้
                      • ฉีดโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ในตำแหน่งที่ไม่เหมาะสม การฉีดโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ผิดตำแหน่ง หรือเลือกใช้โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ไม่เหมาะสมกับตำแหน่งที่ฉีด อาจทำให้สารในโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์กระจายตัวไม่เหมาะสม จนส่งผลให้ใบหน้าดูบวม และผิดรูปได้
                      • ฉีดโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ซ้ำถี่เกินไป การฉีดโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ซ้ำหลายยี่ห้อถี่จนเกินไป โดยไม่ได้มีการประเมินโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เดิมที่ยังมีอยู่ อาจทำให้เกิดการสะสมของสารในโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ปริมาณมาก จนส่งผลให้ใบหน้าล้น หรือผิดรูปได้
                      • แพทย์ไม่มีความชำนาญ การฉีดโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ โดยแพทย์ที่ไม่มีความชำนาญ หรือแพทย์ใช้เทคนิคที่ไม่เหมาะสม อาจทำให้เกิดข้อผิดพลาดจากโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ จนส่งผลให้เกิดปัญหาหน้าล้นได้

                       

                      วิธีป้องกันภาวะหน้าล้นจากโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์งานผิว
                      วิธีป้องกันภาวะหน้าล้นจากโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์งานผิว

                       

                      วิธีป้องกันภาวะหน้าล้นจากโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์งานผิว

                      • เลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน การฉีดโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ ควรเลือกคลินิกความงามที่ได้มาตรฐาน แพทย์ที่มีความรู้ด้านโปรแกรมฉีด Fillerใช้ฟิลเลอร์แท้ที่ผ่านการรับรองจาก อย. เท่านั้น
                      • ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ ก่อนฉีดโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ ควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์อย่างละเอียด ทั้งประเภทของโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ ปริมาณที่ควรฉีดในแต่ละบริเวณ ข้อดี ข้อเสีย และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
                      • ปรึกษาแพทย์อย่างละเอียด ก่อนฉีดโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ ควรปรึกษาแพทย์อย่างละเอียด โดยพูดคุยถึงความต้องการ และปัญหาที่ต้องการแก้ไข ซึ่งแพทย์ที่มีประสบการณ์ จะสามารถประเมินปริมาณโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ที่ใช้ และตำแหน่งที่ฉีดได้อย่างเหมาะสม เพื่อป้องกันปัญหาหน้าล้น จากการฉีดโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์มากเกินไป
                      • ฉีดโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ในปริมาณที่พอดี การฉีดโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ ควรฉีดในปริมาณที่เหมาะสม หากต้องการฉีดซ้ำควรเริ่มทยอยฉีดทีละน้อย ๆ หรือรอให้สารในโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เข้าที่ประมาณ 2 – 4 สัปดาห์ แล้วค่อยตัดสินใจฉีดเพิ่ม
                      • เลือกใช้โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ที่เหมาะสม เนื่องจากโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์แต่ละประเภทมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน ควรเลือกใช้โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ที่เหมาะสมกับบริเวณที่ต้องการฉีด เพื่อป้องกันปัญหาหน้าล้น หรือใบหน้าผิดรูปหลังฉีดฟิลเลอร์
                      • เว้นระยะห่างในการฉีดโปรแกรมฉีฟิลเลอร์แต่ละครั้ง การฉีดโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ ควรเว้นระยะห่างในการฉีดแต่ละครั้ง ตามระยะเวลาที่กำหนด หรือรอให้สารในโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์สลายหมดก่อนค่อยฉีดเพิ่ม เพื่อป้องกันการสะสมของสารในโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ และลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะหน้าล้น

                       

                      เตือนภัย! หน้าล้นเพราะโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์งานผิว ฉีดมากไปเสี่ยงอันตราย

                       

                      วิธีแก้ไขภาวะหน้าล้นจากโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์

                      • ฉีดสลายโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ (Hyaluronidase) 

                      การฉีดสลายโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ เป็นการใช้เอนไซม์ Hyaluronidase เข้าไปสลายโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ประเภท Hyaluronic Acid (HA) เหมาะสำหรับการแก้ไขปัญหาหน้าล้น (Overfilled Syndrome) โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เป็นก้อน โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ไหลผิดตำแหน่ง หรือเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ฉีดโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์แล้วอุดตันเส้นเลือด จนอาจเป็นอันตรายต่อผิวหนังได้ ซึ่งการฉีดสลายโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ ถือเป็นวิธีที่ปลอดภัย และสามารถเห็นผลได้อย่างรวดเร็ว แต่อาจต้องทำการฉีดซ้ำหลายครั้ง เพื่อให้สารสลายออกทั้งหมด

                      • ผ่าตัดนำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ออก

                      การผ่าตัดนำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ออก เป็นกระบวนการนำสารในโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ที่ไม่สามารถสลายได้ด้วยเอนไซม์ Hyaluronidase ออกจากร่างกาย โดยการผ่าตัดเปิดแผลเพื่อนำสารออกโดยตรง ซึ่งมักใช้กับสารประเภทซิลิโคนเหลว หรือพาราฟินในกรณีที่เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่นจับตัวเป็นก้อน ไหลย้อยผิดตำแหน่ง เกิดอาการอักเสบเรื้อรัง หรือใบหน้าผิดรูป แต่การนำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ออกด้วยการผ่าตัดนั้น ไม่สามารถนำสารออกมาได้ทั้งหมด ซึ่งถือเป็นวิธีที่มีความเสี่ยงสูง อาจก่อให้เกิดแผลเป็นถาวร และต้องใช้เวลาในการพักฟื้นนาน

                       

                      โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์งานผิว อันตรายไหม?
                      โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์งานผิว อันตรายไหม?

                      โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์งานผิว อันตรายไหม?

                      โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์งานผิว หากฉีดโดยแพทย์ที่มีความรู้ด้านการทำโปรแกรมฉีด Filler ถือว่ามีความปลอดภัยสูง ไม่ก่อให้อันตรายใด ๆ ต่อร่างกาย แต่หากฉีดโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์งานผิวในปริมาณมากเกินไป หรือฉีดในตำแหน่งที่ไม่เหมาะสม อาจก่อให้เกิดภาวะหน้าล้น หรือ Overfilled Syndrome ซึ่งส่งผลกระทบต่อใบหน้าได้ ดังนั้น ก่อนตัดสินใจฉีด ควรเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน แพทย์ที่ทำโปรแกรมฉีด Filler และปรึกษาแพทย์อย่างละเอียด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่สวยงามตามต้องการมากที่สุด

                       

                      โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์งานผิว ควรฉีดบ่อยแค่ไหน?

                      โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์งานผิว โดยทั่วไปจะสามารถฉีดซ้ำได้เมื่อสารในโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เริ่มสลายตัว ซึ่งส่วนใหญ่โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์งานผิวจะมีระยะเวลาคงอยู่ ประมาณ 3 – 9 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อ และสภาพผิวของแต่ละบุคคล แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ก่อนทำการฉีด เพื่อให้แพทย์ประเมินสภาพผิว และวางแผนปริมาณที่ควรฉีดในครั้งถัดไปได้อย่างเหมาะสม

                       

                      ปัญหาหน้าล้นจากการฉีดโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์งานผิวมากเกินไป เป็นปัญหาที่สามารถป้องกันได้ หากมีการวางแผน และปรึกษาแพทย์อย่างรอบคอบ ซึ่งการฉีดโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ที่เหมาะสมนั้น จะช่วยให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ สำหรับใครที่สนใจโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ สามารถเข้ามาปรึกษาได้ที่ รมย์รวินท์คลินิก ทุกสาขา เรามีทีมแพทย์ที่มีความรู้ และประสบการณ์ ซึ่งจะคอยประเมินสภาพผิวทุกครั้งก่อนฉีด รวมถึงประเมินปริมาณที่ควรใช้ได้อย่างเหมาะสม เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาหน้าล้นจากการฉีดโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ในอนาคต

                       

                      รมย์รวินท์คลินิก ร่วมงาน “APA Prestige Award 2024” ที่ Yodpiman River Walk

                      APA Prestige Award

                      รมย์รวินท์คลินิก ร่วมงาน “APA Prestige Award 2024” ที่ Yodpiman River Walk

                      รมย์รวินท์คลินิก นำโดย มาดามจอย – ขวัญฤทัย ดำรงค์วัฒนโภคิน ผู้บริหารรมย์รวินท์คลินิก , คุณหมอปิ่น –แพทย์หญิง ปิ่นธิศา นิสากรเสน (ว.60740) และ คุณหมอซาวด์ – แพทย์หญิง ภวิศา ชำนาญเสือ (ว.54321) เข้าร่วมงาน “APA Prestige Award 2024: The Futuristic Voyage” งานประกาศรางวัลอันทรงเกียรติ ซึ่งจัดขึ้น ณ Yodpiman River Walk (Saffron Cruise) ดินเนอร์สุดหรูบนเรือสำราญกลางแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อเฉลิมฉลองความสำเร็จและก้าวสู่อนาคตแห่งความงามที่ยั่งยืน

                       

                      Prestige Award

                       

                      รมย์รวินท์คลินิก นำเทคโนโลยีสู่ยุคใหม่แห่งความงามที่ยั่งยืน

                      การเดินทางครั้งใหม่นี้ ไม่ได้เพียงแค่เฉลิมฉลองความสำเร็จ แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของความก้าวล้ำ มาตรฐานที่มั่นคง ด้านเทคโนโลยี ที่รมย์รวินท์คลินิกมุ่งมั่นพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

                      ภายในงาน แขกผู้มีเกียรติได้สัมผัสถึงเทคโนโลยีความงามแห่งอนาคต ที่ผสานเทคโนโลยีล้ำสมัย เข้ากับศาสตร์ด้านความงามระดับสากล เปิดโอกาสให้ค้นพบมิติใหม่ของการดูแลผิวพรรณที่ออกแบบมาเพื่อมอบผลลัพธ์ที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้า

                       

                      APA Prestige Award

                       

                      คว้ารางวัล “Romrawin Prestige Award” การันตีความเป็นเลิศระดับสากล

                      หนึ่งในไฮไลต์สำคัญของค่ำคืนนี้คือรมย์รวินท์คลินิกได้รับรางวัล “Romrawin Prestige Award” ซึ่งเป็นรางวัลที่สะท้อนถึงมาตรฐานการให้บริการของรมย์รวินท์คลินกโดยเฉพาะกับโปรแกรม Pluryal โปรแกรมฟื้นฟูผิวที่ช่วยเสริมสร้างความอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ ด้วยเทคโนโลยีที่ผ่านการวิจัยและพัฒนาเพื่อผลลัพธ์ที่ดี

                      รางวัลนี้ถือเป็นเครื่องยืนยันถึงความไว้วางใจของลูกค้า และเป็นกำลังใจสำคัญให้รมย์รวินท์คลินิกมุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีความงามอย่างไม่หยุดยั้ง

                       

                      APA Prestige Award

                       

                      โปรแกรม Pluryal เทคโนโลยีแห่งการฟื้นฟูผิว คืนความอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ

                      โปรแกรม Pluryal เป็นเทคโนโลยีที่ออกแบบมาเพื่อฟื้นฟูโครงสร้างผิวจากภายใน ดูแลผิวหลากหลายรูปแบบ ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวดูอิ่มฟู กระชับ และลดเลือนริ้วรอยแห่งวัย อีกทั้งยังช่วยเสริมความชุ่มชื้นให้กับผิวจากภายใน ทำให้ใบหน้าดูสดใสและใช้ชีวิตชีวามากขึ้น

                       

                      จุดเด่นของโปรแกรม Pluryal

                      • คืนความชุ่มชื้นและความยืดหยุ่นให้ผิว

                      โปรแกรม Pluryal ออกแบบมาเพื่อช่วยบำรุงและฟื้นฟูสภาพผิวให้กลับมาแข็งแรง โดยช่วยเติมเต็มความชุ่มชื้น พร้อมเสริมสร้างความยืดหยุ่นของผิว ให้ดูเรียบเนียนและกระจ่างใสยิ่งขึ้น

                      • สารสกัดจากธรรมชาติ ปลอดภัย และดูดซึมได้ดี

                       

                      APA Prestige Award

                       

                      ส่วนประกอบหลักมาจาก โพลีนิวคลีโอไทด์ จากปลาแซลมอน ซึ่งเป็นสารที่มีความบริสุทธิ์สูง สามารถซึมซาบเข้าสู่ผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยฟื้นฟูเซลล์ผิวจากภายใน

                      • ตอบโจทย์ทุกความต้องการของผิว ดูแลผิวในแต่ละปัญหาโดยเฉพาะ
                          • โปรแกรม Pluryal Biosculpture ช่วยปรับรูปหน้า เติมเต็มร่องลึก และเสริมสร้างความกระชับของผิว
                          • โปรแกรม Pluryal Densify ช่วยฟื้นบำรุงผิวโดยรวม ให้แลดูอ่อนเยาว์
                          • โปรแกรม Pluryal Silk ดูแลบริเวณรอบดวงตาและริมฝีปาก ลดเลือนริ้วรอยเล็กๆ
                      • เทคโนโลยี HPN (Highly Pure Polynucleotides)

                      ใช้กระบวนการผลิตที่ทันสมัยเพื่อให้ได้สารโพลีนิวคลีโอไทด์ที่มีความบริสุทธิ์สูง ปลอดภัยต่อผิว และให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ

                      • กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและเสริมสร้างเซลล์ผิวใหม่

                      โปรแกรม Pluryal ช่วยกระตุ้นการทำงานของไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวแลดูกระชับขึ้น ลดเลือนริ้วรอย และฟื้นฟูโครงสร้างผิวจากภายใน

                      โปรแกรม Pluryal จึงเป็นเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์การฟื้นฟูและดูแลผิวอย่างครบวงจร พร้อมมอบผลลัพธ์ที่ปลอดภัยและยั่งยืน เพื่อให้เผยผิวที่อ่อนเยาว์ได้อย่างมั่นใจ

                       

                      APA Prestige Award

                       

                      รมย์รวินท์คลินิก มุ่งสู่อนาคตแห่งความงามที่ยั่งยืน

                      รมย์รวินท์คลินิกยังคงเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีความงามอย่างต่อเนื่อง ด้วยมาตรฐานระดับสากล เพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้า และสร้างสรรค์ผลลัพธ์ที่ดี

                      เราพร้อมเคียงข้างทุกคนในทุกช่วงวัย ด้วยเทคโนโลยีความงามที่ปลอดภัย ทันสมัย และเปี่ยมด้วยคุณภาพ เพื่อให้ทุกท่านสามารถก้าวสู่ความงามที่มั่นใจได้อย่างแท้จริง

                      BB HIFU ผิวกระชับ เรียบเนียนในขั้นตอนเดียว

                      โปรแกรม BB HIFU งานผิว

                      ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




                        วันที่สะดวกในการติดต่อ








                        BB HIFU ผิวกระชับ เรียบเนียนในขั้นตอนเดียว

                        หากใครกำลังมองหาวิธีดูแลผิวหน้าให้เรียบเนียน กระชับ และดูอ่อนเยาว์โดยไม่ต้องผ่าตัด BB HIFU งานผิว คือคำตอบที่สมบูรณ์แบบสำหรับคุณ! ด้วยเทคโนโลยีคลื่นอัลตราซาวนด์ความถี่สูง (High-Intensity Focused Ultrasound) ที่มาพร้อมหัวขนาด 2.0 mm ออกแบบมาเพื่อเก็บรายละเอียดเล็ก ๆ บนผิวหน้าได้อย่างแม่นยำ นี้ช่วยลดเลือนริ้วรอยเล็ก ๆ ปรับสภาพผิวให้เรียบเนียนและกระชับในขั้นตอนเดียว คุณจึงมั่นใจได้ในผลลัพธ์ที่สวยงามแบบไม่ต้องรอนาน พร้อมเผยผิวสวยสุขภาพดีในทุกมุมมอง

                         

                        นี้ไม่ได้ช่วยแค่ลดเลือนริ้วรอยเล็ก ๆ เท่านั้น แต่ยังมอบผลลัพธ์ที่ทำให้ผิวของคุณดูสวยเนียนใสอย่างเป็นธรรมชาติในขั้นตอนเดียว หลายคนคงเริ่มสงสัยว่าทำไม BB HIFU งานผิว ถึงกลายเป็นที่นิยมของคนรักงานผิว? ไขทุกข้อสงสัยและเหตุผลว่าทำไมคุณไม่ควรพลาดที่ช่วยเปลี่ยนผิวของคุณให้สวยในแบบที่คุณไม่เคยสัมผัสมาก่อนได้พร้อมกันที่บทความนี้

                         

                        ทำความรู้จัก BB HIFU งานผิวสวย ผิวเนียนแบบมืออาชีพ

                        BB HIFU งานผิว คือดูแลผิวที่ใช้เทคโนโลยีคลื่นอัลตราซาวนด์ความถี่สูง (High-Intensity Focused Ultrasound) โดยเน้นให้พลังงานเข้าถึงชั้นผิวหนังกำพร้า (Epidermis) และชั้นหนังแท้ (Dermis) ได้อย่างแม่นยำและปลอดภัย มีคุณสมบัติเด่นในการยกกระชับผิว ลดเลือนริ้วรอย และปรับผิวหน้าให้เรียบเนียนขึ้นโดยไม่ต้องผ่าตัดหรือใช้เข็ม

                         

                        ความพิเศษของ BB HIFU งานผิว อยู่ที่ หัวทิปขนาด 2.0 mm ซึ่งได้รับการออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อจัดการรายละเอียดเล็ก ๆ บนผิวหน้า เช่น ริ้วรอยเล็ก ๆ บริเวณรอบดวงตา ริมฝีปาก และผิวหน้าที่ต้องการความละเอียดในการดูแล นี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวให้สดใส กระชับ และดูอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ

                         

                         BB HIFU งานผิว ทำงานอย่างไร?
                        BB HIFU งานผิว ทำงานอย่างไร?

                         

                        BB HIFU งานผิว ทำงานอย่างไร? เปิดกลไกผิวสวยเรียบเนียน

                        ส่งพลังงานเข้าสู่ชั้นผิวอย่างลึก

                        • BB HIFU งานผิว ใช้คลื่นอัลตราซาวนด์ที่มีความเข้มสูง เพื่อส่งพลังงานเข้าสู่ชั้นผิวหนังกำพร้า (Epidermis) และชั้นหนังแท้ (Dermis) พลังงานนี้ช่วยให้เกิดการหดตัวของเนื้อเยื่อและสร้างความยืดหยุ่นให้ผิว

                        กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน

                        • พลังงานความร้อนที่ปล่อยเข้าสู่ชั้นผิวลึกช่วยกระตุ้นเซลล์ผิวให้สร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ ซึ่งเป็นโครงสร้างสำคัญที่ช่วยให้ผิวดูเรียบเนียน กระชับ และอ่อนเยาว์

                        ดูแลเฉพาะจุดอย่างแม่นยำ

                        • ด้วยหัวทิปขนาดเล็ก 2.0 mm ของ BB HIFU งานผิว สามารถเจาะจงดูแลปัญหาผิวในบริเวณที่ยากต่อการเข้าถึง เช่น รอบดวงตา มุมปาก หรือใต้คาง

                        ไม่ทำลายผิวชั้นนอก

                        • แม้ว่าพลังงานจะเข้าถึงชั้นผิวที่ลึก แต่ BB HIFU งานผิว ไม่ทำลายผิวหนังชั้นบน (Epidermis) ทำให้ไม่มีรอยแผลหรืออาการระคายเคืองหลังทำ

                         

                        เปิดทุกข้อดีของ  BB HIFU งานผิว ที่ควรรู้
                        เปิดทุกข้อดีของ BB HIFU งานผิว ที่ควรรู้

                         

                        เปิดทุกข้อดีของ BB HIFU งานผิว ที่ควรรู้

                        • BB HIFU งานผิว ลดเลือนริ้วรอยบนใบหน้าอย่างตรงจุด
                        • BB HIFU งานผิว ฟื้นฟูผิวหน้าให้กระชับ เต่งตึง ได้ทุกจุดบนใบหน้า
                        • BB HIFU งานผิว จัดการรายละเอียดเล็ก ๆ ได้เป็นอย่างดี เช่น รอบดวงตา มุมปาก 
                        • BB HIFU งานผิว ผิวจะดูเรียบเนียน กระชับขึ้นทันที
                        • BB HIFU งานผิว กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว 
                        • BB HIFU งานผิว ดูแลทุกมิติของผิว ปรับสภาพผิวให้ดูอ่อนเยาว์
                        • BB HIFU งานผิว ช่วยให้ผิวเรียบเนียนและกระชับรูขุมขน
                        • BB HIFU งานผิว เห็นผลลัพธ์ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ
                        • BB HIFU งานผิว ปลอดภัยและผ่านการรับรองมาตรฐาน
                        • BB HIFU งานผิว เหมาะกับทุกสภาพผิว ไม่ว่าจะเป็นผิวแห้ง ผิวมัน หรือผิวบอบบาง
                        • BB HIFU งานผิว หลังทำสามารถกลับไปทำกิจวัตรประจำวันได้ทันที
                        • BB HIFU งานผิว ไม่ต้องเจ็บตัว ไม่ต้องพักฟื้น
                        • BB HIFU งานผิว มีความปลอดภัยสูง โดยไม่ก่อให้เกิดรอยแผลหรืออาการระคายเคือง

                         

                        เจาะลึกประโยชน์ BB HIFU งานผิว ช่วยอะไรบ้าง?

                        • BB HIFU งานผิว ช่วยจัดการกับริ้วรอยเล็ก ๆ บริเวณหน้าผาก รอบดวงตา มุมปาก
                        • BB HIFU งานผิว ช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิว
                        • BB HIFU งานผิว ช่วยให้ผิวกระชับ อิ่มฟู และมีความยืดหยุ่นมากขึ้น
                        • BB HIFU งานผิว ช่วยปรับสภาพผิวให้เรียบเนียน ลดปัญหารูขุมขนกว้าง
                        • BB HIFU งานผิว ช่วยปรับสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอจากการเกิดจุดด่างดำหรือรอยหมองคล้ำ
                        • BB HIFU งานผิว ช่วยฟื้นฟูผิวหน้าได้โดยไม่ต้องพักฟื้น
                        • BB HIFU งานผิว ช่วยให้ผิวดูสุขภาพดี เนียนกระชับ และเปล่งปลั่งในทุกมิติ
                        • BB HIFU งานผิว ช่วยกระตุ้นกระบวนการฟื้นฟูของผิวในระดับเซลล์
                        • BB HIFU งานผิว ช่วยฟื้นฟูและดูแลปัญหาผิวจากความเหนื่อยล้า

                         

                        ใครควรทำ  BB HIFU งานผิว บ้าง?
                        ใครควรทำ BB HIFU งานผิว บ้าง?

                         

                        ใครควรทำ BB HIFU งานผิว บ้าง?

                        • BB HIFU งานผิว เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยเล็ก ๆ บนใบหน้า
                        • BB HIFU งานผิว เหมาะกับผู้ที่ต้องการกระชับผิวบริเวณเฉพาะจุด
                        • BB HIFU งานผิว เหมาะกับผู้ที่มีปัญหารูขุมขนกว้างและผิวไม่เรียบเนียน
                        • BB HIFU งานผิว เหมาะกับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวหน้าโดยไม่ต้องศัลยกรรม
                        • BB HIFU งานผิว เหมาะกับผู้ที่ต้องการปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ
                        • BB HIFU งานผิว เหมาะกับผู้ที่ต้องการผิวดูอ่อนเยาว์ในทุกมิติ
                        • BB HIFU งานผิว เหมาะกับผู้ที่ต้องการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน
                        • BB HIFU งานผิว เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยเล็ก ๆ รอบดวงตา
                        • BB HIFU งานผิว เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยบริเวณร่องแก้มและรอบริมฝีปาก
                        • BB HIFU งานผิว เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวไม่กระจ่างใส
                        • BB HIFU งานผิว เหมาะกับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวหลังการโดนทำร้ายจากมลภาวะ
                        • BB HIFU งานผิว เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวแห้งและขาดความยืดหยุ่น
                        • BB HIFU งานผิว เหมาะกับผู้ที่ต้องการเตรียมผิวให้พร้อมสำหรับงานสำคัญ

                         

                        ใครที่ไม่ควรทำ BB HIFU งานผิว บ้าง?

                        • BB HIFU งานผิว ไม่เหมาะกับสตรีที่ตั้งครรภ์หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร
                        • BB HIFU งานผิว ไม่เหมาะกับผู้ที่มีโรคหรือภาวะทางผิวหนัง เช่น โรคผิวหนังอักเสบ, โรคสะเก็ดเงิน
                        • BB HIFU งานผิว ไม่เหมาะกับผู้ที่มีบาดแผลเปิดหรือผิวหนังอักเสบ
                        • BB HIFU งานผิว ไม่เหมาะกับผู้ที่มีประวัติการแพ้พลังงานความร้อนหรือคลื่นอัลตราซาวนด์
                        • BB HIFU งานผิว ไม่เหมาะกับผู้ที่มีอุปกรณ์ฝังในร่างกาย เช่น เครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemaker)
                        • BB HIFU งานผิว ไม่เหมาะกับผู้ที่มีโรคเรื้อรังที่ควบคุมไม่ได้ เช่น โรคหัวใจขั้นรุนแรง, โรคเบาหวานที่ยังไม่สามารถควบคุมได้ หรือโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน
                        • BB HIFU งานผิว ไม่เหมาะกับผู้ที่มีผิวบอบบางหรือแพ้ง่ายมาก
                        • BB HIFU งานผิว ไม่เหมาะกับผู้ที่เพิ่งทำหัตถการที่ผิวมาไม่นาน เช่น การทำเลเซอร์ การฉีดฟิลเลอร์ การฉีดโบ
                        • BB HIFU งานผิว ไม่เหมาะกับผู้ที่มีภาวะผิวหน้าบางหรือเส้นเลือดฝอยชัดเจน
                        • BB HIFU งานผิว ไม่เหมาะกับผู้ที่มีการใส่รากฟันเทียมหรือวัสดุโลหะในใบหน้า
                        • BB HIFU งานผิว ไม่เหมาะกับผู้ที่เคยมีประวัติการเกิดแผลเป็นคีลอยด์
                        • BB HIFU งานผิว ไม่เหมาะกับผู้ที่เป็นสิวอักเสบในบริเวณที่ต้องการทำ
                        • BB HIFU งานผิว ไม่เหมาะกับผู้ที่มีผิวไวต่อความร้อน
                        • BB HIFU งานผิว ไม่เหมาะกับผู้ที่มีโรคเกี่ยวกับระบบประสาทบนใบหน้า

                         

                        ดูแลตัวเองก่อนทำ BB HIFU งานผิว

                        • ก่อนทำ BB HIFU งานผิว ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำ เพื่อประเมินสภาพผิว ความเหมาะสม 
                        • ก่อนทำ BB HIFU งานผิว ควรแจ้งข้อมูลสุขภาพให้แพทย์ทราบ เช่น โรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา
                        • ก่อนทำ BB HIFU งานผิว ควรดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อรักษาความชุ่มชื้นให้ผิว
                        • ก่อนทำ BB HIFU งานผิว ควรพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อย 7-8 ชั่วโมง
                        • ก่อนทำ BB HIFU งานผิว งดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ AHA, BHA, Retinol อย่างน้อย 3-5 วัน
                        • ก่อนทำ BB HIFU งานผิว งดการขัดผิวหน้าหรือผลัดเซลล์ผิว อย่างน้อย 3-7 วัน
                        • ก่อนทำ BB HIFU งานผิว งดการทำเลเซอร์ ฉีดโบ ฉีดฟิลเลอร์ อย่างน้อย 2 สัปดาห์
                        • ก่อนทำ BB HIFU งานผิว งดดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ อย่างน้อย 24 ชั่วโมง
                        • ก่อนทำ BB HIFU งานผิว งดแต่งหน้าหรือให้เครื่องสำอางในวันที่ทำหัตถการ
                        • ก่อนทำ BB HIFU งานผิว งดอาหารรสจัดและเผ็ดร้อน เพื่อลดการบวมน้ำ 1-2 วัน
                        • ก่อนทำ BB HIFU งานผิว หลีกเลี่ยงการตากแดดจัดหรือทำกิจกรรมกลางแจ้ง อย่างน้อย 3-5 วัน
                        • ก่อนทำ BB HIFU งานผิว หลีกเลี่ยงการรับประทานยาบางชนิดที่ทำให้เลือดหยุดไหลยาก เช่น แอสไพริน หรือยากลุ่ม NSAIDs
                        • ก่อนทำ BB HIFU งานผิว หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก

                         

                        ขั้นตอนการทำ BB HIFU งานผิว 

                        1. แพทย์จะทำการประเมินปัญหาผิวและโครงหน้า เพื่อวางแผนการรักษาให้เหมาะสม แนะนำและอธิบายถึงจุดที่ต้องการฟื้นฟูผิว
                        2. ทำความสะอาดผิวอย่างหมดจด เพื่อให้ผิวพร้อมสำหรับการรักษา
                        3. ในบางกรณีอาจมีการทายาชาก่อนเริ่มทำเพื่อลดความรู้สึกไม่สบาย
                        4. แพทย์จะทาเจลอัลตราซาวนด์ลงบนผิวหน้า เพื่อช่วยให้คลื่นพลังงานเข้าสู่ผิวได้อย่างราบรื่น
                        5. แพทย์จะเลือกหัวอุปกรณ์ 2.0 mm. เพื่อเก็บรายละเอียดผิว เช่น ริ้วรอยเล็ก ๆ บนใบหน้า
                        6. แพทย์ตั้งค่าระดับพลังงานให้เหมาะสมกับปัญหาผิวและความไวต่อความรู้สึกของแต่ละบุคคล
                        7. แพทย์เริ่มใช้หัวอุปกรณ์ เลื่อนไปตามบริเวณผิวหน้าที่ต้องการรักษา
                        8. เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว แพทย์หรือผู้ช่วยแพทย์จะเช็ดเจลอัลตราซาวนด์ออก และทำความสะอาดผิวอีกครั้ง
                        9. แพทย์จะให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลผิวหลังทำ BB HIFU งานผิว

                         

                        ดูแลตัวเองหลังทำ BB HIFU งานผิว

                        • หลังทำ BB HIFU งานผิว หลีกเลี่ยงการโดนแดดจัด อย่างน้อย 1 สัปดาห์
                        • หลังทำ BB HIFU งานผิว หลีกเลี่ยงการใช้สครับผลัดเซลล์ผิวที่มีส่วนผสมของ AHA, BHA หรือ Retinol อย่างน้อย 1 สัปดาห์
                        • หลังทำ BB HIFU งานผิว หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือถูผิวหน้าแรง ๆ โดยเฉพาะบริเวณที่ทำการรักษา
                        • หลังทำ BB HIFU งานผิว หลีกเลี่ยงการอบซาวน่า การอบไอน้ำ หรืออาบน้ำร้อนจัด อย่างน้อย 3-7 วัน
                        • หลังทำ BB HIFU งานผิว หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตณ์หรือเครื่องสำอางที่อุดตันรูขุมขน
                        • หลังทำ BB HIFU งานผิว หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์
                        • หลังทำ BB HIFU งานผิว หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก หรือกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกมาก 1-2 วัน
                        • หลังทำ BB HIFU งานผิว ควรใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF50 PA+++ เป็นประจำ
                        • หลังทำ BB HIFU งานผิว ควรใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์หรือเซรัมที่ช่วยฟื้นฟูผิว
                        • หลังทำ BB HIFU งานผิว ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น

                         

                        เปรียบเทียบการทำ BB HIFU งานผิว กับ ฟิลเลอร์งานผิว
                        เปรียบเทียบการทำ BB HIFU งานผิว กับ ฟิลเลอร์งานผิว

                         

                        เปรียบเทียบการทำ BB HIFU งานผิว กับ ฟิลเลอร์งานผิว

                        BB HIFU งานผิว

                        BB HIFU เป็นเทคโนโลยีที่ใช้คลื่นอัลตราซาวนด์ความถี่สูง พร้อมหัวทิปขนาด 2.0 mm ส่งพลังงานลึกลงถึงชั้นผิวหนังกำพร้า (Epidermis) และชั้นหนังแท้ (Dermis) เพื่อช่วยยกกระชับผิวและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ผลลัพธ์คือผิวที่ดูกระชับ เรียบเนียน และยืดหยุ่นมากขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดเลือนริ้วรอยและฟื้นฟูผิวหน้าอย่างเป็นธรรมชาติ 

                         

                        ฟิลเลอร์งานผิว

                        ฟิลเลอร์งานผิวเป็นการฉีดสารเติมเต็มประเภท Hyaluronic Acid เข้าไปในชั้นผิวหนังเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น ฟื้นฟูผิวแห้ง และปรับสภาพผิวให้ดูสดใสและเปล่งปลั่ง เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวขาดน้ำ ผิวแห้งขาดความยืดหยุ่น หรือมีริ้วรอยเล็ก ๆ บนใบหน้า 

                         

                        สรุป BB HIFU งานผิว เน้นยกกระชับผิว กระตุ้นคอลลาเจน และลดเลือนริ้วรอยในระดับลึก เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูและปรับผิวหน้าให้กระชับ ส่วนฟิลเลอร์งานผิว เน้นเพิ่มความชุ่มชื้นและฟื้นฟูผิวแห้ง เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวขาดน้ำและต้องการให้ผิวดูเปล่งปลั่ง

                         

                        เปรียบเทียบการทำ BB HIFU งานผิว กับ เลเซอร์งานผิว

                        BB HIFU งานผิว

                        BB HIFU งานผิว เป็นเทคโนโลยีที่ใช้พลังงานคลื่นอัลตราซาวนด์ความถี่สูง ร่วมกับหัวทิปขนาด 2.0 mm เพื่อส่งพลังงานลงลึกถึงชั้น หนังกำพร้า (Epidermis) และ ชั้นหนังแท้ (Dermis) ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและยกกระชับผิว ผลลัพธ์คือผิวหน้าที่ดูกระชับ เรียบเนียน และยืดหยุ่นมากขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวหน้า ลดริ้วรอย และเพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิวดูสุขภาพดี

                         

                        เลเซอร์งานผิว

                        เลเซอร์เป็นเทคโนโลยีที่ใช้พลังงานแสงเพื่อปรับสีผิว กระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว และแก้ปัญหาผิวในระดับตื้นถึงกลาง เช่น รอยดำ รอยแดง หรือจุดด่างดำ นอกจากนี้ เลเซอร์บางประเภทสามารถช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวหนังแท้ได้ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ ลดจุดด่างดำ รอยสิว ฝ้า กระ และปรับผิวให้เรียบเนียน

                         

                        สรุป BB HIFU งานผิว เน้นการยกกระชับผิว กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นลึก และเพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิว เหมาะสำหรับการฟื้นฟูโครงสร้างผิวในระดับลึก ส่วนเลเซอร์งานผิว เน้นการปรับสีผิว ลดจุดด่างดำ รอยสิว และแก้ปัญหาผิวในชั้นตื้นถึงกลาง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการให้ผิวดูเรียบเนียนและสว่างใส

                         

                        รวมคำถามของ BB HIFU งานผิว

                        BB HIFU งานผิว เจ็บไหม?

                        • BB HIFU งานผิว อาจทำให้รู้สึกอุ่น ๆ หรือระคายเคืองเล็กน้อยในบริเวณที่ทำ ขึ้นอยู่กับความไวต่อความรู้สึกของแต่ละบุคคล บางคนอาจรู้สึกตึงใต้ผิว แต่ไม่ถึงขั้นเจ็บรุนแรง หากกังวลเรื่องความเจ็บ สามารถแจ้งแพทย์เพื่อทายาชาก่อนทำได้

                         

                        ต้องทำ BB HIFU งานผิว กี่ครั้งจึงจะเห็นผล?

                        • โดยปกติ BB HIFU งานผิว จะเริ่มเห็นผลได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ ผิวจะรู้สึกกระชับขึ้นเล็กน้อย และผลลัพธ์จะชัดเจนขึ้นในช่วง 1-3 เดือน เนื่องจากกระบวนการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว โดยทั่วไปการทำปีละ 1-2 ครั้ง

                         

                        ต้องพักฟื้นหลังทำ BB HIFU งานผิว ไหม?

                        • ไม่จำเป็นต้องพักฟื้นหลังทำ BB HIFU งานผิว คุณสามารถกลับไปทำกิจวัตรประจำวันได้ทันที เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีที่ไม่ทำลายผิวหนังชั้นนอก

                         

                        มีผลข้างเคียงจาก BB HIFU งานผิว ไหม?

                        • BB HIFU งานผิว มีความปลอดภัยสูง หากทำโดยแพทย์ที่มีความรู้ อาจมีผลข้างเคียงเล็กน้อย เช่น รอยแดง ตึงผิว หรืออาการบวมเล็กน้อยในบริเวณที่ทำ ซึ่งมักจะหายไปเองภายใน ไม่กี่ชั่วโมงถึง 1 วัน หากมีอาการผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์ทันที

                         

                        BB HIFU งานผิว เหมาะกับคนอายุเท่าไหร่?

                        • BB HIFU งานผิว เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุ 25 ปีขึ้นไป หรือผู้ที่เริ่มมีปัญหาผิวหย่อนคล้อยและต้องการฟื้นฟูผิวหน้าให้ดูกระชับ อ่อนเยาว์

                         

                        ผู้ชายสามารถทำ BB HIFU งานผิว ได้ไหม?

                        • ผู้ชายสามารถทำ BB HIFU ได้เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการยกกระชับผิวหน้า ลดริ้วรอย หรือปรับกรอบหน้าให้คมชัด

                        BB HIFU งานผิว สามารถทำได้กับทุกสภาพผิวไหม?

                        • BB HIFU งานผิว เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว ทั้งผิวมัน ผิวแห้ง และผิวผสม 

                         

                        หลังทำ BB HIFU งานผิว ผิวจะแดงหรือบวมไหม?

                        • หลังทำ BB HIFU งานผิว ผิวอาจมีรอยแดงหรือบวมเล็กน้อยในบางกรณี ซึ่งเป็นอาการปกติที่เกิดจากพลังงานคลื่นอัลตราซาวนด์ โดยอาการเหล่านี้จะหายไปเองภายใน ไม่กี่ชั่วโมงถึง 1 วัน

                         

                        BB HIFU งานผิว ปลอดภัยไหม?

                        • BB HIFU งานผิว เป็นเทคโนโลยีที่ปลอดภัยและได้รับการรับรองมาตรฐานระดับโลก หากทำโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ การรักษาไม่มีการใช้สารเคมีหรือเข็ม จึงไม่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ

                         

                        สามารถทำ BB HIFU งานผิว ร่วมกับการดูแลผิวอื่น ๆ ได้ไหม?

                        • สามารถทำ BB HIFU งานผิว ร่วมกับการดูแลผิวอื่น ๆ เช่น การฉีดวิตามินผิว การทำเลเซอร์ หรือการบำรุงผิวด้วยทรีตเมนต์ แต่ควรปรึกษาแพทย์เพื่อจัดลำดับการรักษาให้เหมาะสม

                         

                        หลังทำ BB HIFU งานผิว สามารถแต่งหน้าได้ไหม?

                        • หลังทำ BB HIFU งานผิว คุณสามารถแต่งหน้าได้ แต่ควรรอให้ผิวพักตัวอย่างน้อย 4-6 ชั่วโมง ก่อนเริ่มแต่งหน้า เพื่อป้องกันการระคายเคืองผิว

                         

                        BB HIFU งานผิว ถือเป็นเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการดูแลผิวให้กระชับ เรียบเนียน และดูอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ ด้วยเทคโนโลยีคลื่นอัลตราซาวนด์ความถี่สูงที่ปลอดภัยและไม่ต้องผ่าตัด จึงสามารถฟื้นฟูผิวหน้า ลดเลือนริ้วรอย และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ได้ในขั้นตอนเดียว อีกทั้งยังไม่ต้องเสียเวลาในการพักฟื้น

                        ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ที่เริ่มสังเกตเห็นสัญญาณแห่งวัยหรือผู้ที่ต้องการเพิ่มความมั่นใจในผิวหน้าของตนเอง BB HIFU งานผิว คือตัวเลือกที่ตอบโจทย์ เพื่อเสกผิวที่เรียบเนียน เปล่งปลั่ง และกระชับได้อย่างง่ายดาย มาเปลี่ยนผิวให้สวย สุขภาพดี พร้อมเผยความมั่นใจในทุกมุมมองไปพร้อมกับเทคโนโลยี BB HIFU 

                        EMPOWER HER … เผยพลังแห่งความงาม ให้ผู้หญิงยุคใหม่

                        Empower

                        ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




                          วันที่สะดวกในการติดต่อ








                          EMPOWER HER … เผยพลังแห่งความงาม ให้ผู้หญิงยุคใหม่

                          ไม่ว่าจะมีผิวแบบไหน เฉดสีผิวอะไร ผู้หญิงทุกคนต่างก็มีจุดงดงาม รมย์รวินท์คลินิกขอสนับสนุนพลังแห่งความงาม เฉลิมฉลองผู้หญิงยุคใหม่ มอบอำนาจแห่งความสวยให้ผู้หญิงโดยเฉพาะ ด้วยโปรโมชัน EMPOWER HER เติมความสวยให้คุณผู้หญิงทุกคนสวย ดูดี มีความมั่นใจ ในแบบที่เป็นตัวเอง

                           

                          EMPOWER for Ultimate Lifting Face
                          EMPOWER for Ultimate Lifting Face

                           

                          EMPOWER for Ultimate Lifting Face

                          แค่มีผิวอ่อนเยาว์ กระชับ ไร้ริ้วรอย ก็สร้างความมั่นใจให้กับผู้หญิงทุกคนได้แล้ว รมย์รวินท์คลินิกขอมอบพลังงานความสวยให้ผู้หญิงทุกคนยกกระชับ ลดเลือนริ้วรอย ด้วย

                           

                          โปรแกรม ULTRA 4D LIFT ยกกระชับผิวให้แน่น ลดเลือนริ้วรอย สร้างกรอบหน้าให้คมชัด พร้อมปรับรายละเอียดงานผิวให้เนียนสวย ให้หน้าสวยแบบ 4 มิติ 

                          ฉีดโบ ปรับกรอบหน้าให้เรียวสวย คมชัด มีมิติ ลดเลือนริ้วรอย 3 จุดแก่ หน้าผาก ระหว่างคิ้ว เหนียง และร่องลึกให้ผิวอ่อนเยาว์ ตึงกระชับได้อย่างเป็นธรรมชาติ 

                          SLIM FACE แก้มย้อย ผิวย้วย ก็จัดการเก็บให้กระชับ ปรับกรอบหน้าให้เรียว เพิ่มมิติความสวยให้ใบหน้า 

                           

                          SET 1 มอบพลังความสวย ยกกระชับ ลดริ้วรอยด้วยโปรแกรม ULTRA 4D LIFT + โปรแกรมฉีดโบ 1  area + SLIM FACE (S)

                          • ราคาเพียง 15,900.-  จากราคาปกติ 29,500.- (เลือกได้ 1 area หน้าผาก/หว่างคิ้ว/หางตา)

                          SET 2 มอบพลังความสวย ยกกระชับ ลดริ้วรอยด้วยโปรแกรม ULTRA 4D LIFT + โปรแกรมฉีดโบ 2  area + SLIM FACE (S)

                          • ราคาเพียง 18,900.-  จากราคาปกติ 35,500.- (เลือกได้ 2 area หน้าผาก/หว่างคิ้ว/หางตา)

                          SET 3 มอบพลังความสวย ยกกระชับ ลดริ้วรอยด้วยโปรแกรม ULTRA 4D LIFT + โปรแกรมฉีดโบ 3 area + SLIM FACE (S)

                          • ราคาเพียง 21,900.-  จากราคาปกติ 41,500.- 

                          (เลือกได้ 3 area หน้าผาก/หว่างคิ้ว/หางตา)

                           

                          EMPOWER for Celeb Face
                          EMPOWER for Celeb Face

                           

                          EMPOWER for Celeb Face

                          ผิวหน้ากระชับ หน้าเรียวสวยแบบดาราคุณเองก็ทำได้เช่นกัน เพราะรมย์รวินท์คลินิกขอมอบพลังงานความสวยให้ผู้หญิงทุกคนยกกระชับ กรอบหน้าเรียว ด้วย

                          โปรแกรม Oligio ผิวหย่อนคล้อย แก้มย้วย เหนียงห้อย ก็จัดการยกผิวให้กระชับ ลดไขมันส่วนเกินสะสม แก้ม เหนียง เปลี่ยนเป็นหน้าลีนสวย พร้อมปรับผิวให้แน่นเฟิร์ม สวยจบในตัวเดียว

                          โปรแกรมฉีดโบ รับกรอบหน้าให้เรียวสวย คมชัด มีมิติ ลดเลือนริ้วรอย 3 จุดแก่ หน้าผาก ระหว่างคิ้ว เหนียง และร่องลึกให้ผิวอ่อนเยาว์ ตึงกระชับได้อย่างเป็นธรรมชาติ 

                           

                          SET 1 มอบพลังความสวย ยุบเหนียงหด กรอบหน้า V ด้วย Oligio 300 line + BOTOX 50 u. (สีชมพู)

                          • ราคาเพียง 19,900.- จากราคาปกติ 42,000.- 

                          SET 2 มอบพลังความสวย ยุบเหนียงหด กรอบหน้า V ด้วย Oligio 300 line + BOTOX 50 u. (สีฟ้า)

                          • ราคาเพียง 20,900.- จากราคาปกติ 50,000.- 

                          SET 2 มอบพลังความสวย ยุบเหนียงหด กรอบหน้า V ด้วย Oligio 300 line + BOTOX 50 u. (สีม่วง)

                          • ราคาเพียง 21,900.- จากราคาปกติ 50,000.- 

                           

                          EMPOWER for Luxury Face
                          EMPOWER for Luxury Face

                          EMPOWER for Luxury Face

                          จะดีมั้ยถ้าคุณผู้หญิงจะได้เป็นเจ้าของกรอบหน้าเรียวสวย ผิวยกกระชับ และความอ่อนเยาว์ รมย์รวินท์คลินิกขอมอบพลังงานความสวยให้ผู้หญิงทุกคนยกกระชับ ลดเลือนริ้วรอย ด้วย

                          โปรแกรมฟิลเลอร์งานผิว ผสาน 2 พลังใน 1 เดียว ได้ทั้งเติมเต็มให้ผิวอิ่มฟู แน่นเฟิร์ม และเติมความโกลว์ให้ผิวดูสุขภาพดี อ่อนเยาว์ และชุ่มชื้นอย่างยาวนาน 

                           

                          มอบพลังความสวย รูปหน้าสวย อ่อนเยาว์ ด้วย ฟิลเลอร์งานผิว 3 cc.

                          • ราคาเพียง 9,900.- จากราคาปกติ 18,000.- 

                           

                          โปรแกรมฟิลเลอร์ เติมเต็มริ้วรอย ร่องลึก ปรับรูปหน้า ยกกระชับผิว ให้ผิวสวยดูดีโดยไม่ต้องพึ่งฟิลเตอร์ แค่มีฟิลเลอร์ผิวก็สวยได้แบบเป็นธรรมชาติ 

                          มอบพลังความสวย รูปหน้าสวย อ่อนเยาว์ ด้วย ฟิลเลอร์ (2 ปี)

                          • ราคาเพียง 14,900.-/1 cc. จากราคาปกติ 25,000.- 

                           

                          โปรแกรม Pluryal เก็บรอยย่น เติมเต็มร่องลึก ฟื้นฟูผิวให้แข็งแรง พร้อมยกความหย่อนคล้อยให้เป็นความตึงกระชับ ปรับรูปหน้าให้สวย ดูดี มีมิติ 

                          มอบพลังความสวย รูปหน้าสวย อ่อนเยาว์ ด้วยโปรแกรม Pluryal 

                          • ราคาเพียง 15,000.-/1 syr. จากราคาปกติ 18,000.-

                           

                          โปรแกรม  Profhilo งานผิวที่ช่วยเติมเต็มด้วย HA ที่มีความบริสุทธิ์ถึง 100% พร้อมกระตุ้นคอลลาเจนและอิลาสติน แก้ไขความหย่อนคล้อย ซ่อมแซมผิวเสื่อม ฟื้นฟูผิวให้แข็งแรง สวยเรียบเนียน อ่อนเยาว์โดยไม่ทำให้เกิดผลข้างเคียงต่อผิว 

                          มอบพลังความสวย รูปหน้าสวย อ่อนเยาว์ ด้วยโปรแกรม  Profhilo

                          • ราคาเพียง 25,000.-/1 syr. จากราคาปกติ 36,000.-

                           

                          โปรแกรม HArmonyCa  ไฮบริดฟิลเลอร์ที่มี HA เป็นตัวเติมเต็ม และให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว ผิวอิ่มฟู เต่งตึง พร้อม CaHA ที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินให้กับผิว ฟื้นฟูโครงสร้างผิวให้มีความกระชับ ยืดหยุ่น ดูสุขภาพดี สวยจบในตัวเดียว ให้ผลลัพธ์ดีกว่าฟิลเลอร์แบบทั่วไป

                          มอบพลังความสวย รูปหน้าสวย อ่อนเยาว์ ด้วยโปรแกรม HArmonyCa

                          • ราคาเพียง 29,900.-/1 syr. จากราคาปกติ 45,000.-

                           

                          โปรแกรม Radiesse กระตุ้นคอลลาเจนให้ผิวสวยด้วยพลัง CaHA ฟื้นฟูผิวให้ดูอ่อนเยาว์ พร้อมเพิ่มความชุ่มชื้น เติมสารอาหารให้ผิวสวยมีคุณภาพดี

                          มอบพลังความสวย รูปหน้าสวย อ่อนเยาว์ ด้วย โปรแกรม Radiesse ซื้อ 3 กล่องขึ้นไป

                          • ราคาเพียง 27,000.- จากราคาปกติ 45,000.-

                           

                          โปรแกรม Radiesse Plus ยกผิวให้กระชับ ปรับกรอบหน้าให้คมชัด มีมิติ กระตุ้นโครงสร้างผิวใหม่ให้สวยแบบเป็นธรรมชาติ 

                          มอบพลังความสวย รูปหน้าสวย อ่อนเยาว์ ด้วย โปรแกรม Radiesse Plus  3 กล่องขึ้นไป

                          • ราคาเพียง 27,000.- จากราคาปกติ 45,000.-

                           

                          EMPOWER for Charming Face
                          EMPOWER for Charming Face

                           

                          EMPOWER for Charming Face

                          ผู้หญิงทุกๆ คน ไม่ว่าวัยไหนก็อยากมีหน้าใส ผิวโกลว์ไร้จุดด่างดำ รมย์รวินท์คลินิกขอมอบพลังงานความสวยให้ผู้หญิงทุกคนหน้าใส ด้วย

                           

                          โปรแกรม MELASMA FIRM ไม่ว่าปัญหาไหนก็จัดการได้หมด จะผิวยับ หย่อนคล้อย มีริ้วรอยก็จัดการให้ยกกระชับ ลดริ้วรอยให้เกลี้ยงเหลือไว้แต่ผิวอ่อนเยาว์ หรือจะผิวฝ้า กระ จุดด่างดำ ปิดบังใบหน้า ก็จัดการให้ผิวเรียบเนียนกระจ่างใส เติมความสวยให้ผิวหมดจด

                          โปรแกรม BLINK IT UP ผลัดเซลล์ผิวเก่าอย่างอ่อนโยน เพื่อต้อนรับผิวใหม่ที่เรียบเนียน กระจ่างใสมากขึ้นกว่าที่เคย ผิวสว่างใสลืมไปเลยว่าเคยมีร่องรอย

                           

                          มอบพลังความสวย เคลียร์ผิวให้ใสปิ๊งด้วยโปรแกรม MELASMA FIRM

                          • ในราคาเพียง 10,900.- จากราคาปกติ 26,000.- รับฟรี BLINK IT UP จำนวน 1 ครั้ง

                           

                          โปรแกรม ULTRA 4D LIFT BOOSTER หัวปากกาตัวเด็ด ปล่อยพลังงานเป็นวงกลมเพื่อเก็บรายละเอียดงานผิวโดยเฉพาะ ปรับให้ผิวเรียบเนียน รูขุมขนกระชับ ผิวกระจ่างใส มีสุขภาพดี

                          โปรแกรม SHINING BRIGHT ลดการทำงานของเม็ดสีที่ผิดปกติ ปรับสีผิวให้เรียบเรียบสม่ำเสมอ เผยผิวกระจ่างใสอีกครั้ง 

                           

                          มอบพลังความสวย เคลียร์ผิวให้ใสปิ๊งด้วยโปรแกรม ULTRA 4D LIFT BOOSTER (หน้า) + SHINING BRIGHT (หน้า)

                          • ราคาเพียง 16,900.- จากราคาปกติ 45,000.- 

                           

                          EMPOWER for Body Contour

                          ผู้หญิงกับหุ่นสวย เชพดี เป็นของคู่กัน ใส่อะไรก็สวย โชว์ตรงไหนก็เริ่ด รมย์รวินท์คลินิกขอมอบพลังงานความสวยให้ผู้หญิงทุกคนยกกระชับ ลดเลือนริ้วรอย ด้วย

                          โปรแกรม FIT SHAPE BODY ลดไขมันและเซลลูไลต์ กระตุ้นการเผาผลาญ โดยไม่ทำลายเซลล์อื่นๆ ทำได้ทุกส่วนของร่างกาย ให้หุ่นสวยโดยไม่ต้องเจ็บตัว เพราะไม่ต้องผ่าตัด ไม่ทิ้งบาดแผล 

                          โปรแกรม SLIM & SLENDER ทางเลือกใหม่ที่ง่ายกว่าสำหรับคนต้องการลดน้ำหนัก ด้วย 4 step ปรับพฤติกรรมการกินของคุณให้ดีขึ้นในระยะยาว คุมความหิน ลดความอยากอาหาร อิ่มได้นานขึ้น ปลอดภัย ไม่มีผลข้างเคียง เพราะดูแลโดยผู้เชี่ยวชาญ 

                           

                          มอบพลังความสวย หุ่นกระชับ รูปร่างดี  ด้วยโปรแกรม FIT SHAPE BODY + โปรแกรม SLIM & SLENDER

                          • ราคาเพียง 7,900.- จากราคาปกติ 12,500.- 

                           

                          โปรแกรม COOLSCULPTING ลดไขมันดื้อด้วยพลังงานความเย็น -11 องศา ฟรีซไขมันส่วนเกินให้ตาย และถูกขับออกจากร่างกายโดยวิธีธรรมชาติ ปลอดภัย ไม่เป็นอันตราย อยากกำจัดจุดไหนก็ฟรีซจุดนั้น

                          โปรแกรม IV BLINK บูสต์ผิวให้สวยใส ฟื้นฟูผิวให้แข็งแรง สวย กระจ่างใส เผยออร่าที่ซ่อนอยู่ในตัวคุณ 

                          มอบพลังความสวย หุ่นกระชับ รูปร่างดี  ด้วยโปรแกรม COOLSCULPTING 2 Cycle

                          • ราคาเพียง 13,800.- จากราคาปกติ 50,000.-  รับฟรีโปรแกรม IV BLINK จำนวน 1 ครั้ง 

                           

                          พร้อมมอบความงาม เติมพลังแห่งความสวยให้กับผู้หญิงทุกคนแล้วตั้งแต่วันที่ 1 – 31 มีนาคม 2568 ที่รมย์รวินท์คลินิก ทั้ง 28 สาขานะคะ 

                           

                          *โปรโมชันตั้งแต่วันที่ 1-31 มีนาคม 2568 เท่านั้น
                          *โปรโมชันเฉพาะแพทย์ที่เข้าร่วมรายการเท่านั้น
                          *โปรโมชันเฉพาะสาขาที่เข้าร่วมรายการเท่านั้น
                          *ผลลัพธ์การรักษาอาจแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับเฉพาะบุคคล
                          *เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด โปรดตรวจสอบรายละเอียดและเงื่อนไขเพิ่มเติมกับทางเจ้าหน้าที่

                          ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




                            วันที่สะดวกในการติดต่อ








                            โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก คืออะไร? แก้ปัญหาปีกจมูกบานได้จริงไหม? เหมาะกับใคร?

                            โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก

                            ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




                              วันที่สะดวกในการติดต่อ








                              โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก คืออะไร? แก้ปัญหาปีกจมูกบานได้จริงไหม? เหมาะกับใคร?

                               

                              ปัญหาปีกจมูกบาน ปีกจมูกกว้าง เป็นปัญหาที่หลายคนกังวล จนสูญเสียความมั่นใจ ทำให้ไม่กล้ายิ้ม หัวเราะ หรือพูดคุยได้อย่างปกติ เนื่องจากกลัวว่า ปีกจมูกจะบานออกมามากเกินไป ทำให้ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันอย่างมาก ในปัจจุบันโปรแกรมฉีดโบปีกจมูก เป็นหัตถการที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นวิธีการที่ไม่ยุ่งยาก และสามารถแก้ไขปัญหาปีกจมูกบาน ปีกจมูกกว้างได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ตอบโจทย์สำหรับ ผู้ที่มีปัญหาปีกจมูกบาน และปีกจมูกกว้างโดยเฉพาะ สำหรับใครที่สนใจ และกำลังมีข้อสงสัยว่า โปรแกรมฉีดโบปีกจมูกคืออะไร? ใครที่เหมาะกับโปรแกรมฉีดโบปีกจมูก? และโปรแกรมฉีดโบปีกจมูกมีข้อดีข้อเสียอย่างไร? อย่าพลาดกับบทความนี้ เราจะมาไขข้อสงสัยทุกเรื่องที่ต้องรู้ เกี่ยวกับโปรแกรมฉีดโบปีกจมูกค่ะ 

                               

                              โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก คืออะไร? ดีอย่างไร? เหมาะกับใครบ้าง? 

                              โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก คืออะไร?

                              โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก คือ การใช้สารโปรตีนบริสุทธิ์ ที่สกัดจากแบคทีเรียชนิดหนึ่ง มาฉีดเข้าสู่ผิวหน้าในบริเวณปีกจมูกทั้งสองข้าง เมื่อฉีดโปรแกรมฉีดโบปีกจมูก สารนี้จะทำหน้าที่ในการยับยั้งการทำงานของกล้ามเนื้อ ที่ทำให้ปีกจมูกบานออก เพื่อปรับรูปทรงปีกจมูกให้มีขนาดเล็ก และแคบลง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดขนาดปีกจมูก ให้จมูกดูสวยงามอย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่ต้องผ่าตัด และไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้นนาน

                               

                              ปีกจมูกบาน เกิดจากสาเหตุอะไร?
                              ปีกจมูกบาน เกิดจากสาเหตุอะไร?

                               

                              ปีกจมูกบาน เกิดจากสาเหตุอะไร?

                              ปัญหาปีกจมูกบาน ปีกจมูกกว้าง สามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนมาจากปัจจัยภายในที่ส่งผลให้ปีกจมูกบาน และกว้างออก โดยมีสาเหตุ ดังนี้

                              • พันธุกรรม

                              หนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดปัญหาปีกจมูกบาน คือ ปัจจัยทางพันธุกรรมที่กำหนดลักษณะโครงสร้างใบหน้า และรูปทรงจมูก ซึ่งสามารถถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นได้ หากมีบุคคลในครอบครัวมีลักษณะปีกจมูกบาน ก็อาจมีโอกาสที่เราจะมีปีกจมูกบานตามไปด้วย

                              • โครงสร้างกระดูกอ่อน 

                              ปัญหาปีกจมูกบาน สามารถเกิดได้จากโครงสร้างกระดูกอ่อน ที่รองรับบริเวณปีกจมูกมีขนาดใหญ่ มีการโก่งตัว หรือมีรูปร่างผิดปกติ ทำให้ปีกจมูกดูกว้าง และมีขนาดใหญ่ตาม

                              • เนื้อเยื่อบริเวณจมูก

                              ปัญหาปีกจมูกบาน สามารถเกิดได้จากการสะสมของเนื้อเยื่อ และไขมันบริเวณปีกจมูกที่มีอยู่มากเกินไป ทำให้ปีกจมูกดูหนา มีขนาดใหญ่ และบานออกเมื่อมีการเคลื่อนไหว สามารถสังเกตได้จากการจับบริเวณจมูกแล้วรู้สึกนิ่ม ๆ 

                              • กล้ามเนื้อบริเวณจมูก

                              ปัญหาปีกจมูกบาน สามารถเกิดได้จาก การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อบริเวณปีกจมูก เมื่อมีการแสดงออกทางสีหน้า หรือแสดงออกทางอารมณ์ เช่น ยิ้ม หัวเราะ โกรธ หรือพูดคุย ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณปีกจมูกทำงานหนักมากขึ้น และจะสังเกตเห็นได้ว่า หากมีการแสดงออกทางสีหน้า ปีกจมูกจะยกขึ้น และบานออก ซึ่งเป็นปัญหาที่สามารถพบได้บ่อยที่สุด 

                              ดังนั้น การเข้าใจถึงสาเหตุของปัญหาปีกจมูกบาน ทำให้สามารถแก้ไข และเลือกวิธีการรักษาได้อย่างตรงจุด ซึ่งโปรแกรมฉีดโบปีกจมูกก็เป็นอีกหนึ่งตัวช่วย ในการลดขนาดปีกจมูกที่บานออกจากกล้ามเนื้อ ทำให้ปีกจมูกเรียวเล็ก และแคบลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

                               

                              โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก สามารถแก้ปัญหาปีกจมูกบานได้อย่างไร?

                              โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก สามารถแก้ไขปัญหาปีกจมูกบาน ที่เกิดจากกล้ามเนื้อบริเวณปีกจมูกได้ โดยโปรแกรมฉีดโบปีกจมูกเข้าไปยังกล้ามเนื้อบริเวณปีกจมูก โดยเฉพาะกล้ามเนื้อ Dilator naris และกล้ามเนื้อ Alar nasalis ที่ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อบริเวณปีกจมูก ให้ขยายกว้างขึ้น และหดตัวลง เมื่อมีการหายใจแรง ๆ หรือแสดงออกทางสีหน้า เช่น ยิ้ม หัวเราะ หรือพูดคุย 

                              ซึ่งโปรแกรมฉีดโบปีกจมูกนั้น จะออกฤทธิ์ในการยับยั้งการปล่อยสารสื่อประสาทที่เรียกว่า Acetylcholine (Ach) ที่ปลายประสาท ซึ่งมีหน้าที่ในการส่งสัญญาณให้กล้ามเนื้อหดตัว เมื่อปริมาณ Ach ลดลง กล้ามเนื้อบริเวณปีกจมูกก็จะคลายตัวลง และไม่สามารถหดตัวได้ตามปกติ ส่งผลให้ปีกจมูกไม่สามารถขยายออก และไม่สามารถดึงขึ้นได้ชั่วคราว เมื่อมีการแสดงอารมณ์ต่าง ๆ ทำให้ปีกจมูกดูเรียวเล็ก รูจมูกแคบ และมีสัดส่วนที่สมดุล รับกับใบหน้ามากขึ้น

                               

                              โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก ช่วยเรื่องอะไรบ้าง?
                              โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก ช่วยเรื่องอะไรบ้าง?

                               

                              โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก ช่วยเรื่องอะไรบ้าง?

                              • โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก ช่วยลดขนาดปีกจมูก แก้ไขปัญหาปีกจมูกบาน ทำให้ปีกจมูกแคบลง
                              • โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก ช่วยแก้ปัญหารูจมูกกว้าง ทำให้รูจมูกดูเล็กลง
                              • โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก ช่วยปรับรูปทรงจมูกให้เรียวเล็ก ดูสวยงามมากขึ้น
                              • โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก ช่วยให้ใบหน้ามีความสมดุล จมูกดูรับกับใบหน้ามากขึ้น
                              • โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก ช่วยป้องกันไม่ให้ปีกจมูกบาน เมื่อ ยิ้ม หัวเราะ พูดคุย หรือแสดงออกทางสีหน้าต่าง ๆ

                               

                              โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก เหมาะกับใคร?

                              • โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาปีกจมูกบานแบบเห็นได้ชัด เวลาออกทางแสดงสีหน้า
                              • โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาปีกจมูกกว้าง ปีกจมูกมีขนาดใหญ่กว่าปกติ
                              • โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการปรับรูปทรงจมูกให้เรียวเล็ก
                              • โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหารูจมูกกว้าง รูจมูกบานออก
                              • โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก เหมาะสำหรับ ผู้ที่ขาดความมั่นใจเกี่ยวกับปีกจมูก
                              • โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก เหมาะสำหรับ ผู้ที่ไม่ต้องการผ่าตัด และไม่อยากพักฟื้นนาน 
                              • โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการความสะดวก รวดเร็ว และมีเวลาจำกัด

                               

                              โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก ไม่เหมาะกับใคร?

                              • โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการแก้ไข หรือปรับปรุงโครงสร้างจมูก แนะนำให้ทำศัลยกรรมจมูกจะสามารถแก้ปัญหาได้ครอบคลุมกว่า
                              • โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์อยู่ เนื่องจากอาจมีความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียงต่อลูกในครรภ์ได้
                              • โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่กำลังให้นมบุตร เนื่องจากอาจมีความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียงต่อลูกได้
                              • โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่แพ้สารโปรตีนบริสุทธิ์ในโปรแกรมฉีดโบปีกจมูก เนื่องจากอาจก่อให้เกิดอาการแพ้รุนแรงได้
                              • โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีแผลเปิด เป็นสิว หรือติดเชื้อในบริเวณที่จะทำการฉีด ควรรอให้แผลหายดีก่อน
                              • โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่กำลังรับประทานยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เนื่องจากอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้
                              • โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก ไม่เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีโรคเกี่ยวกับระบบประสาท และกล้ามเนื้อ เนื่องจากอาจทำให้อาการแย่ลงได้

                               

                              โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก มีข้อดีอย่างไร?
                              โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก มีข้อดีอย่างไร?

                               

                              โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก มีข้อดีอย่างไร?

                              • โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก สามารถแก้ไขปัญหาปีกจมูกบาน จากกล้ามเนื้อได้อย่างตรงจุด
                              • โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก ช่วยเพิ่มความมั่นใจในตนเอง ทำให้สามารถแสดงสีหน้าได้อย่างเป็นธรรมชาติ 
                              • โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก เห็นผลลัพธ์รวดเร็ว ไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียง
                              • โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก มีขั้นตอนในการฉีดไม่ยุ่งยาก ใช้เวลาไม่นาน
                              • โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องเจ็บตัว และไม่ทิ้งบาดแผลไว้หลังฉีด
                              • โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก ไม่ต้องพักฟื้นนาน หลังฉีดเสร็จสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ
                              • โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก ราคาเข้าถึงง่าย เมื่อเทียบกับการศัลยกรรมตัดปีกจมูก เหมาะสำหรับผู้ที่งบประมาณจำกัด

                               

                              โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก มีข้อเสียอย่างไร?

                              • โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก จะให้ผลลัพธ์ที่ไม่ถาวร โดยสามารถอยู่ได้ประมาณ 3 – 6 เดือน เมื่อครบกำหนดกล้ามเนื้อบริเวณปีกจมูกจะค่อย ๆ กลับมาทำงานตามปกติ
                              • โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก อาจไม่ตอบโจทย์สำหรับผู้ที่มีปัญหาปีกจมูกบานมาก ๆ แนะนำให้ทำการศัลยกรรมตัดปีกจมูกจะเห็นผลที่ชัดเจนมากกว่า
                              • โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก หากฉีดโดยแพทย์ที่ไม่มีความรู้ ความเข้าใจ อาจทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้

                               

                              โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก กับ ศัลยกรรมตัดปีกจมูก ต่างกันอย่างไร?
                              โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก กับ ศัลยกรรมตัดปีกจมูก ต่างกันอย่างไร?

                               

                              โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก กับ ศัลยกรรมตัดปีกจมูก ต่างกันอย่างไร?

                              โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก และการศัลยกรรมผ่าตัดปีกจมูกนั้น มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ดังนี้

                              • โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก เป็นการฉีดสารเข้าไปยังกล้ามเนื้อบริเวณปีกจมูก เพื่อยับยั้งการทำงานของกล้ามเนื้อ ทำให้หดตัวได้น้อยลง ส่งผลให้ปีกจมูกไม่บานออกเวลาแสดงสีหน้า ซึ่งตอบโจทย์สำหรับผู้มีปัญหาปีกจมูกบานจากกล้ามเนื้อ และผู้ที่ไม่ต้องการผ่าตัด ไม่ต้องการพักฟื้น สามารถเห็นผลลัพธ์ ประมาณ 1 – 2 สัปดาห์หลังฉีด แต่คงไม่อยู่ถาวร จึงต้องมีการฉีดโปรแกรมฉีดโบปีกจมูกซ้ำเป็นระยะ ๆ เมื่อครบกำหนด
                              • การศัลยกรรมตัดปีกจมูก เป็นการผ่าตัดเนื้อเยื่อส่วนเกิน หรือกระดูกอ่อนบริเวณปีกจมูกออก เพื่อปรับรูปทรงจมูกให้สวยงามตามต้องการ ซึ่งตอบโจทย์สำหรับผู้ที่มีปัญหาโครงสร้างจมูก และผู้ที่ต้องการเห็นผลลัพธ์แบบชัดเจน สามารถคงอยู่ได้ถาวร โดยการศัลยกรรมตัดปีกจมูกนั้น สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างหลากหลาย แต่ก็มาพร้อมกับค่าใช้จ่ายที่สูง และต้องใช้เวลาในการพักฟื้นค่อนข้างนาน ซึ่งหากผลลัพธ์ที่ได้ไม่น่าพึงพอใจ อาจจะทำการแก้ไขได้ยาก

                               

                              โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก ยี่ห้อไหนดี?

                              โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก สามารถเลือกฉีดได้หลายยี่ห้อ ที่ได้รับการรับรองความปลอดภัยจาก อย. ซึ่งแต่ละยี่ห้อมีคุณสมบัติ และระยะเวลาในการคงอยู่ของผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน โดยส่วนใหญ่ ยี่ห้อที่ได้รับความนิยมสำหรับโปรแกรมฉีดโบปีกจมูก มีดังนี้

                              • โปรแกรมฉีดโบปีกจมูกยี่ห้อ Allergan

                              โปรแกรมฉีดโบปีกจมูกยี่ห้อ Allergan สัญชาติอเมริกา เป็นยี่ห้อแรกที่มีการคิดค้น และพัฒนาโปรแกรมฉีดโบ โดยบริษัท Allergan รวมถึง ยังเป็นยี่ห้อแรกที่ได้รับการรับรองจาก องค์การอาหารและยา ของประเทศอเมริกา (US FDA) ในปี 1989 ซึ่งมีงานวิจัยรองรับกว่า 3,500 ฉบับ 

                              คุณสมบัติเด่นของโปรแกรมฉีดโบปีกจมูกยี่ห้อ Allergan คือ มีความบริสุทธิ์สูงถึง 99.5% และตัวยากระจายตจัวแคบ ทำให้มีประสิทธิภาพในการลดริ้วรอย และปรับรูปหน้าได้อย่างแม่นยำ สามารถให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ คงอยู่ได้อย่างยาวนานกว่าโปรแกรมฉีดโบยี่ห้ออื่น ๆ 

                              • โปรแกรมฉีดโบปีกจมูกยี่ห้อ Dysport

                              โปรแกรมฉีดโบปีกจมูกยี่ห้อ Dysport สัญชาติอังกฤษ เป็นยี่ห้อที่ถูกพัฒนาโดยบริษัท Ipsen และยังได้รับการรับรองความปลอดภัยจาก องค์การอาหารและยา ของประเทศอเมริกา (US FDA) ในปี 2009

                              คุณสมบัติเด่นของโปรแกรมฉีดโบปีกจมูกยี่ห้อ Dysport คือ มีโมเลกุลขนาดเล็ก ทำให้สามารถกระจายตัวได้อย่างทั่วถึงในบริเวณกว้าง นิยมนำมาฉีดบริเวณที่มีกล้ามเนื้อมัดใหญ่ เช่น หน้าผาก กราม หรือรักแร้ ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้มีความเป็นธรรมชาติ 

                              • โปรแกรมฉีดโบปีกจมูกยี่ห้อ Xeomin

                              โปรแกรมฉีดโบปีกจมูกยี่ห้อ Xeomin สัญชาติเยอรมนี เป็นยี่ห้อที่ถูกพัฒนาโดยบริษัท Merz Pharma GmbH & Co. KGaA และยังได้รับการรับรองจาก องค์การอาหารและยา ของประเทศอเมริกา (US FDA) ในปี 2011 

                              คุณสมบัติเด่นของโปรแกรมฉีดโบปีกจมูกยี่ห้อ Xeomin คือ กระบวนการผลิตที่ใช้เทคโนโลยี XTRACT Technology ซึ่งช่วยกำจัดโปรตีนที่ไม่จำเป็นออกจากโมเลกุล ทำให้โมเลกุลมีขนาดเล็ก และมีความบริสุทธิ์สูงเมื่อเทียบกับโปรแกรมฉีดโบยี่ห้ออื่น ๆ อีกทั้ง ยังลดโอกาสในการดื้อโปรแกรมฉีดโบ ทำให้ร่างกายไม่เกิดปฏิกิริยาต่อต้าน สามารถให้ผลลัพธ์ที่ดี ในเคสที่มีประวัติดื้อโปรแกรมฉีดโบมาก่อน 

                              • โปรแกรมฉีดโบปีกจมูกยี่ห้อ Nabota

                              โปรแกรมฉีดโบปีกจมูกยี่ห้อ Nabota สัญชาติเกาหลีใต้ เป็นยี่ห้อที่ถูกพัฒนามาอย่างยาวนานกว่า 30 ปี โดยบริษัท Daewoong Pharmaceutical และเป็นโปรแกรมฉีดโบเกาหลีหนึ่งเดียวที่ได้รับการรับรองจาก องค์การอาหารและยา ของประเทศอเมริกา (US FDA) ในปี 2018 

                              คุณสมบัติเด่นของโปรแกรมฉีดโบปีกจมูกยี่ห้อ Nabota คือ กระบวนการผลิตที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตเฉพาะที่เรียกว่า HI-PURE Technology ทำให้ตัวยามีความบริสุทธิ์สูงถึง 98.7% จึงลดโอกาสในการดื้อยา และสามารถออกฤทธิ์ค่อนข้างไว ให้ผลลัพธ์ได้อย่างรวดเร็ว เมื่อเทียบกับโปรแกรมฉีดโบยี่ห้ออื่น ๆ 

                               

                              การเตรียมตัวก่อนฉีดโปรแกรมฉีดโบปีกจมูก

                              • ก่อนฉีดโปรแกรมฉีดโบปีกจมูก ควรเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน มีใบอนุญาตอย่างถูกต้อง รวมถึง แพทย์ที่มีความรู้ และมีประสบการณ์ในการฉีดโปรแกรมฉีดโบปีกจมูก 
                              • ก่อนฉีดโปรแกรมฉีดโบปีกจมูก งดรับประทานยา หรืออาหารเสริมที่ส่งผลให้เลือดหยุดไหลยาก อย่างน้อย 1 – 2 สัปดาห์
                              • ก่อนฉีดโปรแกรมฉีดโบปีกจมูก งดรับประทานยาแก้ปวด หรือยากลุ่มต้านการอักเสบ อย่างน้อย 1 – 2 สัปดาห์
                              • ก่อนฉีดโปรแกรมฉีดโบปีกจมูก หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ทุกประเภท อย่างน้อย 24 ชั่วโมง
                              • ก่อนฉีดโปรแกรมฉีดโบปีกจมูก หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ทุกประเภท อย่างน้อย 24 ชั่วโมง
                              • ก่อนฉีดโปรแกรมฉีดโบปีกจมูก งดสครับ ขัดหน้า หรือผลัดเซลล์ผิว ในบริเวณที่จะทำการฉีดโปรแกรมฉีดโบปีกจมูก อย่างน้อย 2 – 3 วัน

                               

                              ขั้นตอนการฉีดโปรแกรมฉีดโบปีกจมูก

                              • เข้ารับการปรึกษาแพทย์ก่อนฉีดโปรแกรมฉีดโบปีกจมูก โดยแพทย์จะประเมินปัญหาบริเวณปีกจมูก เพื่อคำนวณปริมาณโปรแกรมฉีดโบปีกจมูกได้อย่างเหมาะสมกับแต่ละบุคคล
                              • ทำความสะอาดใบหน้า และฆ่าเชื้อในบริเวณที่จะทำการฉีดโปรแกรมฉีดโบปีกจมูก เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
                              • เริ่มแปะยาชา หรือประคบเย็นในบริเวณที่จะฉีดโปรแกรมฉีดโบปีกจมูก เพื่อลดความรู้สึกเจ็บระหว่างฉีดโปรแกรมฉีดโบปีกจมูก
                              • เมื่อยาชาออกฤทธิ์เต็มที่แล้ว แพทย์จะทำการฉีดโปรแกรมฉีดโบปีกจมูก เข้าไปยังกล้ามเนื้อบริเวณปีกจมูก โดยใช้เข็มที่มีขนาดเล็ก และใช้เวลาประมาณ 10 – 15 นาทีในการฉีดโปรแกรมฉีดโบปีกจมูก
                              • หลังจากฉีดโปรแกรมฉีดโบปีกจมูกเสร็จ แพทย์จะให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลตัวเองหลังฉีด
                              • เมื่อเสร็จสิ้นขั้นตอนทั้งหมด สามารถกลับบ้าน และใช้ชีวิตได้ตามปกติ แต่แนะนำให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียงจากโปรแกรมฉีดโบปีกจมูก

                               

                              การดูแลตัวเองหลังฉีดโปรแกรมฉีดโบปีกจมูก

                              • หลังฉีดโปรแกรมฉีดโบปีกจมูก ควรขยับกล้ามเนื้อบริเวณปีกจมูกทันที 1 – 2 ครั้ง เพื่อให้ตัวยามีประสิทธิภาพมากขึ้น
                              • หลังฉีดโปรแกรมฉีดโบปีกจมูก งดการนอนราบ นอนคว่ำ หรือก้มหน้า ประมาณ 3 – 4 ชั่วโมงแรก เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวยากระจายตัว ไปยังบริเวณอื่น
                              • หลังฉีดโปรแกรมฉีดโบปีกจมูก หลีกเลี่ยงการสัมผัส หรือขยี้ในบริเวณที่ฉีด เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
                              • หลังฉีดโปรแกรมฉีดโบปีกจมูก หลีกเลี่ยงการทำเลเซอร์ ทรีตเมนต์ หรือนวดหน้า อย่างน้อย 1 – 2 สัปดาห์
                              • หลังฉีดโปรแกรมฉีดโบปีกจมูก หลีกเลี่ยงการโดนแสงแดดเป็นเวลานาน อย่างน้อย 1 – 2 สัปดาห์
                              • หลังฉีดโปรแกรมฉีดโบปีกจมูก งดการดื่มแอลกอฮอล์ทุกประเภท อย่างน้อย 1 – 2 สัปดาห์ เพื่อไม่ให้เกิดการขยายตัวของหลอดเลือด
                              • หลังฉีดโปรแกรมฉีดโบปีกจมูก งดการสูบบุหรี่ทุกประเภท อย่างน้อย 1 – 2 สัปดาห์ เพื่อไม่ให้หลอดเลือดขยายตัว
                              • หลังฉีดโปรแกรมฉีดโบปีกจมูก แนะนำให้รับประทาน Zinc 50 mg ทั้งก่อนและหลังฉีด เพื่อให้ตัวยาสามารถออกฤทธิ์ได้ดีมากขึ้น
                              • หลังฉีดโปรแกรมฉีดโบปีกจมูก ควรหมั่นสังเกตอาการผิดปกติของตนเอง เช่น หนังตาตก กล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือปากเบี้ยว หากพบอาการเหล่านี้ ควรรีบพบแพทย์เพื่อทำการรักษาทันที

                               

                              รวมคำถามเกี่ยวกับ โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก
                              รวมคำถามเกี่ยวกับ โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก

                               

                              รวมคำถามเกี่ยวกับ โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก

                              โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก ใช้ปริมาณโบกี่ยูนิต?

                              • โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก โดยทั่วไป จะใช้ตัวยาปริมาณประมาณ 10 – 25 ยูนิต ขึ้นอยู่กับปัญหาของปีกจมูกของแต่ละบุคคล และยี่ห้อที่เลือกฉีด โดยแพทย์จะเป็นผู้ประเมินปริมาณยูนิต ที่เหมาะสมก่อนทำการฉีด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพที่สุด

                               

                              โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก เจ็บไหม?

                              • โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก จะให้ความรู้สึกค่อนข้างเจ็บกว่าโปรแกรมฉีดโบในบริเวณอื่น ๆ เนื่องจากบริเวณจมูกมีเส้นประสาทจำนวนมาก ดังนั้น ก่อนทำการฉีดโปรแกรมฉีดโบปีกจมูก มักจะมีการแปะยาชา หรือประคบเย็น เพื่อบรรเทาความเจ็บระหว่างฉีดโปรแกรมฉีดโบปีกจมูก ทำให้รู้สึกเจ็บน้อยลง ซึ่งเป็นความเจ็บในระดับที่สามารถทนได้

                               

                              หลังฉีดโปรแกรมฉีดโบปีกจมูก กี่วันเห็นผล?

                              • โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก โดยทั่วไปแล้ว จะเริ่มเห็นผลการเปลี่ยนแปลง ภายใน 1 – 2 สัปดาห์หลังฉีด ซึ่งจะรู้สึกว่าปีกจมูกค่อย ๆ เล็กลง และสามารถขยับได้น้อยลง เมื่อมีการแสดงออกทางสีหน้า ทั้งนี้ โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก สามารถเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนที่สุด ภายใน 3 – 4 สัปดาห์หลังฉีด ซึ่งระยะเวลาในการเห็นผลอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล 

                               

                              โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก อยู่ได้นานกี่เดือน?

                              • โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก สามารถคงผลลัพธ์อยู่ได้ประมาณ 3 – 6 เดือน ขึ้นอยู่กับปริมาณที่ฉีด  ยี่ห้อที่ใช้ และการดูแลตัวเองหลังฉีด ซึ่งเมื่อครบกำหนดแล้ว ตัวยาจะค่อย ๆ สลายตัวไปตามธรรมชาติ ไม่ทิ้งสารตกค้างในร่างกาย สามารถทำโปรแกรมฉีดโบปีกจมูกซ้ำได้ เพื่อคงสภาพของผลลัพธ์ให้ดียิ่งขึ้น

                               

                              โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก อันตรายไหม?

                              • โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก เป็นหัตถการที่มีความปลอดภัย และมีขั้นตอนในการฉีดไม่ยุ่งยาก หากฉีดโดยแพทย์ที่มีความรู้ ความชำนาญเกี่ยวกับโครงสร้างใบหน้า สามารถวิเคราะห์ปัญหาได้อย่างแม่นยำ คำนวณปริมาณตัวยาที่ใช้ได้อย่างเหมาะสม และฉีดลงไปยังชั้นกล้ามเนื้อได้อย่างถูกจุด รวมถึง ควรเลือกยี่ห้อโปรแกรมฉีดโบปีกจมูกที่ได้รับความนิยม และได้รับการรับรองจาก อย. เท่านั้น เช่น โปรแกรมฉีดโบยี่ห้อ Allergan, โปรแกรมฉีดโบยี่ห้อ Xeomin และโปรแกรมฉีดโบยี่ห้อ Nabota เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ และมีความปลอดภัยสูง

                               

                              โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก มีผลข้างเคียงอะไรบ้าง?

                              ถึงแม้โปรแกรมฉีดโบปีกจมูก จะเป็นหัตถการไม่อันตราย แต่ก็สามารถพบผลข้างเคียงได้เล็กน้อย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลข้างเคียงที่ไม่รุนแรง และสามารถหายได้เองตามธรรมชาติ ดังนี้

                              • บวมช้ำ 

                              หลังฉีดโปรแกรมฉีดโบปีกจมูก อาจเกิดอาการบวม และช้ำในบริเวณที่ฉีดได้ ซึ่งเป็นผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยหลังฉีด และสามารถหายได้เองภายใน 2 – 3 วัน

                              • รอยแดง

                              หลังฉีดโปรแกรมฉีดโบปีกจมูก อาจเกิดรอยแดงจากเข็มฉีดยาในบริเวณที่ฉีดได้ ซึ่งเป็นผลข้างเคียงปกติที่พบได้บ่อย และสามารถหายได้เอง ภายใน 2 – 3 วัน

                              • รู้สึกตึง

                              หลังฉีดโปรแกรมฉีดโบปีกจมูก อาจรู้สึกตึง หรือชาในบริเวณที่ฉีดได้ ซึ่งเป็นผลข้างเคียงที่พบได้บ่อย เนื่องจากตัวยากำลังเริ่มออกฤทธิ์ในการคลายกล้ามเนื้อในบริเวณที่ฉีด 

                               

                              การฉีดโปรแกรมฉีดโบปีกจมูก ถือเป็นทางเลือกที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดขนาดปีกจมูก โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น และสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติทันทีหลังฉีด สำหรับท่านใดที่มีปัญหาปีกจมูกกว้าง ปีกจมูกบาน และต้องการฉีดโปรแกรมฉีดโบปีกจมูก สามารถเข้ามาปรึกษาได้ที่ รมย์รวินท์คลินิก เพื่อให้แพทย์ช่วยประเมินใบหน้า วิเคราะห์ปัญหา พร้อมเลือกยี่ห้อ และกำหนดปริมาณที่เหมาะสม เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ ลดความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียงหลังฉีด

                              รักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser ดีจริงไหม ? บอกลานอนกรน แบบไม่ต้องผ่าตัด 

                              รักษาอาการนอนกรน

                              ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ




                                วันที่สะดวกในการติดต่อ








                                รักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser ดีจริงไหม ? บอกลานอนกรน แบบไม่ต้องผ่าตัด 

                                นอนกรน ไม่ใช่เรื่องตลก อาการนอนกรนนอกจากจะเป็นเรื่องที่กวนใจผู้คนรอบข้างแล้ว ยังส่งผลต่อสุขภาพของผู้ที่นอนกรนอีกด้วย หากปล่อยไว้อาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพโรคเรื้อรังอื่น ๆ ตามมาได้ รู้จักกับ รักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser ดีจริงไหม ? บอกลานอนกรน แบบไม่ต้องผ่าตัด และไม่ต้องพักฟื้น ทางเลือกใหม่ที่คนนอนกรนต้องรู้จัก

                                 

                                ปัญหานอนกรน ส่งผลกระทบอะไรบ้าง?

                                นอนกรนใครว่าไม่มีปัญหา การนอนกรน ถือเป็นอีกหนึ่งปัญหาสุขภาพที่หลาย ๆ คนอาจจะยังไม่รู้ ซึ่งการนอนกรนนั้นจะส่งผลต่อคุณภาของการนอนหลับโดยตรง ทำให้นอนหลับไม่สนิท และรู้สึกเหนื่อยล้า อ่อนเพลียหลังตื่นนอนได้ นอกจากนี้ การนอนกรนยังส่งผลกระทบในอีกหลาย ๆ เรื่อง ได้แก่

                                • อาการนอนกรนเสี่ยงต่อภาวะนอนหยุดหายใจขณะหลับ ซึ่งอาจทำให้ร่างกายขาดออกซิเจนได้
                                • อาการนอนกรนเสี่ยงต่อโรคหัวใจ และโรคความดันโลหิตสูง
                                • อาการนอนกรนทำให้เสี่ยงต่อโรคอ้วนลงพุงเพิ่มขึ้น 
                                • อาการนอนกรนอาจส่งผลต่อสุขภาพจิต ทำให้อารมณ์เสียได้ง่ายขึ้น ทั้งยังมีผลต่อบุคลิกภาพอีกด้วย
                                • อาการนอนกรนเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุขณะขับขี่ เนื่องจากอาการง่วงนอน และเหนื่อยล้าได้
                                • อาการนอนกรนอาจเกิดเสียงดังรบกวนคนในบ้าน ทำให้เกิดอาการนอนไม่พอ
                                • อาการนอนกรนอาจกระทบต่อความสัมพันธ์ของคู่สมรส ซึ่งอาจจะเกิดปัญหานอนไม่หลับได้

                                 

                                ดังนั้นการนอนกรนจึงถือเป็นทั้งปัญหาสุขภาพ และปัญหาในด้านความสัมพันธ์ เนื่องจากการนอนกรนนั้นมีผลกระทบต่อคนรอบข้าง การรักษาอาการนอนกรนจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น ในปัจจุบันก็มีวิธีรักษาอาการนอนกรนที่ทันสมัย ปลอดภัย อย่างการทำ Snore Laser หรือการเลเซอร์แก้นอนกรน 

                                 

                                รักษาอาการนอนกรน Snore Laser
                                รักษาอาการนอนกรน Snore Laser

                                 

                                รักษาอาการนอนกรน Snore Laser

                                อาการนอนกรน เกิดจากการสั่นสะเทือนของเนื้อเยื่อในลำคอ โดยกล้ามเนื้อทางเดินหายใจเกิดการหย่อนตัวขณะหลับ เมื่ออากาศไหลผ่านทางเดินหายใจที่แคบลง ทำให้เกิดการสั่นสะเทือนของเพดานอ่อน ลิ้นไก่ ลิ้น หรือเนื้อเยื่อรอบ ๆ ลำคอ จึงส่งผลทำให้เกิดเสียงกรนขึ้น

                                 

                                เลเซอร์รักษาอาการนอนกรน (Snore Laser) คือ วิธีรักษาอาการนอนกรนโดยการใช้เลเซอร์ชนิดเออร์เบียม (Er: YAG laser) ยิงเข้าไปภายในช่องปาก บริเวณเพดานอ่อน กระพุ้งแก้ม ลิ้นไก่ และโคนลิ้น โดยความร้อนจากเลเซอร์ จะเข้าไปและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้เนื้อเยื่อที่หย่อนตัวกระชับเข้ากับเพดานอ่อนและลิ้นไก่ ช่วยเปิดช่องทางเดินหายใจให้กว้างขึ้น ทำให้สามารถหายใจได้สะดวกขึ้น Snore Laser ช่วยกระชับเนื้อเยื่อช่องคอไม่ให้หย่อนลงมาปิดกั้นทางเดินหายใจขณะหลับ ช่วยลดอาการนอนกรน และลดความเสี่ยงของภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น ซึ่งการรักษาอาการนอนกรน ด้วย  Snore Laser นั้นสามารถทำได้โดยไม่ต้องผ่าตัด ใช้เวลาไม่นาน อีกทั้งยังไม่ต้องพักฟื้นนาน

                                 

                                ทำไมต้องรักษานอนกรนด้วยเลเซอร์ Snore Laser

                                ทำไมต้องรักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser เลเซอร์รักษานอนกรนถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ที่มีปัญหานอนกรนเสียงดัง นอนกรนถี่ ทำให้คุณภาพการนอน และสุขภาพเริ่มมีปัญหา การรักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser จะช่วยแก้ปัญหาการนอนกรน ลดความเสี่ยงภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้นระดับเล็กน้อย-ปานกลางที่มีประสิทธิภาพสูง  ซึ่งการรักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser เป็นการรักษาที่ไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีต้องใช้อุปกรณ์เสริม ใช้เวลาประมาณ 30 นาที และสามารถเห็นผลลัพธ์ได้ตั้งแต่หลังทำครั้งแรก

                                 

                                รักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser ดีอย่างไร?

                                • รักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น 
                                • รักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser ช่วยทำให้อาการนอนกรนลดลง สามารถรักษาอาการนอนกรนได้ตั้งแต่ครั้งแรก
                                • รักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser ช่วยเพิ่มคุณภาพการนอนหลับให้ดีขึ้น หลับได้ลึก ทำให้ลดอาการอ่อนเพลีย และอาการง่วงหลังตื่น
                                • รักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser หลังทำอาการนอนกรนสามารถลดลงถึง 80% โดยใช้เวลาในการทำประมาณ 30-45 นาทีต่อครั้ง 
                                • รักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser สามารถทำการรักษาต่อเนื่อง 3 ครั้ง โดยห่างกัน 2 และ 4 สัปดาห์ ทั้งนี้จะขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์
                                • รักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser มีความปลอดภัย ใช้เลเซอร์ชนิดเออร์เบียมที่ได้รับการรับรองจาก FDA หรือองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกาว่ามีความปลอดภัย ลดผลข้างเคียง ลดความบอบช้ำของเนื้อเยื่อโดยรอบ และช่วยให้ฟื้นฟูได้เร็ว

                                 

                                รักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser เหมาะกับใคร?
                                รักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser เหมาะกับใคร?

                                 

                                รักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser เหมาะกับใคร?

                                1. Snore Laser เหมาะกับผู้ที่มีอาการนอนกรนระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง หรือมีอาการนอนกรนที่เกิดจากเพดานอ่อนหย่อนตัว หรือทางเดินหายใจแคบ
                                2. Snore Laser เหมาะกับผู้ที่เสี่ยงภาวะหยุดหายใจขณะหลับระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง
                                3. Snore Laser เหมาะกับผู้ที่มีปัญหานอนหลับไม่สนิท รู้สึกง่วง และอ่อนเพลียตอนกลางวัน ตื่นกลางดึกบ่อย เพราะรู้สึกเหมือนหายใจไม่สะดวก
                                4. Snore Laser เหมาะกับผู้ที่ต้องการรักษาอาการนอนกรนแบบไม่ต้องผ่าตัด หรือไม่ต้องการใช้อุปกรณ์ระหว่างนอน การทำ Snore Laser ถือเป็นทางเลือกที่ดี เพราะไม่มีแผลผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น
                                5. Snore Laser เหมาะกับผู้ที่ต้องการรักษาอาการนอนกรน ที่รบกวนคนรอบข้าง ต้องการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัว

                                 

                                รักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser ไม่เหมาะกับใคร?

                                1. Snore Laser ไม่เหมาะกับผู้ที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับระดับรุนแรง อาจจะต้องพิจารณาทางเลือกอื่น เช่น เครื่องช่วยหายใจ CPAP หรือการผ่าตัด หากสงสัยว่าตัวเองมี OSA ควรเข้ารับการตรวจ Sleep Test ก่อน
                                2. Snore Laser ไม่เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาโครงสร้างทางเดินหายใจที่มีความซับซ้อน เช่น ลิ้นไก่ยาวผิดปกติ ต่อมทอนซิลโต หรือผนังกั้นโพรงจมูกคดอาจจะต้องใช้การรักษาวิธีอื่นร่วมด้วย
                                3. Snore Laser ไม่เหมาะกับผู้ที่มีน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วนรุนแรง หรือผู้ที่มีค่าดัชนีมวลกาย (BMI) สูงมาก อาจต้องลดน้ำหนักก่อนเพื่อให้ผลการรักษามีประสิทธิภาพ
                                4. Snore Laser ไม่เหมาะกับผู้ที่คาดหวังผลลัพธ์แบบถาวรโดยไม่ปรับพฤติกรรม หากไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและดูแลสุขภาพ อาการนอนกรนก็สามารถกลับมาได้
                                5. Snore Laser ไม่เหมาะกับผู้ที่กำลังตั้งครรภ์และให้นมบุตร

                                 

                                รักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser ต้องเตรียมตัวอย่างไร?

                                ก่อนเข้ารับการรักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser ควรตรวจเช็กสภาพร่างกายของตนเองและปฏิบัติตามคำแนะนำเพื่อให้การรักษาได้ผลดีที่สุด

                                1. วัดระดับการนอนกรนล่วงหน้า สามารถตรวจอาการนอนกรน ได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็น การซักประวัติจากแพทย์ การตรวจการนอนหลับ (Sleep Test) หรือการตรวจวินิจฉัยด้วยภาพถ่ายเอกซเรย์ CT scan หรือ MRI และการใช้แอปพลิเคชัน SnoreLab หรืออุปกรณ์บันทึกเสียง เพื่อวัดระดับเสียงกรน จากนั้นนำผลที่ได้ไปปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินการรักษาอาการนอนกรน
                                2. ตรวจสอบสุขภาพก่อนรักษาอาการนอนกรน ว่าไม่มีไข้หวัด หรือการติดเชื้อทางเดินหายใจ หากมีอาการคัดจมูก เจ็บคอ หรือไอ ควรรักษาให้หายดีก่อน
                                3. งดยาแอสไพรินและยาต้านการแข็งตัวของเลือดชั่วคราว เนื่องจากยากลุ่มนี้อาจทำให้เลือดออกง่ายขึ้น ควรปรึกษาแพทย์ก่อนหยุดยา
                                4. ตรวจเช็กสุขภาพช่องปาก ก่อนการรักษาอาการนอนกรนต้องไม่มีแผลในปาก หรือแผลร้อนใน เพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคืองจากเลเซอร์ได้
                                5. รับประทานอาหาร และดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย เนื่องจากการรักษาอาการนอนกรน Snore Laser ไม่จำเป็นต้องงดน้ำ หรืออาหาร ก่อนทำเหมือนการผ่าตัด

                                 

                                รักษาอาการนอนกรนด้วยเลเซอร์ Snore Laser มีขั้นตอนอย่างไร?

                                 

                                1. ตรวจเช็กสภาพร่างกาย ในชั้นตอนแรกแพทย์จะทำการตรวจเช็กโครงสร้างทางเดินหายใจ เช่น เพดานอ่อน ลิ้นไก่ และลำคอ จากนั้นจะทำการประเมินความรุนแรงของอาการนอนกรน เพื่อพิจารณาว่าการรักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser เหมาะสมหรือไม่
                                2. ทำการรักษาโดยการยิงเลเซอร์ชนิด Er: YAG laser ทำการยิงไปที่เพดานอ่อนและเนื้อเยื่อในลำคอ ซึ่งเลเซอร์จะเข้าไปช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้เนื้อเยื่อกระชับ ลดการสั่นสะเทือนที่ทำให้เกิดเสียงกรนได้
                                3. ระหว่างการรักษาอาการนอนกรน อาจทำให้ลำคอรู้สึกแห้งเล็กน้อย สามารถพักจิบน้ำเป็นระยะ ๆ  เพื่อช่วยให้รู้สึกสบายขึ้นขณะทำการรักษา
                                4. รักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser เป็นวิธีที่ ไม่ต้องใช้ยาชา ไม่ต้องผ่าตัด และไม่มีแผล โดยจะใช้เวลารักษาประมาณ 30-45 นาทีต่อครั้ง ขึ้นอยู่กับปัญหาของแต่ละบุคคล
                                5. หลังรักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser เสร็จ ไม่ต้องพักฟื้น สามารถรับประทานอาหารและดื่มน้ำได้ตามปกติหลังทำเสร็จ และควรหลีกเลี่ยงอาหารรสจัด และเครื่องดื่มร้อนหรือเย็นจัด ในช่วง 1 สัปดาห์แรกหลังทำ

                                 

                                รักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser หลังทำต้องปฏิบัติตัวอย่างไร

                                • การรักษาด้วยเลเซอร์อาจทำให้ลำคอแห้ง ในช่วงสัปดาห์แรกจึงควรดื่มน้ำบ่อย ๆ เพื่อช่วยให้เนื้อเยื่อฟื้นตัวเร็วขึ้น
                                • หลังทำ 1 สัปดาห์ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารรสจัด เช่น อาหารเผ็ด เปรี้ยว หรือเค็มจัด  เพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคืองที่ลำคอที่ทำการรักษาได้  
                                • หลังทำ 1 สัปดาห์ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่ร้อนหรือเย็นเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองที่เนื้อเยื่อบริเวณที่ทำเลเซอร์

                                 

                                รักษาอาการนอนกรนมีผลข้างเคียงอะไรบ้าง?

                                หลังทำการรักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser อาจจะมีผลข้างเคียงเล็กน้อย แต่อาการจะค่อย ๆ หายไปเองตามธรรมชาติ 

                                • หลังทำการรักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser อาจรู้สึกลำคอแห้ง หรือรู้สึกระคายเคืองลำคอในช่วง 1-2 วันแรก
                                • หลังทำการรักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser อาจมีอาการไอเล็กน้อย เนื่องจากเนื้อเยื่อเพดานอ่อนตอบสนองต่อเลเซอร์
                                • หลังทำการรักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser ในบางรายอาจรู้สึกร้อนบริเวณลำคอขณะทำ แต่ไม่มีอาการปวด และอาการหายไปเองได้

                                ทั้งนี้หากมีอาการผิดปกติอื่น ๆ นอกจากที่กล่าวมาข้างต้น เช่น ลำคอบวมมาก หรือรู้สึกกลืนลำบาก ควรรีบพบแพทย์ทันที

                                 

                                อาการนอนกรน คืออะไร? 

                                อาการนอนกรน เป็นเสียงที่เกิดขึ้นขณะหายใจเข้าและออกระหว่างการนอนหลับ โดยเกิดจากการสั่นสะเทือนของเนื้อเยื่อในลำคอ ซึ่งมักเกิดจากการอุดกั้นของทางเดินหายใจบางส่วน ซึ่งการนอนกรนอาจเกิดได้จากหลายปัจจัย ทั้งความเหนื่อยล้า หรือท่านอนบางท่า แต่ในบางกรณีอาการนอนกรนก็อาจจะเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพ อย่าง ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Obstructive Sleep Apnea – OSA) ซึ่งอาจจะทำให้ส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกายได้ในระยะยาว จึงจำเป็นอย่างมากที่ควรรักษา

                                 

                                อาการนอนกรน เป็นอย่างไร?
                                อาการนอนกรน เป็นอย่างไร?

                                 

                                อาการนอนกรน เป็นอย่างไร?

                                อาการนอนกรนของแต่ละบุคคลนั้นก็จะมีลักษณะที่แตกต่างกันไป โดยบางคนอาจจะมีอาการนอนกรนเป็นครั้งคราว บางคนอาจจะมีอาการนอนกรนเสียงดังอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจส่งผลต่อคุณภาพในการนอนได้ วิธีสังเกตว่าเราอาการนอนกรน ดังนี้

                                • มีเสียงกรนขณะนอนหลับ
                                • เสียงกรนจะดังขึ้นเมื่อเกิดการเปลี่ยนท่านอน
                                • ขณะหลับอาจมีอาการสะดุ้งตื่น เพราะรู้สึกหายใจไม่ออก
                                • ตื่นมาพร้อมกับอาการปวดหัว
                                • รู้สึกเหนื่อย อ่อนเพลีย และง่วงนอนในตอนกลางวัน

                                ทั้งนี้ หากพบว่ามีอาการนอนกรนเสียงดังร่วมกับภาวะหยุดหายใจขณะหลับ หรือมีอาการหายใจสะดุดระหว่างหลับ ควรพบแพทย์เพื่อทำการตรวจและรักษาตามลำดับ

                                 

                                สาเหตุของอาการนอนกรนเกิดจากอะไร? 

                                อาการนอนกรนสามารถเกิดได้จากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็น โครงสร้างทางเดินหายใจ พฤติกรรมการใช้ชีวิต หรือปัญหาสุขภาพ ดังนี้

                                1. โครงสร้างทางเดินหายใจ
                                • อาการนอนกรนเกิดจากกล้ามเนื้อบริเวณลำคอเกิดการหย่อนตัว โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ ทำให้ทางเดินหายใจแคบลง 
                                • อาการนอนกรนเกิดจากโครงสร้างลำคอที่แคบกว่าปกติ ทำให้อากาศไหลผ่านลำบาก จึงเกิดอาการกรนได้
                                • อาการนอนกรนเกิดจากลิ้นไก่หรือเพดานอ่อนยาวผิดปกติ อาจทำให้เกิดการอุดกั้นของทางเดินหายใจได้
                                • อาการนอนกรนเกิดจากผนังกั้นโพรงจมูกคด ทำให้หายใจทางจมูกลำบาก จึงเพิ่มโอกาสในการนอนกรนได้
                                • อาการนอนกรนเกิดจากต่อมทอนซิลหรือต่อมอะดีนอยด์โต พบมากในเด็กและอาจเป็นสาเหตุของการนอนกรน
                                1. พฤติกรรมการใช้ชีวิต
                                • อาการนอนกรนเกิดจากโรคอ้วนหรือน้ำหนักเกิน ไขมันที่สะสมรอบคออาจกดทับทางเดินหายใจ ทำให้เกิดอาการกรน
                                • อาการนอนกรนเกิดจากการนอนหงาย จะทำให้ลิ้นและเพดานอ่อนตกไปอุดกั้นทางเดินหายใจได้
                                • อาการนอนกรนเกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์และยานอนหลับ ทำให้กล้ามเนื้อในลำคอหย่อนตัวมากขึ้น
                                • อาการนอนกรนเกิดจากการสูบบุหรี่ ทำให้เกิดการอักเสบของเนื้อเยื่อในลำคอและเพิ่มเมือกในทางเดินหายใจ ทำให้หายใจได้ลำบาก
                                • อาการนอนกรนเกิดจากการอดนอนหรือพักผ่อนไม่เพียงพอ ทำให้กล้ามเนื้อลำคออ่อนแรงมากขึ้น ทำให้เกิดอาการกรน
                                1. ปัญหาสุขภาพ
                                • อาการนอนกรนเกิดจากโรคหยุดหายใจขณะหลับ เป็นภาวะที่ทางเดินหายใจอุดกั้นขณะหลับ ทำให้ร่างกายต้องตื่นขึ้นเพื่อหายใจ มักมีอาการหายใจสะดุด สะดุ้งตื่นกลางดึก และง่วงนอนตอนกลางวัน
                                • อาการนอนกรนเกิดจากโรคภูมิแพ้ หรือภาวะคัดจมูกเรื้อรัง ทำให้หายใจไม่สะดวก ต้องอ้าปากหายใจแทน จึงทำให้เกิดการนอนกรนได้
                                • อาการนอนกรนเกิดจากภาวะไทรอยด์ต่ำ ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณลำคอเกิดการอ่อนแรง

                                 

                                อาการนอนกรน ส่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างไร?

                                แม้ว่าอาการนอนกรนจะดูเหมือนปัญหาเล็ก ๆ แต่อาการนอนกรนหากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง อาจจะส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว รวมถึงส่งผลต่อการใช้ชีวิตได้

                                1. อาการนอนกรนส่งผลต่อคุณภาพการนอน การนอนหลับไม่สนิทจะทำให้รู้สึกง่วงนอนในระหว่างวัน เนื่องจากตอนกลางคืนตื่นบ่อย เพราะหายใจไม่สะดวก
                                2. อาการนอนกรนเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรัง เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด หรือเบาหวานชนิดที่ 2
                                3. ส่งผลต่อสมองและอารมณ์ ไม่ว่าจะเป็น สมาธิสั้น ความจำแย่ลง อารมณ์แปรปรวน มีแนวโน้มเป็นโรคซึมเศร้า มีอาการปวดหัวตอนเช้าหลังตื่นนอน
                                4. อาการนอนกรนกระทบต่อคนรอบข้าง เสียงกรนดังอาจรบกวนการนอนของคนข้าง ๆ ส่งผลให้เกิดปัญหากับครอบครัวหรือคู่รักได้

                                 

                                อาการนอนกรน แบบไหนถึงควรพบแพทย์

                                อาการนอนกรน บางครั้งอาจจะเกิดจากความเหนื่อยล้า หรือปัจจัยอื่น ๆ ร่วมด้วย แต่หากการนอนกรนที่มีเสียงดังมาก มีอาการหายใจสะดุด หรือรู้สึกง่วงผิดปกติในเวลากลางวัน อาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพได้ หากมีอาการดังต่อนี้ ควรรีบพบแพทย์เพื่อทำการรักษาอาการนอนกรนต่อไป

                                1. นอนกรนเสียงดังมากจนรบกวนคนรอบข้าง หากมีการนอนกรนเสียงดังมากในขณะหลับ หรือมีเสียงกรนเมื่อนอนหงาย
                                2. มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ หรือมีอาการหายใจสะดุด หรือหยุดหายใจเป็นช่วง ๆ ขณะหลับ ทำให้สะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก รวมถึงมีอาการไอสำลักน้ำลาย ทำให้หายใจติดขัดเวลานอน
                                3. รู้สึกไม่สดชื่นหรือมีอาการง่วงผิดปกติ หลังตื่นนอนแม้นอนเต็มอิ่ม มีอาการอ่อนเพลีย สมองไม่ปลอดโปร่ง รู้สึกง่วงตอนกลางวัน
                                4. มีอาการปวดหัวตอนเช้า ซึ่งอาจเกิดจากออกซิเจนไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอขณะหลับ อาจจะทำให้เกิดโรคความดันโลหิตสูงได้
                                5. มีภาวะอารมณ์แปรปรวน และมีปัญหาด้านความจำ สมาธิสั้น ทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง

                                 

                                อาการนอนกรน มีผลข้างเคียงอย่างไร

                                อาการนอนกรนนั้นส่งผลกระทบในหลาย ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็น ปัญหาสุขภาพ ปัญหาการใช้ชีวิตประจำวัน รวมถึงปัญหาครอบครัวได้ นอกจากนี้อาการนอนกรนยังมีผลข้างเคียงกับร่างกาย ดังนี้

                                 

                                • ไม่มีสมาธิ หลงลืมง่าย
                                • นอนไม่อิ่ม ไม่สดชื่นตอนตื่นนอน
                                • ง่วงนอนระหว่างวัน เหนื่อยล้า อ่อนเพลีย
                                • ปวดหัวตอนเช้า 
                                • เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุจากการขับขี่จากอาการเหนื่อยล้า
                                • สมรรถภาพทางเพศในเพศชายลดลง
                                • อาจเกิดภาวะซึมเศร้า
                                • อาจเกิดความดันโลหิตสูง
                                • โรคหัวใจและหลอดเลือด 
                                • นอกจากนี้อาการนอนกรนยังเสี่ยงต่อภาวะหยุดหายใจขณะหลับ และเสี่ยงต่อโรคเรื้อรังหลาย ๆ โรค

                                 

                                วิธีรักษาอาการนอนกรนที่ได้ผลจริง

                                ปัจจุบันมีวิธีรักษาอาการนอนกรนที่หลากหลายและได้ผลดีมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น การรักษาทางการแพทย์ อย่าง Snore Laser เลเซอร์รักษาอาการนอนกรน หรือการปรับพฤติกรรม ดังนี้

                                 

                                ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อรักษาอาการนอนกรน

                                เป็นวิธีที่ง่ายและมีความปลอดภัยที่สุดสำหรับการรักษาอาการนอนกรน สำหรับอาการนอนกรนที่เกิดจากการพฤติกรรมการใช้ชีวิต

                                • หลีกเลี่ยงการนอนหงาย เพราะอาจทำให้ลิ้นตกไปปิดกั้นทางเดินหายใจ แนะนำให้นอนตะแคง จะช่วยทำให้หายใจได้สะดวกมากขึ้น 
                                • ลดน้ำหนัก จะช่วยลดไขมันรอบลำคอที่อาจไปกดทับทางเดินหายใจ
                                • การออกกำลังกายและควบคุมอาหารช่วยให้กล้ามเนื้อลำคอแข็งแรงขึ้น
                                • หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์และบุหรี่ เนื่องจากทำให้กล้ามเนื้อลำคอหย่อนตัวมากขึ้น รวมถึงเกิดการระคายเคืองและอักเสบในทางเดินหายใจ ส่งผลให้เกิดอาการนอนกรน

                                 

                                อุปกรณ์ช่วยรักษาอาการนอนกรน 

                                สำหรับผู้ที่มีอาการนอนกรนรุนแรง หรือไม่สามารถแก้ไขด้วยการปรับพฤติกรรมเพียงอย่างเดียว อาจต้องใช้อุปกรณ์ช่วย

                                • เครื่องช่วยหายใจ CPAP (Continuous Positive Airway Pressure) เป็นอุปกรณ์ที่ช่วยเป่าลมเข้าไปเปิดทางเดินหายใจ เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (OSA)
                                • อุปกรณ์ครอบฟันกันกรน เป็นอุปกรณ์ที่ช่วยเลื่อนขากรรไกรไปด้านหน้าเล็กน้อย เพื่อลดการอุดกั้นทางเดินหายใจ ใช้งานง่าย เหมาะสำหรับผู้ที่นอนกรนระดับปานกลาง
                                • หมอนลดอาการนอนกรน ช่วยปรับตำแหน่งของศีรษะและลำคอให้อยู่ในแนวที่เหมาะสม ช่วยลดแรงกดที่ทางเดินหายใจและช่วยให้หายใจสะดวกขึ้น

                                 

                                การรักษาทางการแพทย์สำหรับอาการนอนกรน 

                                สำหรับผู้ที่มีปัญหานอนกรนเสียงดัง หรือเกิดภาวะหยุดหายใจขณะหลับ และใช้อุปกรณ์ช่วยรักษาอาการนอนกรนไม่ได้ผลนั้น อาจต้องพิจารณาแนวทางการรักษาทางการแพทย์

                                • เลเซอร์รักษานอนกรน Snore Laser ช่วยกระตุ้นการทำงานของเนื้อเยื่อบริเวณลำคอและเพดานอ่อนให้แข็งแรงขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะนอนกรนไม่รุนแรง
                                • การผ่าตัดรักษานอนกรน เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาโครงสร้างทางเดินหายใจ เช่น ผนังกั้นโพรงจมูกคด หรือต่อมทอนซิลโต

                                 

                                อาการนอนกรน เป็นสัญญาณของโรคอะไรบ้าง?
                                อาการนอนกรน เป็นสัญญาณของโรคอะไรบ้าง?

                                 

                                อาการนอนกรน เป็นสัญญาณของโรคอะไรบ้าง? 

                                อาการนอนกรน ไม่ใช่แค่ปัญหากวนใจในตอนกลางคืน แต่ยังอาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคร้ายแรงบางอย่างที่ส่งผลต่อสุขภาพระยะยาวได้

                                ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ

                                • มีอาการนอนกรนเสียงดังมาก และหยุดหายใจเป็นช่วง ๆ ขณะหลับ ทำให้สะดุ้งตื่นกลางดึก เพราะรู้สึกหายใจไม่ออก ส่งผลให้ปวดหัวหลังตื่นนอน และเกิดอาการง่วงนอนที่มากกว่าปกติในเวลากลางวัน 

                                โรคหัวใจและหลอดเลือด 

                                • อาการนอนกรนที่เกิดจากภาวะหยุดหายใจขณะหลับ จะทำให้ระดับออกซิเจนในเลือดลดลง และส่งผลให้หัวใจทำงานหนักขึ้น จึงเสี่ยงต่อภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ และเพิ่มโอกาสการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ และหัวใจวายได้

                                โรคความดันโลหิตสูง

                                • เมื่อร่างกายขาดออกซิเจนจากภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ทำให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้น ส่งผลให้ความดันโลหิตจะเพิ่มขึ้น เพื่อตอบสนองต่อการขาดออกซิเจน ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดโรคความดันโลหิตสูง 

                                โรคสมองเสื่อม

                                • อาการนอนกรน และภาวะหยุดหายใจขณะหลับนั้น อาจทำให้ร่างกายนำออกซิเจนไปเลี้ยงที่สมองได้ไม่เพียงพอ ส่งผลให้หลังตื่นนอนมีการอาการง่วง เหมือนนอนไม่เต็มอิ่ม ขาดสมาธิ เกิดอาการหลงลืม สมองล้า ซึ่งหากเป็นแบบนี้ในเวลานาน ๆ อาจส่งผลให้สมองเสื่อมเร็วขึ้น และเสี่ยงต่อโรคอัลไซเมอร์ได้ในอนาคต

                                 

                                คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการรักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser

                                รักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser ช่วยรักษาภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (OSA) ได้หรือไม่?

                                • Snore Laser เป็นวิธีที่รักษาอาการนอนกรน และรักษาภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ที่เกิดจากการอุดกั้นระดับเล็กน้อยถึงปานกลางได้ แต่ไม่สามารถรักษาภาวะหยุดหายใจขณะหลับในระดับรุนแรงได้ หากมีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (OSA) ในระดับที่รุนแรง ควรพบแพทย์เพื่อวางแผนการรักษาอื่น ๆ 

                                 

                                รักษาอาการนอนกรนต้องทำกี่ครั้ง ผลลัพธ์อยู่ได้นานแค่ไหน?
                                รักษาอาการนอนกรนต้องทำกี่ครั้ง ผลลัพธ์อยู่ได้นานแค่ไหน?

                                 

                                รักษาอาการนอนกรนต้องทำกี่ครั้ง ผลลัพธ์อยู่ได้นานแค่ไหน? 

                                • หากต้องการผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพที่สุด ควรทำ Snore Laser ประมาณ  3 ครั้งขึ้นไป ซึ่งหลังทำครบคอร์สนั้นจะช่วยลดอาการนอนกรนได้ถึง 80% และประสิทธิภาพสามารถคงอยู่ได้นาน 6 เดือน – 2 ปี ทั้งนี้ระยะเวลาของผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับพฤติกรรมและสุขภาพของแต่ละบุคคล 

                                 

                                รักษาอาการนอนกรนต้องทำซ้ำไหม?

                                • สำหรับใครที่สงสัยว่าการรักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser สามารถทำซ้ำได้ไหม หรือต้องทำซ้ำไหมนั้น หากอาการกรนกลับมา สามารถทำ Snore Laser ซ้ำปีละ 1 ครั้ง เพื่อช่วยคงผลลัพธ์ให้ยาวนานขึ้นได้

                                รักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser ถือเป็นหนึ่งทางเลือกสำหรับคนที่ต้องการรักษาอาการนอนกรน แต่ไม่อยากผ่าตัด ไม่อยากใส่อุปกรณ์เสริมระหว่างนอน ซึ่งการทำ Snore Laser เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการนอนกรน และเสี่ยงอยู่ในภาวะหยุดหายใจขณะหลับในระดับเล็กน้อย ที่ต้องการเพิ่มคุณภาพการนอนให้ดีขึ้น หลับสนิทขึ้น และช่วยเพิ่มความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัว สำหรับท่านใดที่สนใจ รักษาอาการนอนกรนด้วย Snore Laser สามารถเข้ามาสอบถามได้ที่ รมย์รวินท์คลินิก ทุกสาขา

                                แก้ปัญหาผิวหลุมสิว ผิวแก้ยาก ด้วย NU PICO MLA 

                                แก้ปัญหาหลุมสิว

                                แก้ปัญหาหลุมสิวแก้ยาก ด้วย NU PICO MLA 

                                 

                                ก่อนประกวด และหลังประกวด สาวๆ มิสแกรนด์นครพนม 2025 ก็มาอัปผิวเติมความมั่นใจให้ตัวเองกันอย่างเต็มที่ วันนี้คุณแอมมายก็มาอัปผิวให้ดูดีเหมือนกัน เป็นผู้หญิงก็ต้องคู่กับความสวยเป็นเรื่องธรรมดาจริงมั้ยล่ะคะ..

                                 

                                แอมมายมีปัญหาเรื่องหลุมสิว และผิวไม่เรียบเนียนอยู่บ้าง เวลาแต่หน้าก็มีตกร่อง ตกหลุมทำให้ไม่มั่นใจบ้าง เพราะเราหน้าไม่เนียนเหมือนคนอื่นๆ เพราะเพื่อนๆ คนอื่นหน้าเนียนๆ กันทั้งนั้นเลยค่ะ เป็นผู้หญิงก็อยากมีผิวหน้าเนียนสวยใสอยู่แล้วค่ะ แต่จะให้คอยพึ่งเครื่องสำอางปกปิดร่องรอยของตัวเอง ต้องโป๊ะ ต้องแต่งหน้าหนาๆ กลบเอามันก็เหนื่อยนะคะ เพราะวันสบายๆ แอมมายก็อยากจะพักผิวปล่อยหน้าแบบสบายๆ ไม่ต้องปกปิดปัญหาหลุมสิว หรือผิวไม่เรียบเนียน อยากหน้าใสแบบเป็นธรรมชาติโชว์หน้าสดแบบไม่ต้องอายใคร ให้รู้กันไปเลยว่า เป็นนางงามหน้าสดก็สวยเหมือนกันค่า แอมมายเลยมาปรึกษาเรื่องผิวและหลุมสิวกับทางรมย์รวินท์คลินิกเนี่ยแหละค่ะ แอมมายมาปรึกษาทั้งก่อนและหลังประกวดมิสแกรนด์นครพนมเลย อยากเสริมความสวยเป๊ะ ดูดี และมั่นใจให้ตัวเองก่อนไปลงแข่งค่ะ เพราะเห็นเพื่อนๆ ผู้เข้าประกวดแต่ละคนสวย ดูดีกันทั้งนั้น เราเองจะยอมได้ยังไงล่ะค่ะ และที่แอมมายเลือกมาที่รมย์รวินท์คลินิกก็เพราะว่าที่นี่มีชื่อเสียงมานานกว่า 21 ปี และมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคอยดูแลและให้คำปรึกษาตลอดเลยค่ะ

                                 

                                pico จัดการปัญหาผิว
                                ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

                                 

                                แอมมายเลือกมาปรึกษาปัญหาผิวไม่เรียบเนียนและหลุมสิวกับคุณหมอบีบี (พญ.ช่ออัญชัญ ปัญญาเอกะวิทู : ว.49909) ให้คุณหมอช่วยดูแลรักษาผิวหน้าให้แอมมายค่ะ ก่อนเลือกทำหัตถการคุณหมอบีบีใช้เทคนิค Lifting Select เป็นเทคนิคที่ใช้วิเคราะห์ใบหน้าของแอมมายผ่าน 3 เฟรมเวิร์ก ไม่ว่าจะเป็น Frame Selection คือปรับและการแก้ไขโครงหน้า และชั้นผิวให้กลับมาดูสวยอ่อนเยาว์มากขึ้นค่ะ Light & Shadow Me คือการเพิ่มจุดเด่น และกลบจุดด้อยบนใบหน้า ทำให้ใบหน้าสวยดูมีมิติมากกว่าเดิมค่ะ และ Conceal Selection คือการทำให้ผิวเนียนกระจ่างใส เผยผิวได้อย่างมั่นใจโดยไม่มีอะไรต้องปกปิดเลยค่ะ ซึ่งเทคนิค Lifting Select เป็นการวิเคราะห์ใบหน้าเพื่อดูปัญหาผิวของเราและเลือกหัตถการในการรักษาที่ตอบโจทย์และตรงจุดมากที่สุดค่ะ และแอมมายต้องขอบอกเลยว่าเทคนิคนี้มีเฉพาะที่รมย์รวินท์คลินิกเท่านั้นนะคะ 

                                 

                                แก้ปัญหาหลุมสิว
                                ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

                                 

                                หลังจากทำการวิเคราะห์ผิวด้วยเทคนิค Lifting Select แล้ว คุณหมอบีบีเลือกรักษาผิวหน้าให้แอมมายด้วย NU PICO MLA ค่ะ ซึ่งตัวก็จะเป็น NU PICO ที่เอาไว้ใช้รักษาพวกฝ้า กระ จุดด่างดำเนี่ยแหละค่ะ แต่ NU PICO MLA จะใช้เลนส์  Micro Lens Arry หรือที่เรียกว่า MLA ซึ่งเป็นเลนส์ที่ใช้แก้ปัญหางานผิวโดยเฉพาะ ที่เด่นๆ เลยก็คือเรื่องหลุมสิว ซึ่งเป็นปัญหาผิวหน้าที่แก้ยากของแอมมายค่ะ แต่ NU PICO MLA ตัวนี้แก้ได้ และนอกจากเรื่องหลุมสิว NU PICO MLA ยังช่วยเรื่องผิวไม่เรียบเนียน ริ้วรอยเล็กๆ บนใบหน้า รอยดำ รอยแดงจากสิว ฝ้า กระ อีกด้วยนะคะ โดย NU PICO MLA จะยิงตรงเข้าไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนหดตัวและเรียงตัวอย่างเป็นระเบียบมากขึ้น ทำให้ผิวแน่นเฟิร์ม รูขุมขนกระชับมากขึ้น รวมไปถึงริ้วรอยเล็กๆ ตื้นๆ ที่มีบนใบหน้าก็ดูเนียนเรียบไปด้วยค่ะ และ NU PICO MLA ยังช่วยเรื่องร่องรอยจุดด่างดำ ปรับสีผิวให้เนียนเรียบ หน้าดูกระจ่างใสขึ้นมากๆ เลยค่ะ ทำได้ขนาดนี้แต่ NU PICO MLA ถึงจะเป็นเลเซอร์ที่ใช้รักษาหลุมสิว แต่ก็เป็นเลเซอร์ที่มีความอ่อนโยนต่อผิว เพราะหลังทำ NU PICO MLA หน้าของแอมมายไม่แดง ไม่ทำให้เส้นเลือดแตก หรือมีเลือดออกใต้ผิว สามารถไปใช้ชีวิตต่อได้ทันที ไม่ต้องพักหน้าเลยค่ะ NU PICO MLA มีความปลอดภัยต่อผิวแน่นอน ทำแล้วหน้าของแอมมายเนียนละเอียดขึ้นเยอะมาก เรื่องหลุมสิว หรือเรื่องผิวไม่เรียบเนียนแอมมายก็ไม่ต้องกังวลอีกต่อไปแล้วค่ะ เพราะตอนนี้แอมมายไม่ต้องคอยแต่งหน้าเพื่อปกปิดหลุมสิวหรือผิวไม่เรียบเนียนอีกแล้ว แถมหลังทำ NU PICO MLA แล้วเวลาแต่งหน้าเครื่องสำอางยังติดทน ไม่มีตกร่องเลยค่ะ แอมมายยืนยันว่าทำ NU PICO MLA แล้วดีมากๆ แบบนี้ ต้องรีบมาทำกันแล้วนะคะ 

                                 

                                แก้ปัญหาหลุมสิวแก้ยาก ด้วย NU PICO MLA 

                                อยากหน้าสวยใส ไม่มีหลุมสิว ผิวเนียนเรียบแบบปลอดภัยต้อง NU PICO MLA แบบแอมมายที่รมย์รวินท์คลินิกนะคะ แอมมายขอบอกว่าที่รมย์รวินท์คลินิกเขามีถึง 28 สาขา ทั้งกรุงเทพ ปริมณฑล และต่างจังหวัดเลยค่ะ ใกล้ที่ไหนไปทำสวยได้เลยที่นั่นนะคะ รับรองดีงามมาก แอมมายคอนเฟิร์มค่ะ 

                                 

                                แก้ปัญหาหลุมสิว
                                ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

                                 

                                NU PICO MLA คืออะไร

                                NU PICO MLA เป็นหนึ่งใน NU PICO ที่ใช้เลนส์ Micro Lens Arry หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า MLA เป็นเลนส์ที่ช่วยในเรื่องของปัญหาหลุมสิวโดยเฉพาะ และเลนส์ของ NU PICO MLA ยังช่วยเรื่องผิวให้เนียนเรียบ กระชับรูขุมขน ริ้วรอยเล็กๆ ตื้น ฝ้า กระ จุดด่างดำได้อีกด้วย โดย NU PICO MLA ยิงพลังงานตรงเข้าสู่ผิวเพื่อกระตุ้นคอลลาเจนใต้ชั้นผิวให้มีความแน่นเฟิร์มมากขึ้น และยังช่วยเรื่องการผลัดเซลล์ผิวเก่า ให้เซลล์ผิวใหม่มีความแข็งแรง เรียบเนียน กระจ่างใสมากยิ่งขึ้น โดย NU PICO MLA ไม่ทำร้ายผิว ไม่ทำให้ผิวบางลง และไม่ทำให้เลือดออกใต้ผิวหนัง หลังทำ NU PICO MLA เสร็จสามารถไปใช้ชีวิตต่อได้ทันที โดยไม่ต้องพักผิวหน้า 

                                 

                                NU PICO MLA ดีอย่างไรคุณแอมมายถึงติดใจขนาดนี้

                                • NU PICO MLA ช่วยกระตุ้นคอลลาเจน
                                • NU PICO MLA ช่วยทำให้หลุมสิวตื้นขึ้น
                                • NU PICO MLA ช่วยให้ผิวเนียนละเอียดมากขึ้น
                                • NU PICO MLA ช่วยกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวเก่า
                                • NU PICO MLA ช่วยกระชับรูขุมขน
                                • NU PICO MLA ช่วยจัดการกับเม็ดสีที่ผิดปกติ
                                • NU PICO MLA ช่วยทำให้ฝ้า กระ จุดด่างดำดูจางลง
                                • NU PICO MLA ช่วยลดรอยแดงและรอยดำจากสิวให้จางลง
                                • NU PICO MLA ช่วยปรับผิวให้ดูกระจ่างใส
                                • NU PICO MLA ช่วยจัดการริ้วรอยเล็กๆ บนใบหน้า
                                • NU PICO MLA ไม่ทำให้ผิวบางลง ไม่ทำลายผิวหน้า
                                • NU PICO MLA ไม่ต้องพักฟื้น สามารถใช้ชีวิตต่อได้ทันทีหลังทำ 
                                • NU PICO MLA ไม่ทำให้เส้นเลือดแตก หรือมีเลือดออกใต้ผิวหนัง
                                • NU PICO MLA เป็นเลเซอร์ที่มีความอ่อนโยนต่อผิว
                                • NU PICO MLA มีความปลอดภัยสูง

                                 

                                มีปัญหาเรื่องฟิว รูปร่าง หรือสุขภาพอยากปรึกษาคุณหมอเชิญได้ที่รมย์รวินท์คลินิกนะคะ เรามีบริการเรื่องความสวยทั้ง 28 สาขา ใกล้ที่ไหนไปที่นั่นได้เลยค่ะ  

                                Ultherapy จัดการความแก่ ให้หน้าเรียวกระชับไม่เปลี่ยนแปลง

                                หน้าเรียวกระชับ


                                Ultherapy จัดการความแก่ ให้หน้าเรียวกระชับไม่เปลี่ยนแปลง

                                หลายๆ คงคุ้นหน้าของคุณเดียร์ ปริษา ทนาวิวัฒน์ จากละครจักรๆ วงศ์ๆ ที่คุณเดียร์เคยฝากผลงานไว้มากมาย ก่อนจะอำลาวงการไปเป็นคุณแม่อย่างเต็มตัว จากวันนั้นจนถึงวันนี้ คุณเดียร์ก็ยังเหมือนเดิมมากค่ะ หน้าดูสวยเป๊ะ ดูเด็กเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลย โกงสวย โกงอายุมากเลยค่ะ นี่ถ้าคุณเดียร์ไม่บอกว่าอายเข้าเลข 4 แล้ว รมย์รวินท์คลินิกขอไม่เชื่อนะคะเนี่ย!

                                อายุเข้าเลข 4 แล้วจริงๆ ค่ะ แต่ถึงจะอายุขึ้นเลข 4 แล้ว แต่เดียร์ก็ยังไม่สะดวกแก่ค่ะ (หัวเราะ) เดียร์เข้าวงการตั้งแต่เด็กๆ กับหนังจักรๆ วงศ์ๆ ที่หลายๆ คนคงคุ้นหน้าคุ้นตาอยู่บ้าง ด้วยความที่เราต้องใช้หน้าตา เราก็ยิ่งต้องดูแลตัวเอง ดูแลเรื่องหน้าตาของเรามากขึ้นค่ะ ตอนนั้นที่เดียร์ยังอายุน้อยก็จะเน้นในเรื่องของการบำรุงผิวด้วยครีมมากกว่า และมีไปเข้าคอร์สหน้าใส ดูแลสิวบ้าง แต่พอเราอายุมากขึ้นเข้าแลข 25 แล้ว เราก็จะรู้สึกได้ด้วยตัวเองเลยว่าเราจะมาบำรุงผิวแบบเดิมไม่ได้แล้ว เพราะวัย 25 เป็นวัยที่ผิวของเราเริ่มมีความหย่อนคล้อย ไม่ยกกระชับ มีริ้วรอยแล้ว เดียร์ก็เลยเริ่มทำพวกหัตถการเกี่ยวกับยกกระชับผิวตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมาเลยค่ะ พอวันนี้ที่อายุของเดียร์เข้าเลข 4 แล้วเดียร์ก็ยิ่งมองหาพวกหัตถการยกกระชับผิวที่ช่วยให้ผิวเดียร์ดูดี หน้าเรียว ดูอ่อนเยาว์ ยกกระชับขึ้น และอยากได้หัตถการที่คงให้ผลลัพธ์ให้กับใบหน้าของเดียร์ได้นาน ไม่ต้องทำบ่อยๆ เพราะเดียร์มีธุรกิจส่วนตัวที่ต้องดูแล และไหนจะมีหน้าที่เป็นคุณแม่ที่ต้องเลี้ยงลูกก็อาจจะไม่ได้มีเวลาว่างขนาดนั้น และเดียร์ก็ได้รมย์รวินท์คลินิกเนี่ยแหละค่ะที่ตอบโจทย์ความต้องการและช่วยดูแลผิวหน้าให้เดียร์ค่ะ

                                 

                                วันนี้เดียร์มาฝากผิวหน้าให้คุณหมอริว (นพ.อัครวินท์ ดำรงค์วัฒนโภคิน : ว.52239) ช่วยดูแล ก่อนทำคุณหมอริวช่วยประเมินผิวหน้าให้เดียร์ด้วยเทคนิคที่มีเฉพาะที่รมย์รวินท์คลินิกเท่านั้น นั่นก็คือ Lifting Select ค่ะ ซึ่งวิธีนี้จะเป็นการวิเคราะห์ผิวทุกชั้นว่าผิวของเรามีปัญหาในเรื่องใดบ้าง ผ่าน 3 เฟรมเวิร์ก ก่อนเลือกโปรแกรมที่ช่วยตอบโจทย์ของปัญหาผิวเรามากที่สุด เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด โดยเทคนิคนี้เป็นเทคนิคที่คิดค้นจากประสบการณ์กว่า 21 ปี ของทีมแพทย์รมย์รวินท์คลินิกเลยนะคะ เดียร์ได้ยินแค่นี้ก็รู้สึกตื่นเต้นแล้ว เพราะจะต้องทำให้เราสวยดูดี ดูยกกระชับได้จริง เป็นตัวจริงเรื่องผิวอย่างแน่นอนค่ะ 

                                 

                                หน้าเรียวกระชับ
                                ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

                                 

                                Ultherapy จัดการความแก่ ให้หน้าเรียวกระชับไม่เปลี่ยนแปลง

                                คุณหมอประเมินผิวหน้าเดียร์และเลือก Ultherapy ให้เดียร์ค่ะ ตัวนี้คุณหมอริวบอกว่าเป็นโปรแกรมที่ยกกระชับเห็นผลลัพธ์ได้จริง เห็นผลได้นาน ยกกระชับผิวหน้าด้วยการยิงพลังงานคลื่นความถี่สูงที่มีความเฉพาะเจาะจง หรือ Focused Ultrasound ซึ่ง Ultherapy ยิงพลังงานลงได้ลึกถึงผิวชั้น SMAS เลยค่ะ โดยผิวชั้น SMAS คือชั้นที่เป็นเนื้อเยื่ออยู่ระหว่างชั้นไขมันและชั้นกล้ามเนื้อ ซึ่งชั้นนี้เป็นชั้นหลักที่ใช้ในการผ่าตัดศัลยกรรมเพื่อดึงยกหน้าให้เรียวกระชับค่ะ แต่ Ultherapy ทำให้เราไม่ต้องผ่าตัดเลยก็สามารถยกกระชับผิวหน้าได้ด้วยหน้าจอแสดงผลที่สามารถเห็นชั้นผิวได้ทุกชั้นแบบเรียลไทม์ จึงทำให้การยิงพลังงานเข้าไปยกกระชับผิวได้แม่นยำ และตรงจุดมากขึ้นค่ะ ขณะทำคุณหมอก็จะบอกตลอดค่ะว่ากำลังยกกระชับหน้าตรงไหนบ้า ผิวของเรามีปัญหาตรงจุดไหนที่ต้องย้ำเป็นพิเศษบ้าง ซึ่งเดียร์มีปัญหาหน้าไม่เท่ากันอยู่แล้ว คุณหมอริวก็ใช้ Ultherapy ช่วยกกระชับ และแก้ไขปัญหาให้เดียร์ ต้องบอกเลยค่ะว่าคุณหมอริวเก่งมาก เพราะคุณหมอริวสามารถดีไซน์หน้าให้เดียร์ได้เลยค่ะ คือถ้าหมอที่ไม่ได้รู้จักหน้าเราจริงๆ หรือไม่ได้มีประสบการณ์เฉพาะด้านยกกระชับผิวหน้าจริงๆ จะทำหน้าให้เราสวยขนาดนี้ไม่ได้เลยค่ะ แต่คุณหมอริวทำให้หน้าเดียร์ยกกระชับ หน้าสวย เป๊ะ เท่ากันได้ ด้วย Ultherapy  เดียร์ต้องขอยกความดีความชอบให้ทั้งคุณหมอริวและ Ultherapy ที่รมย์รวินท์คลินิกเลยค่ะ 

                                ผลลัพธ์ความสวยหน้าเรียวกระชับของคุณเดียร์ ปริษา หลังทำ Ultherapy 

                                หลังทำ Ultherapy ครบ 1 อาทิตย์มีคนทักเยอะมากเลยค่ะ ว่าหน้าเป๊ะ หน้าเด็กมาก ที่จริงก็คือ Ultherapy เห็นผลลัพธ์ได้ทันทีหลังทำเลยนะ ว่าหน้าดูดีขึ้นมากแล้ว  เห็นได้ชัดเลยว่าหน้ายกกระชับขึ้น หน้าเรียว v shape ขึ้นมาก และริ้วรอยเราดูหายไปเลยค่ะ หน้าดูเด็กขึ้น มันเหมือนกับได้ปลดล็อกผิวเลยค่ะ ตอนนี้อายุลดลงไปฮวบเลยค่ะ ลดลงไปถึง 10 ปีเลย (หัวเราะ) เหมือนได้กลับไปอายุ 20 ต้นๆ ค่ะ จนตอนนี้เดียร์คิดว่าเดียร์ขาด Ultherapy ไม่ได้แล้วล่ะค่ะ 

                                 

                                หน้าเรียวกระชับ
                                ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

                                 

                                เดียร์อยากจะบอกว่า อายุ 25 ปีขึ้นไปก็มายกกระชับผิวหน้าด้วย Ultherapy ได้แล้วค่ะ เพราะว่าถ้าเราดูแลผิวของเราให้ดูเด็ก ดูยกกระชับตั้งแต่ตอนนั้น พอเราอายุ 40 เนี่ยคือหน้าเราจะดูเป๊ะเลย ดูยกกระชับ ไม่มีความหย่อนคล้อยใดๆ มากมาย ไม่ต้องทำอะไรเยอะเลย แนะนำให้ทำเลยตั้งแต่ตอนยังไม่มีปัญหาจะดีกว่าค่ะ 

                                 

                                ใครที่มีปัญหาหน้าคล้อย อยากจะยกกระชับและดูเด็ก ดูอ่อนกว่าวัย ผิวหน้าดี โกงอายุไปไม่ต่ำกว่า 10 ปีแน่นอนเหมือนเดียร์ โปรแกรมนี้ตอบโจทย์แน่นอนค่ะ เชิญมาทำ Ultherapy ที่รมย์รวินท์คลินิกเลยค่ะ