สักคิ้วพลาดทำไงดี! มาดูคำตอบของการลบรอยสักคิ้วแบบไม่ทิ้งรอยแผลบนใบหน้า

70

ว่ากันว่า ผู้หญิงจะสวยหรือไม่สวยก็ดูกันที่คิ้วนี่แหละค่ะ มีสาวๆ จำนวนมากยอมลงทุนสักคิ้วถาวร 6 มิติ 7 มิติ เพราะอยากให้หน้าตัวเองดูเป๊ะปังตลอดเวลาไม่ว่าจะนอนหลับหรือเพิ่งตื่นนอนก็ต้องสวยไว้ก่อนเสมอ ซึ่งร้านที่ให้บริการสักคิ้วในปัจจุบันมีเยอะมากจนเราเองก็เลือกไม่ถูกเหมือนกันว่าจะไปทำที่ร้านไหนดี เพราะดูจากรีวิวแล้วก็แทบจะเหมือนกันหมด งานนี้ต้องวัดกันที่ฝีมือช่างแล้วล่ะค่ะ ถ้างานออกมาดี อันนี้ขอปรบมือรัวๆ แต่ถ้าทำออกมาแล้วไม่สวย คิ้วหนาเกินจนกลายเป็นหนูน้อยชินจัง คิ้วสูงเกินไป คิ้วตกเกินไป คราวนี้ล่ะ กลายเป็นปัญหาใหญ่ให้สาวๆ ต้องปวดกันไปถึงตับกันเลย สาวๆหลายคนต้องหาวิธีลบรอยสัก… เพราะรอยสักคิ้วมันจะอยู่กับคุณตลอดไป แต่… อย่าเพิ่งโวยวายไปค่ะ เพราะเรามีข้อมูลดีๆ มาแชร์เกี่ยวกับการลบรอยสักคิ้วแบบไม่ทิ้งรอยแผลซ้ำเติมบนใบหน้ามาฝากค่ะ

1. เขียนคิ้วลบรอยสัก

เป็นวิธีการลบรอยสักคิ้วแบบเอาตัวรอดชั่วครั้งชั่วคราว สำหรับสาวๆ ที่ต้องการปกปิดความผิดพลาดของรอยสัก ลองนำวิธีการเขียนคิ้วเพื่อลบรอยสักนี้ไปใช้ได้นะคะ

  1. ลงคอนซีลเลอร์ทับรอยสัก จะเลือกใช้แบบครีมหรือแบบน้ำก็ได้ค่ะ เพื่อกลบทับรอยสักคิ้วเดิมที่เราไม่ชอบให้หายไป แต่สาวๆ ที่ใช้วิธีลบรอยสักคิ้วแบบนี้ต้องพึงระวังมากที่สุดก็คือ จะต้องเลือกสีที่ใกล้เคียงกับใบหน้าของเราและเกลี่ยให้เนียนมากที่สุดนะคะ ไม่งั้นจะเห็นรอยด่างชัดเจนมากค่ะ
  2. เริ่มลากหางคิ้วด้วยดินสอเขียนคิ้วแบบแท่ง ให้ออกมาเป็นทรงแบบที่เราต้องการก่อน แต่สาวๆ ที่สักคิ้วต้องจำไว้อย่างนึงว่า การที่เราสักคิ้วมาแล้วนั้น มันจะทำให้คิ้วของเราเข้มประมาณนึงอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเวลาเขียนคิ้วจะต้องระวังและเบามือมากๆ ไม่งั้นจะเหมือนมีปลิงเกาะอยู่ที่คิ้วได้นะ
  3. ใช้ดินสอเขียนคิ้วแบบฝุ่น คู่กับแปรงเขียนคิ้ว ค่อยๆ ลากไปตามเส้นขนคิ้ว ให้ดูเป็นธรรมชาติมากที่สุด และเขียนอย่างอ่อนๆ เบามือๆ เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วให้ใช้แปรงปัดคิ้ว ขึ้นมาปัดเพื่อเก็บรายละเอียดอีกรอบนึง เพียงเท่านี้ คิ้วของคุณก็ดูเป๊ะขึ้นได้แล้วค่ะ

2. สักสีเนื้อกลบรอยสักคิ้ว

โดยการสักสีเนื้อลงไปทับบริเวณสีคิ้วที่เกินออกมา หากสีเดิมไม่เข้มมากก็อาจลบรอยสักเพียงครั้งเดียว แต่หากสีเดิมเข้มมากก็ต้องสักกลบหลายครั้ง และแต่ละครั้งต้องทิ้งระยะห่างประมาณ 1 เดือนขึ้นไปค่ะ เพื่อรอผิวให้มีความแข็งแรงขึ้น แต่สีเดิมที่คุณทำมามันไม่ได้หายไปไหนแต่มันโดนสีเนื้อปกปิดเอาไว้เท่านั้นเองค่ะ วิธีการลบรอยสักนี้เหมาะสำหรับใช้กับลบรอยสักเพียงเล็กน้อยเท่านั้นนะคะ ไม่เหมาะที่จะใช้ลบรอยสักออกทั้งหมดเพราะจะเห็นเป็นรอยด่างชัดเจนมาก  ซึ่งวิธีนี้จะช่วยกลบโครงคิ้วให้ดูสวยเป็นธรรมชาติขึ้นได้ และที่สำคัญที่สุดต้องเลือกช่างสักที่มีความชำนาญสูงเท่านั้นนะคะ เพราะไม่เช่นนั้นอาจจะกลายเป็นไม่สวย และทำให้มีปัญหาหนักขึ้นกว่าเดิมได้ค่ะ

3. ลบรอยสักคิ้วยด้วยเซรั่มหรือน้ำยาลบรอยสัก

เป็นวิธีลบรอยสักที่ค่อนข้างนิยมกันมากในการแก้ปัญหารอยสักคิ้วพลาดๆ หรือสักออกมาแล้วไม่สวยดั่งใจ โดยการใช้น้ำยาหรือเซรั่มเข้าไปเร่งการผลัดเซลล์ผิวบริเวณรอยสักให้หลุดลอกออกมา ทำให้รอยสักจางลง แต่ข้อเสียของวิธีการนี้คือ เห็นผลค่อนข้างช้า และต้องทำหลายครั้ง ขึ้นอยู่กับความเข้มของสีคิ้วของแต่ละคน แต่ว่าเป็นวิธีลบรอยสักคิ้วที่ปลอดภัย และไม่ทำให้คิ้วเป็นแผล หรือเกิดรอยแผลเป็นตามมา

4. ลบรอยสักคิ้วด้วยเลเซอร์

นวัตกรรมเลเซอร์ลบรอยสักคิ้ว NU-PICO un-tattoo ที่รมย์รวินท์คลินิก ได้รับการรับรองจาก FDA ประเทศสหรัฐอเมริกา และ อย.ประเทศไทย ถือเป็นมิติใหม่แห่งวงการนวัตกรรมลบรอยสักคิ้วเลเซอร์ที่ไม่ทิ้งร่องรอยแผลเป็นบนใบหน้าให้ปวดใจอีกต่อไปค่ะ แถมยังมีขั้นตอนการรักษาที่ไม่ยุ่งยากอีกด้วย

โดยแพทย์ผู้มีประสบการณ์สูงที่รมย์รวินท์คลินิก จะทำการลบรอยสักด้วยเลเซอร์ NU-PICO un-tattoo ด้วยการใช้แสงเลเซอร์เข้าไปแตกตัวเม็ดสีที่มีอยู่ใต้ผิวหนังให้มีขนาดเล็กลง โดยไม่เกิดรอยแผลเป็นในบริเวณที่ลบรอยสักออกไป สามารถลบรอยสักได้อย่างมีประสิทธิภาพ และจุดเด่นที่สำคัญของ NU-PICO un-tattoo คือ เจ็บน้อย เห็นผลการรักษาตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำจึงช่วยลดจำนวนครั้งในการรักษาให้น้อยลงกว่าการรักษาด้วยเลเซอร์แบบเดิมๆ ได้ค่ะ

ข้อดีของการลบรอยสักด้วยเลเซอร์ NU-PICO un-tattoo ที่รมย์รวินท์คลินิก

  • ลบรอยสักอย่างมีประสิทธิภาพ
  • ลดจำนวนครั้งในการรักษา
  • ไม่ทำให้เกิดแผลเป็น
  • ได้รับการรับรองจาก US FDA และ อย.ไทย
  • ทำโดยแพทย์ผู้มีประสบการณ์

ดูแลคิ้วหลังลบรอยสักอย่างถูกวิธี

  1. ถ้ามีอาการบวมให้ประคบด้วยความเย็น (โดยใช้เจลประคบเย็น) อาการบวมจะหายไปเองใน 2-3 วัน
  2. ไม่ควรให้บริเวณที่ทำโดนน้ำอย่างน้อย 1-2 วัน หรือจนกว่าแผลจะแห้ง
  3. ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดบริเวณที่ยิงเลเซอร์ และทาครีมกันแดดทุกครั้ง  เพื่อไม่ให้เกิดผลข้างเคียงเป็นรอยดำจากการทำเลเซอร์
  4. ควรทาครีมที่แผลจนสะเก็ดหลุดหรือแผลหาย

สักผิดชีวิตมีทางออก… รวมวิธีลบรอยสักแบบเนียนๆ เหมือนไม่เคยสัก

69

ในยุคที่รอยสักกำลังเป็นกระแสฟีเว่อร์ในหมู่วัยรุ่นและวัยทำงาน จะหันไปไหนจะทางซ้ายหรือทางขวา ทั้งหญิงและชายก็มีรอยสักกันทั้งนั้น บางคนสักเพื่อความเชื่อ ความสวยงาม แฟชั่น ความเท่ หรือสักเพื่อบ่งบอกความเป็นตัวตน ในเมื่อยอมเจ็บตัวสักมาแล้วก็ต้องอวดรอยสักกันหน่อย ของแบบนี้มันต้องโพสต์ต้องแชร์รอยสักสวยๆ ให้สายเม้นต์สายแชร์ เข้าไปกระหน่ำไลค์กระหน่ำเม้นต์กันรัวๆ

แต่ในโลกของศิลปะรอยสักนั้นก็ใช่ว่าจะสักออกมาแล้วจะสวยงามกันไปซะทุกราย บางคนเลือกช่างผิดชีวิตเปลี่ยน… เช่น สักลายเพี้ยน สีเพี้ยน สะกดตัวอักษรผิด ผลลัพธ์ที่ได้ออกมาสามารถเรียกเสียงฮาจากผู้ชม แต่เรียกน้ำตาจากเจ้าของรอยสักไปเป็นปี๊ป 555 แน่นอนล่ะว่า เมื่อลายที่สักเกิดความผิดพลาดมหันต์ จะเก็บเอาไว้ก็คงลำบากใจแย่เลยจริงไหมคะ… แต่อย่างเพิ่งซีเรียสไปนะคะทุกอย่างย่อมมีทางออกเสมอ เพราะเราได้หาวิธีลบรอยสักแบบเนียนๆ มาฝาก เมื่อคุณรู้วิธีการสักก็ควรรู้วิธีการลบรอยสักด้วยเช่นกันค่ะ

1. เมคอัพลบรอยสัก

วิธีแรกนี้ใช้สำหรับแก้ปัญหาการลบรอยสักแบบชั่วคราวนะคะ ในกรณีที่ต้องออกงานสุภาพแล้วต้องการลบรอยสักไม่ให้ใครสังเกตุเห็นด้วยวิธีเมคอัพ มีขั้นตอนดังนี้ค่ะ

  1. ลงเบสบริเวณที่มีรอยสัก ควรเลือกเบสชนิดที่เหมาะกับสภาพผิวของเราเอง โดยเฉพาะคนที่มีผิวมันขั้นตอนนี้ข้ามไม่ได้เลยนะคะ การลงเบสในขั้นตอนแรกเพื่อเพิ่มความแน่นปึ้กค่ะ
  2. ปรับโทนสีด้วยการลงเมคอัพโทนส้มเป็นรองพื้น จะเป็นครีมบลัชสีส้ม หรืออายแชโดว์ก็ได้ค่ะ พยายามเกลี่ยทับรอยสักให้หมดแต่อย่าให้เกินจากรอยสักมากไปนะคะ
  3. ลงแป้งฝุ่นโปร่งแสงทับ ลงเพื่อเซ็ตให้ทุกอย่างอยู่ตัวค่ะ จะได้ไม่ไหลเยิ้ม ควรเป็นแป้งโปร่งแสงที่ไม่ผสมรองพื้นใดๆจะดีกว่านะคะ
  4. ลงคอนซีลเลอร์ทับอีกชั้น ในกรณีนี้คอนซีลเลอร์แบบสติกจะดีที่สุดค่ะ เลือกที่โทนสีเดียวกันกับสีผิวของเรา ที่สำคัญคือต้องลงเฉพาะส่วนที่จะลบรอยสักเท่านั้นนะคะ
  5. ปิดด้วยคอนซีลเลอร์หรือรองพื้นเนื้อครีม ลงทับอีกสักรอบเพื่อความชัวร์ค่ะ รอบนี้ต้องใช้โทนสีที่เนียนกับผิวสุดๆ เลยค่ะ
  6. โปะแป้งพัฟ ใช้แป้งพัฟผสมรองพื้นเฉดสีผิวลงทับอีกชั้นเพื่อเช็ครองพื้นและคอนซีลเลอร์ค่ะ
  7. ปิดท้ายด้วย Setting Spray เพื่อความติดทน ทำให้ลบรอยสักได้เนียนขึ้นค่ะ

2. ยางเม็ดมะม่วงหิมพานต์ลบรอยสัก

shutterstock 614760452

โดยใช้ยางของเม็ดมะม่วงหิมพานต์ดิบทาบริเวณผิวที่เป็นรอยสักค่ะ ฤทธิ์ของยางเม็ดมะม่วงหิมพานต์จะทำให้ผิวหนังลอกออก เป็นวิธีลบรอยสักที่แสบผิวหนังอยู่พอสมควร และเพื่อความปลอดภัยต้องล้างแผลทุกวันนะคะ

3. ยางของมะละกอลบรอยสัก

วิธีการลบรอยสักนี้เหมาะสำหรับลบรอยหมึกสักที่อยู่ไม่ลึกจนเกินไป โดยนำยางของก้านมะละกอทาตามรอยสักที่ต้องการจะลบ ยางมะละกอจะทำให้ผิวหนังอ่อนตัว และภายในไม่กี่วันผิวหนังบริเวณรอยสักจะหลุดออกมาเป็นแผ่นๆ ค่ะ ระหว่างการลบรอยสักนี้ต้องดูแลเรื่องความสะอาดให้ดี และควรล้างรอยแผลอย่างสม่ำเสมอจนกว่าแผลจะแห้งสนิทค่ะ

4. ด่างทับทิมลบรอยสัก

โดยนำเข็มสะอาดไปทำความสะอาดเพื่อฆ่าเชื้อโรคก่อนด้วยแอลกอฮอล์ และหลังจากนั้นให้นำเข็มที่เราทำความสะอาดแล้วมาจิ้มตามรอยสักที่เราต้องการจะลบเพื่อเป็นการเปิดผิวหนังแล้วใช้ด่างทับทิมทาลงไปบนรอยสักโดยมันจะลอกออกและจางลงและหายไป แต่ต้องขอบอกเลยว่าวิธีลบรอยสักนี้จะแสบผิวมากๆ

5. ปูนแดงลบรอยสัก

วิธีลบรอยสักแบบนี้ คือนำเข็มสะอาดไปทำความสะอาดเพื่อฆ่าเชื้อโรคก่อนด้วยแอลกอฮอล์ และหลังจากนั้นให้นำเข็มที่เราทำความสะอาดแล้วมาจิ้มตามรอยสักที่เราต้องการจะลบเพื่อเป็นการเปิดผิวหนัง หลังจากนั้นให้นำปูนแดงมาผสมกับน้ำเปล่า และนำมาทารอยสักที่เราจิ้มด้วยเข็ม หลังจากนั้นใช้สำลีพันก้านถูบริเวณนั้นเรื่อยๆ รอยสักนั้นจะจางลงเรื่อยๆ หลังจากที่เราทำทุกวัน โดยธรรมชาติแล้วปูนแดงก็ไม่ปนเปื้อนอะไร (ทำมาจากปูนขาว+ขมิ้น) การจะติดเชื้อก็มีโอกาสจากความสะอาดของปูนขาว ความสะอาดของขมิ้น ปริมาณและชนิดของจุลินทรีย์ที่มีอยู่ในขมิ้น และความสะอาดของการเตรียมปูนแดง (รวมถึงน้ำที่ใช้เตรียมด้วย) นอกจากนั้น โอกาสติดเชื้อก็เกิดได้จากขั้นตอนการลบรอยสัก ทั้งก่อนทำการลบ ระหว่าง และหลังทำการลบรอยสักด้วยค่ะ

6. ปูนแดงและสบู่ลายลบรอยสัก

โดยเริ่มจากการนำเข็มสะอาดไปทำความสะอาดเพื่อฆ่าเชื้อโรคก่อนด้วยแอลกอฮอล์ และหลังจากนั้นให้นำเข็มที่เราทำความสะอาดแล้วมาจิ้มตามรอยสักที่เราต้องการจะลบเพื่อเป็นการเปิดผิวหนัง หลังจากนั้น ให้นำปูนแดงและสบู่ลายมาผสมกันแล้วทาลงบนบริเวณทีต้องการ หลังจากนั้น ทิ้งเอาไว้ 10 นาที ทำการลบรอยสักทุกวัน ผิวหนังที่เราต้องการจะลอกออกและจางลงเรื่อยๆ ค่ะ

7. ใช้ครีมลบรอยสัก

เป็นวิธีหลีกเลี่ยงการเจ็บตัวจากการลบรอยสัก โดยคุณสมบัติของครีมลบรอยสักจะซึมซับเข้าไปทำให้รอยสักดูจางลง  ซึ่งคนที่ใช้วิธีนี้อาจจะต้องใช้เงินพอสมควรเพราะใช้ระยะเวลานาน และเห็นผลค่อนข้างช้า ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคลด้วยค่ะ

shutterstock 655533988

8. เลเซอร์ลบรอยสัก

ถ้าคุณอยากลบรอยสักให้หายเกลี้ยง แบบปลอดภัยไร้กังวล การใช้เลเซอร์เพื่อลบรอยสักเป็นวิธีที่เวิร์กที่สุดค่ะ โดยในปัจจุบันมีนวัตกรรมเลเซอร์ NU-PICO un-tattoo ที่รมย์รวินท์คลินิก สามารถลบรอยสักทุกสีได้ในขั้นตอนเดียว โดยใช้พลังงานแสงความถี่สูงเข้าไปทำลายเม็ดสีได้ทุกเฉดสีในชั้นผิวหนังลึก แถมยังไม่ก่อให้เกิดความร้อนที่ทำให้ผิวไหม้ ไม่เกิดรอยแผลเป็นในบริเวณที่ลบรอยสักออกไป เห็นผลได้ตั้งแต่การรักษาในครั้งแรกโดยไม่มีผลข้างเคียงเหมือนการรักษาด้วยเลเซอร์แบบเดิมๆ ค่ะ

วิธีรักษาฝ้า กระ ลบรอยดำ แบบได้ผลเวิร์กสุดๆ แถมใบหน้าเนียนใสยิ่งกว่าเดิม

78

ด้วยสภาพอากาศในบ้านเราที่แดดค่อนข้างแรงทั้งปี จึงส่งเสียผลโดยตรงต่อผิวหน้าของสาวๆ ที่ต้องออกนอกบ้านทุกวัน และเผชิญแสงแดดอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทำให้เกิดปัญหาฝ้า กระ รอยด่างดำขึ้นบนใบหน้า ซึ่งสร้างความหนักใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากเมื่อเป็นฝ้าแล้วต้องใช้ระยะเวลาการรักษาค่อนข้างนานและโอกาสที่ฝ้าจะลาขาดไปจากใบหน้านั้นเป็นไปได้ยากค่ะ…

แต่สำหรับยุคนี้ Thailand 4.0 อะไรก็สามารถเป็นไปได้ค่ะ ไม่เว้นแม้กระทั่งการรักษาฝ้า กระ ลบรอยดำ ให้หายเกลี้ยงเหลือไว้แต่หน้าใสๆ วิ้งๆ โดยใช้เวลาเพียงไม่นานเมื่อเทียบกับวิธีการรักษาแบบเดิมๆ แถมฝ้า กระ รอยดำ ยังไม่กลับมากวนใจอีกด้วยสิ… ฟังแล้วน่าสนใจใช่ไหมคะ วิธีรักษาฝ้า กระ ลบรอยดำแบบได้ผลเวิร์กสุดๆ จะมีวิธีใดบ้างมาดูกันเลยค่ะ

รักษาฝ้า ลบรอยดำเบื้องต้นด้วยวิธีธรรมชาติ

สำหรับการรักษาฝ้า กระ ลบรอยดำ แบบธรรมชาตินี้ ต้องบอกไว้ก่อนว่าจะเหมาะสำหรับสาวๆ ที่มีปัญหาฝ้า ในระยะเริ่มต้นแล้วรีบทำการรักษาเท่านั้นนะคะ เพราะคุณสมบัติของสารธรรมชาติจะไม่เหมาะกับการรักษาฝ้า กระที่ฝังลึก มีสีเข้มจัด ซึ่งเราได้รวบรวมสูตรเด็ดจากธรรมชาติ มาให้สาวๆ เลือกจัดการรักษาฝ้า กระ รอยดำให้อยู่หมัด ดังนี้ค่ะ

shutterstock 388483516

สูตรหัวไชเท้า ก่อนอื่นต้องเตือนไว้ก่อนสำหรับคนที่มีผิวหน้าบอบบาง แพ้ง่าย ไม่ควรทำตามสูตรนี้นะคะ ในหัวไชเท้า มีสารไกลโคไซด์ (Glycossides) ที่อุดมไปด้วย กรดแอสคอบิก (Ascorbic Acid) และวิตามินเอ ซึ่งมีผลการวิจัยออกมาว่า ช่วยรักษาฝ้า กระ ได้อย่างเห็นผลชัดเจน โดยสามารถเข้าไปยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานินที่ร่างกายผลิตออกมามากเกินไป จนกลายเป็น ฝ้า กระ และจุดด่างดำได้ หัวไชเท้า ยังมีวิตามินอีกมากมาย มีสารที่ออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อจุลินทรีย์บนผิวหนัง และยังมีฤทธิ์เป็นยาปฏิชีวนะโดยธรรมชาติ ลดการอักเสบได้ แต่ข้อเสียของหัวไชเท้าคือ มีฤทธิ์ค่อนข้างแรงจึงทำให้แสบร้อนที่ใบหน้าได้

– หัวไชเท้า + ว่านหางจรเข้ นำหัวไชเท้าบด ผสมวุ้นว่านหางจรเข้ที่ล้างยางออกแล้ว มาผสมรวมกัน นำมาพอกหน้า 15 – 20 นาที ล้างด้วยน้ำอุ่น และกระชับรูขุมขนด้วยน้ำเย็นอีกครั้ง (ควรทำ 3 ครั้ง ต่อสัปดาห์)

สูตรนี้จะช่วยให้หน้าขาวใสขึ้น รักษาฝ้า กระ จุดด่างดำ หน้าเนียนนุ่ม แถมผิวหน้ายังระคายเคืองน้อยลงจากหัวไชเท้า เพราะวุ้นว่านหางจรเข้จะช่วยลดอาการระคายเคือง ทำให้หน้าชุ่มชื้นขึ้นด้วย จึงทำให้ไม่เเสบผิวจากหัวไชเท้าบดด้วยค่ะ

– หัวไชเท้า + น้ำผึ้ง นำหัวไชเท้าบด ผสมนมน้ำผึ้ง นำมาพอกหน้า 15 – 20 นาที ล้างด้วยน้ำอุ่น และกระชับรูขุมขนด้วยน้ำเย็นอีกครั้ง (ควรทำ 3 ครั้ง ต่อสัปดาห์)

สูตรนี้จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ลดรอย รักษาฝ้า กระ ลบรอยดำ ทำให้หน้านุ่ม ชุ่มชื้น ลดสิว และนำผึ้งยังช่วยไม่ให้แสบจากหัวไชเท้าได้ด้วย

– หัวไชเท้า + แตงกวา นำหัวไชเท้าบด ผสมแตงกวาปั่น นำมาพอกหน้า 15 – 20 นาที ล้างด้วยน้ำอุ่น และกระชับรูขุมขนด้วยน้ำเย็นอีกครั้ง (ควรทำ 3 ครั้ง ต่อสัปดาห์)

แตงกวามีวิตามินซี ช่วยต่อต้านอนุมูชอิสระ ลดริ้วรอย แถมบรรเทาอาการแสบจากหัวไชเท้าได้ เพราะช่วยทำให้หน้าชุ่มชื้น ไม่ร้อน ไม่แสบ ทำให้หน้าใส กระจ่างมากขึ้น รักษาฝ้า กระ ลบรอยดำ

– หัวไชเท้า + น้ำมันรำข้าว นำหัวไชเท้าบด ผสมน้ำมันรำข้าว นำมาพอกหน้า 15 – 20 นาที ล้างด้วยน้ำอุ่น และกระชับรูขุมขนด้วยน้ำเย็นอีกครั้ง (ควรทำ 3 ครั้ง ต่อสัปดาห์)

shutterstock 490207642

น้ำมันรำข้าวช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว อุดมด้วยวิตามินอี ลดริ้วรอยและผลัดเซลล์ผิวหนังใหม่ อีกทั้งยังมีคุณสมบัติดูดรังสีอัลตราไวโอเลตได้อีกด้วย มีวิตามินอีสูงและมีสารเซราไมด์ช่วยทำให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่น รักษาผิวพรรณให้สดชื่น เปล่งปลั่ง ลดริ้วรอย รักษาฝ้า กระ ลบรอยดำ

เลือกใช้ครีมรักษาฝ้า กระ ลบรอยดำ

การจะเลือกใช้ครีมรักษาฝ้า กระ ลบรอยดำ ดีๆ สักตัวนั้น ไม่ใช่ว่าเราจะสุ่มสี่ สุ่มห้า เลือกใช้ตามคำเชื่อโฆษณาทั่วไปได้นะคะ เราต้องเลือกซื้อจากส่วนประกอบที่มีในครีมด้วย รวมถึงความปลอดภัยของครีมที่ใช้ ว่าจะไม่มีสารอันตรายเป็นส่วนประกอบอยู่ในครีมรักษาฝ้าที่เราเลือกใช้ ต้องให้ความสำคัญในการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตราฐานและผ่านการรับรองจาก อย. เพื่อผิวหน้าที่คุณแสนหวงแหน พร้อมรักษาฝ้า กระ รอยดำ ให้จางลงอย่างปลอดภัย และพร้อมป้องกันฝ้าไม่ให้เกิดขึ้นใหม่ โดยมีเทคนิคการเลือกใช้ครีมดังนี้ค่ะ

  1. เลือกครีมที่มีสารอัลฟ่าอาร์บูติน จะช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานิน
  2. เลือกครีมแก้ฝ้าที่ไม่ให้ผลเร็วเกินไป เพราะการใช้ครีมแก้ฝ้าที่เห็นผลเร็วอาจมาจากสารอันตราย เช่น สารไฮโดรควิโนน ที่ทำให้หน้าบางลง และอาจทำให้ฝ้า กระ ฝังลึกจนหมดหนทางรักษาได้ค่ะ
  3. เลือกครีมแก้ฝ้าทีมีสารสกัด  AHA จากกรดผลไม้ตามธรรมชาติ จะช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่า และช่วยทำให้ผิวหน้ากระจ่างใสขึ้นด้วยค่ะข้อสำคัญ ควรใช้ควบคู่กับครีมกันแดด ที่มีค่า SPF30 – 50 ขึ้นไป เพื่อป้องกันการเกิดฝ้ามากขึ้นค่ะ

รักษาฝ้า กระ ลบรอยดำ ด้วยเทคโนโลยี

วิธีการนี้ เหมาะสำหรับคนที่มีปัญหา อยากรักษาฝ้า กระ รอยดำ แบบฝังลึก และต้องการคืนความผ่องใส พร้อมความอ่อนเยาว์ให้แก่ใบหน้า ด้วยเทคโนโลยีด้านความงามที่ก้าวล้ำไปไกลกว่าแค่การรักษา ดังนั้น นวัตกรรมการรักษาฝ้า กระ ลบรอยดำ ในปัจจุบันจึงเป็นมากกว่าแค่การรักษาให้หาย แต่ยังให้ผลลัพธ์ที่ล้ำลึกยิ่งกว่า เพราะนอกจากรอยฝ้า รอยดำจะหายไปแล้ว คุณยังจะได้เผยผิวหน้าใหม่ที่เกลี้ยงเนียน ริ้วรอยต่างๆ ลดลง แถมผิวหน้ายังขาวกระจ่างใสขึ้นอย่างเห็นได้ชัดด้วยค่ะ โดยเราขอนำเสนอ โปรแกรม  Code  of  white  plus ซึ่งสามารถรักษาฝ้า กระ ลบรอยดำ ได้แบบถาวร ด้วย 3 Step ดังนี้ค่ะ

shutterstock 580664962

Step 1 สลัดความหมองคล้ำ ด้วยการใช้กระแสไฟฟ้าผลักวิตามิน และสารบำรุงผิวเข้าสู่ผิวหน้า เพื่อขจัดรอยดำคล้ำที่ผิวชั้นนอกให้หลุดออกไป และสามารถเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของใบหน้าที่กระจ่างใสขึ้น วิธีรักษาฝ้า กระ ลบรอยดำตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำค่ะ

Step 2 ลดปริมาณเม็ดสีส่วนเกินที่ผิวชั้นใน โดยการใช้เลเซอร์ที่สามารถส่งพลังงานสูงในช่วงระยะเวลาที่สั้นมาก ระดับ picosecond หรือ 1 ในล้านล้านวินาที ลงไปใต้ผิวหนังบริเวณที่เป็นฝ้าโดยไม่เกิดความร้อน ช่วยให้เม็ดสีเมลานินที่สะสมก่อตัวอยู่ที่ผิวชั้นในแตกกระจายออกเป็นอณูเล็ก ช่วยให้ฝ้าแลดูจางลงจนมองแทบไม่เห็น แถมทำให้ใบหน้ากระจ่างใสขึ้นอีกขั้นค่ะ

Step 3 Treatment ซ่อมแซมเซลล์ผิว ด้วยการมาส์กหน้าเย็นๆ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น ทำให้ผิวเปล่งปลั่ง  ช่วยฟื้นฟูผิวที่ถูกทำลายจากแดด คืนความแข็งแรง สดใส และความกระจ่างใสให้กับผิวอย่างเป็นระบบครบวงจรความสวยเลยล่ะค่ะ

รักษาฝ้า ในแบบฉบับผู้ชายต้องใช้วิธีไหน

รักษาฝ้า

ฝ้าบนใบหน้า สามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศไม่ว่าจะเพศหญิง หรือเพศชาย แต่โดยส่วนใหญ่เรามักจะพบว่าเพศหญิงมีโอกาสเกิดฝ้าได้มากกว่าเพศชายด้วยปัจจัยหลายด้าน อาทิ หญิงตั้งครรภ์หรือหญิงที่กินยาคุมกำเนิดก็มักจะมีฝ้าขึ้นปริมาณมาก เพราะฮอร์โมนเพศในร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลง กระตุ้นทำให้การผลิตเม็ดสีผิวมีความผิดปกติขึ้นได้ หรือในกรณีที่มีการแพ้สารเคมีบางชนิดจากเครื่องสำอางที่มักมีสารเคมีต้องห้ามปะปนในการผลิตบ่อยๆ เหล่านี้คือปัญหาการเกิดฝ้าที่ผู้หญิงต้องพึงระวังค่ะ

สำหรับคุณผู้ชาย แม้โอกาสเกิดฝ้าจะน้อยกว่าผู้หญิง แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ควรมองข้ามนะคะ และหากคุณผู้ชายที่กำลังประสบปัญหาเรื่องฝ้าบนใบหน้าอยู่เราก็มีวิธีรักษาฝ้า แบบแมนๆ มาฝากค่ะ

สาเหตุการเกิดฝ้าในผู้ชาย

ผู้ชายที่เป็นฝ้า โดยส่วนใหญ่เกิดจากการเผชิญแสงแดดโดยตรงและไม่มีการป้องกันใบหน้าจากแสงแดด เพราะผู้ชายส่วนใหญ่ไม่ชอบบำรุงผิวหรือทาครีมกันแดด ไม่กางร่ม (อันนี้หนุ่มๆ เค้าแอบกระซิบว่ากลัวไม่แมน) นอกจากนี้ ความเสื่อมของร่างกาย คือ ความสามารถในการย่อยอาหารลดลง การดูดซึมสารอาหาร ตลอดจนการขับถ่ายของเสีย หากการทำงานของระบบทางเดินอาหารเสื่อมลง แสดงว่าสภาวะสภาพของร่างกายเริ่มเสื่อม ทำให้ส่งผลต่อสภาพผิว ผิวจึงเสื่อม จนเกิดรอยฝ้าในผู้ชายได้ค่ะ

ผู้ชายควรป้องกันฝ้าด้วยวิธีไหนดี?

1. ทาครีมกันแดดให้เป็นนิสัย

การเลี่ยงการเผชิญกับแสงแดดโดยตรงเป็นหนึ่งในการป้องกันฝ้าที่สามารถทำได้ในชีวิตประจำวันมากที่สุดค่ะเนื่องจากรังสีอัลตราไวโอเลตทั้ง ยูวีเอ (UVA) ยูวีบี (UVB) หรือแสงที่ตามองเห็นได้ (Visible Light) อาจกระตุ้นให้เกิดกระบวนการสร้างเม็ดสีเพิ่มมากขึ้นจนทำให้เกิดฝ้าได้

shutterstock 245173060

คุณผู้ชายควรหาครีมกันแดดที่มีค่า SPF50 PA++++ และควรทาซ้ำทุกๆ 2-3 ชั่วโมง เพื่อให้ประสิทธิภาพของครีมกันแดดดีขึ้น ซึ่งตัวเลขค่าเอสพีเอฟนี้ จะเป็นค่าที่บ่งบอกว่าครีมมีประสิทธิภาพในการปกป้องผิวจากแสงแดดได้ดีมากน้อยแค่ไหน รวมไปถึงมีสารป้องกันแดดแบบกายภาพเป็นส่วนประกอบ เช่น ไทเทเนียมไดออกไซด์ (Titanium Dioxide) หรือ ซิงค์ ออกไซด์ (Zinc Oxide) ซึ่งช่วยสะท้อนรังสีอัลตราไวโอเลตที่มากระทบจากผิวหนังได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ ควรทาครีมกันแดดทุกวันก่อนออกจากบ้าน หรือก่อนไปยังสถานที่ที่ต้องเผชิญกับแสงแดดโดยตรง เพื่อป้องกันผิวหนังถูกทำร้ายจนคล้ำ และรักษาฝ้า กระที่อาจจะเกิดขึ้น ในช่วงที่มีแดดแรงควรมีการปกป้องผิวอีกชั้นเมื่อต้องเจอกับแสงแดดแรงโดยตรงบริเวณใบหน้า เช่น การกางร่ม สวมหมวก หรือสวมเสื้อผ้าที่ปกปิดผิวหนังได้อย่างมิดชิดค่ะ

2. ทำความสะอาดผิวหน้า

ผิวหน้าที่ถูกมลภาวะ ฝุ่นควัน จะส่งผลให้ผิวหน้าเกิดรอยฝ้า กระ จุดด่างดำ เกิดขึ้นบนใบหน้าของคุณผู้ชายได้ค่ะ จึงควรทำความสะอาดใบหน้าวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น เพื่อรักษาฝ้า กระที่เกิดขึ้นโดยเลือกผลิตภัณฑ์ล้างหน้าให้เหมาะสมกับสภาพผิวหน้าของคุณผู้ชายดังนี้ค่ะ

ผู้ชายผิวหน้ามัน : ไม่ควรเลือกโฟมล้างหน้าที่ล้างแล้วรู้สึกว่าใบหน้าแห้งไม่เหลือความชุ่มชื้น ควรเลือกซื้อโฟมล้างหน้าแบบที่มีคำว่า ออยล์โซลูชั่น หรือ สูตรควบคุมความมัน

ผู้ชายผิวหน้าผสม : ผิวผสมสามารถเลือกใช้ได้หลายประเภทมากกว่าผิวประเภทอื่นๆ แต่ต้องเลือกโฟมล้างหน้า หรือครีมโฟมล้างหน้าที่ถนอมผิว

ผู้ชายผิวหน้าแห้ง/ผิวบอบบางแพ้ง่าย : เป็นผิวที่ขาดความชุ่มชื้นเพราะไม่ค่อยมีไขมันตามธรรมชาติ ควรเลือกใช้ครีมล้างหน้า หรือครีมโฟมล้างหน้าที่มีมอยส์เจอร์ไรเซอร์ผสมอยู่

วิธีรักษาฝ้าแบบผู้ชาย

ดูแลตัวเอง

การดูแลตัวเองจากภายใน อย่างการทานอาหารที่ดีมีประโยชน์ การดื่มน้ำสะอาด ผ่อนคลายความเครียด และออกกำลังกาย จะช่วยให้ภายในร่างกายดีขึ้น ส่งผลให้ผิวพรรณแข็งแรงขึ้น อีกทั้งช่วยลดรอยดำ รักษาฝ้า กระ ให้ค่อยๆ เบาบางลงได้เป็นอย่างดีค่ะ โดยมีคำแนะนำในการดูแลตัวเองของคุณผู้ชายเพื่อการรักษาฝ้า ดังนี้ค่ะ

shutterstock 132261116
  • ทานผัก ผลไม้ที่มีวิตามินซี เพื่อช่วยในการต่อต้านอนุมูลอิสระ ลดการเกิดฝ้า ได้แก่ ส้ม มะนาว แอปเปิ้ลเขียว พืชตระกูลเบอรี่ เป็นต้น
  • ผักใบเขียวที่มีสารเบต้าแคโรทีน อย่าง บล็อคโคลี คะน้า ผักโขม ลดการอักเสบของผิวหนัง และไปยับยั้งการเกิดสิว ฝ้า กระ ได้ค่ะ
  • ทานอาหารจำพวกวิตามินบี12 ได้แก่ ตับ ไข่แดง เนื้อสัตว์ นม ชีส จะช่วยป้องกันการเกิดฝ้า
  • ดื่มน้ำสะอาดให้ได้วันละ 8-10 แก้ว เพื่อช่วยให้ผิวชุ่มชื้น ขับล้างสารพิษในร่างกาย ผิวพรรณจะสดใสฝ้าดูจางลง
  • ผ่อนคลายความเครียด ด้วยการทำสมาธิ อ่านหนังสือ แช่น้ำ จะช่วยผ่อนคลาย ลดการผลิตฮอร์โมนและเมลานินซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของฝ้า
  • ออกกำลังกายวันละ 30 นาที เป็นอย่างน้อย เพื่อให้ผิวพรรณ และร่างกายแข็งแรง ต่อสู้กับอนุมูลอิสระเพื่อลดรอยฝ้า

ใช้ครีมรักษาฝ้าที่ได้มาตรฐาน

การเลือกครีมบำรุงผิวที่มีส่วนผสมของ AHA วิตามินซี อาร์บูติน (Arbutin) กรดโคจิก (Kojic) รวมไปถึงครีมทาฝ้า ครีมแก้ฝ้า หรือครีมรักษาฝ้า กระต่างๆ ก็ช่วยทำให้ฝ้าจางลง และทำให้หน้าดูกระจ่างใสขึ้นได้ แต่อาจจะต้องใช้ระยะเวลานิดนึงนะคะ หรือลองเลือกครีมรักษาฝ้าที่มีสารสกัดจากสมุนไพรที่จะช่วยให้รอยฝ้าจางลงได้อย่างปลอดภัย มากกว่าการใช้สารเคมีอย่างครีมหน้าขาว หรือครีมทาฝ้าตามท้องตลาดที่จะแอบใส่สารปรอท หรือสารไฮโดรคิวโนนในปริมาณมากทำให้ฝ้าจางไวกว่าปกติ แต่เมื่อหยุดใช้ หน้าจะพัง และฝ้าฝังลึกกว่าเดิม

ควรทดสอบครีมก่อนใช้ด้วยการป้ายครีมที่ใต้คาง ท้องแขน เพื่อทดสอบอาการแพ้ การเลือกครีมรักษาฝ้า กระที่ดีควรเลือกครีมรักษาฝ้า กระที่ได้มาตราฐาน ปลอดภัย ด้วยการรับรองจาก อย. ค่ะ

เลเซอร์รักษาฝ้าผู้ชาย

shutterstock 189645413

การทำเลเซอร์ คือการรักษาผิวหน้าอีกทางที่จะช่วยรักษาฝ้า กระ ลบรอยดำ ต่างๆ ให้หายขาดได้ ถือเป็นเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่คนปัจจุบันนิยมทำกัน โดยการส่งพลังงานที่เหมาะสม เพื่อตอบโจทย์การรักษาฝ้าได้อย่างตรงจุด ในช่วงระยะเวลาที่สั้นมาก ระดับ picosecond หรือ 1 ในล้านล้านวินาที ลงไปใต้ผิวหนังบริเวณที่เป็นฝ้า ทำให้เม็ดสีที่รวมตัวกันอยู่เป็นกลุ่มก้อนใต้ผิวแตกกระจายออกเป็นเม็ดละเอียดๆ ทันที  โดยไม่เกิดความร้อน ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดผลข้างเคียง และที่สำคัญคือช่วยลดความเจ็บ อาจจะสังเกตได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ ช่วยลดปัญหาการกลับมาเป็นฝ้าซ้ำ และพลังงานเลเซอร์ยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เปลี่ยนหน้าหมองคล้ำให้กลับเป็นกระจ่างใสได้เร็วขึ้นอีกด้วยค่ะ

หน้าพังเพราะเข้าใจผิด! วิธีรักษาฝ้า กระ ลบรอยดำ แบบผิดๆ เป็นยังไงต้องดู

76

คงไม่มีสาวๆ คนไหนอยากเห็นฝ้า กระ รอยดำ ขึ้นอยู่เต็มบนใบหน้าของเราใช่ไหมคะ แต่เมื่อเกิดปัญหาเหล่านี้ขึ้นมาแล้วก็จำเป็นต้องหาวิธีการแก้ไขรักษาฝ้า กระ รอยดำเหล่านั้นจางลงไป หรือบางคนอาจจะเคยได้ยินความเชื่อเกี่ยวกับวิธีการรักษาฝ้า กระ ลบรอยดำ จากคนรอบข้างหลากหลายวิธี แล้วมาทดลองทำตามโดยไม่ได้ศึกษาหาข้อมูล โดยที่บางความเชื่อนั้น ยังไม่ถูกต้อง มีความคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ยิ่งเป็นการซ้ำเติมฝ้า รอยดำ ให้ฝังลึกมากยิ่งขึ้น… เอาล่ะค่ะ งั้นสาวๆ ลองดูข้อมูลเกี่ยวกับความเชื่อผิดๆ ของวิธีการรักษาฝ้า กระ ลบรอยดำ ที่เราได้นำมาฝาก เผื่อสาวคนไหนกำลังทดลองอยู่จะได้ยับยังทัน ก่อนสายเกินแก้ค่ะ

shutterstock 1158881050

เชื่อคำโฆษณารักษาฝ้า กระ ลบรอยดำ หายภายใน 7 วัน

การรักษาฝ้า กระ โดยซื้อยามาทาเองนั้นเสี่ยงมากนะคะ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีอย. และโฆษณาว่าสามารถรักษาฝ้า กระ ลบรอยดำให้หายภายใน 7 วัน หรือหายในเวลาที่รวดเร็ว เพราะปกติจะต้องใช้เวลารักษาประมาณ 4-8 สัปดาห์ ดังนั้น ให้สันนิษฐานว่าอาจใส่สารอันตรายลงไป โดยเฉพาะครีมที่มีส่วนผสมของไฮโดรควิโนน ซึ่งเป็นสารเคมีที่อันตรายมาก ไฮโดรควิโนน ทำให้การผลิตเม็ดสีน้อยลง จึงดูเหมือนว่าสามารถรักษาฝ้า กระ จุดด่างดำให้หายเร็วขึ้น แต่หากใช้เองโดยไม่ได้ปรึกษาคุณหมออาจเสี่ยงให้ฝ้าฝังลึกเมื่อหยุดใช้ อีกทั้งยังทำให้ผิวหน้าบาง ไวต่อแดด และยังก่อให้เกิดสารเคมีตกค้างในเซลล์ผิวอีกด้วย ในระยะยาวผิวหน้าจึงเสีย เสื่อมสภาพและมีสิวขึ้นเห่อ ซ้ำฝ้าฝังลึกยังรักษาไม่หายอีกด้วยค่ะ

shutterstock 1043930581

หากต้องการรักษาฝ้า กระ ลบรอยดำอย่างจริงจัง แนะนำให้ปรึกษาคุณหมอดีกว่าค่ะ คุณหมอจะวิเคราะห์และเลือกวิธีการรักษาฝ้า กระ ลบรอยดำ ให้เรา ทั้งนี้ ก็เพื่อความปลอดภัยและให้ได้ผลลัพธ์การรักษาที่ดีที่สุด ควรอยู่ภายใต้การดูแลของคุณหมอและอดทนกับระยะเวลาในการรักษานิดนึงนะคะ เพื่อใบหน้าสวยๆ จะได้อยู่กับเราไปนานๆ ค่ะ

โบ๊ะหน้ากลบรอยฝ้า

สำหรับสาวๆ ที่เริ่มรู้ตัวว่าเป็นฝ้า มันจะหาทางออกในการกลบรอยฝ้าด้วยวิธีโบ๊ะรองพื้นคอนซีลเลอร์หนาๆ แล้วจัดเต็มด้วยเครื่องสำอาง เพราะเป็นวิธีรักษาฝ้า กระ ลบรอยดำ ที่ง่าย ในพริบตารอยดำๆ เหล่านั้นก็ถูกกลบไปได้ แต่สาวๆ ทราบไหมคะว่าเครื่องสำอางบางยี่ห้อที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ สารกันบูด ฮอร์โมน และน้ำหอม ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถทำร้ายผิวของเราให้เกิดฝ้า

ถ้าหากสาวๆ คนไหนที่เป็นฝ้าอยู่แล้วจะทำให้ฝ้าเห็นชัดยิ่งกว่าเดิมและลึกยิ่งกว่าเดิม แต่ถ้าหากไม่สามารถหลีกเลี่ยงที่จะต้องแต่งหน้าได้สาวๆ ควรจะล้างหน้าให้สะอาดหมดจดเช้าและเย็น ไม่ควรลืมล้างเมคอัพก่อนนอนเด็ดขาดและล้างอุปกรณ์แต่งหน้าไม่ว่าจะเป็นแปรงแต่งหน้าแป้งพัฟ ฯลฯ ที่สำคัญหลังล้างหน้าทุกครั้งสาวๆ ควรล้างด้วยน้ำเย็นทุกครั้งจะเป็นการกระชับรูขุมขนทำให้ใบหน้าเนียนกระชับขึ้นค่ะ

ใช้เคมีลอกฝ้า

การใช้เคมีลอกฝ้าอาจเห็นผลดีในช่วงแรกๆ เพราะช่วยให้เซลล์ผิวชั้นนอกที่เสื่อมหลุดลอกไปได้ รักษาฝ้า กระ จุดด่างดำ หรือคราบไคล ก็หายไปด้วยแต่ต้องอยู่ในปริมาณที่พอดีนะคะ หากปริมาณของน้ำยาลอกหน้าแต่ละตัวมีความรุนแรงเกินไป หรือลอกผิวหน้าบ่อยๆ ก็จะทำให้ผิวหน้าบางลง ลอก แห้ง และระคายเคืองได้ง่าย จึงอาจทำให้ผิวไวต่อแสง มีอาการไหม้ และแสบแดงได้ง่ายขึ้น ทางที่ดีเมื่อลอกหน้าแล้วให้มาร์คหน้าด้วยสูตรธรรมชาติอย่าง มะขามเปียก หรือ มะละกอ ไม่ควรถูกแสงแดดทันทีเมื่อทำการลอกหน้า และอย่าลอกหน้าบ่อยเกินไปอาจทำให้หน้ายิ่งดำจนชอกช้ำระกำใจยิ่งขึ้นค่ะ

ใช้หัวไชเท้าพอกหน้าแบบผิดวิธี

สำหรับสาวๆ ที่เลี่ยงวิธีการรักษาฝ้าด้วยสารเคมี แล้วหันมาพึ่งวิธีธรรมชาติโดยใช้หัวไชเท้าพอกหน้า เพื่อ รักษาฝ้า กระ ลบรอยดำ เพราะเคยได้ยินมาว่าหัวไชเท้ามีสรรพคุณในเรื่องการลดรอยฝ้า กระ และจุดด่างดำ ก็อยากให้หยุดการกระทำนี้ก่อน แล้วลองศึกษาวิธีการพอกหน้าด้วยหัวไชเท้าที่ถูกต้อง ดังนี้ค่ะ

shutterstock 666455809
  • การนำหัวไชเท้าพอกหน้าหรือวางแบบสดๆ สามารถใช้ได้กับบางคนเท่านั้น เนื่องจากหัวไชเท้ามีฤทธ์เป็นกรดที่เข้มข้นและมีความเผ็ดร้อน จึงอาจทำให้ผิวหน้ามีอาการแสบแดงได้
  • วิธีรักษาฝ้า กระ ลบรอยดำด้วยหัวไชเท้า คือ หั่นหัวไชเท้าแล้วนำไปแช่เย็น เพื่อลดอาการแสบร้อนจึงค่อยนำมาพอกหน้า หรือผสมกับน้ำผึ้งหรือว่านหางจระเข้ หรือไม่ก็นำน้ำหัวไชเท้า ผสมกับรำข้าวบดละเอียด คนให้เป็นเนื้อครีม จึงค่อยนำมาพอกหน้า ที่สำคัญควรพอกเพียง 3-5 นาทีเท่านั้น หากไม่แน่ใจอาจนำมาทดสอบที่ท้องแขนก่อนก็ได้
  • สำหรับผู้มีผิวบอบบางไม่ควรใช้สูตรรักษาฝ้า กระ ลบรอยดำด้วยหัวไชเท้าค่ะ

กรอผิวหน้าเพื่อลดฝ้า

การรักษาฝ้า กระ ลบรอยดำ ด้วยวิธีนี้จะเป็นการขจัดผิวหน้าที่เสื่อมสภาพและตายแล้วเพื่อให้ฝ้าดูจางลง การกรอผิวหน้า (Microdermabrasion) เป็นเทคโนโลยีการขัดกรอผิวหน้าที่สะดวกรวดเร็ว ให้ประสิทธิภาพสูง เป็นที่นิยมแพร่หลายทั้งในยุโรปและอเมริกา ด้วยวิธีการขจัดผิวในชั้นหนังกำพร้า ซึ่งเป็นเซลล์ชั้นบนที่ตายแล้วให้หลุดออก โดยใช้ผลึกคริสตัลให้วิ่งตามการพ่นของเครื่องปั้มในกระบอกสูญญากาศที่ปลอดเชื้อ โดยมีการปรับความแรง ความเร็วในการพ่นผลึก เพื่อกรอผิวหนังชั้นนอกเพื่อให้ฝ้าหลุดลอกออกและจางลง โดยมีการปรับความแรง ความเร็วในการพ่นผลึกดังกล่าวได้ตามต้องการของผู้ใช้ ซึ่งผลเสียที่ตามมาจากการกรอผิวหน้าเพื่อรักษาฝ้า กระ ลบรอยดำ คือต้องทำมากกว่า 10 ครั้งขึ้นไปจึงจะเห็นผล หากมีสิวเยอะ หรือหลุมสิวลึกก็จะต้องกรอผิวหน้าในระดับที่ลึก อาจทำให้มีอาการบวม แสบ แดง บางรายอาจจะมีอาการแพ้ผงอัญมณีได้ค่ะ เพราะฉะนั้น ควรศึกษาให้ดีก่อนตัดสินใจทำการกรอผิวหน้า หากมีผิวบางอยู่แล้วไม่แนะนำวิธีนี้นะคะ

ทั้งหมดนี้ คือความเชื่อ หรือความเข้าใจแบบผิดๆ เกี่ยวกับวิธีการรักษาฝ้า กระ ลบรอยดำ ที่เราได้คัดสรรมานำเสนอค่ะ ว่าแต่ว่า… มีวิธีไหนบ้างคะที่สาวๆ กำลังทำอยู่ เมื่อทราบดังนี้แล้ว ก็ให้รีบหยุดการกระทำนั้นทันที ก่อนที่ใบหน้าของคุณจะพังชนิดกู่ไม่กลับ หรือกว่าจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมก็อาจทำให้สาวๆ ท้อใจไปเลยก็มีค่ะ…

วิธีป้องกันการเกิดฝ้า กระ รอยดำ ที่สาวๆ ควรรู้ก่อนสายเกินแก้

ฝ้า กระ

ฝ้า กระ และรอยดำ อาจไม่ได้ทำให้เรารู้สึกเจ็บปวดร่างกาย แต่… มันเจ็บจี๊ดดดด อยู่ในใจทุกครั้งที่ได้เห็นค่ะ โดยเฉพาะเมื่อขึ้นอยู่บนใบหน้าที่เราแสนจะหวงแหน ส่องกระจกทีไรก็ต้องถอนหายใจทุกครั้ง แต่…จะดีกว่าไหมคะ ถ้าเรามาลองเริ่มแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ด้วยการเริ่มดูแลและป้องกันรักษาฝ้า กระ รอยดำ อย่างถูกวิธี ก่อนจะสายเกินแก้ เพราะหากปล่อยเอาไว้เนิ่นนานอาจต้องใช้ระยะเวลารักษาฝ้า กระ ลบรอยดำ นานเชียว

1. การหลีกเลี่ยงแสงแดดสำคัญที่สุด

การดูแลป้องกันตัวเองจากแสงแดดเป็นสิ่งสำคัญมาก ดังนั้น ในแต่ละวันจึงไม่ควรละเลยการทาครีมกันแดดที่มีความสามารถป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลต ทั้ง UVA และ UVB ได้ดี โดยเฉพาะเมื่อต้องเผชิญกับแสงแดดระหว่างวัน ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดที่มีค่า SPF 50+, PA+++

shutterstock 271800461

นอกจากนี้ การแต่งกายให้มิดชิดรวม ถึงการสวมหมวก สวมแว่นตากันแดด กางร่ม ก็มีส่วนช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันแสงแดดได้ ถึงแม้ว่าตัวช่วยในการรักษาฝ้า กระ ลบรอยดำ นั้นจะมีหลากหลายวิธี ทั้งทายา เลเซอร์ กินวิตามินเสริม ที่จะช่วยทำรักษาฝ้า กระ ลบรอยดำ ให้ลดเลือน แต่ก็มีโอกาสที่จะกลับมาเป็นอีก ตราบใดที่เรายังต้องเผชิญกับแสงแดดอยู่เป็นประจำนั่นเอง

2. ระวังเรื่องการใช้ยารักษาฝ้า กระ ลบรอยดำ และอาหารเสริมป้องกันฝ้า

ปัจจุบันมียาทารักษาฝ้า กระ ลบรอยดำ มากมายจำหน่ายอยู่ตามท้องตลาด มีทั้งที่ปลอดภัยและผสมสารที่เป็นอันตราย ซึ่งการดูฉลากยาในบางครั้งก็ไม่สามารถตรวจสอบได้จริงๆ ว่ายานั้นเป็นยาที่ปลอดภัยจริงหรือไม่ โดยสารเคมีที่ใส่ในยาลบรอยดำที่อันตราย อย่างเช่น ใช้ไฮโดรควินิน (Hydroquinone) มากกว่าปริมาณที่องค์กรอาหารและยากำหนด ใช้สารปรอท หรือมีส่วนผสมของสเตียรอยด์ที่ไม่เหมาะกับการใช้บนผิวหนัง ยากลุ่มนี้เมื่อใช้ช่วงแรกๆ จะรู้สึกว่ารอยดำจางหายได้เร็วมาก แต่เมื่อใช้ไปนานๆ จะสังเกตว่าจะเกิดอาการหน้าแดงง่าย เกิดเส้นเลือดฝอยเล็กๆ บนใบหน้าอย่างเห็นชัด บางรายอาจเกิดสิวอักเสบเห่อหลังหยุดใช้ยา และอาจส่งผลให้รอยดำที่เป็นอยู่มีสีเข้มขึ้นและขยายขนาดมากขึ้นได้ด้วย ดังนั้น แนะนำว่าถ้าอยากรักษาฝ้า กระ ลบรอยดำอย่างได้ผลและไม่เสี่ยง ควรมาพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและเลือกวิธีการรักษาฝ้า กระ ลบรอยดำ ที่เหมาะสมกับเราดีกว่า หายช้าดีกว่าหน้าพัง

นอกจากนี้ ยังมีผลิตภัณฑ์อาหารเสริมหลายชนิด ที่โฆษณาเรื่องทำให้มีผิวขาวขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่จะผสมสารอาหารหรือสารสกัดจากธรรมชาติที่มีฤทธิ์ลดการสร้างเม็ดสีในผิวหนัง ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และช่วยลดการทำลายผิวจากแสงแดด ตัวอย่างเช่น Glutathione, Vitamin C, Alpha Lipoic Acid,Pine Tree Bark Extract, Grape Seed Extract เป็นต้น ซึ่งอาหารเสริมเหล่านี้อาจจะนำมาใช้เป็นตัวเสริมในการรักษาฝ้า กระ ลบรอยดำได้ แต่ยังไม่ได้เป็นมาตรฐานในการรักษา เนื่องจากยังไม่มีผลการวิจัยที่เพียงพอที่จะรับรองผลของการรักษาและผลข้างเคียงในระยะยาวอย่างชัดเจน

3. ทดสอบเครื่องสำอางก่อนใช้

ก่อนที่สาวๆ จะตัดสินใจซื้อเครื่องสำอางตัวไหน แนะนำว่าควรทดสอบเครื่องสำอางก่อนใช้จริง เพื่อให้แน่ใจว่าไม่เกิดอาการแพ้เมื่อใช้ สำหรับการรักษาฝ้า กระ ลบรอยดำ ถ้ามีฝ้าขึ้นเพียงเล็กน้อย เนื่องจากถูกแสงแดด ควรระวังและหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกแสงแดดซ้ำอีก จะช่วยให้ฝ้าจางหายไปได้ ในกรณีที่เป็นมากไม่ควรใช้ยาหรือเครื่องสำอางด้วยตนเอง ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญโดยเฉพาะ ถ้าเป็นไม่มากอาจใช้เครื่องสำอางสำหรับฝ้าได้ แต่จะต้องเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน และต้องใช้ให้ถูกวิธี

4. รับประทานอาหารต้านฝ้า

นอกจากการดูแลผิวภายนอกแล้ว การดูแลผิวจากภายในก็เป็นสิ่งสำคัญ โดยอาหารที่ทานแล้วทำให้ผิวแข็งแรง ช่วยปกป้องผิวของเราจากการเป็นฝ้า มีดังนี้

shutterstock 236750896
  1. ข้าวโพด ในข้าวโพดจะมีสารเบต้าแคโรทีนและโฟเลต ที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันการเกิดฝ้า และมะเร็ง ทั้งนี้ ยังช่วยชะลอการเกิดเซลล์ผิวเสื่อม ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง กระจ่างใส แข็งแรง มีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น
  2. สตรอว์เบอร์รี อุดมไปด้วย วิตามินซีสูง ที่มีส่วนช่วยในการต่อต้านอนุมูลอิสระ ทำให้ผิวต้านทานต่อรังสีอัลตราไวโอเลตที่มากับแสงแดดได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ การทานสตรอว์เบอร์รี ยังมี่ส่วนช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว ทำให้ผิวกระชับ เต่งตึง พร้อมช่วยบำรุงผิวให้กระจ่างใส ลดเลือนรอยดำจากสิว-ฝ้า และทำให้ผิวชุ่มชื้นมากยิ่งขึ้น
  3. ไข่ไก่ มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ชื่อว่าลูทีนและซีแซนทิน ซึ่งมีคุณสมบัติปกป้องผิวจากรังสียูวี ช่วยต่อต้านการเกิดฝ้าและมะเร็งผิวหนัง นอกจากนี้ ยังช่วยให้ผิวพรรณเต่งตึง อ่อนกว่าวัยอีกด้วย
  4. ปลาแซลมอน มีโอเมก้า 3 DHA และ EPA ที่มีส่วนช่วยปกป้องและต่อต้านอนุมูลอิสระที่เกิดจากรังสี UV ซึ่งการทานปลาแซลมอนนี้ จะช่วยทำให้ผิวชุ่มชื้น ลดริ้วรอย ป้องกันการเกิดฝ้า
  5. เต้าหู้ จะช่วยรักษาคอลลาเจน กระชับผิวพรรณ เพราะเต้าหู้มีวิตามินอีที่จะช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ปกป้องผิวจากรังสีอัลตราไวโอเลต ลดการเสี่ยงมะเร็งผิวหนัง นอกจากนี้ ยังช่วยป้องกันฝ้า ทำให้ผิวชุ่มชื้น นุ่มเนียน ป้องกันริ้วรอยก่อนวัยได้อีกด้วย

5. พยายามหลีกเลี่ยงความร้อนทุกรูปแบบ

ไม่ว่าจะเป็นแสงแดด ซาวน่า หน้าเตาทำอาหาร โยคะร้อน เพราะความร้อนจะกระตุ้นให้ฝ้าสีเข้มขึ้นและยังเป็นสาเหตุของฝ้าเลือดอีกด้วย อีกทั้ง ควรหลีกเลี่ยงการขัดหน้าบ่อยๆ เพราะการขัดถูใบหน้ามากเกินไปสามารถกระตุ้นฝ้าให้เข้มขึ้นได้ค่ะ

shutterstock 580622002

6. พบผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณเป็นประจำ

เพราะสถานบริการด้านผิวพรรณนั้น มีบุคลากรผู้เชี่ยวชาญโดยเฉพาะ พร้อมเทคโนโลยีและเครื่องมือที่ทันสมัยคอยให้บริการ การพบผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณเป็นประจำจะสามารถตอบโจทย์ด้านการดูแล รักษาฝ้า กระ ลบรอยดำ และปกป้อง ผิวพรรณของเราจากปัญหาต่างๆ ได้อย่างถูกต้องตรงจุด รวมไปถึงปัญหาฝ้า กระ หรือรอยดำจากสิวได้ อีกทั้ง การเข้ารับบริการที่สถานบริการผิวพรรณอยู่เป็นประจำ จะทำให้คุณมีผิวพรรณที่ผ่องใส ไร้ฝ้า ไร้ริ้วรอยรบกวนต่างๆ จนใครๆ เห็นต้องร้องว้าว! กับใบหน้าเนียนๆ ใสๆ ของคุณอยู่ตลอด

ฝ้า กระ คืออะไร ต่างกันอย่างไร

ฝ้า กระ

สำหรับสาวๆ ที่พยายามดูแลผิวหน้าไม่ให้มันจนเป็นสาเหตุของการเกิดสิว แต่กลับพบว่าวันดีคืนดีเกิดมีรอยปื้นๆ สีน้ำตาลขึ้นบนใบหน้า หรือบางครั้งมีจุดสีน้ำตาลเล็กๆ กระจายขึ้นอยู่ทั่วใบหน้า คุณสาวๆ ทราบหรือไม่คะ ว่าเป็นอาการของอะไร… เอาล่ะสิ เกิดอะไรขึ้นกับใบหน้าของเรา และเมื่อลองสอบถามกับคนใกล้ตัว บางคนอาจให้คำตอบว่าคือ “ฝ้า” บางคนตอบว่า “กระ” สรุปแล้วอาการที่เกิดขึ้นบนใบหน้าเรามันคืออะไรกันแน่? แล้วปัญหาฝ้า กระเกิดขึ้นจากอะไร? พฤติกรรมใดบ้างที่เร่งให้เกิดฝ้า กระขึ้นบนใบหน้า? เรามาหาคำตอบไปพร้อมๆ กันเพื่อเป็นแนวทางก่อนรักษาฝ้า กระ ให้หายค่ะ…

shutterstock 653681932

ลักษณะ “ฝ้า”

ฝ้าจะมีลักษณะที่เป็นรอยปื้นๆ ใหญ่ๆ มีสีน้ำตาลเข้มกว่าสีผิวปกติของเรา ซึ่งเกิดจากความผิดปกติของการสร้างสีผิวของผิวหนังในบางแห่งและเป็นเฉพาะบางคนเท่านั้นค่ะ ฝ้าเกิดได้หลายๆ ที่บนใบหน้า เนื่องจากผิวหนังที่ใบหน้าจะมีเซลล์สร้างสีผิวมากกว่าบริเวณอื่นๆ และโดยเฉพาะบริเวณโหนกแก้มและสันจมูกจะเป็นบริเวณที่มีฝ้าเกิดขึ้นได้บ่อย เนื่องจากเป็นบริเวณที่ถูกแดดได้บ่อยที่สุด โดยมากแล้วฝ้ามักจะเกิดในคนที่มีผิวขาวมากกว่าคนผิวคล้ำหรือผิวดำค่ะ อีกทั้งพบฝ้าในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายด้วย

139

โดยทั่วไปแล้วสามารถแบ่งฝ้าออกได้เป็น 2 ชนิดคือ ชนิดตื้นและชนิดลึก สำหรับความแตกต่างของฝ้าทั้ง 2 ชนิดนี้ก็คือ ระดับความลึกของเม็ดสีชนิดลึก เพราะเม็ดสีที่มีความผิดปกติจะอยู่ที่ชั้นหนังแท้ ส่วนฝ้าชนิดตื้นนั้นจะมีอยู่แค่ตรงชั้นหนังกำพร้าเท่านั้น และความเข้มของเม็ดสีก็ยังมีน้อยกว่าฝ้าชนิดลึกอย่างมากอีกด้วยค่ะ

ลักษณะ “กระ”

กระ เกิดจากการที่เซลล์สร้างเม็ดสี สร้างเม็ดสีมากขึ้นผิดปกติเมื่อถูกแสงแดด ลักษณะจะเป็นจุดเล็กๆ สีน้ำตาล พบได้บนใบหน้า โดยเฉพาะกลุ่มสีบริเวณดั้งจมูก หรือส่วนต่างๆ ของร่างกาย  มักเกิดในคนผิวขาวมากกว่าคนผิวดำ คนที่มีพ่อแม่ เป็น กระ จะมีโอกาสเป็น กระ มากกว่าคนทั่วไป หากตากแดดจะทำให้จำนวนกระเพิ่มจำนวนมากขึ้นได้ค่ะ

ฝ้า กระ เกิดจากอะไร

ส่วนใหญ่มักเกิดจากรังสี UVA / UVB ที่เข้ามาทำร้ายผิวโดยตรงเป็นเวลานานๆ ทำให้เม็ดสีเมลานินมีการเกาะตัวเป็นกระจุก จนทำให้เกิดจุดกระ และรอยฝ้า ขึ้นบนใบหน้า ซึ่งฝ้า และ กระ นี้ไม่ใช่จะเกิดขึ้นจากแสงแดดเพียงอย่างเดียวเท่านั้นนะคะ ฝ้า กระ ยังสามารถเกิดขึ้นได้จากฮอร์โมนผิดปกติภายในร่างกาย และการแพ้เครื่องสำอางได้อีกด้วยค่ะ

มาดูพฤติกรรมที่เร่งทำให้เกิดฝ้า กระ มีอะไรบ้าง

ชอบเผชิญแสงแดด   

แสงแดด สามารถทำร้ายผิวหน้าของคุณให้เกิดรอยฝ้า กระได้ดีอันดับต้นๆ เลยทีเดียวค่ะ เพราะแสงแดดจะปล่อยคลื่นรังสี UV เมื่อได้รับรังสี UVA และ UVB จัดๆ ติดต่อกันเป็นเวลานาน ก็จะเกิดอนุมูลอิสระในร่างกายที่เพิ่มขึ้น จนรอยฝ้าหรือกระ เริ่มลอยเด่นชัดตามส่วนต่างๆ ของใบหน้า ไม่หายสักที เมื่อเป็นแบบนี้คงต้องเร่งรักษาฝ้า กระ ด่วนๆ แล้วล่ะค่ะ

shutterstock 1011269995

นั่งจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นประจำ

แสงสว่างจากคอมพิวเตอร์จะทำให้เกิดความร้อนสะมอยู่บริเวณใบหน้าของคุณค่ะ พอสะสมมากเข้าก็จะทำปฏิกิริยากับเม็ดสีเมลานินที่อยู่ใต้ผิวหนัง ทำให้เกิดฝ้าบนใบหน้าได้ค่ะ สำหรับวิธีแนะนำเบื้องต้นให้คุณลองนำกระบองเพชรมาตั้งไว้ข้างๆ จอคอมฯ เพื่อดูดซับแสงก็พอช่วยได้บ้างนะคะ หรือหากคุณเกิดปัญหาฝ้าขึ้นมาแล้วกระบองเพชรคงเอาไม่อยู่ทางที่ดีควรหาวิธีรักษาฝ้า กระดีกว่าค่ะ

 เครียดบ่อยๆ ทำฝ้าขึ้นหน้า

ความเครียดมีส่วนสัมพันธ์กับฝ้าโดยตรง เพราะฮอร์โมนในร่างกายแปรปรวน และเมื่อฮอร์โมนไม่สมดุลก็ทำให้เกิดเมลานินสะสมจนเกิดเป็นฝ้า กระได้ค่ะ

แพ้เครื่องสำอาง

สาวๆ ที่แต่งหน้าอยู่เป็นประจำ เคยสงสัยบ้างหรือเปล่าคะ ว่าทำไมพยายารักษาฝ้าบนใบหน้ามาหลายวิธี แต่ฝ้ากลับไม่จางลงสักที อาจเกิดจากอาการแพ้เครื่องสำอางได้เช่นกันค่ะ อาการแพ้เครื่องสำอาง เช่น น้ำหอม สี สารกันเสีย เครื่องสำอางบางชนิดที่มีฮอร์โมนเพศผสมอยู่ก็ทำให้เกิดรอยด่างดำแบบฝ้า กระได้ค่ะ ทางที่ดีไม่ควรเปลี่ยนเครื่องสำอางบ่อยๆ เพราะอาจทำให้เกิดการแพ้ได้ง่าย หรือหากใช้เครื่องสำอางชนิดไหนแล้วเกิดการแพ้ ควรจะอ่านรายละเอียดของสารประกอบในเครื่องสำอางนั้นว่ามีสารตัวใดอยู่บ้าง ซึ่งมีส่วนทำให้เกิดการแพ้ เพื่อจะได้หลีกเลี่ยงสารตัวนั้นเมื่อจะซื้อเครื่องสำอางชนิดอื่นต่อไปค่ะ

shutterstock 1192568971

 

ใช้ครีมไม่มีมาตรฐาน

เราสามารถพบเห็นโฆษณาครีมที่อวดอ้างสรรพคุณเรื่องผิวขาวหน้าขาวอยู่บ่อยๆ ในสังคมออนไลน์ ซึ่งหากผู้ใช้ไม่ศึกษาคุณสมบัติ และสารประกอบให้ดีอาจเสี่ยงต่อการเกิดฝ้า กระได้มากค่ะ เพราะครีมหน้าขาวแบบเห็นผลไวมักเต็มไปด้วยสารปรอท และสารเคมีต่างๆ ที่ทำร้ายผิว ไม่มีที่มา ไม่มีส่วนผสมชัดเจน รู้แต่ว่าขาวไว ครีมพวกนี้เมื่อใช้ไปสักพักจะทำให้เกิดฝ้าได้ และที่ซ้ำร้ายไปกว่านั้นผลพวงจากครีมอาจทำให้ฝ้าฝังลึกยิ่งกว่าเดิมได้ค่ะ

ขาดสารอาหาร

หากใครที่ปฏิเสธการทานผักและผลไม้อยู่บ่อยๆ แต่นิยมทานแต่ของหวาน ของทอด ของมัน อาหารฟาสฟู้ด เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โปรดทราบว่า “ฝ้า กระ” จะไม่ลาจากคุณไปไหนค่ะ ดังนั้น หากต้องการรักษาฝ้า กระควรเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ อย่างการทานผัก ผลไม้ที่มีส่วนประกอบของวิตามินซี วิตามินบี12 แร่ธาตุ และไฟเบอร์ รวมถึงดื่มน้ำสะอาดให้ได้มากๆ อย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว ก็จะช่วยให้ร่างกายเกิดการต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยขับถ่ายสารพิษ รักษาฝ้า ทำให้รอยฝ้าจางลงได้เป็นอย่างดี

พักผ่อนไม่เพียงพอ

คนพักผ่อนน้อย นอกจากจะทำให้ผิวหน้าเกิดริ้วรอย สิว และความหมองคล้ำแล้ว เมื่อร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอระบบภายในร่างกายก็จะรวน มีผลต่อฮอร์โมนในร่างกายทำงานได้ไม่ค่อยดี จนเป็นสาเหตุให้เกิดอาการเครียด มีอนุมูลอิสระ ส่งผลให้เมลานินทำงานได้ไม่ค่อยดี ทำให้เกิดรอยฝ้า กระได้ชัดมากยิ่งขึ้นค่ะ

ขี้เกียจล้างหน้าก่อนเข้านอน

ตื่นๆ ค่ะอย่าเพิ่งหลับ สลัดความขี้เกียจทิ้งไปแล้วลุกขึ้นมาล้างหน้าให้สะอาดก่อนนอน เพราะสิ่งสกปรก สารเคมีจากเครื่องสำอางที่เกาะอยู่บนใบหน้า จะส่งผลให้รอยฝ้าชัดมากยิ่งขึ้น หากไม่ยอมล้างหน้าก่อนนอนบ่อยๆ ก็จะส่งผลให้สารเคมีและสิ่งสกปรกสะสมในผิว ทำให้เมลานินก่อตัว และถึงแม้จะใช้ครีมรักษาฝ้า กระดีแค่ไหน ถ้าไม่ล้างหน้าก่อนนอน รอยฝ้า กระก็ไม่จางลงแน่นอนค่ะ

ในยาคุม มีส่วนผสมของฮอร์โมนเพศ ทำให้เซลล์สร้างเม็ดสีทำงานมากขึ้น สาวๆ ที่ทานยาคุมจึงมีรอยฝ้าขึ้นได้ง่ายกว่าคนที่ไม่ทานยาคุม รวมถึงคนที่ตั้งครรภ์ก็จะมีรอยฝ้าได้เช่นกันค่ะ ทั้งนี้ หากจำเป็นต้องทานยาคุมจริงๆ ก็ควรเลือกทานยาคุมที่มีปริมาณฮอร์โมนที่น้อยลง หากไม่แน่ใจว่ายาคุมตัวไหนมีปริมาณยาคุมเท่าไหร่ ควรปรึกษาเภสัช หรือปรึกษาแพทย์เพื่อรับยาคุมที่ปริมาณน้อยลง แต่หากหยุดทานยาคุม หรือคนที่ตั้งครรภ์คลอดลูกแล้ว รอยฝ้า กระก็จะจางลงได้เองตามธรรมชาติค่ะ

ทานยาคุมอยู่ตลอด

shutterstock 686848585

ในยาคุม มีส่วนผสมของฮอร์โมนเพศ ทำให้เซลล์สร้างเม็ดสีทำงานมากขึ้น สาวๆ ที่ทานยาคุมจึงมีรอยฝ้า กระขึ้นได้ง่ายกว่าคนที่ไม่ทานยาคุม รวมถึงคนที่ตั้งครรภ์ก็จะมีรอยฝ้า กระได้เช่นกันค่ะ ทั้งนี้ หากจำเป็นต้องทานยาคุมจริงๆ ก็ควรเลือกทานยาคุมที่มีปริมาณฮอร์โมนที่น้อยลง หากไม่แน่ใจว่ายาคุมตัวไหนมีปริมาณยาคุมเท่าไหร่ ควรปรึกษาเภสัช หรือปรึกษาแพทย์เพื่อรับยาคุมที่ปริมาณน้อยลง แต่หากหยุดทานยาคุม หรือคนที่ตั้งครรภ์คลอดลูกแล้ว รอยฝ้า กระก็จะจางลงได้เองตามธรรมชาติค่ะ

ทำหน้าใสด้วย Treatment (ทรีทเม้นท์) เลือกแบบไหน มีขั้นตอนอย่างไร

107

สาวๆ ส่วนใหญ่คงเคยได้ยินคำว่า “ทำทรีทเม้นท์ผิวหน้า” มาบ้างแล้วนะคะ สำหรับคนที่ทำทรีทเม้นท์ผิวหน้าอยู่เป็นประจำ สังเกตได้ไม่ยากค่ะ เพราะใบหน้าของสาวๆ ที่ทำทรีทเม้นท์จะแลดูใส กระจ่าง ไม่หมองคล้ำ อย่างเห็นได้ชัดเลยค่ะ แต่สาวคนไหนที่ยังไม่เคยทำทรีทเม้นท์ และอาจยังไม่ทราบว่า ทรีทเม้นท์ผิวหน้าคืออะไร มีขั้นตอนการทำอย่างไรบ้างนั้น เราได้รวบรวมขั้นตอนการทำทรีทเม้นท์ผิวหน้าแบบต่างๆ และผลลัพธ์หลังการทำทรีทเม้นท์มาฝาก สำหรับสาวๆ ที่ต้องการทำหน้าใส ไร้รอยรบกวน แบบสามารถโชว์ผิวหน้าเกลี้ยงๆ ได้อย่างมั่นใจเกินร้อยค่ะ

ทรีทเม้นท์ผิวหน้าคืออะไร

คือ กระบวนการเพื่อปรนนิบัติผิวหน้า อาจมีหลายขั้นตอน ซึ่งแต่ละขั้นตอนในการทรีทเม้นท์ผิวหน้า จะเน้นเพื่อการขจัดปัญหาแต่ละสภาพผิว ให้ประโยชน์โดยรวมกับผิวหน้า จากวิตามิน แร่ธาตุ และสารพัดเทคโนโลยีที่จะช่วยให้ผิวหน้าเกิดความกระจ่างใส เรียบเนียน สีผิวสม่ำเสมอ 

ไม่ว่าจะเป็นการทำความสะอาดผิวหน้า การใช้เครื่องพ่นละอองน้ำ อาจเป็นชนิดอุ่นหรือเย็น ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ที่ต้องการทรีทเม้นท์ผิวหน้า การผลัดเซลล์หรือขจัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพโดยไม่ทำลายผิว การกดบีบสิวอย่างถูกหลักสุขอนามัย การนวดหน้าเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต การมาส์คหน้าเพื่อให้สารอาหารตามความต้องการของผิว การบำรุงด้วยผลิตภัณฑ์ที่ช่วยปรับสภาพผิว เพื่อคืนความแข็งแรง ลดเลือนริ้วรอย ลดการอุดตัน เพิ่มความขาวกระจ่าง ทำหน้าใส โดยสามารถเห็นผลลัพธ์ที่ดีขึ้นหลังการทำ ทรีทเม้นท์ผิวหน้าได้อย่างชัดเจน

image003 24

สิ่งที่ควรรู้ก่อนและหลังทำทรีทเม้นท์

  • เลือกทำทรีทเม้นท์ผิวหน้าที่มีใบรับรองถูกต้อง จากสถาบันที่เชื่อถือได้เท่านั้น
  • หากเป็นผู้ที่มีผิวคล้ำ การลอกผิวอาจนำปัญหาสีผิวไม่สม่ำเสมอมาสู่คุณได้
  • หากเป็นผู้ที่มีเส้นเลือกฝอยเปราะบาง และอยู่ตื้นมาก ควรเลือกใช้วิธีการทรีทเม้นท์ผิวหน้า ที่ผลัดผิวชนิดที่อ่อนโยนจริง ๆ เท่านั้น
  • หลังทำทรีทเม้นท์ผิวหน้าจะทำให้ผิวไวต่อแสงมากขึ้น จึงจำเป็นต้องใช้ครีมกันแดดเสมอ
  • เว้นจากการใช้ครีมที่มีส่วนผสมของเรตินเอ เป็นเวลา 72 ชั่วโมง หลังการทำทรีตเม้นท์ผิวหน้า เพราะจะทำให้เกิดการระคายเคืองและรอยแดง

เลือกทำทรีทเมนต์ที่ไหนดี

  1. เลือกสถานบริการที่มีมาตรฐาน มีชื่อเสียงรับรอง
  2. ความสะอาดของสถานที่
  3. เลือกสถานบริการที่มีผู้เชี่ยวชาญให้คำปรึกษา และคำแนะอย่างละเอียดก่อนทำทรีทเม้นท์
  4. ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในการทำทรีทเม้นท์ผิวหน้าที่มีคุณสมบัติและประสิทธิภาพที่ชัดเจน ความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ที่สามารถแก้ปัญหาแต่ละสภาพผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพค่ะ
image005 22

ตัวอย่างขั้นตอนของการทำทรีทเม้นท์โปรแกรม Transforming Lift

โปรแกรมการทำทรีทเม้นท์ผิวหน้าที่ทรงประสิทธิภาพที่รวมเทคโนโลยียกกระชับ และวิทยาการฟื้นฟูผิวที่สำคัญๆ เอาไว้ เพื่อช่วยย้อนวัยให้คุณมีผิวที่แลดูอ่อนเยาว์ ทำหน้าใส ตึงกระชับ เรียบเนียน ลดริ้วรอย และยังช่วยเพิ่มความกระจ่างใสให้ผิวหน้า ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน คือ

  1. Thermage Total tip 1200 เป็นการใช้เทคโนโลยีคลื่นวิทยุไปช่วยกระตุ้นให้เส้นใยคอลลาเจนที่เก่าเสื่อมสภาพ ให้หดตัวกระชับขึ้น เกิดการจัดเรียงตัวและปรับโครงสร้างผิวชั้นคอลลาเจน เส้นใยคอลลาเจนใหม่ที่สมบูรณ์และแข็งแรงจะถูกผลิตออกมาเพิ่มขึ้น ผิวตึงแน่นกระชับ ช่วยลดปัญหาผิวหย่อนคล้อย ขั้นตอนการทำทรีทเม้นท์ผิวหน้านี้ ย้งช่วยปรับรูปหน้าให้คมชัด เพราะพลังงานจะช่วยลดไขมันที่สะสมเฉพาะจุดบนใบหน้า อย่างเช่น ใต้คางแก้มยุ้ยๆ รูปหน้าจึงแลดูเรียวเข้ารูปขึ้น
  2. Duo Lift up เป็นการใช้พลังงานผสมผสานซึ่งอ่อนโยน ไปช่วยยกกระชับในจุดที่บอบบาง อย่างเช่นใต้ตา ลำคอ คิ้ว ขั้นตอนการทำทรีทเม้นท์ผิวหน้านี้จะช่วยเสริมกระบวนการฟื้นฟูผิวให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น เผยผิวกระชับ ยืดหยุ่นและช่วยลดริ้วรอยแห่งวัย
  3. Botu Lift เสริมประสิทธิภาพการยกกระชับ ด้วยเทคโนโลยีทรีทเม้นท์ผิวหน้าทรงประสิทธิภาพในการลดเลือนริ้วรอย คืนความกระชับให้โครงหน้า กรอบหน้าดูคมชัด หน้าไม่แบน แลดูมีมิติโดดเด่นขึ้น ผิวดูเรียบเนียนริ้วรอยลดเลือน ทำหน้าใส รูขุมขนกระชับอีกด้วยค่ะ
  4. Color Ice เพิ่มความกระจ่างใสให้ผิวด้วยเทคโนโลยี ที่ใช้ความเย็นสุดคูล อุณหภูมิ 0 องศาเซลเซียส ผนวกกับพลังงานแสง 3 สีที่ช่วยลดสิว ริ้วรอย จุดด่างดำ ทำหน้าใส ขั้นตอนการทำทรีทเม้นท์ผิวหน้านี้ ยังช่วยลดการอักเสบจากแสงแดดและมลภาวะ ช่วยกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนได้ดี ส่งผลให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง กระจ่างใสค่ะ
image007 12

ควรทำทรีทเม้นท์ผิวหน้าถี่แค่ไหน

อายุระหว่าง 20 – 30 ปี สำหรับคนในวัยนี้ ผิวจะยังคงดูมีสุขภาพดี มีความเรียบเนียนสดใสและกระชับค่ะ เป็นเพราะผิวยังมีการสร้างเซลล์ผิวใหม่ทุกๆ 14-25 วัน แต่จะอาจมีปัญหาผิวขาดความชุ่มชื้นบ้าง มีริ้วรอยเล็กๆ ที่เกิดจากการแสดงอารมณ์บ้าง (ริ้วรอยก่อนวัย) สำหรับคนที่เริ่มมีริ้วรอยปรากฎบนใบหน้า แนะนำให้รับบริการทรีทเม้นท์ผิวหน้าเพื่อป้องกันริ้วรอยก่อนวัย ประมาณ เดือนละ 1-2 ครั้งซักระยะ และดูแลทรีทเม้นท์ผิวหน้าต่อเนื่องอย่างน้อย ทุก 2-3 เดือน ควรมีการกลับไปดูแลและบำรุงเองด้วยครีมบำรุงผิว ให้ความชุ่มชื้นผิวต่อที่บ้านทุกๆ วันค่ะ

อายุระหว่าง 30–40 ปี ในวัยนี้ เซลล์ผิวเริ่มมีการผลัดเปลี่ยนช้าลง เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 30 วันขึ้นไป นอกจากนี้ ผิวจะมีความหมองคล้ำและเริ่มขาดความกระชับ มีสภาพขาดความชุ่มชื้นและแห้งลงกว่าเมื่ออายุ 20 กว่าปี การผลิตน้ำมันลดลง ทำให้ปริมาณน้ำมันที่ปกป้องผิวมีน้อยลง ริ้วรอยปรากฎชัดขึ้นโดยเฉพาะบริเวณรอบดวงตาและปาก ความยืดหยุ่นของผิวลดลง เนื่องจากคอลลาเจนและอิลาสตินมีการเสื่อมลง แนะนำให้รับบริการทรีทเม้นท์ผิวหน้าเพื่อแก้ปัญหาเรื่องริ้วรอยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง และดูแลทรีทเม้นท์ผิวหน้านี้ต่อเนื่องอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้งค่ะ

อายุระหว่าง 40-50 ปีขึ้นไป การลดลงของเอสโตรเจน เป็นสาเหตุให้โครงสร้างผิวที่อยู่ลึกลงไปมีการยุบตัว ผิวขาดความสามารถในการกักเก็บความชุ่มชื้น ผิวขาดความกระชับและยืดหยุ่น ชั้นผิวบางลงและมักขาดความชุ่มชื้น ริ้วรอยลึกขึ้นและปรากฎชัดอยู่ทั่วใบหน้า แนะนำให้รับบริการทำทรีทเม้นท์ผิวหน้า เพื่อต่อต้านริ้วรอย เพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ติดต่อกันซักระยะ และดูแลทรีทเม้นท์ผิวหน้านี้ ต่อเนื่องทุก 2 สัปดาห์ต่อครั้งค่ะ

ไขความลับหน้าขาว ทำหน้าใสสไตล์เกาหลี เขาทำกันอย่างไร

106

เทรนด์ทำหน้าใสในสมัยนี้ต้อง ขาว เนียนเรียบ ดูอิ่มน้ำ และใสเป็นเงาเหมือนกระจกสไตล์แบบสาวเกาหลี เอ… ว่าแต่สาวๆ ฝั่งเกาหลี เขามีเคล็ดลับทำหน้าใสวิ้งๆ แบบนั้นได้อย่างไร เราจะมาไขความลับนี้ไปพร้อมๆ กัน สำหรับสาวไทยผู้ไม่เคยตกเทรนด์อย่างเราต้องจัดไปค่ะซิส…

ดื่มน้ำบ่อยๆ ทำจนเป็นนิสัย

สาวๆ ทราบหรือไม่คะว่าเคล็ดลับของดาราเกาหลีหลายๆ คนก็คือการดื่มน้ำตลอดเวลา เพราะสามารถช่วย ทำหน้าใส ดูอิ่มเอิบ ผิวดูมีน้ำมีนวล เปล่งปลั่ง ได้ค่ะ บอกเลยค่ะว่าการดื่มน้ำเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ นึกขึ้นได้เมื่อไหร่ก็ให้รีบจิบน้ำในทันที ยิ่งอากาศบ้านเราที่มีแต่ร้อนกับร้อนที่สุดการจิบน้ำบ่อยๆ จึงสำคัญมากต่อร่างกายของเราค่ะ

image003 23

ออกกำลังกายใบหน้า

การออกกำลังกายใบหน้า ที่ดารานักร้องเกาหลีนิยมทำ ก็คือการออกกำลังกายใบหน้า ด้วยการพูดคำว่า “มา เม มี โม มู” ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ 10 ครั้ง เพื่อการออกกำลังกายกล้ามเนื้อใบหน้า และปาก จะช่วยเรื่องการกระชับใบหน้าให้ตึงอยู่เสมอค่ะ

นวดหน้าสม่ำเสมอ

การนวดหน้าไม่จำเป็นต้องไปนวดที่คลินิคเสริมความงามเพียงอย่างเดียว เพราะความเป็นจริงแล้วการนวดหน้าด้วยมือเปล่าของเราเองทุกวันเนี่ยแหล่ะเป็นสิ่งที่สาวเกาหลีเค้าทำเองที่บ้านอยู่เป็นประจำค่ะ  ขั้นตอนนวดหน้าคือ การนวดให้สวนทางกับแรงโน้มถ่วงขึ้นไปเพื่อยกกระชับผิวหน้าไม่ให้หย่อนคล้อย ซึ่งความสำคัญของการนวดหน้าก็เพื่อช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต ช่วยให้ผิวหน้าเปล่งปลั่ง อีกทั้งช่วยทำหน้าใสขึ้นด้วยค่ะ

image005 21

ล้างหน้าด้วยน้ำเย็นเฉียบ

โดยเอาน้ำแข็งแช่ลงในน้ำเปล่าสะอาดนะคะ แล้วล้างหน้าด้วยน้ำเย็น แก้มของสาวๆ ก็จะดูใสระเรื่อ ดูเป็นสาวหน้าใสแบบสาวเกาหลีได้ค่ะ อีกทั้งน้ำเย็นๆ ยังช่วยป้องกันริ้วรอยได้อีกด้วย เพราะความเย็นจากน้ำแข็ง จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต แล้วเมื่อโลหิตไหลเวียนได้ดีขึ้น นั้นหมายถึงสารอาหารต่างๆ ที่มากับเซลล์เลือด จะถูกมาส่งมาเลี้ยงผิวหน้าเราได้ดีขึ้นด้วยค่ะ แล้วยังกระตุ้นการเกิดคอลลาเจน รูขุมขนกระชับ สุขภาพผิวดี ทำหน้าใส ไร้ริ้วรอยด้วยค่ะ

โบกครีมกันแดดแม้ในวันที่อากาศหนาว

ถึงแม้ประเทศเกาหลีจะเป็นเมืองหนาว เจอฟ้าครึ้มฟ้าปิดไม่มีแดดบ่อยๆ แต่สาวเกาหลีเค้าไม่เคยลืมทาครีมกันแดดก่อนออกจากบ้านเลยนะคะ เพราะเจ้าแสงแดดนี่แหละเป็นตัวการร้ายที่ทำให้ใบหน้าของสาวๆ คล้ำดำ ดูสุขภาพไม่ดี แถมโดนแดดตรง ๆ นาน ๆ เข้าก็เกิดฝ้า กระ จุดด่างดำอีกด้วยนะ ทุกครั้งที่หน้าหนาวมาเยือนเมืองไทย สาวๆ ก็อย่าละเลยทาครีมกันแดดทุกครั้ง เพื่อช่วยทำหน้าใสด้วยล่ะ

ทำหน้าใสด้วยนมถั่วเหลือง

ทราบหรือไม่ว่าในวงการผลิตภัณฑ์ความงามมีผลิตภัณฑ์หลายตัวที่นำนมถั่วเหลืองมาเป็นองค์ประกอบ ซึ่งสาวๆ เกาหลีเองก็นำนมถั่วเหลืองมาใช้ในการบำรุงผิว โดยการใช้ผ้าก๊อชชุบน้ำนมถั่วเหลืองให้ชุ่ม แล้วนำมาแปะลงไปบนผิวหน้าแช่ไว้ประมาณ 15-20 นาที หากทำเป็นประจำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง สารที่อยู่ในน้ำนมถั่วเหลืองจะช่วยปรนิบัติผิวให้ได้รับการฟื้นฟูและบำรุงเป็นอย่างดี ช่วยทำหน้าใส เนียนนุ่มน่าสัมผัสค่ะ

แต่งหน้าสไตล์เกาหลี

นอกจากการดูแลผิวหน้าแล้ว วิธีการแต่งหน้าของสาวเกาหลีก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้ใบหน้าดูฉ่ำวาว ทำหน้าใส เงาเหมือนกระจกขึ้นได้จริงๆ ค่ะ  โดยสาวเกาหลีมักจะแต่งหน้าโทนธรรมชาติ ดังนี้

image007 11
  • ไม่ทาเปลือกตาให้มีสีสันจัดจ้าน ถ้าใช้อายแชโดว์จะเน้นสีในโทนอุ่น อย่างน้ำตาล และส้ม ให้ทั่วเปลือกตา และเน้นที่การกรีดอายไลเนอร์
  • เน้นให้ดวงตาดูโดดเด้ง ด้วยการปัดมาสคาร่า
  • มีคิ้วที่สวยเป็นระเบียบ
  • ใช้บลัชออนสีชมพู ให้ดูมีเลือดฝาด ซึ่งตัวนี้สำหรับบางคนก็ไม่ต้องใช้
  • ใช้ลิปสติกโทนสีธรรมชาติ

ทำทรีทเม้นท์ Charm Wow Skin ผิวฉ่ำวาวแบบสาวเกาหลี

นักวิจัยเกาหลีให้ความสำคัญกับฮอร์โมน Estrogen หรือที่รู้จักกันในชื่อว่า “ฮอร์โมนเพศหญิง” เป็นฮอร์โมนที่มีบทบาทหน้าที่สำคัญเป็นอย่างมากในการคงความอ่อนวัย ซึ่งประโยชน์หลักๆ ของ Estrogen ก็คือ การขจัดอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ช่วยป้องกันผิวของเราไม่ให้เกิดริ้วรอยและรอยเหี่ยวย่นก่อนวัยอันควร ช่วยในการรักษาคอลลาเจนเพื่อคงความยืดหยุ่นให้กับผิว

ฮอร์โมน Estrogen นี้จะเริ่มมีปริมาณลดลงตั้งแต่ช่วงอายุ 27 ปีขึ้นไป และเป็นฮอร์โมนที่ร่างกายสร้างขึ้นมาแล้วหมดไปแถมความเครียดก็มีผลกระทบต่อการทำงานของ Estrogen อีกด้วย ดังนั้น นักวิจัยเกาหลีจึงคิดค้นวิธีกระตุ้น Estrogen Receptor ให้ทำงานดีขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ เพื่อคงความอ่อนเยาว์ ชุ่มชื้น และรักษาสุขภาพของผิว

image009 6

จากหลายปีในการค้นคว้า นักวิจัยเกาหลีได้ค้นพบว่ารากของไม้เลื้อยป่าตระกูล Puerariaมี สารธรรมชาติ Phytoestrogen ที่สามารถลดอาการการเสื่อมสภาพของฮอร์โมนเอสโตรเจนและเพิ่มประสิทธิภาพการสร้าง Collagen และ Elastin ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญของการทำโปรแกรม Charm Wow Skin ดังนี้

  1. Peeling serum : ทาเซรุ่มเปิดผิวชั้นบนแบบ Super facial เพื่อเตรียมผิวสำหรับการเติมเต็มสารสกัดจากรากไม้เลื้อยป่า
  2. Lifting serum : ทาเซรุ่มที่มีสารสกัดจากรากไม้เลื้อยป่า เพื่อกระตุ้นการทำงานของ Estrogen receptor
  3. Cream mask : นวดหน้าโดยการใช้เครื่องมือผลักสารวิตามินบำรุงลงสู่ผิว เหมือนการทำสปา
  4. Mask for Charm Wow Skin : นำส่งสารที่ทาลงบนหน้าทั้งหมด ด้วยการปะมาร์คหน้า Nano Fiber ให้ซึมซับอย่างมีประสิทธิภาพ
  5. Magic cream : ทาครีมบำรุงเพื่อล็อกวิตามินให้อยู่กับผิวนานยิ่งขึ้น

ผลลัพธ์หลังทำ ส่งผลให้ผิวพรรณตึงกระชับ ทำหน้าใส เปล่งปลั่ง อิ่มน้ำ ดูฉ่ำวาวเหมือนสาวเกาหลี โดยสามารถทำได้มากถึง 1 ครั้งต่อสัปดาห์ พร้อมทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ และสามารถทำได้ทุกเพศทุกวัยด้วยค่ะ

เปลี่ยนหน้าพังเป็นหน้าแพง เผยวิธีทำหน้าใส เนียน สวย เหมือนดารา

หน้าใส

หากสาวๆ คนไหนที่กำลังแก้ปัญหาหน้าพังชนิดหมองคล้ำ มีรอยดำ รอยสิว แถมริ้วรอยเต็มหน้า ด้วยวิธีโบกสารพัดครีมที่เขาว่าดีใช้แล้วจะเจิดแจ่มเหมือนดารา แต่ผลที่ออกมากลับไม่เป็นอย่างที่คิด สภาพหน้าก็ยังพังอยู่เหมือนเดิม ก็อย่างเพิ่งท้อใจไปนะคะ เพราะเรามีวิธีกู้ใบหน้าพังๆ ให้กลับมาขาวเนียน เต่งตึง กระจ่าง ทำหน้าใส แถมดูดีมีออร่า เจิดจรัสแบบดาราได้ค่ะ

นั่นแน่… อยากทราบกันแล้วล่ะสิ ว่าต้องทำอย่างไร ขยับเข้ามาใกล้ๆ ค่ะ เพราะบทความที่นำเสนอนี้ จะช่วยทำให้ใบหน้าของคุณขาวใสออร่ากระจายแบบดาราได้อย่างเห็นผลชัดเจนค่ะ

image003 22

เช็คสัญญาณเตือนก่อนผิวหน้าพัง

ก่อนอื่น อยากให้สาวๆ ต้องลองเช็คสภาพผิวหน้าของตัวเองดูก่อนว่ามีอาการเหล่านี้หรือไม่ เพราะมันกำลังส่งสัญญาณเตือนว่าใบหน้าคุณกำลังจะพัง และต้องเร่งแก้ไข หาวิธีทำหน้าใสด่วนๆ ค่ะ

รูขุมขนกว้าง เป็นสัญญาณเตือนที่ทำให้เรารู้ว่าผิวของเราต้องได้รับการดูแลอย่างเร่งด่วน เพราะรูขุมขนกว้างมักมาคู่กับปัญหาสิวเสี้ยนและปัญหาหน้ามันแบบสุดๆ แถมพอรูขุมขนกว้างจะทำให้ผิวหน้าไม่เรียบเนียนและแต่งหน้ายากด้วยค่ะ

หน้าลอกเป็นขุย ถ้าผิวหน้าแห้งจนลอกเป็นขุย แปลว่าผิวของเราแห้งเกินไปแล้วค่ะ การล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นเป็นประจำโดยไม่ใช้น้ำเย็น บอกได้เลยว่าถ้าทำแบบนี้ ผิวหน้าก็ยังจะลอกเป็นขุยไม่มีทางหายแน่นอนค่ะ

ผิวหน้าไม่เรียบเนียน ปัญหานี้ทำเอาสาวๆ หลายคนหมดความมั่นใจไปเลยค่ะ บางคนมีสิวผดเต็มไปหมด บางคนมีหลุมสิวเป็นอุปสรรคในการแต่งหน้า ปัญหานี้เป็นสัญญาณเตือนว่า เราต้องดูแลผิวหน้าแบบด่วนๆ เลยล่ะจ้าสาวๆ

เมคอัพไม่ติดทน หลายคนโบกทั้ง BB Cream และแป้งผสมรองพื้นตอนเช้าแบบจัดหนัก พอตกบ่ายหน้าเริ่มเยิ้มละลายไอ้ที่ทามาเมื่อเช้าหายไปหมด นั่นเป็นเพราะผิวหน้ามันเกินไป แบบนี้ไม่แก้ไขไม่ได้แล้วนะคะ

ใบหน้าหมองคล้ำ สัญญาณที่บ่งบอกว่าผิวของเราเริ่มอ่อนล้าและต้องการการบำรุง ก็คือปัญหาหน้าหมองคล้ำค่ะซึ่งเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น แสงแดด ความมันบนใบหน้าฝุ่นละออง เหงื่อ และการพักผ่อนไม่เพียงพอ

สัญญาเตือนเหล่านี้ สาวๆ ชะล่าใจไม่ได้นะคะ เพราะหากทิ้งไว้เนิ่นนานอาจหน้าพังแบบแก้ไขยากและใช้เวลานานกว่าคนทั่วไปได้ค่ะ

ทำหน้าใส ออร่าพุ่งเหมือนดารา มีวิธีอย่างไร

เอาล่ะค่ะ คราวนี้ก็มาถึงไฮไลต์สำคัญที่ได้เกริ่นไปเมื่อตอนต้น เกี่ยวกับวิธีการจัดการกับหน้าพังๆ ของคุณเพื่อเปลี่ยนให้มันดูแพง ทำหน้าใส ผ่อง เริ่ด เหมือนดารา วิธีการทำหน้าใสมีให้เลือกดังนี้ค่ะ

วิธีธรรมชาติ

shutterstock 85901968

สูตรน้ำผึ้งผสมโยเกิร์ต วิธีการทำหน้าใสสูตรนี้ คือ “น้ำผึ้ง” เปรียบได้ดั่งมอยส์เจอไรเซอร์จากธรรมชาติ เนื่องจากมีคุณสมบัติในการช่วยผิวมีความอ่อนนุ่มชุ่มชื้น และยืดหยุ่น ไม่ระคายเคืองผิวหนัง และยังช่วยดูแลผิวให้ห่างไกลจากริ้วรอยก่อนวัย “โยเกิร์ต” นอกจากเป็นแหล่งของโปรตีนและเชื้อจุลินทรีย์ชนิดที่ดีต่อลำไส้แล้ว โยเกิร์ตยังมีคุณสมบัติที่ดีต่อการบำรุงผิวหน้าอย่างมากมาย ยิ่งนำน้ำผึ้งและโยเกิร์ตผสมรวมกันก็จะช่วยให้ผิวขาวและเนียนนุ่ม ทำหน้าใสขึ้นได้อย่างเป็นธรรมชาติ

วิธีทำ ผสมน้ำผึ้งและโยเกิร์ต คนให้เข้ากันดีจนเนี้อเนียน แล้วจึงนำไปพอกจนทั่วผิวหน้าและผิวกาย ทิ้งไว้สักประมาณครึ่งชั่วโมง  แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด

สูตรกล้วยหอมผสมนมสด กล้วยต่างๆ ทั้งกล้วยหอม กล้วยน้ำว้า กล้วยไข่ นอกจากจะกินอร่อยมีคุณค่าด้านสุขภาพแล้ว ยังสามารถช่วยในเรื่องความสวยความงามได้ดีอีกด้วยค่ะ สำหรับสาวที่มีปัญหาผิวแห้ง กล้วยจะช่วยบำรุงให้ผิวชุ่มชื้นขึ้นได้ จากโปรตีนและไขมันตามธรรมชาติและยังช่วยในเรื่องของการลดริ้วรอยอีกด้วย กล้วยหอมผสมนมสดเป็นอีกสูตรหนึ่งที่จะช่วยให้คุณสาวๆ มีผิวหน้าขาวชุ่มชื้นและเนียนสวยขึ้น

วิธีทำ นำกล้วยหอมบดและนมสดมาผสมให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วจึงนำมาสครับให้ทั่วบริเวณผิวหน้าแล้วพอกไว้ประมาณ 10-20 นาที แล้วจึงล้างออกให้สะอาด

สูตรโยเกิร์ตผสมมะนาว โยเกิร์ตผสมมะนาว สำหรับสาวๆ ที่มีปัญหาสิวและริ้วรอยบนใบหน้า โยเกิร์ตกับน้ำมะนาว จะช่วยฆ่าเชื้อโรคและกำจัดแบคทีเรียบนผิวหน้า อันเป็นที่มาของการเกิดสิว ขณะที่กรดจากน้ำมะนาวจะช่วยให้สิวยุบลง นอกจากนี้ สูตรโยเกิร์ตผสมน้ำมะนาวยังช่วยลบเลือนริ้วรอย จุดด่างจุดดำ ทำหน้าใสกระจ่างขึ้นได้ กรดในน้ำมะนาวจะช่วยขจัดเซลล์ของผิวเก่าที่ตายแล้วออกไป  เผยผิวใหม่ที่เป็นผิวขาวสดใสกว่าเดิม ส่วนผสมของโยเกิร์ตจะช่วยลดการระคายเคืองผิวจากกรดมะนาวได้ นอกจากจะช่วยให้หน้าขาวใสไร้สิวแล้ว ยังช่วยให้มีใบหน้าอ่อนเยาว์ หมดปัญหาแก่ก่อนวัยอีกด้วยค่ะ

วิธีทำ นำน้ำมะนาวคั้นผสมกับโยเกิร์ตคนจนเข้ากัน  แล้วเอาไปพอกให้ทั่วบริเวณผิวหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วจึงล้างออกให้สะอาด ทำอย่างเป็นประจำ คุณจะเห็นได้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นบนใบหน้าที่ขาว เนียน ใส แลดูอ่อนเยาว์ลงรับรองว่าคุณต้องแฮปปี้แน่นอนค่ะ

นวัตกรรมทำหน้าใส เด้ง Aura Derma Bright           

วิธีการนี้ รับรองได้ว่าเป็นนวัตกรรมหน้าใสที่เห็นผลอย่างชัดเจน ทำหน้าใส เด้ง เนียนได้แบบดาราเริ่มต้นกระบวนการสู่ผิวหน้าที่แลดูกระจ่างใสด้วย 3 ขั้นตอนคือ เร่งรัด ลดเลือน และปกป้อง

image007 10
  1. เร่งรัดการผลัดเซลล์ผิว ด้วยเทคโนโลยีที่อ่อนโยน ปลอดภัยแม้กับผิวบอบบางช่วยขจัดสิ่งสกปรกได้อย่างหมดจดช่วยเผยผิวให้แลดูกระจ่างใส แลดูเนียนนุ่ม ชุ่มชื้น ลื่นสะอาด และยังช่วยเร่งการสร้างเซลล์ผิวใหม่ ด้วยขั้นตอนของนวัตกรรมหน้าใสนี้มีไฮไลต์เด่นคือ ช่วยฟื้นฟูบำรุงผิวหมองคล้ำให้แลดูเจิดจรัส เปล่งประกาย ด้วยประสิทธิภาพของนวัตกรรมหน้าใส เป็นเทคโนโลยีที่อ่อนโยนจึงสามารถนำพาสารบำรุงให้ซึบซาบลงสู่ผิวได้อย่างล้ำลึก ช่วยให้สังเกตเห็นผลลัพธ์ได้เร็วขึ้นค่ะ
  2. ลดเลือนความหมองคล้ำ นวัตกรรมหน้าใสสร้างความเนียนผ่องให้ผิวหน้า  ทำหน้าใส โดยเทคโนโลยีที่โดดเด่นด้วยคลื่นแสง ซึ่งเม็ดสสีเมลานินสามารถดูดซับแสงไว้ได้มากกว่า พลังงานแสงจะเปลี่ยนเป็นความร้อนทำให้เม็ดสีเมลานินแตกตัวและสลายไป ช่วยลดจุดด่างดำและความหมองคล้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยที่ผิวด้านบนไม่เกิดรอยช้ำและไม่ทำให้เกิดสะเก็ด ปฏิบัติการของนวัตกรรมหน้าใสนี้จะช่วยปรับสีผิวให้สม่ำเสมอขึ้น ผลลัพธ์คือ ผิวหน้าที่แลดูกระจ่างใสขึ้น และสามารถปกป้องรังสี UV ได้ด้วยค่ะ
  3. การปกป้องพร้อมๆไปกับการบำรุง  ขั้นตอนของนวัตกรรมหน้าใสนี้ ทำโดยการส่งสารอาหารที่เปี่ยมประสิทธิภาพมัลติวิตามินและสารแอนตี้ออกซิแดนท์ เข้าไปในผิวโดยตรง เพื่อให้สารอาหารอย่างโคเอนไซม์และนิวคลีอิกเข้าจัดการกับจุดด่างดำและปัญหาผิวหมองคล้ำ ในขณะที่สารไฮยาลูโรนิค แอซิด จะผสานและเรียงตัวกันพยุงและล้อมรอบคอลลาเจนไว้ ประดุจปราการปกป้องเซลล์ผิวจากแสงแดดสารอาหารและสารไฮยาลูโรนิค แอซิด จะออกฤทธิ์ทันที ไม่ต้องรอการซึบซาบเหมือนการทาครีมบำรุงจึงช่วยให้เห็นผลลัพธ์ได้ในวันรุ่งขึ้น ผิวจะชุ่มชื้นเปล่งปลั่ง แลดูกระจ่างใสยิ่งขึ้น ซึ่งนวัตกรรมหน้าใส ของโปรแกรม Aura Derma Bright เป็นตัวช่วยที่ไม่เพียงปกป้องผิวจากการทำร้ายของรังสี UV แต่ยังช่วยลดเลือนความหมองคล้ำ ทำหน้าใส ขาวกระจ่าง พร้อมลดเลือนริ้วรอย และรอยดำต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้คุณมีผิวหน้าเด้ง ออร่าพุ่งแบบดาราได้แน่นอนค่ะ

7 ต้นเหตุทำใบหน้าหมองคล้ำ พร้อมวิธีแก้ไขทำหน้าใสเนียนยิ่งกว่าเดิม

หน้าหมองคล้ำ

ไม่อยากหน้าหมองคล้ำ ฟังทางนี้

หากสาวๆ หรือหนุ่มๆ คนไหนที่กำลังกลุ้มใจอยู่กับปัญหาใบหน้าที่หมองคล้ำ ไม่เนียนใสอยู่แล้วล่ะก็ เรามีสูตรเด็ด 7 วิธีที่จะช่วยจัดการกับต้นเหตุใบหน้าหมองคล้ำของคุณ พร้อมวิธีที่ช่วยแก้ปัญหาผิวหน้า ทำหน้าใส กระจ่าง เนียน และอ่อนเยาว์ลงยิ่งกว่าเดิมมาฝากค่ะ

1. ไม่เคยสครับผิวหน้าเลย

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อค่ะ ว่าสาเหตุที่ทำให้ใบหน้าของสาวๆ หลายคนยังหมองคล้ำอยู่ เพราะไม่เคยลองสครับผิวหน้าตัวเองเลยเลยสักครั้ง การสครับผิวหน้าเป็นการช่วยกำจัดเซลล์ผิวเก่าที่ตายแล้วออกไป และกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ จึงช่วยเผยผิวใหม่ที่สดใสกว่า  ทำให้หน้าใส รวมถึงยังเปิดทางให้สารบำรุงจากผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ใช้ซึมซาบเข้าสู่ผิวได้ดีกว่าเดิม ซึ่งปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์สครับผิวหน้าให้เลือกอย่างหลากหลายในท้องตลาด หรือจะลองหาสูตรแบบทำเองง่ายๆ ที่บ้านก็ทำหน้าใสได้เช่นกันค่ะ

การสครับผิวหน้าอย่างเบามือเพียงสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ก็สามารถช่วยให้ใบหน้าของคุณนวลเนียน ทำหน้าใสกระจ่างขึ้น แถมยังช่วยลดริ้วรอยลงได้ด้วยนะ

image003 21

2. ลองหันมาใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวดูบ้าง

ด้วยปัจจัยจากอายุที่เพิ่มขึ้น รังสี UV  มลภาวะ การพักผ่อนน้อย ผิวขาดน้ำ ผิวระคายเคืองหรือแพ้จนผิวอักเสบ สิ่งเหล่านี้ส่งผลต่อการผลัดเซลล์ผิวที่ช้าลง เกิดการสะสมสมของเซลล์ขี้ไคล ทำให้ผิวหมองคล้ำ หยาบกร้าน รูขุมขนกว้าง ไม่กระชับ ดูดซึมครีมไม่ดี ดังนั้น การใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิวจะสามารถช่วยแก้ปัญหาผิวหน้า ทำหน้าใสได้ค่ะ

ซึ่งครีมบำรุงผิวที่มีส่วนผสมของ Vitamin C, AHA หรือ Retinoid จะกระตุ้นวงจรการผลัดเซลล์ผิว และทำให้ร่างกายเร่งสร้างคอลลาเจนขึ้นมาได้ ซึ่งคอลลาเจนถือเป็นสาระสำคัญที่ช่วยให้ผิวดูอ่อนเยาว์ ทำหน้าใส แลดูอวบอิ่มเต่งตึงขึ้นค่ะ

3. ความเครียด

ความเครียดนอกจากจะส่งผลต่อสภาพจิตใจและก่อปัญหาต่อสุขภาพร่างกายของเราให้แย่ลงแล้ว การที่เราสะสมความเครียดเอาไว้อยู่ตลอดเวลา จะทำให้ผิวพรรณหมองคล้ำ แลดูไม่มีชีวิตชีวา การทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกายผิดปกติ ทำให้เกิดสิว และริ้วรอยก่อนวัยได้ค่ะ

วิธีจัดการกับความเครียดที่ดี คือ ให้ลองหาวิธีผ่อนคลายสมองด้วยการหยุดพักหลับตาลงเพื่อทำสมาธิทำจิตของเราให้นิ่ง หรือลองทานช็อคโกเล็ตก็สามารถช่วยผ่อนคลายความเครียดลงได้นะคะ แต่ถ้าหากพอมีเวลาลองออกไปเที่ยวสัมผัสบรรยากาศของธรรมชาติจะทำให้สมองปลอดโปร่งขึ้น เท่านี้ก็จะช่วยแก้ปัญหาผิวหน้าลดความหมองคล้ำบนใบหน้าลง ทำหน้าใส ห่างไกลสิว และริ้วรอยได้ค่ะ

4. ทาครีมกันแดดครั้งเดียวใน 1 วัน

สาวๆ ส่วนใหญ่ เมื่อเธอแต่งหน้าออกนอกบ้านแล้ว ก็จะทาครีมกันแดดระหว่างวันเพียงแค่ครั้งเดียวค่ะ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ว่าเมื่อเราแต่งหน้ามาแล้วจะให้ทากันแดดทับลงไปอีกได้ยังไง แต่ขอเตือนสาวๆ ทั้งหลายเลยนะคะ ว่าอย่าประมาทไป เพราะกันแดดที่เราทามันปกป้องผิว ทำหน้าใสได้แค่ 2 ชั่วโมงเท่านั้น

ถ้าไม่อยากมีปัญหาผิวหน้าหมองคล้ำ ปัญหาฝ้า กระ และริ้วรอย ขึ้นมาล่ะก็ อยากทำหน้าใสอยู่ เรามีเคล็ดลับง่ายๆ ที่จะทำให้สาวๆ แก้ปัญหาผิวหน้า และสามารถทากันแดดซ้ำได้หลังจากแต่งหน้าค่ะ เริ่มด้วยตอนที่กำลังแต่งหน้าให้ทาบีบีครีมทับหลังจากที่ทากันแดดแล้ว จากนั้นระหว่างวันก็ให้เลือกใช้แป้งที่มีส่วนผสมสารป้องกันยูวีปัดใบทั่วๆ ใบหน้าทุก 2 ชั่วโมง หรือจะใช้เป็นสเปรย์กันแดดก็ได้ค่ะ เพียงเท่านี้ใบหน้าของคุณก็จะสวยไม่หมองคล้ำ ทำหน้าใสได้ทั้งวัน แถมเครื่องสำอางยังไม่เลอะอีกด้วยนะ

5. ไม่ชอบทานผักและผลไม้

ใครที่ชอบปฏิเสธการรับประทานผักและผลไม้ ด้วยเหตุผลส่วนตัวใดๆ ก็ตาม ทราบเอาไว้เถอะค่ะว่ามันเป็นหนึ่งในสาเหตุของผิวหมองไม่กระจ่างใส มีผักและผลไม้หลายชนิดที่อุดมไปด้วยวิตามินซีสูง โดยวิตามินซี เป็นสารอาหารที่มีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระได้ดีเยี่ยม ช่วยในการสร้างคอลลาเจน ทำหน้าใส ทำให้ผิวดูสดใสเต่งตึง แถมยังช่วยป้องกันอีกสารพัดโรคด้วยค่ะ

image005 20

ดังนั้น หากต้องการมีผิวพรรณเปล่งปลั่ง ขาวใสสุขภาพดี และช่วยทำให้ใบหน้าอ่อนเยาว์ ทำหน้าใส ให้ลองการเลือกรับรับประทานผักและผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินซี เช่น ผลไม้ตระกูลเบอรี่ ฝรั่ง มะละกอ สับปะรด น้ำมะพร้าวสด หรือผักบางชนิด เช่น กะหล่ำดาว บลอกโคลี และผักคะน้า เป็นต้น

6. ขี้เกียจมาร์กหน้า

ไอ้อาการขี้เกียจมาร์กหน้าเนี่ยเข้าใจได้ว่าเกิดจากความเหนื่อยล้าจากกิจกรรมประจำวัน ไม่ว่าจะเรื่องงานที่ต้องทำทั้งวัน หรือคร่ำเคร่งกับการเรียนอย่างหนัก ส่งผลให้หมดแรงเมื่อกลับถึงบ้าน แต่เดี๋ยวก่อนค่ะ ฝืนใจตัวเองสักนิดแล้วหันมาให้ความสำคัญกับการมาร์กหน้ากันสักหน่อย ถ้าคุณต้องการทำหน้าใส วิธีนี้จะช่วยให้ใบหน้ากระจ่างเนียนใส แลดูอ่อนเยาว์อยู่เสมอ

การล้างหน้าเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอในการทำความสะอาดผิวหน้า ทำหน้าใส ซึ่งการมาส์กหน้า เป็นหนึ่งในวิธีปรนนิบัติผิวที่ทำได้ง่าย ผ่อนคลาย การทำหน้าใสวิธีนี้เหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัย แถมยังให้ผลที่ชัดเจนอย่างรวดเร็ว โดยเลือกมาส์กที่มีส่วนผสมของโคลนเบนโทไนท์จะสามารถขจัดสิ่งสกปรกซึ่งซ่อนอยู่ใต้ผิวหนังชั้นนอกสุดได้อย่างหมดจด ช่วยขจัดสิ่งสกปรกที่อุดตันรูขุมขนได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้นไปอีกขั้น หรือแผ่นมาส์กหน้าที่มีส่วนผสมของน้ำมันสกัดจากมิ้นท์ สามารถช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตได้ดี อีกทั้งในระหว่างที่มาส์กบนหน้าของเราเริ่มแห้งแข็งตัว จะส่งผลให้มีการขยายตัวของหลอดเลือดบนใบหน้าของเรา ซึ่งเราจะสัมผัสได้ถึงผิวที่เปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น ผิวหน้าของเราจะกระจ่างเนียนนุ่ม ทำหน้าใส ดูสุขภาพดี อย่างเห็นได้ชัดค่ะ

7. ลองไปพบคุณหมอด้านดูแลผิวพรรณบ้าง

สำหรับคนที่มีปัญหาด้านผิวหน้าไม่ว่าจะเป็น ปัญหาสิว ผิวหมองคล้ำ ฝ้า กระ จุดด่างดำ รอยแผลเป็นจากหลุมสิวต่างๆ ที่ไม่สามารถแก้ไขด้วยตนเองได้แล้วนั้น แนะนำให้ไปพบคุณหมอผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณและความงามเพื่อแก้ปัญหาผิวหน้า และการทำหน้าใสกันค่ะ

image007 9

วิธีการนี้ เป็นวิธีการแก้ปัญหาผิวหน้าที่ดีที่สุด เพราะคุณหมอจะสามารถวินิจฉัยการรักษาตามสภาพปัญหาผิวหน้าของเราได้อย่างตรงจุด พร้อมกับเลือกสรรวิธีการรักษา วิธีการทำหน้าใสที่เหมาะสม เพื่อให้ผิวหน้าของคุณกลับมาเปล่งปลั่งประกายมีออร่า ทำหน้าใส ไร้ริ้วรอยกวนใจ นอกจากนี้ การเลือกสถานบริการด้านความงามและผิวพรรณที่ได้มาตรฐานก็เป็นสิ่งสำคัญที่ควรต้องหาข้อมูลก่อนเข้ารับบริการ เพื่อความพึงพอใจและได้ผลลัพธ์ทางการรักษาที่ดีที่สุดนั่นเองค่ะ

เปิด 5 เหตุผล ว่าทำไมสาวๆ จึงอยากมีใบหน้าขาวกระจ่างใส

103

เปิด 5 เหตุผล ว่าทำไมสาวๆ จึงอยากมีใบหน้าขาวกระจ่างใส

หนึ่งในความสุขที่ผู้หญิงส่วนใหญ่ปราถนาต้องการมีนั่นก็คือ ใบหน้าที่ขาว เนียน ใส ไร้สิว ไร้ฝ้า ไร้จุดด่างดำมารบกวนบดบังความสวย ซึ่งมีสาวๆ จำนวนไม่น้อยเลยทีเดียวนะคะ ที่พวกเธอยอมลงทุนสารพัดเพื่อทำหน้าใส กระจ่างดูมีออร่า ซึ่งบางขั้นตอนในการทำหน้าใสนั้นช่างยุ่งยากซับซ้อนจนเราเองต้องยกย่องในความพยายามของพวกเธอเลยค่ะ แต่จะด้วยเหตุผลประการใดนั้น เราได้รวบรวม 5 เหตุผลที่ทำให้สาวๆ อยากมีใบหน้าขาวกระจ่างใสมาฝากค่ะ

1. สร้างความมั่นใจให้ตนเอง

หนึ่งในปัญหาใหญ่ที่บั่นทอนความมั่นใจของสาวๆ นั่นก็คือ ปัญหาด้านผิวหน้า ไม่ว่าจะเกิดจากปัญหาสิวต่างๆ รอยแดงรอยดำจากสิว ฝ้า กระ ริ้วรอยเหี่ยวย่น ความหมองคล้ำต่างๆ เหล่านี้ล้วนแต่สร้างปัญหาหนักใจ บางคนถึงขั้นเอาแต่ก้มหน้าก้มตา ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นพูดคุยเพราะเกิดความอาย ดังนั้น หนทางที่จะสามารถ ทำหน้าใส สร้างความมั่นใจในการใช้ชีวิตประจำวันให้กลับมา คือการทำหน้าใส มีใบหน้าขาวกระจ่าง เพื่อช่วยให้สาวๆ สามารถพบปะผู้คนได้อย่างมั่นใจอีกครั้ง

2. ด้านหน้าที่การงาน

ลองเปรียบเทียบสาว 2 คนที่มาสมัครงานบริษัทแห่งหนึ่ง ดังนี้ค่ะ สาวคนที่หนึ่งบนใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยรอยแดงรอยดำจากสิว ส่วนสาวคนที่สองมีใบหน้าขาวระจ่างใส เธอทั้งคู่มาสมัครงานในตำแหน่งที่ต้องพบปะกับลูกค้า หากลองคิดแบบไม่โลกสวยเกินไปนัก ก็คงได้คำตอบเบื้องต้นอยู่แล้วใช่ไหมคะ ว่าบริษัทจะรับสาวคนไหนเข้าร่วมงาน

image003 20

เราต้องยอมรับว่าในโลกแห่งความเป็นจริง สาวๆ ที่มีใบหน้าที่ขาวเนียน กระจ่างใส ไร้ที่ติ ย่อมมีข้อได้เปรียบในการตัดสินใจคัดเลือกเข้าทำงาน อีกทั้งบางตำแหน่งก็ที่คัดเฉพาะคนหน้าตาดีเท่านั้นจึงจะมีสิทธิ์ได้เข้าทำงาน นี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญว่าทำไมสาวๆ ต้องทำหน้าใส นั่นก็เพราะความอยู่รอดของปากท้องนั่นเองค่ะ

3. การเข้าสังคม

ใบหน้าเป็นปราการด่านแรกในการสร้างความประทับใจเมื่อต้องพบปะกับผู้คน ยิ่งสาวๆ คนไหนที่จำเป็นต้องเข้าสังคมเพื่อพบปะผู้คนหน้าใหม่อยู่เป็นประจำ คงจะละเลยเรื่องทำหน้าใส หน้าขาว แบบไร้สิวไร้ฝ้าไปไม่ได้เลย เพราะเมื่อเราทำหน้าใส จะทำให้ใบหน้าสดใส เกลี้ยงเกลา ย่อมช่วยสร้างความมั่นใจให้เราได้อย่างมากในยามพบปะผู้คน และหากมีใครทักว่าเราใบหน้าเนียนใสดูดี ก็ยิ่งทำให้เรารู้สึกภาคภูมิใจมากขึ้น คุณสาวๆ เห็นด้วยมั้ยคะ…

4. เสน่ห์ดึงดูดใจหนุ่มๆ

ใบหน้าขาวกระจ่างใสออร่าพุ่ง คือ เสน่ห์แรกของหญิงสาวที่สามารถดึงดูดชายหนุ่มให้หยุดความสนใจไว้ที่เราได้อย่างไม่วางสายตา เหตุผลที่ต้องทำหน้าใส ไม่ว่าหนุ่มๆ คนไหนก็คงปฏิเสธไม่ได้เมื่อได้พบเจอสาวหน้าขาวๆ ใสๆ เป็นต้องอยากทำความรู้จักให้มากยิ่งขึ้น นี่จึงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลของสาวๆ ค่ะ ว่าทำไมต้องทำหน้าใส อยากมีใบหน้าขาวเนียนรอยด่างดำ ซึ่งนอกจากความงามภายนอกแล้ว อีกหนึ่งเสน่ห์ที่จะมัดใจคนรักของเราไว้ได้ตลอด ก็คือความดีงามภายในตัวของเรานั่นเองค่ะ

image005 19

5. โหงวเฮ้ง

ใบหน้าของคนเรานั้นสามารถบ่งบอกโหวงเฮ้งได้นะคะ  โดยในทางโหงวเฮ้ง ถือว่าใบหน้าของคนเรานั้นมีจุดสำคัญอยู่ 5 จุด คือ หน้าผาก จมูก โหนกแก้มขวา โหนกแก้มซ้าย และคาง หากทำหน้าใสครบ ทั้ง 5 จุดนี้ ก็สามารถบอกความรุ่งโรจน์และความสำเร็จในชีวิตของสาวๆ ได้นะคะ

image001 2

สำหรับคนที่จะประสบความสำเร็จนั้นจะมีจุดหนึ่งที่พิเศษโดดเด่นออกมา  หรือบางคนอาจจะมีชีวิตที่ประสบความสำเร็จอย่างราบรื่นแทบจะไม่มีอุปสรรคในชีวิต เพราะ 5 จุดสำคัญบนใบหน้านั้นอวบอิ่มสมบูรณ์ และหน้ามีความสว่างสดใสเปล่งประกายออกมาค่ะ ดังนั้น โหวงเฮ้งที่ดีคือ การทำหน้าใส ใบหน้าอิ่มเอิบ หน้าเนียนสดใส แววตามีประกาย การที่สาวๆทำหน้าใส เรียบเนียน เกลี้ยงเกลา จะช่วยเสริมโหวงเฮ้งให้ชีวิตของสาวๆ ประสบความสำเร็จ รับทรัพย์ฟู่ฟ่าได้ค่ะ

เหตุผลทั้ง 5 ข้อ ที่กล่าวมาทำหมด คือคำตอบของสาวๆ ที่อยากทำหน้าใส มีใบหน้าขาว เนียน ไร้ที่ติ เพราะสาวหน้าใส ย่อมมีชัยไปกว่าครึ่ง หลายคนคงเห็นด้วยกับคำคำนี้แล้วล่ะจริงไหมคะ

เปลี่ยนหน้าสิวเป็นหน้าใส ด้วยวิธีรักษารอยสิวแบบไม่ทิ้งร่องรอย

สิว

มหากาพย์เรื่องสิว ไม่ได้มีแค่ปัญหาเม็ดสิวที่เห่อขึ้นบนใบหน้าที่มีทั้ง สิวผด สิวหนอง สิวหัวดำ สิวหัวช้าง และอื่นๆ อีก แต่เรื่องราวของคนเป็นสิวยังคงมีภาคต่อยืดยาวมากกว่านั้น เพราะหลังจากที่รักษาสิวให้ยุบไปแล้วแต่รอยแดง รอยดำ หรือหลุมสิวจะยังคงทิ้งร่องรอยของความเจ็บช้ำใจไว้ให้เห็น ยิ่งอายุมากขึ้น รอยก็ยิ่งหายช้าลง หน้าสดก็ไม่สวย แถมยังต้องแต่งหน้าหนาๆ ปิดรอยสิวอีก ใครที่กำลังเจอปัญหาน่าหงุดหงิดแบบนี้อยู่ล่ะก็ มาดูวิธีรักษารอยสิวให้หายแบบไม่ทิ้งร่อยรอยให้กวนใจกันอีกต่อไปค่ะ

ลบรอยสิวอย่างไรให้หายหลังรักษาสิว

1. ลบรอยสิวด้วยวิธีธรรมชาติ

shutterstock 208179763
  • กระเทียม เป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณเป็นดั่งยาฆ่าเชื้อไวรัสและเชื้อราบนผิวได้เป็นอย่างดี โดยนำกระเทียมมาฝานบางๆ จากนั้นก็นำกระเทียมมาถูลงบนหัวสิว ทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด เพียงเท่านี้ก็จะช่วยลบรอยสิวให้ค่อยๆ จางลงและหายไปจากใบหน้าได้แล้วค่ะ
  • น้ำแข็ง วิธีลบรอยสิวนี้ทำได้ง่ายมากค่ะ เพียงแค่นำก้อนน้ำแข็งห่อด้วยผ้าขนหนูที่มีความนุ่ม จากนั้นนำมาวางบนสิว จะช่วยลดการอักเสบ ลดอาการคัน ที่สำคัญยังช่วยลบรอยสิวได้เป็นอย่างดี เพราะเมื่อสิวหายจากอาการคันหรือเจ็บจากอาการอักเสบ ก็จะไม่ทำให้เกิดพฤติกรรมการเกาหรือแกะสิวนั่นเองค่ะ
  • ไข่ขาว ก่อนอื่นล้างหน้าให้สะอาด จากนั้นนำไข่มาแยกเอาเฉพาะไข่ขาวแล้วนำมาทาบางๆ ให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาทีจึงล้างออกด้วยน้ำอุ่น ทำแบบนี้ประมาณสัปดาห์ละครั้ง จะช่วยลบรอยสิว ทำให้เริ่มจางลง พร้อมทั้งมีผิวหน้าที่กระชับมากขึ้นด้วยค่ะ
  • มะเขือเทศ โดยหั่นมะเขือเทศเป็นแว่นๆ หรือจะใช้วิธีการบดมะเขือเทศให้ละเอียดจนเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วนำมาพอกให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำอุ่น ทำติดต่อกันประมาณ 1 สัปดาห์ ก็จะช่วยลบรอยสิวและค่อยๆ จางลงค่ะ

2. ทาครีมลบรอยสิว

วิธีนี้เป็นวิธีง่ายๆ สำหรับใครที่ต้องการให้รอยสิวหายไวๆ ค่ะ โดยเลือกครีมลบรอยสิวที่มีส่วนผสมของสารสกัดที่เป็นผลไม้ เพื่อช่วยในการผลัดเซลล์ผิวใหม่ทดแทนเซลล์ผิวเก่าที่ตายแล้ว นั่นก็คือ รอยดำจากสิว นั่นเองค่ะ โดยควรทาเป็นประจำเช้า-เย็น แต่ทายาลบรอยสิวแล้ว อย่าลืมทาครีมกันแดดด้วยนะคะ เพื่อป้องกันไม่ให้รอยดำ รอยแดงเข้มกว่าเดิม และหายช้ามากขึ้นไปอีกค่ะ

image005 13

3. มาส์กหน้าด้วยแผ่นมาส์กหน้า

แผ่นมาส์กหน้า ไม่ได้มีดีแค่ช่วยให้ใบหน้านุ่มชุ่มชื่นขึ้นเท่านั้นนะคะ แต่ยังมีบางตัวบางสูตรที่ช่วยในเรื่องของการลบรอยสิวได้ด้วย ซึ่งการเลือกซื้อแผ่นมาส์กหน้าก็แนะนำให้เลือกซื้อแบบที่ไม่มีน้ำหอมและแอลกอฮอล์เพื่อป้องกันการแพ้ค่ะ

image007 4

4. ทาเจลว่านหางจระเข้

เจลว่านหางจระเข้ เป็นอีกหนึ่งไอเท็มช่วยรักษาสิวได้ดี จะสิวอักเสบ ลบรอยสิว รอยดำ รอยแดง ก็สามารถจัดการได้ ซึ่งถ้าใครไม่สามารถหาว่านหางจระเข้สดได้ ก็มีเจลว่านหางจระเข้เกือบ 100% ให้เลือกซื้อหลากหลายแบรนด์ค่ะ สำหรับใครที่ผิวแพ้ง่าย แนะนำว่าให้เลือกซื้อแบบที่ไม่มีน้ำหอมและแอลกอฮอล์จะดีต่อผิวหน้าที่สุดค่ะ

5. ทานวิตามิน

สำหรับคนที่ไม่ชอบทาครีมหรือทายาลบรอยสิวใดๆ การการวิตามินเสริมที่ช่วยในการรักษาสิว ลบรอยสิว พร้อมช่วยในเรื่องหน้าขาวใสได้เช่นกันค่ะ แต่การทานวิตามินอาจจะต้องใช้ระยะเวลาในการเห็นผล อย่างน้อย 1-2 เดือน และต้องทานเป็นประจำต่อเนื่อง จึงจะเห็นผลชัดที่สุด ซึ่งวิตามินที่ช่วยในการลบรอยสิวก็ได้แก่ วิตามินซี วิตามินอี โดยวิตามินเหล่านี้สามารถหาซื้อได้ทั่วไปค่ะ มีหลากหลายยี่ห้อ ทั้งนี้ควรศึกษาข้อมูลการทานวิตามินที่ถูกต้องก่อนเลือกซื้อจะดีที่สุดค่ะ

6. โปรแกรม Acne Away & Brightening

โปรแกรมนี้ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการรักษาสิว ลบรอยสิว กำจัดปัญหาความหมองคล้ำอันเกิดจากสิว รอยสิว และขจัดต้นตอของปัญหาสิวในคราวเดียวกัน ซึ่งประกอบด้วย เทคนิคการกด-ฉีดสิว โดยแพทย์ เพื่อลดปริมาณการอักเสบและอุดตันของสิว  เพื่อเอาไขมันใต้ผิวส่วนเกินออก ป้องกันการอุดตันและอักเสบในอนาคต

image009 1

ต่อมาคือ เทคโนโลยีการรักษาสิวด้วยสำแสงช่วยฆ่าเชื้อสิว ช่วยให้ต่อมไขมันใต้ผิวหนังทำงานน้อยลง ส่งผลให้สิวอุดตันที่เกิดการอักเสบเป็นเม็ดบวมแดงหรือเป็นหนองนั้นลดปริมาณลง โดยแพทย์จะทำการเลือกชนิดของของเทคโนโลยีสำแสงให้เข้ากับปัญหาของสิว เช่น สิวอักเสบ บวมแดง จะใช้เลเซอร์ประเภทที่สามารถทำปฏิกิริยากับเส้นเลือด เพื่อลดอาการบวมแดงได้ และสิวอุดตัน จะใช้เทคโนโลยีสำแสงประเภทที่สามารถลดการอุดตันของต่อมไขมันได้ เป็นต้น

ตามด้วย เทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มความขาวใส เพื่อช่วยลดเลือนรอยแผลเป็นเก่า อันเกิดจากสิว ทั้งรอยดำ รอยแดง ต่างๆ หลังจากนั้นแพทย์จะทำการทำทรีทเม้นท์ที่ช่วยทำลายเชื้อสิว ด้วยเทคนิคการผลักตัวยา P Anti Acne ด้วยเทคโนโลยีการผลักวิตามินบำรุงผิว เพื่อสร้างสมดุลแก่ชั้นผิว ปกป้องผิวจากสิวอย่างได้ผล เรียกว่าสวยครบใน 4 ขั้นตอนการรักษาสิวแบบไม่ทิ้งร่องรอยไว้ให้ดูต่างหน้าเลยล่ะค่ะ

แก้ปัญหาสารพัดสิว ด้วยเทคนิครักษาสิวแบบสิวๆ

96

แม้ว่าปัญหาสิว จะเป็นเรื่องธรรมดาที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนเมื่อเข้าสู่วัยรุ่น แต่ธรรมชาติของผิวหน้าแต่ละคนนั้นจะแตกต่างกันออกไป บางคนผิวหน้าแห้ง บางคนผิวหน้ามัน บางคนเป็นแบบผิวผสมกล่าวคือ บริเวณ T-zone ซึ่งได้แก่ หน้าผาก และจมูก จะมีความมันมากกว่าบริเวณอื่นๆ ส่วนบริเวณแก้มกลับเป็นผิวธรรมดาถึงแห้ง จึงทำให้บางคนเป็นสิวมาก ส่วนบางคนก็เป็นสิวน้อย

ซึ่งสิวบนใบหน้าของเรานั้นมีสารพัดชนิดหลากหลายมากค่ะ ฉะนั้น วิธีการรักษาสิวแต่ละชนิดจึงอาจต้องใช้วิธีที่แตกต่างกันออกไปตามอาการที่เป็น สำหรับคนที่กำลังมองหาวิธีรักษาสิวบนใบหน้าที่กำลังเป็นอยู่ แต่ไม่แน่ใจว่าตนเองเป็นสิวชนิดใดกันแน่ ลองศึกษาบทความนี้ เพื่อทำความเข้าใจและรักษาสิวที่เป็นอยู่ได้อย่างถูกต้องตามอาการค่ะ

ประเภทของสิว โดยทั่วไปเราแบ่งสิวออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ

  1. สิวไม่อักเสบ (non-inflammatory acne) เป็นประเภทของสิวที่พบได้มากกว่า 70% ของปัญหาสิว มักพบในวัยรุ่น และวัยหนุ่มสาว โดยเฉพาะบริเวณใบหน้า ลำคอ และลำตัว (หลัง) เนื่องจากเป็นตำแหน่งที่มีต่อมไขมัน (Sebaceous gland) จำนวนมาก
  2. สิวอักเสบ (inflammatory acne)  เราอาจสังเกตสิวอักเสบด้วยวิธีการง่ายๆ คือ มีการบวม แดง และอาจมีอาการเจ็บได้

เทคนิคการรักษาสิวแต่ละประเภท

1. สิวผด

สิวชนิดนี้ มีลักษณะเป็นผดเม็ดเล็กๆ แต่ไม่มีหัว มักขึ้นบริเวณหน้าผาก ไรผม จมูกและแก้ม และมักขึ้นตอนที่เหงื่อออกมากๆ อาจเพราะอากาศที่ร้อน รวมถึงการเช็ดถูผิวหน้าอย่างรุนแรงเกินไป

วิธีรักษาสิวผด

  1. ลองสังเกตตัวเองว่าใช้ครีมทาหน้า/โฟมล้างหน้ายี่ห้อไหนแล้วแพ้ ควรหยุดใช้ โดยเลือกใช้ครีมหรือโฟมที่อ่อนโยน และไม่ควรล้างหน้าบ่อยเกินไป แค่วันละ 2 ครั้งพอค่ะ
  2. หลีกเลี่ยงแสงแดดจัดๆ และควรทาครีมกันแดดทุกครั้งก่อนออกจากบ้านค่ะ
  3. ลองเปลี่ยนยาสระผมที่ใช้อยู่ เพราะสิวผดอาจเกิดจากการที่เราแพ้ยาสระผมก็ได้ค่ะ
  4. ถ้าปฏิบัติตามวิธีข้างต้นแล้วไม่หาย แนะนำว่าควรไปพบผู้เชี่ยวชาญเพื่อทำการรักษาสิวผดค่ะ

2. สิวหัวเปิดหรือสิวหัวดำ

มีลักษณะเป็นตุ่มนูนเม็ดเล็กและมีรูเปิดจนเห็นหัวสิวได้อย่างชัดเจน มีจุดๆ อยู่ตรงกลางหัว ซึ่งจุดดำนั้น เกิดจากเซลล์ผิวเก่าที่ตายไปแล้ว มารวมตัวกันกับไขมัน จนทำให้เกิดเป็นการอุดตันภายในรูขุมขนนั่นเอง

image003 14

วิธีรักษาสิวหัวดำ

  1. ผลัดเซลล์ผิว ด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ AHA หรือสารสกัดจากผลไม้ธรรมชาติที่มีฤทธิ์เป็นกรด จะช่วยทำความสะอาดรูขุมขน กำจัดเซลล์ผิวเก่าทำให้ผิวหน้าเนียนนุ่มและทำให้รูขุมขนเล็กลง
  2. มาร์กหน้า การใช้โคลนหรือถ่านมาส์กหน้าจะช่วยทำความสะอาดผิวหน้าจากสิ่งสกปรก กำจัดเซลล์ผิวเก่าและน้ำมันที่อุดตันในรูขุมขนได้อย่างล้ำลึก และซึ่งช่วยลดการเกิดสิวหัวดำได้
  3. หลีกเลี่ยงการใช้แผ่นลอกสิวเสี้ยน แม้ว่าแผ่นลอกสิ้วเสี้ยนและมาส์กหน้าชนิดต่างๆ อาจช่วยกำจัดสิ่งอุดตันในรูขุมขนได้ แต่ก็อาจทำให้ผิวแห้งและเกิดการระคายเคืองได้เช่นเดียวกัน ซึ่งจะส่งผลให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากขึ้นและเกิดการอุดตันเป็นสิวหัวดำมากกว่าเดิมค่ะ
  4. กดสิวโดยผู้เชี่ยวชาญ  การใช้เครื่องมือกดสิวเพื่อกำจัดสิวหัวดำโดยขาดความชำนาญก็อาจทำให้ผิวหน้าเป็นแผลและเกิดรอยแผลเป็นตามมาได้ ดังนั้น หากต้องการกดสิว ควรไปพบผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังที่มีความรู้และประสบการณ์ในการกดสิว เพื่อกำจัดสิวออกไปอย่างถูกวิธีค่ะ

3. สิวหัวปิดหรือสิวหัวขาว

ลักษณะของสิวชนิดนี้จะไม่สามารถเห็นได้ชัดเจนเท่าสิวหัวดำ แต่สิวหัวขาวนั้นจะเป็นตุ่มนูน หากเอามือลูบไล้จะรู้สึกคล้ายกับมีไตก้อนเล็กๆ อันเกิดจากการอุดตันสะสมอยู่ภายในต่อมไขมันและรูขุมขน ถ้าปล่อยเอาไว้นาน หัวสิวก็จะปิดจนมีขนาดตุ่มที่ใหญ่ขึ้น กระทั่งกลายมาเป็นสิวอักเสบในที่สุด

วิธีรักษาสิวหัวขาว

  1. ใช้ยาที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวให้เร็วขึ้น และช่วยลดการเติบโตของเชื้อสิว P.acne แนะนำยากลุ่ม Benzoyl peroxide ควรเลือกใช้ในระดับความเข้มข้นที่น้อยก่อนที่ 2.5% หากไม่เห็นผลจึงเพิ่มเป็น 5% ได้ในภายหลัง
  2. กดสิวร่วมในการรักษา เพื่อเปิดหัวสิวให้ออกไวขึ้น เพื่อป้องกันการอักเสบที่จะเกิดขึ้นในอนาคต จะช่วยให้สิวหายไวขึ้นได้ แต่แนะนำให้พบผู้เชี่ยวชาญด้านกดสิวเพื่อการรักษาสิวอย่างเห็นผลและปลอดภัยค่ะ
  3. ใช้เลเซอร์ร่วมในการรักษาสิว เพื่อเปิดหัวสิวจะช่วยย่นระยะเวลาในการรักษาสิวหัวขาวหายได้เร็วขึ้นค่ะ
image005 12

4. สิวอักเสบ

เป็นสิวที่เกิดขึ้นมาจากการอักเสบของเซลล์ผิวหนัง ลักษณะของสิวอักเสบจะเป็นเม็ดที่มีขนาดใหญ่ บวมแดงและเป็นหนอง

วิธีรักษาสิวอักเสบ

  1. การดูแลตนเองเบื้องต้น เช่น ล้างหน้าให้สะอาด, พักผ่อนให้เพียงพอ, การทำความสะอาดเครื่องนอน, ไม่รับประทานอาหารประเภทของทอดมันๆ รวมถึงทำจิตใจให้ผ่อนคลายไม่เครียดด้วยค่ะ
  2. รักษาสิวอักเสบด้วยวิธีธรรมชาติโดยใช้สมุนไพร เช่น การใช้โยเกิร์ตผสมน้ำผึ้ง หรือใช้น้ำมันมะกอกและมะนาว นำมาทำเป็นสูตรพอกหน้าแบบต่างๆ เพื่อรักษาสิวอักเสบค่ะ
  3. การรักษาด้วยการกินยา ยากินที่ใช้รักษาสิวคือ Isotretinoin หรือที่เรารู้จักกันในนาม Acnotin  ยากลุ่มนี้เป็นยาที่มีประสิทธิภาพในการรักษาสิวมาก ช่วยลดการทำงานของต่อมไขมัน จึงทำให้การเกิดสิวลดลง แต่ก็มีผลข้างเคียงมากมาย ซึ่งต้องใช้ยาภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น
  4. ใช้นวัตกรรมรักษาสิว โดยจะประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ได้แก่ การกดและฉีดสิว เพื่อลดปริมาณการอักเสบและอุดตันของสิว  พร้อมเอาไขมันใต้ผิวเป็นการป้องกันไม่ให้อุดตันและอักเสบขึ้นในอนาคต จากนั้นจึงเลเซอร์เพื่อฆ่าเชื้อสิว ช่วยให้ต่อมไขมันใต้ผิวทำงานน้อยลง ส่งผลให้สิวอุดตันที่เกิดการอักเสบลดปริมาณลง สุดท้าย คือการทำทรีทเม้นท์ เพื่อกำจัดหัวสิวด้วยการผลักตัวยา P Anti Acne เข้าผิวไปสร้างสมดุลและป้องกันสาเหตุของการเกิดสิวอย่างแข็งแรงอีกชั้นค่ะ

5. สิวเสี้ยน

มีลักษณะเป็นจุดดำ หรือตุ่มไขมันสีขาว มักพบบริเวณจมูก แก้ม คาง เมื่อกดสิว หรือใช้แผ่นลอกสิวเสี้ยนจะเห็นว่า มีเส้นไขมันสีขาวหรือเม็ดสิวเล็ก ๆ หลุดออกมา ซึ่งเกิดจากการอุดตันของไขมัน และสิ่งสกปรกในรูขุมขน

วิธีรักษาสิวเสี้ยน

  1. ใช้สครับบริเวณสิวเสี้ยน การสครับผิวเพื่อให้เกิดการผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยน โดยควรสครับอผิวอย่างเบามือเพียงแค่สัปดาห์ละ 1 ครั้งก็พอค่ะ
  2. ลอกสิวเสี้ยน เป็นวิธีการรักษาสิวเสี้ยนที่ถูกวิธี แต่ไม่ควรทำบ่อยเกินไป เพราะจะทำให้ผิวบริเวณดังกล่าวแห้งและลอกได้
  3. เลือกใช้เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ที่ดูแลผิวชนิดไม่มันมากเกินไป และควรเช็ดทำความสะอาดเครื่องสำอางให้สะอาด ถึงแม้ไม่ได้แต่งหน้าก็ควรเช็ดทำความสะอาดคราบความมันและสิ่งสกปรกออกจากผิวทุกวัน
  4. การรักษาสิวโดยเลเซอร์ เพื่อลดการทำงานของต่อมไขมัน และช่วยกระชับรูขุมขน ทำให้ผิวดูเนียนใสขึ้นด้วยค่ะ
image007 3

6. สิวหนอง

มีลักษณะเป็นนูนๆ สีขาวซึ่งมีหนองอยู่ข้างใน สาเหตุของสิวหนองเกิดจากการอักเสบของรูขุมขนหรือจากไขมันภายในร่างกายขับออกมาจากรูขุมขนในปริมาณมาก จนทำให้รูขุมขนมีการอักเสบและกลายมาเป็นสิวหนองนั่นเอง สิวชนิดนี้เมื่อเกิดขึ้นแล้วมักจะมีอาการเจ็บปวดสิวร่วมด้วย

วิธีรักษาสิวหนอง

  1. เมื่อสิวมีลักษณะเป็นไต คือเป็นตุ่มแดงและแข็งเมื่อสัมผัสและจับดูอาจจะรู้สึกเจ็บ การดูแลในเบื้องต้นเพื่อลดการ เป็นสิวหัวหนองควรล้างหน้าอย่างเบามือ และหายาทาเพื่อลดการอักเสบของผิว ซึ่งอาจจะใช้เวลานาน แต่สิวลักษณะนี้จะค่อยๆ หายและยุบลงไปโดยไม่เกิดหนองได้ค่ะ
  2. สิวเกิดหัวหนองและหัวสิวยังไม่สุกดี วิธีการรับมือที่ดีที่สุดของระยะนี้คือ การกระตุ้นหรือกดสิวออกให้เร็วที่สุด ซึ่งควรทำโดยผู้เชี่ยวชาญเพื่อป้องกันรอยแผลเป็นค่ะ
  3. เมื่อสิวหนองสุกเต็มที่แล้ว การรักษาสิวหนองในระยะนี้เราสามารถที่จะเอาหนองออกได้หมดอย่างง่าย โดยใช้ยาทาแต้มสิวหรือครีมแต้มสิวที่ช่วยเรื่องการสมานแผลสิวให้หายได้เร็วขึ้น และลดการทิ้งรอยแผลหรือหลุมสิวที่จะตามมาจากการเอาหนองออก
image009

7. สิวหัวช้าง

สิวอักเสบขนาดใหญ่ ที่เกิดจากการรวมของสิวอักเสบทั้งหลายที่เป็นสิวอุดตันที่อักเสบแล้วพลอยลามให้สิวอุดตันรอบข้างอักเสบไปด้วย พอรวมตัวกันเป็นแผงเลยกลายเป็นสิวอักเสบขนาดใหญ่ เราเรียกว่า สิวหัวช้าง

วิธีรักษาสิวหัวช้าง

  1. รักษาด้วยสมุนไพรจากธรรมชาติ ถ้ายังไม่ถึงขนาดเรื้อรัง สามารถรักษาสิวด้วยสมุนไพรในครัวเรือนอย่างน้ำมะนาว และหัวหอมแดง โดยการคั้นเอาเฉพาะน้ำ แล้วใช้สำลีจุ่มแปะที่สิว ทำทุกครึ่งชั่วโมง และทาทิ้งไว้ก่อนนอน
  2. แต้มด้วยยาฆ่าเชื้อ สิวอักเสบขนาดใหญ่อย่างสิวหัวช้างนั้น หากปล่อยจนมีการแตก แห้ง จะมีโอกาสเกิดสิวซ้ำตรงที่เดิมอีก ดังนั้น ควรใช้ยาฆ่าเชื้อแต้มที่สิวเพื่อฆ่าเชื้อที่ทำให้เกิดสิว
  3. กินยารักษาสิว กรณีที่เราไปพบแพทย์ผิวหนังเพื่อรักษาสิว แพทย์จะสั่งยารักษาสิว ซึ่งจะเป็นลักษณะยาแก้อักเสบนั่นเองค่ะ
  4. ฉีดสิว นิยมทำในกรณีจำเป็นเร่งด่วน เช่น ต้องออกงาน และรอการรักษาสิววิธีอื่นไม่ทันการ
  5. รักษาด้วยเลเซอร์ สามารถทำได้โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง

สำหรับคนที่มีสิวหัวช้างนั้นจะมีอาการเจ็บปวดอย่างมาก หากยังคงปล่อยทิ้งไว้นานๆ อาจกลายมาเป็นฝีหรือผิวหนังอักเสบหนักขึ้นได้  ดังนั้น หากใครเป็นสิวหัวช้าง แนะนำให้ไปพบแพทย์ผิวหนังเพื่อรีบทำการรักษาสิวอย่างถูกต้องโดยเร็วจะดีที่สุดค่ะ

สิวอักเสบ ต้องรักษาสิวอย่างไรให้หายขาด

95

ขึ้นชื่อว่า “สิว” เชื่อว่าใครๆ ก็ไม่อยากเป็นสิว โดยเฉพาะสิวอักเสบ ที่สร้างปัญหาแสนปวดใจของคนที่เคยเป็นหรือกำลังเผชิญปัญหานี้อยู่เพราะสามารถมองเห็นได้อย่างเด่นชัดบนใบหน้า แถมเมื่อสิวยุบยังทิ้งรอยแผลไว้ให้ช้ำใจ ส่งผลต่อความรู้สึกจนทำบางคนให้ขาดความมั่นใจในการเข้าสังคมไปเลยก็มีค่ะ

สิวอักเสบนี้สามารถเกิดขึ้นได้แทบทุกส่วนของร่างกาย ซึ่งนอกจากใบหน้าแล้ว ยังสามารถเกิดขึ้นในโพรงจมูก ในหู บริเวณลำคอ แผ่นหลัง และที่แก้มก้น (จนบางครั้งนึกว่าเป็นฝี) ซึ่งสิวเหล่านี้ถ้าเราไปบีบหรือเแกะจะทำให้เกิดรอยหรือแผลเป็นสีดำ บางครั้งเกิดเป็นหลุมที่ผิวหนังเหมือนผิวพระจันทร์ได้ค่ะ

แต่ไม่ต้องกังวลไปนะคะ เพราะถึงจะเป็นสิวอักเสบก็รักษาสิวให้หายได้ค่ะ แล้วเจ้าสิวอักเสบมันมีสาเหตุมาจากอะไรได้บ้าง และวิธีใดที่จะสามารถป้องกันและรักษาสิวอักเสบให้หายขาดได้ มีคำแนะนำดังนี้ค่ะ

สาเหตุของสิวอักเสบ

สิวอักเสบ คือ สิวที่มีขนาดใหญ่กว่าสิวปกติ เป็นตุ่มนูนขึ้นมาอย่างชัดเจน มีอาการบวมแดงและเจ็บเมื่อสัมผัส และจะรู้สึกตึงๆ ชาๆ ตรงจุดที่เกิด การอักเสบของสิวชนิดนี้จะมีการกลัดหนองที่กลางตุ่มสิว (หัวสิว) จนบางคนเรียกว่าสิวหัวหนองหรือสิวหัวช้าง (เพราะใหญ่มาก) สิวอักเสบนี้จะหายได้ช้าและหายยากถ้าเราไปบีบหรือแกะ เพราะจะเป็นการเพิ่มการอักเสบทำให้เกิดแผลขนาดใหญ่ขึ้นและเกิดการติดเชื้อประเภทอื่นๆ ได้ง่ายขึ้น

ส่วนสาเหตุของสิวอักเสบ อาจเกิดจากการอุดตันในรูขุมขนและต่อมไขมันใต้ผิวหนังบริเวณสิวอุดตัน หรืออาจเกิดกระบวนการอักเสบขึ้นมาเองบริเวณผิวหนังปกติ โดยปัจจัยที่ก่อให้เกิดสิวอักเสบ เช่น

  • กรดไขมันอิสระและไขมันผิวหนัง (Sebum) ที่ซึมเข้าสู่ชั้นผิวหนัง
  • สารที่ผลิตโดยแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิว (Propionibacterium Acnes หรือ P.Acne) แพร่เข้าสู่ชั้นผิวหนังและเนื้อเยื่อโดยรอบ
  • การอุดตันในรูขุมขนที่อาจนำไปสู่ปฏิกิริยาอักเสบเรื้อรัง ซึ่งเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันจะห่อหุ้มสิ่งแปลกปลอมไว้จนเกิดเป็นก้อนสะสมใต้ผิวหนัง
  • สารก่ออาการอักเสบ ที่ถูกผลิตขึ้นภายในเยื่อบุเซลล์ ต่อมไขมัน หรือในระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย
  • ภาวะภูมิไวเกิน หรือปฏิกิริยาที่มากเกินไปของภูมิคุ้มกันที่ตอบสนองต่อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิว
  • ระดับฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนที่เพิ่มมากขึ้น (Testosterone) ซึ่งฮอร์โมนนี้เป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการเจริญเติบโตในวัยรุ่นและวัยเจริญพันธุ์ ทำให้ฮอร์โมนนี้ไปกระตุ้นต่อมไขมันใต้ผิวหนังให้ทำงานมากขึ้น
  • กรรมพันธุ์ หากมีพ่อแม่ที่เป็นสิว ผู้สืบสายเลือดรุ่นต่อมามีโอกาสที่จะเป็นสิว หรือมีแนวโน้มเป็นสิวในระดับรุนแรงได้
  • เพศหญิง ผู้ป่วยเพศหญิงมีแนวโน้มเป็นสิวได้มากในช่วงที่ฮอร์โมนเพศในร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะตอนช่วงมีประจำเดือนหรือช่วงที่ตั้งครรภ์
  • การอุดตันของเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว สิ่งสกปรกจากการมีสุขอนามัยที่ไม่ดี ใช้เครื่องสำอางที่ทำให้รูขุมขนอุดตัน หรือสวมใส่เครื่องแต่งกายที่รัดหรือลงน้ำหนักบนผิวหนังที่เป็นสิว เป็นต้น
  • การใช้ยารักษาบางชนิด เช่น ยาสเตียรอยด์ ยาลิเทียม ยาต้านอาการชัก เป็นต้น
  • การสูบบุหรี่ อาจเพิ่มความเสี่ยงทำให้เกิดสิว โดยเฉพาะในผู้ที่มีอายุมาก

รักษาสิวอักเสบให้หายขาดต้องทำอย่างไร

การดูแลตัวเองเพื่อรักษาสิวอักเสบ

1. หลีกเลี่ยงมลภาวะและล้างหน้าให้สะอาด การเดินทางเข้าไปในสถานที่ที่มีแต่ฝุ่นควันเยอะๆ ก็อาจเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดสิวบนใบหน้าได้ค่ะ สิ่งสกปรกอาจลอยมาเกาะ และเข้าไปในรูขุมขนจนเกิดการอักเสบ หรือการติดเชื้อได้ ที่สำคัญควรหลีกเลี่ยงใบหน้าให้พ้นจากแสงแดดค่ะ เพราะเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดสิวผด แต่หากหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ เมื่อกลับมาที่บ้านให้รีบทำความสะอาดใบหน้าทันที หากใช้ผลิตภัณฑ์จำพวกโฟมล้างหน้าทำความสะอาด ขอแนะนำว่าไม่ควรใช้เกินวันละ 2 ครั้ง เพราะจะทำให้ผิวหน้าแห้งจนเกินไป ทางที่ดี ควรใช้น้ำเปล่าล้างหน้าจากนั้นจึงซับให้แห้งค่ะ

image003 13

2. พักผ่อนให้เพียงพอ การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอจะช่วยให้ฮอร์โมนในร่างกายทำงานเป็นปกติ เนื่องจากฮอร์โมนเป็นต้นเหตุของการผลิตน้ำมันจากต่อมไขมัน หากฮอร์โมนทำงานแปรปรวนก็จะทำให้ไปกระตุ้นต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากเกินไป และก่อให้เกิดการอุดตันในรูขุมขนที่เป็นสาเหตุของการเกิดสิวได้

3. รักษาความสะอาดของเครื่องนอน บรรดาเครื่องนอนต่างๆ ที่เราต้องใช้อยู่ทุกวัน อย่าง ปลอกหมอน ผ้าห่ม ผ้าปูที่นอน เป็นสิ่งที่จะต้องสัมผัสกับผิวหน้าของเราโดยตรง เราไม่อาจรู้ได้ว่าเครื่องนอนเหล่านี้จะเป็นที่สะสมของเชื้อโรคและแบคทีเรียได้ในจำนวนที่มากขนาดไหน ฉะนั้น เราจะต้องถอดออกมาทำความสะอาดบ่อยๆ นะคะ อย่างน้อย 2 สัปดาห์ก็ทำความสะอาด 1 ครั้ง ก็จะช่วยลดสาเหตุของการเกิดสิวบนหน้าได้แล้ว

4. ผ่อนคลายความตึงเครียด ความเครียดเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ฮอร์โมนแปรปรวน ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดสิวเพิ่มขึ้น และยังส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายที่ทำให้ร่างกายติดเชื้อง่ายมากขึ้น รวมถึงเชื้อแบคทีเรีย acnes ที่ก่อให้เกิดสิวด้วยเช่นกันค่ะ

5. หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารมันๆ หรือของทอด ยิ่งสาวๆ ทานอาหารที่มีน้ำมัน หรือของทอดๆ เยอะขึ้นเท่าไหร่ ปริมาณน้ำมันบนผิวหน้าของเราก็จะยิ่งเยอะตามไปด้วย นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการอุดตันในรูปขุมขนจนเกิดเป็นสิว สิวอักเสบ หรือสิวเสี้ยนได้

6. ดูแลระบบขับถ่ายให้เป็นปกติ การขับถ่ายเป็นประจำทุกวันจะช่วยขับของเสียในร่างกาย ซึ่งสามารถช่วยทำให้สิวลดลงได้ เนื่องจากปริมาณสารพิษที่สะสมในร่างกายลดน้อยลงนั่นเองค่ะ

รักษาสิวอักเสบด้วยวิธีธรรมชาติโดยใช้สมุนไพร

shutterstock 621994616

มีสมุนไพรหลากหลายชนิดเลยนะคะ ที่มีคุณสมบัติและกรดต่างๆ ในการรักษาสิว เช่น การใช้โยเกิร์ตผสมน้ำผึ้ง หรือใช้น้ำมันมะกอกและมะนาว นำมาทำเป็นสูตรพอกหน้าแบบต่างๆ ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีเริ่ดๆ ที่ช่วยรักษาสิวในแบบธรรมชาติค่ะ

การรักษาสิวอักเสบโดยใช้ยาทาและแผ่นแปะสิว

ยาทารักษาสิวภายนอกที่นิยม เช่น Benzoyl peroxide (หรือที่เราเรียกกันว่า Benzac) ยาตัวนี้มีประโยชน์ในการฆ่าเชื้อ P. acne และยังช่วยให้สิวอุดตัน ทั้งสิวอุดตันหัวขาวและดำให้หลุดง่ายด้วยค่ะ หรือจะเป็นยากลุ่ม Retinoid ยากลุ่มนี้มีคุณสมบัติในการผลัดเซลล์ เหมาะสำหรับคนผิวมัน โดยยากลุ่มนี้จะช่วยลดความมันบนใบหน้าทำให้เกิดสิวลดลงด้วย แต่ข้อเสียคือค่อนข้างจะระคายเคือง คนผิวแพ้ง่ายหมดสิทธิ์เลยค่ะ

นอกจากนี้ ยาฆ่าเชื้อก็ได้ผลดี เช่น Clindamycin ช่วยเรื่องการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย แนะนำให้ทารักษาสิวเฉพาะจุด พอสิวหายดีแล้วก็ควรหยุดใช้เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการดื้อยา สุดท้ายคือ แผ่นซิลิโคนใสแปะรักษาสิว ส่วนมากมักจะมียาที่ลดการอักเสบเฉพาะที่ สามารถใช้ได้ในคนที่มีสิวอักเสบเม็ดใหญ่หรือหัวช้างเท่านั้นนะคะ แต่ไม่แนะนำในสิวเม็ดเล็กๆ เพราะจะเกิดอาการระคายเคืองบริเวณข้างเคียง หรือผิวแห้งลอกได้ค่ะ

รักษาสิวอักเสบด้วยโปรแกรม Acne Away and Bright

วิธีการรักษาสิวด้วยโปรแกรมนี้ นอกจากจะช่วยในการดูแลผู้ที่ประสบปัญหาสิวให้หายแล้ว ขั้นตอนการรักษาสิวยังช่วยฟื้นฟูผิวหลังการรักษาสิวจากรอยแดง รอยดำ หรือแผลเป็นที่เกิดจากสิว ให้เรียบเนียนและขาวกระจ่างใสในโปรแกรมเดียวอีกด้วยค่ะ

image007 2

ขั้นตอนการรักษาสิว เริ่มจากการวินิจฉัยลักษณะและสาเหตุของสิวที่เกิดขึ้น โดยจะประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ได้แก่ การกดและฉีดสิว เพื่อลดปริมาณการอักเสบและอุดตันของสิว  พร้อมเอาไขมันใต้ผิวเป็นการป้องกันไม่ให้อุดตันและอักเสบขึ้นในอนาคต จากนั้นจึงเลเซอร์ฆ่าเชื้อสิว ช่วยให้ต่อมไขมันใต้ผิวทำงานน้อยลง ส่งผลให้สิวอุดตันที่เกิดการอักเสบลดปริมาณลง โดยแพทย์จะทำการเลือกชนิดของเลเซอร์ให้เข้ากับปัญหาสิวที่เป็นอยู่เพื่อทำการรักษาสิวค่ะ

การเลเซอร์ช่วยลดรอยดำและแดงจากสิว ขั้นตอนนี้ช่วยลดเลือนรอยสิวและเพิ่มความขาวใสให้กับผิวขึ้นด้วยค่ะสุดท้ายคือการทำทรีทเม้นท์ เพื่อกำจัดหัวสิวด้วยการผลักตัวยา P Anti Acne เข้าผิวไปสร้างสมดุลและป้องกันสาเหตุของการเกิดสิวอย่างแข็งแรงอีกชั้นค่ะ

สาเหตุสิวผดในวัยรุ่น และวิธีรักษาสิวให้หน้าใสวิ้ง

94

วัยรุ่นจ๋า… ใครมีปัญหาสิวผดบ้างยกมือขึ้น! (ยกมือกันพรึ่บ)  สำหรับน้องๆ คนไหนที่มีปัญหาสิวผดมาบดบังความน่ารักสดใสในวัยรุ่น เดี๋ยวเราลองมาทำความรู้จักกับสิวผดกันค่ะ ว่ามันเกิดจากสาเหตุใดได้บ้าง แล้วเราจะสามารถรักษาสิวผดให้หายพร้อมกับมีผิวหน้าใสๆ วิ้งๆ เหมือนไอดอลเกาหลีต้องทำอย่างไร บทความนี้ น้องๆ วัยรุ่นทั้งหลายไม่ควรพลาดค่ะ

ลักษณะของสิวผด

สิวผด มีลักษณะเป็นตุ่มเล็กๆ นูนๆ จำนวนมาก เวลาสัมผัสจะรู้สึกไม่เรียบ เป็นเม็ดทราย กระจายทั่วใบหน้า เป็นสีแดง ทำให้ใบหน้าดูแดงๆ มีอาการคันและแสบบริเวณที่เกิดสิวผด ซึ่งที่จริงแล้วสิวผดมีความสัมพันธ์กับการเป็นผื่นมาก่อน เมื่อเกิดผื่นขึ้น การทำงานของต่อมไขมันก็ผิดปกติ เกิดการอุดตัน จากนั้นอาการแสบและคันก็ตามมาค่ะ

โดยเฉพาะมือที่สกปรก เมื่อแบคทีเรียจากมือสัมผัสเข้ากับบริเวณที่มีการอุดตันของต่อมไขมัน จะกระตุ้นให้เกิดการอักเสบขึ้นมา ผื่นจึงแปลงร่างกลายเป็นสิวอักเสบ ลุกลามไป บางครั้งก็มีหัวเป็นหนองข้างใน หรือเป็นตุ่มน้ำใสๆ ส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นบริเวณใบหน้าที่ถูกแสงแดดประจำ เช่น หน้าผาก โหนกแก้ม ข้างจมูก คาง หรือในบางคนอาจมีสิวผดเกิดขึ้นบริเวณที่ไม่ได้โดนแสงแดด อย่างแผ่นหลัง บริเวณหน้าอกก็ได้

สิวผดนั้น หากลองสังเกตดูจะพบว่า จะไม่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเช้าๆ แต่มักเกิดขึ้นตอนช่วงบ่ายๆ หลังจากผิวหนังสัมผัสกับฝุ่นละอองผสมกับอากาศร้อนๆ สิวผดก็จะปรากฎขึ้นมาแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวค่ะ

สิวผดเกิดจากอะไร

สิวผดส่วนมากแล้วจะเกิดจากมลภาวะแสงแดดและความร้อน เพราะความร้อนและแสงแดดทำให้ต่อมเหงื่อไม่สามารถระบายเหงื่อออกได้หมด จนทำให้ต่อมเหงื่อตันแล้วเกิดเป็นตุ่มเล็กๆ เหมือนเป็นผด ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้สิวผดหายตัวไปในช่วงเช้าที่มีอากาศเย็น แต่เมื่อถึงเวลาเที่ยงที่อากาศกำลังร้อนแบบบ้านเราด้วยล่ะก็ สิวผดก็จะกลับมาเห่อบนใบหน้าอีก จึงทำให้หลีกเลี่ยงสิวชนิดนี้ได้ยากค่ะ โดยทางการแพทย์พบว่าเชื้อราหรือยีสต์ชนิดหนึ่ง ชื่อ P. ovale เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดสิวผดขึ้นมา ยิ่งเมื่อเวลาอากาศร้อน ต่อมไขมันจะผลิตน้ำมันออกมาเยอะกลายเป็นอาหารชัั้นดีของเจ้ายีสต์ตัวนี้เลยล่ะค่ะ นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ทำให้เกิดสิวผดขึ้นได้ เช่น

  • มลพิษจากสิ่งแวดล้อม ทางน้ำ และอากาศ
  • เกิดจากการแพ้น้ำหรือเหงื่อ
  • ใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่ฟองมากจนเกินไป หรือใช้ไม่เหมาะกับสภาพผิวของเรา
  • ล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นเป็นประจำ
  • การเช็ดถูหน้าบ่อยๆ หรือการเช็ดถูหน้าแรงๆ
  • เครื่องสำอางบางประเภท หรืออุปกรณ์แต่งหน้าที่ไม่สะอาด
  • พักผ่อนน้อยเกินไป
  • ภูมิคุ้มกันในร่างกายอ่อนแอหรือร่างกายไม่แข็งแรง

วิธีรักษาสิวผดให้หาย หน้าใสวิ้ง

1. หลีกเลี่ยงแสงแดด เพราะแสงแดดเป็นตัวการสำคัญอย่างหนึ่งที่ก่อให้เกิดสิวผดได้ค่ะ ดังนั้น จึงควรหลีกเลี่ยงแสงแดดในช่วงกลางวัน หรือทาครีมกันแดดชนิดควบคุมความมันทุกครั้งก่อนออกจากบ้าน

2. ไม่ควรล้างหน้าบ่อยๆ ใน 1 วัน ล้างหน้าแค่ 2 ครั้ง เช้า-เย็น ก็พอแล้วค่ะ รวมถึงควรเลี่ยงการล้างหน้าแรงๆ เพราะทั้งสองอย่างนี้เป็นสาเหตุของสิวผดค่ะ

3. เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนต่อผิว ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีความอ่อนโยนและเหมาะกับสภาพผิวของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ล้างหน้าหรือบำรุงผิวหน้าก็ตาม รวมถึงครีมกันแดด และควรล้างออกให้สะอาด เพื่อป้องกันการเกิดสิวผดหรือสิวอุดตันได้ในภายหลังค่ะ

image003 12

4. ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมส่วนตัว หากต้องการป้องกันสิวทุกชนิดและยับยั้งไม่ให้มันลุกลาม ด้วยการฝึกตัวเองและยับยั้งห้ามใจไม่ไปรบกวนผิวหน้า เช่น การนวดหน้า ขัดหน้า เช็ดถูหน้า คุ้ย แคะ แกะเกาใบหน้าบ่อยๆ เพราะบางคนเป็นสิวก็เกิดความกังวลและลูบไล้ใบหน้าอยู่บ่อยๆ จนลืมไปว่ามือเราไม่สะอาด และอาจเป็นการไปกระตุ้นสิวที่มีอยู่แล้วให้ลุกลามมากยิ่งขึ้นได้นะคะ

5. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ น้องๆ ควรหันมารับประทานผักและผลไม้ให้เยอะๆ นะคะ พยายามเสริมแร่ธาตุอย่างสังกะสี (Zinc) เพื่อช่วยให้ผิวแข็งแรงขึ้น รักษาสิว สิวผด อักเสบและดื่มน้ำให้มากๆ เพื่อช่วยปรับสมดุลของร่างกายภายในให้เย็นและชุ่มชื้น ช่วยทำให้ผิวพรรณและใบหน้าสดใสได้ค่ะ

6. ไม่เครียด ความเครียดมีส่วนทำให้ต่อมไขมันต้องทำงานหนัก ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดสิวผดได้ค่ะ ดังนั้น เราจึงควรพยายามทำจิตใจให้แจ่มใสอยู่เสมอ อย่าเครียดค่ะปัญหาทุกอย่างย่อมมีทางออก ทั้งนี้ ยังรวมถึงต้องนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอด้วยนะคะ เพียงเท่านี้ใบหน้าของเราก็ห่างไกลจากสิวผดได้แล้วค่ะ

7. สูตรพอกหน้ารักษาสิว มีหลายสูตรให้เลือกปฏิบัติ ดังนี้ค่ะ

  • สูตรไข่ขาว นำไข่แดงแยกออกเอาเฉพาะไข่ขาว ล้างหน้าของเราให้สะอาดแล้วนำมาพอกบริเวณใบหน้าทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที จากนั้นจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด เป็นวิธีการรักษาสิวผดแบบง่ายๆ ที่รับรองว่าทำบ่อยๆ สิวผดหายแน่นอนค่ะ
  • สูตรมะเขือเทศผสมโยเกิร์ต นำมะเขือเทศมาสับให้ละเอียด ให้โยเกิร์ตสูตรธรรมชาติ 2 ช้อนโต๊ะ ผสมกับมะเขือเทศที่สับเตรียมไว้ จากนั้น นำมาพอกใบหน้าบริเวณที่เกิดสิวผด แล้วทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่น หากรักษาสิวผดด้วยสูตรนี้เป็นประจำรับรองว่าสิวผดหายแน่นอนค่ะ
  • สูตรน้ำผึ้ง ล้างหน้าให้สะอาด จากนั้น นำน้ำผึ้งบริสุทธิ์ประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ มาทาบริเวณที่เป็นสิวผด ทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น อีกวิธีง่ายๆ ของการรักษาสิวผดค่ะ

8. หลีกเลี่ยงการใช้ครีมหรือยาที่ทำให้ผิวหน้าระคายเคืองมากขึ้น เช่น Retinoic acid, Benzoyel peroxide AHA, BHA เป็นต้น

9. ปรึกษาแพทย์ผิวหนังรักษาสิวผด วิธีนี้จะช่วยรักษาสิวผดได้อย่างปลอดภัย และยังเป็นการป้องกันการเกิดสิวผดอย่างถาวรได้อีกด้วยค่ะ ซึ่งเป็นการรักษาสิวผดตั้งแต่สาเหตุและรักษาสิวผดอย่างถูกวิธี ที่สำคัญก็คือไม่ควรซื้อยามารับประทานหรือรักษาสิวด้วยตนเอง เนื่องจากยารักษาสิวส่วนมากมักมีส่วนผสมของสเตียรอยด์ อาจทำให้เป็นสิวมากขึ้นได้ค่ะ

image005 10

10. รักษาสิวผดด้วยเลเซอร์ เป็นวิธีที่นิยมมากในปัจจุบัน เนื่องจากทำครั้งเดียวก็สามารถรักษาสิวผด และสิวอุดตันได้ทั่วทั้งใบหน้าอย่างทันใจ แต่อาจจะทิ้งรอยดำไว้บ้าง ซึ่งเราก็สามารถทาครีมลดรอยดำได้ในภายหลัง อย่างไรก็ดี ควรเลือกทำกับแพทย์ผิวหนังผู้เชี่ยวชาญเท่านั้นนะคะ

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก https://www.romrawinclinic.com/

เช็คด่วน! สาเหตุที่ทำ “สิวเห่อ” แบบไม่รู้ตัว

สิว

มีใครกำลังงงกับปัญหาสิวอยู่บ้างมั้ยคะ… ว่าทำไมทั้งๆ ที่เราเองก็หมั่นทำความสะอาดใบหน้า ล้างหน้าล้างตาอยู่เป็นประจำ แถมยังใช้สารพัดครีมที่เขาว่ากันว่าสามารถรักษาสิวใช้แล้วทำให้หน้าใส แต่ทำไม๊ทำไมสิวก็ยังเห่อขึ้นมาเป็นดอกเห็ด ทั้งนี้ สาเหตุของการเกิดสิวที่นอกเหนือจากพันธุกรรมและฮอร์โมนแล้ว อีกสาเหตุก็คือพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันของเรานี่เองค่ะที่อาจทำให้เกิดสิวโดยไม่รู้ตัว เอาล่ะสิ…แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรล่ะ ว่าพฤติกรรมไหนบ้างที่ส่งผลทำให้เกิดสิว? ไม่ต้องกังกลนะคะ เพราะบทความนี้เราได้รวบรวมพฤติกรรมที่ทำให้สิวเห่อแบบไม่รู้ตัวมาฝาก เพื่อทราบถึงปัญหาและสามารถรักษาสิวได้อย่างตรงจุดค่ะ

ทำความเข้าใจกับปัญหาสิวก่อนรักษาสิว

โดยปกติภายใต้ผิวของเราจะมีต่อมไขมันทำหน้าที่ผลิตน้ำมันเพื่อเคลือบและให้ความชุ่มชื้นกับผิว แต่หากต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากเกินไป น้ำมันที่ทำหน้าที่คล้ายกาวก็จะยึดติดเซลล์ผิวด้านบนไว้ ทำให้ไม่มีการผลัดเซลล์ผิวที่มักจะเกิดขึ้นทุก 28 วัน ผิวจึงเกิดปัญหาการอุดตัน สิวจึงมักพบในคนที่มีผิวมัน ดังนั้น จึงควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์รักษาสิวที่เหมาะสมกับปัญหาสิว เช่น

  • ผลิตภัณฑ์รักษาสิวที่มีสารที่ช่วยดูดซับหรือควบคุมความมันของผิว
  • สารที่ช่วยลดเชื้อแบคทีเรีย สาเหตุสำคัญของสิวอักเสบ
  • ควรเลือกใช้สารที่มีส่วนช่วยในการผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยนโดยไม่ทำให้ผิวบาง เพื่อลดการอุดตันของผิว และสารที่มีคุณสมบัติอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น ช่วยลดรอยดำ รอยแดงที่เกิดจากสิวค่ะ

หาต้นตอหรือสาเหตุของการเกิดสิวเพื่อหาวิธีการรักษาสิว โดยพยายามเลี่ยงสาเหตุนั้นๆ หรือลองสังเกตปัญหาสิวว่ามักเป็นสิวเมื่อไหร่เพื่อรักษาสิวได้อย่างถูกจุด เช่น

  • การเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ที่ใช้ (ที่จะต้องมาสัมผัสใบหน้า) เช่น เปลี่ยนยาสีฟัน หากลองเปลี่ยนยาสีฟันแล้วปรากฏว่าสิวบริเวณคางค่อยๆ ลดลงและไม่เกิดขึ้นอีก ก็สันนิษฐานได้ว่าสาเหตุอาจเกิดจากยาสีฟันเดิมที่เคยใช้อยู่ค่ะ
  • รักษาสิวโดยการทำความสะอาด ปลอกหมอน/ที่นอน เมื่อเป็นสิวด้านใดด้านหนึ่ง อาจเกิดจากปลอกหมอนไม่สะอาด เพราะปลอกหมอนเป็นตัวกักเก็บฝุ่นละอองและแบคทีเรียต่างๆ มากมาย และขณะนอนหลับก็ไม่รู้ว่าคุณดิ้นเอาหน้าแนบหมอนไปกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ดังนั้น ควรซักปลอกหมอนและผ้าปูที่นอนให้บ่อยๆ ได้ยิ่งดีค่ะ
  • สังเกตตัวเองว่ามักเป็นสิวช่วงก่อนหรือหลังการมีรอบเดือนหรือไม่
  • ทานอาหารบางประเภทแล้วเป็นสิว เช่น ช็อคโกแลต แต่อาจไม่เสมอไปกับทุกคนค่ะ บางคนอาจเป็นสิวจากการทานอาหารบางประเภท แต่บางคนไม่มีผลใดๆ
  • สิวหลังการแต่งหน้า ลองทำความสะอาดแปรงปัดหน้า เพราะแปรงแต่งหน้าเป็นแหล่งรวมเชื้อแบคทีเรียไว้มาก ทั้งปัดแป้ง ปัดแก้ม ปัดเฉดดิ้ง สารพัดที่ต้องสัมผัสกับผิวหน้าโดยตรง ถ้าไม่อยากเป็นสิวก็เอาแปรงแต่งหน้า ออกมาล้างสัปดาห์ละครั้ง ก็จะช่วยลดโอกาสที่จะเกิดสิว รักษาสิวได้เยอะ ทั้งยังรักษาเนื้อสัมผัสเครื่องสำอางด้วยนะคะ

รักษาสิวง่ายๆ โดยปรับพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการเกิดสิว

  1. การนอนดึก เป็นพฤติกรรมกระตุ้นสิวชั้นดีเชียวค่ะ โดยเฉพาะคนเป็นสิวฮอร์โมนการนอนดึกจะกระตุ้นการเกิดสิว ทำให้สิวอักเสบง่ายขึ้น นอกจากนี้ สาวๆ ที่ชอบนอนดึกมักขี้เกียจล้างเครื่องสำอาง นี่ก็เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้สิวอุดตันมาเยือนค่ะ เพราะมีเครื่องสำอางเคลือบผิวอยู่ ซึ่งนอกจากสิวแล้ว ยังทำให้ใบหน้าแก่ก่อนวัยอีกด้วย
  2. ความเครียด อีกสาเหตุของการเกิดสิวของใครหลายคน
  3. การแคะ แกะ กดใบหน้า เป็นการไปรบกวนสิว เพราะจะยิ่งทำให้สิวเกิดอาการรุนแรง เกิดปัญหาอื่นๆ ตามมา เช่น รอยหรือหลุมสิวค่ะ
  4. หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้าโดยไม่จำเป็น เพราะสิ่งสกปรกบนมือเราอาจไปกระตุ้นให้มีการเกิดสิว หรือเกิดการกำเริบของสิวได้ค่ะ
image003 11

รักษาสิวโดยให้ความสำคัญกับขั้นตอนทำความสะอาด

  1. ใช้ผลิตภัณฑ์เช็ดเครื่องสำอาง รักษาสิวในกรณีแต่งหน้า ควรใช้ผลิตภัณฑ์เช็ดเครื่องสำอางทุกครั้งก่อนการล้างทำความสะอาดใบหน้า เพื่อการทำความสะอาดอย่างหมดจด
  2. ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีค่า pH เป็นกลางในการ รักษาสิว ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่ดีควรมีค่า pH เท่าหรือใกล้เคียงกับผิวหน้า คือ 4.5-6.5
  3. ล้างหน้าวันละไม่เกิน 2 ครั้ง ยิ่งคุณล้างหน้าเอาความมันออกจากใบหน้ามากเท่าไหร่ ผิวก็จะผลิตความมันเพิ่มขึ้นมากเท่านั้นค่ะ และแน่นอนมันทำให้เกิดสิวได้อย่างง่ายดาย ดังนั้น ควรล้างหน้าให้พอประมาณ ซึ่งจำนวนครั้งที่เหมาะสม คือ 2-3 ครั้งต่อวันเท่านั้นค่ะ
  4. สครับผิว หากมีผิวมันควรสครับเพื่อขัดเซลล์ผิวที่ทับถม ช่วยลดปัญหาผิวอุดตันอย่างน้อยอาทิตย์ละ 1-2 ครั้ง
  5. เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการทดสอบแล้วว่าเป็นสูตรที่ไม่ทำให้ผิวอุดตัน ในการรักษาสิว เช่น ผลิตภัณฑ์กันแดด เพราะหลายคนเชื่อว่าการใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดจะทำให้ผิวอุดตันจึงเลี่ยงไม่ใช้ครีมกันแดด ซึ่งเป็นความคิดที่ผิดมหันต์ค่ะ เพราะแสงแดดทำร้ายผิวมากกว่าที่คุณคิดเป็นสาเหตุของ สิว ฝ้า และรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า ดังนั้น หากเราเลือกใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดที่ผ่านการทดสอบแล้วว่าไม่ทำให้ผิวอุดตัน เป็นสูตรที่เหมาะสำหรับคนที่มีผิวมันจะเป็นทางเลือกที่ดีและถูกต้องที่สุดค่ะ

รักษาสิวโดยการดื่มน้ำและทานอาหารที่มีประโยชน์ รวมทั้งออกกำลังกายเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด

image005 9

ให้เวลากับการรักษาสิว ดูแลปัญหาสิว

สิวเป็นปัญหากวนใจทั้งก่อนเกิดสิว (เจ็บบริเวณที่จะเป็นสิว) และยังทิ้งร่องรอยกวนใจ รวมถึงปัญหาอื่นๆ ทั้งความมันเงาบนใบหน้า รูขุมขนกว้าง ถ้ายิ่งเร่งรีบในการรักษาสิว เช่น ไปเลือกใช้ยารักษาสิวที่มีสารสเตรียรอยด์เพื่อการเห็นผลที่ดีกว่าในระยะสั้น แต่อาจต้องเผชิญกับปัญหาที่หนักหนากว่าเดิมในระยะยาว ดังนั้น เพื่อการรักษาสิวให้ได้ผลอย่างถาวรเราต้องให้เวลาทั้งหาสาเหตุ ทำความเข้าใจ และแก้ไขดูแลไปพร้อมๆ กันค่ะ

ลดริ้วรอย บอกลาตีนกา ใบหน้าเรียบตึงแบบไม่ต้องผ่าตัดต้องทำยังไง

102

สำหรับคุณสาวๆ หลายท่านที่ยังคงกลุ้มใจกับปัญหาของริ้วรอย รอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า ที่แม้คุณจะพยายามดูแลผิวอย่างดีแล้ว แต่ริ้วรอยก็สามารถเกิดขึ้นได้ตามธรรมชาติและวัยที่เพิ่มขึ้น แต่ในปัจจุบันเรามีทางลัดเพื่อทำให้ใบหน้ายังคงความอ่อนเยาว์ ตึงเรียบเนียน ด้วยการใช้ เทคโนโลยีการรักษาลดริ้วรอย อย่างได้ผลเข้ามาช่วยแบบที่ไม่ต้องผ่าตัดให้เจ็บตัว แถมยังเห็นผลลัพธ์หลังการทำว่าสามารถลดริ้วรอย ลบรอยตีนกา และช่วยทำให้ใบหน้าเรียบตึงได้จริงในเวลาไม่นาน เราได้นำหลากหลายวิธีการลดริ้วรอยมานำเสนอ ดังนี้ค่ะ

image003 19

ทรีทเม้นท์ผิวหน้า คือ กระบวนการเพื่อปรนนิบัติผิวหน้า อาจมีหลายขั้นตอน ซึ่งแต่ละขั้นตอนจะเน้นเพื่อการขจัดปัญหาแต่ละสภาพผิวไม่ว่าจะเป็น การทำความสะอาดผิวหน้า การผลัดเซลล์หรือขจัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพโดยไม่ทำลายผิวการทำทรีทเม้นท์ช่วยเติ่มความชุ่มชื่น ลดริ้วลอย ลดกระฝ้าและจุดด่างดำ บำรุงคืนความแข็งแรง ลดการอุดตัน และเพิ่มความกระจ่างใสให้ใบหน้าค่ะ

image005 18

การฉีดโบ หรือการใช้สารพิษจากแบคทีเรีย ซึ่งเมื่อฉีดเข้าไปยังกล้ามเนื้อเฉพาะส่วน จะช่วยลดการทำงานของกล้ามเนื้อบริเวณนั้น ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดไม่ขยับ จึงไม่เกิดการสร้างริ้วรอยขึ้นนั่นเองค่ะบริเวณที่นิยมฉีดโบ ได้แก่ หน้าผาก หางตา รอยขมวดคิ้ว ลำคอ และกรอบหน้า ซึ่งใช้เวลาไม่นานก็สามารถเห็นผลลดริ้วรอยได้ชัดเจน

การฉีดฉีดโบลดริ้วรอย จำเป็นต้องให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้ทำการรักษา เพราะหากฉีดโดยผู้ที่ไม่ได้เชี่ยวชาญโดยตรงอาจได้รับฉีดโบปลอมหรือไร้คุณภาพ หรืออาจไม่ได้รับการฉีดโบในปริมาณที่พอเหมาะทำให้ไม่เห็นผล หรืออาจเลวร้ายถึงกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้าเบี้ยวผิดรูปร่างหากฉีดในบริเวณที่ไม่เหมาะสมได้เลยค่ะ

การเติมฟิลเลอร์  คือ สารเติมเต็ม ใช้สำหรับเติมเต็มหรือเสริมในชั้นผิวหนังหรือใต้ผิวหนัง ส่วนใหญ่แล้วแพทย์จะใช้ฟิลเลอร์เพื่อลดริ้วรอยและแก้ไขปัญหารอยร่องลึก ที่เกิดขึ้นบริเวณต่างๆ ของใบหน้า ไม่ว่าจะเป็น หน้าผาก ลดริ้วรอยร่องลึกรอบดวงตา ลดริ้วรอยร่องลึกมุมปาก และยังสามารถนำมาช่วยในการแก้ไขปรับแต่งรูปหน้าด้วยฟิลเลอร์ได้อีกด้วย เช่น เติมริมฝีปาก ร่องแก้ม และในบางรายที่เมื่อเริ่มมีอายุมากขึ้นทำให้แก้มดูตอบลงก็สามารถใช้ฟิลเลอร์ในการแก้ปัญหาแก้มตอบได้เช่นกันค่ะ หรือแม้กระทั่งนำมาใช้ในการบำรุงผิวให้กลับกระชับเปล่งปลั่ง ในบริเวณใบหน้า ลำคอ หลังมือ หรือบริเวณผิวหน้าอกก็นิยมทำกันไม่น้อย

ในปัจจุบัน ฟิลเลอร์หรือสารเติมเต็ม สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ชนิด คือ ชนิดแรก สารเติมเต็มแบบชั่วคราว (Temporary Filler) จะมีอายุการใช้งานโดยประมาณ 4-6 เดือน มีความปลอดภัยค่อนข้างสูง และยังสามารถสลายตัวได้เองตามธรรมชาติ และเป็นชนิดที่คนนิยมกันมากที่สุด ชนิดที่สองเราจะเรียกว่า แบบกึ่งถาวร (Semi Permanent Filler) แบบนี้จะมีอายุยาวกว่าแบบแรก สามารถอยู่ได้นานประมาณ 2 ปี มีความปลอดภัยในระดับปานกลาง และชนิดสุดท้าย แบบถาวร (Permanent Filler) จะเป็นสารเติมเต็มจำพวก ซิลิโคน หรือ พาราฟิน หลังฉีดไปแล้วจะสามารถอยู่ในผิวไปได้ตลอดไม่สลายไปตามธรรมชาติแต่ก็จะมีผลข้างเคียงในระยะยาว แต่การฉีดเพื่อเสริมจุดต่างๆ ที่กล่าวไปนั้นจำเป็นต้องได้รับการฉีดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางเท่านั้น เพราะหากฉีดผิดจุด หรือพลาดไปโดนจุดสำคัญบนใบหน้าอาจเกิดผลเสียตามมาได้ค่ะ

การใช้ Nu Pico Laser แสงเลเซอร์เองมีทั้งกลุ่มที่ทำให้เกิดรอยแผลบนผิวหนัง และแบบไม่ทำให้เกิดรอยแผลบนผิวหนัง โดยเลเซอร์ทั้งสองชนิดนี้มีวัตถุประสงค์เข้าไปช่วยให้ผิวกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่  เพื่อ ลดริ้วรอย ซึ่งเลเซอร์ชนิดที่ทำให้เกิดรอยแผลจะใช้เวลาในการฟื้นตัวของผิวหลังเลเซอร์นานกว่า แต่ประสิทธิภาพในการรักษาดีกว่า เหมาะกับคนที่มีริ้วรอยร่องลึก ส่วนเลเซอร์แบบไม่ทำให้เกิดรอยแผลจะเหมาะกับคนที่มีริ้วรอยไม่มากนัก

การใช้คลื่นวิทยุ HIFU ในการลดริ้วรอย เป็นการใช้เครื่องมือส่งผ่านพลังงานชนิดที่มีความเข้มข้น ในรูปของคลื่นความถี่วิทยุสูงลงไปทำปฏิกิริยากับผิวได้ถึง 3 ระดับอย่างแม่นยำ คือ ผิวหนังแท้ชั้นตื้นๆ ชั้นเนื้อเยื่อคอลลาเจน และชั้นเนื้อเยื่อพังผืดที่ห่อหุ้มกล้ามเนื้อ ส่งผลให้เนื้อเยื่อบริเวณดังกล่าวหดกระชับและยกตัวขึ้น และเกิดกระบวนการสร้างเนื้อเยื่อคอลลาเจนและอิลาสตินออกใหม่ ผลลัพธ์คือ ผิวที่แน่นกระชับ หน้าเรียวเข้ารูป ริ้วรอยหย่อนคล้อยแลดูลดเลือนลง รวมถึงลดริ้วรอยรอบดวงตาให้จางลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งการรักษาด้วยคลื่นวิทยุ HIFU นี้จะเห็นได้ถึงความเปลี่ยนแปลงอย่างน้อย 2 สัปดาห์ หลังทำการรักษาค่ะ

image007 8

การใช้พลังงานอัลตร้าซาวด์ จุดเด่นของพลังงานอัลตร้าซาวด์ คือ สามารถส่งพลังงานลงไปใต้ผิวได้ลึกถึง 4.5 มิลลิเมตร ซึ่งเป็นระดับความลึกบริเวณที่เป็นชั้นพังผืดที่ห่อหุ้มกล้ามเนื้อ (SMAS) โดยที่พลังงานจะไม่ทำให้เกิดอันตรายกับผิวด้านบน แต่พลังงานอัลตร้าซาวด์จะลงไปทำปฏิกิริยา เฉพาะเจาะจงกับชั้นพังผืด SMAS ทำให้พังผืดที่ห่อหุ้มกล้ามเนื้อหดตัว ส่งผลให้กล้ามเนื้อและผิวด้านบนที่อยู่เหนือชั้น SMAS ถูกดึงให้หดกระชับตามไปด้วย

ผลลัพธ์ก็คือ โครงสร้างผิวของเราจะดูยกกระชับตึงตัวขึ้นคล้ายๆ กับวิธีการดึงหน้าที่ศัลยแพทย์จะเปิดผิวด้านบนและทำการดึงแผ่นเนื้อเยื่อพังพืด SMAS นี้ให้กระชับขึ้น ตัดส่วนเกินออกแล้วค่อยเย็บปิดแผลด้านบนอีกที จะเห็นว่า หลักการคล้ายๆ กัน แต่การใช้เทคโนโยลีช่วยยกกระชับผิวไม่ใช่การผ่าตัดจึงไม่มีแผลไม่ต้องใช้ระยะเวลาพักฟื้น เมื่อพังผืดกล้ามเนื้อหดตึง ดึงยกชั้นผิวให้ตึงกระชับตามไปด้วย รูปหน้าก็จะกลับมายกกระชับ คิ้ว เปลือกตา ก็จะยกสูงขึ้น ผิวใต้คางและลำคอ ก็จะกระชับเข้ารูปขึ้น ใบหน้าโดยรวมกลับมาแลดูสดใส อ่อนเยาว์ ลดริ้วรอย และรอยตีนกาอย่างเห็นผล จุดเด่นของพลังงานอัลตร้าซาวด์ คือสามารถลงลึกไปใต้ผิว ได้มากกว่าพลังงานเลเซอร์หรือพลังงานคลื่นความถี่วิทยุค่ะ

image009 5

คุณสาวๆ สามารถเลือกใช้เทคโนโลยีเพื่อลดริ้วรอยได้ตามความพึงพอใจตามความเหมาะสม ซึ่งระยะเวลาในการเห็นผลของแต่ละคนอาจไม่เท่ากัน ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคลด้วยค่ะ

แชร์วิธีลดริ้วรอยรอบดวงตาแบบเห็นผลเวิร์คสุดๆ

101

หนึ่งในปัญหาน่าหนักใจอันดับต้นๆ สำหรับสาวๆ ที่มีอายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป ก็คือ ปัญหาริ้วรอยรอบดวงตา ทั้งรอยตีนกา ปัญหาใต้ตาเหี่ยวย่น มีถุงบวมใต้ตา หรือขอบตาดำคล้ำ ที่มันสร้างความปวดใจทุกครั้งที่เราส่องกระจกเลยล่ะค่ะ ยิ่งอายุมากขึ้นเจ้าปัญหารอยเหี่ยวย่นรอบดวงตาก็ยิ่งปรากฏชัดเจนขึ้น ทั้งนี้ เราลองมาดูสาเหตุของปัญหาริ้วรอยรอบดวงตาเหล่านี้ รวมไปถึงวิธีการลดริ้วรอยใต้ดวงตาแบบเห็นผลเวิร์คสุดๆ กันดีกว่าค่ะ

image003 18

ปัญหาริ้วรอยรอบดวงตาเกิดจากอะไร

– ปัญหารอยเหี่ยวย่นใต้ตา ปัญหารอยตีนกา กลายเป็นปัญหาใหญ่ของการสร้างรอยยิ้ม และเสียงหัวเราะของสาวๆ เลยค่ะ เพราะทุกครั้งที่ฉีกยิ้มหรือมีเสียงหัวเราะ เจ้ารอยตีนกาและรอยย่นใต้ตาจะปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนมาก จนบางครั้งสาวๆ อาจจะขาดความมั่นใจในรอยยิ้มเพราะอายที่มีรอยตีนกาขึ้นเป็นริ้วๆ ให้ผู้อื่นเห็น

สาเหตุของรอยเหี่ยวย่นใต้ตาและรอยตีนกา เกิดจากคอลลาเจนและอิลาสตินในผิวถูกทำลาย ทำให้ผิวสูญเสียความยืดหยุ่นและความกระชับ จึงเกิดริ้วรอยร่องลึก ริ้วรอยรอบดวงตา รอยย่นใต้ตา ริ้วรอยใต้ตาโดยเฉพาะบริเวณ หางตา ใต้ตา รอบดวงตา ซึ่งผิวหนังรอบดวงตามักเป็นบริเวณที่เกิดริ้วรอยได้เร็วกว่าผิวหนังบริเวณ เนื่องจากความละเอียดเเละบอบบางของผิวหนังบริเวณนี้ ร่วมกับสาเหตุกระตุ้นต่างๆ เช่น การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อเวลาที่มีการเเสดงออกทางใบหน้า เช่น การยิ้ม การหัวเราะ หรือเวลาที่คุณร้องไห้ การขยี้ตาบ่อยๆ รวมไปถึงผิวหนังถูกทำลายด้วยเเสงเเดดหรือบุหรี่ การระคายเคืองอย่างเรื้อรังของผิวหนังใต้ดวงตา ทั้งหมดทั้งมวลนี้ ล้วนเเล้วเเต่ก่อให้เกิดริ้วรอยที่ไม่ต้องการบริเวณรอบดวงตาทั้งสิ้นค่ะ

– ปัญหาถุงใต้ตาบวม หากมองดูเผินๆ อาจจะคิดว่าเพิ่งร้องไห้จนตาบวม แต่ความเป็นจริงแล้ว มันคือปัญหาถุงใต้ตาบวมค่ะ ซึ่งเกิดจากการสะสมของน้ำและไขมันรอบดวงตา เมื่ออายุเริ่มมากขึ้น คอลลาเจนและอิลาสตินในผิวก็จะเริ่มเสื่อมและหย่อนคล้อยทำให้เกิดการสะสมของน้ำและไขมันมากขึ้น ยิ่งสะสมมากเท่าไหร่ น้ำหนัก และขนาดของถุงใต้ตายิ่งเพิ่มมากขึ้นจนปรากฏให้เห็นเด่นชัดขึ้นค่ะ สำหรับการคั่งของน้ำนั้นเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น โรคภูมิเเพ้ การติดเชื้อในโพรงไซนัสความดันโลหิตสูง การรับประทานอาหารที่มีรสเค็มมากเกินไป หรือกระทั่งการร้องไห้ก็ทำให้เกิดอาการนี้ได้เช่นกัน

– ปัญหาขอบตาคล้ำเป็นหมีแพนด้า สำหรับปัญหาน่าหนักใจนี้ สาเหตุเกิดจากการไหลเวียนของเลือดไม่ดี ทำให้เส้นเลือดดำขยายตัว เกิดการคั่งค้างและรั่วซึมของเลือดรอบดวงตาเนื่องจากเส้นเลือดฝอยเปราะบางลง ทำให้ขอบตาดำและขอบตาคล้ำ หรืออาจเกิดจากการสะสมของเมลานินใต้ผิวหนัง อันเนื่องมาจากสาเหตุทางพันธุกรรม หรือสาเหตุอื่นๆ ที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองของผิวหนังบริเวณใต้ดวงตา เช่น การถูหรือขยี้ตาบ่อยๆ  การเป็นผิวหนังอักเสบทรวมไปถึงการเเพ้เครื่องสำอางค่ะ

image005 17

เมื่อทราบถึงปัญหาของริ้วรอยต่างๆ รอบดวงตากันแล้ว คราวนี้เราลองมาดูวิธีลดริ้วรอย รอยเหี่ยวย่นรอบดวงตากันบ้าง ว่ามีวิธีไหนมาแนะนำให้คุณสาวๆ นำไปปฏิบัติแล้วเห็นผล มาดูกันเลยค่ะ

วิธีลดริ้วรอยรอบดวงตา

image007 7

1. หมั่นดูแลเอาใจใส่ผิวรอบดวงตา

สิ่งสำคัญ คือ คุณควรหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดริ้วรอยรอบดวงตาได้ เพื่อลดริ้วรอยรอบดวงตาไม่ว่าจะเป็นการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ พักผ่อนสายตาบ้างถ้าต้องนั่งจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์เป็นเวลานาน ไม่ขยี้ตาหรือถูตาแรงๆ เช็ดเครื่องสำอางรอบดวงตาอย่างเบามือ สวมแว่นกันแดดและทาครีมกันแดดทุกครั้งเมื่ออยู่กลางแจ้ง หมั่นทาครีมบำรุงรอบดวงตาทุกวัน รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ควบคุมการบริโภคอาหารรสเค็ม ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อช่วยให้ผิวกระชับเต่งตึง ลดริ้วรอย งดการสูบบุหรี่ หรือในกรณีที่มีโรคภูมิแพ้คุณควรรักษาโรคภูมิแพ้ก่อน เนื่องจากภูมิแพ้อาจก่อให้เกิดอาการคันและทำให้ขยี้ตาบ่อยขึ้น จนส่งผลให้มีริ้วรอยใต้ตาร่วมด้วย

2. ใช้ครีมบำรุงรอบดวงตาให้ถูกต้อง

สำหรับคุณสาวๆ ใช้ครีมบำรุงผิวรอบดวงตาเพื่อลดริ้วรอย ก่อนอื่นควรเลือกใช้ครีมให้ตรงกับปัญหาที่เกิดขึ้นที่ผิวรอบดวงตาเช่น มีริ้วรอยใต้ตา มีถุงใต้ตา หรือมีรอยคล้ำใต้ตา ในปัจจุบันมีครีมที่แก้ปัญหา ลดริ้วรอยรอบดวงตาเหล่านี้โดยเฉพาะแล้ว ควรเลือกซื้อให้ตรงกับปัญหาผิวรอบดวงตา  ถ้ามีส่วนผสมของสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ก็จะช่วยฟื้นฟูผิวรอบๆ ดวงตาของคุณให้สดใสขึ้น หรือถ้ามีส่วนผสมของ คาโมมายล์ ก็จะช่วยลดการระคายเคืองของดวงตาได้ดีค่ะ

3. สูตรลดริ้วรอยรอบดวงตาแบบทำเองที่บ้าน

image009 4
  1. ไข่ขาว ช่วยให้ผิวมีความเต่งตึง ช่วยลดริ้วรอยและป้องกันการเกิดริ้วรอยได้ด้วย วิธีทำ คือ แยกไข่ขาวออกมาแล้วทาบางๆบริเวณผิวรอบดวงตา พอเริ่มรู้สึกตึงๆ ก็ล้างออกได้ค่ะ ทั้งนี้ไม่ควรทิ้งไว้นานมากเกินไปเพราะแรงดึงที่มากของไข่ขาวอาจทำให้เกิดเป็นถุงใต้ตาได้ค่ะ
  2. แตงกวา แตงกวามีความชุ่มชื้นมากและยังช่วยลดริ้วรอย ใต้ตาคล้ำได้ด้วยค่ะวิธีทำ คือ หั่นแตงกวาเป็นชิ้นบางๆ แช่ไว้ในตู้เย็นแล้วแปะใต้ตา 15 นาที ทุกวันแค่นี้ผิวใต้ตาก็จะชุ่มชื่น อ่อนเยาว์แล้วค่ะ
  3.  น้ำมันมะพร้าว มีสรรพคุณช่วยฟื้นฟูผิว และทำให้รอยเหี่ยวย่น ลดริ้วรอยรอบดวงตาให้ตื้นขึ้นได้ค่ะ โดยให้ทาน้ำมันมะพร้าวบริเวณใต้ตาแล้วนวดคลึงเบาๆประมาณ 10 นาที แล้วทิ้งไว้ข้ามคืน รับรองตื่นมาผิวใต้ตานุ่มเต่งตึงค่ะ
  4.  น้ำมันมะกอก มีคุณสมบัติช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวได้เป็นอย่างดีโดยนวดผิวใต้ตาด้วยน้ำมันมะกอก ประมาณ 3-4 นาที หรือนานกว่านี้ก็ได้ค่ะแล้วทิ้งไว้ข้ามคืนก็จะช่วยลดริ้วรอยใต้ตาลงได้ค่ะ
  5.  อโวคาโด มีไขมันดีปริมาณมากที่ดีต่อผิวหนัง วิธีทำ คือ หั่นอโวคาโดเป็นแผ่นบางๆแปะบริเวณผิวใต้ตานาน 15 นาที กดแผ่นลงเบาๆ ให้ไขมันซึมลงสู่ผิว จะช่วยลดริ้วรอยทั้งรอยเหี่ยวย่นและรอยดำใต้ตาได้ดีเลยค่ะ
  6.  น้ำผึ้งผสมขิง น้ำผึ้งเป็นสารให้ความชุ่มชื้นกับผิวที่ดีมาก ส่วนขิงก็ช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้นวิธีทำ คือ เอาขิงสกัด 1 ช้อน ผสมกับน้ำผึ้งครึ่งช้อน ทาบริเวณใต้ตาแล้วนวดเบาๆประมาณ 10 นาที ทิ้งไว้ 1 ชม. แล้วล้างออก แค่นี้ผิวก็จะชุ่มชื้นและมีเลือดมาเลี้ยงดีขึ้น ริ้วรอยก็จะจางลงค่ะ

4. รักษาด้วยคลื่นวิทยุ HIFU (High Intensity Focused Ultrasound)

เป็นการใช้เครื่องมือส่งผ่านพลังงานชนิดที่มีความเข้มข้น ในรูปของคลื่นความถี่วิทยุสูงลงไปทำปฏิกิริยากับผิวได้ถึง 3 ระดับอย่างแม่นยำ คือ ผิวหนังแท้ชั้นตื้นๆ ชั้นเนื้อเยื่อคอลลาเจน และชั้นเนื้อเยื่อพังผืดที่ห่อหุ้มกล้ามเนื้อ ส่งผลให้เนื้อเยื่อบริเวณดังกล่าวหดกระชับและยกตัวขึ้น และเกิดกระบวนการสร้างเนื้อเยื่อคอลลาเจนและอิลาสตินออกใหม่ ผลลัพธ์คือ ผิวที่แน่นกระชับ หน้าเรียวเข้ารูป ริ้วรอยหย่อนคล้อยแลดูลดเลือนลง รวมถึงลดริ้วรอยรอบดวงตาให้จางลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งการรักษาด้วยคลื่นวิทยุ HIFU นี้จะเห็นได้ถึงความเปลี่ยนแปลงอย่างน้อย 2 สัปดาห์ หลังทำการรักษาค่ะ

5. ทำเลเซอร์ลดริ้วรอยรอบดวงตา

โดยการปล่อยพลังงานแสงลงไปใต้ผิวด้วยความเร็วสูง คลื่นแสงความเร็วสูงนี้จะไปกระแทกเม็ดสีให้แตกละเอียดออกเป็นเม็ดเล็กๆ ทันที โดยไม่ทันจะเกิดความร้อนสะสม ไม่เสี่ยงต่อผิวไหม้ช่วยลดความเสี่ยงเรื่องการเกิดรอยดำหลังการรักษา และยังช่วยกระตุ้นกระบวนการผลิตคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ส่งผลให้ผิวเรียบเนียนน่าสัมผัส และช่วยลดริ้วรอยรอบดวงตาได้ค่ะ

image011

6. ลดริ้วรอยด้วยการฉีดโบ 

เพื่อลดริ้วรอยใต้ตาที่เป็นริ้วเล็กๆ รวมถึงรอยตีนกาอย่างได้ผลภายใน 1-2 สัปดาห์หลังทำ โดยการฉีดโบจะมีคุณสมบัติทำให้กล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดเกิดการคลายตัวชั่วคราว ทำให้ริ้วรอยจางลงอย่างชัดเจน เหมาะกับคนที่ใช้สารพัดครีมใต้ดวงตามาแล้วแต่ไม่ได้ผล โดยควรทำการฉีดซ้ำทุกๆ 6-8 เดือน และฉีดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้นนะคะ เพราะถ้าฉีดมากเกินไปจะทำให้ใต้ตาดูตึงและยิ้มแล้วไม่เป็นธรรมชาติค่ะ

7. เติมเต็มร่องลึกใต้ตาด้วยฟิลเลอร์ (Filler)

สำหรับผู้ที่มีริ้วรอยใต้ตาค่อนข้างเยอะและมีปัญหาร่องใต้ตาไม่ลึกหรือกว้างมากนัก (แอ่งใต้ตา หรือเบ้าตาลึก) คุณอาจใช้วิธีเติมฟิลเลอร์เพื่อเติมเต็มแอ่งใต้ตาให้ตื้นขึ้นจะช่วยลดริ้วรอยเหี่ยวย่นใต้ตา ร่องใต้ตาลึก และทำให้ใต้ตาดูอวบอิ่มสดใสมากขึ้นกว่าเดิมได้ค่ะ

เคล็ดลับขจัดปัญหาหน้าเหี่ยวย่น ลดริ้วรอยบนใบหน้าง่ายๆ ด้วยตัวคุณเอง

100

เมื่อกาลเวลาผ่านไป ย่อมมาพร้อมการเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่งต่างๆ รอบตัว รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของร่างกายเรา จากวัยเด็กสู่วัยรุ่น จนล่วงเลยเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ และสิ่งที่ปรากฎชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ บนใบหน้าของเราก็คือ ริ้วรอยเหี่ยวย่นนั่นเองค่ะ ยิ่งมีอายุมากขึ้นเท่าไหร่เจ้าริ้วรอยเหี่ยวย่นก็ยิ่งมีเพิ่มมากขึ้น แต่ช้าก่อนค่ะ ถึงแม้ว่าเราไม่อาจหยุดยั้งกาลเวลาเอาไว้ได้ แต่เราสามารถชะลอความเหี่ยวย่น และลดริ้วรอยบนใบหน้าของเราให้ดูอ่อนเยาว์กว่าวัยได้ ซึ่งเคล็ดลับที่ทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ และวิธีลดริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าแบบง่ายๆ คุณสามารถทำเองได้ จะมีวิธีใดบ้างนั้น มาลองดูกันและอย่าลืมปฏิบัติตามด้วยนะคะ

เช็คริ้วรอยบนใบหน้าในแต่ละช่วงวัย

  • ในช่วงอายุปลาย 20 จะเริ่มมีริ้วรอยบางๆ เกิดขึ้นที่ใต้ตา หรือมีริ้วรอยรอบๆ ดวงตา ซึ่งเป็นผลจากการยิ้ม หัวเราะ และการแสดงอารมณ์ในชีวิตประจำวันค่ะ
  • ในช่วงอายุ 30 ต้นๆ จะเริ่มมีริ้วรอยบางๆ และริ้วรอยที่รอบดวงตาจะลึกขึ้น และรวมตัวชัดเจนเป็นรอยเหี่ยวย่น จนเริ่มสังเกตเห็นและเริ่มมีรอยตีนกาที่หางตา มีริ้วรอยบางๆ ระหว่างคิ้วและบนหน้าผาก ซึ่งเป็นผลมาจากการที่คุณขมวดคิ้วอยู่เป็นประจำนั่นเองค่ะ
image001 1
  • ในช่วงปลายอายุ 30 รอยเหี่ยวย่น หรือเส้นริ้วรอยที่รอบดวงตา หน้าผาก และหว่างคิ้วจะเพิ่มมากขึ้น ตามด้วยการเกิดรอยเหี่ยวย่นรอบริมฝีปาก รอยเหี่ยวย่นที่ใต้ตาและร่องแก้มเริ่มหย่อนคล้อยลงตามแรงโน้มถ่วงของโลกค่ะ
  • ในช่วงอายุ 40 ขึ้นไป จะมีรอยเหี่ยวย่นที่รอบดวงตา รอบริมฝีปาก บนหน้าผาก และหว่างคิ้ว ทุกอย่างจะชัดเจนขึ้นมาก และยังเกิดรอยเหี่ยวย่นจากการหย่อนคล้อยของผิวหน้า และมีเส้นริ้วรอยที่ลำคอเพิ่มขึ้นด้วยค่ะ

วิธีลดริ้วรอย ลดตีนกา ลดรอยเหี่ยวย่น เพื่อขจัดปัญหาหน้าแก่ด้วยตัวเอง

image005 16

1. หลีกเลี่ยงพฤติกรรมต่างๆ ที่สามารถส่งผลให้เกิดรอยตีนกาและริ้วรอยก่อนวัย เช่น การสูบบุหรี่ การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ อันเป็นสาเหตุแห่งริ้วรอย  การสูบบุหรี่ทำให้หน้าแห้ง หน้าเหี่ยว เกิดร่องลึกบริเวณใบหน้า เพราะประสิทธิภาพในการสร้างคอลลาเจนลดลง อีกทั้งยังทำให้ริมฝีปากคล้ำด้วยนะ หากหลีกเลี่ยงก็ช่วยลดริ้วรอยได้ และสาเหตุอีกอย่างที่ตามมาติดๆ หนีไม่พ้นการดื่มแอลกอฮอล์ เพราะการดื่มแอลกอฮอล์บ่อยๆ ทำให้ผิวหนังของเราขาดน้ำ เสียความยืดหยุ่น และทำให้เกิดริ้วรอยได้ง่ายค่ะ เมื่อรู้แบบนี้แล้ว ใครที่รักการปาร์ตี้เป็นชีวิตจิตใจคงต้องเพลาๆ ลงบ้างนะคะ เพื่อลดริ้วรอย ถ้าไม่อยากหน้าเหี่ยวก่อนวัยอันควร

2. พยายามอย่าเครียด เพราะความเครียดทำให้เกิดรอยย่นที่หน้าผาก และการติดนิสัยขมวดคิ้วบ่อยๆ ก็ทำให้เป็นรอยที่หว่างคิ้ว ดังนั้น พยายามหากิจกรรมอะไรทำเพื่อคลายเครียด ตามสไตล์ความชอบของแต่ละคนนะคะ จะช่วยลดริ้วรอยร่องลึกลงได้ และช่วยทำให้ใบหน้าผ่องใสขึ้นด้วยค่ะ

3. หลีกเลี่ยงการเผชิญแสงแดด เนื่องจากแสงแดดเป็นตัวทำลายคอลลาเจนที่ร้ายกาจที่สุดค่ะ ฉะนั้นวิธีต่อสู้กับแสงแดดที่ได้ผลที่สุดคือ การหลีกเลี่ยง เพราะแม้การทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF และ PAสูงๆ จะช่วยปกป้องผิวของคุณจากรังสี UV ตัวร้ายได้ในระดับหนึ่ง แต่สารตกค้างที่มาจากครีมกันแดด ก็อาจทำให้ผิวกร้าน และเกิดการระคายเคืองได้เช่นกันค่ะ ส่วนคนที่ผิวมัน เมื่อทาครีมกันแดดก็อาจทำให้เกิดสิว หน้ามัน เพราะฉะนั้น วิธีที่ดีที่สุดหลีกเลี่ยงแดดจัดมากที่สุดเท่าที่ทำได้ก็สามารถลดริ้วรอยที่อาจเกิดขึ้นได้ค่ะ

4. เลือกกินอาหารที่มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดริ้วรอย อาหารที่มีวิตามินและแร่ธาตุ เช่น วิตามินซี วิตามินอี ซึ่งมีอยู่มากมายในผัก และผลไม้ เช่น คะน้า ผักโขม กะหล่ำปลี อโวคาโด้ น้ำมันมะกอก มะขามป้อม ฝรั่ง ส้ม นอกจากนี้ ต้องหลีกเลี่ยงมลภาวะจากสิ่งแวดล้อมด้วยค่ะ

5. สครับผิวกันบ้างดีกว่า การสครับผิวหน้าเป็นการช่วยกำจัดเซลล์ผิวเก่าที่ตายแล้วออกไป เผยผิวใหม่ที่สดใสกว่า และกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ได้ด้วย จะได้มาช่วยลดริ้วรอย เติมร่องริ้วรอยให้ตื้นและเรียบขึ้น รวมถึงยังเปิดทางให้สารบำรุงจากผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ใช้ซึมซาบเข้าสู่ผิวได้ดีกว่าเดิมด้วยค่ะ

6. นวดหน้ากระตุ้นการไหวเวียนโลหิต สำหรับใครไม่ค่อยได้นวดผิวหน้าตัวเองก็ลองมาทำกันดูนะคะ จะนวดตอนล้างหน้า มาส์กหน้า หรือตอนทาครีมบำรุงก็ได้ค่ะ โดยใช้ปลายนิ้วนวดวนไล่จากแก้มสู่คาง แล้ววนขึ้นมาที่หน้าผากจนถึงขมับ การนวดนี้จะช่วยให้ระบบไหลเวียนโลหิตใต้ผิวหนังเดินได้สะดวก เลือดจึงลำเลียงทั้งสารอาหารและออกซิเจนมาสู่เซลล์ผิวได้เต็มที่ ผิวหน้าจึงดูเต่งตึงสดใส เมื่อทำเป็นประจำก็ช่วยลดริ้วรอยให้จางลง และริ้วรอยจะค่อยๆ หายไปด้วยนะ

image007 6

7. เลือกใช้ครีมที่มีส่วนผสมของ Antioxidant, Hyaluronic, Retinoid ช่วยลดริ้วรอย โดยในครีมทาผิวทั่วๆ ไปมักมีส่วนผสมหลักเหล่านี้อยู่ในปริมาณน้อย จึงต้องทาทุกวัน แต่หากใช้ตัวครีมที่มีส่วนผสมของ Retinoid ด้วยแนะนำว่าให้หลีกเลี่ยงแสงแดดด้วยค่ะ เพราะยาชนิดนี้ไวต่อแสง อาจทำให้ผิวมีสีเข้มขึ้นได้ และควรใช้คู่กับมอยส์เจอร์ไรเซอร์ เนื่องจากค่อนข้างจะระคายเคืองและทำให้ผิวแห้งค่ะ

image009 3

และอีกสิ่งที่สำคัญคือ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอค่ะ เพราะนอกจากคนที่มีร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์จะดูแก่ช้ากว่าคนรุ่นราวคราวเดียวกันแล้วนั้น การออกกำลังกายยังส่งผลดีอย่างมากต่อสุขภาพ ช่วยทำให้เราห่างไกลจากโรคร้ายต่างๆ มีอายุแข็งแรงยืนยาวไปอีกนานและยังช่วยลดริ้วรอยได้อีกค่ะ

10 พฤติกรรมทำหน้าเหี่ยวก่อนวัย และวิธีแก้ไขเพื่อลดริ้วรอย

99

เคยทราบหรือไม่คะว่าพฤติกรรมบางอย่างที่เราเคยทำอยู่เป็นประจำเนี่ย สามารถส่งผลเสียต่อผิวพรรณ และทำให้เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าก่อนวัยได้อย่างที่เราคาดไม่ถึงเชียวค่ะ เราจะมาดูกันว่า พฤติกรรมแบบไหนบ้างนะ ที่ทำให้หน้าเราเหี่ยวทั้งๆ ที่อายุยังไม่มากเท่าไหร่ เพื่อหาวิธีลดริ้วรอยด้วยการหลีกเลี่ยงและแก้ไขค่ะ

1. การนอนตะแคงหรือคว่ำหน้านานๆ

การนอนคว่ำหน้าหรือตะแคงหน้าในทิศทางเดียวกันตลอดทั้งคืนนั้น จะเป็นการย้ำรอยเหี่ยวย่นที่เกิดจากธรรมชาติของเราให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ส่งผลให้คอลลาเจนใต้ผิวหนังเรานั้นทำงานผิดปกติและผิดรูปผิดร่างไปด้วย ซึ่งเมื่อเป็นอย่างนี้แล้วหน้าเราจะมีริ้วบางๆ เป็นเส้นยาวๆ ขึ้นมา หรืออาจจะทำให้หน้าย่นไปเลยก็ได้นะคะ

วิธีแก้ไขเพื่อลดริ้วรอย เพียงคุณลองปรับพฤติกรรมการนอนของตัวเองดูค่ะ หากใครชอบการนอนตะแคง ก็ลองเปลี่ยนข้างดูบ้างหรือทางที่ดีคือ นอนหงายเลยค่ะ นอกจากจะไม่ส่งผลให้หน้าเหี่ยว และช่วยลดริ้วรอยแล้ว ยังเป็นท่าที่หายใจสะดวกที่สุดด้วยนะคะ

2. หน้าเหี่ยวเพราะความเครียด

สาเหตุที่ความเครียดทั้งหลาย มันมีผลกับหน้าตาของเราก็เพราะสมองเนี่ยหล่ะค่ะ ที่เป็นตัวสั่งการให้เราแสดงออกทางหน้าตา ทุกครั้งที่เราเครียด วิตกกังวล หรือไม่สบายใจหน้าเราจะบูดบึ้งจนคิ้วขมวดเข้าหากัน คือสาเหตุของการเหี่ยวย่นและริ้วรอยบนใบหน้าค่ะ

วิธีแก้ไขเพื่อลดริ้วรอย ปัญหาความเครียดเกิดมาจากความคิดของเราค่ะ เพราะฉะนั้น เรื่องบางหากสามารถปล่อยวางได้ก็ต้องปล่อยวาง หรือหากเผชิญปัญหาที่ยังแก้ไม่ตกก็ควรหาใครสักคนที่เราสามารถระบายปัญหาได้เพื่อคลายความอึดอัด เชื่อว่าปัญหาทุกอย่างสามารถแก้ได้ อยากให้ทุกคนมองโลกไปในทางที่ดีมากกว่าร้าย เพียงแค่คิดบวกก็สามารถลดริ้วรอยบนใบหน้าได้แล้วค่ะ

image003 16

3. ตากแดดมากเกินไป

แสงแดดถือว่าเป็นปัจจัยหลักที่เป็นตัวการของการเกิดริ้วรอย และจุดด่างดำบนใบหน้าค่ะ เนื่องจาก 70% ของการเกิดความชราของผิวหนังขึ้นอยู่กับแสงแดดที่ผิวได้รับในตลอดช่วงอายุของเรา อีกทั้งยังทำให้ความยืดหยุ่นของผิวลดลงและนำไปสู่ผิวหย่อนคล้อย ซึ่งรังสีต่างๆ ในแสงแดดจะไปเร่งให้คอลลาเจนและอิลาสตินภายใต้ผิวหนังซึ่งล้วนแต่เป็นโปรตีนที่ทำให้ผิวหนังเต่งตึงและเรียบเนียนเสื่อมสภาพเร็วขึ้น โดยผ่านกระบวนการออกซิเดชัน ส่งผลให้ผิวเกิดริ้วรอยและแห้งกร้าน

วิธีแก้ไขเพื่อลดริ้วรอย วิธีการปกป้องผิวจากแสงแดดและรังสียูวีเพื่อลดริ้วรอยที่สามารถทำได้ง่ายๆ คือ การทาครีมกันแดดค่ะ ไม่ว่ากิจกรรมประจำวันของคุณต้องออกไปเผชิญแสงแดดหรืออยู่ในที่ร่มก็ไม่ควรละเลยที่จะทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวัน และหากต้องออกแดดเป็นเวลานานก็ควรทาซ้ำทุก 2-3 ชั่วโมงค่ะ เพียงเท่านี้ก็ช่วยป้องกันและลดริ้วรอยได้ค่ะ

4. แต่งหน้าแล้วขี้เกียจล้างออก

สาวๆ ทั้งหลายที่เหน็ดเหนื่อยจากการทำงานมาทั้งวันบางทีก็ขี้เกียจอาบน้ำ แถมลืมล้างหน้าเช็ดเครื่องสำอางออกด้วย ตื่นมาก็อย่าตกใจนะคะเมื่อส่องกระจกแล้วแทบช็อคที่เห็นหน้าตัวเองในเวอร์ชั่นสุดเหี่ยว แนะนำว่า ถึงจะขี้เกียจแค่ไหนก็ขอให้ล้างเครื่องสำอางออกเถอะค่ะ เพราะเครื่องสำอาง และฝุ่นต่างๆ จะเข้าไปอยู่ในรูขุมขนของเราตอนนอน แถมทำลายคอลลาเจนและความยืดหยุ่นของผิวหน้าอีกด้วย นอกจากมีโอกาสเกิดสิวแล้ว การไม่ล้างเครื่องสำอางจะยิ่งไปกระตุ้นให้ผิวดูเหี่ยว ทิ้งริ้วรอยไว้ให้ดูต่างหาก

วิธีแก้ไขเพื่อลดริ้วรอย เอาเป็นว่า ไม่ว่าคุณจะขี้เกียจอาบน้ำแค่ไหนไม่ว่ากันค่ะ แต่ได้โปรดอย่าลืมล้างเครื่องสำอาง และล้างหน้าให้สะอาด เพื่อช่วยป้องกันและลดริ้วรอยนะคะ

5. ผิวหนังเหี่ยวเพราะพฤติกรรม Yo-Yo

พฤติกรรม Yo-Yo ก็คือการ ขึ้นๆ ลงๆ ของน้ำหนักตัวเรานั่นเองค่ะ ซึ่งนี่ก็เป็นปัญหาหลักๆ ของเพศหญิงซะด้วย ไม่ว่าการ Yo-Yo นั้นจะเกิดขึ้นเพราะเราไปทานยาเพื่อลดขนาดร่างกาย หรือเราออกกำลังกายก็ตามมันก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดี เพราะการ Yo-Yo นั้นทำให้ผิวหนังเรายืดๆ หดๆ ไปมาอย่างต่อเนื่อง และมันจะส่งผลกระทบต่ออัตราความยืดหยุ่นของผิวหนังเรานั่นเอง พูดง่ายๆ  คือ “ยืดแล้วไม่ค่อยจะอยากหด” แล้วผิวของเราจะเหี่ยว ย้อย และบางรายอาจทำให้เกิดรอยแตกลายของผิวหนังได้ค่ะ

วิธีแก้ไขเพื่อลดริ้วรอย ต้องพยายามรักษาเสถียรภาพของน้ำหนักตัวเองค่ะ เมื่อลดน้ำหนักแล้วก็รักษาไว้ให้คงที่ หรือถ้าจะปล่อยให้รูปร่างอวบอัด ก็อย่าปล่อยจากอวบกลายเป็นอ้วนนะคะเพราะเมื่อเวลาผอมแล้วมันจะเหี่ยวจนเห็นริ้วรอยชัดเจน หากเกิดขึ้นแล้วยากต่อการลดริ้วรอยค่ะ

6. สูบบุหรี่ และดื่มแอลกอฮอล์

การสูบบุหรี่เป็นสาเหตุหลักของการเกิดริ้วรอยบริเวณที่ผิวหนังบอบบางกว่าบริเวณอื่น เช่น หางตา เหนือริมฝีปากบน เป็นต้น ซึ่งริ้วรอยดังกล่าวจะเกิดเร็วกว่าผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ถึง 10-15 ปี แถมยังทำให้หน้าแห้งได้ง่าย เนื่องมาจากเมื่อคุณสูบบุหรี่จะทำให้วิตามินซีในเลือดลดลงประมาณ 60% เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ ส่งผลให้คอลลาเจนและอิลาสตินลดลง เพราะว่า วิตามินซีถือว่าเป็นองค์ประกอบสำคัญในการผลิตโปรตีนดังกล่าว

image005 15

ในเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีผลข้างเคียงทำให้ผิวแห้ง ซึ่งสามารถสังเกตเห็นได้ในเช้าวันรุ่งขึ้น โดยผิวจะดูไม่สดใส และดูไม่มีน้ำมีนวล อีกทั้งในภายภาคหน้า ผิวก็จะสูญเสียความยืดหยุ่น แต่จะเกิดรอยเหี่ยว รอยย่นแทนเนื่องจากการสูญเสียน้ำ นอกจากนี้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยังส่งผลโดยตรงต่อวิตามิน A ที่ช่วยสร้างสารต้านอนุมูลอิสระ และคอลลาเจนใต้ผิวหนัง เป็นวิตามินสำคัญในการสร้างเซลล์ให้ร่างกาย หากร่างกายมีปริมาณคอลลาเจนที่น้อยลง ผิวก็จะขาดความชุ่มชื้น ความอ่อนเยาว์ และความยืดหยุ่นไปในตัวค่ะ

วิธีแก้ไขเพื่อลดริ้วรอย สำหรับบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้นถ้าลดได้ก็ลดนะคะ เลิกได้ก็เลิก มันไม่ได้ส่งผลดีต่อร่างกายเท่าผลเสียของมันหรอกค่ะ นอกจากนั้นควรดื่มน้ำตามไปเยอะๆ เลย เพราะว่ามันจะทำให้ผิวเราที่แห้งและขาดน้ำกลับมาชุ่มฉ่ำเหมือนเดิม ดังนั้น หากยากป้องกันและลดริ้วรอยก็พยายามเลิกให้ได้ค่ะ

7. เคี้ยวหมากฝรั่ง

สาวๆ คนไหนที่เคี้ยวหมากฝรั่งบ่อยจะสังเกตได้ง่ายมากค่ะ เพราะจะมีริ้วรอยบริเวณรอบปากอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ดูมีอายุเพราะว่ามีรอยย่อนโดยเฉพาะบริเวณปากล่างแถมเคี้ยวมากๆ อาจส่งผลต่อโครงสร้างภายในของปากอีกต่างหาก

วิธีแก้ไขเพื่อลดริ้วรอย แนะนำให้ลดการทานหมากฝรั่งลง เพื่ิอลดริ้วรอยที่เกิดขึ้นนะคะ หรือถ้ากลัวปากเหม็นอาจจะเปลี่ยนเป็นการอมลูกอม หรือหมั่นแปรงฟันบ่อยๆ จะดีกว่าค่ะ

8. โดยสารทางเครื่องบินบ่อยๆ

บางคนออกอาการงงเลยค่ะ ว่าอยู่ในเครื่องบินผิวจะเหี่ยวได้ยังไง เอาเป็นว่าลองนึกดูนะคะ ยิ่งเราในที่สูงแสงแดดยิ่งแรงเพราะไม่ได้ผ่านตัวกรอง และยิ่งเราอยู่บนเครื่องบินแล้วล่ะก็เราจะพบกับแสง UV จากดวงอาทิตย์แบบเต็มๆ ชนิดที่ว่าไม่กรองกันให้เลย ซึ่งเจ้า UV เนี่ยคือศัตรูตัวร้ายที่ทำให้ผิวหนังเราหม่นหมองและเสื่อมสภาพ และมากไปกว่านั้นผิวเราจะแห้งมากกว่าอยู่บนพื้นดินถึง 2 เท่า เพราะอากาศข้างบนนั้นเย็นกว่าข้างล่างมากผิวเราเลยแห้ง การที่ผิวแห้งจะทำให้ผิวของเราขาดความยืดหยุ่น และอาจจะทำให้แตกและเป็นขุยได้ค่ะ

วิธีแก้ไขเพื่อลดริ้วรอย ควรพก Moisturizer ที่มี SPF เป็นส่วนผสมขึ้นเครื่องบินไปด้วย หรือไม่ก็ทาก่อนขึ้นเลยก็ได้ค่ะ เพื่อให้ความชุ่มชื่นลดริ้วรอย (ถ้าใครจะพกก็อย่าให้เกิน 100 มิลลิลิตรนะคะ) และหลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์ อาหารเค็ม และดื่มน้ำเยอะๆ ระหว่างอยู่บนบิน ส่วนใครที่นั่งริมหน้าต่างแนะนำให้เลื่อนที่บังแดดลงมาด้วยค่ะ

9. ใช้ยาที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์

ยาบางชนิดมีส่วนผสมของสเตียรอยด์ เช่น ยาแก้หอบหืด ยาแก้โรคไขข้อกระดูก ยาทารอยแผลเป็น รวมไปถึงยาเพิ่มความขาวทั้งหลายทั้งปวง ซึ่งผลเสียของสเตียรอยด์นั้นจะส่งผลต่อปริมาณคอลลาเจนและอิลาสตินในผิวหนัง และทำให้ผิวหนังบางลง ไม่ทนต่อแดดได้เท่าที่ควร และเมื่อผิวหนังเราไม่มีคอลลาเจนและอิลาสติน แถมยังเจอศัตรูร้ายอย่างแสงอาทิตย์ผิวเราก็มีแต่พังอย่างเดียวค่ะ

วิธีแก้ไขเพื่อลดริ้วรอย สำหรับคนที่ใช้ยาที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์อยู่โดยไม่มีความจำเป็นนั้น แนะนำให้เลิกใช้เถอะค่ะ แต่ถ้าหากมีความจำเป็นในการใช้ยาประเภทนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แนะนำให้หันมาป้องกันผิวหนังตัวเองด้วยการทาครีมกันแดด การหลบแดดในเวลากลางวัน และตอนกลางคืนให้ทาครีมที่ส่วนผสมของเรตินอล เพื่อช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนแทนนะคะ

10. การกินแป้งและน้ำตาลเยอะ

อาหารแปรรูปบางประเภทที่มีแป้งเยอะๆ หรือมีน้ำตาลเยอะๆ นั้น สามารถทำให้เราหน้าเหี่ยวได้ค่ะ เพราะอาหารเหล่านี้จะทำให้น้ำตาลในเลือดเราสูงขึ้น ทำให้ชั้นเซลล์ผิวของเราเกิดการอักเสบขึ้นมา แต่การอักเสบนี้ไม่ได้ทำให้เกิดการเจ็บปวดแต่ประการใดนะคะ แต่ผลจากอาการอักเสบจะส่งผลต่อคอลลาเจนและอิลาสตินที่ทนการอักเสบไม่ไหวจนเสื่อมไปตามสภาพค่ะ

image007 5

วิธีแก้ไขเพื่อลดริ้วรอย พยายามลดทานอาหารที่มีปริมาณของแป้งหรือน้ำตาลเยอะเกินไป แล้วให้เลือกทานผักหรือผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระเยอะ เช่น สับปะรด มะละกอ ฝรั่ง ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ ผลไม้รสเปรี้ยว ฯลฯ เพื่อลดริ้วรอย แถมพ่วงด้วยสุขภาพที่ดีด้วยค่ะ

7 ขั้นตอนการดูแลตัวเองเพื่อลดริ้วรอย ใบหน้าดูอ่อนกว่าวัย

98

การที่จะทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์อยู่เสมอนั้น หากเราดูแลตัวเองเป็นอย่างดีจากภายในและภายนอก รับรองค่ะว่าจะทำให้ดูแก่ช้าลงได้อย่างแน่นอน วันนี้เรามีบทความดีๆ เกี่ยวกับการดูแลผิวอย่างไรให้ดูเปล่งปลั่งสดใส ลดริ้วรอย อ่อนเยาว์กว่าวัย ต้องทำอย่างไรบ้าง รีบตามไปดูกันดีกว่าค่ะ

1. ดื่มน้ำบ่อยๆ ชะลอแก่

ประโยชน์ที่ได้จากการดื่มน้ำนั้นมีมากมาย โดยเฉพาะเรื่องของผิวพรรณช่วยให้ผิวชุ่มชื่น ผิวอิ่มเอิบและอ่อนนุ่ม ป้องกันริ้วรอย ลดริ้วรอยที่เกิดจากความแห้งได้ แต่อีกเหตุผลหนึ่งที่เราควรดื่มน้ำก็คือ ร่างกายมีการสะสมของเสียอยู่ทุกวันจากมลภาวะรอบตัว ซึ่งหากมีมากเข้าก็จะยิ่งกระตุ้นให้ผิวหมอง แห้งกร้าน จุดด่างดำหายช้า ต่อให้ใช้สกินแคร์มากแค่ไหนก็เหมือนไม่ค่อยได้ผล ซึ่งน้ำนี่ล่ะค่ะคือนางเอกที่จะช่วยขับของเสียพวกนี้ออกจากร่างกายได้

image003 15

2. รับประทานอาหารที่มีส่วนช่วยในการต่อต้านริ้วรอย

หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เกิดริ้วรอย คือการมีอนุมูลอิสระสะสมอยู่ในร่างกาย อนุมูลอิสระนี้สามารถกำจัดออกไปได้ด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่มีอยู่ในอาหาร มีอาหารบางอย่างซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถช่วยลดริ้วรอยออกไปจากชั้นผิวได้ ยิ่งคุณอายุมากขึ้นควรจะต้องรับประทานอาหารทะเลเป็นประจำ เพราะมันมีกรดไขมันโอเมก้า 3 และโอเมก้า 6 ซึ่งมีประสิทธิภาพในการต่อต้านริ้วรอย ลดริ้วรอย การรับประทานธาตุเหล็ก วิตามิน และสารอาหารอื่นๆ ในปริมาณที่เหมาะสมก็จะช่วยลดริ้วรอยและทำให้ผิวของคุณดูเปล่งปลั่ง

นอกจากนี้ ผลไม้ตระกูลเบอร์รี ดาร์กช็อกโกแลต ชาเชียว ผักชี ใบโหระพา ขมิ้น ขิง ยังรวมไปถึง วอลนัท ไข่ ปลาซาร์ดีน ปลาทูน่า ถั่วบราซิล หอย ฯลฯ  ผลไม้อย่างเช่น แตงโม สับปะรด แตงกวา อะโวคาโด และมะละกอก็มีส่วนสำคัญในการช่วยลดริ้วรอยด้วยเช่นกัน และข้อสำคัญรับประทานอาหารแค่พอดีกับที่ร่างกายต้องใช้งาน เพื่อไม่ให้ระบบย่อยอาหารของเราทำงานหนักจนเสื่อมสภาพไปอย่างรวดเร็วค่ะ

3. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ

เคยลองสังเกตตัวเองบ้างไหมคะ ว่าทำไมเวลาที่เราพักผ่อนน้อย ริมฝีปากเราถึงแห้ง ผิวพรรณกร้านลง และมีริ้วรอยเกิดขึ้นบนใบหน้า สาเหตุก็เป็นเพราะการนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ ทำให้ร่างกายไม่สามารถซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื้อเยื่อต่างๆ จะไม่สามารถฟื้นฟูให้กลับมาอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ และเป็นเหตุให้เกิดจุดด่างดำหายช้าลง เกิดริ้วรอย ร่องลึก ผิวแห้งกร้าน ผิวหมองคล้ำ ไม่สดใส ดังนั้น ในแต่ละวันเราควรนอนหลับให้ได้ 6-8 ชั่วโมง เป็นอย่างต่ำนะคะ เท่านี้ร่างกายก็จะได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ เพราะเมื่อยามหลับร่างกายจะฟื้นฟูตัวเอง ทำให้ผิวหนังไม่เหี่ยวย่น ลดริ้วรอยตื่นขึ้นมาพร้อมกับใบหน้าที่สดใสดูอ่อนเยาว์ลงอย่างเห็นได้ชัดค่ะ

image005 14

4. ล้างหน้าให้สะอาดก่อนนอนทุกครั้ง

ในยุคสมัยนี้ หากสาวๆ จะแต่งตัวออกจากบ้านแต่ละทีก็ต้องโบกเครื่องสำอางแบบจัดเต็มจนหน้าสวยฉ่ำกันซะหน่อย และยิ่งแต่งหน้าบ่อยเท่าไรก็ยิ่งต้องฝึกนิสัยรักการล้างหน้าให้สะอาดก่อนนอนทุกครั้งด้วยเช่นกัน เพราะการล้างหน้าให้สะอาด คือพื้นฐานของการมีผิวสวยสุขภาพดีนั่นเอง เพียงเช็ดหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเครื่องสำอาง แล้วล้างหน้าตามปกติด้วยผลิตภัณฑ์สูตรอ่อนโยนต่อผิว เพียงเท่านี้ก็สามารถลดริ้วรอย ทำให้หน้าสะอาดสไกลสิว ไปอีกนานค่ะ

shutterstock 1033288084

5. เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยผลัดเซลล์ผิว

โดยปกติแล้วร่างกายจะสร้างคอลลาเจนได้เอง แต่เมื่ออายุ 25 ปี ขึ้นไปคอลลาเจนจะถูกผลิตน้อยลงเรื่อยๆ การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมช่วยผลัดเซลล์จึงถือเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการป้องกันริ้วรอยก่อนวัยค่ะ ซึ่งครีมบำรุงผิวที่มีส่วนผสมของ Vitamin C, AHA หรือ Retinoid จะกระตุ้นวงจรการผลัดเซลล์ผิว และทำให้ร่างกายเร่งสร้างคอลลาเจนขึ้นมาได้ ซึ่งคอลลาเจนถือเป็นสาระสำคัญที่ช่วยให้ผิวดูอ่อนเยาว์ อวบอิ่ม และลดริ้วรอยได้ค่ะ

6. จัดการกับความเครียด

สำหรับคนในวัยทำงานที่จำต้องรับแบกรับภาระต่างๆ ทางครอบครัว ส่วนใหญ่มักมีใบหน้าที่แก่ก่อนวัย เนื่องจากเกิดความเครียดจากการทำงานหนักและพักผ่อนน้อย ซึ่งความเครียดนี่เองที่เป็นตัวการสำคัญส่งผลให้สภาพร่างกายและจิตใจของเราแย่ลง การที่เราสะสมความเครียดเอาไว้อยู่ตลอดเวลา จะทำให้ผิวพรรณหมองคล้ำ แลดูไม่มีชีวิตชีวา การทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกายผิดปกติ ทำให้ง่ายต่อการเกิดริ้วรอยก่อนวัย ดังนั้น หากเกิดความเครียดขึ้นขอให้หยุดพัก และลองหาเวลาทำสมาธิกำหนดลมหายใจเพื่อจัดการกับความเครียด เท่านี้ก็จะช่วยลดริ้วรอยก่อนวัยลงได้ค่ะ

image009 2

7. ไม่อยู่นิ่ง ขยับร่างการอยู่เสมอ

สำหรับสาวออฟฟิศที่วันๆ นั่งทำแต่งานอยู่หน้าเครื่องคอมพิวเตอร์ ส่งผลให้ร่างกายไม่ค่อยได้เคลื่อนไหว เมื่อเป็นเช่นนี้คงต้องปรับพฤติกรรมให้แอคทีฟมากขึ้นแล้วค่ะ โดยในช่วงเวลาที่ต้องขึ้นลิฟต์ ให้หันไปขึ้นบันไดแทน หรือลองเดินไปทานข้าวร้านอาหารที่อยู่ใกล้ออฟฟิศ เพื่อให้ร่างกายเกิดการขยับเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ช่วยให้ร่างกายได้ออกกำลัง กระตุ้นให้สร้างกล้ามเนื้อขึ้นมาใช้งานมากขึ้น ทำให้เกิดความแข็งแรงและยืดหยุ่น ลดการเสื่อมสภาพของผิวหนัง ช่วยลดริ้วรอย และทำให้เรามีความกระชับเฉงมากขึ้นอีกด้วยค่ะ

ขั้นตอนการปฏิบัติตนเพื่อลดริ้วรอย และทำให้ใบหน้าอ่อนกว่าวัยที่มานำเสนอไปนั้นไม่ยากเลยใช่ไหมคะ เชื่อว่าหากคุณปฏิบัติตัวตามขั้นตอนทั้ง 7 ข้อที่กล่าวมา รับรองได้ว่า ใบหน้าและผิวพรรณของคุณจะแลดูอ่อนกว่าวัย จนใครๆ ก็เดาอายุจริงของคุณไม่ออกเลยล่ะค่ะ

เรื่องดีๆ ของการกระชับช่องคลอด ที่สาวๆต้องรู้

92

เมื่อเรื่องราวความรักของชายและหญิงสุกงอมเต็มที่ ตอนต่อไปของความรักก็ไปถึงจุดของการแต่งงานเพื่อใช้ชีวิตครอบครัวร่วมกันระหว่างสามีและภรรยา ซึ่งเมื่อคน 2 คน รักกันจนมาถึงจุดนี้แล้ว เรื่องบนเตียงจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมากค่ะ เพราะถึงแม้จะรักกันมากแค่ไหน แต่ยังไงก็ต้องมีเคล็ดลับมัดใจสามีให้อยู่หมัดโดยเฉพาะช่องคลอดที่กระชับอยู่ตลอด  ก่อนที่จะไปถึงขั้นปรึกษาแพทย์เรื่องการทำรีแพร์  ผู้หญิงอย่างเราในฐานะภรรยา ไม่ควรละเลยหรือเขินอายในการเอาใจใส่กระชับช่องคลอดของตนเอง เพราะไม่เพียงแต่เพื่อมัดใจคุณสามีเท่านั้น แต่ยังเป็นผลดีต่อสุขภาพของคุณผู้หญิงเองด้วยค่ะ

หน้าที่ของช่องคลอด

ช่องคลอด คือ ช่องชั้นกล้ามเนื้อที่ยื่นออกมาจากบริเวณอวัยวะเพศของผู้หญิงในส่วนของปากมดลูก ซึ่งอยู่ในส่วนล่างของมดลูก (อวัยวะซึ่งทำหน้าที่ดูแลการเจริญเติบโตของตัวอ่อนระหว่างการตั้งครรภ์) กล่าวคือ ช่องคลอดนั้นเชื่อมกับมดลูกซึ่งเปิดออกสู่นอกร่างกาย ปากช่องคลอดของผู้หญิงนั้นล้อมรอบด้วยเยื่อบุพรหมจรรย์ (hymen) ซึ่งเป็นแผ่นเนื้อเยื่อบางๆที่ขาดออกจากกันได้เมื่อมีเพศสัมพันธ์หรือจากการออกกำลังกายค่ะ

ในผู้ใหญ่ ช่องคลอดมีความยาวประมาณ 3-5 นิ้ว และถูกคลุมด้วยเยื่อเมือกบุผิว ผนังของช่องคลอดนั้นเรียงตัวกันเป็นแผ่นพับ และมีรอยย่นขึ้นในช่วงวัยเจริญพันธุ์ หลังจากเลยช่วงวัยรุ่นและเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ ผนังของช่องคลอดจะเรียบเนียน

image003 10

ช่องคลอดมีหน้าที่หลายอย่างด้วยกัน ระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ ผู้ชายสอดใส่องคชาติ (penis) เข้าสู่ช่องคลอด ซึ่งเป็นช่องทางรองรับสเปิร์มของฝ่ายชายที่จะเดินทางไปยังไข่ของฝ่ายหญิงและทำให้เกิดการตั้งครรภ์ เมื่อหญิงถูกกระตุ้น ช่องคลอดจะขยายและหลั่งสารหล่อลื่นเพื่อลดแรงเสียดสี

นอกจากนี้ ยังมีเส้นประสาทรับรู้ในบริเวณใกล้ๆ ทางเข้าช่องคลอดเพื่อทำให้เกิดความพึงพอใจระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ ช่องคลอดยังทำหน้าที่ในการคลอดบุตร ซึ่งเป็นทางผ่านที่ให้กำเนิดบุตรและยังเป็นทางออกของเลือดประจำเดือนอีกด้วยค่ะ

กระชับช่องคลอดดีอย่างไร

image005 8
  1. กระชับช่องคลอดช่วยให้อุ้งเชิงกรานแข็งแรงอวัยวะที่เกี่ยวข้องทำงานดีขึ้น เมื่อช่องคลอดกระชับแล้วย่อมส่งผลให้อุ้งเชิงกร้านมีความแข็งแรงขึ้นตามไปด้วยค่ะอยู่ในตำแหน่งปกติและอวัยวะที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นมดลูก กระเพาะปัสสาวะท่อปัสสาวะ ลำไส้ตรง ลำไส้ใหญ่ ฯลฯ สามารถทำหน้าที่ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพที่สำคัญยังป้องกันการเกิดโรคต่างๆ ได้อีกด้วย เช่น ภาวะปวดหน่วงท้องน้อยปัสสาวะเล็ด เมื่อไปจาม เป็นต้น
  2. กระชับช่องคลอดลดการติดเชื้อและภาวะเสี่ยงที่จะเกิดอาการเจ็บป่วยบริเวณอุ้งเชิงกรานเพราะนอกจากอุ้งเชิงกรานจะมีความแข็งแรงแล้วระบบไหลเวียนเลือดและระบบน้ำเหลืองยังดีขึ้นอีกด้วยค่ะส่งผลให้โอกาสที่จะติดเชื้อต่างๆ ลดลง และที่สำคัญการกระชับช่องคลอดยังส่งผลดีต่อการคลอดบุตรช่วยให้คลอดบุตรได้ง่ายและฟื้นฟูกลับคืนสู่สภาพเดิมได้เร็ว
  3. กระชับช่องคลอดช่วยให้การรักษาโรคทางสูตินารีเวชใช้ระยะเวลาที่สั้นลงเนื่องจากอุ้งเชิงกร้านมีความแข็งแรง ทำให้ระบบการไหลเวียนของเลือดบริเวณนี้ดีขึ้นการรักษาโดยเฉพาะการผ่าตัด สามารถทำได้ง่ายขึ้น ไม่เกิดภาวะแทรกซ้อนผลการผ่าตัดสำเร็จด้วยดีและการรักษาแผลหลังผ่าตัดจะใช้เวลาลดลงค่ะ
  4. กระชับช่องคลอดช่วยสร้างความสัมพันธ์กับคู่รักแนบแน่นขึ้นเพราะเมื่อกล้ามเนื้อช่องคลอดกระชับและแข็งแรงจะช่วยสร้างความพึงพอใจในการมีเพศสัมพันธ์ให้กับทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิงโดยฝ่ายหญิงจะมีความไวต่อการกระตุ้นความรู้สึกมากขึ้น รับรู้ความรู้สึกได้ดีขึ้นบรรลุถึงจุดสุดยอดได้ง่ายและเป็นการถึงจุดสุดยอดที่สมบูรณ์แบบมากขึ้นอีกด้วยช่วยทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างคู่รักแนบแน่นขึ้นด้วยค่ะ

วิธีการรักษากระชับช่องคลอดให้มีสุขภาพดี

วิธีที่สามารถช่วยและป้องกันให้คุณผู้หญิงมีสุขภาพช่องคลอดที่ดี มีดังต่อนี้ค่ะ

  • งดดื่มแอลกอฮอลล์และสูบบุหรี่เพราะสารเหล่านี้จะลดความสามารถในการมีเพศสัมพันธ์และการปลุกเร้าอารมณ์ของคุณผู้หญิงลงค่ะ
  • ออกกำลังกายโดยวิธี Kegel exercise  คือการขมิบกล้ามเนื้อที่ช่วยหยุดขณะปัสสาวะซึ่งการออกกำลังกายนี้จะช่วยควบคุมความตึงตัวของกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน กระชับช่องคลอดได้ค่ะ
  • การมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยโดยการใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์จะช่วยลดโอกาสในการเกิดโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์และปัญหาอื่นๆที่เกิดกับช่องคลอดของคุณได้ค่ะ
  • ฉีดวัคซีนการฉีดวัคซีนสามารถช่วยป้องกันการติดเชื้อต่างๆ เช่น วัคซีน HPV และวัคซีนตับอักเสบบี hepatitis B
  • ตรวจความผิดปกติสม่ำเสมอโดยการศึกษาข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับปัญหาเรื่องช่องคลอดจะช่วยให้คุณสามารถทราบความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นกับตัวคุณ
  • หลีกเลี่ยงการล้างช่องคลอดหรือสวนล้างช่องคลอด หากคุณสาวๆที่ทำเช่นนี้อยู่เป็นประจำควรหยุกการกระทำนี้ทันทีนะคะเพราะการทำเช่นนี้จะไปรบกวนค่าความเป็นกรดด่างในช่องคลอดส่งผลให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียตามมา การทำความสะอาดช่องคลอดที่ดีที่สุดคือการใช้สบู่ที่ไม่ระคายเคืองต่อผิวหรือเพียงใช้น้ำสะอาดล้างทำความสะอาดบริเวณนั้นก็เพียงพอค่ะ
image007 1

รู้ถึงข้อดีของการกระชับช่องคลอดแบบนี้แล้ว คุณผู้หญิงไม่ว่าจะอยู่ในช่วงวัยใดก็ควรหมั่นดูแลรักษาสุขภาพช่องคลอดให้แข็งแรงและสมบูรณ์ รวมถึงหมั่นสังเกตและตรวจสุขภาพช่องคลอดประจำปีอย่างสม่ำเสมอ เพื่อถนอมความรักที่หอมหวานและห่างไกลจากโรคต่างๆ ที่อาจรบกวนความสุขของผู้หญิงได้ค่ะ 

เทคนิคคืนความสาวกระชับช่องคลอด… มีวิธีไหนบ้าง

91

สตรีเป็นเพศที่มีสรีระสวยงามน่ามองชวนให้หลงใหล ไล่มาตั้งแต่ ใบหน้า หน้าอก ต่ำไปเรื่อยๆ จนถึงช่องคลอด และการมีช่องคลอดที่กระชับนี่แหละค่ะที่เป็นหมัดเด็ดไว้มัดใจสามีให้อยู่หมัด คู่สามีภรรยาในวัยหนุ่มวัยสาวข้าวใหม่ปลามันอาจจะยังมีความสุขกับการได้ร่วมรักกัน แต่เมื่อเวลาล่วงเลยผ่านไป ผู้หญิงมีหน้าที่ต้องคลอดลูก และอายุที่มากขึ้นก็ส่งผลต่อความกระชับของน้องสาว ที่อาจไม่ฟิตกระชับเหมือนเก่า คราวนี้ล่ะค่ะ กลายเป็นปัญหาระดับครอบครัวขึ้นมาเลยทีเดียว ดังนั้น การกระชับช่องคลอดเป็นเรื่องที่ผู้หญิงต้องใส่ใจ

สาเหตุที่แท้จริงของช่องคลอดที่ไม่กระชับในทางสรีรวิทยานั้นเกิดขึ้นจาก เมื่ออายุมากขึ้นช่องคลอดที่ถูกขยายออกทั้งด้วยการมีเพศสัมพันธ์มาเป็นระยะเวลานาน  การคลอดลูกโดยธรรมชาติหรืออายุที่เพิ่มมากขึ้นจนกระทั่งหมดวัยเจริญพันธ์ ย่อมเกิดการเสื่อมสลายไปของเส้นใยคอลลาเจนและอิลาสตินในผนังช่องคลอดได้ ซึ่งบางรายอาจไม่ปรากฏอาการให้เห็นด้วยตนเองมากนักบางรายอาจรู้สึกได้ถึงการมีความสุขทางเพศที่น้อยลง รวมทั้งบางรายพบกับสภาวะปัสสาวะเล็ด กระปริบกระปรอย จนต้องหาหนทางรักษาค่ะ               

เมื่อมาถึงตรงนี้แล้วคุณผู้หญิงทั้งหลายคงนิ่งนอนใจไม่ได้แล้วล่ะค่ะ ต้องหาเทคนิคกระชับช่องคลอดกันหน่อยซะแล้วซึ่งจะด้วยวิธีไหนนั้น ลองมาดูกันเลยค่ะ

  • ขมิบช่องคลอด  การฝึกกระชับช่องคลอดมีแต่ผลดีต่อสุขภาพของคุณผู้หญิงช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับคุณสาวๆยังมีความพิเศษกว่านั้นคือ การขมิบ ทำให้ช่องคลอดกระชับสามารถช่วยบรรเทาโรคภัยที่จะเกิดต่อสุขภาพของคุณผู้หญิงได้เป็นอย่างดีค่ะการขมิบช่องคลอด ฝึกกระชับช่องคลอดสามารถทำให้อวัยวะเพศของคุณผู้หญิงกลับมารู้สึกเหมือนเป็นสาวๆกลับมารู้สึกเหมือนเรา รูฟิต ส่วนมากเราจะคิดว่า การฝึกกระชับช่องคลอด ช่องคลอดหลวม ฝึกขมิบจำเป็นต่อคุณแม่หลังคลอด สำหรับตอนนี่ไม่ใช้แล้วนะคะ คุณสาวๆทั้งหลายก็สามารถทำได้เช่นกันเพราะนอกจากเราจะได้ออกกำลังกายโดยตรงกับอวัยวะภายในแล้วยังก่อให้เกิดประโยชน์อย่างมากต่อสุขภาพที่ดีข้างในจิตใจด้วยเช่นกัน วิธีที่จะช่วยให้ช่องคลอดกระชับ คือวิธีการฝึกขมิบช่องคลอด กระชับช่องคลอด ด้วยการฝึกเกร็งกล้ามเนื้อให้เหมาะสมและถูกต้องโดยขมิบช่องคลอดค้างไว้ 10 วินาที แล้วคลายออก 10 วินาที อาจใช้วิธีนับ 1-10ทำติดต่อนาน 10 นาที 3 เวลา คือ เช้า กลางวันและเย็นจะอยู่ในอิริยาบถใดก็ได้แล้วแต่สะดวกค่ะ
image003 9
  • การปรับฮอร์โมนเพศหญิงให้อยู่ในระดับที่สมดุล เพื่อกระชับช่องคลอด ในกรณีผู้หญิงที่อายุมากขึ้นถ้าสังเกตเห็นว่ามีอาการช่องคลอดแห้งร่วมด้วยหรือฝึกบริหารกล้ามเนื้อช่องคลอด ฝึกกระชับช่องคลอด ที่ถูกต้องสม่ำเสมอไปแล้ว 2-3 เดือนแต่ยังไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นแสดงว่าระดับของฮอร์โมนเพศหญิงชนิดเอสโตรเจนอาจอยู่ในระดับต่ำ ไม่สมดุลค่ะควรไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจวัดระดับฮอร์โมนและแนะนำการใช้ฮอร์โมนธรรมชาติเพื่อปรับระดับให้สมดุลก็จะทำให้ช่องคลอดกระชับดีขึ้นได้ค่ะ
  • การใช้เลเซอร์กระชับช่องคลอด  เทคนิคการกระชับช่องคลอด โดยพลังงานเลเซอร์จะถูกส่งไปยังบริเวณช่องคลอดและปากช่องคลอดรวมถึงบริเวณแคม ทำให้เนื้อเยื่อเกิดความร้อนและช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่จากภายในความร้อนของเลเซอร์จะทำให้คอลลาเจนเกิดการหดตัวลงในทันทีส่งผลให้เยื่อบุสั้นลงและมีความหนาขึ้นเนื้อเยื่อจะอุดมไปด้วยคอลลาเจนที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ช่วยยกกระชับช่องคลอด ช่องคลอดแน่น และมีความยืดหยุ่นเพิ่มขึ้นและยังช่วยรักษาอาการปัสสาวะเล็ดได้ด้วยค่ะ
  • ใช้คลื่นความถี่วิทยุกระชับช่องคลอดโดยการใช้พลังงานคลื่นวิทยุไปช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินขึ้นมาใหม่ส่งผลให้ผนังช่องคลอดหดกระชับ มีความยืดหยุ่นมากขึ้นกระตุ้นการทำงานของระบบเส้นประสาทและเพิ่มการไหลเวียนของเส้นเลือดที่มาหล่อเลี้ยงบริเวณนั้นให้ทำงานสมบูรณ์ขึ้นส่งผลให้ระบบการทำงานของต่อมต่างๆ ทำงานดีขึ้น สร้างสารคัดหลั่งที่มาหล่อเลี้ยงเพิ่มความชุ่มชื้น และทำหน้าที่กำจัดเชื้อโรคต่างๆ ตามระบบธรรมชาติรวมถึงช่วยแก้ปัญหาในรายที่มีปัญหาปัสสาวะเล็ด การกระชับช่องคลอด ใช้ระยะเวลาที่สั้นขั้นตอนการทำง่ายสะดวกสบาย และยังไม่ต้องพักฟื้น
  • ผ่าตัดทำรีแพร์  คือเทคนิคกระชับช่องคลอด โดยการผ่าตัดตกแต่งกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อที่หย่อนยานภายในช่องคลอดให้กระชับขึ้นเพื่อให้ขนาดหรือเส้นผ่าศูนย์กลางของช่องคลอดเล็กลงและเกิดการหดรัดที่ดีกว่าเดิมโดยเป็นการผ่าตัดตลอดแนวความลึกของช่องคลอด รวมถึงการผ่าตัดตกแต่งเนื้อเยื่อและผิวหนังบริเวณปากช่องคลอดด้วย ยกกระชับช่องคลอด ผู้หญิงส่วนใหญ่ที่เข้ารับการผ่าตัดทำรีแพร์จะมีอายุประมาณ30-50 ปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาของการแต่งงานและผ่านการคลอดบุตรมาแล้วโดยจะเป็นการผ่าตัดในแง่ของการศัลยกรรมตกแต่งเพื่อยกกระชับช่องคลอด เพื่อความสวยงามและความมั่นใจสำหรับผู้หญิงอายุ 60 ปีขึ้นไปหรือวัยทอง จะเป็นการผ่าตัดในแง่ของการรักษาภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อนนั่นเองค่ะ
image005 7

คุณผู้หญิงสะดวกวิธีการกระชับช่องคลอดแบบไหนก็สามารถเลือกให้เหมาะสมกับอาการที่เราเป็นอยู่ได้ค่ะ โดยสามารถหาองค์ความรู้ด้วยตัวเองได้ ทั้งวิธีการบริหารกระชับช่องคลอดด้วยตนเอง หรือจะเลือกการใช้นวัตกรรมทางการแพทย์ที่มีให้เลือกหลากหลายวิธี แนะนำว่าให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เพื่อสร้างความมั่นใจได้ว่าช่องคลอดของคุณจะกลับมาฟิตกระชับแบบปลอดภัย และคืนความรู้สึกให้คนรักเหมือนได้สัมผัสสาวแรกรุ่นอีกครั้งค่ะ

เตรียมตัวอย่างไร ก่อนและหลังกระชับช่องคลอด

90

สำหรับคุณผู้หญิงที่ฝึกบริหารช่องคลอดให้กระชับด้วยตนเองเป็นประจำรับรองว่ามีแต่ผลดีต่อความรักและสุขภาพในระยะยาวอย่างแน่นอนค่ะแต่โดยส่วนใหญ่แล้วผู้หญิงมักจะละเลยการดูแลบริหารช่องคลอดของตนเองให้กระชับแข็งแรงด้วยเหตุผลนานาประการ อาทิ งานยุ่งจนหัวฟู ต้องดูแลสมาชิกในครอบครัวหรือกิจกรรมอื่นๆ ที่แสนวุ่นวายในแต่ละวันจนกระทั่งเมื่อเข้าสู่วัยที่ล่วงเลยมากขึ้นปัญหาสุขภาพต่างๆ ก็มักจะตามมารวมถึงปัญหาช่องคลอดหย่อนยานไม่กระชับ ซึ่งผลพวงจากช่องคลอดหย่อนคล้อย ไม่กระชับคือภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้ บั่นทอนความรู้สึกและสุขภาพในผู้หญิงจำนวนมากให้ขาดความมั่นใจในตัวเองและไม่อยากทำกิจกรรมหรือเข้าสังคม               

ดังนั้นวิธีคืนความสาวของคุณผู้หญิงให้ช่องคลอดกระชับในเวลาไม่นานจำเป็นต้องพึ่งนวัตกรรมทางการแพทย์เพื่อทำการรักษากระชับช่องคลอดให้เหมาะสมกับอาการของน้องสาวที่เป็นอยู่

ปัจจัยใดบ้างที่ควรพิจารณาก่อนตัดสินใจกระชับช่องคลอดด้วยแพทย์

1. ศึกษาข้อมูลก่อนการเลือกวิธีกระชับช่องคลอด

ก่อนคุณผู้หญิงจะตัดสินใจเข้ารับการรักษาตกแต่งช่องคลอดให้กลับมากระชับ มีความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับเรื่องของการศึกษาข้อมูลให้ละเอียด เพื่อเลือกเอาว่าตัวเองควรแก้ไขปัญหาด้วยวิธีไหนค่ะ

2. เลือกสถานบริการที่มีความเป็นมืออาชีพ รับรองได้และสะอาด

หากสาวๆ เลือกช่วยน้องสาวด้วยวิธีการใช้คลื่นความถี่วิทยุ ผ่าตัด หรือการทำเลเซอร์กระชับช่องคลอดแล้ว จำเป็นต้องเลือกสถานบริการที่มีความสะอาดและมีมาตรฐานมากเป็นพิเศษ ควรเลือกสถานบริการที่มีชื่อเสียงรับรองในวงกว้าง อยู่ในพื้นที่ที่สะดวก ค้นหาง่าย ไม่ลึกลับค่ะ

3. เลือกสถานบริการที่ดำเนินการโดยแพทย์ที่มีฝีมือและประสบการณ์

เลือกแพทย์ที่มีฝีมือและประสบการณ์ในการรักษากระชับช่องคลอดย่อมดีกว่าค่ะ หากเลือกแพทย์ที่ไม่มีความรู้และประสบการณ์ก็อาจจะเกิดความผิดพลาดได้ค่ะ อีกทั้งแพทย์มืออาชีพนั้นมีจรรยาบรรณในการรักษา สาวๆ ก็ไม่ต้องอายค่ะ

image003 8

4. เจ้าหน้าที่มีใจบริการ สามารถให้ข้อมูลกับลูกค้าได้อย่างดี

ก่อนจะขึ้นเขียงตกแต่งน้องสาว คุณผู้หญิงทั้งหลายย่อมกลัวเป็นธรรมดา สถานบริการควรมีพนักงานที่เป็นมิตร พร้อมให้คำแนะนำ และตอบทุกคำถามอย่างละเอียดเพื่อช่วยให้สาวๆ ตัดสินใจง่ายขึ้น ลดความกลัว และลดความประหม่าลงได้ค่ะ

5. สถานบริการที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านมากนัก

ในการเลือกสถานบริการเพื่อกระชับช่องคลอดและตกแต่งช่องคลอดนั้น เป็นการศัลยกรรมที่ต้องพักฟื้นนิดหน่อย การเดินทางไกลหลังจากการเข้ารับการรักษาถือว่าไม่เหมาะค่ะ ควรเลือกสถานบริการที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านมากนักและสะดวกในการเดินทาง เพื่อความสะดวกในการเข้ารับคำปรึกษาและการเข้ารักษาด้วยค่ะ

6. มีเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์สาวๆ

สาวๆ ควรต้องเข้าใจว่าปัญหาของน้องสาวของตัวเองคืออะไร สาวๆ จะตกแต่งช่องคลอดให้ดูสวย ทำให้กระชับช่องคลอด หรือมีปัญหาน้ำหล่อลื่นน้อยระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ สถานบริการที่มีเทคโนโลยีตอบโจทย์ดังกล่าว จะช่วยให้สาวๆ เลือกการรักษาที่เหมาะกับตัวเองได้ง่ายขึ้น

7. ทางสถานบริการมีข้อมูล ความรู้และรายละเอียดแจ้งลูกค้าอย่างชัดเจน

ทางสถานบริการต้องมีข้อมูลรายละเอียดบอกลูกค้าทางเว็บไซต์หรือทางช่องทางสื่อสารต่างๆ ชัดเจนในเรื่องของราคา เครื่องมือของสถานบริการ และการรักษาของสถานบริการนั้นครอบคลุมอะไรบ้าง ช่วยลูกค้าตรงจุดไหน ต้องเตรียมตัวก่อนและหลังเข้ารักษากระชับช่องคลอดอย่างไร เป็นต้น

8. มีราคาสมเหตุสมผล ไม่ถูกและไม่แพงจนเกินไป

ก่อนจะเข้ารับการรักษาตกแต่งและกระชับช่องคลอด สาวๆ ควรต้องลองเปรียบเทียบราคาจากหลายๆ ที่เพื่อหาราคากลางที่สมเหตุสมผล ไม่แพงเกินไปและไม่ถูกเกินไปจนน่ากลัว ทั้งนี้ ต้องขึ้นอยู่กับรายละเอียดต่างๆ ที่ทางสถานบริการให้กับลูกค้าด้วย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องที่ใช้ โปรโมชั่น ของที่แถมให้กับลูกค้า และอุปกรณ์การบริการของสถานบริการ

9. มีแพทย์ที่สามารถให้คำปรึกษาก่อนทำได้

สาวๆ ควรต้องปรึกษาแพทย์ด้วยก่อนทำการรักษากระชับช่องคลอดเพื่อจะได้รู้ว่าการรักษาที่เราเลือกทำนั้น มีรายละเอียดว่าคุณหมอจะรักษาอย่างไรแล้วแต่สภาพของน้องสาว บางท่านอาจจะต้องใช้เวลานานหน่อย บางท่านอาจจะใช้เวลาน้อย บางท่านอาจจะไม่ต้องการยาชาฉีดพ่น แต่บางท่านอาจจะต้องการเพราะทนความร้อนไม่ไหว รายละเอียดตรงนี้สาวๆ ต้องปรึกษาหมออย่างละเอียดก่อนทำการรักษา

10. มีริวิวรับประกันผลลัพธ์จากคนไข้ที่เข้ารับการรักษาโดยตรง

การรีวิวจากคนไข้ที่เข้ารับการรักษากระชับช่องคลอดโดยตรงส่งผลอย่างมากต่อการตัดสินใจ เพราะถือเป็นการการันตีที่ตรงไปตรงมาที่สุด ตรงนี้ทางสาวๆ ต้องหาข้อมูลรีวิวอย่างละเอียดหลังจากเลือกสถานบริการที่ถูกใจแล้วและก่อนจะตัดสินใจเข้ารับการรักษา

การดูแลตนเองก่อนและหลังรับการตกแต่งรักษากระชับช่องคลอด

การเตรียมตัวก่อนทำคลื่นวิทยุ

  • ไม่อยู่ในช่วงภาวะมีประจำเดือน
  • เคยตรวจภายในและผลเป็นปกติในระยะเวลา 2 ปี
  • ไม่อยู่ในภาวะอักเสบติดเชื้อ
  • หลังคลอดปกติ เว้น 3-6 เดือน ผ่าคลอด เว้น 1 เดือน หรือตามคำแนะนำแพทย์

 การดูแลหลังทำคลื่นวิทยุ

  • สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ  โดยที่ไม่มีอาการหรือความรู้สึกใดๆเว้นการมีเพศสัมพันธ์ 6 ชั่วโมงหลังทำ

การเตรียมตัวก่อนการผ่าตัด

  • งดน้ำและอาหารอย่างน้อย 6 ชั่วโมงก่อนผ่าตัดกระชับช่องคลอด
  • อาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาดตามปกติ
  • งดการใช้ยาบางชนิดที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน
  • ถ้ามีโรคประจำตัวหรือแพ้ยาต้องแจ้งให้แพทย์ทราบล่วงหน้า
  • ควรผ่าตัดช่วงหลังประจำเดือนหมดไม่นานนัก(ไม่เกิน 1 สัปดาห์) เพื่อป้องกันแผลอักเสบและการปนเปื้อนของเลือด

การดูแลหลังการผ่าตัดทำรีแพร์

  • ใน 3 วันแรกขยับตัวให้น้อยที่สุดนอนให้นิ่งที่สุด แผลจะได้หายเร็ว
  • งดการยกของหนักประมาณ 2 สัปดาห์
  • สามารถอาบน้ำได้ตามปกติแต่ห้ามใช้น้ำยาทำความสะอาดภายในต่างๆ ให้ล้างด้วยน้ำสะอาดเป็นเวลา 1 เดือน
  • ควรทานอาหารที่มีกากใยและดื่มน้ำมากๆ
  • ไม่กลั้นปัสสาวะหรืออุจจาระ
  • ถ้ามีอาการบวม เขียวช้ำหรือปัสสาวะไม่ออกให้รีบปรึกษาแพทย์ทันที
  • หากมีเลือดออกใน 2-3 วันแรกสามารถใส่ผ้าอนามัยเพื่อซับเลือดได้
  • แผลจะหายภายใน 7-10 วันโดยไหมจะละลายไปเอง ไม่ต้องตัดไหม
  • ทานยาและปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์และมาพบแพทย์หลังผ่าตัด 1 สัปดาห์
  • งดมีเพศสัมพันธ์อย่างน้อย 45 วันหลังผ่าตัด
  • งดอาหารแสลงพวกของหมักดอง อาหารทะเลเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และบุหรี่ประมาณ 1 เดือน

การดูแลตนเองก่อนทำเลเซอร์

การกระชับช่องคลอดด้วยเลเซอร์ ไม่ต้องเตรียมตัวมากเหมือนการผ่าตัด หลีกเลี่ยงการทำในช่วง 7 วัน ก่อนและหลังรอบประจำเดือน ไม่ต้องงดน้ำ งดอาหาร และสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติค่ะ

การดูแลตนเองหลังทำเลเซอร์

  • หลังการทำเลเซอร์บริเวณช่องคลอดแนะนำงดเพศสัมพันธ์ 3 วัน สามารถมีกิจกรรมในชีวิตประจำวันได้ตามปกติ
  • หลังการทำเลเซอร์บริเวณปากช่องคลอด(หมายรวม แคมเล็ก และแคมใหญ่) แนะนำงดเพศสัมพันธ์ 7-10 วัน หลังทำเลเซอร์สามารถมีกิจกรรมในชีวิตประจำวันตามปกติ
image005 6

เมื่อเลือกวิธีการกระชับช่องคลอดให้เหมาะสมกับตัวคุณสาวๆ ได้แล้ว ก็อย่าลืมข้อปฏิบัติก่อนและหลังรับการรักษาอย่างเคร่งครัดด้วยนะคะ เพื่อสุขภาพอนามัยที่ดีและคืนความสาวให้คุณได้อย่างปลอดภัยค่ะ

เช็คอาการน้องสาว ก่อนตัดสินใจกระชับช่องคลอด

89

เมื่อผู้หญิงมีอายุที่เพิ่มมากขึ้น ความโรยราและความหย่อนคล้อยก็มักปรากฏให้เห็นตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย เป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ไม่เว้นแม้แต่น้องสาวที่หย่อนยานช่องคลอดไม่กระชับ ไม่ฟิตเมื่อเดิม หรืออาการช่องคลอดหย่อนยานไม่ฟิตกระชับนี้อาจเกิดขึ้นกับคุณแม่ที่ผ่านการคลอดบุตรได้เช่นกันค่ะ

สาเหตุที่ช่องคลอดไม่กระชับ

สาเหตุที่ช่องคลอดไม่กระชับในทางสรีรวิทยานั้น เกิดขึ้นจาก เมื่ออายุมากขึ้น ช่องคลอดที่ถูกขยายออกทั้งด้วยการมีเพศสัมพันธ์มาเป็นระยะเวลานาน  การคลอดลูกโดยธรรมชาติ หรืออายุที่เพิ่มมากขึ้นจนกระทั่งหมดวัยเจริญพันธ์ ย่อมเกิดการเสื่อมสลายไปของ เส้นใยคอลลาเจนและอิลาสตินในผนังช่องคลอดได้ ทำให้ช่องคลอดไม่กระชับ ซึ่งบางรายอาจไม่ปรากฏอาการให้เห็นด้วยตนเองมากนัก บางรายอาจรู้สึกได้ถึงการมีความสุขทางเพศที่น้อยลง รวมทั้ง บางรายพบกับสภาวะปัสสาวะเล็ด กระปริบกระปรอย จนต้องหาหนทางรักษาเพื่อยกกระชับช่องคลอด

เพื่อสุขภาพอนามัยที่ดีของช่องคลอด เราจะลองเช็คน้องสาวของคุณดูค่ะ ว่ามีอาการเหล่านี้หรือไม่ ก่อนตัดสินใจหาวิธีการกระชับช่องคลอด เพื่อคืนความสาวและความสัมพันธ์ที่ซาบซ่ากับคุณรักของคุณอีกครั้ง

image003 7

1. น้องสาวมีลักษณะที่เปลี่ยนไป เช่นเดียวกับส่วนอื่นๆ ของร่างกายเราค่ะ ที่เมื่ออายุมากขึ้นความหย่อนคล้อยก็ยิ่งมาเยือน น้องสาวของผู้หญิงเราก็เช่นกัน หากเริ่มมีลักษณะที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมละก็ อาจเป็นสัญญาณเตือนให้รู้ว่าควรได้เวลาเอาใจใส่กระชับช่องคลอดกันมากขึ้น เพื่อให้กลับมาฟิตเหมือนสมัยยังสาวค่ะ

2. สูญเสียความมั่นใจในแบบฉบับของผู้หญิง เสน่ห์ของคุณผู้หญิงคือความมั่นใจ แต่ถ้าหากวันหนึ่งความมั่นใจลดลงเพราะปัญหาช่องคลอดไม่กระชับ อาจถึงเวลาที่คุณสาวๆ ควรหาสาเหตุและแก้ไข เพื่อกระชับช่องคลอดก่อนจะสายเกินแก้นะคะ

3. ความรู้สึกไม่กระชับ ด้วยอายุที่มากขึ้น หรือการทำกิจกรรมที่ทำให้เกิดแรงดันบริเวณอุ้งเชิงกรานเป็นประจำ ก็เป็นสาเหตุที่ทำอุ้งเชิงกรานเกิดความหย่อนคล้อยจนทำให้รู้สึกไม่กระชับช่องคลอดได้เช่นกันค่ะ ดังนั้นหากเกิดความรู้สึกไม่กระชับช่องคลอด คุณผู้หญิงควรหาทางกระชับช่องคลอดก่อนกลายเป็นปัญหาลุกลามค่ะ

image005 5

4. ความสุขทางเพศลดลง ความสัมพันธ์ทางเพศเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับคู่รักมากนะคะ แต่ถ้าหากเมื่อใดที่รู้สึกว่าความสุขลดลง สุขไม่สุด หรือมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องบนเตียง ปัญหานี้อาจเกิดจากช่องคลอดของคุณผู้หญิงที่ไม่กระชับเหมือนเดิมทำให้กิจกรรมของคู่รักไม่มีความสุขเหมือนที่เคย ด้วยสาเหตุนี้เองที่ทำให้คุณผู้หญิงต้องตัดสินใจกระชับช่องคลอดเพื่อคืนความสุขให้แก่คู่รักและตัวคุณเองค่ะ

5. ช่องคลอดหลวมคล้อยหลังคลอด การคลอดบุตรด้วยวิธีธรรมชาติ เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่อาจทำให้เกิดความหย่อนคล้อยช่องคลอดไม่กระชับ หรือช่องคลอดหลวม ซึ่งหากปล่อยไว้ไม่กระชับช่องคลอด ไม่เพียงแต่จะทำให้หมดความมั่นใจ แต่ยังอาจมีปัญหาสุขภาพอื่นๆ ตามมาได้อีกด้วยค่ะ

6. ปัสสาวะเล็ด สำหรับปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ที่ควรมองข้าง เพราะการที่เกิดอาการปัสสาวะเล็ดนั้นถือเป็นสัญญาหนึ่งของปัญหาความหย่อนคล้อยของอุ้งเชิงกราน ทำให้รู้สึกไม่กระชับช่องคลอด ช่องคลอดหลวม หย่อนยาน ทำให้กลั้นปัสสาวะได้ไม่อยู่ หรือกลั้นได้ไม่นานเท่าที่ควรจะเป็น ดังนั้น หากเกิดปัญหาปัสสาวะเล็ดบ่อยๆ ละก็ ควรรีบหาทางกระชับช่องคลอดเพื่อให้ช่องคลอดกลับมากระชับก่อนที่ปัญหาจะใหญ่ขึ้นกลายเป็นอาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ได้

7. จิ๋มเรอหรือมีลมออกจากช่องคลอด อาการนี้ต้นเหตุเกิดจากช่องคลอดหลวม ช่องคลอดไม่กระชับค่ะ โดยปกติช่องคลอดของผู้หญิงจะปิดสนิทมิดชิด ทำให้ลมไม่สามารถเข้าไปในช่องคลอดได้ การยืดขยายของกล้ามเนื้อผนังช่องคลอดจะเพิ่มแรงเสียดสีขณะมีเพศสัมพันธ์ ทำให้เกิดความรู้สึกทางเพศจากการสัมผัสจึงมีบทบาทสำคัญในการกำหนดคุณภาพของเซ็กส์ แต่เมื่อกล้ามเนื้อผนังช่องคลอดหย่อนคล้อยลงจากหลายๆ สาเหตุ เช่น การคลอดบุตรแบบธรรมชาติ การมีเพศสัมพันธ์เร็วเกินไปหรือน้อยเกินไป ร่างกายอ่อนแอหรืออายุเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะสตรีวัยทอง เป็นต้น ก็จะทำให้ช่องคลอดหลวม รู้สึกไม่กระชับช่องคลอดจนมีพื้นที่บรรจุอากาศมากขึ้น เมื่ออากาศเคลื่อนตัวออกจากปากช่องคลอดที่ปิดสนิทจะทำให้เกิดเสียงดังเหมือนเสียงเรอขึ้นมาได้

ถ้าหากคุณผู้หญิงไม่อยากเกิดความอับอายหรือสูญเสียความมั่นใจเพราะปัญหามีเสียงลมออกจากช่องคลอด การกระชับช่องคลอดให้ฟิตกระชับแข็งแรงหรือการทำรีแพร์จึงเป็นเรื่องที่ควรแก้ไขเป็นอย่างยิ่งนะคะ

กระชับช่องคลอดมีความจำเป็นแค่ไหน เรื่องที่สาวๆ อาจไม่เคยรู้

88

เพศหญิงเป็นเพศที่มักชอบปิดบังความลับส่วนตัว อาทิ อารมณ์ความรู้สึก หรือแม้แต่ความลับที่น่าเขินอายเกี่ยวกับร่างกาย  โดยเฉพาะความลับเกี่ยวกับปัญหาเรื่องช่องคลอด ช่องคลอดหลวม ทำให้รู้สึกไม่กระชับช่องคลอด เป็นเรื่องที่ผู้หญิงมักเก็บเป็นความลับ เพราะเป็นเรื่องน่าอายหากจะเปิดเผยเรื่องการกระชับช่องคลอดกับเพื่อนใกล้ชิดหรือแม้แต่แพทย์ ซึ่งปัญหาที่ตามมาก็คือด้านความสัมพันธ์กับคนรักและสุขภาพ ช่องคลอดหลวม ช่องคลอดไม่กระชับ มักเกิดขึ้นกับผู้หญิงสูงอายุ แต่ความเป็นจริงแล้ว ช่องคลอดไม่ฟิตหรือความรู้สึกหลวมนี้  เกิดขึ้นได้ในผู้หญิงที่ผ่านการมีเพศสัมพันธ์ หรือมีบุตรแล้วแม้ยังไม่สูงวัยได้เช่นกันค่ะ

แล้วการกระชับช่องคลอดมีความจำเป็นกับผู้หญิงมากแค่ไหน

นอกจากปัญหาช่องคลอดหลวม ช่องคลอดไม่กระชับ จะสร้างปัญหาความสัมพันธ์กับคนรักแล้ว การกระชับช่องคลอด ยังมีความจำเป็นต่อสุขภาพของผู้หญิงอีกด้วยนะคะ แนะนำคุณผู้หญิงทั้งหลายว่าหากเกิดปัญหาขึ้นจงอย่าอายค่ะ แต่ให้ลองหาวิธีกระชับช่องคลอดหรือเข้าพบแพทย์ปรึกษาเกี่ยวกับการทำรีแพร์เพื่อทำให้ช่องคลอดกระชับ ด้วยเหตุผลความจำเป็นต่างๆ ดังนี้ค่ะ

1. กระชับช่องคลอดช่วยกระชับความรัก เชื่อหรือไม่คะ ว่าปัญหาช่องคลอดหลวมไม่กระชับ เป็นหนึ่งในสาเหตุของการหย่าร้างกันได้เลย เพราะภรรยามีปัญหาช่องคลอดไม่กระชับ หรือช่องคลอดหลวม หย่อนยาน ถึงแม้ว่าอาการมันจะเกิดกับฝ่ายหญิง ทำให้รู้สึกไม่กระชับช่องคลอดก็จริงอยู่ แต่ผลกระทบที่ได้รับมันเกิดขึ้นกับฝ่ายชายโดยตรง เพราะฝ่ายชายขาดความสุข ด้วยสาเหตุนี่สามารถนำไปสู่ปัญหาการหย่าร้างได้ค่ะ ดังนั้น จะเห็นได้ว่าจำเป็นของการกระชับช่องคลอดเป็นเรื่องสำคัญ หากช่องคลอดของผู้หญิงฟิตกระชับ คู่รักของคุณก็อยากกระชับเข้ามาใกล้ชิด เรื่องเพศสัมพันธ์กับชีวิตคู่เป็นเรื่องสำคัญที่มองข้ามไม่ได้นะคะ

image003 6

2. กระชับช่องคลอดแก้ปัญหาปัสสาวะเล็ด ปัญหาปัสสาวะเล็ด สาเหตุเกิดจากการตั้งครรภ์ การคลอด การผ่าตัดมดลูก จึงทำให้มีการเสื่อมของหูรูด และการหย่อนยานของผนังช่องคลอด รวมทั้งบริเวณคอกระเพาะปัสสาวะ ทำให้บริเวณคอกระเพาะปัสสาวะปิดไม่สนิท เกิดอาการปัสสาวะรั่วออกมาได้ และในรายของหญิงสูงวัย ประจำเดือนหมดแล้วฮอร์โมนเพศหญิงจะลดลง จึงทำให้เยื่อบุในท่อปัสสาวะขาดความยืดหยุ่น ไม่กระชับกาาหาวิธีกระชับช่องคลอดจึงสามารถช่วยได้เช่นกัน

ปัญหาปัสสาวะเล็ดนี้ ไปบั่นทอนความรู้สึกและสุขภาพในผู้หญิงจำนวนมากจนขาดความมั่นใจในตัวเอง และไม่อยากทำกิจกรรมหรือเข้าสังคมเพราะรู้สึกไม่กระชับช่องคลอด และเป็นเรื่องที่น่าอาย มีข้อมูลที่น่าตกใจก็คือ ผู้หญิงอายุมากกว่า 40 ปี ถึง 2 ใน 3 ที่มีปัญหาช่องคลอดหลวม แต่ไม่กล้าทำอะไรเพราะเข้าใจว่าการแก้ไขมีความยุ่งยาก และทนอยู่กับปัญหา ปล่อยให้ปัญหาบั่นทอนสุขภาพทั้งกายและใจไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้น การกระชับช่องคลอดเพื่อลดปัญหานี้จึงมีความจำเป็นอย่างมากค่ะ

image005 4

3. กระชับช่องคลอดช่วยเรื่องของภาวะข้างในมดลูก เพื่อป้องกันไม่ให้หย่อน ช่วยให้ปากมดลูกไม่โผล่ออกมาให้เห็นภายนอกช่องคลอดแทนที่จะอยู่ในส่วนของอุ้งเชิงกรานปกติค่ะ ทำให้กระชับช่องคลอด และจะไม่ก่อให้เกิดอาการปวดท้องน้อย เลือดออกผิดปกติทำให้ปากมดลูกเป็นแผล ไม่ติดเชื้อจากการเสียดสีในขณะมีเพศสัมพันธ์ หรือโดนนิดหน่อยก็เกิดปัญหาติดเชื้อง่ายทำให้ปัสสาวะและอุจจาระลำบาก ซึ่งผลร้ายไปกว่านั้นอาจเป็นโรคติดเชื้อจากภายในได้ง่ายขึ้น เช่น โรคมะเร็ง โรคเสื่อมสมรรถภาพ ประจำเดือนมาไม่ปกติ หรือ ปวดท้องประจำเดือนบ่อยๆ ค่ะ

4. กระชับช่องคลอดช่วยในเรื่องของภาวะลำไส้หย่อนเข้าภายในช่องคลอด อันเป็นสาเหตุให้ป่วยเป็นโรคไส้เลื่อนชนิดหนึ่ง คืออาการลำไส้ตรง หมายถึง ลำไส้ที่อยู่ในส่วนล่างเลื่อนเข้ามาอยู่ในช่องคลอดทำให้มีปัญหาในการขับถ่ายอุจจาระ เช่น อุจจาระลำบาก บางครั้งถึงขั้นต้องใช้นิ้วสอดเข้าไปในช่องคลอด เพื่อดันไส้ที่เลื่อนเข้ามาให้กลับเข้าที่ชั่วคราวแล้วจึงจะสามารถอุจจาระได้ ฟังแล้วน่ากลัวใช่เล่นเลยนะคะ วิธีกระชับช่องคลอดก็สามารถช่วยได้ค่ะ

5. กระชับช่องคลอดช่วยในการรักษาโรคทางสูตินรีเวช ช่วยให้อาการของโรคทุเลาลงได้ ช่วยในการฟื้นฟูสุขภาพได้เป็นอย่างดี เป็นวิธีรักษาสุขภาพที่ดีที่สุด เพราะการกระชับช่องคลอดทำให้ผู้หญิงมั่นใจขึ้น

6. กระชับช่องคลอดช่วยในการคลอดบุตร การที่กล้ามเนื้อช่องคลอดแข็งแรง จะช่วยให้การคลอดบุตรทางช่องคลอดสะดวกขึ้น การกระชับช่องคลอดทำให้อุ้งเชิงกรานในการคลอดลูกแข็งแรงได้ดี หลังการคลอดแล้วช่องคลอดจะกลับคืนสู่ภาวะปกติหลังคลอดได้เร็วขึ้น หญิงหลังคลอดที่ขยันฝึกขมิบช่องคลอดเป็นประจำจะทำให้ช่องคลอดกระชับ ลดปัญหาช่องคลอดหลวมได้ดีอย่างชัดเจนทีเดียวค่ะ

แชร์วิธีการกำจัดขนแบบปลอดภัย ไร้รอยแผลรอยดำ

262

เมื่อปัญหาเรื่องของขนมาเป็นอุปสรรคขวางกั้นความสวย บรรดาสาวๆ อย่างเราจึงไม่ยอมจำนนและหาวิธีการกำจัดขนสารพัดรูปแบบ อาทิ ถอน โกน แว็กซ์ ครีมกำจัดขน หรือการใช้นวัตกรรมเลเซอร์กำจัดขน มาช่วยกำจัดขนไม่พึงประสงค์ออกไป ซึ่งแต่ละวิธีการนั้นหากคุณสาวๆ ปฏิบัติไม่ถูกวิธีอาจจะสร้างปัญหาผิวตามมาได้ เช่น ขนคุด สิว รอยแผล รอยดำ ดังนั้น เรามาไขความกระจ่างเกี่ยวกับวิธีการกำจัดขนที่ถูกต้อง แบบปลอดภัยไม่ทิ้งรอยแผลรอย รอยดำให้ช้ำใจค่ะ

การถอน เป็นวิธีกำจัดขนด้วยการใช้แหนบหรือที่ถอนขนดึงเส้นขนออกมาทั้งเส้น มักใช้กำจัดขนเฉพาะส่วนหรือตามบริเวณที่ขนขึ้นไม่มาก การถอนควรดึงเส้นขนบริเวณโคน เพื่อไม่ให้ขาดออกจากกัน และควรเช็ดทำความสะอาดอุปกรณ์ใช้ถอนด้วยแอลกอฮอล์ทั้งก่อนและหลังใช้นะคะเพื่อลดความเสี่ยงติดเชื้อ หลังกำจัดขนเราไม่ควรใช้ครีมบำรุงผิวในทันที แต่ควรจะใช้ครีมหลังกำจัดขนโดยเฉพาะ เพื่อลดการระคายเคืองและลดการเกิดขนคุดได้ค่ะ โดยผลลัพธ์หลังการทำจะคงอยู่ประมาณ 1-2 สัปดาห์ จึงจะมีเส้นขนงอกขึ้นมาใหม่

image003 3

การโกนขน การกำจัดขนด้วยวิธีการโกนนั้นจะได้ผลแค่ในระยะสั้นๆ เท่านั้นค่ะ อีก 2-3 วัน ขนของคุณก็จะงอกขึ้นมาใหม่ ทั้งนี้ ก่อนโกนขนอย่าลืมสครับผิวเบาๆ เพื่อผลัดเซลล์ผิวเก่าออก โดยควรโกนตามแนวขน และให้ผิวบริเวณนั้นเปียกเล็กน้อย เพื่อช่วยให้ขนไม่แข็งจนเกินไปและโกนได้ง่ายขึ้น สำหรับการกำจัดขนบริเวณจุดซ่อนเร้นหรือบริเวณที่ผิวบอบบางนั้นควรใช้ครีมโกนขนร่วมด้วยเพื่อป้องกันการระคายเคือง หลังทำการโกนอาจทำให้เกิดการระคายเคืองได้ค่ะ ทางที่ดีหลังจากกำจัดขนคุณอาจจะใช้โจโจ้บาออยล์หรืออาฟเตอร์เชฟเข้ามาช่วยค่ะ

การแว็กซ์ขน เป็นวิธีกำจัดขนที่รวดเร็วและทำให้ผิวหนังเรียบเนียน ขนเส้นใหม่จะงอกภายใน 3-6 สัปดาห์ วิธีนี้ส่งผลให้รูขุมขนอ่อนแอ หากกำจัดขนเป็นประจำอาจมีขนขึ้นน้อยลงและขึ้นช้ากว่าเดิม ทั้งนี้ การแว็กซ์อาจทำให้เกิดตุ่ม รอยแดง และการอักเสบที่ผิวหนังชั่วคราว

image005 2

ซึ่งการแว็กซ์ขนอย่างปลอดภัย มีประสิทธิภาพ และเจ็บน้อยลงนั้น ควรเลือกแว็กซ์ที่ผ่านการรับรองจาก อย.และเหมาะกับสภาพผิวของตนเองในการกำจัดขน ดังนั้น ควรทดสอบอาการแพ้ทุกครั้งก่อนกำจัดขน โดยทาแว็กซ์บาง ๆ บริเวณข้อพับแขน ข้อมือ ท้องแขน หรือหลัง และหลีกเลี่ยงไม่ให้บริเวณดังกล่าวสัมผัสน้ำหรือเหงื่อประมาณ 48 ชั่วโมง หากไม่เกิดผื่นแดงแสดงว่าไม่มีอาการแพ้ค่ะ

หากมีผิวบอบบางควรใช้แว็กซ์ที่ทำจากวัตถุดิบธรรมชาติ เช่น แว็กซ์น้ำตาล แต่ก่อนแว็กซ์กำจัดขนรบกวนเช็คสักนิดนะคะว่าขนสั้นเกินไปหรือไม่ ทางที่ดีควรปล่อยให้ขนยาวเกินครึ่งเซนติเมตรแล้วค่อยแว็กซ์ เนื่องจากขนที่สั้นเกินไปอาจทำให้แว็กซ์ได้ยากและไม่เรียบเนียน ซึ่งวิธีการแว็กซ์เพื่อกำจัดขนที่ถูกต้องคือ แปะแผ่นแว็กซ์ให้แนบสนิทกับผิวหนังและดึงแว็กซ์ออกอย่างเร็วภายในครั้งเดียว หลังจากนั้น ใช้โทนเนอร์สำหรับทำความสะอาดใบหน้าที่มีส่วนผสมของคาโมมายล์เช็ดผิวหลังการแว็กซ์ เพื่อปรับสภาพผิวและลดความเสี่ยงต่อการเกิดรอยแดงและบวม ทั้งนี้ แพทย์ไม่แนะนำให้คนบางกลุ่มกำจัดขนด้วยการแว็กซ์ ได้แก่ ผู้ที่มีภาวะขนดก ผู้ที่กำลังใช้ยารักษาสิวบางชนิด และผู้ที่มีผิวไหม้แดดบริเวณรักแร้ค่ะ

ครีมกำจัดขน เป็นครีมสำหรับใช้ทาบริเวณผิวหนังที่ต้องการกำจัดขน ควรทาทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที หรือตามคำแนะนำของแต่ละผลิตภัณฑ์ โดยสารเคมีในครีมนั้นจะไปปรับเปลี่ยนโครงสร้างโปรตีนของเส้นขนที่อยู่เหนือผิวหนังให้อ่อนยุ่ยและเช็ดออกได้ง่ายค่ะ ข้อดีของการกำจัดขนด้วยวิธีนี้คือ ทำได้ง่ายและรวดเร็ว แต่สารเคมีที่เป็นส่วนประกอบอาจทำให้ครีมมีกลิ่นฉุนและก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ อีกทั้งอาจใช้ไม่ได้ผลกับผู้ที่มีเส้นขนหยาบหนาค่ะ

image007

ทั้งนี้ ส่วนผสมของครีมแต่ละยี่ห้อย่อมแตกต่างกันออกไป ก่อนใช้กำจัดขนจึงควรอ่านฉลากบนผลิตภัณฑ์ให้ละเอียดทุกครั้ง และหากคุณสาวๆ ต้องการกำจัดขนบริเวณจุดซ่อนเร้น ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ระบุให้ใช้สำหรับส่วนนี้โดยเฉพาะ ส่วนผู้ที่มีผิวบอบบางหรือเคยมีอาการแพ้ ควรลองทดสอบก่อนใช้โดยป้ายครีมปริมาณเล็กน้อยลงบนผิวหนัง และปฏิบัติตามคำแนะนำของแต่ละผลิตภัณฑ์อย่างเคร่งครัด ไม่ควรทายากำจัดขนในปริมาณมากเกินไป และควรล้างหรือเช็ดครีมออกตามเวลาที่กำหนดค่ะ

เลเซอร์ เป็นเทคโนโลยีช่วยกำจัดขนจะทำการกำจัดขนที่ไม่พึงปรารถนา โดยให้ความร้อนช่วยทำลายและยับยั้งการเจริญเติบโตของเส้นขน ซึ่งมักได้ผลดีกับเส้นขนสีดำ เนื่องจากแสงเลเซอร์จะจับเม็ดสีเมลานินในเส้นขนสีดำได้มากกว่า ทั้งนี้ เลเซอร์ที่ใช้ในทางการแพทย์มีหลายชนิด ก่อนเข้ารับการกำจัดขนด้วยวิธีนี้ควรปรึกษากับแพทย์ถึงข้อดี ข้อเสีย และผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น

image009

นอกจากนี้ การกำจัดขนด้วยเทคโนโลยีนี้ยังช่วยแก้ปัญหาเรื่องขนคุด รูขุมขนอุดตัน ทำให้ผิวดูเกลี้ยงเกลา เรียบเนียน ผิวแลดูสว่าง สะอาดสะอ้านขึ้นด้วย ด้วยการรักษาเพียง 5-8 ครั้ง และควรกำจัดขนซ้ำทุก 1 เดือน เพื่อยับยั้งวงจรการเกิดขนอย่างต่อเนื่อง  ขนก็จะค่อยๆ หายไป ทำให้คุณรำคาญใจน้อยลงอีกด้วยค่ะ

เช็คเรื่องลับ! สาวๆ ส่วนใหญ่นิยมกำจัดขนส่วนไหนกันบ้างนะ

25

ว่ากันด้วยเรื่องขนๆ เรื่องธรรมชาติที่ขึ้นอยู่ทั่วไปตามบริเวณส่วนต่างๆ ของร่างกาย ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า และแม้ว่าร่างกายของเรานั้นจะสร้างขนขึ้นมาด้วยวัตถุประสงค์เพื่อปกป้องร่างกายจากการเสียดสีหรือลดแรงกระแทกสู่ร่างกายโดยตรง แต่คงปฏิเสธไม่ได้เลยค่ะ ว่าขนที่ขึ้นอยู่บนตัวเราในบางบริเวณนั้น กลับสร้างความหนักใจให้สาวๆ ทั้งสาวแท้สาวหรือเทียมเป็นอย่างมากด้วยนานาเหตุผล และพวกเธอเองก็ไม่รีรอที่จะกำจัดขนในบริเวณที่ไม่ต้องการออกไป ซึ่งสาวๆ บางคนก็เลือกที่จะเก็บเรื่องนี้เอาไว้เป็นความลับ!

แต่ความลับมักไม่มีในโลกค่ะ เราจึงนำความลับเรื่องขนๆ ของสาวๆ มาเปิดเผยให้ได้ทราบกันว่า พวกเธอนิยมที่จะกำจัดขนส่วนไหนทิ้งไปกันบ้าง และสาเหตุใดที่ต้องกำจัดขนบริเวณนั้นทิ้ง มาดูกันเลยค่ะ

shutterstock 106758197
  • ขนรักแร้
    ขอยกให้เป็นขนอันไม่พึงประสงค์อันดับแรกที่สาวๆ อยากกำจัดมันออกไปแบบสิ้นซากถอนรากถอนโคน ด้วยเหตุผลที่หญิงสาวทุกคนล้วนเห็นพ้องต้องกันคือ ขนรักแร้ยื่นยาวสำหรับสาวๆ นั้นมันน่ายี้มากกว่าน่ามองนะคะ และเชื่อว่าหนุ่มๆ เองก็คงไม่ปลื้มเช่นกันค่ะ ถ้าแอบเห็นสาวๆ ไว้ขนรักแร้ยาวหรือมีขนรักแร้ขึ้นเป็นตอเมื่อเห็นคงแล้วรู้สึกจั๊กจี้น่าดู อีกทั้งทำให้สาวๆ ขาดความมั่นใจไม่กล้าใส่เสื้อผ้าแขนกุด สายเดี่ยว เพื่ออวดแขนขาวๆ สวยๆ ฉะนั้น การกำจัดขนรักแร้สาวๆ จึงต้องความสำคัญและนิยมกำจัดขนเป็นจุดแรกๆ ค่ะ
  • ขนหน้าแข้ง
    สำหรับสาวท่านไหนที่มีขนหน้าแข้งดกหนาหรือยื่นยาวเหมือนผู้ชาย ตัวเธอเองคงไม่ปลื้มเป็นแน่ค่ะเพราะดูแล้วมันออกจะแมนมากไปหน่อย และเป็นเรื่องลับที่ไม่อยากให้ใครรับรู้ ดังนั้น การกำจัดขนบริเวณหน้าแข้งจึงเป็นที่นิยมของสาวๆ อย่างมากเพื่ออวดเรียวขาเนียนสวย และให้ความรู้สึกสะอาดสะอ้านน่ามองค่ะ
shutterstock 292235405
  • ขนแขน
    ขนอ่อนๆ บนแขนของสาวๆ เมื่องมองแล้วก็ดูน่ารักเซ็กซี่ดีนะคะ แต่ในกรณีที่ขนแขนยาวมากหรือดกหนามากไปจนเกินงาม สาวๆ ก็ควรกำจัดขนออกไป เพราะจะช่วยทำให้แขนของคุณแลดูเนียนขาวขึ้นด้วยค่ะ
  • ขนบนใบหน้า
    ด้วยหลากหลายเหตุผล เช่น กำจัดขนบนใบหน้าจะช่วยทำให้หน้าตาดูเกลี้ยงเกลาเนียนเรียบขึ้นเยอะ หรือกำจัดขนบนหน้าจะช่วยให้การทาแป้งบนหน้าติดทนและเนียนเรียบยิ่งขึ้น
  • หนวด
    เป็นปัญหากวนใจเบอร์ต้นของหนุ่มๆ หรือสาวแท้บางคนที่ต้องประสบปัญหามีขนขึ้นบริเวณเหนือริมฝีปากชนิดดกหนาเป็นพิเศษ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาสาวเทียมนั้นเธอซีเรียสกับหนวดมากค่ะ และออกอาการไม่ปลื้มอย่างแรงถ้ามีหนวดเขียวๆ ครื้มๆ ขึ้นอยู่บนใบหน้าสวยๆ หวานๆ ของพวกเธอ แถมขนพวกนี้ยังขึ้นบ่อยเสียด้วยสิ ดังนั้น การกำจัดขนบริเวณนี้จึงเป็นอีกหนึ่งจุดที่ทั้งหนุ่มๆ และสาวแท้สาวเทียมให้ความสำคัญอย่างมากค่ะ
  • ขนหน้าอก ขนหน้าท้อง
    สำหรับสาวเทียมแล้วเธอคงออกอาการยี้อย่างแรงเมื่อเห็นขนขึ้นดกครึ้มบนแผงอก หรือแม้แต่หนุ่มๆ บางคนก็ไม่ปลื้มกับขนที่ขึ้นเต็มตัวจนรู้สึกเขินอายหากจะต้องถอดเสื้อโชว์หุ่น ฉะนั้น การกำจัดขนบริเวณหน้าอกและหน้าท้องจึงเป็นมาตรการลับแบบเร่งด่วน ที่สาวเทียมและหนุ่มแท้ไม่รีรอที่จะตัดสินใจกำจัดขนบริเวณนั้นทิ้งไปค่ะ
shutterstock 203292040
  • ขนจิ๊มิ๊
    อ๊ะอ๊ะ! อ่านแล้วไม่ต้องหน้าแดงค่ะ เพราะต้องยอมรับว่าถ้ามีปริมาณขนตรงบริเวณนั้นเยอะเกินไปมันก็สร้างความรำคาญและลำบากยุ่งยากอยู่ไม่น้อยนะคะ โดยเฉพาะกับสาวๆ ที่ชื่นชอบกีฬาว่ายน้ำ หรือนิยมนุ่งบิกินีอวดหุ่นสวยริมชายหาด ต้องให้ความสำคัญกับการกำจัดขนส่วนนี้อย่างมาก เพราะหากบังเอิญมีขนแพลมออกมาเจ้าตัวเองคงจะเขินอยู่ไม่น้อย สาวๆ จึงนิยมกำจัดขนตรงส่วนนี้ออกไปแบบลับๆ แหม… ก็เรื่องนี้ใครเค้าจะเอามาเล่าสู่กันฟังล่ะ เขินแย่เลยจริงมั้ยคะ…
  • ขนบริเวณก้น
    อีกหนึ่งที่ลับที่สาวๆ ไม่อยากเปิดเผยให้ใครได้รับรู้ ทั้งนี้ขนบริเวณก้นนั้นกำจัดด้วยตัวเองค่อนข้างลำบากค่ะ แนะนำสาวๆ ว่าไม่ต้องอายที่จะเลือกใช้บริการจากสถานบริการกำจัดขนที่สามารถกำจัดขนของเราออกอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อช่วยให้เรารู้สึกมั่นใจขึ้นเวลาสวมใส่ชุดว่ายน้ำ หรือบิกินีตัวเก่งค่ะ
  • ขนบนนิ้วเท้า
    หลายคนรีบก้มดูที่เท้าตนเองว่ามีขนขึ้นมาบริเวณนี้หรือไม่ แน่นอนล่ะว่ามันบั่นทอนความรู้สึกของสาวๆ บางคนที่มีขนขึ้นบนบริเวณนิ้วหัวแม่โป้งเท้าโดยเฉพาะในเวลาที่เธอต้องถอดรองเท้าแล้วเดินเท้าเปล่าในที่สาธารณะ หรือสวมรองเท้าหูหนีบ และเมื่อก้มลงมองที่เท้าตนเองทีไรก็ไม่สบายใจและเชื่อว่าเธอต้องกำจัดขนส่วนนี้ออกไปอย่างแน่นอนค่ะ

จริงหรือไม่ เลเซอร์ใช้กำจัดขนได้ถาวรแบบสิ้นซาก

24

ด้วยนวัตกรรมด้านวิทยาการความสวยความงามที่ก้าวหน้าไปไกล ไม่ว่าเราอยากจะลดหรืออยากจะเพิ่มตรงส่วนไหนของร่างกายเพื่อความเป๊ะปังก็สามารถเป็นไปได้ดั่งเนรมิตร ไม่เว้นแม้แต่การกำจัดขนบนส่วนต่างๆ ของร่างกายที่นวัตกรรมด้านความงามได้นำเลเซอร์มาใช้กำจัดขน ทั้งนี้ หลายคนคงเคยได้ยินเรื่องประสิทธิภาพการกำจัดขนด้วยเลเซอร์ว่าสามารถกำจัดขนได้แบบสิ้นซากถาวรนั้น แท้จริงแล้วเป็นไปได้หรือไม่ แล้วขั้นตอนการใช้เลเซอร์กำจัดขนนั้นเป็นอย่างไร เพราะเหตุใดนวัตกรรมเลเซอร์จึงมีประสิทธิภาพในการกำจัดขนได้แบบถาวร มาทำความเข้าใจถึงนวัตกรรมนี้กันค่ะ

shutterstock 724051846

หลักการทำงานของเลเซอร์กำจัดขนถาวร

  • แสงเลเซอร์ใช้กำจัดขนโดยการส่งผ่านพลังงานแสงเลเซอร์ไปที่รากขน ซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษในการเกาะจับเม็ดสีเข้มได้ดี
  • หลังจากนั้นพลังงานแสงจะถูกเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อน ส่งผลให้เนื้อเยื่อบริเวณที่มีเซลล์เม็ดสีถูกทำลายลงอย่างรวดเร็ว เลเซอร์ใช้กำจัดขน เช่น เส้นขน รากขน และเนื้อเยื่อต่างๆ ที่ทำหน้าที่ผลิตขนก็จะถูกทำลายไปด้วยเช่นกัน รวมถึงเนื้อเยื่อเชื่อมต่อบริเวณรากขนและเส้นเลือดที่มาหล่อเลี้ยงทำให้ไม่สามารถผลิต Stem Cells ที่ทำให้ขนงอกได้
  • ผลลัพธ์คือ ทำให้วงจรการเกิดขนใหม่จะช้าออกไปเรื่อยๆ เส้นขนที่เกิดใหม่จะมีขนาดที่เล็กลง สีอ่อนลง และจะค่อยๆ ขึ้นน้อยลง และหากใช้เลเซอร์กำจัดขนซ้ำๆ เส้นขนก็จะค่อยๆ หมดไปในที่สุด
  • ทั้งนี้ ผลลัพธ์ที่ได้ก็ต้องขึ้นอยู่กับบริเวณที่ทำและลักษณะของขนที่เป็นอยู่ด้วย

การกำจัดขนถาวรด้วยเลเซอร์เจ็บหรือไม่               

เป็นคำถามสุดคลาสสิกสำหรับผู้ที่กำลังตัดสินใจกำจัดขนถาวรด้วยเลเซอร์ซึ่งความรู้สึกระหว่างการใช้เลเซอร์เพื่อกำจัดขนจะคล้ายกับหนังยางดีดบนผิวหนังเป็นความรู้สึกที่ร่างกายของเราสามารถทนได้ค่ะ ทั้งนี้ บริเวณผิวหนังอ่อนๆ เช่นริมฝีปาก หรือขาหนีบจะรู้สึกมากกว่าบริเวณอื่น โดยการทายาชาชนิดครีมก่อนการทำเลเซอร์ขน จะช่วยลดความรู้สึกระหว่างการรักษาได้

เลเซอร์สามารถกำจัดขนบริเวณใดของร่างกายได้บ้าง

การกำจัดขนโดยใช้นวัตกรรมเลเซอร์ใช้จำกัดขนนั้น มีความปลอดภัยมากพอที่จะสามารถใช้กำจัดขนในส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ อาทิ ใบหน้า แขน รักแร้ หลัง หน้าอก ขา และขอบบิกินี

shutterstock 418048024

ปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้การกำจัดขนด้วยเลเซอร์ได้ผลดี

  • พลังงานที่สูงพอจะสามารถส่งไปถึงบริเวณรากลึกของขนในรูขุมขน ทำให้สามารถทำลายเซลล์เป้าหมายที่รูขุมขนได้
  • ระดับความลึกของรากขน
  • สีผิวและสีขน สำหรับผู้ที่มีผิวสีเข้มมากแต่มีสีขนอ่อน เช่น สีทองหรือสีน้ำตาลอ่อน มักจะได้รับผลตอบสนองน้อยกว่าคนผิวขาวแต่สีขนดำเข้มค่ะ
  • โดยทั่วไปเส้นขนที่ถูกทำลายได้ดีมีทั้งหมด 3 ระยะ ซึ่งระยะที่โตเต็มจะได้ผลดีที่สุด ดังนั้น การรอให้เส้นขนในระยะอื่นๆ โตขึ้นมาให้เต็มที่จะทำให้การกำจัดขนด้วยเทคโนโลยี เลเซอร์กำจัดขนนี้แต่ละครั้งมีประสิทธิภาพ
shutterstock 424315603

ข้อดีของการใช้เลเซอร์กำจัดขนถาวร

  • สามารถกำจัดขนได้ทุกสภาพผิวและเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
  • ไม่เจ็บไม่จำเป็นต้องใช้ยาชา
  • ปลอดภัยต่อผิวหนังชั้นบน
  • เลเซอร์ใช้กำจัดขนจะทำลายรากขนที่อยู่ลึกลงไปในชั้นผิว ส่งผลให้เส้นขนใหม่ขึ้นมาช้า และเส้นขนที่เกิดใหม่จะมีขนาดเล็กลงสีอ่อนลงปริมาณน้อยลง และค่อยๆ หมดไปในที่สุด
  • ไม่ทำลายรูขุมขน ไม่ทิ้งรอยไหม้หรือรอยแดงบนผิวหนังให้ต้องกังวล
  • ช่วยลดกลิ่นตัวแก้ขนคุด
  • ปรับสภาพผิวให้ดูเนียนเรียบและยังช่วยกระชับรูขุมขนหมดปัญหาผิวหนังไก่

เมื่อทราบถึงประสิทธิภาพ และขั้นตอนการกำจัดขนถาวรด้วยเลเซอร์แล้ว คงทำให้คุณๆ ตัดสินใจได้ไม่ยากแล้วใช่ไหมคะ ทำแล้วรับรองว่าชีวิตดี๊ดีไม่มีปัญหาเรื่องขนมากวนใจคุณอีกแน่นอนค่ะ

ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับวิธีกำจัดขนที่สาวๆต้องรู้

22

สาวๆ ทั้งหลายคงเคยได้ยินได้ฟังถึงคำแนะนำหรือความเชื่อต่างๆ เกี่ยวกับวิธีการกำจัดขนที่ไม่พึงประสงค์มาบ้างแล้วไม่มากก็น้อยนะคะ ซึ่งจะได้ผลดีหรือผลเสียนั้นก็ขึ้นอยู่กับตัวของสาวๆ เองว่าเมื่อได้ทดลองแล้วเกิดผลอย่างไรบ้าง บางครั้งได้ผลเวิร์คสุดๆ แต่บางครั้งก็กลับส่งผลเสียทำร้ายผิวสวยๆ แถมยังยากต่อการรักษาให้ผิวกลับมาเป็นปกติ มาดูความเชื่อแบบผิดๆ เกี่ยวกับวิธีกำจัดขนที่เราอาจเคยได้ยินมานานหรือความเชื่อแบบบอกต่อโดยไม่สืบค้นหาสาเหตุว่าถูกหรือผิด

เพราะฉะนั้น สาวๆ คะหยุดการทำร้ายผิวหนังของคุณกับวิธีการกำจัดขนแบบผิดๆ หรือความเชื่อที่ผิดๆ เกี่ยวกับวิธีการกำจัดขน แล้วมาดูว่าความเชื่อที่คุณเคยได้ยินมานั้นมันจริงเท็จแค่ไหนกันค่ะ

ความเชื่อ: ห้ามสครับผิวก่อนโกนขนเพราะจะเกิดรอยดำ

สาวๆ หลายคนมีความเชื่อที่ว่า ถ้าหากสครับผิวแล้วโกนขนนั้นจะทำให้ผิวหนังเกิดการอักเสบและเกิดรอยดำคล้ำขึ้นได้ เอาเป็นว่าลืมความเชื่อเดิมๆ ไปได้แล้วค่ะ ลองหันมาสครับผิวก่อนการโกนขน หรือกำจัดขนเพื่อช่วยผลัดเซลล์ผิวชั้นนอกที่ตายแล้วออกไปซึ่งเซลล์ผิวเก่านี้อาจปะปนและติดอยู่กับเส้นขน และช่วยทำให้เส้นขนชี้ขึ้นและโกนออกได้ง่ายขึ้น หากโกนขนโดยที่ไม่ได้สครับผิวก่อน อาจทำให้เกิดขนคุด หรือรูขุมขนอักเสบได้ค่ะ

shutterstock 492500941

ความเชื่อ: ต้องโกนย้อนแนวขนผิวจะเนียนเรียบ

เชื่อว่าสาวๆ กว่า 50% นิยมกำจัดขนด้วยวิธีการโกนย้อนแนวขนขึ้นไป เพราะสามารถกำจัดขนได้เกลี้ยงเกลาเนียนเรียบกว่าการโกนตามแนวขน แต่ผลเสียที่ตามมานั้นทำให้สาวๆ ต้องรู้สึกผิดและเลิกการโกนแบบย้อนแนวขนไปเลยค่ะ เพราะผิวหนังบริเวณที่ถูกโกนเสี่ยงต่อการถูกมีดบาดได้ง่าย อีกทั้งยังส่งผลให้ผิวหนังและรูขุมขนเกิดการระคายเคือง ทำให้เกิดขนคุดและสิวตามมาได้ค่ะ

ความเชื่อ: การกำจัดขนด้วยเลเซอร์มันเจ็บมากนะ

หลายคนยังฝังความเชื่อที่ว่าการกำจัดขนด้วยเลเซอร์เป็นวิธีที่เจ็บมากๆ หากต้องกำจัดขนด้วยวิธีนี้ต้องโบกยาชาเข้าช่วยลดความรู้สึกเจ็บก่อนทำ อย่างไรก็ตาม ความเจ็บนั้นก็ขึ้นอยู่กับความไวต่อการกระตุ้นของแต่ละคน อีกทั้งนวัตกรรมการกำจัดขนด้วยเลเซอร์สมัยใหม่นั้นคุณจะสัมผัสได้ถึงความร้อนเพียงเล็กน้อย หรือความรู้สึกเจ็บอาจกลายเป็นศูนย์ไปเลย ทางที่ดีต้องไปสัมผัสด้วยตัวของคุณเองค่ะ คล้ายกัยสำนวนที่ว่า สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็นไม่เท่าทดลองทำ คุณว่าจริงมั้ยคะ …

ความเชื่อ: ห้ามทำบิกินีแว็กซ์ระหว่างมีประจำเดือน

จริงๆ แล้วเราสามารถกำจัดขนบริเวณนั้นด้วยวิธีทำบิกินีแว็กซ์ในช่วงมีประจำเดือนได้ค่ะ แต่ถ้าคุณรู้สึกว่าผิวหนังระคายเคืองง่ายช่วงมีประจำเดือน ก็ควรเลี่ยงการแว็กซ์ขนไปก่อน แล้วรอให้ผิวหนังกลับมาเป็นปกติจึงค่อยกำจัดขนด้วยการแว็กซ์ค่ะ

shutterstock 198459449

ผลเสียของการกำจัดขนแบบผิดๆ

เกิดขนคุด เกิดจากการอุดตันของรูขุมขนด้วยโปรตีนที่ชื่อว่า Keratin (เคอราติน) ทำให้ผิวบริเวณที่มีขนนั้นมีชั้นผิวที่หนาขึ้น ส่งผลให้ขนที่งอกใหม่ไม่สามารถแทงทะลุผิวหนังได้ ขนจึงงอกยาวขึ้นและม้วนงออยู่ใต้ชั้นผิว ดันให้ผิวบริเวณนั้นเป็นตุ่มขึ้น มีลักษณะเป็นจุดดำๆ เล็กๆ ขึ้นตามรูขุมขนทำให้ผิวหนังดูสากคล้ายหนังไก่ มักพบในผู้ที่มีผิวแห้งมากกว่าผิวมัน

รูขุมขนอักเสบ เกิดจากการระคายเคืองที่รูขุมขนซึ่งเป็นผลจากการถอนหรือโกนเพื่อกำจัดขนเป็นประจำ เป็นสาเหตุที่ทำให้รูขุมขนอักเสบตามมาได้

จุดด่างดำตามร่างกาย มีลักษณะเป็นจุดแบนสีแดงจนถึงสีน้ำตาลเข้ม สาเหตุเกิดจากการอับเสบของผิวหนังเกิดจากการกำจัดขนด้วยวิธีการโกน แม้ว่าจะไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายแต่ก็สร้างความกวนใจให้สาวๆ ไม่น้อย

เกิดรอยแผลเป็น การกำจัดขนด้วยวิธีโกน ถอน หรือใช้ครีมกำจัดขนบ่อยครั้ง อาจเกิดการอักเสบขึ้นและเกิดรอยแผลเป็นจากขนคุด หรือรอยแผลเป็นจากการแพ้ผื่นคันของครีมหรือเจลกำจัดขนได้ ซึ่งหากดูแลรักษาไม่ดีก็อาจส่งผลกระทบกับชั้นผิวภายนอกในระยะยาวได้ค่ะ

ข้อควรปฏิบัติ ก่อนและหลังกำจัดขนด้วยเลเซอร์

23

การกำจัดขนด้วยเลเซอร์เป็นวิธีการใช้แสงเลเซอร์พลังความร้อนสูงทำลายต่อมรากขน เพื่อหยุดการเจริญเติบโตของเส้นขนไม่ให้ขึ้นมาอีกในอนาคต ซึ่งนอกจากคุณสาวๆ จะรู้สึกสบายใจเพราะไร้ขนอันไม่พึงประสงค์แล้ว ยังส่งผลดีต่อผิวหนังบริเวณที่รับการรักษาเนื่องจากประสิทธิภาพของเลเซอร์ช่วยทำให้ผิวหนังเนียนเรียบและรูขุมขนกระชับขึ้นอีกด้วย แต่ก่อนที่สาวๆ จะเข้ารับบริการกำจัดขนด้วยเลเซอร์นั้น ลองมาศึกษาถึงข้อปฏิบัติก่อนการกำจัดขนด้วยเลเซอร์ว่าต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง และหลังจากรับการกำจัดขนด้วยเลเซอร์มาแล้วนั้น ควรปฏิบัติตัวอย่างไรจึงจะปลอดภัยไร้ข้อกังวลใจค่ะกังวลใจค่ะ

shutterstock 1034277919

การเตรียมตัวก่อนทำเลเซอร์กำจัดขน

  1. การกำจัดขนด้วยเลเซอร์เป็นกระบวนการที่ต้องกระทำโดยแพทย์ผู้ชำนาญการ ก่อนทำจึงควรศึกษาข้อมูลและเลือกแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านผิวหนังหรือศัลยกรรมความงามและมีประสบการณ์ในการทำเลเซอร์กำจัดขนมาก่อน
  2. หลีกเลี่ยงการถอนขน โกนขน หรือแว็กซ์ขนในบริเวณที่ต้องการกำจัดขนด้วยเลเซอร์ ประมาณ 3-4 สัปดาห์ เพื่อต้องการให้ขนเจริญเต็มที่ เนื่องจากลำแสงเลเซอร์จะส่งผ่านพลังงานไปสู่รากขนโดยใช้ตอขนเป็นสื่อ สามารถทำลายเซลล์ขนต้นกำเนิดได้อย่างตรงจุด ทำให้สามารถกำจัดขนอย่างได้ผล
  3. ไม่ควรสครับผิวหรือขัดผิวบริเวณที่ต้องการทำเลเซอร์กำจัดขน เพราะการสครับผิวอาจทำให้ผิวถลอกเป็นแผลได้ ซึ่งอาจส่งผลให้ผิวบริเวณที่ต้องการกำจัดขนอ่อนแอ
  4. งดการใช้สบู่ เคมี และครีมที่ระคายเคืองที่ผิวหนัง เช่น กรดวิตามินเอ (Retin-A), กรด AHA เนื่องจากครีมบางชนิดอาจมีฤทธิ์ในการผลัดเซลล์ผิว ซึ่งอาจส่งผลให้ผิวบริเวณที่ต้องการกำจัดขนอ่อนแอและไม่พร้อมกับการทำเลเซอร์กำจัดขน หากไม่แน่ใจควรปรึกษาแพทย์ค่ะ
  5. ไม่ควรใช้โรลออน หรือผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นใต้วงแขนทุกประเภท เพราะโรลออนบางชนิดจะมีส่วนผสมบางตัวที่ทำให้ผิวอุ้มน้ำซึ่งจะซึมไปที่รูขุมขน หรือเคลือบบริเวณผิว จึงอาจจะส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำเลเซอร์กำจัดขน
  6. หลีกเลี่ยงการเผชิญแสงแดดในช่วง 6 สัปดาห์ก่อนทำเลเซอร์ เพราะจะส่งผลให้ประสิทธิภาพหรือผลลัพธ์จากการกำจัดขนด้วยเลเซอร์ลดน้อยลง
  7. หากมีโรคประจำตัวหรือทานยาชนิดใดอยู่ควรแจ้งแพทย์ให้ทราบก่อนการทำเลเซอร์กำจัดขน เนื่องจากยาบางชนิดอาจมีฤทธิ์กระตุ้นในการสร้างฮอร์โมนต่างๆ ซึ่งอาจมีผลถึงการเร่งการเจริญเติบโตของเส้นขน

วิธีการดูแลตนเองหลังกำจัดขนด้วยเลเซอร์

  1. ในช่วง 1-2 วัน หลังจากการกำจัดขนด้วยเลเซอร์ บริเวณผิวหนังที่ได้รับเลเซอร์อาจยังแสบร้อนอยู่ ให้ใช้แผ่นประคบเย็นและโลชั่นบำรุงผิวทาช่วยบรรเทาอาการ ส่วนสาวๆ ที่ทำเลเซอร์กำจัดขนบนใบหน้านั้นสบายใจได้ค่ะเพราะสามารถแต่งหน้าได้ตามปกติหากผิวหนังไม่มีอาการพุพองใดๆ
  2. ภายใน 24 ชั่วโมงแรกหลังทำเลเซอร์กำจัดขน ไม่ควรให้บริเวณที่กำจัดขนด้วยเลเซอร์โดนน้ำ แต่ถ้าหากแผลถูกน้ำ ควรซับให้แห้งด้วยสำลีหรือผ้าสะอาด
  3. ระหว่างนี้งดการเผชิญแสงแดดประมาณ 1-2 สัปดาห์ หรือยิ่งเก็บตัวนาน ๆ ยิ่งดีค่ะ และควรทาครีมกันแดดทุกวันแม้จะอยู่บ้าน โดยเฉพาะหนุ่มสาวที่ทำเลเซอร์ขนหน้าหรือเลเซอร์หนวดเพราะผิวของเราจะไวต่อแสงแดดมากค่ะ
  4. หากกำจัดขนรักแร้ควรงดการทาสารระงับกลิ่น 2-3 วัน เพื่อลดการระคายเคือง
  5. งดกิจกรรมที่มีการใช้ความร้อน เช่น ซาวน่า โยคะร้อน อบไอน้ำ เป็นเวลา 2-3 วัน
shutterstock 600731996

ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวอย่างไรหลังจากกำจัดขนด้วยเลเซอร์

เชื่อว่าหลังจากที่สาวๆ ทำเลเซอร์กำจัดขนมาแล้ว ก็คงอดไม่ได้ที่จะต้องดูแลบำรุงผิวพรรณของตนเองให้สวยอยู่เสมอ โดยเราได้รวบรวมข้อมูลดีๆ ของการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวอย่างเหมาะสมหลังทำเลเซอร์มานำเสนอค่ะ

  1. เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสำหรับผิวแพ้ง่าย และไม่ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิว รวมถึงให้ความชุ่มชื้นในระดับที่เพียงพอแต่ไม่เหนอะหนะมากจนเกินไปค่ะ
  2. ปกป้องผิวจากรังสี UV ด้วยการใช้ครีมกันแดดที่เหมาะสมกับผิวบอบบางหลังกำจัดขนด้วยเลเซอร์ แต่ในกรณีที่ไม่แน่ใจว่าควรใช้ผลิตภัณฑ์ใดภายหลังการรักษาด้วยเลเซอร์ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
shutterstock 488711782

ข้อปฏิบัติทั้งก่อนและหลังการกำจัดขนด้วยเลเซอร์ เป็นวิธีการที่ไม่ยุ่งยากซับซ้อนเลยใช่ไหมคะ และข้อสำคัญไม่ควรละเลยคำแนะนำเพื่อผลลัพธ์ที่ดีต่อตัวคุณเอง หมดปัญหาเรื่องขนอันไม่พึงประสงค์ และสามารถอวดผิวสวยๆ ได้แบบแฮปปี้พร้อมความมั่นใจเต็มร้อยค่ะ

สาเหตุนอนกรน วิธีเลี่ยงนอนกรน ทำไมต้องรักษานอนกรน

87

วิธีการพักผ่อนร่างกายที่ดีที่สุดนั่นคือการนอนหลับ หากคุณสามารถหลับได้ลึกและยาวนานมากเท่าไหร่ก็ยิ่งส่งผลดีต่อร่างกาย แต่เรามักจะพบว่าหลายคนมีอาการนอนกรนร่วมด้วย  โดยเกิดขึ้นในช่วงของการหลับลึกแล้วมีเสียงเกิดขึ้นที่บริเวณลำคอระหว่างหายใจเข้าในขณะนอนหลับ ซึ่งอาการกรนนี้ได้สร้างความรำคาญแก่ผู้ที่นอนร่วมห้องด้วย หรืออาจมีอาการสะดุ้งตื่นกลางดึกอันเนื่องมาจากอาการกรน หรือแล้วอาการนอนกรนเกิดจากสาเหตุใด เราจะสามารถเลี่ยงไม่ให้นอนกรนได้หรือไม่  และสำหรับบางรายมีความจำเป็นอย่างยิ่งต้องรักษานอนกรนเป็นเพราะสาเหตุใด มาไขข้อสงสัยนี้กันค่ะ

สาเหตุของอาการนอนกรน

อาการนอนกรนจะเกิดในขณะนอนหลับ โดยกล้ามเนื้อคอจะผ่อนคลายและหย่อนตัว ส่งผลทำให้ทางเดินหายใจแคบลงและอากาศที่เคลื่อนผ่านทางเดินหายใจที่แคบลง ทำให้เกิดการสั่นของเนื้อเยื่อคอจนทำให้เป็นเสียงกรนขึ้นมา ทั้งนี้ เสียงกรนยังเกิดจากสาเหตุอื่นๆ ตามสาเหตุดังนี้ค่ะ

image003 5
  • ความอ้วนอาจเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้คุณนอนกรนได้ค่ะ เพราะเมื่อร่างกายมีไขมันสะสมอยู่ที่เนื้อเยื่อรอบช่องคอจึงทำให้ทางเดินหายใจแคบลง จนหายใจไม่สะดวกเป็นที่มาของเสียงกรนดังค่ะ
  • การสูบบุหรี่ ทำให้ช่องทางเดินหายใจอักเสบ หนาตัวและมีเสมหะมากขึ้น
  • เครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ และยาบางชนิดกดการตอบสนองของร่างกายต่อภาวะขาดออกซิเจน และภาวะคั่งของคาร์บอนไดออกไซด์ และทำให้กล้ามเนื้อของช่องทางเดินหายใจยุบตัวง่ายขึ้น
  • กรรมพันธุ์ คนที่มีบรรพบุรุษมีอาการกรนมีโอกาสที่จะนอนกรนสูงกว่าคนทั่วไป ทั้งนี้ลองปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษานอนกรนให้หายได้ค่ะ
  • คางสั้น ลักษณะโครงสร้างกระดูกใบหน้าที่มีคางสั้นทำให้เกิดเสียงกรนได้เมื่อหายใจขณะนอนหลับ
  • อายุมาก กล้ามเนื้อบริเวณคอรอบทางเดินหายใจหย่อนตกไปด้านหลังช่องคอ ทำให้เกิดการสั่นเวลาหายใจขณะหลับจึงเกิดเสียงกรน
  • เป็นหวัดเรื้อรังหรือมีอาการแน่นจมูกเรื้อรังทำให้ช่องทางเดินหายใจแคบกว่าปกติค่ะ

วิธีเลี่ยงนอนกรน

  • การควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในภาวะปกติ เพราะเมื่อร่างกายมีเนื้อหนังรอบคอ (รวมทั้งทั่วตัว) ที่่แน่นจนเกินไป อาจทำให้กดหลอดลมหายใจจนหายใจไม่สะดวกจึงนอนกรนเสียงดังค่ะ ดังนั้น แนะนำให้รักษานอนกรนโดยการลดน้ำหนักเพื่อสุขภาพนะคะ หากอาการกรนยังไม่หายควรพบแพทย์เพื่อรักษานอนกรนค่ะ
  • หมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การออกกำลังกายช่วยให้กล้ามเนื้อเกี่ยวกับช่องทางเดินหายใจแข็งแรงขึ้นได้ค่ะ รักษานอนกรนได้เช่นกัน
  • ยกศีรษะให้สูงขึ้น ในกรณีที่นอนตะแคงไม่ถนัดนัก สามารถนอนหงายและใช้หมอนเล็กๆ หนุนที่บริเวณหลังคอด้านบน ยกศีรษะให้สูงจากเตียง เพื่อรักษานอนกรนและป้องกันไม่ให้ลิ้นหย่อนลงไปในลำคอจนทำให้เกิดเสียงกรน
  • หากท่านอนหงายเป็นท่าที่คุณนอนหลับสบายที่สุด ลองนอนโดยไม่ต้องใช้หมอนรองศีรษะ หรือจะนอนหนุนหมอนแต่ใช้ผ้าขนหนูหนุนใต้คางเพื่อให้ปากปิดอยู่ตลอดก็ได้ วิธีนี้ก็จะช่วยรักษานอนกรนได้เหมือนกันค่ะ
  • เปลี่ยนท่านอน จากที่เคยนอนหงายมาเป็นท่านอนตะแคง โดยอาจจะนอนกอดหมอนข้างไปด้วยก็จะช่วยให้คุณอยู่ในท่านอนตะแคงได้นานขึ้น เพียงแค่นี้ก็ทำให้กรนน้อยลงหรือเลิกกรนไปเลยได้
  • เลิกดื่มของมึนเมา เพราะเครื่องดื่มเหล่านี้มีแอลกอฮอล์ซึ่งมีฤทธิ์กดประสาทส่วนกลาง และสามารถส่งผลให้กล้ามเนื้อส่วนด้านหลังลำคอตึงเครียดได้ จนทำให้เกิดการนอนกรน โดยเฉพาะหากคุณดื่มแอลกอฮอล์ก่อนนอน 4-5 ชั่วโมง อาการนอนกรนจะยิ่งทวีความรุนแรง ดังนั้นควรลดแอลกอฮอล์เพื่อรักษานอนกรนให้ดีขึ้น
image005 3
  • เลิกสูบบุรี่ เนื่องจากบุหรี่เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ระบบการหายใจของเราผิดปกติไปค่ะ ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงที่มันส่งผลกับปัญหาการนอนกรนค่ะ
  • หมั่นรักษาความสะอาดของช่องจมูก เพื่อรักษานอนกรน พยายามอย่าให้มีขี้มูกมากเกินไป เพราะอาจจะไปปิดกั้นการหายใจทำให้เกิดเสียงกรน
  • รักษานอนกรนโดยปรับระดับความชื้นของห้องนอนให้เหมาะสม ห้องนอนที่มีความชื้นต่ำมาก อากาศภายในห้องจะแห้ง ทำให้เยื่อบุต่างๆ ในระบบทางเดินหายใจแห้งตามไปด้วย ภาวะสภาพแวดล้อมนี้อาจเกิดการบวมของทางเดินหายใจจนทำให้เกิดการนอนกรนค่ะ
  • รักษาความสะอาดของเครื่องนอนเป็นประจำ เพราะความสกปรกและเชื้อโรคที่เกาะอยู่ตามหมอน ผ้าห่ม และผ้าปูที่นอนของคุณล้วนแล้วแต่เป็นสาเหตุให้การหายใจในระหว่างนอนหลับติดขัดได้ ทางที่ดีควรซักทำความสะอาดเครื่องนอนเป็นประจำสามารถช่วยลดนอนกรนได้ค่ะ

ทำไมต้องรักษานอนกรน ด้วยเหตุผลจำเป็นดังนี้ค่ะ

  • ส่งผลกระทบต่อคนรอบข้าง หากไม่รักษานอนกรน เนื่องจากเสียงดังจากการนอนกรนนั่นเอง เช่น สามี-ภรรยา และลูกๆ ที่นอนร่วมห้องด้วยอาจจะนอนไม่หลับจากเสียงกรนดังรบกวน  โดยเฉพาะสาวๆ ที่นอนกรนก็จะมีปัญหาขาดความมั่นใจในการเข้าสังคมกรณีต้องไปค้างบ้านเพื่อน หรือไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อนฝูง การรักษานอนกรนจะช่วยสร้างความมั่นใจในการเข้าสังคมมากขึ้น หรือช่วยให้สมาชิกในครอบครัวที่นอนร่วมห้องกับคุณหลับอย่างมีความสุขค่ะ
  • ในรายที่นอนกรน ไม่รักษานอนกรน สมองจะได้ออกซิเจนไม่เพียงพอขณะหลับ ทำให้ความดันโลหิตสูง สมองไม่แจ่มใส ความจำไม่ดี และบางครั้งง่วงนอนกลางวันหรือขณะขับรถ ส่งผลเสียระยะยาวต่อสุขภาพ ดังนั้น รักษานอนกรนจะช่วยให้คุณมีสุขภาพที่ดีขึ้นแน่นอนค่ะ
  • นอนกรน อาจเกี่ยวข้องกับการหยุดหายใจขณะหลับ ซึ่งเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ เพราะฉะนั้นจะนิ่งนอนใจไม่ได้ค่ะจำเป็นต้องรีบรักษานอนกรนเป็นการด่วน
image007

เมื่อทราบถึงสาเหตุและปัญหาของการนอนกรนแล้ว อย่าชะล่าใจเป็นอันขาดนะคะ แนะนำให้รีบรักษานอนกรน ก่อนที่อาการกรนจะทำร้ายร่างกายของคุณค่ะ

วิธีการรักษานอนกรนให้หายต้องทำอย่างไร

86

เมื่อเสียงกรนระหว่างนอนหลับสามารถทำลายความสุขของผู้ที่นอนอยู่ข้างกายคุณ และยังเป็นสัญญาณที่เตือนว่าอาจจะเกิดปัญหากับสุขภาพร่างกายของคุณ ความกังวล และความเหนื่อยล้า จากการพักผ่อนไม่เพียงพอ ยังส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันของคุณอีกด้วย ซึ่งการแก้ไขปัญหาด้วยการเร่งหาสาเหตุ และเข้ารับการรักษานอนกรนด้วยวิธีการที่ถูกต้อง นับได้ว่าเป็นเรื่องที่ผู้มีปัญหานอนกรนไม่ควรมองข้าม เพราะถ้าหากปล่อยไว้เนิ่นนาน สุขภาพของคุณอาจจะแย่ลงเกินกว่าที่คาดคิดก็เป็นได้ โดยวิธีการรักษานอนกรนปัจจุบันมีทางเลือกอย่างหลากหลาย แล้วจะมีวิธีรักษานอนกรนให้หายได้ด้วยวิธีใดบ้างมีดังนี้ค่ะ

1. รักษานอนกรนด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตนเอง

สำหรับผู้ที่มีอาการนอนกรนสามารถเริ่มต้นรักษานอนกรนง่ายๆ ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตนเอง ได้แก่ การปรับสุขอนามัยการนอน เช่น นอนหลับพักผ่อนให้พอเพียง เข้านอนและตื่นนอนอย่างตรงเวลาสม่ำเสมอ การงดเว้นเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ก่อนนอน การหลีกเลี่ยงการใช้ยานอนหลับ และยาที่มีฤทธิ์กดประสาท หรือคลายกล้ามเนื้อ งดเว้นการดื่มชา กาแฟ และหยุดสูบบุหรี่ในช่วงบ่าย ที่สำคัญในรายที่อ้วน หรือน้ำหนักเกินต้องรักษานอนกรน ด้วยการลดน้ำหนัก ควบคุมอาหารและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอค่ะ

นอกจากคนนอนกรนควรต้องปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตดังกล่าวแล้ว ทางที่ดีควรพบแพทย์เพื่อรักษานอนกรนและรักษาปัจจัยเสี่ยงหรือโรคต่างๆ ที่อาจเป็นสาเหตุของการนอนกรนได้ค่ะ เช่น ถ้าคุณมีโรคเยื่อบุจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ ไซนัสอักเสบ ต่อมทอลซิลอักเสบ เนื้องอกบริเวณทางเดินหายใจ โรคทางระบบประสาทและกล้ามเนื้อ หรืออื่นๆ ก็ควรรับการรักษาโรคเหล่านี้ควบคู่กันไปกับการรักษานอนกรนด้วยนะคะ

2. รักษานอนกรนโดยใช้เครื่องมือในช่องปาก (Oral Appliances)

ในรายที่เป็นไม่รุนแรง สามารถเลือกใช้วิธีการรักษานอนกรน โดยใช้เครื่องมือในช่องปาก (Oral Appliances) เป็นเครื่องมือทันตกรรมที่สวมใส่ในปากขณะนอนหลับ เพื่อป้องกันไม่ให้ลิ้นหรือเนื้อเยื่ออ่อนในลำคอตกลงไปอุดกั้นทางเดินหายใจขณะหลับ ทำให้ทางเดินหายใจกว้างขึ้นขณะนอนหลับ ทำให้ผู้ที่มีปัญหานอนกรน หรือภาวะหยุดหายใจขณะหลับมีอากาศหายใจพอเพียง สามารถนอนหลับได้อย่างปกติสุขค่ะ เครื่องครอบฟันนี้สามารถใช้รักษานอนกรนเพียงชนิดเดียว หรือใช้ร่วมกับเครื่องเป่าลม (CPAP) ในการรักษานอนกรน หรือภาวะหยุดหายใจขณะหลับได้ค่ะ

image003 4

เครื่องครอบฟันรักษานอนกรนสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด ดังนี้

  • เครื่องครอบฟันเป็นวิธีรักษานอนกรนที่ช่วยจัดตำแหน่งของลิ้น (Tongue Retaining Appliance) เครื่องครอบฟันชนิดนี้มีส่วนประกอบที่จะช่วยยึดลิ้นไว้ให้อยู่ในตำแหน่งด้านหน้าไม่ให้ตกลงไปทางด้านหลังขณะนอนหลับ โดยอาศัยแรงดันที่เป็นลบ ในส่วนประกอบดังกล่าวทำให้ทางเดินหายใจบริเวณหลังโคนลิ้นเปิดกว้าง ไม่มีการอุดกั้นทางเดินหายใจขณะหลับ เหมาะสำหรับรักษานอนกรนในผู้ที่ไม่มีฟัน  ผู้ป่วยที่มีโรคเหงือก หรือ โรคของข้อต่อขากรรไกร
  • เครื่องครอบฟันที่ช่วยจัดตำแหน่งของขากรรไกรล่าง (Mandibular Repositioning Appliances) เครื่องครอบฟันชนิดนี้เป็นชนิดที่ใช้บ่อยที่สุดในการรักษานอนกรน หรือภาวะหยุดหายใจขณะหลับ โดยจะยึดขากรรไกรบนและล่างเข้าด้วยกัน และสามารถเลื่อนขากรรไกรล่างไปทางด้านหน้าขณะนอนหลับ ซึ่งจะทำให้ลิ้นเลื่อนตำแหน่งไปทางด้านหน้าด้วย เนื่องจากลิ้นยึดติดอยู่กับขากรรไกรล่าง ทำให้ทางเดินหายใจบริเวณหลังโคนลิ้นเปิดกว้าง นอกจากนั้น วิธีรักษานอนกรนนี้ ยังช่วยกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อของลิ้นมัดต่างๆ  ทำให้มีความตึงตัวเพิ่มมากขึ้น ป้องกันไม่ให้มีการอ้าปากขณะหลับ ซึ่งอาจจะทำให้มีการหย่อนตัวของกล้ามเนื้อลิ้นเพิ่มมากขึ้น   เครื่องครอบฟันยังช่วยจัดตำแหน่งของเพดานอ่อนให้เลื่อนมาทางด้านหน้า ทำให้ทางเดินหายใจส่วนบนหลังเพดานอ่อนกว้างขึ้นด้วยค่ะ

 

3. รักษานอนกรนด้วยการผ่าตัด (Surgical Treatment)

โดยในปัจจุบันมีวิธีการผ่าตัดเพื่อรักษานอนกรนหลายวิธีตามอาการที่แตกต่างกัน ดังนี้ค่ะ

  • การผ่าตัดจมูก เช่น ใช้คลื่นวิทยุเพื่อลดขนาดของเยื่อบุเทอร์บิเนตอันล่าง (Radiofrequency ) หรือผ่าตัดเพื่อดัดผนังกั้นช่องจมูกในรายที่คดมาก รวมไปถึงการผ่าตัดริดสีดวงจมูก หรือไซนัสอักเสบ เฉพาะในรายที่มีปัญหาดังกล่าวจึงรักษานอนกรนด้วยวิธีนี้
  • การผ่าตัดต่อมทอลซิล หรือต่อมอะดีนอยด์ วิธีรักษานอนกรนนี้มีประโยชน์ในรายที่มีต่อมทอลซิลโตมาก หรือในเด็กที่มีต่อมอะดีนอยด์และทอลซิลโต
  • การผ่าตัดตกแต่งเพดานอ่อน ปัจจุบันการผ่าตัดแบบนี้มีหลายวิธี และไม่จำเป็นต้องตัดลิ้นไก่ออกทั้งหมด หลักการคือ การผ่าตัดเพื่อลดขนาดของลิ้นไก่และขยายช่องทางเดินหายใจบริเวณลำคอ วิธีรักษานอนกรนนี้มีเหมาะสมกับผู้ที่มีปัญหาเรื่องเพดานหย่อน หรือ ลิ้นไก่ยาวกว่าปกติ
  • การผ่าตัดบริเวณโคนลิ้น เช่น การใช้คลื่นความถี่วิทยุเพื่อลดขนาดของลิ้น หรือการผ่าตัดดึงขากรรไกรล่างบางส่วนมาด้านหน้า วิธีรักษานอนกรนนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาอุดกั้นบริเวณโคนลิ้นค่ะ
  • การผ่าตัดเลื่อนกรามและขากรรไกรทั้งบนล่างมาด้านหน้า วิธีรักษานอนกรนนี้เป็นการผ่าตัดที่ได้ผลดีในผู้ที่มีอาการรุนแรง และไม่ตอบสนองต่อการรักษาอย่างอื่น ซึ่งวิธีการนี้เป็นการผ่าตัดค่อนข้างใหญ่ และอาจทำให้รูปหน้าเปลี่ยนได้ ซึ่งต้องพิจารณาอย่างเหมาะสมในแต่ละรายค่ะ
  • การเจาะคอ (Tracheostomy) เป็นการรักษานอนกรนที่ได้ผลเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ อย่างไรก็ตาม วิธีการนี้ผู้ป่วยต้องมีรูด้านหน้าลำคอและใส่ท่อเพื่อการหายใจ  

จะเห็นว่าการรักษานอนกรนด้วยวิธีผ่าตัดแต่ละวิธีได้ผลดีไม่เท่ากัน ซึ่งอาจมีข้อดีข้อเสียและเหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละคนต่างกันไปค่ะ ทางที่ดีที่สุดคุณจึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนตัดสินใจรับการรักษานอนกรนค่ะ

4. รักษานอนกรนด้วยเลเซอร์ Snore Laser (สนอร์ เลเซอร์)

สำหรับผู้ที่ไม่อยากรักษานอนกรนด้วยการผ่าตัด หรือไม่สะดวกในการติดตั้งเครื่องมือระหว่างนอน ล่าสุดสามารถรักษานอนกรนด้วยเลเซอร์ Snore Laser (สนอร์ เลเซอร์)  เป็นนวัตกรรมใหม่ที่ออกแบบและพัฒนาให้สามารถส่งพลังงานลงลึกถึงกล้ามเนื้อบริเวณทางเดินหายใจส่วนต้น เพื่อเข้าหดกระชับกล้ามเนื้อบริเวณนั้นอย่างปลอดภัย ในระหว่างทำจะรู้สึกอุ่นๆ ในปากและลำคอ อาจมีอาการคอแห้งได้บ้าง โดยคุณสามารถจิบน้ำระหว่างทำการรักษานอนกรนได้ค่ะ

image005 2

ทั้งนี้ จุดเด่นของ Snore Lase ที่แตกต่างจากการรักษานอนกรนทั่วไป คือ สำหรับรักษานอนกรนที่เกิดจากทางเดินหายใจส่วนต้นหย่อน เช่น บริเวณลิ้นไก่ หรือเพดานอ่อน ผู้ที่ใช้ CPAP ไม่ได้ ผู้ที่ใช้ที่ครอบฟันหรือที่ยึดลิ้นไม่ได้ และที่สำคัญคือ ไม่ต้องผ่าตัด ไม่เจ็บ และไม่ต้องพักฟื้นค่ะ เพียงคุณหลีกเลี่ยงการดื่มหรือรับประทานอาหารร้อน หรือเย็นจัด และเลี่ยงอาหารรสเผ็ดหลังทำ 24 ชั่วโมง ซึ่งจะเห็นผลอาการกรนลดลงถึง 80% ผู้ที่เข้ารับการรักษานอนกรนต้องทำต่อเนื่อง 3 ครั้ง ห่างกัน 2 และ 4 สัปดาห์ตามลำดับ กรณีทำมากกว่า 3 ครั้ง ให้ขึ้นอยู่กับดุลพินิจแพทย์ค่ะ

รวมวิธีการดูแลตนเองหลังเข้ารับการรักษานอนกรนที่ถูกต้อง

85

ในปัจจุบันนวัตรรมทางการแพทย์ได้พัฒนาวิธีรักษานอนกรนหรือภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ให้มีทางเลือกที่หลากหลาย อาทิ การรักษานอนกรนด้วยเลเซอร์ Snore Laser, รักษานอนกรนด้วยเครื่องช่วยหายใจ CPAP, รักษานอนกรนโดยใช้เครื่องมือในช่องปาก (Oral Appliances) หรือ รักษานอนกรนด้วยการผ่าตัด (Surgical Treatment) เป็นต้น สาเหตุก็เนื่องจากภัยร้ายที่แฝงอยู่ในอาการกรนซึ่งส่งผลเสียหายต่อสุขภาพและการใช้ชีวิตประจำวันสำหรับคนนอนกรนอย่างมากค่ะ

ใครบ้างที่ควรรักษานอนกรน

  • คนที่มีน้ำหนักเกิน พบว่าผู้ที่มีน้ำหนักมากจะมีทางเดินหายใจส่วนบนแคบกว่าผู้ที่มีน้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ปกติ
  • มีอาการของโรคภูมิแพ้บริเวณจมูก
  • คนที่มีสันจมูกเบี้ยวหรือคด รูปหน้าหรือคางผิดปกติ เช่น คางเล็ก คางหลุบ
  • ต่อมทอนซิลโตขวางทางเดินหายใจ
  • คนที่นิยมดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่เป็นประจำ
  • การรับประทานยาที่ทำให้เกิดอาการง่วง เช่น ยาแก้แพ้ ยานอนหลับ ยาคลายเครียด
  • ผู้ชายมีโอกาสนอนกรนมากกว่าผู้หญิง 6-10 เท่า
  • ผู้หญิงจะมีอาการนอนกรนเพิ่มขึ้นเมื่อเข้าวัยหมดประจำเดือน

การดูแลตนเองหลังรักษานอนกรน

Snore Laser ได้รับการออกแบบและพัฒนาให้สามารถส่งพลังงานลงลึกถึงกล้ามเนื้อบริเวณทางเดินหายใจส่วนต้น เพื่อเข้าหดกระชับกล้ามเนื้อบริเวณนั้น การรักษานอนกรนด้วยวิธีนี้ ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวภายในช่องปาก ช่วยลดการปิดกั้นทางเดินหายใจ ช่วยให้อาการกรนลดลงตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำค่ะ ทำให้การนอนหลับของคุณกลับสู่ภาวะปกติ หลับได้ลึก รู้สึกสดชื่นหลังตื่นนอนในวันรุ่งขึ้น โดยหลังรับการรักษานอนกรนด้วย Snore Laser ต้องดูแลตนเอง ดังนี้ค่ะ

image003 3
  • หลีกเลี่ยงการดื่มหรือรับประทานอาหารที่มีอุณหภูมิร้อน หรือเย็นจัด และเลี่ยงอาหารรสเผ็ด หลังทำ 24 ชม.
  • สามารถดื่มน้ำอุ่นเพื่อลดอาการคอแห้งหลังทำได้

การผ่าตัด การรักษานอนกรนแบบผ่าตัด ช่วยทำให้ขนาดของทางเดินหายใจส่วนบนกว้างขึ้น ทำให้อาการนอนกรน หรือภาวะหยุดหายใจขณะหลับลดลง  โดยวิธีการรักษานอนกรนแบบผ่าตัดนี้แพทย์จะพิจารณาในกรณีที่ผู้ป่วยได้ลอง CPAP  แล้วปฎิเสธการใช้ CPAP และเครื่องมือทางทันตกรรม  ซึ่งการผ่าตัดจะทำมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับตำแหน่งและสาเหตุของการอุดกั้นทางเดินหายใจส่วนบนค่ะ

การรักษานอนกรนด้วยวิธีผ่าตัดไม่ได้ทำให้อาการนอนกรนหรือภาวะหยุดหายใจหายขาด  หลังผ่าตัดอาการนอนกรนอาจยังเหลืออยู่ หรือมีโอกาสกลับมาใหม่ได้ ดังนั้น ผู้รับการรักษานอนกรนควรปฏิบัติตัวให้ถูกต้อง ดังนี้ค่ะ

  • อย่าปล่อยให้น้ำหนักเพิ่มเป็นอันขาด เนื่องจากใส่เครื่อง CPAP, เครื่องมือทันตกรรม, nasal EPAP หรือการผ่าตัด วิธีรักษานอนกรนเหล่านี้เป็นการขยายทางเดินหายใจที่แคบให้กว้างขึ้น ถ้าคุณปล่อยให้น้ำหนักเพิ่ม ไขมันจะไปสะสมอยู่รอบผนังช่องคอ ทำให้ทางเดินหายใจแคบมากขึ้น (ในกรณีรักษานอนกรนโดยใช้เครื่อง CPAP, เครื่องมือทันตกรรม หรือ nasal EPAP) หรือกลับมาแคบใหม่ได้ (ในกรณีรักษานอนกรนโดยการผ่าตัด) ซึ่งจะทำให้อาการนอนกรนกลับมาเหมือนเดิม หรือแย่กว่าเดิมได้ค่ะ
  • ต้องหมั่นออกกำลังกายอย่างเสมอ หลังเข้ารับการรักษานอนกรน เพื่อให้กล้ามเนื้อบริเวณทางเดินหายใจส่วนบนตึงตัวและระชับ เนื่องจากเมื่ออายุผู้ป่วยมากขึ้น เนื้อเยื่อและกล้ามเนื้อบริเวณทางเดินหายใจส่วนบนจะหย่อนยานตามอายุ ทำให้ทางเดินหายใจแคบมากขึ้น (ในกรณีรักษานอนกรนโดยใช้เครื่อง CPAP, เครื่องมือทันตกรรม หรือ nasal EPAP) หรือกลับมาแคบใหม่ได้ (ในกรณีรักษานอนกรนโดยการผ่าตัด) เพราะฉะนั้น การออกกำลังกายแบบแอโรบิกอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้การหย่อนยานดังกล่าวช้าลงค่ะ
image005 1

แม้ว่าคุณจะรับการรักษานอนกรนแล้ว แต่อย่าชะล่าใจและเมินการดูแลสุขภาพเป็นอันขาดนะคะ เพราะอาการกรนอาจกลับมาได้อีกหากไม่ดูแลตนเองตามหลักปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงคนรอบข้างก็ควรเอาใจใส่ผู้ที่รับการรักษานอนกรนอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ ก็เพื่อป้องกันมิให้เกิดอาการกรนรบกวนสุขภาพและช่วงเวลาพักผ่อนนอนหลับของคุณได้อีกต่อไปนั่นเองค่ะ

เช็คภัยร้ายของเสียงกรนดัง สัญญาณเตือนเร่งรักษานอนกรน

84

เสียงกรนดังระหว่างหลับ นอกจากจะสร้างความรำคาญให้คู่สมรสหรือคนที่นอนร่วมห้องกันด้วยแล้ว เสียงกรนยังเป็นสัญญาณอันตรายที่อาจบ่งบอกว่าคุณกําลังมีปัญหาสุขภาพ ควรรักษานอนกรน โดยเฉพาะการนอนกรนแบบมีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ หากปล่อยไว้โดยไม่ได้รับการรักษานอนกรนอย่างถูกต้อง จะมีผลกระทบกับสุขภาพร่างกายทั้งในระยะสั้นและระยะยาว คุณจำเป็นต้องสังเกตตัวเอง หรือให้คนที่นอนร่วมห้องช่วยสังเกตอาการกรน ว่ามีอาการเหล่านี้บ้างหรือไม่

  • นอนหลับไม่สนิท ตื่นกลางคืนบ่อย ไอกรรโชก
  • บ่อยครั้งตื่นโดยไม่รู้สึกตัว คนนอนด้วยจะเป็นคนสังเกตเห็นอาการเหล่านี้
  • คอแห้ง เจ็บคอ เมื่อตื่นนอน เนื่องจากร่างกายมักช่วยการหายใจเพิ่มด้วยการอ้าปากหายใจ
  • หัวใจเต้นไม่สม่ำเสมอ

ซึ่งอาการเหล่านี้ หากไม่ได้รับการรักษานอนกรน จะส่งผลกระทบระยะสั้น คือ จะมีอาการปวดหัว ไม่สดชื่นตอนตื่นนอน ง่วงนอนในช่วงกลางวันทำให้ขาดสมาธิในการเรียนหรือทำงาน หากต้องขับรถอาจหลับในและทำให้เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนได้นะคะ นอกจากนั้นแล้ว ผลกระทบในระยะยาวอาจทำให้มีอัตราเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคอื่นๆ ดังนั้น การรักษานอนกรนจึงมีความจำเป็นอย่างมากค่ะ

ชนิดความผิดปกติในการนอนกรน

การนอนกรนสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิดใหญ่ๆ ตามความรุนแรงหรือผลเสียต่อสุขภาพผลเสียต่อสุขภาพ

นอนกรนธรรมดา คือการกรนที่ทำให้เกิดเสียงกรนธรรมดาจัดว่าเป็นชนิดไม่อันตรายค่ะ ไม่ทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพเพียงแต่หากไม่รักษานอนกรน ก็ส่งผลให้เกิดความรำคาญกับผู้ที่อยู่ใกล้ กลุ่มนี้มักมีการอุดกั้นทางเดินหายใจเพียงเล็กน้อย เนื่องจากเวลาเรานอนหลับสนิทจะเป็นเวลาที่กล้ามเนื้อต่างๆ คลายตัว รวมทั้งกล้ามเนื้อบริเวณช่องคอด้วย ทำให้ลิ้นและลิ้นไก่ตกไปทางด้านหลังโดยเฉพาะในท่านอนหงายทำให้ทางเดินหายใจส่วนนี้ตีบแคบลง เวลาหายใจเข้าผ่านตำแหน่งที่แคบจะทำให้มีการสั่นสะเทือนของลิ้นไก่ และเพดานอ่อน หรือโคนลิ้น ทำให้เกิดเป็นเสียงกรนขึ้นได้ค่ะ กรณีนี้ หากต้องการรักษานอนกรนให้หายเพื่อตัดความรำคาญใจก็จะยิ่งเป็นผลดีต่อตัวคุณและคนรอบข้างค่ะ

นอนกรนที่มีการหยุดหายใจร่วมด้วย คือการกรนที่ทำให้เกิดเสียงรบกวน และมีผลเสียต่อสุขภาพด้วย ซึ่งจัดเป็นชนิดอันตรายค่ะ ควรเร่งรักษานอนกรน สาเหตุเกิดจากการที่มีทางเดินหายใจแคบมากเวลาหลับ อาจเนื่องจากการที่มีช่องคอแคบมาก เช่น มีเนื้อเยื่อเพดานอ่อน ลิ้นไก่ หรือโคนลิ้นขนาดใหญ่และหย่อนยาน หรือเกิดจากต่อมทอมซินที่โตมากจนอุดกั้นช่องคอ กรณีนี้ควรเข้ารับการรักษานอนกรนเพื่อป้องกันการหยุดหายใจและสุขภาพของคุณเองค่ะ

หรือบางรายที่ต้องรักษานอนกรน คือรายที่มีกระดูกใบหน้าหรือกรามเล็กทำให้ช่องทางเดินหายใจด้านหลังแคบกว่าปกติ หรือคนที่มีคางสั้นทำให้ลิ้นตกไปทางด้านหลังมากกว่าคนปกติ สำหรับกลุ่มนี้จะมีเสียงกรนที่ไม่สม่ำเสมอ โดยจะมีช่วงที่กรนเสียงดังและค่อยสลับกันเป็นช่วงๆและกรนดังขึ้นเรื่อยๆ และจะมีช่วงหยุดกรนไปชั่วขณะหนึ่ง ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดการหยุดหายใจทำให้เกิดอันตรายได้ควรรับการรักษานอนกรนอย่างเร่งด่วนเนื่องจากระดับออกซิเจนในเลือดแดงจะลดต่ำลง ทำให้เกิดความผิดปกติในการทำงานของอวัยวะต่างๆ เช่น ปอด หัวใจ และสมอง เป็นต้น เมื่อมีอาการกรนชนิดนี้จำเป็นต้องรักษานอนกรนเพื่อความปลอดภัยของสุขภาพคุณเองค่ะ

image003 2

โรคร้ายที่แฝงมากับการนอนกรน

ปวดศีรษะ หากไม่รักษานอนกรน โดยจะมีอาการที่ปวดศีรษะหลังการตื่นนอนหรือจะมีการปวดศีรษะประจำนั่นเอง เพราะเนื่องจากการนอนกรนที่ทำให้คุณนอนหลับไม่สนิท จึงทำให้มีการปวดศีรษะนั่นเองค่ะ

ภาวะหัวใจเสียจังหวะ ผลเสียหากไม่รักษานอนกรน งานวิจัยจาก Sleep Center แห่ง Thomas Jefferson University และ Hospitals Philadelphia พบว่า ภาวะหยุดหายใจเป็นพักๆ ขณะนอนหลับของผู้ที่มีอาการนอนกรน เพิ่มความเสี่ยงภาวะหัวใจเสียจังหวะมากกว่าคนนอนไม่กรน โดยเฉพาะหากนอนกรนต่อเนื่องเป็นเวลานานมาแล้ว และไม่ยอมรักษานอนกรนให้หายขาดจะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงโดยไม่รู้ตัวค่ะ

โรคหัวใจ ผลกระทบจากการไม่รักษานอนกรน นักวิจัยของมหาวิทยาลัยเซมเมลไวส์ ประเทศฮังการี พบว่า ผู้ที่นอนกรนเสียงดังและมีลักษณะหยุดหายใจเป็นพัก ๆ จะมีความเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจเพิ่มขึ้นประมาณ 34% รวมทั้งยังมีความเสี่ยงโรคหลอดเส้นเลือดในสมองแตก 67% เมื่อเทียบกับคนที่นอนไม่กรน เนื่องจากการนอนกรนจะทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนน้อย ส่งผลให้มีคาร์บอนไดออกไซด์คั่งค้าง จนร่างกายตอบสนองด้วยการหลั่งฮอร์โมนความเครียดออกมาสะสมและส่งผลเสียไปยังระบบต่างๆ ของร่างกาย ควรเข้ารับการรักษานอนกรนอย่างเร่งด่วน แต่ทั้งนี้ก็ยังนับปัจจัยเสี่ยงด้านอื่นๆ เช่น อายุ เพศ ดัชนีมวลกาย พฤติกรรมสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ และการออกกำลังกายร่วมด้วยค่ะ

image001

อัมพฤกษ์ อัมพาต ซึ่งจะเกิดจากการที่ภาวะคาร์บอนไดออกไซด์นั้นคั่ง โดยจะมีคาร์บอนไดออกไซด์นั้นมาอุดกั้นทางเดินหายใจในคนนอนกรน และจะทำให้มีการเกิดคราบพลัคซึ่งจะมาในรูปแบบของไขมัน ดังนั้น หากไม่รักษานอนกรนจะมีความเสี่ยงเป็นอย่างมากต่อโรคที่มีการเกี่ยวข้องกับหลอดเลือดโดยตรงอย่างอัมพฤกษ์ อัมพาต นั่นเองค่ะ

ระบบประสาทและสมอง สำหรับคนที่นอนกรนเรื้อรัง ไม่รักษานอนกรนอาจส่งผลถึงระบบประสาทและสมองได้เช่นกัน เพราะเมื่อนอนกรนจะมีการหายใจที่ติดขัด ส่งผลให้เลือดนำออกซิเจนไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ ทำให้สมองและระบบประสาทมีการทำงานที่ผิดปกติ และอาจจะมีผลทำให้ปอดและหัวใจทำงานหนักมากขึ้นด้วย เพราะฉะนั้น อย่าลังเลที่จะเข้ารับรักษานอนกรนให้หายนะคะ

โรคสมองเสื่อม โดยมีสาเหตุสืบเนื่องเดียวกันกับหลายๆ โรคที่กล่าวไป จากการที่สมองนั้นขาดออกซิเจนเข้าไปเลี้ยงสมองเป็นระยะเวลาสะสมต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ทุกวัน ซึ่งอาจส่งผลให้คนนอนกรนเสี่ยงต่อโรคสมองเสื่อมได้มากกว่าคนนอนไม่กรน ดังนั้นควรเข้ารับการรักษานอนกรนเพื่อสุขภาพของคุณค่ะ

กรดไหลย้อน สาเหตุเกิดจากภาวะทางเดินหายใจอุดกั้นในช่วงนอนหลับ เนื่องจากความดันที่ไม่สม่ำเสมออาจทำให้หลอดอาหารทำงานผิดปกติ เป็นเหตุให้คนนอนกรนต่อเนื่องมาอย่างยาวนานเสี่ยงต่อโรคกรดไหลย้อนมากขึ้น และถ้าหากว่าคุณไม่ได้รับการรักษานอนกรนจะทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคกรดไหลย้อนได้นั่นเอง

ภาวะความดันหลอดเลือดแดงในปอดสูง ผลเสียจากการนอนกรนและไม่รักษานอนกรน ที่ทำให้เกิดการอุดกั้นทางเดินหายใจ ส่งผลให้ร่างกายได้รับออกซิเจนน้อยกว่าปกติ ระดับออกซิเจนที่อยู่ในเลือดก็จะลดลง ส่งผลให้เลือดไหลเวียนไปยังปอดไม่สะดวก หรือเรียกว่าภาวะความดันหลอดเลือดแดงในปอดสูงนั่นเองค่ะ และแน่นอนว่าหากไม่รีบรักษานอนกรนย่อมมีการส่งผลไปถึงการใช้ชีวิตที่ยุ่งยากนั่นเอง

โรคมะเร็ง เป็นผลกระทบที่ร้ายแรงหากไม่รักษานอนกรน ผลการวิจัยจากประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศสเปนพบว่า ภาวะหลอดเลือดติดขัดจากการที่ร่างกายขาดออกซิเจนเพราะนอนกรนนั้น มีผลกระตุ้นให้เนื้องอกเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว และหากว่ามีเลือดไปคั่งตามจุดต่างๆ ที่มีเนื้องอกอยู่นั้น จะทำให้เซลล์ขยายขนาดใหญ่ขึ้นจนกลายเป็นมะเร็งในที่สุดค่ะ ดังนั้น อย่าวางใจกับการนอนกรน ควรเร่งรักษานอนกรนอย่างเร่งด่วน

จะเห็นได้ว่าอันตรายที่แฝงมากับอาการนอนกรนและไม่รักษานอนกรนนั้นน่ากลัวกว่าที่คิดไว้เยอะค่ะ ทางที่ดีหากรู้ตัวเองว่ามีอาการนอนกรนก็ไม่ควรนิ่งเฉยนะคะ ควรรักษานอนกรนให้หาย เพราะนอกจากจะช่วยเซฟสุขภาพของคุณให้ดีขึ้นแล้ว ยังเป็นผลดีตัวคุณเองและคนที่นอนข้างกายให้หลับได้สนิทอย่างไร้เสียงรบกวนตลอดคืนด้วยค่ะ

ไขความกระจ่าง ของการใช้นวัตกรรมเลเซอร์ Snore Laser รักษานอนกรน

snore laser

อาการนอนกรนสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในเพศชายและเพศหญิงโดยเฉพาะเมื่อเป็นผู้ใหญ่ โดยมีหลายปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดเสียงกรนในระหว่างนอนหลับ เช่น ปัญหาสุขภาพ การสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ ความอ้วน หรือโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินหายใจ ซึ่งผลเสียจากการนอนกรนนั้นอาจส่งผลร้ายแรงต่อสุขภาพมากกว่าที่คุณคิด หากไม่รักษานอนกรน หรือในบางรายแม้ไม่ก่อผลเสียต่อร่างกายแต่ก็ทำลายความสุขของคนรอบข้างและเป็นเรื่องน่าอับอายของผู้ที่นอนกรนเมื่อต้องเข้าสังคม ดังนั้น จำเป็นจะต้องรักษานอนกรนเพื่อตัวคุณเองและคนรอบข้าง

โดยในปัจจุบันได้มีการนำนวัตกรรมเลเซอร์ Snore Laser มาใช้รักษานอนกรนเพื่อหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวข้างต้น เป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการรักษานอนกรนให้หายโดยไม่ต้องผ่าตัด ซึ่งเราจะมาไขความกระจ่างของนวัตกรรม Snore Laser ว่าสามารถช่วยแก้ปัญหานอนกรนของคุณได้อย่างไรบ้าง

Snore Laser รักษานอนกรนได้อย่างไร

Snore Lase (สนอร์ เลเซอร์) วิธีการรักษานอนกรน ได้รับการออกแบบและพัฒนาให้สามารถส่งพลังงานลงลึกและหดกระชับกล้ามเนื้อบริเวณทางเดินหายใจส่วนต้น ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการกรน เนื่องจากกล้ามเนื้อบริเวณทางเดินหายใจส่วนต้นเกิดหย่อนคล้อยปิดกั้นทางเดินหายใจ จนทำให้เกิดเสียงกรนดัง วิธีการรักษานอนกรนนี้ ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวที่บอบบางภายในช่องปาก ทำให้เกิดการหดกระชับของกล้ามเนื้อ ลดการปิดกั้นทางเดินหายใจ ทำให้อาการกรนลดลงอย่างชัดเจน

image003 1

Snore Lase เป็นวิธีการรักษานอนกรนที่เหมาะสำหรับใช้รักษาผู้ที่มีปัญหานอนกรนที่เกิดจากทางเดินหายใจส่วนต้นหย่อน เช่น บริเวณลิ้นไก่ หรือเพดานอ่อน ผู้ที่ใช้ CPAP ไม่ได้ ผู้ที่ใช้ที่ครอบฟันหรือที่ยึดลิ้นไม่ได้ หรือผู้ที่เกรงใจเพื่อนร่วมห้อง

จุดเด่นของ Snore Laser

  • ไม่ต้องผ่าตัด ไม่เจ็บ และไม่ต้องพักฟื้น
  • ช่วยให้อาการกรนลดลง รักษานอนกรนได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ
  • ให้การนอนหลับกลับสู่ภาวะปกติ หลับได้ลึก รู้สึกสดชื่นหลังตื่นนอนในวันรุ่งขึ้น
  • เห็นผลอาการกรนลดลงถึง 80% โดยใช้เวลาในการทำประมาณ 45 นาทีต่อครั้ง ผู้ที่เข้ารับการรักษานอนกรนต้องทำต่อเนื่อง 3 ครั้ง ห่างกัน 2 และ 4 สัปดาห์ตามลำดับ กรณีทำมากกว่า 3 ครั้ง ให้ขึ้นอยู่กับดุลพินิจแพทย์

ความรู้สึกขณะทำ

ผู้รับการรักษานอนกรนด้วย Snore Lase จะรู้สึกเพียงอุ่นๆ ในปากและคอ ทั้งนี้ อาจมีอาการคอแห้งได้บ้างแต่ไม่ต้องกังวลนะคะ เพราะสามารถจิบน้ำระหว่างทำการรักษาได้ค่ะ

การดูแลตนเองหลังรักษานอนกรนด้วย Snore Lase

ควรหลีกเลี่ยงการดื่มหรือรับประทานอาหารที่มีอุณหภูมิร้อน หรือเย็นจัด และเลี่ยงอาหารรสเผ็ดหลังทำ 24 ชั่วโมง แต่ทั้งนี้ สามารถดื่มน้ำอุ่นเพื่อลดอาการคอแห้งหลังทำได้ค่ะ

image005

เมื่อการรักษานอนกรนให้หายไม่ได้เป็นเรื่องยุ่งยากอีกต่อไปด้วยนวัตกรรม Snore Laser ตัวช่วยที่จะทำให้คุณและคนที่นอนข้างๆ มีความสุขระหว่างการนอนหลับพักผ่อน พร้อมกับตื่นมาด้วยความรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า และใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมีความสุข สำหรับผู้ที่มีอาการนอนกรนอย่าลังเลที่จะไปพบแพทย์เพื่อรักษานอนกรนนะคะ ทั้งนี้ก็เพื่อสุขภาพที่ดีของตัวคุณเองค่ะ

พิชิตหน้าปลวก “ทำหน้าใส” ด้วยเลเซอร์ กำจัดฝ้า หน้ากระ รอยดำจากสิว เห็นผลได้เร็วจริง !!

44

หลาย ๆ คน คงมีความกังวลใจอยู่ไม่น้อยหากใบหน้าต้องเผชิญกับความหมองคล้ำ ไม่ว่าจะมาจากแสงแดด หน้าขึ้นฝ้า รอยดำจากสิว กระขึ้นหน้า ฯลฯ สาระพันปัญหาบนใบหน้าที่สร้างความบั่นทองกำลังใจ สู้หน้าใครไม่ได้ ไม่เป็นใคร ไม่รู้หรอกว่ามัน ชอกซ้ำระกำใจแค่ไหน แต่ถ้าใครเกิดปัญหาขึ้น ก็ไม่ต้องกังวลใจอีกต่อไป ด้วยนวัตกรรมใหม่ ที่เกิดขึ้นนี้ช่วย “ทำหน้าใส” ได้จริง กับการทำ เลเซอร์ผิว ไม่ว่าจะเป็นฝ้า กระ จุดด่างดำ สีผิวไม่สม่ำเสมอ  รับรองเห็นผลเร็ว หน้าใสรอแบบไม่ต้องเจ็บตัวอีกต่อไป อีกด้วยทุกวันนี้มีสถาบันเสริมความงาม  มีให้บริการอยู่ไม่น้อย ดังนั้นการเลือกวิธีรักษาด้วย เลเซอร์ จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่หน้าสนใจ สำหรับคนที่ต้องการความรวดเร็วในการรักษา ทำหน้าใส  แบบ ขาวใส สวยไว ได้ผลจริง.

เลเซอร์ คือ การรักษาผิวอีกวิธีที่ช่วยปรับสภาพผิวที่มีปัญหาให้ดีขึ้น ทำหน้าใสขึ้น โดยการยิงแสงเลเซอร์บริเวณผิวที่มีความผิดปกติ หรือ จุดที่ต้องการรักษา เพื่อทำการฟื้นฟูสวยผิว จากปัญหาต่าง ๆที่เกิดขึ้นบนใบหน้า หรือ ส่วนอื่น ๆ ตามร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นฝ้า กระ จุดด่างดำ สีผิวไม่สม่ำเสมอ อีกทั้งปัญหาริ้วรอยต่าง ๆ หน้าเป็นหลุม ผิวไม่เรียบเนียน หรือ รอยแผลเป็นที่เกิดจากสิว การทำเลเซอร์ นอกจากจะช่วยแก้ปัญหาผิวให้ดีขึ้นได้แบบรวดเร็วทันใจแล้ว ด้วยนวัตกรรมทำหน้าใสของการแพทย์สมัยใหม่ยังสามารถช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในใต้ชั้นผิว ให้ฟื้นฟูสุขภาพผิวให้แข็งแรงขึ้นได้ อีกทั้งยังมีเทคโนโลยีทำหน้าใสบางตัว  สามารถส่งพลังงานได้สูงในการกำจัดเม็ดสีที่ลึกลงไปยังใต้ชั้นผิวบริเวณที่เป็นฝ้า กระ รอยดำ บริเวณที่มีความผิดปกติของเม็ดสี ใช้ระยะเวลาในการทำหน้าใสเพียงสั้น ๆ ซึ่งมีให้เลือกใช้บริการอยู่ตามสถาบันเสริมความงามชั้นนำต่าง ๆ

การเตรียมตัว เมื่อต้องทำเลเซอร์ผิวหนัง

shutterstock 580164016

หากใครที่ต้องการทำเลเซอร์รักษาผิว ทำหน้าใส ก็ควรปรึกษาแพทย์ และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านให้ดีก่อน เพื่อให้ทราบถึงปัญหาผิวที่ต้องการแก้ไข ตรวจประเมินผิวบริเวณดังกล่าว สำหรับประเมินผลการรักษา รวมถึงประวัติการใช้ยาบางชนิดที่อาจส่งผลต่อการรักษา อาจไม่ได้ผลดีตามที่ควร การทำเลเซอร์ ทำหน้าใส มีคุณสมบัติช่วยทำให้หน้าใส กระชับรูขุมขน ลบรอยสิว จุดด่างดำ ให้จางหายไป ด้วยนวัตกรรมสมัยใหม่ หลังทำเสร็จผิวจะไม่ค่อยบอบซ้ำ เกิดร่องรอยจากการทำมากนัก ไม่ต้องฟักฟื้น  และที่สำคัญช่วยลดความเจ็บไปได้เยอะทีเดียว   ฉะนั้นหลังจากทำก็จะสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ อีกทั้งการรักษาผิวหน้า ทำหน้าใส ด้วย “เลเซอร์”  นี้ หากต้องการให้ผิวหน้าดี เนียนเรียบ ก็ควรดูแลเอาใจใส่ผิว ควบคู่กับการรักษาอย่างสม่ำเสมอ เพราะการทำ “เลเซอร์” เพียงครั้งเดียว ไม่สามารถทำให้ผิวเนียนเรียบได้ตลอดไป 

ข้อควรระวัง หลังจากทำเลเซอร์ผิว

shutterstock 682564189
  • ควรหลีกเลี่ยงไม่ให้ผิวกระทบแสงแดดโดยตรง เพราะผิวหลังจากทำเลเซอร์นั้นค่อนข้างไวต่อแสง ยิ่งแสงแดดแล้วคือศัตรู ตัวร้ายทำลายผิวชั้นดี  และ ก่อนออกจากบ้านทุกครั้งต้องทาครีมกันแดด อยู่เสมอเพื่อปกป้องรังสี UV ที่จะกระทบผิวเราได้
shutterstock 559870471
  • หลังจากทำหน้าใส ด้วยเลเซอร์ ควรดูแลผิวหน้าให้ดี อย่าปล่อยให้ผิวแห้ง ควรทาครีมบำรุงผิวให้ผิวชุ่มชื้นอยู่เสมอ เลือกผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เหมาะกับสภาพผิว โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของมอยส์เจอไรเซอร์ จะเพิ่มความชุ่มชื้นได้ดี ผิวที่ผ่านการเลเซอร์ มาใหม่ๆ นั้นค่อนข้างจะบอบบาง ต้องได้รับการบำรุง และ ดูแลรักษาความสะอาดผิวเป็นพิเศษ
shutterstock 428047612
  • ควรดื่มน้ำให้เยอะ ๆ เพราะการดื่มน้ำช่วยทำให้ผิวพรรณชุ่มชื้น ผิวเปล่งปลั่ง ทำหน้าใส อีกทั้งเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ส่งผลให้ผิวมีสุขภาพดี  อีกทั้งอาหาร และ น้ำสะอาด ยังมีส่วนทำให้ร่างกายดูดซึมไปใช้ในการซ่อมแซม ผิวที่เสื่อมโทรมทำให้ผิวแข็งแรง ทำหน้าใสขึ้นได้
shutterstock 1144349831
  • ท้ายที่สุดหลังการรักษา ด้วยการทำ เลเซอร์ผิว จะต้องมีวินัยในการดูแลตัวเอง ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ อย่างเคร่งครัด เพื่อผลลัพธ์ที่ออกมาดี ได้ผลตามที่ต้องการ

ผิวสวยด้วย “เลเซอร์” ได้ผลดี และรวดเร็ว สามารถปรับสภาพผิวให้สวยใส ได้ก็จริง  เมื่อทำแล้วก็ต้องใส่ใจดูแลเป็นอย่างดีเหมือนกัน เพราะการทำแต่ละครั้งนั้นมีค่าใช้จ่าย อย่าให้ต้องได้เสียเงินทิ้งไปเปล่า ๆ ก่อนทำก็จะต้องศึกษาข้อมูลให้ถี่ถ้วน เลือกสถานที่ สถาบันเสริมความงามชั้นนำที่น่าเชื่อถือ มีแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ที่พร้อมให้คำปรึกษา แนะนำในแนวทางการรักษา การทำหน้าใสได้เป็นอย่างดีและถูกต้อง อย่าเชื่อในคำโฆษณา โอ้อวดมากเกินจริง  เชื่อว่าการมีข้อมูลที่ดีมีชัยไปกว่าครึ่ง.. ใช่มั๊ยค่ะ

แชร์เคล็ดลับ .. ที่ไม่ลับ.. “ทำหน้าใส” ด้วยสูตรลับให้ผิวขาวใสอมชมพู..

43

เป็นอันทราบกันดีอยู่แล้วว่าการที่มี รูปร่างหน้าตา ผิวพรรณดี นั้นเป็นที่ต้องการของสาว ๆ เป็นที่สุด ไม่ว่าจะเป็นสาวคนไหน ๆ ก็ต้องการผิวขาวกระจ่างใสด้วยกันทั้งนั้น แต่การที่ประเทศไทยของเรานั้นค่อนข้างร้อน และ มีแสงแดดอันแรงกล้า พร้อมที่จะเผาผลาญให้ผิวไหม้กันทีเดียว แต่ก็อย่าเพิ่งตกใจกันไป วิธีทำหน้าใส นั้นทำไม่ยากเหมือนกัน ขึ้นอยู่กับการดูแลเอาใจใส่ของแต่ละคน ที่พร้อมอยากจะ “ทำหน้าใส” ให้ขาวใสอมชมพู เรามีสูตรลับมาบอกต่อให้สาว ๆ ได้เอาไปลองใช้กัน เพราะผิวหน้าคือจุดดึงดูด และ สร้างความประทับใจตั้งแต่แรกเจอ อยากรู้กันแล้วใช่มั้ยล่ะ!!งั้นตามมาเลยจ้า…

พักผ่อนด้วยการนอนให้เพียงพอในแต่ละวัน

shutterstock 653166973

การนอนหลับให้เพียงพอต่อวันนั้นเป็นสิ่งที่ดีที่สุด อย่างน้อยให้ได้ 8 ชั่วโมง  เพราะร่างกายถูกใช้งานมาตลอดทั้งวันแล้วเมื่อนอนหลับสนิท กลไกของร่างกายจะช่วยซ่อมแซม ระบบต่าง ๆ ภายในร่างกายให้ดีขึ้น และหากหลับลึกติดต่อกันถึง 4 ชั่วโมง ยังส่งผลให้ผิวพรรณสดใส เต่งตึง ได้ด้วย

การดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว ช่วยให้ผิวสวยได้

shutterstock 599468546

คุณรู้ไหม!! ว่าการดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อยวันละ  8  แก้ว นั้นดี  แต่หากดื่มได้มากกว่า 8 แก้ว นั้นดียิ่งกว่า เพราะเป็นอันทราบกันว่าร่างกายของคนเรามีน้ำเป็นส่วนประกอบหลักสำคัญของร่างกาย หากร่างกายขาดน้ำจะส่งผลกระทบกับร่างกายเป็นอย่างมาก ซึ่งการดื่มน้ำนั้นไม่จำเป็นต้องดื่มในปริมาณเยอะ ๆ ต่อครั้ง แต่ควรดื่มน้ำให้ได้ตลอดวัน การดูแลตัวเองง่าย ๆ ด้วยการดื่มน้ำนั้นช่วยสร้างผิวขาวใสอมชมพู ทำหน้าใสได้นะค่ะ  ด้วยคุณสมบัติของน้ำมีส่วนช่วยให้ผิวพรรณชุ่มชื่น เปล่งปลั่งช่วยทำให้ผิวไม่แห้งกร้าน ทำให้แลดูมีน้ำมีนวล จะผิวสีไหนๆ ผิวดำ ผิวแทน ผิวขาว จะดูสดใส เนียนละเอียดขึ้นได้ไม่ยาก อยากมีผิวขาว ทำหน้าใส ดูมีออร่า ดูแพง  เพียงแค่รู้จักที่จะดูแลตัวเองก็มีผิวขาวใสอมชมพูได้ !! ด้วยน้ำเปล่า ๆ นี่แหละ สิ่งสำคัญคือความสม่ำเสมอและมีวินัยในการดื่มน้ำ ให้ได้ปริมาณเพียงพอในแต่ละวัน..

ออกกำลังกายทำให้ผิวชุ่มชื้น แลดูมีน้ำมีนว

shutterstock 381676999

การออกกำลังกายเป็นประจำ จะช่วยทำให้มีผิวกระจ่าง ทำหน้าใส แลดูอ่อนกว่าวัยได้ด้วย เพราะว่าการออกกำลังกายช่วยทำให้ระบบโลหิตไหลเวียนได้ดีขึ้น อีกทั้งช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าที่ตายแล้วออกไป ช่วยสร้างผิวใหม่ ผิวจึงดูเปล่งปลั่งและเป็นการทำหน้าใส ให้อมชมพู ระเรื่อ นอกจากผิวสวยแล้วการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ยังทำให้รูปร่าง ดูดี สุขภาพแข็งแรง อีกต่างหาก

ขัดผิวด้วยสูตร ธรรมชาติบำบัด

shutterstock 658591900

การขัดผิว ช่วยขัดขี้ไคลและผลัดเซลล์ผิวเก่า หรือ หนังกำพร้าที่ตายแล้วออกไป ทำผิวดูขาวขึ้น  การขัดผิวด้วยสูตรธรรมชาติบำบัดนี้  ใช้วัตถุดิบที่มาจากธรรมชาติล้วน ๆ ไม่ปนเปื้อนสารเคมีอันตราย ที่จะส่งผลเสียมาสู่ผิวได้ สูตรธรรมชาติบำบัด ที่ว่านี้ได้แก่  โยเกิร์ต  ขมิ้นชัน  มะขามเปียก โดยนำส่วนผสมมาคลุกเคล้าในภาชนะที่เตรียมไว้ แล้วนำมาขัดตามผิวหน้า ลำคอ และผิวกาย หากต้องการให้ได้ผลดียิ่งขึ้นควรนวดเบาๆ ให้ทั่ว แล้วล้างออก ทำให้ได้ในทุกอาทิตย์ เพื่อคืนความสดใส เผยผิวใส อมชมพู ออร่า พุ่งๆ กันทีเดียว 

 ใช้โลชั่นสูตรไวท์เทนนิ่งเป็นประจำ

shutterstock 1103911217

การเลือกใช้โลชั่นบำรุงผิว ที่มีส่วนผสมของสารบำรุงช่วยผิวขาว อย่างเช่น พวกวิตามินบีสาม วิตามินซี วิตามินอี และสารสกัดจากธรรมชาติ  ล้วนมีส่วนช่วยบำรุงผิว และทำให้ผิวขาวขึ้นได้ โดยทาในปริมาณที่พอเหมาะกับผิวแต่ละส่วน เพื่อช่วยให้ผิวดูดซึมซับสารบำรุงเข้าไปสู่ใต้ผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นเวลาหลังอาบน้ำ หรือระหว่างวัน เพื่อให้ผิวคงความชุ่มชื้นไม่แห้งกร้าน ทำให้ผิวแลดูมีสุขภาพดี ทำหน้าใสได้

ก่อนออกจากบ้าน ต้องทาครีมกันแดด เพื่อป้องกันแสง UV   ทำร้ายผิว

shutterstock 1061003795

การใช้ครีมกันแดดเป็นอีกวิธีที่ช่วยปกป้องผิวจากรังสี  UV ที่มากระทบผิวโดยตรง เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่สามารถป้องกันได้ เพราะรังสี UV ถือว่าเป็นศัตรูตัวร้ายทำลายผิวทำให้ผิวคล้ำเสีย  สิว ฝ้า กระ ตามมาเป็นขบวน การใช้ครีมกันแดดที่ได้ผลดีควรเลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไป ถึงค่า PA+++ จะช่วยป้องกันแสงแดดให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น การทาครีมกันแดด สามารถทาซ้ำได้ในระหว่างวันหากมีความจำเป็นต้องอยู่กับแสงแดดเป็นเวลานาน เพื่อปกป้องผิวให้คงความอ่อนเยาว์ลดอาการแก่ก่อนวัยอันควร ซึ่งเป็นอาการที่ไม่พึงประสงค์ของสาวๆ กันเสียเลย..

เป็นอย่างไรบ้างสำหรับสูตร “ทำหน้าใส” ให้ผิวขาวใส อมชมพู  สาวๆ คนไหนอยากที่จะมีใบหน้าขาวใส ก็เอาไปปรับใช้กันได้นะค่ะ ตามเหมาะสมกับสภาพผิวของแต่ละ  เชื่อว่าวิธีที่เราแนะนำจะสามารถช่วยให้สาว ๆ ทุกคน มีสุขภาพผิวที่ดี สวยๆ กันให้สมใจกันไปเลย   แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องมีวินัยในการดูแลตัวเอง  ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ที่ก่อให้เกิดผลเสียต่อผิว ทำให้เป็นกิจวัตรจะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นได้  หน้าใสๆ ใครๆ ก็ชอบ ใช่ไหมค่ะ

เคล็ดลับ “ทำหน้าใส” เสกหน้าสวย กับวิธีมาส์กหน้าที่ใครๆ ก็ทำได้

42

เชื่อว่าหลายคน ไม่ว่าผู้หญิง หรือ ผู้ชาย ต้องการดูแลผิวพรรณและ เลือกหาผลิตภัณฑ์ในการถนอมผิว เพื่อบำรุงผิวพรรณให้ผิวสวยกระจ่าง ทำหน้าใสกันอยู่ไม่น้อย และในปัจจุบันผลิตภัณฑ์ดูแลถนอมผิว บำรุงผิวพรรณนั้นมีอยู่มากมายหลากหลายตามสูตรของผู้ผลิต และ จำหน่ายในท้องตลาด ทำให้ไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชาย ให้ความมสนใจกับเรื่องรูปร่างหน้าตากันมากขึ้น โดยเฉพาะใบหน้า ที่ผู้คนจะให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกของการดูแลผิว เพราะเป็นเหมือนสิ่งที่ช่วยเพิ่มความมั่นใจในการดำเนินชีวิตในยุคปัจจุบัน หากเมื่อไหร่รู้สึกว่าหน้าโทรม ใบหน้าหมองคล้ำ ไม่สดใส เปล่งปลั่ง มีสิวริ้วรอยขึ้นมาเมื่อไหร่ ความมั่นใจก็จะน้อยลงทันที  ดังนั้นจึงไม่แปลกใจที่ผู้คนจะหันมาดูแลฟื้นฟูสุขภาพผิวให้สวย ทำหน้าใส เปล่งปลั่ง อยู่เสมอ ที่สำคัญการใช้ผลิตภัณฑ์ในการดูแลผิวหน้าจึงต้องมองหาผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัย และ ไม่มีผลข้างเคียงต่อผิว และ ใบหน้า ดังนั้นการมาส์กหน้า “ทำหน้าใส”  จึงเป็นวิธีที่ช่วยได้เป็นอย่างดีในการบำรุงผิว ยิ่งได้ผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากธรรมชาติแล้วยิ่งมั่นใจมากขึ้น ดังนั้น เราจึงได้รวบรวมสูตร “การมาส์กหน้า” มาให้ได้ใช้กัน

การมาส์กหน้าด้วยสูตรไข่ขาว

shutterstock 1038494275

เชื่อว่าไข่ทุกบ้านต้องมี ไม่ว่าจะเป็นไข่ไก่ ไข่เป็ด ซึ่งนอกจากเป็นอาหารที่อุดมไปด้วยประโยชน์ และ ให้โปรตีนแล้วยังบำรุงส่วนที่สึกหรอในร่างกายแล้ว  “ไข่” ยังสามารถนำมาใช้ประโยชน์เป็นผลิตภัณฑ์บำรุงผิวได้ด้วย โดยเฉพาะไข่ขาวมีประโยชน์ในการบำบัติผิวสวยโยนำไข่ขาวมาทำเป็น “มาส์ก” การมาส์หน้าด้วยไข่ขาวเป็นการทำความสะอาดผิวได้อย่างล้ำลึกถึงรูขุมขน เพราะสามารถลอกสิวเสี้ยน สิวหัวดำ ผิวหนังกำพร้าที่ตายแล้ว ได้อย่างยอดเยี่ยม อีกทั้งการมาส์กหน้าด้วยไข่ขาวยังเป็นการช่วยดีท็อกซ์ผิวหน้าได้อย่างเกลี้ยงเกลา “ทำหน้าใส”  ไม่มีหมองได้อีกต่างหาก

วิธีมาส์กด้วยไข่ขาว

  • ล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นเพื่อเปิดรูขุมขน
  • นำไข่ขาวมาทาลงบนผิวหน้าให้ทั่วใบหน้า
  • ใช้สำลีแผ่นบางมาแปะทับลงไป ปล่อยทิ้งไว้จนไข่ขาวแห้งตึงไปกับผิว
  • จากนั้นค่อย ๆ ลอกแผ่นสำลีออกจากทางด้านล่างขึ้นด้านบน

วิธีมาส์กหน้าด้วยไข่ขาวนี้จะช่วยกำจัดสิวเสี้ยน สิวหัวดำ ให้หลุดออกมาได้อย่างหมดจด  เสร็จแล้วจึงล้างหน้าด้วยน้ำเย็นเพื่อปิดรูขุมขนให้กระชับ  เพื่อผิวหน้าที่เรียบเนียนไร้สิว ผิวสวย ทำหน้าใส สำหรับ คนไหนที่มีสิวเสี้ยน แนะนำให้พอกหน้าด้วยไข่ขาวสัปดาห์ละครั้ง เพื่อผิวหน้าของคุณจะเนียนใสและไม่มีสิวเสี้ยนกวนใจอีกต่อไป

การมาส์กหน้าด้วยสูตร น้ำมะนาว  น้ำผึ้ง โยเกิร์ต

shutterstock 52139764

มะนาวเป็นพืชที่มีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ด้วยสรรพคุณของมะนาวสามารถทำหน้าใส ขาวกระจ่าง เมื่อนำมาพอกหน้าจะช่วสยผลัดเซลล์ผิวเก่าที่เสื่อมสภาพให้หลุดออกไป น้ำผึ้งยังมีคุณสมบัติในการต้านเชื้อแบคทีเรีย สามารถช่วยในการรักษาสิว ทำให้สิวอักเสบหายได้เร็วขึ้น และช่วยในการบำรุงผิวหน้าให้เนียนกระจ่างใสไร้สิว โยเกิร์ตอุดมด้วยกรดแลคติกที่ดีต่อผิวพรรณ จึงช่วยลดความหมองคล้ำจากแสงแดดได้เป็นอย่างดี

วิธีมาส์กหน้า

เตรียมน้ำมะนาว น้ำผึ้ง และ โยเกิร์ต ใส่ภาชนะ อย่างละ 1 ช้อนโต๊ะ  ผสมให้เข้ากันจนเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วทาลงใบหน้าให้ทั่วถึง  ด้วยคุณสมบัติ ของมะนาว น้ำผึ้ง โยเกิร์ต  เปี่ยมด้ไปด้วยคุณประโยชน์ในการช่วยเติมความชุ่มชื้นให้กับผิว ทำให้ได้ผิวสวยเนียนนุ่มชุ่มชื้นขึ้น  โดยทาทิ้งไว้บนใบหน้าสักพัก  แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

ผิวหน้าแลดูหมองคล้ำไม่สดใส ก็ทำให้ความมั่นใจหดหายไปได้ไม่น้อย ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ผิวหน้าแลดูหมองคล้ำไม่กระจ่างใส มีด้วยกันหลายอย่างเช่น รังสียูวีในแสงแดด จากแสงหน้าจอ  มลพิษทางสภาวะแวดล้อมที่อยู่รอบ ๆ ตัว  หากที่ผ่านมาสัมผัสผิวหน้าแล้วรู้สึกถึงความหยาบกร้านของผิว ผิวขาดความชุ่มชื้น คราวนี้ได้เวลาเรียกคืนผิวหน้าเรียบเนียนใส ด้วยวิธีการบำรุงและฟื้นฟูผิวหน้าที่หมองคล้ำให้กลับมาขาวสดใส  ผิวสุขภาพดี  กับการพอกหน้าด้วยสูตรธรรมชาตินี้ สามารถทำได้ด้วยตัวเอง ซึ่งปลอดภัย และเห็นผลได้จริง กับต้นทุนที่สบายกระเป๋า กันไปเลย..

เทคนิคการ “ทำหน้าใส” ได้อย่างรวดเร็วภายในข้ามคืน!!!

41

เชื่อว่าหลายสาว ๆ หลายคน ย่อมมีความต้องการที่จะมีผิวสวย  ผิวขาว ผิวดี ทำหน้าใส อยู่ไม่น้อย เป็นที่รู้กันว่า  การทำหน้าใส นั้นมันค่อนข้างยากที่จะได้ดั่งใจ จึงมีคนอยู่ไม่น้อยที่ยอมควักกระเป๋า ยอมจ่ายเพื่อให้ได้มาซึ่งหน้าขาวใส  แต่วันนี้เรามีเทคนิคทำหน้าใส อย่างรวดเร็วภายในข้ามคืน!!  มาบอกต่อสาว ๆ ให้ สวยๆ  กันไปเลย…

สูตร ทำหน้าใส..ภายในข้ามคืน

ก่อนอาบน้ำ ทำการสครับผิวเพื่อผลัดเซลล์ผิวเก่าที่หมองคล้ำออกจากใบหน้า  โดยหาวัตถุดิบที่จะใช้ทำสครับ แนะนำให้ ใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนต่อผิว เพราะผิวหน้านั้นบอบบางนะคะ..  เบาๆ กับเค้าหน่อยเพื่อผิวใสๆ จะได้อยู่กับเราไปนาน ๆ โดยวัตถุดิบก็หาได้ไม่ยาก ของใกล้ตัวทั้งนั้น..โดยการนำวัตถุดิบที่จัดเตรียมไว้มาผสมให้เข้ากัน นำมาพอกหน้าทิ้งไว้สักพัก แล้วล้างออกเพียงเท่านี้หน้าก็จะเนียนนุ่มเกลี้ยงเกลาขึ้นมายังกะเสกผิวได้กันเลย.. มาดูกันว่ามีอะไรบ้างที่จะสามารถ “ทำหน้าใส” เสกหน้าสวย ให้ได้ภายในข้ามคืนได้ ด้วยวิธีธรรมชาติที่ได้ผลเป็นที่น่าพึงพอใจ อีกทั้งยังปลอดภัยจากสารเคมีอันตรายไม่ทำร้ายผิว ด้วยวิธีฟื้นฟูสภาพผิวแบบฉบับเร่งด่วน!!

การสครับหน้าผลัดเซลล์ผิวเพื่อบำรุงผิวให้ผิวชุ่มชื่น

1.มะขามเปียก.. ใช่เลย !!

shutterstock 555129598

มะขามเปียกจะช่วยขจัดเซลล์ผิวเก่าที่ตายแล้ว ทำหน้าใส ผิวขาวกระจ่างขึ้นได้

2.นมรสจืด  ยิ่งเป็นพร่องมันเนยยิ่งดี

shutterstock 146078012

นมสดรสจืดจะช่วยให้ผิวหน้าเนียนนุ่ม ทำหน้าใสขึ้นในทันที

3.มะนาว.. น้ำมะนาวสด ๆ

shutterstock 264947279

มะนาวจะช่วยในการเร่งผลัดเซลล์ผิว ช่วยให้ผิวขาวกระจ่าง ทำหน้าใส ช่วยในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เป็นต้นเหตุให้เกิดสิว

4. น้ำผึ้ง..ใช่แล้วน้ำผึ้งไทยนี่แหละดี..

shutterstock 1076909447

น้ำผึ้งจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้า เมื่อได้ส่วนผสมทั้งหมดแล้ว เรามาเริ่มวิธีการเร่งฟื้นฟูผิวให้สวย ทำหน้าใสภายในข้ามคืนกันได้เลยค่ะ

ขั้นตอน และ วิธีทำ

  • นำส่วนผสมทั้งหมดมาผสมรวมกันในภาชนะที่เตรียมไว้ ผสมให้เข้ากันเป็นเนื้อเดียวกัน
  • นำส่วนผสมมาทาให้ทั่วบริเวณใบหน้า จากนั้นให้ใช้ปลายนิ้วนวดอย่างเบา ๆ
  • พอกหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที แล้วจึงค่อยล้างออกให้สะอาด ด้วยน้ำอุ่น
  • ทาครีมบำรุงผิวที่มีส่วนผสมของมอยส์เจอร์ไรส์เซอร์ เข้มข้น เพื่อคืนความชุ่มชื้นให้กับผิว

เพียงเท่านี้ก็ได้ผิวสวย  เนียนนุ่ม ทำหน้าใส น่าสัมผัส กลับคืนมา แล้วคุณจะหลงรักผิวของคุณจนไม่อยาก หยุดสัมผัสผิวหน้า อันเนียมนุ่ม ชุ่มชื้น ผิวมีสุขภาพดี เปล่งปลั่ง  มีน้ำมีนวล กันเลย เมื่อมีผิวดีแล้ว ความมั่นใจ มั่นหน้า ก็มา จัดเต็มกันไปเลยใช่มั้ยคะ

มหัศจรรย์!! น้ำมันมะพร้าว “ทำหน้าใส” ให้หน้าสวย..

40

เคยได้ยินมากันบ้างอยู่ไหม ว่าน้ำมันมะพร้าว เป็นยาอายุวัฒนะที่น่ามหัศจรรย์มาก หลายคนอาจจะรู้ และก็ยังมีอีกหลายคนที่ยังไม่รู้ก็มี ดังนั้นจะมาเล่าเรื่องราวของน้ำมันมะพร้าวให้ทราบกันให้ดียิ่งขึ้น  ว่าด้วยน้ำมันมะพร้าวมีประโยชน์ หรือคุณสมบัติในการรักษา และ มีคุณค่าทางโภชนาการ ที่ได้ศึกษากันมาแล้วว่าใช้ได้ผลจริง และมากมายด้วยประโยชน์ที่ได้จาก “น้ำมันมะพร้าว” 

น้ำมันมะพร้าว คือ สิ่งมหัศจรรย์ ที่ได้จากธรรมชาติ นอกจากถูกนำมาใช้ทางด้านการแพทย์ และ การเยียวยารักษามาอย่างเนินนานแล้ว คนที่รักสุขภาพ และอยากมีสุขภาพกายและผิวพรรณที่ดีจากภายในสู่ภายนอก ต้องทราบประโยชน์และความมหัศจรรย์ของ “น้ำมันมะพร้าว” กันดีอยู่แล้ว ว่ามีความวิเศษขนาดไหน ใช้ดีจริงอย่างไร และสมควรจะมีติดตู้ ติดบ้านกันไว้ได้แล้วหรือยัง…

ใช้น้ำมันมะพร้าวบำรุงผิว

shutterstock 426808297

ใช้น้ำมันมะพร้าวบำรุงผิว หลังจากกากรอาบน้ำ หรือก่อนเข้านอน  เพื่อเพิ่มความความชุ่มชื่นให้กับผิว ทำให้ผิวนุ่ม ชุ่มชื่น แลดูมีน้ำมีนวล ทำหน้าใสด้วยน้ำมันมะพร้าวเป็นน้ำมันที่ได้จากธรรมชาติมีความอ่อนโยนต่อผิว โดยเฉพาะผิวที่บอบบางแพ้ง่าย ใช้ได้กับคนทุกสภาพผิว ในน้ำมันมะพร้าวมีกรดลอริค ซึ่งเป็นกรดไขมันอิ่มตัว มีคุณสมบัติในการขจัดแบคทีเรีย ลดการเกิดสิว ฝ้า และริ้วรอยบนใบหน้า อีกทั้งช่วย ทำหน้าใส ได้เป็นอย่างดี คุณสมบัติช่วยรักษาความชุ่มชื่นของผิว ทำให้ผิวเปล่งปลั่ง สดใส ดูมีชีวิตชีวา ใครที่ชอบผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ ไม่มีสารเคมีอันตราย เพื่อหน้าขาวใสไร้สิว ที่ใคร ๆ ก็ชอบ แถมปลอดภัยอีกต่างหาก

การแต่งหน้าให้“วาว” ด้วยน้ำมันมะพร้าว

shutterstock 758806480

สำหรับสาว ๆ ที่ชื่นชอบในการแต่งหน้า การใช้น้ำมันมะพร้าว ลูบให้ทั่วใบหน้า ก่อนทาครีมบำรุงผิว และก่อนแต่งหน้า การทาน้ำมันมะพร้าวก่อนการแต่งหน้า ช่วยทำให้การแต่งหน้าทำได้ง่ายขึ้น ช่วยทำให้เครื่องสำอางค์ติดทนนาน  เพิ่มความ  “แวววาว” ทำหน้าใส ให้กับใบหน้า  อีกทั้งช่วยเพิ่มความมั่นใจได้ตลอดทั้งวัน จะเข้าพบปะเพื่อนฝูง สังคมไหน ๆ ก็เอาอยู่

ใช้ทำความสะอาดใบหน้าหรือล้างเครื่องสำอางค์     

shutterstock 1114578263

ทราบหรือไม่น้ำมันมะพร้าวสามารถใช้เป็นผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดใบหน้า และล้างเครื่องสำอางค์   ช่วยขจัดสิ่งสกปรกปลอมปนจากมลภาวะที่เผชิญในแต่ละวัน  อีกทั้งช่วยล้างเครื่องสำอางค์ออกไปได้โดยง่ายไม่ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิว หรือ แสบตา ทำหน้าใสอีกด้วย

วิธีการทำความสะอาดใบหน้า ด้วยน้ำมันมะพร้าว

เป็นอันเสร็จขั้นตอนการทำความสะอาดผิวหน้า ด้วยน้ำมันมะพร้าว บวกกับผลลัพท์ที่มากคือผิวหน้าไม่แห้งกร้าน เพิ่มความชุ่มชื้น ช่วยทำให้ผิวหน้าแลดูสดใส เนียมนุ่ม น่าสัมผัส อีกทั้งยังสามารถใช้เป็นมอยส์เจอไรเซอร์ เพื่อเป็นการบำรุงผิวหน้า ทำหน้าใส ได้เป็นอย่างดี

  • เริ่มต้นด้วยการลูบน้ำมันมะพร้าวบนใบหน้าเพื่อลบเครื่องสำอาง
  • ล้างและทำซ้ำอีกครั้งอีกจนสะอาด
  • จากนั้นล้างหน้าด้วย สบู่ หรือโฟมล้างหน้าตามปกติอีกครั้ง

ใช้น้ำมันมะพร้าว กับ เบกกิ้งโซดา เป็น สครับขัดผิวหน้า

shutterstock 1073080895

การใช้น้ำมันมะพร้าวขัดผิว เป็นการดูแลผิวอย่างปลอดภัยจากสารเคมีที่เป็นอันตราย ซึ่งเป็นการลดความเสี่ยงที่ผิวจะถูกทำร้ายจากสารเคมี และก่อให้เกิดการระคายเคืองตามมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขั้นตอนการขัดผิวที่ผิวด้านบนอาจเปิดรับสารเคมีได้ง่าย ควรให้ความใส่ใจเป็นพิเศษ ดังนั้นการสครับด้วยนำมันมะพร้าวกับเบกกิ้งโซดา จึงเป็นทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพผิว เพื่อการบำรุงผิวหน้า ทำหน้าใส

สูตรการทำสครับขัดผิวหน้า

  • น้ำมันมะพร้าว ½ ถ้วย
  • เบกกิ้งโซดา ½ ถ้วย

นำส่วนผสมทั้งสองอย่างผสมเข้าด้วยกัน แล้วทาที่หน้า นวดเบา ๆ ให้ทั่วทั้งใบหน้า และ ลำคอ จะช่วยขจัดเซลล์ผิวเก่าเพื่อผลัดเซลล์ผิวใหม่ บนใบหน้า น้ำมันมะพร้าว กับ เบกกิ้งโซดา ลดการอักเสบให้กับผิว ทำให้ผิวนุ่มลื่น ไม่ทำร้ายผิวหน้า ทำหน้าใส ลดการระคายเคืองผิวได้เป็นอย่างดี

เป็นอย่างไรบ้าง กับ  ความมหัศจรรย์ ของน้ำมันมะพร้าวสามารถช่วย ทำหน้าใส ได้จริง..ใช่มั๊ยค่ะ เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่ใช่น้อยละสิ!! ของดีอยู่ใกล้ตัว  ด้วยสรรพคุณ และประโยชน์มากมี ที่ได้มาจากธรรมชาติ มีประโยชน์ต่อความสวยความงาม ยิ่งกับสาว ๆ แล้วไม่ควรพลาด ไอเทม นี้เลยเชียว รู้แบบนี้แล้วคงต้องหาหยิบเข้าบ้านเป็นการด่วน!! แล้วสินะ..

สิ่งที่ควรรู้ ควรทำ หากคิดจะลบรอยสัก

57

การลบรอยสักด้วยเลเซอร์เป็นที่นิยมเป็นอย่างมากเพราะเพราะรอยสักนั้นสร้างความเสียหายให้ผิวหนังจะมากหรือน้อยขึ้นกับลักษณะ และขนาดของรอยสัก ผลจากการที่เรากำจัด ลบรอยสักนั้นอาจยังไม่สมบูรณ์นักถ้าผู้รับบริการไม่ดูแลผิวบริเวณที่กำจัดรอยสักตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด วันนี้เราจึงมีวิธีการดูแลผิวบริเวณที่ลบรอยสักที่ถูกวิธีมาบอกกันดังต่อไปนี้

  1. หลังทำการลบรอยสักด้วยเลเซอร์ครบ 24 ชั่วโมง ให้แกะพลาสเตอร์ปิดแผลออก นอกจากนี้ในช่วง 2-3 วันแรก อย่าให้บริเวณแผลถูกน้ำเด็ดขาด
  2. ให้ล้างแผลด้วยน้ำเกลือหรือน้ำสะอาด โดยใช้ไม้พันสำลีเช็ดแผลเบาๆ วันละ 2 ครั้ง เช้า – เย็น หลังจากนั้นรอให้แห้ง แล้วทายาที่แพทย์สั่ง
  3. หลังจากลบรอยสักด้วยเลเซอร์ผ่านไป 48 – 72 ชั่วโมง แผลสามารถโดนน้ำได้ตามปกติ ให้ทายาที่แพทย์สั่งอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งสะเก็ดหลุด
  4. หากมีอาการปวดแผล สามารถรับประทานยาแก้ปวดได้ ครั้งละ 1-2 เม็ด ทุก 4-6 ชั่วโมง
  5. ถ้ามีอาการอักแสบ บวมแดง ให้รีบไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจดูอาการ และหาสาเหตุของการอักแสบ
  6. แผลจะแห้งตกสะเก็ด และหลุดออก ภายใน 1-2 สัปดาห์ ห้ามแกะสะเก็ดออกเองเด็ดขาด เพราะอาจทำให้เกิดแผลเป็นได้
  7. หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางหรือครีมบำรุงทุกชนิด ทาลงบนแผลลบรอยสัก และหลังสะเก็ดหลุดออกมา จึงสามารถกลับมาทาครีมบำรุงได้ตามปกติ
  8. เมื่อแผลหายแล้ว แนะนำว่าควรหลีกเลี่ยงแสงแดด และควรใช้ครีมกันแดดอย่างต่อเนื่อง อย่างน้อย 2-3 เดือน
  9. มารับการตรวจตามที่แพทย์ได้นัดหมายไว้

หลังจากลบรอยสักด้วยเลเซอร์แล้ว คุณควรทำตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจ         

ถ้าเกิดแผลเป็นจากการลบรอยสักควรทำอย่างไร

ในกรณีไปลบรอยสักมาแล้วเกิดเป็นแผลเป็นนูน หรือ คีลอยด์ ให้ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งการรักษาสามารถทำได้หลายวิธี อาทิ การฉีดยาเพื่อให้ยุบ การใช้เลเซอร์รักษา เป็นต้น อย่างไรก็ตาม การรักษาไม่สามารถทำให้ผิวหนังกลับมาเรียบหรือสีเหมือนปกติดังเดิมได้ 100% ดังนั้น ท่านที่คิดจะไปลบรอยสักด้วยวิธีที่ไม่ถูกต้อง อย่างเช่น การใช้น้ำยาลอกลายที่เป็นกรด ควรจะต้องพิจารณาให้รอบคอบก่อนเพราะมีโอกาสเกิดผลแทรกซ้อนอย่างแผลเป็นนูน หรือ คีลอยด์ ตามมา

ใช้เวลาการลบนานแค่ไหน รอยสักถึงจะหายไป

การลบรอยสักจะใช้เวลานานเท่าใดขึ้นอยู่กับปริมาณสี ชนิดของสีที่สัก ความลึกของการสัก และปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายคุณเอง บางคนยิงเลเซอร์เพียงครั้งเดียวก็จางได้ เช่น คนที่สักด้วยสีดำสีเดียว จะลบได้ง่ายที่สุดเพราะสีดำจะดูดซึมแสงเลเซอร์ได้เกือบทุกชนิดและดูดได้มากที่สุด แต่สำหรับบางคนอาจต้องกลับมาทำซ้ำๆ หลายครั้งจึงจะเห็นผล เช่น รอยสักที่มีสีหลากหลายก็อาจต้องยิงเลเซอร์หลายครั้ง อาจต้องกลับมาทำซ้ำประมาณ 5 – 6 ครั้งกว่าจะจางหมด โดยทำห่างกันทุก 1-2 เดือน ซึ่งจำนวนครั้งในการทำเลเซอร์ลบรอยสัก ผู้เชี่ยวชาญจะเป็นผู้ประเมินให้ทราบ ส่วนเลเซอร์จะสามารถลบรอยสักออกได้ 100% หรือไม่ ก็ขึ้นกับปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้น แต่ถ้ารักษาให้ครบตามแผนการรักษาของแพทย์ รอยสักมักจะจางลงเรื่อยๆ ได้มากถึง 95%

เราสามารถใช้น้ำยาลบรอยสักที่มีขายในท้องตลาดลบได้หรือไม่

ไม่แนะนำเป็นอย่างยิ่ง โดยปกติน้ำยาลอกลายไม่อนุญาตให้มีการนำมาใช้ เนื่องจากทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนตามมาได้มาก ซึ่งส่วนใหญ่น้ำยาลอกลายจะเป็นกรดที่มีฤทธิ์กัดกร่อนแรง กัดผิวจนถึงขั้นหนังแท้ลงไปค่อนข้างลึก ทำให้เกิดแผลเป็นถาวรได้ โดยเฉพาะการลบรอยสักในบางตำแหน่งมีโอกาสเป็นแผลเป็นได้ง่าย เช่น บริเวณหน้าอก หัวไหล่ และกลางหลัง ที่มีโอกาสเป็นแผลเป็นนูนได้ง่ายกว่าบริเวณอื่น ทางที่ดีที่สุดควรมาปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อลบรอยสักด้วยวิธีมาตรฐานอย่างการลบรอยสักด้วยเลเซอร์ดีกว่าทั้งปลอดภัยและประหยัดเวลากว่าหลายเท่าตัว

สักผิดแล้วไง อย่าได้แคร์ กับการลบรอยสักด้วยเลเซอร์

56

ปัจจุบันนี้ ‘การสัก’ ถือเป็นเรื่องธรรมดาของหนุ่มสาว  เพื่อเพิ่มดีกรีให้ลุคคุณเท่ และเผ็ดเบอร์แรง โดยปัจจุบันมีรอยสักออกมาให้เลือกหลากหลาย ถ้ารอยสักที่คุณต้องการออกมาเพอร์เฟคก็ดีไป แต่ถ้าสักผิดก็แล้วไงคะ อย่าได้แคร์ ลบรอยสักด้วยเลเซอร์สิ เพราะทั้งปลอดภัยและให้ผลที่ดีเยี่ยมนั่นเอง

การลบรอยสักด้วยเลเซอร์ต้องเข้ารับการปรึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญ

ปัจจุบัน…การลบรอยสักไม่จำเป็นต้องใช้ปูนแดงให้ปวดแสบปวดร้อนอีกต่อไป เพราะแค่คุณเข้าไปปรึกษาผู้เชี่ยวชาญที่รมย์รวินท์คลินิก จะพบว่าเรื่องลบรอยสักเป็นเรื่องง่ายกว่าที่คุณคิด

โดยผู้เชี่ยวชาญตรวจดูว่ารอยสักของผู้ที่จะมาลบนั้นเป็นสีอะไร เพราะรอยสักแต่ละสีก็ต้องใช้เลเซอร์ต่างเครื่องกันในการลบรอยสัก นั่นคือเลเซอร์เครื่องหนึ่งจะไม่สามารถลบรอยสักได้ทุกสี ฉะนั้นคนไข้ที่สักหลายๆ สีจำเป็นต้องใช้หลายๆ เครื่องมาลบด้วยเช่นกัน การสักสีเดียวลบง่ายกว่าเพราะใช้เพียงเครื่องเดียวในการลบ สีที่ลบง่ายจะเป็นพวกสีดำ สีเขียว แต่ที่ลบยากจะเป็นพวกสีแดง สีเหลือง สีส้ม และหลังๆ เริ่มมีความนิยมในการสักเป็นสีเนื้อหรือสีออกขาวซึ่งจะลบรอยสักยากมากขึ้นไปอีก เนื่องจากเวลายิงเลเซอร์ไปนั้นมันจะเปลี่ยนเป็นสีดำ พอเปลี่ยนสีแล้วจะทำให้จำนวนในการลบรอยสักแต่ละครั้งเพิ่มมากขึ้นนั่นเอง 

แต่ปัจจุบันนวัตกรรมการลบรอยสักมีการพัฒนามากขึ้นโดยมีการนำเข้าเครื่องที่ชื่อว่า Nu Pico Tattoo ซึ่งเป็นเลเซอร์ลบรอยสักคุณภาพดี โดยรมย์รวินท์คลินิก ความดีงามของเจ้าเครื่องนี้ก็คือสามารถลบรอยสักทุกสีได้ในขั้นตอนเดียว ไม่ต้องทนเจ็บจุกจิกหลายครั้ง

ความถี่ในการยิงเลเซอร์สำคัญไฉน

  • ในการลบรอยสักนั้นจะมีการพูดคุยทำความเข้าใจกับผู้รับบริการก่อนว่าลบครั้งเดียวไม่หายหมดส่วนใหญ่แล้วจะนัดมาทำทุก 1-2เดือน
  • บริเวณที่ทำก็ต้องหลบแดดเพราะว่าถ้าให้บริเวณที่ทำนั้นโดนแดดอาจจะทำให้เกิดผลข้างเคียงในการทำเลเซอร์ได้ประสิทธิภาพในการลบอาจต่ำลง และเกิดผลข้างเคียงตามมา อย่างเช่นรอยดำจากการทำเลเซอร์
  • การลบรอยสักนั้นใช้เวลาเป็นปีโดยเฉลี่ยในการลบแค่สีเดียว 5-8ครั้งกว่าจะจาง โดยทำทุก 1-2 เดือนการทำเลเซอร์อาจมีผลทำให้เกิดแผลซึ่งการหายนั้นขึ้นอยู่กับแต่ละกรณี
  • อาจจะมีความไม่สม่ำเสมอของสีผิวบริเวณที่เราลบเกิดขึ้นได้เพราะเลเซอร์จะไปโดนสีผิวจริงๆ ของเรานั่นเอง

ปัจจัยที่มีผลต่อการลบรอยสัก

  1. ขนาดของรอยสักจะเล็กหรือใหญ่อาจไม่ได้มีผลเท่ากับสี เพราะอย่างที่บอกไปว่าแต่ละสีจะมีความยากง่ายในการลบรอยสักต่างกัน
  2. ตำแหน่งของร่างกายที่สักจะมีผลในเรื่องการเกิดแผลเป็นหลังจากการลบรอยสัก อย่างเช่นบริเวณหลัง หน้าอก บริเวณนี้จะเป็นตำแหน่งที่ไม่ว่าจะทำอะไรเราก็เกิดแผลเป็นง่ายกว่าปกติอยู่แล้ว อาจจะต้องมีข้อควรระวังเพิ่มขึ้น แต่มีบางตำแหน่งอย่างที่ลบรอยสักยากจะเป็นพวกสักอายไลน์เนอร์เป็นตำแหน่งใกล้ตา ซึ่งเลเซอร์ที่ใช้ในการลบพวกนี้จะเป็นอันตรายกับจอประสาทตา ทำให้เกิดผลข้างเคียงที่จะทำให้ตาสูญเสียการมองเห็นได้
  3. เรื่องของระดับความลึก ถ้าสักเป็นลักษณะ Professional Tattoo หรือใช้เครื่องสักจะลบไม่ยาก เพราะระดับของการสักนั้นอยู่ในระดับเดียวกัน แต่ในขณะเดียวกันถ้าสักแบบพวกมือสมัครเล่น การสักจะอยู่คนละระดับกัน ทำให้ยิ่งลบรอยสักยาก พวกนี้จะค่อนข้างซับซ้อน

อย่างไรก็ตามการลบรอยสัก ด้วยเลเซอร์มักมีหลายคนสงสัย ลบรอยสักแล้ว จะหายเกลี้ยงเลยหรือไม่ การลบรอยสักด้วยเลเซอร์ ไม่ได้หมายความว่าเลเซอร์จะสามารถลบรอยสักออกได้ 100% ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น สีที่ใช้ในการสัก ความลึกของการสัก เป็นต้น แต่รอยสักจะจางลงเรื่อยๆ ได้มากถึง 95% หลังเลเซอร์ประมาณ 5-6 ครั้ง ซึ่งควรพบแพทย์ตามนัด ติดตามและทำอย่างต่อเนื่อง ก็จะเห็นผลดี

ข้อดีของการ”ลบรอยสัก”ที่คนชอบสักต้องรู้

55

รอยสักเป็นงานศิลปะอย่างหนึ่ง ที่ทำโดยให้ช่างลงน้ำหมึกบนผิวหนังของมนุษย์เพื่อสร้างรูปร่าง สีสัน ภาพต่างๆที่ปรากฏขึ้นล้วนงดงาม ซึ่งทั้งนี้ทั้งนั้นเป็นรสนิยมส่วนบุคคล  แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าภายนอกมักจะมองคนที่มีรอยสักต่างๆนานา รอยสักมีทั้งผลกระทบและข้อดีตามมาเมื่อคุณเลือกจะสัก หลายคนจึงมีเหตุผลที่อยากกำจัด ลบรอยสักให้หมดไป แต่รอยสักนั้นเป็นสิ่งที่คุณรักมันมากและชั่งใจอยู่ว่าจะลบดีหรือไม่ วันนี้เราจะชวนทุกคนมาดูกันค่ะว่าข้อดีของการลบรอยสักมีอะไรบ้าง

  1. คุณจะมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น
    เจ้านายจะคิดอย่างไรเมื่อพบว่าพนักงานที่ตนจ้างมีรอยสักเต็มตัว และเมื่อต้องคัดเลือกให้ประสานงานคุณอาจจะชวดการสร้างผลงานก็เป็นไปได้เพราะเจ้ารอยสักสุดรักสุดหวง แต่พอตัดสินใจลบรอยสักออกไปแล้วคุณจะกลายเป็นบุคลากรที่เหมาะสมแก่การทำงานและสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้องค์กรทันที ถึงจะดูไม่แฟร์หน่อย เมื่อเราต้องการจะโฟกัสที่การทำงานเป็นหลัก แต่ก็ต้องยอมรับกันจริง ๆ ว่าทัศนคติของคนทั่วไปในบ้านเราไม่ว่าจะเป็นคนมีสังกัดหรือคนทั่วไป ส่วนใหญ่ก็ชอบคนแต่งตัวดีมีความสุภาพเรียบร้อยทั้งนั้น
  2. คุณจะดูสะอาดน่าคบหา
    เมื่อปราศจากลวดลายบนผิวหนังแล้ว คุณจะดูสะอาดสะอ้าน ไร้มลทิน บดบังผิวจริง ทำให้มองแล้วสบายตา น่าพบปะพูดคุย ไม่น่ากลัวอีกต่อไป
  3. สมัครงานง่ายขึ้น
    หลายอาชีพยังต้องการภาพลักษณ์ที่ดูดีที่สุด น่าร่วมงานด้วยเป็นอย่างยิ่ง ไม่เพียงแต่เฉพาะหน่วยงานราชการเท่านั้นที่ไม่ต้องการให้คนที่มีรอยสักอย่างเปิดเผยชัดเจนเข้าทำงาน แม้แต่องค์กรเอกชน รัฐวิสาหกิจก็ยังติดค่านิยมว่าคนที่ภายนอกแต่งตัวสุภาพ และยิ่งเป็นการเข้าไปสมัครงานภาพลักษณ์คุณจะดีขึ้นเมื่อไม่มีรอยสักแล้ว เพราะความนิยมของสังคมนั่นเอง ลองนึกภาพเวลาคนมาสมัครงานกับคุณแล้วรอยเต็มตัวคุณกล้ารับไหม แม้เขาคนนั้นจะทำงานดีมากก็เถอะ กลัวแต่ว่าอาจตกสัมภาษณ์ตั้งแต่ยังไม่เริ่มงานเลยด้วยซ้ำ ดังนั้น ลบรอยสักเป็นสิ่งที่คุณควรทำถ้าอยากทำงาน
  4. เพื่อนร่วมโลกมองมาอย่างไม่ตัดสิน
    เมื่อคุณลบรอยสัก ไม่มีรอยสัก ทุกคนจะมองว่าคุณคือมนุษย์เดินดินธรรมดา ต่างจากตอนที่คุณมีรอยสักแน่นอน เพราะถ้าใครที่มีรอยสัก ผู้คนมักตัดสินจากการมองแล้วว่ามักให้ความรู้สึกน่ากลัว นิสัยเสีย เสเพล มีเวทมนต์ของขลังอะไรสักอย่าง ที่ไม่น่าเข้าใกล้เป็นอย่างยิ่ง เพราะสังคมมักตัดสินจากภายนอกเป็นส่วนใหญ่ น้อยคนนักจะเข้าใจว่ารอยสักเป็นเพียงศิลปะธรรมดา
  5. ผู้คนเป็นมิตรกับคุณมากขึ้น
    ไม่เพียงแค่ในประเทศไทยเท่านั้นจะออกแนวเกรงกลัวคนที่มีรอยสัก ถ้าคุณมีโอกาสเดินทางไปต่างประเทศอย่างเช่น ญี่ปุ่น คุณจะพบว่าคนญี่ปุ่นแทบจะเบือนหน้าหนีให้ไกลคุณเลยก็ว่าได้ เพราะเขากลัวรอยสัก เนื่องจากในประเทศญี่ปุ่นนั้นจะเป็นพวกยากุซ่าหรือมาเฟียร์นั่นเอง แต่ถ้าคุณลบรอยสักจะไปประเทศไหนก็ไม่มีปัญหานั่นเอง ผู้คนจะยิ้มให้คุณอย่างเป็นมิตร เด็กๆกล้าเข้าใกล้คุณมากขึ้น ไม่กลัวเหมือนตอนที่คุณมีรอยสักไม่เชื่อลองลบรอยสักดูสิ
  6. คุณสบายใจ สบายกาย..กับการดำเนินชีวิตมากขึ้น
    สมมุติว่าคุณสักชื่อแฟน หรืออาจจะเป็นรูปคู่แทนใจ พอวันหนึ่งเกิดเลิกรากันไป รอยสักที่เคยเป็นพยานรักกลับกลายเป็นพยานร้าง คุณจะรู้สึกจี๊ดใจอย่างยิ่งเมื่อตื่นขึ้นมาส่องกระจกทุกครั้ง พบว่ารอยสักของอดีตคนรักยังคงหลอกหลอนอยู่ตลอดเวลา ต่อเมื่อคุณตัดสินใจลบรอยสักแล้ว คุณก็จะเหมือนลบเธอและเขาเหล่านั้นออกจากชีวิตไปด้วยนั่นเอง

วิธีการเตรียมตัวก่อนตัดสินใจ”ลบรอยสัก”

54

รอยสักเป็นอีกหนึ่งเทรนด์แฟชั่นยอดฮิตของวัยรุ่นขาโจ๋ทั้งหลาย ศิลปินนักร้อง เป็นรสนิยมความชอบ โดยการสักของแต่ละบุคคลย่อมมีจุดประสงค์ที่แตกต่างกัน เมื่อวันหนึ่งความนิยมชมชอบนั้นเปลี่ยนแปลง คุณไม่ต้องการที่จะมีรอยสักนั้นอีกต่อไป  จึงอยากลบรอยสักขึ้นมา บางคนอาจจะยังไม่ทราบว่าต้องเตรียมตัวอย่างไร หาหมอไหนดี คลินิกไหนเอ่ย แต่ก่อนอื่นเรามาดูกันดีกว่าว่า การเตรียมตัวก่อนลบรอยสักนั้นต้องทำอย่างไรบ้าง

  1. เตรียมพร้อมด้านทัศนคติ
    ก่อนอื่นคุณต้องถามตัวเองให้ได้ว่าตัดสินใจจะลบรอยสักเพื่ออะไร คุณต้องการทำแบบนั้นจริงๆหรือไม่ ชั่งน้ำหนักระหว่างข้อดีกับข้อเสียเมื่อลบรอยสักไปแล้ว สอบถามคนรอบข้างว่าชอบหรือไม่ที่คุณจะไปลบรอยสัก
  2. เช็คเงินในกระเป๋า
    การลบเลือนรอยสักไม่ว่าจะวิธีใดก็ตามจำเป็นต้องมีค่าใช้จ่ายเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยกันทั้งสิ้น คุณควรสำรวจเงินในกระเป๋าว่ามีเพียงพอต่อการเข้ารับบริการลบรอยสักหรือไม่ อีกทั้งขนาดของรอยสักย่อมมีผลต่อราคาที่ต้องจ่ายเช่นกัน และถ้าทุกองค์ประกอบลงตัวมีไฟเขียวกะพริบปริบๆก็เชิญคุณไปขั้นตอนต่อไปทันที
  3. ศึกษาวิธีการลบรอยสัก
    การลบรอยสักนั้นมีหลากหลายวิธี เช่น ลบรอยสักด้วยปูนแดง สักทับรอยเก่า ลบรอยสักด้วยครีมลบรอยสัก ลบรอยสักด้วยเลเซอร์ เป็นต้น บางวิธีที่ใช้ลบรอยสักนั้นทำให้คุณเจ็บชนิดที่ต้องกัดฟันทน แต่ปัจจุบันวิธีที่นิยมได้รับการยอมรับและได้ผลดีมากสุดคือ การลบรอยสักด้วยเลเซอร์ เรียกได้ว่าเป็นวิธีที่มาช่วยแก้ปัญหารอยสักได้อย่างดี เห็นผลรวดเร็ว ผิวของผู้รับบริการจะเกลี้ยงเกลา สวยงาม กลับมามั่นใจได้อีกครั้ง เนื่องจากการลบรอยสักแบบใช้เลเซอร์ สร้างความเสียหายให้ผิวหนังน้อยที่สุดก็ว่าได้
  4. สถานที่ให้บริการลบรอยสัก
    สถานที่ให้บริการลบเลือนรอยสัก ต้องน่าเชื่อถือ สะอาดตาน่าเข้ารับบริการ รีวิวจากผู้รับบริการเป็นอย่างไรบ้าง เครื่องมือที่ใช้จะต้องมีความทันสมัย ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก กระทำการลบรอยสักโดยผู้เชี่ยวชาญ เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดในการลบรอยสักจนทำให้เกิดรอยแผลเป็นได้
  5. เข้ารับการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญโดยตรง
    การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนการลบรอยสักนั้นสำคัญมาก เพราะจะช่วยให้คุณรู้ว่าควรปฏิบัติตัวอย่างไร ทั้งก่อนและหลังการลบเลือนรอยสักอย่างมืออาชีพ เพื่อไม่ให้เกิดรอยแผลเป็นนูนหรือคีลอยด์ ตามมาทีหลัง อีกทั้งรอยสักของคุณใช้สีอะไรบ้างในการสัก ผู้เชี่ยวชาญสามารถวิเคราะห์ว่าควรเลือกใช้คลื่นความถี่ของเลเซอร์แบบใดถึงเหมาะสมต่อการลบรอยสักนั้น เพื่อผลลัพธ์ที่น่าพอใจของผู้รับบริการ

5 เหตุผลหลักที่คนชอบสักควร “ลบรอยสัก”

53

รอยสัก หลายคนคงเข้าใจว่าคือ ศิลปะบนเรือนร่างอันงดงามของมนุษย์ แฝงทั้งความน่าเกรงขาม หลากสีสัน หลายรูปแบบ แต่เมื่อเวลาผ่านไปคุณๆทั้งหลายที่นิยมชมชอบในการบันจงลงเข็มเหล่านั้น เบื่อหรืออาจจะด้วยเหตุผลบางประการที่ทำให้คุณอยู่ในภาวะจำยอม เพราะสภาวะแวดล้อมต่างๆกำหนด วันนี้เราจึงรวบรวมเหตุผลหลัก ที่ทำให้เขาเหล่านั้นยอมสละความชอบส่วนบุคคลเพื่อลบรอยสักอันหวงแหนมานาน ดังนี้

  1. เมื่อสักไปแล้วไม่ถูกใจ
    ขึ้นชื่อว่างานศิลปะและยิ่งเป็นศิลปะบนเรือนร่างของเราเสียด้วย ความผิดพลาดนั้นก็ถือว่า 50/50 เลยทีเดียว ลุ้นสุดใจขาดดิ้น ถ้าพบเจอช่างสักฝีมือเยี่ยมงานสวยก็ดีไป แต่ถ้ารอยสักที่ได้ออกมาผิดพลาด เช่น สีของลวดลายผิดเพี้ยน รูปบิดเบี้ยวไม่สวยเหมือนตัวอย่าง ขนาดของรอยสักใหญ่เกินความต้องการ นอกจากนี้ระหว่างการสักคุณอาจจะเจ็บจนทนให้เข็มจิ้มจึกๆไม่ไหว และเกิดอยากหยุดกลางคันอีก ทำให้รอยสักที่ได้ไม่สมบูรณ์ ใดๆต่างๆเหล่านี้จึงเป็นที่มาของความต้องการลบรอยสักที่ไม่พึงประสงค์นั่นเอง
  2. อยากเข้ารับราชการ
    เราทุกคนล้วนผ่านช่วงคึก คะนองตอนวัยรุ่น ในช่วงที่ย่างเข้าวัยผู้ใหญ่ คุณๆที่ชื่นชอบความเฮฟวี่เมทัล ไม่ว่าจะสักตามรสนิยมความชอบส่วนตัว สักตามเพื่อน ศิลปิน สักเพื่ออวดความแข็งแกร่งทนเข็ม ทนเจ็บ แต่เมื่อคุณเข้าสู่วัยทำงาน จำต้องมีอาชีพเพื่อเลี้ยงตัวเองและครอบครัว การรับข้าราชการคือทางเลือกที่คุณจะก้าวเดินต่อไป รอยสักที่คุณรักนักรักหนาดันเป็นปัญหาซะงั้น เพราะการเข้ารับราชการในหลายๆกระทรวง มีข้อบังคับเรื่องรอยสักเอาไว้ชัดเจน แม้จะแสนเสียดายแต่นี่ก็เป็นเหตุผลที่ต้องทนลบรอยสักทิ้ง
  3. ลบรอยรัก สักเป็นคู่
    มาถึงเรื่องรอยสักที่คู่รักนิยมไปสักกันยามหวานชื่น ส่วนใหญ่อาจจะสักชื่อกันและกัน หรือไม่ก็สักเป็นรูปคู่ บังเอิญอย่างแรงเมื่อเวลาเปลี่ยนไปใจคนก็เปลี่ยนตาม เรื่องราวความรักกลับขมซะอย่างนั้นบางคู่จบสวย แต่บางคู่จบไม่สวยเมื่อตัดสินใจเลิกกัน แล้วรอยสักที่ไปสักมาด้วยกันจะทำยังไงล่ะ บางคนอาจจะเก็บมันไว้เตือนใจ แต่หลายคนทำใจไม่ได้ที่จะเห็นรอยสักนั้น ออกแนวยิ่งเห็นยิ่งช้ำ ทรมานใจเหลือเกินเวลาเห็น เธอทำกับเราได้ลงคอ! จึงจบปัญหาด้วยการลบรอยสักในที่สุด
  4. คู่สมรสของคุณไม่ปลื้มกับลวดลายเหล่านั้น
    เมื่อรอยสักเริ่มเป็นประเด็นเขย่าความสัมพันธ์ให้สั่นคลอน เนื่องมาจากสามีหรือภรรยาของคุณไม่ชื่นชมในลวดลายเต็มตัวที่คุณเพียรสักมาตั้งแต่สมัยยังเอ๊าะๆก่อนจะพบกับเธอและเขา ที่มีรสนิยมแตกต่างจากคุณชัดเจน แฟนของคุณอาจยื่นคำขาดให้ไปลบรอยสักออกเพราะไม่โอเคกับการที่คุณมีรอยสักที่บังเบียดผิวจริงจนไม่รู้ว่า สีผิวคุณสีอะไรกันแน่ คนรักจึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มีโอกาสลบรอยสักเช่นกัน ประมาณว่า ขาดเธอเหมือนขาดใจ ขาดรอยสักไปคงไม่เป็นไรหรอกมั๊ง
  5. เมื่อรสนิยมเปลี่ยน
    รอยสักในวัยเยาว์ช่วงที่คุณยังค้นหาตัวตน อาจจะเผลอไปสักมาเพื่อความสะใจหรือเพื่อความสวยงามก็ตาม หรือเพราะความชื่นชอบศิลปิน อยากเลียนแบบ ต่อเมื่อคุณโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่มีความคิดความอ่าน มีวุฒิภาวะมากกว่าเดิม คิดอะไรรอบคอบขึ้น ไลฟ์สไตล์เปลี่ยนไป จึงรู้สึกว่ารอยสักที่ตัวเองแอบแม่ไปสักมานั้น ช่างไม่เข้ากับตัวเองในตอนนี้เอาเสียเลย จึงเป็นเหตุให้ตัดสินใจลบรอยสักซะ เพื่อความสบายใจของตัวเอง

สักแบบไหนมา สักตรงไหนๆ ก็แก้ได้ด้วย Nu-Pico “ลบรอยสัก” สยบทุกปัญหาผิว

68

ปัจจุบันเทรนด์ผิวที่กำลังเป็นที่นิยม มาแรงอยู่ทุกวันนี้ ก็คงต้องเป็นคนที่มีผิวที่มีความเนียนสว่างกระจ่างใสไร้จุดด่างดำ ดังนั้นความสม่ำเสมอของสีผิว ความเรียบเนียน จึงเป็นสิ่งสำคัญมาก ๆ ในยุคนี้ ซึ่งนอกจากผิวที่มีจุดด่างดำ ฝ้ากระ ริ้วรอยความหมองคล้ำแล้ว ก็ยังมีเรื่องของรอยสัก ที่เข้ามาข้องเกี่ยวที่สร้างปัญหาให้กับผิว กลายเป็นสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ของผิวในอีกรูปแบบหนึ่งด้วย

ซึ่งการรักษาปัญหาผิว การลบรอยสักนี้ไม่สามารถทำได้โดยใช้สกินแคร์เพียงอย่างเดียว จึงต้องอาศัยวิวัฒนาการณ์ทางการแพทย์เข้ามาช่วยในการรักษา และนวัตกรรมใหม่ล่าสุดที่ช่วยทำการรักษา เลเซอร์ลบรอยสัก และฟื้นฟูปัญหาผิวนี้ เป็นเทคโนโลยีใหม่ในวงการแพทย์ผิวหนัง ที่เรียกกว่า Nu-Pico  เป็นนวัตกรรมการใช้พลังงานแสงความถี่สูงในการรักษา โดยวิธีการรักษาจะทำการยิงแสง Laser ไปยังผิวตรงบริเวณที่ต้องการรักษาโดยตรง หลักการในการรักษาไม่มีความร้อนเข้ามาเกี่ยวข้อง พลังงานของ Nu- Pico  จะถูกปล่อยออกมาเป็นระยะเวลาที่สั้นมากๆ พลังงานแสงนี้จะถูกยิงเข้าไปทำให้เม็ดสีแตกตัวออกเป็นอนุภาคที่ละเอียดในทันที โดยจะเกิดความร้อนสะสมขึ้นกับผิว ไม่เสี่ยงต่อผิวถูกทำลายและผิวไหม้ ลดความเสี่ยงการเกิดรอยดำ ซึ่งเหมาะกับผิวของคนเอเชีย คนสีผิวคล้ำก็สามารถทำได้

shutterstock 384997729

วิธีลบรอยสักด้วย Nu-Pico

ขั้นตอนไม่ยุ่งยาก ใช้เวลาไม่นานมาก โดยแพทย์จะทายาชาที่ผิวหนังบริเวณที่จะลบรอยสักให้ก่อน ทิ้งไว้สักพัก ไม่ถึง 1 ชั่วโมง เวลาทำจะไม่รู้ค่อยสึกเจ็บสักเท่าไหร่ รู้สึกจี๊ดๆ สักหน่อย เพียงมดกัดเล็กน้อย เวลาที่ใช้ก็จะต่างกัน ขึ้นกับขนาดหรือบริเวณพื้นที่ของรอยสัก รอยสักใหญ่หน่อย ก็อาจต้องใช้เวลานามมากขึ้น การลบรอยสักด้วยแสง Laser Nu-Pico  เป็นวิธีการใช้แสงเลเซอร์เข้าไปแตกตัวเม็ดสีที่มีอยู่ใต้ผิวหนังให้มีขนาดเล็กลง โดยไม่เกิดรอยแผลเป็นในบริเวณที่ลบรอยสักออกไปแต่อาจจะเกิดรอยบวมแดงหรือมีอาการปวดเล็กน้อย หลังจากที่ทำการลบรอยสักเสร็จ จึงจำเป็นต้องมีการพักฟื้นผิวบริเวณนั้น โดยการไม่ให้แผลโดนน้ำ หรือสารเคมีใด ๆ แม้แต่โลชั่น ครีมต่าง ๆ หลีกเลื่ยง แสงแดดที่มากระทบแผลโดยตรงแต่ไม่ต้องกังวลไป สักพักผิวก็จะกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม

การดูแลแผลหลังการรักษา

การดูแลแผลหลังจากการลบรอยสักด้วย Laser  ระยะแรกจะต้องมัดระวังอย่าให้โดนน้ำเด็ดขาด เพราะจะทำให้แผลชื้น ติดเชื้อได้ง่าย และควรหลีกเลี่ยงแสงแดดไม่ให้โดนแผลที่รักษาลบรอยสักโดยตรง เพื่อไม่ให้เกิดผลข้างเคียงเกิดรอยด่างดำขึ้นได้ ควรทายา และ ทาครีมรักษาที่แผลจนกว่าแผลจะหายเป็นปกติ หลังจากนั้นรอยแผลก็จะค่อย ๆ จางหายไปไม่มีแผลเป็น หลังทำเลเซอร์จะไม่พบผลข้างเคียง สีผิวก็จะกลับมาเป็นปกติเนียนเรียบเหมือนเดิม

ข้อดีของ Nu-Pico

  • ไม่ทำให้เกิดความร้อนสะสม ไม่เสี่ยงต่อผิวไหม้ Nu pico รักษาโดยไม่มีความร้อนเข้ามาเกี่ยวข้อง พลังงานของ Nu pico จะถูกปล่อยออกมาในระยะเวลาที่สั้นมากๆ พลังงานแสงนี้จะถูกยิงเข้าไปยังผิวทำให้เม็ดสีแตกออกเป็นอนุภาคเล็ก ๆ ในทันที โดยจะไม่ทำเกิดความร้อนสะสม ไม่เสี่ยงต่อผิวไหม้ ลดความเสี่ยงการเกิดรอยดำ
  • การรักษา การลบรอยสัก เห็นผลลัพธ์ได้ชัดและรวดเร็ว ตั้งแต่ครั้งแรกที่เข้าทำการรักษา การที่เม็ดสีถูกทำให้แตกออกทันทีแบบละเอียดยิบ ร่างกายขจัดซากเม็ดสีละเอียด ๆ นี้ออกไปได้ง่ายกว่อีกทั้งยังสามารถช่วยรักษา จุดด่างดำ ฝ้า กระ ให้จางลงได้อีกด้วย ในการรักษาจะเห็นผลลัพธ์ได้อย่างชัดเจน และช่วยลดจำนวนครั้งของการรักษา ฝ้า กระ และ รอยสัก ให้น้อยลง เมื่อเทียบกับเลเซอร์รุ่นเดิม
  • รักษาได้ครอบคลุมทุกเม็ดสีทั้งตื้นและลึก และรอยสักทุกสี เลเซอร์ Nupico มีความยาวของคลื่นให้เลือกใช้หลายช่วงคลื่น รักษาได้ครอบคลุมทั้งปัญหาของเม็ดสี และมีความยาวคลื่นชนิดที่ไม่ทำให้เกิดสะเก็ดแผลหลังการรักษา หรือ เกิดน้อยมาก หลังการรักษาไม่ต้องพักฟื้น สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ
  • การรักษาไม่ต้องกลัวเจ็บ จุดเด่นที่สำคัญของ Nu-Pico คือเจ็บน้อย และถ้าใช้ฟื้นฟูสภาพผิวให้เรียบเนียน กระจ่างใส ไม่ต้องแปะยาชา ก็สามารถทำได้เลย จึงสะดวกสบายเหมาะกับคนที่กลัวความเจ็บด้วย

หากคิดจะสักต้องคิดให้รอบคอบนะค่ะ เพราะมันแลกมากับความเจ็บปวดในตอนสัก.. และตอนลบก็ยังต้องเสียเงินเสียทองอีกต่างหาก ตอนสักอาจไม่คิดเยอะเท่าไหร่ พอสักไปแล้ว ต้องลบรอยสัก ออกนี่สิคิดหนัก แถมกระเป๋าเบา กันไปเลยใช่มัยละ แต่ด้วยนวัตกรรมใหม่ของ Nu-Pico  สามารถตอบโจทย์ช่วยให้จบปัญหาผิวให้กับเราได้  การลบรอยสักด้วย Laser Nu-Pico นี้ปลอดภัยที่สุดแล้ว แต่การจะลบรอยสักทั้งที ก็ต้องเลือกหน่อยแล้วกันว่า สถานที่ให้บริการนั้นได้รับมาตรฐาน ปลอดภัย มีแพทย์และผู้เชี่ยวชาญทำการรักษา และดูแลอย่างใกล้ชิดเพื่อให้ได้ผิวที่เรียบเนียนกลับมาสวยได้ดั่งเดิม…

ลายสัก ไม่โดนใจไม่ต้องคิดหนัก “ลบรอยสัก” ง่ายๆไม่เจ็บอย่างที่คิด…..

67

เรื่องการสักลาย หรือ Tattoo นั้นมันเป็นความชอบเฉพาะกลุ่มที่มีความชื่นชอบศิลปะบนเรือนร่าง ซึ่งแต่คนที่ชื่นชอบศิลปะประเภทนี้ ก็ยังมีความชอบไม่เหมือนกัน บางคนสักเพื่อความสวยงาม บางคนสักเพราะความเชื่อ บางคนสักตามเพื่อน หรือตามอารมณ์ชั่วขณะ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะต้องสักลาย  แต่เพราะความชอบ หรืออารมณ์พาไปจึงสัก ไม่ว่าจะสักด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่   ซึ่งเมื่อสักไปแล้วอาจไม่ได้อย่างที่ต้องการ สี รูปร่างผิดเพี้ยนไป  ทำให้เกิดความไม่มั่นใจ ไม่กล้าโชว์ หรือไม่ชอบลายที่สักแล้ว ต้องการลบรอยสักมันออกไป แต่ปัญหาคือจะลบรอยสักด้วยอะไรถึงจะปลอดภัย และไม่ทำให้เจ็บ

ปัจจุบันมีเทคโนโลยี ในการลบรอยสักได้อย่างหมดจด ไม่ทำให้เกิดแผลเป็นนูน ผิวกลับมาเนียนเรียบดังเดิม อีกทั้งยังเห็นผลตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำการรักษาอีกด้วยเทคโนโลยีที่ว่านี้เรียกว่า Nu-Pico เป็นนวัตกรรมเลเซอร์รูปแบบใหม่ใหม่ ที่สามารถส่งพลังงานแสงความถี่สูงเพื่อเข้าไปทำลายเม็ดสีในชั้นผิวหนังลึก และสามารถทำลายได้ทุกเฉดสีที่สัก โดยไม่ก่อให้เกิดความร้อนที่จะเข้าไปทำให้ผิวไหม้

พลังงานของแสงเลเซอร์ Nu-Pico นี้จึงเป็นเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพที่ดีที่สุด ณ เวลานี้ โดยการทำงาน Laser จะตรงเข้าถึงเม็ดสีที่ผิดปกติ และทำ ให้อะตอมที่เรียงตัวกันอยู่อย่างหนาแน่นเป็นกระจุก เกิดการแตกกระจายตัวออก พลังงานแสง Laser จะถูกดูดกลืนจนเกิดเป็นแรงดัน และแตกกระจายออกไปยังชั้นผิวโดยไม่ทำให้เกิดการสะสมความร้อนในบริเวณข้างเคียง ทำให้เม็ดสีที่ผิดปกติจางลงในทันทีจึงเห็นผลได้ตั้งแต่การรักษาในครั้งแรก และไม่มีผลข้างเคียงเหมือนการรักษาด้วยเลเซอร์แบบเดิม ๆ อีกทั้งระหว่างการรักษานั้นไม่ทำให้เกิดความเจ็บปวด  ไม่เสี่ยงต่อผิวไหม้ รอยสักจึงจางหายได้ในการรักษาเพียงไม่กี่ครั้ง ที่สำคัญหลังการรักษา “ลบรอยสัก” แล้วสามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ ไม่ต้องดูแลอะไรเป็นพิเศษ โดนน้ำได้ ผิวเรียบเนียนขึ้น  และสำหรับคนที่อยากลบรอยสักอื่น ๆ เช่นลบรอยสักคิ้ว หลังทำการรักษาขนคิ้วก็ยังกลับขึ้นมาได้เหมือนเดิม..

shutterstock 443862085

การใช้ พลังงานแสง Laser Nu-Pico นอกจากทำให้เห็นผลลัพธ์ที่เร็วขึ้นแล้ว พลังแสงของ Laser ยังสามารถช่วยรักษาจุดด่างดำ ฝ้า กระ หรือแม้แต่รอยสัก จางลงไปได้ได้อย่างรวดเร็ว ครอบคลุมเม็ดสีตื้นลึก และ รอยสักทุกสี  Laser Nu-Pico  มีความยาวของคลื่นให้เลือกใช้หลายช่วงคลื่น รักษาได้ครอบคลุมสามารถรักษารอยสักได้ทุกสี ให้ผลลัพธ์ที่เห็นได้อย่างชัดเจน และช่วยลดจำนวนครั้งของการรักษา ให้น้อยลง เมื่อเทียบกับเลเซอร์รุ่นเดิมไม่ทำให้เกิดสะเก็ดแผลหลังการรักษา หรือ เกิดขึ้นน้อยมาก

Nu-Pico คืออะไร  Nu-Pico เป็นเทคโนโลยี Pico Laser ที่ช่วยรักษาปัญหาผิวเกี่ยวกับความผิดปกติของเม็ดสีผิว เช่น ฝ้า กระ จุดด่างดำ หรือรอยสัก เหมาะกับผู้มีปัญหาสีผิวไม่สม่ำเสมอ มีฝ้า กระ จุดด่างดำ ความหมองคล้ำของผิว นอกจาก Nu-Pico จะช่วยลดเลือนรอยดำฝ้า กระ จุดด่างดำ รวมถึงลบรอยสัก การสักต่าง ๆแล้วยังช่วยคืนผิวกระจ่างใสให้กับผิว แล้วยังช่วยปรับสภาพผิวให้เรียบเนียน รูขุมขนเล็กละเอียดขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดเลือนรอยแผลเป็น และหลุมสิวได้อีกด้วย

จะเห็นได้ว่าการใช้  Laser Nu-Pico ในการรักษาช่วยแก้ปัญหาผิว จึงนับเป็นการพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานแสงเลเซอร์ ที่ใช้สำหรับแก้ปัญหาผิวอย่างเห็นผลอย่างแท้จริง ดังนั้นความสม่ำเสมอของสีผิวจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก ๆ ซึ่งการกำจัดจุดด่างดำ ฝ้ากระ และความหมองคล้ำของผิว ไม่สามารถทำได้โดยใช้สกินแคร์เพียงอย่างเดียว จึงต้องอาศัยนวัตกรรมทางการแพทย์เข้าช่วยในการรักษาบางคนไปทำแบบไม่ถูกวิธีหรือไม่ใช่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยตรง ในการรักษาอาจทิ้งรอยแผลเป็นให้ดูต่างหน้าเสียเงินเสียทองอีกต่างหาก ต่อไปไม่ต้องกลัวอีกแล้วเพราะ Laser Nu-Pico ช่วยได้ลบรอยสักได้ง่าย ๆ ใช้เวลาก็น้อย อีกทั้งไม่เจ็บตัวกันแล้วนะค่ะ

วิธี “ลบรอยสัก” เปลี่ยนผิวสีหมึก คืนผิวเรียบเนียน เหมือนไม่เคยสักมาก่อน

66

ปัจจุบันจะเห็นได้ว่า การสักลายนั้นกำลังเป็นที่นิยมของกลุ่มวัยรุ่นทั้งหญิงชายกันอย่างแพร่หลายโดยให้เหตุผลว่าเป็นศิลปะชนิดหนึ่ง ผู้ที่ชื่อชอบศิลปะ และสีสันบนเรือนร่าง ก็จะทำการสักลายที่ตัวเองคิดว่าตัวเองชอบลงไป ในบริเวณต่าง ๆ เล็กบ้างใหญ่บ้างตามลวดลายที่เลือกกันไม่เหมือนแต่ก่อน การสักลายเป็นความนิยมของผู้ชายที่ต้องการของขลัง ที่เรียกว่าการสักยันต์ เท่านั้น

ด้วยความชื่นชอบในการสักลาย ชอบในลวดลาย หรืออารมณ์พาไป ก็แล้วแต่ทำให้เกิดการตัดสินใจสักลายลงไป  หลายคนพอนาน ๆ ไป รู้สึกไม่ชอบแล้ว ไม่อยากมีรอยสักแล้ว อยากลบรอยสักออกไปจากผิว อยากได้ผิวเรียบ ๆ กลับมาจะหาวิธีไหนที่จะให้รอยสักหายไปจากผิวได้ แน่นอนการลบรอยสักออกไปนั้นมีค่าใช้จ่ายอยู่แล้วไม่มากก็น้อยก็เริ่มเกิดปัญหาเกิดความรู้สึกหนักใจ คิดหนักขึ้นมา เพราะนอกจากต้องเสียเงินทองแล้วยังต้องเจ็บตัวอีก แต่อย่าเพิ่งกังวลไปยังพอมีวิธีในการลบรอยสักออกไปจากผิวเราได้หลายวิธีด้วยกัน ยากง่าย ถูก หรือแพง เราจะมาแนะนำกันค่ะ

shutterstock 655533988

วิธีลบรอยสัก

ครีมลบรอยสัก

การใช้ครีมลบรอยสัก ปัจจุบันมีค่อนข้างหลากหลายยี่ห้อ วิธีนี้เป็นวิธีที่อ่อนโยน และ นุ่มนวลที่สุดในบรรดาการลบรอยสักด้วยตัวเอง ไม่แสบร้อน ไม่ต้องทนปวดจากกการโดนกัดผิว แต่ใช้เวลานาน เห็นผลช้า

ปูนแดง

สามารถใช้ปูนแดงในการลบรอยสักได้เหมือนกัน วัตถุดิบหาง่ายซื้อได้ตามท้องตลาดทั่วไป วิธีทำ คือ ใช้ปูนแดงผสมกับน้ำสบู่ หรือน้ำมะนาวให้เข้ากัน โดยต้องทำการเปิดผิวรอยสักก่อนโดยใช้เข็มที่สะอาดจิ้มเจาะไปตามแนวรอยสัก จากนั้นทาน้ำปูนแดงไปตามรอยสัก ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที เท่านั้น อย่าปล่อยไว้นานเพราะปูนจะเข้าไปกัดผิวลึกเกินไป ทำทุกวัน จากนั้นผิวตรงรอยสักจะค่อย ๆลอกออกมา แต่วิธีลบรอยสักนี้ ปวดแสบ ปวดร้อน มากนะค่ะ

น้ำยาลบรอยสัก

ใช้น้ำยาลบรอยสัก ทาไปยังผิวบริเวณรอยสัก โดยน้ำยาซึ่งมีฤทธิ์เป็นกรดจะเข้าไปกัดผิวบริเวณนั้น วิธีลบรอยสักนี้ทำให้เกิดแผลเป็นนูนและหากดูแลแผลไม่ดี แผลเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่ายอีกทั้งต้องทนเจ็บ ปวดแสบปวดร้อนผิว อีกต่างหาก

ลบรอยสักด้วยแสงเลเซอร์

ปัจจุบันมีวิธีการลบรอยสักแบบใหม่ เรียกว่า นวัตกรรมเลเซอร์ Nu-Pico เป็นพลังงานแสงความถี่สูงในการลบรอยสัก เพื่อเข้าไปทำลายเม็ดสีในชั้นผิวหนังลึก สามารถทำลายได้ทุกเฉดสีโดยไม่ก่อให้เกิดความร้อนที่ทำให้ผิวไหม้พลังงานแสงความถี่สูงของเลเซอร์ Nu-Pico จะตรงเข้าถึงเม็ดสีที่ผิดปกติ และทำให้อะตอมที่เรียงตัวกันอยู่อย่างหนาแน่นเป็นกระจุกจนมองเห็นเป็นสีต่าง ๆ เกิดการแตกกระจายตัวออก พลังงานแสงถูกดูดกลืนจนเกิดเป็นแรงดัน และการแตกกระจายออกไป โดยไม่ทำให้เกิดการสะสมความร้อนในบริเวณข้างเคียง ทำให้เม็ดสีที่ผิดปกติจางลงในทันทีในขณะทำการเลเซอร์ จึงทำให้เห็นผลได้ตั้งแต่การรักษาในครั้งแรก โดยไม่มีผลข้างเคียงเหมือนการรักษาด้วยเลเซอร์แบบเดิม ๆ และที่สำคัญหลังจากทำการรักษา “ลบรอยสัก”แล้วสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ ไม่บวมแดง แถมโดนน้ำได้อีกต่างหาก

จะเห็นได้ว่าการใช้ Laser Nu-Pico ลบรอยสักนั้นสามารถทำให้ผิวกลับมาเรียบเนียน  เห็นผลลัพธ์อย่างรวดเร็ว รอยสักจางหายไปได้ในการรักษาเพียงไม่กี่ครั้ง หรือบางรายสามารถลบรอยสักออกไปได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำการรักษาผลที่ได้คือ ผิวเรียบเนียนขึ้น รอยหมึก รอยสี ที่อยู่บนผิวหายเกลี้ยง กลับมาโชว์ผิวสวยได้เหมือนเดิม

เป็นอย่างไรบ้างค่ะ กับวิธีการลบรอยสักที่แนะนำ จะเห็นได้ว่าการลบรอยสักนั้นทำได้ แต่วิธีที่ใช้จะต้องพิจารณาให้รอบคอบจะได้ไม่ต้องรู้สึกเจ็บตัวเจ็บใจทำแบบไม่ถูกวิธีหรือไม่ใช่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญอาจทิ้งรอยแผลเป็นให้ดูต่างหน้าได้ อย่าเลือกใช้วิธีที่ไม่สามารถให้ลัพธ์ผลที่ดีที่สุด เพราะจะได้ไม่ต้องซ้ำใจ รอยสักหายแต่ทิ้งรอยแผลให้กับผิว จะเห็นได้ว่าการเลือกวิธี ลบรอยสัก โดยแพทย์และ เทคโนโลยีสมัยใหม่อย่าง Laser Nu-Pico นั้นช่วยแก้ปัญหาผิวได้ให้คุณได้อวดผิวสวย ๆ ได้ทุกงานแบบไร้กังวลอีกต่อไป…

“ลบรอยสัก” ไม่เจ็บ!! ไม่บวม!! ด้วย Laser Nu-Pico ให้ผิวเรียบเนียน

65

เชื่อว่ามีหลายคนกำลังประสบปัญหาด้านรอยสักที่ไม่พึงประสงค์ ทำให้อยากที่จะลบรอยสักออกไปจากเรือนร่าง ซึ่งอาจเกิดจากสาเหตุผิดพลาดจากการสักที่ไม่ได้รูปทรงตามที่ต้องการ หรือ ไม่ชอบลวดลายที่สักไปแล้ว รวมถึงรอยสักเก่าที่สีผิดเพี้ยนไปจากเดิมปัญหาต่าง ๆ เหล่านี้ กำลังสร้างปัญหา และ สร้างความกังวลใจให้อยู่ไม่น้อย จึงเป็นที่มาที่จะต้องหาวิธีเพื่อลบรอยสักออกไป

อีกทั้งยุคนี้ สมัยนี้ ผู้คนให้ความสนใจ ใส่ใจอยากมีผิวที่เรียบเนียนกระจ่างใสไร้จุดด่างดำ ความสม่ำเสมอของสีผิวจึงเป็นสิ่งที่พึงพอใจสำหรับยุคนี้ และด้วยการกำจัด ลบรอยสักที่ผิว และจุดด่างดำ ฝ้ากระ ไม่สามารถทำได้โดยใช้ครีมทาได้เพียงอย่างเดียว จึงต้องอาศัยเทคโนโลยีทางการแพทย์เข้ามาช่วย และนวัตกรรมใหม่ล่าสุดในการจัดการลบรอยสัก ด้วย เทคโนโลยีตัวนี้ เป็นนวัตกรรมใหม่ด้านการรักษาผิวที่ให้ผลลัพธ์ที่รวดเร็วมีประสิทธิภาพของ Laser Nu-Pico ตัวนี้ ไม่เพียงแค่ลบรอยสักได้เท่านั้น แต่ยังสามารถจัดการปัญหาผิวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นบนร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นฝ้า กระ จุดด่างดำ สีผิวไม่สม่ำเสมอปัญหานี้จะหมดไป  อีกทั้งยังปลอดภัยไม่ทำร้ายผิวอีกด้วย

การลบรอยสักด้วย Laser Nu-Pico

Laser Nu-Pico เป็นเทคโนโลยี Pico Laser ที่ช่วยรักษาเกี่ยวกับความผิดปกติของเม็ดสีผิว เช่น ฝ้า กระ จุดด่างดำ หรือรอยสัก เหมาะกับผู้มีปัญหาสีผิวไม่สม่ำเสมอ ผิวหมองคล้ำ Laser นอกจากจะช่วยลดเลือนรอยดำจากฝ้า กระ จุดด่างดำ รวมถึงการลบรอยสัก หรือการสักต่าง ๆที่ไม่พึงประสงค์  เช่นการสักคิ้ว สักขอบตา สักปาก สักไรผม – หนวด จอห์น ฯลฯ แล้ว เทคโนโลยี Nu-Pico ยังช่วยคืนผิวให้กระจ่างใส ช่วยปรับสภาพผิวให้เรียบเนียน รูขุมขนเล็กละเอียดลง ทั้งยังช่วยลดเลือนรอยแผลเป็นหลุมสิวได้อีกด้วย

เทคโนโลยี Nu-Pico เป็นเลเซอร์ระบบใหม่ ซึ่งการทำงานของเลเซอร์จะแตกต่างจากเลเซอร์แบบเดิม โดยที่เลเซอร์แบบเดิมทั่วไปจะส่งพลังในหน่วยเวลาที่เรียกว่า nanosecond 1 ในพันล้านวินาที แต่ นวัตกรรมใหม่ของ Laser Nu-Pico สามารถปล่อยพลังงานความถี่ที่สูงทำให้แสงตกกระทบผิวในระยะเวลาที่สั้นมากอยู่ในระดับ 1 ในล้านล้านวินาที ด้วยระยะเวลาที่สั้นละเร็วมากทำให้ Laser Nu-Pico สามารถบีบพลังงานให้สูงขึ้นจนทำให้เกิดเป็นคลื่นเข้าไปกระแทกเม็ดสีเมลานินที่มีมากผิดปกติ หรือแม้แต่ผงหมึกของรอยสักสีต่าง ๆ ให้แตกละเอียดเป็นอนุภาคเล็กๆ ในทันที โดยไม่ทำให้เกิดความร้อนสะสม ซึ่งเลเซอร์แบบเดิมทั่วไปไม่สามมารถทำได้

shutterstock 470125028

ขั้นตอนการรักษาด้วย Laser Nu-Pico

การทำการรักษา ลบรอยสัก โดยจะเริ่มจากทำความสะอาดผิวบริเวณที่จะทำเลเซอร์  และทายาชาทิ้งไว้ 45 นาที จากนั้นจึงจะทำการยิงเลเซอร์ไปยังผิว ระหว่างทำจะรู้สึกเหมือนถูกดีดเบา ๆ ที่ผิว โดยเฉพาะบริเวณที่มีเม็ดสีที่ผิดปกติ โดยใช้เวลาประมาณ 30 นาที ในการรักษา โดยการรักษา ลบรอยสัก จะเห็นผลตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ  สำหรับจำนวนครั้งที่แนะนำเพื่อการเห็นผลอย่างชัดเจน  จะใช้จำนวนครั้งการรักษาประมาณ 3-4 ครั้ง โดยเว้นระยะห่างประมาณ 2-4 สัปดาห์ และจะแตกต่างกันไปในแต่ละคน ขึ้นอยู่กับปัญหาสภาพความผิดปกติของเม็ดสีและ ขนาดของรอยสัก ว่ามีขนาดเล็กหรือใหญ่ เม็ดสีฝังอยู่ตื้นหรือลึก สีเข้มหรืออ่อน แต่จำนวนครั้งการรักษาของ เทคโนโลยี Nu-Pico จะใช้เวลาน้อยกว่าเลเซอร์ทั่วไปเกือบครึ่งหนึ่ง  หลังการรักษาลบรอยสัก จะไม่แสบร้อน บวมแดง และการดูแลก็ไม่มีอะไรยุ่งยาก แค่หลีกเลี่ยงการโดนแดดจัด ๆ สัก2-4 สัปดาห์หลังการทำและควรทาครีมให้เพื่อเพิ่มความชุ่มชื่นให้ผิว ทาครีมกันแดดป้องกันรังสี UVA/UVB และมีค่า SPF  30++ขึ้นไป และไม่ควรแกะ เกา บริเวณที่ยิงเลเซอร์ลบรอยสัก หากมีสะเก็ดจะหลุดออกมาเอง

ข้อแนะนำเพิ่มเติม หลังการรักษาลบรอยสัก ควรหลีกเลี่ยงการเข้าอบซาวน่า แช่น้ำร้อน หลังยิงเลเซอร์สัก 2-3  วัน และการใช้ครีม ผลิตภัณฑ์ ที่มีส่วนผสมของ retinol หรือสารที่อาจกระตุ้นทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิว เพราะผิงบริเวณนั้นยังบอบบางอยู่

คุณสมบัติของ Laser Nu-Pico

  • ไม่ทำให้เกิดความร้อนสะสม ไม่เสี่ยงผิวไหม้ เทคโนโลยี Nu-Pico จะปล่อยพลังงานความถี่สูงออกมาในระยะเวลาที่สั้นมากๆ พลังงานแสงจะไปกระแทกให้เม็ดสีแตกออกเป็นอนุภาคละเอียดโดยทันที โดยไม่เกิดความร้อนสะสม ไม่เสี่ยงต่อผิวไหม้ ลดความเสี่ยงการเกิดรอยดำ
  • เห็นผลลัพธ์ได้อย่างรวดเร็วตั้งแต่ครั้งแรกที่รักษาอีกทั้งยังสามารถช่วยรักษาให้จุดด่างดำ ฝ้า กระ หรือแม้แต่การลบรอยสัก จางลงไปได้เร็ว และช่วยลดจำนวนครั้งของการรักษา เมื่อเทียบกับเลเซอร์รุ่นเดิม
  • สามารถรักษาครอบคลุมเม็ดสีฝังอยู่ตื้นหรือลึก และสามารถลบรอยสักได้ทุกสี LaserNu-Pico มีความยาวของคลื่นให้เลือกใช้หลายช่วงคลื่น อีกทั้งไม่ทำให้เกิดสะเก็ดแผลหลังการรักษา หรือ เกิดน้อยมาก อีกทั้งไม่ต้องพักฟื้น
  • การรักษาไม่ต้องกลัวเจ็บ จุดเด่นที่สำคัญของ Laser Nu-Pico คือเจ็บน้อย

เห็นแล้วใช่ไหมค่ะ ผิวที่ได้รับการรักษาด้วย  Laser Nu-Pico นั้นมีประสิทธิภาพแค่ไหน จึงเหมาะกับการรักษาปัญหาผิวในยุคสมัยนี้เป็นอย่างมาก อีกทั้งยังให้ความเนียนสว่างกระจ่างใสไร้จุดด่างดำ และได้ผลลัพธ์ที่รวดเร็วเห็นผลทันที ในครั้งแรกที่เข้ารับการรักษา คราวนี้ก็สามารถอวดผิวสวย โชว์ผิวใส ไม่ต้องปกปิด หรือกังวลกับผิวที่ไม่พึงประสงค์อีกต่อไปนวัตกรรมทางการแพทย์สมัยใหม่รักษาปัญหาผิวได้ด้วย Laser Nu-Pico ช่วยจบทุกปัญหาผิว..

ปัญหาผิวจากการสัก “ลบรอยสัก” ด้วย Laser Nu-Pico ปราบได้ทุกรอย

10

ถึงแม้ว่าการสักลาย หรือการมีรอยสัก จะเป็นสิ่งที่ชื่นชอบของทั้งชาย และ หญิง ที่มีความชื่นชอบการมีรอยสักบนเรือนร่าง เป็นการสร้างสีสันความสวยงาม หรือ สัญลักษณ์บางอย่างบนร่างกาย แต่ด้วยเวลาผ่านไปเกิดความรู้สึกว่าอยากลบรอยสัก ไม่อยากให้มีรอยสักอยู่บนร่างกายแล้ว คงต้องหาวิธีเอาออกไป แต่การเอาออกเป็นเรื่องค่อนข้างหนักใจ คิดหนักอยู่ไม่น้อย เพราะการเอาออกต้องมีค่าใช้จ่ายอยู่ไม่น้อยในการลบรอยสักออก ตอนคิดจะสักก็ต้องจ่าย พอจะลบก็ยังต้องจ่าย เสียเงินแล้วไม่พอยังต้องเจ็บตัวอีกต่างหากโดนทั้งขึ้นทั้งล่องสินะ

ปัจจุบันมีวิธีลบรอยสักออกจากผิวอยู่หลายวิธี หลายรูปแบบ เช่น การลบด้วยน้ำยาลบรอยสัก ซึ่งมีฤทธิ์เป็นกรดเข้าไปกัดผิว  หากดูแลแผลไม่ดีมีโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ หรือจะใช้วิธีสักสีทับลงไป วิธีนี้เหมาะสำหรับการลบรอยสักที่ไม่มากเพราะหากสักสีเนื้อทับเป็นบริเวณกว้างมากจะทำให้ดูไม่เป็นธรรมชาติ และวิธีที่ได้รับความนิยม และได้ผลดีที่สุดคือ การลบรอยสักด้วยแสงเลเซอร์ Nu-Pico  เป็นวิธีการใช้แสงเลเซอร์ยิงเข้าไปแตกตัวเม็ดสีที่มีอยู่ใต้ผิวหนังให้มีขนาดเล็กลง และจะถูกขจัดออกไปทางระบบต่อมน้ำเหลือง โดยไม่ทำให้เกิดรอยแผลเป็นในบริเวณที่ลบรอยสัก แต่อาจจะเกิดรอยบวมแดง จึงจำเป็นต้องมีการพักฟื้นและดูแลผิวบริเวณนั้น อย่าให้แผลโดนน้ำ และครีม โลชั่น ต่างๆ และหลีกเลื่ยงผิวจากแสงแดด เมื่อแผลตกสะเก็ดแล้ว ไม่ควรแกะสะเก็ดออก ควรปล่อยให้หลุดไปเอง

shutterstock 1054479626

Nu-Pico คืออะไร 

Nu-Pico เป็นเทคโนโลยี Pico Laser ที่จะช่วยในการรักษาปัญหาเกี่ยวกับความผิดปกติของเม็ดสีผิว หรือเมลานิน เช่น ฝ้า กระ จุดด่างดำ หรือลบรอยสัก เหมาะกับผู้มีปัญหาสีผิวไม่สม่ำเสมอ มีฝ้า กระ จุดด่างดำ ความหมองคล้ำ นอกจาก Nu-Pico จะช่วยลดเลือนรอยดำฝ้า กระ จุดด่างดำ รวมถึงลบรอยสัก การสักต่าง ๆ ตามร่างกายได้แล้ว Nu-Pico ยังสามารถช่วยทำให้ผิวกระจ่างใส ยังช่วยปรับสภาพผิวให้เรียบเนียน รูขุมขนเล็กละเอียดขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดเลือนรอยแผลเป็นหลุมสิวได้ด้วย

ข้อดีของ LaserNu-Pico

  • ไม่ทำให้เกิดความร้อนสะสม ทำให้ผิวไม่ไหม้ Nu-Pico เปลี่ยนหลักการในการรักษา ลบรอยสักโดยไม่มีความร้อนเข้ามาเกี่ยวข้อง พลังงานของ Nu-Pico จะถูกปล่อยออกมาเป็นระยะเวลาที่สั้นมาก สำแสง Laser จะเข้าไปทำให้เม็ดสีแตกออกเป็นอนุภาคเล็กๆ ทันที โดยไม่ทำให้เกิดความร้อนสะสม ไม่เสี่ยงต่อผิวไหม้ ลดความเสี่ยงการเกิดรอยดำ เหมาะกับผิวของคนเอเชีย คนผิวคล้ำก็สามารถทำได้
  • การรักษาจะเห็นผลรวดเร็วขึ้น ลำแสงของ Laser ทำให้เม็ดสีแตกออกแบบละเอียดยิบ ทำให้ร่างกายสามารถขจัดซากเม็ดสีนี้ออกไปได้โดยง่าย จึงช่วยทำให้จุดด่างดำ ฝ้า กระ หรือแม้แต่รอยสัก จางลงไปด้วย
  • LaserNu-Pico มีความยาวของคลื่นให้เลือกใช้หลายช่วงคลื่นจึงสามารถรักษาได้ครอบคลุมทั้งปัญหาเม็ดสีที่อยู่ตื้นและลึก และรักษา ลบรอยสักได้ทุกสี โดยไม่ทำให้เกิดสะเก็ดแผลหลังการรักษา หรือ เกิดน้อยมาก ไม่ต้องพักฟื้น ช่วยให้สามารถทำการรักษาต่อเนื่องได้รวดเร็วขึ้น
  • การรักษา ลบรอยสักด้วย Laser Nu-Pico ไม่ต้องกลัวเจ็บ จุดเด่นที่สำคัญของ Nu-Pico คือเจ็บน้อย ไม่ต้องแปะยาชา ก็สามารถทำได้เลย และยังช่วยฟื้นฟูผิวให้เรียบเนียน กระจ่างใสจึงเหมาะกับคนที่กลัวความเจ็บเป็นอย่างมาก

เป็นอย่างไรบ้าง การสักอาจสร้างความยุ่งยาก ลำบาก ในการใช้ชีวิตไปบ้าง ตอนสักอาจไม่คิดเยอะเท่าไหร่ พอสักไปแล้ว ต้องลบออกนี่สิคิดหนัก แถมกระเป๋าเบา กันไปเลยใช่มัยละ แต่ด้วยนวัตกรรมสมัยใหม่ช่วยจบปัญหาให้กับชีวิตเราได้  การลบรอยสักด้วย Laser Nu-Pico นี้ปลอดภัยที่สุดแล้ว แต่การจะลบรอยสัก ก็ต้องเลือกหน่อยแล้วกันว่า สถานที่ให้บริการนั้นได้มาตรฐาน ปลอดภัย มีแพทย์ และผู้เชี่ยวชาญประจำอยู่ และคอยดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อผิวที่กลับมาเรียบเนียนสวยได้ดั่งเดิม..ช่วยเติมความมั่นใจ ไม่ต้องมากังวลกับผิวที่ไม่พึงประสงค์กันแล้วใช่ไหมคะ..

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับการทำรีแพร์

35

เมื่อเวลาล่วงเลยอะไรๆ ก็เปลี่ยนไป ทั้งหน้าตา ผิวพรรณ และสัดส่วนของสาวๆ ที่เปลี่ยนแปลงล้วนแล้วแต่สร้างความไม่มั่นใจให้เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น รวมไปถึงจุดซ่อนเร้นของผู้หญิง เมื่อเกิดอาการหย่อนคล้อย ไม่กระชับเหมือนเดิมย่อมทำให้เกิดความไม่สบายใจ และความกังวลในการใช้ชีวิตคู่อีกทั้งอาจตามมาด้วยปัญหาสุขภาพ นั่นจึงเป็นเหตุให้ ต้องมีนนวัตกรรมการศัลยกรรมที่เรียกว่า “รีแพร์” เกิดขึ้นเพื่อคืนความมั่นใจให้กับสาวๆ

อย่างที่รู้ๆกันอยู่ว่า “รีแพร์”(Repair) หมายถึงการซ่อมแซม ในที่นี้เรา หมายถึง การผ่าตัดรีแพร์ซ่อมแซมแก้ไขช่องคลอด ที่มักเกิดการหย่อนยาน หย่อนคล้อยให้กระชับขึ้นเพื่อให้ขนาดของช่องคลอดเล็กลง เกิดการหดรัดที่ดีกว่าเดิมโดยเป็นการผ่าตัดช่องคลอด ตลอดแนวความลึกของช่องคลอด รวมถึงการผ่าตัดตกแต่งเนื้อเยื่อและผิวหนังบริเวณปากช่องคลอดด้วย

shutterstock 1070850704

น้องสาวไม่ฟิต เพราะอะไร?

ช่องคลอดหลวม ไม่ฟิต เกิดจากภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อน ภาวะกระบังลมหย่อนมีด้วยกัน 3 แบบ คือ

  1. การหย่อนคล้อยของผนังช่องคลอดส่วนหน้า ซึ่งจะมีกระเพาะปัสสาวะหย่อนตาม หรือ กระเพาะปัสสาวะหย่อน ทำให้เกิดอาการปวดหน่วงในอุ้งเชิงกราน หรือมีก้อนจุกที่ปากช่องคลอด ในกรณีนี้ แพทย์จะทำการแก้ไขด้วยการผ่าตัดรีแพร์ผนังช่องคลอดส่วนหน้า (Anterior Vaginal Repair)
  2. การหย่อนคล้อยของผนังช่องคลอดส่วนหลัง ซึ่งจะมีลำไส้ส่วนทวารหนักหย่อนตาม หรือ ลำไส้หย่อน  ทำให้เกิดอาการปวดหน่วงในอุ้งเชิงกราน หรือมีก้อนจุกที่ปากช่องคลอด รวมถึงท้องผูก เพราะผนังที่ยื่นเป็นถุงเข้าไปทางช่องคลอดจะทำให้การขับถ่ายผิดปกติ ในกรณีนี้ แพทย์จะทำการแก้ไขด้วยการผ่าตัดรีแพร์ผนังช่องคลอดส่วนหลัง (Posterior Vaginal Repair)
  3. มีการหย่อนคล้อยของผนังช่องคลอดทั้งส่วนหน้าและส่วนหลัง ในกรณีนี้ แพทย์จะทำการแก้ไขด้วยการผ่าตัดรีแพร์ผนังช่องคลอดทั้งส่วนหน้าและส่วนหลัง (A-P Repair หรือ Anterior-Posterior Vaginal Repair)

ภาวะช่องคลอดหลวมดังกล่าว มีสาเหตุส่วนใหญ่มาจาก

  • การมีเพศสัมพันธ์มาเป็นเวลานาน
  • การคลอดบุตรทางช่องคลอด คลอดบุตรหลายคน หรือบุตรมีตัวโต
  • อายุมากขึ้น ภาวะอ้วนหรือผอมเกินไป รววมถึงผู้ที่เข้าสู่วัยทอง
  • ผู้ที่ต้องออกแรงเกร็งช่องท้องเป็นประจำ เช่น ยกของหนัก
  • ผู้ที่มีโรคประจำตัวบางอย่าง เช่น ไอเรื้อรัง ท้องผูกเรื้อรัง มีก้อนในช่องท้อง ซึ่งเป็นการเพิ่มแรงดันในช่องท้อง
shutterstock 395783929

 “รีแพร์” ทำอย่างไร?

วิธีการทำรีแพร์ ทำได้ 2 วิธีคือ

  1. วิธีการผ่าตัดรีแพร์
    วิธีการผ่าตัดรีแพร์แบบดั้งเดิม คือ การเย็บติดเพื่อรวบเนื้อเยื่อที่นูนเข้าด้วยกัน ซึ่งการรีแพร์แบบนี้ไม่นิยมในปัจจุบัน เพราะมีอัตราการล้มเหลวสูง  จึงได้มีการพัฒนาเทคนิคใหม่ คือ การนำแผ่นพยุงตาข่ายพิเศษ (Mesh) แปะหรือฝังในผนังช่องคลอด ทำให้การผ่าตัดประสบความสำเร็จมากขึ้น สามารถแก้ไขปัญหาช่องคลอดหย่อนยานได้ถึง 95% ซึ่งทั้งสองวิธีนี้เป็นการผ่าตัดรีแพร์เพื่อแก้ไขกระเพาะปัสสาวะหย่อนและลำไส้หย่อน กรณีที่ผู้ป่วยมีการหย่อนยานของผนังช่องคลอดทั้งส่วนหน้าและส่วนหลังแพทย์จะทำการผ่าตัดรักษา กระบังลมหย่อนโดยเป็นการผ่าตัดนำผนังช่องคลอดทั้งส่วนหน้าและส่วนหลังและเนื้อเยื่อส่วนเกินที่ยื่นเข้าไปในช่องคลอดออกไปรวมทั้งตกแต่งกระเพาะปัสสาวะและลำไส้ส่วนปลายที่หย่อนคล้อยกรณีที่ภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อนอย่างรุนแรง แพทย์อาจพิจารณาใช้ Mesh ร่วมด้วย
  2. การใช้เลเซอร์รีแพร์
    ปัจจุบันมีการนำเลเซอร์ซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่มาใช้ในการรีแพร์กระชับช่องคลอดทั้งนำมาใช้แทนการผ่าตัดทั่วไป และการใช้เลเซอร์กระชับช่องคลอดโดยไม่ผ่าตัดรีแพร์ สำหรับการผ่าตัดด้วยเลเซอร์ แพทย์จะทำการผ่าตัดบริเวณผนังช่องคลอดด้านหลัง โดยตัดเนื้อเยื่อส่วนเกินของผนังช่องคลอดออกเพื่อให้ช่องคลอดมีขนาดเล็กลง ใช้เวลาในการผ่าตัดประมาณ 1 ชั่วโมงการผ่าตัดด้วยเลเซอร์ช่วยลดการสูญเสียเลือดและลดความบอบช้ำของเนื้อเยื่อลงได้มากเจ็บน้อยกว่าและฟื้นตัวเร็วกว่า

สำหรับคุณผู้หญิงที่ประสบปัญหาช่องคลอดหลวมและหย่อนคล้อย จนอาจ ต้องการทำรีแพร์ ซึ่งเป็นการผ่าตัดที่ละเอียดอ่อน ดังนั้นจึงควรพูดคุยทำความเข้าใจกับคนรัก ก่อนตัดสินใจทำรีแพร์ และเลือกแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ ในการทำรีแพร์ เพื่อผลลัพท์ที่ดีหลังการผ่าตัด

ดูแลตัวเองอย่างไร…หลังทำรีแพร์

34

การทำรีแพร์เพื่อกระชับช่องคลอด จะแตกต่างจากการผ่าตัดวิธีอื่นคือ แผลที่ทำรีแพร์จะเป็นแผลที่แช่อยู่ในน้ำตลอดเวลา เนื่องจากโดยปกติแล้วจะมีน้ำคัดหลั่งจากช่องคลอด จึงทำให้มีเชื้อแบคทีเรียเฉพาะของส่วนนั้นอยู่แล้ว รวมไปถึง อุจจาระ ปัสสาวะอีก หรือในบางคนที่มีตกขาวมาก อาจมีเชื้อราหรือแบคทีเรียบางตัวซ่อนเร้นอยู่ เป็นเหตุให้การผ่าตัดรีแพร์ต้องมีการดูแลค่อนข้างจะพิเศษ ซึ่งแผลรีแพร์จำเป็นต้องโดนน้ำ ยิ่งต้องทำความสะอาด พราะว่าถ้าไม่ทำความสะอาดไม่เช่นนั้นก็จะยิ่งทำให้แผลมีโอกาสที่จะเกิดการอักเสบหรือติดเชื้อได้ง่ายยิ่งขึ้นอีก ต่างจากการผ่าตัดวิธีอื่น คือการผ่าตัดอื่น ๆ จะไม่ให้แผลโดนน้ำ และหมอจะแนะนำคนไข้ให้รีบขยับลุกเดินเพื่อไม่ให้เกิดพังผืดขึ้น แต่การรีแพร์ต้องพยายามนอนให้นิ่งที่สุดเพราะการขยับอาจจะก่อให้เกิดการห้อเลือดได้ แต่ถ้า 2-3 วันแรก ขยับตัวให้น้อยที่สุดนอนให้นิ่งที่สุดโอกาสที่แผลจะหายเร็วจะมีมากกว่า

shutterstock 1017151465

การดูแลหลังผ่าตัดรีแพร์

  1. หลังการผ่าตัดรีแพร์ ต้องนอนพักรักษาตัวภายใต้การดูแลของแพทย์ หลังจากนั้น พยายามนอนนิ่งๆ 3-5 วัน เพื่อลดการปวด ลดการเสียดสีเพราะเสี่ยงต่อเลือดออก2
  2. ระหว่างนี้ ควรรับประทานอาหารเหลวหรืออาหารอ่อน ๆ จนกว่าร่างกายจะฟื้นตัวจึงจะสามารถรับประทานอาหารตามปกติได้
  3. ควรใช้วิธีประคบเย็นเพื่อหยุดเลือด ไม่ต้องแช่น้ำอุ่นเพราะอาจจะทำให้เลือดไหลได้
  4. หากการผ่าตัดรีแพร์มีผลกระทบต่อกระเพาะปัสสาวะ ผู้ป่วยอาจต้องใส่สายสวนปัสสาวะมาจากกระเพาะปัสสาวะ เพื่อระบายปัสสาวะเป็นเวลา 1-2 วัน
  5. ต้องรับประทานยาที่แพทย์กำหนดตามปริมาณและวิธีการที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด โดยแพทย์อาจจ่ายยาเพื่อรักษาควบคุมอาการ ดังนี้
    • ยาปฏิชีวนะ ใช้เพื่อรักษาหรือป้องกันภาวะติดเชื้อแบคทีเรีย ผู้ป่วยต้องรับประทานยาอย่างถูกต้องต่อเนื่อง และไม่หยุดใช้ยาอย่างกะทันหันโดยปราศจากคำสั่งแพทย์
    • ยาแก้ปวด ลดอาการเจ็บปวดจากแผลผ่าตัด แพทย์จะจ่ายยาที่เหมาะสมต่อสภาพร่างกาย ประวัติทางการแพทย์ และประวัติการแพ้ยาของผู้ป่วยด้วย โดยผู้ป่วยต้องศึกษาวิธีการใช้ยาอย่างถูกต้อง เช่น ปริมาณยาที่ควรรับประทานต่อครั้ง ระยะเวลาที่ควรเว้นช่วงการใช้ยา ทั้งนี้ ผู้ป่วยไม่ควรรอให้มีอาการปวดอย่างรุนแรงก่อนจึงใช้ยา และหากใช้ยาไปแล้วอาการไม่ดีขึ้น ควรรีบปรึกษาแพทย์
  6. สามารถปัสสาวะได้ปกติ ในช่วงแรกที่ทำรีแพร์มา อาจจะมีอาการแสบบ้าง ใช้น้ำเปล่าล้างก็หาย
  7. สามารถอาบน้ำได้แต่ห้ามใช้สบู่ฟอกบริเวณแผลที่ทำรีแพร์ ควรล้างด้วยน้ำสะอาดเป็นเวลา 1 เดือน
  8. งดอาหารแสลง อาทิ ของหมักดอง อาหารทะเล บุหรี่ แอลกอฮอล์
  9. ควรงดมีเพศสัมพันธ์ หลังจากทำรีแพร์ประมาณ 45 วัน
  10. หากต้องการมีบุตร แนะนำเป็นหลัง 6 เดือน หลังจากทำรีแพร์
shutterstock 570204226

หลังทำรีแพร์จะคงความกระชับได้นานแค่ไหน

ลงทุนเจ็บตัวไปทำรีแพร์มาทั้งที คุณผู้หญิงก็คงอยากให้ความกระชับคงอยู่ไปนานๆ แต่ก็มีหลายปัจจัยที่อาจทำให้ผนังช่องคลอดกลับมาหย่อนคล้อยได้อีก บางคนแค่ 1 -2 ปีก็หย่อนคล้อยอีก บางคนอาจนาน 4-5 ปี แต่ก็มีบางคนคงอยู่ถึง 7-8 ปีเลยก็มี ซึ่งการที่ผนังช่องคลอดจะกลับมาหย่อนคล้อยซ้ำเร็วหรือช้าขึ้นกับปัจจัยต่อไปนี้

  • ถ้าหลังผ่าตัดรีแพร์มีพฤติกรรมเหล่านี้เป็นประจำ เช่น ท้องผูก, ไอจาม (จากภูมิแพ้), ยกของหนัก (จากอาชีพ) เป็นต้น ก็จะทำให้ผนังช่องคลอดกลับมาหย่อนคล้อยซ้ำเร็วขึ้น เนื่องจากพฤติกรรมดังกล่าวจะไปเพิ่มความดันภายในช่องท้อง และแรงที่มากระทบกับผนังช่องคลอด
  • ถ้ารังไข่ยังคงผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนเป็นปกติ ระดับของฮอร์โมนตัวนี้ในร่างกายยังสูง ก็อุ่นใจได้ว่า ผนังช่องคลอดจะมีความหนานุ่ม ชุ่มชื้น และมีความยืดหยุ่นดี แต่ถ้าระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนต่ำลง ผนังช่องคลอดจะบาง แห้ง ไม่ยืดหยุ่นและเกิดการหย่อนคล้อยขึ้น ซึ่งตรงเป็นเรื่องที่ระบุไม่ได้ว่า หลังการทำรีแพร์ไปแล้ว รังไข่ของแต่ละคนจะเป็นอย่างไร หรือกี่ปีระดับฮอร์โมนจึงจะเริ่มลดลง แต่โดยปกติระดับฮอร์โมนเพศจะลดลงเมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น
  • ถ้าในกระบวนการหายของแผลที่ช่องคลอดจากการทำรีแพร์มีการสร้างคอลลาเจนมาก ผนังช่องคลอดก็จะมีความยืดหยุ่น ความกระชับอยู่ได้นาน แต่ถ้าสร้างคอลลาเจนได้น้อย ความตึง ความกระชับของช่องคลอดก็จะน้อยตามไปด้วย  ซึ่งความแตกต่างตรงนี้ก็จะทำให้ความหย่อนคล้อยของผนังช่องคลอดเกิดช้าเร็วไม่เท่ากันนั่นเอง

ไขข้อข้องใจ… ทำไมต้องรีแพร์

33

การรีแพร์ หรือการซ่อมแซมจุดเร้นลับให้กระชับ  อาจเป็นเรื่องที่สาวๆ หลายคนยังสงสัยว่า ทำไมต้องทำ และทำไปทำไม  ซึ่งในขณะที่บางคนกำลังประสบปัญหา แต่เกิดความเขินอาย และกลัว จนไม่กล้าไปทำ วันนี้เราจึงอยากจะพามาไขข้อข้องใจกันก่อนว่า การทำรีแพร์ที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร และมีความจำเป็นแค่ไหนที่ต้องทำ

รีแพร์แก้ปัญหาอะไร

ก่อนอื่นต้องยอมรับกันก่อนว่า การมีเพศสัมพันธ์นั้นเป็นเรื่องธรรมชาติ และมีความสำคัญสำหรับการใช้ชีวิตคู่ อย่างปฏิเสธไม่ได้ ดังนั้น หากมีสิ่งใดที่ก่อให้เกิดปัญหาแล้วไม่ได้รับการแก้ไข อาจจะส่งผลให้ชีวิตคู่ไม่มีความสุข  และผู้ที่มีปัญหาช่องคลอดหย่อนยานอย่างรุนแรง ไม่เพียงมีผลต่อเรื่องเพศสัมพันธ์เท่านั้น แต่มักเกิดร่วมกับอาการปัสสาวะเล็ด ปัสสาวะซึม หรือมดลูกเคลื่อนย้อยลงมาในช่องคลอดด้วย  ซึ่งอาการปัสสาวะเล็ด และซึมนี้มักจะเกิดขึ้นในขณะไอ หรือจาม เวลายกของหนัก หรือแม้กระทั่งเวลาเดิน เป็นเหตุให้การใช้ชีวิตประจำวันประสบปัญหา

รีแพร์ ( Repair) คือ การศัลยกรรมกระชับช่องคลอด ด้วยการการผ่าตัดช่องคลอด เพื่อแก้ไขรักษาปัญหาช่องคลอดหลวมหรือหย่อนคล้อยก่อนถึงวัยอันควร ซึ่งอาจเกิดจากกระเพาะปัสสาวะหรือท่อปัสสาวะเคลื่อนตัวลงมาที่ช่องคลอด และอาจเกิดความผิดปกติ หรือความเสียหายภายในผนังช่องคลอด จนทำให้เนื้อบริเวณช่องคลอดหย่อนคล้อยไม่กระชับตัว รีแพร์ช่วยให้คุณบอกลาปัญหา หย่อนยาน หย่อนคล้อย ซึ่งส่งผลดีต่อการมีเพศสัมพันธ์ และการขับถ่ายอีกด้วย

shutterstock 148654151

ทำไม? ช่องคลอดหย่อนคล้อยก่อนวัย               

สาเหตุส่วนใหญ่ที่อาจทำให้ผู้หญิงมีช่องคลอดหลวมหรือหย่อนคล้อยก่อนถึงวัยอันควรจนต้องไปทำรีแพร์นั้น  ได้แก่ การตั้งครรภ์ การคลอดบุตรตามธรรมชาติ มีน้ำหนักตัวมากเกินไป กล้ามเนื้อฉีกขาดจากการเคลื่อนตัวของลำไส้การยกของหนักบ่อยๆ มีอาการเจ็บป่วยที่ทำให้ไอเรื้อรังและความผิดปกติหรือความเสียหายอื่นๆ ที่เกิดขึ้นภายในช่องคลอด ทั้งหมดนี้ทำให้มีผลต่อการกลั้นปัสสาวะเพียงไอ จาม หรือหัวเราะ ก็อาจทำให้ปัสสาวะเล็ดได้ ในรายที่เป็นมากจึงต้องเข้ารับการรักษาจากแพทย์เพื่อศัลยกรรมตกแต่งขนาดของช่องคลอดให้เล็กลงหรือการรีแพร์ (Repair)นั่นเอง

ทำรีแพร์ จำเป็นแค่ไหน

  • เมื่อช่องคลอดหลวม หย่อนคล้อย ไม่กระชับ ผู้หญิงบางคนอาจต้องการทำรีแพร์ เพราะอาจต้องเผชิญกับปัญหาต่าง ๆ เหล่านี้
  • เจ็บปวดในขณะมีเพศสัมพันธ์อึดอัด ไม่สบายตัว เหมือนมีอะไรอยู่ในช่องคลอดปัสสาวะบ่อย
  • รู้สึกปวดปัสสาวะตลอดเวลา หรือไม่สามารถปัสสาวะให้หมดได้ในคราวเดียวกลั้นปัสสาวะไม่ได้ หรือมีปัสสาวะเล็ดในขณะไอ จาม การทำรีแพร์ช่วยคุณได้
  • เวลายกของหนัก จะรู้สึกหน่วงๆ หรือหนักบริเวณอุ้งเชิงกราน ปวดหลังส่วนล่าง แต่จะรู้สึกดีขึ้นเมื่อนอนลงสามารถมองเห็นหรือรู้สึกได้ถึงเนื้อส่วนที่นูนออกมาหรือหย่อนคล้อยลงมาที่ปากช่องคลอด
  • อาจมีอาการกระเพาะปัสสาวะติดเชื้อ
shutterstock 1048505716

อาการเหล่านี้นี่เอง ที่จะเป็นผลข้างเคียงที่ก่อให้เกิดปัญหาทั้งในเรื่องของการมีเพศสัมพันธ์ และเรื่องการใช้ชีวิตประจำวัน ดังนั้น ใครที่กำลังประสบปัญหาดังกล่าว และทำให้ชีวิตไม่มีความสุข อย่ามัวคิดว่าเป็นเรื่องน่าอาย และเก็บความเครียดนั้นไว้เพียงคนเดียว แต่ควรเข้าไปปรึกษาแพทย์ผู้เชียวชาญเกี่ยวกับการทำรีแพร์ เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว ซึ่งในปัจจุบัน มีให้เลือกหลากหลายวิธี และมีนวัตกรรมใหม่ๆ เกี่ยวกับการรีแพร์หลายรูปแบบ ทั้งวิธีการผ่าตัดรีแพร์ และการรีแพร์ด้วยวิธีเลเซอร์กระชับช่องคลอด อีกด้วย

การรีแพร์ เขาทำกันอย่างไร…เลือกวิธีไหนดี

32

ผู้หญิงที่เคยผ่านการมีบุตรหรือคิดว่าส่วนนั้นของตัวเองไม่ค่อยฟิตเหมือนเดิมจากเหตุผลหลายๆประการ จนขาดความมั่นใจในการใช้ชีวิตคู่ หรือบางรายเริ่มจะมีปัญหากับสามีในการมีเพศสัมพันธ์นั่นเป็นสาเหตุให้มีความต้องการที่จะแก้ปัญหาในส่วนนี้ แต่ส่วนใหญ่ยังมีความเขินอายที่จะปรึกษาแพทย์โดยตรงซึ่งเราจึงได้นำข้อมูลขั้นตอนการทำรีแพร์มานำเสนอเพื่อให้ได้ศึกษากันก่อนในเบื้องต้น

ในปัจจุบันมีนวัตกรรมทางการแพทย์มากมายที่จะช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆ เหล่านี้ได้ ทั้งการทำรีแพร์ด้วยการผ่าตัด และทำรีแพร์ด้วยวิธีเลเซอร์ ซึ่งเป็นวิธีการที่ทำให้กล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อผนังช่องคลอดตึงกระชับขึ้นคืนความมั่นใจให้สาวๆ ได้อีกครั้ง

ขั้นตอนการผ่าตัดรีแพร์

  • เบื้องต้นแพทย์จะสอบถามประวัติทางการแพทย์ ตรวจดูบริเวณช่องคลอด หรือตรวจวินิจฉัยด้วยวิธีการอื่น ๆ เพิ่มเติม เพื่อหาสาเหตุที่แน่ชัดของอาการช่องคลอดหย่อนคล้อย เพื่อให้วางแผนรักษาทำรีแพร์ได้อย่างถูกต้องต่อไป
  • หลังจากแพทย์วินิจฉัยแล้วว่าผู้ป่วยสามารถรับการทำรีแพร์ได้ แพทย์กับผู้ป่วยจะพูดคุยปรึกษากันถึงประโยชน์ทางการรักษา ความเสี่ยง ผลข้างเคียง การเตรียมตัว และวิธีการทำรีแพร์เมื่อตัดสินใจทำรีแพร์ แพทย์จะนัดหมายวันและเวลาในการผ่าตัด โดยแพทย์อาจให้ผู้ป่วยฝึกขมิบบริหารกล้ามเนื้อช่องคลอด ทาครีมเอสโตรเจนเพื่อป้องกันภาวะช่องคลอดแห้ง หรืออาจให้ผู้ป่วยสอดอุปกรณ์เพื่อช่วยพยุงภาวะช่องคลอดหย่อนและรักษาปัญหาปัสสาวะเล็ด
  • สำหรับผู้ป่วยที่กำลังใช้ยารักษาอาการป่วยอื่น ๆ อยู่ ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการใช้ยาชนิดต่างๆ อาจจะต้องหยุดยาบางชนิดก่อนการผ่าตัด และแพทย์อาจให้ผู้ป่วยงดอาหารเป็นเวลาอย่างน้อย 8 ชั่วโมงก่อนการผ่าตัดรีแพร์
  • ในการผ่าตัดทำรีแพร์ แพทย์จะให้ยาสลบเพื่อไม่ใช่ผู้ป่วยรู้สึกตัวและรู้สึกเจ็บปวดในขณะผ่าตัด โดยแพทย์อาจให้ผู้ป่วยดมยาสลบ ฉีดยาสลบเข้าสู่ร่างกายทางเส้นเลือด หรืออาจฉีดยาระงับความรู้สึกเข้าทางไขสันหลัง ซึ่งผู้ป่วยจะยังคงรู้สึกตัว แต่ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดเมื่อผู้ป่วยไม่รู้สึกตัวแล้ว
  • แพทย์จะเริ่มทำการผ่าตัดรีแพร์โดยเปิดแผลบริเวณผนังช่องคลอด แล้วเย็บระหว่างผนังช่องคลอดกับกระเพาะปัสสาวะ เพื่อให้ท่อปัสสาวะและกระเพาะปัสสาวะเคลื่อนขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งเดิม ซึ่งจะช่วยทำให้เนื้อเยื่อและกล้ามเนื้อในบริเวณนั้นมีความกระชับตึงมากขึ้น
  • ในบางกรณี แพทย์อาจต้องผ่าตัดเปิดหน้าท้อง เพื่อแก้ไขความผิดปกติหรือตำแหน่งของกระเพาะปัสสาวะหรือท่อปัสสาวะ ให้อวัยวะดังกล่าวกลับไปอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม แล้วจึงทำการเย็บเนื้อเยื่อระหว่างช่องคลอดและกระเพาะปัสสาวะ หรืออาจใช้แผ่นเนื้อวางกั้นระหว่างกระเพาะปัสสาวะกับผนังช่องคลอด ซึ่งอาจเป็นเนื้อผิวหนังบางส่วนของผู้ป่วย หรือใช้วัสดุชีวภาพอื่น ๆ เช่น ผิวหนังของหมูปิดทับแทน
shutterstock 1014900256

วิธีการรีแพร์แบบเลเซอร์                

การทำรีแพร์ด้วยเลเซอร์เป็นการยิงเลเซอร์เพื่อกระชับช่องคลอดโดยอาศัยหลักการเปลี่ยนพลังงานแสงเป็นพลังงานความร้อนและความร้อนนั้นก็จะไปกระตุ้นให้ผนังช่องคลอดหดตัวลง มีความกระชับมากขึ้นทั้งยังช่วยให้มีกระสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่อีกในช่วง 1-3 เดือนหลังจากการทำช่องคลอดจึงมีความยืดหยุ่นมากขึ้นด้วย การทำรีแพร์ด้วยเลเซอร์ถือเป็นทางเลือกใหม่ที่ดีสำหรับคนที่หวาดกลัวกับการผ่าตัดและคนที่ไม่ต้องการเผชิญกับความยุ่งยากที่จะตามมาหลังการผ่าตัดขั้นตอนการทำก็เป็นเพียงการสอดอุปกรณ์เข้าทางช่องคลอดยิงเลเซอร์จนทั่วเป็นอันเสร็จเรียบร้อย               

จะเห็นได้ว่า การทำรีแพร์ ไม่ได้ยุ่งยากและเจ็บตัวมากอย่างที่คิด ส่วนใครจะเลือกใช้รีแพร์ วิธีไหนขึ้นอยู่กับปัญหาที่เกิดขึ้นของแต่ละคน หรือเพื่อความแน่ใจควรเข้าไปปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ว่าเราควรจะใช้วิธีไหนดี เท่านี้ปัญหากวนใจก็จะหายไป และกลับมามั่นใจในการใช้ชีวิตคู่ได้เหมือนเดิม

5 ขั้นตอนเตรียมความพร้อม ก่อนทำรีแพร์

31

การทำรีแพร์ คือ การผ่าตัดตกแต่งช่องคลอดให้กระชับขึ้นสำหรับผู้ที่มีปัญหาช่องคลอดหย่อนคล้อย หย่อนยานซึ่งคนส่วนใหญ่มักเรียกกันว่าการทำสาว แต่ในความเป็นจริงทางการแพทย์นั้น การรีแพร์ไม่ได้ช่วยแค่ในเรื่องการมีเพศสัมพันธ์เพียงอย่างเดียวหากแต่ยังช่วยแก้ไขปัญหาภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อนที่เกิดจากการคลอดบุตรหลายคนหรือเกิดจากสาเหตุอื่นๆ ซึ่งอาจนำมาซึ่งปัญหาหลายๆ อย่างทั้งอาการปัสสาวะเล็ดเมื่อไอ จาม และความไม่มั่นใจในการใช้ชีวิตคู่ และอาจกลายเป็นปัญหาครอบครัวตามมาได้                       

รีแพร์ จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยคืนความมั่นใจให้สาวๆ ได้ ซึ่งปัจจุบันก็ทำได้ง่าย และมีหลายวิธี  แต่ก่อนที่จะคิดทำรีแพร์ ควรมีการเตรียมความพร้อมให้ดีก่อน 5ขั้นตอน ดังนี้ 

  1. ศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับการทำรีแพร์
    ก่อนที่จะตัดสินใจทำรีแพร์นั้น เราควรศึกษาให้ดีก่อนว่า การทำรีแพร์นั้นทำอย่างไร และมีวิธีไหนบ้าง ค่าใช้จ่ายในการทำรีแพร์เท่าไหร่ หลังจากทำรีแพร์แล้วต้องดูแลตัวเองอย่างไร และเราเข้าข่ายที่ต้องทำรีแพร์จริงๆ หรือแค่คิดไปเอง ซึ่งรายละเอียดข้อมูลต่างๆ เหล่านี้ สามารถศึกษาได้เบื้องต้นได้จากสถานพยาบาลต่างๆ ที่รับทำรีแพร์ หรือจะลองปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อทำความเข้าใจเบื้องต้นก่อนก็ได้
  2. พูดคุยทำความเข้าใจกับคู่รักก่อนตัดสินใจทำรีแพร์
    ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า การตัดสินใจทำรีแพร์นั้น เป็นเรื่องที่ค่อนข้างละเอียดอ่อน นอกจากผู้ที่จะทำต้องตัดสินใจเองแล้ว ก็ควรมีการพูดคุยกับคู่รักอย่างเปิดเผย เพื่อความเข้าใจซึงกันและกัน และจะได้ร่วมกันแก้ปัญหา เพื่อความสุขของคนทั้งคู่
  3. เลือกแพทย์และสถานพยาบาลที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องการทำรีแพร์
    เมื่อตัดสินใจว่าจะทำรีแพร์แน่ๆ แล้ว ควรเลือกแพทย์ที่เชียวชาญในเรื่องการทำรีแพร์ และสถานพยาบาลที่น่าเชื่อถือ เพื่อที่ผลของการทำจะได้ออกมาดีเยี่ยม และปลอดภัย
  4. เตรียมความพร้อมร่างกายและจิตใจก่อนไปทำรีแพร์
    การทำรีแพร์ ควรเป็นช่วงที่ประจำเดือนหมดไม่นาน (ไม่เกิน 1 สัปดาห์) เพื่อป้องกันแผลอักเสบและการปนเปื้อนของเลือด และควรตรวจมะเร็วปากมดลูก และตรวจภายในให้เรียบร้อย เพราะหลังจากผ่าตัดแล้วจำเป็นต้องหยุดตรวจไปสักระยะหนึ่ง เพื่อป้องกันแผลผ่าตัดถูกกระทบกระเทือน
  5. การเตรียมตัวก่อนเข้ารับการผ่าตัดรีแพร์ 
  • งดน้ำ งดอาหารก่อนเวลาผ่าตัดรีแพร์ อย่างน้อย 6 ชม.
  • ในกรณีที่มีการใช้ยาละลายลิ่มเลือดเป็นประจำ ให้ปรึกษาแพทย์ประจำเรื่องการหยุดยาก่อนการผ่าตัด
  • งดวิตามินที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น วิตามินที่เป็นน้ำมัน เป็นต้น
  • อาบน้ำให้สะอาดก่อนมาผ่าตัด หากมีขนในที่ลับเยอะ ก็ควรโกนมาให้เรียบร้อย
  • เตรียมกางเกงชั้นในหลวมๆ สำหรับใส่หลังผ่าตัด
  • กรณีที่มีโรคประจำตัว ให้นำยาที่ใช้ประจำมาพบแพทย์ด้วย และถ้ามีผลเลือดตรวจสุขภาพหรือที่เกี่ยวข้องกับโรคประจำตัว ให้นำผลเลือดมาพพร้อมกัน
shutterstock 1024126480

เมื่อเตรียมความพร้อมแล้วเพียงเท่านี้ ก็เดินหน้าทำรีแพร์ได้อย่างไม่ต้องกังวลใจ หลังจากทำรีแพร์แล้ว คุณผู้หญิงก็จะได้ความมั่นใจกลับคืนมา พร้อมกับสภาวะร่างกายและจิตใจที่ดีขึ้น และ มีเพศสัมพันธ์ได้อย่างสบายใจคลายกังวล คืนความสุขให้ชีวิตคู่ได้อีกครั้ง

วิธีดูแลตัวเองหลังจากศัลยกรรมปรับรูปหน้า

261

แน่นอนว่าการทำศัลยกรรมปรับรูปหน้านั้นจะต้องก่อให้เกิดบาดแผลจากการผ่าตัด ซึ่งต้องใช้เวลาพอสมควรในการดูแลรักษาให้บาดแผลกลับคืนสู่สภาวะปกติ สำหรับผู้ที่กำลังอยากจะทำศัลยกรรมจะต้องมีแนวทางในการดูแลตัวเองเป็นพิเศษเพื่อไม่ให้เกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงปรารถนา หรือทำให้ผลที่ได้จากการศัลยกรรมปรับรูปหน้าไม่เป็นไปตามความคาดหวังที่ควรจะเป็น วิธีดูแลตัวเองหลังศัลยกรรมมีดังนี้

ข้อปฏิบัติหลังจากทำศัลยกรรมปรับรูปหน้า

การศัลยกรรมปรับรูปหน้ามีหลายประเภท มีทั้งศัลยกรรมขนาดเล็กและขนาดใหญ่ แต่ส่วนใหญ่แล้วการศัลยกรรมปรับรูปหน้า นั้นมักจะเป็นการเปิดแผลภายในปากเพื่อจุดประสงค์ของการซ่อนบาดแผล แล้วเสริมด้วยซิลิโคน หรือบางกรณีก็กรอเอาเนื้อกระดูกออก แต่ไม่ว่าจะเซาะร่องปากขนาดเล็กหรือใหญ่ก็ย่อมกระทบกับช่องปากโดยรวมอยู่ดี จึงมักจะต้องดูแลภายในปากเป็นพิเศษ

  1. หลังผ่าตัด ศัลยกรรมปรับรูปหน้าต้องงดรับประทานอาหารในช่วง 3-4 วันหลังจากศัลยกรรม โดยในช่วงเวลาดังกล่าวให้ดื่มแต่เครื่องดื่มที่ไม่มีกากใยเท่านั้น เพื่อไม่ให้เศษอาหารติดภายในปากซึ่งยากต่อการทำความสะอาดและเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
  2. หมั่นบ้วนปากด้วยน้ำเปล่าทุกชั่วโมง และบ้วนด้วยน้ำยาที่ทางโรงพยาบาลจัดให้ทุก2 ชั่วโมง ระวังเรื่องการกลั้วน้ำยา ควรอมไว้อย่างน้อย 1 นาทีเพื่อให้ฆ่าเชื้อได้อย่างหมดจด
  3. ผู้ที่การศัลยกรรมปรับรูปหน้าต้องเปลี่ยนมาใช้แปรงสีฟันขนาดเล็ก เพราะในช่วงแรกเราจะอ้าปากไม่สะดวก อีกทั้งเพื่อไม่ให้กระทบกับบาดแผลภายในปากมากนัก
  4. งดเว้นการแต่งหน้าล้างหน้า รวมถึงสระผมด้วยให้ทำความสะอาดด้วยการเช็ดหน้าเบา เพื่อไม่ให้แผลโดนน้ำ หลังจากเอาเทปออกและเห็นว่าแผลสมานกันดีแล้วจึงจะเริ่มล้างหน้าได้ตามปกติ
  5. ถ้าการศัลยกรรมปรับรูปหน้าแบบใดที่ต้องใช้ผ้ารัดหน้าเพื่อประคองรูปหน้าให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด โดยใช้ผ้ารัดหน้าให้คงที่ วันละ 4-6 ชั่วโมง เป็นเวลา 1-2 สัปดาห์ หรือตามแพทย์สั่ง
  6. 2 สัปดาห์แรกหลังผ่าตัดปรับรูปหน้า ไม่นอนคว่ำควรนอนให้หน้าสูงกว่าหัวใจหรือนอนในท่านั่ง (นั่งหลับ)จะช่วยลดบวมได้เร็วขึ้น
  7. งดเว้นการการแช่น้ำหรืออบซาวน่าอย่างเด็ดขาด
  8. งดดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์โดยเด็ดขาด อย่างน้อย 2 สัปดาห์หลังผ่าตัดศัลยกรรมปรับรูปหน้า

ข้อควรระวังหลังศัลยกรรมปรับรูปหน้าในช่วง 1 เดือน

  1. ไม่อ้าปากกว้างๆ เป็นระยะเวลา 1 เดือน เพื่อรอให้การปรับรูปหน้าเข้าที่อย่างสมบูรณ์
  2. ต้องมีการควบคุมเรื่องการรับประทานอาหารเลี่ยงการทานอาหารแข็งๆ ที่ต้องมีการบดเคี้ยว ควรทานแต่อาหารอ่อนๆ ประเภทโจ๊ก หรือ โยเกิร์ต
  3. 1-3 วันแรกของการศัลยกรรมปรับรูปหน้า ให้ประคบเย็นเพื่อลดการกระจายตัวของเลือดที่เสีย แต่หลังจากนั้นต้องมีการประคบอุ่นบริเวณใบหน้าอย่างต่อเนื่อง 1 เดือน และควรมีการเช็คเรื่องอุณหภูมิด้วย เพราะประสาทสัมผัสบนใบหน้ายังตอบรับเรื่องอุณหภูมิได้ไม่สมบูรณ์ดี
  4. หลังศัลยกรรมปรับรูปหน้าให้งดเว้นการออกกำลังกาย 1 เดือนเป็นต้นไป หรือให้การออกกำลังกายเบาๆเช่น การเดินบริหาร

การศัลยกรรมปรับรูปหน้าสามารถให้ผลตามต้องการได้ หากรู้จักดูแลตัวเองหลังศัลยกรรม ต้องปฏิบัติติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดเท่านั้น แต่สำหรับใครที่กลัวการศัลยกรรมและกังวลกับการดูแลหลังผ่าตัด เพราะกลัวว่าจะพลาดไปจนทำให้เกิดแผลติดเชื้อซึ่งอันตรายมาก คุณสามารถขอคำปรึกษาจากรมย์รวินท์คลินิกได้ เพราะเรายังมีหลายโปรแกรมที่ช่วยปรับรูปหน้าได้โดยไม่ต้องผ่าตัดศัลยกรรมปรับรูปหน้า ซึ่งให้ผลลัพธ์ที่ได้ก็ดีเทียบเท่ากัน ทำให้การดูแลตัวเองง่ายกว่า อีกทั้งราคาถูกกว่าด้วย

กระชับผิวหน้าบอกลาความหย่อนคล้อยด้วย Thermage

260

โปรแกรมกระชับผิวหน้าปรับรูปหน้าเป็นโปรแกรมที่ได้รับความนิยมจากคุณผู้หญิงเป็นอย่างมาก ซึ่งมีตั้งแต่วัยรุ่นที่อยู่ในช่วงวัยทำงานจนถึงวัยกลางคน เพราะมีหลายปัจจัยที่คอยจ้องจะทำร้ายผิวเราทุกวัน เมื่อผิวหน้าไม่กระชับจึงปล่อยไว้ไม่ได้ โปรแกรมหนึ่งที่นิยมในการกระชับผิวหน้าในปัจจุบันก็คือ Thermage สำหรับคนที่ยังไม่เข้าใจว่าเจ้า Thermage นี้ทำงานอย่างไร เราลองมาศึกษาไปพร้อม ๆ กันค่ะ

การกระชับผิวหน้าด้วยโปรแกรม Thermage คืออะไร

โปรแกรม Thermage เป็นนวัตกรรมการดูแลผิวหน้าที่ทำงานลึกลงไปในแต่ระดับชั้นของผิว ตั้งแต่ผิวหนังกำพร้า ผิวหนังแท้ จนถึงผิวหนังชั้นไขมัน ทำหน้าที่ช่วยสร้างความเต่งตึงของไขมันใต้ชั้นผิว ช่วยสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินทำให้ผิวกลับมายืดหยุ่นเรียบเนียนขึ้น ช่วยกระชับผิวหน้าและแก้ปัญหาความหย่อนคล้อยได้

หลักการทำงานกระชับผิวหน้าของThermage เป็นการใช้เทคโนโลยีคลื่นวิทยุซึ่งมีความร้อนสูง โดยส่งผ่านคลื่นความร้อนลงไปยังชั้นผิวแต่ละระดับชั้น โครงสร้างภายในผิวของคนเรานั้นมีส่วนประกอบมากมาย ทั้งกล้ามเนื้อ เนื้อเยื่อ รวมทั้งไขมันด้วยพลังความร้อนที่ส่งผ่านเข้าไปนี้จะเป็นตัวกระตุ้นการเปลี่ยนแปลงของไขมัน โดยหลักการคือเมื่อไขมันเจอคลื่นความร้อนจะทำให้เกิดแรงต้าน แต่ยิ่งต้านเท่าไหร่ยิ่งทำให้ผิวหน้าหรือไขมันภายในเกิดความแน่น จึงเป็นสาเหตุทำให้ผิวหน้าของเรากระชับนั่นเอง

ทำไมจึงควรเลือกใช้โปรแกรมกระชับผิวหน้า Thermage

หลายคนอาจทำการศึกษาโปรแกรมกระชับผิวหน้ามาบ้างแล้ว และพบว่ายังมีอีกหลายโปรแกรมที่สามารถกระชับผิวหน้าได้ แต่สำหรับ Thermage เป็นโปรแกรมที่เหมาะกับการ “กระชับหน้า” เป็นที่สุดเพราะด้วยหลักการที่กล่าวมาข้างต้น ซึ่งข้อดีของโปรแกรมนี้ยังมีอยากหลายอย่างได้แก่            

  1. เป็นการยกกระชับผิวหน้าที่ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องเจ็บตัว ไม่ต้องรักษาตัวนาน ไม่มีรอยบาดแผล
  2. หลังยกกระชับผิวหน้าด้วย Thermage จะทิ้งร่องรอยเพียงแค่แดงๆ และจะจางหายไปภายในเวลาเพียง 1-2 ชั่วโมง เท่านั้น ผู้เข้ารักษาจะสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันแบบปกติได้ในทันที รวมถึงจะแต่งหน้าก็สามารถทำได้เหมือนปกติ
  3. ถึงขึ้นขื่อว่าคลื่นความร้อน แต่โปรแกรมนี้สามารถจัดระดับความร้อนให้เหมาะกับสภาพผิวของแต่ละคนได้ หากผู้เข้ารักษาจะรู้สึกร้อนมากเกินไปก็สามารถปรับได้ตามความเหมาะสม จึงไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด
  4. โปรแกรม Thermage  เป็นโปรแกรมที่รับรองความปลอดภัยในการรักษาผลของการยกกระชับผิวหน้าแต่ละครั้ง สามารถอยู่ได้นานถึง 1-2 ปี จึงคุ้มค่าคุ้มราคาไม่ต้องคอยทำบ่อย ๆ
  5. หลังจากยกกระชับผิวหน้าด้วย Thermage จะทำให้คุณดูเหมือนย้อนวัยอย่างที่ต้องการผิวที่เคยหย่อนคล้อยจะกลับยกกระชับขึ้น มีส่วนให้มีการเปลี่ยนแปลงรูปหน้าให้เรียวขึ้น

โปรแกรมยกกระชับผิวหน้าด้วย Thermage นี้เป็นโปรแกรมที่เหมาะกับผู้มีสภาพผิวหนังหย่อนคล้อยเล็กน้อย จนถึงระดับปานกลาง หรือคนที่มีแก้มเยอะซึ่งเกิดจากมีไขมันที่หน้ามากกว่าคนทั่วไป เหมาะกับผู้มีอายุอยู่ในช่วง 35-60 ปี หลังจากทำแล้วจะเห็นผลที่ชัดเจนว่า หน้ารู้สึกเต่งตึงขึ้น ร่องแก้มดูตื้นขึ้น ใบหน้าดูกระชับได้รูปส่วนผิวที่หย่อนคล้อยจะดูอวบอิ่มฟูแน่นขึ้น

สำหรับใครที่สนใจการกระชับผิวหน้าด้วยโปรแกรม Thermage สามารถรับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ที่ รมย์รวินท์ คลินิก (โทร 080 153 9000 หรือ 080 154 9000) หรือ Walk in เข้ามาปรึกษาแพทย์ฟรีได้ทุกวัน ที่รมย์รวินท์ คลินิกทั้ง 24 สาขาทั่วประเทศใกล้บ้านคุณ

5 วิธีกระชับผิวหน้า นวดหน้าด้วยตัวเอง

259

ผิวหน้าของคุณผู้หญิงควรได้รับการนวดกระชับผิวหน้าเป็นประจำ เพื่อกระตุ้นให้คงความมีชีวิตชีวาไม่ให้หย่อนคล้อยไปตามวัย คนที่นวดหน้าเป็นประจำจะมีผิวที่ขาวใส ทาครีมบำรุงก็ซึมซับเข้าสู่ผิวได้ง่าย เวลาแต่งหน้าเครื่องสำอางก็ยังติดทน อีกทั้งยังช่วยผ่อนคลายความเมื่อยล้าได้ด้วย นี่คือเหตุผลที่สาว ๆ ทุกคนควรนวดกระชับผิวหน้าเป็นประจำทุกสัปดาห์ ซึ่งการนวดหน้าด้วยตัวเองนั้นสามารถทำได้ไม่ยาก มีหลายวิธีให้เลือกดังนี้

  1. นวดหน้าแบบมาตรฐาน เป็นการกระชับผิวหน้าโดยไม่ต้องมีอุปกรณ์อะไร เพียงใช้ฝ่ามือของเรานี่เองหลักการคือให้ลูบขึ้นด้านบนนวดเป็นส่วน ๆทีละซีกหน้าเริ่มจากนวดเก็บเหนียงโดยลูบปาดจากปลายคางไปทางแก้มนวดปากโดยเริ่มที่มุมปากขึ้นไปทางโหนกแก้ม ปาดสันจมูกไปทางด้านข้าง ต่อด้วยนวดจากหัวตาไปทางหางตา ลูบหนังคิ้วขึ้นด้านบน และส่วนหน้าผากก็นวดจากล่างขึ้นบน ทั้งหมดนี้ให้ทำอย่างละ 10 ครั้งทั้งสองข้าง
  2. นวดหน้าด้วยวิธีการกดจุด เป็นการนวดกระชับผิวหน้าโดยการกดจุดสำคัญ 9 จุดคือ  1) เหนือริมฝีปาก  2) กึ่งกลางคาง 3) มุมปากทั้งสองข้าง 4) บริเวณลักยิ้ม  5) ปีกจมูกสองข้าง 6) หัวคิ้ว ตรงจุดนี้เปลี่ยนมาใช้นิ้วหัวแม่มือ 7) กลางหน้าผาก 8) ไรผมตรงหน้าผาก 9) ข้างขมับทั้งสองด้าน ในการทำแต่ละจุด จะต้องมีการนวดวนๆ ควรทำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ครั้งละ 15-20 นาที  ระวังอย่ากดจุดแรงเกินไป เดี๋ยวผิวจะช้ำ
  3. นวดหน้าแบบเกาหลี  ลักษณะการนวดกระชับผิวหน้าสไตล์นี้ มีทั้งการนวดวนด้วยฝ่ามือ การกดจุดบริเวณ หน้าผาก โหนกแก้ม คาง และกราม หรือใช้นิ้วดึงช่วงโหนกแก้มขึ้น มีการนวดคลึงแถวหลังใบหู เพราะเป็นจุดรวมต่อมน้ำเหลือง ลากมือลงมาถึงช่วงคอ กดจุดกลางหน้าผาก และนิยมนวดบนหัวด้วย
  4. นวดหน้าแบบญี่ปุ่น นวดกระชับผิวหน้าด้วยปลายนิ้วทั้ง 4 คือนิ้วชี้ถึงนิ้วก้อย เริ่มนวดจากกึ่งกลางหน้าผากลูบออกด้านข้าง ผ่านโหนกแก้มถึงปลายคาง ส่วนบริเวณรอบดวงตา ใช้เพียงนิ้วเดียวในการกดแล้วลาก จากหางตา วนรอบด้านล่างแล้วกลับไปด้านบนตรงใต้คิ้ว จากหัวตาลูบไปทางหางตา จนถึงโหนกแก้ม  นวดกึ่งกลางคาง ลูบขึ้นด้านบนเหนือริมฝีปาก นวดใต้จมูก ใช้สองนิ้วกดลากขึ้นไปถึงสันจมูก จากนั้นลูบไล่ลงมาตามแนวปีกจมูก ทำอย่างละ 3 รอบ
  5. นวดหน้าแบบฝรั่งเศส  เป็นการนวดกระชับผิวหน้าโดยการใช้นิ้วชี้และนิ้วโป้ง pinching ทั่วใบหน้า เหมือนใช้สองนิ้วหนีบผิวแล้วดึง-ปล่อยเร็วๆ  ช่วยการกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต อุณหภูมิใต้ชั้นผิวหนังจะสูงขึ้น เมื่อสาว ๆ ทำทั่วใบหน้าประมาณ 3 รอบ จะเห็นว่าหน้าเริ่มมีสีสันมากขึ้น

และนี่ก็เป็น 5 วิธีกระชับผิวหน้าด้วยตัวเองที่เรานำเอามาฝากกัน เป็นวิธีที่ง่าย ๆ ไม่ต้องใช้อุปกรณ์อะไรมากมายใช้เพียงแค่สองมือของเรานี่เอง แต่สำหรับใครที่บอกว่าการนวดหน้าด้วยตัวเองนั้นไม่ค่อยได้ผล ซึ่งอาจจะเป็นเพราะทำเองไม่ถนัด ทำไม่ถูกวิธี หรือต้องการการบำรุงที่ล้ำลึกมากขึ้น สามารถเข้ารับบริการกระชับผิวหน้าในคลินิกได้ซึ่งจะให้ผลดีกว่าเนื่องจากเป็นการทำงานระดับมืออาชีพ

อย่างโปรแกรมกระชับผิวหน้าในรมย์รวินท์คลินิกของเรา ก็มีทั้งการทรีทเม้นท์บำรุงผิวหน้าเพื่อเพิ่มความชุ่มชื่นขาวใสจากภายนอก ไปจนถึงโปรแกรมกระชับผิวหน้าจากภายในซึ่งต้องอาศัยความเชี่ยวชาญเฉพาะทางของแพทย์ประกอบกับเครื่องมืออันทันสมัย เรามีหลักการดูแลผิวที่ถูกต้องเพื่อช่วยถนอมใบหน้าของคุณให้กระชับ โดยมีผลกระทบต่อผิวน้อยที่สุดแต่ในขณะเดียวกันต้องมีผลลัพธ์ที่ดีที่สุด และยาวนานที่สุดด้วย

รู้ไว้ใช่ว่า…ก่อน “ยกกระชับหน้า” ควรเตรียมตัวให้พร้อมดังนี้

258

ในยุคที่ผู้หญิงสามารถกำหนดความสวยของตัวเองได้ ไม่ว่าจะแค่ปรับสภาพผิวแก้ปัญหาสิวฝ้ากระ หรือจะยกกระชับหน้าเพื่อย้อนวัย “ตรึง” ความอ่อนเยาว์ให้คงไว้ไม่ให้ร่วงโรยนานาสารพัดวิธีของโปรแกรมยกกระชับหน้าที่สาว ๆ สามารถเลือกทำเลือกใช้ เพราะโชคดีที่เครื่องมือและเทคโนโลยีด้านความงามมีการพัฒนาอย่างไม่เคยหยุดยั้ง แต่ถึงอย่างนั้นผู้บริโภคก็ยังต้องรีเสิร์ชข้อมูลเบื้องต้นก่อนเพื่อเลือกโปแกรมยกกระชับที่เหมาะสมที่สุด ท่านที่สนใจจึงควรเตรียมตัวให้พร้อมดังนี้

  1. ศึกษาโปรแกรมเกี่ยวกับการยกกระชับหน้าเพราะอย่างที่ทราบดีว่าโปรแกรมยกกระชับหน้านั้นมีมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ฉีดโบ, ร้อยไหม, ฟิลเลอร์, เทอร์มาจ, ไฮฟู, อัลเทอร่า เป็นต้น แน่นอนว่าแต่ละโปรแกรมย่อมมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน และที่สำคัญกว่านั้นคือแต่ละโปรแกรมยังเหมาะสมกับช่วงวัยที่แตกต่างกันฉะนั้นแค่เลือกโปรแกรมที่เราสนใจอย่างเดียวคงไม่พอ แต่ถ้าจะให้ดีควรเลือกโปรแกรมยกกระชับหน้าที่เหมาะกับสภาพผิวและช่วงวัยของคุณด้วย
  2. ทำความเข้าใจกับการทำงานของชั้นผิวหนังบนใบหน้า ก่อนจะตัดสินใจยกกระชับหน้า คุณผู้หญิงควรที่จะทราบเสียก่อนว่า บนใบหน้าของคนเรานั้นประกอบด้วยชั้นผิวหนังกี่ชั้น แต่ละชั้นมีการทำงานอย่างไร มีเส้นประสาท กล้อมเนื้อ หรือเนื้อเยื่อเกี่ยวพันใดที่มีความสัมพันธ์กับการทำงานบนใบหน้าของเราบ้างเพราะโปรแกรมยกกระชับหน้าต่างๆ อาจจะมีผลต่อใบหน้าของเรา ผู้บริโภคจึงต้องมีความรู้ในระดับหนึ่ง ก่อนที่จะไปพึ่งความสามารถของแพทย์ผู้ให้บริการ
  3. ผลลัพธ์ที่ต้องการมีระยะเวลาที่จำกัด การยกกระชับหน้าเป็นการช่วยฟื้นฟูผิวก็จริง แต่ผลลัพธ์ที่ได้ไม่สามารถคงอยู่ตลอดไป เพราะถึงแม้จะเข้าโปรแกรมแล้ว คนเราก็ยังต้องเจอปัจจัยเดิมที่ทำลายผิวหน้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นมลภาวะ ความเครียด โดยเฉพาะ“เวลา” ที่เดินหน้าอยู่เสมอไม่เคยหยุด ด้วยเหตุนี้ผลของการยกกระชับหน้าจึงอยู่ได้ไม่ถาวร บางโปรแกรมสามารถอยู่ได้ 1-2 ปี หรือกรณีผ่าตัดศัลยกรรมอาจอยู่ได้ยาวนานเป็น 10 ปี แต่ไม่มีการยกกระชับหน้าแบบใดที่ทำครั้งเดียวอยู่ได้ตลอดชีวิต
  4. การยกกระชับหน้าต้องให้เวลาเพื่อความสมบูรณ์ หลังเข้าโปรแกรมคุณอาจเห็นความเปลี่ยนแปลงทันทีประมาณ 10-30% ซึ่งแล้วแต่โปรแกรมยกกระชับหน้าที่เลือกและปัญหาผิว แต่อย่างไรก็ตามหลังจากเข้าโปรแกรมล้าร่าวกายก็ยังต้องใช้เวลาสร้างคอลลาเจนเพื่อฟื้นฟูใบหน้า จึงไม่มีใครทำปุ๊บได้ผล100% ในทันที ผู้เข้าโปรแกรมจึงต้องเข้าใจและอดทนที่จะรอความสมบูรณ์ดังกล่าว และไม่คาดหวังผลแบบทันทีทันใด
  5. โรคประจำตัวบางอย่างอาจเป็นอุปสรรคต่อการเข้าโปรแกรม การยกกระชับหน้าด้วยการศัลยกรรม อาจไม่เหมาะกับผู้ที่มีโรคประจำตัวบางโรค เช่น ความดัน เบาหวาน เป็นต้น ทั้งนี้ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญแพทย์หรือเจ้าหน้าที่ผู้ให้บริการว่ามีความเป็นไปได้และมีความเสี่ยงมากแค่ไหน และจะหาวิธีการแก้ไขปัญหาผิวอย่างไรจึงจะเป็นทางออกที่เหมาะสม
  6. ต้องเตรียมงบประมาณค่าใช้จ่าย เนื่องจากการใช้เทคโนโลยีเพื่อความงาม มีค่าใช้จ่ายอยู่พอประมาณ บางโปรแกรมหรือบางคนที่มีปัญหาผิวหนักมาก อาจจะต้องทำการเข้าคอร์สยกกระชับหน้าอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นนอกจากการเตรียมพร้อมเรื่องข้อมูลแล้วยังต้องเตรียมเรื่องค่าใช้จ่ายด้วย

ในส่วนของการเลือกคลินิกนั้น คงไม่ต้องบอกว่ามีความสำคัญมากขนาดไหน เพราะเชื่อได้เลยว่าเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนรู้ดีว่าต้องเลือกคลินิกที่น่าเชื่อถือที่สุดเท่านั้น “รมย์รวินท์ คลินิก”เราใส่ใจในฝีมือและมุ่งพัฒนาเครื่องมืออย่างไม่เคยหยุดยั้ง ด้วยประสบการณ์มากกว่า 14 ปีเราจึงมั่นใจได้ว่าโปรแกรมยกกระชับหน้าและเครื่องมืออันทันสมัยที่เรามี จะสามารถตอบโจทย์และแก้ปัญหาผิวให้กับคุณผู้หญิงทุกท่านได้อย่างเหมาะสมที่สุด 

โปรแกรม ยกกระชับหน้า แบบไหนที่ได้รับความนิยมมากที่สุด

257

ด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ ทำให้การยกกระชับหน้ามีหลายโปรแกรมที่น่าสนใจ แต่ก่อนที่จะตัดสินใจเข้ารับการดูแลผิวด้วยวิธีใดนั้น ควรมีการศึกษาถึงข้อดีข้อเสียทั้งในส่วนของตัวโปรแกรมและส่วนของคลินิกเสียก่อน ซึ่งโปรแกรมหนึ่งที่ได้รับความนิยมมากก็คือ การยกกระชับหน้าด้วย Ulthera (อัลเทอร่า) โปรแกรมนี้มีความพิเศษอย่างไรถึงได้รับความนิยมจากคุณผู้หญิงกันถ้วนหน้า ถ้าอยากรู้…ลองมาดูกัน

โปรแกรมยกกระชับหน้า Ulthera มีลักษณะเด่นอย่างไร

ลักษณะการยกกระชับหน้าของคลื่นในโปรแกรม Ulthera เป็นการทำงานที่เรียกว่า “โฟกัสอัลตร้าซาวน์” (Focused Ultrasound) โดยจะเป็นการส่งผ่านคลื่นไปยังผิวชั้นในที่ชื่อ SMAS ซึ่งเป็นชั้นที่ลึกกว่าผิวหนังชั้นกำพร้าเข้าไปหลายชั้น เป็นชั้นผิวที่มักมีปัญหาเมื่อคนเราเริ่มมีอายุ เพราะความกระชับของใบหน้าจะลดน้อยลงหรือหายไปตามอายุที่มากขึ้น เป็นชั้นผิวที่ครีมบำรุงโดยทั่วไปไม่สามารถเข้าถึงได้

หลักการทำงานของคลื่นโฟกัสอัลตร้าซาวน์คือ การยิงตัวคลื่นจากผิวหนังชั้นบนส่งผ่านไปยังผิวหนังชั้น SMAS เป็นการยิงแบบโฟกัสเพื่อให้ผิวหนังชั้น SMAS นั้นเกิดรอยแผล ทั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ผิวหนังเกิดการซ่อมแซมตัวเองโดยการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินที่เป็นธรรมชาติขึ้นมา จุดนี้เองที่เป็นส่วนสำคัญในการยกกระชับหน้า ทำให้ผิวกลับมาเต่งตึงเป็นธรรมชาติ และช่วยฟื้นคืนสภาพผิวให้กลับมาราวกับได้ย้อนวัยอีกครั้ง

จุดเด่นของการยกกระชับหน้าด้วยโปรแกรม Ulthera คือเป็นการสร้างแผลภายในผิวหนังชั้น SMAS โดยที่ผิวหนังด้านนอกนั้นไม่มีรอยแผลเป็น ไม่มีเลือดออก ไม่มีรอยเย็บหรือรอยเข็มใด ๆ เลย อีกทั้งรอยแผลภายในจะมีขนาดเล็กเหมือนกับการเย็บผิว คือเป็นแผลเล็ก ๆ แต่มีความถี่ จึงเป็นที่มาของคำว่าโฟกัสอัลตร้าซาวน์ (Focused Ultrasound) นั่นเอง

ทำไมโปรแกรมยกกระชับหน้า Ulthera ถึงได้รับความนิยม

โปรแกรมยกกระชับหน้าด้วย Ulthera เป็นโปรแกรมที่อาศัยเทคโนโลยีขั้นสูงที่ไม่ต้องมีการผ่าตัดใฟ้เจ็บตัว แต่ใช้วิธีส่งคลื่นไปยังชั้นเยื่อส่วนลึก ซึ่งคลื่นที่ใช้เป็นคลื่นความถี่สูง และมีความแม่นยำสูงมากเมื่อเปรียบเทียบกับโปรแกรมอื่นที่ใกล้เคียงกันแล้วนับเป็นโปรแกรมที่ให้ผลลัพธ์ดีที่สุด นอกจากนี้ Ultheraยังมีข้อดีอีกมากมาย อาทิ

  1. การทำงานของคลื่นในโปรแกรม Ultheraจะไปกระตุ้นให้กล้ามเนื้อชั้นในของผิวให้สร้างคอลลาเจนจากธรรมชาติ ทำให้ผิวตึงขึ้น ปรากฏออกสู่ภายนอกอย่างชัดเจน ริ้วรอยที่หย่อนคล้อยหายไป ยกกระชับหน้าและผลที่ได้แลดูเป็นธรรมชาติ
  2. เป็นการทำงานเฉพาะจุดที่ต้องการยกกระชับหน้าได้ ไม่กระทบต่อชั้นผิวอื่น และสามารถเลือกทำได้หลายส่วน เช่น แก้ม เหนียง หางตา หน้าผาก แม้แต่จุดละเอียดอ่อนอย่างรอบดวงตา
  3. ใช้เวลาในการรักษาไม่นาน โดยตั้งแต่เริ่มแปะยาชาจนถึงรักษาเสร็จ รวมแล้วไม่ถึง 2 ชั่วโมงเสียด้วยซ้ำ ทำให้ผู้ใช้บริการสามารถจัดสรรเวลาง่ายขึ้น
  4. เป็นโปรแกรมยกกระชับหน้าที่ไม่มีแผลเป็น ไม่มีรอยเลือดหรือรอยเข็มหลังการรักษา มีเพียงรอยแดงบนใบหน้าที่จางได้เองภายใน 1-3 ชั่วโมง ทำให้ไม่ต้องหยุดพักรักษาตัวนาน และหลังรักษายังดูแลตัวเองง่ายกว่าการศัลยกรรมหลายเท่าเลยทีเดียว
  5. หลังการยกกระชับหน้าจะเห็นความแตกต่างในทันทีราว 10-30% ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับบุคคล แต่หลังจากนั้นคอลลาเจนจะค่อยๆ สร้างตัวขึ้นผิวจึงค่อย ๆ เห็นผลชัดเจนขึ้นเป็นระยะโดยจะเห็นผลอย่างชัดเจนที่สุดราว 1-3 เดือน
  6. ระดับความเจ็บปวดขณะที่ใช้โปรแกรมนี้อาจจะมากกว่าบางโปรแกรมเล็กน้อยแต่ต้องยอมรับเลยว่าเป็นโปรแกรมยกกระชับหน้าที่คงสภาพหลังรักษาได้นานถึง 1 ปีหรือปีครึ่ง ซึ่งถือว่านานกว่าการใช้โปรแกรมอื่นที่มีลักษณะคล้ายกัน นั่นแปลว่าไม่ต้องกลับมาทำซ้ำบ่อย ๆ ได้ผลดีกว่าและประหยัดเงินมากกว่าด้วย
  7. เป็นโปรแกรมยกกระชับหน้าที่เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป เพราะเป็นวัยที่เริ่มมีริ้วรอยเยอะขึ้น ผู้ที่เข้าโปรแกรมจะเห็นผลชัดเจนมาก จึงเป็นที่พอใจสำหรับคุณผู้หญิงวัย 40 Up ที่สุด

จะเห็นได้ว่าโปรแกรมยกกระชับหน้าด้วย Ulthera นี้ นอกจากเจ็บตัวน้อย หายเร็ว และไม่ทิ้งรอยแผลเป็นแล้ว ยังเป็นโปรแกรมที่ให้ผลลัพธ์ที่ยาวนานมาก ถือเป็นโปรแกรมยกกระชับหน้าที่คุ้มค่าคุ้มราคาเสียจริง ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้โปรแกรม Ulthera ได้รับความนิยมที่สุดในหมู่คุณผู้หญิงวัย 40 ขึ้นไป โดยในวัยนี้หากมีปัญหาผิวควรให้ผู้เชี่ยวชาญดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อการแก้ปัญหาผิวได้ตรงจุดที่สุด สำหรับท่านที่มีปัญหาผิวไม่กระชับ สามารถปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านของรมย์รวินท์ คลินิกได้ทุกสาขา หรือแอดไลน์พูดคุยกับเราก่อนได้ที่ ………

5 เคล็ดลับ ยกกระชับหน้า ด้วยวิธีธรรมชาติ

256 1

ไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชาย เราก็ล้วนแต่ต้องการให้ใบหน้าอ่อนเยาว์ไร้ริ้วรอยก่อนวัยทั้งนั้น โดยเฉพาะคุณผู้หญิงที่มักเจอกับปัญหาผิวแก่ก่อนวัยมากกว่าผู้ชาย ทำให้สาวๆ ต้องสรรหาวิธีมา ยกกระชับหน้า กันแบบเร่งด่วน!

ผิวของเรามีความยืดหยุ่นและน้ำมันหล่อเลี้ยงที่คอยปกป้องผิวตามธรรมชาติ ทำให้ผิวหน้าของวัยสาวมีความนุ่มเนียน เด้งกระชับ เต่งตึง แต่เมื่อเวลาผ่านไปการผลิตคอลลาเจนใต้ชั้นผิวลดลง รวมถึงผิวของเราถูกทำร้ายจากมลภาวะต่างๆ ทั้งภายในและภายนอก ส่งผลให้ผิวที่เคยเนียนกระชับ กลับต้องพบกับริ้วรอยแห่งวัย ไม่สดใสเต่งตึงเหมือนเดิม เทคนิคการยกกระชับหน้า จึงเข้ามาเป็นทางเลือกให้กับเรานั่นเองค่ะ

5 เคล็ดลับยกกระชับหน้าด้วยตัวเองโดยวิธีธรรมชาติ

  1. กระตุ้นและบริหารกล้ามเนื้อบนใบหน้า
    การบริหารกล้ามเนื้อบนใบหน้า สามารถทำได้โดยฝึกขยับใบหน้าโดยใช้ปาก ให้ขยับปากคล้ายการออกเสียงตามตัวอักษรภาษาอังกฤษ คือ ตัว A, E, I, O, U หมั่นทำเป็นประจำทุกวันอย่างสม่ำเสมอ จะทำให้ใบหน้าดูเรียวสวย ยกกระชับหน้าได้มากขึ้น 
  2. นวดเพื่อยกกระชับหน้า 
    การนวดช่วยให้เลือดไหลเวียนดี ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง นอกจากนี้ยังช่วยยกกระชับหน้าให้ดูเด็กลงได้ เริ่มจากการใช้นิ้วมือนวดคลึงบริเวณใบหน้า ไล่ตั้งแต่คางขึ้นไปจนถึงหน้าผากอย่างเบามือ นอกจากการนวดจะทำให้ผิวกระชับขึ้นแล้ว ยังส่งผลให้ระบบน้ำเหลืองไหลเวียนดีขึ้น
  3. ช่วยลดอาการบวมของใบหน้า
    ลดการรับประทานอาหารที่มีโซเดียมสูง การทานอาหารที่มีโซเดียมสูง เป็นตัวการทำให้หน้าบวมน้ำ แถมยังทำให้แก่เร็ว มีริ้วรอยก่อนวัยเกิดขึ้นง่าย ใครที่อยากยกกระชับหน้าต้องเลี่ยงค่ะ
  4. ลดการเคี้ยวอาหารที่เหนียว เคี้ยวยากหรือต้องออกแรงบริเวณกราม
    ไม่ว่าจะเป็นขนมที่มีความเหนียวอย่างมันฝรั่งหรือขนมขบเคี้ยวต่างๆ ก็ควรลดลง ไม่ควรกินบ่อยๆ เพราะจะส่งผลให้กรามหนาและใหญ่ขึ้น อีกทั้งยังส่งผลให้เกิดริ้วรอยลึกบริเวณร่องแก้มได้ง่ายขึ้นอีกด้วย
  5. บำรุงผิวด้วยผลิตภัณฑ์เฉพาะทาง
    ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าหลายๆ ตัวที่มีความสามารถในการลดเลือนริ้วรอยและยกกระชับหน้า ทำให้ผิวดูเปล่งปลั่งสดใสขึ้นได้ในชั่วข้ามคืน แต่การใช้ครีมก็เป็นเพียงแค่การบำรุงภายนอกเท่านั้น หากหยุดใช้หรือผ่านไปไม่นาน ผิวหน้าก็จะกลับมาหย่อนคล้อยเหมือนเดิม

และจะมีทางไหนมั้ยนะที่สามารถยกกระชับหน้าอย่างได้ผลและมีประสิทธิภาพ แต่ก็ยังคงความเป็นธรรมชาติและไม่มีผลเสียต่อร่างกาย? คำตอบก็คือ “การทำทรีทเม้นท์ยกกระชับหน้า Thermage จากรมย์รวินทร์คลินิก” นั่นเองค่ะ

ทรีทเม้นท์ Thermage จากรมย์รวินท์คลินิกคืออะไร?

โปรแกรมยกกระชับหน้า Thermage จากรมย์รวินทร์คลินิกใช้เทคโนโลยียกกระชับหน้าด้วยเทคนิคการทำให้เส้นใยคอลลาเจนเก่าหดตัวและช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิวขึ้นใหม่ ทำให้ผิวกระชับ เต่งตึง เป็นการยกกระชับหน้าด้วยวิธีกระตุ้นคอลลาเจนตามธรรมชาติใต้ชั้นผิวของเรา นอกจากนี้เรายังพัฒนาให้ความเจ็บระหว่างขั้นตอนการทำลดลง ความร้อนกระจายตัวสู่ผิวได้สม่ำเสมอขึ้น เห็นผลชัดเจนและเหมาะกับผิวของคนไทยอีกด้วยค่ะ

เรื่องของการย้อนวัยให้ผิวเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะอายุของผิวหน้าจะส่งผลกระทบทั้งต่อบุคลิกและความมั่นใจของเรา เพราะฉะนั้นใครที่รู้ตัวว่าริ้วรอยแห่งวัยเริ่มถามหา อย่าลืมนำวิธียกกระชับหน้าที่เรานำมาฝากวันนี้ไปใช้กันดูนะคะ

เหตุผลที่คุณควรรักษา ฝ้า กระ จุดด่างดำ

256

ฝ้า กระ จุดด่างดำ สามารถเกิดขึ้นได้ทั่วผิวกาย หลายคนอาจจะคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดา แค่ไม่ใส่ใจก็ไม่เป็นไรหรือไม่ก็อาจจะคิดว่าแค่ตำหนิบนใบหน้าไม่หนักหนาหรอกจริงไหม? แต่การมีฝ้า กระ จุดด่างดำนั้นอาจมีผลกระทบบางอย่างทำให้คุณไม่ชอบใจ วันนี้จะชวนสาวๆ มาดูกันค่ะ ว่าทำไมเราถึงควรกำจัดฝ้า กระ จุดด่างดำออกจากใบหน้า

  1. สมัครงานหน้าใสมีชัยไปกว่าครึ่ง
    ไม่ว่าจะยุคไหนเราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าใบหน้านั้นยังเป็นเครื่องดึงดูดผู้คนเข้าหา การเริ่มต้นสมัครงานเช่นเดียวกัน การที่มีใบหน้าสวยใส ไร้จุดด่างดำ เป็นผลดีกับการทำงาน ไม่ว่าคุณจะสีผิวไหน ขอแค่เรียบเนียนและไร้จุดด่างดำก็ทำให้มีคนสนใจคุณได้ไม่ยาก รวมไปถึงงานบางประเภทที่ต้องอาศัยหน้าตาด้วย เช่น พนักงานต้อนรับ แอร์โฮสเตส เป็นต้น หน้าตาเกลี้ยงเกลาสวยใสยังเป็นสิ่งสำคัญต่ออาชีพเป็นอย่างยิ่ง ถ้าสาวๆ อยากเข้าทำงานจำเป็นต้องกำจัดรักษาฝ้า กระ จุดด่างดำไปซะจะได้หมดอุปสรรคในการสมัครทำงาน เข้าตากรรมการตั้งแต่สบตาน๊าค๊า
  2. เผยผิวให้หนุ่มๆ เหลียวมอง
    เรามักจะได้ยินคำพูดนี้เสมอ ว่าผู้ชายชอบผู้หญิงไม่แต่งหน้า แต่ถ้าคุณมีฝ้า กระ จุดด่างดำล่ะจะทำยังไง หนุ่มๆ คงจะจับจ้องแผ่นฝ้า กระ และจุดด่าดำบนใบหน้ามากกว่าจะอยากศึกษานิสัยใจคอคุณต่อ ไม่มีใครไม่อยากให้หน้าเป๊ะ! ถ้าฝ้าเป็นขวากหนามในการหาแฟนทำไมเราถึงจะไม่อยากกำจัดรักษาฝ้า กระกันละ จริงไหมคะสาวๆ
  3. หมอดูทักมา!
    ถ้าคุณมีฝ้า กระ จุดด่างดำที่บดบังโหงวเฮ้งของคุณ อาจจะส่งผลต่อดวงชะตาก็เป็นได้ใครหาว่างมงายแต่มีอยู่จริงน๊าค๊า ในศาสตร์ที่ว่าด้วยเรื่องของมหาเสน่ห์ จุดด่างดำ บางที่ดีแต่บางที่เป็นกาลกิณีอีก และถ้ามันรวมตัวกันเป็นไฝจะยิ่งใหญ่โตนะคะ ดังนั้นกำจัดออกตั้งแต่เนิ่นๆ จะเป็นการดีที่สุด เพื่อความสบายใจของคุณสาวๆ นั่นเอง
  4. อยากมั่นใจไม่โป๊ะ!
    เพราะฝ้า กระ จุดด่างดำที่ผุดขึ้นบนใบหน้า ไม่ว่าจะช่วงวัยไหน ก็ทำให้ขาดความมั่นใจได้ทั้งนั้นค่ะ ไม่ว่าจะเป็นสาวๆ วัยละอ่อนหรือคุณแม่ยังสวยที่เกิดฮอร์โมนแปรปรวนหลังคลอดบุตร ก็อยากมีใบหน้าที่กระจ่างใสไร้ตำหนิกันทั้งนั้น ในเมื่อสิ่งเหล่านั้นมาอยู่บนใบหน้าเราได้ เราก็สามารถกำจัดรักษาฝ้า กระให้พ้นทางได้เช่นกันค่ะ จัดการเลเซอร์มันออกซะดีกว่า บอกลาหน้าเป็นฝ้าแล้วกลับมาสวยใสอย่างเดิมเถอะค่ะ
  5. เพื่อการแต่หน้าได้ดีขึ้น
    สังเกตไหมว่าเวลาที่คุณสาวๆ ต้องการแต่งหน้าเพื่อกลบจุดบกพร่อง บางอย่างหนึ่งในนั้นคือฝ้า กระ จุดด่างดำ แต่ถ้าฝ้าเป็นแผ่นแน่นติดใบหน้าเป็นวงกว้างจะเอาคอนซีเลอร์ที่ไหนปกปิดหรือจะรองพื้นยี่ห้อดังแค่ไหนก็ไม่สามารถปิดมิดนะคะ ถึงจะสาย “ฝ” เต็มขั้นแค่ไหนก็เอาไม่อยู่ แต่หน้าแต่ละทีต้องเรียกว่าถมรองพื้นจนแน่นยิ่งเสียงต่อการเกิดฝ้าเพิ่มขึ้นอีก และถ้าคุณอยากแต่หน้าเกาหลี โชว์ผิวแล้วละก็ ลืมไปได้เลยค่ะ เปลี่ยนลุคแต่ละทีคิดหนักจนปวดหัว เพื่อความสะดวกเลเซอร์รักษาฝ้า กระซะเถอะค่ะ ง่ายสุดแล้วไปหยุดอยู่ที่ความสวย

ปัจจุบันการเลเซอร์มีวิวัฒนาการล้ำหน้ามากยิ่งขึ้นยิ่งเป็นการเลเซอร์รักษาฝ้า กระ จุดด่างดำไม่ได้เจ็บแสบมากอย่างที่ทุกคนคิดกันถ้าเจ็บก็ต้องบอกว่าเจ็บนิดเดียวแต่ถ้าแลกด้วยความสวยใครล่ะคะจะไม่อยากลองทั้งสะดวก ปลอดภัย และให้ผลรวดเร็วกว่าวิธีอื่นอีกด้วย

สาเหตุที่ทำให้เกิดฝ้า กระ จุดด่างดำ ที่สาวๆต้องรู้

255

ผิวของมนุษย์มีการผลิตเม็ดสีเมลาไวท์ (เม็ดสีอ่อน) และเมลานิน (เม็ดสีเข้ม) ซึ่งฝ้า กระ จุดด่างดำ คือภาวะที่เรียกว่าไฮเปอร์พิกเมนเทชั่นเกิดขึ้นเมื่อร่างกายผลิตเม็ดสีเข้มหรือเมลานินมากเกินไปจนผิดปกติ ซึ่งสามารถเกิดขึ้นทุกที่บนผิว ผลของการผลิตเม็ดสีเมลานินนี้สามารถทำให้ผิวจริงถูกบดบัง หมองคล้ำขาดความกระจ่างใส เม็ดสีที่เกาะกลุ่มรวมตัวกันนั้นมีรูปร่างและขนาดที่หลากหลาย ยากต่อการปกปิด ถมคอลซีเลอร์กี่เฉดก็เอาไม่อยู่ อาจส่งผลถึงความมั่นใจในการใช้ชีวิตประจำวันของคุณสาวๆ ที่มาของ ฝ้า กระ จุดด่างดำนั้นมีหลายสาเหตุ ดังต่อไปนี้

  1. แสงแดดตัวร้าย
    รังสีอัลตราไวโอเลต (UV) มาพร้อมกับแสงแดดศัตรูหมายเลขหนึ่งที่คุณเผชิญอยู่ทุกวัน แม้ว่าการอยู่ในแสงแดดเป็นสิ่งที่ดีมีประโยชน์เพราะช่วยกระตุ้นให้เซลล์ผิวสร้างวิตามินดีแก่ร่างกาย แต่ถ้าได้รับมากไปจากมีประโยชน์จะกลายเป็นให้โทษได้ เพราะในแสงแดดมี รังสีอัลตราไวโอเลต (UV) ที่สามารถทำลายชั้นผิว สำหรับคนที่ทำงานกลางแจ้ง ออกแดดบ่อยครั้งจะทำให้เกิดริ้วรอย ฝ้า กระ จุดด่างดำ ได้ง่ายมาก
  2. กรรมพันธุ์
    มีการวิจัยว่าหากครอบครัวใดมีพ่อแม่ที่เป็นฝ้า โอกาสที่บุตรหลานจะเป็นฝ้าด้วยนั้นมีมากถึง 30 – 50% และมักพบในคนเอเชียมากกว่าคนยุโรป และผู้ที่เป็นฝ้าจากกรรมพันธุ์ถ้ารักษาฝ้า กระ จุดด่างดำให้หายแล้ว จะมีโอกาสกลับมาเป็นฝ้าอีกสูงมาก ดังนั้นคนที่เป็นฝ้าเพราะกรรมพันธุ์อาจจะไม่สามารถรักษาฝ้าให้หายขาดได้ซะทีเดียว คุณจึงควรดูแลและป้องกันผิวหน้าเป็นพิเศษ กันไว้ดีกว่าแก้ทีหลังดีกว่าต้องมานั่งรักษาฝ้า กระ จุดด่างดำเป็นเวลานาน
  3. เครื่องสำอาง
    เครื่องสำอางก็มีส่วนทำให้คุณเกิดฝ้า กระ จุดด่างดำได้เช่นกัน โดยเฉพาะเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของน้ำหอม สี หรือแอลกอฮอลล์ เพราะสารเหล่านี้มักเป็นสารเคมีที่อาจก่อให้เกิดการแพ้ระคายเคือง ก่อให้เกิดรอยดำคล้ำ ยิ่งเมื่อคุณแพ้เครื่องสำอางแล้วยังดันทุรังใช้ เมื่อโดนแสงแดดก็จะเกิดฝ้าได้ง่าย เนื่องจากผิวบอบบางจึงไวต่อแสง ดังนั้นเมื่อคุณเริ่มเป็นฝ้าจากเครื่องสำอางที่ใช้อยู่ควรหยุดใช้และรีบรักษาฝ้าโดยเร็ว เพื่อไม่ให้เป็นมากขึ้นจนยากที่จะรักษาฝ้า กระ จุดด่างดำให้หายได้
  4. การอบซาวหน้า
    เนื่องจากความร้อนในขณะซาวหน้าอาจส่งผลกับสาวๆ ที่ผิวบอบบาง เมื่อผิวถูกกระตุ้นโดยความร้อน จึงมีความไวในการเกิดฝ้า กระ จุดด่างดำจากความร้อนเนื่องจากการทำซาวหน้าได้
  5. ฮอร์โมน
    อิทธิพลของ ฮอร์โมน จะทำให้เซลล์สร้างเม็ดสีทำงานผิดปกติ ซึ่งอาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกาย (เช่น การตั้งครรภ์, วัยหมดประจำเดือน) เมลาสมาหรือโคลแอสมา (ฝ้า) มักถูกเรียกว่า “หน้ากากของการตั้งครรภ์” หรือ “the mask of pregnancy” เนื่องจากพบในผู้หญิงที่ตั้งครรภ์เป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางฮอร์โมนและยาคุมกำเนิด ทำให้เกิดฝ้า กระ จุดด่างดำบนใบหน้าหรือแขนที่มักมีบริเวณค่อนข้างใหญ่
  6. การใช้ยาบางชนิด
    พบว่าผู้ที่รับประทานยากันชักบางชนิด มักเกิดผื่นดำคล้ายรอยฝ้า กระ จุดด่างดำที่บริเวณใบหน้า จึงเชื่อว่ายานี้น่าจะมีความเกี่ยวข้องกับการเกิดฝ้า กระ จุดด่างดำนอกจากนี้ยาคุมกำเนิดบางชนิดก็มีผลทำให้เกิดฝ้าเช่นเดียวกัน
  7. ขาดวิตามิน
    สาวๆ ที่มีฝ้า กระ จุดด่างดำนั้นอาจมีผลมาจากการทำงานของตับผิดปกติเนื่องจากดื่มแอลกอฮอล์ปาตี้จัดหนักจนเกินพอดี หรือขาดวิตามินบี12 ก็เป็นได้ การขาดวิตามินชนิดนี้จะทำให้ร่างกายแปรปรวน จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดฝ้า กระ จุดด่างดำได้

เปลี่ยนจากหน้าพัง! เป็นหน้าปัง! ด้วยการรักษาฝ้า กระ จุดด่างดำด้วยเลเซอร์

254

เชื่อเหลือเกินว่าสาวๆ หลายคนไม่ได้มีความชื่นชอบกับฝ้า กระ จุดด่างดำบนใบหน้า ส่งกระจกทีไรแล้วไม่เคยพอใจสักที บางครั้งเป็นอุปสรรคต่อการแต่งหน้าอีกต่างหาก เผลอๆ จุดด่างดำบางจุดดันไปอยู่ในที่หมอดูทัก จะทำยังไงละทีนี้ หลากหลายวิธีในการกำจัด รักษาฝ้า กระ จุดด่างดำ มีให้เห็นเยอะมาก เลือกไม่ถูกว่าจะใช้ครีมตัวไหน นวัตกรรมอะไรดี วันนี้เราจะชวนคุณสาวๆ มาดูนวัตกรรมใหม่ล่าสุดของการกำจัดฝ้า กระ จุดด่างดำด้วยเลเซอร์ ที่รมย์รวินท์คลีนิกกันค่ะ

คอนเซปการทำเลเซอร์ชอบเค้าก็เก๋ไม่เบานะยูว์ มาในแบบเรียบๆ แต่เฉียบที่เดียว คือ “ฝ้ารักษายากแต่รักษาได้” ว่ากันว่าไม่เจ็บ ไม่แสบ เห็นผลทันใจและผลข้างเคียงน้อยด้วย มาดูกันดีกว่าว่าใบหน้าของสาวๆ จะได้รักการปรนนิบัติยังไงกันบ้าง

ขั้นตอนที่ 1 พูดคุณกับคุณหมอหรือผู้เชี่ยวชาญ

สาวๆ จะต้องเข้ารับการปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญเพื่อวิเคราะห์ความตื้น ลึก หนา บางรวมไปถึงขนาด ของฝ้า กระ จุดด่างทำที่อยากกำจัดให้หมดไป ร่วมพูดคุยและฟังข้อสรุปของปัญหาผิว การรักษาฝ้า กระ จุดด่างดำ ของผู้รับบริการ ในขั้นตอนนี้คนไข้สามารถถามปัญหาที่ตนสงสัยได้อย่างตามสบาย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาผิวการปฏิบัติตัว เอาที่แฮปปี้กันทั้งสองฝ่ายแล้วค่อยไปขั้นตอนต่อไป

ขั้นที่ตอน 2 รับ….ยาชา

หลังจากที่พูดคุยเม้าท์มอยกับคุณหมอเรื่องปัญหาผิว การรักษาฝ้า กระ จุดด่างดำ เรียบร้อย ถูกวิเคราะห์แล้วว่าจุดที่ต้องทำ คราวนี้ก็เป็นการขึ้นเตียงรอรับบริการ ด่านที่สองของการเดินทางไปสู่ผิวสวย คือการทายาชา และมนุษย์เมคอัพก็ต้องลบเครื่องสำอางให้เกลี้ยงกริบด้วยนะจ๊ะ ช่วงเวลานี้คุณหมอจะมีการพูดคุยหลอกล่อแบบน่ารักๆ แล้วทายาและแร็บแผ่นฟิล์มบนหน้า รอประมาณ 30- 40 นาที เพื่อความสวย นอนชาวนไปค่ะ

ขั้นตอนที่ 3 ยิงเลเซอร์

นวัตกรรมเลเซอร์รักษาฝ้า กระ จุดด่างดำ เจนเนอเรชั่นล่าสุด สามารถส่งพลังงานสูง ในช่วงระยะเวลาที่สั้นมาก ระดับ picosecond หรือ 1 ในล้านล้านวินาที ลงไปใต้ผิวหนังบริเวณที่เป็นฝ้า ทำให้เม็ดสีที่รวมตัวกันอยู่เป็นกลุ่มก้อนใต้ผิวแตกกระจายออกเป็นเม็ดละเอียดๆ ทันที โดยไม่เกิดความร้อน ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดผลข้างเคียง และที่สำคัญคือช่วยลดความเจ็บ ทำให้คุณสามารถเผยผิวสวยกระจ่างใสอีกด้วยค่ะ

ที่เจ๋งสุดๆ ก็คือเทคนิคนี้ใช้ได้ไปถึงกับการลบรอยสัก อย่างรอยสักคิ้วหรือรอบดวงตา ได้โดยไม่เสียงผิวไหม้ ถ้ารอยสักยังลบได้รอยสิวก็ไม่ต้องพูดถึงสินะ! ของเขาดียจ์จริงๆ

ขั้นตอนที่ 4 มาสก์หน้าผ่อนคลาย

ในที่สุดเราก็เดินทางมาถึงขั้นตอนท้ายสุดคือการทำมาสก์หน้า เพราะหลังจากการทำเลเซอร์รักษาฝ้า กระ จุดด่างดำ เรียบร้อยแล้ว ผิวหน้าอาจมีอาการแสบร้อน รอยแดงนิดๆ โดยมาสก์หน้าจะทำให้รู้สึกผ่อนคลายสบายผิวขึ้น ถึงจะมีรอยแดงบ้างเมื่อสิ้นสุดการเลเซอร์ แต่ถือว่าน้อยมากเรียกว่าดูไม่ออกก็ว่าได้ งานนี้ชิลด์ไปอีก

หลังจากการทำเลเซอร์รักษาฝ้า กระ จุดด่างดำ ประมาณ 2-3 อาทิตย์ผ่านไปก็เริ่มรับรู้ได้ถึงฟีดแบ็ค เวลาเพื่อนๆ ทักว่าช่วงนี้ไปทำอะไรมา ทำไมหน้าใส? อยากจะตอบไปเหมือนกันว่าแค่ ‘ดื่มน้ำเยอะๆ แล้วก็คิดบวก’ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าผลของการทำเลเซอร์ตัวนี้ทำให้ริ้วรอยแดงที่เคยเป็นปัญหาจางลงอย่างชัดเจน จนต้องบอกต่อเพื่อนสาวที่มีปัญหาผิวไปหลายนาง

สำหรับคนที่มีปัญหากระฝ้าหนักๆ คุณหมอแนะนำว่าให้ทำซ้ำ 2-3 ครั้งรับรองว่าเห็นผล ถือเป็นอีกทางเลือกที่ตอบโจทย์สาวยุคใหม่ ใส่ใจงานผิว มาสวยให้สุดกันเถอะค่ะ

วิธีรักษาฝ้า กระ จุดด่างดำ ให้ใบหน้าขาว ไร้ความหมองคล้ำ

253

คำว่าฝ้า กระ จุดด่างดำ พูดเบาๆก็เจ็บ ไม่มีใครไม่อยากให้ใบหน้าสดใสเปล่งปลั่ง กระจ่างใส ไร้ข้อบกพร่อง แต่ถ้าเกิดบังเอิญว่าสิ่งเหล่านั้นบังเอิญผุดขึ้นมาบนใบหน้า อาจทำให้สาวๆขากความมั่นใจอย่างมากในการดำรงชีวิตเพราะแทนที่ทุกคนที่คุยกับคุณ แทนที่จะมองหน้าอาจจะมองฝ้าที่เกาะอยู่บนหน้าคุณก็เป็นได้ สำหรับสาวๆที่กำลังกลุ้มใจกับ ฝ้า กระ จุดด่างดำอยู่ในขณะนี้ เราจึงมีวิธีการช่วยกำจัด ฝ้า กระจุดด่างดำมาฝากกัน ดังต่อไปนี้

  1. มาร์คหน้าด้วยวิธีธรรมชาติ การนำพืชบางชนิดที่มีคุณสมบัติรักษาฝ้า กระ จุดด่างดำเช่น หัวไชเท้า มะขามเปียก ว่านหางจระเข้ มะนาว ใบบัวบก มาผ่านกรรมวิธีอาทิ การบด คั้น ปั่น หั่น เป็นต้นเพื่อให้เกิดความละเอียดพอเหมาะแก่การพอกผิวเพื่อให้ฝ้ากระจุดด่างดำดูลดเลือนได้แต่ต้องใช้เวลานาน แต่วิธีการเหล่านี้อาจจะมีผลกระทบกับผู้แพ้สารอื่นในพืช หรือไม่ก็ต้องระวังเรื่องยาฆ่าแมลงตกค้างในพืชผัก จึงควรคำนึงถึง ถึงสารตกค้างให้มาก
  2. การเลือกใช้ครีมรักษาฝ้า กระ จุดด่างดำ ที่มีส่วนผสมของ AHA, วิตามินซี, อาร์บูติน กรดโคจิก ก็สามารถช่วยได้แต่อาจจะต้องใช้เวลานาน หรืออาจจะไม่ดีขึ้น
  3. การลอกฝ้า ไม่ว่าจะเป็นการใช้กรด อย่างเช่น AHA หรือการใช้ผงคริสตัล ขัดผิว ก็ล้วนแล้วแต่จะช่วยให้เซลล์ผิวเก่าหลุดลอกออกไปพร้อมเซลล์เม็ดสีที่กระจายตัวอยู่บนผิวชั้นบน นั่นคือรอยฝ้าก็จะแลดูจางลง แต่สิ่งที่คุณจะต้องเสี่ยงคือการที่ผิวบริเวณนั้นจะไวต่อแสงแดดมาก
  4. ฉีดเมโสรักษาฝ้า กระ จุดด่างดำ (Mesotherapy) เป็นการใช้เข็มเล็ก ๆ ฉีดตัวยาเข้าไปในชั้นผิวตื้น ๆ เพื่อการกระจายตัวยาที่ใช้รักษากระ ฝ้า ลงสู่ชั้นเซลล์ที่มีปัญหา โดยจะฉีดลึกลงไปประมาณ 1-2 มิลลิเมตร ระยะห่างกันไม่เกิน 1 เซนติเมตร เฉพาะบริเวณที่มีปัญหากระและฝ้า แต่ต้องทำการฉีดซ้ำทุก ๆ 1-2 อาทิตย์ วิธีนี้ถ้าจะหวังผลการรักษาให้เป็นที่พอใจคงเป็นไปได้ยาก อย่างมากก็แค่ช่วยให้ฝ้าดูจางลงเท่านั้น
  5. ไอออนโตรักษาฝ้า(Iontophoresis) เครื่องมือชนิดนี้ อาศัยหลักการปล่อยประจุไฟฟ้าระดับอ่อนๆ มีผลช่วยผลักยาหรือวิตามินที่เราทาไว้บนผิวให้ซึมผ่านเข้าสู่ผิวหนังได้ดียิ่งขึ้น ทำให้ยาออกฤทธิ์ในการรักษาได้ดี โดยยาที่นิยมนำมาใช้จะอยู่ในรูปแบบของเจล อย่างเจลอาร์บูติน, เจลโคจิก, เจลวิตามินซี, เจลลิโคไลซ์ และทรานซามิคเจล การรักษาแบบนี้มีผลข้างเคียงน้อย แต่อาจมีอาการระคายเคืองได้บ้าง หากทำเป็นประจำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้งฝ้า กระ จุดด่างจะจางลงตามลำดับ แต่ยังไม่ช่วยให้หายขาดจากการเป็นฝ้าได้
  6. การรักษาด้วยเลเซอร์ นวัตกรรมเลเซอร์รักษาฝ้า กระ จุดด่างดำโดยเลเซอร์สามารถส่งพลังงานคลื่นสูง ในช่วงระยะเวลาที่สั้น ลงไปใต้ผิวหนังบริเวณที่เป็นฝ้า ทำให้เม็ดสีที่รวมตัวกันอยู่เป็นกลุ่มก้อนใต้ผิวแตกกระจายออกเป็นเม็ดละเอียดๆทันที โดยไม่เกิดความร้อน ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดผลข้างเคียง และที่สำคัญคือช่วยลดความเจ็บ ทำให้คุณสามารถเผยผิวสวยกระจ่างใส รวดเร็ว เป็นวิธีกำจัดฝ้า กระจุดด่างดำหายขาด ได้โดยไม่ต้องใช้เวลานาน และให้ผลดีที่สุด

หมดปัญหาความกังวลใจ กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ “ปัสสาวะเล็ด” ที่ทำให้ต้องอยู่ติดบ้าน

39

อาการปัสสาวะเล็ด พบได้มากขึ้นในผู้หญิงวัย 35 ปีขึ้นไป และพบได้บ่อยในผู้หญิงสูงอายุ สำหรับผู้ชายจะพบปัญหาปัสสาวะเล็ดราดได้น้อยกว่า เนื่องจากผู้ชายมีกล้ามเนื้อหูรูดกระเพาะปัสสาวะที่แข็งแรงกว่า และมีต่อมลูกหมากที่ช่วยป้องกันไม่ให้ปัสสาวะเล็ดนี้ได้ จึงทำให้พบภาวะปัสสาวะเล็ดในผู้ชายน้อยกว่าผู้หญิง

ปัสสาวะเล็ด หรือ กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ นับว่าเป็นปัญหาที่ไม่ใช่เรื่องไกลตัวไปแล้ว เพราะเป็นภาวะที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน โดยเฉพาะกับผู้สูงอายุจะพบได้เป็นส่วนมากในความเป็นจริงแล้วยังมีผู้หญิงวัยทำงานหลายคนที่มีประสบการณ์ปัสสาวะเล็ด ส่งผลในการดำเนินชีวิตประจำวันอย่างมาก และมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น เพราะการใช้ชีวิตในสังคมเมือง มีความเร่งรีบในการใช้ชีวิต ทำให้ละเลยการเข้าห้องน้ำ อั้นปัสสาวะกันจนเคยชิน รวมถึงดื่มน้ำน้อย ทำให้เกิดภาวะปัสสาวะเล็ด และเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวเพียงนิดเดียว

เมื่อมีอาการภาวะปัสสาวะเล็ดขึ้น จะส่งผลกระทบทั้งทางร่างกายและจิตใจเป็นอย่างมาก หลายคนรู้สึกอับอายจนทำให้ไม่อยากเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ในสังคม บางคนต้องตื่นมาเข้าห้องน้ำกลางดึกทำให้พักผ่อนไม่เพียงพอ กลางวันก็ทำงานได้ไม่เต็มที่เพราะต้องลุกไปเข้าห้องน้ำบ่อยๆ เมื่อจำเป็นต้องเดินทางก็มีความกังวลเรื่องเข้าห้องน้ำ  ปัสสาวะเล็ดเป็นปัญหาที่บั่นทอนคุณภาพชีวิต ทำให้ชีวิตแย่ลง ทำให้มีปัญหาในการปรับตัวเข้ากับสังคม การใช้ชีวิตประจำวัน การประกอบอาชีพ รวมถึงปัญหาในเรื่องการมีเพศสัมพันธ์  ทำให้เกิดภาวะเครียดสะสม มีความกังวล เกิดเป็นปมด้อย และอาจทำให้มีอาการของโรคซึมเศร้าตามมาได้

shutterstock 1145413541

การรักษาภาวะปัสสาวะเล็ด

  1. ฝึกขมิบเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน การขมิบกระชับช่องคลอด เป็นการบริหารมดลูกและกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานให้ช่องคลอดกระชับแข็งแรง ซึ่งเป็นวิธีรักษาปัสสาวะเล็ดที่สามารถทำได้เป็นประจำทุกวัน  การ ขมิบ กระชับช่องคลอดจะช่วยเรื่องเซ็กส์ และ ความสัมพันธ์ในชีวิตคู่ให้ดีขึ้น อีกทั้งยังช่วยควบคุมไม่ให้ปัสสาวะเล็ดขณะไอหรือจามได้อีกด้วย
  2. การใช้ยา ถือเป็นการรักษาที่ได้ผลดี ในกลุ่มอาการที่ผู้ป่วยมีการปัสสาวะเล็ดและกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ หรือมีอาการของกระเพาะปัสสาวะที่มีการบีบตัวไวกว่าปกติ ยาที่มีประสิทธิภาพในการักษาความผิดปกตินี้ในปัจจุบันมีหลายชนิด กลไกการออกฤทธิ์ของยา จะเข้าไปยับยั้งการบีบตัวของกระเพาะปัสสาวะ ทำให้ลดอาการปัสสาวะบ่อย ลดอาการของการมีปัสสาวะเล็ดราด ทำให้กระเพาะปัสสาวะมีขนาดโตทำให้สามารถเก็บกักปัสสาวะได้มากขึ้น
  3. ใช้นวัตกรรมใหม่ที่ช่วย รักษาอาการของช่องคลอด อาการมดลูกหย่อน หรือ ต่ำ เนื่องจากช่องคลอดไม่กระชับกล้ามเนื้อหูรูดไม่แข็งแรง  ทำให้เกิดอาการ ปัสสาวะเล็ด เกิดขึ้นได้  การรักษาอาการปัสสาวะเล็ดนี้สามารถรักษาได้ด้วยเทคโนโลยีส่งพลังงานคลื่นวิทยุ ไปช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจน และ อิลาสติน ให้ขึ้นมาใหม่ ส่งผลให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน และ ผนังช่องคลอดแข็งแรง กระชับขึ้นได้ ทั้งภายในและภายนอกโดยไม่ต้องผ่าตัด

ผลที่ได้จากการรักษา ด้วยเทคโนโลยีส่งพลังงานคลื่นวิทยุ

  • ช่วยให้บริเวณภายนอกจุดซ่อนเร้น – กระชับผิว ลดริ้วรอยบริเวณรอบ ๆ ให้เรียบเนียนกระชับขึ้น
  • ผนังของช่องคลอดหดกระชับ มีความยืดหยุ่นมากขึ้น
  • ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบประเส้นประสาท และเพิ่มการไหลเวียนของเส้นเลือดที่มาหล่อเลี้ยงบริเวณจุดซ่อนเร้นให้ทำงานสมบูรณ์ขึ้น ลดการเกิดปัสสาวะเล็ด
  • ช่วยให้ระบบการทำงานของต่อมต่าง ๆ ทำงานดีขึ้น สร้างสารคัดหลั่งที่มาหล่อเลี้ยง เพิ่มความชุ่มชื้นภายในช่องคลอด
  • ช่วยกำจัดเชื้อโรคต่าง ๆ ทั้งภายนอกและภายในช่องคลอด รวมถึงช่วยแก้ปัญหาปัสสาวะเล็ดได้ด้วย

ภาวะปัสสาวะเล็ดราด หรือ ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ คือ การมีปัสสาวะรั่วไหลโดยไม่ตั้งใจ และมากจนทำให้เป็นปัญหาสุขภาพได้ ดังนั้นจึงควรหมั่นดูแลรักษาอวัยวะในให้เป็นปกติ เพื่อป้องกันปัญหาสุขภาพ ที่จะส่งผลให้เกิดภาวะปัสสาวะเล็ดออกมาสร้างปัญหาในการใช้ชีวิตประจำวัน และ การเข้าสังคมดังนั้นจึงควรดูแลรักษาอวัยวะในระบบขับถ่ายให้เป็นปกติอยู่เสมอ ซึ่งสามารถทำได้โดยการควบคุมน้ำหนัก รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ถูกสุขลักษณะ  ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย รวมทั้งให้ความสำคัญต่อเรื่องสุขภาพอนามัยให้ดี อย่าปล่อยให้อาการปัสสาวะเล็ดต้องเป็นปัญหาเรื่องสุขภาพ ถ้ามีอาการผิดปกติต้องรีบปรึกษาแพทย์ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของตัวเรานะค่ะ

บอกลา!!ช่องคลอดไม่กระชับ“ปัสสาวะเล็ด” ปัญหาใหญ่ที่กวนใจของผู้หญิง..

37

เมื่อร่างกายของผู้หญิงต้องพบกับปัญหาความเสื่อมโทรมภายในไม่กระชับ ทำให้มีโอกาส “ปัสสาวะเล็ด” เป็นภาวะที่ก่อให้เกิดความรำคาญ ทำให้คุณภาพชีวิตแย่ลง ไม่สามารถดำรงชีวิตเช่นปกติได้ ไม่สามารถเดินทาง หรือทำงานอย่างมีประสิทธิภาพได้ บางรายต้องออกจากงาน หรือขาดความก้าวหน้าในการทำงานเพราะอาการปัสสาวะเล็ด บางรายพบภาวะมดลูกหย่อน หรือมีการผายลมโดยไม่พึงประสงค์ ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความกังวลและอับอายเป็นอย่างมาก

เมื่อมีอาการภาวะปัสสาวะเล็ดขึ้น จะส่งผลกระทบทั้งทางร่างกายและจิตใจเป็นอย่างมากหลายคนรู้สึกอายจนทำให้ไม่อยากเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ในสังคม บางคนต้องตื่นมาเข้าห้องน้ำกลางดึกทำให้พักผ่อนไม่เพียงพอ กลางวันก็ทำงานได้ไม่เต็มที่เพราะต้องลุกไปเข้าห้องน้ำบ่อยๆ เมื่อจำเป็นต้องเดินทางก็มีความกังวลเรื่องเข้าห้องน้ำ  ปัสสาวะเล็ดเป็นปัญหาที่บั่นทอนคุณภาพชีวิต ทำให้ชีวิตแย่ลง ทำให้มีปัญหาในการปรับตัวเข้ากับสังคม การใช้ชีวิตประจำวัน การประกอบอาชีพ รวมถึงปัญหาในเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ทำให้เกิดภาวะเครียดสะสมมีความกังวล เกิดเป็นปมด้อย และอาจทำให้มีอาการของโรคซึมเศร้าตามมาได้

ภาวะปัสสาวะเล็ดราด หรือ ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ คือ การมีปัสสาวะรั่วไหลโดยไม่ตั้งใจ และมากพอจนทำให้เป็นปัญหาสุขภาพดังนั้น จึงควรดูแลรักษาอวัยวะในให้เป็นปกติ เพื่อป้องกันการเกิดภาวะปัสสาวะเล็ดซึ่งสามารถทำได้โดยการควบคุมน้ำหนัก รับประทานอาหารที่มีประโยชน์  ถูกสุขลักษณะ รับประทานผักผลไม้ ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย

38

วิธีการดูแลร่างกายเมื่อพบปัญหาความเสื่อมโทรมภายในช่องคลอดไม่กระชับ

  1. ฝึกขมิบเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานการขมิบกระชับช่องคลอดเป็นการบริหารมดลูกและกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานให้ช่องคลอดกระชับแข็งแรง ซึ่งสามารถทำได้เป็นประจำทุกวันการ ขมิบ กระชับช่องคลอดจะช่วยเรื่องเซ็กส์ และ ความสัมพันธ์ในชีวิตคู่ให้ดีขึ้น อีกทั้งยังช่วยควบคุมไม่ให้ปัสสาวะเล็ดขณะไอหรือจามได้อีกด้วย
  2. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานแข็งแรง จะช่วยป้องกันปัญหามดลูกต่ำและมดลูกหย่อนได้
  3. พฤติกรรมบำบัด โดยการปรับสภาพของน้ำดื่ม เช่นลดปริมาณการดื่ม หรือดื่มตามเวลา และพยายามควบคุมการถ่ายปัสสาวะ ให้ถ่ายเป็นเวลาเพื่อลดอาการปัสสาวะเล็ด
  4. การใช้ยา ถือเป็นการรักษาที่ได้ผลดี ในกลุ่มอาการที่ผู้ป่วยมีการปัสสาวะเล็ดและกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ หรือมีอาการของกระเพาะปัสสาวะที่มีการบีบตัวไวกว่าปกติ ยาที่มีประสิทธิภาพในการักษาความผิดปกตินี้ในปัจจุบันมีหลายชนิด กลไกการออกฤทธิ์ของยา จะเข้าไปยับยั้งการบีบตัวของกระเพาะปัสสาวะ ทำให้ลดอาการปัสสาวะบ่อย ลดอาการของการมีปัสสาวะเล็ดราด ทำให้กระเพาะปัสสาวะมีขนาดโตทำให้สามารถเก็บกักปัสสาวะได้มากขึ้น
  5. ใช้เทคโนโลยีช่วยรักษา การรักษาอาการปัสสาวะเล็ดนี้สามารถรักษาได้ด้วยเทคโนโลยีส่งพลังงานคลื่นวิทยุซึ่งนับเป็นรูปแบบหนึ่งของการทำรีแพร์ ไปช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจน และ อิลาสติน ให้ขึ้นมาใหม่ ส่งผลให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน และ ผนังช่องคลอดแข็งแรง กระชับขึ้นได้ ทั้งภายในและภายนอกโดยไม่ต้องผ่าตัด ลดอาการปัสสาวะเล็ดได้

สาวๆ ที่ต้องการให้ช่องคลอดฟิตกระชับและสุขภาพช่องคลอดดีจากภายในสู่ภายนอก ลดความเสี่ยงของการปัสสาวะเล็ด ต้องดูแลรักษาสุขภาพ หมั่นตรวจเช็คร่างกาย หากพบความผิดปกติให้รีบปรึกษาแพทย์ ทำการรักษาอย่าปล่อยให้มีอาการไม่พึงประสงค์ ทำความสะอาดช่องคลอดให้ถูกวิธี โดยการเช็ดจากด้านหน้าไปด้านหลัง อาบน้ำชำระล้างร่างกายให้สะอาดทุกวัน ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตจะช่วยทำให้ห่างไกลจากภาวะ“ปัสสาวะเล็ด” และทำให้การใช้ชีวิตในทุกๆ วันได้อย่างมั่นใจรับรองว่ามีความฟิต กระชับ ลืมหย่อนได้แน่นอน

อาการ“ปัสสาวะเล็ด” ปัญหากวนใจ ที่ใครไม่เป็นไม่รู้ถึงความลำบาก..อย่างเรา !!

36

อาการ“ปัสสาวะเล็ด” ปัญหากวนใจ ที่ใครไม่เป็นไม่รู้ถึงความลำบาก..อย่างเรา !!

การขับถ่ายปัสสาวะ คือการขับของเสียออกจากร่างกายซึ่งเป็นเรื่องปกติของกระบวนการทำงานของร่างกายคนเรา แต่เมื่อมีความผิดปกติในการขับถ่ายปัสสาวะทำให้ส่งปัญหาต่อเนื่องถึงสุขภาพ โดยทั่วไปอาการปัสสาวะเล็ด รบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน จนกระทั่งมีปัญหาที่รุนแรงตามมาเนื่องจากต้องเข้าห้องน้ำบ่อยในเวลาค่ำคืน ทำให้อดหลับ อดนอนเพราะต้องตื่นตอนกลางคืนบ่อยครั้ง ผู้ที่ประสบปัญหาในการขับถ่ายปัสสาวะ และปัสสาวะเล็ดราดหรือมีปัญหาปวดปัสสาวะที่รุนแรงนั้นมีจำนวนไม่มากนักที่มีความรู้ความเข้าใจ และทราบว่าปัญหาในการขับถ่ายปัสสาวะ อาการปัสสาวะเล็ดนี้สามารถแก้ไขได้ อาจจะทำการรักษาจนหายขาดหรือทำให้อาการดีขึ้น จนกลับมาใช้ชีวิตในสังคมได้ตามปกติ แต่ก็ยังมีอีกจำนวนไม่น้อยที่ไม่รู้ ยังคงต้องทรมานการจากนี้อยู่

ภาวะปกติการทำงาน ของกระเพาะปัสสาวะ

ในภาวะปกติของระบบทางเดินปัสสาวะระบบทางเดินปัสสาวะ ซึ่งมีลักษณะคล้ายถั่ว วางอยู่บริเวณเอว ทำหน้าที่ในการกลั่นกรองของเสีย และกลั่นออกมาเป็นปัสสาวะซึ่งประกอบด้วยน้ำ ของเสียต่างๆ เกลือแร่ ของเสียเหล่านี้จะขับผ่านลงมาทางท่อปัสสาวะ ลงมาถึงกระเพาะปัสสาวะ และเก็บกักในกระเพาะปัสสาวะจนกระทั่งเต็ม จึงมีการขับถ่ายออกผ่านทางท่อปัสสาวะ กระเพาะปัสสาวะมีลักษณะเป็นถุงกล้ามเนื้อมีลักษณะเฉพาะที่สามารถขยายขนาดได้ เมื่อมีน้ำปัสสาวะเพิ่มขึ้นโดยการขยายตัวของกระเพาะปัสสาวะนี้จะคงสภาพให้ความดันภายในกระเพาะปัสสาวะต่ำอยู่ตลอดเวลา และในระหว่างที่กระเพาะปัสสาวะทำหน้าที่ในการเก็บกักน้ำปัสสาวะนี้กลไกหูรูดที่อยู่ถัดจากกระเพาะปัสสาวะลงมาจะปิดสนิท ป้องกันไม่ให้น้ำปัสสาวะเล็ดไหลออกมาเมื่อเริ่มมีความรู้สึกปวดปัสสาวะ เมื่อมีปัสสาวะประมาณครึ่งหนึ่งของความจุในกระเพาะปัสสาวะ จะรู้สึกหน่วงๆ บริเวณท้องน้อย ไม่ใช่อาการปวดที่ต้องการไปถ่ายปัสสาวะ เราจะมีความรู้สึกต้องการถ่ายปัสสาวะเมื่อมีน้ำปัสสาวะเต็มแล้ว แต่หากเรายังไม่พร้อมที่จะถ่ายปัสสาวะ สมองจะสั่งการลงมากำกับยับยั้งไม่ให้กระเพาะปัสสาวะบีบตัว รวมถึงหูรูดปิดตัวให้แน่นหนาขึ้นเพื่อไม่ให้ปัสสาวะเล็ด เราจะสามารถกลั้นปัสสาวะต่อได้เพียงแต่มีอาการปวดปัสสาวะมากขึ้นเท่านั้น

หากเมื่อมีความพร้อมที่จะถ่ายปัสสาวะ เมื่อกระเพาะปัสสาวะเต็ม ระบบการรับรู้ของประสาทจะถูกส่งขึ้นไปจากกระเพาะปัสสาวะจนถึงสมอง และกระแสการรับรู้ของระบบประสาทจะส่งกลับลงมาผ่านไขสันหลัง ผ่านระบบประสาทส่งผลให้มีการบีบตัวของกระเพาะปัสสาวะพร้อมกับการคลายตัวของหูรูด  ทำให้มีปัสสาวะไหลออกมา และโดยปกติการขับถ่ายปัสสาวะจะต้องหมด ไม่มีปัสสาวะตกค้าง ดังนั้นหากระบบทางเดินปัสสาวะไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ กระเพาะปัสสาวะมีการบีบตัวก่อนถึงเวลาสมควร หรือบีบตัวนอกเหนือจากระบบประสาทสั่งการ หรือกลไกของหูรูดไม่แข็งแรงพอ ก็จะส่งผลให้มีปัสสาวะเล็ดราดออกมา และเมื่อมีการขับถ่ายปัสสาวะออกมาไม่หมดมีปัสสาวะตกค้างก็ทำให้มีปัสสาวะเล็ดราดออกมาได้

สาเหตุของความผิดปกติในการขับถ่ายปัสสาวะและปัสสาวะเล็ด

การกลั้นปัสสาวะไม่อยู่และความผิดปกติในการขับถ่ายปัสสาวะ เป็นเพียงอาการเท่านั้น แต่อาการที่ชี้บ่งถึงความผิดปกติของการขับถ่ายปัสสาวะ ปัสสาวะเล็ด อาจมาจากโรคอื่นๆที่เป็นอยู่ภายในร่างกายซึ่งเกิดจากกระเพาะมีการบีบตัวที่ผิดปกติ ซึ่งส่วนมากจะมีการบีบตัวที่ไวกว่าปกติ บีบตัวอย่างไม่เป็นเวลา ทำให้มีอาการปวดปัสสาวะเร็วกว่าที่ควร และมีปัสสาวะเล็ดราดออกมา ไม่สามารถควบคุมได้ สาเหตุมักจะเกิดจากโรคทางระบบประสาท โรคทางสมอง ไขสันหลัง โรคที่เกิดตามวัย ความเสื่อมของร่างกาย โรคเบาหวาน ทั้งที่เกิดเองหรือเกิดจากอุบัติเหตุ นอกจากนั้นอาจจะเกิดจากโรคบริเวณกระเพาะปัสสาวะเอง ที่พบบ่อยได้แก่การอักเสบติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะส่งผลให้เกิดปัสสาวะตกค้างในกระเพาะปัสสาวะ และจะไหลรินออกมาเมื่อมีปัสสาวะค้างมากจนเกินกว่าที่กระเพาะปัสสาวะรับได้ ทำให้เกิดอาการปัสสาวะเล็ดได้ค่ะ

shutterstock 763880281

วิธีการรักษา อาการปัสสาวะเล็ด

การขมิบเพื่อกระชับช่องคลอด

เพื่อการบริหารช่วงล่าง  หากมีอาการปัสสาวะเล็ดในระยะเริ่มแรก ควรทำการบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานด้วยการขมิบช่องคลอด  ก่อนการขมิบต้องปัสสาวะให้เรียบร้อย จากนั้นนอนหงาย  แล้วขมิบไว้  5  วินาที  จากนั้นปล่อย และทำซ้ำติดต่อกัน 4-5  ครั้ง  การดูแลเบื้องต้นนี้จะทำให้อาการปัสสาวะเล็ดดีขึ้น แต่ต้องใช้ระยะเวลา และการทำให้สม่ำเสมอ

การออกกำลังกาย

ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานแข็งแรง จะช่วยป้องกันปัญหามดลูกต่ำและมดลูกหย่อนได้อีกทัั้งช่วยรักษาอาการปัสสาวะเล็ดได้

ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม

พฤติกรรมบำบัด เป็นการรักษาอาการปัสสาวะเล็ดที่ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของตัวเอง โดยการปรับสภาพของ น้ำดื่ม เช่นลดปริมาณการดื่ม หรือดื่มตามเวลา และพยายามควบคุมการถ่ายปัสสาวะ ให้ถ่ายเป็นเวลา

นวัตกรรมพลังงานคลื่นวิทยุ

เป็นการใช้เทคโนโลยีในการรักษาปัสสาวะเล็ด ด้วยนวัตกรรมพลังงานคลื่นวิทยุ เทคโนโลยีนี้จะไปช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจน และ อิลาสตินขึ้นมาใหม่ เพื่อรักษาสุขภาพช่องคลอดโดยไม่ต้องผ่าตัด ทำให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน และ ผนังช่องคลอดแข็งแรง กระชับตึงขึ้น ทั้งบริเวณภายนอกและภายในช่องคลอด

สาเหตุของอาการปัสสาวะเล็ดนั้นเกิดจากกลไกหูรูด ส่วนมากเกิดจากหูรูดที่หย่อนกว่าปกติ ทำให้ไม่สามารถทำหน้าที่ได้ในขณะที่มีการเก็บกักปัสสาวะ มีปัสสาวะเล็ดไหลออกมา หรืออาจจะไหลออกมาเมื่อมีการเพิ่มแรงดันจากในช่องท้อง เช่น เมื่อไอ จาม หัวเราะ จะมีปัสสาวะเล็ดออกมา ซึ่งพบได้บ่อยในผู้หญิง นอกจากนั้นการที่หูรูดทำงานมากกว่าปกติ ทำให้ถ่ายปัสสาวะไม่ออกถ่ายปัสสาวะไม่หมดเมื่อมีปัสสาวะตกค้างในกระเพาะปัสสาวะมากก็มีปัสสาวะเล็ดไหลออกมา ดังนั้น การรักษาสุขภาพช่องคลอด เป็นเรื่องที่สำคัญมาก อย่าให้อาการปัสสาวะเล็ดมาสร้างปัญหาให้กับชีวิต เมื่อเริ่มมีอาการให้ทำการตรวจเช็คร่างกายตรวจหาสาเหตุของอาการ ทำการรักษาโดยเร็ว เพื่อการใช้ชีวิตได้เป็นปกติ คลายความกังวล ทำมีความมั่นใจในการใช้ชีวิตมากขึ้น

กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ อาการต้องสงสัย “ปัสสาวะเล็ด” หากรู้ไวรักษาได้ทัน

31 1

อาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ หรือ เป็นปัญหาที่สร้างความกังวลใจให้กับคุณผู้หญิงอยู่ไม่น้อย  ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ หรือ ภาวะปัสสาวะเล็ด คือภาวะที่ร่างกายสูญเสียการควบคุมของกระเพาะปัสสาวะและไม่สามารถกลั้นปัสสาวะได้ ปัจจุบันผู้หญิงกำลังเผชิญกับปัญหานี้ อาการปัสสาวะเล็ดสร้างความลำบากและความกังวลใจในชีวิตประจำวันมากทีเดียว

ภาวะปัสสาวะเล็ด

เป็นอาการของผู้ที่อยู่ในภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ จะไม่สามารถกลั้นปัสสาวะได้ น้ำปัสสาวะมักจะซึมหรือปัสสาวะเล็ดออกมาได้ตลอดเวลา ในระหว่างการไอ จาม หัวเราะ หรือวิ่ง บางครั้งน้ำปัสสาวะเล็ดไหลออกมาสำหรับบางคนระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ก็ไหลออกมาด้วยก็มี

สาเหตุของอาการ

  • สาเหตุหลักของการเกิดภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ หรือ ปัสสาวะเล็ดนั้น มาจากการหย่อนคล้อยของกล้ามเนื้อภายในช่องคลอด และรอบๆกระเพาะปัสสาวะทำให้ไม่สามารถกลั้นปัสสาวะได้
  • กล้ามเนื้อหูรูดที่ท่อปัสสาวะไม่สามารถควบคุมการไหลผ่านของของเหลวทำให้เก็บกักปัสสาวะไม่อยู่ และเกิดจากผนังกล้ามเนื้อภายในกระเพาะปัสสาวะบีบตัวเพื่อไล่ของเหลวออกมา
  • การกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ปัสสาวะเล็ดอาจเกิดขึ้นเมื่อกล้ามเนื้อที่กระเพาะปัสสาวะบีบตัวกระทันหัน หรือเมื่อกล้ามเนื้อหูรูดไม่แข็งแรงพอที่จะบีบตัว เพื่อปิดไม่ให้น้ำปัสสาวะไหลผ่านท่อปัสสาวะ จึงทำให้ปัสสาวะเล็ดลอดออกมา
shutterstock 1106316761

สาเหตุของการเกิดปัสสาวะเล็ด

การตั้งครรภ์

ผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์จะประสบกับปัญหาการควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะ เพราะเด็กที่อยู่ในครรภ์จะดันกระเพาะปัสสาวะทำให้ท่อปัสสาวะบีบตัว จึงทำให้รู้สึกปวดปัสสาวะบ่อยหรือปัสสาวะเล็ดออกมา

หลังการคลอดบุตร

 ผู้หญิงหลังการคลอดด้วยวิธีธรรมชาติ มักจะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่หลังจากการคลอดบุตรภายใน 6 เดือน เพราะการคลอดบุตรทำให้อุ้งเชิงกรานและเส้นประสาทรอบๆกระเพาะปัสสาวะอ่อนตัวไม่สามาถบีบตัวได้ดีเท่าที่ควรจึงทำให้ปัสสาวะเล็ดออกมาได้

ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน

ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนเนื้อเยื่อบริเวณท่อปัสสาวะรวมไปถึงอุ้งเชิงกรานจะไม่แข็งแรงหรือสูญเสียความยืดหยุ่น และไม่สามารถควบคุมการบีบตัวได้ดี เมื่อถึงวัยหมดประจำเดือน จึงทำให้ปัสสาวะเล็ดออกมาได้

การติดเชื้อในกระเพราะปัสสาวะ

การติดเชื้อของกระเพาะหรือท่อปัสสาวะทำให้ร่างกายไม่สามารถควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะได้ตามปกติ  ทำให้เกิดภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ปัสสาวะเล็ดได้เช่นกัน

ผู้ที่อยู่ในภาวะโรคอ้วน

ผู้ที่มีน้ำหนักเกินมาตรฐานหรือมีไขมันส่วนเกินมากมักรู้สึกปวดปัสสาวะบ่อย เพราะไขมันส่วนเกิน จะเข้าไปกดทับบริเวณท้องน้อยเพิ่มแรงกดทับลงบนกระเพาะปัสสาวะ ทำให้มีการบีบตัวส่งผลให้น้ำปัสสาวะเล็ดไหลออกมาได้

เครื่องดื่มคาเฟอีน

การดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ และน้ำอัดลม จะทำให้กระเพาะปัสสาวะเกิดการผลิตน้ำปัสสาวะออกมามากเพื่อขับสารคาเฟอีนให้ออกจากร่างกาย ควรหลีกเลี่ยงคาเฟอีนเพื่อป้องกันอาการปัสสาวะเล็ด

เส้นประสาทถูกทำลาย

การขับถ่ายปัสสาวะนั้นเป็นไปโดยธรรมชาติ เมื่อกระเพาะปัสสาวะมีของเหลวมากจำเป็นต้องขับของเสียออกมา แต่หากเส้นประสาทถูกทำลายไม่สามารถรับรู้ได้ เมื่อน้ำปัสสาวะในกระเพาะปัสสาวะมากขึ้น จะไม่รู้สึกปวดปัสสาวะ ไม่บีบตัวเพื่อขับของเหลวออก หรือเส้นประสาทไม่สั่งการให้กล้ามเนื้อหูรูดบีบตัว ทำให้น้ำปัสสาวะเล็ดออกมาจากกระเพาะปัสสาวะได้

การรักษาอาการปัสสาวะเล็ด

ปัจจุบันนี้มีนวัตกรรมใหม่ที่ช่วย รักษาปัสสาวะเล็ด รักษาอาการของช่องคลอด อาการมดลูกหย่อน หรือ ต่ำ เนื่องจากช่องคลอดไม่กระชับกล้ามเนื้อหูรูดไม่แข็งแรง  ทำให้เกิดอาการปัสสาวะเล็ดขึ้นได้  การรักษาอาการปัสสาวะเล็ดที่ว่านี้สามารถทำได้ด้วยเทคโนโลยีส่งพลังงานคลื่นวิทยุซึ่งนับเป็นทางเลือกหนึ่งของการทำรีแพร์ ไปช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจน และ อิลาสติน ให้ขึ้นมาใหม่ ส่งผลให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน และ ผนังช่องคลอดแข็งแรง กระชับขึ้นได้ ทั้งภายในและภายนอกโดยไม่ต้องผ่าตัด

ผลการรักษาด้วยเทคโนโลยีส่งพลังงานคลื่นวิทยุ

  • ช่วยให้บริเวณภายนอกจุดซ่อนเร้น – กระชับ ลดริ้วรอยบริเวณรอบ ๆ ให้เรียบเนียนกระชับขึ้น
  • ผนังช่องคลอดหดกระชับ มีความยืดหยุ่นมากขึ้น
  • ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบประสาท และเพิ่มการไหลเวียนของเส้นเลือดที่มาหล่อเลี้ยงบริเวณจุดซ่อนเร้นให้ทำงานสมบูรณ์ขึ้น แก้อาการปัสสาวะเล็ด
  • ช่วยให้ระบบการทำงานของต่อมต่าง ๆ ทำงานดีขึ้น อีกทั้งสร้างสารคัดหลั่งที่มาหล่อเลี้ยง เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับช่องคลอด
  • ช่วยกำจักเชื้อโรคต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอกช่องคลอด รวมถึงช่วยแก้ปัญหาภาวะปัสสาวะเล็ด

เมื่อทราบถึงลักษณะและสาเหตุอาการภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ หรือ ภาวะปัสสาวะเล็ด ต้องตรวจเช็คตัวเองบ้างว่าเข้าข่ายอยู่ในภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่หรือเปล่า หากมีอาการควรพบแพทย์เพื่อให้การรักษาโดยเร็วที่สุด เพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุที่แท้จริง  เพราะอาการเล็กน้อยอาจส่งผล ระยะยาวรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันของเราได้ หากเป็นในขั้นที่ไม่รุนแรง ภาวะปัสสาวะเล็ดนี้อาจหายไปเอง แต่ในกรณีที่มีอาการรุนแรงมาก ต้องเข้าพบแพทย์เพื่อทำการรักษา อย่าได้ชล่าใจเด็ดขาด รู้ไว รักษาไว หายได้ไวนะค่ะ

อย่า!!มองข้ามอาการ ปัสสาวะเล็ด..ภัยเงียบ ที่ไม่ใช่เรื่องเล็กของผู้หญิง

ปัสสาวะเล็ด

อย่า!!มองข้ามอาการ ปัสสาวะเล็ด..ภัยเงียบ ที่ไม่ใช่เรื่องเล็กของผู้หญิง

อาการปัสสาวะเล็ดสมารถเกิดขึ้นกับทุกเพศ ทุกวัย ทำให้บางคนขาดความมั่นใจไปเลย..  มันสร้างปัญหาให้เราอย่างคาดไม่ถึงเลยนะ  ..ขอบอก..  เพราะบางที แค่ไอ และ จามแรงๆ  ก็ทำให้ปัสสาวะเล็ดออกมาแล้ว ทำให้มีความกังวล ขาดความมั่นใจ และทำให้กลายเป็นปัญหาในชีวิตไปเลยก็ว่าได้ ..

อาการของการเกิดปัสสาวะเล็ด มีหลายสาเหตุ หลายปัจจัยที่ทำให้เกิด สำหรับคนที่ต้องเผชิญกับปัญหาปัสสาวะเล็ด คงมีความกังวล และ เครียดอยู่ไม่น้อย เรามาทำความรู้จัก อาการของโรคปัสสาวะเล็ดกันจะได้เข้าใจและรับมือได้ทันเมื่อเกิดขึ้นกับตัวเอง

อาการปัสสาวะเล็ด

ภาวะปัสสาวะเล็ด คือการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ การที่มีปัสสาวะไหลออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ โดยเฉพาะในขณะที่ทำกิจกรรมที่ต้องออกแรง เช่น ไอ จาม การยกของหนัก หัวเราะดังๆ หรือการออกกำลังกาย ก็อาจมีปัสสาวะเล็ดออกมาได้ ทั้งนี้พบว่าประชากรเพศหญิงประมาณ 10-20 % จะประสบปัญหาปัสสาวะเล็ด และก็มีข้อมูลว่าพบภาวะปัสสาวะเล็ดในผู้ชายได้ด้วยเช่นกัน แต่อยู่ในอัตราที่น้อยกว่าผู้หญิง

อาการปัสสาวะเล็ดกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย.. สาเหตุของการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่เกิดได้ทั้งความผิดปกติของระบบควบคุมประสาทในร่างกายหรือแม้แต่พฤติกรรมของเราเองในการใช้ชีวิตประจำวัน ซึ่งล้วนทำให้เกิดภาวะปัสสาวะเล็ดขึ้นได้ทั้งนั้น สาเหตุการเกิดจึงจำแนกออกเป็นแต่ละประเภทดังนี้

จากการตั้งครรภ์ และ การคลอดบุตร

โดยเฉพาะจำนวนครั้งของการคลอดบุตร จะมีความเสี่ยงมากขึ้นไม่จำเป็นว่าจะคลอดด้วยวิธีธรรมชาติ หรือการผ่าคลอด ล้วนมีความเสียงด้วยกันทั้งนั้น เพราะการตั้งครรภ์จะส่งผงให้อวัยวะในอุ้งเชิงกรานต้องรับน้ำหนักของเด็กตั้งแต่แรกอยู่แล้ว อาจส่งผลให้เกิดภาวะปัสสาวะเล็ดออกมาได้

จากอายุที่เพิ่มขึ้น

พบในสตรีวัยหมดประจำเดือน หรือวัยทองที่มีอายุ 40 ปี ขึ้นไป เกิดขึ้นได้ทั้งกรณีไอ และ จาม  จะไม่สามารถกลั้น และควบคุมการไหลของปัสสาวะไม่ได้ ทำให้มีปัสสาวะเล็ดไหลออกมา

จากความอ้วน หรือ โรคอ้วน

ผู้ที่มีน้ำหนักเกินมาตรฐานหรือมีไขมันส่วนเกินมากมักรู้สึกปวดปัสสาวะบ่อย เพราะไขมันส่วนเกิน จะเข้าไปกดทับบริเวณท้องน้อยเพิ่มแรงกดทับลงบนกระเพาะปัสสาวะ ทำให้มีการบีบตัวส่งผลให้น้ำปัสสาวะไหลเล็ดออกมาได้

ผู้หญิงที่ตัดมดลูก และหมดประจำเดือน

เนื่องจากผลของการขาดฮอร์โมนเอสโตรเจน มีผลทำให้เนื้อเยื่อที่พยุงระบบทางเดินปัสสาวะ และอวัยวะในอุ้งเชิงกรานฝ่อลง ส่งผลทำให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานไม่แข็งแรง และก่อให้เกิดภาวะปัสสาวะเล็ดได้

การติดเชื้อในกระเพราะปัสสาวะ

 การติดเชื้อของกระเพาะหรือท่อปัสสาวะทำให้ร่างกายไม่สามารถควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะได้ตามปกติ  ทำให้เกิดภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ปัสสาวะเล็ดได้เช่นกัน

shutterstock 272199491

วิธีการรักษา อาการปัสสาวะเล็ด

 การขมิบเพื่อกระชับช่องคลอ

เพื่อการบริหารช่วงล่าง  หากมีอาการปัสสาวะเล็ดในระยะเริ่มแรก ควรทำการบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานด้วยการขมิบช่องคลอด  ก่อนการขมิบต้องปัสสาวะให้เรียบร้อย จากนั้นนอนหงาย  แล้วขมิบไว้  5  วินาที  จากนั้นปล่อย และทำซ้ำติดต่อกัน 4-5  ครั้ง  การดูแลเบื้องต้นนี้จะทำให้อาการปัสสาวะเล็ดดีขึ้น แต่ต้องใช้ระยะเวลา และการทำให้สม่ำเสมอ

นวัตกรรมพลังงานคลื่นวิทยุ

ใช้เทคโนโลยีในการรักษาอาการปัสสาวะเล็ด ด้วยนวัตกรรมพลังงานคลื่นวิทยุ เทคโนโลยีนี้ จะไปช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจน และ อิลาสตินขึ้นมาใหม่ เพื่อรักษาสุขภาพช่องคลอดโดยไม่ต้องผ่าตัด ทำให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน และ ผนังช่องคลอดแข็งแรง กระชับตึงขึ้น ทั้งบริเวณภายนอกและภายในช่องคลอด และยังช่วยแก้ไขอาการปัสสาวะเล็ดได้อีกด้วย

สาเหตุของอาการปัสสาวะเล็ดนั้นเกิดจากกลไกหูรูด ส่วนมากเกิดจากหูรูดที่หย่อนกว่าปกติ ทำให้ไม่สามารถทำหน้าที่ได้ในขณะที่มีการเก็บกักปัสสาวะ มีปัสสาวะเล็ดไหลออกมา หรืออาจจะไหลออกมา เมื่อมีการเพิ่มแรงดันจากในช่องท้อง เช่นเมื่อไอ จาม หัวเราะ มีปัสสาวะเล็ดออกมา ซึ่งพบได้บ่อยในผู้หญิง นอกจากนั้นการที่หูรูดทำงานมากกว่าปกติ ทำให้ถ่ายปัสสาวะไม่ออกถ่ายปัสสาวะไม่หมดเมื่อมีปัสสาวะตกค้างในกระเพาะปัสสาวะมากก็มีปัสสาวะเล็ดไหลออกมา การดูแลรักษาสุขภาพช่องคลอด ตั้งแต่มีอาการเริ่มแรกนั้นสำคัญมาก อย่าให้อาการปัสสาวะเล็ดมาสร้างปัญหาให้กับชีวิต ใส่ใจดูแลรักษาตั้งแต่เริ่มมีอาการ เพื่อให้มีสุขภาพช่องคลอดที่ดี และทวงคืนความสุขของคุณผู้หญิงให้กลับมาอีกครั้ง

เตรียมตัวให้พร้อม ทั้งก่อนและหลังปรับรูปหน้าเรียวอย่างไรให้ถูกวิธี

หน้าเรียว

ด้วยเทคโนโลยีทางด้านความงามที่ก้าวหน้ามากขึ้นในปัจจุบัน ทำให้การแก้ไขปัญหาความหย่อนคล้อยของผิวพรรณจากวิธีทำหน้าเรียว อย่างเช่นการร้อยไหมปรับรูปหน้าเรียว หรือการฉีดโบซึ่งเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ได้รับความนิยมสูงนั้น สามารถตอบสนองความต้องการแก่ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับผิวหน้าได้เป็นอย่างดี

ความสำคัญของทำหน้าเรียวเพื่อความกระชับที่แลดูอ่อนเยาว์

ความสำคัญของการทำหน้าเรียวส่วนใหญ่จะเป็นศัลยกรรมเพื่อปรับรูปหน้าเรียวโดยไม่ต้องอาศัยการผ่าตัดหรือพักฟื้นแต่อย่างใด สำหรับการร้อยไหมจะเห็นผลลัพธ์ทันทีตั้งแต่ทำครั้งแรก ส่วนการฉีดโบหรือวิธีอื่นๆ จะเห็นผลใน 2–3 วันต่อมา และจะสังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นใน 1–2 เดือน

สิ่งสำคัญของการเสริมความงามด้วยการทำหน้าเรียวก็คือ ต้องเลือกสถานที่ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานและทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เพื่อป้องกันการเกิดข้อผิดพลาดหรือผลข้างเคียงต่างๆ ที่อาจเป็นอันตรายตามมาในภายหลัง และเมื่อเราได้รับการปรับรูปหน้าเรียวจนสวยสมใจแล้ว ก็สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ แต่จะมีข้อควรระวังเล็กน้อยตามความแตกต่างของแต่ละวิธี

เตรียมตัวอย่างไรให้ถูกวิธีก่อนตัดสินใจทำหน้าเรียว

การทำหน้าเรียวนั้นมีข้อดีคือใช้เวลาเพียงไม่นาน ดังนั้นเราจึงไม่จำเป็นต้องลางานหลายๆ วัน โดยที่พอทำเสร็จเรียบร้อยแล้วก็สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติทันที แต่ก่อนที่จะเข้ารับการปรับรูปหน้าเรียวจะต้องงดรับประทานยาและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทุกชนิดเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 1 สัปดาห์ โดยเฉพาะยาแอสไพริน วิตามินอี และน้ำมันปลา เพราะมีผลทำให้เลือดไหลไม่หยุดได้ ก่อนทำหน้าเรียวสิ่งสำคัญคือการหาข้อมูลให้มาก แต่หลังทำแล้วจะต้องดูแลตัวเองเป็นพิเศษ

การเตรียมตัวอย่างถูกวิธีหลังทำหน้าเรียว

เพื่อผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจและความปลอดภัยหลังจากที่สาวๆ เข้ารับบริการปรับรูปหน้าแล้วควรปฏิบัติและระวังกิจกรรมบางอย่างดังต่อไปนี้

  1. อาการบวมที่เกิดขึ้นหลังจากปรับรูปหน้าเรียวจะเกิดขึ้นในช่วง 1 – 3 วันแรก โดยจะมีอาการบวมช้ำมากขึ้นอยู่ประมาณ 5 – 14 วัน โดยเฉพาะบริเวณรอบดวงตาที่ผิวหนังมีความบอบบางมากที่สุด จากนั้นจึงค่อยๆ ลดลงตามระยะเวลา แต่ไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน
  2. สำหรับการทำหน้าเรียวด้วยวิธีร้อยไหมจะต้องใช้ท่อเข็มเล็กๆ เพื่อช่วยในการร้อยไหมเข้าสู่ผิวหนัง ซึ่งอาจจะทำให้เห็นรอยบริเวณที่ใส่ท่อได้ แต่รอยนี้จะดีขึ้นภายใน 2 – 3 วัน หรือใช้วิธีปกปิดด้วยการแต่งหน้า ส่วนการฉีดโบให้งดเว้นการบีบนวดบริเวณที่ฉีด เพื่อป้องกันสารโบไหลกระจายไปตามจุดที่อื่น ซึ่งอาจทำให้มีผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ได้
  3. หลังจากเข้ารับการปรับรูปหน้าเรียวแล้ว อาจจะยังรู้สึกตึงๆ ที่ผิวหน้า แต่อาการดังกล่าวนี้จะดีขึ้นหลังจากนั้น 1 – 2 วัน หรืออาจจะมีอาการคงอยู่ประมาณ 2 สัปดาห์ ดังนั้นระหว่างนี้ให้งดการนวดหน้าหรือสครับผิวหน้าแรงๆ
  4. ควรรับประทานยาและทายาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด พร้อมกับหมั่นประคบเย็นเพื่อช่วยลดอาการบวม และควรงดการเข้าห้องซาวน่า อบตัว หรือออกกำลังกายหนักๆ เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 2 สัปดาห์ จนกว่าแพทย์ที่ให้บริการทำหน้าเรียวจะแนะนำว่าเริ่มออกกำลังกายตามปกติได้
  5. กรณีที่ใบหน้ามีอาการบวมมากขึ้นหรือรูปหน้าเปลี่ยนแปลงอย่างผิดปกติ มีการติดเชื้อ หรือร้อยไหมปรับรูปหน้าเรียวแล้วมีการเคลื่อนตัว รวมทั้งปลายไหมและปมไหมปรากฏออกมา ให้รีบไปพบแพทย์ที่ให้บริการเพื่อดำเนินการแก้ไข 

สำหรับการทำหน้าเรียวที่คลินิกรมย์รวินท์นั้น ผู้เข้ารับบริการสามารถมั่นใจได้ถึงคุณภาพและความคุ้มค่าที่จะได้รับ เพราะด้วยประสบกาณณ์อันยาวนาน ความเชี่ยวชาญของแพทย์ อีกทั้งเรายังมีเครื่องมือเทคโนโลยีที่ทันสมัย จึงสามารถให้คำปรึกษาและให้บริการสำหรับลูกค้าเพื่อมีรูปหน้ากระชับได้สัดส่วนที่ดีขึ้น ทำให้คุณดูอ่อนเยาว์อีกครั้งจนอาจลืมไปเลยก็ได้ว่าอายุปัจจุบันเท่าไร

ปรับรูปหน้าเรียวด้วยการฉีดโบ VS ฟิลเลอร์แตกต่างกันอย่างไร

251

ว่าด้วยเรื่องของการปรับรูปหน้าเรียวหลายคนอาจจะคุ้นเคยกับคำว่าการฉีดโบและฟิลเลอร์กันมาบ้าง บางคนอาจเคยทำมาแล้วเสียด้วยซ้ำไป แต่อาจมีบางคนที่อาจจะเพียงแค่เคยได้ยิน หรือยังไม่เข้าใจในขั้นตอนอย่างชัดเจนว่ามันคืออะไรกันแน่ กระบวนการต่างๆ จะปรับรูปหน้าเรียวได้อย่างไร จะต้องผ่าตัดศัลยกรรมเจ็บตัวอย่างจริงจังหรือไม่ มีผลดีผลเสีย และมีอันตรายมากน้อยเพียงใด สำหรับบทความนี้จึงต้องหาข้อมูลการปรับรูปหน้าเรียวมาเล่าให้สาวๆ ได้รับรู้กัน

ทำความรู้จักกับการปรับรูปหน้าเรียวด้วยการฉีดโบ VS ฟิลเลอร์ คืออะไรและต่างกันอย่างไร
จากผลวิจัยของสถาบัน International Society of Aesthetic Plastic Surgery เรื่องการเสริมความงามกล่าวว่าคนไทยสมัยใหม่นี้มีสถิติการทำความงามสูงเป็นอันดับที่ 21 ของโลก โดยเฉพาะการปรับรูปหน้าเรียว การเสริมหน้าอก ดูดไขมัน เสริมจมูก แต่งเปลือกตา และอื่นๆ ซึ่งโปรแกรมปรับรูปหน้าเรียวที่ถูกพูดถึงกันมากที่สุดก็คือการฉีดโบ และ ฟิลเลอร์ (Filler) นั่นเอง

  • ฉีดโบ 
    การฉีดโบคือโปรตีนชนิดหนึ่งได้จากการสกัดแบคทีเรียมีสรรพคุณในการคลายกล้ามเนื้อในบริเวณที่ฉีดโดยเฉพาะที่ใบหน้าให้กับผู้ที่ต้องการลบรอยตีนกา รอยเหี่ยวย่นหรือแม้แต่ผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าเรียวให้สวยใสภายในไม่กี่วัน                                                                                              
    การทำงานของการฉีดโบคือ เมื่อฉีดเข้าไปในใบหน้าแล้ว มันจะเข้าไปหยุดการคลายตัวของกล้ามเนื้อบริเวณนั้น แต่ผลดังกล่าวจะไม่อยู่อย่างถาวร หรืออาจอยู่ได้ประมาณ 6-8 เดือนเท่านั้นและอาจทำให้เกิดอาการแทรกซ้อนขึ้นได้ เช่น หนังตาและคิ้วตก อาการตาแห้ง มุมปากและรูปปากเบี้ยว เกิดรอยจ้ำเลือดตรงบริเวณที่ฉีด
  • ฟิลเลอร์ (Filler)
    ฟิลเลอร์ (Filler) คือสารประกอบของคอลลาเจนที่มีอยู่แล้วในผิวหนังของคนเรา เป็นการเติมเต็มด้วยสาร Hyaluronic Acid ซึ่งก็คงทราบกันดีอยู่แล้วว่าคอลลาเจนเป็นโปรตีนที่สำคัญต่อผิว เนื่องจากจะทำให้ผิวเต่งตึงลบรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า โปรตีนของคอลลาเจนจะเสื่อมสภาพลงเมื่อมีอายุมากขึ้น ทำให้ผิวไม่เต่งตึงดังเดิมจึงมีความจำเป็นต้องเสริมคอลลาเจนเพื่อให้ผิวฟื้นตัวและกลับมามีสภาพเหมือนเดิม                                                                                                                                          
    การฉีดฟิลเลอร์จึงนิยมฉีดเพื่อการปรับรูปหน้าเรียว และการแก้ไขรูปใบหน้า เช่น การเสริมจมูก คาง แก้ม และการเติมเต็มร่องรอยต่าง ๆ บนใบหน้า เช่น ร่องใต้ตา ร่องแก้ม หรือแม้แต่บริเวณลำคอ และหน้าอกให้กลับมาตึงเต่งเหมือนเดิม สารฟิลเลอร์ที่ฉีดเข้าไปสามารถที่จะย่อยสลายไปได้เองตามธรรมชาติของกระบวนการในร่างกาย ซึ่งจะมีผลอยู่ได้นานประมาณ 9-12 เดือน

ก่อนทำศัลยกรรมด้วยการฉีดโบ หรือฟิลเลอร์ ควรพิจารณาแพทย์ที่มีความชำนาญ และเข้าใจในเรื่องดังกล่าวเป็นอย่างดี เพื่อผลของการฉีดให้เกิดประโยชน์สูงสุด สำหรับสาวๆ ที่กำลังสนใจทำหน้าเรียวที่ปลอดภัยที่สุด ให้ผลดีที่สุด และคุ้มค่ากับการลงทุนปรับรูปหน้ามากที่สุด สามารถรับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ที่ รมย์รวินท์ คลินิก ทั้ง 24 สาขาทั่วประเทศหรือโทร 080 153 9000 หรือ 080 154 9000 ปรึกษาแพทย์ฟรีได้ทุกวัน

 

5 วิธีทำหน้าเรียว วิธีไหนได้ผลดีที่สุด

5 วิธีทำหน้าเรียว

5 วิธีทำหน้าเรียว วิธีไหนได้ผลดีที่สุด

คุณเป็นคนหนึ่งที่สนใจทำหน้าเรียวแต่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีใช่หรือไม่! เพราะในปัจจุบันมีเทคนิควิธีการปรับรูปหน้าเรียวมากมายหลากหลายประเภท ซึ่งล้วนแล้วแต่ให้ผลลัพธ์คล้ายคลึงกันทั้งสิ้น ถ้าเป็นเช่นนั้นเราลองมาพิจารณากันในรายละเอียดดีกว่าว่าวิธีการทำหน้าเรียวนั้นมีกี่ประเภทและเหมาะกับใครบ้าง

ฉีดโบ

ฉีดโบเป็นวิธีการทำหน้าเรียวรูปแบบหนึ่งที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ฉีดโบเป็นโปรตีนสกัดจากแบคทีเรีย “คลอสตริเดียม โบทูลินั่ม” เมื่อฉีดเข้าไปจะทำให้กล้ามเนื้อบริเวณนั้นเป็นอัมพาตชั่วคราว ส่งผลให้กล้ามเนื้อคลายตัว ช่วยลดริ้วรอยและเหมาะสำหรับใช้ปรับรูปหน้าให้ยกกระชับดูเรียว แต่ถ้าใช้มากเกินไปจะทำให้กล้ามเนื้อใบหน้าไม่สามารถแสดงอารมณ์ได้และบางรายอาจมีอาการปวดบริเวณที่ฉีด

ร้อยไหม

การปรับรูปหน้าเรียวด้วยวิธีร้อยไหมละลายจำนวนหลายร้อยเส้นเข้าไปใต้ผิวหนัง เพื่อทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นอักเสบ ซึ่งจะไปกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนใหม่บริเวณรอบเส้นไหม จึงทำให้ผิวบริเวณดังกล่าวถูกดึงรั้งขึ้นจนเต่งตึงทำให้หน้าเรียวดูกระชับวิธีการนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป ผิวหนังยังไม่หย่อนคล้อยมากนัก แต่การร้อยไหมจะทำให้รู้สึกเจ็บ ไม่สบายหน้า บวม ฟกช้ำ ต้องใช้เวลา 1-2 วันจึงจะกลับมาเป็นปกติ

เมโสแฟต

เป็นการปรับรูปหน้าเรียวโดยใช้วิธีการฉีดยาที่เป็นสารสกัดจากถั่วเหลืองหรือไข่แดงและวิตามินต่างๆ โดยฉีดเข้าไปที่ชั้นไขมัน เมื่อฉีดเข้าไปแล้วจะทำให้ไขมันบริเวณดังกล่าวสลายตัว ทำให้เนื้อเยื่อมีความแข็งแรงและยกกระชับมากขึ้น การทำหน้าเรียวแบบนี้เหมาะสำหรับผู้มีสุขภาพดีแต่มีไขมันสะสมบริเวณต่างๆ บนใบหน้า ทั้งนี้ในบางรายอาจจะมีอาการแพ้สารที่ฉีดหรือติดเชื้อ หรือเกิดรอยช้ำและแผลเป็นรวมถึงอาจทำให้เป็นโรคชั้นไขมันอักเสบได้ ซึ่งต้องใช้ความระมัดระวังในการเลือกสถานบริการเสริมความงาม

ฟิลเลอร์

เป็นสารชนิดหนึ่งที่ใช้ฉีดเข้าสู่ผิวหนังเพื่อเติมเต็มบริเวณริ้วรอยหรือร่องลึกบนใบหน้า เป็นการทำหน้าเรียวอีกวิธีหนึ่งที่ได้ผลดี ฟิลเลอร์มีสองประเภทคือ แบบชั่วคราวซึ่งเป็นสารสกัดจากธรรมชาติมีความปลอดภัยสูงและสลายตัวตามธรรมชาติ กับประเภทถาวรที่สกัดจากซิลิโคน หรือน้ำมันพาราฟิน ซึ่งอาจจะมีผลข้างเคียงได้ การฉีดฟิลเลอร์เหมาะกับผู้มีริ้วรอย ร่องลึกบริเวณรอบดวงตา มุมปาก แก้ม รวมถึงบริเวณอื่นๆ บนใบหน้า ซึ่งสามารถฉีดเติมตามจุดที่ต้องการได้ง่ายและสะดวก แต่สำหรับบางรายอาจมีอาการบวมแดงหรือจับตัวเป็นก้อนได้ถ้าฉีดในปริมาณมากเกินไป

HIFU หรือ High Intensity Focus Ultrasound

เป็นการใช้คลื่นอัลตร้าซาวด์เข้มข้นสูงเข้าไปทำลายเนื้อเยื่อ ทำให้ชั้นผิวหนังหดตัว กระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนใหม่ ส่งผลให้ผิวดูยกกระชับและปรับรูปหน้าให้เรียวขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีริ้วรอยไม่มาก วิธีการทำหน้าเรียวแบบนี้ราคาไม่แพง ไม่ทำให้ผิวแสบร้อนและไม่ต้องใช้ยาชา แต่สำหรับบางรายอาจมีรอยแดงหลังทำแต่จะหายไปเองภายในเวลา 1-2 ชั่วโมง

การปรับรูปหน้าเรียวแต่ละประเภทมีความเหมาะสมกับแต่ละบุคคลแตกต่างกันไป ก่อนตัดสินใจเข้ารับบริการควรหาศึกษาข้อมูลให้ละเอียดก่อนโดยเลือกรับบริการจากสถานเสริมความงามที่ปลอดภัยได้มาตรฐานอย่างเช่นที่ รมย์รวินท์ คลินิก ด้วยประสบการณ์อันยาวนานกว่า 14 ปีจึงมั่นใจได้ว่าจะสามารถดูแลลูกค้าทุกท่านด้วยบริการปรับรูปหน้าเรียวที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล โดยสามารถโทรเข้ามาปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนได้ที่เบอร์ โทร 080 153 9000 หรือ 080 154 9000

รู้ไว้ใช่ว่า ทำหน้าเรียว V-shape อย่างไรให้ได้ผล

249

ต้องยอมรับว่าความนิยมในการทำหน้าเรียวหรือทำให้ใบหน้าเป็น V-Shape นั้น คือความฝันของสาวไทยกว่า 90% เพราะใบหน้าที่เรียวงาม เป็นรูปหน้าที่ใครต่อใครต่างก็ยอมรับว่าสวย ทำให้คุณเป็นที่สะดุดตาสะดุดใจของผู้พบเห็น อีกทั้งใบหน้าเรียวยังช่วยเพิ่มโอกาสให้คนเราอย่างมากมาย เช่น งานบางสายก็ยังต้องอาศัยรูปร่างหน้าตาเป็นใบเบิกทาง ด้วยเหตุนี้ใครต่อใครจึงปรารถนาที่จะทำหน้าเรียว V-shape ว่าแต่ว่า ถ้าจะทำทั้งทีจะมีวิธีทำการอย่างไรให้ได้ผลดีที่สุดอันนี้คือโจทย์ต่อไปที่สำคัญ

  • ความต่อเนื่องคือหัวใจของความสำเร็จ ว่าด้วยเรื่องของโปรแกรมการทำหน้าเรียวของบ้านเรานั้น มีเป็นหลายสิบวิธีกันเลยทีเดียว โปรแกรมที่หลายคนคุ้นชื่อกันดีก็อย่างเช่น การฉีดโบ, ฟิลเลอร์, ร้อยไหม,การทำ Hifu, Ulthera, การใช้เลเซอร์ลดไขมันบริเวณแก้ม,การฉีดเมโสประเภทต่างๆ เป็นต้น อย่างไรก็ตามสิ่งหนึ่งสำหรับสาวที่อยากทำหน้าเรียวควรรู้คือ ผลของโปรแกรมเหล่านี้มักจะคงสภาพอยู่ได้ประมาณ 8-12เดือนเท่านั้นไม่ใช่คงอยู่ตลอดไป (ซึ่งขึ้นอยู่กับปัญหาและวิธีการทำหน้าเรียวที่เราเลือกใช้) ฉะนั้นสำหรับใครที่อยากมีใบหน้า V-shape ที่สวยสมใจจำเป็นต้องมีการทำซ้ำอย่างต่อเนื่อง
  • เลือกวิธีที่ใช่สำหรับตัวคุณ อย่างที่หลายคนรู้แล้วว่าโปรแกรมการทำหน้าเรียวนั้นมีอยู่มากมายหลายวิธีโดยแต่ละโปรแกรมต่างก็มีจุดเด่นและวิธีการแตกต่างกันไป บางโปรแกรมเป็นการใส่สารเติมเต็มเข้าไปภายในร่างกาย บางโปรแกรมเป็นการลดการทำงานของกล้ามเนื้อ บางโปรแกรมเป็นการสร้างแผลภายใต้ชั้นผิวหนังเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน หรือสำหรับคนที่มีปัญหาที่โครงสร้างกระดูกอาจจะต้องทำการผ่าตัดศัลยกรรมเหลากรามใหม่กันเลยทีเดียว แต่การที่จะเลือกวิธีไหนนั้นสาวๆ ต้องรู้ให้แน่ชัดว่าปัญหาที่แท้จริงของตัวเองคืออะไร จากนั้นค่อยเลือกทำหน้าเรียวด้วยโปรแกรมที่เหมาะสม
  • ทำควบคู่กันหลายวิธีสำหรับสาวๆ บางคนอาจจะมีปัญหาร่วมกันอยู่หลายอย่าง ฉะนั้นก็คงไม่ผิดถ้าหากจะใช้โปรแกรมที่หลากหลายเพื่อแก้ปัญหาร่วมกัน อย่างเช่นการทำหน้าเรียวด้วยการฉีดโบสำหรับผู้ที่ปัญหาเหนียงห้อยย้อยหย่อนยาน แต่ในขณะเดียวกันอาจจะมีการฉีดฟิลเลอร์เพื่อเติมเต็มร่องแก้มและริ้วรอยบริเวณหางตาอย่างนี้เป็นต้น การทำหน้าเรียวด้วยหลากหลายวิธีผสมกันยิ่งจะทำให้สาวๆ มีรูปหน้า V-shape ที่สวยสมใจได้ง่ายขึ้น
  • เลือกคลินิกดีมีชัยไปกว่าครึ่งเชื่อว่ายังมีคนที่อยากทำหน้าเรียวอีกบางส่วนที่ตัดสินใจทำหน้าเพียงเพราะโปรโมชั่นราคาที่โดนใจมากกว่าการตรวจสอบความน่าเชื่อถือของคลินิก หรือคุณภาพของโปรแกรมของคลินิกแต่ละแห่ง เพราะการลดราคาที่ถูกจนน่าตกใจบางครั้งอาจซ่อนความจริงบางอย่างเอาไว้ เช่น ลดความเข้มข้นของตัวยาลง ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นเราอาจจะเสียเงินทำไปโดยที่ไม่ได้ผลอยู่ดี

และนี้ก็เป็นคำแนะนำเล็กๆน้อยๆ สำหรับการทำหน้าเรียวให้สวยได้รูป V-shape ที่เรานำมาฝากกัน บางครั้งการสนใจทำตามกระแสอย่างเดียวก็คงไม่พอ แต่เราในฐานะผู้บริโภคต้องศึกษาวิธีการอย่างละเอียด รวมถึงเลือกคุณภาพมากกว่าราคา เพียงเท่านี้ก็จะทำให้คุณทำหน้าเรียวได้สวยสมใจสำหรับท่านที่มีปัญหาอยากปรึกษาการปรับรูปหน้าให้ได้ผลดีที่สุด สามารถติดต่อเราได้ที่ รมย์รวินท์คลินิกทุกสาขา เรามีโปรแกรมทำหน้าเรียวไว้คอยบริการท่านอย่างครบวงจร

ร้อยไหม ปรับรูปหน้าเรียว เหมาะสำหรับใคร เตรียมตัวเอาไว้จะได้ไม่พลาด

248

การปรับรูปหน้าเรียวให้ดูดีถือเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยปรับบุคลิกภาพภายนอกเพื่อช่วยสร้างความมั่นใจให้กับตัวเองมากขึ้น และต้องยอมรับว่าในยุคสมัยนี้โปรแกรมทำหน้าต่างก็ได้รับความนิยมกันอย่างแพร่หลาย อย่างเช่นวิธีปรับรูปหน้าเรียวด้วยการร้อยไหม ซึ่งสามารถช่วยชะลออายุให้กลับไปแลดูเหมือนหนุ่มสาวได้อีกครั้ง และยังเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมอันดับต้นๆในคลินิกเสริมความงามอีกด้วย

ร้อยไหมปรับรูปหน้าเรียวคืออะไร

การร้อยไหมปรับรูปหน้าเรียวเป็นการศัลยกรรมอีกรูปแบบหนึ่งที่สามารถช่วยปรับรูปหน้าเรียวให้กระชับได้สัดส่วนอย่างสวยงาม ซึ่งไม่ต้องอาศัยการผ่าตัดหรือใช้เวลาพักฟื้นนานๆ อีกทั้งยังมีผลกระทบหรือผลข้างเคียงน้อยด้วยเช่นกัน โดยชนิดของไหมที่ใช้นั้นมีหลายแบบ แต่ส่วนใหญ่ที่ใช้จะเป็นไหมละลายที่มีคุณสมบัติช่วยยกกระชับและปรับรูปหน้าเป็น V – shape
โดยปกติแพทย์มักจะเลือกใช้ไหมละลายแบบมีเขี้ยวหรือมีเงี่ยงที่เรียกว่า Cog threadsเพราะจะช่วยเกี่ยวชั้นใต้ผิวหนังพร้อมกับดึงขึ้นเพื่อล็อกเนื้อเยื่อ เพียงแค่ใช้ไหม 10 เส้น ก็สามารถปรับรูปหน้าเรียวของโครงสร้างใบหน้าได้ตามที่ต้องการได้ หลังจากนั้นจะมีการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้เกี่ยวพันรอบแนวเส้นไหม รวมทั้งยังช่วยให้เลือดไหลเวียนไปหล่อเลี้ยงบริเวณนั้นได้ดี จึงอาจกล่าวได้ว่าเป็นการยกกระชับผิวพร้อมกับฟื้นฟูสภาพผิวให้แลดูอ่อนเยาว์ไปในตัว

ขั้นตอนกาปรับรูปหน้าเรียวด้วยการร้อยไหม

แพทย์จะเริ่มต้นด้วยการทายาชากับฉีดยาชาบริเวณบางจุดบนผิวหนังก่อนปรับรูปหน้าเรียวด้วยการร้อยไหมจากนั้นจึงค่อยนำเส้นไหมที่อยู่ปลายเข็มเข้าไปยึดกับเนื้อเยื่อผิวหนัง โดยพิจารณาตามโครงสร้างใบหน้าของผู้รับบริการ ซึ่งใช้เวลาในการทำทั้งหมดประมาณ 20 – 40 นาที และอาจจะรู้สึกเจ็บระหว่างทำหรือมีอาการบวมและรอยช้ำบ้างเล็กน้อย แต่จะหายไปเองได้ภายใน 1 – 2 สัปดาห์

การปรับรูปหน้าเรียวด้วยวิธีนี้จะสังเกตเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น หลังจากที่ร้อยไหมทำหน้าเรียวแล้ว 2 สัปดาห์ โดยจะคงสภาพรูปหน้า V – shape นี้ได้ประมาณ 1 – 2 ปี ก็ควรจะกลับมาทำการร้อยไหมซ้ำใหม่อีกครั้ง เพื่อรักษาโครงหน้าให้ยกกระชับตามความต้องการ

ร้อยไหมทำหน้าเรียวเหมาะสำหรับใคร

เมื่อใบหน้าที่เรียวกระชับได้รูปตามโครงสร้างใบหน้าอย่างสวยงาม คือสุดยอดความปรารถนาด้านความงามของผู้ที่อยากใบหน้าแลดูอ่อนเยาว์ดุจวัยหนุ่มสาว ดังนั้นกลุ่มคนที่เหมาะกับการร้อยไหมทำหน้าเรียวมีดังต่อไปนี้

  1. ผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยไม่กระชับ โดยเฉพาะผู้หญิงที่มีอายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไป เนื่องจากช่วงวัยนี้จะมีการผลิตคอลลาเจนที่ชั้นใต้ผิวหนังลดลงอย่างเห็นได้ชัด ทำให้โครงสร้างขาดความยืดหยุ่นกระชับ ก่อให้เกิดปัญหาความหย่อนคล้อยของผิวหนังได้ เพราะฉะนั้นการปรับรูปหน้าเรียวด้วยวิธีร้อยไหมจึงเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนว่าผิวหนังที่หย่อนคล้อยนั้นกระชับยกขึ้น
  2. ผู้ที่มีไขมันบริเวณแก้มและกรามเยอะ กลุ่มนี้จะเป็นคนที่มีใบหน้าค่อนข้างกลม เนื่องจากมีปริมาณไขมันสะสมที่แก้มและกรามเยอะ จนทำให้ใบหน้าแลดูบานหรือมีเหนียงย้อยนั่นเอง แต่ควรปรับรูปหน้าเรียวด้วยวิธีนี้ควบคู่กับการฉีดลดไขมันที่แก้มไปด้วย ถึงจะได้ผลอย่างน่าพึงพอใจ หากสาวๆ อยากมีใบหน้าที่เรียวยกกระชับได้รูป การปรับรูปหน้าเรียวด้วยวิธีร้อยไหมก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว นอกจากจะช่วยแก้ปัญหาความหย่อนคล้อยได้ทันใจและไม่ต้องเสียเวลาผ่าตัดหรือพักฟื้นด้วยแล้ว ผิวหน้ายังเต่งตึงแลดูเปล่งปลั่งอย่างกับได้ย้อนวัยสาวอีกครั้งเลยค่ะ

หากสาวๆ อยากมีใบหน้าที่เรียวยกกระชับได้รูป การปรับรูปหน้าเรียวด้วยวิธีร้อยไหมก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว นอกจากจะช่วยแก้ปัญหาความหย่อนคล้อยได้ทันใจและไม่ต้องเสียเวลาผ่าตัดหรือพักฟื้นด้วยแล้ว ผิวหน้ายังเต่งตึงแลดูเปล่งปลั่งอย่างกับได้ย้อนวัยสาวอีกครั้งเลยค่ะ

ไร้ขนทุกมุมมอง เลเซอร์ “กำจัดขน” ให้ผิวเนียนใส บอกลาหนังไก่ได้เลย..

52

สาวๆ ทุกคนไม่ว่าใครก็อยากมีวงแขนที่เนียนเรียบ แม้ว่า “ขนรักแร้” จะเป็นสิ่งเกิดขึ้นและมีมาตามธรรมชาติบางคนมองเป็นเรื่องธรรมดา บางคน เป็นเรื่องที่กังวล และ หนักใจอยู่ไม่น้อย จนต้องหาวิธีกำจัดขน ปัญหาเจ้าขนรักแร้ ที่พร้อมที่จะโพล่ขึ้นมาทักทายเราตลอดเวลา เผลอหน่อยเดียว อ้าวมาอีกแล้ว อยากใส่แต่เสื้อเกาะอก สายเดี่ยว แขนกุด โชว์ไหล่สวย ๆ ซะหน่อย เป็นอันจบ หากไม่ได้กำจัดขนนี้ออกไป 

หลายคนคงมีประสบการณ์ ขนแขนสแตนด์อัพ ก็ทำการกำจัดขน ด้วยการโกน ถอน  แว็กซ์ ผ่านกันมาแล้วทั้งนั้น วิธีการกำจัดขนที่ว่ามานี้ขนจะขึ้นมาเป็นตอเร็วมาก ๆ แถมยังดำคล้ำไม่เรียบเนียน เป็นหนังไก่ให้ปวดใจกันถ้วนหน้า แต่ไม่ต้องกังวลใจไป ปัจจุบัน ตามคลินิก หรือ ศูนย์บริการความงามมีให้บริการหลากหลาย ลองเปลี่ยนวิธีมาทำเลเซอร์กำจัดขนรักแร้ ดูสิ ซึ่งมั่นใจได้เลยสามารถกำจัดขนได้อย่างถาวร แถมบางที่ก็มีโปรรักแร้ขาวกลิ่นตัวแรง ใต้วงแขนดำ  ได้อีกด้วยนะ วงในการบิวตี้ เค้ามีบริการครบครัน เผื่อผิวใต้ววงแขนของเราจะได้ขาวเนียนใส ไร้ปัญหาขนดกมากวนใจ

การทำงานของเลเซอร์

การใช้เลเซอร์ เป็นวิธีกำจัดขนโดยแสงเลเซอร์ โดยลำแสงจะเข้าไปจับกับเม็ดสี ของขนในระยะที่ขนกำลังเจริญเติบโต วิธีนี้มีข้อดีคือไม่เจ็บ การใช้เลเซอร์สามารถกำจัดขนได้ 70-90 % ในครั้งแรก ๆ และหลังจากทำซ้ำหลาย ๆครั้ง  ขนที่เหลือเส้นขนจะเล็กลง บางลง สีจางลง และการงอกมาใหม่ช้าลง โดยทั่วไปเส้นขนที่ถูกทำลายได้ดีมีทั้งหมด 3 ระยะ ซึ่งระยะที่โตเต็มจะได้ผลดีที่สุด การทำเลเซอร์กำจัดขนควรทำต่อเนื่องกัน 3-6 ครั้ง ขึ้นไป ขนจึงจะค่อยลดลงอย่างเห็นได้ชัด

คลินิค หรือ ศูนย์บริการความงาม นอกจากการทำเลเซอร์กำจัดขนแล้ว ยังมีโปรแกรม ที่น่าสนใจอีก ที่สามามรถจัดการกับผิวใต้วงแขน ให้เรียบเนียนสวยที่อยากแนะนำ นอกจากการทำเลเซอร์กำจัดขน เพื่อเผยผิวสวย เปิดผิวใสใต้วงแขนได้อย่างมั่นใจมากขึ้น

การทำเลเซอร์ลดเหงื่อใต้วงแขน

การที่คนเรามีเหงื่อใต้วงแขนมาก ๆ สามารถทำให้มีกลิ่นตัวแรง   การทำเลเซอร์เพื่อลดเหงื่อใต้วงแขนสามารถทำได้เช่นกัน

การรักษาใช้จำนวนครั้งในการรักษาน้อย 1-2  ครั้ง ก็เห็นผล และผลที่ได้คงอยู่ถาวร หลังการรักษาจะมีแผลเล็กๆ ขนาดประมาณ 3-5 มม. บริเวณใต้วงแขน ซึ่งแผลจะจางหายไปได้เอง และอาจมีอาการบวมหลังการรักษาได้บ้าง การรักษาจะเริ่มเห็นผลหลังการรักษาไปแล้วประมาณ1-2  เดือน ตรงนี้ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคลนะค่ะ

การฉีดโบลดเหงื่อ

การฉีดโบ เพื่อลดเหงื่อ  การรักษาจะไม่มีแผลใดๆ หลังการรักษา และเริ่มเห็นผลหลังการรักษาภายใน1-2 สัปดาห์ การรักษาแต่ละครั้งนั้น ผลการรักษาจะคงอยู่ได้ประมาณ 4-6  เดือน

การลดรอยคล้ำบริเวณผิวใต้วงแขน

วิธีการนี้ เป็นการรักษาด้วย Whitening laser ซึ่งเป็นการใช้เลเซอร์ปรับเม็ดสี เวลาทำการรักษาจะรู้สึกอุ่นๆ บริเวณผิวนิดหน่อย ซึ่งสำหรับปัญหารักแร้หมองคล้ำอาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น การแพ้โรลออน  การโกน การถอน  การแว๊กซ์ หรือ จากฮอร์โมนเพศของแต่ละคน

image003 84

การทำทรีตเมนท์ลดรอยคล้ำ

การทำทรีทเมนท์ ลดรอยคล้ำใต้วงแขน วิธีนี้เป็นการรักษา รอยด่างดำ รอยหมองคล้ำ นอกจากนี้ยังเป็นการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิว จึงช่วยให้ผิวเนียบเรียบขึ้น เต่งตึง เพิ่มความกระจ่างใสให้กับผิว สามารถโชว์ผิวใต้วงแขนได้อย่างมั่นใจ

สาเหตุของการที่มีขนใต้วงแขนนั้น มีปัจจัยอื่นๆ ที่เป็นองค์ประกอบด้วย เช่น พันธุกรรม ,ฮอร์โมน ,การรับประทานยา หรือวิตามิน บางตัว ก็อาจมีผลต่อการเกิดขึ้น และเจริญเติบโตของเส้นขน ที่มากน้อยแตกต่างกันไป การทำเลเซอร์กำจัดขนนั้นสามารถทำลายรากขน ได้ 70-90 % ก็จริง แต่ต้องได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง 3 – 6 ครั้งขึ้นไปเพื่อให้ได้ผลลัพธ์การกำจัดขนเป็นที่น่าพึงพอใจ ก่อนเข้ารับบริการรักษาควรงดการถอนหรือแวกซ์ ประมาณ  3-8 วัน  แต่สามารถโกนได้ แต่ให้เส้นขนขึ้นมาให้เต็มที่ก่อน เพื่อการรักษาที่เห็นผลได้ชัดเจน  เพราะทำให้รู้ปริมาณเส้นขนทั้งหมดที่ขึ้นอยู่ในบริเวณพื้นที่ ที่ต้องการกำจัดขนออกไป และที่สำคัญการทำการรักษาควรได้รับการดูแลจากแพทย์ ที่มีความเชี่ยวชาญโดยตรงนะค่ะ

จบปัญหาขน “กำจัดขน” ลงลึกถึงราก ปราบทุกเส้น โชว์ผิวได้ดั่งใจ

51

หลายคนคงต้องประสบ พบกับปัญหาขนตามร่างกาย กันอยู่ไม่น้อย ไม่ว่าจะขนหน้าแข้งเอย ขนรักแร้ก็ดี ขนตรงจุดซ่อนเร้นก็ใช่ บางคนก็ดกดำเงางามซะเหลือเกิน แถมบางคนยังเป็นที่น่าเจ็บใจ ตรงที่อยากให้ดกกลับไม่ดก แต่ตรงที่ไม่อยากให้มีกลับขึ้นมาดีจังใช่มัยค่ะ 

สาว ๆ จึงต้องมองหาวิธีการ กำจัดขน ในแบบต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่ก็ผ่านวิธีการ กำจัดขน มาหลายรูปแบบ แต่ยังไงไอ้เจ้าขนนี่ ก็ยังขยันขึ้นมาไม่หยุดหย่อน ไม่ว่าจะถอน โกน แว็กซ์ ฯลฯ สารพัดวิธี มันก็ได้ผลแค่ขนหลุดล่วงออกไป แต่สิ่งที่คงอยู่กับการกำจัดขนแบบนี้ก็คือ ผิวเป็นรอยดำ หรือเป็นผิวหนังไก่ เกิดขนขด ขนคุด ทำให้ไม่น่ามองเอาเสียเลย ทำให้ขาดความมั่นใจ ไม่กล้าเปิดเผยผิวให้คนอื่นได้เห็น

ปัจจุบัน มีวิธี กำจัดขน ที่ให้ผลถาวร ผิวเกลี้ยงเกลา จบปัญหาผิวที่ไม่สวยงาม โดยการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยวิธี Laser เพื่อจี้ทำลายรากขนปราบลึกถึกรากถึงโคนการกำจัดขน ด้วยเลเซอร์ ถึงจะเป็นนวัตกรรม กำจัดขนน้องใหม่ และกระแสความนิยมกำลังเพิ่มมากขึ้น เพราะการทำเลเซอร์กำจัดขน ไม่ได้หมายถึง การกำจัดขนรักแร้ เพียงอย่างเดียว แต่การทำเลเซอร์ยังช่วยกำจัด ปัญหาขนตามร่างกาย ไม่ว่า “ขนที่ขา” หรือ ขนในที่ลับ หรือบริเวณอื่น ๆ ที่อยากกำจัด  ก็สามารถกำจัดขนออกไปด้วยเลเซอร์ได้ และผลลัพธ์ที่ได้มานั้นถือว่าคุ้มค่ามากๆ  ใครที่กำลังมองหาวิธีกำจัดขนอยู่ อยากให้ผิวกลับมาเนียนสวย ไร้ขน แนะนำเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ได้ประสิทธิภาพ พร้อมความปลอดภัยไร้กังวล

หลักการทำงานเลเซอร์กำจัดขน

ด้วยประสิทธิภาพของ เลเซอร์กำจัดขน จะทำงานโดยส่งผ่านพลังงานเลเซอร์ผ่านเข้าผิวหนังไปทำลายรากขน  โดยอาศัยหลักการเลือกจับกับเฉพาะเม็ดสีหรือเมลานินในขนเท่านั้น จากนั้นพลังงานเลเซอร์ก็จะเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อน และส่งผลทำลายเส้นขนตลอดจนรากขนซึ่งเป็นตัวการสร้างขนให้ขึ้นมาใหม่ ด้วยกระบวนการดังกล่าวจะพบว่าเพียงแค่การทำไม่กี่ครั้ง ขนในบริเวณที่ทำการรักษากำจัดขน จะลดลง  ขึ้นช้าลง  เส้นเล็กลง และบางลงอย่างเห็นได้ชัด

การเตรียมตัวก่อนกำจัดขน

สำหรับการเตรียมตัวก่อนการ กำจัดขนด้วยเลเซอร์นั้น ไม่มีขั้นตอนอะไรที่ยุ่งยากเลย  โดยปล่อยให้ขนบริเวณที่จะกำจัดนั้นขึ้นมาตามธรรมชาติ ไม่ต้องไปถอนหรือโกนออกให้ขนเติบโตเต็มที่ อย่างน้อย 2 สัปดาห์ เพื่อการกำจัดขนที่ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ เพราะแพทย์จะได้เห็นปริมาณของเส้นขนที่มีอยู่ตามความเป็นจริง ทำให้ผลการรักษา กำจัดเส้นขนได้หมดทุกเส้น ตรงจุดเห็นผลได้อย่างชัดเจนที่สุด

image003 83

ขั้นตอนกำจัดขน ด้วยเลเซอร์

การกำจัดขน จะเริ่มจากการโกนขนบริเวณที่ทำ ใช้ยาชาทาเพื่อลดความเจ็บขณะทำ หลังจากนั้นรอให้ยาชาออกฤทธิ์ประมาณ  30  นาที หรือมากกว่านั้นเล็กน้อย  จึงสามารถทำเลเซอร์ได้ และการทำเลเซอร์ใช้เวลาประมาณ 10-30 นาทีในการกำจัด แต่ทั้งนี้ขึ้นกับขนาดพื้นที่บริเวณที่ต้องการกำจัดขน ขณะที่ทำจะรู้สึกเหมือนถูกดีดเป็นระยะ ๆและรู้สึกวูบวาบใต้ผิว เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการจากนั้นจะทำการประคบเย็นจะช่วยทำให้รู้สึกสบายผิวขึ้นเป็นอันจบกระบวนการรักษา เพื่อการรักษาให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี และมีประสิทธิภาพ ควรทำซ้ำ 3-6 ครั้ง ซึ่งแต่ละครั้งควรห่างกันอย่างน้อย 1 เดือนภายหลังการ กำจัดขน ผิวบริเวณที่ทำเลเซอร์อาจแดงเรื่อ ๆ ประมาณ 1-3 ชั่วโมง แต่จะหายเป็นปกติ มีส่วนน้อยไม่ถึง 1% ที่อาจมีสะเก็ดหรือตุ่มน้ำพองใสซึ่งจะค่อย ๆ หายไปได้เมื่อทายาที่แพทย์จ่ายให้ไป ส่วนการดูแล สามารถปฏิบัติตัวไปตามปกติ เพียงแต่หลีกเลี่ยงการโดนแดดจัด ๆ ประมาณ  2-3 สัปดาห์ หากจำเป็นต้องโดนแดดจริง ๆ ควรทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงมากกว่า 30 PA++ ป้องกันไว้ทุก 1-2 ชั่วโมง ตลอดเวลาที่โดนแดดจัด ๆ

ทีนี้ก็จะได้ผิวเกลี้ยงเกลาไร้ขน จบปัญหาขนได้ดั่งใจ ไม่ต้องมากังวลที่จะต้องคอยสำรวจร่างกาย เมื่อต้องสวมใส่เสื้อสายเดี่ยว แขนกุด อีกต่อไป ชุดไหนๆ ก็มั่นหน้า มั่นใจกันไปเลบ แต่ด้วยเลเซอร์หลายคนเข้าใจว่าการทำเลเซอร์ขนรักแร้ แล้ว รักแร้จะขาวขึ้นด้วย ที่จริงแล้วไม่ถูกซะทีเดียว การทำเลเซอร์นั้นมีส่วนช่วยทำให้ผิวดีขึ้นในระดับหนึ่ง ถ้าต้องการให้รักแร้ขาว นั้นมีขั้นตอนการรักษาอีกแบบหนึ่ง  การทำการรักษา กำจัดขน ต้องได้รับคำแนะนำ และปรึกษาแพทย์โดยตรง แต่การทำเลเซอร์อย่างเดียวนั้น ช่วยให้ผิวเนียนขึ้น เกลี้ยงเกลาขึ้น ไม่เป็นหนังไก่ สามารถใส่เกาะอก สายเดี่ยว ยกแขนโชว์ใต้วงแขนได้แบบมั่นๆ กันไปเลย

วิธี “กำจัดขน”ให้สิ้นซากขนรักแร้หายเกลี้ยง พร้อมเผยผิวใต้วงแขน

50

ขนรักแร้แม้จะเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย เติบโตมากับคนเราตลอดช่วงอายุ พอถึงวัยเจริญพันธ์ ขนรักแร้ก็จะเพิ่มมากขึ้น มากน้อย แล้วแต่ออร์โมนของแต่คน สำหรับผู้หญิง ไม่มีคนไหนอยากจะมี เลยต้องหาทางกำจัดขนออกให้เกลี้ยง ไม่ว่าจะถอน จะโกน จะแวกซ์ก็ว่ากันไปเพราะไม่มีใครอยากปล่อยให้มันเจริญงอกงามในใต้วงแขนอันสวย ๆ ของเราได้

แต่วิธีที่กำจัดขนออกไป ดังที่กล่าวมานั้น  ผลที่ได้ตามมาอาจไม่เป็นที่พึงพอใจนัก ทั้งปัญหาแผลถลอก หนังไก่ รักแร้ดำ  อยู่คู่กับวงแขนกันไป แต่ก็เป็นวิธีที่ง่าย และ สะดวกที่สุด ดังนั้นเรามาดูวิธีการ “กำจัดขน” กันดีกว่ามีวิธีอะไรบ้าง วิธีไหนที่จะช่วยจัดการขนรักแร้ที่มารบกวนหัวใจกันบ้าง

วิธีกำจัดขนรักแร้

ใช้แหนบถอนขนรักแร้ การกำจัดขนด้วยวิธีถอนขนรักแร้โดยใช้แหนบ เป็นอุปกรณ์ที่ใช้เพียงอันเดียวเท่านั้น เป็นวิธีดั่งเดิมที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย วิธีนี้สามารถกำจัดขนได้ทั้งรากเหมือนกัน ทำให้ผิวเรียบเนียนได้ในระดับหนึ่ง  ตอนถอนก็จะเจ็บ ๆ คัน ๆ มัน ๆ กันไป แต่วิธีกำจัดขนแบบนี้คงไม่เหมาะกับผู้ที่มีคนรักแร้เยอะเพราะกว่าจะถอนได้หมด จะเกิดอาการ เมื่อยคอ ปวดตา กันไปเลย อีกทั้งยังฝากผิวเป็นตุ่ม ๆ เหมือนหนังไก่  ให้ปวดใจกันได้

การโกนขนรักแร้ เป็นวิธีกำจัดขนที่ทำได้ง่าย สะดวก และรวดเร็ว ขนหายในพริบตา หายทุกเส้น การโกนขนรักแร้ก็ไม่ยาก ยกแขนขึ้นสูง ๆ ทาครีมโกนขนลงไปเรียบร้อย จากนั้นเริ่มโกนจากบนลงล่าง ทำให้หมดทีละข้างเป็นอันจบกระบวนการ แต่วิธีกำจัดขนแบบนี้ขนจะขึ้นมาเร็วมาก จะต้องโกนบ่อยทุก 2-3 วันครั้ง อีกทั้งเส้นขนนี่แข็งหนาเลยแหละ และเสี่ยงต่อการอักเสบของผิวจากใบมีดได้

แวกซ์ขนรักแร้เป็นวิธีกำจัดขนโดยใช้เนื้อแวกซ์ป้าย หรือ แผ่นแปะ แล้วดึงออก มีทั้งแบบร้อน และเย็น การแวกซ์เป็นการกำจัดขนที่ให้ผลเป็นที่ดีพอสมควร เพราะสามารถกำจัดขนได้ถึงราก ทำให้มีผิวเรียบเนียนอยู่ได้นาน แต่วิธีกำจัดขนแบบนี้ ทำความเจ็บปวดขณะถูกแวกซ์ สุดๆ ไปเลย

ใช้ครีมกําจัดขนรักแร้ใช้ครีมในการกำจัดขนรักแร้ เนื่องจากการใช้ไม่ยุ่งยาก ไม่เจ็บ และได้ผิวที่เรียบเนียนรวดเร็วทันใจ วิธีการกำจัดขน เพียงแค่ทาครีมทิ้งไว้ตามระยะเวลาที่ผลิตภัณฑ์แนะนำ สารเคมีที่มีอยู่ในครีมจะเข้าไปกัดกร่อนเส้นขนให้อ่อนตัว เมื่อครบเวลาแล้วก็ทำการเช็ดหรือล้างออกไปข้อเสียคือมีกลิ่นที่ค่อนข้างฉุน

 เครื่องถอนขนรักแร้สามารถกำจัดขนได้เร็วกว่า บางรุ่นที่มีประสิทธิภาพในการกำจัดขนดีจะไม่รู้สึกเจ็บในขณะถอน แต่อาจจะรู้สึกแสบบ้างเล็กน้อยตอนถอนเสร็จ ก็จะได้ผิวใต้วงแขนที่เรียบเนียน ภายในพริบตา

image003 82

การกำจัดขนด้วยเลเซอร์ สามารถทำให้ผิวใต้วงแขนค่อย ๆ เนียนเรียบ สวยงามขึ้น ตุ่มนูนจากการถอนขนจะยุบและจางลง ซึ่งการใช้เลเซอร์กำจัดขนจะสามารถกำจัดขนได้เป็นการถาวรซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ใช้ได้อย่างปลอดภัย อีกทั้งยังจัดการกับเส้นขนบนผิวหนังได้อย่างอ่อนโยนไม่ส่งผลข้างเคียงกับผิวที่บอบบาง ช่วยสลายเม็ดสีใต้ชั้นผิวสาเหตุหลักของผิวคล้ำเสีย ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี ผิวใต้วงแขนเรียบเนียนกระจ่างใสอย่างเป็นธรรมชาติ

เห็นได้ชัดเจนแล้วนะค่ะ ว่าการกำจัดขนแต่ละวิธีนั้น มีข้อแตกต่างทั้งข้อดี และ ข้อเสีย  และให้ผลลัพธ์ในระยะสั้น ไม่นานขนก็งอกใหม่ ซึ่งระยะเวลาการขึ้นใหม่ของเส้นนขนก็จะแตกต่างกันไปตามแต่ละวิธีที่เราใช้กำจัดขนแต่หากเป็นการกำจัดขนด้วยเลเซอร์จะช่วยกำจัดขนได้นานกว่า แต่อย่างไรก็ตามการเลือกใช้วิธีกำจัดขนก็ขึ้นอยู่กับความสะดวกของแต่คนที่เลือกใช้ หากเลือกวิธีเลเซอร์ กำจัดขนแล้ว ควรศึกษาข้อดี ข้อจำกัด และความปลอดภัยของวิธีการกำจัดขนให้ละเอียดถี่ถ้วนเสียก่อน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี และได้ประสิทธิภาพสูงสุด อีกทั้งการรักษาต้องได้รับการดูแลจากทีมแพทย์ผู้มีประสบการณ์ทางด้านเลเซอร์โดยเฉาพ เพื่อความปลอดภัยของตัวเรานะค่ะ

เมินหนังไก่ !! เลเซอร์ “กำจัดขน” กำจัดลึก หายทุกเส้น เผยผิวรักแร้ให้ขาวเนียนน่ามอง..

49

ปัญหาใหญ่ที่รบกวนใจไม่ว่าหญิงหรือชาย คงไม่มีใครอยากเห็นรักแร้ดำ  แม้ว่า “ขน” จะเป็นสิ่งที่มีมาตามธรรมชาติของมนุษย์ก็ตาม บางคนอาจมองเป็นเรื่องธรรมดา แต่สำหรับคนที่รักสวยรักงามแล้วคงจะไม่ดีแน่ถ้ามีรักแร้ดำ ผิวหนังดำคล้ำไม่ขาวเนียน เนื่องจากขนทำให้ผิวรักแร้ขาดความเนียนเรียบ ดูไม่เกลี้ยงเกลาแลดูสะอาดตา ยิ่งในรายที่มีขนดกดำแล้วยิ่งแลดูไม่น่ามอง จนทำให้บั่นทอนความมั่นใจได้

สำหรับคนที่ต้องการกำจัดขน เพื่อผิวพรรณเนียนเรียบ โกนก็แล้ว ถอนก็แล้ว แว็กซ์ก็แล้ว แต่ก็ยังไม่มั่นใจอยู่ดี ซ้ำขนยังขึ้นเป็นตอเร็วมาก ๆ แถมยังคล้ำเป็นตุ่มหนังไก่ ไม่ขาวเนียนอีกต่างหากอยากใส่แต่เสื้อเกาะอก สายเดี่ยว แขนกุดก็ขาดความมั่นใจ ให้เลเซอร์ “กำจัดขน”  ช่วยจัดการ ไม่ต้องวิตกกังวลกันอีกต่อไป

เลเซอร์กำจัดขน

อยากมีวงแขนที่เนียนสวย การกำจัดขนด้วยแสงเลเซอร์ เป็นอีกวิธีที่ช่วยแก้ปัญหาผิว กำจัดขนได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพอีกทั้งช่วยฟื้นฟูผิวที่หมองคล้ำ ลดหนังไก่ได้ดีอีกด้วย การกำจัดขน ด้วยเลเซอร์ จะให้ผลที่ถาวร ขนไม่กลับขึ้นมาใหม่

การกำจัดขนด้วยเลเซอร์

บริเวณที่ทำเลเซอร์กำจัดขน ผิวพรรณจะค่อย ๆ เนียนเรียบขึ้น ตุ่มนูนจากการถอนขนจะยุบและค่อย ๆ จางลง การกำจัดขน ด้วยเลเซอร์สามารถกำจัดขนได้ทั่วทั้งเรือนร่าง ไม่ว่าจะเป็น ขนรักแร้ แขน ขา หน้าแข้ง หนวด  อีกทั้งขนในที่ลับ “เลเซอร์” จัดการได้อย่างหมดจด หายทุกเส้น ขนที่เป็นอุปสรรคต่อผิวพรรณ ก็จะไม่ใช่ปัญหาที่สร้างความรำคาญ ทำให้ขาดความมั่นใจให้อีกต่อไป

กำจัดขนปัญหากวนใจให้หายขาด

เผยผิวเนียนสวยได้ง่ายๆ ด้วย Laser Hair Removal กำจัดขนที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ช่วยให้ผิวหนังอ่อนโยนไม่ส่งผลข้างเคียงกับผิวที่บอบบาง ช่วยสลายเม็ดสีใต้ชั้นผิวสาเหตุหลักของผิวคล้ำเสีย เรียบเนียนกระจ่างใสอย่างเป็นธรรมชาติ ผลลัพธ์การกำจัดขน ที่ได้ขึ้นอยู่กับบริเวณที่ทำและลักษณะของขนด้วย โดยทั่วไปเส้นขนที่ถูกทำลายได้ดีมีทั้งหมด 3 ระยะ ซึ่งระยะที่โตเต็มจะได้ผลดีที่สุด ดังนั้นการรอให้เส้นขนขึ้นมาให้เต็มที่ จะทำให้การกำจัดขนด้วยเทคโนโลยีนี้ มีประสิทธิภาพมากขึ้น 

image003 81

ผลลัพธ์ Laser Hair Removal

  • ผิวเรียบเนียน รูขุมขนกระชับ แลดูกระจ่างใสขึ้น
  • แก้ไขปัญหาขนคุดและผิวหนังไก่ให้หมดไป
  • ปริมาณเส้นขนที่ขึ้นใหม่ลดลงและบางลง
  • หมดปัญหาผิวพรรณดำคล้ำจากตุ่มขน

ประสิทธิภาพของการกำจัดขน ด้วยเลเซอร์ พร้อมเผยผิวสวย อวดผิวกระจ่างใส ถึงเวลาแล้วที่ต้องบอกลาหนังไก่ เพิ่มความมั่นใจให้สาวๆ หนุ่ม ๆ กลับมาได้อีกครั้งการถอน โกน หรือการแว็กซ์ขน ไม่ใช่ทางออกอีกต่อไป การทำเลเซอร์ กำจัดขน ต้องได้รับการดูแลจากทีมแพทย์ผู้มีประสบการณ์ทางด้านเลเซอร์โดยเฉพาะ เพื่อผลลัพธ์ที่ดี ให้ผิวสวยปลอดภัย ไร้ปัญหากวนใจอีกต่อไป…

เลิกยัง!!ถอนขนแบบเดิม ๆ “กำจัดขน” ให้ได้ผิวเนียนเรียบ แบบไร้ขน

48

เชื่อว่า หลายคนยังใช้วิธีเดิม ๆ ในการกำจัดขนอยู่ ไม่ว่ายุคไหน ต่อยุคไหน การจัดการกับขนนั้นเป็นเรื่องธรรมชาติ ที่ทุกๆ คนเมื่อเข้าสู่วัยเจริญพันธ์แล้ว ต้องเผชิญกับปัญหาเส้นขนที่ไม่พึงประสงค์ หาวิธีต่าง ๆ เพื่อกำจัดขนที่ไม่ต้องการออกไปจากร่างกาย อย่างเช่นขนรักแร้ ขนแขน ขนขา หนวด และขนในที่ลับ อีกทั้งขนส่วนอื่น ๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อความเนียนสวยของผิวพรรณ สร้างความรำคาญ และความกังวลใจให้กับหลาย ๆ คนอยู่ไม่น้อย

การกำจัดขนที่ไม่พึงประสงค์สามารถทำได้หลายวิธี ทั้งการแวกซ์ขน การถอน โกน ไปจนถึงเลเซอร์กำจัดขน แต่ก่อนการตัดสินใจเลือกใช้วิธีใดในการถอนกำจัดขน อาจลองพิจารณาถึงประสิทธิภาพ ข้อดีและข้อเสีย  เป็นข้อมูลเปรียบเทียบช่วยให้การกำจัดขนได้ตรงจุด และ ตรงใจ

วิธีกำจัดขน

การถอน เป็นวิธีกำจัดขนด้วยการใช้แหนบ ถอนดึงเส้นขนออกมาทั้งเส้นนิยมใช้ถอนขนตามบริเวณที่ขนขึ้นไม่มากนัก การกำจัดขนวิธีนี้ควรถอนดึงเส้นขนควรเช็ดทำความสะอาดอุปกรณ์ในการถอนด้วยแอลกอฮอล์หรือ น้ำยาทำความสะอาด ทั้งก่อนและหลังใช้ เพื่อลดความเสี่ยงจากเชื้อโรคซึ่งการถอนจะอยู่ได้ไม่เกิน 2-3 สัปดาห์   จึงจะมีเส้นขนงอกขึ้นมาใหม่

การแวกซ์ขน เป็นการกำจัดขนที่ช่วยถอนขนออกมาได้อย่างหมดจด เห็นผลรวดเร็ว โดยมี 2 วิธี แบบร้อน และ แบบเย็น

  • วิธีที่ 1 การแวกซ์ร้อนจะใช้ครีมแวกซ์ ป้ายผิวบริเวณที่ต้องการกำจัดและวางทับด้วยแถบผ้าขนาดเล็กด้านบนเมื่อดึงแถบผ้าออกอย่างรวดเร็วทำให้เส้นขนหลุดติดมากับผ้า
  • วิธีที่ 2 เรียกว่าแวกซ์เย็น เป็นรูปแบบแผ่นแปะสำเร็จรูปพร้อมใช้งานได้ทันที โดยจะทำเองหรือใช้บริการตามสถานเสริมความงามก็ได้

การโกน เป็นการกำจัดขนโดยใช้มีดโกนหรือเครื่องโกนขนไฟฟ้า ใช้โกนกำจัดขนบริเวณใต้วงแขน ขาหรือบริเวณจุดซ่อนเร้น โดยควรโกนตามแนวขน ก่อนโกนควรให้ผิวบริเวณนั้นเปียกเล็กน้อยหรือจะใช้ครีมทาก่อน เพื่อช่วยให้ขนไม่แข็งจนเกินไปสามารถโกนได้ง่ายขึ้น

นวัตกรรมใหม่เลเซอร์ ช่วยกำจัดขน

การกำจัดขนด้วยแสงเลเซอร์ เป็นอีกวิธีที่ช่วยแก้ปัญหาผิว กำจัดขนได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพอีกทั้งช่วยฟื้นฟูผิวที่หมองคล้ำ ช่วยลดผิวหนังไก่ได้ดีอีกด้วย การกำจัดขน ด้วยเลเซอร์ จะให้ผลที่ถาวรมากขึ้น ขนไม่กลับขึ้นมาใหม่ได้ง่ายการใช้แสงเลเซอร์ เป็นวิธีกำจัดขนโดยยิงแสงเลเซอร์ไปที่ขุมขน เพื่อให้ความร้อนช่วยทำลายและยับยั้งการเจริญเติบโตของเส้นขน เมลานินในเส้นขนสีดำได้

image003 80

การกำจัดขนด้วยเลเซอร์

บริเวณที่ทำเลเซอร์กำจัดขนนั้นผิวพรรณจะค่อย ๆ เนียนเรียบขึ้น ตุ่มนูนจากกวิธีการกำจัดขนด้วยการถอนขนจะยุบและค่อย ๆ จางลง การกำจัดขน ด้วยเลเซอร์สามารถกำจัดขนได้ทั่วทั้งเรือนร่าง ไม่ว่าจะเป็น เลเซอร์ขนรักแร้ เลเซอร์แขน เลเซอร์ขา เลเซอร์หน้าแข้ง เลเซอร์หนวด  อีกทั้งขนในที่ลับ “เลเซอร์” ก็ยังสามารถกำจัดขนบริเวณนั้นได้อย่างหมดจด หายทุกเส้น ขนที่เป็นอุปสรรคต่อผิวพรรณ ขนขด ขนคุด ก็จะไม่ใช่ปัญหาที่สร้างความรำคาญ ทำให้ขาดความมั่นใจให้อีกต่อไป

Laser Hair Removal กำจัดขนให้หายขาด

เผยผิวเนียนสวยได้ง่ายๆ ด้วยการกำจัดขนที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพกับ Laser Hair Removal ช่วยทำให้ผิวหนังอ่อนโยนไม่ส่งผลข้างเคียงกับผิวที่บอบบาง ช่วยสลายเม็ดสีใต้ชั้นผิวสาเหตุหลักของผิวคล้ำเสีย เรียบเนียนกระจ่างใสอย่างเป็นธรรมชาติ อีกทั้งผลลัพธ์ที่ได้จากวิธีการกำจัดขนนี้เป็นที่น่าพึงพอใจ โดยทั่วไปเส้นขนมีการเติบโตทั้งหมด 3 ระยะ ซึ่งระยะที่โตเต็มจะได้ผลดีและมีประสิทธิภาพที่สุด ดังนั้นการรอให้เส้นขนขึ้นมาให้เต็มที่ จะทำให้การกำจัดขนด้วยเทคโนโลยีนี้ มีประสิทธิภาพมากขึ้น 

ผลลัพธ์ Laser Hair Removal

  • วิธีการกำจัดขนแบบนี้ช่วยทำให้ผิวเรียบเนียน รูขุมขนกระชับ แลดูกระจ่างใสขึ้น
  • สามารถแก้ไขปัญหาขนขด ขนคุดและช่วยจัดการผิวหนังไก่ให้หมดไป
  • ปริมาณเส้นขนที่ขึ้นมาใหม่น้อยและบางลง
  • หมดปัญหาผิวพรรณดำคล้ำจากตุ่มขนตามผิวพรรณ

ได้เห็นแล้วสินะว่าการ กำจัดขนนั้นทำได้หลายวิธี และได้ทราบถึงประสิทธิภาพของการทำเลเซอร์กำจัดขนแล้วสินะเมื่อเทียบกับวิธีที่เคยใช้ บอกลาวิธีการกำจัดขนแบบเดิม ๆ ไปเลย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการใช้เลเซอร์ในทางการแพทย์ก็มีหลายชนิด ก่อนเข้ารับการกำจัดขนด้วยวิธีนี้ จึงควรปรึกษาแพทย์ถึงข้อดี ข้อเสีย และผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ การเลเซอร์ขนเป็นวิธีที่ค่อนข้างมีประสิทธิภาพและให้ผลในระยะยาว แต่ต้องทำการเลเซอร์ใหม่ทุก 6 เดือน หรือ 1 ปี หลังจากการทำเลเซอร์กำจัดขนอาจมีรอยแดงและเกิดการอักเสบของผิวหนังได้ และควรหลีกเลี่ยงการโดนแสงแดดโดยตรงในช่วงแรก เมื่อตัดสินใจเลือกใช้วิธีกำจัดขนแบบนี้แล้วควรได้รับการรักษาโดยผู้เชี่ยวชาญ หรือศูนย์บริการ ที่มีคุณภาพเป็นที่ยอมรับและน่าเชื่อถือเท่านั้นเพื่อให้ได้ผลลัพธ์และประสิทธิภาพที่ดี

ผิวขาดความกระชับ “กระชับผิวหน้า” ลดหน้าหย่อนคล้อย กับ HIFU

7

การมีรูปหน้าที่ตึงกระชับได้รูปผิวหน้าหน้ากระจ่างใส ไร้จุดด่างดำ นั้นเป็นความโชคดีของผู้หญิงโดยแท้ แต่จะมีสักกี่คนที่มีความสมบูรณ์แบบทั้งรูปร่างหน้าตา ผิวพรรณที่ไร้ตำหนิ แต่ด้วยสิ่งที่ผู้หญิงต้องการนั้นมันไม่ได้มาแบบพร้อมกันซะทีเดียวจะต้องมีได้เสริมเติมแต่ง ตรงนั้นนิด ตรงนี้หน่อย เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับตัวเองด้วยกันทั้งนั้นยิ่งสาว ๆ ด้วยแล้ว ผิวหน้านี้เป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่ทุกคนถวิลหา อยากมีผิวใสหน้าสวย ผิวเรียบเนียน ตึงกระชับผิวหน้า ได้รูปกันทั้งนั้น 

ดังนั้นสาว ๆ จึงต้องสรรหาวิธีการมาบำรุงผิวหน้า เพื่อกระชับผิวหน้า เพื่อชะลอการเกิดริ้วรอย เพื่อช่วยลดความหย่อนคล้อยของใบหน้าอยู่เสมออันดับแรกของการดูแลผิวหน้าที่สะดวกที่สุดที่ทุกคนนึกถึง น่าจะเป็นครีมบำรุงผิว ยี่ห้อต่าง ๆ ที่มีการโฆษณา ทั้งทางทีวี  อินเตอร์เน็ต สื่อออนไลน์ ทั้งหลาย ซึ่งคุณสมบัติของการใช้ครีมบำรุงผิว ก็คล้าย ๆ กัน ใช้แล้วเห็นผลบ้าง ไม่ได้ผลบ้าง แต่บางคนซ้ำร้ายไปกว่านั้น  เลือกใช้ครีมที่ไม่ได้มาตรฐาน กลับทำให้หน้าพังไปกว่าเดิม แย่กันไปเลยใช่มั๊ยค่ะ  อย่าเพิ่งกังวลไป ด้วยปัจจุบันเทคโนโลยีทางการแพทย์สมัยใหม่ก้าวล้ำไปมาก  ทำให้คิดค้นนวัตกรรมตัวใหม่ที่มีประสิทธิภาพทางการรักษาผิวหน้าให้ยกกระชับ ได้รูปได้สัดส่วน เรียบเนียน ตึงกระชับผิวหน้า ได้ในไม่กี่ชั่วโมง แถมสะดวก และง่าย จบปิ้งในขั้นตอนเดียว อีกทั้งไม่เจ็บ และไม่ต้องฟักฟื้นอีกด้วย

นวัตกรรมตัวใหม่ล่าสุด ที่กำลังเป็นที่นิยมตามสถาบันเสริมความงามต่าง ๆ ก็คงต้องยกให้พระเอกตัวจริง เป็นตัวนี้เลย กับ นวัตกรรม  HIFU  เป็นเทคโนโลยีการรักษาทางการแพทย์สำหรับผิวโดยเฉพาะ คุณสมบัติช่วยยกกระชับปรับรูปหน้า กระชับผิวหน้าโดยไม่ต้องผ่าตัด

HIFU คืออะไร

HIFU หรือชื่อเต็ม High Intensity Focus Ultrasound เป็นการใช้คลื่นอัลตร้าซาวด์ความเข้มข้นสูง เป็นเทคโนโลยีล่าสุดสำหรับทำการรักษาด้านความงามหลักการทำงานของ HIFU คือ การใช้คลื่น ส่งผ่านไปยังเนื้อเยื่อแล้วเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อน ในอุณหภูมิประมาณ 65 องศาเซลเซียส ซึ่งพลังความร้อนจากคลื่น  Ultrasound จะทำให้เกิดความร้อนในบริเวณที่โฟกัสเท่านั้น โดยคลื่นพลังงานจะไม่ส่งผลกระทบต่อชั้นหนังกำพร้า  จึงไม่ทำให้ผิวเกิดการแสบไหม้ หรือเกิดรอยดำเกิดขึ้น ผลที่ได้จากการรักษาด้วยเทคโนโลยี  HIFU คือ ช่วยปรับหน้าที่ห้อย หย่อนคล้อย กรอบหน้าไม่ชัดเจน มุมปากตก มีร่องมุมปากหนังตาหย่อน  ให้กระชับผิวหน้าขึ้น

shutterstock 748987114

ผลลัพธ์รักษาด้วย HIFU

  • ภายใน 1 สัปดาห์ หลังทำผิวจะอิ่มฟูขึ้น ประมาณ 20% และหากทำอย่างต่อเนื่องจะช่วยให้เห็นผลที่ชัดเจน และคงทนขึ้นมากขึ้น
  • การยกกระชับผิวหน้าด้วย HIFU ไม่มีสารแปลกปลอมเข้าใบหน้า ปลอดภัยในระยะยาว และไม่ต้องทนเจ็บขณะทำ หลังทำไม่มีรอยช้ำ บวมแดง หรือแผลใดๆเกิดขึ้น
  • ประสิทธิภาพของ HIFU จะเข้าไปทำลายเนื้อเยื่อในชั้นผิวหนังระดับลึก ใต้ผิวหนังทำให้ผิวหนังหดตัว คล้ายกับการเย็บที่เนื้อ ส่งผลทำให้เกิดกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนหรือสร้างเนื้อเยื่อใหม่เพิ่มขึ้นมา ซึ่งเป็นการดึงหน้าที่ทำให้ผิวดูยกกระชับและดูอ่อนเยาว์ขึ้น
  • เนื้อเยื่อที่เกิดขึ้นใหม่ จะทำให้ผิวจะมีความเรียบเนียนขึ้นเรื่อย ๆ เห็นผลชัดเจนภายใน 3 เดือน เมื่อทำแล้วจะคงสภาพอยู่ได้ประมาณ 6 เดือน – 1 ปี
  • การอยู่คงทนของผิว ขึ้นอยู่กับจำนวนครั้งของการทำ HIFU และแต่ละคนจะไม่เท่ากัน โดยขึ้นอยู่กับปัญหาของรูปหน้าแต่ละคน การดูแลรักษาผิวหลังการใช้บริการ และสภาพผิวของแต่ละคนก็มีส่วน

ข้อดีของ HIFU

การรักษารูปหน้ายกกระชับผิวหน้าด้วย HIFU เป็นวิธีที่เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิว และริ้วรอยไม่มากนัก อีกทั้งราคายังไม่แพงมากเกินไปทำบ่อยครั้งได้ และยังสามารถทำการรักษาร่วมกับ โปรแกรมอย่างอื่นได้ ระหว่างทำการรักษาด้วย HIFU จะรู้สึกอุ่นๆ บนผิวขณะทำ ผิวจะไม่แสบร้อนจึงไม่ต้องใช้ยาชา ทำให้ผู้ที่เข้ารับการรักษาไม่รู้สึกเจ็บหลังจากการทำ และสามารถใช้ชีวิตปกติประจำวันได้เพราะไม่มีบาดแผล ไม่บวมแดง และไม่ต้องพักฟื้น หลังจากเข้าใช้บริการ

ข้อเสียของ HIFU

หลังการเข้าใช้บริการ รักษาด้วย Ultrasound  ของ HIFU อาจมีรอยแดงเกิดขึ้นบ้างหลังการทำ และจะหายไปได้เองภายใน 1 – 2 ชั่วโมง

การเตรียมตัวเองก่อนการทำ HIFU

ไม่ควรสูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์ ควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เนื่องจากมีส่วนจะช่วยเอื้อต่อการสร้างคอลลาเจนให้กับเซลล์ที่กำลังถูกสร้างขึ้นมาใหม่เป็นไปได้ด้วยดีต้องดูแลสุขภาพให้พร้อม พักผ่อนให้เพียงพอ ก่อนเข้าใช้บริการ

การดูแลหลังการทำ HIFU

ควรทาครีมบำรุงผิวเพื่อเป็นการบำรุงผิวที่เกิดขึ้นใหม่ให้มีความชุ่มชื่นอยู่เสมอ ผิวจะได้แข็งแรงคงอยู่ได้อย่างยาวนานขึ้นเมื่อต้องออกแดด ทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงๆ เข้าไว้ หลีกเลี่ยงแสงแดดที่มากระทบผิวโดยตรง หากมีอาการตึงผิวสามารถทานยาแก้ปวดได้ และไม่ควรถูนวดใบหน้าแรงๆ หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ และดื่มแอลกอฮอล์ เนื่องจากจะไปยับยั้งและทำลายการสร้างคอลลาเจนที่กำลังเกิดขึ้นใหม่ในชั้นใต้ผิวหนัง

เห็นอย่างนี้แล้วต้อง ขอขอบคุณเทคโนโลยีด้านความงามสมัยนี้จริงๆ นวัตกรรม HIFU นี้ ช่วยเติมเต็มให้ผู้หญิงผู้ที่มีความรักสวยรักงาม ได้เป็นผู้หญิงที่สมบูรณ์แบบได้สมใจ อีกทั้งยังสะดวกรวดเร็วยกกระชับผิวหน้าได้ดั่งใจเห็นผลได้ตั้งแต่ครั้งแรกในขั้นตอนเดียว ให้ความรู้สึกถึงผลลัพธ์ของการรักษาก่อนทำและหลังทำได้ชัดเจน มันช่างเป็นที่น่ายินดียิ่งนักใช่มัยค่ะสาว ๆ สำหรับใครที่กำลังประสบปัญหาผิวอยากทดสอบประสิทธิภาพของ HIFU ก่อนตัดสินใจทำ ก็ควรเลือกสถานบริการที่ปลอดภัย ได้มาตรฐานเป็นที่ยอมรับ เช็คข้อมูลกันให้แน่นๆ เพื่อผลลัพธ์ที่ได้มานั้น คุ้มค่า คุ้มราคา กับค่าใช้จ่ายที่หายไปจากกระเป๋ากันให้ดีนะคะ…

ปรับหน้า V ให้หน้าเรียว “กระชับผิวหน้า” ด้วย HIFU ช่วยปรับรูปหน้า

6

จะมีสักกี่คน ปัจจุบันนี้ที่ไม่อยากหน้า วีเซฟ มันคือสุดยอดของการมีหน้าที่สวย สะดุดตาอยู่ไม่น้อยสำหรับ สาว ๆ คนไหนที่มีรูปหน้า วี หน้าเรียว ไม่แปลกที่สาวๆ จะหาวิธี และ หาเครื่องมือที่จะใช้ปรับรูปหน้าให้กระชับผิวหน้าได้สัดส่วน บางคนหันไปเพิ่งมีดหมอ ตัดนั่น เติมนี่ สวยด้วยแพทย์กันทั้งนั้น ยุคนี้สมัยนี้ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องอาย ที่จะบอกใคร ๆ ต่อใครว่าที่สวยได้แบบนี้เพราะหมอทำ มีแต่จะบอกว่า หมอที่ไหนดี ทำที่ไหนดี ทำให้ต่างเสาะหาแหล่งทำสวยกันโครม ๆ  เปิดเผยแบบออกนอกหน้ากันไปเลย

ปัจจุบันจึงได้มี เทคโนโลยีกระชับผิว อย่าง HIFU เกิดขึ้น เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตส์ของสาว ๆ กัน  ยุคนี้สมัยนี้ใครไม่รู้จัก HIFU ถือว่าเอ้าส์ แล้วนะ ดังนั้นเรามาทำความรู้จัก HIFU แบบชัด ๆ กันว่ามันคืออะไร ทำไมถึงทำให้หน้ากระชับได้

HIFU คืออะไร

HIFU หรือ ชื่อเต็มเรียกว่า  High Intensity Focus Ultrasound เป็นการใช้คลื่นอัลตร้าซาวด์ความเข้มข้นสูง เป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดสำหรับการทำการรักษาด้านความงาม  หลักการทำงานของ HIFU คือ การ ultrasound ลงไปยังชั้นผิว คลื่นอัลตร้าซาวด์จะถูกส่งผ่านไปยังเนื้อเยื่อแล้วเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อน อุณหภูมิประมาณ 65 องศาเซลเซียส โดยพลังความร้อนจะโฟกัสในจุดบริเวณที่เท่านั้น โดยจะไม่ส่งผลต่อผิวชั้นหนังกำพร้า  จึงไม่ทำให้ผิวแสบไหม้ หรือเกิดรอยดำขึ้นที่ผิว การรักษาด้วยเทคโนโลยี  HIFU  ช่วยปรับหน้าที่ห้อย หย่อนคล้อย กรอบหน้าไม่ชัดเจน มุมปากตก มีร่องมุม ร่องแก้ม ร่องปาก ให้กระชับขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้ดูอ่อนเยาว์ขึ้น

shutterstock 1182525256

HIFU ให้ผลลัพธ์ที่ดีอย่างไร

  • บริเวณที่ทำการรักษาด้วย HIFU จะเห็นผลภายใน  1 สัปดาห์ ผิวจะค่อย ๆ อิ่มฟูขึ้น สามารถทำได้หลายครั้งต่อเนื่องได้ การทำหลายๆ ครั้งอย่างต่อเนื่องจะเห็นผลที่ชัดเจน และยาวนานขึ้น 
  • การทำ HIFU ไม่มีสารแปลกปลอมเข้าใบหน้า ปลอดภัยในระยะยาว การรักษาไม่เจ็บมากระหว่างทำ หลังทำไม่เกิดรอยช้ำ บวมแดง หรือเป็นแผล
  • HIFU เข้าไปทำลายเนื้อเยื่อในชั้นผิวหนังระดับลึก   ทำให้เกิดการสร้างคอลลาเจนหรือสร้างเนื้อขึ้นเยื่อมาใหม่ ซึ่งส่งผลให้ผิวดูยกกระชับและอ่อนเยาว์ขึ้น
  • หลังทำกรรักษา ผิวจะมีความเรียบเนียนขึ้นภายใน 1-3  เดือน ให้ผลชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ  เมื่อทำแล้วจะคงสภาพอยู่ได้ประมาณ 6 เดือน – 1 ปี 
  • การรักษาด้วยHIFU จำนวนครั้งที่ทำจะไม่เท่ากัน  โดยขึ้นอยู่กับปัญหาและรูปโครงหน้าของแต่ละคน แต่ควรเว้นระยะห่างจากการทำจากครั้งแรกประมาณ 2 เดือน โดยต้องทำอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน

การดูแลหลังการทำ HIFU

ต้องใช้ครีมบำรุงผิวเพื่อบำรุงผิวให้เกิดความชุ่มชื้น เพื่อบำรุงผิวที่เกิดขึ้นใหม่ให้แข็งแรง และทาครีมกันแดดทุกครั้งที่ต้องออกนอกบ้าน และควรใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงๆ เข้าไว้  อาจมีอาการเมื่อยหรือตึงผิว หากมีอาการให้ทานยาแก้ปวดได้ และไม่ควรนวด ถูใบหน้าแรงๆ ไม่สูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์ เพราะเป็นสาเหตุตัวการทำลายการสร้างคอลลาเจนที่กำลังถูกสร้างขึ้นมาใหม่ใต้ชั้นผิวหนัง

เทคโนโลยีความงามยุคนี้สมัยนี้วิเศษมากจริง ๆ   ช่วยทำให้ผู้หญิงอย่างเราเดินต่อไปได้ สร้างปรกฎการณ์หน้าตึงกระชับ ยกส่วนที่หย่อนคล้อย ห้อยย้อย ให้กลับมาเต่งตึงยังกับเสกได้ ที่สำคัญทำเพียงครั้งแรกก็ให้ความรู้สึกรับรู้ถึงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับผิว  ก่อนทำและหลังทำได้อย่างชัดเจนช่างเป็นตัวเลือกที่น่าพิสูจน์ความจริงให้กับสาว ๆ ได้ลองเลือกใช้เพื่อคงความสวย ผิวเรียบตึงกระชับ แลดูอ่อนเยาว์ สวยใสได้ไปอีกนาน……. 

เก็บแนวคาง ลดเหนียง.. ยก “กระชับผิวหน้า” ในขั้นตอนเดียว

5

ปัญหาของคนเรา พอเริ่มมีอายุมาขึ้น ปัญหาหลากหลายเริ่มตามมา คนส่วนใหญ่มักจะเกิดความหย่อนยานของผิวหนัง แทบทุกส่วนของร่างกาย โดยเฉพาะผิวบริเวณใบหน้า หน้าผาก หางตา หนังตา ร่องแก้ม คางเหนียง เกิดขึ้นได้ ซึ่งแต่ละคนก็หาวิธีที่จะดูแล บำรุง อยากให้ผิวบริเวณใบหน้ากลับมาเรียบดึง กระชับผิวหน้าเหมือนเดิม บางคนฉีดสารเคมี ทำเลเซอร์ หรือผ่าตัด กันซะเลย เพื่อแก้ปัญหาให้กับผิวหน้า

แต่ด้วยวิวัฒนาการสมัยใหม่ เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่มีการพัฒนา ได้มีเครื่องมือในการยกกระชับผิวหน้า ให้ ผิวบริเวณต่างๆ ให้ยกกระชับ ในขั้นตอนเดียว โดยเฉพาะผิวหน้า ล็อคกรอบหน้า ให้ตึงกระชับได้รูป ด้วย HIFU และ Thermage ที่อยากแนะนำ สองตัวนี้ช่วยยกกระชับผิวหน้าได้เหมือนกัน แต่ประสิทธิภาพต่างกัน จึงขอเปรียบเทียบข้อมูลให้เพื่อเป็นทางเลือกให้ได้ชิมลางกัน

HIFU  คืออะไร

HIFU คือ การใช้เลเซอร์ รักษายกกระชับผิวหน้า ชื่อก็น่าใช้แล้วเนอะ ทำแล้วหน้าจะต้องฟู ๆ แน่ๆ  HIFU  ย่อมาจาก High Intensity Focus Ultrasound เป็นการนำคลื่นเสียงความถี่สูงที่สามารถปล่อยคลื่นเสียงออกโดยโฟกัสเฉพาะจุด ตรงลึกถึงโครงสร้างเนื้อเยื่อชั้นใน คลื่นมีความเข้มข้นสูงถูกปล่อยออกมา 1000 ครั้ง / วินาที ผลที่ได้คือทำให้เกิดกระบวนการเสริมสร้างเนื้อเยื่อใหม่ของร่างกายและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ช่วยยกกระชับผิวหน้าที่มีความหย่อนคล้อย ทำแล้วไม่เจ็บปวดเวลาทำซึ่งเป็นการดึงหน้าที่ส่งผลให้ผิวดูยกกระชับและอ่อนเยาว์ ให้ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 6 เดือน ถึง 1 ปี

shutterstock 655858126

Thermageคืออะไร

Thermage เป็นการใช้ความถี่ของคลื่นวิทยุแบบขั้วเดียว ซึ่งนำมาใช้กระตุ้นได้ลึกลงตั้งแต่ชั้นหนังแท้จนถึงชั้นกล้ามเนื้อ โดยคลื่นนี้จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ และทำให้ส่วนที่หย่อนคล้อยไม่กระชับหดตัว ผิวที่ถูกทำด้วย Thermage จะกลับมามีเกลียวขึงเนื้อเยื่อทำให้มีความยืดหยุ่นและกระชับได้ดีอีกครั้ง Thermage  ช่วยยกกระชับได้ทั้งผิวหน้า ผิวกาย และลดริ้วรอยโดยไม่ต้องผ่าตัด อีกทั้งผิวในบริเวณที่ทำ Thermage จะดูมีน้ำมีนวลเต่งตึงขึ้น ส่งผลให้ยกกระชับผิวหน้า ลดความหย่อนคล้อยของผิวหน้า ผิวกายผิวมีริ้วรอยร่องแก้มลึก ผู้ที่มีหนังตาตก ต้องการยกคิ้ว ยกหางตาขึ้นกระชับหนังตาบน อีกทั้งผิวหมองคล้ำไม่สดใส มีริ้วรอยรอบดวงตา หน้าผาก และริมฝีปาก ยังเหมะกับผู้ที่มีปัญหาผิวเหี่ยวย่นบริเวณหน้าท้อง ต้นแขน ต้นขา และมือ แม้แต่ผู้ที่ผิวไม่เรียบเนียนเป็นเซลล์ลูไลท์ก็สามารถทำได้ทำแล้วอยู่ได้นาน1 – 2 ปีทำให้ดูอ่อนเยาว์ลง แต่ตอนเวลาทำค่อนข้างเจ็บ ต้องแปะยาชาก่อนทำ

ผลลัพธ์หลังทำ HIFU และ Thermage

  1. ช่วยดึง ยกกระชับผิวหน้าและผิวกายที่หย่อนคล้อยให้ตึงกระชับขึ้น
  2. ช่วยแก้ไขปัญหาหนังตาตก
  3. ช่วยดึงกระชับขอบตาล่างที่หย่อนยาน
  4. ช่วยดึงกระชับ ปรับรูปหน้าให้เรียวขึ้น

ข้อดีของHIFU

  • เป็นวิธีที่เหมาะกับผู้ที่มีริ้วรอยน้อยๆ
  • ทำได้บ่อยครั้งและหลังการทำ HIFU ยังสามารถทำการรักษาอย่างอื่นอีกได้
  • เวลาทำจะรู้สึกอุ่นๆ บนผิวขณะทำ ผิวจะไม่แสบร้อนและไม่ต้องใช้ยาชา
  • ไม่รู้สึกเจ็บหลังจากการทำไม่มีบาดแผลและไม่ต้องพักฟื้น

ข้อดีของ Thermage

  • ไม่มีผลข้างเคียงในระยะยาว
  • ทำง่าย สะดวก รวดเร็ว และไม่มีร่องรอยหรือบาดแผลหลังทำ สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ
  • ทำได้กับทุกสีผิวหรือผู้ที่มีผิวเข้มก็ทำได้
  • รักษาเพียงครั้งเดียว ก็เห็นผล ซึ่งต่างจากเลเซอร์ทั่วไปที่ต้องทำซ้ำถึง 3 – 4 ครั้ง

การดูแลหลังการรักษา

  1. อาจมีรอยแดงเกิดขึ้นเล็กน้อยหลังทำ และจะจางหายไปเองภายใน 1-3 ชั่วโมง
  2. หลีกเลี่ยงการสตรีมซาวด์น่า นวดหน้าด้วยความร้อน หลังทำ 1 สัปดาห์
  3. หลีกเลี่ยงแสงแดดที่มากระทบผิวโดยตรงและทาครีมกันแดดทุกครั้งที่ออกแดด
  4. สามารถใช้ครีมบำรุงต่างๆ หรือแต่งหน้าได้ตามปกติทันที

จะเห็นได้ว่า วิวัฒนาการทางการแพทย์สามารถช่วยแก้ปัญหา ให้กับเราได้ แต่การจะเลือกใช้อะไรเป็นตัวช่วยนั้นต้องศึกษาในรายละเอียดให้ดี ๆ  เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ ที่เป็นที่น่าพึงพอใจ อย่างวิธีที่แนะนำ ระหว่าง HIFU และ Thermage นั้น สามารถช่วยยกกระชับผิวหน้าได้เหมือนกัน จะแตกต่างกันที่ผลลัพธ์ และ ราคา ที่เป็นตัวช่วยในการตัดสินใจว่าควรจะใช้ตัวไหนดี และควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้ได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง การให้ความสำคัญแก่สถานที่ ที่ให้บริการ เครื่องมือ และอุปกรณ์ในการรักษาก็ควรเลือกสถานบริการที่น่าเชื่อถือ เพื่อความคุ้มค่า คุ้มราคากับเงินที่ต้องจ่ายออกไปกันนะค่ะ

คืนรูปหน้า..หน้าเสียทรง “กระชับผิวหน้า” ลดอายุผิว ให้หน้าตึงกระชับ

3

พออายุมากขึ้น กระดูกจะเล็กลง เป็นสาเหตุทำให้จุดเชื่อมใบหน้าไม่แข็งแรง ทำให้เกิดปัญหา หน้าตก หย่อนคล้อย

ทำให้ไขมันใต้ผิวลดลงตามอายุที่มากขึ้น การดูแลตั้งแต่เริ่มต้น ป้องกันไว้ไม่ให้โครงหน้าทรุด ใบหน้าก็จะสวยอ่อนวัย

หากมาแก้ไขปัญหารูปหน้าในเวลาที่สายเกินไป นอกจากจะแก้ไขยาก ใช้เงินเยอะแล้ว ยังยากที่จะทำให้กลับมาหน้าตึงสวยเหมือนตอนวัยรุ่น ซึ่งการคงกระชับผิวหน้าไว้ หยุดมันไว้จะดูง่ายกว่ามาก

หน้าตึงได้แบบไม่ศัลย์ด้วย Thermage

การทำ Thermage ช่วยแก้ปัญหาผู้ที่มีใบหน้าหย่อนคล้อย กระชับผิวหน้า มีริ้วรอยร่องแก้มลึก มีหนังตาตก ต้องการยกคิ้ว ยกหางตาขึ้นกระชับหนังตาบน อีกทั้งผู้ที่มีผิวหมองคล้ำไม่สดใส มีริ้วรอยรอบดวงตา หน้าผาก และริมฝีปาก และยังช่วยแก้ปัญหาผิวเหี่ยวย่นบริเวณหน้าท้อง ต้นแขน ต้นขา และมือ ผิวไม่เรียบเนียนเป็นผิวเซลล์ลูไลท์ก็สามารถทำได้ทั่วทั้งตัว

shutterstock 1125103823

Thermage กับ คอลลาเจน

คอลลาเจน (Collagen)  เป็นโปรตีนเนื้อเยื่อเส้นใยที่ร่างกายมนุษย์สร้างขึ้นได้เองตามธรรมชาติทำหน้าที่ช่วยเพิ่มความแข็งแรงและความยืดหยุ่นให้กับอวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกายผิวหนังที่มีคอลลาเจนอยู่ในชั้นหนังแท้ จะช่วยทำให้ผิวมีความชุ่มชื้น เปล่งปลั่ง มีน้ำมีนวล กระชับผิวหน้า ร่างกายจะผลิตคอลลาเจนได้มากเมื่ออายุยังน้อย แต่เมื่อมีอายุเพิ่มขึ้น ร่างกายจะผลิตคอลลาเจนจะลดลงเรื่อยๆ จึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลยปล่อยให้ผิวร่วงเลยไปตามวัย เทคโนโลยีทางการแพทย์กับนวัตกรรม Thermage สามารถช่วยซ่อมแซมเซลล์ผิวทำให้ผิวแข็งแรง เรียบเนียน ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวและชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัยได้

ปัจจัยที่ทำลายคอลลาเจน

  • เมื่ออายุเพิ่มขึ้น คอลลาเจนจะค่อย ๆ เสื่อมตามอายุที่มากขึ้น เพราะเซลล์ไฟโบรบลาสต์ที่ทำหน้าที่ผลิตคอลลาเจนเสื่อมลง
  • แสงแดด รังสี UVA มีส่วนทำลายคอลลาเจนในชั้นผิวลึกได้ และทำให้เกิดริ้วรอย
  • สภาพแวดล้อม มลภาวะ ทั้งฝุ่นละออง ควันพิษที่ต้องเผชิญในแต่ละวัน
  • ความเครียด ทำให้ร่างกายผลิตคอร์ติซอล ฮอร์โมนที่ไปทำลายคอลลาเจนใต้ผิวหนัง
  • การสูบบุหรี่ สารนิโคตินจะไปรบกวนการสร้างคอลลาเจน

ดังนั้น จึงเป็นตัวช่วยในการเสริมสร้างคลอลาเจนที่ถูกทำลายและลดน้อยลงไปตามอายุ และวัยที่ล่วงเลย วิธีการรักษาด้วย  Thermage เป็นการใช้คลื่นวิทยุส่งผ่านความร้อนไปยังชั้นหนังแท้ส่วนที่ลึกที่สุดของผิวเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนที่มีอยู่เดิมให้สร้างขึ้นมาใหม่ ทำให้กระชับผิวหน้าขึ้นผิวเรียบเนียน รูขุมขนเล็กลง และช่วยลดริ้วรอย  อีกทั้งการรักษาไม่ต้องผ่าตัดทำศัลย์กรรม ไม่ทิ้งร่องรอยและแผลเป็นให้กับผิว

ใครที่เหมาะที่จะทำThermage

  • ผู้ที่มีปัญหาไขมันใบหน้าเยอะ หน้าหย่อนคล้อยมีเหนียงใต้คาง
  • ผู้ที่ มีริ้วรอยร่องแก้มลึก
  • ผู้ที่มีหนังตาตก หรือยกหางตาขึ้นและกระชับหนังตาบน
  • ผู้ที่ต้องการยกคิ้ว หน้าผาก
  • ผู้ที่ผิวหมองคล้ำไม่สดใส มีริ้วรอยรอบดวงตา
  • ผู้ที่มีปัหาริมฝีปากไม่กระชับได้รูป
  • ผู้ที่มีปัญหาผิวเหี่ยวย่นบริเวณหน้าท้อง ต้นแขน ต้นขา และมือ
  • ผู้ที่มีผิวไม่เรียบเนียน มีไขมันเป็นเซลล์ลูไลท์ สามารถทำได้ทุกส่วนของร่างกาย

ข้อดีของThermage

  • ผิวตึงกระชับทันทีหลังทำการรักษา จะเห็นผลได้ชัดเจน ตั้งแต่เดือนแรกและชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ ในเดือนที่ 6
  • ใช้เวลาในทำการรักษาประมาณ 30-60นาที /ครั้ง
  • ให้ผลได้ยาวนาน 1-2 ปี ขึ้นอยู่กับสภาพผิว การดูแลบำรุงผิวการทานอาหาร และการใช้ชีวิตของแต่ละบุคคล
  • หลังการรักษาไม่ทำให้เกิดริ้วรอยและแผลเป็น
  • หลังทำสามารถทาครีม แต่งหน้า ใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ

ผู้ที่ต้องระวังสำหรับทำThermage

  • ผู้ป่วยตั้งครรภ์
  • ผู้ป่วยโรคมะเร็ง
  • ผู้ป่วยใส่สายสวนหัวใจ
  • ผู้ป่วยที่มีโลหะในร่างกาย

อย่างไรก็ตามการกระชับผิวหน้าด้วยการทำ Thermage อาจมีผลข้างเคียงจากการทำ คือ อาจเกิดผื่นในจุดที่ทำและมีอาการบวมแดงเล็กน้อย แต่ไม่ต้องกังวลอะไร ซึ่งสามารถหายได้เอง และการทำการรักษามีความเจ็บปวดอยู่บ้าง ก่อนทำจึงต้องทายาชาเพื่อช่วยบรรเทาอาการปวดของคนไข้ แต่สิ่งสำคัญที่ควรพิจารณาคือ มาตรฐานของสถานที่ให้การบริการรักษา ต้องได้รับการยอมรับ และมีแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญประจำอยู่ตลอดการรักษาเพื่อผลลัพธ์ของการกระชับผิวหน้าที่ได้มาเป็นที่น่าพึงพอใจ และคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายออกไปนะค่ะ

ผิวหน้าตึง ผิวแข็งแรง HIFU ยก “กระชับผิวหน้า” ปรับรูปหน้า

2

ถึงแม้ว่าคนเราต่างมีรูปโครงหน้าที่แตกต่างกัน ตามโครงสร้างของแต่ละคน แต่ทุกคนย่อมมีความต้องการเหมือนกันคือ การมีรูปหน้าได้รูป กระชับผิวหน้า ผิวหน้าหน้ากระจ่างใสด้วยกันทั้งนั้น ยิ่งสาว ๆ ด้วยแล้ว ผิวหน้านี้เป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่ทุกคนถวิลหา อยากมีหน้าใส หน้าสวย ผิวเรียบเนียน ตึงกระชับ ต้องสรรหาวิธีการใหม่ ๆ มาบำรุงผิวหน้า เพื่อชะลอริ้วรอย ความหย่อนคล้อยของใบหน้าอยู่ร่ำไป

ต้องสรรหาครีมมาบำรุงผิวหน้าสารพัด ทั้ง เซรั่ม ทรีทเม้นต์  ตัวไหนที่ว่าดี จัดมาทุกตัว ได้ผลบ้าง ไม่ได้บ้าง ก็ว่ากันไป แต่วันนี้ที่อยากแนะนำ นวัตกรรมตัวใหม่ล่าสุด ที่กำลังเป็นที่นิยมตามสถาบันเสริมความงามต่าง ๆ ก็คงต้องเป็นตัวนี้เลย HIFU  เป็นเทคโนโลยีทางการแพทย์ผิวหนัง ช่วยยกกระชับผิวหน้า ปรับรูปหน้าโดยไม่ต้องผ่าตัด

คุณสมบัติของ HIFU

HIFU คืออะไร

HIFU หรือ High Intensity Focus Ultrasound เป็นการใช้คลื่นอัลตร้าซาวด์ความเข้มข้นสูง เป็นเทคโนโลยีล่าสุดสำหรับการรักษาด้านความงามหลักการทำงานของ HIFU คือ ultrasound จะถูกส่งผ่านไปยังเนื้อเยื่อแล้วเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อน อุณหภูมิประมาณ 65 องศาเซลเซียส พลังความร้อยจะเกิดขึ้นในบริเวณที่โฟกัสเท่านั้น โดยไม่ส่งผลต่อชั้นหนังกำพร้า  ดังนั้นจึงไม่ทำให้ผิวแสบไหม้ หรือเกิดรอยดำ การรักษาที่ให้ผลดีของเทคโนโลยี  HIFU คือ ช่วยปรับหน้าที่ห้อย หย่อนคล้อย กรอบหน้าไม่ชัดเจน มุมปากตก มีร่องมุมปาก กระชับผิวหน้าขึ้น

ผลลัพธ์ยกกระชับด้วย HIFU

  • หลังทำจะเห็นผลภายใน  1 สัปดาห์ 20% กระชับผิวหน้า ผิวจะอิ่มฟูขึ้น การทำหลายๆ ครั้งต่อเนื่องจะช่วยให้เห็นผลที่ชัดเจน และคงทนขึ้น 
  • ดีกว่า การร้อยไหมคือ ไม่มีสารแปลกปลอมเข้าใบหน้า ปลอดภัยในระยะยาว และ ไม่เจ็บ หลังทำไม่มีรอยช้ำ หรือแผลใดๆ
  • เข้าไปทำลายเนื้อเยื่อในชั้นผิวหนังระดับลึก   ถึงชั้น SMAS (Superficial Muscular Aponeurotic System) ทำให้ผิวหนังในชั้น SMAS หดตัว คล้ายกับการเย็บที่เนื้อ เพื่อทำให้เกิดการสร้างคอลลาเจนหรือสร้างเนื้อเยื่อใหม่ ซึ่งเป็นการดึงหน้าที่ส่งผลให้ผิวดูยกกระชับและอ่อนเยาว์ขึ้น
  • เนื้อเยื่อจะเกิดขึ้นใหม่ ผิวจะมีความเรียบเนียนขึ้นภายใน 3 เดือน เมื่อทำแล้วจะคงสภาพอยู่ได้ประมาณ 6 เดือน – 1 ปี  แต่ก็ขึ้นอยู่กับการดูแล รักษาผิวหลังการใช้บริการ และสภาพผิวของแต่ละคน
  • จำนวนครั้งของการทำ HIFU ในแต่ละคนจะไม่เท่ากัน โดยขึ้นอยู่กับปัญหาของรูปหน้าแต่ละคน ซึ่งควรจะต้องทำอย่างต่อเนื่อง แต่ควรเว้นระยะห่างจากการทำจากครั้งแรกประมาณ 2 เดือน
image003

ดูแลอย่างไรหลังการทำ HIFU

ควรเลือกใช้ครีมบำรุงผิวเพื่อเป็นบำรุงผิวที่เกิดขึ้นใหม่ให้คงอยู่ได้อย่างยาวนาน ทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงๆ แล้วหลีกเลี่ยงแสงแดดโดยตรง หากมีอาการเมื่อยหรือรู้สึกตึงๆผิวก็สามารถรับประทานยาแก้ปวดได้ ข้อควรระวัง ไม่ควรนวดหรือถูใบหน้าแรงๆ รวมทั้งไม่ควรสูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์ เนื่องจากจะเป็นการทำลายการสร้างคอลลาเจนที่ชั้นใต้ผิวหนัง มากกว่าการสร้างคอลลาเจน

เทคโนโลยีของ HIFU คือการดูแลและยกกระชับผิวหน้าที่ให้ผลลัพธ์ที่ดีกับผิวหน้าได้อย่างชัดเจน บางคนแม้ทำเพียงครั้งแรกก็รับรู้ถึงประสิทธิภาพที่ได้มา ให้ความรู้สึกของความแตกต่างระหว่างก่อนทำและหลังทำได้ดี จึงเป็นอีกทางเลือกสำหรับผู้ที่รักสวยรักงาม และผู้ที่ต้องการดูแลผิวตั้งแต่อายุไม่มากนักในราคาที่พอจับต้องได้เทคโนโลยีความงามสมัยนี้ทำให้ผู้หญิงอย่างเราเดินต่อไปได้อย่างเริ่ด ๆ สวยๆ ทุกอย่างก้าวไปเลย

สัญญาณเตือนปัญหาช่องคลอดผิดปกติของสาว ๆ

246

เกิดมาเป็นผู้หญิงแท้จริงนั้นแสนลำบาก ใครจะไปรู้ว่านอกจากจะต้องเป็นคนที่สวย รวย เก่ง และดีแล้วนั้น เรื่องสุขภาพก็เป็นเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กันเลย เพราะสุขภาพที่ไม่ดีนั้นก็ส่งผลต่อบุคลิกภาพของสาว ๆ ทำให้เสียความมั่นใจ มีความกังวล นับว่าเป็นปัญหาหนักของผู้หญิง ไม่ว่าจะเป็นสาวโสดหรือคนที่มีคู่แล้วก็ตามเพราะเกิดมาเป็นผู้หญิงต้องไม่หยุดสวย และสุขภาพนั้นยังต้องดีด้วย

ปัจจุบันพบว่าผู้หญิงมีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพเป็นจำนวนม๊ากจริงๆ โดยเฉพาะปัญหาเกี่ยวกับช่องคลอดหรือน้องสาวของเรานั่นเอง เช่น ช่องคลอดหลวม รู้สึกมีลมออกทางช่องคลอด ปัสสาวะเล็ด อาการตกขาว น้องสาวมีกลิ่น ซึ่งเป็นปัญหาที่เราไม่ควรละเลย ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องทราบถึงสัญญาณเตือนที่อาจบ่งบอกได้ว่าคุณอาจจะกำลังเจอปัญหาช่องคลอดผิดปกติอยู่นั่นเอง

1. ตกขาว เป็นสิ่งที่สามารถบ่งบอกถึงสุขภาพได้ว่ามีความผิดปกติใด ๆ เกิดขึ้นกับร่างกายหรือไม่โดยเฉพาะ ปัญหาช่องคลอด มีสีและกลิ่น คือ ก่อนมีประจำเดือน, หลังมีประจำเดือน และช่วงไข่ตก โดยช่วงไข่ตกจะมีตกขาวมากที่สุด มีลักษณะเป็นมูกใสเหนียวยืดได้ เกิดจากอิทธิพลของฮอร์โมนเพศหญิง ก่อให้เกิดปัญหาช่องคอลด อย่างไรก็ตามตกขาวทั้งสามช่วงควรมาไม่นาน คือ ไม่เกินสามวัน หากตกขาวมาทั้งเดือน มีปริมาณมาก มีกลิ่น หรือมีสีเช่นสีเขียว สีเหลือง สีช้ำเลือดช้ำหนอง อย่ามัวแต่ใส่แผ่นอนามัยซับไว้ ควรพบคุณหมอโดยด่วนค่ะ

2. น้องสาวมีกลิ่น ตามปกติกลิ่นของบริเวณอวัยวะเป็นกลิ่นตามธรรมชาติ  ซึ่งแต่ละคนจะมีกลิ่นเฉพาะตัว  แต่กลิ่นที่ถือว่าผิดปกติ  ได้แก่

  • กลิ่นเหม็นเปรี้ยว กลิ่นในลักษณะนี้ มักจะเกิดจากการติดเชื้อรา การติดเชื้อรา ถือว่าไม่อันตรายมากนัก แต่ทำให้เกิดความรู้สึกรำคาญ เพราะจะมีอาการคันร่วมด้วย ไม่ถือว่าเป็นปัญหาช่องคลอด
  • กลิ่นเหม็นหืน กลิ่นเหม็นหืนหรือเหม็นอับเหมือนกลิ่นบูด กลิ่นนี้มักจะเกิดขึ้นจากการดูแลความสะอาด และสุขอนามัย ต้องรักษาความสะอาดโดยเฉพาะช่วงที่มีประจำเดือนควรหมั่นเปลี่ยนผ้าอนามัยทุก 2 ชั่วโมง เพื่อลดปัญหาช่องคลอดผิดปกติ
  • กลิ่นเหม็นเค็มเหมือนน้ำปลา มักเกี่ยวข้องกับการติดเชื้อโรคตัวร้ายหรือพยาธิช่องคลอด กลิ่นแบบนี้ไม่ปลอดภัย อาจเป็นปัญหาช่องคลอดได้ควรรีบพบคุณหมอนะคะ
  • กลิ่นเหม็นเหมือนอุจจาระ มักติดเชื้อที่ปนเปื้อนมาจากอุจจาระ  เวลาทำความสะอาดควรใช้กระดาษชำระเช็ดจากด้านหน้าไปด้านหลัง เพื่อป้องกันไม่ให้อุจจาระติดมาบริเวณช่องคลอด เชื้อที่อาจติดมาจากอุจจาระ เช่น เชื้อบิด
  • กลิ่นเหม็นเน่า แบบนี้ไม่ดีแน่ เพราะกลิ่นเหม็นเน่าสะท้อนว่า คุณกำลังมีปัญหาช่องคลอดที่ผิดปกติ กลิ่นเหม็นเน่าอาจแสดงถึงเชื้อของมะเร็งร้ายได้

3. ช่องคลอดไม่กระชับ ช่องคลอดเป็นอวัยวะที่มีลักษณะเป็นท่อและมีกล้ามเนื้อภายใน จึงมีการยืดหดได้ พื้นผิวภายในช่องคลอดเป็นเยื่อบุนิ่ม ๆ ซึ่งเต็มไปด้วยไกลโคเจน สภาวะที่เหมาะสมต่อการป้องกันการเกิดการติดเชื้อคือสภาวะที่มีความเป็นกรด ชั้นลึกลงไปของผนังช่องคลอดคือ กล้ามเนื้อ เกิดเป็นปัญหาช่องคลอด เมื่อพิจารณาลึกลงไประดับเซลล์พบว่า เมื่อเกิดการหย่อนของช่องคลอด  มักเกิดจากเสื่อมสลายของเส้นใยคอลลาเจนที่ผนังช่องคลอดซึ่งเป็นหนึ่งในโครงสร้างสำคัญรักษาความยืดหยุ่นของช่องคลอด เดิมเราเข้าใจว่าปัญหาช่องคลอดหย่อนจะพบเฉพาะในผู้หญิงสูงอายุ หรือวัยหมดประจำเดือน เนื่องจากไม่มีฮอร์โมนเอสโตรเจนซึ่งมีบทบาทสำคัญในการดูแลเยื่อบุช่องคลอด แต่ก็พบว่าปัญหาช่องคลอดนั้นสามารถเกิดขึ้นได้ในผู้หญิงที่ผ่านการมีเพศสัมพันธ์ หรือมีบุตรแล้วแม้ยังไม่สูงวัยได้เช่นกัน ซึ่งการมีปัญหาเรื่องช่องคลอดไม่กระชับนั้นมีหลากหลายวิธีในการช่วย เช่นการทำรีแพร์ หรือการกระชับช่องคลอดด้วยคลื่นวิทยุ ไม่เจ็บ ไม่ปวดด้วยนะเออ แถมทำเสร็จเดี๋ยวนั้น เดินได้ปกติเอาสิๆแบบนี้ต้องรีบแล้วค่ะ

4. ปัสสาวะเล็ด ถือเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงปัญหาช่องคลอดได้ หากผนังช่องคลอดหรือมดลูกหย่อนมากจนดันท่อปัสสาวะให้เลื่อนจากตำแหน่งปกติ ทำให้เวลาไอ หรือจาม อาจมีปัสสาวะเล็ดได้

สาเหตุสำคัญที่ทำให้ช่องคลอดไม่กระชับอ่อนเยาว์ดั่งวัยแรกรุ่น

245

ช่องคลอดไม่กระชับ หย่อนคล้อย มีลมออกจากช่องคลอด สาเหตุนั้นมาจากอะไร!! ปัญหานี้ช่างใหญ่หลวงนัก!!ปัญหาน้องสาว ช่องคลอดไม่กระชับหรือการมีลมออกขณะมีเพศสัมพันธ์ นับเป็นปัญหาหนักใจของคุณผู้หญิงเป็นอย่างมากและรู้สึกว่าเป็นเรื่องน่าอายจนไม่กล้าที่จะปรึกษาใครจนทำให้คุณผู้หญิงสูญเสียความมั่นใจ และมีบุคลิกภาพที่ดูไม่ค่อยดีนักโดยเฉพาะผู้หญิงวัย 30 ปี ขึ้นไปและผู้หญิงที่ผ่านการคลอดบุตรซึ่งมีปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ช่องคลอดหลวมและอวัยวะเพศไม่สวยงามนั่นเอง

ซึ่งสาเหตุสำคัญที่ทำให้ช่องคลอดหลวมหรืออุ้งเชิงกรานหย่อน ที่นับเป็นสาเหตุสำคัญอันดับแรก คือ การคลอดบุตรเนื่องจากในขณะที่มีการเบ่งคลอดและในขณะที่ทารกเคลื่อนผ่านช่องคลอดจะทำให้ช่องคลอดถูกยืดออก โดยเฉพาะถ้าทารกตัวใหญ่ คลอดยากรวมทั้งกล้ามเนื้อบริเวณช่องคลอดไม่แข็งแรงพอก็จะยิ่งทำให้เกิดการบาดเจ็บและเกิดความหย่อนคล้อยของช่องคลอดได้ การมีเพศสัมพันธ์ผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์บ่อยและสม่ำเสมอ มีโอกาสที่ช่องคลอดจะขยายมากกว่าผู้หญิงที่ไม่เคยมีเพศสัมพันธ์หรือมีเพศสัมพันธ์น้อยครั้งคนที่มีโรคประจำตัว โดยเฉพาะในกลุ่มของโรคที่เพิ่มความดันในช่องท้อง เช่นไอเรื้อรัง หอบ โรคกล้ามเนื้ออ่อนตัว หย่อนคล้อย หรือคนที่ท้องผูกเป็นประจำเนื่องจากแรงดันในช่องท้องจะไปดันให้บริเวณช่องคลอดหย่อนคล้อยได้อีกหนึ่งสาเหตุก็คือวัยทอง นอกจากความเสื่อมที่เกิดจากวัยที่เพิ่มขึ้นแล้วกล้ามเนื้อบริเวณช่องคลอดจะมีการตอบสนองต่อฮอร์โมน ดังนั้นเมื่อผู้หญิงเริ่มเข้าสู่วัยทอง ซึ่งเป็นวัยที่ฮอร์โมนหมด ก็จะทำให้ช่องคลอดไม่กระชับ หย่อนคล้อยได้เร็วมากกว่าคนปกติทั่วไป

แล้วนอกจากสาเหตุที่กล่าวมาแล้วข้างต้นนั้น ยังมีสาเหตุหรือปัจจัยเสี่ยงด้านอื่นอีกหรือเปล่าที่ทำให้ช่องคลอดไม่กระชับดั่งวัยแรกสาว !!

1. การคลอดบุตร
การคลอดลูกทำให้ช่องคลอดที่เดิมมีเส้นผ่าศูนย์กลางน้อยกว่าหนึ่งนิ้ว ขยายใหญ่ขึ้นถึง 5 เท่า คือมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 4-5 นิ้วเลยทีเดียว ยิ่งเด็กมีศีรษะใหญ่ ช่องคลอดก็จะยิ่งขยายใหญ่มาก แม้หลังคลอดประมาณ 6 สัปดาห์ช่องคลอดจะหดตัวกลับ แต่หากคุณแม่มีกล้ามเนื้อช่องคลอดไม่แข็งแรง หรือมีการคลอดบุตรหลายคน ก็จะทำให้ช่องคลอดไม่กระชับหลวมได้

2. วัยที่เพิ่มขึ้น
กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานเป็นกล้ามเนื้อที่ตอบสนองต่อฮอร์โมน ผู้หญิงวัยทองหรืออายุ 50 ปีขึ้นไปเป็นวัยหมดฮอร์โมน จึงทำให้ช่องคลอดไม่กระชับหลวม และหย่อนคล้อยเร็วกว่าปกติ

3. เคยผ่าตัดบริเวณช่องคลอด
ผู้ที่เคยได้รับการผ่าตัดบริเวณอวัยวะภายในอุ้งเชิงกรานหรือช่องคลอด มีโอกาสช่องคลอดไม่กระชับหลวมมากกว่าผู้ที่ไม่เคยได้รับการผ่าตัดใด ๆ

4. โรคประจำตัว
โรคประจำตัวบางโรคมีผลต่อการเพิ่มแรงดันในช่องท้อง เช่น ไอเรื้อรัง หอบหืด ท้องผูก มีก้อนในช่องท้อง กล้ามเนื้ออ่อนแรง ภาวะอ้วน เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ส่งผลให้แรงดันไปดันให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานหย่อนคล้อย ช่องคลอดไม่กระชับได้

5. กิจกรรมที่เพิ่มแรงดันในช่องท้อง
กิจกรรมที่เพิ่มแรงดันในช่องท้อง เช่น การยกของหนัก การออกแรงเบ่งมาก (อาชีพหมอนวด) การออกกำลังกายบางประเภท เช่น ยกน้ำหนัก ก็มีผลทำให้ช่องคลอดหย่อนคล้อย ช่องคลอดไม่กระชับได้

6. พันธุกรรม
มีพันธุกรรมที่ส่งผลให้เนื้อเยื่อพยุงมีความอ่อนแอแต่กำเนิด มีภาวะโรคหนังยืดผิดปกติ และโรคมาร์แฟนซินโดรม

7. การมีเพศสัมพันธ์
ผู้หญิงทีมีเพศสัมพันธ์บ่อยครั้ง และสม่ำเสมอต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน จะมีโอกาสช่องคลอดไม่กระชับหลวมมากกว่าผู้หญิงทีไม่เคยผ่านการมีเพศสัมพันธ์ หรือมีเพศสัมพันธ์นาน ๆ ครั้ง

เห็นไหมคะว่าสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาน้องสาวหรือช่องคลอดไม่กระชับดังเดิมนั้น มีมาจากหลายสาเหตุด้วยกัน จึงนับว่าเป็นปัญหาของทั้งสาวโสดที่อาจมีกิจกรรมหรือโรคที่เสี่ยงต่อการเกิดภาวะช่องคลอดไม่กระชับ และผู้หญิงที่ผ่านการคลอดบุตรมาแล้ว ดังนั้นผู้หญิงเราจึงต้องลุกขึ้นมาแก้ปัญหาช่องคลอดหลวม โดยอาจจะปรึกษาแพทย์ หรือผู้เชี่ยวชาญ เพื่อหาวิธีการรักษาการกระชับช่องคลอดที่ถูกต้องหรือการทำรีแพร์ เพื่อที่เราจะได้กลับมามีน้องสาวที่ฟิตกระชับอ่อนเยาว์ดังเดิม !!

 

ช่องคลอดหลวม ไม่กระชับ ปัญหาหนักใจที่ไม่ควรละเลย !!

244

ช่องคลอดหลวม ไม่กระชับนับเป็นปัญหาหนักอกหนักใจสำหรับผู้หญิงเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะผู้หญิงที่เริ่มมีอายุมากขึ้น หรือผู้หญิงที่ผ่านการคลอดบุตรมาแล้ว ซึ่งช่องคลอดก็มีการเสื่อมสภาพตามกาลเวลาเป็นเรื่องธรรมดา แต่ดูท่าปัญหาที่อาจมาจากช่องคลอดหลวม ไม่ฟิตกระชับดั่งวัยสาวนั้นน่าจะไม่ธรรมดา โดยเฉพาะปัญหาที่เกิดกับคู่รัก ซึ่งอาจทำให้เกิดเป็นปัญหาครอบครัวได้ เพราะเนื่องจากความสุขขณะมีเพศสัมพันธ์นั้นลดลงเพียงเพราะช่องคลอดหลวมไม่กระชับนั้นเอง

ช่องคลอด อวัยวะของคุณผู้หญิงมีลักษณะเป็นท่อและมีกล้ามเนื้อภายใน จึงทำให้สามารถยืดหดได้ และภายในช่องคลอดนั้นมีเนื้อเยื่อบุนิ่มๆ อยู่ถัดเข้าไปเป็นผนังมดลูกและกล้ามเนื้อตามลำดับ พอผ่านการใช้งานมาไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ก็จะเกิดการหย่อนคล้อยของช่องคลอดได้นั่นเอง

ช่องคลอดหลวมเป็นการเสื่อมสภาพของอวัยวะภายในอุ้งเชิงกรานทางการแพทย์เรียกภาวะนี้ว่า “อวัยวะอุ้งเชิงกรานหย่อน” หรือ “กระบังลมหย่อน” หมายถึง การเคลื่อนหรือหย่อนของอวัยวะภายในอุ้งเชิงกรานลงมาต่ำกว่าปกติได้แก่ มดลูกผนังช่องคลอด หรือทั้งสองอย่างบางครั้งอาจหย่อนมากจนโผล่พ้นปากช่องคลอดออกมาภายนอกได้

ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องมารู้จักอาการเบื้องต้นของปัญหาช่องคลอดหลวมไม่กระชับกันเถอะว่ามีลักษณะอย่างไร !!

  1. รู้สึกหลวม ๆ ในช่องคลอด
  2. มีลมออกทางช่องคลอด
  3. ไม่มีความสุขเวลามีเพศสัมพันธ์
  4. ปัสสาวะเล็ดเวลาไอและจาม เพราะท่อปัสสาวะเลื่อนลงมาต่ำกว่าตำแหน่งปกติ

สาเหตุสำคัญที่ทำให้ช่องคลอดหลวมหรืออุ้งเชิงกรานหย่อนที่นับเป็นสาเหตุสำคัญอันดับแรกคือ การคลอดบุตร เนื่องจากในขณะที่มีการเบ่งคลอดและในขณะที่ทารกเคลื่อนผ่านช่องคลอดจะทำให้ช่องคลอดถูกยืดออก โดยเฉพาะถ้าทารกตัวใหญ่ คลอดยากรวมทั้งกล้ามเนื้อบริเวณช่องคลอดไม่แข็งแรงพอ ก็จะยิ่งทำให้เกิดการบาดเจ็บและเกิดความหย่อนคล้อยของช่องคลอดได้การมีเพศสัมพันธ์ ผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์บ่อยและสม่ำเสมอมีโอกาสที่ช่องคลอดจะขยายมากกว่าผู้หญิงที่ไม่เคยมีเพศสัมพันธ์หรือมีเพศสัมพันธ์น้อยครั้งคนที่มีโรคประจำตัว

โดยเฉพาะในกลุ่มของโรคที่เพิ่มความดันในช่องท้อง เช่นไอเรื้อรัง หอบ โรคกล้ามเนื้ออ่อนตัว หย่อนคล้อย หรือคนที่ท้องผูกเป็นประจำเนื่องจากแรงดันในช่องท้องจะไปดันให้บริเวณช่องคลอดหย่อนคล้อยได้อีกหนึ่งสาเหตุก็คือวัยทอง นอกจากความเสื่อมที่เกิดจากวัยที่เพิ่มขึ้นแล้วกล้ามเนื้อบริเวณช่องคลอดจะมีการตอบสนองต่อฮอร์โมน ดังนั้นเมื่อผู้หญิงเริ่มเข้าสู่วัยทอง ซึ่งเป็นวัยที่ฮอร์โมนหมดก็จะทำให้ช่องคลอดหลวม หย่อนคล้อยได้เร็วมากกว่าคนปกติทั่วไปสำหรับผู้หญิงที่เริ่มไม่มั่นใจกับจุดซ่อนเร้นเพราะตกอยู่ในภาวะช่องคลอดหย่อนหรือช่องคลอดหลวม ไม่กระชับ พานให้ไม่มั่นใจเรื่องการมีเพศสัมพันธ์กลัวอีกฝ่ายจะรับรู้ถึงช่องว่างหรือน้องสาวที่ไม่ฟิตกระชับ

อันที่จริงแล้วเป็นธรรมชาติของผู้หญิงที่ช่องคลอดจะหย่อนหรือหลวมไปตามกฎของกาลเวลาหรือมาจากการคลอดบุตร แต่สาว ๆ ไม่ต้องกังวลใจไปเพราะในปัจจุบันมีวิธีการรักษาช่องคลอดหลวม ไม่ฟิตกระชับด้วยกันอยู่หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นรักษาทางด้านการแพทย์อาหารเสริม สมุนไพรรวมไปถึงการขยับหรือออกกำลังกายเพื่อช่วยให้ช่องคลอดกลับมาฟิตกระชับดังเดิมเหมือนวัยแรกสาวหรือก่อนที่จะคลอดบุตรจนไปถึงวิธีการรีแพร์ช่องคลอด ดังนั้นเราควรเลือกวิธีที่เหมาะสมกับตัวเอง โดยการปรึกษาแพทย์และสอบถามจากผู้มีประสบการณ์ พิจารณาให้เหมาะสมกับปัจจัยร่วมอื่น ๆ เช่น อายุความพร้อมของเรา เพื่อที่เราจะได้กลับมามีช่องคลอดหรือน้องสาวที่ฟิตกระชับอ่อนเยาว์ จนสามีต้องตกตลึงประหนึ่งว่าพึ่งแต่งงานกันใหม่ๆ และไม่กล้าที่จะมองสาวคนไหนได้อีกเลย !!

 

การดูแลรักษาให้ช่องคลอดฟิตกระชับอ่อนเยาว์ดังเดิม

243

ปัญหาช่องคลอดหลวมหย่อนคล้อยไม่ฟิตกระชับ นับเป็นปัญหาหนักอกหนักใจสำหรับผู้หญิงหลาย ๆ คน เลยทีเดียว ซึ่งส่วนใหญ่แล้วสาเหตุนั้นก็มาจาก อายุที่เพิ่มขึ้นซึ่งสภาพร่างกายก็ย่อมมีการเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา รวมไปถึงผู้หญิงที่ผ่านการคลอดบุตรมาแล้ว เพราะบริเวณช่องคลอดมีการขยายขนาดขณะที่คลอดลูก และอาจจะไม่สามารถกลับมาฟิตกระชับดังเดิม และสาเหตุอื่น ๆ อีกมากมาย จนเกิดเป็นปัญหาทำให้คุณผู้หญิงไม่มีความมั่นใจ และรู้สึกเป็นเรื่องน่าอาย รวมไปถึงการกลัวว่า แฟนเราจะคิดว่าเรานั้นผ่านการมีเพศสัมพันธ์มาแล้วหลายครั้งหรือเปล่า หรือบางคู่จนอาจเกิดเป็นปัญหาครอบครัวเพราะความสุขในการมีเพศสัมพันธ์นั้นลดลง แต่ในปัจจุบันก็พบว่ามีวิธีการที่ช่วยคุณผู้หญิงให้กลับมามีน้องสาวหรือกระชับช่องคลอดฟิตกระชับดังเดิมได้ ดังนั้นคุณผู้หญิงทั้งหลายต้องลุกขึ้นมาทำให้ช่องคลอดฟิตกระชับร่างกายอีกครั้ง เพื่อทำให้เรากลับมามีช่องคลอดฟิตกระชับเหมือนดั่งวัยสาว และมัดใจสามีได้อย่างอยู่หมัด ซึ่งเราก็ได้รวบรวมวิธีการหรือแนวทางที่ช่วยในการรักษาช่องคลอดหลวมให้กลับมามีช่องคลอดฟิตกระชับได้ ดังนี้

  1. การปรับพฤติกรรม โดยการลดปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อน เช่น ลดโอกาสในการเพิ่มความดันในช่องท้อง โดยการดูแลสุขภาพให้แข็งแรง เพื่อป้องกันอาการไอจามเรื้อรัง ดูแลระบบขับถ่ายให้เป็นปกติ อย่ายกของที่มีน้ำหนักมาก ไม่ปล่อยให้อ้วน เพื่อช่องคลอดฟิตกระชับแต่มีปัจจัยเสี่ยงบางอย่างที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เช่น อายุ ความเสื่อมที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ กรรมพันธุ์ การตั้งครรภ์และการคลอดตามธรรมชาติ
  2. การบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน เป็นการทำให้ช่องคลอดฟิตกระชับด้วยตัวเองโดยการขมิบช่องคลอด (KegalExercise) อย่างสม่ำเสมอหลักการคือทำให้กล้ามเนื้อที่พยุงช่องคลอดมีความแข็งแรงขึ้นป้องกันไม่ให้เป็นมากขึ้นรวมทั้งลดอาการปัสสาวะเล็ดได้ด้วย โดยให้นับ 1 ถึง 3 แล้วคลายออก ทำวันละ 3 เวลา ประมาณ 50-100 ครั้งในแต่ละช่วงเวลา ภายใน 4-6 เดือนช่องคลอดจะมีความกระชับมากขึ้น
  3. การใส่อุปกรณ์ช่วยพยุงในช่องคลอด เรียกว่า “ห่วงพยุง” (Passary) โดยทำจากซิลิโคน มีหลากหลายขนาดและรูปแบบ หลักการคือ ใส่เข้าไปในช่องคลอด เพื่อช่วยค้ำยันอวัยวะภายในช่องคลอดไม่ให้หย่อนลงมา ทำให้ช่องคลอดฟิตกระชับ โดยผู้ป่วยสามารถใส่และถอดได้ด้วยตัวเอง ผลการรักษาขึ้นกับระยะอาการของผู้ป่วยด้วย ซึ่งมีข้อดีคือไม่ต้องผ่าตัด แต่ข้อเสียคือต้องคอยดูแลทำความสะอาดอุปกรณ์เป็นประจำ
  4. การผ่าตัดกระชับช่องคลอดหรือรีแพร์ เป็นการผ่าตัดโดยใช้มีดตัดเนื้อเยื่อบริเวณช่องคลอดที่หย่อนคล้อย และมีการเลาะเนื้อเยื่อด้านในบางส่วนมาปิดใหม่ ทำให้ช่องคลอดมีขนาดเล็กลงและช่องคลอดฟิตกระชับมากขึ้น การทำรีแพร์มีข้อเสียคือมีโอกาสในการเกิดพังผืดค่อนข้างมาก และยังมีข้อจำกัดบางอย่างที่ไม่สามารถทำได้ เช่น ไม่สามารถใช้มีดเข้าไปผ่าตัดเนื้อเยื่อในบางบริเวณที่มีความซับซ้อนได้ จึงทำให้ผลการผ่าตัดไม่ค่อยประณีต
  5. การทำเลเซอร์ การทำเลเซอร์เพื่อให้น้องหนูกระชับ ฟิตแอนด์เฟิร์มถือว่าเป็นเรื่องใหม่ โดยเลเซอร์จะเข้าไปกระตุ้นเซลล์ไฟโบนบลาสต์ ใหผลิตและจัดเรียงเส้นใหญ่ได้ดีขึ้น  ช่วยปรับสีผิวบริเวณจุดซ่อนเร้น เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและปรับสมดุลให้กับผนังช่องคลอด ลดความเจ็บระหว่างการมีเพศสัมพันธ์  ช่วยในการผลิตสารคัดหลั่งเพิ่มขึ้น  ทำให้เกิดความชุ่มชื้น และแก้ปัญหาอาการไอ จาม แล้วมีปัสสาวะเล็ดอีกด้ว
  6. การกระชับช่องคลอดด้วยคลื่นวิทยุ เทคโลยีนี้ใช้พลังงานคลื่นวิทยุ ไปช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจน และอิลาสตินขึ้นมาใหม่ ส่งผลให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานและผนังช่องคลอดแข็งแรง ช่องคลอดฟิตกระชับตึงขึ้น ทั้งบริเวณภายนอกและภายในช่องคลอด โดยไม่ต้องผ่าตัด ที่สำคัญไม่เจ็บ ปลอดภัย ไม่ต้องพักฟื้นผนังช่องคลอดหดกระชับ มีความยืดหยุ่นมากขึ้น กระตุ้นการทำงานของระบบเส้นประสาท และเพิ่มการไหลเวียนของเส้นเลือดที่มาหล่อเลี้ยงบริเวณนั้นให้ทำงานสมบูรณ์ขึ้น ส่งผลให้ระบบการทำงานของต่อมต่างๆ ทำงานดีขึ้น สร้างสารคัดหลั่งที่มาหล่อเลี้ยง เพิ่มความชุ่มชื้น และทำหน้าที่กำจัดเชื้อโรคต่างๆ ตามระบบธรรมชาติ รวมถึงช่วยแก้ปัญหาปัสสาวะเล็ดในรายที่มีปัญหา

ปัญหาช่องคลอดไม่กระชับแม้จะเป็นปัญหาหนักอกหนักใจสำหรับผู้หญิง และเป็นเรื่องธรรมชาติที่สามารถพบเจอได้เป็นเรื่องปกติ แต่ปัญหาที่เกิดจากช่องคลอดไม่กระชับนั้นเป็นเรื่องใหญ่ทีเดียว ทั้งทำให้ผู้หญิงสูญเสียความมั่นใจ ความสุขในการมีเพศสัมพันธ์ลดลง และอาจรวมถึงเกิดปัญหาการนอกใจของสามีต่อภรรยา แต่ในปัจจุบันก็มิวิธีการช่วยรักษาอยู่หลากหลายวิธีดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ดังนั้นคุณผู้หญิงก็ไม่ต้องกลัวและกังวลอีกต่อไปเกี่ยวกับปัญหาช่องคลอดไม่กระชับโดยการเลือกวิธีรักษาที่เหมาะสมตามวิธีที่กล่าวมาแล้วข้างต้น เช่น อาจปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การออกกำลังกายกระชับสัดส่วน การเข้ารับการรักษาจากแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้ช่องคลอดฟิตกระชับได้ดังเดิมเหมือนวัยแรกสาว

 

รมย์รวินท์คลินิก รับรางวัล OK! Beauty Choice 2018

42527246 1776474115734637 6611131695741534208 n

ตลอดระยะเวลา 14 ปี  รมย์รวินท์คลินิกคือ ผู้นำทางด้านนวัตกรรมเพื่อผิวพรรณ  โดยปีนี้เป็น ปีที่ 3  ที่รมย์รวินท์คลินิกได้รับรางวัล จากนิตยสาร OK!  ล่าสุด รมย์รวินท์คลินิกคว้ารางวัล OK! Beauty Choice 2018 ถึง 2 สาขา ได้แก่

  1. Beauty Clinic for Glowing Skin 2018
  2. Romrawin Swiss Glacier Mineral Mist ได้รับรางวัล Best Hydrating Facial Mist

เพราะรมย์รวินท์คลินิกไม่เคยหยุดนิ่งในการพัฒนา จึงทำให้รมย์รวินท์คลินิกอยู่ในใจของคนไทยมายาวนานกว่าศตวรรษด้วยเทคโยโลยีเพื่อผิวพรรณที่เหนือระดับ และทันสมัยที่สุด

ข้อมูลเพิ่มเติมโทร 080-153-9000 / 080-154-9000

Line: @romrawinclinic 

Inbox: @RomrawinClinic 

รมย์รวินท์คลินิก คว้ารางวัล EDITOR’S CHOICE 2018 จาก นิตยสาร HELLO!

43119644 1786441391404576 9192371860560412672 n 768x768 1

ผิวสุขภาพดีคือผิวที่มีความเนียนสว่างกระจ่างใสไร้จุดด่างดำ ดังนั้นความสม่ำเสมอของสีผิวจึงเป็นสิ่งสำคัญมากๆ ซึ่งการกำจัดจุดด่างดำ ฝ้า กระ ไม่สามารถทำได้โดยการใช้สกินแคร์เพียงอย่างเดียวค่ะ ต้องอาศัยนวัตกรรมทางการแพทย์เข้าช่วย และนวัตกรรมใหม่ล่าสุด “NU  PICO”จากรมย์รวินท์ ได้คว้ารางวัล EDITOR’S CHOICE: The Must-Try Skin Brightening Treatment จากแคมเปญ HELLO! Beauty Awards 2018: Celebrities’ Choice โดย นิตยสาร HELLO!  ซึ่งเป็นอีกหนึ่งรางวัลที่ยืนยันความสำเร็จของ รมย์รวินท์คลินิก

ข้อมูลเพิ่มเติมโทร 080-153-9000 / 080-154-9000

Line: @romrawinclinic 

Inbox: @RomrawinClinic 

 

งาน Cool Caravan ที่ห้างเซนทรัลภูเก็ต ฟลอเรสต้า

รีทัช คาราวานภูเก็ต ๑๙๐๑๒๓ 0004

เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่กับงานคูลคาราวาน ที่ห้างเซนทรัลภูเก็ต ฟลอเรสต้าเป็นที่แรก ขบวนคูลคาราวานพร้อมเดินสายไปแนะนำโปรแกรม Fat Freezing ทั่วประเทศไทยตลอดปี 2019 เพื่อให้ทุกท่านได้มีหุ่นกระชับ มั่นใจ ไร้ส่วนเกิน

ขยายสาขา รมย์รวินท์คลินิก สาขาที่ 25 ที่เซนทรัล ภูเก็ต (ฟลอเรสต้า)

41481225 1758946657487383 8335003642755022848 n

คุณอิศเรศ จิราธิวัฒน์ และดร.ณัฐกิตต์ ตั้งพูลสินธนา นำทีมผู้บริหารจากเซ็นทรัล กรุ๊ป ร่วมแสดงความยินดีกับคุณขวัญฤทัย ดำรงค์วัฒนโภคิน ในโอกาสเปิดรมย์รวินท์ คลินิก สาขาที่ 25 ที่เซนทรัล ภูเก็ต (ฟลอเรสต้า)

ซึ่งถือเป็นรมย์รวินท์ คลินิกสาขาที่ 2 ในภูเก็ต หลังจากที่ประสบความสำเร็จจากสาขาแรกที่สาขาจังซีลอน ภูเก็ต โดยในครั้งนี้คุณขวัญฤทัย ได้นำทีมแพทย์ผู้มีประสบการณ์พร้อมนวัตกรรมความงาม ส่งต่อความสวยให้ชาวภูเก็ตและนักท่องเที่ยวถึงที่

41435157 1758946780820704 2845161713269997568 n

ข้อมูลเพิ่มเติมโทร 080-153-9000 / 080-154-9000

Line: @romrawinclinic 

Inbox: @RomrawinClinic 

รมย์รวินท์คลินิก รับรางวัล OK! Beauty Choice 2018

42527246 1776474115734637 6611131695741534208 n

ตลอดระยะเวลา 14 ปี  รมย์รวินท์คลินิกคือ ผู้นำทางด้านนวัตกรรมเพื่อผิวพรรณ  โดยปีนี้เป็น ปีที่ 3  ที่รมย์รวินท์คลินิกได้รับรางวัล จากนิตยสาร OK!  ล่าสุด รมย์รวินท์คลินิกคว้ารางวัล OK! Beauty Choice 2018 ถึง 2 สาขา ได้แก่

  1. Beauty Clinic for Glowing Skin 2018
  2. Romrawin Swiss Glacier Mineral Mist ได้รับรางวัล Best Hydrating Facial Mist

เพราะรมย์รวินท์คลินิกไม่เคยหยุดนิ่งในการพัฒนา จึงทำให้รมย์รวินท์คลินิกอยู่ในใจของคนไทยมายาวนานกว่าศตวรรษด้วยเทคโยโลยีเพื่อผิวพรรณที่เหนือระดับ และทันสมัยที่สุด

ข้อมูลเพิ่มเติมโทร 080-153-9000 / 080-154-9000

Line: @romrawinclinic 

Inbox: @RomrawinClinic 

งานเปิดตัวแคมเปญ “BEAUTY 360 at Romrawin”

41366276 1756274237754625 2614716634572521472 n

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 6 กันยายน 2561 ณ แฟชั่น ฮอลล์ ชั้น 1 ศูนย์การค้าสยามพารากอน

รมย์รวินท์ คลินิก” สถาบันดูแลสุขภาพผิวพรรณและความงามชั้นนำของไทยที่ได้มาตรฐานสากล ภายใต้การดำเนินงานของสองผู้บริหาร คุณขวัญฤทัย ดำรงค์วัฒนโภคิน กรรมการผู้จัดการบริษัท และ พญ.ฐานิสร ธรรมลิขิตกุล แพทย์ผู้อำนวยการ จัดงานเปิดตัวแคมเปญ “BEAUTY 360 at Romrawin”  เสิร์ฟความงามทุกด้านให้สาวๆ ได้สวย ครบ  ภายในงานพบกับนางเอกสาวสวย “เบลล่า-ราณี แคมเปน” แอมบาสเดอร์ รมย์รวิน คลินิก พร้อมด้วยพระเอกหนุ่ม “ป้อง – ณวัฒน์ กุลรัตนรักษ์” และ “นาตาลี – ปณาลี วรุณวงศ์” ที่จะมาแชร์เคล็บลับประสบการณ์ การดูแลตัวเองให้สวย หล่อ และหุ่นแซ่บ สไตล์ซุปเปอร์สตาร์ กับ นวัตกรรมความงามใหม่ล่าสุด NU PICO by Enlighten นวัตกรรม ความงามเลเซอร์ระบบใหม่ช่วยรักษา กระ ฝ้า จุดด่างดำ พร้อมช่วยกระชับรูขุมขน ปรับสภาพผิวให้เรียบเนียน และช่วยลดริ้วรอย, FAT FREEZING by Cool Sculpting เทคโนโลยีลดไขมันเฉพาะจุดด้วยความเย็นจุดเยือกแข็ง นวัตกรรมจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Harvard University), Therma CPT เทคโนโลยียกกระชับปรับหน้าเรียว และ Hair Cel Rejuนวัตกรรมปลูกผมแบบไม่ต้องผ่าตัด

ข้อมูลเพิ่มเติมโทร 080-153-9000 / 080-154-9000

Line: @romrawinclinic 

Inbox: @RomrawinClinic 

 
 

กิจกรรมเอาใจคุณลูกค้าของ “รมย์รวินท์คลินิก” สาขาเซนทรัล เวสต์เกต

รีจั๊บ 180202 0007 1024x768 1

วันหยุดแบบนี้รมย์รวินท์ขอเอาใจคุณลูกค้าสาขา เซ็นทรัล เวสต์เกต กันซะหน่อยค่าาาา
โดยในวันหยุดที่ผ่านมา รมย์รวินท์ คลินิก สาขาเวสต์เกต ชั้น 2 เสิร์ฟกับกิจกรรมสนุก ๆ กันถึงที่พร้อมทั้งผลิตภัณฑ์ดี๊ดีจาก Romrawin Cosmetics

ขอบอกเลยนะคะว่าของมันต้องมี แหม ใครพลาดไปไม่ต้องเสียใจนะคะ คุณสาวๆ จะได้พบกับกิจกรรมในครั้งหน้าอีกแน่นอน แล้วพบกันค่าาา

*สาขาเอ็มควอเทียร์ หรือ ? โทรปรึกษาได้ที่ 0801539000 , 0801549000

Anniversary 14 th Romrawin Clinic x Bella Ranee Campen

26910962 1496580567057328 2664668824150650944 o 1024x682 1

กรี๊สสสส  เปิดตัวแล้ว Brand Ambassador คนใหม่ล่าสุด “เบลล่า ราณี แคมเปน” พร้อม ฉลอง 14 ปีรมย์รวินท์  ณ ควอเทียร์ แกลอรี่ ชั้น M ศูนย์การค้า ดิ เอ็มควอเทียร์ โดยคุณขวัญฤทัย ดำรงค์วัฒนโภคิน และ พญ.ฐานิสร ธรรมลิขิตกุล สองบอสใหญ่แห่งรมย์รวินท์ คลินิก
ข้อมูลเพิ่มเติมโทร 080-153-9000 / 080-154-9000

Line: @romrawinclinic http://bit.ly/2rebGEc

Inbox: @RomrawinClinic http://bit.ly/2reFeBP

หรือเดินเข้ามาปรึกษาแพทย์ได้ทุกวันโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ที่รมย์รวินท์ คลินิกทั้ง 24 สาขาทั่วประเทศใกล้บ้านคุณ